Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เพลงพื้นบ้านภาคกลาง

เพลงพื้นบ้านภาคกลาง

Description: เพลงพื้นบ้านภาคกลาง.

Search

Read the Text Version

ก รายงานการวจิ ัยเพือ่ รวบรวมและจดั เกบ็ ขอ้ มูลมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม: เพลงพ้นื บ้านภาคกลาง The Resesch Project Report of Collect and Storage of Intangible Cultural Heritage: Folk Song in Central Thailand ทป่ี รึกษางานวจิ ยั ศาสตราจารย์สกุ ญั ญา สุจฉายา คณะผ้วู ิจยั บัวผัน สุพรรณยศ อภิลกั ษณ์ เกษมผลกูล กิตติศกั ด์ิ เกิดอรุณสุขศรี สมบตั ิ สมศรพี ลอย โอฬาร รัตนภักดี มณฑิรา ตาเมือง งานวิจยั นี้ไดร้ บั ทุนอุดหนุนสาหรับโครงการรวบรวมและจัดเกบ็ ขอ้ มูลมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กรมสง่ เสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

ข บทสรปุ สาหรับผู้บริหาร (Executive Summary) รายงานการวิจัยเพ่ือรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม: เพลง พื้นบ้านภาคกลาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมและจัดเก็บองค์ความรู้เกี่ยวกับเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางโดย ชุมชนมีส่วนร่วม เพ่ือกระตุ้นจิตสานึกในการสร้างสรรค์ การสืบทอดและการพิทักษ์รักษาเพลงพื้นบ้านภาค กลาง และเพ่ือปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาด้านเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง โดยมีขอบเขตการดาเนินการ โครงการท้ังส้ิน ๓๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กาญจนบุรี กาแพงเพชร จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ต ร า ด ต า ก น ค ร น า ย ก น ค ร ป ฐ ม น ค ร ส ว ร ร ค์ น น ท บุ รี ป ทุ ม ธ า นี ป ร ะ จ ว บ คี รี ขั น ธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมุทรปราการ สมทุ รสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบรุ ี สงิ ห์บรุ ี สโุ ขทยั สุพรรณบรุ ี อา่ งทอง อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี สว่ นท่ี ๑ องคค์ วามรู้เพลงพ้นื บ้านภาคกลาง ผลการดาเนินโครงการพบว่ามีการดารงอยู่ของเพลงพื้นบ้านภาคกลางในพ้ืนท่ี ๒๐ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาแพงเพชร จนั ทบุรี ชลบุรี ชัยนาท ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทมุ ธานี พระนครศรีอยธุ ยา พจิ ติ ร พิษณโุ ลก เพชรบูรณ์ ระยอง สงิ ห์บรุ ี สุพรรณบรุ ี และอ่างทอง และมีคณะ เพลงพืน้ บ้านทัง้ ส้ิน ๓๗ คณะ ซ่ึงบางคณะสามารถแสดงเพลงพื้นบ้านได้มากกว่า ๑ ประเภท หากจาแนกตาม ประเภทของเพลงพนื้ บ้าน คณะทสี่ ามารถแสดงเพลงฉ่อยได้มีทั้งส้ิน ๑๔ คณะ เพลงทรงเครื่อง ๗ คณะ เพลง เรอื ๙ คณะ ลาตัด ๑๙ คณะ และเพลงอแี ซว ๙ คณะ ดังตารางตอ่ ไปน้ี จังหวดั คณะเพลง เพลงฉ่อย เพลงทรงเคร่ือง เพลงเรือ ลาตัด เพลงอแี ซว กรงุ เทพฯ ๑. คณะมหาวิทยาลัย    (๕ คณะ) หอการคา้ ไทย  ๒. คณะชมรมรักษ์   กาแพงเพชร เพลงพ้ืนบา้ น   (๑ คณะ) ๓. คณะเพาะกล้า พนั ธเ์ุ ก่งเพลงพน้ื บา้ น ๔. คณะหงษท์ อง เสียงทอง ๕. คณะเด่น หลาน หวังเตะ๊ ค ณ ะ เ พ ล ง พ้ื น บ้ า น วฒั นธรรมไทยสายใย

ค จงั หวดั คณะเพลง เพลงฉ่อย เพลงทรงเครอ่ื ง เพลงเรือ ลาตดั เพลงอแี ซว ชุมชนตาบลวงั แขม  จนั ทบรุ ี คณะวชิ ยั ราชนั ย์ (๑ คณะ) ชลบรุ ี ๑ . ค ณ ะ พ่ อ ผู ก  (๒ คณะ) เอกพจน์  ๒. คณะยุคล เพียร ชยั นาท เสมอ  (๑ คณะ) คณะพอ่ สวิง บรรเด็จ ตราด (๒ คณะ) ๑.คณะกานนั ทววี ัฒน์   ระลกึ ชอบ   ตาก ๒.คณะพอ่ ประสูตร (๑ คณะ) ชว่ งเวฬุ  นครนายก คณะพ่อหรดั  (๑ คณะ) แม่ประทวย  คณะ  นครปฐม ส. รวมศลิ ป์ (๓ คณะ) ลกู ศรีจุฬา  ๑. คณะแมป่ ระยรู นครสวรรค์ ยมเยยี่ ม (๑ คณะ) (แม่อุ่นเรือน) นนทบรุ ี ๒. คณะ (๑ คณะ) รุง่ ลิขติ ไทรนมิ่ นวล ๓. คณะชมรมรักษ์ เพลงพนื้ บา้ น ม.มหดิ ล คณะแม่ ทองใบ จนิ ดา คณะแม่ชรู กั -สุภาพร

ง จงั หวดั คณะเพลง เพลงฉ่อย เพลงทรงเคร่ือง เพลงเรือ ลาตดั เพลงอแี ซว ปทมุ ธานี คณะหวงั เต๊ะ นาโดย  (๑ คณะ) แม่ศรีนวล พระนครศรี คณะไพรัช  อยุธยา บอ่ ตาโล่ (๑ คณะ) พิจิตร คณะบา้ นวังกรา่ ง   (๑ คณะ)  พิษณโุ ลก ๑. คณะแมส่ มปอง   (๒ คณะ) พลอยบุตร ๒. คณะพนั โล ม.   เพชรบรู ณ์ นเรศวร (๑ คณะ) คณะเพลงฉอ่ ยวง   ระยอง คนสะเดยี ง    (๑ คณะ) คณะกานันสาเริง    สิงหบ์ รุ ี คนฑา    (๑ คณะ) ๑. คณะแม่ ลาจวน ศรจี ันทร์  สุพรรณบุรี ๒. ครจู ารัส อยสู่ ุข  (๘ คณะ)  ๑. คณะแม่ขวัญจติ ศรปี ระจนั ต์ ๒. คณะวิทยาลัย นาฏศิลปสพุ รรณบุรี ๓. คณะอนนั ต์ศษิ ย์ ขวญั จติ ๔. คณะ สจุ ินต์ ศรีประจันต์ ๕. คณะ ลาจวน สวนแตง ๖. คณะ นกเอ้ยี ง เสียงทอง

จ จงั หวดั คณะเพลง เพลงฉ่อย เพลงทรงเครือ่ ง เพลงเรือ ลาตัด เพลงอแี ซว ๗. คณะนกเลก็ ดาว  อ่างทอง รงุ่ (๑ คณะ) ๘. คณะสาเนียง   เสยี งสุพรรณ คณะพ่อมังกร  บญุ เสริม ผู้วิจัยพบวา่ ศิลปินเพลงพื้นบ้านภาคกลางกลุม่ ทอ่ี าศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ ท่ีไม่ใช่กรุงเทพมหานครและ ปริมณฑลส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรม บางคนมีส่วนในการปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น ทาหน้าท่ีเป็น กานัน เป็นต้น ส่วนผู้ที่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ค้าขาย เป็นต้น สภาพท่ัวไปของครูเพลงและศิลปินพ้ืนบ้านอาจแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่มตามระดับวัย การศึกษาและสภาพความ เป็นอยู่ กลุ่มแรกคือครูเพลงและศิลปินพ้ืนบ้านท่ีมีอายุมากกว่า ๕๐ ปี ส่วนใหญ่เป็นชาวชนบท มีการศึกษา คอ่ นขา้ งต่า ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมฐี านะยากจนถึงปานกลาง กลุ่มที่สองคือหัวหน้าคณะและศิลปิน พื้นบ้านทม่ี ีอายุต่ากว่า ๕๐ ปี มีท้ังที่เป็นชาวชนบทและชาวเมือง มีการศึกษาระดับปานกลางถึงสูง ประกอบ อาชพี เกษตรกรรมและอน่ื ๆ เช่น คา้ ขาย รับจ้าง รับราชการครู เป็นตน้ ด้านการแสดงพบว่า เมื่อพิจารณาถึงความมีช่ือเสียง ความเก่าแก่ ขนาดของวงหรือคณะและขนาด ของพน้ื ท่ีทเ่ี ผยแพรผ่ ลงาน สามารถจาแนกไดเ้ ปน็ ๓ กลุม่ คือ คณะเพลงระดับท้องถิ่น คณะเพลงระดับภูมิภาค และคณะเพลงระดับชาติคณะเพลง แต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันในประการต่างๆ เช่น คณะเพลงระดับชาติ และระดับภูมภิ าคมจี านวนผู้แสดง ท้งั พ่อเพลงแม่เพลงและนักดนตรีมากกว่า ๑๕ คน ขณะที่คณะเพลงระดับ ท้องถิ่นบางคณะมีผู้แสดงน้อยกว่า ๑๐ คน เคร่ืองแต่งกายและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ฉากและเครื่องเสียง ก็มี คณุ ภาพแตกตา่ งกัน รายได้จากแสดงก็ต่างกนั คอื ค่าจ้างรายบุคคลมตี ้งั แต่ ๓๐๐ – ๔๐,๐๐๐ บาท ค่าจ้างแสดง ทัง้ คณะ ต้งั แต่ ๑๐,๐๐๐ – ๗๐,๐๐๐ บาท เป็นตน้ ปญั หาทีเ่ กี่ยวกับการแสดงเพลงพ้ืนบ้าน ประกอบด้วย ปัญหา ๓ ข้อ คือ มีการว่าจ้างน้อย การว่าจ้าง ท่ีถูกจากดั งบประมาณจนทาให้ไม่สามารถจา้ งไปแสดงได้ท้ังคณะ และศิลปินเพลงพื้นบ้านมีจานวนไม่เพียงพอ ทาใหเ้ กดิ การยืมตัวศลิ ปินในสงั กัดคณะอืน่ ๆ เนื่องมาจากพ่อเพลงแมเ่ พลงบางท่านนอกจากจะมีสังกัดคณะของ ตนเองแล้ว ยงั เป็นหัวหน้าคณะเพลงพ้ืนบา้ นท่ตี นก่อตัง้ ข้ึนโดยไมม่ ีศลิ ปนิ อย่ใู นสังกดั คณะ ด้านการถ่ายทอดเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง พบว่ากระบวนการการถ่ายทอดและฝึกฝนวิชาความรู้ เก่ียวกับการร้องเพลงพ้ืนบ้านประเภทต่างๆ นั้นผู้ถ่ายทอดเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางคือครูเพลง ซึ่งแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ ครูเพลงที่เป็นศิลปินพ้ืนบ้าน และครูอาจารย์ในสถาบันการศึกษา โดยงานวิจัยนี้มุ่งเก็บข้อมูล เก่ียวกับครูเพลงท่ีเป็นศิลปินพ้ืนบ้าน พบว่าพ่อเพลงแม่เพลงหลายท่านมีฐานะเป็น “ครูเพลง” ถ่ายทอดวิชา ความรู้ด้านเพลงพ้ืนบ้านแก่ศิษย์ โดยบางท่านเป็นหัวหน้าคณะการแสดง เช่น นางเกลียว เสร็จกิจ หรือ แม่

ฉ ขวัญจิต ศรีประจันต์ บางท่านไม่ได้เป็นหัวหน้าคณะ เช่น ครูจารัส อยู่สุข แต่ทุกท่านท่ีเป็นครูเพลงล้วนมี คว าม สามารถ ใน การแ สดงเ พลง พื้น บ้านแ ละ ยิน ดีสอน ให้ แก่ ทุก คน โ ดย ไม่ มีก าร คัดเลื อก และเ รีย กร้ อ ง ค่าตอบแทน องค์ประกอบสาคัญของกระบวนการการถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านภาคกลางอีกประการหนึ่ง คือ ศิษย์ ผรู้ บั ถา่ ยทอดวชิ าจากครู และพธิ กี รรมความเช่อื ท่เี กี่ยวข้อง ผสู้ นใจฝกึ หัดเพลงพน้ื บา้ นทีน่ ับถือพระพุทธศาสนา จะต้องผา่ นพธิ ีครอบครหู รอื ไหวค้ รู ซงึ่ อาจเป็นแบบยกพานไหว้ครูธรรมดา ซ่ึงมีดอกไม้ธูปเทียนและเงินกานล มอบให้ครู หรือแบบพิธีการใหญ่ที่ต้ังเคร่ืองบูชาเหมือนไหว้ครูดนตรีไทยนาฏศิลป์ พิธีครอบครูและพิธีไหว้ครู ดงั กลา่ วนีศ้ ิลปินเพลงพนื้ บา้ นยึดถอื อย่างเครง่ ครดั และปฏิบตั ิสบื ต่อกันมาช้านาน การถา่ ยทอดหรอื วิธสี อนเพลงพนื้ บ้านของครเู พลงเกือบทกุ คน คือการใหเ้ นอื้ เพลง ทัง้ โดยการจด และ บันทึกเสียง แล้วร้องให้ฟังเป็นตัวอย่าง จากน้ันให้นาบทเพลงไปท่องจา แล้วมาร้องให้ครูฟังเพ่ือแนะนา เม่ือ รอ้ งไดค้ ล่องแคลว่ แล้ว ก็จะสอนให้ราและแสดงทา่ ทาง หรือสอนตีบท รวมทั้งการใชม้ กุ ตลกตา่ งๆ ซ่ึงการฝึกหัด เพลงพ้นื บา้ นในอดตี นน้ั มคี วามยากลาบากและต้องใช้ความพยายามมากกว่าในปัจจุบัน เพราะ ศิษย์บางคนมี ฐานะยากจนและบ้านอยู่หา่ งไกลครู การเดนิ ทางลาบาก ต้องไปขอพักอาศัยอยู่บ้านครูเป็นเวลานานนับปีหรือ หลายปี ครูต้องอบรมส่ังสอนและเล้ียงดู ศิษย์จึงกลาย “ลูก” หรือ “ลูกศิษย์” ไปโดยปริยาย ความสัมพันธ์ ระหว่างครูและศิษย์จึงใกล้ชิดผูกพันกัน ศิษย์อยู่บ้านครูช่วยทางานบ้านและฝึกหัดเพลงด้วย เมื่อพอแสดงได้ บา้ งแล้วก็ออกแสดงเป็นลูกคแู่ ละไดด้ ไู ด้จดจาเคล็ดลบั การแสดง เพื่อสั่งสมประสบการณ์ต่อไป นอกจากนี้ยังมี วิธีครูพักลักจาแล้วนามาฝึกฝนเองในภายหลัง ปัจจุบันการเดินทางที่สะดวกมากข้ึน ประกอบกับนวัตกรรม ต่างๆ สามารถนามาชว่ ยแบง่ เบาการจดจาได้ เช่น การบันทึกเสยี งลงในโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นที่ เปน็ ต้น ผู้วิจัยพบว่าปัจจุบันมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านเพลงพื้นบ้านภาคกลางกาลังถูกคุกคามโดย ปัจจัยคุกคาม ๔ ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวิกฤตค่านิยมไทย นโยบายและการดาเนินงาน ของหน่วยงานรัฐและเอกชนไม่ทั่วถึงและต่อเนื่อง วิกฤตการณ์ทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงภัย ธรรมชาติ ดา้ นการเปลย่ี นแปลงวถิ ีชีวิตและวิกฤตค่านิยมไทย เกิดจากสภาพสังคมไทยท่ีเปล่ียนแปลงจากสังคม เกษตรกรรม วัฒนธรรมวิถีชาวพุทธ เศรษฐกิจแบบพ่ึงพา เน้นคุณค่าด้านจิตใจ ไปสู่สังคมก่ึงอุตสาหกรรม เศรษฐกิจทุนนิยม เน้นบริโภคนิยมและสะสมวัตถุ และกระวัฒนธรรมต่างชาติที่ไหลบ่าเข้ามา ทาให้เพลง พน้ื บ้าน กลายเป็นของ “ล้าสมยั ” ประกอบกับประชากรช่วงวัยรุ่นและวัยทางานท่ีอาศัยในท้องถ่ินต่างๆ ต่าง เดินทางออกจากภูมิลาเนาของตนเพ่อื ไปประกอบอาชพี อ่ืนและไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ สืบทอดเพลงพ้ืนบ้านภาค กลาง ดา้ นนโยบายและการดาเนนิ งานของหนว่ ยงานรัฐและเอกชนไม่ทั่วถึงและต่อเนื่อง เกิดจากหน่วยงาน รัฐและเอกชนไม่ส่งเสริมสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เช่น สภาวัฒนธรรมจังหวัด องค์การบริหารส่วน ท้องถิน่ ศูนยว์ ฒั นธรรมในท้องถน่ิ และบรษิ ัทห้างร้านตา่ ง ๆ องค์กรท่ีส่งเสริมสนับสนุนเพลงพื้นบ้านเหล่านี้มี จานวนจากดั และการทางานส่วนใหญ่ต้องพ่ึงงบประมาณของรัฐหรือขององค์กรซึ่งมีความจากัดเช่นเดียวกัน หนว่ ยงานบางแห่งมภี าระรบั ผดิ ชอบกวา้ งขวางครอบคลุมการแสดงหลายชนิด กอรปกับประเทศประสบภาวะ

ช วิกฤตในด้านเศรษฐกิจและการเมือง การส่งเสริมเพลงพื้นบ้านจึงหยุดชะงักขาดความต่อเนื่อง รวมถึงผู้ ดาเนนิ งานบางส่วนยงั ขาดความรู้ความเขา้ ในแก่นแทข้ องวฒั นธรรมและทางานโดยมุ่งความพึงพอใจและความ สะดวกสบายเปน็ หลกั ดา้ นวกิ ฤตการณ์ทางสงั คม การเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่มีภาวะถดถอยทาให้พ่อ เพลงและแมเ่ พลงไม่ได้รบั การว่าจา้ งไปแสดง ประกอบกับความนิยมเพลงพื้นบ้านลดลง ศิลปินจาเป็นต้องหัน ไปประกอบอาชพี อน่ื ๆ เปน็ หลกั เพลงพน้ื บ้านจึงถกู ลดบทบาทลงเป็นเพยี งอาชีพรองหรืออาชีพเสริม ส่วนด้าน การเมือง เกิดจากความแตกแยกและการแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ของผู้ท่ีสนับสนุนและไม่สนับสนุนอดีต นายกรัฐมนตรี เพลงพื้นบ้านเป็นสื่อหน่ึงท่ีถูกเลือกใช้เป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดอุดมการณ์ ความคิด ของ ฝา่ ยน้นั ๆ ทาให้ฝา่ ยตรงขา้ มเกดิ ความไม่พอใจต่อพอ่ เพลงแม่เพลงที่สนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่ง จึงเกิดทัศนคติที่ไม่ดี ตอ่ เพลงพ้ืนบา้ นและศลิ ปนิ เพลงพืน้ บา้ น ประการสุดท้าย คอื ดา้ นภัยธรรมชาติ เปน็ อกี หนึ่งปจั จัยคุกคามสาคญั เพราะเมือเกิดภยั ธรรมชาติ เช่น อุทกภัย เม่ือ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทาให้ศิลปินเพลงพื้นบ้านประสบความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติดังกล่าว ท้ัง ประสบกับน้าทที่ ่วมบ้านเรือนของตน และไมม่ ีผู้วา่ จ้างไปแสดงในท่ีต่างๆ ทาใหส้ ญู เสยี รายได้ ปัจจัยคุกคามเพลงพื้นบ้านภาคกลางประการต่างๆ นี้ เป็นสิ่งท่ีต้องคานึง ระมัดระวัง และวางแนว ทางแก้ไขพร้อมท้ังปฏิบัติอย่างจริงจัง ในการนี้ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนวทางในการสงวนรักษาเพลงพ้ืนบ้านภาค กลาง โดยมีปรัชญา ๓ ประการ คือ ๑. เพลงพ้ืนบ้านภาคกลางเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ๒. เพลงพ้ืนบ้านภาค กลางเปน็ ตน้ ทุนของเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์ และ ๓. เพลงพ้ืนบา้ นภาคกลางเป็นเคร่ืองมือสร้างสรรค์สังคม (สร้าง ความสุข ปลกุ จิตสานึกดี สร้างสามัคคีและมีคุณธรรม) โดยมีแนวคิดหลัก ๕ ประการ ได้แก่ ๑. เพลงพ้ืนบ้าน เกดิ จากการสรา้ งสรรคข์ องศลิ ปนิ เฉพาะด้านท่ีควรได้รับการดูแลจากสังคมเป็นกรณีพิเศษ ๒. การสงวนรักษา เพลงพน้ื บ้านภาคกลางตอ้ งวางแผนและดาเนนิ งานอยา่ งครบวงจร ๓. เพลงพ้ืนบ้านคือภูมิปัญญาต้องนามาใช้ ในโอกาสตา่ ง ๆ อยูเ่ สมอ เพื่อใหส้ ังคมได้มีสว่ นปรับปรุงและส่ังสมสืบต่อไป ๔. ส่ือมวลชนมีอิทธิพลต่อค่านิยม ในด้านวัฒนธรรมการแสดง จึงควรใช้เป็นส่ือในการสร้างสรรค์และสืบทอดเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง และ ๕. แนวทางการสงวนรกั ษาเพลงพื้นบ้านภาคกลางคือการขจดั ปจั จัยคุกคามและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็ง ขึน้ แนวทางการสงวนรักษาเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางนี้ ผู้วิจัยยึดถือตามยุทธศาสตร์ ๓ ประการ ของกรม ส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ประชาชนมีความภาคภูมิใจในมรดก ศิลปวัฒนธรรมของชาติที่ได้รับการอนุรักษ์ ยุทธศาสตร์ท่ี ๒ ประชาชนมีค่านิยมท่ีดีงามและเหมาะสมในการ ดาเนินชวี ิต และ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเข้าถึงองค์ความรู้ เห็นคุณค่าและนาไปใช้ ประโยชน์ และดาเนินตามแผนงาน/โครงการของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นามาสู่การนาเสนอโครงการทั้งสิ้น ๑๐ โครงการ เพอ่ื การสงวนรกั ษาเพลงพ้ืนบ้านอยา่ งเปน็ รปู ธรรมและยงั่ ยืน ไดแ้ ก่ ๑. โครงการสืบสานเพลงพ้ืนบ้านในประเพณีวิถีไทย โดยอุดหนุนทุนดาเนินโครงการเพื่อสืบทอด เพลงพ้ืนบ้านภาคกลางให้แก่เครือข่ายวัฒนธรรม เช่น ศูนย์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ชมรมเพลงพ้ืนบ้าน สถาบันการศึกษา ฯลฯ

ซ ๒. โครงการประกวดเพลงพื้นบ้านภาคกลางเยาวชนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาชิง ทนุ การศึกษา/ ถ้วยรางวัลพระราชทาน เพ่ือส่งเสริมให้เยาวชนได้เรียนรู้ มีพ้ืนที่สาหรับแสดงความสามารถ และเปน็ ขวัญกาลังใจในการฝกึ ฝนทกั ษะดา้ นเพลงพ้นื บ้านต่อไป ๓. โครงการเขา้ ค่ายเพลงพื้นบา้ นภาคกลาง (เพาะกล้าพนั ธเุ์ ก่งเพลงพนื้ บา้ น) โดยรับสมคั รเยาวชน ผู้สนใจจากทั่วประเทศ เข้าค่ายอบรมเชิงปฏิบัติการแบบบูรณาการเพื่อเรียนรู้และฝึกฝนทักษะด้านเพลง พ้นื บา้ น ๔. โครงการรายการโทรทัศน์ “ประชันเพลงพ้ืนบ้าน” ท้ังแบบเด่ียวและกลุ่ม เพื่อเปิดพ้ืนที่ให้แก่ ศิลปินเพลงพื้นบา้ นไดแ้ สดงความสามารถ และเพลงพนื้ บา้ นแพรห่ ลายส่สู าธารณะชนย่งิ ขึน้ ๕. โครงการแสงเพชรเสียงเพลง จัดอบรมเชงิ ปฏิบัติการการร้องการแสดงและการแต่งเพลงให้แก่ครู อาจารย์ สอ่ื มวลชนและบุคคลท่ัวไป มกี ารแสดงผลงาน และเผยแพร่ผลงานในท่ีประชมุ ชนหรือผา่ นส่อื มวลชน ๖. โครงการเพลงพ้ืนบ้านสัญจร เป็นการจัดทัศนศึกษาเย่ียมบ้านศิลปินเพลงพ้ืนบ้านในภาคอื่นๆ เช่น ศิลปินเพลงฉ่อยภาคกลางเดินทางไปเยี่ยมศิลปินภาคเหนือตอนล่าง เพื่อสานสัมพันธ์และเพ่ิมโลกทัศน์ ผู้ เป็นเจ้าบ้านจัดกิจกรรมการถ่ายทอดหรือการเผยแพร่การแสดงเพลงชนิดต่าง ๆ ของชุมชนเพ่ือแลกเปล่ียน เรียนรรู้ ว่ มกันอย่างมคี วามสขุ ๗. โครงการเพลงพ้ืนบ้านสานฝัน เป็นเวทีการแสดงเพลงพื้นบ้านเพื่อจัดกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ เดินสายแสดงเพลงพื้นบ้านเพ่ือรณรงค์ในเรื่องสังคม การเมืองและวัฒนธรรม ให้แก่ชุมชนท่ีมีปัญหา ท้องถิ่น กันดาร สถานที่พิเศษ หรือบุคคลที่ด้อยโอกาส เช่น สถานเลี้ยงเด็กกาพร้า เรือนจา โรงพยาบาล บ้านพัก คนชราหรือคนพกิ าร ศูนย์ผปู้ ระสบภยั ฯลฯ ๘. เพลงพ้นื บ้านกับสื่อสร้างสรรค์ จัดกิจกรรมการผลติ สอื่ สรา้ งสรรค์ เช่น ภาพยนตรส์ ัน้ สารคดี เพื่อ รณรงค์ให้เห็นความสาคัญของเพลงพื้นบ้านและศิลปินพื้น บ้านอาจจัดประกวดเพ่ือจูงใจให้ผลิตผลงานที่มี คณุ ภาพแล้วหาช่องทางเผยแพรใ่ ห้กว้างขวางทส่ี ุด ๙. โครงการเปิดบ้านลานเพลง จัดตั้งศูนย์เพลงพื้นบ้านศึกษาหรือศูนย์ภูมิปัญญาเพลงพ้ืนบ้านของ ชุมชนอุดหนุนงบประมาณและจัดองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างเหมาะสม โดยใช้ทรัพยากรบุคคลและอื่นๆของ ท้องถนิ่ เช่น สถานที่ อปุ กรณ์ ฯลฯ ใหเ้ ป็นแหล่งเรยี นรู้ และจัดกิจกรรมอย่างสม่าเสมอ ๑๐. โครงการสมบัติเพลงพื้นบ้าน จัดทาส่ือวีดิทัศน์การแสดง/การร้องเพลงพ้ืนบ้านอย่างมีคุณภาพ เพ่อื เผยแพร่เป็นสื่อการเรยี นรู้ โดยเฉพาะเพลงเกา่ ท่ีเป็นมรดกหรือสมบัติส่วนตัวของครูเพลง ซึ่งมีจานวนมาก รวมทง้ั ขอ้ มลู ทนี่ กั วชิ าการรวบรวมไว้ในตาราหรืองานวิจัยหรือแถบเสียงแถบภาพท่ีล้าสมัย ซ่ึงยังไม่ได้นามาใช้ ประโยชนใ์ ดๆ

ฌ สว่ นท่ี ๒ กระบวนการมสี ่วนรว่ มของชมุ ชน ผู้วิจัยดาเนินการกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการสงวนรักษาเพลงพื้นบ้านภาคกลางอย่าง เป็นรูปธรรม ๓ ขั้นตอน ได้แก่ ข้นั วางแผนแบบมีสว่ นร่วม ด้วยการปรึกษาครูนักวิชาการ สัมภาษณ์ครูศิลปิน พ้นื บ้าน ผู้ส่งเสริมและผู้สืบทอด รวมท้ังเอกสารต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๕๖ ทาให้ทราบ แหล่งขอ้ มูลและกล่มุ เป้าหมาย ทาให้กาหนดกลมุ่ เป้าหมาย หรือชุมชนได้ และมีการประชุมร่วมกันระหว่างครู เพลงและศิลปนิ พนื้ บา้ น ผสู้ ืบทอด คณะดาเนินโครงการและอาจารย์ท่ีปรึกษา ร่วมประชุมเพ่ือทาความเข้าใจ โครงการร่วมกัน ขั้นดาเนินการ คณะผู้วิจัยได้สารวจและรวบรวมข้อมูลภาคสนามหรือลงพ้ืนท่ีจริง จานวน ๒๙ ครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคม – กันยายน ๒๕๕๗ โดยได้รับความร่วมมือจากชุมชนต่างๆ อย่างดี และมีการเตรียม จัดทาค่าย “เพาะกล้าพันธ์ุเก่งเพลงพื้นบ้าน” ในกระบวนการต่างๆ จนนาไปสู่การดาเนินงานข้ันตอนต่างๆ ของการจัดโครงการค่ายเพาะกล้าพันธุ์เก่งเพลงพ้ืนบ้าน ซ่ึงนับว่าชุมชนมีส่วนร่วมในการดาเนินงานอย่างย่ิง โดยการมีสว่ นร่วมเปน็ เจ้าภาพและผสู้ นบั สนนุ ทนุ ดาเนินงาน เนื่องจากการดาเนินโครงการวิจัยครั้งน้ีได้รับทุน สนบั สนุนการวิจัยจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นจานวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณน้ีไม่เพียงพอต่อการ ดาเนินงานท่ีรวมภาระทั้งการวิจัยในพ้ืนท่ี ๓๕ จังหวัดและการจัดค่ายอบรมเชิงปฏิบัติการ ๗ วัน ดังนั้น คณะผ้วู จิ ัยและคณะกรรมการดาเนินงานคา่ ยฯ จึงขอสนับสนุนจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ เพิ่มเติม ซ่ึงได้รับ การสนับสนุนจากชุมชนต่างๆ อีกจานวนหน่ึง อาทิ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ประธานสภาจังหวัด วัฒนธรรม จงั หวัด สโมสรโรตาร่ี ฯลฯ นอกจากน้ียังได้รับความช่วยเหลือจาก ศิลปินเพ้ืนบ้าน กลุ่มบุคคลและหน่วยงาน ต่างๆ ในการเปน็ คณะกรรมการดาเนินโครงการค่ายฯ ขน้ั ตอนตอ่ มา คือขั้นตอนการตรวจสอบ การยืนยันและใหฉ้ ันทามติ โดยเปดิ เวทีใหช้ ุมชนเข้าร่วมเวที เสวนา หัวข้อ “ แนวคิดและแนวทางในการปกป้องคุ้มครองเพลงพื้นบ้านภาคกลางในฐานะมรดกภูมิปัญญา ทางวฒั นธรรมของไทย” และร่วมประชุมเพ่ือตรวจสอบ ยืนยันและให้ฉันทามติต่อการเสนอข้ึนทะเบียนเพลง พน้ื บ้านภาคกลางเปน็ มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมของชาตแิ ละของโลก เม่อื วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ การสังเกต/การบันทึกความเปลี่ยนแปลงท่ีชุมชนเกิดจิตสานึกนั้น จากการสังเกตกระบวนการ ถ่ายทอดของครูเพลง และสัมภาษณ์ผู้รับการถ่ายทอด ซึ่งได้แก่ ผู้สืบทอดเพลงในแต่ละคณะ และเยาวชน ผู้สนใจ ท้ังที่มีความสามารถในการแสดงเพลงพ้ืนบ้านและไม่มีทักษะและประสบการณ์การแสดงเลย ผล ปรากฏว่ากระบวนการถ่ายทอดเร่ิมจากการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ต่างๆ อย่างเหมาะสม เกิดจิตสานึก รว่ มกันในการเรยี นรู้ ถอ่ ยทอด สืบทอด และอนุรกั ษเ์ พลงพน้ื บา้ น กิจกรรมการแสดงผลงานจากการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการของกลุ่มศิษย์ ทาให้ศิษย์ได้เรียนรู้โดยการ ปฏิบัติจริง มีพัฒนาการที่ปรากฏชัดเจน ขณะเดียวกันครูก็มีความสุขและมีความหวัง จะเห็นได้จากครูเพลง หลายทา่ นเม่อื เห็นการแสดงผลงานของศิษย์แล้วรู้สึกปลื้มใจมากถึงกับหล่ังน้าตาขณะที่ออกมาพูดชื่นชมศิษย์ ครูบางท่านมีกาลังใจอยากจะร้ือฟื้นเพลงพ้ืนบ้านของตน เช่น กานันสาเริง คนฑาและพ่อวีระวัฒน์ พึ่งลออ

ญ กลา่ วในทป่ี ระชุมว่าจะกลับไปทาโครงการคา่ ยสบื สานลาตัดทีร่ ะยอง และเพลงฉ่อยท่ีสิงห์บุรีเช่นเดียวกับค่ายนี้ บา้ ง อนึ่ง การดาเนินการโครงการยอ่ มเกดิ ปัญหาและอุปสรรคตา่ งๆ ผวู้ จิ ัยจงึ ปรบั กระบวนการเพือ่ ให้บรรลุ เป้าหมาย โดยการจากดั ระยะเวลาอบรมเพลงแต่ละชนิดและเชิญครูเพลงและหัวหน้าคณะตามชนิดของเพลง เฉพาะวันท่ีมีการอบรม เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และการเล่ือนลาดับรายการอบรมเพื่อให้เหมาะสมต่อ สถานการณ์มผี ลดี เช่น ทาให้ครูเพลงสายเหนือ สายสิงห์บุรีและสายสุพรรณมีโอกาสพบกันและร่วมกิจกรรม ด้วยกัน ก่อให้เกิดพลังในการถ่ายทอดและเกิดกาลังใจในการสืบสานเพลงพ้ืนบ้านย่ิงข้ึน จะเห็นได้จากการ ร่วมกันสาธิตเพลงฉ่อยอย่างมีชีวิตชีวาและสนุกสนาน สร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้แก่ลูกศิษย์อย่างย่ิง และมกี ารจดั กระบวนการเรียนรูอ้ ย่างเหมาะสมเพอ่ื บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เนื่องจากครูและผู้เรียนมาจาก ต่างที่ต่างถ่ินกัน และมีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น เพศ วัย ความรู้พื้นฐานด้านเพลงพื้นบ้าน ฯลฯ คณะผ้วู ิจัยจึงออกแบบกระบวนการเรยี นรู้ใหเ้ หมาะสมแกบ่ ุคคลและระยะเวลา และจดั ครูพีเ่ ลย้ี งและพเี่ ลยี้ ง ซึ่ง มีความเชี่ยวชาญในด้านเพลงพน้ื บา้ นภาคกลาง การแสดงพ้นื บา้ นและการเป็นผู้นาในกิจกรรมสันทนาการเพื่อ อานวยความสะดวกและช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ แกค่ รเู พลงดว้ ย

ฎ บทคัดยอ่ โครงการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม: เพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง นี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมและจัดเก็บองค์ความรู้เก่ียวกับเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางโดยชุมชนมีส่วนร่วม เพ่ือ กระตุ้นจิตสานึกในการสร้างสรรค์ การสืบทอดและการพิทักษ์รักษาเพลงพื้นบ้านภาคกลาง และเพื่อปกป้อง คมุ้ ครองมรดกภูมิปญั ญาด้านเพลงพน้ื บ้านภาคกลาง อันจะนาไปสู่ความมน่ั คงยง่ั ยนื ของเพลงพื้นบ้านภาคกลาง ทั้งในการการเสนอขนึ้ ทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และนาเสนอยูเนสโกให้เป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ โดยมีขอบเขตการดาเนินการโครงการทั้งสิ้น ๓๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กาญจนบุรี กาแพงเพชร จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานีประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมทุ รปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบรุ ี อา่ งทอง อุตรดติ ถ์ และอุทยั ธานี จากผลการดาเนินโครงการผู้วิจัยพบว่าปัจจุบันมีเพลงพื้นบ้านภาคกลางในพื้นที่ ๒๐ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กาแพงเพชร จันทบุรี ชลบุรี ชัยนาท ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ระยอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง และมีคณะ เพลงพื้นบ้านท้ังสิ้น ๓๗ คณะ ซ่ึงบางคณะสามารถแสดงเพลงพ้ืนบ้านได้มากกว่า ๑ ประเภท หากจาแนกตาม ประเภทของเพลงพืน้ บา้ น คณะทีส่ ามารถแสดงเพลงฉ่อยได้มีทั้งส้ิน ๑๔ คณะ เพลงทรงเครื่อง ๗ คณะ เพลง เรือ ๙ คณะ ลาตดั ๑๙ คณะ และเพลงอแี ซว ๙ คณะ ผู้วิจัยพบว่าปัจจุบันมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางกาลังถูกคุกคามโดย ปัจจัยคุกคาม ๔ ประการ ได้แก่ การเปล่ียนแปลงวิถีชีวิตและวิกฤตค่านิยมไทย นโยบายและการดาเนินงาน ของหน่วยงานรัฐและเอกชนไม่ท่ัวถึงและต่อเนื่อง วิกฤตการณ์ทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงภัย ธรรมชาติ ผวู้ จิ ยั จึงดาเนินการกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ๓ ขั้นตอน ได้แก่ ข้ันวางแผนแบบมีส่วนร่วม ขนั้ ดาเนินการ และขนั้ ตอนการตรวจสอบ จนถึงการยืนยันและให้ฉันทามติ นามาซ่ึงแนวทางและยุทธศาสตร์ ในการสงวนรักษาเพลงพื้นบ้านภาคกลางผ่านโครงการการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการและกิจกรรมต่างๆ เพ่ือให้ เพลงพ้นื บา้ นดารงอยู่ในสังคมไทยและมีการสืบทอดอย่างยงั่ ยืนตอ่ ไป

ฏ Abstract The project of collect and storage of intangible cultural heritage: folk song in central Thailand aims to collect and store knowledge about folk song in central Thailand with the participation of all stakeholders. It is also to raise awareness in creativity, inherit and preservation for protect an intangible cultural heritage; folk song in central Thailand. This will contribute to the sustainability of folk song in central Thailand to proposed for registration as a national intangible cultural heritage and to presented to UNESCO as an intangible cultural heritage of all humanity. The scope of this project is to implement all 35 provinces, including Bangkok, Tak, Kanchanaburi, Kampangpetch, Chanthaburi, Chacherngsao, Chonburi, Chainat, Trat, Nakornnayok, Nakornpathom, Nakornsawan, Nonthaburi, Prathumthani, Prajuabkhirikhan, Prachinburi, Phranakornsri-Ayutthaya, Phichit, Phitsanulok, Phetchaburi, Petchaboon, Rayong, Ratchaburi, Lopburi, Samutprakarn, Samutsongkram, Samutsakorn, Srakaew, Saraburi, Singburi, Sukhothai, Suphanburi, Angthong, Auttaradit and Uthaithani. The results of the project, we found that there are already folk songs in 20 provinces, including Bangkok, Kampangpetch, Chanthaburi, Chanthaburi, Chainat, Trat, Tak, Nakornnayok, Nakornpathom, Nakornsawan, Nonthaburi, Prathumthani, Phranakornsri- Ayutthaya, Phichit, Phitsanulok, Petchaboon, Rayong, Singburi, Suphanburi and Angthong. We found a total of 37 groups of folk songs, some of which can be sing more than one kind of folk song. However, we can distinguish the singer group by the type of folk song. There are the group sang the song 'Phleng Choi' 14 groups, ‘Phleng Song Khrurng’ 7 groups, ‘Phleng Rue’ 9 groups, ‘Lamtad’ 19 groups and ‘E-Saew’ 9 groups in central Thailand. We found that the intangible cultural heritage of folk songs in central Thailand are threatened by 4 factors; lifestyle changes , Thai values crisis, the policies and operations of government sector and private organization are not thoroughly and continuously, social crisis political crisis economic crisis and natural disasters. We proceed to the participation of all stakeholders, including the 3 phases; participatory planning, implementation and process monitoring. As well as confirm and consensus to the concept and strategy of preserving folk songs in central Thailand through training, workshops and events for the folk songs live in Thai culture and have inherited a sustainable way.

ฐ กิตตกิ รรมประกาศ การวิจัยเร่ืองเพลงพื้นบ้านภาคกลางนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และได้รับการส่งเสริมและอนุเคราะห์จากสถาบันวัฒนธรรมศึกษา โดยกลุ่มไทยศึกษา และสานักมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม โดยกลมุ่ คลงั ข้อมูลมรดกภูมิปัญญา ทาให้สามารถดาเนินงานวิจัยได้ อยา่ งสาเรจ็ ลลุ ว่ ง คณะผ้วู ิจัยมีความรสู้ กึ ยินดีอย่างยิ่งจึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสน้ี นอกจากน้ันยังขอขอบคุณ ผ้ทู รงวุฒิของกรมสง่ เสริมวฒั นธรรม ได้แก่ อาจารย์ชูพินิจ เกษมณี รองศาสตราจารย์สมศักด์ิ ศรีสันติสุข รอง ศาสตราจารย์ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เรณู อรรฐาเมศร์และอาจารย์กุลวดี เจริญศรี ท่ีกรุณา พจิ ารณาและให้คาแนะนาอนั เปน็ ประโยชน์อย่างยง่ิ ต่อการวจิ ัยครงั้ น้ี คณะ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้ง และ ขอกร าบขอบพ ร ะ คุณบุคคลสาคัญ ท่ีเ ป็น ผู้ผลักดัน และ ส่ง เสริมให้ งานวิจัยเร่ืองน้ีเกิดข้ึนและงอกงามได้ ดังนี้ ท่านแรก ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา อาจารย์ท่ีปรึกษา โครงการวจิ ยั ผจู้ ุดประกายความคดิ ชี้แนะแนวทางอันสวา่ งไสว สนับสนนุ ทง้ั แรงกาย แรงใจและแรงทรัพย์เพ่ือ เพาะตน้ กลา้ เพลงพื้นบา้ นและสบื สานมรดกวัฒนธรรมของชาติ ท่านท่ีสอง แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ครูเพลงผู้ เป็นเสาหลักของเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง เป็นแม่ครูผู้เสียสละ ให้ความเมตตาและกรุณาอนุเคราะห์ทุกเร่ือง ตลอดมา ทา่ นที่สาม อาจารยเ์ อนก นาวิกมูล ผ้บู ุกเบิกงานศกึ ษารวบรวมเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางไว้จานวนมาก องคค์ วามรขู้ องทา่ นเปน็ เสมือนตาราประวตั ิศาสตร์ใหช้ นรุ่นหลังศึกษาและเดินตามรอย นอกจากนี้ยังมีครูเพลง ศิลปินพ้ืนบ้าน ผู้ส่งเสริม รวมท้ังผู้สืบทอดเพลงพื้นบ้านอีก ๒๑๑ ท่าน ครูเพลงซึ่งเป็นวิทยากร ได้กรุณาให้ ขอ้ มลู อยา่ งดีย่ิง หลายทา่ นเสยี สละเวลาเดินทางมาร่วมค่ายเพาะกล้าพันธุ์เก่งเพลงพ้ืนบ้านโดยไม่เรียกร้องส่ิง ตอบแทน และยงั มอบวิชาความรู้ให้อย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจ ทาให้คณะผู้วิจัยและเยาวชนผู้สืบทอดเพลง พนื้ บา้ นร้สู กึ ภูมใิ จและเกิดแรงบันดาลใจท่ีจะสบื ทอดมรดกภมู ิปัญญานย้ี ง่ิ ข้นึ อน่งึ คา่ ยเพาะกล้าพนั ธุ์เก่งเพลงพน้ื บ้านซ่ึงเปน็ สว่ นหนึ่งของการดาเนินงานวิจยั เร่ืองน้ียังได้รับการ สนับสนุนอย่างดียิ่งจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ ท้ังในระดับชาติและระดับท้องถิ่น รวม ๕๐ ราย เช่น ชมรม รักษ์เพลงพ้ืนบ้าน บริษัท ปตท. สารวจและผลิตปิโตรเลียม จากัด ( มหาชน ) ซ่ึงมีคุณพัลลภ ล่ิมสกุล เจา้ หน้าที่อาวโุ ส ฝา่ ยชมุ ชนสัมพันธ์เป็นผ้ปู ระสานงาน กองส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม ฝ่ายกิจการนักศึกษา และคณะมนุษยศาสตร์และประยุกต์ศิลป์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรษิ ทั เอม็ เอ็น พิษณุโลก ทราเวล แอนด์ ทัวร์ จากัด กลุ่มคนรักษ์ถิ่นบ้านวัดมะเกลือ ชุมชนคลองนราภิรมย์ อาเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม สโมสรโรตารี่และร้านค้าในจังหวัดสุพรรณบุรี รวมท้ังคณะเพ่ือนของคุณ สุธาทิพย์ ธราพร และบุคคลอ่ืนๆ ดังรายนามผู้สนับสนุนซ่ึงแนบท้ายรายงานวิจัยฉบับน้ี การสนับสนุนและ อนุเคราะหด์ งั กล่าวทาให้คณะผู้วจิ ยั มคี วามประทบั ใจและมีกาลังใจในการสร้างสรรค์และสืบสานเพลงพ้ืนบ้าน ภาคกลางใหค้ งอยู่ตอ่ ไป นอกเหนือจากนี้ ขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกคนท่ีเสียสละทุ่มเทเพื่อสนับสนุนการวิจัยเร่ืองนี้ด้วย น้ามือ น้าคาและน้าใจทเี่ ป่ยี มดว้ ยความรักและเสยี สละเพื่อชาติ หากคุณงามความดีที่อาจมีเกิดข้ึนในภายหน้า ขอผลานิสงสน์ ัน้ จงเกดิ แกค่ รูเพลง ศิลปินพืน้ บา้ น ผู้สง่ เสริมสนบั สนุนและกลั ยาณมิตรทกุ คน

สารบัญ ฑ หนา้ บทสรปุ สาหรบั ผบู้ รหิ าร ...................................................................................................................................ข บทคัดยอ่ ภาษาไทย ..........................................................................................................................................ข บทคัดย่อภาษาอังกฤษ .....................................................................................................................................ค กิตตกิ รรมประกาศ ...........................................................................................................................................ง สารบัญ ............................................................................................................................................................ฉ สว่ นท่ี ๑ องคค์ วามร้เู พลงพ้ืนบ้านภาคกลาง บทที่ ๑ บทนา ..............................................................................................................................................๒ ๑.๑ หลกั การและเหตุผล .................................................................................................................๒ ๑.๒ วัตถปุ ระสงค์ ............................................................................................................................๔ ๑.๓ ขอบเขตในการดาเนนิ การโครงการ ..........................................................................................๔ ๑.๓.๑ ขอบเขตข้อมูลทรี่ วบรวมและจัดเก็บ ....................................................................๔ ๑.๓.๒ ขอบเขตพืน้ ที่ในการรวบรวมและจดั เกบ็ ข้อมูล ....................................................๔ ๑.๓.๓ ขอบเขตวิธีการดาเนนิ การรวบรวมข้อมลู ภาคสนาม ............................................๔ ๑.๓.๔ นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ .................................................................................................๕ ๑.๓.๕ ข้อตกลงเบอ้ื งตน้ ..................................................................................................๖ ๑.๔ สถานภาพองคค์ วามรู้ งานวิจัย และทฤษฎที ี่เกี่ยวขอ้ ง ............................................................๖ ๑.๔.๑ สถานภาพองคค์ วามรู้ ..........................................................................................๖ ๑.๔.๒ เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ยี วขอ้ ง ...........................................................................๙ ๑.๔.๓ แนวคิดและทฤษฎีทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ..............................................................................๙ ๑.๕ คาถามในการดาเนนิ โครงการ ............................................................................................... ๑๖ ๑.๖ ชุมชนทีเ่ กี่ยวข้อง .................................................................................................................. ๑๖ ๑.๗ การกระจายตัวของมรดกภมู ปิ ญั ญาเพลงพนื้ บา้ นภาคกลาง .................................................. ๑๗

ฒ สารบัญ (ตอ่ ) บทที่ ๒ ภมู หิ ลงั ทางสังคมและวฒั นธรรมของภาคกลางและเพลงพืน้ บ้านภาคกลาง ............................. ๒๒ ๒.๑ ภูมหิ ลงั ทางสงั คมและวัฒนธรรมในพนื้ ที่ภาคกลาง ............................................................... ๒๔ ๒.๑.๑ ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์ ...................................................................................... ๒๔ ๒.๑.๑.๑ กรุงเทพมหานคร .......................................................................... ๒๖ ๒.๑.๑.๒ กาแพงเพชร .................................................................................. ๒๘ ๒.๑.๑.๓ ชลบรุ ี ............................................................................................ ๒๙ ๒.๑.๑.๔ ชัยนาท ......................................................................................... ๓๑ ๒.๑.๑.๕ ตราด ............................................................................................ ๓๒ ๒.๑.๑.๖ ตาก .............................................................................................. ๓๓ ๒.๑.๑.๗ นครนายก ..................................................................................... ๓๔ ๒.๑.๑.๘ นครปฐม ....................................................................................... ๓๔ ๒.๑.๑.๙ นครสวรรค์ ................................................................................... ๓๖ ๒.๑.๑.๑๐ นนทบรุ ี ...................................................................................... ๓๗ ๒.๑.๑.๑๑ ปทุมธานี .................................................................................... ๓๘ ๒.๑.๑.๑๒ ปราจีนบุรี .................................................................................. ๓๙ ๒.๑.๑.๑๓ พระนครศรอี ยธุ ยา ..................................................................... ๔๐ ๒.๑.๑.๑๔ พจิ ติ ร ......................................................................................... ๔๑ ๒.๑.๑.๑๕ พษิ ณโุ ลก ................................................................................... ๔๒ ๒.๑.๑.๑๖ เพชรบรุ ี ..................................................................................... ๔๓ ๒.๑.๑.๑๗ เพชรบูรณ์ .................................................................................. ๔๕ ๒.๑.๑.๑๘ ระยอง ........................................................................................ ๔๖ ๒.๑.๑.๑๙ สิงห์บุรี ....................................................................................... ๔๗ ๒.๑.๑.๒๐ สุพรรณบรุ ี ................................................................................. ๔๘ ๒.๑.๑.๒๑ อา่ งทอง ..................................................................................... ๔๙ ๒.๑.๑.๒๒ อุทยั ธานี .................................................................................... ๕๐ ๒.๑.๒ พฒั นาการทางสังคมและวัฒนธรรมภาคกลาง .................................................. ๕๑

ณ สารบัญ (ต่อ) ๒.๑.๓ กลุ่มชาติพนั ธุใ์ นภาคกลาง ................................................................................ ๕๖ ๒.๑.๓.๑ กลมุ่ ชาติพันธ์อุ ืน่ ทใี่ ช้ภาษาตระกูลไท ............................................ ๕๖ ๒.๑.๓.๒ กลุม่ ชาติพนั ธุ์ทใ่ี ชภ้ าษาตระกูลอื่น ................................................ ๕๘ ๒.๑.๔ ขนบธรรมเนียมประเพณภี าคกลาง ................................................................... ๖๐ ๒.๒ ภูมิหลงั เพลงพ้นื บ้านภาคกลาง ............................................................................................. ๖๒ ๒.๒.๑ เพลงฉอ่ ย .......................................................................................................... ๖๒ ๒.๒.๑.๑ ประวัตคิ วามเปน็ มาของเพลงฉอ่ ย ................................................ ๖๒ ๒.๒.๑.๒ ลักษณะและรูปแบบการจัดการแสดง ........................................... ๖๗ ๒.๒.๑.๓ ลาดบั ขนั้ ตอนการแสดง ................................................................ ๗๐ ๒.๒.๑.๔ เคร่ืองดนตรี เครื่องแต่งกายและอปุ กรณ์ประกอบการแสดง ......... ๗๗ ๒.๒.๑.๕ การร้อง ทานอง และตัวอยา่ งบทเพลง ......................................... ๗๘ ๒.๒.๑.๖ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและความเชือ่ ....................................... ๘๔ ๒.๒.๑.๖.๑ ขนบธรรมเนียม ........................................................... ๘๔ ๒.๒.๑.๖.๒ ประเพณพี ธิ ีกรรม ........................................................ ๘๗ ๒.๒.๑.๖.๓ ความเช่อื ..................................................................... ๘๘ ๒.๒.๒ เพลงทรงเคร่ือง ................................................................................................. ๘๙ ๒.๒.๒.๑ ประวัติความเปน็ มาของเพลงทรงเครือ่ ง ....................................... ๘๙ ๒.๒.๒.๒ ลกั ษณะและรปู แบบการจัดการแสดง .........................................๑๐๙ ๒.๒.๒.๓ ลาดบั ข้นั ตอนการแสดง ..............................................................๑๑๑ ๒.๒.๒.๔ เครื่องดนตรี เครอื่ งแตง่ กายและอุปกรณ์ประกอบการแสดง .......๑๑๑ ๒.๒.๒.๕ การรอ้ ง ทานอง และตัวอยา่ งบทเพลง .......................................๑๑๑ ๒.๒.๒.๖ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและความเชื่อ .....................................๑๑๓ ๒.๒.๓ เพลงเรอื .........................................................................................................๑๑๖ ๒.๒.๓.๑ ประวัตคิ วามเปน็ มาของเพลงเรอื ................................................๑๑๖ ๒.๒.๓.๒ ลกั ษณะและรปู แบบการจัดการแสดง .........................................๑๒๗ ๒.๒.๓.๓ ลาดับขน้ั ตอนการแสดง ..............................................................๑๒๙

ด สารบัญ (ต่อ) ๒.๒.๑.๔ เคร่อื งดนตรี เครือ่ งแตง่ กายและอปุ กรณป์ ระกอบการแสดง .......๑๒๙ ๒.๒.๑.๕ การรอ้ ง ทานอง และตัวอย่างบทเพลง .......................................๑๓๐ ๒.๒.๓.๖ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณแี ละความเชื่อ .....................................๑๓๕ ๒.๒.๔ ลาตดั ..............................................................................................................๑๔๐ ๒.๒.๔.๑ ประวัติความเปน็ มาของการร้องลาตัด ........................................๑๔๐ ๒.๒.๔.๒ ลักษณะและรูปแบบการจัดการแสดง .........................................๑๕๔ ๒.๒.๔.๓ ลาดบั ขัน้ ตอนการแสดง ..............................................................๑๕๖ ๒.๒.๕ เพลงอีแซว ......................................................................................................๑๕๘ ๒.๒.๕.๑ ประวัตคิ วามเป็นมาของเพลงอีแซว ............................................๑๕๘ ๒.๒.๕.๒ ลกั ษณะและรูปแบบการจัดการแสดง .........................................๑๖๒ ๒.๒.๕.๓ ลาดบั ข้นั ตอนการแสดง ..............................................................๑๖๓ ๒.๒.๕.๔ เครื่องดนตรี เครือ่ งแต่งกายและอปุ กรณ์ประกอบการแสดง .......๑๖๕ ๒.๒.๕.๕ การรอ้ ง ทานอง และตวั อย่างบทเพลง .......................................๑๖๖ ๒.๒.๕.๖ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีและความเชื่อ .....................................๑๖๘ บทท่ี ๓ สภาพการดารงอยู่และปัจจยั คุกคามของเพลงพื้นบ้านภาคกลาง ...........................................๑๗๐ ๓.๑ สภาพการดารงอยู่ของเพลงพน้ื บ้านภาคกลาง ....................................................................๑๗๐ ๓.๑.๑ คณะเพลงพ้ืนบา้ นภาคกลางในปัจจบุ นั ...........................................................๑๗๐ ๓.๑.๑.๑ คณะเพลงฉ่อย ............................................................................๑๗๒ ๑) คณะพอ่ หรดั แมป่ ระทวย ............................................................๑๗๓ ๒) คณะเพลงพ้ืนบ้านวัฒนธรรมไทยสายใยชมุ ชน ตาบลวังแขม จงั หวัดกาแพงเพชร ..............................................๑๗๕ ๓) คณะเพลงฉ่อยแม่สมปอง พลอยบตุ ร .........................................๑๗๘ ๔) คณะเพลงฉ่อยวงคนสะเดยี ง ......................................................๑๘๑ ๕) คณะแม่ทองใบ จินดา ................................................................๑๘๓ ๖) คณะพอ่ สวิง บรรเด็จ .................................................................๑๘๖

ต สารบัญ (ตอ่ ) ๗) คณะแมล่ าจวน ศรีจันทร์ ...........................................................๑๘๘ ๓.๑.๑.๒ คณะเพลงทรงเคร่อื ง ...................................................................๑๙๑ ๑) คณะแมข่ วัญจิต ศรีประจันต์ .....................................................๑๙๑ ๒) คณะวทิ ยาลยั นาฏศิลปสพุ รรณบรุ ี .............................................๑๙๓ ๓) คณะอนันต์ศิษยแ์ ม่ขวญั จติ ........................................................๑๙๕ ๔) คณะวิทยาลัยนาฏศิลปอา่ งทอง .................................................๑๙๖ ๕) คณะมหาวทิ ยาลัยหอการค้าไทย ................................................๑๙๘ ๖) คณะชมรมรักษเ์ พลงพ้ืนบ้าน .....................................................๒๐๑ ๗) คณะเพาะกลา้ พันธุ์เกง่ เพลงพน้ื บ้าน ..........................................๒๐๔ ๓.๑.๑.๓ คณะเพลงเรอื ...............................................................................๒๐๘ ๑) เพลงเรอื สายสุพรรณ อา่ งทองและอยุธยา .................................๒๑๕ ๒) เพลงเรอื สายสงิ หบ์ รุ ี ชยั นาท และนครสวรรค์ ...........................๒๑๖ ๓) เพลงเรือสายลาตดั แถบกรุงเทพฯ และปรมิ ณฑล ......................๒๑๗ ๓.๑.๑.๔ คณะลาตัด ...................................................................................๒๑๘ ๑) นายหวงั ดี นมิ า หรือ “หวังเต๊ะ” ................................................๒๑๙ ๒) นางประยรู ยมเยีย่ ม หรอื แมป่ ระยูร ..........................................๒๒๐ ๓) นายบุญเล็ก เทยี นมณี หรอื โซะ เข้ียว .......................................๒๒๓ ๔) คณะ ส. รวมศิลป์ ลกู ศรีจฬุ า ....................................................๒๒๔ ๓.๑.๑.๕ คณะเพลงอีแซว ..........................................................................๒๒๕ ๑) คณะแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ .....................................................๒๒๖ ๒) คณะลาจวน สวนแตง ................................................................๒๓๒ ๓) คณะนกเอย้ี ง เสียงทอง ..............................................................๒๓๕ ๔) คณะนกเลก็ ดาวรงุ่ ....................................................................๒๓๗ ๕) คณะสุจินต์ ศรีประจนั ต์ .............................................................๒๔๐ ๖) คณะสาเนียง เสยี งสพุ รรณ .........................................................๒๔๓ ๗) คณะทองคา แกว้ ทิพย์ ...............................................................๒๔๗

ถ สารบญั (ต่อ) ๘) คณะสุรินทร์ ศรปี ระจนั ต์ ...........................................................๒๔๘ ๙) คณะอนนั ต์ศิษย์แมข่ วญั จติ ........................................................๒๕๐ ๓.๑.๒ การแสดงเพลงพ้นื บ้านภาคกลางในปัจจุบัน ...................................................๒๕๒ ๓.๒ ปจั จัยคุกคามเพลงพื้นบา้ นภาคกลาง ..................................................................................๒๕๕ ๓.๒.๑ การเปลย่ี นแปลงวถิ ีชวี ติ และวกิ ฤตค่านยิ มไทย ...............................................๒๕๕ ๓.๒.๒ นโยบายและการดาเนินงานของหน่วยงานรฐั และเอกชน ไม่ทวั่ ถงึ และตอ่ เนอื่ ง ......................................................................................๒๕๘ ๓.๒.๓ วกิ ฤตการณ์ทางสังคม การเมอื งและเศรษฐกจิ ...............................................๒๖๐ ๓.๒.๔ ภัยธรรมชาติ ...................................................................................................๒๖๓ บทท่ี ๔ การสงวนรักษาเพลงพนื้ บา้ นภาคกลาง ....................................................................................๒๖๗ ๔.๑ การสงวนรกั ษาเพลงพ้ืนบา้ นภาคกลางที่ผ่านมา .................................................................๒๗๒ ๔.๒ การดาเนนิ งานของผวู้ ิจัยกับชมุ ชน ......................................................................................๒๗๗ ๔.๓ แนวทางการสงวนรักษาเพลงพนื้ บา้ นภาคกลาง ..................................................................๒๘๒ ๔.๓.๑ ปรัชญา ...........................................................................................................๒๘๒ ๔.๓.๒ แนวคดิ ...........................................................................................................๒๘๒ ส่วนที่ ๒ กระบวนการมีสว่ นร่วมของชมุ ชน รายละเอียดและการวิเคราะห์กระบวนการแตล่ ะลาดับ ..............................................................๒๙๘ ๑. การวางแผนแบบมสี ่วนร่วม ...................................................................................๒๙๘ ๒. ขั้นดาเนนิ การ ........................................................................................................๒๙๙ ๓. ขั้นตอนการตรวจสอบ ยนื ยนั และให้ฉนั ทามติ .......................................................๓๐๙ การสงั เกต/การบันทึกความเปลยี่ นแปลงทช่ี มุ ชนเกดิ จติ สานกึ ...................................................๓๑๑ การปรบั กระบวนการให้ไดต้ ามเปา้ หมาย ...................................................................................๓๒๕ ปัญหาและอปุ สรรค ....................................................................................................................๓๓๑ ขอ้ เสนอแนะ ...............................................................................................................................๓๓๒

ท สารบัญ (ตอ่ ) ภาคผนวก ภาคผนวก ก เอกสารท่เี กีย่ วเน่อื งกับโครงการคา่ ยเพาะกลา้ พนั ธเุ์ ก่งเพลงพื้นบา้ น .....................................๓๓๓ ภาคผนวก ข ใบแสดงความยินยอมให้บนั ทกึ ข้อมูลด้านเพลงพืน้ บา้ นภาคกลาง...........................................๔๙๕ ภาคผนวก ค แบบบันทกึ และบันทกึ การสังเกตเกี่ยวกับศลิ ปนิ เพลงพื้นบา้ น ................................................๕๖๗ ภาคผนวก ง ตวั อย่างโนต้ เพลงพ้ืนบา้ นภาคกลาง.........................................................................................๕๘๙

๑ ส่วนท่ี ๑ องคค์ วามรู้เพลงพืน้ บ้านภาคกลาง

๒ บทท่ี ๑ บทนา ๑.๑. หลักการและเหตผุ ล เพลงพืน้ บา้ นมีบทบาทหน้าทต่ี ่อสังคมต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เดิมเพลงพื้นบ้านปรากฏอยู่ในวิถี ชีวติ ของคนไทยทุกเพศทุกวัย เรามีเพลงพ้ืนบ้านสาหรับเด็ก หนุ่มสาวและผู้ใหญ่ ตั้งแต่เกิดจนตายเราใช้เพลง พืน้ บา้ นในการประกอบพิธกี รรม ประกอบการงานอาชีพ ใช้เป็นการละเล่นเพ่ือความบันเทิง ระบายความทุกข์ ใช้เปน็ สอ่ื ในการวิพากษ์วิจารณ์และใช้ในการสอนใจ ปัจจุบันแม้เพลงพ้ืนบ้านหลายชนิดจะสูญหายไป และลด บทบาทลงไปบ้าง แต่เพลงบางชนิด เช่น เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงแหล่และลาตัด ยังคงมีบทบาทต่อสังคม ปรากฏใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน เพลงพ้ืนบ้านเป็นภูมิปัญญาของชาติไทยที่แสดงถึงความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาในเชิง สร้างสรรค์และในเชิงสุนทรียศิลป์ เป็น “สมบัติ” และ “มรดก” อันล้าค่า เป็นทรัพย์สินทางปัญญาท่ีแสดงถึง ความเจรญิ มนั่ คงของชาติ คนไทยสร้างสรรค์ ส่ังสมและสืบทอดเพลงพื้นบ้านด้วยความผูกพันและความภูมิใจ มาช้านาน ความรู้ความคิดหรือจิตวิญญาณที่ปรากฏอยู่ในเพลงพื้นบ้านผสมผสานกับความสามารถในการ แสดงออกทางกาย วาจาหรือคารมเปน็ สุนทรียศิลป์ท่ีสร้างความสะเทือนอารมณ์และกระตุ้นจิตสานึกอันดีงาม เพลงพื้นบา้ นจึงเปน็ ผลงานสร้างสรรค์ที่ให้ทั้งความสุขและความงามแก่ชีวิต เช่น เพลงโต้ตอบของภาคกลางท่ีมี ความไพเราะอันเกิดจาก “งามคาและงามความ” งามคา หมายถึงการใช้ภาษาที่ประณีต ก่อให้เกิดอารมณ์ ความรสู้ ึก เกิดจนิ ตภาพ โดยอาศัยศิลปะของการเรียงร้อยถ้อยคา เช่น การใช้ถ้อยคาท่ีมีเสียงไพเราะรื่นหู การ ใชส้ มั ผสั และจังหวะ ฯลฯ รวมท้งั อาศัยศิลปะในการแสดงของศิลปนิ เช่น การใช้เสียงร้อง และท่าทางประกอบ ส่วนงามความน้ันหมายถึง การมีความงามจากความหมายในเน้ือหาท่ีประเทืองปัญญาผู้ฟัง เช่น การให้คติ เตอื นใจ ตามปกติเมื่อคนเราไดร้ ับความสุข ความพอใจ มักจะมจี ติ ใจทอ่ี ่อนโยน เยอื กเย็น มองโลกในแง่ดี จึงลด ความเครียดความหมกมุ่นในเร่ืองของตนเอง ทาให้เราลืมความทุกข์ยากและปัญหาชีวิตได้ช่ัวคราว และทาให้ เห็นคณุ ค่าของชีวิต เห็นความหมายในการดารงชีวิต สามารถเผชิญกับความทุกข์ร้อนได้อย่างกล้าหาญ ทาให้มี โอกาสเข้าใจคนอน่ื ไดม้ ากย่ิงข้นึ จึงสามารถปรับตัวเขา้ กับสงั คมได้ดี การเล่นและการฟังเพลงพื้นบ้านจึงเป็น วธิ หี นึ่งทช่ี ว่ ยสรา้ งความสุขให้แก่จติ ใจ เพลงพื้นบา้ นจงึ มีคณุ ค่าในเชิงสร้างสรรคแ์ ละในเชงิ สุนทรยี ะ นอกจากจะเป็นภมู ิปัญญาของชาตแิ ลว้ เพลงพื้นบ้านไทยยงั “สร้างขึ้นด้วยภูมิปัญญา” ทาหน้าที่ “บันทึกภูมิปัญญา” รวมทั้ง “ถ่ายทอด ปลูกฝังและอบรมเพ่ือสร้างสรรค์ภูมิปัญญา” ให้แก่คนในสังคมด้วย เพราะเพลงพื้นบ้านไทยเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะทส่ี บื ทอดมาหลายชั่วอายุคน เป็นสมบัติของกลุ่มชนซ่ึงยอมรับ และสบื ทอดกนั อยา่ งแพร่หลาย เปน็ ผลงานสร้างสรรค์ท่ีเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้านท่ีบันทึกความรู้ และประสบการณ์อันชาญฉลาดและดีงามของบรรพบรุ ษุ หรอื ภมู ิปญั ญาของกลุ่มชนในท้องถ่ินมิให้สูญหาย จึงมี ความสัมพันธ์กับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ สังคมและวัฒนธรรมของท้องถ่ิน และยังเป็นส่ือที่ถ่ายทอดเร่ืองราว เกีย่ วกบั เหตกุ ารณ์ที่เกิดข้ึนในสังคมทุกระดับช้ัน ต้ังแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับชาติ เพลงพื้นบ้านจึงมีคุณค่า

๓ ต่อสังคม เป็นเสมือน “ ตาราหรือจารึกทางประวัติศาสตร์” หรือเป็น “คันฉ่อง” ส่องชีวิตของผู้คนในแต่ละ ท้องถ่ินและยคุ สมยั เพลงพ้ืนบ้านยังมีบทบาทในการเสริมสร้างภูมิปัญญา เช่น การพัฒนาภาษาและความคิด เน่ืองจากการเลน่ เพลงพืน้ บ้านเป็น การฝึกสมอง ประลองปัญญา ฝึกภาษาและไหวพริบปฏิภาณ ผู้เล่นหรือผู้ ร้องได้พัฒนาภาษาและความคิดสร้างสรรค์ ผ่านกระบวนการเล่นเชิงภาษา ซ่ึงนับว่าเป็นภูมิปัญญาในการ พฒั นาคนท่ีมเี อกลกั ษณแ์ ละอัตลกั ษณ์อันน่าช่ืนชม นอกจากนน้ั เพลงพื้นบา้ นยังมบี ทบาทในการจรรโลงวัฒนธรรมของชาติ เป็นเครื่องมือในการพยุง รักษาหรือดารงไว้ของแบบแผนความคิดและการกระทาท่ีแสดงออกถึงวิถีชีวิต ความเป็นระเบียบ ความกลม เกลียวกา้ วหน้าและความมศี ีลธรรมอนั ดีงาม เช่น เพลงพื้นบ้านท่ีเป็นการแสดงมีบทบาทเด่นเป็นพิเศษในการ ควบคุมและรักษาบรรทัดฐานของสังคม การชี้แนะระเบียบแบบแผน ตลอดจนการกาหนดพฤติกรรมที่ เหมาะสมในสังคม (สุกญั ญา สจุ ฉายา, ๒๕๒๓ : ๓๒๗) เพลงพ้ืนบ้านจึงมีส่วนเสริมสร้างประโยชน์สุขในการ ดารงชวี ิตและสันตสิ ุขของสงั คม จากข้อมูลขา้ งตน้ จะเหน็ ได้ว่าเพลงพืน้ บ้านไทยมีบทบาททั้งในด้านการสร้างสรรค์ภูมิปัญญา การ ส่งั สมภูมปิ ญั ญา การสบื ทอดภูมปิ ัญญาและการสง่ั สอนภูมปิ ญั ญา จึงเป็น “สมบัต”ิ ของชาติอันมคี ่าทคี่ วรศึกษา และรกั ษาอย่างยิ่ง ภาคกลางของไทยเป็นแหล่งขุมทรัพย์ภูมิปัญญาด้านเพลงพ้ืนบ้าน ดังจะเห็นได้จากผลการ รวบรวมข้อมูลภาคสนามของ เอนก นาวิกมูล เมื่อประมาณปี ๒๕๒๑ พบวา่ มถี งึ ๔๕ ชนิด (เพลงนอกศตวรรษ ,๒๕๕๐, คานา) ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ เพลงโตต้ อบของหนุ่มสาว เดิมเพลงโต้ตอบมีลักษณะเป็น “การละเล่น” ของ กลุ่มชน ต่อมาสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยเปล่ียนแปลงไป บางเพลงสูญหาย บางเพลงปรับตัวและพัฒนา เป็น “การแสดง” หรือ “มหรสพ” โดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบและเน้ือหาให้เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิต สังคมใหม่ ปจั จุบนั เพลงพนื้ บ้านภาคกลางยังคงเหลือเพียงไม่ก่ีชนิด เช่น เพลงฉ่อย เพลงอีแซว ลาตัด และ เพลงเรอื เหตทุ ี่ยงั มีลมหายใจแผว่ รนิ อยู่ได้นัน้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะการสง่ เสรมิ สนับสนุนจากสังคมและจากกลุ่ม ชาวบ้าน เช่น ปราชญ์ท้องถ่ิน ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ครูเพลงและผู้ถ่ายทอดต่าง ๆ แต่นับวันบุคคล เหล่าน้ีจะยิ่งลดจานวนลงอย่างน่าใจหาย หลายคนเสียชีวิตแล้ว เช่น แม่ประยูร ยมเย่ียม และพ่อหวังเต๊ะ ที่ ยังคงเหลอื อยสู่ ว่ นใหญ่ก็เปน็ ผู้สูงอายุ บางคนมีปัญหาตา่ งๆ ซึง่ เป็นอปุ สรรคในการสืบสานเพลงพื้นบา้ น เช่น แม่ ขวัญใจ ศรีประจันต์ มีอาการเจ็บป่วยมาหลายปี บางคนก็ถูกพิษมหาอุทกภัย เมื่อปี ๒๕๕๔ เช่น แม่ขวัญจิต ศรีประจนั ต์ เป็นต้น ด้วยเหตุท่ีภาคกลางเป็นแหล่งภูมิปัญญาด้านเพลงพื้นบ้านที่สาคัญของประเทศ และนับวันผู้ ถ่ายทอดทม่ี ีความรู้ความสามารถจะลดนอ้ ยลง กอปรกับผลการศึกษารวบรวมข้อมูลในภาพรวมที่เคยทามานับ เวลาแล้วนานกว่า ๓๐ ปี ข้อมูลย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลและบุคคล คณะผู้ดาเนินโครงการจึงเห็น ควรจะได้ศึกษารวบรวมองค์ความรูเ้ กีย่ วกบั เพลงพน้ื บ้านภาคกลางเพื่อเป็นฐานข้อมลู ปจั จุบันตอ่ ไป

๔ ๑.๒ วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพ่ือรวบรวมและจัดเก็บองค์ความรเู้ กีย่ วกับเพลงพื้นบา้ นภาคกลางซง่ึ ชมุ ชนมสี ่วนรว่ ม ๒. เพื่อกระตุ้นจิตสานึกในการสร้างสรรค์ การสืบทอดและการพิทักษ์รักษาเพลงพ้ืนบ้าน ภาคกลาง ซ่ึงจะทาให้เกิดความพยายามในการพัฒนาแนวคิดและการปฏิบัติเพื่อปกป้องคุ้มครองมรดก ภูมิปัญญาด้านเพลงพ้นื บา้ นภาคกลาง ๓. เพื่อปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาด้านเพลงพื้นบ้านภาคกลาง อันจะนาไปสู่การเสนอข้ึน ทะเบียนเปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติ และนาเสนอยเู นสโกใหเ้ ปน็ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของมนุษยชาตใิ นลาดับตอ่ ไป ๑.๓ ขอบเขตในการดาเนินการโครงการ ๑.๓.๑ ขอบเขตขอ้ มลู ทีร่ วบรวมและจัดเก็บ กาหนดขอ้ มลู เพลงพนื้ บา้ นภาคกลางเฉพาะประเภทเพลงโต้ตอบของหนุ่มสาว ๕ ชนิด ได้แก่ เพลงฉอ่ ย เพลงอแี ซว เพลงเรือ ลาตัด และเพลงทรงเคร่ือง เฉพาะท่ีสืบทอดอยู่ในปัจจุบัน โดยครูเพลง ศิลปิน พนื้ บ้าน และเยาวชน ท้งั ท่ีเปน็ “คณะ” หรือ “เคยเปน็ คณะ” ซ่ึงทกุ คณะแสดง “เปน็ อาชีพ” ๑.๓.๒ ขอบเขตพ้ืนที่ในการรวบรวมและจดั เก็บข้อมูล ในการรวบรวบครั้งนี้กาหนดพื้นท่ีรวบรวมข้อมูลครอบคลุมในเขตภาคกลาง ท้ังหมด ๓๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กาญจนบุรี กาแพงเพชร จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานีประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบรุ ี สิงหบ์ ุรี สุโขทยั สุพรรณบุรี อ่างทอง อตุ รดติ ถ์ และอุทัยธานี ท้ังน้ี รายช่ือจังหวัดข้างต้นอาจไม่ตรงกับการแบ่งเขตพ้ืนที่ตามภูมิศาสตร์ และการปกครอง คณะผู้วจิ ัยได้ใช้เกณฑแ์ หลง่ ที่พบการแพร่กระจายของเพลงพื้นบ้านภาคกลางเป็นหลัก ดังนั้นจึงครอบคลุมท้ัง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคเหนือตอนลา่ ง ตามการแบ่งภูมภิ าคทเ่ี ข้าใจกนั ในปจั จุบันดว้ ย ๑.๓.๓ ขอบเขตวิธีการดาเนินการรวบรวมขอ้ มูลภาคสนาม การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีการทางคติชนวิทยา และรวบรวมข้อมูลภาคสนามจากครูเพลง ผู้สืบ ทอดและผูส้ ่งเสริมเพลงพื้นบา้ นภาคกลางจานวนเทา่ ทม่ี กี ารสืบทอดอยใู่ นปจั จบุ นั ด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ ดังน้ี

๕ ๓.๑ การสัมภาษณ์เชิงลึก (Depth interview) เป็นการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ (informal interview) หรือพดู คุยอยา่ งเปน็ กนั เองกับผูใ้ ห้ข้อมูล ทาให้เกิดความไว้วางใจและได้ข้อมูลในระดับ ลึก ๓.๒ การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม (Participant Observation) โดยผู้รวบรวมข้อมูลจะเข้าร่วม สังเกตการณ์ ร่วมกิจกรรมกับชุมชนเพือ่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู จรงิ มากทสี่ ดุ ๓.๓ การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) โดยเชิญบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือผู้ให้ข้อมูล สาคัญเข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งถือว่าการประชุมกลุ่มย่อยเป็นการ สรา้ งให้เกดิ กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนเปน็ การตรวจสอบข้อมลู รว่ มกันอกี ด้วย ทั้งน้ีเครื่องมือท่ีใช้ในการบันทึกข้อมูล ได้แก่ เครื่องเขียน เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่าย ภาพน่ิง และกล้องถ่ายภาพเคลอ่ื นไหว การวิจัยครั้งนี้คณะผู้วิจัยได้ดาเนินการรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ระหว่างเดือนมีนาคม- กันยายน ๒๕๕๗ โดยการลงพื้นท่ีสารวจและรวบรวมข้อมูล และจัดค่ายเพาะกล้าพันธ์ุเก่งเพลงพื้นบ้านเพื่อ รวบรวมข้อมลู เพมิ่ เตมิ และตรวจสอบยืนยนั รวมจานวนผู้ใหข้ ้อมลู ทงั้ หมด ๑๓๕ คน จากพื้นที่ ๒๕ จังหวัด (ดัง เอกสารรายนามวิทยากรท่ีแนบท้ายรายงานวิจัยฉบับนี้ ) เฉพาะผู้ให้ข้อมูลที่เป็นศิลปินอาชีพ มีทั้งหมด ๓๖ คณะ ในพ้นื ท่ี ๑๙ จงั หวดั ( ดังเอกสารสรุปการรวบรวมและจัดเก็บเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางที่แนบท้ายรายงาน วจิ ยั ฉบบั น้ี ) ๑.๓.๔ นยิ ามศัพท์เฉพาะ เพลงพ้ืนบ้าน หมายถึง เพลงพื้นบ้านภาคกลางชนิดเพลงโต้ตอบของหนุ่มสาว ได้แก่ เพลงอี แซว เพลงฉอ่ ย เพลงเรือ เพลงทรงเคร่อื งและลาตดั เปน็ ต้น ภาค ก ล าง หม าย ถึง พ้ื น ท่ีใ น เข ต ๓ ๕ จัง หวั ด ไ ด้แ ก่ ก รุ ง เท พ ฯ ก า ญ จ น บุ รี กาแพงเพชร จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี อ่างทอง อตุ รดติ ถ์และอทุ ยั ธานี การถ่ายทอด หมายถึง การบอกเล่า การฝึกฝน การสั่งสอนหรือการทาให้เห็นเป็นตัวอย่าง เพอื่ ใหร้ ้หู รอื เขา้ ใจ การสบื ทอด หมายถงึ การรบั ช่วงตอ่ การสงวนรักษาเพลงพื้นบ้าน หมายความรวมถึงการศึกษา การสร้างสรรค์ การสืบทอดและ การสง่ เสรมิ เพลงพื้นบา้ น กระบวนการถ่ายทอดเพลงพื้นบ้าน หมายถึง กลวิธี ข้ันตอนและองค์ประกอบของการ ถ่ายทอด การสบื ทอดและการส่งเสรมิ เพลงพื้นบา้ น ที่ดาเนินต่อเน่อื งกนั ไปจนสาเร็จลงในระดบั หนึ่ง

๖ ศลิ ปินพื้นบา้ น หมายถึง ผู้แสดงเพลงพน้ื บา้ นท่ียดึ เปน็ อาชพี คณะเพลง หมายถงึ คณะบคุ คลหรอื กลุ่มบคุ คลทรี่ วมตัวกนั และยึดการแสดงเพลงพื้นบ้านภาค กลางเปน็ อาชพี เดมิ เรียกกนั ว่า “วง” เชน่ วงพ่อไสวแมบ่ ัวผัน เปน็ ตน้ พ่อเพลงแม่เพลง หมายถึง ผู้ร้องหรือผู้เล่นเพลงพื้นบ้านที่มีความชานาญ ส่วนใหญ่เล่นเพ่ือ ความบนั เทิงใจในลกั ษณะการละเลน่ พนื้ บา้ นมากกวา่ การแสดงพน้ื บา้ นทเี่ ป็นอาชีพ ครูเพลง หมายถึงผ้ทู ่ีชาวเพลงเคารพนับถือในฐานะผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในการเล่น เพลง และได้รับการยกย่องวา่ มีความร้แู ละความสามารถสูง เปน็ ผทู้ ่มี คี นมาฝากตวั เปน็ ศษิ ย์ เช่น แม่ขวัญจิต ศรี ประจันต์ เป็นต้น ตอ่ เพลง หมายถึงการฝกึ หัดเพลงโดยการจดจาเน้ือรอ้ งจากครูเพลงที่จะบอกให้ทีละบทหรือที ละวรรค เมื่อศษิ ยจ์ าได้แล้วกจ็ ะบอกเนอ้ื ร้องบทต่อไปเร่ือย ๆ เป็นการถ่ายทอดเพลงแบบมุขปาฐะหรือปากต่อ ปาก พื้น หมายถึงนกั กลองรามะนา ๑.๓.๕ ข้อตกลงเบ้ืองต้น การอ้างอิงถงึ บคุ คลทเี่ ปน็ ครเู พลง หรือศิลปินพ้ืนบ้าน ในงานวิจัยนี้จะใช้ “ช่ือในการแสดง” ซ่ึงเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายแล้ว และใช้คาประกอบนาหน้าช่ือตามความนิยมของวงการเพลงพ้ืนบ้าน เช่น “นาง เกลยี ว เสร็จกจิ ” ใชว้ ่า “แมข่ วญั จิต ศรีประจันต์” เป็นต้น ๑.๔ สถานภาพองค์ความรู้ งานวจิ ยั และทฤษฎีท่เี กยี่ วขอ้ ง องคค์ วามร้ดู ้านเพลงพ้ืนบ้านศึกษาในปัจจุบันมีค่อนข้างจากัด และกระจัดกระจายอยู่ในแหล่งพื้นที่ ศึกษาไม่แพร่หลาย จึงทาให้เป็นการยากที่จะเห็นภาพสมบูรณ์ขององค์ความรู้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงองค์ความรู้ ด้านเพลงพน้ื บ้านภาคกลาง อยา่ งไรก็ตามในการศึกษาครง้ั นี้ผวู้ ิจัยได้สารวจสถานภาพองค์ความรู้เพลงพื้นบ้าน ภาคกลาง ตลอดจนเอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้องกับเพลงพืน้ บ้านภาคกลางไว้ ดังนี้ ๑.๔.๑ สถานภาพองค์ความรู้ ข้อมูลเก่ียวกับเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางท้ังที่เป็น “เพลงเก่า” ทั้งท่ีรวบรวมแล้วและยังไม่ได้ รวบรวม และ “เพลงใหม”่ ท่ยี งั ไม่ได้รวบรวม ล้วนเป็นขอ้ มลู ทม่ี คี วามสาคัญและนา่ สนใจ โดยเฉพาะมีแนวโน้ม อยา่ งย่งิ ทีจ่ ะสูญหาย ดว้ ยเหตุท่ีภาคกลางเปน็ “แหล่งอู่ข้าวอนู่ ้า” ทส่ี มบรู ณ์เพยี บพรอ้ ม จงึ เป็นที่ท่ีรองรับผู้คนจาก หลายท่ีหลายถิน่ หลายชาตพิ ันธ์ุ และยังเปน็ “ แอง่ นา้ ใหญ่” ทส่ี ายธารวฒั นธรรมอันหลากหลายไหลทะลักเข้า มาหลอมรวมปะปนโดยง่าย เพลงส่วนใหญ่ต้านกระแสวัฒนธรรมข้ามชาติไม่ไหว เสื่อมและสูญไปอย่างน่า

๗ เสยี ดาย ดังหลกั ฐานจากผลการวิจัยเพลงพ้ืนบา้ นภาคกลางหลายเรื่อง เช่น งานวิจยั เรื่อง “ เพลงรอ้ งพ้ืนบ้านใน พน้ื ท่จี งั หวดั ปทมุ ธานี กรณีศกึ ษา : เพลงโนเน เพลงลาภาข้าวสาร และเพลงระบาพื้นบ้าน” ของศรีจันทร์ น้อย สอาด (๒๕๔๒ ) ที่ระบุว่าเพลงพ้ืนบ้านในจังหวัดปทุมธานีมีสภาพเสื่อมหายไปมาก ปัจจัยที่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลง ได้แก่ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ระบบการศึกษา ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านส่ือสารความบันเทิง และอิทธิพลของมหรสพและการแสดงอื่นๆ เช่นเดียวกับงานวิจัย เรื่อง “ เพลงพ้ืนบ้านกับวิถีชีวิตในการทานา” ของอมรา กล่าเจริญ ( ๒๕๔๘ ) ท่ีระบุไว้ชัดเจนว่าเพลงพ้ืนบ้านสูญ หายไปเพราะ“ ข้อสาคัญคือไม่มีการสืบทอดไว้เลย หมดไป ตายไปกับชีวิตของชาวเพลงพ้ืนบ้าน ...การที่ การละเล่นพืน้ บา้ นโดยเฉพาะเพลงพื้นบา้ นเกิดการสูญสลายไปนน้ั เกิดจากขาดการสืบทอดและความเปน็ อยู่ของ ชาวบ้านในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญทางเทคโนโลยี และมีรูปแบบการละเล่นท่ีทันสมัย น่าสนใจกว่าเข้ามาแทนที่ สามารถเข้าไปถึงที่พักอาศัยโดยส่ือต่างๆ จึงควรมีหน่วยงานท่ีรับผิดชอบช่วยกัน สนับสนนุ ใหม้ ีการวิจยั อยา่ งต่อเน่อื ง เพ่ือเปน็ แนวทางในการอนุรักษส์ บื ไป” ( เร่ืองเดิม,น. ๑๑๙ - ๑๒๐ ) สุคนธ์ แสนหม่ืน ( ๒๕๔๙ ) เสนอปริญญานิพนธ์ศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (มานุษยดุริ ยางควทิ ยา)มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ เรื่อง “การศึกษาเพลงปรบไก่ดอนข่อย จังหวัดเพชรบุรี” รวบรวม ข้อมูลภาคสนามเพลงปรบไก่ของหมู่บ้านดอนข่อย หมู่ท่ี ๒ ตาบลลาดโพธ์ิ อาเภอบ้านลาด ผลการวิจัยพบว่า จงั หวัดเพชรบุรมี ีเพลงปรบไกเ่ หลืออยเู่ พียงคณะเดียวเทา่ น้ันคือคณะของคุณลุงลบิ หอมหวล ซึง่ บรรดาพ่อเพลง แม่เพลง ลว้ นเป็นผู้สูงอายุ พ่อเพลงแม่เพลงรุน่ เกา่ ๆ กเ็ สียชีวิตไปมากแลว้ ทาให้เกิดปญั หาด้านการสืบทอด จึง ควรให้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นโสตทัศนูปกรณ์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา คน้ คว้าตอ่ ไป กฤษณะ วรรณศิริ ( ๒๕๕๐ ) เสนอผลการวิจัย เร่ือง “เพลงพ้ืนบ้าน อาเภอพนมทวน จงั หวดั กาญจนบรุ ี” พบวา่ นกั เพลงพืน้ บา้ นปจั จุบนั เหลืออยนู่ อ้ ยมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุกระจายอยู่ในพื้นท่ี ตาบล ตา่ ง ๆ อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกูล ( ๒๕๕๐ ) ได้ศึกษาวิจัยเพลงพ้ืนบ้าน ลาตัด ของจังหวัดตราด พบว่า คณะลาตดั ในจังหวดั ตราดเหลอื เพียงคณะเดยี วคอื คณะลาตดั ของนายเห้ียม จังคะพาณิชย์ ซ่ึงปัจจุบันก็ไม่ค่อย มีงานแสดงแล้ว ซึ่งถือเป็นวิกฤตของเพลงลาตัดในจังหวัดตราดอย่างย่ิง เพราะฉะน้ันการสืบสานและการ อนุรกั ษ์จงึ จาเป็นต้องศกึ ษาและทาความเขา้ ใจอย่างถ่องแท้ สานักงานวฒั นธรรมจงั หวัดปราจีนบรุ ี สภาวฒั นธรรมจงั หวดั ปราจีนบุรี ( ๒๕๕๑ ) โดยมี นาย สมเกยี รติ พันธรรมเป็นหัวหน้าโครงการ เสนอรายงาน “การวิจัยแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายวัฒนธรรมและ ชมุ ชนในการบรหิ ารจัดการวัฒนธรรม : กรณีศึกษา เพลงระบาพื้นบ้าน บ้านบางฟ้าผ่า ตาบลบางแตน อาเภอ บา้ นสร้าง จงั หวดั ปราจีนบุรี” พบว่าสื่อพื้นบ้านกาลังจะสูญหาย กลยุทธ์การทางานท่ีสาคัญคือการรื้อฟื้นหรือ ฟืน้ ฟู ตอ้ งหาทางสืบทอดทัง้ ตัวผูส้ ่งสารและผรู้ ับสาร ต้องเน้นการปรับประยุกต์ให้คุณค่าแท้จริงกลับคืนมา ต้อง หาทางสง่ เสรมิ เป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันความอ่อนแอในวันข้างหน้า และยังเสนอแนะว่า ภายในชุมชนยังมีส่ือ พน้ื บา้ น อ่นื ๆ ทีน่ ่าสนใจ อาทิ พธิ ีกรรมการเล่นผโี รงและการร้องเพลงหวั ไม้ ท่ีควรศกึ ษาวจิ ัยในคร้งั ต่อไป

๘ พ.ศ. ๒๕๕๒ พระครูวินัยธรณรงค์ เขียวทอง เสนอวิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหา บัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เรื่อง “แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปะ การละเล่นเพลงพนื้ บา้ นของจังหวัดนครสวรรค์” พบว่า ปัจจุบันนี้ชาวบ้านในจังหวัดนครสวรรค์ยังสืบทอดการ รอ้ งเพลงพ้นื บา้ นไว้หลายประเภท เชน่ เพลงพษิ ฐาน เพลงชะเจา้ โลม เพลงฮนิ เลเล และมักจะร้องในโอกาสงาน มงคลหรือเทศกาลทางศาสนา แต่มีแนวโน้มท่ีการละเล่นเพลงพื้นบ้านจะลดน้อยลงไป เพราะมีปัญหาและ อุปสรรค ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านพ่อเพลงแม่เพลง ด้านผู้สนับสนุนและด้านเยาวชน ผู้วิจัยจึงได้เสนอแนวทางการ อนุรักษ์และพัฒนาศิลปะการละเล่นเพลงพื้นบ้านของจังหวัดนครสวรรค์ไว้หลายประการ เช่น “ศิลปินเพลง พืน้ บ้านที่มีความรคู้ วามสามารถสูง ควรหาวธิ ีบนั ทกึ ความรู้เกีย่ วกับเพลงพน้ื บ้านเพ่ือเกบ็ องค์ความรู้ไว้ให้กับผู้ที่ สนใจได้ศึกษา เน่อื งจากความร้เู พลงพ้นื บา้ นมลี กั ษณะเฉพาะตัวและอยู่คู่กบั ตวั บุคคล ถ้าบคุ คลนัน้ สูญไปความรู้ น้ันก็จะสูญหายไปด้วย และนอกจากการบันทึกความรู้ของตัวบุคคลแล้ว ในส่วนของประวัติความเป็นมาของ เพลงพ้ืนบ้านในเฉพาะท้องถิ่นก็มีความสาคัญ ดังนั้นผู้ท่ีมีความรู้เกี่ยวกับเน้ือหาประวัติด้านเพลงพื้นบ้านของ ทอ้ งถน่ิ ตนเองจงึ ควรเกบ็ เปน็ บันทึกไวใ้ นฐานะเป็นประวัตศิ าสตร์ใหค้ นรุ่นหลังได้สืบค้นและอ้างอิงถึงแหล่งที่มา ของความรู้”และ “หน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีส่งเสริมด้านวัฒนธรรมต้ังแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศควรให้ การส่งเสริมสนับสนุนเพลงพ้ืนบ้านด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย ไม่เน้นเฉพาะการเผยแพร่ผลงานของศิลปินท่ีมี ชอื่ เสียงเท่าน้ัน เพราะศลิ ปินรนุ่ ใหม่น้นั ก็มคี วามสาคัญตอ่ การสบื สานเพลงพื้นบ้านเช่นกัน จึงควรให้ความรู้และ อนุรักษ์และพัฒนาทางการสร้างสรรค์และสืบทอดเพลงพ้ืนบ้านที่เหมาะสมอย่างท่ัวถึง ในด้านการถ่ายทอด ความรู้ การสร้างสรรค์รูปแบบและเนื้อหาที่ถูกต้องและสอดคล้องกับยุคสมัยและเหตุการณ์ในปัจจุบัน ( น. ๑๓๘ – ๑๓๙ ) เลอพงศ์ กณั หา ( ๒๕๕๔ ) เสนอวิทยานิพนธ์ศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (มานุษยดุริยางค วทิ ยา) มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เรื่อง “ เพลงพ้ืนบ้าน : กรณีศึกษาเพลงราวงพื้นบ้านดอนคา ตาบลดอน คา อาเภอทา่ ตะโก จงั หวดั นครสวรรค์” พบว่าเพลงราวงพื้นบ้านดอนคามีการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ด้วย วิธีการเรียนรู้แบบธรรมชาติ ปัจจุบัน “เพลงค่อย ๆ หายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การ ดารงชวี ติ ท่ีตอ้ งเรง่ รบี การแทรกแซงของวัฒนธรรมตะวันตก ทมี่ าพรอ้ มกบั สอื่ ต่างๆ ทาใหบ้ ทเพลงบางเพลงสูญ หายไป เพราะไมม่ ีการสบื ทอดให้กับลกู หลาน” ( เรอ่ื งเดมิ , น. ๑๐๖ ) ทพิ ย์สดุ า พฒุ จรและคณะ ( ๒๕๕๔ ) เสนอผลการวิจยั เรอ่ื ง “การฟืน้ ฟเู พลงพื้นบ้านโนเนด้วย กระบวนการมีส่วนรว่ มของชมุ ชนหนองศาลา อาเภอชะอา จังหวัดเพชรบุรี” ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการซึ่งผล การศกึ ษาพบวา่ เพลงโนเน เดิมเรียกว่า เพลงสงกรานต์ ส่วนใหญ่เป็นเพลงเก่าที่จดจากันมา และมีเพลงใหม่ท่ี แต่งขึ้นเองบ้างปัจจุบันมีเพียงผู้สูงอายุในชุมชนเท่านั้นท่ีร้องเพลงพื้นบ้านน้ีได้ และคาดว่าจะสูญหายไปใน อนาคต (วารสารศลิ ปศาสตร์ ปีที่ ๔ ฉบบั ท่ี ๒ เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕ หนา้ ๘๓ –๑๐๐ ) บทความเรื่อง “วัฒนธรรมพื้นบ้านของอาเภอโพธ์ิทอง จังหวัดอ่างทอง” ซ่ึงเผยแพร่ใน facstaff.swu.ac.th. ( เขา้ ถึงเมือ่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๖ ) กลา่ ววา่ ปัจจุบนั ไม่มีการลงแขกเก่ียวข้าวนวดข้าวกัน แล้ว ทาให้เพลงพ้ืนบ้านเหล่าน้ีไม่มีคนร้อง จึงน่าเสียดาย รวมทั้งเพลงระบาบ้านไร่ เพลงพวงมาลัย เพลงยั่ว เพลงแห่นางแมว เพลงเรอื เพลงฉ่อย เพลงปรบไก่และเพลงอแี ซวทร่ี ้องในเทศกาลตา่ ง ๆ กไ็ ม่มคี นร้องเชน่ กัน

๙ จะเห็นได้ว่าเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางมีปรากฏแพร่หลายเกือบทุกพื้นท่ีในเขตภาคกลาง แต่ แนวโน้มเพลงส่วนใหญ่มีสภาพเสื่อมและสูญหาย การรวบรวมและศึกษาเพลงพื้นบ้านภาคกลางดาเนินมา พอสมควรแต่สว่ นใหญจ่ ากดั เฉพาะชนดิ หรือพ้นื ที่ของแหลง่ ศกึ ษา ๑.๔.๒ เอกสารและงานวิจยั ท่เี กยี่ วขอ้ ง นกั วิชาการและผู้สนใจไดส้ ารวจ รวบรวมและศึกษาวิจัยเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางไว้จานวนมาก ผลการการศกึ ษาวจิ ยั ในยุคแรกเป็นงานบุกเบกิ ทนี่ กั วชิ าการรุ่นหลังใช้เปน็ แนวทางการศกึ ษา ได้แก่ พ.ศ. ๒๕๑๗ สุมามาลย์ เรืองเดช เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเพลงพื้นบ้านภาคกลางเล่มแรก เรอ่ื ง “ เพลงพืน้ เมอื งจากตาบลพนมทวน อาเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี” โดยสารวจ รวบรวมและศึกษา วิเคราะห์เพลงพื้นบ้านประเภทเพลงเด็ก เพลงประกอบการเล่น และเพลงประกอบพิธีกรรม รวมทั้งเพลง โต้ตอบ เช่น เพลงอแี ซว เป็นตน้ ผลงานซง่ึ จัดเป็นตน้ แบบของการศกึ ษาเพลงพน้ื บ้านภาคกลางทม่ี ีลักษณะการศึกษา ทั้ง “เชิง กว้างและเชงิ ลกึ ” ได้แก่ การศกึ ษาของเอนก นาวิกมูลและสุกัญญา สุจฉายา ดงั นี้ พ.ศ. ๒๕๒๑ เอนก นาวิกมูล ได้สารวจ รวบรวมและศึกษาเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางเขตจังหวัด กรงุ เทพฯ อยุธยา อ่างทอง กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี นครนายกและจังหวัดใกล้เคียง ไว้ในหนังสือเพลง นอกศตวรรษ โดยรวบรวมเพลงพ้ืนบา้ นในขณะน้ันไดท้ ง้ั ส้ิน ๒๒ ชนิด ( ต่อมาศึกษาเพิ่มเติมเป็น ๔๔ ชนิด ในปี ๒๕๒๗ และ ๔๕ ชนิดในปี ๒๕๕๐ , เอนก นาวกิ มลู , ๒๕๕๐, น.คานา ) และกล่าวถึงประวัติของครูเพลง ชีวิต ชาวเพลง การสืบทอด ความเป็นมาของเพลง ลักษณะการร้องการเล่น และตัวอย่างเพลงชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง วเิ คราะหค์ ณุ ค่าของเพลงไว้อยา่ งนา่ สนใจ นับเป็นการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางท่ีละเอียด และครอบคลมุ พน้ื ที่ภาคกลางมากท่ีสดุ ซง่ึ เปน็ ประโยชน์ต่อการศกึ ษาเพลงพนื้ บา้ นในเวลาต่อมาอย่างยิ่ง พ.ศ. ๒๕๒๓ สุกัญญา สุจฉายา เสนองานวิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั เร่ือง “ เพลงปฏพิ ากย์ : การศกึ ษาในเชงิ วรรณคดีวเิ คราะห์” ได้รวบรวมข้อมูลเพลงพื้นบ้านภาค กลางได้ ๒๖ ชนิด ศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการ ภาพสะท้อนของสังคมไทย และบทบาทหน้าท่ีของเพลงโดยใช้ แนวทางศึกษาเชิงประวัติ สังคมวิทยาและจิตวิเคราะห์ นับเป็นการศึกษาวิเคราะห์เพลงพื้นบ้านภาคกลางที่ ละเอียดลึกซง้ึ ถอื เปน็ ต้นแบบในการศึกษาเพลงพน้ื บ้านของชนรนุ่ หลงั ต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๘ เอนก นาวิกมูล ได้รวบรวมคาศัพท์เกี่ยวกับเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางไว้ใน สารานุกรมเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง โดยจัดเรียงคาศัพท์ตามอักษรแบบพจนานุกรมและอธิบายความหมาย ประวัตคิ วามเป็นมา และลกั ษณะต่างๆ คาทเ่ี ป็นชอ่ื เพลงพนื้ บา้ นจะยกตัวอยา่ งประกอบด้วย พ.ศ. ๒๕๓๑ เอนก นาวิกมูล ไดร้ วบรวมบทความเก่ียวกับเกร็ดชีวิตของพ่อเพลงแม่เพลงและ เพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๘ – ๒๕๓๑ ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารต่างๆ หลายฉบับไว้ใน หนงั สอื คนเพลงและเพลงพื้นบ้านภาคกลาง

๑๐ นอกจากผลงานดงั กลา่ วแลว้ เอนก นาวกิ มูล ยังเสนอผลการศึกษาเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางอีก จานวนมาก เช่น หนังสือคนเพลงและเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง ( สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, ๒๕๓๑) เพลงพื้นบ้านจากยายทองหล่อ ( สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, ๒๕๓๖ ) และเพลง พื้นบ้านภาคกลาง จากแม่บัวผัน จันทร์ศรี ศิลปินแห่งชาติ ( สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, ๒๕๔๙) เปน็ ต้น ผลงานเหล่าน้ีล้วนเป็นองค์ความรู้ที่ได้จากการสารวจและรวบรวมข้อมูลภาคสนามต้ังแต่ ประมาณปี ๒๕๒๐ – ๒๕๓๐ จดั เป็นคลังข้อมลู ดา้ นเพลงพื้นบ้านภาคกลางท่ีมีความสมบูรณ์และมีความสาคัญ จนกระทัง่ ปจั จบุ ัน นกั วชิ าการรนุ่ หลงั ได้ศึกษาเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางต่อมา แต่ส่วนใหญ่ศึกษาในลักษณะ “เชิง ลึก” คอื จากดั เฉพาะชนดิ หรือจากัดพ้นื ที่ของแหล่งข้อมลู ตวั อยา่ งเชน่ สมทรง จันทรสุเทพ ดุษฎี สีตลวรางค์และดารง ปิ่นทอง (๒๕๒๕) ศึกษาวิจัยเรื่อง “ วรรณกรรมพื้นบ้านของไทย : คติธรรมจากเพลงพ้ืนบ้านจังหวัดสิงห์บุรี” ได้รวบรวมและจัดหมวดหมู่เพลง พ้ืนบ้าน ได้ท้ังหมด ๖๐ สานวน ( http://www.culture.go.th ) บัวผัน สุพรรณยศ ( ๒๕๓๕ ) ศึกษาเร่ือง “วิเคราะหเ์ พลงอีแซวของจงั หวัดสุพรรณบุรี” โดยรวบรวมข้อมูลภาคสนามได้เพลงท้ังสิ้น ๓๐๐ เพลงหรือบท และได้ศึกษาความเป็นมาและลักษณะทั่วไปของเพลงอีแซว วิเคราะห์การสร้างสรรค์ในด้านเน้ือหาและด้าน ภาษา วิเคราะห์บทบาทหน้าท่ีของเพลงต่อสังคม ตลอดจนวิเคราะห์สถานภาพของเพลงในปัจจุบัน รวมท้ัง เสนอแนะแนวทางการอนุรักษ์และการสง่ เสรมิ วิบูลย์ ศรีคาจันทร์ ( ๒๕๓๗ ) ศึกษาเรื่อง “เพลงพวงมาลัย : การศึกษาวิเคราะห์” ได้รวบรวมและศึกษาเฉพาะเพลงพวงมาลัยจากวิทยากรท้องถิ่น ตาบลจระเข้สามพัน อาเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และตาบลพนมทวน ตาบลรางหวาย ตาบลแสลบ ตาบลห้วยกระเจา อาเภอ พนมทวน จงั หวัดกาญจนบุรี จานวน ๔๐ คน ศึกษาความเป็นมาและลักษณะของเพลง วิเคราะห์บทบาทและ วิถีชีวิตของชาวบ้านท่ีปรากฏในบทเพลง คมสันต์วรรณวัฒน์ สุทนต์ (๒๕๔๑ ) เสนอผลการวิจัยเร่ือง “การศึกษาเพลงราโทนบ้านหน้าวัดโบสถ์ อาเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง” โดยรวบรวมข้อมูลจากวิทยากรพ่อ เ พ ล ง แ ม่ เ พ ล ง ท้ อ ง ถิ่ น จ า น ว น ๗ ท่ า น ร ว บ ร ว ม เ พ ล ง ร า โ ท น ไ ด้ ทั้ ง ห ม ด ๑ ๐ ๒ เ พ ล ง ( http://www.culture.go.th ) ปีเดียวกัน ชูชาติ พิณพาทย์และคณะ ศึกษาวิจัยเร่ือง “ สารวจเพลงพื้นบ้าน ภาคตะวันออก” สารวจข้อมูลในเขตภาคตะวันออก ๘ จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบรุ ี นครนายกและฉะเชงิ เทรา และสรปุ ผลวจิ ัยวา่ พบเพลงพ้ืนบา้ นเพยี ง ๘ ชนิดและพบเพียงบางจังหวัด เท่าน้ัน คอื เพลงไอเ้ ป๋ เพลงเอ่ยและเพลงวง ในจังหวัดระยอง เพลงหงส์ และเพลงระบา ในจังหวัดปราจีนบุรี เพลงระบาบ้านนา ในจังหวัดนครนายก เพลงระบาเหนือและเพลงชางชักในจังหวัดฉะเชิงเทรา ” ( http://www.culture.go.th ) วิชา เชาว์ศิลป์ ( ๒๕๔๒ ) ศึกษาวิจัย เรื่อง “ลาตัด” โดยรวบรวมเพลงลาตัด และเพลงอ่ืนๆ ที่ปรากฏในลาตัดจากศิลปินแห่งชาติและศิลปินพื้นบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เลือก ข้อมูลเพลงท่ีปรากฏเป็นท่นี ยิ มร้องในการละเล่นลาตัดทั่วไปซึ่งบันทึกเสียงและภาพในแถบบันทึกเสียงและวีดิ ทศั น์ ไดบ้ นั ทกึ ทานองเป็นระบบสากล และเสนอแนวทางในการศึกษา การสืบสานและการอนุรักษ์ ( สถาบัน ราชภัฏจนั ทรเกษม, ๒๕๔๒) ปเี ดียวกนั ศศิธร นกั ปี เสนอวิทยานิพนธ์ เรื่อง “เพลงพ้ืนบ้านตาบลวังลึก อาเภอ

๑๑ ศรีสาโรง จังหวัดสุโขทัย” รวบรวมข้อมูลภาคสนามได้เพลงพ้ืนบ้าน จานวน ๖๗ เพลง (ใน http://www.thaithesis.org ) และมานพ ชื่นภักด์ิ ( ๒๕๕๔ ) เสนองานวจิ ยั เรื่อง “เพลงฉ่อยโบราณบ้านตลุก กลางท่งุ ตาบลตลุกกลางทุ่ง อาเภอเมืองตาก จังหวัดตาก” สรุปได้ว่า เพลงฉ่อยโบราณเป็นเพลงปฏิพากย์ที่มี ความเป็นมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี มีขนบธรรมเนยี มแบบแผนในการแสดงท่ีแตกต่างจากการแสดงเพลงฉ่อยใน ปจั จบุ นั คอื มโี ครงสร้างและลาดบั ขั้นตอนในการแสดง มีแบบแผนเฉพาะท่คี วรอนรุ กั ษ์ไว้ งานวิจัยในช่วง ๖-๗ ปีมาน้ีปรากฏว่านอกจากจะมีการรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ศึกษา ลักษณะทั่วไปของเพลงแล้ว ยังมีการวเิ คราะห์กระบวนการถ่ายทอด รวมท้ังเสนอแนะวิธีการอนุรักษ์ด้วย เช่น จามร พงษ์ไพบูลย์ (๒๕๕๐) วิจัย เร่ือง “ กระบวนการเรียนรู้และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น : กรณีศึกษา “เพลงโหงฟาง” ของจังหวัดตราด” ได้รวบรวมและศึกษาข้อมูลจากศิลปินพ้ืนบ้านหรือผู้ทรงภูมิปัญญาใน ทอ้ งถน่ิ จานวน ๓๑ คน ผลการวจิ ัยพบว่าการเรยี นรูแ้ ละสืบทอดภูมิปญั ญาทอ้ งถนิ่ มที ง้ั แบบทางตรง และแบบ ทางอ้อม มีการสืบทอดโดยวิธีครูพักลักจา และฝึกปฏิบัติจริง ในด้านกระบวนการเรียนรู้และสืบทอด มี ๔ ขั้นตอนสาคัญคอื ขัน้ ตอนท่ี ๑ สรา้ งความรคู้ วามเข้าใจ ขั้นตอนท่ี ๒ ฝึกปฏิบัติจริง ขั้นตอนที่ ๓ ปรับปรุงแก้ไข และขน้ั ตอนที่ ๔ นาไปประยกุ ต์ใช้ สาหรบั แนวทางในการธารงรักษาภูมิปัญญาท้องถ่ิน “เพลงโหงฟาง” ทาได้ โดยการมสี ่วนรว่ มระหวา่ งชุมชนและสถานศึกษาและจัดทาหลักสูตรท้องถิ่นและผลิตส่ือเพื่อเผยแพร่ ผู้วิจัยยัง กล่าวว่าผลของการวิจัยทาให้ทราบว่ามีความรักผูกพันกับวิถีชีวิตชนบทของชาวนา มีความทรงจาท่ีประทับใจ ปัญญาในกระบวนการทานาจนถึงขั้นตอนการร้องเพลงโหงฟาง เกิดความรู้สึก หวงแหนในเอกลักษณ์ของ ทอ้ งถิน่ มคี วามตอ้ งการท่ีจะให้มีการฟ้ืนฟสู ืบทอดกระบวนการเรยี นรู้ รวมท้ังเผยแพรอ่ งคค์ วามรู้ให้ส่งต่อแก่คน รนุ่ ต่อไป และพบวา่ ผ้ทู รงภูมิปญั ญาเพลงโหงฟางยังขาดทกั ษะดา้ นการสอน และครูผู้สอนยังไม่มีความรู้ในเร่ือง เพลงโหงฟาง สถานศึกษายังไม่ได้ให้ความสาคัญในภูมิปัญญาสาขาเพลงพ้ืนบ้าน และจุฑามณี บ้านมอญ วิจัย เรื่อง “การศึกษาเพลงพื้นบ้านท่าโพ ตาบลท่าโพ อาเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี” ได้ศึกษา รวบรวม ประวัติและวัฒนธรรมท่ีเกี่ยวข้องของเพลงพื้นบ้านท่าโพ ตาบลท่าโพ อาเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี พบวา่ มีการถ่ายทอดดว้ ยวธิ มี ขุ ปาฐะ ตามวธิ ีของชาวบ้าน เพลงพื้นบ้านท่าโพถูกท้าทายจากความเปล่ียนแปลง ทางสังคมอย่างรนุ แรง ถงึ ขนั้ วิกฤตทิ เ่ี ส่ียงต่อการส้นิ สูญ แตช่ ุมชนได้ใชว้ ธิ ลี ดผลกระทบน้ันด้วยการส่งต่อการขับ ร้องเพลงพ้ืนบ้าน ด้วยการรวมกลุ่มของคนในชุมชนท่ีหลากหลายวัย เพื่อให้เกิดการขับเคล่ือนพร้อมกันท้ัง ชุมชนในการปลุกจิตสานึก การอนุรักษ์เพลงพ้ืนบ้านท่าโพให้คงอยู่สืบต่อไป ผู้วิจัยเสนอแนะว่าควรมีการ ถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านท่าโพอย่างเป็นระบบ โดยมีหน่วยงานท้ังในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศให้การ สนับสนุน และควรมีการจดบันทึก รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเพลงพ้ืนบ้านท่าโพให้ครบทุกเพลงเพื่อเป็นการ อนรุ กั ษเ์ พลงพ้ืนบา้ นไวใ้ หอ้ นุชนรุน่ หลัง เปน็ ต้น นอกจากน้ียงั มงี านวิจยั ทีศ่ ึกษาผลงานเฉพาะบุคคล เช่น ดวงเดือน สดแสงจันทร์ ( ๒๕๔๔ ) ศึกษาเรื่อง “ การศึกษาเพลงพื้นบ้านของคณะขวัญจิต ศรีประจันต์” ได้ศึกษาชีวประวัติของขวัญจิต ศรี ประจันต์ในด้านการแสดง ประวัติและพัฒนาการของเพลงพื้นบ้านของคณะ ๕ ชนิด ได้แก่ เพลงพวงมาลัย เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวขา้ วและเพลงอแี ซว และวิเคราะห์องคป์ ระกอบและรูปแบบในการเลน่ เพลง

๑๒ นอกเหนอื จากหนังสอื และงานวจิ ัยดงั กล่าวแล้ว ยังมีบทความและเอกสารงานเขียนท่ีเผยแพร่ เพลงพน้ื บ้านภาคกลางต่างๆ ผ่านสอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์อีกจานวนมาก ตวั อย่างเชน่ ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ เสนอบทความ “เพลงพื้นบ้านบางเลน นครปฐม : พ่อเฒ่าบุญช่วง ศรี รางวั ล” ( ใน http://www.smusichome.com ) ก ล่าว ถึงก ารร วบร วมข้อมูลภาคสนามเมื่อ วันท่ี ๑ พฤศจิกายน๒๕๔๙ ได้พบเพลงขอทาน ของพ่อเฒ่าบุญช่วง ศรีรางวัล ชาวบ้านบางระกา อาเภอบาง เลน จังหวดั นครปฐม ซึ่งเปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาของ มนัส แก้วบูชาและสมชาย เอ่ียมบางยุง บทความน้ี ได้กล่าวว่าบ้านบางระกา อาเภอบางเลน มีเพลงพ้ืนบ้านหลายชนิด เช่น เพลงเรือ เพลงพวงมาลัย เพลงอี แซว เพลงฉ่อย เพลงทรงเครอ่ื ง รวมไปถึงลิเก และวงกลองยาวด้วย ท่ีสาคัญยังมีพ่อเพลงแม่เพลงและศิลปิน ตลอดจนนักเทศน์นกั แหล่หลายท่าน เช่น พ่อเฒา่ ชเอม สุนทรอาไพ หมอเหลือง บัวบาเพ็ญและหมอวิไล แก้ว ภารา เป็นต้น สลิด ชูชน่ื เผยแพร่บทความ “ความรู้เกี่ยวกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ตอนท่ี ๖) วัฒนธรรม ขนบ ธรรมเนียม ประเพณี” ( ใน http://www.gotoknow.org ) กล่าวว่าประจวบคีรีขันธ์มีเพลงพ้ืนบ้านอยู่ บา้ ง ได้แก่ เพลงกล่อมเดก็ และเพลงประกอบพธิ ีกรรมคือเพลงแหล่เท่าน้นั จากบทความ เรื่อง “การแสดงพ้ืนเมืองของจังหวัดเพชรบูรณ์ ” ซ่ึงเผยแพร่ทาง http://www.didnalwop.com เม่ือวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕ กล่าวว่าจากการศึกษาค้นคว้าของคมคาย หมน่ื สาย ยืนยันว่าศูนย์วัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบูรณ์ได้ดาเนินการอนุรักษ์และส่งเสริมเพลงพ้ืนบ้านของ จังหวดั เพชรบูรณท์ ่ีไดร้ บั มาอิทธิพลวฒั นธรรมมาจากภาคกลาง ไดแ้ ก่ เพลงฉ่อย เพลงโลมหางเชือก เพลงฉ่อย ทรงเครือ่ งและเพลงชักคะเยอ่ ไว้จนปัจจบุ นั บทความเร่ือง “วัฒนธรรมพื้นบ้านของอาเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง” ซึ่งเผยแพร่ใน facstaff.swu.ac.th. ( เข้าถึงเม่อื ๑๒ เมษายน ๒๕๕๖ ) กล่าวว่าเดิมชาวอาเภอโพธ์ิทองร้องเพลงพ้ืนบ้านได้ โดยเฉพาะเพลงกล่อมเด็ก เพลงเก่ียวข้าว หรือเพลงเต้นกา เพลงสงฟาง เพลงสงคอลาพวน เพลงชักกระดาน ซึ่งร้องกนั ในลานนวดข้าว แต่ปัจจุบันไม่มีการลงแขกเกี่ยวข้าวนวดข้าวกันแล้ว ทาให้เพลงพ้ืนบ้านเหล่าน้ีไม่มี คนรอ้ งจึงนา่ เสียดาย รวมท้ังเพลงระบาบ้านไร่ เพลงพวงมาลัย เพลงย่ัว เพลงแห่นางแมว เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงปรบไก่และเพลงอีแซวท่รี อ้ งในเทศกาลต่าง ๆ ก็ไม่มีคนรอ้ งเชน่ กัน จากการทบทวนวรรณกรรมและเอกสารท่ีเกยี่ วข้องกับการวิจัยดังกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า เพลงพ้ืนบ้านภาคกลางมีปรากฏแพร่หลายเกือบทุกพื้นท่ีในเขตภาคกลาง แต่แนวโน้มเพลงส่วนใหญ่มีสภาพ เส่ือมและสูญหาย การรวบรวมและศึกษาเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางดาเนินมาอย่างต่อเน่ืองแต่ส่วนใหญ่จากัด เฉพาะชนดิ หรือพืน้ ท่ีของแหล่งศึกษา อย่างไรก็ดีการรวบรวม ศึกษาและวิเคราะห์ของนักวิชาการท้ังเชิงภาษา และวรรณคดีไทย เชิงคติชนวิทยา เชิงมานุษยวิทยา เชิงดนตรี เชิงศาสนาและวัฒนธรรมดังกล่าวนับเป็นองค์ ความรู้ที่มปี ระโยชน์และจะเป็นแนวทางให้คณะผวู้ จิ ัยไดน้ ามาศกึ ษาเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางได้ครบถ้วนสมบูรณ์ และเกดิ ประโยชนส์ งู สุดต่อไป

๑๓ ๑.๔.๓ แนวคิดและทฤษฎีที่เกย่ี วขอ้ ง การวจิ ัยเร่ืองเพลงพื้นบ้านภาคกลางคร้ังนี้จะใช้ทฤษฎีทางด้านคติชนวิทยาและแนวคิดต่างๆ ดงั น้ี ก. ทฤษฎีบทบาทหนา้ ท่ขี องคติชน ศิราพร ณ ถลาง ( ๒๕๕๒, น. ๓๑๗ – ๓๑๘ ) อธิบายว่า “ทฤษฎีบทบาทหน้าท่ีนิยมมองว่า วฒั นธรรมสว่ นต่าง ๆ ในสงั คมมีหนา้ ทีต่ อบสนองความต้องการของมนุษย์ทั้งทางด้านปัจจัยพื้นฐาน ด้านความ มั่นคงของสังคม และความม่ันคงทางด้านจิตใจ วัฒนธรรมในส่วนท่ีเป็นคติชน ไม่ว่าจะเป็นเร่ื องเล่า เพลง การละเล่น การแสดง ความเชื่อ หรอื พิธีกรรม ล้วนมหี นา้ ทต่ี อบสนองความต้องการของมนุษย์ทางด้านจิตใจและ ชว่ ยสรา้ งความเขม้ แขง็ และความมนั่ คงทางวัฒนธรรมใหแ้ ต่ละสงั คม ดังน้ันการศึกษาวัฒนธรรมที่เป็นคติชนจึง ควรศกึ ษาในบริบทสงั คมนั้น ๆ เพือ่ ให้เหน็ ความสาคัญของข้อมูลประเภทคติชนท่ีช่วยให้สังคมดารงอยู่ได้อย่าง มัน่ คง” มาลินอฟสกี้ ( Bronislaw Malinowski, ๑๙๕๔, p. ๑๐๔ ในเร่ืองเดิม, น. ๓๑๘ ) กล่าวไว้ว่า “ตวั บทก็เปน็ สิ่งสาคัญอยา่ งมาก แต่ถา้ ปราศจากบริบท ตวั บทน้ันก็ดูจะเป็นส่งิ ทีไ่ ม่มชี ีวิต” วิลเลียม บาสคอม ( William Bascom, ๑๙๖๕, p. ๒๘๑ – ๒๙๘ ในเร่ืองเดิม, น. ๓๑๙ - ๓๒๐ ) นกั คตชิ นวทิ ยาไดเ้ สนอแนวคดิ เก่ียวกับบทบาทหน้าท่ีของคติชนไว้ในบทความช่ือว่า \" Four Functions of Folklore\" และจาแนกบทบาทหน้าท่ขี องคติชนในภาพรวมไว้ ๔ ประการ คือ ประการแรก ใช้อธิบายที่มา และเหตุผลในการทาพิธีกรรม ประการท่ี ๒ ทาหน้าทใี่ หก้ ารศึกษาในสังคมทใ่ี ช้ประเพณีบอกเล่า ประการที่ ๓ รักษามาตรฐานทางพฤติกรรมทีเ่ ป็นแบบแผนของสงั คม และประการท่ี ๔ ใหค้ วามเพลดิ เพลินและเป็นทางออก ให้แกค่ วามคับข้องใจของบคุ คล การศกึ ษาบทบาทหนา้ ท่ขี องเพลงพ้ืนบ้าน จะช่วยทาให้เห็นถึงความสาคัญของข้อมูลคติชนท่ี จะเน้นย้าให้เหน็ วา่ สร้างสรรคข์ นึ้ เพอ่ื ตอบสนองความต้องการของคนในสังคมในแง่มุมต่างๆ ที่อาจแตกต่างกัน ไปตามแตล่ ะท้องถิ่นหรือสถานการณ์ ( สุกัญญา สุจฉาย, ๒๕๔๘, น. ๒ ) ดังนั้นการศึกษาสถานภาพของเพลง พน้ื บ้านภาคกลางในงานวิจัยนี้จึงจะได้นาแนวคิดทฤษฎีบทบาทหน้าที่นิยม (Functionalism) มาประยุกต์ใช้ เปน็ กรอบความคิดในการศกึ ษา ข. แนวคดิ เร่อื งการอนรุ กั ษ์ขอ้ มูลทางคติชนวิทยา กุหลาบ มัลลิกะมาส (๒๕๒๘: ๔๔-๔๕ ) กล่าวว่าการอนุรักษ์ข้อมูลทางคติชนวิทยาได้เริ่ม อย่างจริงจังเพราะหลายฝา่ ยตระหนักวา่ คติชนเป็น “สมบัติแห่งภูมิปัญญา” ที่ส่ังสมมาท้ังในระดับกลุ่มชนและ ในระดับชาติ คตชิ นเป็นงานสร้างสรรค์ของกลุ่มชนหรือของปัจเจกชนท่ีมีลักษณะสัมพันธ์สอดคล้องกับวิถีชีวิต และถ่ินฐานท่ีอยู่ของชนในกลุ่ม เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคม แสดงบรรทัดฐานและค่านิยมของ

๑๔ สังคม คตชิ นจึงมีส่วนช่วยให้วัฒนธรรมเข้มแข็งและความเข้มแข็งของวัฒนธรรมย่อมทาให้สังคมท้องถิ่นและ ประเทศชาตมิ น่ั คงอยูไ่ ด้ ฉะนัน้ การพทิ ักษค์ ตชิ นให้คงอยู่ด้วยวิธีการต่าง ๆ จึงเปน็ สง่ิ จาเปน็ อยา่ งย่ิง การบันทึกและการศึกษาข้อมูลเป็นวิธีเบ้ืองต้นของการอนุรักษ์คติชน การบันทึกข้อมูล หมายถึงการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับคติชนประเภทต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่รวบรวมโดยวิธีการเก็บข้อมูลสนาม ปจั จุบันเทคโนโลยีในด้านการเก็บรักษาคติชนในรูปลายลักษณ์อักษรหรือการบันทึกภาพ หรือการบันทึกเสียง เหลา่ นท้ี าได้สะดวกขึ้น จึงเป็นโอกาสใหก้ ารเก็บข้อมลู เปน็ ไปโดยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น บุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ จึง รว่ มกันรวบรวมข้อมูลสนามจากท้องถนิ่ ต่าง ๆ บันทึกและจัดหมวดหมไู่ วจ้ านวนมาก จุดประสงค์สาคัญของการเก็บข้อมูลสนามก็คือรักษาข้อมูลไว้ไม่ให้สูญหายเพ่ือการศึกษา วเิ คราะหข์ อ้ มูลเหล่านั้นในเชิงวชิ าการตอ่ ไปการเก็บรวบรวมจึงจาเปน็ ตอ้ งทาอย่างมรี ะบบ ตามระเบียบวิธีการ ของการศกึ ษาคติชนวทิ ยา เพือ่ ใหน้ กั วิจัยได้ศึกษาวิเคราะห์ต่อไปภายหน้าได้สะดวก ส่วนผู้สืบทอดวัฒนธรรม หรือผูส้ นใจก็จะได้ใช้ข้อมูลนนั้ ในการศึกษาใหเ้ ข้าใจกระบวนการของคติชนอย่างถ่องแท้ และถ่ายทอดได้อย่าง ถูกต้อง ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสนามเพ่ือการเก็บรักษาและเพื่อการศึกษา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจึงต้องมี ความเขา้ ใจวิธีรวบรวม วธิ ถี อดขอ้ มูล การเก็บรกั ษาข้อมลู และการจัดหมวดหม่ขู ้อมลู ค. ระเบยี บวิธกี ารรวบรวมข้อมูลภาคสนามทางคตชิ นวทิ ยา นักคติชนวทิ ยามีแหลง่ ขอ้ มูลสาคญั ๓ แหล่งใหญ่ คือ ๑. การเก็บข้อมูลสนาม ๒. เอกสารที่ บันทึกไว้ และ ๓. พพิ ิธภณั ฑ์คตชิ น การศกึ ษาคติชนจากแหล่งต่าง ๆ ดังกล่าวมีลักษณะต่างกัน (กุหลาบ มัล ลกิ ะมาส ๒๕๒๘ : ๑๐๖๘-๑๑๒๔ ) การศึกษาคติชนจากการเก็บข้อมูลสนามเป็นวิธีที่นักคติชนวิทยานิยมศึกษากันอย่างย่ิง เพราะแหล่งข้อมูลสาคัญของคติชนคือข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากประชาชนผู้ให้ข้อมูลโดยตรง ส่วนข้อมูลท่ีเป็น เอกสารและพิพิธภัณฑ์คติชนนั้น กิ่งแก้ว อัตถากร (๒๕๒๗ : ๑๔ ) กล่าวว่า “ ไม่สู้เป็นปัญหาหรือมี ความสาคัญมากนัก เพราะมีวัสดุเพื่อการศึกษาอยู่แล้ว ถ้าหากยังขาดตกบกพร่องประการใดก็อาจใช้วิธีเก็บ ขอ้ มลู สนามเสรมิ สว่ นทขี่ าดอย่ไู ด้ ” การเก็บรวบรวมข้อมูลสนามเป็นวิธีการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยคติชนท่ีสาคัญมาก ผู้ปฏิบัติงานจึงจาเป็นต้องศึกษาระเบียบวิธีการเก็บข้อมูลสนามอย่างรอบคอบและแม่นยา เพ่ือให้ข้อมูลนั้นมี คุณภาพ คือ มคี วามถูกตอ้ ง มีความน่าเชือ่ ถอื และมรี ายละเอยี ดครบถ้วน การเก็บข้อมูลสนามจึงต้องทาอย่างมี ระบบและมวี ิธีการเกบ็ ท่เี ปน็ วิทยาศาสตร์ นักคติชนวิทยาหลายคน เช่น เฮอร์เบอร์ต ฮัลเพอร์ต (Herbert Halpert) อลัน โลแมกซ์ (Alan Lomax) แมคเอดเวอร์ด ลีช (Mac Edward Leach) ริชาร์ด ดอร์สัน (Richard Dorson) และวิลเลี่ยม อาร์. บาสคอม (William R. Bascom) ได้นาเอาระเบียบวิธีทางมานุษยวิทยามาใช้ในการปฏิบัติงานสนาม คติชนวิทยา การปฏิบัติงานสนามเพ่ือรวบรวมข้อมูลดังกล่าวมีลาดับขั้นตอน ๕ ขั้น ได้แก่ การตั้งปัญหา การ วิเคราะห์ปัญหา การรวบรวมข้อมูล การเสนอสิ่งท่ีค้นพบและการยืนยันสมมุติฐานโดยอาศัยพื้นฐานจากการ วเิ คราะหแ์ ละการแปลขอ้ มูล (ผอ่ งพนั ธ์ มณีรัตน์ ๒๕๒๙ : ๑๘๙-๑๙๐)

๑๕ การวจิ ยั เร่ืองสถานภาพและการสืบสานเพลงพื้นบ้านภาคกลางคร้ังน้ีจะยึดระเบียบวิธีในการ รวบรวมข้อมูลภาคสนามดงั กล่าว เพ่อื ให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดภายในกรอบ ของปัจจยั สง่ เสริมการทาวจิ ัยตา่ งๆ ง. แนวคิดเรือ่ งภมู ปิ ญั ญาไทย สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว เล่ม ๑๙ ( ๒๕๓๙, น. ๒๔๕ – ๒๖๔ ) กล่าวถึง “ภูมิปัญญา” ว่าหมายถึง “ความรู้ขั้นสูงส่งอันเป็นความรู้แจ้งในความ จริงแห่งชีวิต” ส่วนคาว่า “ ภูมิปัญญาชาวบ้าน” หมายถึง “ความรู้ของชาวบ้าน ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมทั้งความร้ทู สี่ ัง่ สมมาแต่บรรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ระหว่างการสืบทอดมีการปรับประยุกต์และเปลี่ยนแปลง จนเกิดเป็นความรู้ใหม่ตามสภาพการณ์ทางสังคม วฒั นธรรม และส่ิงแวดลอ้ ม” ความต่างกันของภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ “ภูมิปัญญาไทย เป็นองค์ความรู้ และความสามารถโดยส่วนรวม เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ ส่วนภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็นองค์ความรู้และ ความสามารถในระดับท้องถิ่นซึ่งมีขอบเขตจากัดในแต่ละท้องถ่ิน เช่น ภาษาไทยเป็นภูมิปัญญาไทย ในขณะที่ ภาษาอีสานเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ิน เป็นต้น” ( สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว เล่ม ๒๓ ใน http://kanchanapisek.or.th ) ภูมิปัญญาไทยมีคุณค่าและความสาคัญ เน่ืองจากช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น สร้างความ ภาคภูมิใจ และศักด์ศิ รี เกียรตภิ มู แิ กค่ นไทย สามารถปรับประยกุ ตห์ ลักธรรมคาสอนทางศาสนาใชก้ ับวิถีชีวิตได้ อย่างเหมาะสม สร้างความสมดุลระหว่างคนในสังคมและธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน และเปลี่ยนแปลงปรับปรุง ไดต้ ามยุคสมัย ( เรื่องเดิม ) ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ นายแพทยป์ ระเวศ วะสี ปาฐกถาพเิ ศษ เร่อื ง “มรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมกบั ความมนั่ คงของชาติ” ในการประชุมวชิ าการทางวฒั นธรรมระดบั ชาติ “วิจัยวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒” เมื่อวันท่ี ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมบางกอก ชฎา กรงุ เทพมหานคร สรุปไดว้ า่ เร่อื งมรดกทางวัฒนธรรม เป็นเรอื่ งท่ีลึกซงึ้ และเป็นเร่ืองจริงทถ่ี กู ละเลย และไม่เข้าใจกันมากว่า ๑๐๐ ปี เป็นสาเหตุให้สังคมไทยมีความ อ่อนแอ โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่ทิ้งฐานทางวัฒนธรรม ทาให้คนไทยที่เกิดมาในราว ๔ – ๕ ช่ัวอายุคน (ประมาณ ๑๐๐ ปีท่ีผ่านมา) ไม่เข้าใจรากเหง้าของสังคมไทย วัฒนธรรมถือเป็นเรื่องลึกซึ้งและกว้างขวาง วัฒนธรรมเป็นเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับทุกๆ ด้าน ต้นไม้ต้องมีรากฉันใด สังคมก็ต้องมีรากฉันนั้น เราพัฒนาโดย ทาลายฐาน ท้ิงฐานทางวัฒนธรรมจึงเกิดวิกฤติต่างๆ ดังน้ันจึงจาเป็นต้องเข้าใจในเร่ืองต่างๆ ได้แก่ ๑. ความ หลากหลายทางวฒั นธรรม ๒. ภูมปิ ญั ญา ภูมิปัญญาคือปัญญาท่ีติดอยู่กับแผ่นดิน ซึ่งต้องเห็นคุณค่า ถ้าไม่เห็น คุณค่าก็ทาลายส่ิงน้ันได้ง่าย ภูมิปัญญาที่เกิดจากวิถีชีวิตมาจากการเห็นคุณค่า จึงไม่ควรไปดูถูกภูมิปัญญา เหล่าน้นั ๓. มีศกั ด์ศิ รแี ละเกียรติเสมอกัน ปัจจุบนั มีปัญหาสังคมเกิดข้ึนมากมาย เน่ืองจากสังคมมีความเหลื่อม ล้ากันมาก แตห่ ากนาวัฒนธรรมมาเปน็ ตวั ตงั้ (มีเกยี รติเสมอกนั ) จะลดความเครยี ดในสังคม ลดความรุนแรง ไม่ เกิดความเหล่ือมล้า ถือเป็นความสาคัญของวัฒนธรรม ๔. การเคารพความรู้ในตัวคน ความรู้มี ๒ ประเภท

๑๖ ไดแ้ ก่ ความรใู้ นตาราและความรู้ในตัวคน อันเป็นความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์ และการทางาน ความรู้ท้ัง ๒ ประเภทน้ันลว้ นมคี วามสาคญั ความรใู้ นตาราเป็นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ท่ีมาจากการทดลองวิจัย ส่วนความรู้ ในตัวคนนั้น มฐี านอยูใ่ นวัฒนธรรม อยู่ในวิถีชีวิต ทุกคน ทุกอาชีพ จึงล้วนมีความรู้ท่ีแตกต่างกันไปกล่าวได้ว่า หากเราเคารพความรู้ในตัวคน ทกุ คนจะมเี กียรติ แต่ถา้ เราเคารพแตค่ วามรใู้ นตาราจงึ มีเพียงคนสว่ นน้อยเท่าน้ัน ทมี่ ีเกยี รติ ทาใหค้ นขาดความม่นั ใจในตนเอง นาไปสกู่ ารขาดความม่ันใจแห่งชาติ ( www.culture.go.th ) จ. แนวคิดเรือ่ งการอนรุ กั ษ์เพลงพืน้ บา้ น สกุ ญั ญา สุจฉายา ( ๒๕๒๘ : ๒๗๕ ) กล่าวว่า การอนุรักษ์เพลงพ้ืนบ้านให้คงอยู่อย่างมีชีวิต และมีบทบาทเหมือนเดิมคงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ส่ิงที่อาจทาได้ในขณะนี้ก็คือการอนุรักษ์ เพ่ือช่วยให้ วัฒนธรรมของชาวบ้านซง่ึ ถกู ละเลยมานานปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของสังคมไทยเช่นเดียววัฒนธรรมท่ีเรา ถือเป็นแบบฉบับ การอนุรักษ์มี ๒ วิธีการ ได้แก่ การอนุรักษ์ตามสภาพดั้งเดิมที่เคยปรากฏ และการอนุรักษ์ โดยการประยุกต์ การอนุรักษ์ตามสภาพดั้งเดิมที่เคยปรากฏ หมายถึงการสืบทอดรูปแบบเน้ือหา วิธีการร้อง เล่น เหมือนเดิมทุกประการ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ส่วนการอนุรักษ์โดยการประยุกต์ หมายถึงการ เปลี่ยนแปลงรปู แบบและเนื้อหาให้สอดคล้องกบั สังคมปจั จุบนั เพอ่ื ให้คงอยู่และมบี ทบาทในสงั คมต่อไป การอนรุ กั ษเ์ พลงพื้นบา้ นตามสภาพดง้ั เดิมท่ปี รากฏอยทู่ ่ัวไปคือการบันทกึ และการศึกษาข้อมูล ซึ่งเปน็ วธิ ที ม่ี ีความจาเป็นอยา่ งย่ิง ดังที่ เอนก นาวิกมูล ( ๒๕๓๒ : ๒๔๐ ) ผู้บุกเบิกในการอนุรักษ์เพลงพ้ืนบ้าน ภาคกลางอยา่ งจริงจงั ได้กลา่ วไว้ว่า “( การบนั ทึกและการศึกษา ) เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์หาคุณค่าเบื้อง หน้า ขอ้ มูลต่าง ๆ เหล่าน้ีคนรุ่นหลังสามารถนาไปปรับใช้เพ่ือให้เข้ากับยุคสมัยของตน หรือคัดเลือกไปเฉพาะ ส่วนหน่ึงท่ีเขาสนใจ ทาให้วิญญาณแห่งประเทศชาติยังคงสืบสานอยู่ต่อไปได้ หากไม่มีการทางานในส่วนน้ี แลว้ ไซรค้ นในชาติกห็ าความม่นั คงม่ันใจในตัวเองไม่ได้ ด้วยไม่รู้จักกาพืดแห่งตนไม่รู้จักข้อดีข้อเสียของตน งาน บันทกึ ศึกษาเป็นงานทขี่ าดไมไ่ ด้” ๑.๕ คาถามในการดาเนินโครงการ ๑. สถานภาพของเพลงพ้นื บา้ นภาคกลางในปัจจบุ ันเปน็ อยา่ งไร ๒. การถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านภาคกลางมีกระบวนการถ่ายทอดอย่างไรบ้าง ๓. ปัจจยั ใดบา้ งที่มีผลคกุ คามตอ่ เพลงพนื้ บา้ นภาคกลางปัจจุบัน ๔. การสงวนรักษาเพลงพื้นบา้ นภาคกลางมีแนวทางอย่างไรบ้าง ๑.๖ ชมุ ชนทีเ่ กย่ี วขอ้ ง “ชุมชน” ในทีน่ ีค้ ือ ประชาคมหรอื ผแู้ ทนกลุม่ ชนท่สี ืบทอดเพลงพนื้ บา้ นภาคกลางในเขต ๓๕ จังหวัด รวมทง้ั สิ้นไมต่ า่ กว่า ๗๐ คน ไดแ้ ก่ ครูเพลง ศิลปินแหง่ ชาติ ปราชญ์ชาวบ้าน ครูภูมิปัญญา ศิลปินพ้ืนบ้าน ครู

๑๗ อาจารย์ผเู้ ชย่ี วชาญในด้านการสร้างสรรค์และสบื ทอดเพลงพื้นบ้านภาคกลาง รวมทั้งคณะเพลงพ้ืนบ้านอาชีพ และคณะเพลงพ้นื บ้านเยาวชนหรือสถาบันการศึกษาที่สืบทอดมาจากครูเพลงพื้นบ้าน ตลอดจนผู้ส่งเสริมและ สนับสนุนเพลงพนื้ บ้านภาคกลางกล่มุ ต่าง ๆ เชน่ นักวชิ าการ บคุ คลทวั่ ไปและสอื่ มวลชน ๑.๗ การกระจายตัวของมรดกภมู ปิ ัญญาเพลงพื้นบ้านภาคกลาง การวจิ ยั ครัง้ นี้พบว่าปจั จุบนั มีคณะเพลงพืน้ บ้านอาชีพเท่าที่สามารถรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ได้ในเขตพน้ื ที่ภาคกลาง ๒๐ จงั หวดั รวมจานวน ๓๗ คณะ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี จังหวัด เพลงฉอ่ ย เพลง เพลงเรอื ลาตดั เพลงอแี ซว รวม กรงุ เทพฯ ทรงเครื่อง กาแพง คณะ ๑. คณะ คณะมหา ๑. คณะ คณะ ๕ เพชร หงษท์ อง มหาวิทยาลยั ชลบรุ ี มหาวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั วิทยาลยั เสยี งทอง หอการค้า ๒. คณะเดน่ ไทย หอการค้าไทย หอการค้าไทย หอการคา้ หลานหวังเตะ๊ ๒. คณะชมรม ไทย รักษ์เพลง พน้ื บา้ น ๓. คณะเพาะ กลา้ พันธเุ์ กง่ เพลงพ้ืนบา้ น คณะเพลง ๑ พ้ืนบ้าน วฒั นธรรมไทย สายใยชุมชน ตาบลวังแขม ๑.คณะพอ่ ผูก ๒ เอกพจน์ (แมป่ ระพมิ พ์ เอกพจน์ ) ๒. คณะยคุ ล เพียรเสมอ ชยั นาท คณะพอ่ สวิง ๑

๑๘ จงั หวดั เพลงฉ่อย เพลง เพลงเรอื ลาตัด เพลงอีแซว รวม บรรเดจ็ ทรงเคร่อื ง ตราด ๑.คณะกานัน ๒ ทววี ัฒน์ ๑ ตาก คณะ ระลึกชอบ พ่อหรัด ๒.คณะพอ่ แมป่ ระทวย ประสตู ร ช่วงเวฬุ นครนายก คณะชมรม คณะ ๑ นครปฐม รักษเ์ พลง ส. รวมศลิ ป์ ๓ พืน้ บ้าน ลูกศรีจฬุ า ม.มหดิ ล ๑. คณะแม่ ๑ ประยูร ๑ ยมเยย่ี ม (แมอ่ ุ่นเรือน) ๒. คณะ รุ่งลิขิต ไทรนิ่มนวล ๓. คณะชมรม รกั ษ์เพลง พน้ื บ้าน ม.มหดิ ล นคร คณะแม่ สวรรค์ ทองใบ จนิ ดา นนทบุรี คณะแม่ชูรัก- สุภาพร ปทุมธานี คณะหวงั เตะ๊ ๑ นาโดยแม่

๑๙ จงั หวัด เพลงฉ่อย เพลง เพลงเรอื ลาตัด เพลงอแี ซว รวม ทรงเครอื่ ง ๑ ศรีนวล พระนคร คณะไพรชั ศรี บอ่ ตาโล่ อยุธยา พจิ ิตร คณะบา้ น ๑ วังกรา่ ง ๒ พิษณุโลก ๑. คณะแม่ คณะพนั โล สมปอง ม.นเรศวร พลอยบตุ ร ๒. คณะพนั โล ๑ ม.นเรศวร คณะกานัน ๑ เพชรบูรณ์ คณะเพลง สาเรงิ คนฑา ๒ ฉ่อยวง คนสะเดียง ระยอง สงิ ห์บรุ ี คณะแม่ ครจู ารัส ครจู ารสั อยู่ ลาจวน อยูส่ ขุ สุข ศรีจันทร์ สพุ รรณบรุ ี ๑. คณะแม่ ๑. คณะแม่ ๑. คณะแม่ ๑. คณะแม่ ๑. คณะแม่ ๘ ขวญั จติ ขวัญจิต ขวญั จิต ขวัญจิต ขวญั จติ ศรีประจันต์ ศรปี ระจันต์ ๒. คณะ ๒. คณะ ศรปี ระจนั ต์ ศรปี ระจันต์ ศรีประจันต์ วทิ ยาลัย วทิ ยาลยั นาฏศลิ ป นาฏศิลป ๒. คณะ ๒. คณะ ๒. คณะ สพุ รรณบรุ ี สพุ รรณบุรี ๓. คณะอนนั ต์ ๓. คณะ วิทยาลยั วิทยาลัย วิทยาลัย ศษิ ย์ขวญั จิต อนนั ต์ศิษย์ นาฏศิลป นาฏศิลป นาฏศลิ ป ขวญั จิต ๔. คณะ สพุ รรณบรุ ี สุพรรณบรุ ี สุพรรณบรุ ี สจุ ินต์ ๓. คณะอนนั ต์ ๓. คณะอนนั ต์ ๓. คณะ ศษิ ย์ขวัญจติ ศิษย์ขวญั จิต อนนั ตศ์ ิษย์ ๔. คณะ ขวญั จติ สุจนิ ต์ ๔. คณะ ศรปี ระจันต์ สาเนยี ง

๒๐ จงั หวัด เพลงฉ่อย เพลง เพลงเรอื ลาตัด เพลงอีแซว รวม ๕. คณะ ทรงเครื่อง สาเนยี ง เสยี งสพุ รรณ ศรีประจันต์ เสียงสพุ รรณ ๕. คณะ ๕. คณะ สุจินต์ ลาจวน อา่ งทอง ศรปี ระจนั ต์ สวนแตง จนั ทบรุ ี ๖. คณะ รวม ๒๐ รวม ๑๔ คณะ นกเอ้ยี ง เสยี ง จังหวัด คณะ พอ่ มงั กร ทอง บญุ เสรมิ ๗. คณะนก เล็ก ดาวร่งุ คณะวชิ ยั ๘. คณะ ราชันย์ สาเนียง เสยี งสุพรรณ รวม ๗ รวม ๙ คณะ รวม ๑๙ คณะ คณะ ๑ ๑ รวม รวม ๙ คณะ ๓๗ คณะ อน่ึง จงั หวัดทีเ่ ดมิ เคยมีคณะเพลงพื้นบ้านภาคกลาง ๕ ชนิดน้ี แต่จากการสารวจและรวบรวม ข้อมูลภาคสนามพบว่าปัจจุบันไม่มีคณะสืบต่ออีกแล้ว ได้แก่ เพลงพ้ืนบ้าน ๕ ชนิดในจังหวัดอุทัยธานี (นาย สุรพงษ์ ทิพย์ศริ ิและนางสมจิตร ทิพยศ์ ริ ิ สัมภาษณ์ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๗ ) เพลงเรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ( ยุทธนา จนั ทรเ์ ทศนา สมั ภาษณ์ ๑ กนั ยายน ๒๕๕๗ )

๒๑ ภาพท่ี ๑ แผนท่ีแสดงการกระจายตวั ของเพลงพืน้ บา้ นภาคกลาง ในพน้ื ท่ี ๒๐ จงั หวดั (พนื้ ทสี่ สี ม้ )

๒๒ บทที่ ๒ ภูมิหลงั ทางสังคมและวัฒนธรรมของภาคกลางและเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง ภาคกลาง หรือ ภูมิภาคตอนกลางของประเทศไทย อยู่ก่ึงกลางระหว่างภาคเหนือ ภาคอีสาน และ ภาคใต้ ครอบคลมุ ท่รี าบลุม่ แม่น้าเจ้าพระยาเป็นหลัก ส้าหรับการจัดแบ่งกลุ่มจังหวัดออกเป็นภาคต่าง ๆ นัน มกี ารใช้เกณฑ์ท่ีแตกตา่ งกัน มีทังการแบ่งอยา่ งเป็นทางการโดยราชบัณฑิตยสถานส้าหรับใช้ในแบบเรียน และ การแบ่งขององค์กรต่าง ๆ ตามแต่การใช้ประโยชน์ ในงานวิจัยชินนี ใช้เกณฑ์การแบ่งเขตภูมิภาคตาม สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคกลาง ซ่ึงครอบคลุมพืนท่ีรวมทังสิน ๓๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี ก้าแพงเพชร จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบรู ณ์ ระยอง ราชบรุ ี ลพบรุ ี สมทุ รปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี อ่างทอง อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี รวมเนือท่ีประมาณ ๑๘๗,๖๘๖.๗ ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขต ติดตอ่ กับจังหวดั ใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบา้ น ดังนี ทิศเหนอื ติดต่อกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ล้าพูน ล้าปาง แพร่ น่าน และสาธารณรัฐ ทิศใต้ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ทิศตะวนั ออก ติดตอ่ กบั จงั หวดั ชมุ พร ติดต่อกับจังหวัดเลย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา สาธารณรัฐประชาธิปไตย ทิศตะวนั ตก ประชาชนลาว (ทางจังหวัดพิษณุโลก) และราชอาณาจักรกัมพูชา (ทางจังหวัด สระแก้ว จันทบุรี ตราด) ตดิ ต่อกบั สาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมียนมาร์

๒๓ ภาพที่ ๒ แผนท่ีแสดงท่ตี ังและอาณาเขตภาคกลางท่ีใชใ้ นการด้าเนินโครงการ

๒๔ ๒.๑ ภูมิหลังทางสงั คมและวฒั นธรรมในพนื้ ทภ่ี าคกลาง พืนทบี่ รเิ วณภาคกลางของประเทศไทย มลี กั ษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม ที่เฉพาะ จึงส่งผลต่อการสร้างสรรค์เพลงพืนบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และแตกต่างไปจากภูมิภาคอ่ืนๆ ด้วย เหตุนีผู้วิจยั จงึ จะไดน้ ้าเสนอขอ้ มลู เบอื งตน้ ทังในเชงิ ภมู ศิ าสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม เพ่ือให้เป็น พืนฐานความรดู้ งั นี ๒.๑.๑ ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ พนื ทใ่ี นเขตภาคกลางสว่ นใหญป่ ระกอบไปด้วยท่รี าบ ซง่ึ เกดิ จากการทแ่ี มน่ ้าพดั พาเอาเศษหิน เศษดิน กรวดทราย และตะกอนมาทับถมพอกพูนนบั เป็นเวลาหลายลา้ นปี มีลักษณะเป็นแอ่งที่มีความสมบูรณ์ ทางธรรมชาติ เรียกได้ว่าเป็น “อู่ข้าวอู่น้า” ของประเทศ บริเวณที่ราบของภาคกลางครอบคลุมอาณาบริเวณ ตังแต่ทางใต้ของจังหวัดอุตรดิตถ์ลงไปจนจรดอ่าวไทย นับเป็นพืนที่ราบที่มีขนาดกว้างใหญ่กว่าภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตาม บางบริเวณของภาคกลาง มีภูเขาโดดๆ ทางจังหวัดนครสวรรค์และด้านตะวันตก ของจังหวัดพิษณุโลก จากหลักฐานทางธรณีวิทยา สันนิษฐานว่าภูเขาโดดเหล่านีเดิมเคยเป็นเกาะ เพราะน้า ทะเลท่วมขึนไปถึงจังหวดั อตุ รดติ ถใ์ นหลายยุค พืนดินยกตัวสูงขึน รวมทังการกระท้าของแม่น้าหลายสายซ่ึงมี การกดั เซาะสึกกรอ่ นและการทับถมพอกพูน ท้าใหบ้ ริเวณดงั กลา่ วเปน็ ทรี่ าบอันกวา้ งใหญข่ องประเทศ ทังนีเมื่อ พจิ ารณาตามลักษณะโครงสรา้ ง บรเิ วณภาคกลางสามารถแบ่งไดเ้ ป็น ๓ เขต คอื ๑. ภาคกลางตอนบน ได้แก่ บริเวณตังแต่จังหวัดนครสวรรค์ขึนไปทางตอนบน ครอบคลุม พนื ท่ีในเขตจงั หวดั กา้ แพงเพชร พิจิตร พษิ ณโุ ลก สโุ ขทัย รวมทังบางบรเิ วณของจงั หวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย และ ตาก ภมู ปิ ระเทศโดยท่วั ไปในบริเวณตอนบนนี ประมาณ ๒ ใน ๓ ของพนื ทีเ่ ปน็ ทร่ี าบลมุ่ แม่น้าและท่ีราบลูกฟูก ซึ่งเกิดจากการกระท้าของแม่นา้ สายส้าคญั ๆ คือ แม่น้าปิง แม่น้าวัง แม่น้ายม แม่น้าน่าน และล้าน้าสาขา ภูมิ ประเทศที่เป็นลูกฟูกนันอาจเกิดจากการท่ีแม่น้าพัดพาเอาเศษหิน กรวด ทรายที่มีขนาดใหญ่และตกตะกอน กอ่ นทับถมพอกพูน ถ้าหากเทียบกับดนิ ตะกอนแลว้ ชนดิ แรกสามารถต้านทานต่อการสึกกร่อนได้มากกว่าชนิด หลัง ท้าให้กลายเป็นภูมิประเทศคล้ายลูกคลื่น มีลูกเนินเตีย ๆ สลับกับบริเวณท่ีง่ายแก่การสึกกร่อน ซ่ึง กลายเป็นรอ่ งลึกมีลักษณะเป็นทร่ี าบลูกฟกู นอกจากนีการกระท้าของแม่น้ายังท้าให้เกิดที่ราบขันบันได ที่ราบ ลุ่มแม่น้าหรือที่ราบน้าท่วมถึงของแม่น้าปิง แม่น้ายม และแม่น้าน่านอีกด้วย ภูมิประเทศทางด้านตะวันออก ของเขตนีเป็นภูเขาและทิวเขาจรดขอบเขตของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แนวทิวเขาดังกล่าวได้แก่ ทิวเขา เพชรบูรณ์ ซ่ึงต่อเนือ่ งมาจากทิวเขาหลวงพระบาง ระหว่างทวิ เขาเพชรบรู ณ์นีมีที่ราบแคบ ๆ ในเขตอ้าเภอหล่ม สักและจงั หวัดเพชรบรู ณ์ ที่ราบนมี ีแมน่ า้ ป่าสักไหลผา่ นลงไปทางใต้ ทางด้านตะวนั ตกของทวิ เขาสูงนีเป็นที่ราบ เชิงเขาสลับลูกเนนิ เตีย ๆ ไปจนจรดท่รี าบลมุ่ แม่น้า

๒๕ ๒. ภาคกลางตอนล่าง เป็นที่ราบลุ่มซึ่งเร่ิมตังแต่ทางตอนใต้ของจังหวัดนครสวรรค์ลงไปจน จรดอ่าวไทย ภมู ปิ ระเทศภาคกลางตอนล่างบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้าเจ้าพระยา พืนที่ส่วนใหญ่เป็นดิน ตะกอนท่ีแม่น้าเจ้าพระยา แม่นา้ ทา่ จีน แมน่ ้าแม่กลอง และแมน่ า้ บางปะกงพดั พามา แม่นา้ เหล่านีเมื่อไหลผ่าน บริเวณทีเ่ ปน็ ท่ีราบ ความเร็วของกระแสน้าจะลดลง วัตถุต่าง ๆ ท่ลี ะลายปนมากับน้าจะตกตะกอนทับถมพอก พนู ซ่งึ ตะกอนเหล่านีสว่ นใหญป่ ระกอบดว้ ยทรายละเอียด ดินเหนยี ว และดินตะกอน ดนิ ตะกอนที่แม่น้าพัดพา มามีประโยชน์ในการปลกู ขา้ วซ่งึ เปน็ พชื หลักของประเทศ ทังนีเพราะดนิ ตะกอนสามารถอุ้มน้าได้ ๓. บริเวณขอบท่ีราบ ได้แก่ บริเวณภูมิประเทศท่ีมีลักษณะเป็นที่ราบแคบ ๆ ทางด้าน ตะวันตกของจังหวัดอทุ ัยธานี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี และนครปฐม และบางบริเวณทางด้านตะวันออกของจังหวัด สระบรุ แี ละลพบุรี ซ่ึงลกั ษณะภูมปิ ระเทศดงั กลา่ วมีความแตกต่างจากที่ราบลุ่มแม่น้าในทางธรณีสัณฐานวิทยา ทงั นีเพราะหนิ ทส่ี กึ กร่อนกลายเปน็ ดินรวมทังน้าเป็นตัวการท้าให้เศษดินเศษหินเหล่านีมาทับถมในบริเวณเชิง เขา และส่วนท่ีตอ่ แนวของทร่ี าบลมุ่ แม่นา้ พนื ท่ีบรเิ วณขอบที่ราบทัง ๒ ด้าน ปัจจุบันเป็นแหล่งที่มีความส้าคัญ ในการปลูกพืชเศรษฐกจิ ทส่ี ้าคญั ของประเทศเช่น ข้าวโพด อ้อย ข้าวฟา่ ง มนั สา้ ปะหลัง และอื่น ๆ นอกจากนใี นพนื ท่ภี าคกลางยงั มีแม่น้าสายส้าคัญในภาคกลาง ได้แก่ ๑. แม่น้าเจ้าพระยา เป็นแม่น้าสายหลักของประเทศ เกิดจากการรวมตัวของแควใหญ่ ๆ จ้านวน ๔ สาย คือ แม่น้าปิง วัง ยม และน่าน โดยที่แม่น้าปิงและน่านไหลมารวมกันท่ีปากน้าโพ และต้าบล แควใหญ่ อ้าเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นแม่น้าเจ้าพระยา แล้วไหลลงทางใต้ผ่านจังหวัดต่าง ๆ ดังนีคือ อทุ ยั ธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร จากนันไหลลงสู่ อ่าวไทยที่อ้าเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ รวมระยะความยาวประมาณ ๓๗๐ กิโลเมตร นอกจากนีแม่น้า เจ้าพระยายงั แยกสาขาออกเปน็ แมน่ า้ ๓ สาย คือ ก. แม่น้าท่าจีน เป็นแม่น้าที่แยกตัวออกจากแม่น้าเจ้าพระยาท่ีต้าบลท่าซุง อ้าเภอ เมือง จังหวัดอุทัยธานี กับต้าบลหาดท่าเสา อ้าเภอเมือง จังหวัดชัยนาท แม่น้าท่าจีนมีชื่อเรียกหลายช่ือดังนี ตอนท่ีไหลผ่านจังหวัดชัยนาทเรียกว่า \"แม่น้ามะขามเฒ่า\" ตอนที่ผ่านจังหวัดสุพรรณบุรีเรียกว่า \"แม่น้า สพุ รรณบรุ ี\" ตอนทีผ่ ่านจงั หวัดนครปฐมเรียกว่า \"แม่น้านครชัยศรี\" ส่วนตอนท่ีไหลผ่านจังหวัดสมุทรสาครและ ไหลลงส่อู ่าวไทยเรยี กวา่ \"แมน่ ้าทา่ จีน\" แมน่ ้าสายนีมีความยาวประมาณ ๓๑๕ กโิ ลเมตร ข. แม่น้าน้อย เป็นแม่น้าที่แยกจากแม่น้าเจ้าพระยาท่ีต้าบลชัยนาท อ้าเภอเมือง จงั หวัดชยั นาท ไหลผ่านจังหวัดตา่ ง ๆ คอื จงั หวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา โดยไหลมาบรรจบ กับคลองบางบาลทบี่ ้านสีกุก (แม่น้าเจ้าพระยาสายเดิม) แล้วไหลบรรจบกับแม่น้าเจ้าพระยาที่อ้าเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา มีความยาวประมาณ ๑๕๕ กิโลเมตร

๒๖ ค. แม่น้าลพบุรี เป็นแม่น้าที่แยกจากแม่น้าเจ้าพระยาท่ีต้าบลม่วงหมู่ อ้าเภอเมือง จงั หวัดสงิ ห์บรุ ีไหลผา่ นจงั หวัดลพบุรีมาบรรจบกับแม่น้าป่าสักที่อ้าเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีความ ยาวประมาณ ๘๕ กิโลเมตร ๒. แมน่ ้าป่าสัก มีต้นก้าเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขตอ้าเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ไหล ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี ไปบรรจบกับแม่น้าเจ้าพระยาในเขตอ้าเภอเมือง จังหวัด พระนครศรีอยุธยา มีความยาวประมาณ ๕๗๐ กโิ ลเมตร ๓. แมน่ ้าสะแกกรงั มีต้นก้าเนิดอยู่ในเขตเทือกเขาโมโกจู ในเขตจังหวัดก้าแพงเพชร ไหลไป บรรจบกับแม่นา้ เจา้ พระยาที่บา้ นท่าซุง ต้าบลท่าซุง อ้าเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี มีความยาวประมาณ ๒๒๕ กิโลเมตร ๔. แม่น้าแม่กลอง เป็นแม่น้าสายใหญ่ เกิดจากภูเขาในอ้าเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ไหลผ่าน ช่องสะเดา วงั ด้ง ลาดหญ้า หนองบัว ท่ามะขาม เรียกแม่น้าตอนนีว่า “แควใหญ่” หรือ “ศรีสวัสด์ิ” เม่ือไหล มาถึงต้าบลบ้านเหนือ อ้าเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีแม่น้าแควน้อยมารวมทางฝ่ังขวา เรียกว่า “ปาก แพรก” และจากจุดนีจะเรยี กวา่ แมน่ า้ แมก่ ลอง ไหลผา่ นจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และไหลลงสู่ทะเลท่ีอ้าเภอ เมอื ง จังหวดั สมุทรสงคราม รวมระยะทางยาวประมาณ ๑๔๐ กโิ ลเมตร ๕. แม่นา้ บางปะกง เกิดจากเทือกเขาสันก้าแพง ไหลผ่านจังหวัดปราจีนบุรี เรียกว่า “แม่น้า ปราจีนบรุ ี” จากนนั ไหลผา่ นชลบุรี ฉะเชงิ เทรา ลงสอู่ า่ วไทยทอ่ี า้ เภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีความยาว ประมาณ ๒๓๐ กโิ ลเมตร ในทน่ี ี จะให้ขอ้ มูลสงั เขปทางภูมศิ าสตร์ของจงั หวดั ท่ียังคงเหลือชุมชุนผูส้ ืบทอดเพลงพนื บ้านภาคกลาง ซงึ่ ไดเ้ กบ็ รวบรวมข้อมูลไวใ้ นงานชนิ นี ดงั ตอ่ ไปนี ๒.๑.๑.๑ กรงุ เทพมหานคร กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงและนครที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ ไทย เป็นศูนย์กลางการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การเงินการธนาคาร การพาณิชย์ การ ส่อื สาร และความเจริญของประเทศ มีแม่น้าเจ้าพระยาไหลผ่านและแบ่งเมืองออกเป็น ๒ ฝ่ัง คือ ฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี โดยกรุงเทพมหานครมีพืนท่ีทังหมด ๑,๕๖๘.๗๓๗ ตารางกิโลเมตร มีประชากรตามทะเบียน ราษฎรกว่าหา้ ล้านคน เปน็ จังหวัดท่ีใหญ่เป็นอันดับที่ ๖๘ ของไทย และเป็นเมืองท่ีใหญ่เป็นอันดับที่ ๗๓ ของ โลก พืนที่ส่วนมากในกรุงเทพมหานครเป็นที่ราบลุ่ม เป็นส่วนหนึ่งของท่ีราบลุ่มภาคกลาง ตอนล่างของประเทศไทย ซ่ึงเป็นพืนที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ตังอยู่บนพืนที่บริเวณดินดอน สามเหลยี่ มปากแมน่ า้ ซึง่ เกิดจากตะกอนน้าพา มรี ะดับความสูงจากระดับน้าทะเลปานกลางประมาณ ๑.๕๐-๒ เมตร โดยมีความลาดเอียงจากทิศเหนือสู่อ่าวไทยทางทิศใต้ และเฉพาะลุ่มแม้น้าเจ้าพระยาตอนล่างจะอยู่สูง กว่าระดบั นา้ ทะเลไมเ่ กนิ ๑.๕๐ เมตร ท้าใหเ้ กดิ ปญั หานา้ ท่วมบ่อยครงั ในช่วงฤดูมรสมุ

๒๗ กรุงเทพมหานครมีอาณาเขตทางบกติดต่อกับจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัด นครปฐม จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนอาณาเขตทาง ทะเลอา่ วไทยตอนใน ติดตอ่ จังหวัดเพชรบรุ ี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดชลบุรี โดยมี รายละเอยี ดดังนี ทิศเหนอื ตดิ ต่อกบั จังหวัดนนทบรุ ีและจงั หวัดปทมุ ธานี ทิศใต้ ติดตอ่ กบั จงั หวัดสมทุ รปราการ และอ่าวไทย (ส่วนท่ีเป็นอ่าวไทยที่เป็น พืนท่ีเดมิ ของจงั หวดั ธนบุรี ปัจจุบันคือเขตบางขุนเทียน ซ่ึงมีอาณาเขต ทางทะเลติดต่อทางอ่าวไทยกับจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดชลบรุ ี และจังหวดั สมทุ รปราการ) ทศิ ตะวันออก ตดิ ต่อกับจังหวัดฉะเชงิ เทรา ทศิ ตะวันตก ติดต่อกับจงั หวดั สมทุ รสาครและจังหวัดนครปฐม กรุงเทพมหานครมีสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ แบ่งการ ปกครองออกเปน็ ๕๐ เขต ได้แก่ พระนคร ดุสติ หนองจอก บางรัก บางเขน บางกะปิ ปทุมวัน ป้อมปราบศัตรู พา่ ย พระโขนง มนี บรุ ี ลาดกระบัง ยานนาวา สัมพันธวงศ์ พญาไท ธนบุรี บางกอกใหญ่ ห้วยขวาง คลองสาน ตล่งิ ชนั บางกอกนอ้ ย บางขุนเทียน ภาษีเจริญ หนองแขม ราษฎร์บูรณะ บางพลัด ดินแดง บึงกุ่ม สาทร บาง ซื่อ จตุจักร บางคอแหลม ประเวศ คลองเตย สวนหลวง จอมทอง ดอนเมือง ราชเทวี ลาดพร้าว วัฒนา บางแค หลกั สี่ สายไหม คนั นายาว สะพานสงู วงั ทองหลาง คลองสามวา บางนา ทวีวัฒนา ทุ่งครุ และบางบอน (เรียง ตามรหสั เขตการปกครองที่ใช้ในราชการ) ภาพท่ี ๓ แผนที่แสดงอาณาเขตจังหวดั กรงุ เทพมหานคร (ทมี่ า: http://th.wikipedia.org/wiki/รายชอ่ื เขตของกรงุ เทพมหานคร)

๒๘ ๒.๑.๑.๒ กาแพงเพชร จังหวัดก้าแพงเพชรเป็นจังหวัดที่ตังอยู่ริมแม่น้าปิง และอยู่ทางตอนเหนือของภาค กลาง มีเนอื ทป่ี ระมาณ ๘,๖๐๗.๕ ตารางกิโลเมตร เปน็ พนื ท่ีการเกษตรประมาณ ๕,๓๕๘.๑๕ ตารางกิโลเมตร พืนท่ีป่าไม้ ๒,๑๘๔.๗ ตารางกิโลเมตร พืนท่ีอยู่อาศัยและอ่ืน ๆ อีกประมาณ ๑,๐๖๔.๖๕ ตารางกิโลเมตร มอี าณาเขตติดต่อกับจังหวดั ตา่ ง ๆ ดงั นี ทิศเหนอื ติดต่อกับก่ิงอ้าเภอวังเจ้า จังหวัดตาก และอ้าเภอคีรีมาศ จังหวัด สโุ ขทยั ทศิ ใต้ ตดิ ตอ่ กับอา้ เภอบรรพตพิสัย จงั หวดั นครสวรรค์ ทศิ ตะวันออก ติดต่อกับอ้าเภอบางระก้า จังหวัดพิษณุโลก และอ้าเภอโพธิ์ทะเล อ้าเภอวชริ บารมี จงั หวัดพิจิตร ทิศตะวันตก ตดิ ต่อกบั อา้ เภออมุ้ ผาง จงั หวดั ตาก ภมู ิประเทศของจงั หวดั กา้ แพงเพชรแบ่งเปน็ ๓ ลักษณะ คือ ลักษณะท่ี ๑ เป็นท่ีราบลุ่มแม่น้าปิงตอนล่างแบบตะพักลุ่มน้า มีระดับความสูง ประมาณ ๔๓ – ๑๐๗ เมตรจากระดบั นา้ ทะเลปานกลาง อยบู่ รเิ วณทางด้านทศิ ตะวันออกและใตข้ องจังหวดั ลักษณะท่ี ๒ เป็นเนินเขาเตียๆ สลับท่ีราบ พบเห็นบริเวณด้านเหนือ และตอนกลาง ของจงั หวดั ลักษณะที่ ๓ เปน็ ภูเขาสลบั ซบั ซอ้ น เป็นแหล่งแร่ธาตุ และต้นน้าล้าธารต่างๆ ท่ีส้าคัญ เชน่ คลองวงั เจา้ คลองสวนหมาก คลองขลุง และคลองวังไทร ไหลลงสแู่ มน่ ้าปิง โดยสรปุ ลักษณะพืนท่ีของจังหวดั กา้ แพงเพชร ด้านตะวันตกเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อุดมด้วยธรรมชาติ ปา่ ไม้ และน้าตก ทางด้านตะวันออกเป็นท่ีราบ ลักษณะดินเป็นดินปนทรายเหมาะแก่การ ท้านา และปลูกพืชไร่ การปกครองของจังหวัดก้าแพงเพชรแบ่งออกเป็น ๙ อ้าเภอ ๒ กิ่งอ้าเภอ ประกอบด้วย ๗๘ ต้าบล ๘๒๓ หมู่บ้าน ได้แก่ อ้าเภอเมืองก้าแพงเพชร อ้าเภอไทรงาม อ้าเภอคลองลาน อ้าเภอขาณุวรลักษบุรี อ้าเภอคลองขลุง อ้าเภอพรานกระต่าย อ้าเภอลานกระบือ อ้าเภอทรายทองวัฒนา อา้ เภอปางศลิ าทอง ก่ิงอ้าเภอบงึ สามคั คี และกิง่ อา้ เภอโกสมั พนี คร

๒๙ ภาพที่ ๔ แผนที่แสดงอาณาเขตจังหวดั ก้าแพงเพชร (ทมี่ า: http://www.kamphaengphet.go.th/new_web/New_web/his_03.htm) ๒.๑.๑.๓ ชลบรุ ี จงั หวดั ชลบุรตี งั อยู่รมิ ฝ่ังทะเลตะวนั ออกของอา่ วไทย มเี นือที่ประมาณ ๔,๓๖๓ ตาราง กิโลเมตร มีความส้าคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ เน่ืองจากมีสถานท่ีท่องเท่ียวที่มีช่ือเสียง หลายแห่ง ด้วยท้าเลทตี่ งั อนั เหมาะสมส้าหรับการค้าขายทางทะเล สง่ ผลให้ปัจจุบัน ชลบุรีได้รับการวางแผนให้ เป็นเมอื งหลักทางดา้ นอุตสาหกรรมและการค้าขาย มีท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือพาณิชย์ส้าคัญแห่งหนึ่งของ ประเทศ นอกจากนียังมีโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย เช่น โรงกลั่นน้ามัน โรงงานประกอบรถยนต์ โรงงาน น้าตาลทราย โรงงานมันส้าปะหลังอัดเส้นและอัดเม็ด และโรงงานผลิตชินส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นับว่า เป็นจังหวัดท่มี ีความส้าคญั ทางเศรษฐกจิ อย่างมาก จังหวัดชลบรุ ีมีอาณาเขตติดตอ่ กับจังหวดั ต่าง ๆ ดงั นี ทศิ เหนอื ตดิ ตอ่ กบั จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวดั ระยอง ทศิ ตะวนั ออก ติดตอ่ กับจงั หวัดฉะเชิงเทรา จังหวดั จนั ทบรุ ี และจงั หวัดระยอง ทศิ ตะวันตก ตดิ ตอ่ กบั ชายฝง่ั ทะเลตะวนั ออกของอา่ วไทย ภูมิประเทศของจังหวัดชลบุรีมีลักษณะผสมผสานกันมากถึง ๕ แบบ ได้แก่ ท่ีราบลูก คลน่ื และเนินเขา ที่ราบชายฝ่ังทะเล ท่ีราบลุ่มแม่น้าบางปะกง พืนที่สูงชันและภูเขา รวมถึงเกาะน้อยใหญ่

๓๐ อีกจ้านวนมากที่ราบลูกคล่ืนและเนินเขาพบได้ทางด้านตะวันออกของจังหวัดในเขตอ้าเภอบ้านบึง พนัสนิคม หนองใหญ่ ศรรี าชา บางละมงุ สัตหีบ และบอ่ ทอง พนื ท่ีนีมีลักษณะสูง ๆ ต้่า ๆ คล้ายลูกระนาด ปัจจุบันพืนที่ นสี ่วนใหญถ่ กู ใช้เปน็ พนื ที่เพาะปลกู มันสา้ ปะหลัง ส้าหรับทีร่ าบชายฝั่งทะเลนันพบตังแตป่ ากแม่น้าบางปะกงถึง อ้าเภอสัตหบี เป็นที่ราบแคบๆชายฝั่งทะเล มีภูเขาลกู เลก็ ๆ สลับเปน็ บางตอน ถดั มาคอื พืนที่ราบลุ่มแม่น้าบาง ปะกง มลี ้าน้าคลองหลวงยาว ๑๓๐ กิโลเมตร ต้นน้าอยู่ท่ีอ้าเภอบ่อทองและอ้าเภอบ้านบึง ผ่านพนัสนิคมไป บรรจบเป็นคลองพานทองไหลลงสแู่ มน่ ้าบางปะกง โดยดนิ ตะกอนอนั อดุ มสมบูรณ์จากการพัดพาของแม่น้าบาง ปะกงนีเอง ได้กอ่ ให้เกิดที่ราบลุ่มเหมาะสมต่อการเกษตรกรรม สว่ นพืนท่สี งู ชนั และภูเขานัน อยู่ตอนกลางและ ดา้ นตะวันออกของจงั หวดั ตังแต่อา้ เภอเมอื งชลบรุ ี บา้ นบงึ ศรรี าชา หนองใหญ่ และบ่อทอง จังหวัดชลบุรีมีชายฝ่ังทะเลยาวประมาณ ๑๖๐ กิโลเมตร มีความเว้าโค้งสวยงาม ซึ่ง อ่าวหลายแห่งสามารถพัฒนาไปเปน็ ทา่ จอดเรอื ก้าบังคลนื่ ลมไดเ้ ป็นอยา่ งดี นอกจากนี ยังมีเกาะส้าคัญ ๆ อยู่ไม่ น้อยกว่า ๔๖ เกาะ เช่น เกาะสีชัง เกาะค้างคาว เกาะริน เกาะไผ่ เกาะลอย เกาะล้าน เกาะครก เกาะสาก เกาะขาม เกาะแสมสาร และเกาะครามทีอ่ ยูใ่ นเขตทหารเรือของอ้าเภอสัตหีบ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาล เต่าทะเลท่ีหายากและใกล้สูญพันธุ์ของไทย เป็นต้น โดยเกาะเหล่านีท้าหน้าท่ีเป็นปราการธรรมชาติ ช่วย ป้องกันคลื่นลม ท้าให้ชลบุรีไม่ค่อยมีคล่ืนขนาดใหญ่ ภูมิประเทศท่ีมีความหลากหลายนีส่งผลให้จังหวัดชลบุรี สามารถพฒั นากจิ กรรมตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งตเ่ นอื่ ง ทังด้านการเกษตร อตุ สาหกรรม การพาณิชย์ และการทอ่ งเทย่ี ว การปกครองของจังหวัดชลบุรีแบ่งเป็น ๑๑ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๙๒ ต้าบล ๖๘๗ หมบู่ า้ น ได้แก่ อ้าเภอเมืองชลบุรี อ้าเภอบ้านบึง อ้าเภอหนองใหญ่ อ้าเภอบางละมุง อ้าเภอพานทอง อ้าเภอ พนสั นิคม อ้าเภอศรีราชา อ้าเภอเกาะสีชัง อา้ เภอสตั หีบ อา้ เภอบ่อทอง และอา้ เภอเกาะจันทร์ ภาพท่ี ๕ แผนท่ีแสดงอาณาเขตจงั หวัดชลบรุ ี (ทีม่ า: http://www.chonburi.go.th)