550 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สง่ิ ท่ดี เี ด่นของงานวิจัย ในปจั จบุ นั เครอ่ื งมอื การตรวจวดั สารสำ� คญั ตา่ ง ๆ ทงั้ ทางดา้ นความปลอดภยั ในอาหาร ทางดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม และทางการแพทย์มหี ลากหลายรปู แบบ แตท่ ว่าเคร่อื งมือตรวจวัดในปจั จบุ ันมขี อ้ จ�ำกัดหลายประการ อาทเิ ช่น เครือ่ งมอื มีราคาสงู มขี นาดใหญ่ไมส่ ามารถพกพาได้ จำ� เปน็ ต้องปฏิบัติการแต่เพียงในหอ้ งทดลองเท่านน้ั ความ ไวในการตรวจวิเคราะห์ต�่ำและการใช้งานท่ียุ่งยากซับซ้อน ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการตรวจวัดภาคสนาม ทั้งนี้ เซ็นเซอร์เชิงเคมีไฟฟ้าท้ังสี่ในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้อุปกรณ์ฐานกระดาษ เพ่ือลดและแก้ไข ขอ้ จ�ำกัดของเครื่องมอื ตรวจวดั ซ่งึ อปุ กรณฐ์ านกระดาษมีราคาถกู และสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้ งานดา้ นตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอกี ดว้ ย ซงึ่ รว่ มกับเทคนคิ การตรวจวัดเชงิ เคมไี ฟฟา้ ซ่ึงเปน็ เทคนิคทมี่ ีความวอ่ งไวใน การตรวจวัดสูง และเครอ่ื งมือมรี าคาถูก ท้งั นยี้ งั มกี ารนำ� วัสดชุ นดิ ใหม่มาประยุกตใ์ ชใ้ นเซ็นเซอร์ เพอ่ื เพ่ิมความ ว่องไวในการตรวจวัด เช่น วัสดทุ องระดับนาโนเมตร วสั ดุบสิ มัทระดบั นาโนเมตร วัสดุทองแดงระดับนาโนเมตร วสั ดกุ ราฟนี และขว้ั ไฟฟา้ เพชรเจอื โบรอน เปน็ ตน้ นอกจากนยี้ งั มกี ารนำ� เทคโนโลยกี ารตรวจวดั เชน่ เทคโนโลยี ตรวจวัดด้วยสมาร์ทโฟน อุปกรณ์อ่านสัญญาณโพเทนทิโอมิเตอร์แบบพกพา หรือเทคโนโลยีการประดิษฐ์ด้วย เคร่ืองพิมพ์ไขผ้ึง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างย่ิง เซ็นเซอร์ฐานกระดาษร่วมกับคาร์บอนกัมมันต์ถูกพัฒนาขึ้นเป็น คร้งั แรกในการตรวจวัดเชงิ เคมีไฟฟ้าส�ำหรับแก๊สมลพิษ ซง่ึ เปน็ อุปกรณ์ตรวจวัดแกส๊ รูปแบบใหม่ ทไ่ี ด้พฒั นาขึ้น เป็นครงั้ แรก โดยองคค์ วามรทู้ ี่ได้รับนี้สามารถน�ำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการตรวจวดั แกส๊ อื่น ๆ ได้ และยังมีเซน็ เซอร์ ฐานกระดาษตรวจวัดสารบ่งชี้การสูบบุหร่ีโดยสามารถตรวจวัดได้ท้ังเชิงสีและเชิงเคมีไฟฟ้าบนอุปกรณ์เดียวกัน ร่วมกับการประดิษฐ์ร่องไมโครแคปิลลารีบนอุปกรณ์วิเคราะห์ฐานกระดาษ เพื่อช่วยท�ำให้สารตัวอย่างน�้ำลาย ท่ีมีความหนืดสามารถไหลได้เร็วข้ึนบนอุปกรณ์ฐานกระดาษ จึงสามารถขยายช่วงความเป็นเส้นตรงของสาร ดงั กล่าว ขอ้ ไดเ้ ปรียบนี้จงึ ทำ� ให้เซ็นเซอรก์ ารตรวจวัดสามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ช้กบั ตวั อย่างน�ำ้ ลายโดยตรง โดย ไมต่ อ้ งมขี ัน้ ตอนการเตรยี มตวั อยา่ งใด ยกยอ่ งเชิดชเู กยี รติบคุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 551
รางวลั ผลงานวิจยั ดีเดน่ ของนสิ ิตระดบั ปรญิ ญาเอก ผลงานวทิ ยานิพนธ์เร่ือง ถ่านกมั มนั ต์ทไ่ี ด้จากแบคทเี รียเซลลูโลสและการประยกุ ต์ ใช้เป็นตัวดูดซับและตัวเรง่ ปฏิกิรยิ ากรดของแขง็ Activated Carbon Derived from Bacterial Cellulose and Applications as Adsorbent and Solid Acid Catalyst โดย ดร.อานนท์ ข�ำแก้ว อาจารยท์ ีป่ รกึ ษาหลัก ศาสตราจารย์ ดร.เหมอื นเดอื น พศิ าลพงศ์ ภาควชิ าวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ แหล่งทนุ ท่ไี ดร้ บั • ทุน ๙๐ ปี จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย กองทนุ รัชดาภเิ ษกสมโภช • ทนุ การศกึ ษาหลกั สูตรดุษฎบี ณั ฑติ ๑๐๐ ปีจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย • ทุนสนบั สนนุ นิสิตระดบั ปริญญาเอกและโทไปท�ำวจิ ยั ในตา่ งประเทศ • สำ� นักงานการวจิ ัยแหง่ ชาติ 552 ยกยอ่ งเชิดชเู กียรตบิ คุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวิจยั โดยสรปุ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการศึกษาการสังเคราะห์ การตรวจสอบคุณลักษณะ และการประยุกต์ใช้งานที่ หลากหลาย ของถ่านกมั มันตช์ นดิ ใหม่ทีไ่ ดจ้ ากแบคทีเรยี เซลลูโลส (BC-AC) ซ่งึ สามารถสรุปไดด้ ังน้ี ๑. BC-AC ที่ผา่ นการกระตุ้นทางเคมดี ว้ ยกรดฟอสฟอรกิ ท่ีอณุ หภูมิ ๔๐๐-๖๐๐ องศาเซลเซียส มพี ้นื ท่ี ผวิ สูงถงึ ๑,๕๔๐-๑,๗๓๔ ตารางเมตรต่อกรมั มปี รมิ าตรรพู รุนรวม ๐.๘-๑.๐ ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตรตอ่ กรัม และ มรี ูพรนุ ขนาดกลางเฉล่ยี ๒.๒-๒.๔ นาโนเมตร อกี ท้งั ยังมีเสถียรภาพทางความร้อนสูงในชว่ งอณุ หภูมิ ๐-๕๐๐ องศาเซลเซียส ๒. เมอ่ื ประยกุ ตใ์ ช้ BC-AC เปน็ ตวั ดดู ซบั ในกระบวนการดดู ซบั เมทลิ นี บลู ซง่ึ เปน็ สยี อ้ มทใี่ ชใ้ นอตุ สาหกรรม เส้นใย จากการทดสอบพบว่า BC-AC เปน็ ตัวดดู ซบั ท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพสงู โดยมีอตั ราการดดู ซบั ท่ีรวดเรว็ และให้ คา่ ความจกุ ารดดู ซับสูงถงึ ๕๐๕.๘ มิลลิกรัมเมทิลีนบลูต่อกรมั ตวั ดูดซับ ๓. เมอ่ื ประยกุ ตใ์ ช้ BC-AC เปน็ ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี ปน็ มติ รตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ในปฏกิ ริ ยิ าเอทานอลดไี ฮเดรชนั เพ่ือเปลี่ยนเอทานอลไปเป็นเอทิลีนและไดเอทิลอีเทอร์ โดยได้ท�ำการดัดแปลงพ้ืนผิวของ BC-AC ด้วย กรดฟอสฟอริก เพื่อใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยากรดของแข็ง (P/BC-AC) ที่อุณหภูมิ ๒๐๐-๔๐๐ องศาเซลเซียส พบว่า ตวั เรง่ ปฏิกริ ิยา P/BC-AC สามารถให้ค่าการเลือกเกิดเอทลิ ีน ๑๐๐% และคา่ การเปล่ียนแปลงเอทานอล ๑๐๐% ท่ีอุณหภูมิ ๔๐๐ องศาเซลเซียส และให้ค่าการเลือกเกิดไดเอทิลอีเทอร์ประมาณ ๖๗% และ คา่ การเปลี่ยนแปลงเอทานอล ๕๐% ท่ีอุณหภูมิ ๒๐๐ องศาเซลเซยี ส ๔. เมอ่ื ประยกุ ต์ใช้ BC-AC เปน็ โครงแบบชนิดแขง็ (hard template) ในการสงั เคราะห์ ZSM-5 ซโี อไลต์ ให้มีรูพรุนขนาดกลาง เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพการถ่ายโอนมวลสารภายในโครงสร้าง พบว่า ZSM-5 ซีโอไลต์ ท่ีถูกสังเคราะห์ขึ้นมีการกระจายตัวของรูพรุนขนาดกลางโดยเฉลี่ยที่ ๒๕.๓ นาโนเมตร เมื่อน�ำไปทดสอบ ประสิทธิภาพการถา่ ยโอนมวลสารและการดูดซับสารละลายฟอมอลดีไฮด์ พบวา่ ZSM-5 ซีโอไลตท์ แี่ สดงอัตรา การดูดซบั ทรี่ วดเรว็ กว่า ZSM-5 ซโี อไลต์แบบปกติ และมีความสามารถในการนำ� กลบั มาใชใ้ หมไ่ ดห้ ลายครง้ั ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รตบิ คุ ลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 553
554 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ส่งิ ท่ดี เี ดน่ ของงานวจิ ัย จุดเด่นของวิทยานิพนธ์นี้คือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางวิศวกรรมเคมี ในการสังเคราะห์ถ่านกัมมันต์ ชนิดใหม่จากแบคทีเรียเซลลูโลสให้มีคุณสมบัติท่ีดี และเหมาะสมต่อการน�ำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้าน โดยมุ่งเน้นถึงการเพ่ิมประสิทธิภาพในกระบวนการใช้งาน และการลดปัญหาของมลพิษทางส่ิงแวดล้อมไป พร้อมกนั ดังเชน่ ๑. การน�ำถ่านกัมมันต์ท่ีได้จากแบคทีเรียเซลลูโลสไปประยุกต์ใช้เป็นตัวดูดซับท่ีมีราคาถูกแต่มี ประสทิ ธภิ าพการดดู ซบั สยี อ้ มสงู เพอื่ ใชใ้ นกระบวนการบำ� บดั นำ้� เสยี ในอสุ าหกรรมเสน้ ใย เพอ่ื ลดปญั หามลภาวะ ทางนำ้� ๒. การน�ำถ่านกัมมันต์ท่ีได้จากแบคทีเรียเซลลูโลสไปประยุกต์ใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาท่ีมีประสิทธิภาพสูง ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อีกทั้งยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาราคาถูก จึงท�ำให้สามารถลดต้นทุนในกระบวนการผลิต และยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถน�ำไปบ�ำบัดเพื่อการน�ำกลับมาใช้ใหม่หรือก�ำจัด ไดง้ ่ายหลงั จากเสือ่ มสภาพโดยไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาของมลพิษในสงิ่ แวดล้อม ๓. ถ่านกัมมันต์ที่ได้จากแบคทีเรียเซลลูโลสยังสามารถไปประยุกต์ใช้เป็นโครงแบบชนิดแข็ง ส�ำหรับ การสงั เคราะห์ และกำ� หนดโครงสรา้ งรพู รนุ ของวสั ดรุ พู รนุ ชนดิ อน่ื ๆ เชน่ ซโี อไลต์ โดยสามารถกำ� หนดโครงสรา้ ง ของซีโอไลต์ได้ตามท่ีต้องการ เพื่อให้เหมาะต่อการน�ำไปประยุกต์ใช้งานในด้านอ่ืนๆต่อไป โดยสามารถน�ำ องคค์ วามร้จู ากงานวจิ ยั น้ไี ปพฒั นา หรอื ดัดแปลงโครงสรา้ ง ให้เหมาะสมกบั การประยุกต์ใชง้ านในดา้ นอ่นื ๆ ได้อยา่ งกว้างขวาง สถานที่ติดต่อ ภาควชิ าวิศวกรรมเคมี คณะวศิ วกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทรศพั ท์ ๐-๒๒๑๘-๖๘๗๘ โทรสาร ๐-๒๒๑๘-๖๘๗๗ E-mail: [email protected] ยกย่องเชดิ ชูเกยี รติบคุ ลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 555
รางวัลผลงานวิจยั ดีเด่นของนสิ ิตระดับปริญญาเอก ผลงานวทิ ยานิพนธเ์ รอื่ ง แบบจ�ำลองการคาดคะเนปัจจยั ท่เี ป็นขอ้ บ่งชี้ลกั ษณะอาชญากรรมลกู ผสมในสงั คมไทย THE INDICATOR FACTOR-BASED PREDICTIVE MODEL OF HYBRID CRIME IN THAI SOCIETY โดย พนั เอก ดร.ดเิ รกฤทธิ์ บุษยธนากรณ์ อาจารยท์ ี่ปรกึ ษาหลัก รองศาสตราจารย์ ดร.สุมนทพิ ย์ จติ สว่าง แหล่งทุนท่ไี ดร้ บั • “ทนุ ๑๐๐ ปี จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ” บญั ฑติ วทิ ยาลัย จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั • “ทนุ อุดหนุนวทิ ยานิพนธ์สำ� หรบั นสิ ิต” บัญฑติ วทิ ยาลัย จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย 556 ยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรติบุคลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวิจัยโดยสรปุ วทิ ยานพิ นธฉ์ บบั นี้ ศกึ ษาปญั หาอาชญากรรมลกู ผสมทเี่ ปน็ ปญั หาสำ� คญั ในสงั คมไทย เพอ่ื สรา้ งแบบจำ� ลอง การคาดคะเนปจั จยั ทเ่ี ปน็ ขอ้ บง่ ชล้ี กั ษณะอาชญากรรมลกู ผสมทใี่ ชใ้ นการจำ� แนก และอธบิ ายความสมั พนั ธแ์ ละ/ หรือหลักฐานในการยอมรับว่าเป็นอาชญากรรมลูกผสมในสังคมไทย รวมท้ังศึกษาแนวทางในการป้องกันและ แก้ไขปัญหาอาชญากรรมลูกผสมในสังคมไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานของการวิจัยเชิงปริมาณ และเชงิ คุณภาพ ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาอาชญากรรมในสังคมไทยถูกปรับเปล่ียนรูปแบบไปเป็นอาชญากรรมลูกผสม อยใู่ นระดบั มาก (Mean = 4.18) ซง่ึ เปน็ อาชญากรรมมากกวา่ รปู แบบเดยี ว ทเี่ กดิ จากการผสมผสานกนั ระหวา่ ง อาชญากรรมรปู แบบตา่ ง ๆ ทง้ั อาชญากรรมรปู แบบเดมิ อาชญากรรมรปู แบบใหม่ อาชญากรรมรปู แบบอน่ื ๆ และในอนาคต ทำ� ใหไ้ มส่ ามารถเขา้ ใจรปู แบบทแี่ ทจ้ รงิ ของอาชญากรรมทเี่ กดิ ขนึ้ ไดโ้ ดยงา่ ย โดยปรากฏลกั ษณะ ส�ำคัญของปัญหาอาชญากรรมลูกผสมในมิติด้านต่าง ๆ ได้แก่ ผู้กระท�ำผิด/อาชญากรมีการรวมตัวกันเป็น เครอื ข่าย/องคก์ รมากข้นึ ข้ามรฐั /ไรพ้ รมแดน พง่ึ พาเทคโนโลยี วธิ ีการที่หลากหลาย/ซบั ซ้อน สง่ ผลกระทบใน วงกวา้ ง ไมจ่ ำ� กดั ชว่ งเวลาและสถานท่ี สรา้ งการเลยี นแบบ เขา้ ถงึ เปา้ หมาย/ผเู้ สยี หายไดง้ า่ ย ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเผชญิ หนา้ กบั เปา้ หมาย/ผเู้ สยี หาย คมุ้ คา่ มากทสี่ ดุ ในการกอ่ เหตตุ อ่ ครงั้ เกยี่ วขอ้ งกบั การใชช้ วี ติ ประจำ� วนั การตดิ ตาม ตวั ผกู้ ระทำ� ผดิ /อาชญากรมาลงโทษไดย้ าก ทำ� ใหส้ ญู เสยี บคุ ลากรและงบประมาณจำ� นวนมากในการปราบปราม ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ยกยอ่ งเชิดชเู กียรติบคุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 557
การสร้างแบบจ�ำลองการคาดคะเนปัจจัยบ่งช้ีลักษณะอาชญากรรมลูกผสมในสังคมไทยตามสมมติฐาน มคี วามสัมพนั ธ์กับข้อมลู เชิงประจักษ์ (p-value = 0.881, Chi-square/df = 0.920, CFI = ๐.๙๕, GFI = 0.96, AGFI = 0.95, RMSEA = 0.000, SRMR = 0.040) สรุปได้วา่ ปญั หาอาชญากรรมลูกผสมในสงั คมไทยได้รบั อทิ ธพิ ลรวมเชงิ บวก จากปัจจยั การเปล่ียนแปลงสังคมโดยเทคโนโลยี (β = 0.92) ปจั จัยสภาพแวดลอ้ มในระดบั มหภาค (β = 0.89) ปจั จัยสภาพแวดล้อมในระดบั จลุ ภาค (β = 0.95) ปจั จัยดา้ นจิตวิทยา (β = 0.73) และ ปัจจัยด้านกายภาพ/ชวี ภาพ (β = 0.78) อยา่ งมีนัยสำ� คญั ทางสถิติ ส�ำหรับแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมลูกผสมในสังคมไทยน้ัน ควรเน้นการบังคับ ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ต่อเน่ือง ทันเวลา และปรับเปล่ียนให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต ใช้ หน่วยงานท่ีมีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือพิเศษ ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ท่ีเป็นการปลูกฝังศิลธรรม คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมท่ถี ูกต้อง รวมทั้งสรา้ งเครือขา่ ยเชอ่ื มโยงความรว่ มมอื จากทกุ ภาคส่วนของคน ในสังคมไทย เปน็ ต้น 558 ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รตบิ ุคลากรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ส่งิ ท่ดี ีเด่นของงานวิจยั วิทยานพิ นธ์ฉบบั น้ี เป็นงานวจิ ยั ต้นแบบ (Prototype) ท่ยี งั ไมเ่ คยมกี ารศกึ ษาวจิ ัยทงั้ ในและตา่ งประเทศ มาก่อน เป็นงานวจิ ยั ฉบบั แรกทร่ี เิ ร่มิ ศึกษาถึงปญั หาอาชญากรรมในมุมมองทต่ี ่างไปจากเดิม เป็นความทา้ ทาย ในมุมมองการเกิดข้ึนของอาชญากรรมในปัจจุบันท่ีเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปรากฏลักษณะของความเป็นลูกผสม ในการก่ออาชญากรรม (Hybrid Crime) โดยตั้งข้อสังเกตว่า อาชญากรรมในปัจจุบันควรถูกตีความเพิ่มข้ึน จากเดมิ มอี ะไรซอ่ นอยใู่ นการกอ่ อาชญากรรม อาชญากรรมเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ ไดอ้ ยา่ งไร อาชญาวทิ ยาจะ ท�ำอย่างไรเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของสังคมได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้รู้เท่าทันในพฤติกรรมความเส่ียงต่อ การเกิดปัญหาสังคม และความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นการเรียนรู้กับจุดเปลี่ยน ข้ามระดับ ข้าม ภาคส่วน และข้ามเขตแดนของศาสตร์ สร้างความรู้กับการเรียนรู้ทางนโยบาย และเรียนรู้ร่วมกันในการแก้ ปญั หา เพอื่ เปน็ รากฐานสูอ่ นาคตท่ยี งั่ ยืน ทเี่ ปน็ การตื่นรถู้ งึ ชะตากรรมร่วมกันจากสถานการณท์ ย่ี งุ่ ยากซบั ซ้อน ของสังคมโลกและสังคมไทย วทิ ยานพิ นธเ์ รอ่ื งนี้ ระบทุ มี่ าของปญั หาทม่ี คี วามชดั เจนสอดคลอ้ งกบั สถานการณข์ องปญั หาอาชญากรรม ในปัจจุบันและในอนาคตท่ีทั่วโลกต้องประสบรวมท้ังประเทศไทย มีการศึกษาทบทวนวรรณากรรมและการ บูรณาการสังเคราะห์ออกมาเป็นกรอบแนวคิดท่ีชัดเจน รวมทั้งมีการศึกษาโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยท่ีผสมผสาน ระหวา่ งการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณดว้ ยการใชส้ ถติ ขิ น้ั สงู และการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพดว้ ยการสมั ภาษณแ์ บบเจาะลกึ ซงึ่ นำ� ไปสกู่ ารตอบวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ทช่ี ดั เจน สำ� หรบั การนำ� เสนอผลการศกึ ษาเปน็ การบรู ณาการผลการศกึ ษา ทไี่ ด้รับการจากศึกษาเชิงปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ น�ำไปสูแ่ บบจ�ำลองการคาดคะเนปจั จัยทเ่ี ปน็ ขอ้ บง่ ช้ลี ักษณะ อาชญากรรมลูกผสมในสังคมไทย อันจะมีประโยชน์ต่อการน�ำองค์ความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ในการก�ำหนด นโยบาย หรือก�ำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมลูกผสมที่ก�ำลังจะทวีความรุนแรง มากยิ่งข้ึนในประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคตต่อไป จึงนับว่าเป็นงานวิจัยท่ีสร้างความรู้ใหม่และมี ความส�ำคัญตอ่ แวดวงวิชาการทางดา้ นอาชญาวทิ ยา สถานที่ตดิ ต่อ ภาควิชาสังคมวทิ ยาและมานษุ ยวิทยา คณะรฐั ศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๗๒๙๙, ๗๓๑๖ โทรสาร ๐-๒๒๑๘-๗๓๐๐ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 559
รางวลั ผลงานวิจัยดีเด่นของนิสิตระดบั ปรญิ ญาเอก ผลงานวิทยานพิ นธ์เร่อื ง แนวทางในการส่งเสรมิ การเป็นผเู้ รยี นร้ตู ลอดชวี ิตส�ำหรบั นกั เรียนประถมศกึ ษา GUIDELINES FOR PROMOTING LIFELONG LEARNERS ATTRIBUTES OF PRIMARY STUDENTS โดย ดร.กฤษพร อยสู่ วสั ดิ์ อาจารยท์ ีป่ รกึ ษาหลัก รองศาสตราจารย์ ดร.วรรัตน์ ปทุมเจรญิ วฒั นา แหล่งทุนทไ่ี ด้รบั ทุน ๙๐ ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั กองทนุ รัชดาภเิ ษกสมโภช 560 ยกยอ่ งเชิดชูเกียรตบิ คุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ัยโดยสรปุ วิทยานพิ นธฉ์ บับนม้ี วี ตั ถุประสงค์เพื่อ ๑) ศกึ ษาองค์ประกอบของการเปน็ ผู้เรียนรู้ตลอดชวี ติ ของนกั เรยี น ประถมศึกษา ๒) พัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของ นักเรียนประถมศึกษา และ ๓) น�ำเสนอแนวทางในการส่งเสริมการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตส�ำหรับนักเรียน ประถมศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธี ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ ๖ ในกรงุ เทพมหานคร จำ� นวน ๓,๓๑๓ คน นอกจากนั้นยงั มีผใู้ หข้ ้อมลู กลุ่มตา่ งๆ ประกอบดว้ ย ๑) ผ้เู ช่ยี วชาญ ด้านตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง รวมจ�ำนวน ๗ คน ประเมนิ ความเหมาะสมขององค์ประกอบการเปน็ ผเู้ รียนร้ตู ลอดชีวิต และความเหมาะสมของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต ๒) ผู้บริหารโรงเรียน ครูและผู้ปกครอง จากโรงเรียนท่ีมีคะแนนเฉล่ียการเป็นผู้เรยี นรตู้ ลอดชีวติ ของนักเรียนสูงสุด ๕ อนั ดบั แรก จำ� นวน ๕ โรง จาก โรงเรยี นทน่ี ำ� มาท�ำการศกึ ษาทัง้ สิ้นจ�ำนวน ๓๔ โรง รวมจำ� นวน ๑๕ คน เป็นผู้ให้ขอ้ มูลหลกั ในการสัมภาษณ์ เพ่ือให้ได้ (รา่ ง) แนวทางในการสง่ เสริมการเป็นผู้เรียนรตู้ ลอดชวี ิตส�ำหรับนกั เรียนประถมศึกษา กล่าวคือ ผู้วิจยั น�ำปัจจัยท่ีมีอิทธิพลมากท่ีสุดมาใช้เป็นกรอบในการก�ำหนดเป็นประเด็นข้อค�ำถามการสัมภาษณ์เกี่ยวกับการ ส่งเสริมการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตส�ำหรับนักเรียนประถมศึกษาตามประเด็นที่ก�ำหนดจากการด�ำเนินการ ตามบทบาทของผู้ให้ข้อมูลหลักแต่ละฝ่ายในกรณีของ ๕ โรงเรียนดังกล่าว ๓) ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความ เหมาะสมของ (ร่าง) แนวทางและเข้าร่วมการประชุมสนทนากลุ่ม จ�ำนวน ๑๑ คน การเก็บรวบรวมข้อมูล จากนักเรียนกลุ่มตัวอย่างใช้แบบสอบถาม โดยข้อมูลเชิงปริมาณท่ีได้น�ำมาท�ำการวิเคราะห์องค์ประกอบ เชิงยืนยันอันดับสอง (Second Order Confirmatory Factor Analysis: S-CFA) และการวิเคราะห์โมเดล สมการเชงิ โครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) โดยใช้วิธกี ารประมาณคา่ ความเปน็ ไปไดส้ งู สดุ ยกย่องเชิดชเู กียรติบุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 561
(Maximum Likelihood: ML) ดว้ ยโปรแกรม LISREL (Linear Structural Relations) สว่ นขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ ท่ีไดน้ ำ� มาท�ำการวเิ คราะห์โดยใชเ้ ทคนคิ การวเิ คราะเนื้อหาแบบอปุ นยั (Inductive Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ๑) องค์ประกอบของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียนประถมศึกษามี ๕ องค์ประกอบ เรียงล�ำดับจากค่าน้�ำหนักองค์ประกอบสูงสุดไปต่�ำสุด ได้แก่ ความสามารถในการเรียนรู้ แรงจูงใจใฝ่เรียนรู้ ทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ความสามารถในการสื่อสารและเจตคติต่อ การเรียนรู้ ๒) โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียน ประถมศึกษามีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (=1.30 p=.08, GFI=1.00, AGFI=0.99, CFI=1.00, RMSEA=0.01, SRMR=0.00) โดยการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตได้รับอิทธิพลทางตรงจากปัจจัย ดา้ นนกั เรียนสูงสุด รองลงมาคอื ปัจจัยด้านโรงเรียนและปจั จยั ด้านครอบครัว โดยท้งั สามปจั จยั สามารถรว่ มกัน อธิบายการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตได้ร้อยละ ๗๒.๐๐ ๓) แนวทางในการส่งเสริมการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต ส�ำหรับนักเรียนประถมศึกษาประกอบด้วยแนวทาง ๔ ด้าน ได้แก่ แนวทางในการส่งเสริมให้นักเรียนเป็น ผู้มุ่งอนาคต แนวทางในการส่งเสริมให้นักเรียนเป็นผู้เห็นคุณค่าในตนเอง แนวทางในการส่งเสริมให้นักเรียน เป็นผู้รู้จักตนเอง และแนวทางในการส่งเสริมให้นักเรียนเป็นผู้มีอ�ำนาจในตน โดยในแต่ละแนวทางจะมี แนวปฏิบัติย่อยส�ำหรับผู้บริหารโรงเรียน ครูและผู้ปกครองนักเรียน เพื่อร่วมกันปฏิบัติตามบทบาทหน้าท่ีของ ตนเองแต่ละฝา่ ยในการชว่ ยกนั ส่งเสรมิ สนับสนุนให้นกั เรยี นเป็นผ้เู รยี นร้ตู ลอดชวี ิตไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ สิง่ ท่ดี ีเดน่ ของงานวิจยั ประการที่ ๑ วทิ ยานพิ นธเ์ รอื่ งนเี้ ปน็ เรอ่ื งทศ่ี กึ ษาเกยี่ วกบั การเปน็ ผเู้ รยี นรตู้ ลอดชวี ติ ซง่ึ มคี วามสำ� คญั มาก โดยเฉพาะในสงั คมโลกยคุ ศตวรรษท่ี ๒๑ ทีม่ ีความซบั ซอ้ นและเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็วและตลอดเวลา การที่ บุคคลจะสามารถด�ำเนินชีวิตในสังคมได้นั้นจะต้องอาศัยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต “การเรียนรู้ตลอด ชวี ติ ” จงึ เปน็ หลกั ในการศกึ ษาในปจั จบุ นั ทมี่ งุ่ พฒั นาทรพั ยากรบคุ คลใหเ้ ปน็ “บคุ คลแหง่ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ ” ซ่ึงนานาประเทศจึงได้ให้ความส�ำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนทุกระดับให้เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต โดยวิทยานิพนธ์ เล่มน้ีได้น�ำเสนอแนวทางในการส่งเสริมการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตส�ำหรับนักเรียนประถมศึกษา ซึ่งเป็นช่วง พ้ืนฐานส�ำคัญที่สุดของการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยศึกษากับนักเรียนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีสังคมท่ีมี ความซับซอ้ นมากท่สี ุดของประเทศ อนั จะเปน็ แนวทางทจี่ ะชว่ ยส่งเสรมิ ให้นักเรยี นเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซงึ่ จะนำ� ไปสกู่ ารพฒั นาตอ่ ยอดเปน็ กลมุ่ คนแหง่ การเรยี นรู้ องคก์ รแหง่ การเรยี นรแู้ ละสงั คม แหง่ การเรยี นรูโ้ ดยรวมของประเทศต่อไป ประการที่ ๒ วิทยานิพนธ์เร่อื งน้เี ป็นเรอ่ื งท่มี คี วามใหมท่ ่ยี ังไม่เคยมีการศึกษาในลักษณะน้ีมาก่อน ซงึ่ จาก การศกึ ษาท้ังในและต่างประเทศ พบวา่ มีเพยี งสว่ นน้อยทท่ี �ำการศกึ ษากบั นักเรียนประถมศึกษา ไมค่ รอบคลมุ องค์ประกอบของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งงานวิจัยในประเทศเท่าท่ีผู้วิจัยศึกษาพบว่า มีเพียงเร่ืองเดียว เท่าน้นั ทท่ี ำ� การศึกษากับนกั เรียนระดบั น้ี 562 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ประการที่ ๓ วทิ ยานิพนธ์เร่อื งน้ีมแี นวคดิ ในการออกแบบท่ตี ่างจากงานส่วนใหญ่ทมี่ ักจะทำ� การส่งเสริม ที่ตัวแปร Y ซึ่งก็คือการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งไม่ได้ผิด แต่ผู้วิจัยคิดว่าผลท่ีได้จากการส่งเสริมน้ันไม่ย่ังยืน ทำ� ใหเ้ กดิ คำ� ถามขน้ึ วา่ อะไรทจี่ ะทำ� ใหต้ วั แปร Y เปลย่ี นแปลงไปในทศิ ทางทด่ี ขี น้ึ จงึ ทำ� การหาตวั แปร X ทม่ี พี ลงั ทำ� ใหต้ ัวแปร Y เปลย่ี นแปลงแลว้ จงึ ทำ� การส่งเสริมที่ตวั แปร X หรอื ปัจจัยที่สง่ ผลต่อการเป็นผเู้ รยี นรูต้ ลอดชวี ติ ทมี่ ีพลังทำ� ให้เกิดคณุ ลกั ษณะการเปน็ ผู้เรยี นรู้ตลอดชีวติ หรือตัวแปร Y ท่นี า่ จะมีความย่งั ยืนมากกวา่ โดยผา่ น การกลั่นกลองด้วยแนวคดิ ทฤษฎี งานวิจยั ที่เกีย่ วขอ้ งและทส่ี ำ� คญั คือ ใชผ้ ลการวจิ ัยจากการวิเคราะห์ที่ซับซอ้ น เปน็ ฐาน ประการที่ ๔ วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ได้น�ำเสนอแนวทางในการส่งเสริมการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตส�ำหรับ นักเรียนประถมศึกษา ซ่ึงได้น�ำเสนอแนวทางเป็นรายด้าน โดยแต่ละแนวทางได้มีการน�ำเสนอแนวปฏิบัติแยก สำ� หรบั ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ครูและผูป้ กครอง ซึ่งมีรายละเอยี ดให้ผู้ท่จี ะน�ำแนวทางและแนวปฏบิ ตั สิ ามารถนำ� ไป ใช้ได้เป็นอยา่ งดี ประการสดุ ทา้ ย วทิ ยานพิ นธเ์ รอ่ื งนไี้ ดม้ กี ารสรปุ องคค์ วามรใู้ หมท่ ไี่ ดจ้ ากงานวจิ ยั ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ไดส้ รปุ โดยเปรยี บ เทยี บองคค์ วามรใู้ หมท่ ไ่ี ดก้ บั การปลกู ตน้ ไมท้ เี่ รยี กวา่ “ตน้ ไมแ้ หง่ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ ” โดยไดจ้ ดั ทำ� ออกมาเปน็ ภาพพรอ้ มกับค�ำอธบิ ายเพอ่ื ให้งา่ ยต่อการเขา้ ใจ สถานท่ีตดิ ตอ่ ภาควชิ าการศึกษาตลอดชีวติ คณะครศุ าสตร์ โทรศพั ท์ ๐๘-๑๖๔๔-๔๒๔๔ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รติบคุ ลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 563
รางวัลผลงานวิจยั ดเี ด่นของนิสิตระดบั ปรญิ ญาเอก ผลงานวทิ ยานพิ นธเ์ รอ่ื ง การออกแบบเรขศิลปส์ ำ� หรบั พิพธิ ภณั ฑ์เพอ่ื ส่งเสริมการเรยี นรูต้ ลอดชีวิตในกลมุ่ ไทยดจิ ทิ ัลเนทีฟ GRAPHIC DESIGN FOR MUSEUMS TO ENHANCE LIFELONG LEARNING FOR THAI DIGITAL NATIVES โดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สริ ดา ไวยาวจั มัย อาจารยท์ ่ีปรกึ ษาหลกั ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. เพม่ิ ศกั ดิ์ สวุ รรณทัต แหล่งทนุ ทไี่ ด้รับ - 564 ยกย่องเชดิ ชเู กียรติบคุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ัยโดยสรปุ วิทยานิพนธ์ฉบับน้ีได้ศึกษาเรื่อง “การออกแบบเรขศิลป์สำ� หรับพิพิธภัณฑ์เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ตลอด ชีวิตในกลุ่มไทยดิจิทัลเนทีฟ” มีความมุ่งหมายให้แหล่งเรียนรู้รูปแบบพิพิธภัณฑ์สามารถเชื่อมโยงเน้ือหา ความรทู้ อ่ี ยภู่ ายในพพิ ธิ ภณั ฑไ์ ดร้ บั ความสนใจเขา้ ถงึ กลมุ่ ไทยดจิ ทิ ลั เนทฟี ซง่ึ เปน็ กลมุ่ คนรนุ่ ใหมท่ เ่ี ปน็ ทรพั ยากร มนุษย์ผู้มีความส�ำคัญเป็นพลังในการขับเคล่ือนพัฒนาชาติได้ การส่งเสริมสร้างความดึงดูดใจให้เกิดการเรียนรู้ ตลอดชีวิตจึงสอดคล้องกับพันธกิจหลักของงานด้านพิพิธภัณฑ์ผ่านสื่อรูปแบบออนไลน์สามารถเข้าถึง รูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม โดยมีระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานในรูปแบบ การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ ดว้ ยการสรา้ งชดุ เครอ่ื งมอื การวจิ ยั แบบสอบถาม แบบวเิ คราะหแ์ นวปฏบิ ตั ิ ที่ดีแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มด้วยการเก็บข้อมูลจากนักจัดการองค์ความรู้งานพิพิธภัณฑ์ ผู้เช่ียวชาญ นักวิชาการ นักออกแบบ และกลุ่มไทยดิจิทัลเนทีฟ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพ่ือมุ่งเน้น ประโยชน์และคุณค่าส�ำหรับหน่วยงานด้านงานพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาทัศนคติ และพฤติกรรมการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ น�ำไปสู่การพัฒนาสร้างสื่อเรขศิลป์ท่ีช่วยสร้างดึงดูดใจส�ำหรับกลุ่มไทย ดิจิทัลเนทีฟ และสามารถสรุปแบบจ�ำลองแนวคิดการออกแบบสื่อออนไลน์ส�ำหรับพิพิธภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริม การเรยี นรตู้ ลอดชีวติ เพือ่ เผยแพรอ่ งค์ความรู้ ยกยอ่ งเชดิ ชูเกยี รติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 565
ผลการวิจัยพบว่าแนวทางการออกแบบเรขศิลป์ส�ำหรับพิพิธภัณฑ์ในกลุ่มดิจิทัลเนทีฟ คือแพลทฟอร์ม ออนไลนท์ ส่ี มั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการใชเ้ ทคโนโลยี โดยพบแนวทางการพจิ ารณาเนอื้ หาเดน่ ของพพิ ธิ ภณั ฑเ์ พอ่ื ใช้ ส่ือสารได้เปน็ ๖ เรอ่ื งเดน่ เรยี กว่า “S-6 (Story of 6)” จากการประยกุ ตใ์ ช้ผลของการวจิ ัยเพื่อการออกแบบ สร้างสรรค์สื่อเรขศิลป์ออนไลน์ส�ำหรับพิพิธภัณฑ์ต้นแบบ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ สามารถสร้างความดึงดูดใจต่อกลุ่มไทยดิจิทัลเนทีฟช่วยเชื่อมโยงองค์ความรู้ส่งเสริมให้พิพิธภัณฑ์เป็นแหล่ง เรียนรตู้ ลอดชีวิตได้อยา่ งยัง่ ยืน สง่ิ ที่ดีเดน่ ของงานวิจยั ผลของงานวิจัยสามารถน�ำเสนอแนวคิดและวิธีการในการออกแบบส่ือเว็บไซต์ส�ำหรับพิพิธภัณฑ์ใน ประเทศไทยเพอื่ สื่อสารองคค์ วามรภู้ ายในพิพธิ ภณั ฑ์ส่กู ลุ่มเปา้ หมายดิจิทัลเนทีฟไดอ้ ยา่ งชดั เจน เปน็ นวตั กรรม ด้านการสร้างสื่อผ่านเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมช่วยกระตุ้นส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไดจ้ รงิ จากกระบวนการวจิ ยั สามารถสรปุ สาระวธิ สี อื่ สารกบั กลมุ่ ดจิ ทิ ลั เนทฟี ได้ ๔ ดา้ นชดั เจน คอื ๑) สอ่ื เวบ็ ไซต์ แสดงผลหลากหลายหนา้ จอ (Website Responsive Design) ๒) สอ่ื สังคมออนไลน์ (Multiple Online Social Media) ๓) มีรปู แบบทนั ต่อยุคสมัย (Modern / Up to date Design) และ ๔) การนำ� เสนอเนอื้ หาเนน้ กราฟิก ข้อมูลหรอื เป็นรูปแบบสาระบนั เทงิ (Infographic / Infotainment) และน�ำเสนอแนวทางการนำ� ไปประยุกต์ ใช้ได้อย่างเป็นข้ันตอนเพ่ือด�ำเนินงานออกแบบส่ือเรขศิลป์ออนไลน์ส�ำหรับพิพิธภัณฑ์พร้อมระบุผู้เก่ียวข้องใน การทำ� งานอย่างชดั เจน อธบิ ายโดยสรปุ ไดด้ งั นี้ ขน้ั นตอนที่ ๑ : พพิ ิธภณั ฑ์ กรอก แบบฟอร์มชุด A เพื่อกำ� หนดจดุ เดน่ ทีต่ ้องการใชเ้ ปน็ เน้อื หาส�ำคัญในการสร้างสื่อออนไลนส์ �ำหรบั พิพิธภัณฑ์ โดยส่วนน้ีผู้ก�ำหนดยุทธศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์จะเป็นผู้เลือกเรื่องเด่น (Story) ที่จะน�ำเสนอบน เว็บไซต์หรือสอ่ื ออนไลน์ แบ่งออกเปน็ ๖ เรื่องเดน่ (Story of 6) หรอื “S-6” ขั้นตอนท่ี ๒ : นกั ออกแบบเรขศลิ ป์มอื อาชีพ กรอกแบบฟอร์มชุด B (เลือกกรอก ๑ ใน ๖ ชดุ ตามจุดเดน่ ทีส่ ุดของพิพิธภัณฑ์) เพ่ือช่วยใหน้ กั ออกแบบ เรขศลิ ป์ วเิ คราะหแ์ นวทางตงั้ ตน้ คน้ หารปู แบบ/ทศิ ทางของงานออกแบบ โดยใชว้ ธิ สี รา้ งการจงู ใจตามหลกั โฆษณา ดว้ ยลกั ษณะการก�ำหนดรูปแบบหรือลีลาในการจงู ใจ สามารถสอื่ สารระหวา่ งทมี นักออกแบบได้อย่างเหมาะสม และสมั พนั ธก์ บั จุดเดน่ จากแบบฟอร์ม A ที่ได้ก�ำหนดจุดเดน่ ไว้ 566 ยกย่องเชดิ ชเู กยี รติบคุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สถานทต่ี ิดต่อ ภาควิชานฤมิตศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๔๕๘๓ โทรสาร ๐-๒๒๑๘-๔๕๘๓ E-mail: [email protected], [email protected] ยกย่องเชิดชเู กียรติบคุ ลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 567
รางวลั ผลงานวจิ ัยดีเดน่ ของนสิ ิตระดับปรญิ ญาเอก ผลงานวิทยานพิ นธ์เรื่อง ภาพตวั แทนผสู้ งู อายไุ ทยทีส่ ่ือผา่ นกลวธิ ที างภาษาในวาทกรรมสือ่ สาธารณะ Representations of Thai Elderly People Through Linguistic in Mass Media Discourses โดย ดร.ธรี ะ บุษบกแก้ว อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาหลกั รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพร พานโพธท์ิ อง ภาควิชาภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ แหลง่ ทนุ ทีไ่ ด้รับ • ทุนโครงการสูค่ วามเป็นเลศิ ดา้ นภาษาและวรรณคดไี ทย คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั • ทนุ ผชู้ ่วยวิจยั หนว่ ยปฏบิ ตั กิ ารวจิ ัย “ไทยวิทรรศน์” เพือ่ การศกึ ษาภาษา วรรณคดี และคตชิ นไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 568 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ ุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ัยโดยสรปุ ประเด็นเร่ืองผู้สูงอายุได้รับความสนใจจากนักวิชาการหลายสาขาเพราะสังคมไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แล้ว งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือวิเคราะห์ภาพตัวแทนของผู้สูงอายุท่ีสื่อผ่านกลวิธีทางภาษาในวาทกรรม ส่ือสาธารณะในสังคมไทย ๒ ประเภท ได้แก่ หนังสือพิมพ์ และรายการโทรทัศน์ ข้อมูลท่ีใช้ศึกษาคือ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยใช้กรอบแนวคดิ วาทกรรมวเิ คราะหเ์ ชงิ วิพากษข์ องแฟรค์ ลฟั (Fairclough, ๑๙๙๕) ผลการวิเคราะห์ตัวบทพบว่า วาทกรรมหนังสือพิมพ์ขับเน้นภาพตัวแทนผู้สูงอายุด้านลบ กล่าวคือมอง ผสู้ งู อายุในฐานะผทู้ ่ไี มส่ ามารถดแู ลตวั เองได้ เปน็ ผ้พู ง่ึ พาความช่วยเหลอื จากรฐั และสงั คม อีกทั้งยงั เปน็ ปญั หา และภาระท่ีรัฐต้องแก้ไข การเน้นน�ำเสนอภาพดังกล่าวมากเป็นพิเศษเป็นการมองภาพแบบเหมารวม ภาพ ดงั กลา่ วอาจทำ� ใหเ้ กดิ เปน็ “วาทกรรมแหง่ ความกลวั ” ในสงั คมไทย คอื ทำ� ใหเ้ กดิ ความกลวั ความชรา หรอื ปฏเิ สธ ความแกค่ วามชรา ในขณะทว่ี าทกรรมรายการโทรทศั นพ์ ยายามนำ� เสนอภาพดา้ นบวกของผสู้ งู อายขุ น้ึ มาแขง่ ขนั เพอ่ื ปฏเิ สธความคดิ ดา้ นลบของคนในสงั คม กลา่ วคอื ผสู้ งู อายเุ ปน็ กลมุ่ ทรพั ยากรบคุ คลทมี่ คี ณุ คา่ และมพี ลงั รว่ ม สร้างสังคมไทยได้ ภาพดังกล่าวสอดคล้องไปกับทิศทางของหน่วยงานรัฐ คือเน้นให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตัวเองและ ท�ำประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งน้จี ะไดไ้ มเ่ ปน็ ภาระของรฐั ขณะเดียวกนั ก็นำ� เสนอภาพผู้สงู อายเุ พยี งกลุ่มเดียวคอื กลมุ่ ทม่ี คี วามสามารถชว่ ยสงั คมได้จงึ อาจสร้างภาพเหมารวมผ้สู งู อายใุ นบางแงม่ ุม ภาพตัวแทนเหลา่ นี้สื่อผ่านกลวธิ ี ทางภาษา ๖ กลวิธี ได้แก่ การเลือกใชค้ ำ� อา้ งถึง การใชช้ นิดกระบวนการ การนิยาม การให้รายละเอยี ด การ แนะความ การใช้สหบท ท้ังนภ้ี าพตัวแทนจากสอื่ ทง้ั สองกลมุ่ มไิ ด้น�ำเสนอภาพผูส้ งู อายุในฐานะปูย่ า่ ตายายทมี่ ี บทบาทสำ� คญั ในครอบครวั อาทิ บทบาทผดู้ แู ลบา้ นและเลย้ี งดลู กู หลาน บทบาทผใู้ หก้ ารพงึ่ พา บทบาทผแู้ นะนำ� สั่งสอน ด้านการวิเคราะห์วิถีปฏิบัติทางวาทกรรมพบว่าวาทกรรมหนังสือพิมพ์และวาทกรรมรายการโทรทัศน์ที่ ถา่ ยทอดออกไปสู่สังคมต่างก็มีรฐั เปน็ ผู้อยเู่ บอ้ื งหลังวาทกรรม ดงั นน้ั ภาพตวั แทนผ้สู งู อายทุ ่ถี ูกผลิตขึ้นจงึ สนอง ไปกบั นโยบายของรฐั ดา้ นการวเิ คราะหว์ ถิ ปี ฏบิ ตั ทิ างสงั คมวฒั นธรรมพบวา่ ปจั จยั ทางสงั คม ไดแ้ ก่ สถานการณ์ สังคมสูงอายุ นโยบายรัฐและกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ การแพทย์และสาธารณสุข แนวคิดที่มีอยู่ในสังคม วัฒนธรรมไทย แนวคดิ เรอ่ื งความกตญั ญู ความอาวโุ ส คุณค่าของผูส้ งู อายุ และอทิ ธิพลจากสหประชาชาติ มี อิทธิพลต่อการผลิตตัวบท ขณะเดียวกันภาพตัวแทนผู้สูงอายุที่ส่ือผ่านตัวบทก็อาจส่งผลต่อความคิดความเช่ือ ของคนในสังคมดว้ ยเชน่ กนั กลา่ วโดยสรปุ ผลการศกึ ษานเ้ี ผยใหเ้ หน็ วา่ ภาพตวั แทนผสู้ งู อายใุ นวาทกรรมสอ่ื สาธารณะทง้ั สองประเภท ถกู เลอื กสรรเฉพาะบางดา้ นมานำ� เสนอใหโ้ ดดเดน่ ตามอดุ มการณห์ รอื จดุ ยนื ทผี่ ผู้ ลติ วาทกรรมมอี ยู่ การตระหนกั รู้ ภาพตวั แทนผสู้ งู อายทุ ถี่ กู นำ� เสนอในวาทกรรมสอ่ื สาธารณะนอ้ี าจทำ� ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจประเดน็ ผสู้ งู อายมุ ากขน้ึ ยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรตบิ คุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 569
570 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สงิ่ ที่ดีเด่นของงานวิจัย ๑) ด้านประเด็นวจิ ัยและข้อมลู งานวจิ ัยเรือ่ งนเี้ ลือกศึกษาประเด็นเก่ยี วกับ “ผสู้ งู อาย”ุ ซึ่งเรื่องทสี่ งั คม ไทยในฐานะสงั คมผสู้ งู อายใุ หค้ วามสนใจอยใู่ นขณะนี้ ทผ่ี า่ นมา มงี านวจิ ยั จากหลายสาขาทงั้ วทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ และสงั คมศาสตร์ แตย่ งั ไมม่ งี านทวี่ เิ คราะหภ์ าษาไทยเพอ่ื สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความคดิ เกย่ี วกบั ผสู้ งู อายใุ นสอื่ สาธารณะ การวิเคราะห์ข้อมูลภาษาเป็นหลักฐานรูปธรรมส�ำคัญท่ีสะท้อนให้เห็นว่าความคิดเก่ียวกับผู้สูงอายุที่ไหลเวียน อยใู่ นวาทกรรมส่อื และมีผลต่อความเข้าใจของคนในสังคมเปน็ เชน่ ไร ขอ้ มลู ท่ศี ึกษามาจากสื่อหนังสอื พิมพ์และ รายการโทรทศั นท์ ่มี ีเนอื้ หาเก่ยี วกับผู้สูงอายซุ ึง่ เป็นวาทกรรมสาธารณะที่แพรไ่ ปสู่สังคมในวงกวา้ ง ๒) ด้านแนวคิดและการวิเคราะห์ แนวคิดที่น�ำมาใช้คือ วาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ซึ่งมีลักษณะเป็น “สหวทิ ยาการ” (interdisciplinary) กลา่ วคอื ไดบ้ รู ณาการแนวคดิ ทงั้ ภาษาศาสตรแ์ ละแนวคดิ ทางสงั คมเขา้ ดว้ ย กันเพ่ือมุ่งหาค�ำตอบในงานวิจัยนี้ ทั้งน้ีได้ประมวลหลายแนวคิดมาเป็นกรอบการวิเคราะห์ อาทิ แนวคิดชนิด กระบวนการ แนวคิดผู้แสดงทางสังคม ฯลฯ อีกท้ังยังได้วิเคราะห์ปริบทสังคมวัฒนธรรมไทยท่ีเก่ียวข้องกับ ตัวบททีศ่ ึกษา ๓) ด้านประโยชน์ของงานวิจัย ในฐานะงานวิจัยด้านภาษาไทย งานวิจัยเร่ืองน้ีได้แสดงให้เห็นว่าการ วิเคราะห์ภาษาไทยสามารถเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนให้เห็นความคิดของคนในสังคม ในฐานะงาน เชงิ วิพากษ์ ผลการวจิ ัยเรอ่ื งนีแ้ สดงใหเ้ หน็ มุมมองของสงั คมปจั จบุ นั ทมี่ ตี ่อผสู้ งู อายุ วยาคตปิ ระการท่ีควรแก้ไข ผลการศกึ ษาอาจจะนำ� ไปเป็นแนวทางในการสร้างความเขา้ ใจ ลด “ความกลวั ” การเข้าสูภ่ าวะความชราของ บคุ คลและการเขา้ สูส่ ังคมสงู วยั ของสังคมไทยซ่ึงเปน็ ส่ิงทีไ่ มอ่ าจหลกี เลี่ยงได้ สถานที่ติดต่อ ภาควชิ าภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๔๖๘๗ E-mail: [email protected] ยกย่องเชดิ ชเู กียรติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 571
รางวลั ผลงานวิจยั ดเี ดน่ ของนสิ ิตระดบั ปรญิ ญาเอก ผลงานวิทยานิพนธ์เรือ่ ง ส�ำนวนภาษาในวรรณคดไี ทยท่สี ัมพนั ธ์กบั สำ� นวนภาษาในวรรณคดีบาลีและสันสกฤต EXPRESSIONS IN THAI LITERATURE IN RELATION TO EXPRESSIONS IN PALI AND SANSKRIT LITERATURE โดย ดร.อสั นี พูลรกั ษ์ อาจารย์ที่ปรึกษาหลกั อาจารย์ ดร.ใกล้ร่งุ อามระดิษ แหล่งทนุ ที่ได้รับ • โครงการสู่ความเป็นเลศิ ด้านภาษาและวรรณคดไี ทย ภาควิชาภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั • The Khyentse Foundation 572 ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รติบคุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ยั โดยสรุป วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ศึกษาวิเคราะห์ส�ำนวนภาษาในวรรณคดีไทยท่ีสันนิษฐานว่ามีท่ีมาจากส�ำนวนภาษา ในวรรณคดีบาลีและสันสกฤต โดยใช้ข้อมูลวรรณคดีไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๙ แห่ง กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ผลการศึกษาสามารถสรุปได้ ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑. ในวรรณคดไี ทยมสี ำ� นวนภาษาทม่ี าจากวรรณคดบี าลเี ปน็ จำ� นวนมาก และมสี ำ� นวนทมี่ าจากวรรณคดี สนั สกฤตอยู่จำ� นวนหนง่ึ ท้ังท่เี ป็นส�ำนวนไวยากรณ์ เชน่ “เป็นตน้ ” “จำ� เดิมแต่” “กับดว้ ย” และส�ำนวนเนอ้ื หา เชน่ ส�ำนวนชมความงามของตัวละคร ส�ำนวนยอพระเกียรติ อนั แสดงใหเ้ ห็นว่า วรรณคดีบาลแี ละสันสกฤตมิได้ มีอิทธิพลต่อวรรณคดีไทยในระดับเค้าโครงเร่ืองหรือแนวคิดเท่าน้ัน หากแต่ยังส่งอิทธิพลลึกไปถึงระดับของ การใชค้ �ำที่ท�ำหน้าทที่ างไวยากรณ์ และสง่ อทิ ธิพลมาเป็นเวลาช้านาน ๒. ส�ำนวนภาษาบาลีและสันสกฤตในวรรณคดไี ทยอาจจ�ำแนกได้ ๒ ลักษณะ คอื (๑) สำ� นวนภาษาบาลี และสันสกฤตท่ีเป็นสำ� นวนแปล และ (๒) ส�ำนวนภาษาบาลีและสันสกฤตท่เี ปน็ สำ� นวนดดั แปลง ๓. สำ� นวนภาษาบาลแี ละสันสกฤตในวรรณคดไี ทยคลี่คลายไปด้วยปัจจยั ต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ขนบวรรณคดี และความคดิ สรา้ งสรรคข์ องกวไี ทย (๒) ปรบิ ทสงั คมและวฒั นธรรมไทย และ (๓) สากลลกั ษณข์ องการรบั อทิ ธพิ ล ภาษาตา่ งประเทศและการแปล ๔. ส�ำนวนภาษาบาลีและสันสกฤตมีความส�ำคัญทั้งต่อขนบการแต่งวรรณคดีไทยและวัฒนธรรมทาง ภาษาและวรรณคดไี ทย กล่าวคือ วฒั นธรรมทางภาษาและวรรณคดไี ทยในแงห่ น่งึ เป็นวัฒนธรรมของการแปล ดัดแปลง สืบทอด และสร้างสรรค์ภาษาและวรรณคดีไทยจากแหล่งส�ำคัญ คือวรรณคดีบาลีและสันสกฤต ด้วยเหตดุ งั กลา่ ว จงึ อาจเรียกกระบวนการน้วี า่ “ภารตานวุ าท” ซง่ึ มคี วามหมายตามรปู ศพั ท์คือ ‘การกลา่ วซ้ำ� ’ หรือ ‘กลา่ วตาม’ สำ� นวนภาษาในวรรณคดีอนิ เดยี โบราณ คือ บาลีและสันสกฤต ยกย่องเชดิ ชเู กยี รตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 573
574 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สง่ิ ท่ดี ีเด่นของงานวิจยั วิทยานิพนธ์เล่มนี้ต้ังประเด็นการวิจัยที่ “แปลกใหม่” และ “ท้าทาย” กล่าวคือ ในอดีต งานวิจัยด้าน อทิ ธิพลภาษาบาลแี ละสันสกฤตในภาษาไทยมกั เปน็ การศกึ ษาอิทธิพลในดา้ นคำ� ยมื เปน็ หลกั ยงั ไมม่ งี านวจิ ัยใด ทศ่ี กึ ษาอทิ ธพิ ลดา้ นสำ� นวนภาษาหรอื คำ� และสำ� นวนยมื แปลจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตอยา่ งเปน็ ระบบมากอ่ น ส่วนงานวิจัยวรรณคดีไทยในมิติที่สัมพันธ์กับวรรณคดีบาลีและสันสกฤตน้ันก็มักเป็นการวิเคราะห์อิทธิพล ที่ปรากฏใหเ้ ห็นได้ชดั เชน่ เนอื้ เร่อื ง ตวั ละคร ฉันทลกั ษณ์ แตย่ งั ไมม่ งี านวจิ ยั ใดทว่ี เิ คราะห์อทิ ธพิ ลของวรรณคดี บาลีและสันสกฤตในเชิงสำ� นวนภาษาซึ่งจัดเปน็ องคป์ ระกอบส�ำคัญของขนบการประพันธว์ รรณคดไี ทย ผลการ ศกึ ษาในวทิ ยานพิ นธ์น้ีจึงนบั ว่ามีคณุ ูปการทงั้ ต่อการศกึ ษาภาษาและวรรณคดไี ทย ในด้านการศึกษาภาษาไทย วิทยานิพนธ์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ภาษาบาลีและสันสกฤตซ่ึงเป็นภาษา ต่างประเทศทสี่ มั ผัสกบั ภาษาไทยมาเปน็ เวลาช้านาน ได้ส่งอิทธิพลต่อภาษาไทยไมเ่ ฉพาะแตใ่ นดา้ นค�ำยืมทเ่ี ปน็ คำ� เนอ้ื หาเทา่ นน้ั หากแตย่ งั สง่ อทิ ธพิ ลในระดบั ลกึ ถงึ ขนั้ คำ� และกลมุ่ คำ� ไวยากรณท์ มี่ ไิ ดม้ อี งคป์ ระกอบเปน็ คำ� ยมื ภาษาบาลหี รอื สนั สกฤต และคำ� เหลา่ นบี้ างคำ� ไดก้ ลายมาใชใ้ นภาษาในชวี ติ ประจำ� วนั จนดปู ระหนง่ึ วา่ เปน็ คำ� ไทย แท้ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า วิทยานิพนธ์เล่มน้ีช่วยขยายมุมมองและความเข้าใจเรื่องการสัมผัสภาษาบาลีและ สันสกฤตในภาษาไทยใหส้ มบูรณม์ ากยิ่งข้นึ ส่วนในด้านการศึกษาวรรณคดีไทย วิทยานิพนธ์นี้ช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของนักวิชาการวรรณคดีไทย ที่ว่า กวีไทยได้เรียนรู้หลักอลังการผ่านวรรณคดีบาลี วรรณคดีบาลีจึงมีฐานะเป็นต�ำราประพันธศาสตร์ของกวี ไทย ยงิ่ ไปกวา่ นั้น ผลการศกึ ษายังช่วยเตมิ เต็มองคค์ วามรดู้ ้านความสัมพนั ธ์ระหวา่ งวรรณคดีไทยกบั วรรณคดี บาลแี ละสันสกฤต กลา่ วคอื วทิ ยานิพนธ์น้ที ำ� ให้เห็นว่า ส�ำนวนภาษาหลายส�ำนวนในวรรณคดไี ทยเกดิ จากอัจฉ ริยภาพของกวีไทยที่เลือกสรร ดัดแปลง และสร้างสรรค์ส�ำนวนภาษาเหล่านั้นจากวรรณคดีบาลีและสันสกฤต วรรณคดีไทยจึงเปน็ ศิลปะทางภาษาอันซบั ซอ้ นท่ีเกดิ จากการผสมผสานทางวฒั นธรรมอยา่ งกลมกลนื สถานทต่ี ิดต่อ ภาควชิ าภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๔๖๘๗ โทรสาร ๐-๒๒๑๘-๔๖๘๗ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ ุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 575
รางวลั ผลงานวจิ ยั ดเี ด่นของนสิ ิตระดับปริญญาโท ผลงานวทิ ยานิพนธเ์ รื่อง ผลของอีริแอนทริดินตอ่ การแพร่กระจายของเซลล์มะเรง็ ปอดชนิดไมใ่ ชเ่ ซลลเ์ ล็ก Effect of Erianthridin on Non-Small Cell Lung Cancer Cell Metastasis โดย นางสาวสุทธอร โพธทิ์ องศรีสิทธ์ิ อาจารย์ที่ปรึกษาหลกั รองศาสตราจารย์ เภสชั กรหญิง ดร.วริษา พงศ์เรขนานนท์ แหล่งทนุ ที่ได้รับ • ทนุ ๙๐ ปีจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย กองทนุ รชั ดาภเิ ษกสมโภช • ทนุ อดุ หนุนการศกึ ษาระดบั บณั ฑิตศกึ ษาจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย เพื่อเฉลมิ ฉลองวโรกาส ทพ่ี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวทรงเจริญพระชนมายคุ รบ ๗๒ พรรษา • ทนุ สนับสนุนนสิ ติ ระดับปรญิ ญาเอกและโทไปทำ� วจิ ยั ในตา่ งประเทศ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 576 ยกย่องเชิดชเู กยี รติบคุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ยั โดยสรุป มะเรง็ ปอดเปน็ มะเรง็ ทมี่ อี ตั ราการเสยี ชวี ติ ของผปู้ ว่ ยเปน็ อนั ดบั ตน้ ๆ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ผปู้ ว่ ยโรคมะเรง็ ชนิดอื่น ๆ โดยการเสียชีวิตของผู้ป่วยมีสาเหตุมาจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากอวัยวะต้นก�ำเนิด ไปยงั สว่ นอนื่ ๆ ของร่างกายและเกิดการเจริญเติบโตเป็นมะเร็งทตุ ิยภมู ขิ ึน้ มา การเคลือ่ นทแี่ ละการบุกรุกของ เซลล์มะเร็งเป็นกระบวนการที่ส�ำคัญของการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งโดยเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยน โครงสร้างของแอกทิน (actin) ภายในเซลล์และการปลดปล่อยเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส (matrix metalloproteinases: MMPs) เพือ่ ย่อยสลายสารระหว่างเซลลซ์ ่ึงการยับย้ังกระบวนการดงั กล่าวจะส่งผลให้ สามารถยับยัง้ การแพร่กระจายของเซลล์มะเรง็ ได้ สารอีรแิ อนทริดนิ (erianthridin) เป็นสารประกอบฟนี อลิค ที่พบได้ในกล้วยไม้ไทยสกุลหวายและมีฤทธ์ิทางเภสัชวิทยาหลายชนิแต่ยังไม่มีการศึกษาฤทธ์ิทางเภสัชวิทยา ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การแพรก่ ระจายของเซลลม์ ะเรง็ ปอด จากผลการศกึ ษานพ้ี บวา่ ความเขม้ ขน้ ของสารอรี แิ อนทรดิ นิ ท่ีไม่เป็นพิษต่อเซลล์และไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์สามารถลดการเคล่ือนท่ีและการบุกรุกของเซลล์ มะเร็งปอดได้ ผ่านทางการยับบยั้งการจัดเรียงตัวของแอกทินและการเปล่ียนแปลงรูปร่างของเซลล์เมมเบรน ท�ำให้เซลล์มะเร็งปอดไม่สามารถสร้างโครงสร้างแอกทินท่ีใช้ส�ำหรับการเคล่ือนท่ีของเซลล์ได้ นอกจากนี้ ยกย่องเชิดชเู กียรติบคุ ลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 577
สารอีริแอนทรดิ นิ ยงั สามารถลดการแสดงออกของ MMP ชนดิ ๒ และ ๙ ซึ่งเป็นเอนไซมส์ ำ� คัญที่เซลล์มะเร็งใช้ ในการย่อยสลายเน้ือเย่ือโดยรอบเพื่อให้เซลล์มะเร็งสามารถหลุดออกจากก้อนมะเร็งต้นก�ำเนิดได้ การศึกษา เชิงกลไกแสดงให้เห็นว่าสารอีริแอนทริดินสามารถยับยั้งความสามารถในการเคลื่อนที่และการบุกรุกของเซลล์ มะเรง็ ผา่ นทางวิถสี ัญญาณเอเคที (Akt) และเอม็ ทอร์ (mTOR) ซง่ึ เป็นวิถสี ัญญาณที่สำ� คญั ในการควบคุมการจัด เรียงตัวโครงสร้างแอกทินและการสังเคราะห์ MMPs ภายในเซลล์มะเร็ง จากการท�ำโมเลกุลาร์ด็อกก้ิง (Molecular docking) แสดงให้เหน็ วา่ สารอีริแอนทริดินสามารถเขา้ จับบริเวณ ATP binding site ของโปรตนี Akt ไดโ้ ดยตรงจงึ เปน็ สาเหตใุ หย้ บั ยง้ั การทำ� งานของโปรตนี ดงั กลา่ วได้ จากการศกึ ษาดงั กลา่ วจงึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ สารอรี ิแอนทริดนิ เปน็ ทีน่ า่ สนใจในการพฒั นาไปเปน็ ยาทีใ่ ช้ตา้ นการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งปอดได้ 578 ยกยอ่ งเชิดชเู กียรตบิ ุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สง่ิ ท่ดี เี ดน่ ของงานวิจยั ในปัจจุบันโรคมะเร็งปอดจัดได้ว่าเป็นมะเร็งที่มีอุบัติการณ์เกิดโรคและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต อันดับต้น ๆ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วโลก ถึงแม้ปัจจุบันการรักษาด้วยยาเคมีบ�ำบัดจะเป็นการรักษาท่ีมี ประสิทธิภาพ แต่ยังพบว่ามีผู้ป่วยเป็นจ�ำนวนมากท่ีดื้อยาและมีการพัฒนาของโรคไปเป็นมะเร็งระยะลุกลาม ซง่ึ ยากตอ่ การรกั ษา ดงั น้นั การคน้ ควา้ วิจยั หารสารชนดิ ใหมท่ ม่ี ฤี ทธต์ิ า้ นมะเร็งในระยะดงั กลา่ วจงึ มคี วามสำ� คญั อย่างมากต่อการเพ่ิมประสิทธิภาพการรักษาในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ซ่ึงงานวิจัยในวิทยานิพนธ์ฉบับน้ีได้แสดง ให้เห็นถึงฤทธิ์ของสารอีริแอนทริดินที่สกัดจากกล้วยไม้ในการยับย้ังการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งปอด โดยศกึ ษาทง้ั ผลของสารตอ่ พฤตกิ รรมของเซลลม์ ะเรง็ ปอดและกลไกของสารในระดบั โมเลกลุ เชงิ ลกึ ในการยบั ยง้ั การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งปอดโดยมีการน�ำเทคนิคทางเภสัชวิทยาและโมเลกุลวิทยามาศึกษา มีการ ออกแบบการทดลองเพอื่ ตอบคำ� ถามงานวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน จากผลการศกึ ษาแสดงใหเ้ หน็ วา่ สารอรี แิ อนทรดิ นิ สามารถยบั ยงั้ การแพรก่ ระจายของเซลลม์ ะเรง็ ปอดไดอ้ ยา่ งมนี ยั สำ� คญั จงึ เปน็ ทนี่ า่ สนใจวา่ สารดงั กลา่ วสามารถ น�ำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาเป็นยาท่ีใช้ส�ำหรับรักษาโรงมะเร็งในระยะแพร่กระจายได้โดยอาจพัฒนาไปเป็นยา ที่ใช้ร่วมกับยารักษาที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งให้ดีย่ิงข้ึน นอกจากน้ีผลงาน วจิ ยั ในงานวทิ ยานพิ นธฉ์ บบั นย้ี งั ไดถ้ กู การตพี มิ พล์ งในวารสาร Scientific Reports ซงึ่ เปน็ วรสารระดบั นานาชาติ ที่มคี วามนา่ เชือ่ ถือโดยมี impact factor (IF) เท่ากบั ๔.๓๗๙ ซึ่งการไดเ้ ผยแพร่ลงในวรสารดงั กล่าวจะท�ำให้ ผทู้ ส่ี นใจสามารถนำ� องคค์ วามรพู้ นื้ ฐานของสารอรี แิ อนทรดิ นิ ในการยบั ยงั้ การแพรก่ ระจายของเซลลม์ ะเรง็ ปอด ไปต่อยอดและพัฒนาสารดงั กลา่ วให้เป็นยาทสี่ ามารถใช้ต้านมะเร็งปอดในอนาคตตอ่ ไป สถานทตี่ ดิ ตอ่ ภาควิชาเภสชั วทิ ยาและสรรี วทิ ยา คณะเภสัชศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๘๓๒๕ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชิดชเู กียรติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 579
รางวลั ผลงานวจิ ัยดีเดน่ ของนสิ ติ ระดบั ปริญญาโท ผลงานวทิ ยานพิ นธ์เรือ่ ง การศึกษาความชกุ และลักษณะเฉพาะของภาวะฟนั หายในผู้ปว่ ยไทย และการเปล่ยี นแปลงทางพันธกุ รรมทเ่ี กย่ี วข้องกบั ภาวะฟันหายในครอบครัวคนไทย Tooth agenesis in Thai population: prevalence, characteristics and its genetic variant in a Thai family โดย ทนั ตแพทย์หญงิ ชรินญา กาญจนเสวี อาจารยท์ ี่ปรกึ ษาหลัก รองศาสตราจารย์ ทันตแพทยห์ ญงิ ดร.ฑัณฑรริ า พรทวที ศั น์ ภาควชิ าสรรี วทิ ยา คณะทนั ตแพทยศาสตร์ แหล่งทนุ ทไี่ ด้รับ ทุน ๙๐ ปี จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย รุ่นที่ ๔๔ (๓/๒๕๖๒) 580 ยกยอ่ งเชิดชเู กียรตบิ ุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวิจัยโดยสรุป วทิ ยานพิ นธฉ์ บบั นศี้ กึ ษาความชกุ โดยรวมของผปู้ ว่ ยภาวะฟนั หายไมร่ วมฟนั กรามซที่ ส่ี ามคดิ เปน็ ๙.๒๓% หรือผู้ป่วยจ�ำนวน ๑๐๑ คน จากจ�ำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ๑๐๙๐ คน โดยความชุกภาวะฟันหายในเพศหญิง (๙.๙๕%) สูงกว่าเพศชาย (๘.๒๓%) เม่ือแบ่งตามประเภทของฟันท่ีหายไป พบว่า ฟันกรามน้อยล่างซี่ท่ีสอง หายไปมากท่ีสดุ (๒๕.๐๐%; n = 55) รองลงมาคือ ฟันตดั ซขี่ า้ งดา้ นลา่ ง (๒๓.๒๘%; n = 51) และฟนั ตดั ซ่ี ข้างด้าน (๑๕.๙๑%; n = 35) ส�ำหรับซ่ีฟันท่ีหายไปมากท่ีสุดได้แก่ ฟันตัดซ่ีข้างด้านล่างขวา (๑๕.๐๐%; n = 33) รองลงมา ไดแ้ ก่ ฟันกรามน้อย ลา่ งขวาซ่ีทสี่ อง (๑๒.๗๐%; n = 28), ฟันกรามน้อยลา่ งซ้ายซี่ทสี่ อง (๑๒.๒๗%; n = 27) และ ฟนั ตดั ซ่ีขา้ งด้านบนขวา (๘.๖๔%, n = 19) เมือ่ แบ่งตามจำ� นวนฟันท่หี ายไป พบมีผู้ ปว่ ยฟนั หายจำ� นวนหนง่ึ ซ่ี คิดเป็น ๔๓.๕๖% จำ� นวนสองซี่ คดิ เป็น ๔๑.๕๘% จ�ำนวนสามซี่ คิดเป็น ๔.๙๕% และมีฟนั หายมากกวา่ หกซี่ คดิ เปน็ ๕.๙๔% เม่อื แบ่งตามขา้ งเละขากรรไกรท่ฟี ันหายพบวา่ ฟนั หายที่ดา้ นขวา (๕๔.๐๙%) พบบ่อยกว่าด้านซ้าย (๔๕.๙๑%) และพบในขากรรไกรล่าง (๖๑.๘๒%) มากกว่าขากรรไกรบน (๓๘.๑๘%) สำ� หรบั การศกึ ษาการเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรม พบการกลายพนั ธขุ์ องยีน WNT10A มากท่ีสุด โดยพบในผ้ปู ่วย ๓ รายจากจ�ำนวนผู้ป่วยท้ังหมด ๑๑ รายคดิ เป็น ๒๗.๒๗% โดยผ้ปู ่วยทง้ั ๓ ราย พบการหาย ของซฟ่ี นั จำ� นวน ๙ ซ่ี ๘ ซ่ี และ ๒ ซี่ ตามลำ� ดบั โดยพบการกลายพนั ธเ์ุ ฮเทอโรไซกสั แบบซำ�้ c.916_918dupAAC p. (Asn306dup) ในยีน WNT10A ในผปู้ ว่ ย รายแรก ขณะทผ่ี ู้ป่วยรายที่สองพบการกลายพันธ์แุ บบโฮโมไซกสั ที่มีการเปลี่ยนเบส c.511C>T p.(Arg171Cys) ในยีน WNT10A และการกลายพันธุ์แบบเฮเทอโรไซกัสท่ีมี การเปล่ยี นเบส c.413A>T p.(Asn138Ile) ในยีน EDARADD ด้วย ในผู้ป่วยรายทสี่ ามพบการกลายพนั ธ์แุ บบ เฮเทอโรไซกัสท่มี กี ารเปลย่ี นเบส c.511C>T p.(Arg171Cys) โดยการเปล่ียนแปลงทางพนั ธกุ รรม c.511C>T p.(Arg171Cys) และ c.916_918dupAAC p.(Asn306dup) ใน WNT10A น้พี บท้ังในผูท้ มี่ ีฟนั หายแต่ก�ำเนดิ และมฟี ันครบทุกซี่ จึงเป็นไปไดว้ า่ การกลายพนั ธมุ์ ีการแสดงออกไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตามการกลายพนั ธุท์ ี่พบ ในการศึกษานี้จะเป็นสาเหตุที่แท้จริงของภาวะฟันหายหรือไม่ต้องอาศัยการศึกษาทางโมเลกุลเเละจ�ำนวน ตวั อย่างเพ่ิมเติมในอนาคต ยกย่องเชิดชูเกยี รติบคุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 581
582 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ส่งิ ทดี่ ีเด่นของงานวิจยั งานวิจัยชนิ้ น้ีสามารถรายงานความชุกของภาวะฟนั หายแตก่ ำ� เนิดในประชากรไทยคิดเป็น ๙.๒๓% โดย พบการหายของ ฟันจ�ำนวนหน่ึงซี่มากท่ีสุดและที่ฟันกรามน้อยล่างซี่ท่ีสองบ่อยที่สุด นอกจากน้ียังสามารถน�ำ ขอ้ มูลการกลายพนั ธุ์ของยีนทไ่ี ด้จากผูป้ ่วยเพื่อไปขยายฐานข้อมูลทางพันธุกรรมของประชากรไทยได้ ผลงานตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ (JCR, SJR, Pubmed): Frontier in Physiology, Impact Factor ๓.๓๖๗ ผลงานตพี มิ พ์ใน International Proceeding และน�ำเสนอผลงานใน RSU International Research Conference (2019): ไดค้ ดั เลอื กเปน็ ตวั แทนคณะทนั ตแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั นำ� เสนอผลงาน ในงานประชุมทนั ตแพทยสมาคมแหง่ ประเทศไทย ๒๐๒๐ เรอ่ื ง Nonsyndromic tooth agenesis and high WNT10A frequencies in Thai population. สถานทีต่ ดิ ต่อ หลกั สูตรทนั ตกรรมผู้สงู อายุและผูป้ ่วยพิเศษ คณะทันตแพทยศาสตร์ โทรศัพท์ ๐๘๑-๔๐๖๖๒๓๓ โทรสาร ๐-๒๒๑๘-๘๖๙๑ E-mail: [email protected], [email protected] ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รตบิ ุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 583
รางวัลผลงานวิจยั ดีเดน่ ของนิสิตระดบั ปริญญาโท ผลงานวทิ ยานิพนธ์เรือ่ ง การพัฒนาและวิเคราะห์คณุ ลักษณะของเซลลอ์ ิเลก็ โทรไลซสิ แบบออกไซดข์ องแข็ง ท่ใี ชอ้ ิเลก็ โทรไลต์ ชนดิ ซเี รยี และเซอร์โคเนียเป็นฐานส�ำหรบั ผลติ ไฮโดรเจนจากไอน�ำ้ Development and characterization of solid oxide electrolysis cells based on zirconia and ceria based electrolyte for hydrogen production from steam โดย นางสาวปรินทร เตม็ ลักษมี อาจารย์ท่ีปรกึ ษาหลัก รองศาสตราจารย์ ดร.ภทั รพร คิม แหลง่ ทุนที่ไดร้ บั • ทุนสนับสนนุ การศึกษา : โครงการพฒั นาศักยภาพบคุ ลากร STEM (Science, Technology Engineering, and Mathematics) เพื่อการวิจัยและพัฒนา ส�ำหรับภาคอุตสาหกรรม ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี หง่ ชาติ (สวทช.) • ทนุ สนับสนุนการวิจยั : บริษทั ปตท. จ�ำกดั (มหาชน) 584 ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ยั โดยสรปุ พลงั งานถอื เปน็ ปจั จยั ทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ ตน้ ทนุ ของประเทศในทกุ ดา้ น ซงึ่ ปรมิ าณการใชพ้ ลงั งานในปจั จบุ นั น้นั ยังคงเพมิ่ ขึ้นเรอ่ื ย ๆ ตามอตั ราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสงั คม รวมไปถงึ ปัจจบุ นั ยังมีการสง่ เสริมใหม้ ี การใช้พลงั งานอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและลดปญั หาทางดา้ นสงิ่ แวดล้อม โดยพลังงานจากไฮโดรเจนถือเป็นถอื ว่า เป็นเช้ือเพลิงชนิดหน่ึงท่ีมีประสิทธิภาพในการใช้งานสูงและคาดว่าจะกลายเป็นแหล่งเช้ือเพลิงท่ีส�ำคัญมาก ในอนาคต มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากเชื้อเพลิงชนิดอื่นที่ก่อให้เกิดการปลดปล่อยแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ปริมาณมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันไฮโดรเจนที่ผลิตได้ส่วนใหญ่มาจาก ไฮโดรคาร์บอน ซึ่งส่งผลให้สิ้นเปลืองทรัพยากรปิโตรเลียมซ่ึงมีอยู่จ�ำกัด อีกท้ังยังมีการปลดปล่อยก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซดร์ ะหวา่ งกระบวนการผลติ ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม ดว้ ยเหตดุ งั กลา่ วแนวทางการผลติ ไฮโดรเจนท่ีมีประสทิ ธภิ าพสูง สามารถลดหรือไมป่ ลดปลอ่ ยคารบ์ อนไดออกไซดจ์ งึ เปน็ ประเดน็ ท่นี ่าสนใจ กระบวนการแยกน�้ำด้วยไฟฟ้า (Electrolysis) เป็นกระบวนการทางเลือกในการผลิตไฮโดรเจนจากน้�ำ อย่างไรก็ตามการแตกตัวของน้�ำท่ีอุณหภูมิต�่ำจ�ำเป็นต้องใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณสูงท�ำให้ต้นทุนของไฮโดรเจน ชนิดน้ีสูงตามไปด้วย ดังน้ันในโครงการน้ีจึงได้ท�ำการการผลิตไฮโดรเจนจากไอน�้ำท่ีอุณหภูมิสูง โดยใช้เซลล์ อิเล็กโทรไลซิสแบบออกไซด์ของแข็ง (Solid oxide electrolysis cell, SOEC) มาผลิตไฮโดรเจน ซึ่งใช้ หลกั การปฏกิ ริ ยิ าทางไฟฟา้ เคมี โดยมขี อ้ ดคี อื สารผลติ ภณั ฑท์ ส่ี งั เคราะหไ์ ดจ้ ะมคี วามบรสิ ทุ ธส์ิ งู ดงั นน้ั จงึ ไมต่ อ้ ง พึ่งกระบวนการท�ำบริสุทธ์ิภายหลังจากการเกิดปฏิกิริยา (Purification) อีกท้ังการท�ำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิสูง ท�ำให้ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบลดลง โดยสามารถใช้พลังงานความร้อนทดแทนพลังงานไฟฟ้า เปิดโอกาสให้สามารถน�ำความร้อนเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมมาใช้ในการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนการผลิต ไฮโดรเจนต่�ำลงจนอาจสามารถเทียบเคียงได้กบั การผลติ ไฮโดรเจนแบบด้ังเดมิ อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตดังกล่าวยังคงข้ึนตรงกับความสามารถและความทนทานของเซลล์ ดังน้ัน การพัฒนาเซลล์ให้มีประสิทธิภาพสูงและมีความทนทานจึงยังเป็นเรื่องท่ีต้องพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ซ่ีง อิเล็กโทรไลต์เป็นส่วนประกอบหน่ึงของเซลล์ท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพในการท�ำงานของเซลล์อย่างมีนัยส�ำคัญ ดงั น้นั ในงานวจิ ัยนี้ สแกนเดยี มไอออน ซีเรียมไอออน และแกโดลเิ นยี มไอออนถูกเจือลงในเซอรโ์ คเนีย (SCGZ) เพ่ือเปรียบเทียบกับอิเล็กโทรไลต์ชนิดเซอร์โคเนียเจือด้วยอิตเทรียม (YSZ) และซีเรียเจือด้วยแกโดลิเนียม (GDC) เซลล์ที่มีอิเล็กโทรไลต์เป็นฐานน้ันถูกเตรียมข้ึน โดยจากผลการทดลองพบว่าเซลล์อิเล็กโทรไลต์ชนิด SCGZ และ YSZ มีความหนาแนน่ สัมพทั ธม์ ากกว่า ๙๕% ในขณะท่ี GDC มีความหนาแน่นนอ้ ยกว่า รวมถงึ ค่าพลังงานก่อกัมมันต์ของการน�ำของ SCGZ มีค่าต่�ำท่ีสุดท่ี ๖๕.๕๘ กิโลจูลต่อโมล ซ่ึงหมายถึงการใช้ พลงั งานในการเรม่ิ เกิดปฏกิ ริ ยิ าท่ีตำ่� กวา่ โดยในที่น้เี ซลลช์ นดิ ที่มขี ั้วแคโทดเปน็ ฐานทีป่ ระกอบดว้ ย SCGZ เปน็ อิเล็กโทรไลต์ (Ni-SCGZ/SCGZ/BSCF) แสดงความสามารถทางไฟฟ้าเคมีท่ีสูงที่สุด และเมื่อท�ำการทดสอบ ความทนทานของเซลล์ในระบบอิเล็กโทรไลซิสเป็นเวลา ๖๐ ชั่วโมง (ที่กระแสไฟฟ้า ๐.๓ แอมป์ต่อตาราง เซนติเมตร อณุ หภูมิ ๘๐๐ องศาเซลเซยี ส และอตั ราสว่ นไอน�้ำต่อไฮโดรเจนเทา่ กับ ๗๐:๓๐) เซลล์ Ni-GDC/ ยกยอ่ งเชิดชูเกียรตบิ ุคลากรแห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 585
YSZ/GDC/BSCF เสื่อมความสามารถอย่างรวดเร็ว (๐.๐๐๕๗ โวลต์ต่อชั่วโมง) ในขณะที่ความสามารถ ของเซลล์ชนิด Ni-YSZ/YSZ/BSCF และ Ni-SCGZ/SCGZ/BSCF ค่อนข้างเสถียรภายใต้สภาวะปฏิบัติการ เดยี วกนั ข้ัว BSCF ยงั คงยดึ ติดกบั อิเล็กโทรไลต์ชนดิ SCGZ และไม่พบการเปล่ยี นแปลงเฟสเพม่ิ เติมในภายหลงั การทดสอบ แต่อย่างไรก็ตามการคงเสถียรภาพของเฟสชนิดคิวบิคซึ่งเป็นเฟสที่มีค่าการน�ำไอออนสูงใน SCGZ ด้วยการเติม ๑-๒% โดยโมลของบิสมัทออกไซด์ลงใน SCGZ ได้ถูกตรวจสอบเช่นเดียวกัน โดยพบว่า บสิ มทั ออกไซดป์ ระพฤตติ วั เปน็ ทงั้ สารทเ่ี พมิ่ ความเสถยี รภาพของเฟสและสารทช่ี ว่ ยในการเผาผนกึ อเิ ลก็ โทรไลต์ นอกจากนีค้ ่าการนำ� ไอออนของอเิ ล็กโทรไลตย์ งั ได้รับการปรบั ปรงุ ดว้ ยการเติมบิสมัทออกไซดอ์ กี ด้วย 586 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ ุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สง่ิ ท่ีดเี ดน่ ของงานวจิ ยั งานวิจัยน้ีเป็นโจทย์วิจัยจากภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนทุนวิจัยโดยภาคเอกชนร่วมกับภาครัฐ มุ่งเน้น การผลิตไฮโดรเจนด้วยเทคโนโลยีที่ไม่ปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นการแก้ปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อม ผลักดันให้เกิดวงจรคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon neutral) และสามารถใช้พลังงานได้อย่าง ย่ังยืนตามแผนพลังงานทดแทนท่ีมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่�ำ รวมถึงมุ่งเน้นการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของ ชาตโิ ดยเพม่ิ เสถยี รภาพทางดา้ นพลงั งานไปพรอ้ ม ๆ กนั โดยงานวจิ ยั นเ้ี ปน็ ประโยชนใ์ นเชงิ อตุ สาหกรรม มงุ่ หวงั พัฒนาระบบเซลล์ขนาดกลางเพ่ือใช้ผลิตใช้ไฮโดรเจนเพ่ือเป็นต้นทางในการผลิตสารเคมีส�ำคัญในอุตสาหกรรม หลายชนิด ท�ำการศึกษาและเลือกชนิดของอิเล็กโทรไลต์เพ่ือพัฒนาประสิทธิภาพในด้านการเร่งเชิงปฏิกิริยา และความเสถียรทางเคมขี องวสั ดุภายในองค์ประกอบของเซลล์ เพื่อเป็นแนวทางในการเพม่ิ อัตราการผลิตและ ลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรม มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตไฮโดรเจนรวมถึงเซลล์ ที่มีต้นทุนท่ี สามารถแขง่ ขนั ไดก้ บั เทคโนโลยีการผลิตในปจั จุบัน (Steam reforming) เซลลท์ ี่มีความหนากระแสไฟฟา้ ท่สี งู ขน้ึ จะทำ� ให้สามารถใช้พลงั งานลดลง สง่ ผลใหต้ ้นทนุ การผลติ ไฮโดรเจนลดลงเชน่ กนั โดยงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารทางวิชาการระดับนานาชาติ International Journal of Hydrogen Energy (IJHE) ซ่ึงจดั อยใู่ นกล่มุ อนั ดับสูงสุดรอ้ ยละ ๑๐ (Tier 1) จำ� นวนทั้งส้นิ ๒ ฉบับ รวมไปถงึ งานวิจัยดังกล่าวได้ผ่านการน�ำเสนอในที่ประชุมวิชาการ Energy Security and Chemical Engineering Congress (ESChE) ๒๐๑๙ ณ กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ นอกจากน้ี จากการประเมินทางภาคอุตสาหกรรมพบว่างานวิจัยดังกล่าวสามารถน�ำไปเป็นพ้ืนฐานการต่อยอดเทคโนโลยี SOEC ในอนาคตได้เป็นอย่างดี โดยในส่วนของผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ต่อหน่วยงานภาคอุตสาหกรรม พบวา่ อาจสามารถลดตน้ ทนุ ได้มากถึง ๑ ล้านบาทตอ่ ปี สถานทต่ี ดิ ตอ่ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวศิ วกรรมศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๖๘๖๒, ๐๙-๘๒๘๕-๙๖๕๓ โทรสาร ๐-๒๒๑๘-๖๘๗๗ E-mail: [email protected] ยกย่องเชดิ ชูเกยี รติบุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 587
รางวัลผลงานวิจยั ดีเด่นของนสิ ติ ระดบั ปริญญาโท ผลงานวิทยานพิ นธเ์ รือ่ ง ผลของปริมาณอะลูมนิ าและวธิ กี ารเตรยี มต่อสมบตั ใิ นการเกดิ ปฏิกริ ยิ า ของตัวเร่งปฏกิ ิรยิ าทังสเตนบนซิลิกาและซิลิกา-อะลูมินาแบบทรงกลมในโพรพีนเมตาทซี ิส Effects of Al2O3 content and preparation method on the catalytic properties of spherical SiO2-Al2O3 supported tungsten oxide catalysts in propene metathesis โดย นายณัฐพล หงส์ฤทัย อาจารย์ที่ปรกึ ษาหลัก ศาสตราจารย์ ดร.จงู ใจ ปนั้ ประณต แหลง่ ทนุ ที่ได้รับ SCG Chemicals 588 ยกยอ่ งเชิดชเู กียรตบิ คุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ัยโดยสรปุ วิทยานิพนธฉ์ บับนี้ ทดสอบเก่ยี วกบั คุณสมบัติของพ้นื ผวิ ไซลานอล, ความเปน็ กรด, การกระจายตวั ของ ทังสเตน, ชนิดของทังสเตนออกไซด์และความว่องไวในปฏิกิริยาเมตาทีซิสของตัวเร่งปฏิกิริยาฐานทังสเตนท่ีมี ปริมาณทังสเตน ๘% โดยมวลบนตัวรองรับซิลิกาและซิลิกา-อลูมินาที่มีอลูมินา ๑ % โดยมวล ที่เตรียมข้ึน โดยวิธีที่แตกตา่ งกัน ๓ วธิ ไี ดแ้ ก่ การท�ำโซล-เจล การเคลือบผวิ ชนิดเปยี ก และการสงั เคราะหแ์ บบผสม จากผล การศึกษาพบว่าปริมาณของอะลูมินาส่งผลต่อการเพิ่มข้ึนของความเป็นกรดและการเปล่ียนแปลงโครงสร้าง พนื้ ผวิ ของไซลานอลทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ หมไู่ ฮดรอกซลิ แบบบรดิ จ์ Si(OH)Al ขน้ึ นอกจากนคี้ ณุ ลกั ษณะของตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ า ทังสเตนออกไซด์บนตัวรองรับและความเป็นกรดบนพ้ืนผิวยังข้ึนกับอุณหภูมิในการเผาตัวเร่งปฏิกิริยาอีกด้วย โครงสร้างพื้นผิวท่ีของไซลานอลและกรดเบรินสเตด-ลิวอิสท่ีเหมาะสมท�ำให้เกิดการก่อตัวของชนิดทังสเตนที่ วอ่ งไวสำ� หรบั ปฏกิ ริ ยิ าเมตาทซี สิ ทง้ั ปฐมภมู แิ ละทตุ ยิ ภมู ิ ซง่ึ จะทำ� ใหเ้ ราเหน็ ผลผลติ ทมี่ ากขน้ึ ของผลติ ภณั ฑห์ ลกั เอทีลีนและบิวทีนรวมท้ังการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นของสารตั้งต้นโพรพิลีน ย่ิงไปกว่านั้นการปรับสภาพตัวเร่ง ปฏิกิริยาโดยการใช้ ไฮโดรเจนเข้ามาช่วยสามารถท�ำให้เกิดปฏิกิริยาเมตาทีซิสที่สูงข้ึนเนื่องจากการท่ีมีชนิด ของทังสเตนแบบ W5+, มีทังสเตนออกไซด์แบบเตตระฮีดรอนมากและมีปริมาณทังสเตนคาร์บีนที่ว่องไวสูง เลยท�ำให้ประสิทธิภาพการเกิดปฏิกิริยาเมตาทีซิสท่ีเกิดขึ้นผ่านการปรับสภาพตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยไฮโดรเจน ค่อนขา้ งดี ยกย่องเชดิ ชเู กยี รติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 589
590 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สิ่งที่ดีเดน่ ของงานวิจยั วิทยานิพนธ์น้ีเป็นการวิจัยเก่ียวกับตัวเร่งปฏิกิริยาท่ีส่งผลต่อความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเมตาทีซิส ภายใตโ้ ลหะทงั สเตนทม่ี ปี รมิ าณทงั สเตน ๘% โดยมวลบนตวั รองรบั ซลิ กิ าและซลิ กิ า-อลมู นิ าทมี่ อี ลมู นิ าแตกตา่ ง กัน ซึ่งจะพบว่าไซลานอลชนิดต่างๆที่ตรวจพบในตัวเร่งปฏิกิริยานี้มีบทบาทสำ� คัญอย่างมากในการก่อตัวของ เเอคทีฟทังสเตนหรือก็คือโลหะคาร์บีน ที่ส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างและการกระจายตัวของทังสเตน ท�ำให้ เกิดมีแนวโน้มในการเกิดปฏิกิริยาท่ีมากข้ึน นอกจากนี้การมีอยู่ของหมู่ไฮดรอกซิลแบบบริดจ์ของไซลานอล Si(OH)Al ก็ช่วยส่งเสริมให้เกิดโลหะคาร์บีนท่ีมากขึ้นเช่นกัน ท่ีน่าสนใจคือความเป็นกรดและชนิดของกรดใน ตัวเร่งปฏิกิริยาทังสเตนบนตัวรองรับซิลิกา-อลูมินาที่มีอลูมินาต้ังแต่ ๐.๒ จนถึง ๑๘% โดยมวล ก็ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพในการเกิดปฏิกิริยาเมตาทีซิสด้วยในเชิงของการเปล่ียนแปลงของสารต้ังต้นและผลผลิตของ ผลิตภัณฑ์เอทีลีนต่อบิวทีนที่ได้ เราจะพบว่าคุณสมบัติของตัวเร่งปฏิกิริยาทังสเตนจะแย่ลงเม่ือเตรียมตัวเร่ง ปฎกิ ิรยิ าด้วยวธิ ีการสงั เคราะห์แบบผสม จากการท่มี เี ฟสผลกึ ของทงั สเตนทม่ี ากขึ้น มีทงั สเตนชนิดเตตระฮีดรลั ทน่ี อ้ ยกวา่ และมคี วามเปน็ กรดทไ่ี มเ่ หมาะสม ดงั นนั้ การทจี่ ะทำ� ใหต้ วั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าทงั สเตนเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเมตาทซี สิ ได้ดีจะต้องมีคุณสมบัติของความเป็นกรด ชนิดของความเป็นกรด ชนิดของไซลานอลและชนิดของทังสเตน เตตระฮดี รลั ท่ีเหมาะสมกนั สถานท่ีตดิ ต่อ ภาควชิ าวศิ วกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๖๘๗๘ โทรสาร ๐-๒๒๑๘-๖๘๗๗ E-mail: [email protected] ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 591
รางวลั ผลงานวิจยั ดเี ดน่ ของนิสติ ระดับปรญิ ญาโท ผลงานวทิ ยานพิ นธ์เร่ือง ผลของประเภทขอ้ มลู ยอ้ นกลบั และการเปลยี่ นค�ำตอบที่มีต่อผลสัมฤทธิท์ างการเรียน คะแนนทเี่ พ่มิ ขน้ึ และความสามารถในการแก้โจทย์ปญั หาฟสิ ิกส์ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๔ Effects of Different Types of Feedback and Answer Changing on Achievement, Gained Score, and Ability to Solve Physics Problems of Tenth Grade Students โดย นายกิตตทิ ัศน์ หวานฉ�ำ่ อาจารย์ทีป่ รึกษาหลกั รองศาสตราจารย์ ดร.กมลวรรณ ตงั ธนกานนท์ ภาควชิ าวจิ ยั และจติ วทิ ยาการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ แหลง่ ทนุ ทไ่ี ดร้ บั ทนุ อุดหนนุ วทิ ยานพิ นธส์ �ำหรบั นิสติ บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย 592 ยกย่องเชิดชูเกียรตบิ คุ ลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวิจัยโดยสรปุ ขอ้ มลู ย้อนกลับเป็นหน่งึ ในปัจจัยสำ� คญั ทสี่ ่งผลต่อการเรยี นรู้ของผเู้ รียน ซึ่งเปน็ สารสนเทศทีใ่ หแ้ ก่ผู้เรยี น เพอ่ื นำ� ไปใชใ้ นการปรบั เปลย่ี นความคดิ และพฤตกิ รรมในการเรยี นรู้ อนั นำ� ไปสกู่ ารพฒั นาการเรยี นรขู้ องตนเอง นอกจากนี้ การเปลีย่ นค�ำตอบยังมคี วามสำ� คัญอย่างย่ิงต่อการทดสอบในบรบิ ทของการประเมินเพือ่ การพฒั นา เนื่องจากผู้เรียนสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองได้ ลดความวิตกกังวลในการสอบ อีกท้ังยังส่งผลดีต่อ คะแนนสอบ การวิจัยนจ้ี ึงมีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อ (๑) เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน คะแนนท่เี พ่ิมขน้ึ และ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์เม่ือได้รับข้อมูลย้อนกลับแบบให้ค�ำชี้แนะคงที่ แบบให้ค�ำช้ีแนะ ลดลง และแบบบอกผลการกระทำ� (๒) เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการแกโ้ จทย์ ปัญหาฟิสิกส์ของนักเรียนที่ไม่ได้รับและได้รับโอกาสให้เปลี่ยนค�ำตอบ และ (๓) วิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ประเภทข้อมูลย้อนกลับและการเปลี่ยนค�ำตอบท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการ แกโ้ จทย์ปญั หาฟิสกิ ส์ โดยใช้แบบแผนการวจิ ยั แบบ ๓ × ๒ แฟคทอเรียลสมุ่ สมบรู ณ์ ตัวอยา่ งวิจยั คือ นักเรียน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔ จำ� นวน ๓๘๑ คน ไดม้ าจากการสมุ่ แบบหลายขั้นตอน เครอ่ื งมอื วิจยั คอื (๑) แบบสอบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองงานและพลังงานซ่ึงทดสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์และมีการให้ข้อมูลย้อนกลับ ๓ ประเภท จำ� นวน ๒ ฉบบั ท่ีมีความเป็นคูข่ นานกนั (๒) แบบสอบความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ญั หาฟิสกิ ส์ จ�ำนวน ๒ ฉบับ ท่ีมีความเป็นคู่ขนานกัน และ (๓) แบบสอบถามเก่ียวกับโปรแกรมการทดสอบและข้อมูล ย้อนกลับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย สถิติทดสอบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และการวเิ คราะห์ความแปรปรวนหลายตวั แปร (MANOVA) ผลการวิจยั สรปุ ไดด้ ังนี้ (๑) นักเรียนท่ีได้รับข้อมูลย้อนกลับต่างกันมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คะแนนที่เพ่ิมขึ้น และความ สามารถในการแกโ้ จทยป์ ญั หาฟสิ กิ สแ์ ตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .๐๕, Wilks' Lambda = .93, F(6, 752) = 4.37, p < .001, ηp2 = .03 โดยนักเรียนที่ได้รับข้อมูลย้อนกลับแบบให้ค�ำช้ีแนะคงที่และ แบบให้ค�ำช้ีแนะลดลงมีทั้งผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์สูงกว่า นกั เรยี นท่ไี ด้รับข้อมูลย้อนกลบั แบบบอกผลการกระทำ� อยา่ งมีนัยสำ� คญั ทางสถติ ิ อยา่ งไรกต็ าม นกั เรียนทีไ่ ดร้ ับ ขอ้ มูลยอ้ นกลับต่างกนั มคี ะแนนทเ่ี พม่ิ ขึ้นไมแ่ ตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .๐๕ (๒) นักเรียนท่ีมีรูปแบบการเปลี่ยนค�ำตอบต่างกันมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถ ในการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์แตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .๐๕, Wilks' Lambda = .93, F(2, 378) = 14.84, p < .001, ηp2 = .07 โดยนกั เรียนท่ีไดร้ ับการเปดิ โอกาสให้เปลยี่ นคำ� ตอบมีท้งั ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น และความสามารถในการแกโ้ จทย์ปัญหาฟสิ กิ ส์สูงกวา่ นักเรียนทไ่ี มไ่ ด้รบั การเปิดโอกาสใหเ้ ปลีย่ น ค�ำตอบอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิติ (๓) ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเภทข้อมูลย้อนกลับและการเปลี่ยนค�ำตอบส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทาง การเรยี น และความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ญั หาฟสิ กิ สท์ น่ี ยั สำ� คญั ทางสถติ ริ ะดบั .๐๕, Wilks' Lambda = .98, F(4, 748) = 1.81, p = .13, ηp2 = .01 ยกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 593
594 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
สง่ิ ทีด่ ีเด่นของงานวิจัย งานวิจัยน้ีมีการออกแบบการวิจัยที่รัดกุม มีการทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องอย่างลึกซ้ึง รวมทั้งมีการตรวจสอบข้อตกลงเบ้ืองต้นของสถิติวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบ วัตถุประสงค์การวิจัย นอกจากน้ียังน�ำเสนอข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือประโยชน์ในการออกแบบระบบการทดสอบ เช่น เวลาในการอ่านข้อมูลย้อนกลับ และจ�ำนวนค�ำตอบที่ถูกต้องหลังการเปลี่ยนค�ำตอบ หลักฐานส�ำคัญที่ แสดงถึงความดีเดน่ คือ งานวิจยั ไดร้ ับการตีพมิ พเ์ ผยแพรใ่ นวารสาร Research in Science Education ซึ่ง อยู่ในฐานข้อมูล SCOPUS ระดับ Q1 สาขาการศึกษา แสดงถึงการยอมรับในคุณภาพของงานวิจัยในระดับ นานาชาติ ผลการวิจัยเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบระบบการทดสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน และความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาของผู้เรียนในบริบทของการประเมินเพื่อการพัฒนา กล่าวคือ ครูผู้สอนควรให้ข้อมูลย้อนกลับแบบให้ค�ำช้ีแนะคงท่ี หรือข้อมูลย้อนกลับแบบให้ค�ำชี้แนะลดลง พรอ้ มทงั้ เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นเปลยี่ นคำ� ตอบ ทงั้ น้ี ควรใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั แกผ่ เู้ รยี นโดยใชค้ อมพวิ เตอร์ เนอื่ งจาก คอมพวิ เตอรส์ ามารถใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ไดท้ นั ทหี ลงั การตอบคำ� ถาม มมี าตรฐาน และสามารถใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั แก่ผู้เรียนไดจ้ �ำนวนมากโดยปราศจากอคติ สถานทีต่ ดิ ต่อ ภาควชิ าวจิ ัยและจิตวทิ ยาการศึกษา คณะครศุ าสตร์ โทรศัพท์ ๐-๒๒๑๘-๒๕๕๙ E-mail: [email protected] ยกย่องเชิดชูเกยี รติบุคลากรแหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 595
รางวัลผลงานวิจัยดีเด่นของนสิ ติ ระดับปริญญาโท ผลงานวทิ ยานิพนธเ์ ร่ือง การวจิ ัยและพัฒนาโมบายแอปพลิเคชนั เพ่ือสนบั สนุนการใช้การวิเคราะหว์ าทกรรมพลเมืองของครู ในการสง่ เสรมิ ความเปน็ พลเมอื งของนกั เรยี น Research and development of mobile application for supporting teachers to use civic discourse analysis in enhancing students’ citizenship โดย นายกัมปนาท ไชยรตั น์ อาจารยท์ ปี่ รกึ ษาหลกั ศาสตราจารย์ ดร.สุวิมล วอ่ งวาณิช แหลง่ ทนุ ที่ไดร้ ับ ทนุ พฒั นาบัณฑติ ศกึ ษา ระดับปริญญาโท ส�ำนกั งานการวิจยั แห่งชาติ 596 ยกย่องเชิดชูเกียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ผลงานวจิ ยั โดยสรปุ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สนใจศึกษาเกี่ยวกับวาทกรรมพลเมือง (civic discourse) ซึ่งเป็นมโนทัศน์ท่ีมีความ สำ� คญั อยา่ งมากตอ่ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื สรา้ งความเปน็ พลเมอื งเพราะเปน็ การแสดงการใหค้ วามสนใจในประเดน็ ของสังคมรอบตวั ผ่านกระบวนการแสดงความคิดเหน็ ทตี่ อ้ งใชว้ าทศลิ ป์บนพื้นฐานของเหตุผลและหาขอ้ สรุปใน ประเดน็ นน้ั ๆ รว่ มกนั การวจิ ยั ในครง้ั นจ้ี งึ มวี ตั ถปุ ระสงคค์ อื ๑) เพอ่ื พฒั นาเครอ่ื งมอื สงั เกตชนั้ เรยี นเพอื่ วเิ คราะห์ ลกั ษณะของวาทกรรมพลเมอื งในชนั้ เรยี น ๒) เพอ่ื วเิ คราะหบ์ ทบาทของครใู นการสง่ เสรมิ วาทกรรมพลเมอื งและ พฤตกิ รรมทส่ี ะทอ้ นความเปน็ พลเมอื งของนกั เรยี นในชนั้ เรยี น ๓) เพอ่ื ออกแบบและพฒั นาโมบายแอปพลเิ คชนั ท่ีส่งเสริมให้ครูใช้วาทกรรมพลเมืองในการพัฒนาความเป็นพลเมืองของนักเรียน และ ๔) เพ่ือประเมินผล การใช้งานโมบายแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นในมุมมองของผู้ใช้ การวิจัยแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะท่ี ๑ เป็นการวิเคราะห์วาทกรรมพลเมืองในช้ันเรียน ผู้วิจัยพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือสังเกตช้ันเรียน โดยผู้เช่ียวชาญ ๓ คน เพื่อน�ำใช้บันทึกข้อมูลพฤติกรรมของครูและนักเรียน จ�ำนวน ๘ ชั้นเรียนและ บันทึกเสียงระหว่างการอภิปรายในชั้นเรียน โดยตัวอย่างวิจัยคือครูสังคมศึกษา จ�ำนวน ๖ คน และนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาจ�ำนวน ๒๓๒ คน จากน้ันจึงน�ำข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้มาวิเคราะห์ตามกรอบวาทกรรม พลเมืองของ Habermas เพ่ือศึกษาบทบาทของครูในการส่งเสริมวาทกรรมพลเมืองและวิเคราะห์พฤติกรรม ท่ีแสดงออกถึงคุณลักษณะความเป็นพลเมืองของนักเรียนในช้ันเรียน ระยะท่ี ๒ เป็นการพัฒนาฟังก์ชัน การทำ� งานหลกั ของโมบายแอปพลเิ คชนั คอื ชดุ คำ� ถามแบบสถานการณจ์ ำ� ลองเพอื่ ใชป้ ระเมนิ ทกั ษะการวเิ คราะห์ วาทกรรมพลเมืองของครู และชุดค�ำถามส�ำหรับวิเคราะห์คุณลักษณะความเป็นพลเมืองของนักเรียน และ ระยะท่ี ๓ เป็นการพัฒนาโครงสร้างและฟังก์ชันการท�ำงานของโมบายแอปพลิเคชันอื่นเพ่ิมเติมและน�ำ โมบายแอปพลเิ คชนั ไปทดลองใชก้ บั ครสู งั คมศกึ ษาจำ� นวน ๑๐ คน และประเมนิ ผลการใชง้ านดว้ ยแบบสอบถาม มาตรประมาณค่า ๗ ระดบั ผลการวจิ ัยพบว่า ๑. เคร่อื งมอื สังเกตช้นั เรยี นที่พฒั นาขนึ้ มคี วามเหมาะสมทจ่ี ะนำ� ไปใช้ในการสังเกตชั้นเรียนเพื่อให้ได้ข้อมูลสำ� หรับการวิเคราะห์วาทกรรมในช้ันเรียน ๒. บทบาทของครูในการ ส่งเสริมวาทกรรมพลเมืองที่พบในแต่ละชั้นเรียนมีความแตกต่างกัน ในภาพรวมของทุกชั้นเรียน พบว่า ครูมี บทบาทในการอำ� นวยการเขา้ ถงึ การอภปิ รายและการสรา้ งความเทา่ เทยี มในชน้ั เรยี นในระดบั มาก การสนบั สนนุ การใชเ้ หตุผลและวิจารณญาณในระดับปานกลาง และการร่วมสรา้ งขอ้ สรปุ ในชัน้ เรียนในระดับนอ้ ย และพบวา่ นักเรียนมีพฤติกรรมท่ีบ่งช้ีถึงความเป็นพลเมืองในด้านต่าง ๆ ในระดับท่ีแตกต่างกัน ได้แก่ การเปิดใจรับฟัง และการคิดอย่างมีเหตุผลและวิจารณญาณอยู่ในระดับมาก การมีส่วนร่วมตัดสินใจเพื่อส่วนรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องอยู่ในระดับน้อย ๓. โมบายแอปพลิเคชันท่ีพัฒนาขึ้น ประกอบด้วยฟังก์ชันการท�ำงานหลัก ๒ ด้าน ได้แก่ ๑) สถานการณ์จ�ำลองส�ำหรับครูเพ่ือประเมินทักษะ การวเิ คราะหว์ าทกรรมพลเมือง ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ สถานการณแ์ บบคำ� อธบิ ายและสถานการณ์แบบบทสนทนา รวมจ�ำนวน ๒๐ สถานการณ์ ๒) ชุดค�ำถามส�ำหรับวิเคราะห์คุณลักษณะความเป็นพลเมืองของนักเรียนและ ค�ำแนะนำ� สำ� หรับครใู นการปรับปรงุ การสอน จำ� นวน ๑๒ ข้อ และมีฟงั ก์ชันการทำ� งานทพี่ ฒั นาเพ่มิ เตมิ ได้แก่ ยกย่องเชิดชูเกยี รติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 597
598 ยกยอ่ งเชดิ ชเู กียรตบิ คุ ลากรแหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
การใหค้ วามรูแ้ ละแนวทางการจดั อภปิ รายในชั้นเรยี นเพอ่ื สรา้ งเปน็ วาทกรรมพลเมอื ง และการแนะนำ� แนวทาง การจดั การเรยี นรทู้ ไี่ ดจ้ าการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ทค่ี รสู ามารถนำ� ไปปรบั ใชใ้ นหอ้ งเรยี นเพอ่ื สรา้ งความเปน็ พลเมอื ง ๔. โมบายแอปพลเิ คชนั มคี วามงา่ ยในการใชง้ าน มปี ระโยชนจ์ ากการใชง้ าน และมคี ณุ คา่ ของการใชง้ านในระดบั คอ่ นขา้ งสงู ส่งิ ท่ีดเี ดน่ ของงานวจิ ยั การวจิ ยั ในครง้ั นเี้ ปน็ การวจิ ยั และพฒั นา (research and development) เพอ่ื พฒั นาโมบายแอปพลเิ คชนั สําหรับครูสังคมศึกษา ซึ่งเก็บข้อมูลจากการสนทนาและพฤติกรรมของครูและนักเรียนห้องเรียนสังคมศึกษา มาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน เนื่องจากต้ังอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า ในระหว่างการสนทนาประเด็นต่าง ๆ เกย่ี วกบั สงั คมในชน้ั เรยี น ครจู ะมวี ธิ กี ารอาํ นวยการอภปิ ราย กระตนุ้ การแสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น หรอื ใช้ วิธอี น่ื ใดเพื่อให้การสนทนาในคร้งั นนั้ ๆ พฒั นาคุณลกั ษณะความเปน็ พลเมอื งของนกั เรยี นไปในตวั ซง่ึ บทบาท ที่ครูใช้สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะวาทกรรมพลเมือง (civic discourse) ท่ีเกิดข้ึนในช้ันเรียน ใน ขณะเดยี วกันพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างการอภิปรายในชน้ั เรียน เชน่ การสนทนาโต้ตอบและการแสดง ความคิดเห็นจะสะท้อนมาจากทัศนคติและความเช่ือภายในนักเรียน ซ่ึงสามารถบ่งบอกระดับของคุณลักษณะ ความเปน็ พลเมอื งไดแ้ ละขอ้ มลู นจ้ี ะทาํ ใหค้ รเู ขา้ ใจนกั เรยี นและสามารถนาํ มาออกแบบหรอื ปรบั ปรงุ การจดั การ เรยี นการสอนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากยิง่ ขนึ้ โมบายแอปพลิเคชันที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึนจะทําครูได้ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวเพ่ือให้ครูใช้ในการประกอบ การวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ล่วงหน้าโดยที่ครูไม่ต้องไปคิดออกแบบใหม่ด้วยตนเอง กระบวนการดัง กล่าวข้างต้นจึงอาศัยการทํางานแบบร่วมมือของสามฝ่าย ได้แก่ ผู้วิจัย อาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์และ ครสู งั คมศกึ ษาในโรงเรยี น โดยผวู้ จิ ยั และอาจารยท์ ป่ี รกึ ษามบี ทบาทเปน็ นกั วจิ ยั (researcher) และนกั ออกแบบ (designer) โดยทาํ กระบวนการวจิ ยั และพฒั นาโมบายแอปพลเิ คชนั ขนึ้ มาเพอ่ื ใหค้ รสู งั คมศกึ ษาทป่ี ฏบิ ตั กิ ารสอน ในโรงเรียน ซง่ึ มบี ทบาทเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ (practitioners) เปน็ ผทู้ ดลองใชโ้ มบายแอปพลเิ คชนั และในขณะเดยี วกนั ก็ทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมออกแบบ (co-designer) ในการรายงานผลและให้ข้อมูลป้อนกลับจากการใช้งานเพ่ือให้ ผู้วจิ ัยปรบั ปรุงคุณภาพของนวตั กรรมให้ดีย่งิ ขนึ้ เกิดเป็นโมบายแอปพลิเคชนั ทใี่ ช้การวิจัยเปน็ ฐาน (research- based mobile application) ยกยอ่ งเชิดชเู กยี รติบุคลากรแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ 599
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 716
Pages: