Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ลำดับที่ 6 สารานุกรมวรรณพระพุทธศาสนา

ลำดับที่ 6 สารานุกรมวรรณพระพุทธศาสนา

Published by panyawat_mcu_br, 2022-03-20 05:00:53

Description: ลำดับที่ 6 สารานุกรมวรรณพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

๒๕๐ มาในการทาํ พชื ทหี่ ว่านแล้วให้เสมอกันด้วยวัตถุทั้งหลายมีคราดเป๐นต้น ใน ประโยคเปน๐ ต้นวา่ “หว่านเสร็จแลว้ แตย่ ังไมไ่ ด้กลบ [โน จ โข ปฏิวุตฺตํ] มาในการโกนผม ในประโยคเปน๐ ตน้ วา่ “มาณพหนมุ่ ชื่อกาปฏกิ ะโกนผมแล้ว [กาปฏิโก มาณโว ทหโร วุตฺต สโิ ร] มาในการเล้ยี งชวี ิต ในประโยคเปน๐ ตน้ ว่า “มีขนตก อาศัยผู้อน่ื เลยี้ งชีวติ มจี ิตดังมฤค อยู่ [ปนฺนโลโม ปรทตฺตวุตฺโต มิคฺภูเตน เจตสา วิหรติ] มาในความหลุดพ้นจากเคร่ืองผูก ในประโยคเป๐นตน้ ว่า “ใบไมเ้ หลืองหลดุ จากขัว้ ไมส่ ามารถกลบั เปน๐ ของเขยี วสดได้อีก แม้ ฉันใด [เสยฺยถาปิ นาม ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปมุตฺโต อภพฺโพ หริตฺตตาย] มาในการ เปน๐ ไปโดยความเปน๐ ปาพจน์ในประโยคเป๐นต้นว่า “คนเหล่าใดขับ ร่าย สาธยายมนต์บท เกา่ นี้ในกาลบัดน้ี [เยสมิทํ เอตรหิ พฺราหฺมณา โปราณํ มนฺตปทํ คีตํ ปวุตฺตํ สมิหิตํ] มาใน การเล่าเรียนในประโยคเป๐นต้นว่า “ก็คุณที่เล่าเรียนในโลกเป๐นคุณที่ต้องเล่าเรียนต่อไป [โลเก ปน วตุ ฺโต คุโณ วตุ ฺโต ปรายโน] มาในการกล่าว ในประโยคเป๐นต้นว่า “ก็แลสมดัง พระดํารัสท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดังนี้ว่า “ภิกษุท้ังหลาย เธอทั้งหลายจงเป๐นธรรม ทายาทของเรา อย่าเปน๐ อามิสทายาทเลย [ธมฺมทายาทา เม ภิกฺขเว ภวถ มา อามิสทายา ทา] แต่ในที่น้ี วุตฺต- ศัพท์ พึงเห็นว่า ใช้ในกาลกล่าว เพราะเหตุนั้น จึงมีความหมายว่า พดู บอก กล่าว๑๙๙ อนง่ึ นิทานวัณณนา เนื้อหาโดยรวมเป๐นการอธิบายศัพท์ซึ่งอยู่ต้นเร่ืองของ แต่ละพระสูตรท่ีว่า “วุตฺตํ เหตํ ภควตา วุตฺตมหรตาติ เม สุตํ” โดยแจกแจงความหมาย ตงั้ แต่ วตุ ฺต ศัพท์, หิ ศพั ท,์ เอตํ ศัพท,์ ภควา ศพั ท์, อรหํ ศัพท์, อิติ ศัพท์, นานานยนิปุณํ ศัพท,์ เม ศพั ท์, และสุต-ศพั ท์ นอกจากน้ันพรรณนาประวัติของนางขุชชุตตราในฐานะท่ี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป๐นพหูสูตในบรรดาเหล่าสาวิกา สรุปลด้วยการ แสดงเหตุท่ตี อ้ งกลา่ วถึงนิทานไวว้ ่า “เพื่อความถึงพร้อมแห่งภาวะที่พระเทศนาดํารงมั่น ไม่เลอะเลอื นและควรศรัทธา” ๒๐๐ [๓] วรรณนา คือตัวอรรถกาที่อธิบายเนือ้ หาพระสูตรต่างๆ ๔ หมวด คอื เอ กกนบิ าต, ทุกนบิ าต, ติกนิบาต, และจตุกกนิบาต รวมท้ังหมด ๑๑๒ สูตร เร่ิมต้ังแต่โลภ สตู ร ในปฐมวรรค จนถงึ โลกสูตรในจตกุ กนิบาต ตัวอย่าง โลภสุตตวรรณนา ๑๙๙ ขุ.อิติ.อ.[ไทย] หน้า ๕. ๒๐๐ ขุ.อติ ิ.อ.[ไทย] หนา้ ๔๗.

๒๕๑ พรรณนาพระสูตรว่าด้วยความโลภ๒๐๑ ๑] บดั น้ี โอกาสแหง่ การพรรณนาพระสูตรท่ีพระผู้มีพระภาคทรงยกขึ้นโดย นัยเป๐นต้นว่า ภิกษุท้ังหลาย เธอทั้งหลายละธรรมอย่างหน่ึงได้ [เอกธมฺม ภิกฺขเว ปชหถ] ถึงแล้วโดยลําดับ ก็การพรรณนาความน้ีน้ัน เพราะเหตุท่ีเป๐นปรากฏการณ์ท่ี ท่านกลา่ ววิจารณถ์ ึงบทตัง้ พระสตู ร ฉะน้นั ขา้ พเจ้าจกั วจิ ารณ์บทต้ังพระสูตรก่อน แท้จริง บทต้ังพระสูตรมี ๔ ประการ คือ [๑] อัตตชฌาสยะ [เป๐นอัธยาศัยของพระองค์] [๒] ปรัชฌาสยะ [เป๐นอัธยาศัยของผู้อื่น] [๓] ปุจฉาวสิกะ [เป๐นอํานาจคําถาม] [๔] อัตถุ ปปต๎ ตกิ ะ [เป๐นเหตเุ กดิ เร่อื งข้นึ ] แทจ้ รงิ พระสตู รทั้งหลาย แม้แยกประเภทได้ หลายร้อย หลายแสน ก็ไม่เกิน ๑๖ ประการ โดยป๎ฏฐานนัย [การเริ่มต้น] มีสังกิเลส ภาคิยะ [เป๐น ส่วนแห่งความเศร้าหมอง] เป๐นต้น ฉันใด พระสูตรทั้งหลายก็ฉันน้ัน ย่อมไม่เกิน ๔ ประการ ด้วยอาํ นาจบทต้ังพระสูตรมีอัตตชฌาสยะเป๐นต้น บรรดา คําตั้งทั้ง ๔ ประการ นั้น อัตตชฌาสยะและอัตถุปป๎ตติกะย่อมมีความเกี่ยวข้องกับ ปรัชฌาสยะและปุจฉาวสิ กะ เพราะมคี วามสบื เนอื่ งกนั แหง่ อธั ยาศัยและการซักถามคือ อัตตัชฌาสยะกับปรัชฌาส ยะ อัตตัชฌาสยะกับปุจฉาวสิกะ อัตถุปป๎ตติกะกับปรัชฌาสยะ และอัตถุปป๎ตติกะกับ ปุจฉาวสกิ ะ ฉันใด แม้หากอัตถุปป๎ตตกิ ะจะมคี วามเกีย่ วขอ้ ง กับอัตตชฌาสยะ ฉันน้ัน ถึง อย่างนน้ั อัตตชฌาสยะเปน๐ ต้นที่ดาํ รงอยู่ก่อน ย่อมไม่มีความ เก่ียวข้องกับวัตถุปป๎ตติกะ เพราะเหตุน้ัน ป๎ฏฐานนัยที่ไม่มีส่วนเหลือจึงไม่เกิดข้ึน อีกนัยหนึ่ง พึงทราบว่า “ท่าน กลา่ วถึงบทตง้ั พระสตู ร ๔ ประการ ด้วยอํานาจการต้ัง ข้อมูลของบทตั้งท่ีเหลือที่เกิดข้ึน เพราะหยัง่ ลงภายในนยั น้ัน” ในเรื่องบทต้ังพระสูตรนั้น พึงทราบเน้ือความแห่งถ้อยคําดังต่อไปนี้ ช่ือว่า บทตั้ง [นิกเขปะ] เพราะบัณฑิตต้ังไว้ บทตั้งคือพระสูตรนั่นเอง ช่ือว่าบทตั้งพระสูตร [สุตตนิกฺเขโป] อีกอย่างหนึ่ง บทตั้งชื่อว่านิกเขปะ บทตั้งพระสูตรชื่อว่าสุดตนิกเขปะ อธิบายว่า การแสดงพระสูตร อัธยาศัยของตนช่ือว่าอัตตัชฌาสยะ ช่ือว่าอัตตัชฌาสยะ [อตฺตชฺฌาสโย] เพราะเป๐นเหตุผลของตนน้ัน หรือชื่อว่าอัตตัชฌาสยะเพราะมีอัธยาศัย ของตน แม้ในปรัชญาสยะก็มีนัยนี้เหมือนกัน ชื่อว่าปุจฉาวสะ เพราะความหมายว่า อํานาจแห่งคําถาม ชื่อว่าปุจฉาวสิกะ [ปุจฺฉาวสโก] เพราะมีอํานาจแห่งคําถาม การ เกิดข้ึนแหง่ เนอื้ ความท่ีเป๐นเหตุแสดงพระสูตร ชื่อว่าอัตถุปป๎ตติ อัตถุปป๎ตตินั่นเองชื่อว่า อัฏฐปปัตติ เพราะแปลง ถ-อักษร เป๐น ฐ-อักษร ชื่อว่าอัฏฐปป๎ตติกะ [อฏฺฐุปฺปตฺติโก] เพราะมีการ เกดิ เรือ่ งขึ้น อีกนยั หน่งึ ชอ่ื ว่าบทตั้ง เพราะความหมายว่าเป๐นเหตุให้ท่านตั้ง ๒๐๑ ขุ.อิติ.อ.[ไทย] ๒๕/๑/๕๐-๕๒.

๒๕๒ พระสูตร คือ อัตต้ชฌาสยะเป๐นต้นน่ันเอง แต่ในอรรถวิกัปน้ี อัธยาศัยของตนช่ือ ว่าอัตตัชฌาสยะ อัธยาศัยของบุคคลเหล่าอ่ืน ช่ือว่าปรัชฌาสยะ ชื่อว่าปุจฉา เพราะ ความหมายวา่ ถกู ถาม ไดแ้ กเ่ น้อื ความท่ตี อ้ งถาม ถ้อยคําของเหล่าผ้รู ับธรรม ท่ีเป๐นไปแล้ว ด้วยอํานาจคําถาม ชื่อว่าปุจฉาวสะ ปุจฉาวสะนั้นน่ันเองช่ือว่าปุจฉาวสิกะ เพราะเพ่ง ศัพท์ที่ยกขึ้นตั้งไว้ เพราะเหตุน้ัน ท่านจึงกล่าวไว้ด้วยอํานาจปุงลิงค์ อนึ่ง พึงทราบ เนือ้ ความในทน่ี ี้อย่างนีว้ ่า “การเกดิ เรือ่ งขึ้นนัน่ เอง ชอ่ื วา่ อตั ถปุ ป๎ตติกะ” อกี ประการหน่ึง ภาวะที่อัตตัชฌาสยะ เป๐นบทตั้งพระสูตรแผนกหน่ึงก็ควร แล้ว เพราะไม่ได้เพ่งถึงเหตุมีอินทรีย์ท่ีแก่กล้าของคนเหล่าอื่นเป๐นต้น [และ] เพราะ ประกาศเทศนาเพื่อต้งั แบบแผนแหง่ ธรรมตามอัธยาศยั ของตนอย่างเดียวเทา่ นนั้ ถามว่า กอ็ ัธยาศัยและคาํ ถามของคนเหล่าอื่นที่เป๐นปรัชฌาสยะและปุจฉาว สกิ ะ ท่เี ป๐นเหตุประกาศเทศนา ท่ีเป๐นไปแล้วในการเกิดขึ้น จะไม่มีความผิดพลาดในการ เกิดเร่ืองข้ึนได้อย่างไร หรือปุจฉาวสิกะและอัตถุปป๎ตติกะท่ีเป๐นไปแล้วเพราะชอบใจ อัธยาศัยของผู้อื่น จะไม่มคี วามผดิ พลาดในอัธยาศยั ของผ้อู ่ืนได้อยา่ งไร ตอบวา่ ไม่ควรทกั ทว้ งคาํ ทก่ี ลา่ วมานน้ั เพราะมีการแยกถือปรัชฌาสยะและ ปุจฉาวสิกะไวแ้ ผนกหนง่ึ เพราะการเกดิ เหตแุ สดงพระสูตรท่ีหลุดพ้นจากอภินิหารและคํา ซักถามเปน๐ ตน้ ของคนเหลา่ อน่ื ท่านถอื เอาแล้วโดยภาวะที่เกิดเรื่องข้ึน จริงอย่างนั้น การ แสดงคุณ โทษ และการเกดิ อามิสข้นึ เปน๐ ต้น แหง่ พรหมชาลสูตรและธัมมทายาทสก เป๐น ตน้ ท่านกลา่ วว่าเปน๐ นิมิต คือเหตเุ กิดเรอ่ื งข้ึน ท่านแสดงปรัชฌาสยะทาํ อัธยาศัย เว้นจาก คาํ ถามของคนเหลา่ อน่ื นัน่ เองให้เป๐นนมิ ิต ทา่ นแสดงปุจฉาวสกิ ะไวแ้ ลว้ ด้วยอาํ นาจคําถาม เพราะเหตุนน้ั เน้ือความนี้จึงปรากฏแลว้ แล พระผู้มีพระภาคอันบุคคลเหล่าอ่ืนมิได้เชื้อเชิญ ตรัสพระสูตรเหล่าใดโดย อัธยาศัยของพระองค์อย่างเดียวเท่าน้ัน เช่น อากังเขยยสูตร ตุวัฏฏกสูตร เป๐นต้น อตั ตชฌาสยะ เปน๐ บทตง้ั แห่งพระสูตรเหลา่ นัน้ ก็พระสูตรเหล่าใด พระผู้มีพระภาคทรงตรวจอัธยาศัย ความอดทน อภนิ ิหาร และความร้ขู องคนเหลา่ อ่ืนอยา่ งนี้ว่า “ราหุล มีธรรมที่บ่มวิมุตติแก่กล้าแล้วแล เอาเถิด เราควรแนะนําราหุลในความส้ินอาสวะให้ย่ิงขึ้นไป” แล้วตรัสไว้ด้วยอํานาจ ปรชั ฌาสยะ คือราหโุ ลวาทสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” เป๐นต้น ปรัชฌาสยะเป๐นบทต้ัง แห่งพระสูตร เหลา่ น้นั ก็เหล่าเทวดา มนุษย์ บริษัท ๔ และวรรณะ ๔ เข้าไปเฝูาพระผู้มีพระภาค แล้ว ทูลถามป๎ญหาอย่างนั้นๆ โดยนัยเป๐นต้นว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เขาพูดกันว่า “โพชฌงค์ โพชฌงค์” เขาพูดกันว่า “นิวรณ์ นิวรณ์” พระผู้มีพระภาคผู้อันคนเหล่านั้น

๒๕๓ ทูลถามแลว้ อย่างน้ี ไดต้ รัสพระสตู รเหลา่ ใด มโี พชฌงคสงั ยตุ เปน๐ ตน้ ปจุ ฉาวสิกะ เป๐นบท ตั้งแห่งพระสตู รเหลา่ น้นั ก็พระสตู รเหล่านัน้ ที่พระผู้มีพระภาคตรสั เพราะทรงอาศัยเหตุท่ีเกิดข้ึนแล้ว คอื ธัมมทายาทสูตร ปตุ ตมังสูปมสูตร ทารุกขันธูปมสูตร เป๐นต้น อัตถุปป๎ตติกะ เป๐นบท ต้ังแห่งพระสตู รเหล่านน้ั [๔] อวสานกถา ก็ดว้ ยอรรถาธบิ ายเพยี งเทา่ น้ี พระอรยิ เจา้ ทง้ั หลาย ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ถงึ ความเชีย่ วชาญในอภญิ ญา ๖ ประการ แตกฉานในปฏสิ ัมภิทา รบั ธุระแหง่ พระศาสนาไว้ รอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั ไวใ้ นกาลก่อน ไดร้ วบรวมพระสตู ร ๑๑๒ สูตร ท่ีพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ผ้แู สวงหาคุณอันย่งิ ใหญ่ ผเู้ ป๐นอิสราธิบดแี หง่ ธรรมในแผน่ ดิน ทรงมีปกตเิ ห็นแจง้ ทัง้ ธรรมและโลก ทรงทราบวิธีแสดงธรรมแกเ่ หล่าสตั วผ์ คู้ วรจะรธู้ รรมทั้งหลาย ผทู้ รงแสวงหาประโยชน์เก้ือกลู แกส่ ตั วโลกทงั้ มวล ทรงอาศยั เหตุนัน้ ๆ แล้วทรงแสดงไว้ โดยแยกประเภทออกเป๐นเอกกนบิ าตเปน๐ ต้น ตามประเภทธรรมทกี่ ลา่ วไว้ว่า อติ วิ ุตตกะน้นั ใด เพือ่ จะประกาศเน้ือความแหง่ อติ วิ ตุ ตกะน้นั ขา้ พเจ้า [พระธรรมปาละ] อาศัยนัย แห่งอรรถกถาโบราณ เริ่มการพรรณนาเนื้อความอนั ใด การพรรณนาเนือ้ ความอนั นน้ั โดยชื่อว่าปรมัตถทปี นี เป๐นเครื่องประกาศปรมัตถธรรมในพระสตู ร ท้งั หลายในอิตวิ ุตตกะนั้นตามสมควร ไม่มกี ารวนิ จิ ฉัยคา้ งไว้ ถงึ ความสาํ เรจ็ เสร็จสน้ิ ไปแล้ว โดยภาณวารแห่งพระบาลีประมาณได้ ๓๘ ภาณวาร ดว้ ยเหตดุ งั นี้ ดว้ ยอานุภาพแหง่ บุญ ทีช่ า้ พเจ้าผแู้ ต่งอรรถกถานั้นได้รับแล้ว

๒๕๔ ขอสรรพสตั วจ์ งยงั พระศาสนาของพระโลกนาถให้สว่างไสว ด้วยขอ้ ปฏิบตั ิมศี ลี เป๐นตน้ ทีบ่ รสิ ทุ ธ์ิ จงเปน๐ ผูม้ ีสว่ นแหง่ วิมุตติรสเถิด ขอพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ จงสถติ อยู่ในโลก ตลอดกาลนานเถดิ ขอสรรพสตั วจ์ งมีความเคารพในพระศาสนานน้ั ตลอดกาลเปน๐ นติ ย์ แม้ฝนจงตกต้องตามฤดกู าล ขอท่านผู้เป๐นใหญใ่ นแผน่ ดิน ผ้ยู ินดีในพระสทั ธรรม จงปกครองโลกโดยธรรมเท่านน้ั เถดิ อรรถกถาอติ วิ ตุ ตกะ อนั ขา้ พเจา้ พระธรรมปาละ ผู้อาศยั อยู่ ณ พทรตติ ถวิหาร รจนาไวแ้ ลว้ ดังพรรณนามาฉะนีแ้ ลฯ๒๐๒ ตวั อยา่ งองคค์ วามรทู้ นี่ า่ สนใจในคมั ภีร์ปรมตั ถทีปนี [๑] อบุ ายกาจัดความอาฆาต ๕ ประการ ๑. เจรญิ เมตตาในบุคคลทีต่ นเกิดอาฆาต ๒. เจริญกรณุ าในบุคคลท่ีตนเกิดอาฆาต ๓. เจริญอเุ บกขาในบุคคลทตี่ นเกดิ อาฆาต ๔. ไมพ่ งึ ระลกึ ถงึ ไมพ่ งึ มนสิการถงึ บคุ คลที่ตนเกิดอาฆาต ๕. พึงนึกถึงความเป๐นผู้มีกรรมเป๐นของให้ม่ันในบุคคลที่ตนเกิด อาฆาต๒๐๓ [๒] สุรา ๕ ชนดิ ๑. สุราปรงุ จากแปงู ๒. สุราปรงุ จากขนม ๓. สรุ าปรุงจากขา้ วสกุ ๔. สรุ าทเ่ี ตมิ สา่ เหล้า ๕. สุราประกอบเครอ่ื งปรุง๒๐๔ ๒๐๒ อรรถกถาขทุ ทนกิ าย อิตวิ ุตตกะ,หน้า ๕๔๖-๕๔๗. ๒๐๓ อรรถกถาขทุ ทนิกาย อติ ิวตุ ตกะ,หนา้ ๖๖-๖๗. ๒๐๔ อรรถกถาขุททนิกาย อติ ิวุตตกะ,หนา้ ๓๔๓.

๒๕๕ [๓] เมรยั ๕ ชนดิ ๑. เครอ่ื งดองดว้ ยดอกไม้ ๒. เครอื่ งดองด้วยผลไม้ ๓. เครื่องดองด้วยนาํ้ ผึ้ง ๔. เครื่องดองดว้ ยนาํ้ ออ้ ยงบ ๕. เคร่ืองดองประกอบดว้ ยเครอ่ื งปรุง๒๐๕ [๔] ผลจากการงดเว้นจากปาณาติบาต ๒๒ ประการ ๑. สมบูรณด์ ้วยอวัยวะน้อยใหญ่ ๒. มรี า่ งกายสมส่วนท้ังส่วนสงู ส่วนกว้าง ๓. ถึงพรอ้ มดว้ ยเชาว์ไหวพริบ ๔. มีเทา้ ตั้งมัน่ ดี ๕. มีความงดงาม ๖. มคี วามออ่ นโยน ๗. มคี วามสะอาด ๘. มคี วามกลา้ หาญ ๙. มีความเปน๐ ผมู้ ีกําลงั มาก ๑๐.มคี วามเปน๐ ผู้มีถ้อยคําสละสลวย ๑๑.ความเป๐นผนู้ ่ารักชอบใจของสัตวท์ ง้ั หลาย ๑๒.ความเป๐นผู้มบี ริษทั ไม่แตกแยก ๑๓.ความเป๐นผู้ไมส่ ะดงุ้ หวาดเสียว ๑๔. ความเป๐นผู้ทีอ่ นั ใครๆ กําจัดยาก ๑๕. ความเป๐นผู้ไม่ตายด้วยการปองรอ้ ยผู้อน่ื ๑๖. ความเป๐นผมู้ ีบรวิ ารมาก ๑๗. ความเป๐นผู้มีผิวพรรณงาม ๑๘. ความเปน๐ ผู้มีทรวดทรงงาม ๑๙. ความเปน๐ ผมู้ ีอาพาธน้อย ๒๐. ความเปน๐ ผู้ไมเ่ ศรา้ โศก ๒๑. ความเป๐นผไู้ มพ่ ลัดพรากจากของชอบใจ ๒๒. ความเปน๐ ผู้มีอายยุ ืน๒๐๖ ๒๐๕ อรรถกถาขุททนิกาย อิติวุตตกะ,หนา้ ๓๔๓.

๒๕๖ ปรติ ตสงั เขป คมั ภีร์ปริตตสงั เขป๒๐๗ เปน๐ งานวรรณกรรมภาษาบาลีประเภทคัณฐีอีกเร่ือง หน่งึ ของไทย สันนิษฐานวา่ แต่งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๒๒- ๒๓ ไม่ปรากฏหลักฐานเกยี่ วกับประวัติผู้แตง่ คมั ภีรป์ รติ ตสังเขป แม้จะไม่โดดเดน่ ในเชงิ วรรณศิลปม์ ากนกั นับต้ังแต่การใช้ ไวยากรณ์ ภาษาท่ีเรียบง่าย ไม่แสดงความสามารถด้านการประพันธ์ เม่ือเทียบกับงาน วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยล้านนา แต่ก็ทรงคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ วรรณกรรมของไทย อยา่ งนอ้ ยท่ีสดุ ก็ทําให้เราไดม้ องเหน็ พัฒนาการของวรรณกรรมในแต่ ละยุคสมัยไดเ้ ป๐นอยา่ งดี เน้ือหาของคัมภีร์ปริตตสังเขป เป๐นการอธิบายความหมายของคํา ข้อความ และประวัติของบทสวดมนต์พระปริตร ซ่ึงโดยปกติจะมี ๗ บท หรือ ๑๒ ท่ีเรียกว่า ๗ ตํานาน หรือ ๑๒ ตํานาน แต่ในคัมภีร์ปริตตสังเขป จะแสดงไว้เพียง ๑๐ ปริตร ประกอบดว้ ย มังคลปริตร [บทเสวนา] รตนปริตร [บทยังกิญจิ] เมตตาปริตร [บทกรณี] ขันธปริตร [บทวิรูป๎กเข] โมรปริตร [บทอุเทฯ] ธชัคคปริตร [บทยัสสานุฯ] อาฏานาฏิย ปรติ ร [บทวปิ ส๎ สิ] อังคลุ มิ าลปริตร [บทยโตหงั ] โพชฌงคปรติ ร [บทโพชฌงค์] อภัยปริตร [บทยนั ทุนฯ] และบทสง่ ท้าย [ส่งเทวดา] คอื เทวตาอยุ โยชนคาถา ที่เรียกว่า คัณฐี ก็เพราะเป๐นการเสนอเน้ือหาโดยใช้ข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา และปกรณ์พิเศษต่างๆ เข้ามาประกอบการอธิบาย การอธิบายเริ่มต้ังแต่บท ชุมนุมเทวดา โดยก่อนอธิบาย ผู้รจนาได้ตั้งบทนมัสการแต่โดยย่อ โดยแต่งเป๐นฉันท ลักษณจ์ าํ นวน ๑ คาถา รวม ๔ บาท ดงั ต่อไปน้ี [๑] วนฺทิตฺวา สิรสา พทุ ฺธํ ปรติ ฺตํ ปกาเสนตฺ ํ ปริตตฺ ํ ภาสสิ สฺ ํ สงฺเขเปเนว สพฺพโสฯ แปล ข้าพเจ้าขอถวายบังคมพระพุทธเจ้า ผู้ทรงประกาศพระปริตร ด้วยเศียรเกลา้ แลว้ จกั อธิบายพระปริตรทั้งหมดแตเ่ พียงโดยยอ่ ๒๐๘ ๒๐๖ อรรถกถาขทุ ทนิกาย อิติวตุ ตกะ,หน้า ๓๔๖. ๒๐๗ บุญจันทร์ ทิพชัย, “การตรวจสอบชําระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์ปริตต สังเขป”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก, [บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๓๓], ๒๔๐ หนา้ . ๒๐๘ บุญจันทร์ ทิพชัย, “การตรวจสอบชําระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์ปริตต สังเขป”, หน้า ๑๐๖.

๒๕๗ ตัวอยา่ งรปู แบบการอธิบาย [๑] สคฺเค กาเม จ รเู ป สริ ิสขิ รตเฏ จนฺตลิกเฺ ข วิมาเน ทีเป รฏฺเฐ จ คาเม ตรุ วนคหเนฯ ตตฺถ เย เย เทวา วิชฺชมานา จ สคฺเค ฉสุ เทวโลเกสุ จ รูเป โสฬสรูปภเวสุ เทเวสุ ฐเปตวฺ า อสํญฺ ีสคฺเค จ อรปู ภเว จ อตฺถิ คิริสิขรปพฺพตคฺเค วา คเต อุนฺนตฏฺฐาเน สุ วมมฺ กิ ฏฐฺ าเนสุ จ อตถฺ ิ อนฺตลกิ ฺเข อากาสวมิ าเนสุ จ วิมาเน รุกฺขวิมาเน รุกฺขวิมาเนสุ จ อตฺถิ ทีเป สมุทฺทมชฺเฌ วา ทีเป จ รฏฺเฐ จ สกลรฏฺเฐ วา โกสลฺกาสีรฏฺฐาทีสุ วา คาเม สกลคามนิคเมสุ วา โสฬสมหานคเรสุ วา ขุทฺทกชงฺฆนคเร วา จตุราสีติสหสฺสนคเรสุ วา อตฺถิ ตรูสุ รุกฺขวิมาเนสุ วา วนคหเน มหาวนสณฺเฑสุ วา หิมวนฺตวาสีวนสณฺเฑสุ สกเลสุ วา อตฺถิ ทิสฺสนฺติ เต เต สพฺเพ เทวา อายนฺตุ อาคจฺฉนฺตุ ธมฺมสฺสวนาย ปฏิคฺคหณตฺถาย โสตฺถิภาวาย วาฯ แปล ในคําว่า สคฺเค กาเม จ รูเป สิริสิขรตเฏ จนฺตลิกฺเข วิมาเน ทีเป รฏฺเฐ จ คาเม ตรุวนคหเน นั้น มีอธิบายว่า เทวดาทั้งหลายเหล่าใด สถิตอยู่ใน สวรรค์ คือในเทวโลกทัง ๖ และในรปู ภพ คอื ดํารงอยู่แล้วในเทวโลกท่ีเป๐นรูปภพ ๑๖ ชั้น รวมทง้ั อยูใ่ นอรูปภาพ ยกเว้นสัตว์ท่ีอยู่ในสวรรค์ช้ันอสัญญีสัตว์, เทวดาท้ังหลายเหล่าใด สถิตอยู่บนยอดเขคิริสิงขร หรือบนท่ีสูงและบนจอมปลวก เทวดาเหล่าใดสถิตอยู่ใน อากาศวมิ าน ในท้องฟูา และบนรุกขวิมาน เทวดาท้ังหลายเหล่าใดสถิตยู่ในทีปะ คือบน เกาะมหาสมทุ รและสถิตอยู่ในรัฐ คือในแว่นแคว้นท้ังหมด มีแคว้นโกศลและกาสีเป๐นต้น รวมท้ังที่สถิตอยู่ในคาม คือในคามและนิคมทั้งหมด หรือในนครใหญ่ ๑๖ นคร หรือใน นครขนาดเลก็ ทีต่ ้องเดนิ ทางไปด้วยเท้า หรือในคร ๘๔,๐๐๐ นคร, เทวดาทั้งหลายเหล่า ใดสถติ อยู่บนต้นไม้ คือบนรุกขวิมาน หรอื ในปุารกชัฏ หรือในปาุ ใหญ่หนาทึบ หรือในราว ปุาอันเปน๐ ท่ีอยขู่ องชาวหิมพานต์, เทวดาเหล่านัน้ ทังหมด จงพากนั มาฟง๎ ธรรม เพ่ือรบั เอา ธรรม หรอื พอ่ื ความสวสั ดีฯ๒๐๙ [๑๑] ตตฺถ มงคฺ ลสตุ ฺตํ ตาว ฯ เอวมฺเม สุตนฺติ เอวํ เม มยาปิ เอเกนา กาเรน สุตฯํ นทิ สฺสนตเฺ ถน โน หิ นาหํ สยมฺภู น มยา อิทํ สจฺฉิกตนฺติ อตฺตานํ ปริโมเจนฺ โต เอวํ เม สุตํ มยา เอวํ สุตนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลสุตฺตํ นิทสฺเสติฯ เกวลํ สุตํ เม เอตํ มยา ตสฺเสว ปน ภควโต วจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสาติ ทิเปนฺโต อตฺตานํ ปริโมเจสิฯ อยํ สงเฺ ขโปฯ ๒๐๙ บุญจันทร์ ทิพชัย, “การตรวจสอบชําระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์ปริตต สังเขป”, หนา้ ๑๐๗.

๒๕๘ แปล บรรดาปรติ รเหลา่ น้ัน มังคลปริตรมีดังน้ี๒๑๐ บทว่า เอวมฺเม สุตํ ความว่า อันข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ฯ ดว้ ยอรรถวา่ นิทสั สนะ พระอานนทเ์ ม่อื จะกล่าวออกตัวว่า ขา้ พเจา้ มิใชส่ ยัมภู [ผู้เป๐นเอง] พระสูตรนี้ข้าพเจ้ามิได้กระทําให้แจ้ง จึงแสดงพระสูตรทั้งสิ้นที่จะพึงกล่าวในบัดน้ีว่า ข้าพเจ้าฟ๎งแล้วอย่างนี้ คืออันข้าพเจ้าสดับแล้วอย่างนี้ฯ พระอานนท์เมื่อแสดงว่า พระ ดํารัสของพระผู้มีพระภาค ผู้เป๐นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ข้าพเจ้าฟ๎ง มาแลว้ ช่ือวา่ ออกตวั ฯ เนื้อความโดยยอ่ ดังน้ีฯ [๑๔] พหู เทวา มนสุ สฺ า จ มงฺคลานิ อจนิ ตฺ ยํฃ อากงขฺ มานา โสตถฺ านํ พรฺ ูหิ มงฺคลมตุ ฺตมนฺติฯ เอวํ ภนเฺ ต ภควา พหูเทวา เทวสมหุ า จ มนสุ ฺสา สพฺเพ มนุสฺสา จ อากงฺขมานา ปฏฺฐยมานา อิจฺฉิยมานา มงฺคลานิ สพฺพมงฺคลานิ อจินฺตยํฃ มนฺตยึสุ พฺรูหิ เทเสหิ อาจิกฺขาหิ วิภชฺเชหิ อุตฺตานีกโรหิ มงฺคลอิทฺธิการณํ วุฑฺฒิการณํ สพฺพสมฺปตฺติการณํ อุตฺตมํ วิสิฏฺฐํ โสตฺถานํ สพฺพโลกานํ หิต สุขาวหนฺติฯ ตตฺถ พหูติ อยํ มตฺตสงฺขยนิทฺเทโสฯ ทิพฺพนฺติ กีฬนฺตีติ เทวาฯ ทวิ ฺ กีฬายฯ มนุโน มจโฺ จติ มนุสสฺ าฯ มนุโน อมจจฺ าติ วา มนุสสฺ าฯ โส หิ เท วปุตฺโต ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวพฺรหฺมุโน มงฺคลปญฺหํ โสตุกามตาย อิมสฺมึ จกฺกวาเฬ สนนฺ ปิ ติตวฺ า เอกวาลคฺคโกฏิโอกาสมตฺเต ทสมฺปิ วีสมฺปิ ตีสมฺปี จตฺ ตาฬีสมปฺ ิ ปญฺญาสมปฺ ิ สฏฺฐิมฺปิ สตฺตติมฺปิ สุขุมตฺตภาเว นิมฺมินิตฺวา สพฺเพ เต อติกกฺ มฺม วิราชมานํ ปญฺญตฺตปฺปวรพุทฺธสเน นิสินฺนํ ภควนฺติ ปริวาเรตฺวา ฐิ โต ทิสฺวา ตสมฺ ึ สมเย อนาคตานํ สกลชมพฺ ทุ ปี กานํ มนุสฺสานํ เจตโส เจโตปริ วติ กกฺ มญญฺ าย สพฺพเทวมนุสฺสานํ วจิ ิกิจฉฺ าสลลฺ สมุทธฺ รณตฺถํ ภควนฺตํ อาห พหู เทวา มนุสฺสา จ ฯลฯ โสตฺถานํ พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตมนฺติ เอวเมวตํ เทวปุตฺตสฺส วจนํ สตุ วฺ า ภควา ฯ แปล พหู เทวา มนุสฺสา จ มงฺคลานิ อจนิ ฺตยํฃ อากงขฺ มานา โสตฺถานํ พฺรหู ิ มงคฺ ลมุตตฺ มํ มีอธิบายว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ เทวดาจํานวนมาก คือหมู่แห่ง เทวดาและมนษุ ย์ท้ังปวง ผู้ปรารถนา คือหวัง ได้แก่ต้องการมงคล ได้คิด คือคํานึง ได้แก่ ปรึกษาหารือกันถึงมงคลทั้งปวง ขอพระองค์จงตรัส คือจงแสดง ประกาศ บอกกล่าว จําแนก กระทําให้แจ้งกระจ่าง ซ่ึงเหตุแห่งความสําเร็จแห่งมงคล เหตุแห่งความเจริญ ๒๑๐ บุญจันทร์ ทิพชัย, “การตรวจสอบชําระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์ปริตต สงั เขป”, หนา้ ๑๑๓.

๒๕๙ เหตุแห่งสมบตั ิทัง้ ปวง อันสูงสดุ อันประเสริฐ นําประโยชน์และความสุขมาให้แก่สัตว์โลก ท้ังมวล ผู้ต้องการความสวัสดีฯ บรรดาบทเหล่าน้ัน บทว่า พหู น้ี แสดงจํานวน ช่ือว่า เทวดา เพราะย่อมเล่นฯ คือย่อมแข่งขันกันฯ ทิว ธาตุ ในความหมายว่า เล่นฯ คนของ พระมนูชื่อว่า มนุษย์ฯ อีกอย่งหน่ึงอํามาตย์ของพระมนูชื่อว่ามนุษย์ฯ เทวบุตรนั้น เห็น เหล่านเทวดาผปู้ ระชมุ กันในจักรวาฬแห่งนี้ เพราะอยากฟง๎ ปญ๎ หาวา่ ดว้ ยมงคลนิรมิตอัตต ภาพละเอียด ๑๐ บ้าง ๒๐ บ้าง ๔๐ บ้าง ๕๐ บ้าง ๖๐ บ้าง ๗๐ บ้าง ๘๐ บ้าง ยืน แวดล้อมพระผู้มีพระภาค ผู้รุ่งเรืองเกินกว่าเทวดา มาร และพรหมท้ังปวง ด้วยพระสิริ และพระเดชานภุ าพ ประทบั น่ังบนบวรพุทธอาสนท์ ีป่ ูลาดไว้แล้ว ทราบความปริวิตกของ ชาวชมพทู วปี ทั้งสน้ิ ซ่ึงมิได้มาในสมัยนั้น เพื่อจะถอนความสงสัยของเทวดาและมนุษย์ทั้ง ปวง จึงกลา่ วว่า พหู เทวา มนุสฺสา จ ฯลฯ มงคฺ ลมตุ ฺตมฯํ ๒๑๑ [๒๗] ยานีธ ภูตานิ สมาคตานิ ภมุ มฺ านิ วา ยานิ อนฺตลิกฺเข สพเฺ พ ว ภูตา สุมนา ภวฺนตุ ุฯ ในคาถาแรกนั้น คําว่า ยานิ ได้แก่เช่นใด จะมีเกียรติศักดิ์ศรีน้อยหรือมากก็ ตามฯ คําว่า อิธ หมายถึง ภูตท้ังหลายท่ีมีอยู่ในประเทศน้ี เร่ิมตั้งแต่จาตุมหาราชิก จนกระทั่งถึงหมู่สัตว์ภายในฯ บทว่า สมาคตานิ ได้แก่ประชุมกันแล้วฯ บทว่า ภุมฺมานิ ได้แก่ ภูตทั้งหลายท่ีบังเกิดบนพ้ืนดินฯ วา ศัพท์ใช้ในความหมายว่า หรือว่าฯ เพราะฉะน้ันพระผูม้ พี ระภาค คร้ันทรงกาํ หนดคร้งั หนง่ึ ว่า ยานีธ ภูตานิ สมาคตานิ แล้ว เพ่ือจะทรงกําหนดเป๐นคร้ังท่ีสอง จึงตรัสว่า ยานิว อนฺตลิกฺเขฯ อธิบายว่า ภูตเหล่าใดท่ี เกิดในอากาศ มาประชุมพร้อมกันในประเทศน้ีฯ ในคําว่า ภูตานิ นี้ ภูตท้ังหลายที่บัง เกดิ ข้ึนตั้งแต่สวรรค์ชั้นยามา จนถึงช้ันอกนิษฐภพ ที่มีปรากฏในอากาศ บังเกิดในวิมาน พึงทราบว่า ภตู ในอากาศฯ คําว่า ภูตประจําอากาศ จนถึงภูเขาสิเนรุ ภูตท้ังหลายที่สถิต อยตู่ ามตน้ ไม้และเถาวัลย์เป๐นต้น ภูตทเ่ี กดิ บนพน้ื ดินและท่ีเกดิ บนดิน ภูตเหล่านั้นทั้งหมด ท่ีเกิดตามต้นไม้ เถาวัลย์ และภูเขาเป๐นต้น ท่ีเกิดกับพื้นดิน บนพื้นดิน พึงราบว่า ภูต ประจาํ พน้ื ดนิ ฯ คําว่า สพฺเพ หมายถึง ไม่มีเหลือฯ คําว่า ว ใช้ในความหมายว่าจํากัดลง ไปฯ อธบิ ายวา่ ไมม่ เี วน้ แมแ้ ต่ผู้เดยี วฯ คําว่า ภูตา หมายถึง พวกอมนุษย์ฯ บทว่า สุมนา ภวนฺตุ อธิบายวา่ จงถงึ ความสุข เกดิ ปตี แิ ละโสมนสั ฯ นิบาตท้งั สองคือ อโถ และ ปิ ใช้ใน ความหมายว่า การยดึ พากย์ เพ่ือประกอบไว้ในกิจคือหน้าที่อ่ืนฯ บทว่า สกฺกจฺจ สุณนฺตุ ๒๑๑ บุญจันทร์ ทิพชัย, “การตรวจสอบชําระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์ปริตต สงั เขป”, หนา้ ๑๑๖.

๒๖๐ ภาสิต ไดแ้ ก่ ทําให้เกิดประโยชน์ ทาํ ไวใ้ นใจ รวบรวมโดยใจทง้ั หมด แล้วจึงฟ๎งเทศนาของ เราอนั จะนํามาซึง่ ทพิ ยสมบัติและโลกุตตรสุขฯ ทรงประกอบสัตว์ไว้ในสมบัติคือเหตุแห่ง สมาธิและปญ๎ ญา จงึ ทรงจบพระคาถาฯ...๒๑๒ แมใ้ นปรติ รบทอื่นๆ ก็เดินเรื่องอธิบายโดยการยกบทพระปริตรแต่ละท่อนๆ มาอธิบายความบ้าง ขยายความบ้าง ไขความบ้าง จํากัดความบ้าง วิเคราะห์ศัพท์บ้าง เพ่อื ใหเ้ กิดความชดั เจนมากยง่ิ ข้นึ ปชั ชมธุ ป๎ชชมธุ๒๑๓ ตามศัพท์แปลว่า คาถานํ้าผ้ึง เป๐นคัมภีร์พรรณนาความอัศจรรย์ แห่งพุทธลักษณะ ผู้รจนาคือพระพุทธัปปิยะ ได้รับการถ่ายทอดเป๐นภาษาไทยครั้งแรก โดยอาจารย์จํารูญ ธรรมดา ตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ.๒๕๔๑ การแปลคร้ังนี้ถือเป๐นอีก สํานวนหนงึ่ ซึง่ แปลโดย พระคันธสาราภวิ งศ์ และดําเนินการตีพมิ พใ์ น พ.ศ.๒๕๕๐ พระพุทธัปปิยะ เป๐นชาวแคว้นโจฬะ อินเดียใต้ ท่านเดินทางไปศึกษา ณ ประเทศลังกา และฝากตัวเปน๐ ศษิ ย์ของพระอานันทเถระ ท่านเป๐นผู้มีช่ือเสียงในแคว้นโจ ละ และรูจ้ ักกันอกี นามหนงึ่ ว่า พระทปี ง๎ กร ท่านเป๐นเจา้ อาวาสวัดสองแห่ง คือพาลาทิจจ วหิ าร [วัดตะวันหนมุ่ ] และวัดจูฬามณกิ รรม การจัดทําคําอธิบายในสารานุกรมวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาคร้ังน้ี ผู้เขยี นไดใ้ ชค้ ําแปล และคําอธิบายตามสํานวนแปลของพระคันธสาราภิวงศ์ ฉบับตีพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ เป๐นหลกั สาระสาคัญของคมั ภรี ์ ปัชชมธุ เป๐นวรรณกรรมประเภทร้อยกรอง ใช้ฉันทลักษณ์หลายประเภท พรรณนาถึงพุทธลักษณะโดยละเอยี ด ดังตัวอยา่ ง บาลี [๑] อุณณฺ าปปุณณฺ สสิมณฺฑลโต คลติ ฺวา ปาทมพฺ ชุ งฺคุลิทลฏฐฺ สุธาลวานํ ปนตฺ วี สตถฺ ุ ขนปนฺติ ปชา วเิ สสํ ๒๑๒ บุญจันทร์ ทิพชัย, “การตรวจสอบชําระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์ปริตต สงั เขป”, หนา้ ๑๒๕. ๒๑๓ พระพุทธัปปิยะ, ปชั ชมธุ, พระคันธสาราภงิ ศ์ ผู้แปล. [กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๕๐], ๒๓๕ หนา้ .

๒๖๑ ปเี ณตุ สทุ ฺธสขุ ติ ํ มนตณุ ฑฺ ปตี า ฯ แปล พระนขาท่เี รียงราย สถติ ในกลบี พระองคลุ ี ณ บัวบาทของพระ ศาสดา งามดุจสายธารสุธาท่ไี หลจากมณฑลแห่งสมบูรณจันทร์คือพระอุณาโลม โปรดยัง ปวงประชาผู้ดูดดื่มด้วยจงอยใจให้เอบิ อม่ิ เปน๐ สุขลํา้ พรรณนา [๒] ขติ ตฺ ายา มารริปุนา ปริวตยฺ สตถฺ ุ ปาทสฺสยา ชติ ทสิ าย สิตปฺผลาย ยา เชติ กํฺจนสราวลิยา สิรึ สา เทตงคฺ ินํ รณชยงคฺ ลุ ิปนตฺ ิกนฺตาฯ แปล ขอแถวพระองคุลีท่ีงดงาม อันทําลายสิริแห่งกลุ่มศรทองท่ีมี ปลายขาวนวลดับปรป๎กษ์ ซึง่ พงุ่ ซัดมาโดยศตั รพู ระยามาร ให้กลายเป๐นมาลาบูชาบัวบาท โปรดประทานพรชยั ในสงครามแก่ชนท้ังหลาย [๓] โสวณฺณวณณฺ สุขมุ จฺฉวโิ สมมฺ กุมฺม- ปฏิ ฐฺ วี ปิฏฐิ กมตุนฺนติ ภาติ เยสํ เต สุปฺปตฏิ ฺฐิตสโุ กมลทีฆปณหฺ ี ปาทา ชินสสฺ ปททนฺตุ ปทํ ชนสสฺ ฯ แปล หลังพระบาทใด มีพระฉวีสีทองเนียนผ่อง อูมดั่งหลังจุลจิตร [เต่า] ย่อมงดงาม ขอพระบาทท่ีมีพระปราษณี [ส้นเท้า] ยาวละเอียด มีทรวดทรงดีนั้น โปรดประทานทพ่ี งึ่ แกป่ วงชน [๑๑] สตฺเตสุ วจฉฺ ตุ สริ ี สริ วิ จฺฉเกน โสวตฺถิ โสตถฺ ิ‖มนตุ ิฏฐฺ ตุ ปคุ คฺ เลสุ นนฺทึ ชนาน‖มนุวตฺตตุ นนทฺ วิ ตฺติ สีสาน‖ลํกรุ ตุ ุ ปาทวตสํ โกปฯิ แปล ขอสิริมงคลจงบังเกิดแก่ชาวโลกด้วยเรือนยอด ขอสวัสติกะ [กลายกากบาทปลายหกั มุมขวา] โปรดประทานสวัสดิมงคลแกป่ วงชน ขอดอกพุดซ้อนจง นําความปีติยินดีมาแก่มวลชน ขอดอกไม้กรองบนศีรษะท่ีพระยุคลบาทจงประดับเศียร ของชนท้ังหลาย [๑๙] สโู ร ปโพธยตุ ชนฺตุสโรรหุ านิ จนฺโท ปสาทกมุ ุทานิ มโนทเหสุ นกขฺ ตฺตชาต‖มขิลํ สภุ ตาย โหตุ จกกฺ ํ ธชํ รปิ ุชยาย ชยทฺธชายฯ

๒๖๒ แปล ขอดวงอาทิตย์โปรดยังดอกปทุมคือเวไนยชนให้แย้มบาน ขอดวงันทร์โปรดยังดอกกุมุทคือศรัทธาในสระใจของสาธุชนให้แย้มบาน ขอหมู่ดารา โปรดประดบั ปวงประชาใหง้ ดงาม ขอกงจักรโปรดนาํ ชยั ชนะศตั รมู าให้ ขอธงชัยโปรดเป๐น ธงแห่งการชนะไพรีเถิด [๑๐๔] อิตฺถํ รปู คณุ านุกติ ตฺ นวสา ตตํ หํ ติ าสึสโต วตถฺ านุสฺสติ วตฺติตา อหิ ยถา สตฺเตสุ เมตตฺ า จ เม เอวํ ตา หิ ภวนตฺ รุตตฺ รตรา วตฺตนฺตุ อาโพธิ เม สโํ ยโค จ ธเนหิ สตฺตหิ ภเว กลฺยาณมติ ฺเตหิ จฯ แปล โดยประการดงั นี้ ข้าพเจา้ ผู้หวงั ประโยชน์เกื้อกูลนั้นๆ ได้เจริญ อนุสสติรําลึกถึงพระคุณขรองพระไตรรัตน์และแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ในภพน้ีโดย ประการใด การรําลึกถึงคุณของพระไตรรัตน์และการแผเ่ มตตาน้ัน จงเพ่มิ พูนย่ิงขึ้นในภพ ต่อไปจวบจนข้าพเจ้าบรรลุสัมโพธิญาณ โดยประการน้ัน ท้ังความเพียบพร้อมด้วย อริยทรพั ย์ ๗ และกัลยาณมติ ร จงมีแก่ขา้ พเจา้ เทอญ ปัญจคติทปี นี,คมั ภีร์ ป๎ญจคติทีปนี แปลตามศัพท์ว่า ความรู้แห่งทางทั้ง ๕ หรือทาง ๕ สาย เป๐น บทประพันธ์ฉันท์ป๎ฏฐยาวัตร จํานวน ๑๑๔ บท แบ่งเป๐น ๕ กัณฑ์ คือ นรกกัณฑ์, เปต กัณฑ์, เดรัจฉานกัณฑ์, มนุสสกัณฑ์ และสัคคกัณฑ์ ต้นฉบับเดิมเป๐นภาษาสันสกฤต ชื่อ ษัฑคติการิกา พระสัทธัมมโฆสเถระ เป๐นผู้แปล สันนิษฐานว่า แปลในรัชกาลพระเจ้าอนุ รุทธมหาราช กษัตรยิ ส์ มัยเมอื งพุกาม เมือ่ แรกแปลภาษาสนั สกฤตมาเป๐นบาลี คัมภีร์น้ีมีช่ือ ฉคติทีปนี (ความรู้แจ้ง แห่ภพทง้ั ๖) ต่อมาในช่วงพัฒนาการที่สองของคัมภีร์ได้ยุบอสูรกายพิภพโดยให้กาลัญชิ กาสูรไปรวมกับพิภพเปรต และ เวจิตตาสูรไปรวมกับพิภพสวรรค์ ซ่ึงลักษณะเช่นนี้เป๐น อทิ ธพิ ลทางความคดิ จากคัมภีรก์ ถาวตั ถปุ กรณ์ ผลงานของพระโมคคลีปุตตติสส ดังน้ันจึง ทาํ ใหต้ อ้ งเปล่ียนช่ือมา เป๐นป๎ญจคติทีปนี ส่วนพัฒนาการช้ันสุดท้ายได้เพ่ิมฉันท์บทท่ี ๕ และพบว่าต้นฉบับท่ีใชใ้ นการชาํ ระเปน๐ พัฒนาการข้ันสุดท้าย๒๑๔ ๒๑๔ รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล, การตรวจชาระคัมภีร์ปัญจคติทีปนี, วารสารรวมบทความ วิชาการ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับประจําเดือน ก.ค.-ธ.ค.๕๐ ปีท่ี ๖ ฉบับที่ ๒, หนา้ ๑๖.

๒๖๓ เน้อื หาโดยสรุป๒๑๕ ป๎ญจคตทิ ปี นี กลา่ วถึงอานิสงส์และอาทีนวะที่ยังสัตว์ทั้งหลายต้องไปบังเกิด ในภพทั้ง ๕ คอื นรก เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ และสวรรค์ โดยเขียนในรูปของฉันป๎ฐยาวัต คาถา ๑๑๔ บท เรมิ่ ต้นฉันทป์ ณามพจนจ์ าํ นวน ๔ บท จากนน้ั แบง่ เน้ือออกเป๐น ๕ กัณฑ์ กณั ฑ์ที่ ๑ นครกัณฑ์ ต้ังแต่บทที่ ๕-๒๑ กล่าวถึงมหานรก ๘ ขุม ส่วนบทท่ี ๒๒-๔๔ กลา่ วถงึ อสุ สทนรก ๔ ขุม กณั ฑ์ท่ี ๒ ติรัจฉานกณั ฑ์ ตั้งแต่ฉันท์ที่ ๔๕-๕๑ กัณฑ์ที่ ๓ เปตกัณฑ์ ตั้งแต่ฉันท์ที่ ๕๒-๖๘ ฉันฑ์ที่ ๕๒-๕๙ กล่าวถึงเปรต, ฉนั ท์ที่ ๖๐-๕๗ กลา่ วถงึ กุมภณั ฑ์ และยักษ์, ฉันท์บทที่ ๖๘ กลา่ วถึงอสูร กัณฑ์ที่ ๔ มนสุ สกณั ฑ์ ตงั้ แต่ฉันทบ์ ทที่ ๖๙-๑๐๒ กัณฑ์ที่ ๕ เทวกัณฑ์ ต้ังแต่ฉันท์บทท่ี ๑๐๓-๑๐๙ กล่าวถึง ฉกามาพจรภพ ฉนั ทบ์ ทท่ี ๑๑๐-๑๑๔ เป๐นบทสรปุ ในตอนทา้ ยจบนคิ มพจน์ ตวั อยา่ ง ปญ๎ จคตทิ ีปนี ฉบบั ตรวจชาํ ระ๒๑๖ [๑] บทนมัสการ คุณิโน ชติ เชยยฺ สสฺ สมฺมาญาณาวภาสโิ น ปรตถฺ การิโน นิจฺจํ ตโิ ลกครโุ น นโม ฯ กายาทีหิ กตํ กมฺมํ อตฺตนา ยํ สภุ าสุภํ ผลนฺตสเฺ สว ภุํฺชนตฺ ิ กตฺตา อํโฺ ญ น วิชชฺ ติ ฯ อติ ิ มนฺตวฺ า ทยาปนฺโน ติโลเกกครุ สตถฺ า หติ ายาโวจ สตฺตานํ กมมฺ ุโน ยสฺส ผมฺผลํ ฯ ตํ วกขฺ ามิ สมาเสน สุตวฺ า สมพฺ ทุ ธฺ ภาสติ ํ สภุ ํ วา อสุภํ กมมฺ ํ กาตุ หาตุ จ โวธุนา ฯ สํฺชีโว กาฬสุตฺโต จ ฆฆํ าโต โรรโุ ว ตถา มหาโรรุวตาโป จ ปตาโป จ อวจี ิโย ฯ [๒] นครกัณฑ์ โลภโมหภยกฺโกธา เย นรา ปาณฆาติโน วธยิตฺวาน หึสนฺติ สํฺชีวํ ยนตฺ ิ เต ธวุ ฯํ ๒๑๕ ร่งุ โรจน์ ภิรมย์อนกุ ูล, การตรวจชาระคัมภีรป์ ญั จคตทิ ีปนี,หนา้ ๑๘-๑๙. ๒๑๖ ดรู ายละเอียดใน รงุ่ โรจน์ ภริ มย์อนุกูล, การตรวจชาระคัมภีร์ปัญจคติทีปนี, หน้า ๒๗- ๓๘.

๒๖๔ สวํ จฉฺ รสหสสฺ านิ พหนู ิ ปิ หตา หตา สํชฺ ีวนิติ ยโต ตตฺถ ตโต สํชฺ วี นามโกฯ มิตฺตโทสกรา นรา มาตาปิตุสหุ ชาทิ- กาฬสุตฺตาภคิ ามโิ นฯ เปสํุ ฺญาสจฺจวาทา จ [๓] ติรัจฉานกณั ฑ์ ขตตฺ านมติราคนิ ํ มฬู ฺหา กฏี าทิโยนิสุฯ หสํ ปาราวตาทีนํ มานตฺถทธฺ า มิคคฺ าธิปา ชายนเฺ ต โยนยิ ํ ราคา คทฺรภโสณโยนิสฯุ โหติ พานราชาติโก สปปฺ า โกโธปนาเหหิ ชายนฺเต กากโยนิสฯุ อตมิ าเนน ชายนเฺ ต มจฺเฉโรสุยยฺ โก จาปิ เยหิ อุฏฐฺ านวชฺชติ า เปตา เต กฏปูตนาฯ มุขรา จปลาลชฺชา โลเภน วํจฺ ยนฺติ จ [๔] เปตกณั ฑ์ ชายนเฺ ต กฏปตู นาฯ มจฺฉรา นิจฺจโลภโิ น ขชชฺ โภชชฺ าปหตตฺ าโร เปตา เต คลกณฑฺ กาฯ ภวนตฺ ิ กณุ ปาหารา น จ กํิ ฺจิ ททาติ โย วิเทฐยนตฺ ิ เย พเล สูจิวตฺโต มโหทโรฯ เต ปิ คพภฺ มลาหารา น จ หฏฺโฐ ปรคิ คฺ เห หนี าจาราติถินา จ มหาราชกิ ตํ วเช ฯ ปูชโก จาคาวา ขมิ เย นรา เปจฺจ ชายนฺติ ตาวตเึ สสุ โส ภเวฯ ปราทานํ นเิ สเธติ กลเห หฏฐฺ มานสา ขุปปฺ ิปาสกิ เปโต โส เย เต ยาโมปคา นราฯ [๕] เทวกณั ฑ์ เนวตฺตาโน สขุ าเปกฺขี คหานํ ปมุโข วายํ มาตาปิตุกุเล เชฏฐฺ ตสุ ฺสติ โย น กลเห น วิคคฺ เห รตา เนว เอกนฺตกสุ เล ยตุ ตฺ า ปัญจปกรณ์

๒๖๕ ป๎ญจปกรณ์๒๑๗ เป๐นคัมภีร์อธิบายพระอภิธรรมปิฎกในส่วนท่ีเป๐นธาตุกถา, ปุคคลบัญญัติ, กถาวัตถุ, ยมก, และป๎ฏฐาน ผู้รจนาคือพระพุทธโฆสาจารย์ เป๐นการ อธบิ ายรวมไวใ้ นคัมภรี ์เดียวกัน ธาตุกถา การอธิบายเรือ่ งธาตุ ปคุ คลบญั ญตั ิการบัญญัติชื่อเรียกบคุ คลต่างๆ ตามคณุ ธรรม กถาวัตถุ เรอื่ งการกลา่ วแก้ถ้อยคาํ ทมี่ คี วามเหน็ ผิดของนกิ ายต่างๆ ยมก การอธบิ ายหลักธรรมทจี่ ัดเปน๐ คๆู่ ปัฏฐาน อธบิ ายปจ๎ จัย ๒๔ โดยพิสดาร [๑] ตวั อย่างการอธิบายเร่อื งธาตุ อารมั ภกถา พระมหาวีรเจ้าผู้ทรงชนะมาร ครั้นทรงแสดงวิภังคปกรณ์ด้วยวิภังค์ ๑๘ ประการจบลงแล้ว เม่ือจะทรงประกาศความแตกต่างกันแห่งธาตุ จึงได้ตรัสธาตุกถา ปรกรณ์ไวใ้ นลําดับแห่งวภิ ังคปกรณ์น้นั นัน่ แหละ ข้าพเจา้ [พระพุทธโฆษาจารย์] จักแสดง เน้อื ความแหง่ ธาตกุ ถาปกรณน์ นั้ ขอสาธุชนทง้ั หลายจงมจี ติ ตัง้ มน่ั สดบั พระธรรมนน้ั เทอญ ฯ พระธรรมสังคาหกาจารยไ์ ด้กล่าวไวว้ า่ ปกรณ์นี้ พระผู้มีพระภาคทรงจําแนก ไว้ ๑๔ นัย ดว้ ยสามารถแหง่ คําว่า ธรรมทีส่ งเคราะห์เข้าได้ ธรรมทีส่ งเคราะห์เข้ากันไม่ได้ [สงฺคโห อสงฺคโห] เป๐นต้น คําน้ันแม้ทั้งหมด ท่านตั้งไว้ ๒ ประการ คือโดยอุทเทส และ นทิ เทส มาติกาแห่งธรรมมีขันธเ์ ป๐นตน้ ชอื่ ว่า อทุ เทส มาตกิ านี้ พระผู้มีพระภาคทรงต้งั ไว้ ๕ ประการ คือ ๑. นยมาติกา มาตกิ า ๑๔ บท มธี รรมทีส่ งเคราะหเ์ ขา้ กนั ไดเ้ ป๐นต้น ๒. อพั ภันตรมาติกา มาตกิ าทท่ี รงตงั้ ไว้ ๑๒๕ บท ๓. นยมุขมาตกิ า มาตกิ าทที่ รงตัง้ ไวด้ ้วยบท ๔ บท คือ ตีหิ สงฺคโห, ตีหิ อสงคฺ โห, จตหู ิ สมฺปโยโค, จตหู ิ วิปฺปโยโค ๔. ลักขณมาติกา มาตกิ าทท่ี รงตงั้ ไว้ดว้ ยบทท้งั ๒ คอื สภาโค อสภาโค ๕. พาหิรมาตกิ า มาตกิ าที่ทรงย่อต้ังบทติกะ ๖๖ และบททกุ ะ ๒๐๐ ๒๑๗ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, อรรถกถาภาษาไทย พระอภิธรรมปิฎก ปัญจปกรณ์, [กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๐], ๗๙๓ หนา้ .

๒๖๖ บรรดามาติกาเหลา่ นนั้ มาติกาที่ทรงแสดงไว้ ๑๔ บท มีคําว่า สงฺคโห อสงฺค โห ฯลฯ วิปฺปยุตฺเตน สงฺคหิต อสงฺคหิต นี้ช่ือว่า นยมาติกา จริงอยู่ มาติกานี้ พระองค์ ตรัสเรียกว่า นยมาตกิ า กเ็ พราะความท่มี าตกิ านีท้ รงตัง้ ไวเ้ พื่อแสดงว่า “ธรรมทัง้ หลายใน ธาตกุ ถาอันพระองค์ทรงจําแนกไว้โดยนัยอันสงเคราะห์เข้ากันได้เป๐นต้นนี้” นัยมาติกานี้ แม้จะเรยี กว่า มลู มาตกิ า ก็ควร เพราะเปน๐ มูลแห่งบทเหล่าน้ัน มาติกาท่ีทรงตั้งไว้ ๑๒๕ บทว่า ปญฺจกฺขนฺธา ฯลฯ มนสิกาโร น้ีชื่อว่า อัพภันตรมาติกา จริงอยู่ มาติกาน้ี ท่านเรียกว่า อัพภันตรมาติกา เพราะมาติกาน้ี พระองคไ์ ม่ตรสั ไว้อย่างนี้ว่า “ธัมมสงั คณีแมท้ ง้ั หมดเป๐นมาตกิ าในธาตุกถา” แต่ทรงแสดง ธรรมมีขันธ์เป๐นต้น ท่ีควรจําแนกโดยนัยมีธรรมท่ีสงเคราะห์เข้ากันได้เป๐นต้นไว้โดยย่อ แลว้ ตงั้ ไวภ้ ายในแหง่ ธาตุกถาน่ันแหละ ข้อน้ี แมจ้ ะกล่าวว่า ปกิณณกมาติกา ก็ได้ เพราะ บททงั้ หลายมขี ันธ์เปน๐ ต้น มไิ ดส้ งเคราะหไ์ ว้ในธัมมสังคณีมาติกา [๒] ตวั อย่างการอธบิ ายบัญญตั ชิ ื่อเรียกบคุ คลตา่ งๆ ตามคณุ ธรรม อารมั ภกถา พระศาสดาผู้ทรงประกาศประเภทแห่งธาตุ ครั้งทรงแสดงธาตุกกถาปกรณ์ ซึ่งมีอรรถอันละเอียดในสุราลัยเทวโลกจบแล้ว พระชินเจ้าผู้เป๐นอัครบุคคลในโลกตรัส คมั ภีร์ปุคคลบัญญตั ใิ ดไว้ อนั แสดงถงึ ประเภทแหง่ บญั ญัติ ในลําดับแห่งธาตุกถาน้ัน บัดน้ี ถงึ โอกาสแห่งการพรรณนาคมั ภีรป์ ุคคลบัญญัตินั้นแล้ว เพราะฉะน้ัน ข้าพเจ้า [พระพุทธ โฆษาจารย์] จักพรรณนาปกรณ์น้ัน ท่านทั้งหลายจงมีจิตต้ังม่ัน สดับพระสัทธธรรมน้ัน เทอญ ฯ มาตกิ าวัณณนา พรรณนาบทมาติกา อันดับแรกอุทเทสนี้ว่า บัญญัติ ๖ ประการ คือ ฯลฯ ขันธบัญญัติ ปุคคล บัญญัติ (ฉ ปญฺญตฺติโย ฯปฯ ขนฺธปญฺญตฺติ ปุคฺคลปญฺญตฺติ) เป๐นอุทเทสแห่งคัมภีร์ ปุคคลบญั ญัติ บรรดาบทเหล่าน้ัน คาํ วา่ ๖ (ฉ) เป๐นการกําหนดจํานวนด้วยคําน้ัน พระผู้ มีพระภาคทรงประสงค์จะบัญญัติธรรมเหล่าใดในปกรณ์นี้ จึงทรงแสดงการกําหนด บัญญตั ิธรรมเหลา่ น้นั ด้วยการนบั โดยสังเขป คําว่า บัญญัติ (ปญฺญตฺติโย) เป๐นคําแสดง ไขธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงกําหนดไว้ ในบทมาติกาเหล่านั้น การบัญญัติ การแสดง การประกาศในอาคตสถานว่า “ตรัสบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งต้ัง” ช่ือว่า บัญญัติ.... [๓] ตวั อยา่ งการอธิบายแก้ถ้อยคาทม่ี ีความเห็นผิดของนิกายต่างๆ ก็คําว่า ปุคฺคโล อุปลภฺพติ สจฺฉิกฏฺฐปรมตฺเถน น้ี เป๐นคําของสกวาที ด้วย คําถามนั้น ท่านแสดงว่า ชนเหล่าใดผู้เป๐นปุคคลวาทีมีความเห็นอย่างน้ีว่า บุคคลมีอยู่

๒๖๗ บัณฑิตควรถามชนเหลา่ นน้ั อย่างนว้ี ่า ชนเหล่าไหนเป๐นปุคคลวาที คือผู้มีวาทะว่าบุคคลมี อยู่โดยแท้จริง คือพวกภิกษุวัชชีปุตตกะ ภิกษุนิกายสมิติยะในพระพุทธศาสนาและอัญ เดียรถยี ์เปน๐ อันมากภายนอกพระพทุ ธศาสนา ในคําว่า ปุคฺคโล อุปลภพฺ ติ สจฉฺ กิ ฏฺฐปรมตฺเถน น้ัน คําว่า บุคคล (ปุคฺคโล) ได้แก่ อัตตา สัตว์ และชีวะ คําว่า ย่อมเข้าไปหย่ังรู้ได้ (อุปลพฺภติ) ท่านอธิบายว่า ผู้ เข้าถงึ แลว้ ย่อมรู้ได้ คอื ยอ่ มรูไ้ ดด้ ้วยปญ๎ ญา คาํ ว่า มีอรรถอันเป็นจริง (สจฺฉิกฏฺโฐ) ในคํา วา่ สจฺฉิกฏฺฐปรมตฺเถน นี้ ไดแ้ ก่ อรรถอันเป๐นจริงท่ีบัณฑิตไม่พึงถือเอาด้วยอาการอนไม่ เป๐นจริง ดุจพยับแดดอันเป๐นมายา เป๐นต้น คําว่า มีอรรถอันสูงสุด (ปรมตฺโถ) ได้แก่ อรรถอนั อุดม อนั บัณฑิตไม่พึงถือเอาด้วยสามารถแห่งคําเล่าลือกันมาเป๐นต้น อธิบายว่า สกวาทีถามว่า ประเภทแห่งธรรม ๕๗ อย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ด้วยขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ และอินทรีย์ ๒๒ ด้วยอรรถท้ัง ๒ คือสัจฉิกัตถะและปรมัตถะน้ัน ว่าท่านหย่ังเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะดุจหยั่งเห็นรูปปรมัตถ์หรือ เป๐นต้น ขา้ งหน้าแหง่ ประเภทธรรมน้นั บณั ฑติ ยอ่ มหยั่งเหน็ ไดด้ ว้ ยความเป๐นจรงิ ดว้ ยอรรถอันเป๐น จริง ฉนั ใด ทา่ นหยัง่ เห็นบคุ คลไดต้ ามความของทา่ นฉันน้นั หรือ ....... พงึ ทราบวนิ ิจฉยั แม้ในคําว่า บุคคลผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนมี อยู่ เปน๐ ต้น ธรรมท้ังหลายมรี ูปเปน๐ ต้นมีอยู่ด้วยสามารถแห่งป๎จจัตตลักษณะ คือลักษณะ ทมี่ ีเฉพาะตน และสามญั ญลักษณะ ฉันใด บุคคลย่อมมีอยู่ฉันนั้นก็หาไม่ ก็คร้ันเม่ือธรรม ทัง้ หลายมีรูปเปน๐ ต้นมีอยู่ การร้องเรยี กวา่ อย่างน้ีเป๐นช่อื อยา่ งน้ีเปน๐ โคตร เปน๐ ต้น กย็ อ่ ม มีอยู่ ในข้อน้ีพึงทราบเน้ือความอย่างน้ีว่า บุคคลชื่อมีอยู่ เพราะเป๐นโวหารของชาวโลก เพราะการสมมตุ ิของชาวโลก เพราะเป๐นภาษาของชาวโลกนี้ ดว้ ยประการฉะน้ี สมจริงดัง พระดาํ รัสทพี่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้าตรสั ไวว้ า่ ธรรมทั้งหลายเหล่านแ้ี ล คอื จติ เป๐นโลกสมัญญา (ชื่อท่ีชาวโลกเรียก) เป๐นโลกนิรุตติ (ภาษาของชาวโลก) เป๐นโลกโวหาร (โวหารของ ชาวโลก) เปน๐ โลกบญั ญตั ิ (บัญญตั ขิ องชาวาโลก) ขอ้ นีท้ ่านอธิบายว่า ก็ธรรมทง้ั หลายมีรูป เป๐นต้น แม้เว้นซึ่งการสมมุติของชาวโลกก็ยังชื่อว่ามีอยู่ เพราะมีสภาวะให้รู้ได้ด้วย สามารถแห่งปจ๎ จัตตลักษณะ และสามญั ญลกั ษณะ ดงั น้ี สมมติกถาและปรมตั ถกถา อนึ่ง กถาคือพระดํารัสของพระพุทธเจ้าท้ังหลาย มี ๒ คอื สมมตุ ติกถาและปรมตั ถกถา ในกถาท้ัง ๒ นั้น คําว่า สัตว์ บุคคล เทวดา พรหม เป๐นต้น ช่ือสมมตุ กิ ถา คาํ วา่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สติป๎ฏฐาน และ สัมมปั ปธาน เปน๐ ตน้ ช่อื ปรมตั ถกถา

๒๖๘ ในบรรดากถาทงั้ ๒ เหล่าน้ัน บุคคลใด คร้ันเม่ือคําว่า สัตว์ ฯลฯ หรือพรหม เป๐นต้น ท่ีพระองค์ทรงตรัสแล้วด้วยเทศนาอันเป๐นของสมมุตติ ย่อมอาจเพื่อรู้ธรรมเพ่ือ แทงตลอด เพื่อออกไปจากสังสารวัฏ เพ่ือถือเอาชัย คืออรหัตตผลได้ พระผู้มีพระภาค ย่อมตรัสถึงคําว่า สัตว์ หรือบุคคล หรือบุรุษ หรือพรหม ตั้งแต่ต้นทีเดียวสําหรับผู้น้ัน ส่วนบุคคลใดสดับฟ๎งคําว่า อนิจจัง หรือทุกขังเป๐นต้น อย่างใดอย่างหน่ึงด้วยปรมัตถ เทศนาแล้วก็อาจเพื่อรู้ เพ่ือแทงตลอด เพื่อออกไปจากสังสารวัฏ เพ่ือถือเอาชัยคือ อรหัตตผลได้ พระผ้มู พี ระภาคยอ่ มตรสั คําอย่างใดอยา่ งหน่ึงในคําว่า อนิจจัง เป๐นต้นเพ่ือ ผนู้ ้ัน..... [๔] ตัวอย่างการอธิบายหลักธรรมทจี่ ัดเป็นคูๆ่ บาลี: มูลยมกํ ขนฺธยมกํ อายตนยมกํ ธาตุยมกํ สจฺจยมกํ สงฺขารยมกํ อนุสย ยมกํ จิตฺตยมกํ ธมฺมยมกํ อินฺทฺริยยมกนฺติ อิเมสํ ทสนฺนํ ยมกานํ วเสน อิทํ ปกรณํ ทสวิ เธน วภิ ตตฺ นฺติ หิ วตุ ฺตํ. ตตฺถ เยสํ ทสนนฺ ํ ยมกานํ วเสน อิทํ ปกรณํ ทสวิเธน วิภตฺตํ เตสํฺ เจว อิมสฺส จ ปกรณสฺส นามตฺโถ ตาว เอวํ เวทิตพฺโพ— เกนฏฺเฐน ยมกนฺติ? ยุคฬฏฺเฐน. ยุคฬํฺหิ ยมกนฺติ วุจฺจติ— ―ยมกปาฏิหาริยํ ยมกสาลา‖ติอาทีสุ วิย. อิติ ยุคฬสงฺขาตานํ ยมกานํ วเสน เทสิตตฺตา อิเมสุ ทสสุ เอเกกํ ยมกํ นาม. อิเมสํ ปน ยมกานํ สมูหภาวโต สพพฺ มเฺ ปตํ ปกรณํ ยมกนฺติ เวทิตพฺพํ. แปล: ก็ในปกรณ์นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสจําแนกไว้แล้ว ๑๐ อย่าง ด้วย อํานาจของยมก ๑๐ อย่าง คือ มูลยมก, ขันธยมก, อายตนยมก, ธาตุยมก, สัจจยมก, สงั ขารยมก, อนสุ ยยมก, จติ ตยมก, ธรรมยมก, และอินทริยยมก พึงทราบอรรถแห่งยมก ๑๐ อยา่ งเหลา่ น้ีของปกรณน์ ี้อย่างน้ี ชือ่ ว่ายมก เพราะอรรถวา่ กระไร คือ เพราะอรรถว่า เป๐นคู่กัน จริงอยู่ คําว่า คู่กัน ท่านเรียกว่า ยมก เหมือนกับที่ท่านกล่าวไว้ว่า ยมก ปาฏิหารยิ ์ ปาฏหิ ารยิ ค์ ู่, ยมกสาลา ไมส้ าละคู่ เป๐นต้น ในยมก ๑๐ อย่างนี้ ยมกหน่ึงๆ ชื่อ ว่า คู่ เพราะแสดงไว้ด้วยอํานาจของยมกทั้งหลาย คือคู่ ด้วยประการฉะน้ี ปกรณ์น้ี ทั้งหมดพงึ ทราบว่า ชอื่ วา่ ยมก เพราะรวบรวมคทู่ ง้ั หลายเหลา่ น้ีไว.้ ... [๕] ตัวอย่างการอธบิ ายปัจจัย ๒๔ บาลี: สมฺมาสมฺพุทฺเธน หิ อนุโลมปฏฺฐาเน ทฺวาวีสติ ติเก นิสฺสาย ติกปฏฺฐานํ นาม นทิ ฺทฏิ ฐฺ ํ สตํ ทุเก นสิ สฺ าย ทกุ ปฏฺฐานํ นาม นทิ ฺทิฏฐฺ ํ. ตโต ปรํ ทฺวาวีสติ ติเก คเหตฺวา ทุกสเต ปกขฺ ิปิตวฺ า ทกุ ติกปฏฺฐานํ นาม ทสฺสิตํ. ตโต ปรํ ทุกสตํ คเหตฺวา ทฺวาวีสติยา ติเก สุ ปกฺขิปิตฺวา ติกทุกปฏฺฐานํ นาม ทสฺสิตํ. ติเก ปน ติเกสุเยว ปกฺขิปิตฺวา ติกติกปฏฺฐานํ นาม ทสสฺ ิตํ. ทุเก จ ทุเกสเุ ยว ปกขฺ ิปติ วฺ า ทกุ ทกุ ปฏฐฺ านํ นาม ทสฺสิตํ. เอว—ํ ตกิ ํฺจ ปฏฺฐานวรํ ทุกตุ ฺตมํ

๒๖๙ ทุกํ ตกิ ํเฺ จว ตกิ ํ ทุกํฺจ. ตกิ ํ ตกิ ํฺเจว ทกุ ํ ทุกํฺจ ฉ อนุโลมมหฺ ิ นยา สุคมภฺ ีราตฯิ ปจฺจนียปฏฺฐาเนปิ ทฺวาวีสติ ติเก นิสฺสาย ติกปฏฺฐานํ นาม. ทุกสตํ นิสฺสาย ทุกปฏฐฺ านํ นาม. ทฺวาวีสติ ติเก ทุกสเต ปกฺขิปิตฺวา ทุกติกปฏฺฐานํ นาม. ทุกสตํ ทฺวาวีสติ ยา ติเกสุ ปกฺขิปิตฺวา ติกทุกปฏฺฐานํ นาม. ติเก ติเกสุเยว ปกฺขิปิตฺวา ติกติกปฏฺฐานํ นาม. ทุเก ทุเกสุเยว ปกฺขิปิตฺวา ทุกทุกปฏฺฐานํ นามาติ เอวํ ปจฺจนีเยปิ ฉหิ นเยหิ ปฏฺฐานํ นทิ ทฺ ฏิ ฺฐํ. เตน วตุ ตฺ ํ— ตกิ ํจฺ ปฏฐฺ านวรํ ทุกตุ ตฺ มํ ทุกํ ติกํเฺ จว ตกิ ํ ทุกํฺจ. ตกิ ํ ตกิ ํฺเจว ทุกํ ทกุ ํจฺ ฉ ปจฺจนียมฺหิ นยา สคุ มฺภรี าติฯ แปล: ดําเนินความว่า ในอนุโลมปัฏฐาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัย ตกิ ะ ๒๒ ตกิ ะ แสดงชอ่ื ตกิ ปฏ๎ ฐาน ทรงอาศัยทุกะ ๑๐๐ ทุกะ แสดงช่ือทุกป๎ฏฐาน ต่อจากนน้ั ทรงรวมตกิ ะ ๒ ตกิ ะเขา้ ในทกุ ะ ๑๐๐ ทุกะ แล้วทรงแสดงชื่อทุกติกป๎ฏฐาน ต่อจากน้ันทรงรวมทุกะ ๑๐๐ ทกุ ะเข้าในติกะ ๒๒ ตกิ ะ แลว้ ทรงแสดงชอ่ื ตกิ ทุกป๎ฏฐาน อนึ่ง ทรงผนวกติกะเข้าในติกะเท่านั้น แล้วทรงแสดงชื่อติกติกป๎ฏฐาน ทรงผนวกทุกะ เขา้ ในทุกะเท่าน้ัน แลว้ ทรงแสดงช่อื ทกุ ทุกปฏ๎ ฐาน พระผ้มู ีพระภาคเจ้าตรัสอยา่ งนว้ี ่า ในอนโุ ลมปฏ๎ ฐาน มีนัยอนั ลกึ ซง้ึ ยิ่ง ๖ นยั คือ ตกิ ปฏ๎ ฐานอันประเสรฐิ ทกุ ป๎ฏฐานอนั สูงสุด ทกุ ติกป๎ฏฐาน ตกิ ทุกปฏ๎ ฐาน ติกติกปฏ๎ ฐาน และทุกทกุ ปฏ๎ ฐาน ดังน้ฯี แม้ในป๎จจนียป๎ฏฐาน ก็ทรงแสดงป๎ฏฐานด้วยนัย ๖ นัย แม้ในป๎จจนียะ อย่างน้ี คอื ทรงอาศยั ติกะ ๒๒ ติกะ แสดงชื่อติกป๎ฏฐาน ทรงอาศัยทุกะ ๑๐๐ ทุกะ แสดงชื่อทกุ ป๎ฏฐาน ทรงผนวกติกะ ๒๒ เข้าในทุกะ ๑๐๐ ทุกะ แล้วทรงแสดงช่ือทุก ติกป๎ฏฐาน ทรงผนวกทุกะ ๑๐๐ ทุกะเข้าในติกะ ๒๒ ติกะ แล้วทรงแสดงช่ือติกทุก ป๎ฏฐาน ทรงผนวกติกะเข้าในติกะเท่านั้น แล้วทรงแสดงช่ือติกติกป๎ฏฐาน ทรงผนวก ทกุ ะ เขา้ ในทุกะเทา่ นัน้ แลว้ ทรงแสดงชื่อทกุ ทกุ ปฏ๎ ฐาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค เจา้ จึงตรัสไวว้ า่ ในป๎จจนียป๎ฏฐาน มนี ัยอันลกึ ซงึ้ ยง่ิ ๖ นัย คอื ตกิ ปฏ๎ ฐานอันประเสริฐ ทกุ ปฏ๎ ฐานอันสงู สุด

๒๗๐ ทกุ ติกป๎ฏฐาน ตกิ ทกุ ปฏ๎ ฐาน ติกตกิ ปฏ๎ ฐาน และทุกทกุ ปฏ๎ ฐาน ดงั นฯี้ เปฏโกปเทสปกรณ์ คัมภีร์เปฏโกปเทสปกรณ์๒๑๘ เปน๐ คัมภรี เ์ ก่าแกม่ มี าต้ังแต่สมัยพุทธกาล กล่าว กันว่า เป๐นผลงานของพระมหากัจจายนะ ดังจะเห็นได้เม่ือจบแต่ละตอน จะใช้คําว่า เถรสฺส มหากจฺจายนสฺส ชมฺพุวนวาสิโน เปฏโกปเทโส สมตฺโต๒๑๙ คําว่า ชมฺพุวนวาสี แปลว่า ผู้พํานักอยู่ ณ ปุาไม้หว้า แต่ฝรั่งบางท่านก็ค้านว่า ผู้แต่งเปฏโกปเทสปรกรณ์นี้ ไมใ่ ชพ่ ระมหากัจจายนะองคเ์ ดยี วกบั พระมหากจั จายนะทมี่ ชี ีวิตอยูใ่ นสมัยพุทธกาล คัมภีร์เปฏโกปเทสปกรณ์ เป๐นคัมภีร์อธิบายปรมัตถธรรม และความหมาย ของธรรมะแต่ละอย่าง แล้วนํามาอธิบายวม ทําให้ได้ความรู้เก่ียวกับองค์ธรรม ความหมายของธรรมเป๐นอย่างดี ลักษณะคําประพันธ์เป๐นประเภทร้อยแก้ว ผสมร้อย กรอง เดินเร่อื งเป๐นร้อยแกว้ แต่มีการผูกเป๐นคาถาประพันธ์สรุปเรื่องด้วยร้อยกรอง โดย แบง่ เนื้อหาเปน๐ หมวดหมู่ เรียกว่า ภูมิ มีจาํ นวน ๘ ภูมิ แต่ละภมู ิมรี ายละเอียดดงั นี้๒๒๐ ภมู ิท่ี ๑ อรยิ สจจฺ ปฺปกาสนปฐมภูมิ ปฐมภมู ิว่าด้วยการประกาศอริยสัจ คือทุกข์ สมุทัย นิโรค และมรรค, เนื้อหารายละเอียดประกอบด้วย การเกิดข้ึนแห่งสัมมาทิฏฐิ, หาระ แนวทางในการ อธิบายรูปศพั ท์ในพระพทุ ธพจน์ ๑๖ ประเภท นัย วิธีใหร้ ู้กุศลและอกุศล แบง่ ออกเปน๐ ๕ ประเภท มูลบท ๑๘ แบ่งเป๐นฝุายอกุศล ๙ บทคือ อวิชชา ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ สุภสญั ญา สุขสัญญา นิจจสัญญา และอัตตสัญญา จัดเป๐นทุกขสมุทัย, ฝุายกุศล ๙ บท คือ สมถะ วิป๎สสนา อโลภะ อโทสะ อโมหะ อสุภสัญญา ทุกขสัญญา อนิจจสัญญา และอนัตตสัญญา จดั เป๐นทกุ ขนิโรธคามินปี ฏปิ ทา ภูมท่ี ๒ สาสนปฏฐฺ านทตุ ยิ ภูมิ ทตุ ิยภมู ิว่าด้วยสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งคาสอน เป็นต้นว่า วาสนาภาคิย สูตร, นิพเพธภาคิยสูตร, สังกิเลสภาคิยสูตร และวาสนาภาคิยสูตร, สังกิเลสภาคิยสูตร ๒๑๘ พระมหากัจจายนะ, เปฏโกปเทสปกรณ์ ฉบับภมู พิ โลภิกขุ. [กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มูลนิธิ ภูมพิ โลภกิ ข,ุ ๒๕๕๘], หน้า [๒๓]. ๒๑๙ พระมหากัจจายนะ, เปฏโกปเทสปกรณ์ ฉบับภมู ิพโลภกิ ขุ, หนา้ ๕๘๔. ๒๒๐ พระมหากจั จายนะ, เปฏโกปเทสปกรณ์ ฉบบั ภมู พิ โลภกิ ขุ, ดหู น้า [๒๖]-[๓๓]

๒๗๑ และนิพเพธภาคิยสูตร, สังกิเลสภาคิยสูตร นิพเพธภาคิยสูตร และอเสกขภาคิยสูตร, วาสนาภาคิยสตู ร และนิพเพธภาคยิ สูตร, อาณตั ตสิ ูตร, ผลสูตร คาถา, ผลสูตร และอุปาย สตู ร, อาณัตตสิ ูตร ผลสตู ร และอปุ ายสูตร, อัสสาทสูตร, อาทนี วสูตร, นิสสรณสูตร, โลกิย สูตร,โลกุตตรสูตร, กัมมสูตร, วิปากสูตร, กัมมสูตรและวิปากสูตร, นิททิฏฐสูตร, อนิททฏิ ฐสตู ร ฯลฯ ภูมิท่ี ๓ สตุ ฺตาธฏิ ฐฺ านตติยภมู ิ ตติยภมู ิว่าด้วยธรรมเคร่ืองต้ังอยู่แห่งพระสูตร คือ โลภาธิฏฐานสูตร, สตุ ตาธฏิ ฐานสตู ร โทสาธฏิ ฐานสูตร โมหาธิฏฐานสูตร อโลภาธิฏฐานสูตร อโทสาธิฏฐาน สูตร อโมหาธิฏฐานสูตร กายกัมมาธิฏฐานสูตร สัทธินทริยาธิฏฐานสูตร อินทริยาธิฏฐาน สตู รทเ่ี ปน๐ อสาธารณะและที่เป๐นสาธารณะ ภูมิที่ ๔ สตุ ฺตวจิ ยจตุตฺถภูมิ จตุตถภูมิว่าด้วยการวิจัยพระสูตร คือการวิจัยและประกอบพระสูตร ด้วยกุศลธรรมและอกุศลธรรม การวิจัยและประกอบพระสูตรโดยป๎จจัย การวิจัยและ ประกอบพระสตู รทพ่ี ระองคท์ รงอนญุ าต ความปะปนกนั แหง่ พระสูตร คาถารวมความ ภมู ทิ ี่ ๕ หารวภิ งฺคปญจฺ มภมู ิ ปญ๎ จมภมู วิ ่าด้วยการจาํ แนกแนวทางอธบิ ายพระสตู ร คือ หาระ ๑๖ ใน การจาํ แนกพระสตู ร มีเทสนาหาระ เป๐นตน้ มีสมาโรปนหาระ เป๐นท่สี ุด ภูมิท่ี ๖ สุตตฺ ตฺถสมจุ ฺจยภูมิ ภูมิว่าด้วยการรวบรวมอรรถแห่งพระสูตร คําสอนของพระผู้มีพระ ภาคพุทธเจ้าทั้งหลายรวมลงในขันธ์ ๕ , ธาตุ ๑๘, อายตนะ ๑๒, ขันธ์ ๕ ควรกําหนดรู้ อรรถวา่ ขนั ธ์ ๕, ธาตุ ๑๘ ควรกําหนดรู้ อรรถว่าธาตุ, อายตนะ ๑๒ การกําหนดรู้ และ อรรถว่า อายตนะ, โพธิป๎กขิยธรรม ๓๗ ประการ, สติป๎ฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิ บาท ๔, อินทรยี ์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, และอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ มลู บท ๙ ไดแ้ ก่ มลู กิเลส ๒ อกศุ ลมลู ๓ วปิ ลาส ๔ มูลบท ๙ ได้แก่ สมถะ วปิ ๎สสนา อโลภะ อโทสะ อโมหะ อนิจจสัญญา ทุกขสญั ญา อนัตตสญั ญา อสุภสัญญา อภสิ มัย ๔ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ปรญิ ญาภิสมัย, ปหานาภสิ มยั สจั ฉิกิริยาภิสมัย, ภาวนาภิสมัย อนปุ ุพพสมาบัติ ๙ ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ นิโรธสมาบตั ิ ๑ ภูมทิ ่ี ๗ หารสมุปาตภมู ิ

๒๗๒ ภูมิว่าดว้ ยการประมวลแนวทางอธบิ ายพระสูตร เป๐นต้นว่า จริตของ บุคคล ๗ ราคจริต โทสจริต โมหจริต ราคโทสจริต ราคโมหจริต โทสโมหจริต และสม ภาคจริต, วิตก ๓ เนกขัมมวิตก อัพยาบาทวิตก และอวิหิงสาวิตก, ฌาน ๔ ปฐมฌาน ประกอบด้วยองค์ ๕ ทุติยฌาน ประกอบด้วยองค์ ๔ ตติยฌาน ประกอบด้วยองค์ ๔ จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีอุเบกขาอันจะทําให้สติบริสุทธ์ิ, ฌานภูมิ ฌานวิเสส ฌา โนปนสิ า ภาวนา โทษในปฐมฌาน โทษในทุติยฌาน โทษในตติยฌาน โทษในจตุตถฌาน ฌานโกสล ฌานปารมิตา คาถาว่า ธรรมท้ังหลายมีใจเป๐นหัวหน้าเป๐นต้น แสดงไข เนื้อความแห่งพระสูตร คาถาว่า ผู้พ้นวิเศษแล้วในที่ทั้งปวง ท้ังในเบื้องต้น ในเบ้ืองต่ํา เปน๐ ตน้ ภูมทิ ่ี ๘ สตุ ฺตเวภงฺคยิ ว่าด้วยการจาแนกพระสูตร คืออวิชชา และภวตัณหา ไม่ปรากฏ เบ้ืองต้น และเบื้องปลาย ตัณหาจริต ทิฏฐิจริต, ปฏิปทา ๔, สีหวิกกีฬิตนัย สังสันทนะ แห่งพระสูตร ๑๐ บท อาหาร ๔ อุปาทาน ๔ อาสวะ ๔, โอฆะ ๔, สัลละ ๔, วิญญาณัฏ ฐติ ิ ๔, ทสิ าธรรม ๑๘, นยั ๔ ประการ ตวั อยา่ งคดั มาจากคัมภรี ์ [๑] อรยิ สจจฺ ปปฺ กาสนปฐมภูมิ ปฐมภมู วิ ่าด้วยการประกาศอรยิ สจั ๒๒๑ บาลี นโม สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ านํ ปรมตฺถทสสฺ นี ํ สลี าทิคณุ ปารมิปฺปตฺตานํ ฯ ๑. ทุเว เหตู ทุเว ปจฺจยา สาวกสฺส สมฺมาทิฏฺฐิยา อุปาทาย:- ปรโต จ โฆโส สจฺจานุสนฺธิ อชฺฌตตฺ ํฺจ โยนโิ ส มนสกิ าโรฯ ตตถฺ กตโม ปรโต โฆโส ? ยา ปรโต เทสนา โอวาโท อนุสาสนี สจจฺ กถา สจจฺ านโุ ลโมฯ จตตฺ าริ สจฺจานิ: ทุกขฺ ํ สมทุ โย นโิ รโธ มคฺโคฯ อิเมสํ จตุนฺนํ สจฺจานํ ยา เทสนา สนฺทสฺสนา วิวรณา วิภชนา อุตฺตานีกิริยา ปกาสนาฯ อยํ วจุ ฺจติ สจจฺ านโุ ลโม โฆโสติฯ ๒. ตตฺถ กตโม อชฺฌตฺตํ โยนิโส มนสิกาโร? อชฺฌตฺตํ โยนิโส มนสิกาโร นาม โย ยถาเทสิเต ธมฺเม พหิทฺธา อารมฺมณํ อนภนิ หี ริตวฺ า โยนโิ ส มนสกิ าโรฯ อยํ วุจฺจติ โยนิโส มนสิกาโรฯ ตํอากาโร โยนิโส ทฺวาโร วิธิ อปุ าโยฯ ๒๒๑ พระมหากจั จายนะ, เปฏโกปเทสปกรณ์ ฉบบั ภมู พิ โลภกิ ขุ, หน้า ๑-๔.

๒๗๓ ยถา ปุริโส สุกฺเข กฏฺเฐ วิคตเสนเห สุกฺขาย อุตฺตรารณิยา ถเล อภิมนฺถมนํ ภพฺโพ โชติสฺส อธิคมายฯ ตํ กิสฺส เหตุ ? โยนิโส อคฺคิสฺส อธิคมายฯ เอวเมวสฺส ยมิทํ ทกุ ขฺ สมทุ ยนิโรธมคคฺ านํ อวิปรีตธมมฺ เทสนํ มนสกิ โรติฯ อยํ วุจฺจติ โยนโิ ส มนสกิ าโรฯ ยถา ติสโฺ ส อุปมา ปุพฺเพ อสฺสุตา จ อสฺสุตปุพฺพา จ ปฏิภนฺติฯ โย หิ โกจิ กา เมสุ อวีตราโคติ ฯลฯ ทุเว อปุ มา อโยนโิ ส กาตพพฺ า ปจฉฺ เิ มสุ วุตตฺ ํฯ ตตฺถ โย จ ปรโต โฆโส โย จ อชฺฌตฺตํ โยนิโส มนสิกาโร, อิเม เทว ปจฺจยา, ปรโต โฆเสน ยา อุปฺปชฺชติ ปํฺญา, อยํ วุจฺจติ สุตมยปํฺญาฯ ยา อชฺฌตฺตํ โยนิโส มนสิ กาเรน อุปชฺชติ ปํฺญา, อยํ วุจฺจติ จนิ ตฺ ามยปํฺญาติ อมิ า เทว ปํญฺ า เวทิตพฺพาฯ แปล ขอนอบนอ้ มแด่พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ผู้ทรงแสดงปรมตั ถธรรม เพยี บพร้อมดว้ ยคณุ บารมมี ีศลี เปน๐ ตน้ ๑. เหตุ ๒ อย่าง ป๎จจยั ๒ อยา่ ง เพื่ออันเกิดข้ึนแห่งสัมมาทิฏฐ แก่พระสาวก คือ เสียงสะท้อนจากผู้อื่นอันเก่ียวเน่ืองด้วยสัจจะ ๑ การใส่ใจโดยแยบคายถึงอารมณ์ ภายใน ๑ บรรดาเหตุปจ๎ จัยเหล่านน้ั เสียงสะท้อนจากผอู้ ่นื เปน๐ ไฉน? คือ การแสดงธรรม การให้โอวาท การตามสอน การกล่าวถึงสัจจะ และการ คล้อยตามสจั จะ สจั จะ ๔ คอื ทุกข์ ๑ สมทุ ัย ๑ นิโรธ ๑ มรรค ๑ การชี้แจง การเปิดเผย การจําแนก การทําให้ง่าย การประกาศสัจจะทั้ง ๔ เหลา่ น้ี นีท้ า่ นเรียกวา่ เสยี งสะทอ้ นคลอ้ ยตามสจั จะ ๒. บรรดาเหตุป๎จจัยเหล่านั้น การใส่ใจโดยแยบคาย ถึงอารมณ์ภายในเป๐น ใฉน? คือ การใส่ใจโดยแยบคาย ถึงอารมณ์ภายใน ได้แก่ การใส่ใจโดยแยบคายถึง ธรรมตามที่ทรงแสดง โดยไม่คํานึงถึงอารมณ์ภายนอก นี้ท่านเรียกว่าการใส่ใจโดยแยบ คาย อาการแหง่ การใสใ่ จโดยแยบคายน้นั เป๐นแนวทาง เปน๐ วธิ ี เป๐นอุบายโดยแยบคาย บรุ ษุ สีไม้แห้งอนั ปราศจากยาง วางบนบกด้วยไม้สีไฟแห้ง ก็ควรเกิดประกาย ไฟข้นึ ได้ ขอ้ น้นั เพราะเหตใุ ด ? เพราะเขาทําให้เกิดไฟได้โดยอุบายอันแยบคาย ฉันนั้นฯ การทีพ่ ระสาวกน้ันใส่ใจถึงพระธรรมเทศนา ซง่ึ ไม่ขดั กนั กบั ทุกข์ สมุทยั นโิ รธ และมรรคฯ น้ีท่านเรยี กวา่ การใสใ่ จโดยแยบคาย ฉันนั้นเหมอื นกันฯ อปุ มา ๓ ขอ้ ซง่ึ เรายงั ไมไ่ ด้ยนิ และไมเ่ คยไดย้ ินมากอ่ น ย่อมปรากฏแจ่มแจ้ง ฯ ก็บุรุษบางคนยังไม่ปราศจากความกําหนดในกามทั้งหลาย เหตุนั้น ฯลฯ ฉันใด อุปมา ๒ ขอ้ ทีค่ วรกระทําโดยไมใ่ ส่ใจ ได้กลา่ วแล้วในอปุ มาหลังฯ

๒๗๔ บรรดาเหตุป๎จจัยเหล่านั้น ป๎จจัย ๒ อย่างเหล่านี้คือ เสียงสะท้อนจากผู้อ่ืน และการใส่ใจโดยแยบคายถึงอารมณ์ภายใน, ป๎ญญาซ่ึงเกิดข้ึนโดยเสียงสะท้อนจากผู้อื่น นท้ี ่านเรยี กวา่ สุตมยป๎ญญา [ปญ๎ ญาเกิดจากการฟ๎ง] ป๎ญญาซึ่งเกิดข้ึนโดยการใส่ใขจโดย แยบคายถึงอารมณ์ภายใน น้ีท่านเรียกว่า จินตามยป๎ญญา [ป๎ญญาเกิดจากการคิด] พึง ทราบปญ๎ ญา ๒ อยา่ งเหล่าน้ี ดงั นแี้ ลฯ [๒] ตตฺถ กตโม จตุพฺยโู ห หาโร ? ๒๒๒ นริ ตุ ฺติ อธิปปฺ าโย จ พฺยํชฺ นา เทสนาย จ สตุ ฺตตโฺ ถ ปพุ ฺพาปรสนฺธิ เอโส หาโร จตพุ ฺยูโห ตตฺถ กตมา นริ ตุ ตฺ ิ ? สา กถํ ปริเยสิตพพฺ า ? ยถา วุตฺตํ ภควตา เอกาทสหิ องฺเคหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ขิปฺป๏ ธมฺเมสุ มหตฺตํ ปาปณุ าต,ิ อตฺถกสุ โล จ โหติ, ธมฺมกสุ โล จ โหติ, นิรุตฺติกุสโล จ โหติ, อิตฺถาธิวจนกุสโล จ โหต,ิ ปุรสิ าธิวจนกสุ โล จ โหติ, วิปุรสิ าธิวจนกุสโล จ, อตีตาธวิ จนกุสโล จ, อนาคตาธิวจน กุสโล จ, ปจจฺ ุปนนฺ าธวิ จนกสุ โล จ, เอกาธิปปฺ าเยน กุสโล นานธิปฺปาเยน กุสโลฯ แปล ในขอ้ น้นั จตพุ ยูหหาระ เป๐นไฉน ? คอื นริ ุตติ [วิเคราะห์บท] ๑ อธิบาย [ความประสงค์] ๑ เนื้อความพระสูตรแห่ง เทศนา ๑ ปพุ พาปรสนธิ [การเช่ือมต่อบทหน้ากับบทหลัง] ๑ แบบการอธิบายที่เป๐นเหตุ ใหอ้ รรถ มีนิรุตติเปน๐ ต้นแจม่ แจง้ ด้วยพยญั ชนะ นี้เรียกว่า จตุพยูหหาระ ในคาถานั้น นิรุตติ เปน๐ ไฉน ? นริ ตุ ตินั้น พึงแสวงหาไดอ้ ย่างไร ? พึงแสดงหาตามท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๑ ประการ ย่อมถึงความเป๐นใหญ่ในธรรมเร็ว คือ เป๐นผู้ฉลาดในอรรถ ๑ เป๐นผู้ฉลาดใน ธรรม ๑ เป๐นผู้ฉลาดในนิรุตติ ๑, เป๐นผู้ฉลาดในสิ่งท่ีเป๐นอิตถีลิงค์ ๑ เป๐นผู้ฉลาดในสิ่งที่ เป๐นปงุ ลงิ ค์ ๑ เปน๐ ผูฉ้ ลาดในส่งิ ทีเ่ ป๐นนปงุ สกลิงค์ ๑ เป๐นผู้ฉลาดในสิ่งที่เป๐นอดีต ๑ เป๐นผู้ ฉลาดในสิ่งท่เี ป๐นอนาคต ๑ เป๐นผู้ฉลาดในส่ิงที่เป๐นป๎จจุบัน ๑ เป๐นผู้ฉลาดในการอธิบาย ตามข้อธรรมเดยี ว ๑ เป๐นผู้ฉลาดในการอธบิ ายธรรมตา่ งๆ ๑ ๒๒๒ พระมหากจั จายนะ, เปฏโกปเทสปกรณ์ ฉบับภูมิพโลภิกขุ, หน้า ๒๑๕-๒๑๖.

๒๗๕

๒๗๖ หมวด ผ

๒๗๗ หมวด พ พระพุทธบาทมงคล คัมภรี พ์ ระพุทธบาทมงคล๒๒๓ เป๐นคัมภีร์ที่รจนาขึ้นเพ่ืออธิบายมงคล ๑๐๘ เทียบกับพระคุณลักษณะของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เช่น พญานกยูง หมายถึงพระพทุ ธเจา้ ทรงประกอบดว้ ยลกั ษณะมหาบรุ ุษ ๓๑ ประการ และอนพุ ยญั ชนะ ๘๐ ประการ ขอชา้ ง หมายถงึ พระอรหตั มรรคญาณและอรหัตผลญาณ เป๐นต้น คัมภีร์น้ี ไม่ปรากฏผูร้ จนา สถานท่รี จนา แตจ่ ากการวเิ คราะห์ และศกึ ษาลักษณะของการใช้ภาษา และไวยากรณ์ทใ่ี ชใ้ นคมั ภรี ์แล้ว สนั นิษฐานวา่ ผ้แู ต่งนา่ จะเป๐นคนไทย ยุคล้านนา แต่เป๐น ยคุ ทีค่ วามรภู้ าษาบาลไี ดเ้ สือ่ มถอยลงแล้ว สงั เกตไดจ้ ากการใชค้ าํ ไวยากรณ์ภาษา การใช้ ประโยค คัมภีร์พระพุทธบาทมงคลป๎จจุบันมีอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ จํานวน ๙ ฉบับ ในรูปของใบลาน จารขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ บ้าง, รัชกาลที่ ๓ บ้าง โดยจารเป๐นอักษร ขอม มอญ ลักษณะการจาร บางฉบับก็มีข้อผิดพลาดมาก เน่ืองจากผู้จารขาดความรู้ใน ภาษาบาลี ตัวอย่างเนื้อหาจากคมั ภรี ์ อฏฺฐุตตฺ รสตมงฺคลานิ ปน เอวํ สริตพฺพานิ ภควโต เหฏฺฐาปาทตเล สุ จกฺกานิ ชาตานิ สหสฺสานิ สเนมิกานิ สพฺพการปริปุณฺณานิ โหนฺติฯ สตฺติ สิริวจโฺ ฉ นนฺทยาวตฺตํ โสวตฺถิกํ วตฺตํสกํ วฒมานํ ภทฺทปิฏฺฐํ ปาสาโท องฺกุโส โตรณํ เสตจฺฉตตฺ ํ รตนขฺคฺโค โมรหตฺถํ อณุ หฺ สิ ํ รตนวลลฺ ิ มณพิ าลวชิ ฺชานิ สุมน ทามํ รตฺตุปฺปลํ เสตุปฺปลํ ปทุมํ ปุณฺฑริกํ ปุณฺณฆโฏ ปุณฺณปาฏิ จตุสมุทฺโท จกฺกวาโฬ หิมวา สเิ นรุ สุรโิ ย จนฺทมิ า สุนกฺขตฺตา จตตฺ าโร มหาทีปา ทฺวิสหสฺ สา ปริตฺตทีปริวารา สปริวารา จกฺกวตฺติราชา ทกฺขณาวฏฺฏเสตสงฺโข สุวณฺณมจฺฉกยุคลํ สตฺตมหาคงฺคา สตฺตมหาสรา สตฺตมหาเสลา สุปณฺณราชา สํฃสุมารราชา ธชปฏากา รตนปาฏงฺ ฺกี สุวณฺณจามโร เกลาสปพฺพโต สิหราชา พยฺ คฆฺ ราชา ทิปริ าชา พลาทโก อสฺสราชา อุโปสโก วารณราชา ฉทฺทนฺโต วา รณราชา วาสุกิอรุ คคฺ ราชา หสํ ราชา พลกุกกฺ ุฏอุสภราชา เอราวโณ นาคราชา สุวณฺณมงฺกโร สุวณฺณกุมฺภีโร จตุมุขมหาพฺรหฺมา สุวณฺณนาวา รตนปลฺลงฺโฏ ๒๒๓ อัญชลี ปี๑นรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก, [บัณฑิตวิทยาลัย: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๕] ๑๐๗ หนา้ .

๒๗๘ ตาลปณฺณํ สุวณฺณกจฺฉโป สุวจฺฉกาคาวี กินฺนโร กินฺนรี กรวิโก มยูรราชา โกญจฺ ราชา จากวากราชา ชวี ญชวี กราชา ฉกามาวจรเทวโลก โสฬสมหาพฺรหฺม โลก อิมานิ อฏฐฺ ตตฺ รสตมงฺคลานิ ตสฺส ภควโต อุโภสุ ปาทตเลสุ ทิสสฺ นฺตฯิ แปล บุคคลพึงระลึกถึงมงคล ๑๐๘ อย่างนี้ ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระพุทธ บาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค มีจักรเกิดข้ึน มีซ่ีกําข้างละพัน มีกง มีดุม บรบิ ูรณด์ ้วยอาการทง้ั ปวง มงคล ๑๐๘ เหล่าน้ีคอื หอก ลูกววั มีสิริ กลอง โส วัตถิกะ ดอกไม้กรองบนศีรษะ ถาดทอง ภัทรบิฐ ปราสาท ขอ ประตู เศวตฉตั ร พระขรรคแ์ กว้ กําหางนกยูง มงกุฎ สายสร้อยแก้ว พัดมณีวาลวิชนี พวงดอกมะลิ ดอกอุบลแดง ดอกอุบลขาว ดอกปทุม ดอกปุณฑริก หม้อเต็ม ด้วยนํ้า ถาดเต็มด้วย สมุทรทั้ง ๔ จักรวาล พระหิมวันต์ ภูเขาสิเนรุ ดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวนักษัตร ทวีปใหญ่ท้ัง ๔ บริวารคือทวีปน้อยสองพัน ทวีป พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมกับบริวาร หอยสังข์ขาวเวียนขวา ปลาทองคู่ แมน่ ํา้ ใหญ่ ๗ สาย สระใหญ่ ๗ สระ ภเู ขาใหญ่ ๗ ลกู พญาครฑุ พญาจระเข้ ธงชยั และธงปฏาก เกา้ อี้แก้ว จามรทอง ภูเขาไกรลาส พญาราชสีห์ พญาเสือ โคร่ง พญาเสือดาว พญาม้าพลาหก พญาช้างอุโบสถ พญาช้างฉัตทันต์ พญา วาสุกี พญาหงส์ โคอุสุภราชผู้หนอกท่ีทรงพลัง พญาช้างเอราวัณ มังกรทอง จระเข้ทอง มหาพรหม ๔ หนา้ เรอื ทอง รัตนบัลลังก์ พดั ใบตาล เต่าทอง แม่ โคลกู อ่อน กนิ นร กินนรี นกการเวก พญานกยูง พญานกกระเรียน พญานก จากพราก พญานกพริก ฉกามาวจรเทวโลก มหาพรหมโลก ๑๖ ชั้น ย่อม ปรากฏท่ีผา่ พระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคพระองคน์ ัน้ ฯ๒๒๔ ….. ก็บุคคลใดบวชแล้วในพระพุทธศาสนา ไม่ครองผ้าบังสุกุลสีนํ้าฝาดน้ัน บุคคลนั้นแม้บวชแล้วในพระพุทธบาสนา ก็เป๐นเหมือนไม่ได้บวช แต่ยอมเป๐นราวกะว่า คฤหัสถ์เหมือนในกาลก่อน เพราะเหตุใด เพราะท่านกล่าวถ้อยคํามีอาทิจากบาลีว่า “บรรพชาอาศยั ผา้ บงั สุกุลจวี ร” ฉะนนั้ บุคคลน้ันบวชแลว้ ในพระพทุ ธศาสนา ไม่ครองผ้า บงั สกุ ลุ จีวร ท่านกลา่ ววา่ ไมใ่ ชบ่ รรพชิต คาํ ว่า น ปํสกุ ลุ รีวรํ [ธาเรนฺโต] อปพฺพชิโต ดังน้ี น้ี พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ผู้ทาํ สังคายนาพระธรรม กล่าวไว้ในการทําสังคายนาครั้งท่ี ๑ เพราะฉะนั้นถ้าบังสุกุลจีวรสีนํ้าฝาดนั้นชื่อว่า อรหัตมรรคญาณและอรหัตผลญาณ ท่าน ๒๒๔ อัญชลี ป๑ีนรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์, หนา้ ๑๐๓.

๒๗๙ เรียกว่า โสวัตถิกะ มงคลว่า โสวตฺถิก นี้ช่ือว่าอรหักมรรคญาณและอรหัตผลญาณ ผ้า บังสกุ ลุ วีวร สีนํ้าฝาดท่านเรียกว่า ธรรมรัตนะ มงคลว่า โสวตฺถิก นั้นได้นามว่า ผ้าบังสุ กุจจีวรสีน้ําฝาด เป๐นผ้าบริสุทธ์ิจากกิเลสมลทินทั้งปวง การครอง [ผ้าบังสุกุลจีวรสีน้ํา ฝาด] มีอยู่แก่ภิกษุใด ผา้ บังสุกจุ จีวรสนี ้าํ ฝาดน้ันท่านเรียกว่า โสวัตถิกะ มงคลนี้พึงทราบ วา่ ช่อื วา่ ลกั ษณะมงคลแห่งพระพุทธบาทประการที่ ๔ อีกนัยหนึ่งรูปกายของพระผู้มีพระภาคมีสีเพียงดังสีแห่งทอง รูปกายของ พระผู้มีพระภาคมีสีเพียงดังสีแห่งทอง เป๐นราวกะว่าเรือทองแล่นเข้าไปในชัฏแห่งปุา ดอกบัว สัมผัสกับรสดอกบัว ย่อมงดงามรุ่งเรืองยิ่ง อน่ึงรูปกายของพระผู้มีพระภาคน้ัน ยอมงดงามรุ่งเรืองยิ่ง ย่ิงกว่ารูปกายของชาวโลก ๓ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาค พระองคน์ ้ัน ทา่ นกลา่ วว่า เหมอื นเรอื ทองซง่ึ ต้ังอยู่ในท่ามกลางชัฏแห่งปุาดอกบัวรุ่งเรือง อยู่๒๒๕ …… มีภิกษุ ๒ องค์ ภิกษุองค์หนึ่งเป๐นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณของการบรรพชา ได้ชื่อ วา่ บรรพซิตในพระพุทธศาสนา ภกิ ษอุ ีกองค์หน่ึงเป๐นผู้สมบูรณ์ด้วยโทษของการบรรพชา ได้ช่ือว่าไม่ใช่บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ในภิกษุ ๒ องค์นั้น ภิกษุองค์ใดบวชแล้วใน พระพุทธศาสนา ย่อมครองผ้าบังสุกุลจีวร ภิกษุนี้เป๐นสมบูรณ์ด้วยคุณของการบรรพชา ได้ช่ือว่าบรรพชติ ในพระพทุ ธศาสนา ภิกษุองคใ์ ดบวชแล้วในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ครอง ผา้ บงั สกุ ุจจวี ร ภกิ ษนุ ้ี เป๐นผสู้ มบูรณ์ด้วยโทษของการบรรพชา ได้ช่ือว่าไม่ใช่บรรพชิตใน พระพุทธศาสนาดังนแ้ี ล เพราะภิกษุที่ถึงพร้อมด้วยคําว่า เพ่ือประโยชน์ในการทําให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพานอันเป๐นคํากล่าว ถึงปรมัตถ์แห่งสัจธรรม ชื่อว่าครองผ้าบังสุกุลจีวรได้ เพราะเปน๐ ผหู้ นกั แนน่ ในพระธรรม เพราะความเคารพในพระธรรม เพราะเป๐นผู้หนักแนน่ ในพระสงฆ์ เพราะความเคารพใน พระสงฆ์ เพราะฉะน้ันภิกษุนั้น เมื่อไม่รักษาวาจาสัตย์ ย่อมครองผ้าบังสุกุลจีวรไม่ได้ เพราะ ไม่เป๐นผู้หนักแน่นในพระธรรม เพราะไม่มีความ เคารพในพระธรรม เพราะไม่เป๐นผู้หนัก แน่นในพระสงฆ์ เพราะไม่มีความเคารพใน พระสงฆ์ แต่ภกิ ษุหวนระลกึ ถงึ อยซู่ ึ่งถ้อยคําของอาจารย์ผู้เป๐นประมุขของพระภิกษุที่ตน รบั ไวด้ ้วยคําวา่ อาม ภนเต ในเวลาอุปสมบท เปน๐ ปฏญิ ญาทีต่ นใหไ้ วแ้ ลว้ ยอ่ มช่ือว่าครอง ผ้าบังสุกุลจีวรไม่ได้ ถ้าบังสุกุลจีวร นี้จึงทราบว่า มีข้อนี้เป๐นคุณ มีข้อน้ีเป๐นโทษ ท่าน ๒๒๕ อัญชลี ป๑ีนรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วเิ คราะห์, หนา้ ๑๔๒.

๒๘๐ กล่าวอธิบายคํานี้ว่า \"บรรพชาอาศัยผ้าบังสุกุลจีวร\" เป๐น คาชี้แจงว่าเป๐นอริยวงศ์ข้อ แรก๒๒๖ ตัวอย่างยกมาดังกล่าวข้างต้น เป๐นการแสดงนัยรวมทั่วๆ ไป ซ่ึงจะมีท้ังท่ี เป๐นพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสงั ฆรัตนะ ซง่ึ ไม่ได้เกยี่ วข้องกับลกั ษณะ/สัญลักษณ์ต่างๆ ท่ีปรากฏในรอยพระพุทธบาท ในส่วนที่อธิบายสัญลักษณ์มงคลท้ัง ๑๐๘ อย่างในพระ พุทธบาทก็จะมีคําอธิบายโดยละเอียด จําแนกเป๐นประเด็นๆ ไป ดังตัวอย่างประกอบ ต่อไปนี้ ตวั อยา่ งท่ี ๑ มงคลว่า สุวณฺณมงฺกโร ความว่า จริงอย่างน้ัน พระผู้มีพระภาคทรงยัง อรหัตมรรคญาณและอรหัตผลญาณ กล่าวคือวชิรญาณให้เป๐นไปอยู่ อันอะไรๆ ไม่ ขัดขวางแลว้ ในเญยยธรรมอันลึกซ้ึงเช่นกับมหาสมุทร ทรงสามารถเพ่ือท่ีจะตัดขาด เป๐น ราวกะว่าทรงมีกิจอันทรงกระทําแล้วด้วยวิเชียรรัตน์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค พระองคน์ น้ั ทา่ นก็เรยี กว่า มังกรทอง๒๒๗ ตวั อย่างที่ ๒ มงคลว่า วจฺฉกาคาวี ความว่า จริงอย่างน้ัน พระผู้มีพระภาคทรงแสดง โลกุตรธรรม ๙ ชื่อว่าอมตมหานิพพานแก่ชาวโลก ๓ เพราะพระมหาเมตตากรุณาของ พระองค์ ก็เหมือนแม่โคย่อมกระทําเมตตาจิตในลูกโคของตนด้วยความกรุณามาก เพราะฉะนนั้ พระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ ัน้ ท่านเรียกว่า แม่โคลกู อ่อน๒๒๘ ตัวอยา่ งท่ี ๓ บาลี โสฬสมหาพฺรหฺมโลกาติ ตถา หิ ภควา สพฺพญฺญุตญาเณน พุทฺธอนฺตปฏิมณฺฑิโต นวโลกุตฺตรธมฺมสงฺขาตํ คมฺภีรอมตมหานิพฺพานธมฺมํ วิ จาเรติฯ อถ สพฺเพ พฺรหฺมคณา ปน อเนกโกฏิสตสหสฺสานิ อนฺตโน สนฺติเก ธมฺมํ โสตกุ ามตา พรฺ หฺมโลกโต อาคจฺฉนฺติฯ อถ ภควา สพฺเพสํ พฺรหฺมคณานํ ๒๒๖ อัญชลี ป๑ีนรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์, หน้า ๑๔๕. ๒๒๗ อัญชลี ปี๑นรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วเิ คราะห์, หนา้ ๑๘๑. ๒๒๘ อัญชลี ปี๑นรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์, หนา้ ๑๘๓.

๒๘๑ นวโลกุตฺตรธมฺมสงฺขาตํ คมฺภีรอมตมหานิพฺพานธมฺมํ เทเสสิฯ เตสุ สพฺเพสุ พฺรหฺมคเณสุ อเนกโกฏิสตสหสฺเสสุ อฏฐฺ ารสพรฺ หฺมโกฏิโย อมตมหานพิ ฺพานธมมฺ ํ ปาปุณึสุ, อวเสสา พฺรหฺมคณา เอกถฺวา โสตาปนฺนา เอเหสํฃ, เอกถฺวา พฺร หมฺ ณา สกทาคามิโน อเหสํฃ, เอกถฺวา พฺรหฺมคณา อนาคามิโน อเหสํฃฯ ตสฺ มา โส ภควา โสฬสมหาพฺรหฺมโลกาติ วุจฺจตฯิ ตตฺถ อมตมหานิพฺพานธมฺมนฺติฯ อรหตฺตนิพฺพานกูฏํ นาม อมตํ อจุตํ อชาติ อชรา อพฺยาธิ อมรณนฺติฯ ตสฺมา อิทํ นิพฺพานํ สพฺพพุทฺเธน อมตนตฺ ิ วุจฺจตฯิ อิทํ อฏฺฐกถา พฺรหฺมาย วินิจฺฉยสมตฺตํ อถวา อฏฺฐกถาพุทฺธปา ทลกฺขณมงฺคลั สมตฺถํ อทิ ํ อติคมภฺ รี สุขุมสพพฺ ธมฺมานํ เยน ปุคคฺ เลน อุสฺสาเหน วายาเมน วนิ จิ ฺฉยํ อคุ คฺ หติ ํ โหตฯิ พุทธฺ ปาทมงฺคลวณฺณนา นฏิ ฺฐิตา ฯ๒๒๙ แปล มงคลว่า โสฬสมหาพฺรหฺมโลกา ความว่า จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาค ประดับแล้วด้วยพระคุณอันสูงสุดของพระพุทธเจ้าด้วยสัพพัญํุตญาณ ย่อมพิจารณา ซึง่อมตมหานิพพานธรรมอันลึกซึ้ง กล่าวคือโลกุตรธรรม ๙ เม่ือเป๐นเช่นน้ัน หมู่พรหม ท้ังหมดหลายแสนโกฏิย่อมมาแต่พรหมโลก เพราะเป๐นผู้ปรารถนาเพ่ือฟ๎งธรรมในสํานัก ของพระองค์ ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอมตมหานิพพานธรรมอันลึกซึ้ง กลา่ วคือโลกุตรธรรม ๙ แกห่ มูพ่ รหมท้งั หมด ในหมพู่ รหมทั้งหมดหลายแสนโกฏิเหล่าน้ัน พรหม ๑๘ โกฏิ บรรลแุ ล้วซ่งึ อมตมหานพิ พานธรรม พรหมทีเ่ หลือได้เป๐นโสดาบันพวก ๑ หมู่พรหมไดเ้ ป๐นสกทาคามีพวก ๑ หมพู่ รหมได้เปน๐ อนาคามพี วก ๑ เพราะฉะน้ัน พระผู้มี พระภาคพระองคน์ นั้ ท่านเรียกวา่ มหาพรหมโลก ๑๖ บรรดาบทเหล่าน้ัน บทวา่ อมตมหานพิ พาน คือช่ือธรรมมีพระอรหัตผลและ พระนิพพานเป๐นยอด ไม่ตาย ไม่เกิด ไม่มีความเกิด ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บไข้ ไม่มี ความตาย เพราะฉะนั้น พระพทุ ธเจ้าทุกพระองค์จงึ ตรสั เรียกพระนพิ พานว่า อมตะ อรรถกถาน้ีจบแล้ว พร้อมด้วยการวินิจฉัยท่ีประเสริฐ อีกอย่างหน่ึง พุทธ บาทลักษณะ มงคลซึ่งเป๐นอรรถกถา จบแล้ว อันบุคคลย่อมศึกษาเล่าเรียนการวินิจฉัย สรรพธรรมอันลกึ ซ้ึง และละเอยี ดยง่ิ น้ีด้วยความอตุ สาหะพยายาม จบการพรรณนาพุทธบาทมงคล๒๓๐ ๒๒๙ อัญชลี ปี๑นรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์, หน้า ๑๓๐.

๒๘๒ พระมาลัยคาหลวง พระมาลยั คาํ หลวง๒๓๑ เป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ หรือ พระนามสามัญว่า เจ้าฟ้ากุ้ง กวียอดเย่ียมพระองค์หนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย ระยะเวลาท่ีแต่งระบุวันพฤหัสบดี แรม ๗ คํ่า เดือน ๕ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๒๘๐ ตีพิมพ์ในรูปหนังสือคร้ังแรกเม่ือ พ.ศ.๒๔๗๘ ฉบับที่ใช้สําหรับการ อ้างอิงคร้ังน้ี กรมศิลปากรได้ชําระ และจัดพิมพ์อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพนาง เจียน ผดงุ เกียรติเม่ือ พ.ศ.๒๕๐๙ จุดมุ่งหมายของการแต่ง นัยว่า เพื่อเป็นการลบล้างอกุศลกรรมท่ี ทรงฟันพระภิกษุเจา้ ฟา้ กรมขุนสเุ รนทรพิทักษ์ ขณะประพันธ์พระมาลัยคําหลวง ทรงผนวชอยู่ ณ วัดโคกแสง จุดมุ่งหมายอีกประการหนึ่งคือเพ่ือหวังจะได้พบ พระศรีอริยเมตไตรย อันถือเป็นอุดมคติอย่างหน่ึงของของผู้แต่งวรรณกรรม ทางพระพุทธศาสนาโดยท่ัวไป ว่าโดยเนื้อหา พระมาลัยที่รู้จักกันแพร่หลายก็คือพระมาลัยกลอน สวด ในตาํ นานกลา่ วว่า พระมาลยั เปน็ พระอรหันตเถระองค์สุดท้าย ท่านเกิดที่ โรหชนบท ในเกาะลังกา มีอิทธิฤทธ์ิไปโปรดสัตว์ถึงนรก เหาะเหิรเดินอากาศ ขึ้นไปบนสวรรค์ ไดพ้ บพระศรีอริยเมตไตรย ซ่ึงจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน ภายหน้า เค้าเรื่องค่อนไปทางคติมหายาน เพราะทางมหายานมีพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่ง ช่ือว่า กษิติครรภ เสด็จไปโปรดสัตว์นรกเสมอ จนถึงพิธีกงเต็กก็จะ ขาดรูปพระกษิติครรภไม่ได้ แม้ในอานัมนิกายก็เรียกพระกษิติครรภว่า พระ มาลัย แต่เดิมการสวดพระมาลัย นิยมสวดในงานพิธีมงคลบ่าวสาวขณะที่ เจ้าบา่ วไปนอนเฝ้าหอ ฝา่ ยเจา้ สาวก็จะชายที่เป็นบัณฑิตฝ่ายละ ๒ คน มาสวด มาลยั สตู รเป็นทาํ นองโอครวญออ่ นหวาน เพ่ือเป็นการสั่งสอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประพฤติแต่สิ่งท่ีเป็นประโยชน์บริสุทธิ์ ต่อมาประเพณี ดังกล่าวเลือนๆ กันไป มาบัดนี้ใช้แต่ในการสวดหน้าศพ และแม้การสวดหน้า ศพปจั จบุ ันกเ็ ลือนๆ ไปอีกเช่นกัน พระมาลัยคําหลวง แต่งเป็นร่ายสุภาพ บางแห่งมีลักษณะคล้าย กาพย์ยานีปนอยู่บ้าง มที ง้ั ภาษาไทย และภาษาบาลผี สมกันไป มีคาถาบาลีสั้นๆ ๒๓๐ อัญชลี ปี๑นรอด, คัมภีร์พระพุทธบาทมงคล: การตรวจชาระและการศึกษาเชิง วเิ คราะห์, หนา้ ๑๘๕. ๒๓๑ เจา้ ฟาู ธรรมธิเบศ, พระมาลัยคาหลวง, [พิมพ์เป๐นอนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางเจียน ผดงุ เกียรติ ๑๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๐๙], ๖๔ หน้า.

๒๘๓ แทรกอยหู่ นา้ บท สว่ นตอนท้ายเป็นโคลงสี่สุภาพ ภาษาที่ใช้สละสลวย มีสัมผัส ระหว่างคํา และระหว่างวรรค ซึง่ เหมาะสําหรับการสวดเป็นทว่ งทาํ นอง เนื้อหาโดยสรุป๒๓๒ พระมาลัยคําหลวงเร่ิมต้นด้วยบทบูชาพระรัตนตรัย และบอกที่มา ของหนังสือ แล้วเร่ิมเน้ือความ การดําเนินเร่ืองมีทั้งการบรรยาย พรรณนา และบทสนทนาโตต้ อบ เนอ้ื เรื่องในพระมาลัยคําหลวงจะแบ่งได้เปน็ ๕ ชว่ ง คอื ชว่ งที่ ๑ แนะนาํ พระมาลัย ช่วงที่ ๒ เหตุการณ์บนโลกมนุษย์ พระมาลัยรับดอกบัวจากบุรุษ ยากจน ช่วงท่ี ๓ เหตกุ ารณ์บนสวรรค์ พระมาลัยไปบูชาพระจุฬามณีเจดีย์ และได้สนทนากบั พระอนิ ทรเ์ รอื่ งเทวดาตา่ งๆ ช่วงท่ี ๔ เหตุกรณ์บนสวรรค์ พระมาลัยได้เข้าเฝ้าพระศรีอริย เมตไตรย ช่วงท่ี ๕ เหตุการณ์กลับคืนสู่จุดเร่ิมต้น คือพระมาลัยเสด็จกลับ มนษุ ย์โลก ตัวอยา่ งคัดมาประกอบ๒๓๓ พระมาลัยคาหลวง นโม อันว่ากฤษฎาญชวลิตวา มม แห่งข้าผู้ภักดี อตฺถุ ขอจงมีเนืองนิตย์ ตสสฺ นาถสสฺ แก่บพิตรอศิ วรารัตน์ อันสรณัศแหง่ ตรโี ลก อันขา้ มโอฆอมร นิกรนรสบสัตว์ ภควโต ผธู้ รงศีลศรีสวัสด์ิ ชยัสดุมงคล สุวิมลวิบุลย์ อดุลยาวิเศษ อรหโต ผู้ตัดเกลศเป๐น สมุจเฉทปหาน ผลาญกําสงสารให้หัก เผด็จกงจักรสงสาร ให้ทําลาย ญาณาสินา ด้วย มารคญาณหมายอันอุตตม์ ดุจเพชราวุธฟ๎นฟาด ดุจอสนีบาตผาดผลาญ จําราญให้ขาด ดายเดจ็ สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สฺส พระสรรเพชญก์ ต็ รัส ดาํ รัสไญยธรรมแท้ถ่อง โดยทํานองพุทธ กิจ มิได้วิปริตนิจผล ดํากลเป๐นแก่นสาร โดยอาการอันควร ถ้วนท้ังมวลทุกประการ สมุปฺปจิตสมฺภารนิพฺพตฺตสยมฺภูญาเณน ด้วยสยมภูญาณอันเลิศ บังเกิดแต่โพธิสมภาร วิสทุ ธิ์ อนั พระพทุ ธได้สําสม แตบ่ รมนายกาจารย์ เนืองนานได้ส่ีอสงไขย กําไรยิ่งแสนมหา กัลป์ ทุกอันสรรพ์ได้บําเพ็ญ ถึงเบญจมหาบริจาค อันยากท่ีผู้จะทําได้ เธอก็ให้ด้วยง่าย ๒๓๒ อรอนงค์ พัดพาด,ี “พระนิพนธป์ ระเภทคําหลวงของเจ้าฟูาธรรมธิเบศร”, วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบณั ฑิต แผนวิชาภาษาไทย, [บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๑], หน้า ๑๓๖-๑๓๗. ๒๓๓ เจา้ ฟาู ธรรมธเิ บศ, พระมาลยั คาหลวง, หนา้ ๑-๖.

๒๘๔ จับจา่ ยทรัพย์ด้วยงาม บเข็ดขามความประดาษ องอาจฤไทยเสลขสละ บอาทระแก่ชีวิต เธอปลิดปลงส่งเป๐นทาน สําเร็จการจ่ึงตรัสเสร็จ เป๐นพระสรรเพชญ์มุนี สูรโมลีปิ๑นเกล้า เจ้าจอม โลกนี้แล ฯ โคลง  นโมนมัสตัง้ บังคม อภิวันท์สรรเพ็ชญ์สม โพธิพ้น ธรงคณุ ดลุย์บรม พิรภาพ อนมุ านญาณยศล้น เลศิ ดว้ ยพทุ ธคณุ ฯ จบนโม  สรุ นรมหณิ ยิ ํ พทุ ธฺ เสฏฐฺ ํ นมติ ฺวา สคุ ตปภวธมมฺ ํ สาธสุ ฆํ ญฺจ นตวฺ า สกลชนปสาทํ มาลยํ นาม วตฺถํฃ ปรมนยวจิ ติ ตฺ ํ สมาสา อารพภฺ ิสฺสนฺตฯิ  ขอถวายนมัสประนม เรณูบรมบทรัตน์ ด้วยทัศนขสโมธาน อลงการอภิวาท บรมนารถบพิตร วิชิตมารภิมต อลงกฏวิสุทธิ์ พระจอมมกุฏ มหัศจรรย์ อมรนรสรรพ์สูรพรหม บังคมบทบรรเจิด ประเสริฐสวัสด์ิมหิศโร โลกเกษเชษฐไตรพิธ โมลิศจธุ ามณี ศรีสรรเพชญดาญาณ สุคตปภวธมฺมํ อัน ว่านมัสการสุเบญจางค์ ด้วยอุตมางคศิโรเพศ โอนวรเกษวิสุทธ์ิ นบพระนว โลกุตรธรรม คืออํามฤตาโมทย์ หล่ังจากโอษฐ์ทิพยรส พระศรีสุคตสมโพธิ คัมภีโรชสุขุมอรรถ อันนําสตั ว์จากสงสารโลก สู่บทโมกข์เกษมสุข นฤทุกข์แท้บ มีเทวษ นฤเภทแท้บมีไภย ไกลอริราชศัตรู อันกล่าวคือหมู่อกุศล ประทุษฐกล ทุรยศ สํฆญฺจ นตฺวา ข้าขอประนตบงกชมาลย์ แห่งพระอัษฏารยาวิเศษ อันนฤเกลศผัดแผ้ว นฤราคแร้วราคี ข้าก็สดุดีพุทโธรส สงฆสมมตสามรรถ ธรงพระจตปุ าริวิสุทธิ์ อุดมทฤษพิเพท เป็นเกษตรเขตต์กุศล อันนรชนช่ืนบาน ถวายซงึ่ ทานทักษิณา ให้ลุอจิ ฉาสัมฤทธิ์ ประสิทธิสมบัติไตรพิธ ประนิตด้วยวร ทาน อนั อตุ มานยิง่ ไซร้ คิดสงิ่ ใดจ่งุ ได้ เสรจ็ ซงึ่ นฤพานฯ สพฺพสุภมตฺถุ อันว่าสรรพสวัสด์ิ แห่งพระรัตนไตรย จงมีในเศียรข้า จง ศรัทธาทุกเมื่อ ด้วยเพ่ือข้ากระทํานมัสการ โอนโมลีธารเทรอดเกษ ต่อพระเดชพระไตร รัตน์ ด้วยสักกัจจเคารพ นบอภิวันท์ อคร้าว ข้าจะขอกล่าวตามพระบาลี ในคัมภีร์พระ มาลัย ตามอัชฌาศรัยอัตโนมัติ ให้โสมนัสศรัทธา แก่นรนราสรพสัตว์ วิจิตรอรรถโดย ไสมย อันจาํ เริญในมนัส ขอสรรพสวสั ด์ิจงมี แกข่ า้ น้ีไซร้  จบเส็จอภิวาทไหว้ วนั ทา

๒๘๕ พระรัตนไตรยา ยิง่ ไซร้ จักแถลงแหง่ เถรา ภริ ภาพ พระมาลยั เทพไว้ อา่ นอา้ งเปน๐ ผล  อตเี ต กริ ติรตนปตฏิ ฐฺ านภเู ต ลงกฺ าทปี สงขฺ าเต ตามพฺ ปณณฺ ิมยทเี ป ฯ กษณนั้นดั่งจะฦาเลื่อง แต่บั้นเบ้ืองกาลไกล พระรัตนไตรยประดิษฐา ใน ลังกาทปี ดามพ์ โรหนคามบรเิ วณ ปากโฏ มาลยเทวตฺเถโร นาม มีพระมหาเถระหนึ่งไซร้ ชลาไศรยแห่งหั้น ในบ้านนั้นส้องเสพ มาลัยเทพนามา มีศรัทธาประสิทธิ์ ท่านธรงฤทธิ์ ประเสริฐ ปรีชาเลิศสามรรถ สุขุมอรรถสัจจา สิ้นราคาทิกิเลศ ศีลวิเศษสันโดษ ปอง ประโยชนจ์ ะโปรดสัตว์ ธรงอรหัตต์อดุล ธรงคุณคัมภีรัตน์ ปรากฏสรัทการา ในศาสนามุ นิวรณ์ ด่ังจันทรจรจรัส ปรัศว์พื้นคัคณา ยถาปิ โมคฺคลฺลาโน จ ดุจพระโมคคัลลาน์ล้น เลิศ ประเสริฐเมตตาจิตต์ เสด็จด้วยฤทธิสามรรถ ไปโปรดสัตว์นรกานต์ แล้วเห็จทยาน ทางสวรรค์ โปรดอมรรสรรพเทเวศร ด้วยธรรเมศประเสริฐ การุญเลิศลบสมัย เทวตฺเถโร ฐิโต ตถา ส่วนพระมาลัยเรืองฤทธ์ิ ฤๅผิดเพียงพิมพ์เดียว ธโทนเท่ียวหรรเห็จ ครั้งหน่ึง เสด็จคลาไคล ยังต่ําใต้นรกานต์ หวังประทานความสวัสด์ิ ให้ฝูงสัตว์รํางับ ดับกรรหาย ทุกข์เทวศ ด้วยพระเดชพระองค์ จงจักให้สุขัง คร้ันสัตว์ส่ังความอนาถ มาถึงญาติ พงศพ์ ันธ์ุ ให้ธรงธรรม์ธรับรอง ธปองมาแจ้งทุกสิ่ง หฤทัยย่ิงการุญญา ธพิจารณาฝูงสัตว์ ทนทุกข์สหัสสาหส กําสรดแสนสุดเทวศ ด้วยอาเภทผลกรรม ทํามาเองฤๅหยุด พหูคุโณ นรกาน เทวนาญฺจ พหคู ุโณ ธธรงคุณสดุ สรวงสวรรค์ ท้ังนิริยันยมโลก หวังดับโศกโศกา ครง้ั หนึ่งจราหรรเหจ็ ลดั มอื เดด็ เดียวดล นรกายลบทันนาน ด้วยฤทธิญาณจําเรอญ ก็พัญ เออญภูลสิงหาศน์ ปทมุ มาศเท่ากงจักร พระองค์อรรคเสด็จนั่ง เป๐นบัลลังก์ไพจิตร ธก็ทํา ฤทธิ์มหศั จรรย์ เยน็ ฝนสวรรคเ์ ซงซู่ ดบั เพลิงวู่วอดกาย ทําลายโลหกุมภี เป๐นธุลีม้วยหมด แม่น้ํากรดแสบร้อน แห้งขอดข้อนเหือดหาย ภูเขาเพลิงกลายดับดาษ ไม้งิ้วขาดหนาม ขจดั สรรพสตั วน์ ริ ยา ดับทุกขาเกษมสานต์ วันทนาการกราบเกล้า พระเจ้ามาแต่ ใด จ่งึ มาใหศ้ ุขแก่ข้า พระเถราพจนาท เรามาแต่ชาติมนุสสา ฝูงนรกาฟ๎งข่าว อันธกล่าว เปรมปรีดิ์ จงึ่ ทลู คดพี ระเป๐นเจา้ จงโปรดเกล้าลัดตา บอกฐานาที่อยู่ ขอพระผู้เป๐นเจ้า จง บอกเล่าแกญ่ าติ แหง่ ข้าบาทอันมี ในบุรชี ื่อน้ัน ในบ้านอันชื่อนี้ ชนบทมีช่ือไกล บอกนาม ในบิตุเรศ อยู่ประเทศท่ีนั้น นามพงศ์พันธ์ุนานา บุตรธิดาสามี มาตุภคินีพ่ีชาย ให้ ทั้งหลายเร่งทํา กุศลกรรมส่งมา ให้บูชาพระพุทธ ธรรเมศอุดมเลิศ สงฆ์ประเสริฐศีลา จารย์ แล้วใหท้ านยาจก ทักษโิ ณทกสง่ มา แก่ฝงู ข้าทุกทน จ่ึงจะพน้ จากทุกขา

๒๘๖ พระเถราฟ๎งสาร รับพจมานทุกอัน ธเหาะหรรษ์ด้วยฤทธิรุด เถโร อาคนฺตวา ธคืนยังมนุษย์สถาน นําอาการพิบัติ มีแก่สัตว์นรกานต์ โดยวิตถารธแถลง กล่าวสําแดงแก่ชน ท่ัวสากลมาฟ๎ง เธอบอกตามส่ังฝูงญาติ ให้ชนชาติเร่งทํา กุศลกรรม บหึง อทุ ศิ ถึงพงศพ์ นั ธุ์ จงฉับพลันอยา่ ช้า เขาจะพน้ ทุกขาดรู ดล ครน้ั ฝูงชนไดย้ นิ พระศาสน์ วา่ ฝูงญาติทุกข์พิบัติ ก็โทมนัสร่ําไร ได้ฟ๎งไภยใน นรก กต็ น่ื ตระหนกประพร่ัน อภิวันทน์พระไตรสรณา ทําทานาทิกุศล บําเพ็ญผลบุญญา แลว้ พงศาจึ่งอุทิศ กุศลอิฏฐ์ส่งให้ ขอจงได้แก่เผ่าพันธ์ุ พ้นจากสรรพทุกขา ด้วยเดชาเรา แผ่ผล กุศลทักษฺโณทุก ครั้นตกเมธนีธาร ฝุายนรกานต์ปรีดา อนุโมทนาส่วนกุศล บัดส้ิน สกนธ์ชนมชาติ ด้วยเดชอาตม์อนุโมทน์ กุศลโสดอุบัติ ในทิพยรัตนพิมาน อันอลังการ ภริ มย์ สมบัติอุดมโอฬาร ไทธรงญานเสด็จถึง ยังไตรตรึงส์บนาน เห็นพัสถานเทเวศ อัน พเิ ศษโดยอิษฏ์ิ ด้วยกศุ ลฤทธส์ิ ่งให้ อานภุ าพในพระไตรรตั น์ ดว้ ยกระกดั ิศรัทธา พระเถรา ทฤษฎี แล้วก็จรลีบนาน มากล่าวสารแสดงให้ ชนแจ้งใจทุกอัน ดุจเห็นสวรรค์แก่ตา ชน ศรัทธาสามารถ ในพระศาสน์สรรเพ็ชญ์ เร่งสําเร็จกุศลบุญ อันเพ่ิมพูนบประมาท อุททิศ ถงึ ญาติเนืองนติ ย์ จงจติ ต์ใฝุในทาน ทุกทั่วสถานแหล่งไหล้ พรอะได้ฟ๎งพจน์ไท้ ท่านแจ้ง ทุกอนั ฯ ขอ้ สงั เกตเก่ียวกับรา่ ยสภุ าพ พระมาลัยคําหลวงแตง่ ดว้ ยร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพคือร่ายท่ีใช้คําสุภาพ คือคํา ทไี่ มม่ วี รรณยุกต์กาํ กับ ดังแผนผงั ฉนั ทลักษณต์ ่อไปน้ี ร่ายสภุ าพมีกําหนดดงั น้ี ๑. จานวนคาท่ีใช้ วรรคหนึ่ง ๕ คํา เกินกว่านั้นก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน ๗ คํา หากจะเกิน ๗ คํา ควรจะเป๐นคําผสม หรืออสาธารณนามท่ีสําคัญ ความยาวส้ันไม่บังคับ แต่ต้องจบลงด้วยโคลง ๒ สภุ าพ

๒๘๗ ๒. การส่งสัมผัส คําสุดท้ายของวรรคแรกส่งไปยังคําที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของ วรรคตอ่ ไป โดยถ้าส่งดว้ ยคาํ ท่ีลงวรรณยุกต์ ก็ตอ้ งรับดว้ ยคําท่ีลงวรรณยุกต์ให้ตรงกัน ถ้า สง่ ดว้ ยคาํ หนักหรอื เบา กต็ อ้ งรบั โดยคําหนกั หรอื เบาใหต้ รงตามคาํ สง่ ๓. คาสรอ้ ย โดยปกตมิ คี าํ สรอ้ ยตามลกั ษณะของโคลง ๒ สภุ าพ จะมีหรือไม่ กไ็ ด้ หรือจะมสี ร้อยสลับไปทกุ วรรคแต่ต้นจนจบก็ได้ ซึ่งสร้อยแบบน้ี เรียกว่า สร้อยสลับ วรรค ข้อสงั เกตเกีย่ วศิลปะการประพนั ธ์๒๓๔ ๑. เสียง เสียงเสนาะเป๐นคุณค่าประการสําคัญของพระมาลัยคําหลวงอัน เกดิ จากส่ิงต่างๆ ดังต่อไปนี้ ก] สัมผัส มีท้ังสัมผัสภายในวรรค และเล่นเสียงสัมผัสระหว่างวรรคท่ี อยใู่ กลเ้ คียงกนั เช่น “ดสู ว่างไสวกลดกล้ิง”, “ลัดมอื เดด็ เดียวดล”, “ดับเพลิงวู่วอดวาย”, บ่บ่ายเบอ่ื บญุ บาล”, ก็กอบกวาดก่อโกยกอง”, “กรกู รวิ้ โกรธเกรยี งไกร...เกล่ือนกล้มุ โกรธ แก่กัน”, เอาโภชน์ตนแตง่ ถวาย เอาภาชน์ผายตามตรอก ตักเตือนบอกบา้ นอนื่ ” เปน๐ ตน้ ข] ลีลาจังหวะ มีลีลาจังหวะสมํ่าเสมอ และราบเรียบ เพราะแต่งด้วย คําประพันธ์ร่ายสุภาพที่กําหนดวรรคละ ๕ คําทุกวรรค เช่น “ป๑ินอมรกล่าวดุจเก่า เธอ แถลงเลา่ กรรมฤา อนิ ทร์ว่าคอื เทเวนทร์ เปน๐ สามเณรนอ้ ยนัก...นงั่ นวดฟ๒๎นเฟี๒ยมเฝาู กวาด ผลเผาผดั แผว้ ” เป๐นต้น ค] การเลียนเสียงธรรมชาติ คําเลียนเสียงธรรมชาติมักเป๐นคําสัมผัส อักษรทั้งสิ้น เช่น “....เป๐นฝนสวรรค์เซงซู่ ดับเพลิงวู่วอดวาย...”, “....ห่าฝนสวรรค์ไหล หลงั่ กง่ึ เดือนครงั้ หนึ่งตก เซงซู่ซกเทย่ี งคืน...ยานย่างยงู ยอมใหญ่ ลมลาศไล้เล่ืองฦา เสียง องึ ฮีอหวนหืน กกึ กอ้ งครึ้นครึม้ ไพรเซงซา่ ไสวลมลดั กิง่ กวาดกวัดแกว่งไกว” เป๐นต้น ง] การเล่นคา ถือเป๐นลักษณะเด่นท่ีสุดของพระมาลัยคําหลวง ท้ังการ เล่นคาํ ตามบัญญัติบังคับ คอื กลบทตา่ งๆ และการเล่นคําทีก่ วปี ระดษิ ฐ์ขึ้นเอง ตัวอยา่ ง สรรเสริญเยินยศหย้ิง เมตไตรย ธรอทิ ธ์ิฤทธิ์เกรียงไกร เกริกหล้า ทรงคุณการุณใน นรชาติ โองการสารล่ังข้า ใคร่ใหท้ นั องค์ฯ ๒๓๔ ดรู ายละเอียดใน อรอนงค์ พัดพาดี, “พระนิพนธ์ประเภทคําหลวงของเจ้าฟูาธรรมธิเบ ศร”, หนา้ ๑๓๘-๑๕๑.

๒๘๘ จอมจักรจักใคร่คมุ้ ครองสัตว์ สง่ สารสารสัง่ อรรถ ถถี่ ้อง ทรงธรรมธรรมเตอื นตดั ตวั บาป สนิ้ กรรมกรรมจักขอ้ ง ขา่ ยเปลอ้ื งพบองคฯ์ เดชะข้ากล่าวแกลง้ ศภุ สาร เดชะแถลงนิทาน เทียบไว้ เดชะเพียรเจียรกาล จนเสรจ็ เดชะบุญแต่งให้ พบไท้ทรงธรรมฯ จาํ นงนับดว้ ยจิต จํานงนิจด้วยเพียร จําหนับเขียนลิขิต จํานองลิลิต กลกลอน ประดษิ ฐอกั ษรระเรียบ ประดับระเบยี บอักษร ประดาเพียญชนะบขัด ประสงค์ ซ่งึ อรรถตามฉบับ ประสานศัพท์บ่ให้ผิด ประเสริฐในนิติโดยบรรพ์ ประเสริฐรสธรรม์อม ฤตย์ ประกอบพฤติพจนา ประดิษฐ์สาราสัมฤทธ์ิ ประสทิ ธิ์วจิ ิตรบรบิ ูรณ์ฯ ๒. คา คําในพระมาลัยคําหลวงเปน๐ คําท่ีวิจิตรบรรจง และสื่อความหมายได้ ลกึ ซงึ้ สว่ นใหญ่เปน๐ คาํ ทมี่ าจากบาลแี ละสันกฤต และเขา้ ใจไดง้ า่ ย ก] การใช้รูปคาต่างๆ เพ่ือหมายความถึงสิ่งเดียวกัน เช่น เรียกพระ อินทร์ว่า ท้าวมัฆพาน สมเด็จพระวัชรินทรราช ท้าวเทวราช เทวราชา เจ้าไตรตรึงส์ ท้าวสหัสไนย อนิ ทร์ โกสีย์ อนิ ทิรา สรุ ินทรา ตรีเนตร มัฆวาฬ สุชมบดี ปิ๑นอมร พันเนตร เท้าอมร วิชรัญ ท้าวอมเรศ วิไชยสุรารักษ์ เจ้าดึงษ์สวรรค์ ท้าวผู้วชิราวุธ ท้าวสักโก เทวราช ฯลฯ, เรยี กคาํ กริยาที่แสดงอาการไปว่า เห็จทยาน, เสด็จ, หรรเห็จ, เท่ียว, คลา ไคล, จรลี, ยูรยาตร, ไต่เต้า, เดิน, ลีลาศ, อิริยาตร, เหาะระเห็จ, จร, ลีลา, จรัลจรา, คมนาการ ฯลฯ ข] การเลืกเฟ้นคาให้เหมาะกับเน้อื เรือ่ ง เช่น ธโทนเทย่ี วหรรเห็จ, สงฆ์ อายาจน์โทนเท่ียว, อันว่าสาวสุรสุรางค์...ล้อมพระมาลัยเจ้า เฝูาเฟ๒ียมอภิวันท์, นั่งนวด ฟ๎น๒ เฟย๒ี มเฝาู , อนั ว่าผลใดทา่ นอวย, ครง้ั หนงึ่ จราหรรเห็จ ลัดมือเด็ดเดยี่ วดล เปน๐ ต้น ค] การเปลี่ยนรูปคาและการออกเสียงเพ่ือให้เอื้อสัมผัส เช่น ในเม่ือ พระอรหันต์ กล่าวาจันพจโน กับท้าวสักโกเทวราช, พระสถูปผดุงผดานิตย์ มารดรปิตุ อปุ ถัมภ์ เป๐นตน้ ๓. ความหมาย

๒๘๙ ก] โวหาร พระมาลัยคําหลวงใช้โวหารครบทั้ง ๕ ชนิด ท้ังบรรยาย โวหาร พรรณนาโวหาร อปุ มาโวหาร สาธกโวหาร และเทศนาโวหาร ข] การเปรียบเทียบความขัดแย้ง คือการนําสิ่งที่มีลักษณะขัดกันมา กล่าวคู่กัน ทําให้เกิดความหมายและภาพพจน์ท่ีเข้มข้น ประดุจสีขาวกับสีดํา เช่น ทุก มนุสสาสตั ว์ชาติ ท้งั จตบุ าททวบิ ท บประทษฐ์อดใจกัน มีแตค่ วามฉนั ทเ์ มตตา คือฝูงกาแล นกเคา้ รกั คลงึ เคลา้ คลอเคยี ง แมวเมินเมียงรักหนู พังพอนงูหฤหรรษ์ เสือใจฉันท์ชมเน้ือ สหี ราชเชื้อเชยทราม เปน๐ ต้น ค] สัญลักษณ์ พระมาลัยคําหลวงเป๐นวรรณกรรมท่ีเขียนแบบ สญั ลกั ษณ์เกอื บทงั้ เรื่อง กล่าวคือ พระศรีอริยเมตไตรยเป๐นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ พรอ้ มในอนาคต, โลกยุคพระศรีอาริย์คอื สญั ลกั ษณ์ของดนิ แดนอันบรมสุขซึ่งมนุษย์ใฝุฝ๎น ถึง พระอนิ ทร์เปน๐ สญั ลักษณข์ องความดงี าม เป๐นต้น ง] จินตนาการ จนิ ตนาการในพระมาลยั คาํ หลวงเกดิ ขนึ้ จากส่ิงที่กวีเคย พบเห็นในชีวิตจริงแล้วใชค้ วามคดิ คํานึงขยายให้พิสดารย่ิงข้ึน เช่น จินตนาการเร่ืองนรก เกิดจากความรสู้ ึกทกุ ขท์ รมานต่างๆ เช่น ความร้อน ความหนว ความหิว ความเจ็บปวด ความมืด ฯลฯ สะท้อนออกมาเป๐นกะทะทองแดง, โลหะกุมภี, ต้นงิ้ว, แม่นํ้ากรด การ จนิ ตนาการถงึ สงั คมในอดุ มคติ เปน๐ ตน้ จ] การกล่าวเกินจริง นอกจากจะปรากฏในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แล้ว ยังปรากฏในการพรรณนา เช่น บ้างถือไม้ไลย่ ทุ ธ ถืออาวุธวางว่ิง ฟ๎นฟาดกล้ิงเกลือ นกลาด ตายเดยี รดาษดาลเดือด ลุยลาญเลอื ดลามไหล ดจุ นาํ้ ในนองสมทุ ร เปน๐ ต้น พงษาดารกรงุ ศรีอยุธยา พงษาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ภาษามคธ๒๓๕ ตน้ ฉบับได้มาจากกรุงกัมพูชา พระ พิมลธรรมแต่งขึ้นเป๐นภาษาบาลีในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ต่อมาพระยาพจนสุนทร แปล เป๐นภาษาไทย เน้ือหาแม้จะไม่มีเรื่องราวอะไรท่ีพิเศษกว่าหนังสือพงศาวดารฉบับอื่นๆ แต่ก็ควรยกย่องยอ่ ง ด้วยเปน๐ หนงั สอื ท่ีพระภิกษุไทยมีอุตสาหะแต่งเป๐นภาษามคธ ทั้งยัง สามารถใช้เทียบเคียง พง ศาวดารกรุง รัตนโกสินทร์ที่พระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยู่หัวได้ทรงพระราชนพิ นธ์เป๐นภาษามคธเหมอื นกัน พงษาวดารกรุงศรีอยุธยา เริ่มด้วยบทอารมภกถา ต่อจากนั้นก็พรรณนา ความเป๐นไปตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าอู่ทอง พระราเมศวร ขุนหลวงพะงั่ว พระเจ้าทองลั่น ๒๓๕ พระพมิ ลธรรม, พงษาวดารกรุงศรอี ยุธยา, [กรุงเทพฯ: โรงพิมพไ์ ทย, ๒๔๕๙],

๒๙๐ พระราเมศวร พระรามราชา เรื่อยมาตามลําดับกระทั่งถึงแผ่นดินพระยาพิศณุโลก รวม ๓๖ พระองค์ ในการแปล ผ้แู ปล (พระยาพจนสุนทร) ได้ทําเป๐นหัวข้อกํากับท้ังภาษาบาลี และภาษาไทย เรียงลําดับต้ังแต่ ๑ กระท่ังถึงลําดับที่ ๗๙ ซึ่งเป๐นตอนสุดท้ายของเรื่อง ครั้นพรรณนาจบเรื่องแล้ว ก็พรรณนาวัตถุประสงค์ของผู้แปล “การท่ีรวบรวมวงษ์ กระษัตรไว้ดังนี้ เพื่อจะให้เกิดความสังเวชสลดใจ และจะได้เกิดป๎ญญาปลงพระไตร ลักษณญาณ แสดงดว้ ยลาํ ดับกระษตั ร ๓๖ พระองค์” ๒๓๖ ตวั อย่างสานวนประพนั ธ์ [๑] อทิ านิ วมารามรสยามทยั ย์ ราชวเํ ส นานาการณํ เวทิตพั ์พํฯ [๑] เหตตุ ่างๆ ทบ่ี คุ คลจะพึงรู้ในวงษก์ ระษัตรของชาวไทยในสยาม ประเทศ ซง่ึ เกีย่ วดว้ ยพม่าและมอญ [๒] อถโข จตุราสตี ิธมั ม์ ัก์ขน์เธสุ เตปิฏกานิ พุท์ธวจนานิ ชัม์พูทีเป ปตฏิ ฐ์ านิ นานาอกั ์ขเรหิ นานาภาสาหิ โปฏ์ฐเกสุ ลกิ ์ขติ านิ พหสู ุ นคเรสุ ผริตานิ ปุพ์พานิ ปริปุณ์ณานิ กาเล กาเล อติก์กัน์เต อนุก์กเมน ป๎จ์ฉา หายมานานิ วิปลาสานิ วิรุท์ธานิ นัฏ์ฐานิ สฐิลธนิตานิ อกุสลํ อากุลานิ อนุสัน์ธิฆฏานิ มัน์ทวิริยป๎ญ์ญาพลาทีหิ ชเนหิ อัก์ ขรปทพยัญ์ชนานิ อวจิ าเรต์วา ปรยิ าปณุ ติ านิ หายัน์ตฯิ [๒] ในกาลครั้งน้ัน บรรดาพระธรรมขันธ์แปดหมื่นส่ีพันพระ ธรรมขันธ์ พระพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกได้ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีป ชนท้ังหลายได้ จาฤกลงไว้ในใบลาน ด้วยอักขระต่างๆ บ้าง ด้วยภาษาต่างๆ บ้าง แพร่หลายไปในนคร เป๐นอันมาก ในกาลปางก่อน พระพุทธวจนะน้ันยังบริบูรณ์อยู่ ครั้นกาลล่วงไปๆ ใน ภายหลัง พระพทุ ธวจนะก็เส่ือมวิปลาสพิรุทธ์ผิดเพี้ยนสถิลธนิตไป มีความสืบต่ออนุสนธิ อากูลไปด้วยโทษ และพระพุทธพจนะน้ัน ชนทั้งหลายท่ีมีกําลังความเพียรและกําลัง ป๎ญญาอ่อนเป๐นต้น เล่าเรียนแล้ว ไม่พิจารณาอักขระและบทพยัญชนะให้ถูกถ้วน เหตุ ดังน้พี ระพทุ ธวจนะจึงเสอ่ื มพิรุทธ์ไป [๓] อถ ตานิ ส์ยามทิยราชปเทเส จ มัน์ทราชมลานปเทเส จ กัม์ พชุ เขมราชปเทเส จ หํสารามรราชปเทเส จ อาวผุกามวมาราชปเทเส จ ปฏิฐ์ฐิตานิ อัญ์ เญสุ ปเทเสสุ จ สญุ ์ญานิ นรา โหน์ติ เตสํ สาสเน คุณอชนตาฯ ๒๓๖ พระพิมลธรรม, พงษาวดารกรุงศรีอยุธยา, [กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๙], หน้า ๓๔.

๒๙๑ [๓] อนึง่ พระพทุ ธวจนะนัน้ ยังประดษิ ฐานม่ันคงอยู่ในประเทศท้ัง ๕ ได้แก่ ๑) ประเทศของพระเจ้าแผ่นดินไทยคือสยาม ๒) มลานประเทศของพระเจ้า แผ่นดินมันทราช ๓) ประเทศเขมราชคือกัมพุชา ๔) ประเทศรามัญราชคือหงษาวดี และ ๕) ประเทศพม่าคืออังวะผุกาม ในประเทศอ่ืนนั้นเส่ือมสูญไป บรรดานรชนท้ังหลาย เหลา่ นน้ั นรชนที่ไม่รู้คุณในพระพุทธศาสนาก็มมี ากขน้ึ [๔] พุท์ธสัก์กราเช เสสานิ เทว์สํวัจ์ฉรสหัส์สานิ อติก์กัน์เต พุท์ธ สาสนํ นานาการเณหิ ปริหายติ ฯ สีลาทีสุ กุสลธัม์เมสุ มนุส์สา ว์ยาวฏา จ อว์ยาวฏา จ สนั ต์ าเน โลภนั ธ์ การา อัญ์ญมัญ์ญัส์ส อิส์สริเย อิจ์ฉาปกตา อัญ์ญมัญ์ญํ สัง์คาเม อุส์สาหํ ชเนน์ติฯ หํสารามรปเทเส จ อาวผุกามวมาปเทเส จ อาทิภูโต มหาโฆรรูโป มหาภึสรูโป มหาสงั คาโม ปากโฏ อโหสิฯ [๔] ครน้ั พระพุทธศักราชล่วงแล้วได้ ๒ พันปีเศษ พระพุทธศาสนา ก็เส่ือมทรุดไปด้วยเหตุต่างๆ มนุษนิกรบางเหล่าก็ขวนขวาย บางเหล่าก็ไม่ขวนขวายใน กศุ ลธรรมสมาทานมีศลี เปน๐ ต้นในสันดานมดื ไปดว้ ยความโลภ ตา่ งคนต่างฤษยาซงึ่ กันและ กันในการที่จะต้ังตนให้เป๐นอิศรภาพ ทําความอุสสาหะให้เกิดขั้นในการที่จะทําสงคราม รบพงุ่ ซึง่ กันและกนั มหาสงครามอนั พลิ ึกน่าสยดสยอง เดิมจะเกิดข้ึนก็เกิดข้ึนในประเทศ รามัญคอื หงษาวดี และประเทศพม่าคอื องั วะผกุ ามก่อน [๕] เต ขัต์ติยา เทวภาเค พลนิกาเย อาทาย ยุท์ธภูมึ คัจ์ฉัน์ตา อญั ญ์ มัญ์ญํ นครํ วิลุมป์ ๎นต์ า วิจ์ฉิน์ทันต์ า พลนิกาเย ยชุ ฌ์ าเปนต์ า ฆาตาเปน์ตา พหู มรัน์ ติฯ เอกทา อาวรัญ์โญ ปราชยํ หัง์สารามรราชา คัจ์ฉัน์โต สัม์ป๎ต์ติยา วินาโส พหุทุก์โข ปุต์ตทารวิคโต มรณํ วา คัจ์ฉติฯ เอกทา หัง์สารามรรัญ์โญ ปราชยํ คัจ์ฉัน์โต อาวราชา ตถาวิโธ มรณํ วา คัจ์ฉติฯ เต ราชาโน ตติยวาเร จตุต์ถวาเร จ ชยปราชยา จ นครัญ์จ คามนิคมญั จ์ นานาปเทสญั ์จ เตปิฏกพทุ ์ธวจนญั จ นานากรเณหิ วนิ าเสนต์ ฯิ [๕] กษตั ริยท์ ง้ั หลายเหล่าน้ัน ต่างองค์ต่างยกพลนิกายท้ังสองฝุาย ไปยงั ทีย่ ทุ ธภมู ิ เข้าปล้นแยง่ ชิงพระนครแห่งกันและกันพลนิการต่างเข้าต่อสู้รบราฆ่าฟ๎น กันตายเป๐นอันมาก คร้งั หนึง่ พระเจา้ แผน่ ดินหงษาวดีแพ้พระเจ้าอังวะ พาพวกพล เสนาหนีไป พระราชสมบัติก็พินาศไป มีความทุกข์โทมนัสในพระทัยมาก ทั้งพลัดพราก จากพระราชโอรสและพระมเหสี ได้ความลําบากจนสวรรคต คร้งั หนง่ึ พระเจา้ อังวะปราชยั พ่ายแพพ้ ระเจ้าหงษาวดี ยกพวก พลนิกายหนีไป เสียพระราชสมบัติ มีความทุกข์พลัดพรากจากพระราชโอรสและพระ มเหสี จนถึงสิ้นพระชนม์อย่างเดียว ในคร้ังที่สามครั้งที่ส่ี กระษัตรท้ังหลายเหล่านั้นทํา

๒๙๒ สงครามแก่กนั และกัน บางคราวไดช้ ัยชนะบ้าง บางครัง้ แพ้บ้าง ย่อมทําพระนครคามนคิ ม และประเทศตา่ งๆ ให้พินาศไป และทําพระพุทธพจนะคือพระไตรปิฎก ให้พินาศไปด้วย เหตุต่างๆ ..... [๔๓] พุท์ธสัก์กราเช สัต์ตสํวัจ์ฉรท์วิสตาธิกานิ เทว์สํวัจ์ฉรสหัส์สานิ อตกิ ์กนั เ์ ต นาคสํวจั ์ฉเร ตัส์ส สวุ ัณ์ณปาสาทัส์ส รัญ์โญ นราโย นาม ปุต์โต ป๎ญ์จวีสติวัส์สิ โก ตัส์ส จูลปิตุโน สัม์ป๎ต์ตึ ฉิน์ทัน์โต อัญ์ญมัญ์ญํ ยุช์ฌิต์วา ตํ ปิตุจ์ฉํ ฆาเตต์วา สัม์ป๎ต์ตึ ลภิต์วา มหาปุญโ์ ญ มหาเตโช มหายโสฯ [๔๓] ในปมี ะโรง พระพุทธศักราชล่วงแล้วได้ ๒๒๐๗ พระราชโอรส ของพระเจ้าปราสาททอง พระนามว่าพระนารายน์ พระชนม์ ๒๕ ปี เมื่อจะชิงเอาราช สมบัตขิ องพระเจา้ อานัน้ ไดท้ าํ ยทุ ธนาพ่งุ รบซง่ึ กันและกัน จับพระเจา้ อาได้นาํ ไปประหาร ชีวิตเสียแล้ว พระองค์ก็ขึ้นครองราชสมบัติเป๐นเอกราช มีบุญญาธิการมหาเดชานุภาพ ประกอบด้วยมหาอศิ รยิ ยศ [๔๔] กติปยสํวัจ์ฉเร รัช์ชํ กาเรน์โต ชิม์มัย์ยนครัญ์จ หริปุญ์ชย นครัญ์จ ยุช์ฌิตํฃ สูรโยเธ อาทาย ตํ นครํ คัน์ต์วา อัญฃ์ญฃมัญฃ์ญฃํ อุช์ฌิต์วา ตํ นครํ ลภิต์วา นครอัพ์พุทานํ มลนรานํ อุภยรูเป อาทาย อัต์ตโน นครํ นิวัต์ ตัน์โต จตุวีสติวัส์สานิ ท์วีสุ นคเรสุ อโยช์ฌเย จ ลัพ์พปุเร จ รัช์เช วสัน์โต พุท์ธปาทมัณ์ฑปปฏิสัง์ขารณาทีนิ จ ปุญ์ญกัม์มานิ กโรน์โต มหาสุโข ปัจ์จา มิตต์ านํ ชโย นานาปเทเสสุ กติ ์ติคุณชุตนิ ธ์ โร เอกํ เสตหัต์ถึ ปิยํ มนาปํ ลภิต์ วา ลพั พ์ ปเุ ร วสันโ์ ต อายุปรโิ ยสาเน ยถากมั ม์ คโตฯ [๔๔] เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติได้สองสามปี จึงกฤธาพลทหารที่ แกล้วกล้า ยกไปตีเมืองเชียงใหม่ เมืองหริปุญชัย ได้ต่อสู้กันเป๐นสามารถ ครั้นตีได้เมือง เหล่านนั้ แลว้ ก็กวาดครอบครัวชนที่แตกกระจัดพลัดพรายจากพระนครนั้น พามาสู่พระ นครของพระองค์ พระองค์ครองราชสมบัติทั้ง ๒ พระนคร คือกรุงศรีอยุธยา ๑ เมือง ลพบุรี ๑ กําหนดกาลนานได้ ๒๔ ปี และการท่ีได้กระทําบุญปฏิสังขรณ์มณฑปพระพุทธ บาท พระไทยพระกอบด้วยความเมตตามาก มีชยั ชนะเหลา่ ปจ๎ จามติ รทั้งหลาย กิตติศัพท์ กิตติคุณก็แผ่ไปในนานาประเทศ มีเสวตเอกคชสารช้างหน่ึงเป๐นท่ีพอพระไทย เสด็จ ประทับอยเู่ มืองลพบุรีตราบเท่าส้ินพระชนมายแุ ล้ว กไ็ ปตามยถากรรม ..... [๕๗] พุท์ธสัก์กราเช เทวสํวัจ์ฉรติสตาธิกานิ เทวสํวัจ์ฉรสหัสสานิ อติกก์ ันเ์ ต สสสวํ จั ์ฉเร วมาราชา มํโลนามา อเนกนหุเต จตุรังคสูรโยเธ อาทายา อาคัน์ต์

๒๙๓ วา หัง์สานครปํ ิ ยชุ ์ฌิต์วา ตํ ลภิต์วา พหู รามเร คเหต์วา อโยชยครํ อาคโต นาคเรหิ ยุช์ ฌิต์วา ชลธารกกุ ก์ เุ ฏ นาม วตั ต์ ริ เณ วสันโ์ ต อทุ ราพาโธ น จิรัส์เสว มรติฯ อถ วา เกจิ โส ราชาปิ วรเมรอุ าราเม รณฐานํ สูรโยเธหิ อาคัน์ต์วา นาครา มหาสรํ ขิป๎น์ติ ตํ สรํ ผุสิต์วา ตํ วฏิ ์ฏิรณํ นิวัต์ติตวา ตสั ์มึ รตั ต์ ยิ ํ มรตีติ วทันต์ ฯิ [๕๗] ในปีเถาะพุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๓๐๒ พระเจ้าพม่าชื่อมังลอง ยกพลจตุรงคยามานับหม่ืนเป๐นอันมาก เข้ารบด้วยเมืองหงษาวดีได้แล้ว ก็พาพวกรามัญ เหลานั้นมายังกรงุ ศรีอยุธยา ยกพลเข้ารบกบั ชาวเมืองแล้ว ถอยไปตั้งอยู่ท่ีค่ายแม่นํ้าสีกุก พระเจ้ามังลองน้ันประชวรเป๐นโรคท้องร่วง ไม่นานเท่าไรก็สวรรคต อีกนัยหน่ึงชนบาง เหล่ากล่าวว่า ชาวพระนครท้ังหลายพร้อมด้วยสุรโยธา มาท่ีสนามรบ ณ วัดน่าพระเมรุ ยิงปืนใหญ่ไป พระเจ้ามังลองต้องปืนใหญ่น้ันแล้ว กบับมาสู่ค่ายก็สวรรคตในเวลาราตรี นน้ั

๒๙๔ หมวด ภ

๒๙๕ หมวด ม มธรุ ตั ถวิลาสินี มธุรัตถวิลาสินี๒๓๗ ตามศัพท์แปลว่า คัมภีร์ที่มีอรรถประกาศเน้ือความอัน ไพเราะ (มธุร-อัตถ-วิลาสินี) เป๐นอรรถกถาอธิบายความในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ผรู้ จนาคอื พระพทุ ธทตั ตเถระ ซึ่งเปน๐ พระอรรถกถารุ่นหลังพระพุทธโฆสาจารย์ เป๐นชาวเมืองอุรคปุระ ป๎จจุบันเรียกเมืองอุรัยปุระ ในอาณาจักรโจฬะทางอินเดียใต้ หลงั จากอุปสมบทแลว้ ไดเ้ ดินทางไปเกาะลังกาเพ่ือศึกษาพระพุทธศาสนา และรวบรวม คมั ภรี ์ทางพระพุทธศาสนา แลว้ แปลเปน๐ ภาษาบาลี นาํ กลบั ไปประเทศอนิ เดยี มธุรัตถวิลาสินี เป๐นอรรถกถาอธิบายคัมภีร์ขุททนิกาย พุทธวงศ์ รายละเอียดว่าด้วยพระประวัติของพระพุทธเจ้าในอดีตจํานวน ๒๔ พระองค์ ประกอบดว้ ย พระสุเมธพุทธเจ้า, พระทีป๎งกรพุทธเจ้า, พระโกณฑัญญพุทธเจ้า, พระมัง คลพุทธเจ้า,พระเรวตพุทธเจ้า, พระโสภิตพุทธเจ้า, พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า, พระปทุม พทุ ธเจ้, พระนารทพุทธเจ้า, พระสุเมธพทุ ธเจ้า, พระสชุ าตพุทธเจ้า, พระปยิ ทัสสพี ุทธเจ้า, พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า, พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า, พระสิทธัตถพุทธเจ้า, พระติสสพุทธเจ้า, พระปุสสพุทธเจ้า, พระวิปส๎ สพี ุทธเจ้า, พระสิขพี ทุ ธเจา้ , พระเวสสภูพุทธเจา้ , พระกกุสันธ พุทธเจา้ , พระโกณาคมนพทุ ธเจ้า, พระกสั สปพุทธเจา้ , และพระโคดมพทุ ธเจ้า นอกจากนี้ ยังมรี ายละเอียดเกยี่ วกับพระพทุ ธเจา้ อกี ๘ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ความแตกตา่ งพระชนมายุ ๒. ความแตกตา่ งพระสรรี ะ ๓. ความแตกตา่ งตระกูล ๔. ความแตกตา่ งการบําเพญ็ เพยี ร ๕. ความแตกต่างพระรัศมี ๖. ความแตกต่างพระยาน ๗. ความแตกตา่ งต้นไม้เปน๐ ท่ตี รัสรู้ ๘. ความแตกต่างพระบลั ลังก์ประทบั น่ัง อน่ึง ในการพรรณนาประวัติของพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์ พระอรรถ กถาจารย์ได้กําหนดขอบเขตการพรรณนาไว้ ๒๒ เร่ือง/ประเด็น ได้แก่ ๑) เรื่องกัป ๒) เร่ืองพระนาม ๓) เรื่องพระโคตร ๔) เรื่องพระชาติ ๕) เรื่องพระนคร ๖) เร่ืองพระพุทธ ๒๓๗ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, อรรถกถาภาษาไทย พระสุตตันตปิฎก ขุททนิกาย พุทธวงศ์, [กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓], ๖๓๗ หน้า.

๒๙๖ บิดา ๗) เร่ืองพระพุทธมารดา ๘) เรื่องต้นไม้เป๐นท่ีตรัสรู้ ๙) เรื่องการประกาศพระธัมม จกั ร ๑๐) เร่อื งการตรัสรู้ ๑๑) เรื่องการประชุมพระสาวก ๑๒) เรื่องพระอัครสาวก ๑๓) เรื่องพทุ ธอปุ ฏ๎ ฐาก ๑๔) เรือ่ งพระอัครสาวกิ า ๑๕) เรอื่ งภิกษุผู้เป๐นบริวาร ๑๖) เรื่องพุทธ รศั มี ๑๗) เรอื่ งขนาดของพระพทุ ธสรรี ะ ๑๘) เรื่องการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ๑๙) เร่ืองการพยากรณ์ ๒๐) เรื่องการต้ังความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ ๒๑) เรื่อง พระชนมายุ และ ๒๒) เร่อื งการเสดจ็ ปรนิ พิ พาน มโนรถปูรณี มโนรถปูรณี๒๓๘ เป๐นอรรถกถาอธิบายความอังคุตตรนิกาย เล่ม ๒๐,๒๑,๒๒,๒๓, และ ๒๔ รวม ๕ เลม่ , ๑๑ นิบาต, ๙,๕๕๗ สูตร แบ่งออกเป๐น ๓ ภาค แต่ละภาคแบง่ เนือ้ หาการอธิบายดงั น้ี ภาคที่ ๑ อธิบายความในพระไตรปิฎก เล่มท่ี ๒๐ เฉพาะเอกนิบาต ท่าน จําแนกออกเป๐น ๑๔ วรรค เริ่มตั้งแต่รูปาทิวรรคเป๐นเบื้องต้น มีเอตทัคควรรคเป๐นที่สุด [เฉพาะเอตทคั ควรรค จําแนกเป๐นวรรคย่อยอีก ๗ วรรค] กับอีก ๒ หัวข้อ ได้แก่อัฏฐาน บาลี [วา่ ด้วยสง่ิ ทีเ่ ปน๐ ไปไม่ได้] และเอกธมั มบาลี [วา่ ด้วยธรรมท่ีเปน๐ เอก] ภาคที่ ๒ อธิบายความในพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๐ เฉพาะทุกนิบาต จําแนก เป๐น ๓ ป๎ณณาสก์ คือปฐมป๎ณณาสก์ ทุติยป๎ณณาสก์ ตติยป๎ณณาสก์, ติกนิบาต จําแนก เปน๐ ๓ ป๎ณณาสก์ คือปฐมป๎ณณาสก์ ทุติยป๎ณณาสก์ ตติยป๎ณณาสก์, และพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ หมวดจตุกกนิบาต จําแนกเป๐น ๕ ป๎ณณาสก์ คือ ปฐมป๎ณณาสก์ ทุติย ป๎ณณาสก์ ตติยป๎ณณาสก์ จตกุ ถป๎ณณาสก์ และปญ๎ จปณ๎ ณาสก์ ภาคที่ ๓ อธิบายความในในพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๒ ๒๓ ๒๔ นับต้ังแต่ ป๎ญจกนบิ าต ฉกนิบาต สตั ตกนบิ าต อัฏฐกนิบาต นวกนิบาต ทสกนิบาต และถึงเอกาท สกนบิ าต รวม ๗ นบิ าต โดยแตล่ ะนบิ าตแบง่ เป๐น ๒ ป๎ณณาสก์บ้าง, ๓ ป๎ณณาสก์บ้าง, ๔ ป๎ณณาสกบ์ า้ ง, ๕ ป๎ณณาสกบ์ ้าง๒๓๙ ตวั อยา่ งการอธบิ ายในอรรถกถา รปู แบบของการอธิบายนัยแห่งศพั ท์ ๒๓๘ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, อรรถกถาภาษาไทย พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย, [กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓], ๓ ภาค. ๒๓๙ ข.ุ อปทาน.อ.(ไทย) ๑/๒๐๒.

๒๙๗ คาํ วา่ เอวํ เป๐นนิบาต๒๔๐ แต่โดยเน้ือความ อันดับแรก เอวํ ศัพท์ มีอรรถหลายอย่าง เช่น การ เปรียบเทียบ (อปุ มา) การช้ี (อุปเทสะ) การยกย่อง (สัมปหังสนะ) การติเตียน (ครหณะ) การรับคํา (วจนสมั ปฏิจฉนะ) อาการ (อาการะ) การแนะนํา (นิทัสสนะ) และการกําหนด (อวธารณะ) อปุ มา: เอวํ ชาเตน มจเฺ จน กตฺตพพฺ ํ กสุ ลํ พหฃํ ฯ สัตว์ผู้มอี ันจะตอ้ งตาย เม่อื เกดิ มาแลว้ ควรสร้างกุศลไว้ใหม้ าก อปุ เทสะ: เอวํ เต อภกิ ฺกมิตพฺพํ เอวํ เต ปฏิกฺกมิตพพฺ ํฯ เธอพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลบั อย่างนี้ สมั ปหงั สนะ: เอวเมตํ ภควา เอวเมตํ สุคตา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เร่ืองนั้นเป๐นอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต เร่ืองนั้นเป๐น อยา่ งน้ี ครหณะ: “เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมึ วา ตสฺมึ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสติฯ กห็ ญิงถอ่ ยคนน้ีย่อมกล่าวคุณของสมณะโล้นน้ัน อย่างน้ี อย่างน้ีไม่ว่าในที่ ไหนๆ วจนสมั ปฏจิ ฉนะ: เอวํ ภนฺเตติ โข เต ภกิ ฺขู ภควโต ปจจฺ สฺโสสํฃฯ ภกิ ษุเหลา่ น้ัน ทลู รับสนองพระดํารสั ของพระผมู้ ีพระภาคแลว้ อาการะ: “เอวํ พฺยาโข อหํ ภนเฺ ต ภควตา ธมมฺ ํ เทสติ ํ อาชานามี”ฯ จริงพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ท่ัวถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรง แสดง นทิ ัสสนะ: ๒๔๐ อ.ํ เอกก.อ. (ไทย) ๑/๑/๕.

๒๙๘ “เอหิ ตฺวํ มาณวก เยน สมโณ อานนฺโท เตนุปสงฺกม อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนทฺ ํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงกฺ ํ ลหฏุ ฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ— ―สุโภ มาณ โว โตเทยฺยปุตฺโต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ ฯเปฯ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี‖ติ เอวํฺจ วเทหิ “สาธุ กิร ภวํ อานนฺโท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมปฺ ๏ อปุ าทายา”ติอาทีสุ ฯ มาน่แี น่ะ พ่อหนมุ่ เธอจงเข้าไปหาพระสมณะช่ืออานนท์ แล้วเรียนถามพระ สมณะชอื่ อานนท์ถึงสุขภาพความมีโรคาพาธน้อย กระปรี้กระเปร่า มีพลานามัยสมบูรณ์ อย่สู ําราญ ตามคาํ ของเราวา่ สุภมาณพโตเทยยบุตรถามท่านพระอานนท์ถึงสุขภาพความ มีโรคาพาธนอ้ ย กระปร้กี ระเปรา่ มพี ลานามยั สมบรู ณ์ อยู่สําราญ และเธอจงเรียนว่า ขอ ท่านพระอานนท์โปรดอนุเคราะห์สละเวลาเข้าไปเย่ียมสุภมาณพโตเทยยบุตรบ้าง ใช้ใน ความหมายว่าความแน่นอนในคําเป๐นต้นว่า กาลามะท้ังหลาย ท่านทั้งหลายเข้าใจเร่ือง นน้ั อย่างไร ธรรมเหลา่ นเี้ ป๐นกุศลหรอื อกุศล อวธารณะ: “เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานนฺโท สติมนฺ ตานํ คตมิ นตฺ านํ ธิตมิ นตฺ านํ อุปฏฐฺ ากานํ ยททิ ํ อานนฺโท”ติ เอวํ ภควตา “อายสฺมา อานนฺ โท อตฺถกุสโล ธมฺมกสุ โล พยฺ ํฺชนกสุ โล นริ ตุ ตฺ กิ สุ โล ปุพพฺ าปรกสุ โล”ติ เอวํ ธมฺมเสนาปติ นา จ ปสตฺถภาวานุรูป๏ อตฺตโน ธารณพลํ ทสฺเสนฺโต สตฺตานํ โสตุกามตํ ชเนติ “เอวํ เม สตุ ํ ตํฺจ โข อตถฺ โต วา พยฺ ํฺชนโต วา อนูนมนธกิ ํ เอวเมว น อํฺญถา ทฏฐฺ พฺพ”นฺติฯ ภกิ ษทุ ้ังหลาย อานนทเ์ ลิศกวา่ ภิกษทุ ั้งหลายของเราผู้เป๐นพหูสูต ผู้มีสติ ผู้มี คติ ผู้มีธิติ ผู้เป๐นอุป๎ฏฐาก และเป๐นผู้ท่ีพระธรรมเสนาบดีสรรเสริญแล้วอย่างนี้ว่า ท่าน อานนท์เปน๐ ผู้ฉลาดในอรรถ ฉลาดในธรรม ฉลาดในพยัญชนะ ฉลาดในนิรุตติ และฉลาด ในเบือ้ งตน้ และเบ้ืองปลาย จงึ ยังความเป๐นผู้ใครจ่ ะฟง๎ ให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้า ได้สดบั มาอย่างน้ี กส็ ตู รน้ันแลไม่หยอ่ นไม่ยิง่ โดยอรรถหรอื โดยพยญั ชนะ สตู รน้ีบัณฑิตพึง เห็นอย่างน้ีเท่านั้น ไมพ่ ึงเหน็ โดยประการอ่ืน รูปแบบการอธบิ ายนัยแห่งอรรถ พร้อมอุทาหรณ์๒๔๑ สูตรท่ี ๒ เป๐นต้น พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ด้วยอํานาจความมุ่งหมายของ บุคคลผู้หนักในเสียงเป๐นต้น บรรดาคําเหล่าน้ัน คําว่า เสียงสตรี (อิตฺถิสทฺโท) ได้แก่ เสียงพดู เสียงขับรอ้ ง และเสียงประโคม ซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจของสตรี อีกอย่างหน่ึง แม้เสียงพิณ เสียงขลุย่ เสียงสังข์ และเสยี งบณั เฑาะวเ์ ปน๐ ต้นท่ีสาํ เร็จเพราะความพยายาม ๒๔๑ อํ.เอกก.อ. (ไทย) ๑/๒/๒๙-๓๔.

๒๙๙ ของสตรีผู้นุ่งห่มแล้วบ้าง ผู้มีเคร่ืองประดับอันประดับแล้วบ้าง บัณฑิตพึงทราบว่าเสียง สตรีทง้ั นน้ั จริงอยู่ เสียงแมท้ ้ังหมดนั้นยอ่ มครอบงําจิตของบุรุษอยู่ ฉะนี้แล ในสตู รนัน้ บัณฑติ พึงทราบเร่ืองปทู อง นกยงู ทอง และภกิ ษหุ นมุ่ เป๐นต้น เรอ่ื งปูทอง ได้ยินว่า พญาช้างโขลงใหญ่อาศัยซอกภูเขาอยู่ และในท่ีไม่ไกลซอกภูเขา น้ัน มีสระน้ําสําหรับใช้สอยขนาดใหญ่อยู่ ในสระน้ําน้ันมีปูทองตัวล่ําสัน ปูตัวนั้นใช้ก้าม จับเท้าสัตว์ท่ีพากันลงไปยังสระน้ันเหมือนจับด้วยคีม ให้อยู่ในอํานาจของตนแล้วฆ่าให้ ตาย โชลงช้างรอคอยโอกาสปทู องนัน้ อยู่ จึงตั้งช้างใหญเ่ ชือกหนึ่งใหเ้ ปน๐ พญาช้างเที่ยวไป วนั หนึง่ ปทู องนน้ั จับพญาช้างนั้นได้ พญาช้างซ่ึงสมบูรณ์ด้วยกําลังและสติ คิดว่า ถ้าเรา ร้องเพราะความกลัว ช้างท้ังหมดจะไม่เล่นตามชอบใจ จักพากันหนีไป จึงได้ยืนน่ิงอยู่ เท่านนั้ ต่อมา พญาช้างรู้ว่าช้างท้ังหมดข้ึนแล้ว จึงร้องเพ่ือให้ภรรยาของตนรู้ว่าตนถูกปู ทองหนีบไว้ แลว้ กลา่ วอย่างนวี้ า่ เราถูกปทู อง ซ่งึ มตี าโปนออกมา มกี ระดูกเป๐นหนงั อาศยั อยูใ่ นน้าํ ไม่มขี น หนีบแลว้ ร้องขอความกรุณาอยู่ เจ้าอย่าทิง้ เราผเู้ ป๐นสามคี ชู่ ีวิตไปเลย ภรรยานน้ั ไดฟ้ ๎งคาํ นัน้ แลว้ จึงรูว้ ่าสามีถูกปูหนีบ เมื่อจะเจรจากับพญาช้างก็ ดี กบั ปูกด็ ี เพอ่ื ใหส้ ามนี ั้นพน้ จากภัยนั้น จงึ กล่าวอย่างนว้ี ่า ขา้ แตล่ กู เจา้ ดิฉนั จะไมท่ ้งิ ท่าน ผเู้ ปน๐ ชา้ งมีอายุ ๖๐ ปี เสือ่ มกาํ ลงั ทา่ นเป๐นสามีสุดทรี่ กั ของดฉิ ัน ย่ิงกว่าแผ่นดินอันมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป๐นขอบเขต (ช้างพังอ้อนวอนปูทองว่า) ทา่ นเป๐นสตั ว์นา้ํ ที่ประเสริฐกว่าปูทั้งหลายในสมทุ ร ในแม่นํ้าคงคา และในแมน่ า้ํ ยมุนา ขอท่านจงปล่อยสามขี องข้าพเจ้าผูร้ อ้ งไหอ้ ยเู่ ถิด พร้อมกบั ได้ยินเสยี งของชา้ งตัวเมียปูจงึ คลายการหนีบให้เพลาลง ลําดับนั้น พญาช้างคดิ วา่ เวลานแี้ หละเปน๐ โอกาสแลว้ จึงวางเทา้ ข้างหน่ึงไว้โดยอาการที่ถูกหนีบอยู่ นัน่ แล ยกเทา้ ที่ ๒ ขึ้นเหยียบบนกระดองปูนั้นทําให้แหลกละเอียด กระชากปูนั้นเหว่ียง ขึน้ ไปบนฝง๑๎ ลําดบั น้ัน ชา้ งทงั้ หมดนั้นจึงพากันชุมนุมทําปูน้ันให้แหลกละเอียดด้วยคิดว่า มนั เป๐นคู่เวรของพวกเรา เสยี งของช้างตวั เมยี ครอบงาํ จติ ของปทู อง ดงั พรรณนามาฉะนี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook