Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ED-APHEIT 2020

ED-APHEIT 2020

Published by ED-APHEIT, 2020-04-06 04:37:45

Description: การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร
สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ
หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption”
ในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.)

Keywords: ED-APHEIT 2020 ศึกษาศาสตร์ สสอท.

Search

Read the Text Version

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หวั ข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) Dejarnette & Breiner (2012 อ้างถึงใน พรทพิ ย์ ศริ ิภัทราชัย. 2556)กลา่ วว่า ลกั ษณะสาคัญของการจัดการ เรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศกึ ษาประกอบด้วย 1. การบูรณาการระหวา่ งศาสตรส์ าขาต่าง ๆ ไดแ้ ก่ วิทยาศาสตร์ (S) เทคโนโลยี (T)วศิ วกรรมศาสตร์ (E) และ คณิตศาสตร์ (M) ทัง้ นี้ได้นาจุดเด่นของธรรมชาติตลอดจนวิธีการสอนของแต่ละสาขาวิชามาผสมผสานกันอย่างลงตัว กล่าวคือ วิทยาศาสตร์ (S) เน้นเกี่ยวกับความเข้าใจในธรรมชาติ โดยนักการศึกษามักช้ีแนะให้ครูใช้วิธีการ สอนวิทยาศาสตร์ด้วยกระบวนการสืบเสาะ (Inquiry based science teaching) กิจกรรมการสอนแบบแก้ป๎ญหา (Scientific problem based activities) จะทาให้เด็กมีความกระตือรือร้น รู้สึกท้าทายและเกิดความม่ันใจในการ เรียน เทคโนโลยี (T) เปน็ วิชาท่ีเกยี่ วกับกระบวนการแก้ปญ๎ หา ปรับปรุง พฒั นาสิง่ ต่างๆ หรือกระบวนการ ต่างๆ เพ่ือตอบสนองความต้องการของคนเราโดยผ่านกระบวนการทางานทางเทคโนโลยีที่เรียกว่ า Engineering design หรือ Design process ซ่ึงคล้ายกับกระบวนการสืบเสาะ ดังนั้นเทคโนโลยีจึงมิได้หมายถึงคอมพิวเตอร์หรือ ICT ตามท่คี นสว่ นใหญ่เขา้ ใจ วศิ วกรรมศาสตร์ (E) เปน็ วชิ าที่ว่าด้วยการคดิ สร้างสรรค์ ประดิษฐแ์ ละพฒั นานวัตกรรมตา่ งๆ โดยใช้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์และเทคโนโลยี คณติ ศาสตร์ (M) เปน็ วิชาทม่ี ไิ ด้หมายถึงการนับจานวนเท่าน้ัน แต่เก่ียวกับองค์ประกอบอ่ืนท่ีสาคัญ ประการแรก คือ กระบวนการคิดคณิตศาสตร์ (Mathematical thinking) ซึ่งได้แก่การเปรียบเทียบ การจาแนก/จัด กลุ่ม การจัดแบบรูป และการบอกรูปร่างและคุณสมบัติ ประการที่สอง ภาษาคณิตศาสตร์ เด็กจะสามารถถ่ายทอด ความคดิ หรอื ความเข้าใจความคิดรวบยอด(Concept) ทางคณิตศาสตร์ได้ โดยใช้ภาษาคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร เช่น มากกวา่ น้อยกว่าเลก็ กว่า ใหญ่กว่า เป็นต้น ประการต่อมา คือ การส่งเสริมการคิดคณิตศาสตร์ข้ันสูง (Higher level math thinking) จากกิจกรรมการเลน่ ของเดก็ หรือการทากจิ กรรมในชวี ิตประจาวนั 2. การบูรณาการท่ีสามารถจัดสอนได้ในทุกระดับชั้น ต้ังแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า ครูผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบ Project based learning, Problem based learning, Design based learning ทาให้ เดก็ สามารถสร้างสรรค์ พัฒนาชนิ้ งานไดด้ ี และถ้าครสู ามารถใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาในการสอน ได้เร็วเทา่ ใดกจ็ ะย่งิ เพม่ิ ความสามารถและศักยภาพเดก็ ได้มากข้นึ เทา่ น้ัน 3. การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาทาให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างครบครัน และ สอดคลอ้ งกับแนวการพฒั นาคนใหม้ คี ณุ ภาพในศตวรรษท่ี21 เช่นด้านปญ๎ ญา เดก็ เขา้ ใจในเน้ือหาวิชาด้านทักษะการคิด เด็กพฒั นาทกั ษะการคิดโดยเฉพาะการคดิ ข้ันสูง เช่นการคดิ วิเคราะห์ การคิดสรา้ งสรรค์ เป็นต้นด้านคุณลักษณะ เด็กมี ทักษะการทางานกลุม่ ทกั ษะการสอื่ สารทีม่ ีประสิทธิภาพการเปน็ ผนู้ าตลอดจนการนอ้ มรับคาวิพากษ์วจิ ารณข์ องผอู้ ืน่ สรุปไดว้ ่า ลกั ษณะการจัดการเรียนร้ตู ามแนวคิดสะเตม็ ศกึ ษาประกอบดว้ ย 5 ประการได้แก่ 1) เน้นการบูรณาการ 2) เชื่อมโยงเนื้อหากับชีวิตประจาวันและอาชีพ 3) พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 4) จัดกจิ กรรมให้ท้าทายความคิด และ 5) เปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ได้คน้ ควา้ นาเสนองาน และแสดงความคดิ เห็น หนา้ 492

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) องคป์ ระกอบตามแนวคิดสะเต็มสาหรบั เด็กปฐมวยั การจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็ม (STEM) เร่มิ ตง้ั แต่การศึกษาปฐมวัยเม่ือพิจารณาจากประสบการณ์ของ เด็กปฐมวัยมีรายละเอียดของเน้ือหาและสิ่งท่ีเกี่ยวข้องกับ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และ วศิ วกรรมศาสตร์ ท่สี ามารถนามาใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ (อัญชลี ไสยวรรณ. 2560) แสดงดังตารางท่ี 1 ดังน้ี ตารางที่ 1 แสดงองค์ประกอบตามแนวคิดสะเตม็ สาหรบั เด็กปฐมวยั วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ - ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย - เรียนรู้ผ่านเคร่ืองใช้ใน - ประสบการณ์ผ่านงาน - การเรียนรู้คณิตศาสตร์ เ ป็ น นั ก ส า ร ว จ ส น ใ จ ชวี ติ ประจาวันและของเล่น ทางวิศวกรรมศาสตร์ใน ส่วนใหญ่เรียนรู้ผ่านการ ธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ต่างๆทเี่ ป็นเทคโนโลยี ชี วิ ต ป ร ะ จ า วั น จ า ก เลน่ เชน่ การจาแนก รูปร่าง ต่างๆรอบๆตัว - เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น สิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น รูปทรง(พื้นฐานเรขาคณิต) - สังเกตและตั้งคาถาม เช่น รถยนต์ เครื่องบิน เรือ การสร้างสะพาน การทา การเปรียบเทียบ และการ อ ะ ไ ร ท า ไ ม อ ย่ า ง ไ ร ยนตต์ า่ งๆ ถนน การสร้างลิฟต์ หรือ วัด กา ร จั ดล า ดั บ ก า ร เกี่ยวกั บ วิทย าศาสต ร์ - การมีประสบการณ์จาก บันใดเล่ือน การก่อสร่าง รวมเข้าด้วยกัน การหยิบ กายภาพเช่น ลักษณะของ สิ่ ง ข อ ง เ ครื่ อ ง ใ ช้ ท่ี เ ป็ น การสร้างรถ การต่อเรือ ออก และการแบง่ สงิ่ ของให้ วัตถุท่ีมีน้าหนัก รูปร่าง เทคโนโลยใี นบา้ น เช่น การ การขดุ เจาะ เพือ่ น ข น า ด พื้ น ผิ ว ก า ร ใ ช้ ถ่ายภาพ การดูโทรทัศน์ - วิศวกรรมการก่อสร้าง - การวัดจากลักษณะของ ประสาทสัมผัส การเปุา การใช้โทรศัพทม์ ือถือ เครือ่ งกลและเคร่ืองจักรใน วัตถุท่ีสามารถวัดได้ การ และการยก - การใชเ้ ทคโนโลยีผ่านการ โรงงาน เช่น การสร้างบ้าน กาห นดห น่วย การ วัด ท่ี - เรียนรู้ชีวิตของพืชและ ปรุงอาหารของคุณแม่ เช่น และโรงเรือนตา่ งๆ เหมาะสมตามวัยของเด็ก สตั วใ์ นสภาพแวดลอ้ ม เคร่ืองป่๎น หม้อหุงข้า ว ปฐมวยั - สนใจเกี่ยวกับโลกรอบตัว ต้เู ย็น - ความสามารถวิเคราะห์ เช่น หิน ดิน เปลือกหอย - การเรียนรู้ผ่านการใช้ ข้อมูลได้ตามวัยเช่น การ อ า ก า ศ ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ เทคโนโลยีในช้ันเรียน และ ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล โ ด ย ใ ช้ ธรรมชาติ จากอุปกรณ์ประกอบการ ป ร ะ ส า ท สั ม ผั ส จ า ก ก า ร ทดลองง่ายๆ ได้แก่ แว่น สังเกต การบันทึกข้อมูล ขยาย กล้องจุลทรรศน์ โดยการวาดภาพ กล้องส่องทางไกล หน้า493

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หวั ขอ้ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) แนวทางการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ด้วยสะเตม็ ศึกษา ป๎จจยั สาคัญในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยสะเต็มศึกษา คอื ต้องบูรณาการแนวคิดสะเตม็ ศึกษา เพื่อพัฒนาการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก โดยครูสามารถสอดแทรกทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่มี ความหมายและสัมพันธ์กับประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็ก โดยนักการศึกษาได้สังเคราะห์ลักษณะการบูรณาการ แนวคิดสะตม็ ศึกษาดังตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 เปรยี บเทียบและสรุปการบูรณาการแนวคดิ สะตม็ ศกึ ษาจากแนวคดิ ของนกั การศกึ ษา แนวคิดของนักการศกึ ษา การบรู ณาการ ลกั ษณะการบรู ณาการ ศนู ย์สะเต็มศกึ ษา 1. ก า ร บู ร ณ า ก า ร ภ า ย ใ น วิ ช า การจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนได้เรียนเน้ือหา (2558) (Disciplinary Integration) แ ล ะ ฝึ ก ทั ก ษ ะ ข อ ง แ ต่ ล ะ วิ ช า ข อ ง ส ะ เ ต็ ม แยกกัน การจัดการเรียนรู้แบบน้ีคือการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ เทคโนโลยที เี่ ปน็ อย่ทู วั่ ไปท่คี รผู ู้สอนแต่ละวิชา ต่างจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนตามรายวิชา ของตนเอง 2. การบูรณาการแบบพหุวิทยาการ การจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนได้เรียนเนื้อหา (Multidisciplinary Integration) และฝึกทักษะของวิชาของวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ แยกกัน โดยมีหัวข้อหลัก (theme) ที่ครูทุก วชิ ากาหนดร่วมกัน และมีการอ้างอิงถึงความ เชื่อมโยงระหว่างวิชานั้นๆ การจัดการเรียนรู้ แบบน้ีช่วยให้นักเรียนเห็นความเช่ือมโยงของ เนื้อหาในวิชาตา่ งๆ กบั สง่ิ ท่ีอยู่รอบตัว 3. การบูรณาการแบบสหวิทยาการ การจัดการเรียนรู้ท่ีนักเรียนได้เรียนเน้ือหา (Interdisciplinary Integration) และฝึกทักษะอย่างน้อย 2 วิชาร่วมกันโดย กิจกรรมมีการเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของทุก วิชาเพอื่ ให้นักเรียนได้เห็นความสอดคล้องกัน ในการจัดการเรียนรู้แบบนี้ ครูผู้สอนในวิชาท่ี เกี่ยวข้องต้องทางานร่วมกันโดยพิจารณา เน้ือหาหรือตัวช้ีวัดท่ีตรงกันและออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาของตนเองโดย ใหเ้ ชอ่ื มโยงกับวิชาอ่ืนผ่านเนื้อหาหรือตัวชี้วัด หนา้ 494

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) แนวคิดของนักการศกึ ษา การบูรณาการ ลักษณะการบรู ณาการ น้ัน 4. การบรู ณาการแบบข้ามสาขาวิชา การจัดการเรียนการสอนท่ีช่วยนักเรียน (Transdisciplinary Integration) เช่ือมโยงความรู้และทักษะท่ีเรียนรู้จาก วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและ วิศวกรรมศาสตร์กับชีวิตจริง โดยนักเรียนได้ ประยุกต์ความรู้และทักษะเหล่าน้ันในการ แก้ป๎ญหาท่ีเกิดข้ึนจริงในชุมชนหรือสังคม และสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ของตัวเอง ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามความ สนใจหรือป๎ญหาของนกั เรียน สถาบันส่งเสริมการสอน 1. ก า ร บู ร ณ า ก า ร เ น้ื อ ห า การนาเนื้อหาของสาระการเรียนรู้ต่างๆ หรือ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (Integration of subject areas) ระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ มาสัมพันธ์ (2558) เกี่ยวข้องเชื่อมโยงเป็นเร่ืองเดียวกันโยอาจ กาหนดหวั ขอ้ หรือหัวเรื่องเป็นประเด็นป๎ญหา แล้วนาเนื้อหาต่างๆท่ีเกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือ หัวเรอื่ งน้นั มาผสมผสานกนั โดยใชท้ ักษะต่างๆ เข้ามาเช่ือมโยง เพื่อให้เด็กได้ความรู้ ทักษะ หรอื เจตคติตามทีต่ ้องการ 2. การบูรณาการกระบวนการเรียนรู้ การนารูปแบบและวิธีการต่างๆ ของการ (Integration of learning ถ่ายทอดความรู้ของครูมาผสมผสานเข้า process) ด้วยกันในการจัดการเรียนรู้ให้กับเด็ก หรือ ก า ร จั ด ใ ห้ เ ด็ ก ไ ด้ แ ส ว ง ห า คว า ม รู้ จ า ก กระบวนการ และวธิ กี ารตา่ งๆ เพอื่ ใหไ้ ด้มาซ่ึง องค์ความรู้ โดยครูอาจกาหนดหัวข้อหรือหัว เร่ืองเป็นประเด็นในการศึกษา แล้วพิจารณา ว่าในประเดน็ ที่จะศึกษาน้ันมีเน้ือหาอะไรบ้าง และแต่ละเนือ้ หาจะสอบด้วยวธิ ีใด 3. การบูรณาการเปูาหมายของการ การบูรณาการที่ยึดเปูาหมายของการเรียนรู้ เรียนรู้(Integration of learning เปน็ หลัก โดยครูอาจจะกาหนดหัวข้อหรือหัว outcome) เร่ืองเป็นประเด็นในการศึกษา แล้วพิจารณา หน้า495

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หวั ขอ้ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) แนวคิดของนักการศกึ ษา การบูรณาการ ลักษณะการบูรณาการ Dejarnette (2012), ว่าในประเด็นที่จะศึกษาน้ันมีเปูาหมายท่ี Wayne (2012), ตอ้ งการใหเ้ ด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับอะไร จากนั้น จึงนาเนื้อหาต่างๆที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง Breiner,et.al. (2012), กับประเด็นที่จะศึกษามาผสมผสารเชื่อมโยง ธวัช ชิตตระการ (2555) กัน โดยมีเปูาหมายของการเรียนรู้เป็นเรื่อง และอภิสทิ ธิ์ธงไชย และ เดย่ี วกัน คณะ (2555) (อา้ งถึงใน ชลาธิป สมาหโิ ต 2558 1. บูร ณ า ก า ร ขา้ ม ก ลุ่ม ส า ร การบูรณาการระหว่างศาสตร์สาขาต่างๆ :105) ะ วิ ช า ( Interdisciplinary ได้แก่ วิทยาศาสตร์ ( S)เทคโนโลยี (T) Integration) วิศวกรรมศาสตร์ (E) และ คณติ ศาสตร์ (M) โดยการนาจุดเดน่ ของธรรมชาติตลอดจน วธิ ีการสอนของแต่ละสาขาวชิ ามาผสมผสาน 2. บรู ณาการในรปู แบบของโครงงาน สามารถจัดสอนไดใ้ นทกุ ระดับการศกึ ษาตงั้ แต่ เป็นฐาน(Project-Based Learning) อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดย และ การสอนโดยการใช้ป๎ญหาเป็น ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการกาหนดเป็น ฐาน (Problem-Based Learning) นโยบายทางการศึกษาให้แต่ละมลรัฐนาสะ เต็มศึกษามาใช้ในการเรียนการสอน ผลจาก การศึกษาการนาเอาสะเต็มศึกษาไปใช้พบว่า ครูซ่ึงใช้วิธีการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน และการสอนโดยการใช้ ป๎ญหา เป็นฐาน ทา ให้ผู้ เรีย นสา มาร ถ สร้างสรรค์ผลิตช้ินงานได้ดี และ ถ้าครู สามารถใชส้ ะเต็มศกึ ษาในการสอนได้เร็วมาก เท่าใดก็ยิ่งเพ่ิมความสามารถและศักยภาพ ให้กับผู้เรียนได้มากขึ้นเท่าน้ัน ป๎จจุบันมีการ นาสะเต็มศึกษาไปใช้สอนในระดับการศึกษา ปฐมวยั ในบางมลรฐั ในประเทศสหรฐั อเมริกา จากแนวคิดของนักการศึกษา จะเห็นว่าแนวทางการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยสะเต็มศึกษา สามารถทาได้ 3 รปู แบบ ดงั น้ี หนา้ 496

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หวั ขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 1. การบูรณาการเนื้อหาและทักษะในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เข้า ดว้ ยกนั โดยสามารถแยกสาระการเรียนรอู้ อกจากกัน หรือบรู ณาการตัง้ แต่ 2 สาระการเรยี นรขู้ ้นึ ไป 2. การบูรณาการกระบวนการเรียนรขู้ องครูเปน็ หลัก(เช่นโครงงาน) 3. การบรู ณาการเปูาหมายของการเรียนรูเ้ ปน็ หลัก กระบวนการจดั การเรียนรูต้ ามแนวคิดสะเต็มสาหรับเดก็ ปฐมวยั กระบวนการจัดการเรียนร้มู หี ลากหลายรูปแบบ ซงึ่ ครปู ฐมวยั สามารถเลอื กนามาใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั หวั ข้อที่เรียน หรือที่ เดก็ สนใจ โดยสามารถจัดการเรียนร้บู รู ณาการแนวคิดสะเตม็ ที่เช่อื มโยงสาขาวิชาวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์ดงั น้ี(อญั ชลี ไสยวรรณ. 2560) 1. กระบวนการเรียนรโู้ ดยใชป้ ญ๎ หาเป็นฐาน (Proplem-Based) 2. กระบวนการเรียนรแู้ บบโครงการเป็นฐาน (Project Based) 3. กระบวนการเรียนรเู้ ชงิ วศิ วกรรม 4. การสารวจแบบสะเต็ม 5. การจดั การเรียนร้ทู ัศนศกึ ษาแบบสะเตม็ 6. การจดั การเรยี นรู้แบบสะเต็มกลางแจ้ง 7. การจดั การเรียนรูแ้ บบสะเต็มอยา่ งง่าย 8. การจัดศูนย์การเรียนรแู้ บบสะเตม็ 9. การจัดการเรยี นรแู้ บบสะเตม็ ในกจิ กรรมทาอาหาร 10.การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มในการเล่นต่อบลอ็ ก 11. การจัดการเรียนรแู้ บบสะเตม็ ในกิจกรรมศิลปะ 12. การจัดการเรียนรแู้ บบสะเต็มในกิจกรรมดนตรี บทบาทของครูในการจดั การเรยี นรูต้ ามแนวคดิ สะเต็มศกึ ษาสาหรบั เด็กปฐมวัย ครูเป็นผทู้ ่ีมีบทบาทสาคญั อยา่ งมาก คือเป็นผู้อานวยความสะดวกและโคช้ ผเู้ รียนโดยสรา้ งสถานการณ์ทีเ่ ป็นป๎ญหาที่ท้า ทายความคิดของผเู้ รียนมีการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกบั การเรยี นรู้ และให้ผเู้ รยี นมสี ่วนร่วมในการแกป้ ญ๎ หาโดย ใช้ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หนา้ 497

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หวั ขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) Coach Mentor ตง้ั คาถามให้ผเู้ รียน จัดสภาพแวดล้อมให้ คิด เหมาะกับการเรียนรู้ โดยบทบาทของครสู ามารถแจกแจงได้ ดงั นี้ (สริ ินทร์ลัดดากลมบุญเชดิ ช.ู 2558) 1) บทบาทในฐานะผู้ออกแบบกิจกรรมทท่ี าใหเ้ ด็กเข้าใจความสมั พันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ ภายใต้หลักของเหตุผล (Logic) การคิดและจนิ ตนาการผา่ นกระบวนการท่ีส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์(Creative Thinking) การแก้ป๎ญหา (Problem Solving) การทากิจกรรมร่วมกบั บุคคลอื่น (Collaborative Skill)ผา่ นการส่งเสรมิ ทกั ษะตา่ ง ๆ ร่วมกันภายใตห้ ลักการ ของพหุป๎ญญา 2) บทบาทในฐานะผู้ส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กได้ต้ังเปูาหมายการปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองผ่านกระบวนการกากับ ตนเอง (Self- Regulation) ในการเรยี นรู้ 3) บทบาทในฐานะครูสาหรับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ครูระดับปฐมวัยหากจะนาสะเต็มศึกษา ( STEM Education) เข้ามาใช้ในการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัย ต้องเปลี่ยนบทบาทการประเมินผล ท่ีมุ่งเน้นเพียงแค่ การเปลี่ยนแปลทางด้านปริมาณ แต่ควรมุ่งเน้นระดับการพัฒนาของพฤติกรรม โดยใช้วิธีการสังเกตพฤติกรรมอย่าง ละเอยี ดถี่ถ้วน การวดั และประเมนิ ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาสาหรบั เดก็ ปฐมวัย การวัดผลและประเมนิ ผลตามแนวคิดสะเต็มศกึ ษาเนน้ การวัดและประเมินผลในสภาพจริง รวมถึงพฤติกรรม ท่ผี ูเ้ รยี นแสดงออกในขณะท่ีทากิจกรรม สามารถวัดและประเมนิ ผลได้ดังนี้ (สมชาย อุ่นแก้ว. 2561 และ สิรินทร์ลัดดา กลมบุญเชดิ ชู. 2558) 1.การประเมินจากสภาพจริง (Authentic assessment) คือการประเมินความสามารถท่ีแท้จริงของผู้เรียนจากการ แสดงออกในขณะที่ผู้เรียนแสดงออกในการปฏิบัติกิจกรรมหรือสร้างช้ินงาน ที่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการคิด การ ทางาน ความสามารถในการแกป้ ญ๎ หา หรือการค้นหาความรู้ โดยใชว้ ิธปี ระเมินหลากหลายที่สอดคล้องกับชีวิตจริงและ ประเมินอย่างต่อเนือ่ งเพอ่ื ให้ได้ขอ้ มูลทม่ี ากพอทจี่ ะประเมินถึงการพัฒนาและความสามารถท่ีแท้จริงของผู้เรียนได้ ผล การประเมินอาจจะได้มาจากแหล่งข้อมูลและวิธีการต่างๆ เช่น สังเกตการแสดงออกเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม ชน้ิ งานผลงานรายงาน การสัมภาษณ์ บันทกึ ของผเู้ รียน เปน็ ตน้ 2. การประเมินผลด้านความสามารถ (Performance assessment) คือ การประเมินจากการแสดงออกโดยตรงจาก การทางานต่างๆ จากสถานการณ์จาลอง หรือสถานการณ์จริง โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แก้ไขป๎ญหาหรือการ หนา้ 498

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ หวั ข้อ การศกึ ษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ปฏบิ ัตงิ าน และประเมนิ กระบวนการทางาน กระบวนการคิดข้ันสูง และผลงานท่ไี ด้ โดยประเมินได้จากการแสดงออก กระบวนการทางานและผลผลิตของงาน โดยจะให้ความสาคัญต่อกระบวนการทางาน กระบวนการคิด คุณภาพของ งาน มากกวา่ ผลสาเร็จของงาน อุปสรรคและปัญหาในการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดสะเตม็ ศกี ษา อุปสรรคและป๎ญหาในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เมื่อพิจารณาในประเด็นหลักๆ (วรกันยา แกว้ กลม.2561) พบว่า ครขู าดความชัดเจนเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาในบางประเด็น จึงทา ให้ครูไม่สามารถนาเน้อื หา สาระ และมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรในแต่ละสาระการเรียนรู้มาบูรณาการในการ ออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษาดว้ ยตนเอง ทาใหก้ ารจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา ในชนั้ เรยี นและการกาหนดแนวทางในการวดั และประเมนิ ผลตามแนวทางสะเต็มศึกษายังขาดประสิทธิภาพโดยเฉพาะ ครผู สู้ อนวิทยาศาสตร์ท่ีจบการศกึ ษามาจากสาขาอนื่ ๆ ครทู ส่ี อนประจาช้นั และครูท่ีไม่เคยอบรมเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา สอดคลอ้ งกบั ป๎ญหาท่พี บในต่างประเทศคอื ครสู ่วนใหญ่ยงั ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับการบูรณาการหลักสูตร การ จัดการเรียนรแู้ บบบูรณาการ และเปูาหมายของสะเต็มศึกษาท่ีต้องการใหเ้ กดิ ข้ึนกับผู้เรยี นยังไมม่ ีความชัดเจน ส่งผลให้ ครูขาดความเข้าใจ หรือมีความเข้าใจท่ีคลาดเคล่ือนในการนาแนวคิดนี้ไปสู่การปฏิบัติจริง (Chen. 2012: online; Herschbach. 2011: online; Lantz. 2009: 1-11 อ้างถงึ ใน วรกนั ยา แกว้ กลม.2561) สอดคล้องกับ Nathan (2013 อา้ งถงึ ใน รักษพล ธนานุวงศ์, 2556) กล่าวถงึ ข้อจากัดของการจัดการเรยี นรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาสรุปได้ว่า ในการ จัดการเรยี นรูต้ ามแนวคดิ สะเต็มศึกษาในสถานศกึ ษาทาได้ยาก เพราะหลักสูตรสถานศึกษาที่ถูกจัดไว้ค่อนข้างแน่นอน ดงั น้ัน การเปลี่ยนแปลงการลดหรอื เพิ่มเน้อื หาทจ่ี ะสอนจงึ เป็นไปได้ยาก กิจกรรมการเรยี นรู้ใชเ้ วลานาน ไม่เพียงพอกับ การจัดการเรียนร้ใู นห้องเรยี น สรุป การพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยสะเต็มศึกษา เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้ให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ จริง และมีการเชอ่ื มโยงสาขาวชิ า วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ ในกระบวนการจัดการ เรียนรู้ และจะไม่เนน้ การท่องจาทฤษฎีหรอื กฎทางวิทยาศาสตร์ และคณติ ศาสตร์ แต่จะเน้นไปเพ่ือพัฒนาทักษะต่างๆ ของเด็ก ไม่วา่ จะเปน็ ทกั ษะการคดิ การต้งั คาถาม การสบื ค้น การรวบข้อมูลและวิเคราะห์ข้อค้นพบใหม่ๆ ที่เหมาะสม กบั ระดับพัฒนาของเด็กปฐมวัย ครูสามารถเลือกแนวทางการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยสะเต็มศึกษาตามความถนัดของ ตนเอง โดยพิจารณาให้เหมาะสมกบั หัวข้อเรื่อง ระดับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย และทักษะท่ีจาเป็นต่อการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 กระบวนการจัดการเรียนรู้เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ในชีวิตประจาวัน เพื่อพัฒนาความ ต้องการตามวัยของเด็กอย่างสมดลุ และใหเ้ ดก็ พฒั นาความสามารถของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ สาหรับเป็นกาลังคน ของประเทศในอนาคต เอกสารอา้ งองิ หน้า499

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หัวข้อ การศกึ ษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) กัญจนา ศิลปะกิจยาน. (2560). การพัฒนา วรกันยา แก้วกลม (2561). สภาพป๎จจุบันป๎ญหาและ กระบวนการเรยี นการสอนตามแนวคดิ สะ ความต้องการในการจัดการเรียนรู้สะเต็ม เต็มศึกษาและการสอนภาษาเพื่อการ ศึกษาขอ งครูวิทย าศาสตร์ ระดับชั้ น ส่ือสารเพ่ือส่งเสริมความสามารถในการ ประถมศึกษา. วารสารวชิ าการ สื่อสารของเด็กอนบุ าล.(ปรญิ ญาครศุ าสตร์ VeridianE-Journal ส า ข า ดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต ) . ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร : มนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศิลปะ. จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ปีท่ี 11 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม 2561 หน้าที่ 2092-2112. คณะกรรมาธกิ ารการสอ่ื สารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสารสนเทศ. ( 2558). วศิณีส์ อิศรเสนา ณ อยุธยา. (2559). เรื่องน่ารู้ รายงานข้อเสนอเชิง นโยบายสะเต็ม เก่ียวกับ STEM Education (สะเต็ม ศกึ ษา (STEM Education) นโยบายเชิง ศึกษา). กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์แห่ง รกุ เพ่ือพัฒนา เยาวชนและกาลังคนด้าน จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยวี ศิ วกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์.สืบค้น 30 ธันวาคม ศูนยส์ ะเต็มศกึ ษาแหง่ ชาติ. (2558).คู่มือเครือข่ายสะ 2562, จาก http://library. senate.go. เต็มศึกษา.กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการ th/document/Ext11101/11101417_0 ส อ น วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี , 003.PDF. กระทรวงศกึ ษาธิการ. ชลาธิป สมาหิโต. (2558). การจัดประสบการณ์การ สมชาย อุ่นแก้ว.(2561). วิธีการสอนแบบ สะเต็ม เ รี ย น รู้ ต า ม แ น ว ส ะ เ ต็ ม ศึ ก ษ า ใ น ร ะ ดั บ ศึกษา (STEM Education).สืบค้นเมื่อ การศึกษาปฐมวัย. วารสารศึกษาศาสตร์ วั น ที่ 29ธั น ว า ค ม 2562จ า ก ปริทัศน์. ปีท่ี 30 ฉบับท่ี 2 หน้าท่ี 102- http://www.kids.ru.ac.th/document/ 111. KM/STEM_by_T.Somchai- unkeaw.pdf. ธวัช ชิตตระการ. (2555). การพัฒนากระบวนการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และ สิรินทรล์ ัดดากลมบุญเชดิ ชู. (2558). STEM TO นวัตกรรมผ่านโปรแกรม STEM. สืบค้น STEAM PLUS STREAM AND STEMM ใน เ มื่ อ วั น ท่ี 29ธั น ว า ค ม 2562จ า ก การจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อการ http://www.deansci.com/downloads พัฒนาเด็กปฐมวัย.วารสารศึกษาศาสตร์ /stem.pdf. มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 เดือน มิถุนายน 2558-ตุลาคม 2558 หน้าที่ พรทิพย์ ศิริภัทราชัย. (2556). STEM Education กับ 6-16. ก า ร พั ฒ นา ทั ก ษ ะ ใ น ศต ว ร ร ษ ที่ 21. วารสารนกั บรหิ าร,33(2), 49-55. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท).(2557). สะเต็มศึกษา. กรุงเทพฯ : รักษพล ธนานุวงศ์. (2556). STEM Education. ใน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ ก า ร อ บ ร ม เ ชิ ง ป ฏิ บั ติ ก า ร STEM เทคโนโลยี. Education (1-24),ม.ป.ท. หนา้ 500

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) อญั ชลี ไสยวรรณ.(2560). การจัดการเรียนรู้แบบสะ (Science, Technology Engineering, เต็ม ( STEM )ระดับการศึกษาปฐมวัย. and Math) Initiatives. Education, สบื ค้นเม่ือวนั ที่ 29ธันวาคม 2562จาก 133(1), 77-84. http://km.cte.pnru.ac.th/wp- Herschbach, Dennis R. (Spring 2011). The content/uploads/2017/02/123.pdf. STEM Initiative: The STEM Initiative: Constraints and อภิสิทธิ์ธงไชย และ คณะ. (2555). สรุปการ Challenges. Journal of STEM บ ร ร ย า ย ุพิ เ ศ ษ เ รื่ อ ง Science, Teacher Education. 48(1). Technology, Engineering, and Retrieved July 30, 2013, from Mathematics Education: Preparing http://scholar.lib.vt.edu/ejournals/JS Students for the 21st Century. TE/v48n1/herschbach.html. สื บ ค้ น เ มื่ อ วั น ท่ี Moomaw, Sally. (2015). แปลโดย ศุภวัลย์ 29ธั น ว า ค ม 2562จ า ก ตันวรรณรักษ์. (2558). Teaching STEM http://designtechnology/ipst.ac.th/u in Early Years : การจัดการเรียนรู้ ploads/STEMed ucation.pdf. STEMในระดับปฐมวัย. พิมพ์ครั้งท่ี 1. กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คพับลิเคชั้นส์. Breiner, J. M., Harkness,S. S., Johnson, C. C., & Nathan, M. J. (2013). Save the Penguins: Koehler, C. M.. (2012). What is Integrated STEM Education Unit. STEM? A discussion about Bangkok: STEM Education Workshop conceptions of STEM in education at the Institute for Promotion of and partnerships.School Science Teaching Science and Technology. and Mathematics, 112(1),3-11. Stewart,Deborah J.(2012). What does STEM look like in preschool and what is STEM Chen, Grace. (2012, 3 February). The Rising anyway ? .(Online) Available: Popularity of STEM:A Crossroads http://www.teachpreschool.org/2012/06/ste in Public Education or a Passing m/. Retrieved January 1, 2020. Trend?. Retrieved July 29, 2013, from www.publicschoolreview. com/articles/408. Dejarnette. (2012). America’s Children: Providing Early Exposure to STEM หน้า501

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หัวขอ้ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ผลการเรยี นรแู้ บบร่วมมือร่วมกบั เทคนคิ การคดิ แกป้ ัญหา ในรายวิชา พฤตกิ รรมองคก์ าร ทม่ี ีผลต่อความสามารถ ในการคดิ แก้ปญั หา ของนกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครราชสีมา The Effects of Cooperative Learning and ProblemSolving Technique in Organization Behavior Subject Upon Problem Solving Thinking Ability of Undergraduate Students Faculty of Management Science Nakhon Ratchasima Rajabhat University เพญ็ รดาพร กุลเพยี ราษฎร์* นริ วิทธ์ เพยี ราษฎร์** *ข้าราชการบานาญครู สพป.นม. เขต 2 ** คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครราชสมี า E-mail [email protected]*, [email protected]** บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหาระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกบั เทคนิคการคดิ แก้ป๎ญหา ประชากรเปาู หมายในการวิจัยครั้งน้ี คอื นักศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาวิชาการบัญชี ช้ันปที ่ี 1 คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นคราชสีมาทลี่ งทะเบียนในรายวิชา พฤติกรรมองค์การ ภาคเรียน ท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 จานวน 50 คน ไดม้ าดว้ ยวธิ ีการเลอื กแบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการ จัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหา และ3) แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียน สถิติท่ีใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) นกั ศึกษาทเ่ี รียนดว้ ยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา มีความสามารถในการคิด แก้ปญ๎ หาหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติท่ี .05 และ 2) นกั ศกึ ษามคี วามพึงพอใจในการเรียนด้วย กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือร่วมกับเทคนิคการคิดแกป้ ๎ญหา อยูใ่ นระดบั มาก คาสาคัญ: การเรยี นรแู้ บบร่วมมือร่วมกบั เทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา, ความสามารถในการคดิ แก้ปญ๎ หา, ความพึงพอใจ ในการเรยี น หนา้ 502

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ หวั ข้อ การศกึ ษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ABSTRACT The purposesof this research 1) to compare problem solving thinking ability before and afterof undergraduate studentslearning activities management based on cooperative learning and problem solving technique 2) to examine undergraduate student‖s satisfaction with outcome of learning activities management based on cooperative learning and problem solving technique. The target group was 50 students from Accounting Program in the first semester of academic year 2019 by samples purposivesampling method. The instruments were 1) learning plans 2) a problem solving thinking ability test and 3) a questionnaire for asking satisfaction. The statistics used in data analysis were percentage mean standard deviation and t - test dependent. The results were 1) The students who learned activities management based on cooperative learning and problem solving technique had problem solving thinking ability higher before after at the .05 of significantly and 2) The students who learned learning activities management based on cooperative learning and problem solving technique had satisfaction high level. KEYWORDS: Cooperative Learningand Problem Solving Technique, Problem Solving Thinking Ability, Satisfaction บทนา การศกึ ษาเป็นรากฐานสาคัญของการพัฒนาประเทศ การจัดการศึกษาจึงต้องตอบสนองต่อความต้องการที่ กาลงั เปลย่ี นแปลงของสงั คมใหก้ า้ วทนั เทคโนโลยที ่มี ีผลตอ่ การดาเนนิ ชีวติ ของมนษุ ย์ ดงั นั้นยคุ การศึกษา 4.0 จึงเป็นยุค ทเี่ รม่ิ ใช้ Artificial Intelligence (AI) เป็นการใชเ้ ทคโนโลยีร่วมสมัย มีการบริหารจัดการเรียนรู้ประกอบการเรียนการ สอน การขยายองค์ความรู้ เน้นการพัฒนาส่งเสริมผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ ให้ได้เรียนรู้อย่างเชี่ยวชาญ ผู้สอนต้อง ปรับตนเองมาเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ ที่มีผู้เรียนสนใจเพ่ือการเข้าถึงผู้เรียน และทาให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ที่ได้ไปสร้าง นวัตกรรม เชน่ การนาความร้จู ากหอ้ งเรยี นไปใช้แกป้ ๎ญหาในชีวติ ประจาวัน การนาความรู้จากภาคทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน ซึ่งเป็นโลกแห่งความจริง จึงเป็นยุคที่ผู้สอน จะต้องปรับ และเพม่ิ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ทาให้ผเู้ รยี นได้มที กั ษะที่จาเปน็ สาหรับศตวรรษที่ 21 (อริยา คูหา และคณะ, 2562) การพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะท่ีจาเป็นในศตวรรษที่ 21 นั้น ผู้สอนต้องปรับเน้ือหา สาระการเรียนรู้ ให้ สอดคล้อง และสบื เน่อื งกนั กับบรบิ ททางสังคม และอยูภ่ ายใต้กรอบมาตรฐานวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ทีม่ ่งุ พัฒนาผเู้ รยี น 5 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ดา้ นคณุ ธรรมและจริยธรรม 2) ด้านความรู้ 3) ด้านทักษะ ทางป๎ญญา 4) ดา้ นทกั ษะความสมั พันธ์ระหวา่ งบคุ คลและความรบั ผิดชอบ และ 5) ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข หน้า503

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ หวั ขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ราชกิจจานุเบกษา, 2552) นอกจากน้ี ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2557) ได้ นาเสนอเก่ยี วกับทักษะของคนไทยท่ีควรพฒั นา คอื การมีทกั ษะการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและการประเมิน ทักษะการ คิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ ทักษะการคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ทักษะการผลิตและคิดนวัตกรรม ทักษะการ เปล่ียนแปลงและแก้ป๎ญหา ทักษะการส่ือการและความม่ันใจในตนเอง และทักษะทางด้านคุณธรรมและความ รับผดิ ชอบ สรปุ ได้วา่ ทกั ษะการคดิ จึงเป็นทักษะพน้ื ฐานในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในยุคท่ีมีข้อมูลข่าวสารเกิดข้ึน ใหมท่ กุ วนั ดังนั้น การจัดการเรยี นรู้ต้องเน้นผเู้ รียนเป็นสาคญั โดยมงุ่ เน้นทเี่ ปลี่ยนบทบาทของ “ผู้สอน” หรอื “ผถู้ า่ ย ความรู้” มาเปน็ “ผู้จดั การเรยี นรู้” ใหแ้ กผ่ ู้เรียน โดยคานงึ ถงึ ประโยชน์ของผูเ้ รียนเป็นสาคญั มุง่ เน้นใหผ้ ู้เรยี น มีส่วนร่วมใน กจิ กรรม การเรียนรู้มากทสี่ ดุ จากการลงมือปฏบิ ัตจิ รงิ มปี ฏิสมั พันธแ์ บบมีส่วนร่วมกับผ้สู อน และผู้เรยี นด้วยกัน ได้ฝึกทักษะ กระบวน การเรียนรู้ ฝึกกระบวนการคิด การวิเคราะห์ วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ วางแผนและตดั สนิ ใจแก้ปญ๎ หาด้วยตนเองและใน ขณะเดยี วกนั ผเู้ รยี นยงั สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการนาความรแู้ ละวธิ ีการเรียนรู้ไปใช้ในชีวติ ได้จรงิ และ ผ้สู อนจะต้องเปน็ ผู้อานวยความสะดวก โดยการให้คาแนะนา ให้คาปรึกษา ใหค้ วามชว่ ยเหลอื สนบั สนุน และให้กาลงั ใจ เพอ่ื ให้ผเู้ รยี น เกดิ การเรยี นรู้อย่างจรงิ (สิทธิพล อาจอินทร,์ 2560) การเปลยี่ นบทบาทจากผูบ้ รรยาย (Lecturer) มาสผู่ ู้อานวยความสะดวก (Facilitator) นั้นมีหนังสือ เอกสาร ตารา และงานวิจัยท่เี ก่ียวข้องกบั การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในระดับอดุ มศึกษาซ่งึ มีมากมายหลากหลายรูปแบบ และหน่ึงในวิธีการจัดการเรียนการสอนท่ีน่าสนใจ คือการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็น การจดั การเรยี นรู้ ท่ีแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกในกลุ่มมีความสามารถต่างกันทางานร่วมกัน ประมาณ 3 – 6 คน เพอื่ ชว่ ยกันทางานในกลุ่ม โดยทกุ คนมหี น้าท่รี บั ผิดชอบต่องานของตนเอง และงานภายในกลุ่ม มี ปฏสิ ัมพันธ์กนั ชว่ ยเหลือซึง่ กันและกนั เพื่อใหต้ นเอง และสมาชิกในกลุ่มบรรลุตามเปูาหมายที่กาหนดไว้ (ทิศนา แขม มณี, 2552 อ้างอิงมาจาก Slavin,1987; Johnson and Johnson,1994) ซ่ึงประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือน้ัน จะทาให้ผู้เรียนเข้าใจในเน้ือหาวิชามากขึ้น เพราะการเรียนเป็นกลุ่มโดยสมาชิกในกลุ่มมีความสามารถ ตา่ งกัน ผู้เรียนที่เรียนเก่งจะสามารถสอนให้คนท่ีไม่เข้าใจได้ ขณะเดียวกันยังเป็นเป็นการฝึกทักษะทางสังคม เพราะ การจัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมือนนั้ ผ้เู รียนจาเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ภายในกลุ่ม และยังต้องทางานอยู่กับ บคุ คลทมี่ ีความแตกต่างกัน ท้ังนี้ผู้เรียนจะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นคว้าหาคาตอบ รับผิดชอบต่อ การเรียนรู้ของตนเอง เพื่อกระทาเปูาหมายท่ีวางไว้ให้สาเร็จ การแสดงความคิดเห็นและการรับฟ๎งความคิดเห็นที่ หลากหลายโดยใชค้ าถามใหเ้ กิดการเรียนรู้ในการแก้ปญ๎ หาเพิ่มข้ึน (ขนิษฐา กรกาแหง, 2551; เขมณัฏฐ์ มิ่งศิริธรรม, หน้า504

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 2554)และสอดคล้องกับงานวิจัยของ สจีวรรณ ปราชญ์ศรี (2560) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค STAD ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ในรายวิชาการวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ ของนักศึกษาคณะ เทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเทพสตรี พบว่า นกั ศึกษามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทีส่ ูงขึ้น มีความพึงพอใจ ต่อการเรียนร้อู ยูใ่ นระดบั มาก สาระการเรียนรู้ครอบคลมุ ชดั การจดั ลาดบั วิธกี ารมคี วามต่อเน่ือง จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีลงทะเบียนในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 รายวิชา พฤติกรรมองค์การ มีลักษณะเป็นสหวทิ ยาการ และเป็นรายวชิ าท่ีมเี นือ้ หาทีห่ ลากหลาย เน้นการใช้องค์ความรู้ท่ีศึกษา เปน็ กรอบในการวิเคราะห์และแก้ป๎ญหาต่าง ๆ ภายในองค์การ รวมถึงศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ใน องคก์ ารอยา่ งเปน็ ระบบ ท้ังระดับบุคคล กลุ่ม และองค์การ ดังน้ันการส่งเสริมผู้เรียนให้มีทักษะทาง ป๎ญญาจึงเป็นทักษะที่จาเป็นในการเรียนรู้ โดยเฉพาะทักษะการคิดแก้ป๎ญหาจากกรณีศึกษา หรือสถานการณ์ของ เนื้อหาจากรายวิชา ในขณะเดียวกัน พบว่า ผู้เรียนมักใช้เวลาไปกับการใช้สมาร์ทโฟน สืบค้นหาข้อมูลบนเว็บ ชอบ ความรวดเร็วในการเรยี นรู้ มีความอดทนต่า ชอบลงมอื ปฏิบตั ใิ นรูปแบบกลมุ่ มากกว่ารายบุคคล เพราะไม่อยากคิดคน เดยี ว อยากให้มีคนคอยช่วยเหลือให้คาปรึกษา เนื่องจากไม่ม่ันใจถึง แนวทางการแก้ป๎ญหาว่าควรจัดการกับ สถานการณ์จากเน้ือหาในรายวิชานี้อย่างไร ผู้วิจัยจึงศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการคิดแก้ป๎ญหาตามแนวคิดของ Weir (1974), Dewey (1976) และสุวิทย์ มูลคา (2551) มาสังเคราะห์กระบวนการคิดแก้ป๎ญหา5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ระบุ ปญ๎ หา 2) หาสาเหตุของป๎ญหา 3) เก็บรวบรวมข้อมูล 4) เสนอวิธีการแก้ป๎ญหาและ 5) ตรวจสอบผลลัพธ์ เพ่ือนาไป ออกแบบกิจกรรมการเรยี นรใู้ นรายวิชาตอ่ ไป จากความสาคัญดงั กล่าวผวู้ ิจยั จงึ ได้นาการเรยี นร้แู บบร่วมมอื ร่วมกับเทคนคิ การคิดแก้ป๎ญหามาออกแบบและ จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยกาหนดวัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหา ระหว่างกอ่ นเรยี น และหลงั เรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ท่ีเรียนด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการ คดิ แก้ป๎ญหาและศึกษาความพึงพอใจในการเรยี นของนกั ศึกษาระดับปรญิ ญาตรี ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา ท้ังนี้การออกแบบและจัดการเรียนรู้จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการคิด แก้ป๎ญหาของนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่ลงทะเบียน เรยี นในรายวชิ าพฤติกรรมองค์การ และฝึกฝนให้ผเู้ รยี นมีทกั ษะการคิดท่ีมปี ระสิทธภิ าพ และเกิดความสุขในการเรียนรู้ อยา่ งแทจ้ รงิ วิธีดาเนนิ การวิจัย 1. ประชากรเปูาหมาย คือ นกั ศกึ ษาท่ลี งทะเบยี นในรายวิชา พฤติกรรมองค์การ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ได้แก่ นักศึกษาระดับชน้ั ปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี ช้ันปีที่ 1 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมาจานวน 50 คน ไดม้ าด้วยวธิ ีการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive sampling) 2. เครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั หนา้ 505

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 2.1 แผนการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา ในรายวชิ าพฤติกรรมองค์การ สาหรบั นกั ศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี จานวน 8 แผน รวมเวลาทง้ั ส้ิน 24ชั่วโมง ประกอบด้วย หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 การศึกษาพฤติกรรมองค์การ จานวน 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 บคุ ลิกภาพและอารมณ์ จานวน 3 ช่วั โมง หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 เจตคติที่เก่ียวข้องกับงาน จานวน 3 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 การจงู ใจในองค์การ จานวน 3 ชว่ั โมง หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 5 กลุม่ สัมพันธแ์ ละการทางานเปน็ ทมี จานวน 3 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 การส่ือความหมาย จานวน 3 ชว่ั โมง หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 7 อานาจและการเมืองในองคก์ าร จานวน 3 ชว่ั โมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาองค์การ จานวน 3 ชั่วโมง โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านเนื้อหา และด้านการวัดและประเมินผล ผลการวิเคราะห์ คณุ ภาพได้คา่ เฉลยี่ 4.25 แสดงวา่ แผนการจัดการเรียนรูเ้ หมาะสมอยู่ในระดบั มาก สามารถนาไปใช้ในการจัดการเรียน การสอนได้ 2.2 แบบทดสอบวดั ความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหา รายวิชาพฤติกรรมองค์การสาหรับนักศึกษาระดับ ปรญิ ญาตรี คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสมี า ชนดิ ปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ มีค่าความ ยากตงั้ แต่ .30 ถึง .57 ค่าอานาจจาแนกรายข้อตงั้ แต่ .21 ถึง .91 และคา่ ความเช่อื มน่ั เท่ากับ .92 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ รว่ มกบั เทคนคิ การคิดแกป้ ๎ญหา รายวชิ า พฤติกรรมองค์การ สาหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซ่ึงมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) โดยกาหนดการสร้างของคาถามเป็น 4 ด้าน คือ ด้านเนื้อหา ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านส่ือการเรียนการ สอน และด้านการวดั และประเมินผล จานวน 15 ขอ้ มคี ่าความเช่ือม่ันเท่ากับ .89 3. การดาเนนิ การทดลองและจดั เกบ็ ขอ้ มูล ผวู้ จิ ัยดาเนนิ การจดั การเรียนรู้แบบร่วมมอื รว่ มกบั เทคนคิ การคดิ แกป้ ๎ญหา โดยมีกระบวนการ ดงั นี้ 3.1 ขั้นเตรยี ม เปน็ ขัน้ ท่ผี ูส้ อนทาหน้าทีจ่ ดั กล่มุ นกั ศกึ ษาแบบคละความสามารถทางการเรยี น (เก่ง-กลาง- อ่อน) กลุ่มละ 4-5 คน เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มช่วยเหลือกันในเวลาเรียนโดยให้นักศึกษากาหนดบทบาทหน้าที่ภายใน กล่มุ จากนั้นผ้สู อนจะอธิบายวิธีการเรยี นรู้ แจง้ จุดประสงค์การเรียนรู้ และใหน้ ักศึกษาทาแบบทดสอบวดั ความสามารถ ในการคดิ แกป้ ๎ญหาฉบบั กอ่ นเรยี น (Pre-test) เปน็ รายบุคคล จานวน 30 ข้อ จากน้ันนาคะแนนของสมาชิกในกลุ่มมา รวมกนั และเริ่มจดั อนั ดับคะแนน เพือ่ กระตุน้ การเรยี นรู้ 3.2 ขั้นสอน เป็นการนาเสนอเน้ือหา กรณีศึกษาทางธุรกิจ (Business Case study) ในรูปแบบของ สถานการณป์ ญ๎ หาหรอื ขอ้ คาถามใหใ้ กล้เคียงกับการดาเนินชีวิตประจาวัน ข่าวสารและเหตุการณ์ป๎จจุบัน ช่วงวัยของ พนักงาน (Generation) แนวโน้มพฤติกรรมของพนักงานในยุค Digital Transformation เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ หน้า506

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ประสบการณเ์ ดมิ กอ่ นจะนาเสนอเน้ือหาใหม่ โดยผู้สอนจะต้องกระตุ้นการเรียนรู้โดยใช้คาถามที่สามารถต่อยอดทาง ความคิด ท้าทาย ทาให้นักศึกษา เกิดความสงสัยและนาไปสู่การแก้ป๎ญหาด้วยการสืบค้นข้อมูล และการระดม ความคดิ ตามเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา 5 ขั้นตอน ดังน้ี 1) ระบุป๎ญหา 2) หาสาเหตุของป๎ญหา 3) เก็บรวบรวมข้อมูล จากแหล่งข้อมูลท่ีได้จัดเตรียมไว้ให้ผ่าน QR Code 4) เสนอวิธีการแก้ป๎ญหา และ 5) ตรวจสอบ ผลลพั ธ์ โดยผ้สู อนจะทาหนา้ ทชี่ ว่ ยเหลอื โดยการให้คาแนะนา 3.3 ข้ันนาเสนอผลงาน เป็นข้ันตอนท่ีนักศึกษาแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการแก้ป๎ญหาหน้าช้ันเรียนโดย ผสู้ อนตอ้ งสร้างบรรยากาศในการซักถาม และแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ ระหว่างผนู้ าเสนอ และผรู้ บั ฟง๎ การนาเสนอ 3.4 ข้ันสรุปและประเมนิ ผลงาน เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนจะต้องสรุปกิจกรรมการเรียนรู้ จากน้ันผู้สอนและ นักศึกษาทุกคนจะร่วมกันให้คะแนนการนาเสนอโดยการแจกสัญลักษณ์ กดเลิฟ (love) ให้ 2 คะแนน กดไลค์ (like) ให้ 1 คะแนน และถ้ามีข้อแนะนาให้เขียนลงในสญั ลักษณ์ทแ่ี จกให้ โดยสมาชิกในกลุ่มใด ให้ข้อแนะนาที่เป็นประโยชน์ ให้กาลังใจ ผสู้ อนจะเพ่มิ คะแนนให้ 1 คะแนน จากน้ันให้สมาชกิ ในแตล่ ะกลุ่มสรุปคะแนนทไ่ี ด้ 3.5 ผวู้ ิจัยใหน้ กั ศึกษาทาการทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการ คิดแก้ป๎ญหา ฉบับหลงั เรียน ซึ่งเปน็ ฉบับเดยี วกับการทดสอบก่อนเรียน และบันทึกผลการสอบไว้เป็นคะแนนหลังเรียน สาหรบั การ วเิ คราะห์ข้อมูล 3.6 ผู้วิจัยให้นักศึกษาทาแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือรว่ มกับเทคนคิ การคิดแก้ป๎ญหา และบันทึกผลการสอบไว้เป็นคะแนนสาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติและ แปลผล 4. การวเิ คราะห์ข้อมูล 4.1 วิเคราะห์ความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหาระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยการนาคะแนนจาก การทาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหาฉบับก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชา พฤติกรรมอง ค์การ นักศึกษาระดบั ชั้นปริญญาตรี คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครราชสมี า ท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการ เรียนรูแ้ บบรว่ มมือรว่ มกบั เทคนคิ การคดิ แกป้ ญ๎ หา หาค่าเฉลีย่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบผลการทดสอบ โดยใช้สถิติ t-test dependent 4.2 วิเคราะหค์ วามพงึ พอใจในการเรยี นรู้ ของนักศึกษาระดับปรญิ ญาตรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครราชสีมา ท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา รายวิชา พฤติกรรมองค์การ โดยหาคา่ เฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแปลความหมายของระดับความพึงพอใจ โดยใช้เกณฑ์ ของบญุ ชม ศรีสะอาด (2554) ดังนี้ ค่าเฉล่ีย 4.51-5.00 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยู่ในระดับมากท่ีสดุ คา่ เฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดับมาก หนา้ 507

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ หวั ข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดับปลางกลาง ค่าเฉลีย่ 1.51-2.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั นอ้ ย คา่ เฉลยี่ 1.00-1.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยใู่ นระดับนอ้ ยทีส่ ดุ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ผูว้ ิจยั เสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ได้ดงั นี้ 1. ผลการเปรยี บเทียบความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการ จัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิด แกป้ ญ๎ หาระหว่างก่อนเรยี นและหลังเรยี น รายวิชา พฤตกิ รรมองค์การ ดังตาราง 1 ตาราง 1 คา่ เฉล่ีย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และผลการเปรยี บเทยี บความสามารถในการคิดแกป้ ๎ญหาของนักศกึ ษา ระดบั ช้ัน ปริญญาตรี คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครราชสีมา ทเ่ี รียนด้วยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื รว่ มกับเทคนิคการแก้ปญ๎ หา ระหวา่ งก่อนเรยี นและหลังเรียน รายวิชา พฤตกิ รรมองค์การ การทดสอบ n X_ S.D. t P กอ่ นเรยี น 50 หลังเรียน 50 11.02 3.16 34.27* .000 22.46 3.71 **มนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั 0.05 จากตาราง 1 พบว่า นักศึกษาท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการ แก้ป๎ญหา มีคา่ เฉลย่ี ของคะแนนจากการทาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหาก่อนเรียนเท่ากับ 11.02 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.16 และมีค่าเฉล่ียของคะแนนจากการทาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด แก้ป๎ญหาหลังเรียนเท่ากับ 22.46 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.71 จึงทาให้นักศึกษามีความสามารถในการคิด แกป้ ญ๎ หาหลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรยี น อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.05 2. ผลความพึงพอใจในการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราช ภัฏนครราชสีมา ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการแก้ป๎ญหา รายวิชา พฤติกรรม องค์การ ดังตาราง 2 ตาราง 2 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดบั ความพึงพอใจในการเรยี นของนกั ศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสีมา ทม่ี ตี อ่ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบร่วมมอื หนา้ 508

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ร่วมกับเทคนิคการแกป้ ญ๎ หา รายวิชา พฤตกิ รรมองค์การ ความพึงพอใจท่ีมีตอ่ จัดการเรยี นการรู้ X_ S.D. ระดบั ด้านเน้ือหา 1. เน้อื หาสาระทเ่ี รยี นมีความเขา้ ใจงา่ ย 4.43 0.45 มาก 2. เนื้อหาสาระมคี วามทนั สมัยตอ่ เหตกุ ารณ์ 4.63 0.50 มากทส่ี ุด 3. เน้อื หาสาระที่เรยี นสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวนั 4.50 0.51 มาก รวมเฉลยี่ 4.52 0.48 มากทสี่ ดุ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 4. เปน็ กิจกรรมที่ได้เรียนรู้เป็นกลุ่ม และคอยชว่ ยเหลือซึง่ กนั และ 4.75 0.44 มากท่ีสุด กัน 5. เปน็ กจิ กรรมที่หลากหลายน่าสนใจ ทา้ ทายความคิด 4.50 0.51 มาก 6. เป็นกจิ กรรมทีเ่ ปิดโอกาสให้สนทนา แลกเปลีย่ นความคดิ เห็น 4.46 0.51 มาก ที่ประโยชน์ในการตอ่ ยอดเพ่ือใหไ้ ด้แนวทางในการแก้ปญ๎ หา 7. ผู้สอนคอยให้ความช่วยเหลือในการคิดแกป้ ญ๎ หาตาม 4.50 0.53 มาก กระบวนการ 5 ข้ันตอนไดอ้ ย่างเป็นระบบ และทั่วถึงทกุ กลุ่ม 8. ระยะเวลาในการปฏิบัติกจิ กรรมมคี วามเหมาะสม 4.50 0.51 มาก รวมเฉลีย่ 4.54 0.50 มากที่สุด ด้านส่อื การเรียนรู้ 9. มสี อ่ื การนาเสนอทน่ี ่าสนใจ กระตุ้นการเรียน 4.48 0.44 มาก 10. เอกสารทกี่ ารออกแบบน่าใจ ลาดับเนอ้ื หาจากง่ายไปยาก 4.50 0.69 มาก 11. เอกสารมีคาชแี้ จงการให้ปฏิบตั ชิ ัดเจน ครอบคลมุ 4.41 0.53 มาก จดุ ประสงค์ การเรียนรู้ รวมเฉลย่ี 4.46 0.55 มาก ด้านการวัดและประเมินผล 12. มีเกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงานกลุ่มอย่าง 4.52 0.53 มากที่สดุ ชัดเจน และยอมรบั ได้ 13. มีเกณฑก์ ารประเมินผลการปฏิบัตริ ายบุคคลอย่างชดั เจน 4.47 0.51 มาก และ ยอมรับได้ 14. มกี ารประเมนิ ความสามารถในการคิดแก้ปญ๎ หาเป็นระยะ 4.49 0.50 มาก หน้า509

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 15. การวดั และประเมินผลครอบคลมุ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 4.47 0.51 มาก รวมเฉล่ีย 4.48 0.51 มาก เฉล่ียรวมทุกดา้ น 4.50 0.51 มาก จากตาราง 2แสดงว่า นักศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่ เรระียดนับดค้ววยากมาพรึงจพดั อกใิจจกใรนรกมากราเรรยีเรนียโนดรยู้แภบาบพรร่ววมมมอX_ือยรใู่ น่วมระกดับับเทมคากนิค(=กา4ร.แ50ก,้ปS๎ญ.Dห.า=ร0า.ย5ว1ิช)าเมพ่อื ฤพตจิ ิการรรณมาอเงปค็น์กราารยดน้าักนศึกพษบาวม่าี =นทักมี่ 4ศีค.7ึกา่ 5เษฉ,าลSมยี่.ีคDคว.วา=ามมพ0พ.งึ4งึ พพ4อ)อใแใจจลออะยยดู่ใใู่ น้านนรระเะนดดื้อับับหมมาาากกเทมทส่ี่ือี่สดุพดุ ิจ2คาือดรา้ณเนปาX_็นรคากือยิจดขก้า้อรนรขกม้อิจททก่ีไ่ีมรดรีค้เรม่าียกเฉนาลรรเู้เี่ยรปรีย็นะนกดกลับาุ่มครแสวลอาX_มนะพคแอึงลพยะชอเ่วใมจย่ือมเพหาิจลกาือXท_รซี่สณ่ึงุดกาันรคาือแยลเขะน้อกื้อXั_นขห้อา( สาระมคี วามทนั สมยั ตอ่ เหตุการณ์ ( = 4.63, S.D. = 0.50) ส่วนดา้ นการวดั และประเมินผล ( = 4.48, S.D. = 0.51) และดา้ นส่อื การเรยี นรู้ ( = 4.46, S.D. = 0.55) มคี า่ เฉลี่ยความพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก สรปุ ผลการวิจยั จากการศกึ ษาและวเิ คราะห์ข้อมูล สามารถสรุปผลการวิจยั ได้ดังนี้ 1) นักศกึ ษาระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่เรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา มีความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทาง สถติ ิท่ี .05 แบบรว่ มม2อื)นรักว่ มศกึกับษเาทรคะนดบัิคกปารริญคญิดแากต้ปรีญ๎ คหณาะวโดิทยยภาากพารรวจมัดอกยาใู่รนมระหดX_าับวิทมายกาล(ั=ยน4ค.5ร0ร,าชSส.Dีม.า=ม0ีค.5ว1า)มพึงพอใจในการเรียน อภิปรายผล ผูว้ ิจยั ไดอ้ ภิปรายผลของการวิจัย ดังนี้ 1. นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่เรียนด้วยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา มีความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหาหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี .05และสามารถอภิปรายได้ด้วยเหตุที่เป็นอย่างนี้เนื่องจากผู้วิจัยได้ ดาเนนิ การออกแบบกิจกรรม การเรยี นรตู้ ามข้นั ตอน ADDIE Model ตามแนวคดิ ของ Steven J. McGriff (2008) โดย อาศัยหลักของวิธีการระบบ (System Approach) 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ (A: Analysis) เป็นการศึกษา ความต้องการ พฤติกรรมการเรียนรู้ ความรู้ ทักษะอะไรที่ผู้เรียนต้องการสอดคล้องตาม กรอบมาตรฐานวุฒิ ระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 และบริบทของสภาพแวดล้อมทางสังคมในยุคป๎จจุบัน เพ่ือนามากาหนด จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสมกับผ้เู รียนตามธรรมชาตขิ องเน้ือหารายวิชา 2) การออกแบบ (D: Design) เป็นการนาข้อมูลพื้นฐานที่ได้ศึกษาในข้ันตอนท่ี 1 มาออกแบบกิจกรรมใน การเรียนรู้ตาม หนา้ 510

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หวั ขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) กระบวนการการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ โดยได้ศกึ ษา วเิ คราะห์ และสังเคราะห์กระบวนการจดั การเรียนรู้ ตาม แนวคดิ ของอาภรณ์ ใจเทีย่ ง (2550) และเขมณัฏฐ์ มง่ิ ศิรธิ รรม (2554) ประกอบดว้ ย 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ข้ันนาเข้าสู่ บทเรียน (2) ข้ันนาเสนอการสอน (เน้นการทากิจกรรมกลุ่ม) (3) ข้ันนาเสนอผลงาน (4) ข้ันสรุปและประเมินผลการ ทางานกลมุ่ โดยจดุ เด่นของการจดั การเรียนรู้แบบร่วมมือ กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เน้นการปฏิสัมพันธ์ของ ผู้เรียนแบบเป็นกลุม่ ยอ่ ยทค่ี ละความสามารถทางการเรียน (เก่ง-ปานกลาง-อ่อน) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยกันทางานใน กลุ่ม โดยทกุ คนมีหน้าที่รับผิดชอบต่องานของตนเองและงานภายในกลุ่ม เพ่ือให้ตนเองและสมาชิกในกลุ่มบรรลุตาม เปูาหมายที่กาหนดไว้ โดยผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจร่วมกันของผู้เรียนด้วยการนาเทคนิคการคิด แก้ป๎ญหา 5 ข้ันตอน ตามแนวคิดของ Weir (1974), Dewey (1976) และสุวิทย์ มูลคา (2551) มาสังเคราะห์ กระบวนการคิดแก้ป๎ญหา5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ระบุป๎ญหา (2) หาสาเหตุของป๎ญหา(3) เก็บรวบรวมข้อมูล (4) เสนอ วธิ ีการแกป้ ๎ญหาและ (5) ตรวจสอบผลลัพธ์ จุดเด่นของการนากระบวนการคิดแก้ป๎ญหามาใช้ร่วมกับการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ มีเหตุผลและหลักการในการตัดสินใจ ทาให้เป็นผู้รู้ มี ความคิดและทัศนะกว้าง มีทักษะการคดิ แกป้ ญ๎ หาทีเ่ หมาะสม (ชญาภรณ์ เอกธรรมสุทธิ์ และเกสร สุวิทยะศิริ, 2560) 3) การพัฒนา (D: Development) เป็นการนาข้อมูลในข้ันตอนท่ี 2 มาเขียนเป็น มคอ.3 และสร้างเอกสาร ประกอบการสอน และนาเสนอต่อผู้เช่ียวชาญด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านเน้ือหา ด้านการวัดและประเมินผล จานวน 3 ท่าน เพ่ือขอข้อเสนอแนะมาแก้ไขเพ่ือความสมบูรณ์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4)การนาไปใช้ ( I: Implementation) โดยการนาไปใช้กับประชากรเปูาหมาย ผู้สอนต้องปฐมนิเทศผู้เรียนเก่ียวกับกระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา จัดสิ่งสนับสนุนบทเรียน เช่น แหล่งสืบค้นข้อมูลผ่าน QR Code เป็นตน้ และ 5) การประเมนิ ผล (E: Evaluation) เป็นการนาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ป๎ญหา มาทา การทดสอบหลังจากได้ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา ดังท่ี อาภรณ์ ใจ เท่ียง (2550) ไดก้ ล่าวไว้ว่า การจดั กจิ กรรมทผี่ ู้เรียนไดเ้ รียนรู้ร่วมกนั ทางานตามบทบาทที่ตนเองต้องรับผิดชอบภายใต้ เปูาหมายเดียวกนั โดยเลือกผู้เรยี นที่มีความสามารถต่างกันภายในกลุ่มเพื่อดาเนินการสู่เปูาหมาย ทาให้กิจกรรมการ เรียนการสอนมีสีสัน เกิดความสนุก ตื่นเต้น น่าสนใจ ไม่เบื่อ ส่งผลให้ทักษะการคิดของผู้เรียนสูงขึ้น สอดคล้องกับ งานวิจัยของ กาญจนา จัตุพันธ์ และกาญจนา สานุกูล (2560) ได้ศึกษารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ (Cooperative learning) ในช้ันเรียน วิชา ระบบสุขภาพ กรณีศึกษา นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสาธารณสุข ชน้ั สงู เทคนคิ เภสัชกรรม วทิ ยาลยั การสาธารณสขุ สิรนิ ธร จงั หวัดขอนแกน่ พบว่า การเรียนรู้ทักษะการแสวงหาความรู้ ด้วยตนเองและการตัดสินใจ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉล่ีย 4.32 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.65 ประเด็นที่ นักศึกษาให้ความเหน็ ในระดับมากท่สี ดุ คือ นักศกึ ษาเรียนร้กู ารตัดสนิ ใจของทีม จากเน้ือหาของงานท่ีได้รับมอบหมาย เพื่อเตรียมเสนอในชั้นเรียน ค่าเฉลี่ย 4.40 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.70 และทักษะทางสังคมในการทางานร่วมกับ ผูอ้ ื่นอยใู่ นระดับดีมาก คา่ เฉลีย่ 4.32 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.62 ประเด็นที่นักศึกษาให้ความเห็นในระดับมากที่สุด คอื นกั ศกึ ษารู้วา่ เราต้องรับผิดชอบการทางานช่วยเพื่อน ค่าเฉล่ีย 4.40 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.50 ทั้งนี้นักศึกษา หนา้ 511

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ยอมรับความสามารถของเพื่อนในกลุ่มที่แตกต่างกัน โดยเลือกมอบหมายงานตามความสามารถและความสนใจของ เพือ่ นในกลมุ่ ตามบทบาทผู้นา ผสู้ ืบค้นขอ้ มูล ผ้สู ังเกตการณ์ เรยี นด้วย2ก.ิจนกกรั รศมึกกษาารรเะรียดนับรปแู้ รบิญบญราว่ ตมรมี ือครณว่ ะมวกิทับยเทากคานริคจกัดากราครดิ มแหกป้าว๎ญทิ หยาาลโดัยยราภชาภพัฏรวนมคอรยราใู่ นชสระีมดาับX_มมคี าวกาม(=พงึ4พ.5อ0ใจ, ใSน.Dก.า=ร 0.51)สาเหตุท่ีเป็นอย่างนี้เน่ืองจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา ที่นา สถานการณ์ป๎ญหามาเปน็ จดุ เร่ิมในการเรยี นรู้ โดยมกี ารเช่ือมโยงประสบการณค์ วามร้เู ดิมกบั ความรใู้ หม่เพ่อื นาไปสู่การ แก้ป๎ญหาเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน มีความเป็นมิตร คอยช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน และการ เสรมิ แรงจากการปฏิบัติงานและนาคะแนนมารวมเพื่อความสาเร็จของกลุ่มทาให้นักศึกษาแสดงศักยภาพของตนเอง อย่างเต็มท่ี ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนแต่ละคนสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปิยนุช วงศ์กลาง (2562) ได้ศกึ ษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ ในรายวิชา เทคโนโลยีการศึกษา ของ นกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา พบว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการ จัดการเรยี นร้แู บบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิคจกิ๊ ซอว์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยผู้เรียนส่วนใหญ่ มีความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด คือ ผู้สอนมีการแนะนารายละเอียดก่อนเรียน และทากิจกรรม มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.63 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเทา่ กับ 0.61 นอกจากน้นั ยงั สอดคลอ้ งกับงานวจิ ัยของ สจีวรรณ ปราชญ์ศรี (2560) ได้วิจัยเก่ียวกับ ผลการ จัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมือดว้ ยเทคนคิ STAD ทีม่ ีต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ในรายวิชาการวิเคราะห์และออกแบบเชิง วัตถุ ของนักศกึ ษาคณะเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เทพสตรี พบว่า นักศึกษามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ทีส่ ูงขน้ึ มีความพึงพอใจตอ่ การเรยี นรอู้ ยรู่ ะดับมาก สาระการเรียนรู้ครอบคลุมชัด การจัดลาดับวิธีการมีความต่อเน่ือง และเกิดความรสู้ กึ ที่ดใี นการเรยี นรู้ ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลวจิ ัยไปใช้ 1.1 จากผลการวิจัยจะเห็นว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา มีผลดีต่อ ความสามารถในการคิดแก้ปญ๎ หา ดังน้นั ผู้สอนควรจะนากิจกรรมการจดั การเรยี นร้ไู ปปรับใช้ในรายวิชาอ่ืนๆ ซ่ึงจะเป็น ประโยชน์ตอ่ การพัฒนาความสามารถทางการคดิ ของนักศกึ ษาใหม้ ปี ระสิทธภิ าพยิง่ ขึ้น 1.2 ในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา มีผลดีต่อความสามารถในการคิด แก้ปญ๎ หา ผู้สอนควรกระตุ้นใหผ้ ู้เรียนเหน็ ความสาคญั ของการทางานกลุ่ม ความสาเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับผู้เรียนทุกคน ที่ผลักดนั ชว่ ยเหลอื กนั เหน็ อกเห็นใจกนั ซ่งึ ปจ๎ จัยเหลา่ นเ้ี ปน็ ส่วนสาคญั ของความสาเรจ็ 1.3 ในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับเทคนิคการคิดแก้ป๎ญหา ผู้สอนสามารถปรับกิจกรรมการ เรยี นรู้ให้สอดคลอ้ งกับระยะเวลาในการจัดการเรียนการสอน 2. ขอ้ เสนอแนะเพ่ือการวิจัยครง้ั ตอ่ ไป หน้า512

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 2.1 ควรมีการศึกษาความคงทนในการเรียนรู้หลังจากเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ รว่ มกบั เทคนิคการคดิ แกป้ ๎ญหา 2.2 ควรมีการศึกษาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เช่น ความมีวินัย ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หลังจากเรยี นดว้ ยการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้แู บบรว่ มมือร่วมกบั เทคนคิ การคิดแก้ปญ๎ หา เอกสารอา้ งองิ กาญจนา จตั ุพันธ์ และกาญจนา สานุกูล. (2560). “การศึกษารปู แบบการเรียนรู้แบบรว่ มมือร่วมใจ (Cooperative learning) ในชั้นเรียน วิชา ระบบสุขภาพ กรณีศกึ ษา นกั ศึกษาหลกั สูตรประกาศนยี บตั รสาธารณสขุ ชั้นสูง เทคนิคเภสชั กรรม วทิ ยาลยั การสาธารณสุขสริ นิ ธร จังหวัดขอนแก่น.” รายงานสบื เนอ่ื งการประชมุ สัมมนา วิชาการ (Proceedings) การนาเสนอผลงานวิจัยระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครง้ั ท่ี 8 มหาวิทยาลัย หาดใหญ่ วนั ที่ 22 มิถนุ ายน 2560. สงขลา: มหาวิทยาลยั หาดใหญ.่ ขนษิ ฐา กรกาแหง. (2551).การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละคณุ ธรรมจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นโยธินบารงุ ทไ่ี ด้รบั การจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ TGT กับการจัดการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้. วิทยานิพนธก์ ศ.ม. (หลกั สตู รและการสอน). กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. เขมณัฏฐ์ มง่ิ ศิรธิ รรม. (2554, พฤษภาคม-สิงหาคม). “การบรู ณาการวิธีการเรียนแบบร่วมมือกบั การเรียนร่วมกัน.” Veridian E-Journal SU. 4(1), 435-444. ชญาภรณ์ เอกธรรมสทุ ธิ์ และเกสร สุวทิ ยะศิร.ิ (2560, มกราคม-เมษายน). “การสรา้ งความรู้ ผา่ นทักษะการคิด แกป้ ญ๎ หา.” วารสารวทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรงุ เทพ. 33(1), 177-183. ทศิ นา แขมมณี. (2552). ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรเู้ พอ่ื การจดั กระบวนการเรยี นรทู้ ม่ี ปี ระสิทธภิ าพ. พมิ พค์ ร้ังที่ 10. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . บุญชม ศรีสะอาด. (2554). การวิจยั เบอ้ื งตน้ . พิมพค์ รั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : สุวีรยิ าสาสน์ . ปยิ นชุ วงศก์ ลาง. (2562, พฤษภาคม-สงิ หาคม). “ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนแบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนิคจ๊ิกซอว์ ใน รายวิชาเทคโนโลยกี ารศกึ ษา ของนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา.” วารสารศึกษาศาสตร์. 30(2), 101-109. ไพฑรู ย์ สินลารตั น.์ (2557). ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ตอ้ งก้าวใหพ้ น้ กบั ดักของตะวันตก. กรุงเทพฯ: วิทยาลัยครุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบณั ฑิต. ราชกจิ จานเุ บกษา. (2552). กรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ริ ะดบั อดุ มศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552. (30 สงิ หาคม 2552) เลม่ 126 ตอนพเิ ศษ 125 ง. สจีวรรณ ปราชญศ์ รี. (2560). “ผลการจดั การเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื ด้วยเทคนคิ STAD ทมี่ ตี อ่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ในรายวชิ าการวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ ของนักศกึ ษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏ เทพสตรี.”รายงานสืบเนอ่ื งการประชมุ สัมมนาวิชาการ (Proceedings) การนาเสนอผลงานวจิ ยั ระดบั ชาติ เครอื ขา่ ยบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนอื คร้ังที่ 17 มหาวิทยาลัยราชภฏั พบิ ลู หนา้ 513

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หวั ข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) สงคราม จังหวัดพษิ ณโุ ลก วันที่ 21 กรกฎาคม 2560. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม สทิ ธิพล อาจอนิ ทร์. (2560). ศาสตรแ์ ละศลิ ป์การจดั การเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21. ขอนแกน่ : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. สวุ ิทย์ มูลคา. (2551). กลยทุ ธก์ ารสอนคิดแกป้ ัญหา. พิมพค์ รัง้ ที่ 4. กรงุ เทพฯ : ภาพพมิ พ์. อริยา คหู า สรินฎา ปตุ ิ และฮานานมูฮบิ บะตดุ ดีน นอจ.ิ (2562, พฤษภาคม-สงิ หาคม). “โลกทีเ่ ปล่ยี นแปลง การ เรียนร้ทู ผ่ี ่านสู่ Active Learning.”วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี. 30(2), 1-13. อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2550). หลักการสอน (ฉบบั ปรับปรงุ ). พิมพ์ครงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ Dewey, J. (1976). Moral Principle in Education. Boston : Houghton Mifflin Co. Johnson, D.W. ; Johnson, R.T. and Holubec, E.J. (1994). The Nuts and Bolts of Cooperative Learning. Minnesota : Interaction Book Company. McGriff, S.J.(2008).WikiEducator Free e-learning content. Retrieved January 4, 2019 form https:// wikieducator.org. Weir, J.J. (1974). “Problem Solving Every body‖s Problem.” The Science Teacher. 4: 16–18. หนา้ 514

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ความคดิ เห็นของบคุ ลากรตอ่ ประสทิ ธผิ ลของโรงเรยี น ในสังกดั สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสระแก้ว เขต 1 Opinions of Personnel towards School Effectiveness under the Jurisdiction of Sa Kaeo Primary Educational Service Area Office 1 นนั ทธ์ ิดา แจ่มเพง็ , รศ.ดร.กฤษฎา วฒั นศักดิ์, ดร.สวุ ัฒนพงษ์ ร่มศรี คณะศึกษาศาสตรแ์ ละศิลปศาสตร/์ วทิ ยาลัยนครราชสีมา [email protected] บทคัดยอ่ การวจิ ยั ครงั้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อศึกษาความคดิ เห็นของบคุ ลากรทางการศึกษาตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียนใน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสระแก้วเขต 1และเปรียบเทียบประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้วเขต 1 ตามความคิดเห็นของบุคลากรจาแนกตามตาแหน่ง ประสบการณ์ในการทางาน ระดับการศึกษา และขนาดของโรงเรียนประชากรคือ บุคลากรของโรงเรียนในสังกัด สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน 1,932 คน กาหนดขนาดกลุ่ม ตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น สัดส่วนตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษา 24 คน (ร้อยละ 7.51) จากผู้บริหารสถานศึกษาทั้งหมด 145 คน และครู 297 คน (ร้อยละ 92.49) จากครูท้ังหมด 1,787 คน เครอ่ื งมือท่ีใช้การวิจัยคือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติพื้นฐานที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและสถิติที่ใช้ในการทดสอบ สมมตฐิ านไดแ้ ก่ t-test และ F-test พบวา่ 1. ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาสระแกว้ เขต 1 โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก เม่ือพิจารณาเปน็ รายด้านพบวา่ ประสิทธิผลของโรงเรียน อยู่ใน ระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความสามารถในการแก้ป๎ญหาภายใน สถานศกึ ษาดา้ นความสามารถผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยนและ พัฒนาสถานศกึ ษา และน้อยทส่ี ุด คอื ดา้ นความสามารถในการพัฒนานกั เรยี นให้มีทัศนะคติทางบวกตามลาดับ 2. ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1จาแนกตามตาแหน่ง ประสบการณ์ในการทางานระดับการศึกษาขนาดของโรงเรียน โดยรวมและรายดา้ นทกุ ด้าน ไมแ่ ตกตา่ งกนั คาสาคญั : ประสทิ ธผิ ล ประสิทธิผลของโรงเรียนสานักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 หน้า515

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หัวข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ABSTRACT The research purposes were: to study the opinions of personnel towards school effectiveness under the jurisdiction of Sa Kaeo Primary Educational Service Area Office 1; and to compare the school effectiveness under the jurisdiction of Sa Kaeo Primary Educational Service Area Office 1, classified by position, working experience, education level, and school size. The population was the 1932 personnel of schools under the jurisdiction of Sa Kaeo Primary Educational Service Area Office 1, academic year 2018. The sample size determined by the Krejcie & Morgan table, used the stratified random sampling method, the sample proportion was the 24 school administrations (7.51%) from a total of 145 school administrations, and 297 teachers (92.49%) from a total of 145 teachers. The research instrument was the 5-estimate rating scale questionnaire, with the reliability level 0.92.The basic statistics for data analysis were the frequency, percentage, mean, and standard deviation; the hypothesis test statistics were the t-test and F-test. Were: 1. The opinions of personnel towards school effectiveness under the jurisdiction of Sa Kaeo Primary Educational Service Area Office 1, overview was at the high level. When each aspect consideration found the every aspect of school effectiveness was at the high level, the mean descending rank include the ability of within school problems solving aspect, the Ability to produce students with high academic achievement aspect, the ability to adjust and develop schools aspect, and the least was the ability to develop students to have a positive attitude aspect, respectively. 2. The opinions of personnel towards school effectiveness under the jurisdiction of Sa Kaeo Primary Educational Service Area Office 1, classified by position, working experience, education level, school size overview and every aspect did not different. KEYWORDS :effectiveness, school effectiveness, Sa Kaeo Primary Educational Service Area Office 1 บทนา สภาพของสังคมไทยในป๎จจุบันที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความก้าวหน้าข องเทคโนโลยีและ นวัตกรรมใหม่ๆ ทีท่ ันสมัย เข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรมของชาติตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง ต่อเนื่อง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สงั คม และ วฒั นธรรม ซ่ึงการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสาคัญท่ีสุดในการสร้างสรรค์ ความเจริญก้าวหนา้ และเป็นการขับเคลื่อนให้เกดิ การพัฒนาในทุกๆดา้ น รวมทั้งการแกป้ ญ๎ หาต่างๆในสังคม เน่ืองจาก การศกึ ษาเป็นกระบวนการที่ชว่ ยใหค้ นไดพ้ ัฒนาตนเองในดา้ นตา่ งๆ ตลอดเวลา โดยมีเปูาหมายเพื่อพัฒนาคนไทยให้มี ความเจริญงอกงามทั้งทางด้านสติป๎ญญา ความรู้ คุณธรรมความดีงามในจิตใจ มีความสามารถที่จะทางาน และคิด วิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง สามารถเรียนรู้ แสวงหาความรู้ ตลอดจน ใช้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับ หน้า516

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ หัวข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 และทแ่ี กไ้ ข เพมิ่ เตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 6 ได้กาหนดให้การจัดการศึกษาต้อง เป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปญ๎ ญา ความรู้ และคณุ ธรรม มี จรยิ ธรรมและวฒั นธรรมในการดารงชวี ิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่นื ได้อย่างมีความสุข การจัดการ ศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้ เรียนสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ซึ่งในการจัด กระบวนการเรียนรู้จาเป็นต้องมีการจัดให้สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของ ผู้เรียน ช่วยฝึกทักษะ กระบวนการคิด การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2554) การจัดการศึกษาไทยได้มีการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด แต่ยังมีป๎ญหาอุปสรรคในการจัด การศึกษา และการบริหารการศกึ ษาหลายประการ ซ่ึงนอกจากป๎ญหาและอปุ สรรคดังกล่าว ประเทศไทยในป๎จจุบันยัง ประสบวิกฤตการศึกษาหลายประการ เชน่ มีโรงเรียน มหาวทิ ยาลยั คณุ ภาพตา่ เกนิ กว่าจานวนนักเรียนนักศึกษา การ แก้ป๎ญหาวกิ ฤตดังกลา่ วจาตอ้ งอาศัยปจ๎ จยั แหง่ ความสาเรจ็ ของการปฏิรปู การศึกษา การออก พ.ร.บ.การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 เป็นก้าวย่างที่สาคัญในการปฏิรูปการศึกษาเพื่อขจัดป๎ญหาและวิกฤตต่างๆ นับเป็น พ.ร.บ. การศึกษา แห่งชาติฉบับแรกท่ีมีฐานะเป็นกฎหมาย แต่การปฏิรูปการศึกษาตามแนวทางและสาระสาคัญใน พ.ร.บ. การศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542 จะประสบความสาเร็จ ย่อมที่จะต้องอาศัยองค์กรและบุคคลหลายฝุาย โดยเฉพาะองค์กรปฏิบัติ ไดแ้ ก่ สถานศกึ ษาระดับตา่ งๆ ซ่ึงย่อมต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม ตลอดท้ังการ ปฏิบัตติ ามจรรยาบรรณวิชาชีพเปน็ อย่างดีองค์ประกอบหลักเบอ้ื งต้นท่สี าคัญอย่างหน่งึ ของบคุ ลากรทางการศึกษาก็คือ เจตคติทดี่ ี การใหค้ วามสาคัญและการยอมรบั ในสาระสาคญั ทก่ี าหนดไว้ ซ่ึงจะนาไปสูก่ ารปฏบิ ัติอย่างแทจ้ ริงต่อไป การ ท่ีประเทศไทยจะแก้ป๎ญหาการศึกษาได้น้ัน ทุกฝุายต้องให้ความสาคัญและหันมาร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อให้การ พัฒนาทางด้านการศึกษาเป็นไปอย่างดี โดยจะมีส่วนทาให้บุคลากรของประเทศน้ันมี ความรู้ ความสามารถ และมี คุณภาพมากข้ึน เพ่ือที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆต่อไป(ทนงศักด์ิ ประเสริฐกุล, 2561 : 1) สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 เป็นหน่วยงานท่ีขึ้นตรงต่อสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน การบริหารงานวชิ าการในโรงเรียนแตล่ ะแห่งมสี ภาพและปญ๎ หาแตกต่างกนั ออกไป ตามสาเหตแุ ละป๎จจยั ท่ไี ม่เหมอื นกนั ซง่ึ เป็นไปตามทีส่ านักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาสระแก้ว เขต 1 ได้รายงานผลการจัด การศึกษาในส่วนของป๎ญหาการจัดการศึกษาโดยภาพรวมสามารถจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาได้บรรลุตาม วัตถุ ปร ะส งค์ แต่ก าร พัฒ นา คุณภ าพ แล ะป ระสิ ทธิ ภา พข องนั กเ รีย นยั ง ไม่ สา มา รถ สนอ งต อบ คว ามต้ อง กา รใ น กระบวนการพัฒนาคน นกั เรียนในสังกดั ยงั มีคุณภาพการศึกษาคอ่ นข้างต่าโดยรายงานผลการจัดการศึกษาไว้ว่าป๎จจัย ทท่ี าใหก้ ารบรหิ ารงานวิชาการในโรงเรียนไมป่ ระสบผลสาเร็จเท่าที่ควรเกิดจากสาเหตุสาคัญหลายประการคือจานวน บุคลากรตามเกณฑอ์ ัตรากาลงั ครูไมเ่ พยี งพอคณุ ภาพการบรหิ ารงานวิชาการมีประสิทธิภาพต่างบประมาณไม่เพียงพอ การเรียนขาดความเสมอภาคทางการศึกษากฎระเบียบไม่เอ้ือต่อการบริหารจัดการและกระบวนการเรียนการสอนไม่ เปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ของหลักสูตร ประกอบกบั สภาพสงั คม และวัฒนธรรมในยุคโลกาภิวัฒน์ท่ีมีเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเรว็ ภายใต้รูปแบบการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา ของการบริหารจัดการศึกษาไทยในป๎จจุบัน ท่ามกลางกระแส แห่งความเป็นโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขการปรับเปลี่ยนการแข่งขัน เพ่ือสร้างข้อได้เปรียบ หนา้ 517

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ หวั ขอ้ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) และความมุ่งมั่นของสังคม ท่ีดาเนินไปอย่างรวดเร็ว รุนแรง และมีความหลากหลายนั้น ต่างก็ส่งผลกระทบต่อวงการ วชิ าชีพโดยเฉพาะด้านการศึกษา งานวิชาการเป็นหัวใจหลักของการบริหารการศึกษา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการ ปรับเปล่ียนบริบทให้ทันตามยุคป๎จจุบันท่ีกาลังเจริญเติบโตทางด้านวัตถุเทคโนโลยี (สานักงานเขตพ้ืนที่การศึ กษา ประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1, 2561 : 9) การพิจารณาว่าสถานศึกษามีประสิทธิผลหรือไม่น้ัน มีตัวบ่งชีที่สาคัญ คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นกั เรยี น และตวั บง่ ชอี้ ่ืนๆ เชน่ ด้านความสามารถในการปรับตัว ด้านบรรยากาศของโรงเรียนด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านความพึงพอใจ ดา้ นการผสมผสานเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ด้านภาวะผ้นู า และดา้ นหลกั สตู รและการสอน เพ่อื ให้ได้ ตามเกณฑ์หรือตัวช้ีวัดท่ีสถานศึกษากาหนด สถานศึกษามีแผนการพัฒนาบุคลากร มีแผนการพัฒนาศักยภาพของ บุคลากร ส่งเสริมให้บุคลากรมีความตั้งใจและเอาใจใส่ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจังและเต็มใจ มีความตระหนักใน ภาระหน้าท่ีของตนเองและส่วนรวม (Hoy and Miskel, 1991 : 398 อ้างถงึ ใน อมรา ไชยดา, 2559 : 209) ด้วยเหตุผลและความสาคัญผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนใน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 เพื่อที่จะได้ทราบถึงความคิดเห็นของผู้บริหาร สถานศกึ ษาตอ่ ระดับประสทิ ธผิ ลของโรงเรียนในดา้ นตา่ งๆ เพื่อใช้เปน็ ข้อมลู พืน้ ฐานในการกาหนดแนวทางพัฒนาความ มปี ระสิทธิผลของโรงเรยี นในสงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ให้เป็นองค์การแห่งการ เรยี นรู้ มปี ระสิทธิผลเพื่อนาไปสู่เจตนารมณ์ตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติต่อไป วิธีดาเนนิ การวจิ ยั วิธดี าเนนิ การวจิ ัยประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 1. ประชากร ได้แก่ บุคลากรของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ปีการศกึ ษา 2561 จานวน 1,932 คน 2. กลุ่มตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ บุคลากรของโรงเรยี นในสังกดั สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน321คน กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970 : 604-610 อ้างถึง บุญชม ศรีสะอาด. 2553, 74-84) และได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) โดยแบ่งเป็นแบ่งสัดส่วนการเก็บตัวอย่างเป็น ผู้บริหาร ร้อยละ 7.51 จานวน 24 คน จาก ทัง้ หมด 145 คน และครู รอ้ ยละ 92.49 จานวน 297 คน จากครทู ง้ั หมด 1,787 คน เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย การวิจัยค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 2 ตอน ประกอบดว้ ย ตอนท่ี 1ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ได้แก่ ตาแหน่ง ประสบการณใ์ นการทางาน ระดบั การศึกษา และขนาดของโรงเรยี น ตอนท่ี 2แบบสอบถามเก่ยี วกับความคิดเหน็ ของบคุ ลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสระแก้วเขต 1 ประกอบด้วย 4 ด้าน จานวน 30 ข้อ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ตามวิธีของลิเคริ ์ท (Likert)มี 5 ระดบั ดังนี้ 5 หมายถงึ มีความคดิ เห็นอยู่ในระดับมากทสี่ ดุ หนา้ 518

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 4 หมายถงึ มคี วามคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั มาก 3 หมายถงึ มีความคิดเห็นอยใู่ นระดับปานกลาง 2 หมายถงึ มคี วามคดิ เห็นอยู่ในระดับนอ้ ย 1 หมายถงึ มีความคดิ เห็นอยใู่ นระดับนอ้ ยท่ีสดุ การวิเคราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจยั ได้วิเคราะหข์ ้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเรจ็ รูป โดยทาการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามขนั้ ตอน ดังน้ี 1. วเิ คราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามเก่ียวกับ ตาแหน่ง ประสบการณ์ในการทางาน ระดับ การศึกษา และขนาดของโรงเรียนของกลุ่มตัวอย่างท่ีตอบแบบสอบถาม โดยหาค่าความถ่ี (Frequency) และร้อยละ (Percentage) 2. วิเคราะห์ระดับความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ท้ังโดยภาพรวมรายด้านและรายข้อ โดยหาค่าเฉลี่ย ( ̅) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน(S.D.)แลว้ นาไปเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2553) ดงั น้ี ค่าเฉลยี่ 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีความคิดเห็นอยใู่ นระดับมากทส่ี ดุ ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีความคดิ เหน็ อยูใ่ นระดับมาก คา่ เฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถงึ มีความคดิ เหน็ อยูใ่ นระดบั ปานกลาง คา่ เฉลย่ี 1.51 – 2.50 หมายถงึ มคี วามคิดเหน็ อย่ใู นระดับน้อย คา่ เฉล่ีย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความคิดเหน็ ในระดบั น้อยที่สดุ 3. วิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขต พ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาสระแก้ว เขต 1 จาแนกตาม ตาแหน่ง ประสบการณ์ในการทางาน ระดับการศึกษา และ ขนาดของโรงเรียน โดยใช้ค่า t - test (Independent Samples) และใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (F - test แบบ One Way Anova) ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 1. ผลการวเิ คราะห์ความคดิ เห็นของบุคลากรต่อประสิทธผิ ลของโรงเรยี น ในสงั กดั สานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวม และรายด้าน หน้า519

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ตารางท่ี 1คา่ เฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของ ความคิดเห็นของบคุ ลากรตอ่ ประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน ในสังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสระแกว้ เขต 1 โดยรวมและรายดา้ น ประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน ระดับการปฏิบัติ แปลผล อันดับ ความสามารถผลิตนกั เรยี นให้มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการ x S.D. เรยี นสงู 4.16 0.52 มาก 2 ความสามารถในการพัฒนานกั เรียนให้มีทัศนคติ 3.65 0.51 มาก 4 ทางบวก ความสามารถในการปรบั เปลี่ยนและพฒั นา 4.14 0.50 มาก 3 สถานศึกษา ความสามารถในการแกป้ ญ๎ หาภายในสถานศกึ ษา 4.17 0.63 มาก 1 โดยรวม 4.03 0.43 มาก จากตารางท่ี 1 พบว่าความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียน ในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก X( = 4.03; S.D.= 0.43) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ความสามารถในการแก้ปญ๎ หาภายในสถานศึกษา ( X = 4.17; S.D.= 0.63) ความสามารถผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสงู ( X = 4.16; S.D.= 0.52) ความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาสถานศึกษา (X = 4.14; S.D.= 0.50) และน้อยท่สี ดุ คอื ความสามารถในการพัฒนานกั เรียนใหม้ ที ศั นคตทิ างบวก ( X = 3.65; S.D.= 0.51) 2. ความคิดเหน็ ของบคุ ลากรตอ่ ประสทิ ธิผลของโรงเรยี นในสงั กดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สระแก้ว เขต 1จาแนกตามตาแหน่ง โดยรวมและรายด้านทุกดา้ น ไม่แตกตา่ งกนั 3. ความคดิ เหน็ ของบุคลากรต่อประสทิ ธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระแกว้ เขต 1จาแนกตามประสบการณใ์ นการทางานโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกันยกเว้นด้านความสามารถใน การพัฒนานกั เรยี นให้มีทศั นคตทิ างบวก 4. ความคิดเหน็ ของบุคลากรตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สระแกว้ เขต 1จาแนกตามระดับการศึกษาโดยรวมและรายดา้ นไม่แตกตา่ งกัน 5. ความคิดเหน็ ของบุคลากรตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรยี นในสงั กัดสานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระแก้ว เขต 1จาแนกตามขนาดของโรงเรยี นโดยรวมและรายดา้ นไม่แตกต่างกัน สรปุ ผลการวจิ ัย จากผลการวเิ คราะห์ข้อมูล เร่ือง ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีตาแหน่งครู จานวน 297 คน หนา้ 520

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หวั ข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) คิดเป็นร้อยละ 92.49 ผู้บริหาร จานวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 7.51 ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการทางาน จานวน 167 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 52.0 รองลงมา ต่ากว่า 10 ปี จานวน 104 คน คิดเป็น ร้อยละ 32.4 20 - 29 ปี จานวน 48 คน คิดเปน็ ร้อยละ 15.0 30 ปีขึ้นไป จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 0.6 ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาโท จานวน 246 คน คิดเป็นร้อยละ 76.6 ปริญญาตรี จานวน 60 คน คิดเป็นร้อยละ 18.7 ปริญญาเอก จานวน 15 คน คิดเป็น ร้อยละ 4.7 สังกดั โรงเรยี นขนาดกลาง จานวน 207 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ64.5 รองลงมา สังกัดโรงเรยี นขนาดเล็ก จานวน 89 คน คิดเป็นร้อยละ 27.7 และน้อยท่ีสุด คือ สังกัดโรงเรียนขนาดใหญ่ จานวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 7.8 ผลการวิจัยพอสรุปไดด้ งั น้ี 1. ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศกึ ษาสระแกว้ เขต 1 โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก มื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ประสิทธิผลของโรงเรียน อยู่ใน ระดบั มากทกุ ดา้ น โดยเรียงลาดับค่าเฉลยี่ จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ความสามารถในการแก้ป๎ญหาภายในสถานศึกษา ความสามารถผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง ความสามารถในการปรับเปล่ียนและพัฒนาสถานศึกษา และนอ้ ยทส่ี ดุ คอื ความสามารถในการพัฒนานักเรียนใหม้ ที ศั นะคตทิ างบวก เม่ือพจิ ารณาเป็นรายข้อ พบวา่ 1.1 ดา้ นความสามารถผลิตนักเรยี นใหม้ ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูง พบว่า โดยรวม ประสิทธิผลของ โรงเรียน อย่ใู นระดบั มากเมือ่ พิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหา นอ้ ย ได้แก่ นักเรียนมีความรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ และการเปล่ียนแปลงทางสังคม ตามสถานการณ์ป๎จจุบัน นักเรียน ระดับชั้นสงู สดุ สามารถสอบแขง่ ขันเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาอ่ืนได้เพ่ิมขึ้น ครูประเมินผลการเรียนของนักเรียนตาม สภาพทแ่ี ทจ้ ริงของผเู้ รยี นโดยใช้วธิ ีการท่ีหลากหลายการส่งนักเรียนเข้าแข่งขันด้านวิชาการจากหน่วยงานของรัฐและ เอกชนภายนอกโรงเรยี นในรอบปที ผี่ า่ นมา การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนของครู ฝกึ ใหผ้ เู้ รียนสามารถศึกษาค้นคว้า หาความรไู้ ดด้ ว้ ยตนเองนักเรยี นช้ันสูงสุดของโรงเรียน เรียนจบตามหลักเกณฑ์ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานและ นอ้ ยท่ีสดุ คอื นักเรยี นได้ปฏิบตั กิ ิจกรรมตามความตอ้ งการ ความจรงิ ใจความถนดั และความสามารถ 1.2 ดา้ นความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนะคติทางบวก โดยรวมพบว่าประสิทธิผลของ โรงเรียน อยู่ในระดับมากเม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การพัฒนาระบบการจัดการการเรียนการสอนของโรงเรียน สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง และ มาตรฐานการศึกษา การพฒั นาความมีคณุ ธรรมของนักเรียน สอดคล้องกับความตอ้ งการของผู้ปกครอง และมาตรฐาน การศึกษาการพัฒนาความมีระเบียบวินัยของนักเรียน สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง และมาตรฐาน การศกึ ษาการพฒั นาความประพฤติของนักเรียน สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง และมาตรฐานการศึกษา และนักเรยี นในโรงเรียนมคี วามเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยและอยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหา น้อย ไดแ้ ก่ นักเรยี นในโรงเรยี นมเี จตคตทิ ี่ดี ตอ่ การจดั การศึกษาของโรงเรียน นักเรยี นในโรงเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม เหมาะสมกับวยั และน้อยทสี่ ุดคอื นกั เรยี นในโรงเรยี นยินดที จี่ ะพฒั นาตนเองในทุกๆ ดา้ น 1.3 ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาสถานศึกษาโดยรวมพบว่าประสิทธิผลของ โรงเรียน อยู่ในระดับมากเม่อื พิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหา น้อย ไดแ้ ก่ มีการประเมินผล และสรปุ ผลการดาเนินงาน เพอ่ื การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเน่ืองครูปรับปรุงพัฒนา วิธกี ารสอนหรือพัฒนาวัตกรรมใหมข่ นึ้ ใชใ้ นการเรยี นการสอนครปู ฏบิ ัติงานในดา้ นต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของโรงเรียน การนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ หรือวิดีโอหรือโทรทัศน์วงจรปิด มาใช้ในการเรียนการสอน ครูนาผลการ หนา้ 521

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ทดสอบของนักเรียน มาเป็นข้อมูลในการวางแผน หรือจัดโครงการ หรือจัดกิจกรรม เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นของนักเรียนครูปรับเปล่ียนกระบวนการจัดการเรียนการสอนตามการเปลี่ยนแปลงของหลักสูตร และน้อยท่ีสุด คือ ครูในโรงเรียนยอมรับการพัฒนา หรอื การเปล่ยี นแปลงท่ีเกิดขน้ึ 1.4 ด้านความสามารถในการแก้ป๎ญหาภายในสถานศึกษาโดยรวมพบว่าประสิทธิผลของโรงเรียน อย่ใู นระดับมากเม่ือพิจารณาเป็นรายขอ้ พบวา่ อยใู่ นระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ผู้บริหาร และครูแก้ป๎ญหาที่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมของนักเรียนด้วยวิธีประนีประนอมผู้บริหาร ครู และกรรมการ สถานศกึ ษา ร่วมมอื กนั แกป้ ญ๎ หาต่างๆ ของโรงเรียนด้วยความสามัคคี คณะครูสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เม่ือเกิด เหตุฉุกเฉิน ผู้บริหาร และครูปฏิบัติงานโดยคานึงถึงประโยชน์ของโรงเรียนเป็นสาคัญผู้บริหาร ครู และกรรมการ สถานศกึ ษา ร่วมกันวางแผนแกไ้ ขป๎ญหา พฤตกิ รรมของนักเรยี น ผู้บริหารใชว้ ธิ ปี ระนีประนอมในการบังคับบัญชาครูใน โรงเรยี น ผูบ้ ริหารโรงเรียนนาความคดิ เหน็ ของผู้ปกครองและชมุ ชนมาพัฒนาโรงเรียน 2. เปรยี บเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสทิ ธผิ ลของโรงเรียนในสังกดั สานกั งานเขตพืน้ ท่ี การศกึ ษาประถมศกึ ษาสระแก้ว เขต 1 จาแนกตามตาแหนง่ ใชก้ ารวิเคราะห์โดยสถิติ t-test (Independent Sample) และ ประสบการณใ์ นการทางาน ระดบั การศกึ ษา และขนาดของโรงเรยี น โดยใช้ F-test (One - way ANOVA) พบวา่ 2.1 ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศกึ ษาสระแก้ว เขต 1จาแนกตามตาแหนง่ โดยรวมและรายดา้ นทกุ ด้าน ไมแ่ ตกต่างกนั 2.2 ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1จาแนกตามประสบการณ์ในการทางานโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้าน ความสามารถในการพฒั นานักเรยี นใหม้ ีทัศนคตทิ างบวก 2.3 ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศกึ ษาสระแกว้ เขต 1จาแนกตามระดบั การศึกษาโดยรวมและรายดา้ น ไม่แตกต่างกัน 2.4 ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาสระแกว้ เขต 1จาแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกนั อภิปรายผล การศึกษาคร้งั นีท้ าใหท้ ราบถึงความคิดเห็นของบุคลากรตอ่ ประสทิ ธผิ ลของโรงเรยี นในสงั กดั สานกั งานเขต พื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสระแกว้ เขต 1มปี ระเด็นที่ควรนามาอภิปรายผลดงั นี้ 1. ความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาสระแกว้ เขต 1โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก เมือ่ พจิ ารณาเปน็ รายดา้ นพบวา่ มีประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน อยู่ใน ระดับมากทุกด้าน สอดคล้องกับ อมรา ไชยดา (2559) ได้ศึกษา ประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ผลการศึกษาพบว่า ประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 27 โดยรวมอยูใ่ นระดับมาก และเป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั กบั อรพรรณ ตู้จินดา (2558) ได้ ศึกษา ประสทิ ธิผลของการบริหารโรงเรียนวัดปทุมวนารามโดยใช้อรพรรณโมเดล ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิผลของ โรงเรยี นโดยใชอ้ รพรรณโมเดลภาพรวมมคี ่าเฉลีย่ อยูใ่ นระดบั มาก โดยด้านทีม่ ีค่าเฉลยี่ มากท่สี ดุ หนา้ 522

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ หวั ข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 2. ผลการเปรียบเทยี บความคดิ เหน็ ของบุคลากรต่อประสิทธผิ ลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1ตามความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามตาแหน่ง โดยรวมและ รายดา้ นทกุ ด้าน ไม่แตกต่างกัน เน่อื งจากท้งั ผ้บู รหิ ารและครรู ่วมกันทางานเป็นทีม มีเปูาหมายในการร่วมกันดังท่ี เรณู เช้อื สะอาด (2551) ได้กล่าวว่า การทางานเป็นทีมมีความสาคัญในทุกองค์กรการทางานเป็นทีมเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับ การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารงานการทางานเป็นทีมมีบทบาทสาคัญท่ีจะนาไปสู่ความสาเร็จ ของงานทตี่ ้องอาศยั ความร่วมมือของกล่มุ สมาชกิ เป็นอยา่ งดี สอดคลอ้ งกับอมรา ไชยดา (2559) ได้ศึกษา ประสิทธิผล ของสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 จาแนกตามตาแหน่ง ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 27 ไม่แตกต่างกนั 3. ผลการเปรยี บเทยี บความคดิ เห็นของบุคลากรตอ่ ประสิทธผิ ลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1ตามความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามประสบการณ์ในการ ทางาน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก เนื่องจากการดาเนินงานของโรงเรยี นเปน็ ไปในรปู แบบแนวทางเดยี วกนั สง่ ผลให้บคุ ลากรไดร้ ับประสบการณท์ ี่คล้ายคลึง กนั ดังท่ี สุรางค์ โค้วตระกุล (2550) ที่กล่าวว่า การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมความคิดซ่ึงเป็นผลมาจากประสบการณ์ ท่ี คนเรามีปฏิสัมพนั ธก์ ับสงิ่ แวดล้อม สอดคล้องกับอมรา ไชยดา (2559) ได้ศึกษา ประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 จาแนกตามประสบการณ์ในการทางาน ผลการวิจัยพบว่า ประสทิ ธิผลของสถานศึกษาในสังกดั สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 27 ที่มีขนาดของโรงเรียนต่างกัน 4. ผลการเปรยี บเทยี บความคิดเหน็ ของบุคลากรต่อประสทิ ธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศกึ ษาสระแก้ว เขต 1ตามความคดิ เห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามระดับการศึกษา โดยรวม และรายด้านทุกดา้ น ไมแ่ ตกตา่ งกนั เนอ่ื งจากการดาเนนิ การของโรงเรยี นมีความเสมอภาคในทุกระดับ และสอดคล้อง กบั อมรา ไชยดา (2559) ไดศ้ กึ ษา ประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 จาแนกตามระดับการศึกษา ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 27 ทมี่ ีขนาดของโรงเรยี นตา่ งกนั 5. ผลการเปรยี บเทียบความคิดเห็นของบุคลากรตอ่ ประสทิ ธิผลของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1ตามความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมและรายดา้ นไมแ่ ตกตา่ งกนั เนอื่ งจากแนวทางการดาเนนิ การของโรงเรียนเป็นไปในทิศทางเดียวกันในทุกขนาด ของโรงเรียน สอดคล้องกับอมรา ไชยดา (2559) ได้ศึกษา ประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 27 จาแนกตามขนาดของโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัด สานกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 27 ทมี่ ขี นาดของโรงเรยี นตา่ งกนั ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะข้อเสนอแนะการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ด้านความสามารถผลติ นกั เรียนใหม้ ผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสูงนกั เรียนควรไดป้ ฏบิ ัตกิ จิ กรรมตาม ความต้องการ ความจริงใจความถนดั และความสามารถ หนา้ 523

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ หัวข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 1.2 ด้านความสามารถในการพัฒนานักเรยี นใหม้ ที ัศนคตทิ างบวกนกั เรียนในโรงเรียนต้องมีความยินดีที่ จะพฒั นาตนเองในทุก ๆ ด้านและนกั เรียนในโรงเรียนต้องมีคุณธรรม จรยิ ธรรมเหมาะสมกบั วัย 1.3ด้านความสามารถในการปรับเปล่ยี นและพัฒนาสถานศึกษาครใู นโรงเรยี นต้องยอมรับการพฒั นา หรอื การเปล่ยี นแปลงที่เกดิ ขึ้น และครตู ้องปรบั เปลยี่ นกระบวนการจดั การเรยี นการสอนตามการเปลีย่ นแปลงของ หลักสตู ร 1.4 ดา้ นความสามารถในการแก้ป๎ญหาภายในสถานศึกษาผูบ้ รหิ าร ครู และกรรมการสถานศึกษา ควร รว่ มกันวางแผนแกไ้ ขปญ๎ หา พฤติกรรมของนกั เรียนและผู้บรหิ ารโรงเรยี นควรนาความคิดเห็นของผูป้ กครองและชมุ ชน มาพฒั นาโรงเรยี น 2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยคร้ังตอ่ ไป 2.1 ควรศึกษาแนวทางในการพัฒนานักเรียนใหม้ ที ัศนะคตทิ างบวก 2.2 ควรมีการศกึ ษาการพฒั นาระบบเครือข่ายการดาเนินสง่ เสริมประสทิ ธิผลของโรงเรยี น เอกสารอา้ งอิง สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2542). พระราชบญั ญตั ิ สระแก้ว เขต 1. สระแก้ว : สานกั งานเขต การศึกษาแห่งชาต.ิ พ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาสระแกว้ เขต 1 สภุ าพร พิศาลบุตร. (2547). การวางแผนและการ พ.ศ. 2542 และที่แกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี 2) บรหิ ารโครงการ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ราช พ.ศ. 2545. ภฎั สวนดสุ ิต. สรุ างค์ โค้วตระกุล. (2550). จติ วทิ ยาการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพร้าว. กรุงเทพฯ : สานักพิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์ ทนงศกั ด์ิ ประเสริฐกลุ . (2561). ปญั หาการศกึ ษา มหาวิทยาลัย. อมรา ไชยดา. (2559). \"ประสิทธิผลของสถานศกึ ษา ไทย. สืบคน้ เมอื่ 22 พฤศจกิ ายน 2561. ในสงั กัดสานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษา http://buu401.blogspot.com/ มธั ยมศึกษา เขต 27\". วารสารบัณฑติ บญุ ชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบ้อื งต้น. วทิ ยาลัย. สกลนคร : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พส์ วุ รี ิยาสาสน์ สกลนคร เรณเู ช้อื สะอาด. (2551). พฤตกิ รรมองคก์ าร. อรพรรณ ตูจ้ นิ ดา. (2558). ประสทิ ธิผลของการ กรงุ เทพฯ : ดวงกมลสมัย. บรหิ ารโรงเรียนวัดปทุมวนารามโดยใช้อร สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและ พรรณโมเดล วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตร์ สังคมแหง่ ชาต.ิ (2554). แผนพฒั นาเศรษฐกจิ วิจัย. 7( 1): 42-56 และสงั คมแห่งชาติฉบบั ท่ี 11 (2555-2559) กรงุ เทพมหานคร : สานกั นายกรัฐมนตรี สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสระแกว้ เขต 1. (2561). รายงานการปฏบิ ตั งิ าน หนา้ 524

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวขอ้ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การบรหิ ารจดั การระบบสารสนเทศงานวชิ าการของโรงเรยี น ในสงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 19 Management of Academic Information Systems of Schools under the Jurisdiction of Secondary Educational Service Area Office 19 ฤทธธิ์ าคินณ์ เลอ่ื มใส,ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ววิ ฒั น์ ตูจ้ านงค์, ดร.สวุ ัฒนพงษ์ ร่มศรี คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละศลิ ปศาสตร/์ วทิ ยาลยั นครราชสีมา [email protected] บทคดั ยอ่ การศึกษาเร่ือง การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงาน วิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามสถานะหน้าท่ี และระดับ การศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในเรื่องน้ี ได้แก่ บุคลากรของโ รงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 19 ปกี ารศึกษา 2561 จานวน 52 โรงเรียน ๆ ละ 2 คน รวม 104 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการ วิจัย เป็นแบบสอบถาม มลี ักษณะเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั สอบถามเกี่ยวกบั การบรหิ ารจัดการระบบ สารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 มีระดับความเช่ือมั่น เทา่ กบั 0.82 สถติ พิ ้ืนฐานที่ใช้วิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและสถิติที่ใช้ใน การทดสอบสมมตฐิ านได้แก่ t-test และ F-test ผลการวิจยั 1. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 19 โดยรวมอยใู่ นระดับมาก เมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายดา้ นพบว่า การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงาน วิชาการ อยใู่ นระดับมากทุกด้าน ( X = 4.16; S.D.= 0.59) โดยเรยี งลาดับค่าเฉลย่ี จากมากไปหาน้อย ได้แก่ การวัดผล และการประเมินผล (X = 4.35; S.D.= 0.43) การวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ (X = 4.26; S.D.= 0.62)การจัด ดาเนินการเก่ียวกับการเรียนการสอน (X = 4.21; S.D.= 0.57)การจัดการบริหารเก่ียวกับการเรียนการสอน ( X = 3.82; S.D.= 0.74) 2. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามสถานะหนา้ ที่ โดยรวมและรายดา้ น ไมแ่ ตกตา่ งกัน 3. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามระดับการศึกษา โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันยกเว้นด้านการจัดดาเนินการ เกย่ี วกบั การเรยี นการสอน ด้านการจดั การบริหารเกี่ยวกบั การเรียนการสอน และด้านการวัดผลและการประเมินผลท่ี ไมแ่ ตกต่างกนั หน้า525

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) คาสาคัญ: การบริหารจัดการ ระบบสารสนเทศงานวชิ าการ ABSTRACT The research purposes were to study and to compare the management of academic information systems of schools under the jurisdiction of Secondary Educational Service Area Office 19, classified by duty status and education level. The population was the personnel of 52 schools under the jurisdiction of Secondary Educational Service Area Office 19, academic year 2018. The sample size was the 104 personnel, selected 2 personnel per school. The research instrument was the 5-estimate rating scale questionnaire, with the reliability level 0.82.The basic statistics for data analysis were the frequency, percentage, mean, and standard deviation; the hypothesis test statistics were the F-test and t-test. The research findings were: 1. The management of academic information systems of schools under the jurisdiction of Secondary Educational Service Area Office 19, the overview was at the high level ( X = 4.16; S.D.= 0.59). When each aspect consideration found every aspect of management of academic information systems were at the high level, the mean descending rank include the measurement and assessment aspect ( X = 4.35; S.D.= 0.43), the academic work planning aspect ( X = 4.26; S.D.= 0.62), the operation management of teaching and learning aspect ( X = 4.21; S.D.= 0.57), and the administration of teaching and learning aspect, respectively ( X = 3.82; S.D.= 0.74). 2. The management of academic information systems of schools under the jurisdiction of Secondary Educational Service Area Office 19, classified by duty status, overview and each aspect did not different. 3. The management of academic information systems of schools under the jurisdiction of Secondary Educational Service Area Office 19, classified by education level, overview and each aspect were different, except the operation management of teaching and learning aspect, administration of teaching and learning aspect, and the measurement and assessment aspect did not different. KEYWORDS : management, Information Systems, Academic Work บทนา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กาหนดให้พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในทุกระดับและทุก รูปแบบให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยจัดให้มีการพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากร ทางการศึกษาให้กา้ วทนั การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ชุมชน องค์กรทางศาสนาและเอกชน จัดและมสี ่วนร่วมในการจัดการศกึ ษาเพอ่ื พัฒนามาตรฐานคุณภาพการศึกษา กระทรวง หนา้ 526

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ หวั ข้อ การศกึ ษายคุ “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ได้กาหนดให้มีเปูาหมายที่จะเร่งรัดดาเนินการให้ทุกหน่วยงานมีการออกแบบ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางและ ระบบสารสนเทศ เพอ่ื การศึกษารวมทัง้ การจดั เกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการบริหารจัดการ เพอ่ื รองรบั การตัดสินใจวางแผน และการดาเนินงานด้านการปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ต้ังแต่ระดับสถานศึกษาเขตพื้นท่ีการศึกษาจนถึงระดับ กระทรวง รวมทั้งใหม้ กี ารพฒั นาระบบข้อมูลสารสนเทศที่สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานข้อมูลตามนโยบายทีม่ งุ่ เน้นปรับระบบ บริหารจัดการหน่วยงานของรัฐ โดยเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานทุกระดับมีเว็บไซด์ เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บรวบรวม ขอ้ มลู สารสนเทศพื้นฐาน โดยตั้งศนู ยป์ ฏบิ ัติการระดับกระทรวงศูนย์ข้อมูลกลางและเช่ือมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการสานัก นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งจัดให้มีศูนย์ปฏิบัติการระดับกรมและศูนย์ปฏิบัติการในระดับเขตพื้นที่การศึกษา เพ่ือการ ตดิ ตามการปฏริ ูปการศึกษาและการปฏบิ ัติงานของหน่วยงานต่างๆ (กระทรวงศกึ ษาธิการ,2553 : 66) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 และที่แก้ไข เพิ่มเติม ฉบับท่ี 3 พ.ศ. 2553 มาตรา 47 กาหนดให้สถานศึกษามีการจัดระบบประเมินคุณภาพภายใน และ เตรยี มพร้อมสาหรับการประเมนิ คณุ ภาพภายนอก และมาตรา 48 สถานศึกษาตอ้ งจัดทารายงานประจาปี เพ่อื เสนอต่อ หน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องต่อสาธารณชนนอกจากนี้ในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ มีแผนงานหลัก ที่ว่าด้วยการพัฒนาระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการศึกษาโดยมุ่งพัฒนาให้มีข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการวางแผนการ บริหารและการจดั การศกึ ษาที่มคี ุณภาพ มกี ารผลติ และการใชข้ ้อมลู ท่จี ดั เตรยี มข้อมูลและสารสนเทศใหม้ ีความชดั เจน ถูกต้อง สะดวกในการเรียกใช้ กระทรวงศึกษาธิการได้เร่งรัดให้สถานศึกษาจัดทาระบบข้อมูลรายบุคคลของนักเรียน นักศึกษาและข้อมูลครู บุคลากร ความสาคัญที่ทาให้สถานศกึ ษาบริหารเปน็ ไปอย่างคล่องตวั และรวดเร็วสอดคล้องกับ ความต้องการของผู้เรียน สถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติโดยรวมคือ การรวบรวมและจัดระบบข้อมูล สารสนเทศให้เปน็ ป๎จจบุ นั (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2553 : 66) ข้อมลู ขา่ วสารเปน็ ป๎จจยั ทีม่ คี วามสาคัญต่อบคุ คล กลุ่มบุคคลและองค์กรประกอบกับในสังคมยุคป๎จจุบันได้ เริ่มเข้าสู่กระแสใหม่ของการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า สังคมความรู้ (Knowledge Society) และระบบเศรษฐกิจ ฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) ท่ีใช้ความรู้และนวัตกรรม (Innovation) เป็นป๎จจัยหลักในการพัฒนา และการผลิตมากกวา่ เงินทุนและแรงงาน โดยเน้นการสรา้ งสังคมแห่งการเรียนรู้ การจัดการความรู้และองค์การจัดการ ความร้เู พอื่ พัฒนากาลังคนท่มี คี ุณภาพ (Knowledge worker) (สมศกั ด์ิ ดลประสิทธ์ิ. 2548 : 15) ซึ่งสอดคล้องกับดุค (Duke. 2004 : 18) ได้กล่าวสนับสนุนว่า ในสังคมยุคของการเปลี่ยนแปลง มีการเปลี่ยนแปลงในเร่ืองเทคโนโลยี (Technology Changes)การเปล่ียนแปลงผลผลิต (Product Changes) การบริหาร (Administrative Changes) และบคุ คล (People Changes) สงั คมเปล่ียนจากการบริโภคขา่ วสารมาเปน็ สังคมทีศ่ กึ ษาข่าวสารและความรู้โดยอาศัย ปจ๎ จัย ทส่ี าคญั ช่วย คอื ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศสง่ ผลให้ความร้คู ือ พลังบคุ คลทม่ี ีความรู้จึงเป็นบุคคลท่ีมีคุณค่าของ องค์การ ความรู้และความไม่รู้จะกลายเป็นป๎จจัยสาคัญในการบ่งช้ีความสาเร็จในทุกๆ ด้านการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เป็นส่วนประกอบสาคัญ ในเคร่ืองมือด้านสื่อสารในรูปแบบโทรศัพท์ โทรสาร เว็บไซด์ อีเมล รวมทงั้ การจดั ทาระบบสือ่ สารคมนาคมในรูปแบบต่างๆ จนเปน็ ส่วนหน่งึ ในการดาเนินวถิ ชี วี ติ จงึ เปลยี่ นแปลงวิถีชีวิตใน การสื่อสาร การเรียนรู้ การทางานของผู้คนการพัฒนาประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ ได้นาไปสู่การบริหารเศรษฐกิจบน ฐานความร้ซู ่ึงมีการใชป้ ระโยชนจ์ ากสารสนเทศท้งั ในดา้ นการผลิต การจาหน่ายและการใช้เคร่ืองมือสื่อสารในรูปแบบ ต่างๆ ประชาชนในแต่ละประเทศ จงึ จาเปน็ ต้องมคี วามรู้มีทักษะดา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ปราวีณยา สุวรรณ ณฐั โชติ, 2546 : บทนา) หนา้ 527

การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ระบบสารสนเทศจึงเป็นเครื่องมือท่ีสาคัญที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถแก้ป๎ญหาต่างๆได้อย่างสะดวกและ รวดเร็ว การปรับปรงุ ระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพในระดับที่เหมาะสมกับแนวทางพฤติกรรมของสังคม จะต้อง นาเทคโนโลยีมาปรับเปล่ียนให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรและพฤติกรรมของคนในองค์กร ใ นส่วนของ องค์กรและคนในองคก์ รตอ้ งมีการปรบั ตวั ให้เหมาะกบั เทคโนโลยี เชน่ การฝกึ ใชอ้ ปุ กรณ์หรือระบบงานการเรียนรู้ และ การปรบั เปลี่ยนแผนการดาเนินงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี ระบบสารสนเทศได้เข้ามาแทนท่ีกระบวนการทางาน แบบเดิมอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทาให้เกิดเป็นกระบวนการทางานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic workflow) ซึง่ ลดค่าใช้จา่ ยในการดาเนินงานขององค์กรได้อย่างมากและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้สูงข้ึนด้วยด้าน ของสถานศกึ ษาท่มี รี ะบบสารสนเทศท่ีสมบูรณ์ ครบถ้วนเป็นป๎จจุบนั เรียกใชไ้ ดส้ ะดวกและตรงความต้องการ จะช่วยให้ สถานศึกษาสามารถดาเนินงานพฒั นาคุณภาพไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสารสนเทศทั้งหลายนั้นนอกจากจะใช้ใน การวางแผนการดาเนินงานและประกอบการตัดสินใจแล้ว ยังนาไปสกู่ ารพฒั นาแนวความคิด และสร้างทางเลือกใหม่ๆ ในการดาเนินงานต่าง ๆ ด้วย (สัลยุทธ์ สว่างวรรณ, 2546) เพื่อให้การบริหารจัดการในสถานศึกษาเป็นไปด้วยความ เรียบร้อย ส่งผลให้การศึกษาบรรลุเปูาหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการมีคุณภาพ ต้องเป็นการ บริหารงานโดยมขี อ้ มูลสารสนเทศเป็นองค์ประกอบในการดาเนนิ การ สถานศกึ ษาจึงตอ้ งอาศัยข้อมูลสารสนเทศที่ดีเพื่อ การบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ข้อมูลสารสนเทศเป็นเคร่ืองมือสาคัญของผู้บริหารในการช่วยวางแผนการ ตดั สนิ ใจ และดาเนนิ งาน ดงั นน้ั การบรหิ ารแบบมืออาชีพ ผบู้ รหิ ารจาเป็นต้องมีระบบข้อมูลสารสนเทศทด่ี ีด้วย (สานกั งานทดสอบทางการศึกษา, 2543) จากความเป็นมาดังกล่าว ผ้วู จิ ัย จงึ มคี วามสนใจที่จะศึกษาการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการ ของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 เพื่อจะนาผลท่ีได้จากการวิจัยคร้ังน้ีมาเป็น แนวทางในการปรบั ปรงุ และพัฒนาการจัดระบบขอ้ มลู สารสนเทศในโรงเรียนรวมทั้งหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องให้มีคุณภาพ อนั จะกอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ การบริหารและการปฏิบัตงิ านของโรงเรยี นให้มปี ระสิทธภิ าพมากยิ่งขึ้นต่อไป วิธีดาเนินการวิจัย 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ี ได้แก่ บุคลากรของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 19 ปีการศกึ ษา 2561 จานวน 52 โรงเรียน 2. กลุ่มตัวอยา่ งทีใ่ ชใ้ นการวิจัยในคร้ังนี้ ได้แก่ บุคลากรของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 19 ปีการศึกษา 2561 จานวน 52 โรงเรียน โรงเรียนละ 2 คน รวม 104 คน เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย การวิจัยค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ตอน ประกอบด้วย ตอนท่ี 1ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ได้แก่ สถานะ หนา้ ทีแ่ ละระดบั การศึกษา ตอนท่ี 2แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert)มี 5 ระดบั ดงั นี้ หนา้ 528

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หวั ขอ้ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 5 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ัตอิ ยู่ในระดบั มากที่สดุ 4 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ัติอยใู่ นระดบั มาก 3 หมายถงึ มีการปฏบิ ตั อิ ยใู่ นระดบั ปานกลาง 2 หมายถงึ มีการปฏบิ ตั อิ ยู่ในระดับนอ้ ย 1 หมายถึง มีการปฏิบตั อิ ยู่ในระดบั นอ้ ยท่ีสุด การสร้างและหาคณุ ภาพเครอื่ งมือ เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั คร้ังน้ี ผู้วิจัยมวี ิธกี ารสร้างตามขั้นตอน ดังน้ี 1. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร หนังสือ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงาน วิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 เพ่ือนามาเป็นแนวทางในการสร้าง แบบสอบถาม 2. ศึกษาวิธีสร้างเครื่องมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของ ลิเคิร์ท (Likert) และการสร้างแบบสอบถามจากตาราของ บุญชม ศรสี ะอาด (2553 : 74 – 84) 3. ผวู้ ิจัยดาเนินการสรา้ งแบบสอบถาม โดยสังเคราะหจ์ ากนยิ ามศพั ทท์ ผี่ ู้วจิ ัยตั้งข้ึน เพ่ือใช้ในการวิจัยใน ครง้ั น้ี 4. นาแบบสอบถามเสนออาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม และ พิจารณาใหข้ ้อเสนอแนะ 5. ปรบั ปรุงแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ และนาเสนอผู้เช่ียวชาญ จานวน 5 ท่าน เพ่ือตรวจพิจารณาความเทีย่ งตรงเชงิ เนื้อหาของคาถาม โดยการหาความสอดคล้องระหว่างข้อคาถาม กับนยิ ามศัพท์เฉพาะ (IOC : Index of Congruence) 6. นาแบบสอบถามท่ผี ่านการพจิ ารณาของผเู้ ช่ียวชาญมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 7. นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับบุคลากรที่ไม่ใช้กลุ่มตัวอย่างในการทดลอง จานวน 30 คน สังกดั สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 19 8. นาแบบสอบถามมาวิเคราะห์ค่าความเช่ือมั่น โดยการหาสัมประสิทธ์ิแอลฟุา (Alpha coefficient) ตามวธิ ีของครอนบาค (Cronbach) 9. จดั พมิ พ์แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ เพอ่ื นาไปเก็บรวบรวมขอ้ มลู กบั กลมุ่ ตัวอย่าง ทว่ี ิจัยต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมลู การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผูว้ ิจัยได้ดาเนนิ การตามขัน้ ตอน ดงั ต่อไปน้ี 1. ขอหนงั สอื จากคณะศกึ ษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในวจิ ัยต่อสานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 19 2. ผู้วิจัยส่งหนังสือจากวิทยาลัยนครราชสีมา ไปยังสถานศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือขอความ อนเุ คราะหใ์ นการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวจิ ัย โดยเก็บรวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง 3. ผ้วู ิจยั ตดิ ตามเก็บรวบรวมแบบสอบถามคืนด้วยตนเอง หน้า529

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ หวั ข้อ การศกึ ษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การวิเคราะหข์ ้อมลู ผู้วจิ ยั ไดว้ ิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาเรจ็ รูป โดยทาการวเิ คราะห์ข้อมูลตามข้ันตอน ดงั นี้ 1. วเิ คราะห์ข้อมลู ทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถามเกยี่ วกับ ระดับชัน้ และสาขาวชิ าของกลุ่มตัวอย่างท่ีตอบ แบบสอบถาม โดยหาค่าความถ่ี (Frequency) และรอ้ ยละ (Percentage) 2. วิเคราะห์การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 ทั้งโดยภาพรวมรายด้านและรายข้อ โดยหาค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)แล้วนาไปเปรยี บเทียบกับเกณฑ์ (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 103) ดังน้ี ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ ค่าเฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถึง มกี ารปฏบิ ัตอิ ยู่ในระดบั มาก คา่ เฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถึง มีการปฏบิ ัติอย่ใู นระดับปานกลาง ค่าเฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ตั ิอยูใ่ นระดับนอ้ ย คา่ เฉลยี่ 1.00 – 1.50 หมายถึง มกี ารปฏิบตั ใิ นระดับนอ้ ยทส่ี ุด 3. วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวชิ าการของโรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามสถานะหน้าที่และระดับการศึกษา โดยใช้ค่า t - test (Independent Samples) และใชก้ ารวิเคราะหค์ วามแปรปรวนทางเดียว (F-test แบบ One Way Anova) สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล 1. สถิตทิ ่ใี ช้ในการหาคณุ ภาพของเครอื่ งมอื ได้แก่ 1.1 ความเท่ยี งตรงเชงิ เนือ้ หา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ระหว่างข้อ คาถามกบั นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1.2 ความเชอื่ มน่ั ของแบบสอบถามทั้งฉบบั โดยหาค่าสมั ประสทิ ธิ์แอลฟุา (Alpha coefficient) ตาม วธิ ขี องครอนบาค(Cronbach) 2. สถติ ิพนื้ ฐาน ไดแ้ ก่ 2.1 ความถี่ 2.2 ร้อยละ 2.3 ค่าเฉลีย่ 2.4 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 3. สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการทดสอบสมมติฐานได้แก่ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2553: 74 - 84) 3.1 t – test แบบ Independent Samples 3.2 F - test แบบ One Way Anova ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 1.ผลการวิเคราะหก์ ารบรหิ ารจดั การระบบสารสนเทศงานวชิ าการของโรงเรียนในสงั กัดสานักงานเขตพ้นื ท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 โดยรวมและรายด้าน หนา้ 530

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หวั ข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ตารางที่ 1 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของ การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวชิ าการของโรงเรยี นใน สังกัดสานักงานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 19 โดยรวมและรายด้าน การระบบสารสนเทศงานวิชาการ ระดบั การปฏิบตั ิ แปลผล อันดับ การวางแผนเก่ียวกับงานวชิ าการ x̅ S.D. 4.26 0.62 มาก 2 การจดั ดาเนินการเกี่ยวกับการเรียนการสอน 4.21 0.57 มาก 3 การจัดการบริหารเกยี่ วกับการเรยี นการสอน 3.82 0.74 มาก 4 การวัดผลและการประเมินผล 4.35 0.43 มาก 1 โดยรวม 4.16 0.59 มาก จากตารางท่ี 1 พบว่า การบริหารจดั การระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสงั กดั สานักงานเขต พืน้ ท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 19 โดยรวมอยใู่ นระดับมาก ( X = 4.16; S.D.= 0.59) เมื่อพิจารณาเป็นรายดา้ นพบวา่ การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวชิ าการ อยู่ในระดับมากทกุ ดา้ น โดยเรยี งลาดับค่าเฉลีย่ จากมากไปหานอ้ ย ได้แก่ การวัดผลและการประเมินผล ( X = 4.35; S.D.= 0.43)การวางแผนเกี่ยวกบั งานวชิ าการ ( X = 4.26; S.D.= 0.62)การจดั ดาเนนิ การเก่ียวกบั การเรยี นการสอน ( X = 4.21; S.D.= 0.57)การจัดการบรหิ ารเก่ยี วกับการเรยี นการ สอน ( X = 3.82; S.D.= 0.74) 2. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามสถานะหนา้ ที่ โดยรวมและรายดา้ น ไม่แตกตา่ งกัน 3. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามระดับการศึกษา โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันยกเว้นด้านการจัดดาเนินการ เกีย่ วกบั การเรยี นการสอน ดา้ นการจัดการบรหิ ารเกีย่ วกบั การเรียนการสอน และด้านการวัดผลและการประเมินผลท่ี ไม่แตกตา่ งกนั สรปุ ผลการวิจยั จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล เร่ือง การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัด สานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 19 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นครูผู้สอน จานวน 91 คน (ร้อยละ 87.50) ผู้บริหาร จานวน 13 คน (ร้อยละ 12.50) ระดับการศึกษา ปริญญาโท จานวน 53 คน (ร้อยละ 51.00) รองลงมา ปริญญาตรี จานวน 42 คน (ร้อยละ 40.40) และน้อยท่ีสุด คือ ปริญญาเอกจานวน 9 คน (ร้อยละ 8.70) ผลการวจิ ยั พอสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 19 โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เม่ือพิจารณาเปน็ รายด้านพบวา่ การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงาน วชิ าการ อย่ใู นระดบั มากทกุ ด้าน โดยเรียงลาดบั ค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การวัดผลและการประเมินผล การ หนา้ 531

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ หัวข้อ การศกึ ษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) วางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ การจัดดาเนินการเกี่ยวกับการเรียนการสอน การจัดการบริหารเก่ียวกับการเรียนการ สอน เม่อื พจิ ารณาเป็นรายขอ้ พบว่า 1.1 ด้านการวางแผนเกี่ยวกบั งานวชิ าการ พบว่า โดยรวมมีการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงาน วชิ าการ อยู่ในระดบั มาก เม่อื พิจารณาเปน็ รายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหา นอ้ ย ได้แก่ การประชุมเก่ียวกับหลักสูตร การจดั ข้ันตอนและเวลาในการทางาน การจัดปฏทิ ินการศึกษา โครงการสอน เปน็ การจดั รายละเอยี ดเก่ียวกบั วชิ าทีต่ อ้ งสอนตามหลักสูตร บนั ทึกการสอนเป็นการแสดงรายละเอียดของการกาหนด เน้ือหาท่ีจะสอนในแตล่ ะคาบเวลาของแต่ละวัน โดยวางแผนล่วงหน้าและยึดโครงการสอนเป็นหลัก ความรับผิดชอบ งานตามภาระหนา้ ที่ 1.2 ด้านการจัดดาเนินการเก่ียวกับการเรียนการสอน พบว่า โดยรวมมีการบริหารจัดการระบบ สารสนเทศงานวชิ าการ อยู่ในระดับมาก เม่ือพจิ ารณาเป็นรายขอ้ พบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ย จากมากไปหานอ้ ย ได้แก่ การจัดช้นั เรียนเป็นงานทีฝ่ าุ ยวิชาการต้องประสานกับฝุายอาคารสถานท่ีรวมท้ังการจัดสิ่งอา นวยความสะดวกต่างๆ ในห้องเรียน การปรับปรุงการเรียนการสอนเป็นการพัฒนาครูผู้สอนให้ก้าวทันวิทยาการ เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการความก้าวหน้าของสังคม ธุรกิจ อตุ สาหกรรมเปน็ ตน้ การจัดตารางสอนเปน็ การกาหนดวิชา เวลา ผูส้ อน สถานท่ีตลอดจนผู้เรียนในแต่ละรายวิชา การ เชิญวิทยากรภายนอกมาช่วยสอน การจัดครูเข้าสอนต้องพิจารณาถึงความพร้อมของสถานศึกษา ศึกษาและความ พร้อมของบุคลากร การฝึกงาน จดุ มงุ่ หมายของการฝกึ งานเป็นการใหน้ ักเรียนรจู้ ักนาเอา ทฤษฏีมาประยุกต์ใช้กับชีวิต จรงิ การจัดแบบเรียนโดยปรกติสถานศกึ ษาในสังกดั 1.3 ด้านการจัดการบริหารเก่ียวกับการเรียนการสอนพบว่า โดยรวมมีการบริหารจัดการระบบ สารสนเทศงานวิชาการ อยู่ในระดับมาก เม่อื พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ พบวา่ อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ย จากมากไปหานอ้ ย ได้แก่ การนิเทศการสอนเปน็ การช่วยเหลือแนะแนวครูให้เกิดการปรับปรงุ แก้ไขป๎ญหาการเรียนการ สอน การจดั สอื่ การเรียนการสอนเป็นส่ิงที่เอื้อต่อการศึกษาของนักเรียนเน้นเครื่องมือและกิจกรรมให้ครูได้เลือกใช้ใน การสอน การจัดหอ้ งสมดุ เป็นศูนย์รวมหนงั สอื เอกสาร สง่ิ พิมพ์ วสั ดอุ ปุ กรณ์ที่เป็นแหล่งวิทยาการให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นควา้ เพิม่ เตมิ 1.4 ด้านการวัดผลและการประเมินผล พบว่า โดยรวมมีการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงาน วิชาการ อยใู่ นระดบั มาก เม่ือพิจารณาเปน็ รายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหา นอ้ ย ได้แก่ การจัดการส่งเสริมการแสดงผลงาน การส่งเสริมการสอบแข่งขันภายนอก การจัดสอบวัดผลในโรงเรียน การแสดงนทิ รรศการผลงานทางวชิ าการ 2. เปรยี บเทยี บการบรหิ ารจดั การระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามสถานะหน้าท่ี ใช้การวิเคราะห์ โดยสถิติ t –test และระดับการศึกษา ใช้ การวิเคราะห์ โดยสถิติ F-test (One - way ANOVA) พบวา่ 2.1 การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามสถานะหน้าที่ โดยรวมและรายด้าน ไมแ่ ตกต่างกัน 2.2 การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามระดับการศึกษา โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน ยกเว้นด้านการจัด หน้า532

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หัวข้อ การศึกษายุค “Digital Disruption” ในวันที่ 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ดาเนินการเก่ียวกับการเรียนการสอน ด้านการจัดการบริหารเก่ียวกับการเรียนการสอน และด้านการวัดผลและการ ประเมินผลทีไ่ มแ่ ตกต่างกัน อภปิ รายผล การศึกษาครั้งนที้ าใหท้ ราบถึงการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวชิ าการของโรงเรียนในสงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 19 มปี ระเด็นที่ควรนามาอภิปรายผลดงั น้ี 1. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มัธยมศกึ ษา เขต 19 โดยรวมอยูใ่ นระดบั มาก เม่ือพิจารณาเปน็ รายด้านพบว่า การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงาน วิชาการอยู่ในระดับมากทุกด้าน เน่ืองจากมีการมีการวางแผนเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตรและการนาหลักสูตรไปใช้ ลว่ งหนา้ สอดคล้องกบั กนกวรรณ สุทธิอาจ (2556) ได้ศึกษา สภาพและปญ๎ หาการดาเนินงานจัดทาระบบสารสนเทศ งานวิชาการโรงเรยี นเอกชนในจงั หวดั สกลนคร ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการดาเนินงานจัดทาระบบสารสนเทศงาน วิชาการโรงเรียนตามความคิดเห็นผู้บริหารโรงเรียน ครูวิชาการ และครูผู้รับผิดชอบการจัดระบบสารสนเทศงาน วิชาการโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร มกี ารดาเนนิ การอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรยี บเทียบการบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามสถานะหน้าที่ โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน เนื่องจากมีการ จดั การระบบการจดั เกบ็ และการจดั กระทาข้อมลู ต่าง ๆ ทางการศกึ ษาให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบแบบแผน ซ่ึงจะ สามารถให้ผูบ้ ริหารโรงเรียนหรือผู้เกยี่ วขอ้ งนาไปใชป้ ระกอบพิจารณาวินจิ ฉัยสัง่ การเพือ่ บรหิ ารการศึกษาได้อย่างมั่นใจ และมปี ระสิทธภิ าพสอดคล้องกับ กนกวรรณ สุทธิอาจ (2556) ได้ศึกษา สภาพและป๎ญหาการดาเนินงานจัดทาระบบ สารสนเทศงานวิชาการโรงเรียนเอกชนในจงั หวัดสกลนคร ผลการวจิ ยั พบว่า การดาเนนิ งานจัดทาระบบสารสนเทศงาน วิชาการโรงเรียนตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน ครูวิชาการและครูผู้รับผิดชอบการจัดระบบสารสนเทศงาน วชิ าการโรงเรียนเอกชนในจงั หวดั สกลนคร ไม่แตกต่างกนั 3. การบริหารจัดการระบบสารสนเทศงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 19 จาแนกตามระดับการศึกษา โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน ยกเว้นด้านการจัดดาเนินการ เกยี่ วกับการเรียนการสอน ดา้ นการจดั การบรหิ ารเก่ยี วกับการเรยี นการสอน และ ด้านการวัดผลและการประเมินผลท่ี ไม่แตกตา่ งกัน เนื่องจากมีการจดั สิง่ อานวยความสะดวกและการสง่ เสริมการจัดหลักสูตร และโปรแกรมการศึกษาให้มี ประสทิ ธภิ าพและคณุ ภาพ ไดแ้ ก่ การจัดส่อื การเรียนการสอนเปน็ สง่ิ ที่เอ้ือต่อการศึกษาของนักเรียนเน้นเครื่องมือและ กจิ กรรมให้ครูได้เลอื กใชใ้ นการสอน การจัดห้องสมุด เป็นศูนย์รวมหนังสือ เอกสาร ส่ิงพิมพ์ วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นแหล่ง วิทยาการให้นักเรียนไดศ้ กึ ษาค้นควา้ เพ่มิ เตมิ การนเิ ทศการสอนเป็นการช่วยเหลือแนะแนวครูให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข ปญ๎ หาการเรยี นการสอน (จักรกฤษณ์ สวุ รรณโท, 2550) สอดคล้องกบั พกิ ลุ เงินทอง (2550) ได้ศึกษาเรื่องป๎ญหาการ จัดระบบสารสนเทศโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาสระแก้ว เขต 2 จาแนกตามประสบการณ์ ด้านการปฏิบตั งิ านด้านสารสนเทศ และวฒุ ดิ า้ นคอมพิวเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า การจัดระบบสารสนเทศของโรงเรียน ขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาสระแก้ว เขต 2 มีป๎ญหาท้ังโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง ป๎ญหาการจัดระบบสารสนเทศโรงเรยี นขนาดเลก็ สงั กดั สานักงานเขตพ้ืน ที่การศึกษาสระแก้ว เขต 2 จาแนกตามวุฒิ ด้านคอมพวิ เตอร์ ไมแ่ ตกตา่ งกัน หน้า533

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวขอ้ การศกึ ษายุค “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสีมา จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ควรมกี ารจัดการหอ้ งสมดุ ใหท้ ันสมัยเป็นศูนย์รวมความรู้ การจดั ห้องสมุดเปน็ ศูนยร์ วมหนังสอื เอกสาร สิง่ พิมพ์ วัสดุอุปกรณ์ที่เปน็ แหล่งวทิ ยาการให้นักเรยี นได้ศึกษาคน้ คว้าเพ่มิ เตมิ 1.2 การจดั การบริหารเกย่ี วกับการเรยี นการสอนให้สอดคลอ้ งกับความต้องการของสังคม 2. ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยคร้งั ตอ่ ไป 2.1 ควรศึกษาการจดั การบรหิ ารเกีย่ วกับการเรยี นการสอน 2.2 ควรมกี ารศึกษาการนาผลงานทางวิชาการไปขยายผล เอกสารอ้างองิ กนกวรรณ สทุ ธิอาจ. (2556). สภาพและป๎ญหาการดาเนินงาน จัดทาระบบสารสนเทศงานวิชาการโรงเรยี นเอกชนใน จังหวัดสกลนคร. วารสารบณั ฑติ ศึกษา. 10(49) : กรกฎาคม – สงิ หาคม. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2553). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. พมิ พ์ครงั้ ที่ 3..กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.จากัด. บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2545). การวจิ ัยเบอ้ื งตน้ . พิมพ์คร้งั ที่ 7. กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาส.์ .(2553). การวิจัยเบือ้ งตน้ . กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พส์ วุ ีริยาสาส์น. ปราวณี ยา สุวรรณณัฐโชต.ิ (2546). กรณีศกึ ษากระบวนการ ยอมรับเทคโนโลยสี ารสนเทศในโรงเรยี น. กรงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. พกิ ลุ เงนิ ทอง. (2550). ปญ๎ หาการจัดระบบสารสนเทศโรงเรียน ขนาดเล็กสงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา สระแกว้ เขต 2. วิทยานพิ นธก์ ารศึกษามหาบณั ฑิต : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม สัลยทุ ธส์ วา่ งวรรณ. (2546). ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ. กรงุ เทพฯ : เพียรส์ ัน เอดดูเคชนั . สานักงานทดสอบทางการศกึ ษา. (2543). การประกันคุณภาพ การศึกษา. กรงุ เทพฯ : กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. หนา้ 534

การประชุมวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวข้อ การศกึ ษายุค “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การพัฒนาความสามารถในการคิดสรา้ งสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั ดว้ ยกิจกรรมการเล่านทิ านไม่รู้ จบผา่ นกจิ กรรมละครสรา้ งสรรค์ Development of Creativity of Kindergarten children Using the Cumulative Tale Activity จันทิมา นสิ ภา,พรี ะดา พิชติ ปรชี า โรงเรียนสาธติ มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง (ฝาุ ยประถม) E-mail [email protected] บทคดั ย่อ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเล่านิทานไม่รู้จบ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เด็กปฐมวัยท่ีเรียนด้วย กจิ กรรมการเล่านิทานไมร่ ู้จบ กลุ่มตวั อยา่ ง คอื กลมุ่ ตัวอย่างทใ่ี ช้ในการศึกษาครงั้ นเ้ี ปน็ เด็กชาย เดก็ หญิง ที่กาลังศึกษา ช้ันอนุบาล 3หลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคาแหง (ฝาุ ยประถม) จานวน 17 คน ไดม้ าด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในงานวิจัยคร้ัง น้ี คือ 1) แผนการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ผ่านการเล่านิทานไม่จบเรื่อง 2) แบบประเมินความคิดริเริ่มและ ความคิดละเอียดลออของเด็กปฐมวัย 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้เด็กปฐมวัยที่เรียนด้วยกิจกรรมการเล่า นทิ านไม่รจู้ บ ตรวจสอบความตรงเชงิ เนือ้ หา (Item Objective Congruence: IOC) โดยมคี ่าเฉล่ยี เท่ากบั .93 ผลการวจิ ัย พบว่า ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถ ในการคดิ สร้างสรรค์ คะแนนหลังเรียน ค่าเฉล่ีย เท่ากับ 2.89 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.31 คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 1.54 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทา่ กับ 0.68 สรุปไดว้ ่าคะแนนความคิดสรา้ งสรรค์หลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ผลการประเมินความพงึ พอใจของผเู้ ด็กปฐมวัยที่เรยี นด้วยกิจกรรมการเล่านิทานไม่รู้จบ คิดเป็นค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.89 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.38 สรุปได้ว่าผู้เรียนมรี ะดบั ความพึงพอใจอย่ใู นระดบั มาก คาสาคญั : นทิ าน,ความคดิ สรา้ งสรรค์,ความพงึ พอใจ . หน้า 535

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หัวขอ้ การศกึ ษายุค “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) Abstract The objectives of the research are to 1) study the results of the creativity scores before and after studying using the cumulative tale activity. 2) study the satisfaction of kindergarten children who are taught with the cumulative tale activity. The sample groups of this research were 17 students from the kindergarten pupils who studied in the third level of the first semester, Academic Year 2019 at Ramkhamhaeng University Demonstration School (Elementary Level). The simple random sampling was used in the research. The research instruments were 1) the lessons using the cumulative tale activity. 2) the evaluation form to measure creativity and carefulness of kindergarten kids. 3) the satisfaction form for this group of research participant. It is found that the mean score of the students after studying using cumulative tale was 2.89, while the standard deviation was 0.31. The mean of the pre-test scores was 1.54 and the standard deviation was 0.68. Therefore, the post-test mean was higher score than pre-test mean score significantly and the statistical score was 0.05. The mean score of the students‖ satisfaction was 2.89 and the standard deviation was 0.38. Thus it can be concluded that the students‖ satisfaction was in the good level. Keywords: tale, creativity, satisfaction บทนา การเลา่ นิทานไมจ่ บเร่ืองเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ (Creative Drama) ซงึ่ เป็นการจดั ทาละครทเี่ น้นกระบวนการเรียนรู้ ท่มี จี ดุ มุ่งหมายเพ่ือพัฒนาเด็กทุกคนในกลุ่มให้มีความสามารถ ทางการคิดได้ใช้จินตนาการ หรือการคิดแก้ป๎ญหาตลอดจนการรับรู้ความรู้สึกของผู้อ่ืนในการทางานร่วมกัน การแสดงละครเปน็ กจิ กรรม ทที่ าใหเ้ ดก็ ได้มสี ่วนร่วมในการแสดงออก ทางภาษาและท่าทางของตัวละคร การ ใช้ภาษาการแสดงออกทางความคิดเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ทาให้เด็กได้รู้จักคิด ได้ลงมือปฏิบัติ และมีโอกาสได้แสดงออก เรียนรู้ถึงความรู้สึกของผู้อ่ืน และรับรู้ประสบการณ์ในแง่ต่าง ๆ ของชีวิตมากข้ึน (กรรณิการ์ พงศ์เลิศวุฒิ, 2547) นอกจากน้ีการแสดงละคร ยังเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระ ท้ังการ เคลื่อนไหว คนเดียวและเป็นกลุม่ ทเ่ี น้น การใชจ้ ินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ การจดั ประสบการณ์ทางตรง ให้กับเด็กโดยใช้ละครสร้างสรรค์ทาให้เด็กได้มีโอกาสในการเตรียมความพร้อมและเผชิญหน้ากับป๎ญหาที่จะ เกดิ ขน้ึ ในอนาคตได้ (วราภรณ์ วัจนะพันธ์, 2542) การเล่านิทานทาให้เด็กอนบุ าลเกดิ การเรยี นรู้และจดจาเน้ือเรื่องของนทิ านได้ดีและยาวนานมากขึ้น ซึ่ง ทาให้เด็กต้องใช้ความคิดในการคาดคะเนสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยเฉพาะขั้นกิจกรรมที่ต่อเน่ืองจากการเล่า หนา้ 536

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ หัวขอ้ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) นิทาน อาทิ การแสดงบทบาทสมมติจากในเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งหรือสรรค์สร้างเร่ืองราวต่อจากนิทาน เร่ืองเดิมให้เป็นเร่ืองราวใหม่ (สัณหพัฒน์ อรุณธารี, 2543) การเล่นบทบาทสมมติดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการ พัฒนาการทางความคิดและอารมณ์ของเด็ก ประกอบด้วยไปด้วย ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ เกิดการ เรียนรู้ด้วยตัวเอง ความคิดริเร่ิมและความคิดละเอียดลออเป็นส่วนหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็น คุณลักษณะท่ีจาเป็นของคนที่มีสมรรถภาพสูงในการดาเนินชีวิต กล่าวคือ ความคิดสร้างสรรค์เป็นส่วนช่วย สง่ เสริมพัฒนาการดา้ นอารมณ์และสติป๎ญญาของเด็ก เน่ืองจากความคิดสร้างสรรค์เก่ียวข้องกับทักษะการคิด และการสอื่ สารความรสู้ กึ ของตนเองกับผอู้ ื่น ซึ่งความคดิ สร้างสรรค์แสดงให้เห็นถึงมุมมองและความเข้าใจของ เด็กท่ีมีต่อโลกรอบตัว ผู้ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ คือ ผู้ที่มีความสามารถในการใช้ความคิดจินตนาการได้อย่าง กวา้ งไกล คิดไดห้ ลายแงม่ มุ หลายทิศทาง มีปริมาณท่ีมากและสามารถเชื่อมโยงนาไปสู่การคิดค้นและสร้างส่ิง ต่าง ๆ ท่ีแปลกใหม่ ยืดหยุ่น มจี นิ ตนาการและไม่ลอกเลยี นแบบงานของใคร (อรจิรา จะแรบรัมย์, 2545; เกรียง ศักด์ิ เจริญวงศ์ศักดิ์, 2555) ความคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะสาคัญอย่างย่ิงท่ีสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ โดย อาศัยกระบวนการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น หากผ้เู รยี นถกู กระต้นุ อยา่ งต่อเนอื่ ง และนาไปประยุกต์ให้เกดิ สิง่ แปลกใหม่ (อารี พนั ธม์ ณ,ี 2544) ดังนน้ั ความคดิ สรา้ งสรรค์สาหรับเด็กปฐมวยั จึงไม่ได้เน้นที่คุณภาพหรือผลผลิต แต่เป็น การทากิจกรรมท่สี นุกสนานและสง่ เสริมจินตนาการ จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จะเห็นได้ว่าการเล่านิทานไม่จบเรื่องผ่านกิจกรรมละครสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมการ เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ที่เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมกับผู้อื่นได้อย่างเต็มท่ีซ่ึงเป็นตัว ช่วยให้เด็กได้ใช้ความสามารถทางสติป๎ญญาในการคิดวิเคราะห์เหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้ น คิดตาม จินตนาการอย่างสร้างสรรค์ และยังทาให้เด็กได้สนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดการเรียนรู้ กล้าแสดงออกและ สามารถจดจาเร่ืองราวได้ดี ดังน้ันการเล่านิทานไม่จบเร่ืองผ่านกิจกรรมละครสร้างสรรค์จึงเป็นตัวช่วยพัฒนา ทักษะทางดา้ นความคิดสรา้ งสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยที่เรยี นในหลักสูตรภาคภาษาองั กฤษ ผ้วู จิ ยั จึงมคี วามสนใจใน การเล่านิทานไม่จบเร่ืองผ่านกิจกรรมละครสร้างสรรค์มาเป็นตัวช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในด้านของ ความคิดริเริ่มและความคิดละเอียดลออของเด็กปฐมวัย โดยมุ่งหวังว่าการเล่านิทานไม่จบเร่ืองผ่านกิจกรรม ละครสรา้ งสรรคจ์ ะช่วยสง่ เสรมิ ให้เดก็ ปฐมวัยหลกั สตู รภาคภาษาองั กฤษ มีความคดิ สรา้ งสรรค์เพ่มิ ข้ึน วิธดี าเนินการวจิ ยั การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ด้วย กิจกรรมการเล่านิทานไม่รู้จบ รูปแบบของงานวิจัย (The One-Group Pretest-Posttest Design) ผู้ศึกษามวี ธิ ีการดาเนินการศึกษารายละเอียด ดังน้ี ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง กลุ่มตัวอยา่ ง กลมุ่ ตัวอย่างทใ่ี ชใ้ นการศึกษาคร้งั นเี้ ปน็ เด็กชาย – เดก็ หญิง ทีก่ าลงั ศึกษาชั้นอนุบาลภาคภาษาอังกฤษ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลยั รามคาแหง (ฝาุ ยประถม) จานวน 17 คน หน้า 537

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ หัวข้อ การศกึ ษายุค “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ตวั แปรท่ีศกึ ษา ตัวแปรต้น - กิจกรรมนิทานไม่รู้จบ ตัวแปรตาม - ผลการใช้กิจกรรมนิทานไม่รู้จบ เพ่ือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่เรียน หลักสูตรภาษาอังกฤษ เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจยั ในการศึกษาครัง้ นี้ เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการศกึ ษามีดงั ตอ่ ไปนี้ 1. แผนการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ผ่านการเล่านิทานไม่จบเร่ืองตามเนื้อเร่ืองนิทานท่ีสอดคล้อง กบั หน่วยการเรยี น จานวน 8 เร่ือง / 16 แผน ซึ่งเปน็ เครือ่ งมอื ในการทดลองคร้งั นี้ 2. แบบประเมินความคิดริเร่ิมและความคิดละเอียดลออของเด็กปฐมวัยท่ีผู้ศึกษาสร้างขึ้นเอง ใช้ ประเมินเด็กเป็นรายบุคคล จานวน 3 ชุด ชุดละ 1 ข้อ ซ่ึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ชดุ ที่ 1 แบบประเมนิ ความคิดสรา้ งสรรค์ เรอ่ื ง หนา้ กากแสนซน ชดุ ท่ี 2 แบบประเมนิ ความคดิ สร้างสรรค์ เรอ่ื ง ฉากละครซ่อนรกั ชดุ ที่ 3 แบบประเมนิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ เรอ่ื ง เครอ่ื งดนตรีหรรษา 3. แบบประเมินความพงึ พอใจของผ้เู ด็กปฐมวัยที่เรียนด้วยกิจกรรมการเล่านิทานไมร่ จู้ บ การสร้างเครือ่ งมือในการศึกษา 1. แผนการจัดกจิ กรรมละครสรา้ งสรรคผ์ ่านการเล่านทิ านไม่จบเร่ือง เป็นแผนที่ผู้ศึกษาได้สร้างขึ้นเอง โดยมขี ัน้ ตอนการสรา้ งดังน้ี 1.1 ศึกษาคมู่ ือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นแนว ทางการจดั กิจกรรมทส่ี ่งเสรมิ ความคิดริเร่มิ และความคิดละเอยี ดลออสาหรบั เด็กปฐมวัย 1.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับละครสร้างสรรค์สาหรับเด็กปฐมวัยรวมถึงเทคนิคและ ขนั้ ตอนการแสดงละครสรา้ งสรรค์ 1.3 ศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องกับนิทานท่ีเหมาะสมกับเด็กปฐมวัยและสอดคล้องกับหน่วยการเรียน รวมถึงรูปแบบวธิ กี ารเลา่ นทิ านและเทคนิควธิ ีการเล่านทิ าน 1.4 ดาเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ท่ีส่งเสริมความคิดริเร่ิมและความคิด ละเอยี ดลออของเดก็ ปฐมวัย จานวน 16 แผน ใช้เวลาทดลองท้ังส้ิน 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน มีแผนการจัด กิจกรรมดังนี้ สปั ดาห์ท่ี 1 หนว่ ยเรอื่ งบ้านแสนสขุ สัปดาห์ที่ 2 หน่วยเรื่องอาชพี ท่ีฉันรกั สปั ดาห์ที่ 3 หน่วยเรือ่ งดอกไม้แสนสวย หน้า 538

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ หวั ข้อ การศึกษายคุ “Digital Disruption” ในวันท่ี 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) สัปดาห์ที่ 4 หน่วยเรื่องโลกของแมลง สปั ดาห์ท่ี 5 หน่วยเรอ่ื งสัตว์เล้ยี งน่ารัก สปั ดาห์ท่ี 6 หน่วยเร่อื งชวี ิตสตั วป์ าุ สัปดาห์ที่ 7 หนว่ ยเรอ่ื งโลกใตท้ ้องทะเล สปั ดาห์ท่ี 8 หน่วยเร่ืองฤดูกาลทฉี่ นั รัก โดยกาหนดจุดประสงค์ การดาเนินกิจกรรม วัสดุอุปกรณ์ และการประเมินผล ซึ่งประกอบด้วย รายละเอียด ดังนี้ 1.4.1 จุดประสงค์ ทแ่ี สดงถงึ ความสามารถของเดก็ ในการทากจิ กรรมจะบรรลุเปาู หมาย 1.4.2 การดาเนินกจิ กรรม เป็นสว่ นท่รี ะบถุ ึงขั้นตอนการดาเนินการกิจกรรมโดยแบ่งออกเป็น 2 วัน / 3 ข้นั ตอน ดังนี้ วนั ท่ี 1 ขัน้ วางแผน (ประกอบกิจกรรมแรงจงู ใจและฝึกความพร้อมก่อนแสดงละคร) ขน้ั ท่ี 1 ขั้นวางแผน ประกอบกิจกรรม ดังนี้ กจิ กรรมแรงจงู ใจ : ครูเตรยี มความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าส่ขู นั้ ตอนต่อไป โดยใหเ้ ด็กทากจิ กรรมต่าง ๆ ท่ี ครกู าหนดขนึ้ ในแตล่ ะครง้ั เช่น กจิ กรรมดนตรเี คลื่อนไหวและจังหวะ ปริศนาคาทาย และเกมตา่ ง ๆ ฝกึ ความพร้อมกอ่ นแสดงละคร : ครูเล่านิทานทีส่ อดคลอ้ งกบั หนว่ ยการเรยี นให้เดก็ ๆ ฟ๎งโดยเล่าไม่จบ เรื่อง แล้วต้ังคาถามกระต้นุ ให้เด็กคิด สังเกตลักษณะนิสัย คาพูดของตัวละคร เรื่องราว การแสดงท่าทาง และ ลาดับเหตกุ ารณ์กอ่ นหลัง ตอ่ มาครูใหเ้ ด็กท่ไี ด้แบ่งกลุ่มตามนิทานช่วยกันคิดเหตุการณ์ต่อไปจากนิทานที่ครูเล่า ไม่จบเรื่อง และจัดเตรียมละครสร้างสรรค์ โดยให้เด็กช่วยกันเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ในการจัดกิจกรรม ละครสร้างสรรค์ จัดลาดับเหตุการณ์ความสาคัญก่อนหลังของนิทานที่จะแสดง และซักซ้อมการแสดงละคร สรา้ งสรรค์ 1 ครง้ั เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ไดเ้ ห็นแนวทางในการทากิจกรรมร่วมกันและเป็นแนวทางในการจัดเตรียมละคร ใหก้ บั กลุ่มนิทานเร่ืองตอ่ ไป วันท่ี 2 ขัน้ แสดงละครสร้างสรรคแ์ ละขน้ั ประเมนิ ผล ข้ันท่ี 2 ขัน้ แสดงละครสรา้ งสรรค์ : ครูให้เด็กร่วมกันแสดงละครสร้างสรรค์ตามแบบท่ีเด็กได้จัดเตรียม ไว้ โดยครูคอยเป็นผอู้ านวยความสะดวกและเปน็ ผชู้ แ้ี นะแนวทางเมื่อเด็ก ๆ พบป๎ญหาในระหว่างทากิจกรรม ขน้ั ท่ี 3 ข้ันประเมินผล : เด็ก ๆ ร่วมกันสรุปเก่ียวกับการละครสร้างสรรค์ท่ีเป็นผู้สร้างสรรค์ข้ึนมาเอง วา่ พบป๎ญหาและอุปสรรคในการแสดงหรือไม่ มีขั้นตอนและการวางแผนภายในกลุ่มอย่างไร และประโยชน์ที่ ได้รับจากการแสดงละครสรา้ งสรรค์ 1.4.3 วัสดุอุปกรณ์ เป็นส่วนท่ีระบุถึงส่ือการเรียนและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีใช้ในการจัด กิจกรรมละครสรา้ งสรรค์ หน้า 539

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ หัวขอ้ การศกึ ษายุค “Digital Disruption” ในวนั ที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 1.4.4 การประเมินผล เป็นผลสัมฤทธิ์ที่แสดงออกผ่านคาพูด พฤติกรรม การมีส่วนร่วม หลังจากทากจิ กรรมรว่ มกัน 1.5 หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแผนการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้ดัชนี ความสอดคลอ้ งระหวา่ งความคิดสร้างสร้างสรรค์กับจุดประสงค์ (IOC) จานวน 3 ชุดจากผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 ทา่ น 1.6 นาแผนการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ท่ีสร้างข้ึน เสนอต่อคณะกรรมการที่ปรึกษา และ ผู้เชย่ี วชาญจานวน 3 ท่าน เพ่ือตรวจสอบปรับปรุงและแก้ไขปรับปรุง โดยผู้เชี่ยวชาญได้ให้คะแนน IOC อยู่ที่ 0.67 – 1.00 ซ่ึงมีค่าตั้งแต่ 0.50 ข้ึนไป ถือว่าใช้ได้ โดยมีสูตรการคานวณดังน้ี (Rovinelli, R. J., & Hambleton, R. K., 1977) และผู้เช่ียวชาญได้ให้คาแนะนาว่า ควรปรับเนื้อหาของนิทานให้สอดคล้องกับ วัตถปุ ระสงค์ในเรื่องตามแผนแตล่ ะหน่วยในมากท่ีสุดเพ่ือให้เด็กสามารถมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวเนื้อหาสาระ เพม่ิ มากข้ึน อกี ท้ังยังเป็นการมีส่วนช่วยในการเกรน่ิ นาของเนือ้ หาสาระในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ โดยมีค่าเฉล่ีย เทา่ กับ .93 2. ข้ันตอนการสรา้ งแบบประเมนิ ความคดิ ริเริม่ และความคิดละเอยี ดลออของเดก็ ปฐมวยั โดยมีข้ันตอน การสรา้ งดังนี้ 2.1 ศึกษาข้อมูลที่เก่ียวกับความคิดริเร่ิมและความคิดละเอียดลออของเด็กปฐมวัย แนวคิด ทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ จากเอกสารหรืองานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาความคิดริเริ่มและความคิด ละเอยี ดลออของเด็กปฐมวยั เพอื่ ทาความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการประเมิน และวิธีการประเมินเพื่อประเมิน ความคิดริเร่ิมและความคดิ ละเอยี ดลออของเด็กปฐมวยั 2.2 สร้างแบบประเมินความคิดริเริ่มและความคิดละเอียดลออของเด็กปฐมวัยโดยสร้าง สถานการณ์ เพื่อให้ประเมินความคิดริเริ่มและความคิดละเอียดลออ โดยใช้สถานการณ์ที่ครูเป็นคนกาหนด เกณฑข์ องความคดิ ความคดิ ริเรม่ิ และความคิดละเอียดลออ ก่อนและหลังเรียนจากกิจกรรมละครสร้างสรรค์ท่ี ส่งเสรมิ ความคดิ รเิ ร่ิมและความคดิ ละเอียดลออของเดก็ ปฐมวัย จานวน 3 ชุด คือ ชุดที่ 1 หน้ากากแสนซน ชุด ท่ี 2 ฉากละครซอ่ นรัก และชุดท่ี 3 เคร่อื งดนตรีหรรษา แตล่ ะชดุ ใช้เวลาในการทา 20 นาที โดยการประเมินใช้ เกณฑ์ดังนี้ ระดบั คุณภาพ 3 หมายถงึ ดมี าก 2 หมายถงึ ดี 1 หมายถึง ปรบั ปรงุ 2.3 เม่ือผู้ศึกษาได้สร้างประเมินความคิดริเริ่มและความคิดละเอียดลออของเด็กปฐมวัยโดย สร้างสถานการณเ์ สรจ็ สนิ้ แล้ว ไดน้ าแบบประเมินและคู่มือให้ผู้เชย่ี วชาญตรวจสอบหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา พจิ ารณาความเหมาะสมและองคป์ ระกอบของชดุ กจิ กรรม วา่ มีความครอบคลมุ กับเน้ือหา โดยผู้เช่ียวชาญได้ให้ คะแนนค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา อยู่ในระดับ 0.67 – 1.00 ซ่ึงถือว่านาไปใช้ได้ (Rovinelli, R. J., & หน้า 540

การประชมุ วิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ หัวข้อ การศกึ ษายคุ “Digital Disruption” ในวนั ท่ี 1-2 กมุ ภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสมี า จัดโดย คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) Hambleton, R. K., 1977) โดยผู้เช่ียวชาญได้ให้ข้อเสนอแนะในส่วนของการใช้คาถาม ควรใช้คาถามให้มี ความชดั เจนมากย่งิ ขน้ึ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ จะได้มมี มุ มองไปในทิศทางเดยี วกัน 2.4 เม่อื ได้รับคาแนะนาและไดป้ รบั ปรงุ เนอื้ หาจากผ้เู ชย่ี วชาญแล้วจึงนาแบบประเมนิ ความคิด ริเรม่ิ และความคิดละเอียดลออของเดก็ ปฐมวัยโดยสรา้ งสถานการณ์ ไปใชก้ ับกลมุ่ เปาู หมายต่อไป 3. แบบประเมนิ ความพึงพอใจของผเู้ ดก็ ปฐมวยั ทีเ่ รียนดว้ ยกจิ กรรมการเล่านทิ านไมร่ ูจ้ บ 3.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้อง 3.2 นาผลการศกึ ษาท่ไี ด้มาสร้างเครอื่ งมือใหค้ รอบคลุมเนือ้ หาและจดุ มงุ่ หมาย 3.3 เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูล เปน็ แบบสอบถามจานวน 10 ข้อ เพอื่ ใช้ประเมิน ว่าผู้ใชม้ ีความพงึ พอใจของเด็กปฐมวัยทเี่ รียนด้วยกิจกรรมการเลา่ นิทานไม่ร้จู บ ทัง้ น้คี าถามท่ใี ช้ตอ้ งสอ่ื ความหมายตามรายการประเมินแบบประเมินความพงึ พอใจกาหนดไว้ ซึง่ กาหนดเกณฑเ์ ป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดบั ความพงึ พอใจ มาก ใหค้ ะแนน 3 ปานกลาง ใหค้ ะแนน 2 นอ้ ย ให้คะแนน 1 วเิ คราะหโ์ ดยการจัดกลุม่ ระดบั ความพึงพอใจ ออกเปน็ 3 ระดบั ตามคะแนนเฉล่ยี ซ่ึงมเี กณฑ์ ในการจดั กล่มุ ดังน้ี 2.50 - 3.00 หมายถงึ มาก 1.50 - 2.49 หมายถึงปานกลาง 1.00 - 1.49 หมายถงึ น้อย (Rating Scale) ของลเิ คอร์ท (Likert Scale) โดยมคี ะแนน 3 ระดบั ยดึ ตามเน้ือหาของ ข้อความเป็นหลัก (บุญธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ุทธิ์ , 2549 : 42) 4.4 จดั ขอ้ มูลในรูปแบบของตาราง สรุปและรายงานผล การวเิ คราะหข์ ้อมลู ผ้ศู ึกษาได้ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบประเมินความคิดริเร่ิมและความคิดละเอียดลออ ของเด็กปฐมวัย แล้วจงึ นามาวิเคราะหข์ ้อมลู - นาคะแนนท่ีไดจ้ ากการทาแบบประเมินความคิดริเริ่มและความคิดละเอียดลออทั้งก่อนการ ทดลองและหลังการทดลองมาเปรียบเทียบคะแนนและวิเคราะห์หาค่าเฉล่ีย (Mean) และหาค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) - นาขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสงั เกตพฤตกิ รรม นามาวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงเนือ้ หา หน้า 541


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook