Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อริยวินัย)

พุทธวจน (อริยวินัย)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-09 00:16:23

Description: พุทธวจน (อริยวินัย)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

   ⌫    ⌫    ⌫     ⌫   ⌫          ⌫    ⌫ ⌫                 ⌫  



ประมวลพระพุทธบัญญัติ อริยวินัย วถิ ชี วี ติ ทน่ี ำสคู่ วามเปน็ อรยิ ะ รวบรวมจากพระไตรปฎิ ก

คำนำ (ในการพิมพ์ครั้งแรก) นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สมั มาสมั พทุ ธสั สะฯ. พทุ ธงั ธมั มงั สงั ฆงั นะมสั สาม.ิ ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ผรู้ ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บาน พรอ้ มทง้ั พระธรรม เครอ่ื งชน้ี ำทางพน้ ทกุ ข์ และพระสงฆ์ ชมุ ชนผปู้ ระพฤตติ ามธรรมวนิ ยั จนหมดปญั หาสน้ิ ทกุ ขแ์ ลว้ นน้ั ด้วยเศียรเกล้าฯ อนึ่งด้วยเหตุที่สำนึกในพระคุณสุดประมาณมิได้ ที่ยังคงมีพระสัทธรรม คำสง่ั สอน คอื พระธรรมวนิ ยั ของพระบรมศาสดาดำรงสบื ตอ่ กนั มา จนทำใหพ้ วกเรา ทั้งหลายได้รับประโยชน์ มีความสงบสุขทั้งส่วนบุคคลและสังคม ปรารถนาที่ให้ พระสทั ธรรมดำรงอยอู่ ยา่ งถกู ตอ้ ง เปน็ วถิ ชี วี ติ ทม่ี กี ารประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ความ พ้นทุกข์ อย่างแท้จริง ตรงพระพุทธประสงค์ เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่ชน จำนวนมากสบื ตอ่ ไป และเพอ่ื บชู าพระคณุ ของหลวงปู่ พระครภู าวนานเิ ทศก์ องค์ ทตุ ยิ เจา้ อาวาสวดั เขาวงั ผมู้ คี ณุ ปู การซง่ึ ถงึ แกม่ รณภาพลงเมอ่ื มสี ริ อิ ายไุ ด้ ๑๐๒ ป.ี จากการทไ่ี ดเ้ หน็ ปญั หาของผสู้ นใจตอ่ การศกึ ษา ซง่ึ มคี วามประสงคต์ อ้ งการ จะปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตรงตามพระธรรมวนิ ยั แตว่ า่ มคี วามยากทจ่ี ะศกึ ษาพระวนิ ยั ทง้ั ในสว่ น ที่มาในพระปาติโมกข์ และนอกพระปาติโมกข์ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ พอที่จะปฏิบัติ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ครน้ั จะศกึ ษาในหนงั สอื กต็ อ้ งศกึ ษาในหนงั สอื หลายเลม่ จงึ จะสำเรจ็ ประโยชน์ บางเลม่ กเ็ ปน็ ภาษาสมยั เกา่ หรอื มศี พั ทเ์ ฉพาะทเ่ี ขา้ ใจยากสำหรบั คนรนุ่ ปจั จบุ นั บางเลม่ กย็ ากทจ่ี ะแยกไดว้ า่ สว่ นใดเปน็ พทุ ธาธบิ ายโดยตรง สว่ นใด เป็นคำอธิบายชั้นอรรถกถาจารย์. จึงได้ดำริที่จะจัดรวบรวมเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา โดยพยายามที่จะ รวบรวมวินัยทั้งส่วนหลักคือที่มาในพระปาติโมกข์ และส่วนขนบธรรมเนียม ขอ้ ปฏบิ ตั นิ อกพระปาตโิ มกข์ คอื อภสิ มาจารทง้ั หมดจากพระไตรปฎิ ก ทง้ั เรอ่ื ง เหตุที่มาของพระพุทธบัญญัติ ข้อห้ามข้ออนุญาต พระพุทธาธิบาย เพื่อให้ทราบ (๒)

พระพุทธประสงค์โดยตรง ทั้งได้รวบรวมคำพินทุอธิฐาน คำเสียสละของปลงอาบัติ และกรรมวาจาสังฆกรรมต่าง ๆ ที่ใช้บ่อยไว้ในภาคผนวก โดยพยายาม เรียบเรียงให้สามารถศึกษาได้โดยง่ายแม้ในผู้ใหม่ในพระธรรมวินัย ให้สามารถ เป็นคู่มือในการปฏิบัติพระวินัย ให้สามารถปฏิบัติพระธรรมวินัยได้อย่างถูกต้อง ตรงตามพระพุทธประสงค์ ไม่เป็นการลูบคลำศีลข้อวัตรในทางที่ผิด ถึงพร้อม ด้วยความสำรวมสังวร เห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย เพื่อจะได้มีความ กา้ วหนา้ ในทางพระธรรมวนิ ยั จนถงึ ทส่ี ดุ แหง่ ความทกุ ขต์ อ่ ไป. อนง่ึ ในการจดั ทำน้ี ไดพ้ ยายามทจ่ี ะใหห้ นงั สอื มคี วามหนาไมม่ ากจนเกนิ ไป จงึ จำเปน็ ตอ้ งยอ่ ใจความในบางสว่ น ทำใหข้ าดรายละเอยี ดในบางประการ แตก่ ไ็ ด้ เรยี บเรยี งจดั หมวดหมู่ ตามหมวดหมเู่ ลม่ ตอนของพระไตรปฎิ ก เพอ่ื ใหผ้ สู้ นใจใฝร่ ู้ จะไดส้ บื คน้ จากพระไตรปฎิ กโดยตรง ซง่ึ เปน็ เจตนารมณอ์ กี ประการหนง่ึ ของการจดั ทำ หนังสือเลม่ น้ีด้วย. อยา่ งไรกต็ ามหนงั สอื น้ี มอิ าจจะบรรจอุ รยิ วนิ ยั ทเ่ี ปน็ วถิ ชี วี ติ เปน็ ชวี ติ จรงิ ได้ จำเปน็ ตอ้ งอาศยั การปฏบิ ตั อิ ยรู่ ว่ มกนั อาศยั การปฏบิ ตั เิ ปน็ ปกตขิ องชวี ติ อาศยั ความ เอื้ออาทร ความเมตตากรุณาของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ รวมทั้งเพื่อนสหพรหมจารี ผรู้ ว่ มประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมทง้ั หลาย ไดช้ ว่ ยบอก ชว่ ยแนะนำ สง่ั สอนสบื ตอ่ กนั มา สบื ตอ่ กนั ไป หรอื เรยี กวา่ ดว้ ยการ พดู ใหจ้ ำ - ทำใหด้ ู - อยใู่ หเ้ หน็ - เยน็ ใหส้ มั ผสั จงึ จะสำเรจ็ ประโยชน์ มคี วามเจรญิ ในธรรมอยา่ งแทจ้ รงิ . ในการจดั ทำหนงั สอื ครง้ั น้ี ไดจ้ ดั พมิ พต์ น้ ฉบบั ขน้ึ กอ่ นจำนวนหนง่ึ โดยไดร้ บั ความกรุณาจากท่านพระอาจารย์ผู้ทรงธรรมทรงวินัยหลายท่าน ได้ช่วยกรุณา ตรวจสอบ ความถกู ตอ้ ง และใหค้ ำแนะนำตา่ ง ๆ อนั มปี ระโยชนห์ ลายประการ นำมา ทำการแกไ้ ขกอ่ นทจ่ี ะจดั พมิ พข์ น้ึ จรงิ จงึ ขออนญุ าตกลา่ วนามของทา่ นไว้ ดว้ ยความ ขอบพระคณุ และเคารพอยา่ งสงู มา ณ โอกาสนด้ี ว้ ย คอื ๑. ทา่ นเจา้ คณุ พระเมธวี ราภรณ์ (ยยุ้ อปุ สนโฺ ต) ป.ธ. ๙ วดั เขาวงั ราชบรุ ี ๒. พระอาจารยม์ หาคณาพพิ ฒั น์ ทปี าสโย ป.ธ.๗ วดั เขาวงั ราชบรุ ี ๓.พระอาจารยม์ หาสำเนยี ง ธมมฺ ธโร ป.ธ.๗ วดั เขาวงั ราชบรุ ี ๔.พระอาจารยม์ หาสมพงษ์ เขมวโร ป.ธ.๗ วดั เขาวงั ราชบรุ ี ๕. พระอาจารยม์ หาบญุ เลศิ ฐานทนิ โฺ น ป.ธ.๖ วดั ปา่ วสิ ทุ ธญิ าณ นครพนม (๓)

๖. พระอาจารยส์ ธุ รรม สธุ มโฺ ม วดั ปา่ หนองไผ่ เมอื ง สกลนคร ๗. พระอาจารยส์ งบ มนสสฺ นโฺ ต วดั สนั ตธิ รรมาราม โพธาราม ราชบรุ ี ๘. พระอาจารยศ์ กั ดช์ิ ยั กติ ตฺ ชิ โย วดั ธารนำ้ ไหล ไชยา สรุ าษฎรธ์ านี นอกจากนย้ี งั มผี รู้ ว่ มดำเนนิ การในดา้ นตา่ ง ๆ อกี หลายทา่ น เชน่ พระอาจารย์ มหาเสย่ี งชาย ตกิ ขฺ วโี ร, พระวรนิ ทร์ อตตฺ ทนโฺ ต ชว่ ยตรวจทาน, คณุ ชาญชยั พนิ ทเุ สน และคณุ ไกรฤกษ์ เขม็ ทอง ชว่ ยศลิ ป-ถา่ ยภาพ, อ.วมิ ลศรี ยตุ ตะนนั ทน์ เออ้ื เฟอ้ื รปู ภาพ, คณุ วรี ะ จำรญู จารตี , คณุ ศราวฒุ ิ บญุ ยนิ ด,ี คณุ สมภพ ดวงมณ,ี คณุ ภานุ อจั ฉรยิ บตุ ร ชว่ ยประสานงาน, คณุ ไพบลู ย์ แกว้ เจรญิ ชว่ ยจดั รปู เลม่ อกี หลายทา่ นชว่ ยสนบั สนนุ ปจั จยั การจดั พมิ พ์ และหลายทา่ นชว่ ยเหลอื ในดา้ นอน่ื ๆ ทม่ี อิ าจกลา่ วนามไดห้ มด มีมารดาบิดาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ และท่านที่ให้กำลังใจและ กำลังกายมีบิณฑบาต และปัจจัยสี่เป็นต้น รวมทั้งท่านผู้อ่านที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ สำเร็จประโยชน์ จึงขอขอบพระคุณอนุโมทนา ในกุศลเจตนาของทุกท่านมา ณ โอกาสนี้. ขอให้อานิสงส์นี้เป็นพลปัจจัย ให้ทุกท่านมีความเจริญก้าวหน้าในธรรมวินัย จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ด้วยกันทุกท่านทุกคน. หากมคี วามผดิ พลาดประการใด อนั เกดิ จากการจดั ทำหนงั สอื เลม่ น้ี คณะ ผรู้ ว่ มจดั ทำขอนอ้ มรบั ขออภยั เปน็ อยา่ งสงู และจะไดท้ ำการแกไ้ ขในโอกาสตอ่ ไป. เจริญธรรม คณะผู้ร่วมจัดทำ วนั มาฆบชู า เปน็ พรรษาท่ี ๒๕๔๕ หลงั พระพทุ ธปรนิ พิ พาน. (๔)

บทนำ ความสำนกึ ในการรกั ษาศลี หรอื ปฏบิ ตั ติ ามศลี แยกออกไดเ้ ปน็ ๒ ดา้ น คอื การฝกึ หดั ขดั เกลาตนเอง (เพอ่ื ความกา้ วหนา้ ในคณุ ธรรมทย่ี ง่ิ ๆ ขน้ึ ไป) อย่างหนึ่ง และการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นหรือของสังคมอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในวินัยของพระสงฆ์ ท่านเน้นความสำนึกอย่างนี้ไว้หนักแน่น ความสำนกึ อยา่ งแรกคอื การฝกึ หดั ขดั เกลาตนเองนน้ั พอจะมองเหน็ กนั ไดช้ ดั อยแู่ ลว้ สว่ นทค่ี วรยำ้ ไว้ ณ ทน่ี ค้ี อื การคำนงึ ถงึ ประโยชนส์ ขุ ของสว่ นรวมหรอื ของผอู้ น่ื เมอ่ื มพี ระภกิ ษกุ ระทำการไมด่ ไี มง่ ามขน้ึ สมควรจะบญั ญตั สิ กิ ขาบท พระพทุ ธเจา้ ทรงประชมุ สงฆ์ สอบสวนผกู้ ระทำการไดค้ วามสมจรงิ แลว้ จะทรง ชี้โทษของการกระทำนั้นว่า ไม่เป็นไปเพื่อปสาทะคือความเลื่อมใสแก่คนที่ยัง ไมเ่ ลอ่ื มใส และทำใหผ้ ทู้ เ่ี ลอ่ื มใสอยแู่ ลว้ บางพวกกลายเปน็ อยา่ งอน่ื ไป แลว้ ตรสั แถลงประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมายหรอื วตั ถปุ ระสงคใ์ นการบญั ญตั สิ กิ ขาบท เสรจ็ แลว้ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทขอ้ นน้ั ๆ ขน้ึ ไว้ ขอ้ ความทว่ี า่ ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความเลอ่ื มใส ของคนที่ยังไม่เลื่อมใส เป็นต้นนั้น แสดงความคำนึงถึงประโยชน์สุขของ ส่วนรวมและของผู้อื่น ประโยชนส์ ขุ อยา่ งแรกกค็ อื ความดำรงอยดู่ ว้ ยดขี องชมุ ชนทเ่ี รยี กวา่ สงฆ์หรือจะว่าของพระศาสนาก็ได้ เพราะความมั่นคงของสงฆ์และของ พระศาสนาตอ้ งอาศยั ศรทั ธาของประชาชน ประโยชนส์ ขุ สำคญั อกี อยา่ งหนง่ึ กค็ อื ประโยชนส์ ขุ ของประชาชนหรอื ชาวบา้ นผเู้ ลอ่ื มใสและจะเลอ่ื มใสนน่ั เอง เพราะ ปสาทะคือความเลื่อมใส ความผ่องใส หรือความโปร่งสบายของจิตใจ เป็น คุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งเกื้อกูลแก่จิตใจ เป็นปัจจัยแห่งความสุข ช่วยให้เกิดสมาธิ และเอื้ออำนวยแก่การใช้ปัญญาทำให้พร้อมที่จะเข้าใจเรื่องที่ พินิจพิจารณา เมื่อพระพุทธเจ้าจะทรงเทศนาอริยสัจแต่ละครั้ง พระองค์ทรง ค่อย ๆ สอนเตรียมพื้นจิตใจและปัญญาของผู้ฟังให้พร้อมขึ้นไปทีละขั้น ๆ จนผนู้ น้ั มจี ติ ทค่ี ลอ่ งสบาย นมุ่ นวล ปลอดจากนวิ รณ์ เบกิ บาน ผอ่ งใสคอื มี ปสาทะแลว้ จงึ ทรงแสดงอรยิ สจั ๔ การทพ่ี ระภกิ ษรุ ปู ใดรปู หนง่ึ ประพฤตดิ งี าม (๕)

ตั้งอยู่ในศีล จึงมิใช่เพื่อมุ่งประโยชน์ที่พึงมีมาแก่ตนจากความเลื่อมใสของ ชาวบา้ น ซง่ึ จะเปน็ การปฏบิ ตั ผิ ดิ พลาดอยา่ งเตม็ ท่ี แตต่ อ้ งมงุ่ เพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของสงฆ์และของชาวบ้านที่สัมพันธ์เกี่ยวข้อง สำหรับภิกษุปุถุชนการปฏิบัติ เพอ่ื สงฆแ์ ละเพอ่ื ประชาชน ยงั ตอ้ งดำเนนิ ควบคไู่ ปกบั การฝกึ หดั ขดั เกลาตนเอง แตส่ ำหรบั พระอรยิ บคุ คล โดยเฉพาะพระอรหนั ต์ ซง่ึ หมดกจิ ทจ่ี ะตอ้ งฝกึ ตนใน ดา้ นศลี หรอื หมดกเิ ลสโดยสน้ิ เชงิ แลว้ การรกั ษาศลี หรอื ปฏบิ ตั ติ ามวนิ ยั กม็ ี แตก่ ารกระทำเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของสงฆแ์ ละประชาชนดา้ นเดยี ว เขา้ กบั คตทิ เ่ี ปน็ หลกั ใหญแ่ หง่ การดำเนนิ ชวี ติ และการบำเพญ็ กจิ ของพระพทุ ธเจา้ และพทุ ธสาวก ทว่ี า่ “ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของพหชู น… เพอ่ื เออ้ื อนเุ คราะหโ์ ลก” และ คตแิ หง่ การมจี ติ เออ้ื เอน็ ดแู กช่ มุ ชนทจ่ี ะเกดิ มาภายหลงั เพอ่ื เปน็ แบบอยา่ งทด่ี งี าม ของอนชุ น หรอื อยา่ งนอ้ ยกเ็ พอ่ื เชดิ ชคู วามดงี ามไวใ้ นโลก เปน็ การ เคารพธรรม เคารพวนิ ยั นน้ั เอง... ความจริงมิใช่แต่ศีลเท่านั้น แม้วัตรต่าง ๆ เช่นธุดงค์ เป็นต้น ซง่ึ มใิ ชส่ ง่ิ จำเปน็ แกต่ วั ทา่ น และมใิ ชข่ อ้ บงั คบั ในวนิ ยั พระอรหนั ตบ์ างทา่ นก็ ปฏบิ ตั โิ ดยสมำ่ เสมอ เพอ่ื เปน็ ทฏิ ฐธิ รรมสขุ วหิ ารสว่ นตน และหวงั จะอนเุ คราะห์ ชนรุน่ หลังให้ได้มีแบบอย่างที่ดีงาม… การประพฤติในเรื่อง ศีล วัตร ข้อปฏิบัติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีการ แบบแผน ระบบ ระเบียบต่าง ๆ ที่ผิดพลาดก็คือ การถอื โดยงมงาย สกั วา่ ทำตาม ๆ กนั มา อยา่ งไมเ่ ขา้ ใจความมงุ่ หมาย ไมเ่ หน็ เหตผุ ล จนหลงไปวา่ จะถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ จะบรรลจุ ดุ มงุ่ หมาย สดุ ทา้ ยเพยี งดว้ ยศลี วตั ร ดว้ ยระบบระเบยี บพธิ เี หลา่ น้ี เปน็ เหตใุ หศ้ ลี วตั ร ระบบระเบยี บพธิ กี ารเหลา่ นน้ั ขยายรปู แปลกประหลาดพสิ ดารเตลดิ ออก ไปเปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั นิ อกแนวทางของพระพทุ ธศาสนา หรอื รกั ษาศลี บำเพญ็ ระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ โดยมีตัณหาทิฏฐิแอบแฝง อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข สวรรค์ เป็นผลตอบแทน มุ่งหวังจะได้เป็นอย่างนั้น อยา่ งน้ี จนบดบงั ความมงุ่ หมายทแ่ี ทจ้ รงิ และปดิ กน้ั ไมใ่ หเ้ ขา้ ถงึ จดุ หมาย ของการปฏบิ ตั ธิ รรม หรอื รกั ษาบำเพญ็ วตั ร ทำตามระเบยี บแบบแผนพธิ ี (๖)

อย่างอสัตบุรุษ คือเกิดความมัวเมาลุ่มหลงตนเอง ยกเอาคุณความดี เหล่านี้ขึ้นมาเป็นข้อเปรียบเทียบ เพื่อยกตนข่มผู้อื่น (เช่นเป็นพหูสูต เปน็ วนิ ยั ธร เปน็ ธรรมกถกึ ถอื อยปู่ า่ ถอื ผา้ บงั สกุ ลุ ถอื รกุ ขมลู ถอื ฉนั มอ้ื เดยี ว หรือได้ฌาณสมาบัติเป็นต้นแล้วภูมิใจตน คิดดูถูกผู้อื่นว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท่านว่าเป็นอสัตบุรุษ ..ม.อุ. ๑๔/๑๘๔–๑๙๐/๑๓๗–๑๔๐. มีศีลสัมปทาแล้วดีใจ ภมู ใิ จยกตนขม่ ผอู้ น่ื ชอ่ื วา่ เปน็ ผปู้ ระมาท ม.ม.ู ๑๒/๓๔๘/๓๖๕)* ผู้รักษาศีลประพฤติตามวินัย ควรเข้าใจ วัตถุประสงค์คือ ประโยชน์ที่มุ่งหมายของวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงแถลงก่อนบัญญัติ สกิ ขาบทแตล่ ะขอ้ (วนิ ย.๑/๒๐/๓๗) ซง่ึ มอี ยู่ ๑๐ ประการคอื ๑. เพอ่ื ความดงี ามทเ่ี ปน็ ไปโดยความเหน็ ชอบรว่ มกนั ของสงฆ์ ๒. เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ ๓. เพอ่ื กำราบคนหนา้ ดา้ นไมร่ จู้ กั อาย ๔. เพอื่ ความอยู่ผาสุกแหง่ เหลา่ ภกิ ษผุ ้มู ีศลี ดีงาม ๕. เพอ่ื ปดิ กน้ั ความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ นทจ่ี ะมี ในปจั จบุ นั ๖. เพอ่ื ปดิ กน้ั ความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ นทจ่ี ะมี ในภายหลงั ๗. เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของคนทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใส ๘. เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของคนทเ่ี ลอ่ื มใสแลว้ ๙. เพอ่ื ความดำรงมน่ั แหง่ สทั ธรรม ๑๐.เพอ่ื สง่ เสรมิ ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย สนบั สนนุ วนิ ยั ให้ หนกั แนน่ … สาระสำคัญ ที่เป็นแกนกลางแห่งเจตนารมณ์ทางสังคมของศีล โดยเฉพาะศีลที่เป็นระดับวินัย ก็คือ ความเคารพในสงฆ์ การถือสงฆ์และ กิจของสงฆ์เป็นใหญ่ การถือความเจริญมั่นคงของสงฆ์หรือประโยชน์สุขของ สว่ นรวมเปน็ สำคญั และการมคี วามรบั ผดิ ชอบอยา่ งสงู ตอ่ สงฆแ์ ละประโยชนส์ ขุ * การอา้ งทม่ี าในเลม่ นใ้ี ชร้ ะบบ เลม่ / ขอ้ / หนา้ เชน่ ไตร. ๑๒/๓๔๘/๓๖๕ = พระไตรปฏิ ก เลม่ ๑๒ ขอ้ ๓๔๘ หนา้ ๓๖๕ (๗)

ของสงฆ์ เจตนารมณน์ ้ี พระพทุ ธเจา้ และพระอรหนั ตท์ ง้ั หลายไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ นำเป็นแบบอย่างไว้แล้ว ความเคารพสงฆ์ มคี วามหมายเนอ่ื งอยดู่ ว้ ยกนั กบั ความเคารพในธรรม และความเคารพในวนิ ยั หรอื ความเคารพธรรมวนิ ยั เพราะการรบั ผดิ ชอบตอ่ สงฆ์และปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขแห่งสงฆ์ ก็คือการปฏิบัติที่ชอบด้วยธรรม และเป็นไปตามวินัย การมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ สงฆแ์ ละประโยชนส์ ขุ ของสงฆ์ มคี วามหมาย เนอ่ื งอยดู่ ว้ ยกนั กบั การปฏบิ ตั เิ พอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของพหชู น เพราะสงฆห์ มายถงึ ส่วนรวมและสงฆ์ได้มีขึ้นก็เพื่อประโยชน์สุขของพหูชน พระพุทธเจ้าทรงเป็น ผนู้ ำในการปฏบิ ตั เิ ชน่ น้ี ดงั พทุ ธพจนว์ า่ “ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ทรงธรรม เป็น ธรรมราชา ทรงอาศัยธรรมนั่นเอง สักการะเคารพ นอบน้อมธรรม มธี รรมเปน็ ธงชยั มธี รรมเปน็ ตราชู เปน็ ธรรมาธปิ ไตย จดั การรกั ษา คุ้มครองป้องกันอันชอบธรรม แก่ภิกษุ…ภิกษุณี…อุบาสก…อุบาสิกา ทั้งหลาย โดยนัยว่า กายกรรม…วจีกรรม…มโนกรรม…อาชีวะ... คามนคิ ม… อยา่ งนค้ี วรเสพ อยา่ งนไ้ี มค่ วรเสพ” (องั .ปญั จก.๒๒/๑๓๓/๑๖๘) “เราสกั การะ เคารพ อาศยั ธรรมทเ่ี ราไดต้ รสั รนู้ น้ั เองเปน็ อยู่ และเมอ่ื ใดสงฆป์ ระกอบดว้ ยความเตบิ ใหญ่ เมอ่ื นน้ั เรายอ่ มมคี วามเคารพ แมใ้ นสงฆ”์ (องั .จตกุ ก.๒๑/๒๑/๒๗) ดว้ ยเหตนุ ้ี เมอ่ื มภี กิ ษจุ ำนวนมากขน้ึ เจรญิ ดว้ ยความรปู้ ระสบการณ์ คณะสงฆ์แพร่หลายขยายกว้างขวางออกไป พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงบัญญัติ สังฆกรรมประเภทต่าง ๆ ขึ้น และทรงมอบอำนาจให้ที่ประชุมสงฆ์เป็นใหญ่ ในสงั ฆกรรมเหลา่ นน้ั เรม่ิ แตท่ รงหยดุ เลกิ ใหอ้ ปุ สมบทโดยพระองคเ์ อง และ โดยพระสาวกรายบคุ คล เปลย่ี นเปน็ การใหอ้ ปุ สมบทโดยสงฆ์ เปน็ ตน้ … และเมื่อจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็ได้ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ธรรมวนิ ยั ทเ่ี ราไดแ้ สดงแลว้ บญั ญตั แิ ลว้ แกเ่ ธอทง้ั หลาย นน้ั คอื ศาสดา ของพวกเธอ เมอ่ื เราลว่ งลบั ไป” (ท.ี ม. ๑/๑๔๑/๑๗๘) (๘)

ภายหลังพุทธปรินิพพานแล้ว คราวหนึ่ง วัสสการพราหมณ์ได้ถาม พระอานนท์ว่า “ทา่ นพระอานนทผ์ เู้ จรญิ มภี กิ ษสุ กั รปู หนง่ึ ไหม ทท่ี า่ นพระ- โคตมะไดท้ รงแตง่ ตง้ั ไวว้ า่ : เมอ่ื เราลว่ งลบั ไป ภกิ ษนุ จ้ี กั เปน็ ทพ่ี ง่ึ ทพ่ี ำนกั ของเธอทง้ั หลาย ซง่ึ เปน็ ผทู้ พ่ี วกทา่ นคอยแลน่ เขา้ หาอยใู่ นบดั น้ี ?” พระอานนทต์ อบวา่ ไมม่ ี และแมแ้ ตภ่ กิ ษทุ ส่ี งฆเ์ ลอื กตง้ั ทภ่ี กิ ษเุ ถระ จำนวนมากแต่งตั้งเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนพุทธปรินิพพาน ก็ไม่มี แต่กระนั้น “ดกู อ่ นพราหมณ์ พวกเรามใิ ชจ่ ะไรท้ พ่ี ง่ึ พำนกั พวกเรามที พ่ี ง่ึ พำนกั คอื มธี รรมเปน็ ทพ่ี ง่ึ พำนกั ” ทา่ นอธบิ ายการมธี รรมเปน็ ทพ่ี ง่ึ พำนกั วา่ “ดกู อ่ นพราหมณ์ สกิ ขาบท ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผทู้ รงรผู้ ทู้ รงเหน็ พระองคน์ น้ั ทรงบญั ญตั ไิ ว้ ปาตโิ มกขท์ ท่ี รงแสดงไว้ มอี ยู่ ซง่ึ เมอ่ื ถงึ วนั อโุ บสถ พวก ข้าพเจ้ามีจำนวนเท่าใดอาศัยเขตคามหนึ่งอยู่ ทั้งหมดทุกรูปนั้นก็จะมา ประชมุ ณ ทเ่ี ดยี วกนั ครน้ั แลว้ จะเชญิ ภกิ ษรุ ปู ทท่ี รงจำปาตโิ มกขไ์ ดค้ ลอ่ ง ให้สวดแสดง ถ้าขณะเมื่อสวดแสดงอยู่ ปรากฏภิกษุมีอาบัติคือมีโทษ ที่ล่วงละเมิด อาตมภาพทั้งหลายจะปรับโทษให้เธอปฏิบัติตามธรรม ตามคำอนุศาสน์ การที่เป็นดังนี้จะชื่อว่าพวกภิกษุผู้เจริญทั้งหลาย ทำการปรบั โทษ กห็ ามไิ ด้ ธรรม (ตา่ งหาก) ปรบั โทษ” และภกิ ษทุ เ่ี ปน็ หลกั กม็ อี ยตู่ ามคำอธบิ ายของทา่ นวา่ “ดกู อ่ นพราหมณ์ ธรรมเปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความเลอ่ื มใส ๑๐ ประการ* ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผทู้ รงรู้ ผทู้ รงเหน็ พระองคน์ น้ั ไดต้ รสั ไวม้ อี ยู่ ซง่ึ ในบรรดาอาตมภาพทง้ั หลาย หากผใู้ ดมธี รรมเหลา่ นน้ั พวกอาตมภาพก็จะสักการะ เคารพ นับถือ บูชา อิงอาศัยท่านผู้นั้น เปน็ อย”ู่ ภิกษุผู้ได้รับมอบหมายให้วินิจฉัยอธิกรณ์ (ตัดสินคดี) ต้องถือหลัก ปฏบิ ตั วิ า่ พงึ เปน็ ผเู้ คารพสงฆม์ ใิ ชเ่ คารพบคุ คล พงึ เคารพสทั ธรรม (ความจรงิ ความถกู ตอ้ ง ความเปน็ ธรรม) มใิ ชเ่ คารพอามสิ (วนิ ย.๘ / ๑๐๘๓ /๔๐๔) * ม.อ.ุ ๑๔/๑๐๘ /๙๑ ปสาทนยี ธรรม ๑๐ นน้ั คอื ๑.มศี ลี , ๒.เปน็ พหสู ตู , ๓.สนั โดษ, ๔.ไดฌ้ าณ๔, ขอ้ ๕-๑๐.มอี ภญิ ญา๖ (๙)

พระอรหนั ตสาวกผใู้ หญก่ ต็ อ้ งประพฤตนิ ำเปน็ ตวั อยา่ งในการเอาใจใสก่ จิ ของสงฆ์ เช่นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนให้พระมหากัปปินะไปร่วมประชุม อโุ บสถสงั ฆกรรม ตรวจสอบทบทวนการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามพระวนิ ยั แมว้ า่ ทา่ นเปน็ พระอรหนั ตผ์ บู้ รสิ ทุ ธอ์ิ ยแู่ ลว้ (วนิ ย.๔/๑๕๓/๒๐๘) และพระมหากสั สป อยหู่ า่ งทป่ี ระชมุ สงฆท์ ำอโุ บสถประมาณ ๔ กโิ ลเมตร เมอ่ื ถงึ วนั อโุ บสถ แมจ้ ะ เดนิ ทางลำบากตอ้ งลยุ ขา้ มแมน่ ำ้ สายหนง่ึ ระหวา่ งทาง ทา่ นกเ็ ดนิ เทา้ ไปเขา้ รว่ ม ประชมุ (วนิ ย.๔/๑๖๒/๒๑๔)… ศลี ระดบั วนิ ยั ทไ่ี ดบ้ ญั ญตั วิ างไวแ้ ลว้ อยา่ งครบถว้ นสำหรบั เปน็ แบบแผน แห่งความเป็นอยู่ หรือเป็นระบบชีวิตด้านนอกทั้งหมดของชุมชนหมู่หนึ่งๆ ในทางพระพทุ ธศาสนา มแี บบอยา่ งทเ่ี ดน่ ชดั คอื วนิ ยั ของสงฆ์ ผทู้ ไ่ี ดศ้ กึ ษา และสังเกตจะเห็นว่า วินัยบัญญัติของสงฆ์มิใช่ศีลในความหมายแคบๆ อยา่ งทม่ี กั เขา้ ใจกนั งา่ ยๆ แตค่ รอบคลมุ เรอ่ื งเกย่ี วกบั ความเปน็ อยทู่ ว่ั ๆไป ทเ่ี รยี กวา่ ชวี ติ ดา้ นนอกของภกิ ษสุ งฆท์ กุ แงเ่ รม่ิ ตง้ั แตก่ ำหนดคณุ สมบตั ิ สทิ ธหิ นา้ ท่ี และวิธีการรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ชุมชนคือสงฆ์ การดูแลฝึกอบรมสมาชิกใหม่ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทำกิจการของสงฆ์ พร้อมด้วยคุณสมบัติและหน้าที่ที่ กำหนดให้ ระเบยี บเกย่ี วกบั การแสวงหา จดั ทำ เกบ็ รกั ษา แบง่ สรรปจั จยั ๔ เช่น ประเภทต่าง ๆ ของอาหาร ระเบียบการรับและจัดแบ่งส่วนอาหาร การทำจวี รและขอ้ ปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั จวี ร ประเภทของยา การปฏบิ ตั ติ อ่ ภกิ ษอุ าพาธ ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องคนไขแ้ ละผรู้ กั ษาพยาบาลไข้ การจดั สรรทอ่ี ยอู่ าศยั ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ อง ผอู้ าศยั ระเบยี บการกอ่ สรา้ งทอ่ี ยอู่ าศยั การดำเนนิ งานและรบั ผดิ ชอบในการ กอ่ สรา้ ง การจดั ผงั ทอ่ี ยอู่ าศยั ของชมุ ชนสงฆค์ อื วดั วา่ พงึ มอี าคารหรอื สง่ิ กอ่ สรา้ ง อยา่ งใดๆ บา้ ง ระเบยี บวธิ ดี ำเนนิ การประชมุ การโจทหรอื ฟอ้ งคดี ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ของโจทก์ จำเลยและผวู้ นิ จิ ฉยั คดี วธิ ดี ำเนนิ คดแี ละตดั สนิ คดี การลงโทษแบบ ตา่ ง ๆ ฯลฯ… ด้วยเหตุนี้ ในทางพระพุทธศาสนา วินัยจึงเป็นพื้นฐานที่รองรับไว้ ซง่ึ ระบบชวี ติ ทง้ั หมดทเ่ี ปน็ แบบของพระพทุ ธศาสนา และเปน็ ทอ่ี ำนวยโอกาส ให้การปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธศาสนาดำเนินไปได้ด้วยดี วินัย (๑๐)

ของภิกษุสงฆ์ก็เป็นเครื่องช่วยให้สงฆ์ เป็นแหล่งที่บุคคลผู้เป็นสมาชิกคือ ภิกษุสามารถเจริญงอกงาม ได้รับประโยชน์ที่พึงได้จากพระพุทธศาสนา เมื่อวินัยยังคงอยู่ สงฆ์ก็ยังอยู่ เมื่อสงฆ์ยังอยู่ ประโยชน์ที่บุคคลพึงได้จาก ระบบชีวิตแบบพุทธก็จะยังคงอยู่… ความหมายของวินัยจะชัดแจ้งสมบูรณ์ ต่อเมื่อสัมพันธ์เชื่อมต่อ กับความหมายของธรรม ธรรมเป็นส่วนเนื้อหาและหลักการของความ ประพฤตแิ ละความเปน็ อยแู่ บบพทุ ธ วนิ ยั เปน็ ภาคปฏบิ ตั ทิ น่ี ำเอาเนอ้ื หา และหลกั การนน้ั ไปจดั สรรใหค้ วามประพฤตแิ ละความเปน็ อยแู่ บบพทุ ธนน้ั เกิดมีเป็นรูปร่างจริงจังขึ้น และสามารถแผ่ขยายกว้างขวางออกไปใน สงั คมมนษุ ย์ พดู อกี อยา่ งหนง่ึ วา่ วนิ ยั คอื เครอ่ื งมอื ของธรรมสำหรบั จดั สรรสงั คม หรอื ชมุ ชนใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั การและความมงุ่ หมายของธรรม หรอื เปน็ เครอ่ื งมอื สำหรบั จดั ระบบชวี ติ แบบพทุ ธใหเ้ กดิ มเี ปน็ จรงิ ขน้ึ ธรรมมงุ่ เนอ้ื หาเนน้ ทบ่ี คุ คล วินัยมุ่งเน้นที่ระบบ… ดว้ ยเหตนุ ้ี หากจะฟน้ื ฟกู ารปฏบิ ตั วิ นิ ยั การเนน้ แตเ่ พยี งความเครง่ ครดั ด้านรูปแบบอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ ภารกิจสำคัญที่ยังไม่ได้ทำสืบต่อ จากเดิม หรือได้หดหายไปแล้วยิ่งกว่าเดิม ซึ่งควรฟื้นฟูก็คือ การรักษา เจตนารมณท์ างสงั คมของศลี ในวนิ ยั สงฆใ์ หค้ งอยู่ ไมเ่ ลอื นลางหดหายไป เหลอื อยู่ แตใ่ นรปู ของพธิ กี รรมแหง้ ๆ และอกี อยา่ งหนง่ึ การขยายเจตนารมณท์ างสงั คม ของศลี นน้ั ใหก้ วา้ งออกไปสกู่ ารปฏบิ ตั ใิ นสงั คมคฤหสั ถร์ อบนอกดว้ ย โดยจดั สรร วนิ ยั ทเ่ี ปน็ ระบบชวี ติ และระเบยี บสงั คมแบบพทุ ธของชาวบา้ น ใหเ้ กดิ มขี น้ึ อยา่ ง เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของกาลสมัย. คดั มาจากหนงั สอื .. “พทุ ธธรรม” หนา้ ๔๓๔ - ๔๕๑ ทเ่ี ขยี นโดย พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) (๑๑)

เนอ้ื แทอ้ นั ตรธาน ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว : กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่. เมื่อกลองศึกนี้มีแผลแตก หรือลิ, พวกกษัตริย์ ทสารหะได้หาเนื้อไม้ อื่นมาทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น (ทุกคราวไป). ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้น นานเขา้ กถ็ งึ สมยั หนง่ึ ซง่ึ เนอ้ื ไมข้ องตวั กลองหมดสน้ิ ไป เหลอื อยแู่ ตเ่ นอ้ื ไม้ ที่ทำเสริมเข้าใหมเ่ ท่านั้น; ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั : ในกาลยดื ยาวฝา่ ยอนาคต จกั มภี กิ ษุ ทง้ั หลาย, สตุ ตนั ตะ (คำสอนสว่ นทล่ี กึ ซง้ึ ) เหลา่ ใด ทเ่ี ปน็ คำของตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซง้ึ เปน็ ชน้ั โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา, เมื่อมีผู้นำ สุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จกั ไมต่ ง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ และจกั ไมส่ ำคญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. สว่ น สตุ นั ตะเหลา่ ใด ทน่ี กั กวแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คำรอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอ่ื งนอกแนว เปน็ คำกลา่ ว ของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เหล่านั้น มากล่าวอยู่ ; เธอจกั ฟงั ดว้ ยดี จกั เงย่ี หฟู งั จกั ตง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ และจกั สำคญั ไปวา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี น ควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. ภิกษุทั้งหลาย ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคำของ ตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วย เรอ่ื งสญุ ญตา จกั มไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน้ี แล. (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๖ / ๓๑๑ /๖๗๒)

คำชีแ้ จงก่อนอา่ น ประมวลพุทธบัญญัติอริยวินัยจากพระไตรปิฎกนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ระเบยี บปฏบิ ตั ิ ขนบธรรมเนยี มประเพณี วถิ ชี วี ติ และวธิ ดี ำเนนิ กจิ การตา่ ง ๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ที่เรียกว่า พระวินัย ซึ่งเป็นพุทธบัญญัติ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ สองสว่ น คอื อาทิพรหมจริยกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่าย บทบญั ญตั ิ หรอื ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรง บัญญัติไว้เป็นพุทธอาณา เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายและวางโทษ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ โดยปรบั อาบตั หิ นกั บา้ ง เบาบา้ ง พระสงฆส์ วดทกุ กง่ึ เดอื น เรยี กวา่ พระปาตโิ มกข์ และสว่ น อภสิ มาจารกิ าสกิ ขา หมายถงึ หลกั การศกึ ษาอบรมในฝา่ ย ขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับมรรยาท และความเป็นอยู่ที่ดีงามสำหรับชักนำความ ประพฤติ ความเปน็ อยขู่ องสงฆใ์ หด้ งี าม มคี ณุ คา่ นา่ เลอ่ื มใสศรทั ธายง่ิ ขน้ึ ไป พระวนิ ยั นน้ั พระพทุ ธองคไ์ มไ่ ดท้ รงบญั ญตั ลิ ว่ งหนา้ ตอ่ เมอ่ื เกดิ ความ เสียหายขึ้น จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามประพฤติเช่นนั้นอีก ดังจะเห็นได้ว่า ในตอนตน้ พทุ ธกาล คอื ตง้ั แตพ่ รรษาท่ี ๑ ถงึ พรรษาท่ี ๑๑ พระพทุ ธเจา้ ยงั ไมไ่ ด้ ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แน่นอน เพราะภิกษุสงฆ์ล้วนมีวัตรปฏิบัติดีงามตาม แบบอยา่ ง ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงประพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า ต่อมา หลังจากออกพรรษาที่ ๑๒ นี้แล้วพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ห้ามภิกษุเสพเมถุน โดยปรารภเหตุการณ์มัวหมอง ในคณะสงฆ์ อนั เนอ่ื งมาจากการทพ่ี ระสทุ นิ เสพเมถนุ กบั อดตี ภรรยาทป่ี า่ มหาวนั กรงุ เวสาลี การทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั คิ รง้ั นน้ี บั เปน็ ครง้ั แรก และทรงบญั ญตั ิ เรอ่ื ยมาทกุ ครง้ั ทเ่ี กดิ เหตกุ ารณไ์ มด่ งี ามขน้ึ ในคณะสงฆ์ ในการบญั ญตั สิ กิ ขาบทแตล่ ะครง้ั มขี น้ั ตอน ดงั นค้ี อื เมอ่ื เกดิ เรอ่ื งมวั หมอง ขน้ึ ภายในคณะสงฆ์ พระพทุ ธเจา้ ตรสั สง่ั ใหป้ ระชมุ สงฆ์ ตรสั ถามภกิ ษผุ กู้ อ่ เหตุ ใหท้ ลู รบั แลว้ ทรงชโ้ี ทษแหง่ การประพฤตเิ ชน่ นน้ั และตรสั อานสิ งสแ์ หง่ ความ (๑๓)

สำรวมระวัง แล้วจึงทรงตั้งพระบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุทำอย่างนั้นอีกต่อไป ทรงกำหนดโทษสำหรบั ผฝู้ า่ ฝนื หรอื ลว่ งละเมดิ เรยี กวา่ ปรบั อาบตั ิ คำวา่ อาบตั ิ แปลวา่ การตอ้ ง (ความผดิ ) การลว่ งละเมดิ คำนเ้ี ปน็ ชอ่ื เรยี กกริ ยิ าทล่ี ว่ งละเมดิ สกิ ขาบทนน้ั ๆ และเปน็ ชอ่ื เรยี กโทษหรอื ความผดิ ทเ่ี กดิ จากการลว่ งละเมดิ สกิ ขาบท เชน่ ภกิ ษกุ ลา่ วอวดอตุ ตรมิ นสุ ธรรมทไ่ี มม่ ี ในตน ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ เปน็ ตน้ อาบตั มิ ี ๗ กองคอื ๑. ปาราชกิ (แปลวา่ ผพู้ า่ ยแพ)้ ๒. สังฆาทิเสส (แปลว่า อาบัติอันจำปรารถนาสงฆ์ ในกรรม เบือ้ งตน้ และกรรมที่เหลอื ) ๓. ถลุ ลจั จยั (แปลวา่ ความลว่ งละเมดิ ทห่ี ยาบ) ๔. ปาจติ ตยี ์ (แปลวา่ การละเมดิ ทย่ี งั กศุ ลใหต้ ก) ๕. ปาฏเิ ทสนยี ะ (แปลวา่ จะพงึ แสดงคนื ) ๖. ทกุ กฏ (แปลวา่ ทำไมด่ )ี ๗. ทพุ ภาสติ (แปลวา่ พดู ไมด่ )ี อาบตั ปิ าราชกิ มโี ทษหนกั ทำใหผ้ ลู้ ว่ งละเมดิ ขาดจากความเปน็ ภกิ ษุ อาบัติสังฆาทิเสสมีโทษหนักน้อยลงมา ผู้ล่วงละเมิดต้องอยู่กรรมคือ ประพฤตวิ ตั รตามทท่ี รงบญั ญตั ิ จงึ จะพน้ จากอาบตั นิ ้ี สว่ นอาบตั ิ ๕ กองทเ่ี หลอื มโี ทษเบา ผลู้ ว่ งละเมดิ ตอ้ งประกาศสารภาพผดิ ตอ่ หนา้ ภกิ ษดุ ว้ ยกนั ดงั ทเ่ี รยี กวา่ ปลงอาบตั ิ (มรี ายละเอยี ดวธิ ใี นภาคผนวก หนา้ ๔๑๘ - ๔๑๙) จงึ จะพน้ อาบตั เิ หลา่ น้ี บทบัญญัติในพระวินัยแต่ละข้อหรือมาตรา เรียกว่า สิกขาบท แปลวา่ ขอ้ ทต่ี อ้ งศกึ ษา… (๑๔)

พระวนิ ยั ปฎิ ก ในพระไตรปฎิ กมกี ารแบง่ ออกเปน็ ๕ คมั ภรี ์ ๘ เลม่ ดงั น้ี ๑. คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ หรอื มหาวภิ งั ค์ วา่ ดว้ ยบทบญั ญตั สิ ำหรบั ภกิ ษุ ๒๒๗ สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ เป็นประธานแม่บท สงฆ์ยกขึ้นทบทวน ทกุ กง่ึ เดอื นแบง่ เปน็ กลมุ่ ไดด้ งั น้ี ภิกขุวิภังค์ ภาค ๑ พระวินัยปิฏก เล่ม ๑ ว่าด้วยปาราชิก ๔ สงั ฆาทเิ สส ๑๓ อนยิ ต ๒ ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒ วา่ ดว้ ยนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ (ปาจติ ตยี ท์ ต่ี อ้ งสละของกอ่ นจงึ ปลงอาบตั ไิ ด)้ ๓๐ ปาจติ ตยี ์ ๙๒ ปาฏเิ ทสนยี ะ ๔ เสขยิ ะ ๗๕ อธกิ รณสมถะ (วธิ รี ะงบั เรอ่ื งทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ สงฆต์ อ้ งจดั ตอ้ งทำ) ๗ ๒. คมั ภรี ภ์ กิ ขนุ วี ภิ งั ค์ พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๓ วา่ ดว้ ยบทบญั ญตั สิ ำหรบั ภิกษุณี ๓๑๑ สิกขาบท ที่มาในภิกขุณีปาติโมกข์ส่วนที่ไม่ซ้ำกับของภิกษุ (มิได้นำมาประมวลไว้ในหนังสือนี้) สกิ ขาบททม่ี าในพระปาตโิ มกขน์ น้ั ปรบั อาบตั แิ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ ไวค้ รบ ทกุ อาบตั ิ คอื ระบอุ าบตั โิ ดยตรง ๔ กอง ไดแ้ กอ่ าบตั ิ ปาราชกิ , สงั ฆาทเิ สส, ปาจติ ตยี ์ (ทง้ั นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ทต่ี อ้ งสละของเสยี กอ่ นจงึ ปลงอาบตั ิ และ สทุ ธกิ - ปาจติ ตยี )์ และปาฏเิ ทสนยี ะ มอี าบตั ทิ ไ่ี มไ่ ดร้ ะบไุ วโ้ ดยตรงอกี ๓ กอง ซง่ึ เปน็ ความผิดของสิกขาบทในพระปาติโมกข์บางข้อ ที่ทรงปรับโทษแบบลดระดับ ในกรณที ม่ี กี ารกระทำผดิ ในลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งออกไปจากสกิ ขาบททบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ เพยี งเลก็ นอ้ ย ไดแ้ ก่ อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั , อาบตั ทิ กุ กฎ, อาบตั ทิ พุ ภาสติ สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์เหล่านี้ ยกเว้นอนิยตและเสขิยะ จดั เปน็ อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา สว่ นอนยิ ต เสขยิ ะ และสกิ ขาบทจำนวนมาก ทม่ี านอกพระปาตโิ มกขล์ ว้ นเปน็ อภสิ มาจารกิ าสกิ ขา มที ง้ั ทท่ี รงบญั ญตั เิ ปน็ ขอ้ หา้ มและขอ้ อนญุ าต ในกรณที เ่ี ปน็ ขอ้ หา้ ม ถา้ ภกิ ษลุ ว่ งละเมดิ ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฎ ปรบั ตามควร เชน่ ปาจติ ตยี ์ หรอื ปรบั สงู ขน้ึ ไปถงึ ถลุ ลจั จยั ๓. คมั ภรี ม์ หาวรรค แปลวา่ วรรคใหญ่ คอื วา่ ดว้ ยเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั สงฆ์ ทเ่ี ปน็ เรอ่ื งสำคญั ๆ และตอ้ งทำเสมอ แบง่ เปน็ ๒ ภาค รวม ๑๐ ขนั ธ์ (๑๕)

มหาวรรค ภาค ๑ พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๔ มี ๔ ขนั ธ์ คอื มหาขนั ธ์ : หมวดวา่ ดว้ ยเรอ่ื งสำคญั เหตกุ ารณต์ ง้ั แตต่ รสั ร,ู้ อโุ บสถขนั ธ์ : หมวดวา่ ดว้ ย อโุ บสถ, วสั สปู นายกิ าขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยการเขา้ พรรษา, ปวารณาขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยการ ใหภ้ กิ ษอุ น่ื ตกั เตอื นได.้ มหาวรรค ภาค ๒ พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๕ มี ๖ ขนั ธ์ คอื จมั มขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยหนงั เรอ่ื งรองเทา้ ยานพาหนะ, เภสชั ชขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยเรอ่ื งเภสชั ปานะ การเกบ็ อาหาร, กฐนิ ขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยเรอ่ื งกฐนิ , จวี รขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยเรอ่ื งจวี รการใชผ้ า้ , จมั เปยยขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยเหตกุ ารณใ์ นกรงุ จมั ปา วา่ ดว้ ยการลงโทษของสงฆต์ า่ ง ๆ, โกสมั พขิ นั ธ์ : วา่ ดว้ ยเรอ่ื งเหตกุ ารณใ์ นกรงุ โกสมั พี สว่ นใหญก่ ลา่ วถงึ เรอ่ื งสงฆ์ แตกสามคั คกี นั แลว้ ทรงแสดงวธิ ปี รองดองของสงฆใ์ นทางวนิ ยั ๔. คมั ภรี จ์ ลุ วรรค แปลวา่ วรรคเลก็ หมายถงึ วรรคทว่ี า่ ดว้ ยเรอ่ื งเบด็ เตลด็ นอกจากบทบญั ญตั ทิ ม่ี าในพระปาตโิ มกข์ แบง่ เปน็ ๒ ภาค รวม ๑๒ ขนั ธ์ จุลวรรค ภาค ๑ พระวินัยปิฎก เล่ม ๖ เนื้อหาเกือบทั้งหมด ไม่ได้ว่าด้วยบทบัญญัติที่เป็นข้อห้าม แต่ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ทาง กระบวนการสงฆ์ ทจ่ี ะจดั การกบั ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงฆ์ มี ๔ ขนั ธ์ คอื กมั มขนั ธ์ :วา่ ดว้ ยระเบยี บปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั การลงโทษ เพอ่ื แกไ้ ขทฏิ ฐพิ ฤตกิ รรมของภกิ ษุ อันเกิดในสงฆ์ ที่เกิดเพราะเหตุมรรคหรือปฏิปทา, ปาริวาสิกขันธ์ : ว่าด้วย ระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับปริวาสกรรม, สมุจจยขันธ์ :ประมวลวิธีเพื่อออกจาก อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส, สมถขนั ธ์ : ขยายความวธิ รี ะงบั อธกิ รณ์ เรอ่ื งไมด่ งี ามซง่ึ เกดิ ขน้ึ ในสงฆ์ ถา้ เปน็ การละเมดิ บทบญั ญตั ิ ภกิ ษุ ผลู้ ะเมดิ ยอ่ มตอ้ งอาบตั ติ ามสมควรแกก่ รณแี นน่ อน โดยไมต่ อ้ งมใี ครมากลา่ วโทษ แต่ในบางกรณีหลังจากที่ปรับโทษแล้ว ยังต้องมีกระบวนการที่คณะสงฆ์เข้ามา เกย่ี วขอ้ ง เชน่ การอยปู่ รวิ าสกรรม - การประพฤตมิ านตั เพอ่ื ออกจากอาบตั ิ สงั ฆาทเิ สส (ดแู ผนผงั ท่ี ๒ หนา้ ๔๘๑), หรอื กรณที อ่ี าจจะมเี หตกุ อ่ ผลกระทบตอ่ มหาชนเป็นอันมาก จึงต้องมีวิธีการลงโทษเพื่อแก้ไขทิฏฐิพฤติกรรมของภิกษุ ทเ่ี กดิ เพราะเหตมุ รรคหรอื ปฏปิ ทา (ดแู ผนผงั ท่ี ๓ หนา้ ๔๘๓), หรอื กรณมี อี ธกิ รณ์ เกดิ ขน้ึ จงึ มวี ธิ รี ะงบั อธกิ รณ์ (อธกิ รณสมถะ, ดตู ารางหนา้ ๔๗๙) เหลา่ นล้ี ว้ นเปน็ (๑๖)

มาตราการที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสงฆ์ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาของสงฆ์ อยา่ งเดด็ ขาด และเพอ่ื ประคบั ประคองศรทั ธาของชาวบา้ นผถู้ วายความอปุ ถมั ภ์ จลุ วรรค ภาค ๒ พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๗ น้ี เปน็ เรอ่ื งขอ้ หา้ ม และ ข้ออนุญาตเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อร่างกายและอื่น ๆ แบ่งเป็น ๘ ขันธ์ คือ ขทุ ทกวตั ถขุ นั ธ์ : วา่ ดว้ ยเรอ่ื งเบด็ เตลด็ เชน่ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการอาบนำ้ การดมู หรสพ บาตร เครอ่ื งใชโ้ ลหะ, เสนาสนขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยเรอ่ื งทอ่ี ยู่ เครอ่ื งใช้ ตลอดจนการ กอ่ สรา้ ง, สงั ฆเภทขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยการทำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั . วตั ตขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยวตั ร ข้อปฏิบัติ ๑๔ เรื่อง เช่นการปฏิบัติต่ออาคันตุกะ อุปัชฌาย์ ศิษย์ เป็นต้น, ปาฏโิ มกขฏั ฐปนขนั ธ์ : การงดสวดปาตโิ มกข์ พรอ้ มเงอ่ื นไข, ภกิ ขนุ ขี นั ธ์ : กลา่ วถงึ ความเปน็ มา ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ขอ้ หา้ ม ขอ้ อนญุ าตตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั นางภกิ ษณุ ,ี ปญั จสตกิ ขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยเหตกุ ารณห์ ลงั พทุ ธปรนิ พิ พานถงึ ทำสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ของพระอรหนั ต์ ๕๐๐ รปู , สตั ตสตกิ ขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยมลู เหตุ และการดำเนนิ การ ในการทำสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ของพระอรหนั ต์ ๗๐๐ รปู . ๕. คัมภีร์ปริวาร พระวินัยปิฎก เล่ม ๘ นี้เป็นคัมภีร์ประกอบหรือ คมู่ อื บรรจคุ ำถามตอบสำหรบั ซอ้ มความรพู้ ระวนิ ยั ตง้ั แต่ เลม่ ๑ - ๗ เปน็ การ ประมวลเนอ้ื หาทส่ี ำคญั ตา่ ง ๆ มากลา่ วไว้ มาจดั เปน็ หวั ขอ้ อนง่ึ การรวบรวมประมวลพระพทุ ธบญั ญตั อิ รยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เล่มนี้ เป็นการสรุปย่อรวบรวมให้กระทัดรัดเข้าใจง่าย รักษาใจความหรือยก พุทธพจน์โดยตรงในบางตอน เพื่อให้เหมาะสมกับผู้สนใจใคร่ศึกษาสามารถ ศกึ ษานำไปปฏบิ ตั ฝิ กึ หดั ขดั เกลาตนเอง และเพอ่ื ประโยชนข์ องผอู้ น่ื กระทง่ั สงั คม ดงั กลา่ วไวแ้ ลว้ โดยมจี ดุ ประสงคท์ ส่ี ำคญั อกี ประการหนง่ึ กค็ อื เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้เกิดความสนใจ ที่จะศึกษาจากพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกโดยตรง นอกจากนย้ี งั มขี อ้ จำกดั ในการจดั ทำหลายประการ เชน่ พยายามจะใหม้ ขี นาด ของหนงั สอื ไมห่ นาจนเกนิ ไป เปน็ ตน้ จึงได้จัดหมวดหมู่ โดยอ้างอิงการจัดหมวดหมู่ตามพระไตรปิฎก ดังแสดงในแผนผังสารบาญ และมีรายละเอียดการจัดรวบรวมพิเศษอื่นๆ ทค่ี วรทราบดงั น้ี :- (๑๗)

รายละเอยี ดการจดั เรยี งพเิ ศษอน่ื ๆ ทค่ี วรทราบของหนงั สอื เลม่ น้ี ๑.รวบรวมอรยิ วนิ ยั เฉพาะสว่ นภกิ ษสุ งฆท์ ง้ั หมด แตม่ ไิ ดเ้ รยี บเรยี ง ในส่วนสิกขาบทภิกษุณีสงฆ์ ที่มาในพระวินัยปิฎก เล่ม ๓ (เพื่อให้มีขนาด ไมห่ นามากจนเกนิ ไป) ๒.ในสว่ นวนิ ยั ทม่ี าในพระปาตโิ มกข์ ในทกุ สกิ ขาบท พระไตรปฎิ ก จะลำดับเนื้อหาของแต่ละสิกขาบทในลักษณะเดียวกันคือ ๑. ตน้ บญั ญตั ิ เลา่ เรอ่ื งตน้ เหตุ ทท่ี ำใหท้ รงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ๒. พระบญั ญตั ิ คอื สกิ ขาบททท่ี รงบญั ญตั ิ และอนบุ ญั ญตั ิ คอื การบญั ญตั เิ พม่ิ เตมิ ขอ้ ความใหก้ บั สกิ ขาบทนน้ั เพอ่ื ความรอบคอบรดั กมุ ๓. สิกขาบทวิภังค์และบทภาชนีย์ คำว่าสิกขาบทวิภังค์ หมายถึงการจำแนกความสิกขาบท คำว่า บทภาชนีย์ แปลว่าการจำแนก แยกแยะความหมายของบท เปน็ การนำเอาคำในสกิ ขาบทวภิ งั คม์ าขยายความ เพม่ิ เตมิ อกี ๔. อนาบัติ ว่าด้วยข้อยกเว้นสำหรับผู้ล่วงละเมิดสิกขาบทโดย ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ๕. วนิ ตี วตั ถุ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งตา่ งๆ ของภกิ ษผุ กู้ ระทำการบางอยา่ ง อนั อยใู่ นขอบขา่ ยของสกิ ขาบทนน้ั ๆ ซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงไตส่ วนเอง แลว้ ทรง วินิจฉัยชี้ขาดไว้ ส่วนในหนังสือนี้จะจัดเรียงโดย ๑.นำพระบญั ญตั ทิ ร่ี วมอนบุ ญั ญตั แิ ลว้ ไวเ้ ปน็ อนั ดบั แรก เพอ่ื สะดวกแกผ่ ศู้ กึ ษาทจ่ี ะนำไปปฏบิ ตั ิ จะไดท้ ราบโดยทนั ทวี า่ สกิ ขาบทนน้ั ๆ ทรงบญั ญตั ิ ไวอ้ ยา่ งไร โดยยกพระพทุ ธพจนโ์ ดยตรงมาเนน้ ขอ้ ความในเครอ่ื งหมายคำพดู ไว้ ๒.นำวภิ งั คห์ รอื บทภาชนยี ์ เฉพาะในบางสว่ นทเ่ี หน็ วา่ คำนน้ั ผู้ศึกษาอาจจะเข้าใจได้ไม่ชัดเจน เพื่อให้ทราบถึงคำอธิบายที่มีอยู่ใน พระไตรปฎิ กโดยตรง (ในสว่ นนส้ี นั นษิ ฐานวา่ มที ง้ั ทเ่ี ปน็ พระพทุ ธาธบิ ายโดยตรง และบางสว่ นเปน็ การอธบิ ายทอ่ี ยใู่ นชน้ั พระสงั คาหกาจารยผ์ รู้ วบรวมพระไตรปฎิ ก) (๑๘)

๓.ตามด้วยอนาบัติ ลักษณะที่ไม่ต้องอาบัติ เพื่อให้ผู้ศึกษา ทราบลกั ษณะยกเวน้ ไมต่ อ้ งอาบตั นิ น้ั ๆ(สนั นษฐิ านวา่ รวบรวมไวใ้ นชน้ั พระสงั คาหกาจารย)์ ทก่ี ลา่ วไวใ้ นพระไตรปฎิ กโดยตรงในทกุ สกิ ขาบท ยกเวน้ เสขยิ ะ ๔.ตอ่ ดว้ ยยอ่ ความเลา่ เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ ทม่ี มี าในพระไตรปฎิ ก เพอ่ื ใหห้ นงั สอื ไมห่ นาเกนิ ไป แตย่ งั คงใจความไวเ้ พอ่ื ใหท้ ราบทม่ี า อนั จะทำให้ ทราบเหตุผล เจตนารมณ์พระพุทธประสงค์ในการบัญญัติสิกขาบทนั้น ๆ (วนิ ตี วตั ถุ และโทษทป่ี รบั อาบตั ลิ ดระดบั มไิ ดย้ อ่ ไว้ พงึ ศกึ ษาจากพระไตรปฎิ ก) ๓.ในส่วนสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ หรืออภิสมาจาริกสิกขา ในคมั ภรี ม์ หาวรรค และจลุ วรรค (พระวนิ ยั ปฎิ กเลม่ ๔, ๕, ๖, ๗) นน้ั คงเปน็ การย่อใจความเรียงตามการจัดในพระไตรปิฎก แต่จะเน้นข้อความหรือยก พระพุทธพจน์ไว้ในส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ (หมายเหตุ ในพระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั อ.ํ ตกิ . ๒๐ / ๒๙๗ / ๕๒๔ มีพระพุทธดำรัสตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทนี้ ย่อมมาสู่อุเทส (การยกขึ้นแสดงในท่ามกลางสงฆ์) ทุกกึ่งเดือนตามลำดับ อันกุลบุตร ผู้ปรารถนาประโยชน์พากันศึกษาอยู่ในสิกขาบทเหล่านั้นฯ” จากพระสตู รนแ้ี สดงใหท้ ราบวา่ ในครง้ั พทุ ธกาลสกิ ขาบท ทม่ี าในพระปาตโิ มกข์ หรือที่เรียกว่าอาทิพรหมจริยกาสิกขาบท มี ๑๕๐ ข้อ คือไม่รวมอนิยต ๒ และเสขิยวัตร ๗๕ มิใช่มี ๒๒๗ ตามที่เข้าใจกันในบัดนี้ ดังนั้น อนิยต และ เสขยิ วตั ร ควรจะจดั อยใู่ นภาคอภสิ มาจารกิ สกิ ขาบท แตเ่ นอ่ื งจากพระไตรปฎิ ก ปัจจุบันได้จัดอนิยตและเสขิยวัตรไว้ในคัมภีร์ ภิกขุวิภังค์ภาค ๑ และภาค ๒ ตามลำดบั การจดั ของหนงั สอื เลม่ นอ้ี นวุ ตั รตามพระไตรปฎิ ก จงึ ไดจ้ ดั ไวต้ ามนน้ั ). ๔.ได้รวบรวมพระวินัยที่มาในพระไตรปิฎกเล่มอื่น และบางส่วน ในคมั ภรี ป์ รวิ าร (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๘) ทน่ี า่ สนใจมารวมไวเ้ ปน็ หมวดหนง่ึ โดย ระบทุ ม่ี าจากพระไตรปฎิ กไวแ้ ลว้ สว่ นตอนอน่ื ๆขา้ งตน้ นน้ั เนอ่ื งจากมกี ารจดั เรยี ง ตามพระไตรปฎิ ก เพอ่ื สะดวกในการคน้ หาอยแู่ ลว้ จงึ มไิ ดร้ ะบทุ ม่ี าไว.้ ๕.ได้รวบรวมคำบาลีที่ใช้บ่อย เช่น คำพินทุอธิษฐาน คำเสียสละ ปลงอาบัติ มอบฉันทะ อุโบสถ กรรมวาจาสมมติเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์ และ กรรมวาจาสงั ฆกรรมตา่ ง ๆ ทใ่ี ชบ้ อ่ ย ไวใ้ นภาคผนวกเพอ่ื สะดวกในการใชด้ ว้ ย. (๑๙)

แผนผงั การจดั สารบาญ โดยอา้ งองิ ตามการจดั พระพทุ ธ คำสั่งสอนของ ปาพจน์ พระธรรม ขอ้ แนะนำสง่ั สอนหรอื หลกั ความประพฤติ ทท่ี รงบญั ญตั ไิ ปตามสจั จธรรม เพอ่ื ความสน้ิ ไปแหง่ ความทกุ ข์ อาทิพรหมจาริยกาสิกขา บทศกึ ษาอนั เปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ เป็นประธานแมบ่ ทเรียกวา่ พระปาตโิ มกข์ ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ มหาวรรค ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑  มหาวรรค ภาค ๑ ( พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๑ ) ( พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๔ ) ๑. เวรชั กณั ฑ์ : เหตใุ หพ้ รหมจรรยต์ ง้ั มน่ั ๑. มหาขนั ธ์ : เหตกุ ารณต์ ง้ั แตต่ รสั รู้ ๒. ปาราชกิ กณั ฑ์ ๔ สกิ ขาบท ๒. อโุ บสถ์ : อโุ บสถ,์ การแสดงปาตโิ มกข์ ๓. สฆั าทเิ สสกณั ฑ์ ๑๓ สกิ ขาบท ๓. วสั สปู นายกิ าฯ : วา่ ดว้ ยการเขา้ พรรษา ๔. อนยิ ตกณั ฑ์ ๒ สกิ ขาบท ๔. ปวารณาฯ : การใหภ้ กิ ษอุ น่ื ตกั เตอื นได้ ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒  มหาวรรค ภาค ๒ ( พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๒ ) ( พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๕ ) ๑. นสิ สคั คยิ กณั ฑ์ ๓๐ สกิ ขาบท ๑. จมั มขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยหนงั ,รองเทา้ ,ยาน ๒. ปาจติ ตยี กณั ฑ์ ๙๒ สกิ ขาบท ๒. เภสชั ชฯ : ยา,ปานะ,การเกบ็ อาหาร ๓. ปฏเิ ทสนยี กณั ฑ์ ๔ สกิ ขาบท ๓. กฐนิ ขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยกฐนิ ๔. เสขยิ กณั ฑ์ ๗๕ สกิ ขาบท ๔. จวี รขนั ธ์ : วา่ ดว้ ยจวี ร,การใชผ้ า้ ๕. อธกิ รณสมถะ ๗ สกิ ขาบท ๕. จมั เปยยขันธ์ : การลงโทษของสงฆ์ ๖. โกสัมพขิ นั ธ์ : สงฆ์แตกและวิธีปรองดอง หมายเหตุ - คำพินทุ อธิษฐาน คำสละของนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปลงอาบตั ิ กรรมวาจาสงั ฆกรรมตา่ ง ๆ ฯลฯ ทใ่ี ชบ้ อ่ ย - ภิกขุนีวิภังค์ พระวินัยปิฎก เล่ม ๓, และบางส่วน และภิกขุปาฏิโมกข์ รวบรวมไว้อยู่ใน ภาคผนวก ของ ปริวาร พระวินัยปิฎก เล่ม ๘ มิได้รวบรวมไว้ ในหนงั สอื น้ี ผสู้ นใจพงึ ศกึ ษาจากพระไตรปฎิ ก

หมวดหมขู่ องพระไตรปฎิ ก ของหนงั สอื เลม่ น้ี :- ธรรมวนิ ยั พระพทุ ธเจ้าเรยี กว่า ( คำเป็นหลักเป็นประธาน ) พระวนิ ยั ระบบชวี ติ ระบบการฝกึ อบรมของอรยิ ชน ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้น เพื่อเกื้อกูล ต่อชุมชน และการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ อภิสมาจาริกาสิกขา ขนบธรรมเนียม วัตร ประเพณีอันดีงาม ของสงฆ์ เป็นสิกขาบท นอกพระปาตโิ มกข์ จุลวรรค ปริวารและพระสูตร จลุ วรรค ภาค ๑  ปริวารและพระสูตร ( พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๖ ) ( พระไตรปิฎกเลม่ อ่ืน ๆ ) ๑. กมั มขันธ์ : ขยายความวิธลี งโทษสงฆ์ ความหมายอาบตั ิ ๒. ปารวิ าสกิ ขนั ธ์ : วธิ อี ยปู่ รวิ าส อานสิ งสเ์ รยี นวนิ ยั ๓. สมจุ จยขนั ธ์ : วธิ อี อกจากสงั ฆาทเิ สส ธุดงค์ ๑๓ ๔. สมถขันธ์: ขยายวธิ รี ะงับอธกิ รณ์ จลุ ศลี มัชฌิมศีล  จลุ วรรค ภาค ๒ มหาศลี ( พระวินัยปิฎก เล่ม ๗ ) อริยวงศ์ ๑. ขทุ ทกวตั ถขุ นั ธ์ : เรอ่ื งเบด็ เตลด็ ฯ ฯลฯ ๒. เสนาสนะขนั ธ์ : เรอ่ื งทอ่ี ย,ู่ การกอ่ สรา้ ง ๓. สงั ฆเภทขนั ธ์ : การทำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๔. วัตตขันธ์ : ขอ้ ปฏิบัตติ า่ ง ๆ ๕. ปาฏิโมกขฐปนฯ : การงดสวดปาติโมกข์ ๖. ภิกขุนีขันธ์ : ความเป็นมาของภิกษุณี ๗. ปญั จสตกิ ขนั ธ์ : การสงั คยนาครง้ั ท่ี ๑ ๘. สตั ตสตกิ ขนั ธ์ : การสงั คยนาครง้ั ท่ี ๒ - แผนผังสรปุ วิธีทางการสงฆ์เพอ่ื จัดการเม่อื มอี ธิกรณ์ ๔ เกิดขนึ้ ฯ การจัดกลุ่มสิกขาบทตามเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน และดัชนีช่วยค้นหา รวบรวมไว้อยู่ใน ภาคพิเศษ

อริยวินัย พุทธธรรม นำหมู่สัตว์ ทรงประกาศ นานผา่ นมา วันวาร ผ่านทิวา พสิ จู นค์ า่ เอกอุดม พน้ สงั สาร ยังชน นานสั่งสม กเิ ลสมาร อันแหลมคม ดุจหอก จนไดช้ ยั เขา้ รกุ โรม ศาสดา ผา่ นสมยั แม้องค์ แลวินัย ลับล่วงลา เป็นตัวแทน พระธรรม จักดำรงค์ ประทานให้ จงหวงแหน มาตรเหมือนแม้น พระศาสน์ ชนะมาร ฯ หมพู่ ระสงฆ์ ธรรม-วนิ ัย แทนองค์พระ

สารบญั คำอนโุ มทนา (๒- ๔) บทนำ (๕-๑๑) คำชแ้ี จงกอ่ นอา่ น (๑๓-๑๙) แผนผงั การจดั สารบญั (๒๐,๒๑) สารบญั (๒๓-๔๑) อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา : ๑ ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฎิ กเลม่ ๑) ๓ ๑.เวรญั ชกณั ฑ์ เหตใุ หพ้ รหมจรรยต์ ง้ั มน่ั หรอื ไมต่ ง้ั มน่ั ๔ ทรงสรรเสริญเหล่าภิกษุว่าเป็นผู้ชนะ ๕ เหตุที่ทำให้พรหมจรรย์พระศาสนาตั้งมั่นและไม่ตั้งมั่น ๕ ทูลขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท เพื่อความตั้งมั่นแห่งพรหมจรรย์ ๖ ๒.ปาราชกิ กณั ฑ์ อาบตั หิ นกั ทภ่ี กิ ษตุ อ้ งแลว้ ขาดจากความเปน็ ภกิ ษุ ๔ สกิ ขาบท ๗ ปาราชกิ ท่ี ๑ เกย่ี วกบั การขาดจากความเปน็ ภกิ ษเุ พราะเสพเมถนุ ๗ อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการในการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ๑๑ ปาราชกิ ท่ี ๒ เกย่ี วกบั การขาดจากความเปน็ ภกิ ษเุ พราะลกั ขโมย ๑๒ ปาราชกิ ท่ี ๓ เกย่ี วกบั การขาดจากความเปน็ ภกิ ษเุ พราะฆา่ มนษุ ยใ์ หต้ าย ๑๖ ปาราชกิ ท่ี ๔ เกย่ี วกบั ขาดจากความเปน็ ภกิ ษเุ พราะอวดคณุ วเิ ศษทไ่ี มม่ ใี นตน๑๙ มหาโจร ๕ จำพวก ๒๑ ๓.เตรสกณั ฑ์ อาบตั หิ นกั ทต่ี อ้ งอาศยั สงฆใ์ นการระงบั โทษ ๑๓ ขอ้ ๒๔ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๑ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะทำนำ้ อสจุ ใิ หเ้ คลอ่ื น ๒๔ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๒ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะมจี ติ กำหนดั จบั ตอ้ งกายหญงิ ๒๕ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๓ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะมจี ติ กำหนดั พดู เกย้ี วหญงิ ๒๖ (๒๓)

สงั ฆาทเิ สสท่ี ๔ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะพดู ใหห้ ญงิ บำเรอตนดว้ ยกาม ๒๘ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๕ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะชกั สอ่ื ชายหญงิ ๒๙ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๖ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะสรา้ งกฎุ ดี ว้ ยการขอใหญเ่ กนิ ๓๑ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๗เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะสรา้ งวหิ าร ไมไ่ ดใ้ หส้ งฆแ์ สดงท่ี๓๓ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๘ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะโจทอาบตั ปิ าราชกิ ไมม่ มี ลู ๓๔ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๙ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะอา้ งเลสโจทอาบตั ปิ าราชกิ ๓๖ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะทำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๓๗ สงั ฆาทเิ สสท๑่ี ๑ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะเปน็ พวกของผทู้ ำสงฆใ์ หแ้ ตก ๓๙ สงั ฆาทเิ สสท่ี ๑๒ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะเปน็ ผวู้ า่ ยากสอนยาก ๔๑ สงั ฆาทเิ สสท่ี๑๓ เกย่ี วกบั ตอ้ งอาบตั หิ นกั เพราะประทษุ รา้ ษสกลุ (ประจบคฤหสั ถ)์ ๔๒ ๔.อนยิ ตกณั ฑ์ วา่ ดว้ ยอาบตั อิ นั ไมแ่ นว่ า่ จะควรปรบั ขอ้ ไหน มี ๒ สกิ ขาบท ๔๗ อนยิ ตสกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั รปู หนง่ึ นง่ั ทล่ี บั คอื อาสนะกำบงั กบั หญงิ คนหนง่ึ ๔๗ อนยิ ตสกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั รปู หนง่ึ นง่ั ในอาสนะกง่ึ กำบงั กบั หญงิ คนหนง่ึ ๔๙ ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฎิ กเลม่ ๒) ๕๑ ๑.นสิ สคั คยิ กณั ฑ์ อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ทต่ี อ้ งสละสง่ิ ของ ๓๐ สกิ ขาบท ๕๒ จวี รวรรค วรรคท่ี ๑ วา่ ดว้ ยจวี ร มี ๑๐ สกิ ขาบท ๕๒ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั กฐนิ เดาะแลว้ เกบ็ อตเิ รกจวี รไวเ้ กนิ ๑๐ วนั ๕๒ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั กฐนิ เดาะแลว้ อยปู่ ราศจากไตรจวี รแมค้ นื หนง่ึ ๕๓ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั กฐนิ เดาะแลว้ เกบ็ อกาลจวี รไวเ้ กนิ ๑ เดอื น ๕๕ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การใชน้ างภกิ ษณุ ใี หซ้ กั , ยอ้ ม, ทบุ จวี รเกา่ ๕๖ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การรบั จวี รจากมอื ของนางภกิ ษณุ ี ทม่ี ใิ ชญ่ าติ ๕๗ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การขอจวี รตอ่ คฤหสั ถ์ ทม่ี ใิ ชญ่ าติ ๕๗ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั มผี ปู้ วารณาจวี รไวม้ ากภกิ ษรุ บั ไวเ้ กนิ จำนวน ๕๙ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั เขา้ ไปหากำหนดชนดิ จวี ร ตอ่ ผทู้ จ่ี ะถวายจวี ร ๖๐ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั เขา้ ไปหาผถู้ วายจวี ร๒รายใหร้ วมกนั หาจวี รทด่ี ี๖๑ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การทวงจวี รจากไวยาวจั กรเกนิ ประมาณ ๖๒ (๒๔)

โกสยิ วรรค วรรคท่ี ๒ วา่ ดว้ ยไหม มี ๑๐ สกิ ขาบท ๖๕ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การหลอ่ สนั ถตั (เครอ่ื งปนู ง่ั ) เจอื ดว้ ยไหม ๖๕ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การหลอ่ สนั ถตั ดว้ ยขนเจยี มดำลว้ น ๖๖ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การหลอ่ สนั ถตั ขนเจยี มดำเกนิ ๒ ใน ๔ สว่ น ๖๖ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การทส่ี นั ถตั เกา่ ใชย้ งั ไมถ่ งึ ๖ ปหี ลอ่ ของใหม่ ๖๗ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การหลอ่ สนั ถตั ไมน่ ำของเกา่ ปนลงในของใหม่ ๖๘ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั เดนิ ทางไกลนำขนเจยี มไปเองเกนิ ๓ โยชน์ ๗๐ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การใชภ้ กิ ษณุ ใี หซ้ กั , ยอ้ ม, สางขนเจยี ม ๗๑ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การรบั ใหร้ บั เงนิ ทอง หรอื ยนิ ดที เ่ี ขาเกบ็ ไวใ้ ห้๗๒ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การทำการซอ้ื ขาย ดว้ ยรปู ยิ ะ (เงนิ ตรา) ๗๓ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การทำการแลกเปลย่ี นมปี ระการตา่ ง ๆ ๗๔ ปตั ตวรรค วรรคท่ี ๓ วา่ ดว้ ยบาตร มี ๑๐ สกิ ขาบท ๗๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การเกบ็ อตเิ รกบาตร ไวเ้ กนิ ๑๐ วนั ๗๖ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั บาตรรา้ วไมเ่ กนิ ๕ แหง่ ใหจ้ า่ ยบาตรใหม่ ๗๗ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การเกบ็ เภสชั ๕ ไวเ้ กนิ ๗ วนั ๗๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การหา-ทำผา้ อาบนำ้ ฝนนอกเวลาทก่ี ำหนด ๗๙ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การใหจ้ วี รแกภ่ กิ ษอุ น่ื แลว้ โกรธนอ้ ยใจ ชงิ คนื ๘๐ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การขอดา้ ยมาเองใหช้ า่ งหกู ทอเปน็ จวี ร ๘๐ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การใหช้ า่ งทอจวี รดกี วา่ ผทู้ จ่ี ะถวายสง่ั ๘๑ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การเกบ็ ผา้ อจั เจกจวี รไวเ้ กนิ สมยั ทำจวี ร ๘๒ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การอยปู่ า่ มภี ยั เกบ็ จวี รในบา้ นเกนิ ๖ คนื ๘๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การนอ้ มลาภทจ่ี ะถวายสงฆม์ าเพอ่ื ตน ๘๕ ๒.ปาจติ ตยี ก์ ณั ฑ์ อาบตั อิ นั ยงั กศุ ลธรรมใหต้ กไป รวม ๙๒ สกิ ขาบท ๘๖ มสุ าวาทวรรค วรรคท่ี ๑ วา่ ดว้ ยการพดู ปด มี ๑๐ สกิ ขาบท ๘๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การพดู ใหค้ ลาดเคลอ่ื นจากความจรงิ ๘๖ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การพดู เสยี ดแทงใหเ้ จบ็ ใจ ๘๗ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การพดู สอ่ เสยี ดใหท้ ะเลาะกนั ๘๘ (๒๕)

สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การใชใ้ หผ้ มู้ ไิ ดบ้ วชกลา่ วธรรม โดยบท ๘๙ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การนอนรว่ มกบั ผไู้ มไ่ ดบ้ วช เกนิ ๓ คนื ๙๐ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การนอนรว่ มกบั ผหู้ ญงิ ๙๑ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั พดู ธรรมแกผ่ หู้ ญงิ โดยไมม่ ผี ชู้ ายอยเู่ กนิ ๖ คำ ๙๒ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การบอกคณุ วเิ ศษทม่ี จี รงิ แกผ่ มู้ ไิ ดบ้ วช ๙๓ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การบอกอาบตั ชิ ว่ั หยาบของภกิ ษแุ กผ่ มู้ ไิ ดบ้ วช๙๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การขดุ หรอื ใชใ้ หข้ ดุ ดนิ ๙๕ ภตู คามวรรค วรรคท่ี ๒ วา่ ดว้ ยพชื พนั ธไ์ุ ม้ มี ๑๐ สกิ ขาบท ๙๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การพรากตน้ ไม้ ๙๖ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การพดู เฉไปเมอ่ื ถกู สอบสวน ๙๗ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกยี่ วกบั การตเิ ตยี นภกิ ษผุ ทู้ ำการสงฆโ์ ดยชอบธรรม ๙๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การวางเตยี งตง่ั สงฆใ์ นทแ่ี จง้ หลกี ไปไมเ่ กบ็ ท่ี ๙๙ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การปทู น่ี อนในวหิ ารสงฆ์ หลกี ไปไมเ่ กบ็ ท่ี ๑๐๐ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั นอนแทรกภกิ ษผุ เู้ ขา้ ไปอยกู่ อ่ นในวหิ ารสงฆ์ ๑๐๑ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การฉดุ ครา่ ภกิ ษอุ อกจากวหิ ารของสงฆ์ ๑๐๒ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั นง่ั นอนทบั เตยี งตง่ั ทอ่ี ยบู่ นรา้ นในวหิ ารสงฆ์ ๑๐๓ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การพอกหลงั คาวหิ ารเกนิ ๓ ชน้ั ๑๐๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การรดนำ้ ทม่ี ตี วั สตั วล์ งบนหญา้ หรอื ดนิ ๑๐๕ โอวาทวรรค วรรคท่ี ๓ วา่ ดว้ ยการใหโ้ อวาท มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๐๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การสอนนางภกิ ษณุ โี ดยมไิ ดร้ บั มอบหมาย ๑๐๖ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การสอนนางภกิ ษณุ ตี ง้ั แตอ่ าทติ ยต์ กแลว้ ๑๐๗ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การไปสอนนางภกิ ษณุ ถี งึ ทอ่ี ยู่ ๑๐๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั ตเิ ตยี นภกิ ษวุ า่ สอนภกิ ษณุ เี พราะเหน็ แกล่ าภ๑๐๘ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การใหจ้ วี รแกน่ างภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ๑๐๙ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การเยบ็ จวี รใหน้ างภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ๑๑๐ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การชกั ชวนเดนิ ทางไกลรว่ มกบั นางภกิ ษณุ ี ๑๑๐ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั ชกั ชวนนางภกิ ษณุ โี ดยสารเรอื ลำเดยี วกนั ๑๑๑ (๒๖)

สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั ฉนั อาหาร ทน่ี างภกิ ษณุ แี นะนำใหเ้ ขาถวาย ๑๑๒ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั ภกิ ษรุ ปู เดยี วนง่ั ในทล่ี บั กบั ภกิ ษณุ ผี เู้ ดยี ว ๑๑๒ โภชนวรรค วรรคท่ี ๔ วา่ ดว้ ยการฉนั อาหาร มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๑๓ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การฉนั อาหารในโรงพกั เดนิ ทางเกนิ ๑ มอ้ื ๑๑๓ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การฉนั เปน็ หมู่ ยกเวน้ ในสมยั ทท่ี รงอนญุ าต ๑๑๔ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การรบั นมิ นตแ์ ลว้ ไปฉนั อาหารทอ่ี น่ื ๑๑๖ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การรบั บณิ ฑบาตเกนิ ๓ บาตร ๑๑๗ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั ฉนั เสรจ็ แลว้ หา้ มภตั แลว้ ฉนั ของทไ่ี มเ่ ปน็ เดน๑๑๙ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การพดู ใหภ้ กิ ษทุ ห่ี า้ มภตั แลว้ ฉนั อกี ๑๒๐ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การฉนั อาหารในเวลาวกิ าล ๑๒๑ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การฉนั อาหารทเ่ี กบ็ ทำการสง่ั สม ๑๒๑ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การขออาหารประณตี มาเพอ่ื ตนแลว้ ฉนั ๑๒๒ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การฉนั อาหารทเ่ี ขายงั ไมไ่ ดใ้ ห้ ๑๒๓ อเจลกวรรค วรรคท่ี ๕ วา่ ดว้ ยชเี ปลอื ย มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๒๔ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การมอบอาหารใหน้ กั บวชอน่ื ดว้ ยมอื ตน ๑๒๔ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การชวนภกิ ษไุ ปบณิ ฑบาตดว้ ยแลว้ ไลก่ ลบั ๑๒๖ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การนง่ั แทรกแซงในทม่ี เี ฉพาะหญงิ กบั ชาย ๑๒๗ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั ภกิ ษผุ เู้ ดยี วนง่ั ทล่ี บั คอื ในทก่ี ำบงั กบั ผหู้ ญงิ ๑๒๘ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั ภกิ ษผุ เู้ ดยี วนง่ั ในทล่ี บั กบั ผหู้ ญงิ ผเู้ ดยี ว ๑๒๙ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การรบั นมิ นตแ์ ลว้ ไปสทู่ อ่ี น่ื ไมบ่ อกลาภกิ ษุ ๑๓๐ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั ยนิ ดปี วารณาเกนิ ๔เดอื น เวน้ แตเ่ ขากำหนด ๑๓๑ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การไปเพอ่ื ดกู องทพั ทย่ี กไป ๑๓๒ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั เมอ่ื มเี หตทุ จ่ี ะพกั อยใู่ นกองทพั พกั เกนิ ๓คนื ๑๓๓ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การไปสสู่ นามรบ ทพ่ี กั พล ทจ่ี ดั ขบวนทพั ๑๓๔ สรุ าปานวรรค วรรคท่ี ๖ วา่ ดว้ ยการดม่ื สรุ า มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๓๕ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การดม่ื สรุ าและเมรยั ๑๓๕ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การจด้ี ว้ ยนว้ิ มอื ๑๓๖ (๒๗)

สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การหวั เราะในนำ้ ๑๓๗ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั อาบตั ปิ าจติ ตยี เ์ พราะความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ๑๓๘ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การหลอนภกิ ษุ ๑๓๙ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การกอ่ ไฟเพอ่ื ผงิ ๑๔๑ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การอาบนำ้ กอ่ น ๑๕ วนั (ในมชั ฌมิ ประเทศ)๑๔๒ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การไมท่ ำเครอ่ื งหมายใหเ้ สยี สกี อ่ นใชผ้ า้ ใหม่๑๔๓ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การไมไ่ ดใ้ หเ้ ขาถอนจวี รทว่ี กิ ปั ไวก้ อ่ นใช้ ๑๔๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การซอ่ นบรขิ ารของภกิ ษอุ น่ื ๑๔๕ สปั ปาณวรรค วรรคท่ี ๗ วา่ ดว้ ยสตั วม์ ชี วี ติ มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๔๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การฆา่ สตั ว์ ๑๔๖ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การบรโิ ภคนำ้ มตี วั สตั ว์ ๑๔๗ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การรอ้ื ฟน้ื อธกิ รณท์ ช่ี ำระเปน็ ธรรมแลว้ ๑๔๗ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การปกปดิ อาบตั ชิ ว่ั หยาบของภกิ ษอุ น่ื ๑๔๘ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การอปุ สมบทใหผ้ มู้ อี ายตุ ำ่ กวา่ ๒๐ ปี ๑๔๙ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั รอู้ ยชู่ กั ชวนพวกโจรเดนิ ทางรว่ มกนั ๑๕๐ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การชวนผหู้ ญงิ เดนิ ทางไกลรว่ มกนั ๑๕๑ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การกลา่ วตพู่ ระธรรมวนิ ยั ๑๕๒ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การคบภกิ ษผุ กู้ ลา่ วตพู่ ระธรรมวนิ ยั ๑๕๓ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การคบสามเณรผกู้ ลา่ วตพู่ ระธรรมวนิ ยั ๑๕๔ สหธมั มกิ วรรค วรรคท่ี ๘ การกลา่ วตามธรรม มี ๑๒ สกิ ขาบท ๑๕๕ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การพดู ไถลเมอ่ื ทำผดิ แลว้ ๑๕๕ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การกลา่ วตเิ ตยี นสกิ ขาบท ๑๕๖ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การพูดแกต้ วั วา่ เพง่ิ รวู้ า่ มมี าในปาตโิ มกข์ ๑๕๗ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การทำรา้ ยรา่ งกายภกิ ษุ ๑๕๘ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การเงอ้ื มอื จะทำรา้ ยภกิ ษุ ๑๕๙ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การโจทภกิ ษดุ ว้ ยอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสไมม่ มี ลู ๑๕๙ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การกอ่ ความรำคาญแกภ่ กิ ษอุ น่ื ๑๖๐ (๒๘)

สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การแอบฟงั ความของภกิ ษผุ ทู้ ะเลาะกนั ๑๖๑ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั การมอบฉนั ทะแลว้ พดู ตเิ ตยี นในภายหลงั ๑๖๒ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การลกุ ไปขณะประชมุ โดยไมม่ อบฉนั ทะ ๑๖๓ สกิ ขาบทท่ี ๑๑ เกย่ี วกบั การรว่ มกบั สงฆใ์ หจ้ วี รแกภ่ กิ ษแุ ลว้ ตเิ ตยี น ๑๖๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๒ เกย่ี วกบั การนอ้ มลาภทจ่ี ะถวายสงฆม์ าเพอ่ื บคุ คล ๑๖๕ รตนวรรค วรรคท่ี ๙ วา่ ดว้ ยของมคี า่ มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๖๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การไมไ่ ดร้ บั แจง้ กอ่ นเขา้ ไปตำหนกั พระราชา ๑๖๖ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การเกบ็ ของมคี า่ ทต่ี กอยเู่ วน้ แตท่ ต่ี กในทพ่ี กั ๑๖๗ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การเขา้ บา้ นในเวลาวกิ าลไมบ่ อกลาภกิ ษุ ๑๖๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั ใหท้ ำกลอ่ งเขม็ ทท่ี ำดว้ ยกระดกู งา เขาสตั ว์ ๑๖๙ สกิ ขาบทท่ี ๕ เกย่ี วกบั การใหท้ ำเตยี งตง่ั ทม่ี เี ทา้ สงู เกนิ ประมาณ ๑๗๐ สกิ ขาบทท่ี ๖ เกย่ี วกบั การใหท้ ำเตยี งตง่ั เปน็ ของหมุ้ นนุ่ ๑๗๑ สกิ ขาบทท่ี ๗ เกย่ี วกบั การใหท้ ำผา้ ปนู ง่ั ทม่ี ขี นาดเกนิ ประมาณ ๑๗๒ สกิ ขาบทท่ี ๘ เกย่ี วกบั การใหท้ ำผา้ ปดิ ฝที ม่ี ขี นาดเกนิ ประมาณ ๑๗๓ สกิ ขาบทท่ี ๙ เกย่ี วกบั ใหท้ ำผา้ อาบนำ้ ฝนทม่ี ขี นาดเกนิ ประมาณ ๑๗๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ เกย่ี วกบั การใหท้ ำจวี รทม่ี ขี นาดเกนิ ประมาณ ๑๗๕ ๓.ปาฏเิ ทสนยี กณั ฑ์ วา่ ดว้ ยอาบตั ทิ พ่ี งึ แสดงคนื ๔ สกิ ขาบท ๑๗๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ เกย่ี วกบั การรบั ของฉนั จากมอื นางภกิ ษณุ มี าฉนั ๑๗๖ สกิ ขาบทท่ี ๒ เกย่ี วกบั การไมไ่ ลน่ างภกิ ษณุ ที ส่ี ง่ั ใหเ้ ขาถวายอาหาร ๑๗๗ สกิ ขาบทท่ี ๓ เกย่ี วกบั การรบั อาหารในสกลุ ทเ่ี ปน็ เสกขสมมติ ๑๗๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ เกย่ี วกบั การอยปู่ า่ ทม่ี ภี ยั รบั อาหารทไ่ี มไ่ ดแ้ จง้ ไวก้ อ่ น ๑๗๙ ๔.เสขยิ กณั ฑ์ ขอ้ ทภ่ี กิ ษพุ งึ ศกึ ษาเกย่ี วกบั จรรยามารยาท ๗๕ ขอ้ ๑๘๑ หมวดสารปู วา่ ดว้ ยความเหมาะสมแกส่ มณเพศ ๒๖ สกิ ขาบท ๑๘๑ หมวดโภชนสงั ยตุ วา่ ดว้ ยการฉนั อาหาร ๓๐ สกิ ขาบท ๑๘๔ หมวดธมั มเทศนาปฏสิ งั ยตุ วา่ ดว้ ยการแสดงธรรม ๑๖ สกิ ขาบท ๑๘๘ หมวดปกณิ ณกะ วา่ ดว้ ยเบด็ เตลด็ ๓ สกิ ขาบท ๑๙๐ ๕.อธกิ รณสมถกณั ฑ์ วา่ ดว้ ยวธิ รี ะงบั อธกิ รณด์ ว้ ยธรรม ๗ ประการ ๑๙๑ (๒๙)

อภสิ มาจารกิ าสกิ ขา : ๑๙๓ มหาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฎิ กเลม่ ๔) ๑๙๕ ๑.มหาขนั ธกะ หมวดใหญ่ วา่ ดว้ ยเหตกุ ารณใ์ นสมยั ทต่ี รสั รใู้ หม่ ๆ ๑๙๖ ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท ๑๙๖ ทรงโต้ตอบกับพราหมณ์ที่ชอบตวาดคน ๑๙๖ ทรงเปลง่ อทุ านทต่ี น้ จกิ ๑๙๗ เหตกุ ารณท์ ต่ี น้ เกต ๑๙๗ เสด็จกลับไปต้นไทรอีก ๑๙๗ พระพรหมมาอาราธนา ๑๙๘ ทรงแสดงธรรมครงั้ แรก ๑๙๘ ทรงแสดงอนตั ตลกั ขณสตู ร ๑๙๙ แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตรกับครอบครัวและมิตรสหาย ๒๐๐ ทรงส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา ๒๐๐ ทรงอนุญาตการบรรพชาอุปสมบท ๒๐๑ ตรสั เรอ่ื งความหลุดพน้ อยา่ งยอดเยี่ยม ๒๐๑ โปรดสหาย ๓๐ คน ๒๐๑ โปรดชฎลิ ๓ พน่ี อ้ งและบรวิ าร ๒๐๑ ทรงแสดงอาทิตตปริยายสตู ร ๒๐๒ โปรดพระเจ้าพิมพิสาร ๒๐๓ สารีบุตรโมคคัลลานะออกบวช ๒๐๔ ทรงอนญุ าตให้มีอุปชั ฌาย์ ๒๐๕ ทรงบญั ญัติอปุ ชั ฌายวตั ร ๒๐๕ ทรงบญั ญตั สิ ทั ธิวิหาริกวตั ร ๒๐๕ ทรงปรบั อาบตั ิ อนญุ าตใหป้ ระณาม และขอขมา ๒๐๖ ทรงวางวิธีประณามให้รัดกุม ๒๐๖ ทรงอนุญาตการบวชเป็นการสงฆ์ ๒๐๗ (๓๐)

ผ้บู วชเพราะเหน็ แก่ทอ้ ง ๒๐๗ ข้อบัญญัติเพิ่มเติมในการบวช ๒๐๗ ทรงอนุญาตใหม้ ีอาจารย์ ๒๐๘ ทรงบัญญัติอาจาริกวัตรและอันเตวาสิกวัตร ๒๐๘ การประณาม, การขอขมา, การยกโทษ ๒๐๙ นิสสัยระงับจากอุปัชฌาย์และอาจารย์ ๒๐๙ คณุ สมบตั อิ ปุ ชั ฌาย์ ๕ อยา่ ง ๒๐๙ คณุ สมบตั ขิ องอปุ ชั ฌาย์ ๖ อยา่ ง ๒๑๐ ขอ้ ปฏบิ ตั ติ อ่ ผทู้ เ่ี คยเปน็ เดยี รถยี ์ ๒๑๐ หา้ มบวชใหค้ นเปน็ โรค ๕ ชนดิ ๒๑๑ หา้ มบวชใหข้ า้ ราชการ กอ่ นไดร้ บั พระราชานญุ าต ๒๑๒ ห้ามบวชให้โจรที่มีชื่อหมายจับ ๒๑๒ ห้ามบวชโจรที่ทำลายเครื่องพันธนาการ ๒๑๒ ห้ามบวชบุคคลที่ไม่สมควรอื่นอีก ๒๑๒ ให้บอกสงฆ์เมื่อจะโกนศีรษะคนบวช ๒๑๓ หา้ มบวชผมู้ อี ายยุ งั ไมค่ รบ ๒๐ ๒๑๓ ข้อห้ามเกีย่ วกับสามเณร ๒๑๓ เรอ่ื งการถอื นสิ สยั ๒๑๔ พระราหุลราชกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร ๒๑๔ ใหม้ สี ามเณรรบั ใชไ้ ดเ้ กนิ ๑ รปู ๒๑๕ ศลี ๑๐ ของสามเณร ๒๑๕ การลงโทษสามเณร ๒๑๖ เรอ่ื งเกย่ี วกบั การลงโทษ ๒๑๖ ห้ามชวนสามเณรของภิกษุอื่นไปอยู่ด้วย ๒๑๗ การให้สามเณรสึก ๒๑๗ บคุ คลทห่ี า้ มบวชอน่ื ๆ อกี ๑๑ ประเภท รเู้ ขา้ ภายหลงั ตอ้ งใหส้ กึ ๒๑๗ ลกั ษณะทไ่ี มค่ วรใหอ้ ปุ สมบท (บวชเปน็ พระ) อกี ๒๐ ประเภท ๒๑๘ (๓๑)

ลกั ษณะทไ่ี มค่ วรใหบ้ รรพชา (เปน็ สามเณร) ๓๒ ประเภท ๒๑๙ ข้อกำหนดเรอ่ื งให้นสิ สยั เพม่ิ เติม ๒๒๑ ข้อกำหนดเรื่องการอุปสมบท ๒๒๑ ข้อบัญญัติในพิธีกรรมอุปสมบท ๒๒๑ การปฏิบัติตอ่ ผู้ทำผิด ๒๒๒ ๒.อโุ บสถขนั ธกะ วา่ ดว้ ยอโุ บสถ และการแสดงปาตโิ มกข์ ๒๒๔ การสวดปาติโมกข์เป็นอุโบสถกรรม ๒๒๔ ข้อกำหนดเพมิ่ เติมเกยี่ วกบั ปาตโิ มกข์ ๒๒๔ ๓.วสั สปู นายกิ าขนั ธกะ วา่ ดว้ ยการจำพรรษา ๒๓๒ ทรงอนุมัติการเลื่อนวันจำพรรษา ๒๓๒ ทรงอนญุ าตใหไ้ ปกลบั ภายใน ๗ วนั เมอ่ื มเี หตจุ ำเปน็ ๒๓๒ ขาดพรรษาท่ีไม่ตอ้ งอาบตั ิ ๒๓๓ ทรงอนุญาตการจำพรรษาในที่บางแห่ง ๒๓๔ ทรงห้ามจำพรรษาในที่ไม่สมควร ๒๓๔ ขอ้ หา้ มอน่ื ๆ ๒๓๕ ๔.ปวารณาขนั ธกะ วา่ ดว้ ยการใหภ้ กิ ษอุ น่ื วา่ กลา่ วตกั เตอื นได้ ๒๓๖ มหาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฎิ กเลม่ ๕) ๒๓๙ ๑จมั มขนั ธกะ วา่ ดว้ ยรองเทา้ ยานพาหนะ ทน่ี ง่ั ทน่ี อน ฯลฯ ๒๔๐ ทรงอนญุ าตรองเทา้ ใบไม้ ๒๔๐ ทรงหา้ มรองเทา้ ทไ่ี มค่ วร ๒๔๑ ขอ้ อนญุ าตและขอ้ หา้ มเกย่ี วกบั รองเทา้ ๒๔๑ ขอ้ หา้ มเกย่ี วกบั โคตวั เมยี ๒๔๑ ข้อห้ามเก่ียวกบั ยานพาหนะทเ่ี ทยี มด้วยสตั ว์ ๒๔๒ ขอ้ หา้ มเกย่ี วกบั ทน่ี ง่ั ทน่ี อน ๒๔๓ ห้ามสวมรองเท้าเข้าบ้าน ๒๔๓ พระโสณกุฏิกัณณะ ๒๔๓ (๓๒)

ข้ออนุญาตสำหรับชนบทชายแดน ๒๔๔ ๒.เภสชั ชขนั ธกะ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งเภสชั ๕, การฉนั , การเกบ็ อาหาร ๒๔๕ ทรงอนญุ าตเภสชั ๕ และอน่ื ๆ ๒๔๕ หา้ มเกบ็ เภสชั ๕ ไวเ้ กนิ ๗ วนั ๒๔๗ ทรงอนญุ าตของฉนั บางอยา่ ง ๒๔๘ หา้ มเกบ็ อาหารคา้ งคืนในที่อยู่ ๒๔๘ ทรงอนญุ าตเรอ่ื งการฉนั หลายขอ้ ๒๔๙ ทรงหา้ มทำการผา่ ตดั หรอื ผกู รดั ทท่ี วารหนกั ๒๔๙ ทรงหา้ มฉนั เนอ้ื ทไ่ี มค่ วร ๒๔๙ ทรงอนญุ าตและไมอ่ นญุ าตของฉนั บางอยา่ ง ๒๔๙ เสด็จแสดงธรรมที่ปาฏลิคามและโกฏิคาม ๒๕๐ นางอัมพปาลีถวายป่ามะม่วง ๒๕๐ สีหเสนาบดีเปลี่ยนศาสนา ๒๕๑ ทรงถอนขอ้ อนุญาตสำหรับยามขา้ วยาก ๒๕๑ ทรงอนญุ าตทเ่ี กบ็ อาหาร ๒๕๒ ทรงแสดงธรรมโปรดเมณฑกคฤหบดี ๒๕๒ ทรงอนญุ าตตามทเ่ี มณฑกคฤหบดขี อรอ้ ง ๒๕๓ ทรงอนญุ าตนำ้ อฏั ฐบาน (นำ้ ดม่ื ๘ อยา่ ง) ๒๕๓ ทรงอนญุ าตผกั และของเคย้ี วทท่ี ำดว้ ยแปง้ ๒๕๔ ทรงหา้ มและทรงอนญุ าตอน่ื อกี ๒๕๔ ทรงแนะนำขอ้ ตดั สนิ วนิ ยั วา่ ดว้ ยมหาปเทส ๔ ๒๕๕ ๓.กฐนิ ขนั ธกะ วา่ ดว้ ยกฐนิ อานสิ งสก์ ฐนิ กรานกฐนิ การเดาะกฐนิ ๒๕๖ อานสิ งส์ ๕ ของภกิ ษผุ ไู้ ดก้ รานกฐนิ ๒๕๖ ทรงอนุญาตใหส้ วดประกาศการกรานกฐนิ ๒๕๗ ทรงแสดงเรื่องกฐินเป็นอันกรานและไม่เป็นอันกราน ๒๕๗ ขอ้ กำหนดในการเดาะกฐนิ (มาตกิ า ๘) ๒๕๘ ๔.จวี รขนั ธกะ วา่ ดว้ ยจวี ร การตดั จวี ร และการใชผ้ า้ ตา่ ง ๆ ๒๕๙ (๓๓)

ทรงอนญุ าตคหบดจี วี ร ๖ ชนดิ ๒๖๐ ทรงอนุญาตเจา้ หน้าที่เกีย่ วกบั จีวร ๒๖๐ ทรงอนุญาตสีย้อมและวิธีการเกี่ยวกับจีวร ๒๖๑ ทรงอนุญาตวิธตี ัดจีวร ๒๖๑ ทรงอนญุ าตคำขอ ๘ ประการของนางวสิ าขา ๒๖๒ ทรงอนญุ าตผา้ อน่ื ๆ ๒๖๒ ทรงอนญุ าตและหา้ มเกย่ี วกับจีวรอกี ๒๖๓ พระพุทธเจ้าทรงพยาบาลภิกษุอาพาธ ๒๖๔ การเปลือยกายและการใช้ผ้า ๒๖๕ ทรงหา้ มใชจ้ วี รทม่ี สี ไี มค่ วร และหา้ มใชเ้ สอ้ื หมวก ผา้ โพก ๒๖๖ ทรงวางหลกั เกย่ี วกบั จวี รอกี ๒๖๖ ๕.จมั เปยยขนั ธกะ เหตกุ ารณใ์ นกรงุ จมั ปา วา่ ดว้ ยวธิ ลี งโทษของสงฆ์๒๖๗ การทำกรรมที่ไม่เป็นธรรมและที่เป็นธรรม ๒๖๗ ตชั ชนยี กรรม (ขม่ ข)ู่ ๒๖๘ นยิ สกรรม (ถอดยศหรอื ตดั สทิ ธ)ิ ๒๖๘ ปพั พาชนยี กรรม (ขบั ไล)่ ๒๖๘ ปฏสิ ารณยี กรรม (ขอโทษคฤหสั ถ)์ ๒๖๘ อกุ เขปนยี กรรม (ยกจากหม)ู่ ๒๖๘ ๖.โกสมั พขิ นั ธกะ เหตกุ ารณใ์ นกรงุ โกสมั พวี า่ ดว้ ยสงฆแ์ ตก ๒๗๐ จลุ วรรค ภาค ๑ (พระไตรปฏิ กเลม่ ๖) ๒๗๓ ๑.กมั มขนั ธกะ วา่ ดว้ ยขยายความการลงโทษเพอ่ื ใหแ้ กไ้ ขพฤตกิ รรม๒๗๔ ตชั ชนยี กรรมท่ี ๑ (ดว้ ยการขม่ ข)ู่ ๒๗๔ ลกั ษณะกรรมไมเ่ ปน็ ธรรม ๑๒ หมวด ๒๗๔ ลกั ษณะของผทู้ ค่ี วรลงตชั ชนยี กรรม ๒๗๗ การถกู ลงโทษเปน็ เหตใุ หเ้ สยี สทิ ธติ า่ ง ๆ ๒๗๘ การไม่ระงับและระงับโทษ ๒๗๙ (๓๔)

นยิ สกรรมท่ี ๒ (การถอดยศ หรอื ตดั สทิ ธ)ิ ๒๗๙ ปพั พาชนยี กรรมท่ี ๓ (การขบั ไล)่ ๒๘๐ ปฏสิ ารณยี กรรมท่ี ๔ (การใหก้ ลบั ไปขอโทษ) ๒๘๑ ลักษณะของผู้ที่ควรลงปฏิสารณียกรรม ๒๘๒ อกุ เขปนยี กรรมท่ี ๕ (การยกจากหม)ู่ ๒๘๓ ๒.ปรวิ าสกิ ขนั ธกะ วา่ ดว้ ยวธิ กี ารอยปู่ รวิ าสเพอ่ื ออกจากอาบตั ิ ๒๘๕ ตัดสิทธิภิกษุผู้อยู่ปริวาส ๒๘๖ วตั ร ๙๔ ขอ้ สำหรบั ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส ๒๘๖ รตั ตเิ ฉท ๓ อยา่ งของภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส ๒๙๑ รตั ตเิ ฉท ๔ อยา่ งของภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตมิ านตั ๒๙๑ การเก็บปริวาสและเก็บมานัต ๒๙๒ ๓.สมจุ จยขนั ธกะ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งการออกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสตา่ ง ๆ ๒๙๓ ๔.สมถขนั ธกะ วา่ ดว้ ยวธิ รี ะงบั อธกิ รณ์ ๒๙๕ ๑. สมั มขุ าวนิ ยั (การระงบั พรอ้ มหนา้ ) ๒๙๕ ๒. สตวิ นิ ยั (การระงบั ดว้ ยยกใหว้ า่ เปน็ ผมู้ สี ตสิ มบรู ณ)์ ๒๙๕ ๓. อมฬู หวนิ ยั (การระงบั ดว้ ยยกใหว้ า่ เปน็ บา้ ) ๒๙๖ ๔. ปฏญิ ญาตกรณะ (การระงบั ดว้ ยคำสารภาพของผถู้ กู ฟอ้ ง) ๒๙๗ ๕. เยภยุ ยสกิ า (การระงบั ดว้ ยถอื เสยี งขา้ งมาก) ๒๙๗ ๖. ตสั สปาปยิ สกิ า (การระงบั ดว้ ยการลงโทษ) ๒๙๘ ๗. ตณิ วตั ถารกะ (การระงบั ดจุ หญา้ กลบไว,้ หยดุ ไมใ่ หล้ กุ ลาม) ๒๙๘ อธกิ รณ์ ๔ เรอ่ื งทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ จะตอ้ งจดั ตอ้ งทำ ๒๙๙ วธิ กี ารระงบั อธกิ รณ์ (อธกิ รณสมถะ) ๓๐๐ จลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ กเลม่ ท่ี ๗) ๓๐๓ ๑.ขทุ ทกวตั ถขุ นั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยเรอ่ื งเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ) ๓๐๔ เร่อื งเก่ียวกบั การอาบน้ำ ๓๐๔ ห้ามใช้เครื่องประดับแบบคฤหัสถ์ ๓๐๔ (๓๕)

ขอ้ หา้ มเกย่ี วกบั ผม ๓๐๕ ขอ้ หา้ มเกย่ี วกบั การสอ่ งกระจก ๓๐๕ ขอ้ หา้ มทาหนา้ ทาตวั ๓๐๕ ห้ามดูฟ้อนรำและห้ามขับด้วยเสียงยาว ๓๐๕ ห้ามห่มผ้าขนสัตว์ ๓๐๖ ข้อหา้ มและอนญุ าตเกีย่ วกบั ผลไม้ ๓๐๖ ตรัสสอนให้แผ่เมตตา ๓๐๖ หา้ มตดั องคชาต ๓๐๗ ขอ้ หา้ ม และอนญุ าตเกย่ี วกบั บาตร ๓๐๗ ทรงอนุญาตมีดและเข็ม ๓๐๘ ทรงอนญุ าต และหา้ มเกย่ี วกบั ไมแ้ บบหรอื สะดงึ ๓๐๘ ทรงอนญุ าตถงุ ใสข่ อง สายคลอ้ งบา่ ผา้ กรองนำ้ และมงุ้ ๓๐๙ ทรงอนญุ าตทางจงกรม และเรอื นไฟ ๓๐๙ เรอ่ื งทน่ี ง่ั ทน่ี อน และทใ่ี สอ่ าหาร ๓๑๐ หา้ มฉนั อาหาร ดม่ื นำ้ ในภาชนะเดยี วกนั ๓๑๑ การลงโทษคว่ำบาตรแก่วัฑฒลิจฉวี ๓๑๑ เรอ่ื งผนื ผา้ ทไ่ี มใ่ หเ้ หยยี บ และเหยยี บได้ ๓๑๒ นางวิสาขาถวายของใช้ ๓๑๒ ทรงอนญุ าต และหา้ มใชร้ ม่ ๓๑๓ ทรงอนญุ าตไมเ้ ทา้ และสาแหรก ๓๑๓ เรอ่ื งอาเจยี น และเมลด็ ขา้ ว ๓๑๓ ทรงอนุญาตมีดตัดเล็บ ๓๑๔ เรอ่ื งผม และหนวดเครา ๓๑๔ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ๓๑๕ เครอ่ื งใชท้ เ่ี ปน็ ผา้ ๓๑๕ เรื่องหาบหาม ๓๑๖ การเคี้ยวไม้ชำระฟัน ๓๑๖ (๓๖)

หา้ มเผากองหญา้ และขน้ึ ตน้ ไม้ ๓๑๖ ห้ามยกพุทธพจน์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตและเรียนสอนโลกายตะ ๓๑๖ หา้ มฉนั กระเทยี ม ๓๑๗ ทรงอนุญาตที่ถ่ายปัสสาวะอุจจาระ ๓๑๘ ทรงห้ามประพฤติอนาจาร ๓๑๘ ทรงอนญุ าตเครอ่ื งใช้ ๓๑๘ ๒.เสนาสนขนั ธกะ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งเสนาสนะ , ตง้ั เจา้ หนา้ ทท่ี ำการสงฆ์ ๓๑๙ เครอ่ื งนง่ั เครอ่ื งนอน ๓๑๙ อนาถบิณฑิกคฤหบดีนับถือพระพุทธศาสนา ๓๒๐ ตง้ั ภกิ ษผุ คู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ ง ๓๒๐ ลำดับพรรษาแก่อ่อน ๓๒๑ ผไู้ มค่ วรไหว้ ๑๐ ประเภท ๓๒๑ ผคู้ วรไหว้ ๓ ประเภท ๓๒๒ มณฑปท่ีสรา้ งอุทศิ สงฆ์ ๓๒๒ ทน่ี ง่ั ตา่ งชนดิ ของคฤหสั ถ์ ๓๒๒ ปัญหาลำดับพรรษาเพิ่มเติม ๓๒๓ การจดั ใหภ้ กิ ษถุ อื เสนาสนะ (ทอ่ี ยอู่ าศยั ) ๓๒๓ การนง่ั ตำ่ นง่ั สงู ๓๒๔ ปราสาท และเครอ่ื งนง่ั นอนตา่ ง ๆ ๓๒๕ ห้ามสละของสงฆ์ให้แก่บุคคล ๓๒๕ การควบคมุ การกอ่ สรา้ ง ๓๒๖ การขนยา้ ยเครอ่ื งใช้ และรกั ษาทอ่ี ยอู่ าศยั ๓๒๖ อาหาร และการแจกอาหาร ๓๒๗ เจา้ หนา้ ทท่ี ำการสงฆอ์ น่ื ๆ ๓๒๗ ๓.สงั ฆเภทขนั ธกะ วา่ ดว้ ยการทำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๓๒๘ พระเทวทตั คดิ การใหญ่ ๓๒๘ พระเทวทตั ขอปกครองสงฆ์ ๓๒๙ (๓๗)

ทรงใหส้ งฆล์ งปกาสนยี กรรมเทวทตั , เทวทตั ยใุ หก้ บถ ๓๒๙ การประทุษร้ายพระพุทธเจ้าครั้งแรก ๓๓๐ การประทษุ รา้ ยพระพทุ ธเจา้ ครง้ั ท่ี ๒ และครง้ั ท่ี ๓ ๓๓๐ พระเทวทตั เสนอขอ้ ปฏบิ ตั ิ ๕ ขอ้ ๓๓๑ ทำใหส้ งฆแ์ ตกกนั ๓๓๑ พระเทวทตั อาเจียนเป็นโลหิต ๓๓๒ ความร้าวและความแตกกันของสงฆ์ ๓๓๒ เหตเุ ปน็ เครอ่ื งทำใหส้ งฆแ์ ตกกนั และสามคั คกี นั มี ๑๘ ขอ้ ๓๓๓ การทำสงฆ์ให้แตกกันที่ทำให้ไปอบายและไม่ไปอบาย ๓๓๔ ๔.วตั ตกั ขนั ธกะ วา่ ดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั ติ ามฐานะและขอ้ ปฏบิ ตั ติ อ่ สง่ิ ตา่ งๆ ๓๓๕ ๑.อาคนั ตกุ วตั ร (วตั รหรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษผุ จู้ รมา) ๓๓๕ ๒.อาวาสกิ วตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษเุ จา้ ถน่ิ ) ๓๓๖ ๓.คมกิ วตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษผุ จู้ ะเดนิ ทางจากไป) ๓๓๗ ๔.ภตั ตานโุ มทนา (ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการอนโุ มทนาในทฉ่ี นั ) ๓๓๘ ๕.ภตั ตคั ควตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นทฉ่ี นั ) ๓๓๘ ๖.ปณิ ฑจารกิ วตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษผุ เู้ ทย่ี วบณิ ฑบาต) ๓๓๙ ๗.อารญั ญกิ วตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษผุ อู้ ยปู่ า่ ) ๓๔๐ ๘.เสนาสนวตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั ทอ่ี ยอู่ าศยั ) ๓๔๑ ๙.ชนั ตาฆรวตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นเรอื นไฟ) ๓๔๓ ๑๐.วจั กฎุ วี ตั ร (วตั รเกย่ี วกบั สว้ ม) ๓๔๓ ๑๑.อปุ ชั ฌายวตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ติ อ่ พระอปุ ชั ฌาย)์ ๓๔๔ ๑๒.สทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ติ อ่ สทั ธวิ หิ ารกิ ) ๓๔๘ ๑๓.อาจารยิ วตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ติ อ่ พระอาจารย)์ ๓๔๙ ๑๔.อนั เตวาสกิ วตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ติ อ่ อนั เตวาสกิ ) ๓๔๙ ๕.ปาฏโิ มกขฏั ฐปนขนั ธกะ วา่ ดว้ ยการงดแสดงพระปาตโิ มกข์ ๓๕๐ ความอศั จรรยใ์ นพระธรรมวนิ ยั ๘ ประการ ๓๕๐ ตอ่ จากนน้ั ไมท่ รงแสดงปาตโิ มกขอ์ กี ๓๕๑ (๓๘)

คุณสมบัติของอธิกรณ์ที่ควรพิจารณา,คุณสมบัติโจทก์และผู้ถูกโจท ๓๕๒ ๖.ภกิ ขนุ ขี นั ธกะ วา่ ดว้ ยความเปน็ มาของนางภกิ ษณุ ี ๓๕๔ ครธุ รรม ๘ ประการ ๓๕๔ ทรงอนุญาตการบวชนางภกิ ษณุ ี ๓๕๕ ลกั ษณะตดั สนิ ธรรมวนิ ยั ๘ ประการ ๓๕๖ เรื่องเกี่ยวกับปาติโมกข์และสังฆกรรม ๓๕๖ การลงโทษภกิ ษดุ ้วยการไมไ่ หว้ ๓๕๗ การลงโทษนางภิกษณุ ี ๓๕๗ การให้โอวาทนางภิกษณุ ี ๓๕๗ ๗.ปญั จสตกิ ขนั ธกะ วา่ ดว้ ยประวตั กิ ารทำสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ๓๕๘ การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ๓๕๘ การถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย ๓๕๘ พระอานนท์ถูกปรับอาบัติ ๓๕๙ พระปรุ าณะไมค่ า้ น แตถ่ อื ตามทฟ่ี งั มาเอง ๓๕๙ ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ ๓๕๙ ๘.สตั ตสตกิ ขนั ธกะ วา่ ดว้ ยประวตั ใิ นการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ๓๖๑ วตั ถุ ๑๐ ประการ ๓๖๑ พระยสะกากัณฏกบุตรคัดค้าน ๓๖๑ การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ๓๖๑ พระอรยิ วนิ ยั ทม่ี าในพระไตรปฎิ กเลม่ อน่ื ๆ ๓๖๓ อานสิ งสใ์ นการเรยี นวนิ ยั , ชอ่ื ประเภทแหง่ อาบตั แิ ละความหมาย ๓๖๔ ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ดิ ว้ ยอาการ ๕ สองหมวด ๓๖๖ ภกิ ษผุ สู้ มาทานธดุ งค์ ๑๓ มี ๕ ประเภท ๓๖๖ จลุ ศลี , มชั ฌมิ ศลี , มหาศลี ๓๖๘ กศุ ลศลี ทง้ั หลาย มอี ะไรเปน็ ผล มอี ะไรเปน็ อานสิ งส์ ๓๗๘ พรหมจรรยน์ ม้ี อี ะไรเปน็ อานสิ งส์ เปน็ ยอด เปน็ แกน่ เปน็ ใหญ่ ๓๗๘ (๓๙)

ถา้ ภกิ ษเุ ปน็ อยโู่ ดยชอบไซร้ โลกจะไมว่ า่ งจากพระอรหนั ต์ ๓๘๐ ธรรมวนิ ยั นน้ั จกั เปน็ ศาสดาของพวกเธอ ๓๘๑ ผมู้ ธี รรมเปน็ ทพ่ี ง่ึ , อรยิ วงศ์ ๔ ๓๘๑ ทรงชกั ชวนฉนั อาหารวนั ละหนเดยี ว ๓๘๓ อะไรชอ่ื วา่ ความขาดทะลุ ดา่ ง พรอ้ ย แหง่ พรหมจรรรย์ ๓๘๓ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล พรรณาคณุ พระภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ๓๘๔ มองดกู นั และกนั ดว้ ยสายตาแหง่ ความรกั อยู่ ไดอ้ ยา่ งไร ๓๘๖ ทรงพอพระทยั ความสามคั คเี ปน็ อยา่ งยง่ิ ๓๘๗ ทรงประณามภิกษุที่ทะเลาะวิวาทกัน ๓๘๗ มูลเหตุแห่งความวิวาทและวิธีระงับ ๓๘๙ อธกิ รณ์ ๔ อธกิ รณสมถะ ๗ ๓๙๑ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน ๓๙๕ อปรหิ านยิ ธรรม (ความเปน็ อยแู่ บบไมเ่ สอ่ื ม) แบบท่ี ๑ ๓๙๖ อปรหิ านยิ ธรรม (ความเปน็ อยแู่ บบไมเ่ สอ่ื ม) แบบท่ี ๒ ๓๙๘ หลกั ใหญส่ ำหรบั อา้ งเพอ่ื สอบสวนเทยี บเคยี งพระธรรมวนิ ยั ๓๙๙ ทรงเตอื นใหส้ ามคั คี มสี ตปิ ญั ญาเมอ่ื อยรู่ ว่ มกนั ๔๐๐ หลกั การเลอื กสถานทแ่ี ละบคุ คลทค่ี วรเสพไมค่ วรเสพ ๔๐๐ เพยี รแตพ่ อด,ี แตก่ ไ็ มเ่ นน่ิ ชา้ ๔๐๒ ภกิ ษเุ พยี รตลอดเวลาทำอยา่ งไร ๔๐๓ อานสิ งสส์ ำหรบั ผทู้ ำศลี ใหส้ มบรู ณ์ (บางสว่ นเปน็ บทสวดทา้ ยปาตโิ มกข)์ ๔๐๓ ตายะนะคาถา (เปน็ บทสวดทา้ ยปาตโิ มกข)์ ๔๐๖ ภาคผนวก (วธิ กี าร, กรรมวาจาสงั ฆกรรมตา่ ง ๆ) ๔๐๗ วิธีการพินทุและอธิษฐานบริขาร คำถอนอธษิ ฐาน, คำวกิ ปั -ถอนวกิ ปั ๔๐๘ วธิ ถี อื นสิ ยั ๔๐๙ คำอธษิ ฐานเขา้ พรรษา, คำขอขมา, คำสตั ตาหะกะระณยี ะ ๔๑๐ ๔๑๑ (๔๐)

คำเสยี สละของเปน็ นสิ สคั คยี ์ ๔๑๒ สมณกปั ปะ (วนิ ยั กรรมทท่ี รงอนญุ าตใหก้ ระทำกอ่ น จงึ ฉนั ผลไมไ้ ด)้ ๔๑๗ วธิ แี สดงอาบตั ิ (วธิ ปี ลงอาบตั )ิ ๔๑๘ กรรมวาจาสมมติเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์ ๔๒๐ กรรมวาจาสมมติกัปปิยภูมิ ๔๒๕ ประเภทของอุโบสถ ๔๒๖ ปาตโิ มกขทุ เทส ๕ (วธิ ยี กปาตโิ มกขข์ น้ึ แสดง โดยยอ่ และโดยพสิ ดาร) ๔๒๘ วธิ มี อบปารสิ ทุ ธิ และมอบฉนั ทะ ๔๓๐ วธิ งี ดปาตโิ มกขแ์ กภ่ กิ ษุ (เพราะศลี วบิ ตั ,ิ อาจารวบิ ตั ,ิ และทฏิ ฐวิ บิ ตั )ิ ๔๓๑ วธิ กี ระทำเมอ่ื สงฆต์ อ้ งสภาคาบตั ิ ๔๓๓ บพุ พกรณ์ - บพุ พกจิ ๔๓๕ ภิกษุปาติโมกข์ ๔๔๑ ปวารณา ๔๖๘ กรรมวาจากฐิน ๔๗๐ ภาคพเิ ศษ (เพอ่ื ชว่ ยในการศกึ ษาคน้ ควา้ นำมาปฏบิ ตั )ิ ๔๗๓ ส่วนสรุปหลักเกณฑ์วิธีระงับอธิกรณ์ ๔๗๕ แผนผงั ท่ี ๑ สรปุ วธิ กี ารทางสงฆเ์ พอ่ื จดั การอธกิ รณ์ ตารางอธบิ ายอธกิ รณ์ ๔ และอธกิ รณสมถะ ๗ ๔๗๖ แผนผงั ท่ี ๒ วธิ ลี งโทษฯ ทเ่ี กดิ เพราะเหตอุ าชวี ะหรอื ปาตโิ มกข์ ๔๗๙ แผนผงั ท่ี ๓ วธิ ลี งโทษฯ ทเ่ี กดิ เพราะเหตมุ รรคหรอื ปฏปิ ทา ๔๘๑ สว่ นชว่ ยศกึ ษาคน้ ควา้ สกิ ขาบททม่ี ลี กั ษณะเดยี วกนั ๔๘๓ ส่วนดัชนี (ช่วยค้นหาคำ โดยเรียงลำดับตามอักษร) ๔๘๕ ๔๙๙ ดชั นเี นอ้ื เรอ่ื งพระวนิ ยั ดัชนีเนื้อเรื่องพระธรรม ๔๙๙ ดชั นชี อ่ื เฉพาะ (อสาธารณนาม) ๕๐๙ ๕๑๑ บนั ทกึ ทา้ ยเลม่ ๕๑๔ บรรณานกุ รม, สารสนเทศนกุ รม ๕๑๕ (๔๑)

ผชู้ ข้ี มุ ทรพั ย์ “อานนท!์ พวกชา่ งหมอ้ ยอ่ มไม่ พยายามทำกะหมอ้ ทย่ี งั เปยี ก ยงั ดบิ อยู่ อยา่ งทะนถุ นอม ฉนั ใด เรายอ่ มไม่ พยายามทำกะพวกเธออยา่ งทะนถุ นอม ฉนั นน้ั อานนท์! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอกี ไมม่ หี ยดุ อานนท์! เราจักชี้โทษแล้ว ชโ้ี ทษอกี ไมม่ หี ยดุ ผใู้ ดมมี รรคผลเปน็ แกน่ สาร ผนู้ น้ั จกั ทนอยไู่ ด.้ ” (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๔ / ๒๔๕ / ๓๕๖ ) คนเรา ควรมองผมู้ ปี ญั ญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าวคำขนาบอยู่ เสมอไป วา่ คนนน้ั แหละ คอื ผชู้ ้ี ขมุ ทรพั ย์ ละ, ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น, เมื่อคบหากับบัณฑิต ชนิดนั้นอยู่ ยอ่ มมี แตด่ ที า่ เดยี ว ไมม่ เี ลวเลย.” ( พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๕ / ๒๕ / ๑๖ )

อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา : บทศกึ ษาอนั เปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ สิกขาบทที่เป็นประธานเป็นแม่บท หรือสิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ สงฆย์ กขน้ึ แสดง ทกุ กง่ึ เดอื น คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๑) ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๒)

ผู้ทำศาสนาเสื่อม ภิกษุทั้งหลาย มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้ ที่ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือน จนเสอ่ื มสญู ไป สอ่ี ยา่ งอะไรกนั เลา่ ? สอ่ี ยา่ งคอื :- ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุเล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิดด้วยบท พยัญชนะที่ใช้กันผิด; เมื่อบทและพยัญชนะใช้กันผิดแล้ว แม้ความหมาย กม็ นี ยั อนั คลาดเคลอ่ื น ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นม้ี ลู กรณที ห่ี นง่ึ ซง่ึ ทำใหพ้ ระสทั ธรรม เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. ภิกษุทั้งหลายอีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุเป็นคนว่ายากประกอบด้วยเหตุ ทท่ี ำให้ เปน็ คนวา่ ยาก ไมอ่ ดทน ไมย่ อมรบั คำตกั เตอื นโดยความเคารพหนกั แนน่ ภกิ ษุ ทง้ั หลาย นม้ี ลู กรณที ส่ี อง ซง่ึ ทำใหพ้ ระสทั ธรรมเลอะเลอื นจนเสอ่ื มสญู ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี อยา่ งหนง่ึ , พวกภกิ ษเุ หลา่ ใด เปน็ พหสู ตู ร คลอ่ งแคลว่ ใน หลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท), ภิกษุเหล่านั้น ไม่ได้เอาใจใส่บอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่นๆ; เมื่อท่าน เหล่านั้น ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลายก็เลยขาดผู้เป็นมูลรากไม่มีที่อาศัย สืบไป ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นม้ี ลู กรณที ส่ี าม ซง่ึ ทำใหพ้ ระสทั ธรรมเลอะเลอื นจนเสอ่ื มสญู ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี อยา่ งหนง่ึ , พวกภกิ ษชุ น้ั เถระ ทำการสะสมบรขิ าร ประพฤตยิ อ่ หยอ่ นในไตรสกิ ขา เปน็ ผนู้ ำในทางทราม ไมเ่ หลยี วแลในกจิ แห่งวิเวกธรรม ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยัง ไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ผู้บวชในภายหลังได้เห็นพวก พระเถระเหล่านั้น ทำแบบแผนเช่นนั้นไว้ ก็ถือเอาไปเป็นแบบอย่าง จึงทำให้ เปน็ ผทู้ ำการสะสมบรขิ ารบา้ ง ประพฤตยิ อ่ หยอ่ นในไตรสกิ ขา เปน็ ผนู้ ำในทาง ทราม ไมเ่ หลยี วแลในกจิ แหง่ วเิ วกธรรม ไมป่ รารภความเพยี ร เพอ่ื ถงึ สง่ิ ทย่ี งั ไมถ่ งึ เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง, ตามกันสืบไป ภิกษุทงั้ หลาย นม้ี ลู กรณที ส่ี ่ี ซง่ึ ทำใหพ้ ระสทั ธรรมเลอะเลอื นจนเสอ่ื มสญู ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มลู เหตสุ ป่ี ระการเหลา่ นแ้ี ล ทท่ี ำใหพ้ ระสทั ธรรมเลอะเลอื น จนเสื่อมสูญไป. (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๑ / ๑๙๗ / ๑๖๐)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๑) อาบตั หิ นกั ทม่ี าในพระปาตโิ มกข์

๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑. เวรญั ชกณั ฑ์ เหตใุ หพ้ รหมจรรยต์ ง้ั มน่ั หรอื ไมต่ ง้ั มน่ั สมยั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ โคนไมส้ ะเดาใกลเ้ มอื งเวรญั ชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่. เวรัญชพราหมณ์ได้ทราบกิตติศัพท์ สรรเสริญ จึงเข้าไปเฝ้าแต่มิได้ถวายบังคม หลังจากทักทายปราศรัยแล้ว ก็ได้กล่าวว่า ไดข้ า่ วเขาพดู วา่ พระสมณโคดมไมย่ อมไหวห้ รอื ลกุ ขน้ึ ตอ้ นรบั พราหมณผ์ สู้ งู อายุ การที่พระสมณโคดมทำเช่นนั้น ย่อมไม่สมควร พระพุทธเจ้าตรัสรับว่า พระองคม์ ไิ ดไ้ หวพ้ ราหมณผ์ สู้ งู อายจุ รงิ เวรญั ชพราหมณ์ จงึ กลา่ ววาจารกุ ราน ด้วยถ้อยคำที่ถือกันในสมัยนั้นว่า เป็นคำดูหมิ่นเหยียดหยาม รวม ๘ ขอ้ เชน่ คำวา่ พระสมณโคดมเปน็ คนไมม่ รี สชาต,ิ เปน็ คนไมม่ สี มบตั ,ิ เปน็ คนนำใหฉ้ บิ หาย, เปน็ คนเผาผลาญ เปน็ ตน้ . แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคทรงอธบิ ายคำเหยยี ดหยามนน้ั ไปในทางดี เชน่ วา่ ใครจะว่าไม่มีรสชาติก็ถูก เพราะท่านไม่ติดในรส คือ รูป เสียง เป็นต้น ใครจะว่าไม่มีสมบัติก็ถูก เพราะท่านไม่ติดสมบัติ คือ รูป เสียง เป็นต้น ใครจะวา่ นำใหฉ้ บิ หายกถ็ กู เพราะทา่ นแสดงธรรมทำใหบ้ าป อกศุ ล ทกุ อยา่ ง ใหฉ้ บิ หาย ใครจะวา่ เปน็ คนเผาผลาญกถ็ กู เพราะทา่ นเผาผลาญบาป อกศุ ล อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความเดอื นรอ้ นทง้ั หมด. เมื่อตรัสตอบ แก้คำดูหมิ่นเหยียดหยามของพราหมณ์ตกทุกข้อโดย ไม่ต้องใช้วิธีด่าตอบ หากใช้วิธีอธิบายให้เป็นธรรมะสอนใจได้ ดังนั้นแล้ว จึงตรัสอธิบายเหตุผลในการที่พระองค์ไม่ไหว้พราหมณ์ผู้สูงอายุ โดย เปรยี บเทยี บวา่ ลกู ไกต่ วั ไหนเจาะฟองไขอ่ อกมาไดก้ อ่ น ลกู ไกต่ วั นน้ั ควรนบั วา่ แกก่ วา่ ลกู ไกต่ วั อน่ื พระองคเ์ จาะฟองไข่ คอื อวชิ ชากอ่ นผอู้ น่ื จงึ ถอื ไดว้ า่ เปน็ ผู้แก่กว่าผู้อื่น. เวรัญชพราหมณ์ได้ฟังก็เลื่อมใส ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกราบทูลอาราธนาให้ทรงจำพรรษาอยู่ใน เมอื งเวรญั ชา พรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ พระองคท์ รงรบั โดยดษุ ณภี าพ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook