๘๖ ตารางท่ี ๓. ๙ (ตอ่ ) คำวา่ จำนวน (คำ) รอ้ ยละ ๑๐.“มรรค” ๓๔ ๓.๓๑ ๑๑.“สมถะ” ๒๔ ๒.๓๓ ๑๒.“จรติ ” ๒๓ ๒.๒๔ ๑๓.“ฌาน” ๒๐ ๑.๙๕ ๑๔.“ไตรลกั ษณ์” ๒๐ ๑.๙๕ ๑๕.“รปู นาม” ๑๘ ๑.๗๕ ๑๖.“บรรลธุ รรม” ๑๘ ๑.๗๕ ๑๗.“อนิ ทรยี ์” ๑๔ ๑.๓๖ ๑๘.“พละ” ๕ ๐.๔๙ ๑๙.“นิวรณ์” ๖ ๐.๕๘ ๒๐.“อายตนะ” ๓ ๐.๒๙ รวมทงั้ ส้นิ ๑,๐๒๘ ๑๐๐.๐๐ จากตารางที่ ๓.๙ แสดงจำนวนและร้อยละด้านคำจากเน้ือหาในนิยามศัพท์เฉพาะในงาน วิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผลการศึกษา พบว่า คำว่า“สติ” จำนวน ๑๘๘ คำ ร้อยละ ๑๘.๒๙ มากท่ีสุด รองลงมา คำว่า“ปัญญา” จำนวน ๑๒๗ คำ ร้อยละ ๑๒.๓๕ คำว่า“วิปัสสนา” จำนวน ๑๒๕ คำ ร้อยละ ๑๒.๑๖ คำว่า “รูป” จำนวน ๙๘ คำ ร้อยละ ๙.๕๓ คำว่า“กำหนด”จำนวน ๗๘ คำ ร้อยละ ๗.๕๙ คำว่า “ญาณ” จำนวน ๗๗ คำ ร้อยละ ๗.๔๙ คำว่า“ภาวนา”จำนวน ๕๖ คำ ร้อยละ ๕.๔๕ คำว่า “อารมณ์” จำนวน ๕๕ คำ ร้อยละ ๕.๓๕ คำว่า“สภาวะ”จำนวน ๓๙ คำ ร้อยละ ๓.๗๙ คำว่า “มรรค”จำนวน ๓๔ คำ รอ้ ยละ ๓.๓๑ คำว่า“สมถะ”จำนวน ๒๔ คำ รอ้ ยละ ๒.๓๓ คำว่า“จริต” จำนวน ๒๓ คำ ร้อยละ ๒.๒๔ คำว่า“ฌาน” จำนวน ๒๐คำ ร้อยละ ๑.๙๕ คำว่า“ไตรลักษณ์” จำนวน ๒๐ คำ ร้อยละ ๑.๙๕ คำว่า“รูปนาม”จำนวน ๑๘ คำ รอ้ ยละ ๑.๗๕ คำว่า“บรรลุธรรม” จำนวน ๑๘ คำ ร้อยละ ๑.๗๕ คำว่า“อินทรีย์”จำนวน ๑๔ คำ ร้อยละ ๑.๓๖ คำว่า“พละ” จำนวน ๕ คำ ร้อยละ ๐.๔๙ คำว่า“นิวรณ์”จำนวน ๖ คำ ร้อยละ ๐.๕๘ คำว่า“อายตนะ”จำนวน ๓ คำ รอ้ ยละ ๐.๒๙
๘๗ ตารางท่ี ๓.๑๐ แสดงจำนวนและรอ้ ยละด้านลกั ษณะระเบียบวธิ ีวิจัยของงานวิทยานิพนธ์เรอื่ ง มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณร์ าชวิทยาลยั สาขาวชิ า จำนวน ร้อยละ [๑] ระเบยี บวิธกี ารวจิ ัยเชิงคุณภาพ ๔๗ ๘๕.๔๕ (Qualitative Research) [๑.๑] ศึกษาวิจยั เชิงเอกสารเฉพาะ ๒๙ ๕๐.๙๑ [๑.๒] ศึกษาวิจัยเชงิ เอกสารเนน้ คมั ภีร์ ๗ ๑๒.๗๓ [๑.๓] ศึกษากรณสี ำนกั ปฏิบัติธรรม ๓ ๕.๔๕ [๑.๔] ศกึ ษากรณีคำสอนครูบาอาจารย์ ๖ ๑๐.๙๑ [๑.๕] ศกึ ษากรณีการปฏิบัตธิ รรม ๗ เดือน และ ๓ ๕.๔๕ ศึกษากรณศี ึกษาจากตวั ผูศ้ ึกษาวิจยั [๒] ระเบียบวธิ กี ารวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ -- (Quantitative Research) [๓] ระเบียบวธิ กี ารวจิ ัยแบบผสมผสาน ๘ ๑๔.๕๔ (Mixed Method Research) รวมท้ังสน้ิ ๕๕ ๑๐๐.๐๐ จากตารางท่ี ๓.๑๐ แสดงจำนวนและร้อยละด้านระเบียบวิธีวิจัยของงานวิทยานิพนธ์เร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า ระเบียบ วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ(Qualitative Research) มากที่สุด จำนวน ๔๗ เร่ือง ร้อยละ ๘๕.๔๕ รองลงมาเป็นลักษณะระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) จำนวน ๘ เรื่อง ร้อยละ ๑๔.๕๕ ส่วนระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ไม่มีงาน วิทยานพิ นธเ์ รอ่ื งมหาสติปฏั ฐาน ๔ ท่ีมีลักษณะระเบยี บวธิ ีวิจยั เชงิ ปรมิ าณเพยี งเฉพาะอย่างเดยี ว โดยระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ จำแนกเป็น ศึกษาวิจัยเชิงเฉพาะเอกสาร จำนวน ๒๘ เร่ือง ร้อยละ ๕๐.๙๑ มากที่สุด ศึกษาวิจัยเชิงเอกสารเน้นคัมภีร์ จำนวน ๗ เร่ือง ร้อยละ ๑๒.๗๓ ศึกษากรณีคำสอนครูบาอาจารย์ จำนวน ๖ เรื่อง ร้อยละ ๑๐.๙๑ ศึกษากรณีสำนัก ปฏิบัติธรรม จำนวน ๓ เรื่อง ร้อยละ ๕.๔๕ ศึกษากรณีการปฏิบัติธรรม ๗ เดือน และศึกษา กรณศี ึกษาจากตวั ผู้ศึกษาวิจัย จำนวน ๓ เรอ่ื ง ร้อยละ ๕.๔๕ ตามลำดับ
๘๘ ๓.๓ ขอ้ มลู วิเคราะห์ความสอดคลอ้ งงานวิทยานิพนธ์กบั หลกั การมหาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อเป็นการจำแนกด้านสาระวิทยานิพนธ์ให้ความสอดคล้องกับหลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปฎิ ก ว่า งานวิทยานิพนธ์แต่ละเร่อื งท้ัง ๕๕ เลม่ เน้อื หาสาระเป็นด้านสติปัฏฐาน ๔ ด้าน เป็นอย่างไร โดยจำแนกเป็น [๑] กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๒] จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๓] เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๔] ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังแสดงรายละเอียดในตารางท่ี ๓.๑๑ ถึง ๓.๑๓ ตารางที่ ๓.๑๑ แสดงรหสั แบบบนั ทึก ชอื่ งานวิทยานิพนธ์ และสาระความสอดคลอ้ งกบั หลักการ มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ในพระไตรปฎิ ก จำแนกเปน็ [๑]กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [๒]จติ ตานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน [๓]เวทนานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [๔]ธรรมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [4] ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [3] จติ ตานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [2] เวทนานุปสั สนาสติปัฏฐาน [1] กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน สอดคลอ้ งกบั หลักการมหาสติปฏั ฐาน ๔ ชอ่ื งานวิทยานพิ นธ์ รหัส แบบบนั ทึก ๑/๔๒ การศึกษาเรอ่ื งการบรรลธุ รรมใน พระพทุ ธศาสนาเถรวาท [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - - [พระมหาอำนวย อานนโฺ ท (จนั ทรเ์ ปล่ง)] ๒/๔๔ การศึกษาวิธีการปฏบิ ตั ิกรรมฐาน ตามแนว [๑] กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน สติปฏั ฐาน ๔ : ศกึ ษาแนวสอนของพระธรรม [๒] เวทนานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ธรี ราชมหามุนี (โชดก ญาณสฺ ิทธ)ิ [๓] จติ ตานุปสั สนาสติปัฏฐาน [พรรณราย รตั นไพฑรู ย์] [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน ๓/๔๖ ศึกษาเปรยี บเทยี บแนวทางการปฏบิ ัติ [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - กรรมฐานของหลวงพอ่ เทียน จติ ตฺ สุโภ และ [๓] จติ ตานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน พทุ ธทาสภิกขุ [๔] ธัมมานุปสั สนาสติปัฏฐาน [พระมหานพิ นธ์ มหาธมฺมรกขฺ โิ ต(แสมแกว้ )] ๔/๔๖ ศกึ ษาวเิ คราะห์ “สมถยานกิ ะ” ในการ [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - ปฏบิ ัตกิ ัมมฎั ฐาน อนั มกี สณิ ๑๐ เป็น [๔] ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน อารมณ์ [อภริ าษฎร์ ปรีชาจารย์]
๘๙ ตารางท่ี ๓.๑๑ (ต่อ) [4] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [3] จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [2] เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [1] กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน สอดคล้องกบั หลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ช่อื งานวทิ ยานิพนธ์ รหสั แบบบนั ทกึ ๕/๔๗ การศึกษาวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง [๓] จติ ตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน - - ญาณและปญั ญาในพระพทุ ธศาสนา [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน พระมหากฤช ญาณาวุโธ (ใจปลม้ื บุญ) ๖/๔๘ ศึกษาเปรียบเทยี บหลกั วปิ สั สนากมั มัฎฐาน [๑] กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน - - ในพระไตรปฎิ กและแนวปฏบิ ตั ิวิปสั สนา [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน กมั มัฎฐานวดั โพธ์ิบา้ นโนนทัน. [พระสมบัตร ฐิตญาโณ (สุขประเสรฐิ ) ] ๗/๔๘ ศกึ ษาการใชอ้ านาปานสติภาวนาเพือ่ [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - พฒั นาคุณภาพชวี ติ ของเสถียรธรรมสถาน [ฐติ ริ ัตน์ รักษใ์ จตรง] ๘/๔๙ การศกึ ษาเชิงวิเคราะห์อานาปานัสสติกถา [๑] กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน - - ในคัมภรี ์ปฏสิ ัมภิทามรรค [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [เสนาะ ผดงุ ฉัตร] ๙/๔๙ การศกึ ษากระบวนการสรา้ งภาวนา ๔ โดย [๔] ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน - - - ใช้หลกั ไตรสิกขา [พชิ ญรชั ต์ บญุ ช่วย] ๑๐/๔๙ การศกึ ษาวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ใิ นการปฏบิ ตั ิ [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - วปิ สั สนากมั มฏั ฐาน ตามแนวของ [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน มหาวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั [อณิวชั ร์ เพชรนรรตั น์] ๑๑/๕๐ ศึกษาวเิ คราะหก์ ารปฏิบตั ิกัมมัฏฐานตาม [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - - แนวกายคตาสติในคมั ภรี ์พระพุทธศาสนาเถร วาท [ทศั นี วงศ์ยนื ] ๑๒/๕๑ การศกึ ษาเชงิ วิเคราะหส์ ตปิ ัฏฐานกถา ใน [๔] ธัมมานุปสั สนาสติปัฏฐาน - - - คมั ภีรป์ ฏิสภั ิทามรรค [พระแสนปราชญ์ ฐิตสทฺโธ]
๙๐ ตารางที่ ๓.๑๑ (ตอ่ ) [4] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [3] จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [2] เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [1] กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน สอดคล้องกบั หลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ช่อื งานวทิ ยานิพนธ์ รหสั แบบบนั ทกึ ๑๓/๕๑ การศกึ ษาสภาวญาณเบอ้ื งต้นของผูเ้ ขา้ [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - - ปฏิบตั ิวิปัสสนาตามหลกั สติปฏั ฐาน ๔ ณ สำนักวปิ สั สนากรรมฐาน วดั พระธาตศุ รี จอมทอง วรวิหาร [แม่ชรี ะววี รรณ ธมมจฺ ารนิ ี (งา่ นวสิ ทุ ธพิ ันธ์)] ๑๔/๕๒ ศึกษาสังขารุเปกขาญาณในการปฏบิ ตั ิ [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - วปิ สั สนาตามหลักสตปิ ฏั ฐาน ๔ เฉพาะกรณี [๔] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน การปฏิบตั ิวปิ สั สนาภาวนา ๗ เดือน [พระปลดั พงคศ์ ักดิ์ ธมฺมวโร (อภยั โส) ] ๑๕/๕๒ การศกึ ษาอาการวิปลาสทีเ่ กดิ ขึน้ ในการ [๓] จิตตานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน - - ปฏิบตั กิ รรมฐาน [ภาวนีย์ บุญวรรณ] [๔] ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน ๑๖/๕๒ การศึกษาอุทยัพพญาณในการปฏบิ ัติ [๓] จิตตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน - - วปิ ัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ : เฉพาะ [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปัฏฐาน กรณี การปฏิบัติวปิ สั สนาภาวนา ๗ เดือน [รจุ าภา ธงปลม้ื จติ ร] ๑๗/๕๓ ศกึ ษาวเิ คราะหค์ วามสอดคลอ้ งระหวา่ ง [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - หลักปฏบิ ตั ิสัมปชญั ญะในมหาสตปิ ัฏฐาน [๓] จติ ตานุปสั สนาสติปัฏฐาน สตู รกับวิธกี ารฝึกเจริญตามแนวของ [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปัฏฐาน หลวงพอ่ เทยี น จิตฺตสโุ ภ [ พระมหาสิงห์หน สิรนิ ฺธโร (ฉิมพาล)ี ] ๑๘/๕๓ การศึกษาวธิ กี ารเจริญสตใิ นชวี ติ ประจำวนั [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - ตามแนวทางของตชิ นัท ฮันท์ [๓] จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [ พระทรพั ย์ชู มหาวโี ร (บุญพฬิ า) ]
๙๑ ตารางท่ี ๓.๑๑ (ต่อ) [4] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [3] จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [2] เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [1] กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน สอดคล้องกบั หลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ช่อื งานวทิ ยานิพนธ์ รหสั แบบบนั ทกึ ๑๙/๕๓ ศึกษาผลการเจริญ ตามแนวปฏิบัติของ [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ : กรณีศึกษาผู้ [๒] เวทนานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมมหาสติปัฏ [๓] จติ ตานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ฐาน ๔ บ้านเหลา่ โพนทอง [ พระสวุ รรณ สวุ ณโฺ ณ (เรืองเดช) ] ๒๐/๕๔ ศึกษารปู นามตามทปี่ รากฏในไตรลกั ษณใ์ น [๑] กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน - - การปฏิบตั ิวิปสั สนาภาวนา [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [ พระทนงศกั ด์ิ ปภาโต (ปิยะสุข) ] ๒๑/๕๔ วิเคราะห์ศลี เพอื่ การบรรลุธรรม ใน [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - พระพุทธศาสนาเถรวาท [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [พระครสู ังฆรกั ษ์ชพี ธมมฺเตโช (คกู่ ระโทก) ] ๒๒/๕๔ ศกึ ษาการพัฒนาสตโิ ดยใชห้ ลักกายคตาสติ [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - - ในคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท [พระครนู ิวฐิ สาธุวตั ร (ทองลำ่ ยโสธโร) ] ๒๓/๕๔ ศึกษาศรทั ธาในการปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนาภาวนา [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน - - - ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ [ พระชยั พร จนฺทวโํ ส (จนั ทวงษ์) ] ๒๔/๕๔ ศึกษาอริยมรรคในการปฏิบัติวิปัสสนาตาม [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - - หลักสตปิ ัฏฐาน ๔ [ พระอำนาจ ขนตฺ โิ ก (ภาคาหาญ) ] ๒๕/๕๔ การศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างปฏจิ จสมปุ [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - - บาท กับขันธ์ ๕ ในการ เจริญวิปัสสนา ภาวนา [พระมหาพสิ ตู น์ จนฺทวํโส (พะนริ มั ย)์ ] ๒๖/๕๔ การศึกษาวเิ คราะห์หลกั การปฏบิ ตั ธิ รรม [๔] ธัมมานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน - - - ในภทั เทกรตั ตสตู ร [พระครพู สิ ิฐสรภาณ (นิรันดร์ ศิรริ ตั น)์ ]
๙๒ ตารางที่ ๓.๑๑ (ตอ่ ) [4] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [3] จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [2] เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [1] กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน สอดคล้องกบั หลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ช่อื งานวทิ ยานิพนธ์ รหสั แบบบนั ทกึ ๒๗/๕๔ ศกึ ษาการปฏิบัตเิ พ่อื บรรลุมรรคผลในปณุ [๔] ธัมมานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - - โณวาทสตู ร [พระทรงยศ ยสธโร (ตัง้ จติ พทิ ักษก์ ุล) ] ๒๘/๕๔ ศกึ ษาสัมมัปปธาน ๔ อันเปน็ องคแ์ ห่งการ [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน - - - บรรลุธรรม [พระวรมน ขนตฺ โิ ก (วัดถุมา) ] ๒๙/๕๔ ศึกษาปรากฏการณข์ องโอภาสในการปฏบิ ัติ [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - วิปสั สนาภาวนา ตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ [๔] ธมั มานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [ พระจิตตพฒั น์ โสภณปญโฺ ญ (กิจจาณัฏฐ์) ] ๓๐/๕๔ ศกึ ษาจิตตวสิ ทุ ธิในการปฏบิ ตั วิ ิปสั สนา [๓] จิตตานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน - - ภาวนา [พระครปู รยิ ัตกิ าญจนโชติ (มานติ ย์ ธมมฺ โชโต)] ๓๑/๕๔ อธิโมกขใ์ นการปฏบิ ตั วิ ิปสั สนาภาวนาตาม [๔] ธัมมานุปสั สนาสติปัฏฐาน - - - หลักสตปิ ัฏฐาน ๔ [พระครปู ลดั ศภุ ชัย ปริชาโน (ฉัตรคู่)] ๓๒/๕๔ ศึกษาหลกั ธรรมในอนุปทสตู รกบั การปฏบิ ตั ิ [๔] ธัมมานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - - วิปสั สนาภาวนา [พระพงษส์ ิทธ์ พาหโิ ย (เทพอารีนนั ท)์ ] ๓๓/๕๔ ศึกษาวเิ คราะห์อุเบกขาในการปฏบิ ัติ [๔] ธัมมานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน - - - วปิ สั สนาภาวนา ตามแนวสติปฏั ฐาน ๔ [พระมหาณัชพล พนธฺ ญาโณ (นราวงษ์)] ๓๔/๕๔ ศกึ ษาสภาวะรปู นามในการปฏิบตั ิในหมวด [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - สัมปชัญญะบรรพ ในสตปิ ฏั ฐานสตู ร [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน [พระมหาญาณทัสน์ ฉฬภญิ โฺ ญ(วงศ์กำภู)]
๙๓ ตารางที่ ๓.๑๑ (ต่อ) [4] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [3] จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [2] เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [1] กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน สอดคล้องกบั หลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ช่อื งานวทิ ยานิพนธ์ รหสั แบบบนั ทกึ ๓๕/๕๔ ศึกษาการกำหนดรปู นามทางวิญญาณ ๖ ใน [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน - - - การปฏิบัตวิ ปิ สั สนาภาวนา [พระมานสั โสภณจติ โฺ ต (ชอบมี)] ๓๖/๕๔ ศกึ ษาหลกั ปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนาภาวนาแบบ [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - พอง–ยุบ ตามแนวการปฏบิ ตั ขิ องพระ [๔] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน โสภณมหาเถระ [พระครูปลัดสนุ ทร สนุ ทฺ โร (แซเ่ ตยี ว) ] ๓๗/๕๔ ศึกษาการบรรลุธรรมดว้ ยการเจรญิ อานา [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - ปานสติ ในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน [พระมหาสามารถ อธิจิตโฺ ต (มนสั ) ] ๓๘/๕๔ ศึกษาวิริยะในการปฏบิ ัตวิ ิปสั สนาภาวนา [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน - - - [พระครพู ิศิษฏ์ชยั โชติ (สำรวย โชติวโร)] ๓๙/๕๔ ศกึ ษาเวทนาในการปฏิบตั ิวปิ สั สนาภาวนา [๒] เวทนานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน - - - ตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ [พระครสู มหุ เ์ กดิ ปญุ ฺ กาโม (ดานขนุ ทด) ] ๔๐/๕๔ ศึกษาการสอนสติปฏั ฐาน ๔ ตามแนวทาง [๑] กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน - - ของโคเอน็ ก้ากับพระไตรปฎิ ก [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [ บุญเรือง ทิพพอาสน์ ] ๔๑/๕๔ การศกึ ษาวิเคราะหก์ ารรักษาโรคด้วย [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - วปิ สั สนากมั มฏั ฐานตามแนวทางของพระ [๔] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ธรรมสงิ หบุราจารย์ (จรญั ฐจิ ธมฺโม) [ พลกฤษณ์ โชตศิ ริ ิรัตน์ ] ๔๒/๕๔ การศกึ ษาเครอื่ งมอื จำแนกจรติ ท่ีเหมาะสม [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - ในการเจริญสติปัฏฐาน [๓] จิตตานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน [สุเมธ โสฬศ ] [๔] ธัมมานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ๔๓/๕๔ ศกึ ษาธมั มนานปุ สั สนาในพระพุทธศาสนา [๔] ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - - เถรวาท [กัมปนาท พุทธปวรางกรู ]
๙๔ ตารางที่ ๓.๑๑ (ตอ่ ) [4] ธัมมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [3] จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [2] เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [1] กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน สอดคล้องกบั หลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ช่อื งานวทิ ยานิพนธ์ รหสั แบบบนั ทกึ ๔๔/๕๔ ศึกษาปญั ญาเจตสกิ กบั การพัฒนา [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - - สมั ปชัญญะ ในการปฏบิ ัติวปิ สั สนาภาวนา [พยงุ พมุ่ พวง] ๔๕/๕๕ การศึกษาเปรยี บเทยี บการปฏิบตั ิกรรมฐาน [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - ของพระโพธญิ าณเถร (ชา สภุ ทโฺ ท) กับพระ [๔] ธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ธรรมวสิ ทุ ธมิ งคล (บัว ญาณสมฺปนโฺ น) [พระวงศ์แก้ว วราโภ (เกสร)] ๔๖/๕๕ ศึกษาหลักการเจริญจตุรารกั ขกัมมัฏฐานใน [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปัฏฐาน - - - คัมภีร์พทุ ธศาสนาเถรวาท [พระมหาอาคม สมุ งฺคโล (คณุ สถติ ) ] ๔๗/๕๕ การวิเคราะห์จรติ ๖ กับการปฏิบตั ิธรรมใน [๓] จติ ตานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน - - พระพทุ ธศาสนา [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [พระศรศักด์ิ สงวฺ โร (แสงธง) ] ๔๘/๕๕ การเจริญเวทนานปุ ัสสนาในคมั ภรี ์ [๒] เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน - - - พระพทุ ธศาสนาเถรวาท [พระอนุชา อนุชาโต (นามจนั ทร์) ] ๔๙/๕๕ ศึกษาปฏจิ จสมปุ บาทกบั การบรรลุธรรมใน [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปัฏฐาน - - - พระพุทธศาสนาเถรวาท [พระครสู วุ รรณ (สมจติ ต์ ค้มุ สมบตั ิ) ] ๕๐/๕๕ การสร้างตัวชี้วดั เพ่อื วิเคราะหอ์ ินทรยี ์ ๕ [๑] กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน - - เปรยี บเทยี บกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏบิ ตั ิ [๔] ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน วปิ สั สนากัมมฏั ฐาน [พระมหาบญุ เลศิ ธมมฺ ทสสฺ ี (โอฐส)ู ] ๕๑/๕๕ ศึกษาการปฏบิ ัติวปิ ัสสนากับการบำบดั [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - เยยี วยา รักษาโรค [๔] ธัมมานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [ทศพร เหลอื งขาบทอง ]
๙๕ ตารางที่ ๓.๑๑ (ตอ่ ) [4] ธัมมานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน [3] จติ ตานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน [2] เวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน [1] กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน สอดคลอ้ งกับ หลกั การมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ช่อื งานวิทยานพิ นธ์ รหสั แบบบันทึก ๕๒/๕๕ การศึกษาวเิ คราะห์สมาธิกบั การบรรลุธรรม [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน - - - ในพระพุทธศาสนา [ อรภัคภา ทองกระจ่างเนตร ] ๕๓/๕๕ การพฒั นารูปแบบการจัดการความรู้สำหรบั [๔] ธมั มานุปสั สนาสติปัฏฐาน - - - สำนักปฏิบตั ธิ รรมในประเทศไทย [อุทัย สตมิ ั่น ] ๕๔/๕๕ สมถกมั มฏั ฐานในฐานะเปน็ บาทฐานของ [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - วิปัสสนากัมมฏั ฐาน [๔] ธมั มานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [เสถียร ท่ังทองมะดนั ] ๕๕/๕๕ รปู แบบผสมผสานการปฏิบตั ิวปิ สั สนา [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน - - กรรมฐาน ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ [๔] ธัมมานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน [ภัทรนิธิ์ วสิ ทุ ธศิ์ ักดิ์] รวมท้ังส้นิ ๒๘ ๔ ๑๑ ๔๘ ( จำนวน ๕๕ เลม่ ) จากตารางท่ี ๓.๑๑ แสดงรหัสแบบบันทึก ชื่องานวิทยานิพนธ์ และสาระความสอดคล้อง กบั หลักการมหาสติปฏั ฐาน ๔ ในพระไตรปฎิ ก จำแนกเป็น [๑]กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน [๒]จิตตา นุปัสสนาสติปัฏฐาน [๓]เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๔]ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการ จำแนกสาระวิทยานิพนธต์ ามประเด็นมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐- ๒๕๕๕ ที่ได้ รวบรวมนำมาใช้ในการสังเคราะห์ในแต่ละเรื่องวิทยานิพนธ์เกี่ยวข้องประเด็นสาระงานวิทยานิพนธ์ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยงานวิทยานิพนธ์เร่ืองเดียวอาจทำการศึกษาร่วมกันหลายด้านหรือ เฉพาะด้าน ผลการศึกษาพบว่า ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มากที่สุด จำนวน ๔๘ เรื่อง ร้อยละ ๕๒.๗๕ รองลงมา ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จำนวน ๒๘ เร่ือง ร้อยละ ๓๑.๗๗ ด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จำนวน ๑๑ เรื่อง ร้อยละ ๑๒.๐๘ และ ด้านเวทนานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน จำนวน ๔ เรื่อง ร้อยละ ๔.๓๙ ตามลำดับ ดังแสดงรายละเอียดในตารางท่ี ๓.๑๒ และ ๓.๑๓
๙๖ ตารางที่ ๓.๑๒ แสดงจำนวนและร้อยละดา้ นสาระเรอ่ื งงานวิทยานพิ นธส์ อดคล้อง มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั สาระวทิ ยานิพนธ์เกีย่ วกบั จำนวน รอ้ ยละ [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ๓ ๕.๔๕ [๒] เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ๒ ๓.๖๔ [๓] จิตตานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน -- [๔] ธรรมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๒๐ ๓๖.๓๖ [๑] กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน + [๔] ธรรมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ๑๙ ๓๔.๕๕ [๑] กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน + [๓] จิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๑ ๑.๘๒ [๓] จิตตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน + [๔] ธรรมานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ๕ ๙.๐๙ [๑] กายานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน + [๓] จิตตานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ๓ ๕.๔๕ + [๔] ธรรมานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน + [๒] เวทนานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน ๑ ๑.๘๒ + [๓] จติ ตานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๑] กายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน +[๒] เวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน ๑ ๑.๘๒ + [๓] จติ ตานุปัสสนาสติปัฏฐาน +[๔] ธรรมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน รวมท้ังสนิ้ ๕๕ ๑๐๐.๐๐ จากตารางท่ี ๓.๑๒ แสดงจำนวนและร้อยละการจำแนกสาระวิทยานิพนธ์ตามประเด็น มหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เล่มวิทยานิพนธ์ที่นำสังเคราะห์โดยเป็นการศึกษาจำแนกงาน วทิ ยานิพนธ์สาระเก่ียวกับด้าน [๑]กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๒]เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๓] จติ ตานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๔]ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผลการศึกษาพบวา่ อันดับแรก ดา้ นธรร มานุปัสสนาสติปัฏฐาน[๔]เพียงอย่างเดียว จำนวน ๒๐ เล่ม ร้อยละ ๓๖.๓๖ อันดับสอง ด้านกา ยานุปัสสนาสติปัฏฐานร่วมกับด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๑]+[๔] จำนวน ๑๙ เล่ม ร้อยละ ๓๔.๕๕ อันดบั สาม ดา้ นจติ ตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐานร่วมกับดา้ นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๓]+[๔] จำนวน ๕ เล่ม ร้อยละ ๙.๐๙ อันดับส่ี เป็นการศึกษาจำนวนอย่างละ ๓ เล่ม ร้อยละ ๕.๔๕ เท่ากัน ได้แก่ ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๑] เพียงอย่างเดียว เท่ากับ งานวิทยานิพนธ์สาระ ศึกษาด้าน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ร่วมกับด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ร่วมกัน ด้าน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๑]+[๓]+[๔] อันดับห้า เป็นการศึกษาจำนวนอย่างละ ๑ เล่ม ร้อย ละ ๑.๘๒ ได้แก่ ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ร่วมกับด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๑]+[๓] เท่ากับด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานร่วมกับด้านจิตตานุปัสสนา
๙๗ สติปัฏฐาน [๑]+[๒]+[๓] เท่ากับด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ร่วมกับด้านเวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน ร่วมกับด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานร่วมกับด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๑]+[๒]+[๓]+[๔] ตามลำดบั ตารางท่ี ๓.๑๓ แสดงสรปุ จำนวนและรอ้ ยละเร่ืองวิทยานพิ นธ์เร่อื งมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ทีส่ อดคลอ้ งกับหลักการในพระไตรปิฎก หลกั การพระไตรปฎิ ก จำนวน ร้อยละ [๑] กายานปุ สั สนาสติปัฏฐาน ๒๘ ๓๑.๗๗ [๒] เวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๔ ๔.๓๙ [๓] จติ ตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ๑๑ ๑๒.๐๘ [๔] ธรรมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๔๘ ๕๒.๗๕ รวมทั้งสิน้ ๙๑ ๑๐๐.๐๐ จากตารางท่ี ๓.๑๓ สรุปจำนวนและร้อยละเร่ืองวิทยานิพนธ์ทท่ีสอดคล้องกับหลักการ พระไตรปิฎก โดยหากจำแนกในลักษณะเร่ืองวิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เร่ือง วิทยานิพนธ์แต่ละเร่ืองในการศึกษาวิเคราะห์ ว่า มีสาระงานเกี่ยวกับด้านของมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นแต่ละด้านอย่างไรบ้างซึ่งงานวิทยานิพนธ์บางเรื่องเป็นการศึกษาครบ ๔ ด้าน บางเร่ือง วิทยานิพนธ์ศึกษาเน้นเฉพาะดา้ นเดียว สองด้าน หรือสามด้าน ร่วมกนั ตามหลกั การมหาสติปฏั ฐาน ๔ ซ่ึงประกอบด้วยแต่ละด้าน ได้แก่ [๑]กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๒]จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๓]เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน [๔]ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผลการศึกษาพบว่า ธรรมานุปสั สนา สตปิ ัฏฐาน ๔๘ เล่มวิทยานิพนธ์ ร้อยละ ๕๒.๗๕ มากทส่ี ุด รองลงมา ได้แก่ กายานุปสั สนาสติปัฏ ฐาน จำนวน ๒๘ เล่ม ร้อยละ ๓๑.๗๗ และ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จำนวน ๑๑ เล่ม ร้อยละ ๑๒.๐๘ เวทนานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน จำนวน ๔ เล่ม รอ้ ยละ ๔.๓๙ ๓.๔ บทสรุปขอ้ มลู ลกั ษณะวทิ ยานพิ นธ์ ลักษณะข้อมูลทั่วไปของงานวิทยานิพนธ์ ผลการศึกษาพบว่า เป็นงานวิทยานิพนธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มากท่ีสุด จำนวน ๒๔ เร่ือง ร้อยละ ๔๓.๖๓ สถานภาพผู้ศึกษาโดยส่วนมากเป็น พระภิกษุ จำนวน ๓๔ รูป ร้อยละ ๖๑.๘๑ ระดับปริญญางานวิทยานิพนธ์เป็นระดับปริญญาโท จำนวน ๔๘ เร่ือง ร้อยละ ๘๗.๒๗ มากที่สุด และด้านสาขาวิชาที่จบการศึกษาเป็นสาขาวิชา พระพทุ ธศาสนา มากทสี่ ุด จำนวน ๒๙ เรอ่ื ง รอ้ ยละ ๕๒.๗๒
๙๘ ลักษณะข้อมูลด้านระเบียบวิธีของงานวิทยานิพนธ์ ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะ วัตถุประสงค์เป็นการต้ังวัตถุประสงค์เพอื่ ศึกษาทั่วไป มากท่ีสุด จำนวน ๗๘ ข้อวัตถปุ ระสงค์ ร้อยละ ๕๑.๖๕ ด้านคำจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม มคี ำวา่ “ธรรม” มากท่ีสุด จำนวน ๒๓๖ คำ รอ้ ยละ ๕๙.๐๙ ดา้ นคำจากสารบญั เนอ้ื หาการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม จำแนก ๑)ด้าน หลักการ คำว่า “ความหมาย”เป็นคำท่ีมีจำนวนมากที่สุด จำนวน ๑๖๕ คำ ร้อยละ ๑๙.๘๓ ๒) ด้านวธิ ีการ คำว่า“การปฏบิ ัติ”เปน็ คำที่มีจำนวนมากท่สี ุด จำนวน ๒๔๘ คำ ร้อยละ ๒๙.๘๑ ๓)ผล คำวา่ “ผล” จำนวน ๖๙ คำ ร้อยละ ๘.๖๙ ดา้ นคำจากเน้อื หาคำนิยามศัพทเ์ ฉพาะ คำว่า “ธรรม” มีจำนวนคำมากที่สุด จำนวน ๒๓๕ คำ ร้อยละ ๕๐.๒๑ ด้านลักษณะระเบียบวิธีวิจัยของงาน วิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มากที่สุดเป็น ลักษณณะระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน ๔๗ เร่ือง ร้อยละ ๘๕.๔๕ และเป็นลักษณะการวิจัย เชงิ เอกสาร จำนวน ๒๘ เรอื่ ง ร้อยละ ๕๐.๙๑ การวิเคราะห์สาระความสอดคล้องงานวิทยานิพนธ์กับหลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ ใน พระไตรปิฎก ผลการศึกษาพบว่า ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มากที่สุด จำนวน ๔๘ เร่ือง ร้อยละ ๕๒.๗๕ และเป็นการศึกษาด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพียงอย่างเดียว จำนวน ๒๐ เล่ม รอ้ ยละ ๓๖.๓๖ ดังน้ันจะอธิบายลักษณะงานวิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เพ่ือเข้าใจลักษณะ วทิ ยานิพนธ์ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย งานวิทยานิพนธ์เชงิ คณุ ลักษณะเอกสาร ส่ิงท่ีจะเป็นความสำคัญต่อการวิเคราะห์ คือ คำสำคัญที่นำมาใช้ศึกษา ข้อความทั้งหลายในการ อธิบายความเพ่ือสร้างความเข้าใจในงานวิทยานิพนธ์ และเนื้อหาสาระข้อค้นพบในงาน ผู้ศึกษาเชิง วิเคราะห์และสังเคราะห์ ต้องทำความเข้าใจ ต้องสร้างความเชื่อมโยง ต้องสร้างข้อสรุป ผู้ศึกษาจึง ต้องให้ความสำคัญต่อคำสำคัญเพื่อจำแนกงานตามกรอบของเรื่องสติปัฏฐาน ๔ จากงาน วิทยานิพนธ์ให้ได้เป็นข้อสรุปเพื่อให้เห็นลักษณะเป็นประเภท หมวดหมู่ โดยประเด็นเช่ือมโยงใน เรอ่ื งเดียวกบั เป็นอยา่ งไร และคำแต่ละคำอธบิ ายความแตล่ ะประเด็นเปน็ อยา่ งไร
๙๙ บทท่ี ๔ การสงั เคราะหแ์ นวทางปฏิบัติเรอ่ื งมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ เป็นการตอบวัตถุประสงค์ข้อ (๓)เพ่ือสังเคราะห์แนวทางปฏิบัติเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากงานวิทยานิพนธ์ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ได้นำงานวิทยานิพนธ์จำนวน ๕๕ เล่ม จำแนกเพื่อวิเคราะห์และนำมาสู่การสังเคราะห์ในเนื้อหา สาระตามกรอบหลักการมหาสติปัฏฐานสูตร ตามหลักการจากพระไตรปิฏกภาษาไทยฉบับมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค [๙.มหาสติปัฏฐานสูตร] ที.ม. เล่มท่ี ๑๐ข้อ ๓๗๒ ถึง ข้อ ๔๐๕ หน้า ๓๐๑–๓๔๐ เป็นหลักการเพื่อดำเนินงานดึงประเด็น สาระสำคัญจากผลการศึกษาที่ได้จากงานวิทยานิพนธ์มาเพ่ือสังเคราะห์แนวทางการปฏิบัติเร่ือง มหาสติปฏั ฐานสตู ร จากงานวิทยานิพนธ์ เรยี งตามลำดับการศกึ ษา ดังตอ่ ไปนี้ ๔.๑ ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การพิจารณากาย) ๔.๒ ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การพจิ ารณาเวทนา) ๔.๓ ด้านจิตตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (การพิจารณาจิต) ๔.๔ ด้านธรรมานุปัสสนาสติปฏั ฐาน (การพิจารณาธรรม) การจดั กลุ่มแบ่งขอ้ มูลเพ่ือดำเนินงานสงั เคราะห์ แบง่ ออกเป็น ๔ กลุม่ ดังต่อไปนี้ ๑. หลักการปฏิบัติตามพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่างๆ หมายความถึง ในงานวิทยานิพนธ์เรื่อง สติปัฏฐาน ๔ ด้านกาย ด้านเวทนา ด้านจิต ด้านธรรม มีความสอดคล้องระหว่างหลักการ ปฏิบตั ิที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไวใ้ นพระไตรปิฎกและคัมภีรต์ า่ งๆ กับสาระงานวิทยานิพนธ์ ๒. วิธกี ารปฏิบัติตามคำสอนครบู าอาจารย์ หมายความถงึ ในงานวิทยานิพนธ์เรื่องสติปัฏฐาน ๔ ด้านกาย ด้านเวทนา ด้านจิต ด้านธรรม ความสอดคล้องระหว่างแนวปฏิบัติพระอาจารย์หรือ สำนักปฏิบัติต่างๆ กับสาระงานวิทยานิพนธ์ แนวทางปฏิบัติต้องอาศัยการศึกษาจากการ อธิบายในคำสอนครูบาอาจารย์หรือสำนักปฏิบัติต่างๆ ความรู้ความเข้าใจชัดเจนขยายความ ตามแนวทางครบู าอาจารย์หรอื สำนกั การปฏิบตั ติ ่างๆ กบั สาระงานวทิ ยานิพนธ์ ๓. การขยายความจากผู้ศึกษา หมายความถึง ในงานวิทยานิพนธ์เรื่องสติปัฏฐาน ๔ ด้าน กาย ด้านเวทนา ด้านจิต ด้านธรรม เป็นการสรุปข้อค้นพบจากงานวิทยานิพนธ์ของผู้ ศึกษาวิจยั ใหข้ ยายความใหข้ ้อความคิดเหน็ ๔. การบรรลุผลการปฏิบัติ หมายความถึง ในงานวิทยานิพนธ์เร่ืองสติปัฏฐาน ๔ ด้านกาย ด้าน เวทนา ด้านจิต ด้านธรรม โดยด้านแต่ละด้านมีลักษณะการบรรลุธรรม ๒ ระดับได้แก่ ๑) ระดับโลกียะสุข (ทางโลก) และ ๒)ระดับโลกุตระ (ทางนิพพาน) เป็นเป้าหมายหรือ เปา้ ประสงคใ์ นแตล่ ะดา้ นของสติปฏั ฐาน ๔ ดา้ นกาย ดา้ นเวทนา ด้านจิต ด้านธรรม
๑๐๐ ๔.๑ การสงั เคราะหด์ ้านกายานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน จากประมวลรวบรวมงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เรือ่ งมหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เล่ม โดยจำนวนงานวิทยานิพนธ์ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การพิจารณากาย) มีจำนวนวิทยานิพนธ์ ๒๘ เรื่องท่ีเก่ียวข้อง โดยนำมาศึกษาเพ่ือสังเคราะห์ ด้านกายานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน ผลการศึกษา ดงั ตอ่ ไปนี้ ๔.๑.๑ หลกั การปฏบิ ตั ิตามพระไตรปฏิ กและคมั ภีร์ต่างๆ : ด้านกายานุปสั สนาสติปัฏฐาน [๑] หลักการปฏิบัติอานาปานสติในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทพระผู้มีพระภาคตรัส การเจริญอานาปานสติอย่างพิสดาร ๑๖ ข้ัน อานาปานสติอยู่ในหมวดอนุสสติ ๑๐ เจริญได้ถึง สมาบัติ ๘ และนิโรธสมาบัติ เป็นการเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นพื้นฐาน สุดยอดในประเภทของ กัมมัฏฐาน เป็นภูมิมนสิการของพระพุทธเจ้าเป็นปทัฏฐานในการบรรลุคุณวิเศษต่างๆเป็นวิหาร ธรรมเคร่ืองอยู่เป็นสุขในปัจจุบันที่ต้องใช้สติปัญญามีกำลังมากไม่ใช่ว่าใครๆจะสามารถเจริญได้ งา่ ยๆ พระพุทธองค์ทรงแนะอิริยาบถที่เหมาะสม คือ การนั่งคู้บัลลังก์เจริญในเสนาสนะที่สงัดเพ่ือ จะให้เกิดสมาธิได้ฌานเร็วแล้วใช้ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนาตามหลักการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เห็นเป็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง เพื่อเจริญวิปัสสนาญาณยิ่งๆขึ้นไปแบ่ง ๔ จตุกกะ ต้องใช้ สติกำหนดรลู้ มหายใจเข้าลมหายใจออกทุกๆขั้นโดยไม่ไดใ้ ชค้ ำบริกรรม เมื่อเจริญได้อย่างนี้แล้ว เท่ากบั วา่ ไดเ้ จริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ไปพร้อมๆกัน คือ จตุกกะท่ี ๑ จัดเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จตุกกะน้ีลมหายใจเข้าลมหายใจออก จัดเป็นวาโยกายชนิดหน่ึงในกาย ๔ อย่าง จัดเป็นโผฏฐัพพายตนะในส่วนแห่งรูป ๒๕ ประการ พระผู้มีพระภาคตรัสลมหายใจเข้าออกวา่ เป็นกายชนิดหนึ่งในบรรดากายทั้งหลาย เม่ือพิจารณา เห็นกายคือลมหายใจเข้าลมหายใจออก มีความเพียรเป็นเคร่ืองแผดเผากิเลสในภพทั้ง ๓ อยู่ มี สติสัมปชัญญะกำหนดระลึกรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา พึง กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ตรัสกัมมัฏฐานด้วยการตามพิจารณาเห็นกาย คือ ลมหายใจ เข้าลมหายใจออก การบริหารกายของผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานด้วยวิหารธรรม ตรัสสัมมัปปธานด้วย ความเพียรเผากิเลสในภพทั้ง ๓ สัพพัตถกกัมมัฏฐานหรืออุบายเคร่ืองบริหารกัมมัฏฐานไว้ด้วยสติ และสัมปชัญญะ การได้สมถะด้วยการใช้สติกำหนดพิจารณาเห็นกายคือลมหายใจเข้าลมหายใจ ออก การได้วิปัสสนาด้วยการมีสัมปชัญญะ ผลสำเร็จแห่งการภาวนาไวด้ ้วยการกำจัดอภิชฌาและ โทมนสั จตกุ กะนต้ี รสั ไว้ดว้ ยอำนาจสมถะและวิปัสสนา จตุกกะที่ ๒ จัดเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานตรัสการใส่ใจลมหายใจเข้าลมหายใจ ออกเป็นอย่างดีท่ีเกิดขึ้นด้วยการกำหนดรู้ปีติ สุข จิตตสังขารและการระงับจิตตสังขารว่าเป็น
๑๐๑ เวทนาชนิดหนึง่ ในเวทนาทั้งหลายทรงสงเคราะห์เวทนาทั้งหมดโดยเช่ือว่า มนสิการ จตุกกะตรสั ไว้ ดว้ ยอำนาจสมถะและวปิ ัสสนาโดยนยั ในจตุกกะท่ี ๑ จตุกกะท่ี ๓ จัดเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตรัสการกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจ ออกให้เปน็ อารมณ์ การเข้าไปตง้ั สติและสัมปชญั ญะไว้ในอารมณ์ของจิต ชื่อว่าพิจารณาเห็นจติ ใน จิตอยู่ หมายถึง การมีสติและสัมปชัญญะระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา สำหรับผู้มีสติหลงลืมไม่มี สัมปชัญญะย่อมไม่สามารถเจริญอานาปานสติได้ จตุกกะน้ีตรัสไว้ด้วยอำนาจสมถะและวิปัสสนา โดยนัยในจตุกกะที่ ๑ จตุกกะท่ี ๔ จัดเป็นธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทรงแสดงนิวรณ์คือกามฉันทะด้วยอำนาจ อภิชฌา ทรงแสดงนิวรณ์ คือ พยาบาทด้วยอำนาจโทมนัส นิวรณ์น้ีเป็นเบ้ืองต้นแห่งการพิจารณา เห็นธรรมในธรรม ๕ หมวดนั้น เป็นการเจริญอนุปัสสนา ๓ และอนุปัสสนา ๗ จตุกกะน้ี ตรัสไว้ ด้วยอำนาจวปิ สั สนา อรรถกถาและคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้อธิบายการเจริญอานาปานสติโดยใช้มนสิการวิธีมี การนับเป็นต้นเพ่ือเป็นอุบายผูกจิตไว้ สติเป็นเหมือนเชือก ลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็น เหมือนหลัก จิตเหมือนลูกวัวที่วิ่งไปมาเพราะว่าจิตมีสติเป็นเครื่องระลึกรักษาไว้ ดังน้ันสติจึงมี ความสำคัญมากในการกำหนด หากขาดสติแล้วไม่อาจยกจิตข่มจิตได้อุปจารสมาธิและอัปปนา สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ ผู้ท่ีขาดสติสัมปชัญญะแล้วย่อมไม่สามารถเจริญอานาปานสติให้สำเร็จได้ เลย เมื่อจิตต้ังม่ันอยู่ที่ลมหายใจเข้าหายใจออกดีแล้วไม่ต้องนับ ถ้าลมขาดหายไปเพราะสติและ ปัญญา ระลึกกำหนดรู้ไม่ทันไม่ต้องตกใจ ให้กำหนดตรงท่ีลมกระทบตามปกติไม่นานลมจะปรากฏ แล้วให้ทำความเพียรย่งิ ๆ ขึ้นไป เพื่อให้นิมิตเกิดข้ึนเมอ่ื นิมิตเกิดขน้ึ ย่อมข่มนิวรณ์ได้ กิเลสท้ังหลาย สงบนิ่ง สติปรากฏชัด จิตตั้งม่ันด้วยอุปจารสมาธิในอุปจารภูมิและด้วยอัปปนาสมาธิเพราะความ ปรากฏแห่งฌานที่มีกำลังพึงเว้นอสัปปะยะ ๗ เสพสัปปายะ ๗ ไม่ละอัปปนาโกศล ๑๐ เข้าออก ฌานทำให้ชำนาญ คือ เป็นวสี เพ่ือใช้เป็นกำลังเจริญวิปัสสนาเพราะว่าหากใช้ฌานเป็นบาท เจรญิ วิปัสสนาจะเจรญิ ได้ง่ายสะดวกเหน็ ไตรลกั ษณ์ ได้บรรลมุ รรคผลเร็วตรงกันข้ามหากไมไ่ ด้ใช้ ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนาจะทำให้ลำบากได้บรรลุมรรคผลช้า ดังนั้นสมาธิจึงมีความสำคัญ เพราะว่าเมื่อจิตตง้ั มน่ั เปน็ สมาธิแลว้ ยอ่ มรู้ย่อมเห็นตามความเป็นจริง๑ [๒] พระผู้มีพระภาคตรัสอานาปานสติอย่างพิสดาร ๑๖ ข้ันไว้ต้องมีสติกำหนดรู้อยู่ ตลอดทุกๆข้ัน โดยไมไ่ ด้ใช้คำบริกรรม อานาปานสติที่ถูกต้องตามพุทธพจน์ต้องเจริญ ๑๖ ขั้น คือ การเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ไปพร้อมๆกันเพราะว่าพระสมั มาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพทุ ธเจา้ พระอริย สาวก ทั้งหลายไม่มีประมาณ เข้าถึงมรรคผลนิพพานด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ อานาปานสติ กัมมัฏฐานเป็นยอดในประเภทกัมมัฏฐานเป็นกัมมัฏฐานของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ อ้างแล้ว, พระมหาสามารถ อธจิ ิตฺโต (มนัส), [รหัสแบบบนั ทกึ ๓๗/๕๔].
๑๐๒ พุทธสาวกทั้งหลายที่เจริญได้ยากไม่ใช่ว่าใครๆจะสามารถเจริญได้เน่ืองเวลาภาวนาไปยิ่งละเอียด สุขุมไปตามลำดับๆต้องใช้สติและปัญญามาก พระสารีบุตรเถระแสดงไว้ว่าเม่ือเจริญอานาปานสติ ๑๖ ข้ันได้อย่างบริบูรณ์แล้วญาณย่อมเกิดขึ้นแบ่งเป็น ๔ จตุกกะตามอารมณ์ที่กำหนดพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม ท้ัง ๔ อย่างย่อคือ“รูปและนาม”จตุกกะท่ี ๑-๓ เป็นทั้งสมถะและ วิปัสสนา จตุกกะที่ ๔ เป็นวิปสั สนาล้วน จตุกกะที่ ๑ เจรญิ ไดถ้ ึงฌาน ๔ สว่ น ๓ จตุกกะที่เหลือ มี การพิจารณาไปพร้อมๆอาศัยฌานที่ได้แล้วในจตุกกะท่ี ๑ จึงสามารถพิจารณาปีติ สุข เป็นต้น ท่ี เป็นองค์ฌานได้ ไม่ได้มีการแยกทำท่ีละหมวดๆเพราะว่าสภาวธรรมใดๆเช่น ปีติ สุข ในองค์ฌาน เป็นต้น เกิดขึ้นที่ปรากฏชัดสามารถพิจารณากำหนดไปพร้อมๆกนั เมื่อได้ฌานแลว้ ใช้ฌานเปน็ บาท เจริญวิปัสสนา คือ การเจริญอนุปัสสนา ๓ และอนุสปัสสนา ๗ อีกอย่างหนึ่งจะเจริญวิปัสสนา ล้วนๆย่อมทำได้ คือไม่มุ่งการได้ฌาน กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกใช้ขณิกสมาธิเป็นหลัก แล้วใช้ขั้นท่ี ๑๓ ๑๔ ๑๖ มาเจริญวิปัสสนาเลย คือ การเจริญอนุปัสสนา ๓ และ อนุปัสสนา ๗ เหมือนกันเมื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ เท่ากับว่าได้เจริญโพธปิ ักขิยธรรม ๓๗ ประการไปพร้อมๆกัน และเป็นวิถีทางการปฏิบัติตามอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ เมอ่ื วปิ ัสสนาญาณแก่กล้าดำเนนิ ตามวิปสั สนาวถิ ี รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ในขณะมรรคจิต สมถะและวิปัสสนาย่อมมีกำลังเสมอกันเพราะ อริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อลงเปน็ สองคือ“สมถะและวิปสั สนา”สมถะและวิปัสสนาเป็นธรรมค่กู ันท้ัง ในขณะ “มรรคและผล”เจโตวิมุตติเป็นผลของสมถะ ปญั ญาวมิ ุตตเิ ป็นผลของวิปัสสนาโพธิปกั ขิย ธรรม ๓๗ ประการรวมกนั จะสามารถบรรลุโลกตุ ตรธรรม ๙ ละสังโยชน์และอนุสยั ได้ตามกำลังของ มรรคสำเรจ็ เป็นพระอรยิ บุคคลในพระพทุ ธศาสนาย่อมไดท้ ั้งเจโตวิมตุ ติและปัญญาวิมตุ ติ ๒ [๓] อานาปานัสสติสมาธิท่ีพระสารีบุตรเถระแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคมีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวแบ่งเนื้อหาสาระเป็นส่วนที่เป็นมาติกาหรืออุทเทส คือ ต้ังบทตั้งหรือหัวข้อธรรมเพื่อ อธิบายขยายความ และส่วนท่ีเป็นนิทเทส หมายถึง การอธิบายขยายความอุทเทสตามนัยและ อรรถต่างๆอย่างพิสดาร มาต้ังเป็นคำถามและคำตอบเพ่ือให้ได้ความแจ่มแจ้ง เช่น ท่านตั้งอุทเทส แห่งอานาปานัสสติสมาธิหัวข้อข้ึนอธิบายได้เห็นชัดเจนว่า พระโยคาวจรผู้อานาปานัสสติสมาธิ อันมีวัตถุ ๑๖ เกิดญาณ บทอุทเทสที่ยกขึ้นแสดงเรียกว่า คณนวาระ แปลว่า วาระที่แสดงถึงการ นับจำนวนญาณท่ีเกิดจากการเจริญอานาปานัสสติสมาธิ พระสารีบุตรเถระ ได้นิทเทสญาณ ๒๒๐ อันเกิดจากการเจริญอานาปานัสสติสมาธิ ๑๖ ขั้นตอนในรูปแบบของการถามตอบประกอบด้วย นิทเทส ๕ ในลักษณะที่ถามเองและตอบเอง สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะบริสุทธ์ิบริบูรณ์ สิ้นเชิงสะดวกต่อการศึกษาและปฏิบัติ ถือว่าเป็นคัมภีร์แนวปฏิบัติกรรมฐานเล่มแรกใน ๒ อ้างแล้ว, พระมหาสามารถ อธจิ ิตฺโต (มนสั ), [รหสั แบบบันทึก ๓๗/๕๔].
๑๐๓ พระพุทธศาสนาและคัมภีร์อรรถกถาได้อธิบายสอดคล้องเป็นแนวเดียวกันท่ีท่านอธิบายอย่างผสม กลมกลืน๓ [๔] ความสอดคล้องของอานาปานัสสติสมาธิท่ีพระสารีบุตรอธิบายกับท่ีพระพุทธเจ้า ทรงแสดง พบว่า ท่านได้จำแนกญาณในการทำสติ(สโตการิญาณ) ด้วยอานาปานัสสติสมาธิ ๓๒ ประการ แบ่งเป็น ๑๖ คู่ ตั้งเป็นบทมาติกาเหมือนกับท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง ส่วนวิธีการอธิบาย ของท่านจะยกหวั ข้อธรรมมีท่ีมา ๓ แห่ง คอื พทุ ธภาษิต ภาษิตของพระอานนท์เถระถอื พทุ ธพจนท์ ่ี ฟังมาจากพระพุทธองค์แล้วนำมาบอกแก่ภิกษุท้ังหลายและภาษิตของท่านเอง ได้แก่ พระพุทธ พจนท์ ่ีรับฟังมาจากพระพุทธองคใ์ นโอกาสต่างๆ มาตัง้ เปน็ บทอุทเทสหรือมาตกิ าในการอธบิ ายของ ท่าน บทที่เป็นพุทธวจนะหรือภาษิตของอานนท์เถระท่าน ส่วนที่เป็นบทของท่านจะไม่อ้างไว้ ตอ่ จากน้ัน ท่านจะอธิบายขยายความในส่วนท่ีพระพุทธองคม์ ิได้ทรงอธิบายไว้ท้ังด้านอรรถและ พยัญชนะได้อย่างผสมกลมกลืนสอดคล้องกับท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อผู้ปฏิบัติศึกษาเข้าใจ อยา่ งแจม่ แจง้ แล้วจะเปน็ ประโยชน์ต่อการปฏบิ ัติของตน มีความมน่ั ใจว่าจะไม่ผดิ จากหลกั การ๔ [๕] อานาปานัสสติสมาธิพระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นพระสูตรโดยเฉพาะหรือทรงแสดงไว้ ในพระสูตรอ่ืนโดยทรงปรารภเหตุการณ์แสดงแตกต่างกันตามอุปนิสัยของผู้รับฟังแต่หลักการ สำคญั กลา่ วถงึ การสติกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก(อานาปานัสสติสมาธิ)และหลักธรรมข้อ อื่นท่ีเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันในเชิงเหตุผล ได้แก่ ทรงแสดงวิธีเจริญอานาปานัสสติ ๑๖ ข้ัน ต่อจากนั้นทรงอธิบายว่าเมื่อเจริญและทำให้มากแล้วจะเป็นปัจจัยให้เกิดสติปัฏฐาน ๔โพชฌงค์ ๗ เพื่อเข้าถึงจุดหมายสูงสุด คือ การบรรลุวิชาและวิมุตติโดยทรงแสดงหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน ต้ังแต่ระดับโลกิยะจนถึงระดับโลกุตตระผู้ปฏิบัติเม่ือศึกษาอย่างดีแล้วจะรู้และเข้าใจปฏิบัติได้ ถกู ต้องบรรลุผลตามสมควรแกอ่ ปุ นิสยั ของฅน๕ [๖] การศึกษาอานาปานสติสมาธิในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อื่นๆพบว่า อานาปานสติที่ สมบูรณ์แบบมีอยู่ในอานาปานสติสูตรในมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์เป็นกรรมฐานหรือสมาธิ ภาวนาแบบที่พระพุทธองค์ได้ปฏิบัติในราตรีตรัสรู้ จากพุทธพจน์ท่ีว่าอานาปานสติเป็นธรรมที่ เป็ น เค รื่ อ ง อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ อ ริ ย ะ เจ้ า เป็ น เค ร่ื อ ง อ ยู่ ข อ ง พ ร ห ม แ ล ะ เป็ น เค รื่ อ ง อ ยู่ ข อ ง ต ถ า ค ต (พระพุทธเจ้า)จึงเป็นข้อยืนยันว่าเป็นสมาธิแบบพุทธโดยเฉพาะประเทศไทยนิยมปฏิบัติกันมาก เพราะเป็นกรรมฐานท่ีปฏิบัติได้สะดวกทุกโอกาสเป็นกรรมฐานหรือสมาธิภาวนาแบบที่ไม่ต้องใช้ ท่าทางหรือส่ิงใดสิ่งหนึ่งเป็นเคร่ืองประกอบทุกอย่างมีอยู่ในตัว คือ ลมหายใจเข้าออกทุกคนมีอยู่ แล้ว การศึกษาอานาปานสติ ๑๖ ขั้นเพื่อประโยชน์ในการฝึกจิตให้สงบจากนิวรณ์ ในขั้นสมถ ๓ อา้ งแล้ว, เสนาะ ผดุงฉัตร, [รหสั แบบบันทกึ ๘ -๔๙ ] ๔ อา้ งแลว้ , เสนาะ ผดงุ ฉตั ร, [รหสั แบบบนั ทกึ ๘ -๔๙ ] ๕ อ้างแลว้ , เสนาะ ผดงุ ฉัตร, [รหสั แบบบันทึก ๘ -๔๙ ]
๑๐๔ กรรมฐานและฝึกจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงในกองสังขารในข้ันวิปัสสนากรรมฐาน สรุปอานาปานสติ น้ันเป็นได้ท้ังสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน การทำสมาธิภาวนาตามวิธีอานาปานสติภาวนาแล้ว เป็นการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ที่สุด ท้ังในศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่าสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว อานา ปานสติจึงเป็นคำสอนท่ีสมบูรณ์ท้ังในแง่ของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คือ ในการศึกษาเล่าเรียน เรียนรู้เร่ืองอานาปานสติในการปฏิบัติอานาปานสติและได้รับผลของการปฏิบัติคือการบรรลุ ฌานสมาบัติและมรรคผลนพิ พาน๖ [๗] แนวทางการปฏิบัติกายคตาสติกมั มัฏฐานท่ีปรากฏในคัมภีรพ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท พบว่า พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำให้ปฏิบัติไปตามลำดับ ดังน้ี ๑)ให้เร่ิมต้นจากดำรงตนอยู่ในศีล สังวรในปาฏิโมกข์ มีความประพฤติเพียบพร้อมด้วยกุศลกรรมบถ ไม่ล่วงละเมิดผู้อ่ืนทางกาย ทาง วาจาและทางใจ มีความสำรวจระวังในศีลทั้งปวงไม่เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาอาชีวะที่พระพุทธเจ้าทรง ตำหนิ ไม่เท่ียวไปยังสถานท่ีท่ีไม่สมควรเท่ียวไป ไม่คลุกคลีกับบุคคลท่ีไม่สมควรคลุกคลีด้วย และ ไม่คบหากับตระกูลท่ีไม่สมควรคบหาเป็นผู้มีปกติ เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย เป็นผู้คุ้มครอง ทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๒)ตัดปลิโพธิไม่ให้ค้างไว้ในจิตใจ ๓)เลือกสถานที่ที่เหมาะกับการปฏิบัติ กัมมัฏฐานของตน ๔)เข้าหากัลยาณมิตรผู้มีคุณสมบัติที่จะให้กายคตาสติกัมมัฏฐาน ๕)รับเอา กายคตาสตกิ ัมมัฏฐานนั้นมาปฏิบัตดิ ว้ ยหลักอิทธิบาท ๔ ในความดแู ลของอาจารย์ผบู้ อกกัมมฏั ฐาน จนกว่าจะเกดิ ความชำนาญและบรรลุเป้าหมายท่ีต้องการ ๖)ภิกษุภิกษุณี ในสมัยพุทธกาลผู้บรรลุ อรหัตผลมักจะปฏิบัติกายคตาสติเป็นมรรคทั้งส้ินท่ีปรากฏเป็นข้อความชัดเจนในพระไตรปิฎก ได้แก่ พระมหากัสสปะเถระพระราหุลเถระ ภกิ ษุณี มารดาของพระกุมารกสั สปเถระ พระโสณาเถรี พระสุเมธาเถรี เปน็ ตน้ ๗ [๘] กายคตาสติ เป็นหนึ่งในอนุสสติ ๑๐ ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ดงั นี้ กายคตาสติท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ คัมภีร์พระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถ กถา คัมภีร์วิสทุ ธิมรรคและคัมภีรอ์ ่ืนๆพบว่า ๑)พุทธบริษัทผู้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันล้วน มีความแตกต่างกันท้ังในด้านร่างกายและจิตใจ ลักษณะท่ีสำคัญ คือ จิตใจ เป็นองค์ประกอบของ พฤติกรรมท่ีพทุ ธบริษัทแสดงออกและจะพัฒนาจิตเพ่อื บรรลุคุณวิเศษได้ในระดับใดดว้ ยเวลาเท่าใด หรือไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษได้ในภพน้ีข้ึนอยู่กับกำลังอินทรีย์ ๕ มีศรัทธากัลยาณมิตร ใครค่ รวญพิจารณาในคลองธรรม การเลือกวิธีปฏบิ ัติกรรมฐานทเี่ หมาะกบั จรติ ของตน ความเพียร และอุปนิสัยในการบรรลุธรรม ๒)คำว่า“กาย”พระพุทธเจ้าตรัสเรียกด้วยพระโวหารต่างๆเพ่ือให้ เหมาะสมแกโ่ อกาสและอธั ยาศัยของเวไนยสตั ว์ที่ทรงแสดงธรรมและตรัสสนทนาด้วย คำว่า“กาย” ความหมาย ๓ ประการ ๑)“กาย”แปลว่าท่ีประชุมแห่งของอันน่าเกลียดอย่างย่ิง คือ รูปกาย ๖ อ้างแล้ว, ฐติ ริ ัตน์ รักษใ์ จตรง, [รหัสแบบบันทกึ ๗-๔๘]. ๗ อา้ งแลว้ , ทัสนี วงศ์ยืน, [รหัสแบบบนั ทึก ๑๑–๕๐].
๑๐๕ ทั้งหมดเป็นท่ีประชุมของอาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ๒)“กาย”แปลว่า หมู่ หมายความ ว่าอวัยวะน้อยใหญ่ท้ังหลายมารวมกันเป็นหมวดหมู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ในรูปกายน้ีทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีหมู่จิตเจตสิก รูป มาเกิดรวมกันอยู่ในกายน้ีอีก กายจึงได้ช่ือว่าเป็นเมืองๆหน่ึง เรียกว่า กายนคร แปลว่า เมืองกาย ๓)“กาย”แปลว่า ทอง หมายความว่า เม่ือจิตเจตสิก รูป มา รวมกันอยู่ในท่ีน้ีแล้วเกิดเป็นกายสิทธิได้จะแสวงหามนุษยสมบัติได้ เช่น บุคคลจะม่ังคั่งสมบูรณ์ ดว้ ยปัจจัย ๔ มเี ครื่องนุ่งห่มเคร่ืองอปุ โภคบริโภคที่อยู่ที่อาศยั ยาแก้ไขต้ ่างๆจะมีเงินมีทองมากมาย ก่ายกองเท่าไรต้องอาศัยสกลกายนี้ทั้งหมดรวมความว่าจะบริบูรณ์พูนสุขด้ว ยสมบัติภายนอกทุกๆ อย่างต้องอาศัยสกลกายทั้งหมด ๓)กายคตาสติและกายานุปัสสนา คือ เป็นการปฏิบัติธรรมเพ่ือ พัฒนาสติโดยใชส้ ติพิจารณากายเป็นอารมณ์ ต้ังแตเ่ ลือกสถานทีป่ ฏิบตั ิเปน็ ท่ีสงบสงัด ปราศจาก สิง่ รบกวน เป็นต้นปรากฏในกายคตาสติสูตรมี ๖ แบบอธิบายขยายความถึงการพิจารณากำหนด ลมหายใจเข้าออก พิจารณาอิริยาบถของกายพิจารณารู้ตัวในความเคล่ือนไหวพิจารณาความ น่าเกลียดของร่างกาย แบ่งเป็นส่วนย่อยต่างๆพิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุและพิจารณา ร่างกายที่เปน็ ซากศพและทรงแสดงการเจรญิ ในฌานตา่ งๆกายคตาสตทิ ีท่ รงแสดงในพระสูตรตา่ งๆ เป็นการแสดงตามอัธยาศัยของบุคคลท่ีพระองค์ทรงประสงค์จะแสดงธรรมบางพระสูตรตรัสไว้ อย่างย่อโดยข้ันตอนระหว่างกลางไม่ได้ทรงแสดงไว้ในที่น้ันด้วยเน่ืองจากทรงแสดงไว้แล้วในพระ สตู รอื่นหรอื ไม่จำเป็นต้องแสดงละเอียดทงั้ หมดในขณะนน้ั ทุกสตู รย่อมไม่มกี ารขัดแย้งกนั ๘ [๙] การปฏิบัติกายคตาสติกรรมฐานประกอบด้วยการปฏิบัติ ๔ ตอน ตอนแรกเป็นข้ัน เตรยี มการคอื การเลือกสถานท่อี ันสมควรการตดั ปลิโพธิ การเลือกหาอาจารย์ผเู้ ป็นกลั ยาณมติ ร การเป็นผ้ไู ม่เกียจคร้านเป็นผู้มีศลี มจี ิตบรสิ ทุ ธ์ิ ตอนสอง เร่มิ ลงมอื ปฏบิ ัติด้วยการน่ังขดั สมาธิ ต้ัง กายตรง ดำรงจิตให้มั่น เจริญอานาปานัสสติ ตั้งสติสาธยายอาการ ๓๒ ด้วยความเพียร มีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ เกิดจิตเป็นสมาธิม่ันคงมีอารมณ์หน่ึงเดียวอดทนต่อความร้อนหนาวอดกลั้นต่อ ทุกขเวทนา ตอนสามกำหนดพิจารณาอาการ ๓๒ เปน็ ส่วนๆแล้วกำหนดพิจารณารา่ งกายเป็นธาตุ ๔ เจริญอสุภสัญญาเห็นความไม่สวยงามน่ารังเกียจเป็นส่ิงปฏิกูลทำให้เกิดความเบ่ือหน่ายอย่าง ท่ีสุดคลายกำหนัดละราคะดับกิเลสหมดสิน้ ตอนสุดท้ายเม่ือจิตหลุดพ้นจากอาสวะด้วยปัญญา ให้ พจิ ารณาเหน็ ความเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไปเป็นความไมเ่ ที่ยงเป็นทกุ ข์เปน็ อนัตตา เข้าถึงความเป็น อมตะ คือ นิพพาน การพฒั นาสติตามหลกั กายคตาสติกรรมฐานเบอ้ื งต้นของการฝกึ กำหนดสติไว้ ทีล่ มหายใจบ้าง พองยุบบ้างกายบ้าง อริ ิยาบถการเคล่ือนไหวบ้าง ความนึกคิดบ้างคำบริกรรมบ้าง เป้าหมายของการภาวนา คือ การพัฒนาสติ อาการของสติ คือ เมื่อระลึกได้จะเกิดสภาวะรู้ ต่นื เบกิ บาน เมอื่ เราฝึกใช้สตเิ ฝา้ ดกู าย จะเห็นความรู้สึกและความคดิ หรือเมอ่ื เราฝึกใช้สติเฝา้ ดู ความคิดจะเห็นกายและความรู้สึก ฉะน้ัน กาย เวทนา จิต ธรรม จึงเป็นหน่ึงเดียวในเบื้องต้น ๘ อา้ งแล้ว, พระครนู ิวิฐสาธุวตั ร (ทองล่ำ ยโสธโร), [รหสั แบบบันทกึ ๒๒–๕๔ ].
๑๐๖ ของการฝึกปฏิบัติจำเป็นต้องฝึกปฏิบัติเฝ้าดูทีละอย่างแต่เม่ือสติเร่ิมตั้งม่ันแล้วสามารถฝึกสติ เฝ้าดูกาย เวทนา จิตและธรรมไปพร้อมๆกัน ฉะนั้นผู้ปฏิบัติที่ฝึกปฏิบัติมาพอสมควรแล้ว ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ว่าจะต้องกำหนดอะไรก่อนหลังหรือมีกฎเกณฑ์ว่ากำหนดแต่อิริยาบถอย่าง เดียวหรือกำหนดเฝ้าดูจิตหรือความคิดอย่างเดียวแต่ควรจะได้พัฒนาสติให้สามารถรู้ตัวท่ัวพร้อม จนถึงรู้ทั่วถึงคือ ให้รู้ทุกอย่างทั้งกาย เวทนา จิต และธรรมไปพร้อมๆกันเบ้ืองต้นเมื่อฝึกกำหนด รู้อยู่ท่ีอารมณ์เดียวได้สติในระดับหน่ึงพอสามารถกำหนดรู้มากอย่างหรือหลายอย่างมาก ขึ้นสติจะ ยิ่งพัฒนาได้มากยิ่งข้ึนจนในที่สุดไม่ต้องกำหนดแต่สามารถรู้ได้แบบท่ัวถึงคือเห็นกาย เวทนา จิต และธรรมไปพร้อมๆกัน คือการพัฒนาสติให้เข้มแข็งและให้ว่องไว เมื่อเห็นได้ทั่วถึง จิตจะเข้าสู่ ภาวะเปน็ กลางๆและเริม่ คลายความยึดมั่นหรอื ผูกพันในรา่ งกาย จติ เร่ิมเปน็ อิสระและเกิดภาวะ ต่ืน รู้ และเบิกบานอยู่เสมอ อย่างนี้ คือการฝึกสติที่มีการพัฒนาจากเริ่มต้นรู้จากการกำหนด อย่างเดยี ว จนกระทั่งมีสติร้ใู นการกำหนดหลายแบบหลายอย่างและสามารถสลับไปสลับมาได้ จนทำให้การรู้นั้นกว้างขวางขึ้นและเป็นธรรมชาติข้ึน จึงสามารถท่ีจะดำรงสติต่อเน่ืองได้ง่ายใน การดำเนินชีวิตประจำวันเทคนิคของการสลับไปสลับมาของสติ จึงควรนำไปฝึกเพ่ือให้สติต้ังมั่น และพัฒนาขึ้นต่อเนื่องข้ึนและใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นธรรมชาติ การกำหนดในการฝึกสติ คือสมาธิ และการกำหนดในการฝึกสมาธิ คือสติปัญญาเกิดจากการรอบรู้และรู้รอบของสติ สมถะ ท่ีเป็นบาทของวิปัสสนา คือ การเจริญกายคตาสติฝ่ายสมถกรรมฐานจนได้ฌานแล้ว จิตอาจมี ความสุขมีความสงบ นิวรณ์ท้ังหลายระงับไปจริง เป็นเช่นน้ีเพราะว่าถูกสมาธิข่มไว้แต่กิเลส ท้ังหลายโดยเฉพาะสังโยชน์ท้ัง ๑๐ ยังอยู่ครบหมดทุกประการเม่ือเจริญสมถะจนได้ฌานต้ังแต่ ปฐมฌานจนถึงอากิญจัญญายตนฌานแล้วใช้สมาธินั้นเป็นบาทฐานเพ่ือเจริญวิปัสสนาต่อไปคือ เม่ือจิตเป็นสมาธิดีแล้วจากน้ันพิจารณาสมถะหรือสมาธิกับท้ังสิ่งอ่ืนๆท้ังหมดที่ประกอบร่วมกั บ สมาธิ ให้เห็นสภาวะท่ีเป็นของไม่เท่ียงเป็นต้นจนอริยมรรคเกิดข้ึนโดยจะอยู่ในฌานแล้วเจริญ วิปัสสนาหรือออกจากฌานแล้วเจริญวิปัสสนาได้แต่ถ้าฌานสูงสุดคือ เนวสัญญานาสัญญายตน ฌาน และสัญญาเวทยิตนิโรธ(นิโรธสมาบัติ)ต้องออกจากฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาได้ ดังนั้น สมาธิท่ีเป็นบาทฐานของวิปัสสนาจึงเป็นสมาธทิ ่ีเลิศประเสริฐสุดเพราะชว่ ยให้บรรลธุ รรม หรือช่วย ใหป้ ัญญากำจดั กิเลสหลดุ พน้ ได้ เรยี กว่าสมาธทิ ่ีเป็นองค์มรรคหรอื สมาธใิ นมรรค(มัคคสมาธิ) สมาธิ ประเภทน้ีเรียกว่า อานันตริกสมาธิ แปลว่า สมาธิที่ให้ผลต่อเนื่องในทันที คือทำให้บรรลุอริยผล ทันทีไม่มีอะไรค่ันหรือแทรกระหว่างได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัทให้เจริญกายคตาสติ กรรมฐานเพ่ือการอบรมจิตให้มีอารมณ์เดียว(มีสมาธิ)ด้วยการมีสติมั่นอันเป็นการพัฒนาสติไปใน ตัวด้วย พิจารณาความไม่งามความเป็นส่ิงปฏิกูลและความแปรผันของสังขาร ให้เกิดความเบื่อ หน่ายคลายกำหนัด ทำใหร้ าคะดับไม่ฟงุ้ ซ่านก้าวพ้นตัณหา และได้ตรสั ว่า ภกิ ษุผู้เจรญิ กายคตาสติ มาก ย่อมมีกายและจิตสงบ เกิดกุศลธรรม ละอกุศลธรรม ละความสำคัญในตน ถอนอนุสัย ละ
๑๐๗ สังโยชน์ มีความแตกฉานในปัญญาและธาตุ บรรลุอมตธรรม เพ่ือประโยชน์อย่างย่ิง คือ นิพพาน กายคตาสตเิ ปน็ ธรรมอนั เปน็ เอก เป็นมรรคแหง่ วิปสั สนาและเปน็ สง่ิ ที่ภิกษุพงึ ปฏิบตั ิ เพือ่ ท่ีจะไมท่ ำ ให้การถวายบิณฑบาตของชาวบา้ นสูญเปล่า พุทธบริษัทผู้ปฏิบัติกายคตาสติกรรมฐานย่อมอยู่เป็น สขุ ในปัจจุบนั ด้วยฌานไดญ้ าณทัสสนะไดใ้ นส่งิ ที่ต้องการโดยไม่ยากลำบาก เป็นผู้มีจติ มนั่ คงไมถ่ ูก ครอบงำด้วยความยินดีความไม่ยินดีส่ิงท่ีเป็นภัยอนั ตรายหรือความหวาดกลัว แสดงฤทธิ์ให้ปรากฎ ได้มีหูทิพย์ตาทิพย์ ระลึกชาติได้และมีปัญญาหลุดพ้นจากกิเลส และกองทุกข์ได้ อานิสงส์ของการ เจริญกายคตาสติกรรมฐานพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอานิสงส์ คือ ผลพึงได้รับจากการปฏิบัติ กายคตาสตกิ รรมฐานอยา่ งมั่นคงสม่ำเสมอว่า กายคตาสติอันภกิ ษุเสพแล้วโดยมากเจริญแล้วทำให้ มากแล้วทำให้เป็นดุจยานแล้วทำให้เป็นพื้นท่ีต้ังแล้วให้ดำรงอยู่เนืองๆแล้วอบรมแล้วปรารภ สม่ำเสมอแล้วพึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการคือมีเป็นผู้อดกลั้นต่อความไม่ยินดีและความยินดีได้ ไมถ่ ูกความไมย่ ินดีครอบงำยอ่ มครอบงำความไม่ยนิ ดีที่เกิดขึ้นแล้วได้ เป็นต้น๙ [๑๐] หลักปฏิบัติสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร คือ คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา คมั ภีร์วสิ ทุ ธิมรรค พบวา่ การเจริญสติปฏั ฐานไปตามหลักปฏิบัตสิ ัมปชัญญะเป็นวธิ ีปฏิบัติธรรมท่ี นิยมกันมากและยกย่องนับถือกันอย่างสูงถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว ผู้ปฏิบัติอาจ เจริญสมถะจนได้ฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาแนวทางนี้ไปจนถึงที่สุดได้หรือจะอาศัยสมาธเิ พียง ขั้นต้นๆ ระดับขณิกสมาธิ มาประกอบเจริญวิปัสสนาเป็นตัวนำตามแนวสติปัฏฐานน้ีไปจนถึงท่ีสุด ได้ แนวการปฏิบัติสัมปชัญญะ หมวดกายานุปัสสนาในอิริยาบถต่างๆคือ การตามรู้อิริยาบถ ปลีกย่อย ควบคู่กับอิริยาบถใหญ่ ได้แก่ การก้าว การถอย การคู้ การเหยียด การขบฉัน ดื่มน้ำ เคี้ยว ลิ้มรสอาหาร หรือการขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ต้องกำหนดรู้ ขณะเดิน ยืน นั่ง หรือ นอน ตื่น พูด จนที่สุดแม้ขณะน่ิง แนวการปฏิบัติสัมปชัญญะในอิริยาบถใหญ่ ประกอบด้วย เดิน ยืน น่ัง และนอน ขณะเดิน ยืน นั่ง และนอนนั้น ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรับรเู้ พียงอาการต่างๆที่ปรากฏ เทา่ น้ัน เพราะไมม่ ีส่วนไหนเลยทีเ่ ป็นร่างกายเราเป็นตัวตนของเราหรือเป็นของๆเรามแี ต่รูปกบั นาม เท่านั้น เมื่อกำหนดได้ดังน้ีแล้วจะสามารถกำจัดความยืดม่ันถือมั่นในเรื่องตัวตนท่ีเรียกว่า สกั กายทฎิ ฐิ ได้มากท่ีสดุ ทำใหผ้ ู้ปฏบิ ัติมปี ัญญาประจกั ษ์แจ้งลักษณะ ๓ ประการ คือ อนิจลกั ษณะ ทกุ ขล์ ักษณะ และอนตั ตลักษณะ เป็นเปา้ หมายของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและจะได้รับผล จากการปฏิบัติกรรมฐานมีผลานิสงค์มากมายแนวการปฏิบัติสัมปชัญญะในอิริยาบถย่อยคือการ ตามรู้อริ ิยาบถย่อย เช่น เม่ือก้าวไปขา้ งหน้า พึงตามรู้อาการก้าว เม่ือแลดูเหลียวดูหรือเหน็ สิ่งใดส่ิง หนึ่งพง่ึ ตามรู้อาการดู เม่ือคู้หรือเหยียบร่างกายพึงตามรู้อาการคู้และอาการเหยียด ในเวลาเปลี่ยน ผ้าสังฆาฏิจีวร พึงตามรู้อาการน้ันๆ ในเวลาถือบาตร พึงตามรู้อาการถือ ในเวลาฉัน ดื่ม เค้ียว ลิ้ม รส พึงตามรู้อาการเหล่าน้ันตลอดเวลามิให้ขาดสายดุจสายน้ำไปไหลไปฉะน้ันสัมปชัญญะ ๔ เป็น ๙ อา้ งแลว้ ,พระครนู ิวิฐสาธุวัตร (ทองล่า ยโสธโร), [รหัสแบบบันทกึ ๒๒–๕๔ ]
๑๐๘ คำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์กล่าวถึงความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ๔ ประการ คือ ๑)สาตถก สัมปชญั ญะรู้ชดั ว่ามีประโยชน์หรอื ไม่ ๒)สปั ปายสัมปชัญญะรู้ชัดว่าเป็นเร่ืองที่สะดวกสบายหรือไม่ ๓)โคจรสมั ปชญั ญะรู้ชัดวา่ เป็นโคจรหรอื ไม่ ๔)อสัมโมหสมั ปชัญญะรู้ชัดว่าไม่หลง๑๐ [๑๑] เร่ืองระบบหนอคำบาลีในพระไตรปิฎก เช่น“อญฺาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ” พระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ภาษาพม่าใช้คำว่า“แด่”การเดินจงกรมท่านประยุกต์มาจาก พระบาลีว่า “ภิกฺขุ คจฺฉนฺโต คจฺฉามีติ ปชานาติ”ภิกษุเม่ือเดินร้วู ่ากำลังเดิน ส่วนการกำหนดพอง ยุบเป็นเพียงอุบายวิธี ท่ีวิปัสสนาจารย์สอนให้กำหนด เพ่ือให้รู้ธาตุต่างๆ ท่ีอยู่ในร่างกาย การ กำหนด “พองหนอ-ยุบหนอ” คำว่า“พอง-ยุบ”เป็นการกำหนดของวาโยธาตุ(ธาตุลม)เป็นหนึ่งใน มหาภูตรูป๔ อยู่ในหมวดธาตุมนสิการปัพพะ การอธิบายแบบนี้น่าจะถูกต้องตรงกับความจริง เพราะลักษณ์ของวาโยธาตุ คือ เคร่งตึง อาการพองจะมีลักษณะตึงมากกว่าอาการยุบและใน สภาวะท่ีแท้จริงเกิดจากลมในชอ่ งทอ้ งคอื ลมหายใจท่ีทำให้เกิดอาการ“พอง-ยุบ” ดังที่พระพทุ ธเจ้า ได้ตรัสไวใ้ นกายานุปสั สนา ธาตมุ นสกิ ารปัพพะวา่ ดูก่อนภิกษุทง้ั หลายข้ออื่นยังมอี ยู่ ภิกษุพิจารณา ดกู ายน้ี แหละตามที่ตั้งอยู่โดยความเป็นธาตุว่า ในกายน้ี มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อาการ พอง-ยุบ เป็นเพียงอุบายวิธีท่ีผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานใช้กำหนดรู้เป็นอาการท่ีจิตสามารถรู้ได้ ชดั เจนมากกว่าอารมณ์อ่ืนๆและมกี ารเกดิ ขึ้นต่อเนื่องกัน ตลอดเวลาที่ยังมกี ารหายใจเป็นปัจจัยให้ สมาธเิ กิดงา่ ยข้ึน สว่ นธาตุตา่ งๆ ได้แก่ ปฐวีธาตุ(ธาตุดิน) มีลกั ษณะแข็งและอ่อน เตโชธาตุ(ธาตุไฟ) มลี ักษณะอุ่นหรอื เย็นและอาโปธาต(ุ ธาตุนำ้ )มีลักษณะเกาะกุมเอบิ อาบมีอยู่ในร่างกายให้เรารู้สึกได้ เป็นอารมณ์กรรมฐานได้เช่นกัน ถ้าอารมณ์ใดปรากฏชัดจะต้องกำหนดรู้อารมณ์น้ันๆ ในการ กำหนดอาการพอง-ยุบ ให้ใช้จิตกำหนดอย่าใช้ปากกำหนดอาการไหวขึ้นลงของท้องที่ปรากฏ ในขณะกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ”จนเห็นสภาพความเคลื่อนไหวของรูปท้อง ตรงกับท่ี พระพุทธเจ้าตรสั ไว้ในสังยุตตนิกายว่า ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจงเอาใจใส่กำหนดรูปให้ดี พยายาม จับเอาความไม่เท่ียงของรูปให้จงได้ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุย่อมกำหนด รูปท่ีไม่เที่ยงอยู่แล้ว นั้นแหละว่า เป็นของไม่เท่ียง การกำหนดของภิกษุนั้นย่อมเป็นสัมมาทิฎฐิ ความเห็นท่ีถูกต้องโดย แท้ การกำหนดอาการพองหนอ-ยุบหนอ เช่นนี้จัดเข้าในขันธัมมานุปัสสนา ท่ีมาในมหาสติปัฏ ฐานสูตรและยังตรงกับข้อความในพระไตรปิฎกหลายแห่ง เช่น ในสังยุตตนิกายว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอท้ังหลายจงเอาใจใส่กำหนดอารมณ์ท่ีมากระทบโดยแยบยลและจงกำหนดความไม่เที่ยงของ อารมณ์น้ันด้วย ภิกษุทั้งหลายหากภิกษุกำหนดเห็นอารมณ์ที่มากระทบว่า เป็นของไม่เท่ียง สัมมาทิฎฐิเกิดข้ึนแก่เธอ ในสังยุตตนิกาย ว่า ผู้ท่ีสามารถกำหนดรู้แจ้ง สามารถคลายกำหนัด สามารถละโผฎฐัพพารมณ์ในสังยุตตนิกาย ว่าผู้ท่ีเห็นอาการไม่เท่ียง ของ โผฎฐัพพารมณ์ได้ เป็นผู้ ๑๐ อ้างแล้ว,พระมหาสิงห์หน สิรินฺธโร (ฉิมพาล)ี , [รหสั แบบบันทกึ ๑๗-๕๓].
๑๐๙ สามารถละอวิชชาได้ ในการกำหนดจัดเข้าในอายตนธรรมานุปัสสนาท่ีมาในมหาสติปัฏฐาน สูตรนอกจากน้ียังตรงกับข้อความแห่งธาตุเทสนา เป็นต้นว่า วาโยธาตุภายในกายดี วาโยธาตุ ภายนอกกายดี มีอยู่ วาโยธาตุเหล่านั้นท้ังหมด คือว่าโยธาตุน้ันแหละ (ภิกษุ) พึงกำหนดวาโยธาตุ นั้นให้เหน็ ตามความเปน็ จริงวา่ นี้ไม่ใช่ของเรา น้ีไมใ่ ชอ่ ตั ตาตัวตนของเรา การกำหนดจัดเข้าในธาตุ มนสกิ ารกายานุปสั สนา มาในมหาสติปฏั ฐานสูตร นอกจากวาโยธาตุแล้วรูปที่พองและยุบของหน้า ท้องเป็นทุกขสัจ คือ รูปปาทานขันธ์ตรงกับข้อความแห่งสัจจเทสนาว่า ภิกษุท้ังหลายทุกขสัจเป็น ไฉน? พงึ ตอบว่าได้แก่ขันธ์ ๕ ในมหาสติปัฏฐานสูตรภิกษทุ ้ังหลายทุกขอรยิ สัจอนั ภิกษุพงึ กำหนดรู้ การกำหนดเช่นนี้จัดเข้าในอริยสัจจธัมมานุปัสสนา เท่าที่ยกข้อความในพระไตรปิฎกมาทั้งหมดนี้ เป็นการยืนยันว่า การกำหนดอาการพองหนอยุบหนอน้ันถูกต้องตามคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถ กถา สำหรับคำว่า “พองหนอ-ยุบหนอ”ในพระไตรปฎิ กไมไ่ ด้กล่าวไว้เพียงแต่พระพุทธองค์ตรัสว่า เม่ือผู้ปฏิบัติน่ังอยู่ รู้ว่านั่งอยู่เป็นการตรัสแบบกว้างๆ ผู้ปฏิบัติที่ไม่สามารถรู้อาการพองยุบได้ อาจ กำหนด“นั่งหนอ” “ถูกหนอ” ถือว่าเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ในการกำหนด ถ้าอาการพอง-ยุบ ชัดเจนกว่าควรกำหนด อาการพอง-ยุบแทน เพราะจับอารมณ์ได้ง่ายและสมาธิเกิดขึ้นเร็ว การ เดินจงกรมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแนวการสอนกรรมฐานของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ท่านเน้นการเดินจงกรมควบคู่กับการน่ังกรรมฐาน การเดินจงกรม คือ การ เดินธรรมดาโดยมีสติคอยกำหนดอยู่ตลอดเวลาเป็นการกำหนดสติท่ีรปู กายอันเป็นอิริยาบถหน่ึง ในอิริยาบถท้ัง ๔ คือ อิริยาบถปัพพะในกายานุปัสสนา มีในพระไตรปิฎกว่า“เม่ือภิกษุผู้ปฏิบัติเดิน อยู่ รู้ว่ากำลังเดินอยู่” ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้กว้างๆ ถึงการมีสติรู้ว่า กำลังเดิน แต่คำสอนของ พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้สอนการเดินจงกรมไว้ ๖ ระยะโดยจะสอนให้เดินและน่ังใช้เวลาเท่ากัน ในเบื้องต้นเพื่อปรับความสมดุลของวิริยะกับสมาธิให้เท่าเทียมกัน เม่ือผู้ปฏิบัติกำหนดรูปนามได้ ทันปัจจุบัน พระอรรถกถาจารย์จึงได้อธิบายวิธีท่ีพระพุทธเจ้าตรัสให้ง่ายต่อการปฏิบัติ อธิบาย การเดินจงกรมอย่างละเอียดในคมั ภีร์ อรรถกถา เช่น“การเดินจงกรมนับแบ่งเท้าก้าวออกเปน็ ๖ ระยะ”สามารถเปรยี บไดก้ ับการเดินจงกรมแบบการสอนของพระธรรมธรี ราชมหามนุ ี ดังน้ี (๑)การ ยกเท้าข้ึนจากพ้ืน(อุทฺธรณ์ นาม ปาทสฺส ภูมิโต อุกฺเขปนํ) ชื่อว่า อุทธรณะ เทียบได้กับ“ยกส้น หนอ”(๒)การย่ืนเท้าไปข้างหน้า (อติหรณํ นาม ปุรโต หรณํ) ช่ือว่า อติหรณะ เทียบได้กับ (ยก ปลายเท้าข้ึน) (๓)เม่ือผู้ปฏบิ ัติเห็นตอหนาม หรอื งูเป็นต้น อย่างใดอย่างหน่ึง แลว้ ย้ายเท้าไปข้างนี้ และข้างนี้ (วิติหรณํ ขานุกณฺฏกทีฆชาติอาทีสุ กิญฺจิเทว ทิสฺวา อิโต จิโต วปาทสญฺจนํ นาม) เรียกว่า วิติหรณะ เทียบได้กับ“ย่างหนอ”(ย่างเท้าไปข้างหน้า) (๔)เม่ือลดหยอ่ นเท้าให้ตำ่ ลงกับพ้ืน (โวสฺสชชฺ นํ นาม ปาสฺส โอโรปนํ) เรยี กว่า โวสัชชนะ เทยี บไดก้ บั “ลงหนอ”(ลดระดบั เท้าลงแต่ยังไม่ ถงึ พน้ื ) (๕)เมอ่ื วางเทา้ ลงทพ่ี ้ืนดิน(สนฺนิเขปนํ นาม ปฐมวติ เล ฐปนํ) เรียกว่า สนั นิ เขปนะ เทียบได้ กับ“ถูกหนอ”(ปลายเท้าแตะพ้ืน) (๖)ขณะเท้าก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหน่ึงกดเท้าอีกหน่ึงไว้กับพื้น
๑๑๐ (สนฺนิรุมฺภนํ นาม ปุน ปาทุทฺธรณกาเล ปาทสฺส ปฐวิยา สทฺธึ อภินิปฺปีฬนํ) เรียกว่า สันนิรุมภนะ เทยี บไดก้ บั “กดหนอ”(วางเฉพาะสน้ ทางลง)๑๑ [๑๒] พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) สอนการเดินจงกรมตามแบบอรรถกถา มากกว่าในพระไตรปิฎก อาจจะด้วยเหตุผลท่ีว่าการเดินจงกรมในพระไตรปิฎกเป็นทฤษฎีที่ตรัส ไว้แบบกว้างๆคนที่เกดิ ภายหลังไม่ทราบพุทธาธิบายจึงต้องอาศัยการตีความของพระอรรถกถา จารย์ผู้รู้การอธิบายของพระพุทธเจ้าเป็นหลักอย่างไรตามแม้ว่าการเดินจงกรมในพระไตรปิฎกกับ อรรถกถาจะมีความแตกต่างกันในเรื่องวิธีการปฏิบัติแต่จะไม่แตกต่างกันเลยในเร่ืองของ “สาระสำคัญ”ดังน้ันพระธรรมธีรราชมหามุนีหรือแม้แต่พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าสายมหาสีสะ ยาดอต่างจะอธิบายว่า ความสำคัญของการเดินจงกรม มิได้อยู่ท่ีระยะเดียวหรือเพิ่มระยะ มาก ขึ้น แต่อยู่ที่กำหนดสติกับอาการเคล่ือนไหวของเท้าเป็นสำคัญ เช่น ขณะที่เดินอยู่ไม่ว่าระยะใด คอยกำหนดสตใิ ห้ทนั ปัจจบุ ัน อาการทีเ่ ท้าเคลอ่ื นไหวไป กับสติที่กำหนดการให้ทันกันพอดี ไม่กอ่ น หรือไม่หลัง การปฏิบัติเช่นน้ี จึงจะทำให้การเดินจงกรมได้ผล ในทางตรงข้ามกันแม้ว่าผู้ปฏิบัติจะ พยายามเดินระยะสูงๆ เช่น ระยะที่ ๔-๕-๖ แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถกำหนดอาการเคล่ือนไหวของ เท้าทันปัจจุบันได้ การปฏิบัติวิปัสสนาไม่สามารถเกิดสัมฤทธ์ิผลได้เลย ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงไม่ต้อง กงั วลว่า“จะเดนิ ตามหลักพระไตรปฎิ กหรืออรรถกถา”เพียงแต่การเดินจงกรมน้ันตอ้ งประกอบดว้ ย องค์ ๓ คือ อาตาปี(ความเพียร) สติมา(ความมีสติระลึกเสมอ) สัมปชาโน(ความรตู้ ัวท่ัวพรอ้ ม) เปน็ การปฏบิ ตั ถิ กู ตอ้ งตามหลกั พระไตรปิฎกและอรรถกถา๑๒ [๑๓] สังขารุเปกขาญาณ เป็นญาณลำดับท่ี ๑๑ ในโสฬสญาณเป็นผลมาจากการเจริญ วปิ ัสสนา คือ ปัญญาอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร หมายความว่า เม่ือพิจารณาสังขาร ซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริงว่ามีความเป็นอยู่ไปของมัน อย่างน้ันเป็นธรรมดาจึงวางใจเป็นกลางได้ ไม่ยินดียินร้าย ในสังขารท้ังหลาย แล้วยึดเอาพระ นพิ พานเป็นสันติบท จึงพยายามมุ่งไปยังพระนิพพาน เลิกละความเก่ียวเกาะยินดียินร้ายในสงั ขาร เสียได้ สภาวะลกั ษณะที่ถึงที่สดุ ของสังขารุเปกขาญาณ คือ (๑)เม่ือพิจารณาสงั ขารซ้ำแลว้ ซ้ำอีก จึงละความกลัวละความยินดีเสียได้มีใจวางเฉยอยู่กับรูปนาม (๒)เมื่อพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่ยึดมั่นถือม่ันรูปนามว่าเป็นของเรามีอุปมาเหมือนกันกับบุรุษที่หย่าขาดจากภริยาแล้ว ย่อม หมดความยินดียินร้ายในภรรยาน้ัน (๓)เม่ือพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเกิดมีสติสัมปชัญญะรู้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตย่อมไม่หวนกลับ ไม่วกไม่เวียน ไม่ซ่านไปในภพ ๓ กำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐติ ิ ๗ สัตตาวาส ๙ คงเหลืออยูแ่ ต่ความวางเฉยในรูปนามหรือเห็นรปู นามเป็นปฏิกลู (๔) เม่อื พิจารณา สังขารซ้ำแลว้ ซ้ำอกี จึงเกิดมีสติต้ังมัน่ สติมกี ำลงั แกก่ ล้าปรากฏแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ๑๑ อา้ งแล้ว,พรรณราย รัตนไพฑูรย,์ [รหสั แบบบนั ทึก ๒/๔๔]. ๑๒อา้ งแล้ว , พรรณราย รตั นไพฑรู ย,์ [รหัสแบบบนั ทกึ ๒/๔๔].
๑๑๑ ไม่มีอุปมาเหมือนกับไฟฟ้าที่มีแรงเทียนสูงย่อมให้แสงสว่างมากดูอะไรเห็นได้ชัดเจนไม่มีความมืด ฉันน้ัน ดังน้ันจึงมีความวางเฉย (๕)เมื่อพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงเกิดไม่ยึดมั่นถือไม่ถือมั่นไม่ ผกู พนั ไม่เกาะเกี่ยวไม่กำหนัดพอใจในรูปเสียง กล่ิน รส จงึ ปรากฏแต่ความวางเฉย(๖)เม่ือพิจารณา สงั ขารซำ้ แล้วซ้ำอีกจงึ ไม่รบั บัญญัติไวเ้ ป็นอารมณ์คือไม่รับวา่ เบญจขันธเ์ ป็นของเที่ยง เปน็ สุข เป็น ตัวตน เพราะมีสติปัญญาพิจารณาเห็นแน่ชัดแล้วว่า เบญจขันธ์เป็นอสุภะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัญญาวิปัลลาสจึงหายไปไม่เข้าใจผิดและไม่หลงติดอยู่ใจจึงมีแต่ความวางเฉยในรูปนาม (๗)เม่ือ พจิ ารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงเกิดไมส่ ่ังสมทุกข์ไว้มีแต่ความพยายามตัดรากของทกุ ข์ใหห้ มดไปให้ สลายไป ใจวางเฉยในรูปนาม (๘)เม่ือพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเกิดรูปนามว่าเป็นภัย เป็น ทุกข์เป็นโทษ เบื่อหน่าย อยากหลุดพ้นใจเข้มแข็งและวางเฉย (๙)สังขารุเปกขาญาณยิ่งนานยิ่ง ละเอียดสุขุมประณีตดุจบุคคลเอาตะแกรงร่อนแป้งและดุจชีฝ้ายท่ีหีบแล้วด้วย คร้ันพิจารณารูป นามโดยประการต่างๆ แลว้ ละความกลวั ละความยินดีมใี จวางเฉยในการพิจารณารูปนามจิตยอ่ มตั้ง มนั่ ด้วยอำนาจอนุปัสสนา ๓ เมื่อตงั้ อยู่โดยอาการอยา่ งน้ีย่อมถึงความเป็นวิโมกขมุข ๓ อย่าง และ เปน็ ปจั จยั แกก่ ารจำแนกพระอริยบคุ คลออกเปน็ ๗ จำพวก๑๓ ๔.๑.๒ วธิ ีการปฏบิ ตั ติ ามคำสอนครบู าอาจารย์ : ด้านกายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [๑๔] ท่านพุทธทาสภิกขุใช้อานาปานสติมีหลักการปฏิบัติครอบคลุมสติปัฏฐาน ๔ และ ใช้วิปัสสนาแบบลัดส้ันเป็นการนำหลักการกำหนดรู้ลมหายใจและอิริยาบถน้อยใหญ่ ใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐานมาใช้พร้อมทั้งกำหนดรู้ลมหายใจและอิริยาบถน้อยใหญ่ โดยความเป็น นามรูป เบญจขันธ์ โดยความไม่เท่ียง คลายตัวออก ดับไป และสลัดคืน เป็นธัมมนานุปัสสนาสติ ปฏั ฐาน ส่วนการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพุทธทาสภกิ ขุ จุดเดน่ อยทู่ อ่ี านาปานสตแิ บบสมบรู ณ์ คือ การใช้สติกำหนดพิจารณาลมหายใจ(กาย) เวทนา จิต และธรรม ทุกลมหายใจเข้าออก มี กระบวนการปฏิบัติ ๑๖ ข้ัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อบ่มเพาะสติ ปัญญา สัมปชัญญะและสมาธิ สำหรับเข้าไปควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทไม่ให้ไหลไปในฝ่ายเกิดทุกข์จนทำลายความยึดม่ันถือ มั่นได้ แนวการปฏิบัติอานาปานสติแบบสมบูรณ์มีหลักการครอบคลุมสติปัฏฐานทั้ง ๔ ใน มหาสติปัฏฐานสูตรและจัดเข้าในวิธีการเจริญสมถะนำหน้าวิปัสสนา นอกจากน้ีพุทธทาสภิกขุ ยงั แสดงวิปัสสนาระบบลัดสั้นสำหรับผ้มู ีเวลาจำกัดเพ่ือให้ปฏิบัติได้สะดวกมีจุดเด่นอยู่ท่ีการใช้สติ กำหนดรู้ลมหายใจและอิรยิ าบถใหญ่น้อยโดยแยกส่วนเป็นนามรปู เบญจขันธ์ และพิจารณาถึง ความไม่เทีย่ ง ความจางคลาย ความดับไป ความสลัดคนื อาการทีย่ ึดมน่ั ถอื ม่ันในลมหายใจและ อิริยาบถเหล่านั้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายความรู้สึกว่าเป็นตัวตนของตนในขณะที่เข้าไป เกี่ยวข้องกับทุกส่ิงพร้อมกับมองเห็นตามเป็นจริง การปฏิบัติตามแนววิปัสสนาสูตรจัดเข้าใน ๑๓อ้างแล้ว, พระปลดั พงค์ศักดิ์ ธมมฺ วโร (อภัยโส), [รหสั แบบสอบถาม ๑๔-๕๒].
๑๑๒ กายานุปัสสนาระบบลดั ส้ันเม่ือว่าโดยหลักการปฏิบัติตามแนวพระไตรปิฎกมหาสติปัฏฐานสูตรจัด เข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานและธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ว่าโดยวิธีการปฏิบัติใน พระไตรปิฎกจัดเข้าในวิธีการเจริญวิปัสสนานำหน้าสมถะและวิธีการปฏิบัติเพ่ือออกจาก ธรรมุธจั จ์๑๔ [๑๕] รูปแบบและวิธีการในการปฏิบัติ ท่านพุทธทาสภิกขุและหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ทา่ นทั้งสองตา่ งกนั ลักษณะโดยทห่ี ลวงพ่อเทียนใช้วธิ ีการปฏิบัตแิ บบเคลื่อนไหวกล่าวคือ ต้องใชส้ ติ กำหนดรู้อาการเคลื่อนไหวของร่างกายพร้อมกับดูจิตใจที่นึกคิด วิธีการปฏิบัติต้องเคลื่อนไหว ร่างกายอยู่ตลอดเวลาเพื่อเป็นอุปกรณ์ให้สติกำหนดจับ ตรงกันข้ามกับวิธีการปฏิบัติอานาปานสติ ตามแนวพุทธทาสภิกขุต้องอาศัยด้วยความสงบนิ่งในอิริยาบถน่ังพร้อมทั้งกำหนดลมหายใจเข้า ออก กำหนดเวทนา จิตและธรรม เป็นหลัก และวิธีการเจริญวิปัสสนาแบบลัดสั้นตามแนวท่าน พุทธทาสภิกขุต้องใช้สติกำหนดลมหายใจและอิริยาบถน้อยใหญ่เป็นหลักพร้อมท้ังนึก คำบริกรรม ชื่อของอาการหรอื อริ ิยาบถ กำกับลงไปด้วยต่างจากวิธกี ารปฏบิ ตั ิตามแนวหลวงพ่อเทยี น ไม่ตอ้ งว่า คำบริกรรมอะไรเพียงแต่ใช้สติกำหนดรู้อิริยาบถและจิตใจที่นึกคิดเท่าน้ัน วิปัสสนาระบบลัดสั้ น ตามแนวพุทธทาสภิกขุถึงแม้จะกำหนดอิริยาบถน้อยใหญ่เหมือนกันกับแนวการเจริญสติตามแนว หลวงพ่อเทยี น แตม่ วี ธิ ีปฏิบตั ิในสว่ นรายละเอียดตา่ งกัน๑๕ [๑๖] หลักการและวิธีการปฏิบัติในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ พบว่า หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้นำหลักการปฏิบัติมหาสติปัฏฐานสูตรมาประยุกต์ใช้โดยเน้นท่ีกายานุปัสสนา สติปัฏฐานที่วา่ ด้วยการมีสติกำหนดอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อยและเน้นจิตตานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน ๔ ต่างจากพุทธทาสภิกขุนำหลักการปฏิบัติในพระไตรปิฎกคือ อานาปานสติมาประยุกต์ใช้ มีหลักการครอบคลมุ สติปัฏฐาน ๔ พุทธทาสภิกขุไดน้ ำหลักการปฏิบตั ิในมหาสตปิ ัฏฐานสูตรมา ประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติวิปัสสนาระบบลัดส้ันโดยเน้นที่หมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐานท่ีว่า ดว้ ยการกำหนดลมหายใจเข้าออกและวา่ ด้วยการมีความรสู้ ึกตวั อยู่กับอาการเคลื่อนไหวอิริยาบถ น้อยใหญ่พร้อมกับเน้นท่ีหมวดธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานท่ีว่าด้วยกำหนดขันธ์ ๕ และกำหนด หมวดธรรม ๔ เมื่อพิจารณาในส่วนทเ่ี หมือน พบว่า หลักการหลักการปฏิบัติกรรมฐานของท่านทั้ง สองไดน้ ำเสนอหลักการปฏิบัติในหมวดกายานุปสั สนาสติปัฏฐานมาใช้เป็นพื้นฐานในการปฏิบัติ เชื่อมโยงไปสู่การพิจารณาสภาวธรรมตามความเป็นจริงในสติปัฏฐานหมวดอื่น๑๖ [๑๗] การอธิบายลำดับสภาวธรรมที่เกิดแก่ผู้ปฏิบัติ คือ หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ ได้ อธิบายลำดับสภาวธรรมจากประสบการณ์การปฏิบัติของท่านโดยเรียกว่าอารมณ์ของการปฏิบัติ ๑๔อา้ งแล้ว, พระมหานพิ นธ์ มหาธมฺมรกขฺ โิ ต (แสมแก้ว), [รหสั แบบบันทึก ๓/๔๖] ๑๕อา้ งแลว้ , พระมหานพิ นธ์ มหาธมฺมรกขฺ ิโต (แสมแกว้ ), [รหัสแบบบนั ทึก ๓/๔๖] ๑๖อา้ งแล้ว, พระมหานิพนธ์ มหาธมมฺ รกฺขิโต (แสมแกว้ ), [รหสั แบบบนั ทึก ๓/๔๖]
๑๑๓ ลำดับสภาวธรรมเหล่านไี้ มเ่ ป็นระบบตามหลักวิชาการแบ่งออกเปน็ ๒ ภาค คือ(๑)การรจู้ ักอารมณ์ สมมติมีผลทำให้ผูป้ ฏิบัติมีจติ อสิ ระเชือ่ งมงาย (๒)ผู้ปฏิบตั ิทีผ่ ่านประสบการณใ์ นอารมณ์สมมติแล้ว จะรู้จักอารมณ์ปรมัตถไ์ ปจนกว่าจะประสบสภาวะอาการเกดิ ดับอันเป็นจุดสดุ ทา้ ยของการเจริญสติ สว่ นพุทธทาสภิกขุได้ยกเอาอานาปานสติทั้ง ๑๖ ข้ัน เป็นหลักการปฏิบัติและถือว่าอานาปานสติ ทั้ง ๑๖ ข้ัน เป็นการแสดงถึงหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ และพระพุทธทาสภิกขุ ยังแสดงถึงวิปัสสนาระบบลัดส้ันโดยวิธีปฏิบัติ คือ เบ้ืองต้นเพียงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและ อิริยาบถใหญ่น้อยให้เห็นสักว่าเป็นลมหายใจและอิริยาบถตามที่กำหนดเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตวั ตน จากน้ันกำหนดลมหายใจและอิริยาบถใหญ่น้อยโดยความเป็นรูปนาม เบญจขันธ์ โดยความ ไม่เที่ยง โดยความเป็นอนัตตาโดยความจางคลายโดยความดับไปและโดยความสลัดคืน แนวการ ปฏบิ ัตขิ องพทุ ธทาสภิกขุดำเนนิ ไปอยา่ งเปน็ ระบบตามหลักวิชาการ๑๗ [๑๘] หลวงพ่อเทียน มองว่าความคิดปรุงแต่งท่ีเกิดข้ึนโดยปราศจากสติคอยกำกับเป็น สาเหตุแห่งความทุกข์และนำเสนอวิธีการท่ีจะควบคุมความคิดโดยอาศัยการเจริญสติแบบ เคล่ือนไหวเป็นหลักปฏิบัติ แนวการปฏิบัติใช้หลักการกำหนดรู้อิริยาบถน้อยใหญ่ใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน และการดูจิตเพ่ือรู้เท่าทันความคิด จัดเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การ ป ฏิ บั ติ กร ร ม ฐ าน ต าม แน ว ห ล ว งพ่ อเที ย น มีจุ ด เด่ น อ ยู่ ที่ การ ใช้ ส ติ เข้าไป ก ำ ห น ด รู้ อ า กา ร เคลื่อนไหวของอิริยาบถน้อยใหญ่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อบ่มเพาะสติให้มีกำลังที่จะเข้าไปรู้เท่าทัน ความคิดนึกปรุงแต่งอันเป็นสาเหตุของความทุกข์ สติที่ได้รับการพัฒนาด้วยวิธีเจริญสติอย่าง ถูกต้องจนมีกำลังเพียงพอ จะสามารถเข้าไปควบคุมกระแสความคิดไม่ให้ปรุงแต่งไปตามอำนาจ กเิ ลสได้ การปฏิบัตกิ รรมฐานตามแนวหลวงพ่อเทียนจงึ มีหัวใจแห่งการปฏิบัติสำคัญอยูท่ ี่การมีสติ ดูกายที่เคลื่อนไหวและดูใจท่ีนึกคิด โดยหลักการปฏิบัติตามแนวพระไตรปิฎกมหาสติปฏั ฐานสูตร จั ด เข้ าม า ก า ย านุ ปั ส ส น า ส ติ ปั ฏ ฐ า น แ ล ะ จิ ต ต า นุ ปั ส ส น าส ติ ปั ฏ ฐ า น ว่ า โด ย วิ ธี กา ร ป ฏิ บั ติ ใน พระไตรปิฎกจัดเข้าในวิธีการเจริญวิปัสสนานำหน้าสมถะและวิธีการปฏิบัติเพื่อออกจาก ธรรมุธัจจ์๑๘ [๑๙] พระโพธิญาณเถร(ชา สุภทฺโท)และพระธรรมวิสุทธิมงคล(บัว ญาณสมฺปนฺโน) เกี่ยวกับการปฏิบัติ พบว่า มีลักษณะใกล้เคียงกัน เพราะท่านทั้งสองถือปฏิบัติตามสายหลวงปู่มั่น เช่น เห็นว่าการศึกษาเฉพาะปริยัติอย่างเดียวจะทำให้เกิดความสงสัยในคำสอนหรือเป็นเหตุให้ ถกเถียงกัน ไม่อาจเข้าถึงธรรมได้ ดังนั้น จึงต้องปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย แม้การปฏิบัติตามหลัก วปิ ัสสนามีลักษณะใกลเ้ คียงกัน วิธีการของหลวงพ่อชามลี ักษณะเป็นอานาปานสติ คือมีสติกำหนด ๑๗อา้ งแลว้ , พระมหานิพนธ์ มหาธมมฺ รกขฺ โิ ต (แสมแก้ว), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓/๔๖] ๑๘อ้างแล้ว, พระมหานิพนธ์ มหาธมมฺ รกฺขิโต (แสมแกว้ ), [รหสั แบบบนั ทึก ๓/๔๖]
๑๑๔ ลมหายใจในอิริยาบถยืน ส่วนวิธีการของหลวงตามหาบัวมีลักษณะเหมือนกายคตาสติในอิริยาบถ ยืน วิธีการเดินจงกรมของหลวงพ่อชาและหลวงตามหาบัว เหมือนกันคือจะกำหนดกายคือกิริยา เดินหรือกำหนดพิจารณาบทธรรมได้แต่วิธีของหลวงตามหาบัวมีความเป็นทางการกว่าในเชิงธรรม เนียมปฏิบัติ คือมีการประนมมือระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยและผู้มีพระคุณก่อน หลวงตามหาบัวมี การกล่าวถงึ การปฏบิ ตั ิในอิรยิ าบถนอนดว้ ย แต่ไมไ่ ด้สง่ เสริมการปฏบิ ัตใิ นอริ ยิ าบถน้ีเพราะเป็นเหตุ แห่งความเกียจคร้าน แต่หลวงพ่อชาห้ามปฏิบัติในอิริยาบถนอน ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาใน การปฏิบัติพบว่าหลวงพ่อชาท่านสอนเก่ียวกับปญั หาการปฏิบัติในระดับพ้นื ฐานคือการกำหนดลม หายใจและความง่วง โดยเฉพาะความง่วงนั้นท่านสอนให้แก้ไขด้วยการปรับอินทรีย์ส่วนหลวงตาม หาบัวสอนถึงปัญหาและวิธีแก้ปัญหาท้ังในระดับพื้นฐานและระดับสูง เช่น วิปัสสนูปกิเลส เป็นต้น ต้องแก้ไขด้วยการพิจารณาให้เห็นด้วยปัญญาตามหลักไตรลักษณ์ หลวงพ่อชาปฏิบัติแบบ เช่ือมโยงกันแห่งองค์ไตรสิกขา มีลักษณะเป็นอานาปานสติในรูปแบบการบริกรรมว่า พุทโธ เพราะใช้สตกิ ำหนดลมหายใจและพิจารณาสภาวะเพื่อยกจิตขึน้ สู่วิปัสสนา สว่ นหลวงตามหาบัว มีจริตนิสัยไปในทางสมถะ ท่านฝึกสมาธิจนม่ันคงหนักแน่นและสามารถอยู่ในสมาธิได้นาน ท่านมี ความสุขอย่างยิ่งจากท่ีจิตใจไม่ฟุ้งซ่านและติดอยู่ในสมาธินานถึง ๕ ปี ไม่ก้าวหน้าสู่ขั้นปัญญาได้ เลยจนกระท่ังได้รับการเตือนให้ละการติดสุขในสมาธิจากหลวงปู่ม่ัน ท่านจึงได้เริ่มพิจารณา ทางด้านปัญญาในทสี่ ุด๑๙ [๒๐] หลวงตามหาบัว กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการบวชท่ีแท้จริง คือ การปฏิบัติเพ่ือ พระนิพพาน เม่ือได้ศึกษาปริยัติแล้วควรปฏิบัติตามด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นพระไตรปิฎกในหรือผู้มี ตาดี พระวินัยเปรียบเหมือนรั้วกั้นไม่ให้ข้ามหรือปลีกแวะ ส่วนพระธรรมเป็นทางปฏิบัติสายกลาง ในการปฏิบัติ ต้องมีความสำรวม พูดแต่นอ้ ย ปฏบิ ัตใิ ห้มาก วิธีปฏิบตั ิในการยืนให้ยืนตวั ตรงในท่า ปกติแล้วกำหนดสติตั้งแต่ปลายผมลงมาสะดือและปลายเทา้ โดยลำดับ แล้วกำหนดต้ังแต่ปลายเท้า ข้ึนไปสะดือและปลายผมโดยลำดับ ทำเป็นอนโุ ลมและปฏโิ ลมอย่างนี้ การเดินจงกรมทางเดินควร มีความยาวประมาณ ๒๐-๒๕ เมตร ก่อนเดินให้ระลึกถึงคุณพระรตั นตรัยและผู้มีพระคุณก่อนแล้ว จึงเดินด้วยความสำรวม กำหนดสติไว้ท่ีคำบริกรรมพุทโธ การน่ัง ให้นั่งตัวตรงสบาย ไม่บงั คับกาย บริกรรม พุทโธ ด้วยความมีสติการนอนและอิริยาบถย่อยอ่ืนๆทำในลักษณะเดียวกัน อุปสรรค ของการปฏิบัติที่ต้องแก้ไขหรือละมีหลายอย่าง เช่น ความกลัว นิวรณ์ อุปาทาน วิปัสสนูปกิเลส เป็นต้น ส่วนการประยุกต์ใช้สติปัฏฐาน ๔ ท่านอธิบายถึงการพิจารณาเวทนาที่เกิดข้ึนในขณะ ปฏิบตั ิ จนสามารถขม่ ไดแ้ ละพัฒนาไปส่กู ารเจรญิ วปิ สั สนากมั มัฏฐานในที่สุด๒๐ ๑๙อา้ งแลว้ , พระวงศ์แกว้ วราโภ (เกสร), [รหสั แบบบนั ทกึ ๔๕-๕๕] ๒๐อา้ งแลว้ , พระวงศแ์ ก้ว วราโภ (เกสร), [รหสั แบบบนั ทกึ ๔๕-๕๕]
๑๑๕ [๒๑] กรรมฐานเป็นงานสำหรับพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิและปัญญา เป็นเคร่ืองมือสำคัญ ในการปฏิบัติเพื่อดำเนินไปสู่จุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือ ความดับทุกข์ผู้ปรารถนา จะเขา้ ถึงจุดมุง่ หมายดังกล่าวจะต้องศกึ ษาและปฏิบตั ิกรรมฐาน แนวทางการปฏิบัติกรรมฐานของ พระโพธิญาณเถร(ชา สุภทฺโท) และพระธรรมวิสุทธิมงคล(บัว ญาณสมฺปนฺโน) แนวคิดหลักคำสอน และวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตลอดถึงการนำหลักปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพระไตรปิฎกมา ประยุกต์ใช้ของท้ังสองท่าน หลวงพอ่ ชาไม่ไดล้ ะเลยปริยัติแต่ในการปฏิบตั ิทา่ นสอนให้วางปริยตั ิ ไวก้ ่อน เพราะเป็นอุปสรรคต่อการปฏบิ ัติใหค้ วามสำคัญต่อการรักษาศีลาจารวัตรมาก เพราะศีล หรือพระวินัยเป็นวิถีสร้างชุมชนสงฆ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย ส่งเสริมการปฏิบัติกรรมฐานด้วย ท่านปฏิบัติโดยการบริกรรมว่า“พุทโธ”อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติแบบสมถะ แต่เม่ือได้ ศกึ ษาแนวการปฏิบัติของท่านแลว้ จะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนอานาปานสติเพราะท่านไม่ท้ิงสติใน การปฏิบัติแม้มีผู้ถามว่าท่านปฏิบัติแนวไหน ท่านกล่าวว่าตอบยากเหมือนกันเพราะใช้ทั้งสมาธิ และสติ สรุปได้ว่าท่านปฏิบัติธรรมแบบไม่แบ่งแยกประเภทธรรมเป็นการปฏิบัติแบบเชื่อมโยง หรือสัมพันธ์กันหรอื อาจกล่าวได้วา่ ท่านใช้สตพิ ฒั นาสมาธิให้ก้าวไปสปู่ ัญญา๒๑ [๒๒] การสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางท่านโคเอ็นก้า พบว่า สำนักปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามแนวทางของโคเอ็นก้า ได้ก่อเร่ิมเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย ต้ังแต่ ปี พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นคร้ังแรก โดยใช้หลักสูตร ๑๐ การอบรมประชาชนผู้สนใจ ที่เกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ภาคใต้) แต่ยังไม่เปน็ ที่รู้จกั กันมากนัก โดยมีเฉพาะผู้สมัครท่ีเปน็ ชาวตา่ งประเทศ โดยท่านเดินทาง ไปอบรมด้วยตนเอง ต่อมาในภายหลังจึงใช้เทปบันทึกเสียงแทนแต่เป็นการบรรยายด้วย ภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยเมื่อปีต่อมา พ.ศ.๒๕๓๑ จึงได้เร่ิมขยายการอบรมข้ึนที่วัดชลประทาน รังสฤษฎ์ และมีประชาชนคนไทยเข้าร่วมอบรม ๖ คน นอกนั้นเป็นชาวตา่ งชาติ รวม ๔๐ คน และ เม่ือ ปี พ.ศ.๒๕๓๒ จึงมีผู้สนใจกว่า ๖๐ คน สว่ นใหญ่เป็นคนไทย อีกท้ังเริ่มมีการแปลคำสอนและ ธรรมบรรยายเป็นภาษาไทยมากยิ่งขึ้น จนเป็นที่นิยมนำมาปฏิบัติในแต่ละสาขาหลายแห่งใน ประเทศไทย เม่ือพิจารณาจากวิธีการสอนของโคเอ็นก้าแล้วจะเห็นว่าเป็นการประยุกต์คำพูดใน การสอนได้อย่างเหมาะสมแก่ยุคปัจจุบันเพราะเป็นคำท่ีฟังแล้วเข้าใจง่าย ผู้ปฏิบัติไม่สับสน เน่ืองจากขั้นตอนต่างๆ อันเป็นพิธีกรรมถูกแยกออกจากการปฏิบัติ คือ ขณะปฏิบัติวิปัสสนาใน สำนักหรือศูนย์ปฏิบัติแต่ละสาขานั้น ไม่ต้องประกอบพิธีกรรมใดๆอันจะเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติ เสียเวลาแม้แต่ข้ันตอนเดียว เช่น ไม่ต้องไหว้ไม่ต้องรับศีล ไม่ต้องสมาทานกรรมฐานจากพระ วิปัสสนาจารย์ เพราะเป็นการปฏิบัติด้วยตนเอง มีข้อจำกัดท่ีจะต้องเป็นกติการ่วมกัน เช่น ห้าม พูดคุยกันขณะปฏิบัติใน ๙ วันแรกของหลักสูตร รายละเอียดของหลักสูตร ๑๐ วันท่ีใช้อบรมแบ่ง ออกเป็น ๒ ภาคหรือ ๒ ระยะ คือ ๑) ระยะท่ี ๑ การเจริญสมถะกรรมฐาน(วันที่ ๑-๓)ให้เจริญ ๒๑ อ้างแลว้ , พระวงศ์แก้ว วราโภ (เกสร), [รหสั แบบบันทึก ๔๕-๕๕]
๑๑๖ อานาปานสติ ฝึกกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก แต่ไม่ต้องบริกรรมหรือท่องบ่นคำใดๆทั้งสิ้น กำหนดรู้อย่างเดียว ระยะที่ ๒ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน(วันที่ ๔ ถึงวันท่ี ๑๐ของหลักสูตร) เลิกฝึกสมถะกรรมฐานแล้วหันไปเจริญวิปัสสนากรรมฐานแทน ต่างๆของร่างกายตลอดท่ัวร่าง อย่างเป็นระบบ โดยเล่ือนจากศีรษะ ค่อยๆเล่ือนไปถึงปลายเท้าโดยพิจารณาพื้นที่แต่ละคร้ัง ประมาณ ๒-๓ ตารางนวิ้ ตามลำดับไม่กระโดดไปมาตามอำนาจกิเลส ต่อมาให้พิจารณาความรู้สึก บนพืน้ ผวิ ของร่างกาย เพราะตามผวิ ของเราในขณะปฏิบตั ิมักเกดิ ความรู้สกึ ตลอดเวลา เช่น คัน ขน ลุก ขนชัน ตัวอุ่น ตัวเย็น ตัวหนัก ตัวเบา จักจี้ เป็นเหน็บ ปวดเม่ือยหลังจากนั้น ให้พิจารณา ความรู้สึกเข้าไปในร่างกาย เช่น รู้สึกถึงความส่ันสะเทือนอันละเอียดอ่อน อันเกิดจากการเกิด ดับ ของธาตุ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ)ทั้งนี้ ผลของการปฏิบัติตามแนวทางน้ี คือ ทำให้มีการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมทางจิตที่เคยนึกคิดปรุงแต่งในเร่ืองต่างๆ ท้ังดีและไม่ดี มาเป็นการกำหนดรู้เท่าทันต่อ อารมณ์ของจิตที่เข้ามากระทบทางอายตนะของตนเองแล้วสามารถต่อต้านและป้องกันจิตไม่ให้ หลงใหลเพลิดเพลินไปในอารมณ์ที่เข้ามานั้น จนกระท่ังจิตเป็นอิสระมีความปลอดโปร่งโล่งเย็น ภายในและสามารถท่ีจะสกัดก้ันยับย้ังนิวรณ์ธรรมต่างๆไม่มารบกวนจติ ใจเหมือนแต่กอ่ นฝึกอบรม ดว้ ยวธิ กี ารน้ี๒๒ [๒๓] วิธีการเจริญสติในชีวิตประจำวันตามแนวทางของ ติช นัทฮันห์ พบว่า ติช นัท ฮนั ห์ พระมหาเถระในพระพุทธศาสนามหายานนกิ ายเซน ชาวเวียดนาม ผูเ้ ปน็ ปรมาจารย์แห่งการ ตน่ื รู้คนสำคัญอีกท่านหน่งึ ของโลกในยคุ ปัจจุบันท่ีนำพาให้ผคู้ นประจักษ์ถงึ การนำพระพุทธศาสนา มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันโดยในทัศนะของท่านมองว่า สติเป็นหัวใจแห่งคำสอนในทาง พระพุทธศาสนา คนท่ีมีสติเท่านั้นจึงช่ือว่าเป็นผู้ท่ีมีชีวิตอย่างแท้จริง คติพจน์คำสอนและในการ ฝึกปฏิบตั ิทา่ น คือ การฝึกสตใิ ห้อยู่กบั ปัจจุบันขณะและแนวทางการฝึกเจริญสติของท่าน อาศัยท้ัง หลักสมถะ(Stopping)และวิปัสสนา(Looking Deeply)โดยใช้วิธีการเจริญอานาปานสติเป็น หลักควบคู่กับการฝึกพิจารณาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม รวมท้ังการ เป็นไปต่างๆของโลก ผ่านกระบวนการแห่งหลักไตรสิกขาและหลักอริยสัจ ๔ ด้วยความที่ติช นัท ฮันห์ ได้ศึกษาหลักพุทธธรรมท้ังฝ่ายมหายานและเถรวาท และมีความเข้าใจในวัฒนธรรมทาง ตะวนั ออกและทางตะวันตกอย่างลึกซึ้ง ประกอบกบั ทา่ นได้ตระหนักรถู้ ึงความทุกข์ของผู้คนในโลก ยุคปัจจุบัน จึงทำท่านมีแนวคิดท่ีโดดเด่นและเข้ากับยุคสมัย เพ่ือเป็นแนวทางในการสร้างศานติ ภายในและสันติภาพของสังคมบนพื้นฐานของการฝึกเจริญสติ คือ แนวคิดเรื่อง ปฏิจจภาวะ คือ การดำรงอยู่อย่างเช่ือมโยงหรือเป็นดั่งกันและกันเพราะทุกส่ิงที่เราคิด ทุกกิจที่เราทำ ทุกคำที่ เราพูดล้วนส่งผลถึงผู้อื่นเสมอ แนวคิดพระพุทธศาสนาเพื่อสังคมคือ การนำพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้วิถีทางแห่งพุทธธรรมเป็นวิถีทางแห่งชีวิตอย่างแท้จริง โดยการ ๒๒ อา้ งแลว้ ,บญุ เรือง ทิพพอาสน,์ [รหัสแบบบันทึก ๔๐-๕๔ ]
๑๑๗ ตระหนักรู้ถึงความสุข ความทุกข์ของสังคมและสิ่งแวดล้อมของโลกด้วย แนวคิดการสร้างชุมชน สังฆะ คือ ชุมชนแห่งกลั ยาณมิตรท่ีเน้นการเจริญสติเป็นวถิ ีชีวิตสามารถรับฟงั กันและกันได้และ ดำรงอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตาเพื่อเกื้อหนุนให้การปฏิบัติการฝึกปฏิบัติเป็นเรื่องง่าย มี พลัง มีความก้าวหน้าและตอ่ เนื่องดว้ ยอาศยั หลักการของการฝกึ เจรญิ สติและแนวคิดข้างต้น ทำให้ เกิดการปรับประยุกต์มาเป็นคำสอนและวิธีการฝึกปฏิบัติได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนเข้ากับสังคม แห่งยุคสมัย (Applied Buddhism) เช่น คำสอนเร่ืองสติกบั การแปรเปล่ียนทางจิตเป็นการอธิบาย ประยกุ ต์หลักอภิธรรมให้เข้าใจง่ายและนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันข้อฝึกอบรมสติ ๕ ประการ ศีล ๕ ปรับประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยท่ีมีความละเอียดลึกซ้ึง ครอบคลุม ชัดเจน และเป็นรูปธรรม เพ่ือเป็นแนวทางพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุขและเรื่องการฟังอย่างลึกซึ้ง แนวทางท่ีจะทำให้ชุมชนสังฆะและผู้คนสังคมได้เกิดเข้าใจกันและกันและเมตตากันได้อย่าง แท้จริง๒๓ [๒๔] วิธีการฝึกปฏิบัติ ท่านติชนัทฮันนท์ มีท้ังการฝึกปฏิบัติในรูปแบบหลัก คือ การน่ัง สมาธิ การเดินสมาธิ การผ่อนพักตระหนักรู้ และการฝึกปฏิบัติในวิถีชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวัน พิธีกรรมและกิจกรรมอ่ืนๆหลากหลาย เช่น การรับประทานอาหาร การกราบสัมผัสพื้นดิน การ เร่ิมต้นใหม่ การสวดมนต์ การฟังธรรม การสนทนาธรรม การทบทวนข้อฝึกอบรมสติ ๕ ประการ การทำงาน และการเคล่ือนไหวอย่างมีสติ โดยจะใช้หลักการหายใจการฝึกร่วมกับสังฆะ การใช้ เสียงระฆัง การใช้บทคาถาแห่งสติ และการร้องเพลงมาเป็นตัวช่วย (กุศโลบาย)ในการฝึกปฏิบัติ เพื่อเกื้อกูลให้ผู้ฝึกปฏิบัติได้สัมผัสกับความต่ืนรู้ หรือดำรงอยู่กับปัจจุบันขณะได้ง่ายขึ้นและเป็นไป อย่างผ่อนคลาย เบิกบาน สงบ เรียบง่ายและลึกซ้ึง อันจะช่วยให้เกิดการเยียวยาแปรเปลี่ยนไป ในทางทด่ี ีงามในทุกขั้นตอนดงั น้ัน สรปุ ได้ว่า โดยหลักการหรอื แกน่ สาระในการฝึกเจรญิ สติของ ติช นัท ฮันห์น้ัน มีความสอดคล้องกับหลักคำสอนในทางพุทธศาสนาเถรวาทอย่างชัดเจน ส่วนท่ีเป็น จดุ เด่นของท่าน คือ มีคำสอนและวธิ ีการฝึกปฏิบัติท่ปี รับประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย มีรูปแบบ มี เทคนิคหรือกุศโลบายที่หลากหลาย โดยเน้นการปฏิบัติแบบมีส่วนร่วม ท่ีดำเนินบนทางสาย กลาง และเปดิ โอกาสให้คฤหสั ถไ์ ดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในการเผยแผ่พุทธธรรมมากข้นึ ๒๔ [๒๕] การใช้อานาปานสติภาวนาเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถานโดยแม่ชี ศันสนยี ์ เสถยี รสุต ได้รบั การยอมรับจากสงั คมท่ัวไปผู้อบรมมีความหลากหลายทั้งฐานะอายุ อาชีพ การศึกษา รวมทั้งผู้ท่ีนับถือศาสนาอื่นๆ การสอนอานาปานสติของท่านยึดถือหลักคำสอน ตามท่ี ท่านได้รับ การถ่ายทอดความรู้จากหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ พระภาวนาโพธิคุณ(โพธิ์ จนฺทสโร) หลวงพ่อพระครูภาวนาภิธาน อุบาสิกาคุณรัญจวน อินทรกำแหง บางส่วนท่านศึกษาจากคัมภีร์ ๒๓ อา้ งแลว้ , พระทรัพย์ชู มหาวโี ร (บญุ พฬิ า), [รหสั แบบบนั ทึก ๑๘ – ๕๓] ๒๔ อา้ งแล้ว, พระทรพั ย์ชู มหาวีโร (บญุ พิฬา), [รหสั แบบบันทกึ ๑๘ – ๕๓]
๑๑๘ ดว้ ยตนเองและบางส่วนประยกุ ต์เป็นรปู ธรรม เพ่ือใหผ้ ู้ปฏิบตั ิใหม่โดยเฉพาะเยาวชนเข้าใจได้งา่ ย ตามหลักสูตรระยะส้ันของเสถียรธรรมสถาน การสอนของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตข้ันตอนสำคัญ ในอิรยิ าบถ ๔ ดังนี้ ๑.ภาวนาในอิริยาบถยืน ๒.ภาวนาในอิริยาบถเดิน ๓.ภาวนาในอิริยาบถนั่ง ๔.ภาวนาในอริ ิยาบถนอน จงึ เป็นการรูปแบบการนำอานาปานสติภาวนามาใช้ในชวี ิตท่เี ป็นอยู่ ในปัจจุบัน เพราะเป็นการฝึกให้มีสติปัญญาอยู่กับปัจจุบันอยู่ในกิจการงานที่กระทำทุกขณะ โดย ไม่ยึดเอาอารมณ์ท่ีเป็นอดีตและไม่เพ้อหวังส่ิงที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต เมื่อฝึกปฏิบัติให้มากแล้วทำ ใหม้ ีชวี ติ เปน็ สขุ ในปจั จบุ ันมสี ติสัมปชญั ญะจิตประกอบด้วยกศุ ล๒๕ [๒๖] แนวการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแบบพอง-ยุบ จากตำราวิปัสสนาจารยห์ ลายๆท่าน พบว่า แนวการเจริญวิปัสสนาภาวนาแบบพอง–ยุบ เป็นการกำหนดพิจารณาจิตที่เกิดขึ้นโดย การสำรวจดูตัวเองเป็นหลกั ด้านใน เรียกวา่ สภาวธรรมภายในและต้องกำหนดให้ถูกตรงจริงๆ ไม่ ผิดการปฏิบัติวิปัสสนา สิ่งท่ีสำคัญอยู่ที่การมีสติกำหนดรู้ให้เท่าทันความเปล่ียนแปลงของกระแส จิตดูการทำงานของจิตทางทวารท้ัง ๖ คือ ทางตาคือการเห็น ทางหูคือการได้ยินเสียง ทางจมูก คือการได้กลิ่น ทางลิ้นคือการได้ล้ิมรส ทางกายคือการได้สัมผัส เย็น ร้อน หนาว ฯลฯ ทางใจคือ การรู้ทางใจ และกลับมาอยู่ท่ีอาการของท้องพองท้องยุบ ตามเดิมเป็นฐานท่ีสำคัญอย่างมากใน การภาวนา การปฏิบตั ิวิปัสสนาโดยใช้คำบริกรรมว่าพองแด เปงแด เป็นคำภาวนาโดยพระโสภณ มหาเถระ(มหาสสี ยาดอ ชาวพม่า) เมื่อพิจารณาการปฏบิ ัติในหมวดอ่ืนๆ คือ หมวดกายานุปัสสนา สติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบว่า มีการปรากฏสอดคล้องในมหาสติปัฏฐานสูตรทุกประการ คือ อิริยาบถหลัก ได้แก่ การ ยืน การเดินการน่ัง การนอน ในหมวดอิริยาบถบรรพ มีปรากฏในหมวดสัมปชัญญะปัพพะ กล่าว ในอิริยาบถนั่ งได้สอน ให้ พิจารณ าใน ส่วน ของร่างกายท่ี เคล่ื อนไหวของผนังห น้าท้ องร่างกาย เคล่ือนไหวของวาโยโผฏฐัพพรูปพบว่าได้มีคำว่า พองแด เปงแด เป็นคำบัญญัติและสัทธบัญญัติ พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้เข้าศึกษาวิปัสสนา ท่ีพบคำบริกรรมว่า พองแด เปงแด ได้กำหนด วธิ กี ารปฏิบตั ิของพระโสภณมหาเถระ ท่ีได้เผยแผใ่ นประเทศไทยเรมิ่ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๖ เปน็ ต้นมา กล่าวได้ว่า การปฏิบัติวิปัสสนาที่กำหนดว่า พอง-ยุบ มีความสอดคล้องกับการปฏิบัติตามหลัก สติปัฏฐาน ถึงจะแตกต่างกันโดยชื่อเรียกแต่มีหลักคำสอนที่มีในพระไตรปิฎกผู้ปฏิบัติวิปัสสนาช่ือ ว่าเป็นผู้พัฒนาสติและปัญญาในรูปแบบของพอง-ยุบโดยเน้น การกำหนดรู้ถึงธาตุทั้ง ๔ มี ธาตลุ มเป็นหลักจัดเป็นสติปฏั ฐานในกายานุปัสสนา สภาวะของพอง-ยบุ เป็นลมท่ีเกิดในท้อง มี ช่ือเรียกว่า วาโยโผฐัพพารมณ์ และบุคคลผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาพระพุทธ องค์ทรงค้นพบแล้วมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปเี ข้าถึงกึ่งพุทธกาลในปัจจุบันน้ีวิปัสสนาภาวนาโดย มีการเฝ้า ดู เห็น รู้ และ สังเกต พิจารณา สภาวธรรมต่างๆที่เกิดข้ึนในกายและจิตจนเห็นและรู้ ๒๕ อ้างแลว้ , ฐติ ิรัตน์ รักษ์ใจตรง, [รหัสแบบบนั ทึก ๗-๔๘ ].
๑๑๙ ธรรมตามความเป็นจรงิ ของสภาวธรรมท้ังหมด คือ ความเป็นอนิจจังไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลงไป มาอยู่ตลอดเวลาและทุกขงั คอื ทนอยูไ่ ม่ได้ อนตั ตา ความบงั คบั บญั ชาไม่ได้ไรแ้ ก่นสาร ตัวตน ว่าง เปล่า ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ย่อคือ รูปกับนามโดยการปฏิบัติ กำหนดดูอาการของท้องพองท้องยุบ และกำหนดพองหนอ–ยุบหนอ ให้มีสติกำหนดจดจ่ออย่าง ต่อเน่ืองในอิริยาบถ ท้ัง ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน จนมีสติบริสุทธ์ิ บริบูรณ์ จนเห็นการ เปลี่ยนแปลงเกิดปัญญาญาณเข้าไปเห็นสิ่งท่ีเป็นไปของสภาวธรรมของรูป และสภาวธรรมของ นามโดยเห็นและเข้าไปรู้ความเปลี่ยนแปลงของหลักความจริงว่า ไม่ใช่ตัวตน เรา เขา เริ่มต้ังแต่ สภาวธรรมของนามรูปปรเิ ฉทญาณเกิดข้ึน ดังนั้นเม่ือเห็นธรรมชาติของจริงทั้ง ๓ ผู้ปฏิบัติบางคน มีความเห็นชัดต่างกัน บางคนเห็นชัดอนิจจัง บางคนเห็นชัดทุกขัง บางคนเห็นชัด อนัตตา คือ เห็นชดั ขอ้ ใดได้ตามจริตนสิ ัยมีการสรา้ งสมบญุ บารมีของแตล่ ะคน โดยปฏบิ ตั ิใหม้ ากมีความเพียรไม่ ท้อถอย เผากิเลส จนในท่ีสุดทำให้เกิดความเบ่ือหน่าย ละวาง อุปาทานความเห็นผิด ว่าขันธ์ ๕ นเ้ี ป็นอัตตา ตัวตน ตัวกู ของกูหรือละสักกายทฐิ ิได้๒๖ [๒๗] แนวทางการปฏิบัติธรรมเจริญสติหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ถืออิริยาบถบรรพเป็น หลักใหญ่แล้วน้อมเอาสติปัฏฐานข้ออ่ืนๆคือ เวทนา จิต และธรรม เข้ามาพิจารณาภายหลังจากท่ี จติ ได้ถืออารมณก์ รรมฐาน คือ อิริยาบถบรรพ เรียกว่า“การเจรญิ สตแิ บบเคลื่อนไหว”จึงเป็นการ ปฏิบัติวิปัสสนาสอดคล้องกับพระพุทธองค์ทุกประการเพียงแต่วิธีการและเทคนิคคำพูดต่างๆ มี ความหลากหลายและตรงใจผู้ปฏิบัติตามยุคสมัยปัจจุบันการเจริญสติตามแนวทางของหลวงพ่อ เทียน จิตฺตสุโภ ท่ีสำนักปฏิบัติธรรมเจริญสติแบบเคล่ือนไหว บ้านเหล่าโพนทอง ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จุดเด่นของการปฏิบัติแบบเคล่ือนไหว คือ การมีสติรู้ตัวอยู่กับ อิรยิ าบถน้อยใหญจ่ นสามารถทจ่ี ะดับทกุ ข์ในปัจจบุ ันได้๒๗ [๒๘] วิธีการฝึกเจริญสติตามหลักปฏบิ ัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภพบว่าเป็นคำสอน ท่ีได้รับจากการประยุกต์จากวิธีไหวนิ่งของพระอาจารย์ปาน อานนฺโท แล้วนำวิธีมาประยุกต์ด้วย การเจริญสติแบบเคล่ือนไหวจนเกิดความเข้าใจในหลักธรรมของพระพุทธองค์ตามหลักน้ีโดยเริ่ม ปฏิบัติ ดังน้ี การเจริญสติแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ท่านให้ทำความรู้สึกตัวด้วยการนั่งสร้าง จงั หวะการเคลื่อนไหวมือทำความรู้สึกเวลากระพริบตา ให้ร้สู ึกเวลาหายใจ ไม่ให้ลืมกายลืมใจลอย ไปที่อ่ืนเผลอไปคิดเร่ืองมือว่าจะขยับอย่างไร และไม่เพ่งมือเพ่งกายท้ังกายด้วยความสอดคล้อง ระหว่างหลักปฏิบัติสัมปชัญญปัพพะในมหาสติปัฏฐานสูตรกับการฝึกเจริญสติตามแนวของ หลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ พบว่า การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว มีความสอดคล้องกันดีดังท่ีปรากฏ ในพระไตรปิฎกในมหาสติปฏั ฐานสตู ร ข้อที่วา่ ด้วยอิริยาบถปัพพะและสมั ปชัญญปัพพะ ในหมวด ๒๖อ้างแลว้ ,พระครปู ลัดสนุ ทร สุนฺทโร (แซเ่ ตียว), [รหัสแบบบันทกึ ๓๖-๕๔]. ๒๗ อ้างแลว้ , พระสุวรรณ สุวณโฺ ณ (เรอื งเดช), [รหัสแบบบนั ทึก ๑๙-๕๓].
๑๒๐ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน วิธีการฝึกเจริญสติตามแนวของหลวงพ่อเทียนเน้นด้วยสติเป็นสำคัญ มีวิธีการแตกต่างจากสัมปชัญญะในมหาสติปฏั ฐานสตู รแตส่ งเคราะห์และมีความสอดคลอ้ งกับหลัก ปฏิบัติสัมปชัญญะ เพราะตัวสติกับสัมปชัญญะ เป็นอุปการธรรมกัน เม่ือมีสติเชื่อว่ามีสัมปชัญญะ แตกต่างกันในลักษณะรูปแบบของการนเสนอเทา่ นั้น หรือเรียกวา่ สอดคล้องกันโดยเนอื้ หาสาระแต่ ตา่ งกันโดยพยญั ชนะการรธู้ รรมะของหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ เป็นการเขา้ ใจโดยอาศัยการพัฒนา จิตใจเป็นสำคัญเป็นการหย่ังรู้ท่ีนำไปสู่การกำจัดอาสวะกิเลส เป็นต้นตอแห่งความทุกข์ให้หมดไป ได้การอธิบายธรรมะของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ไม่ใช่การอธิบายตามหลักของปริยัติธรรม ในทางพระพุทธศาสนาแต่เป็นการอธิบายโดยการตีความ ส่วนเน้ือหาของคำสอนถูกสอนตามคำ สอนแนวพุทธคือถูกสอนโดยภาวะธรรมที่ปรากฏในหลักคำสอนแต่ไม่ถูกต้องตามหลักพยัญชนะที่ ปรากฏอยู่ในตำรา การอธิบายธรรมะของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภเป็นการอธิบายตามสถาวะ ธรรมท่ีปรากฏในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นนามธรรมที่หลักของปริยัติไม่สามารถ กำหนดลำดับภาวะทีส่ ัมผสั ได้แต่เปน็ การอธิบายตามแบบภาษาธรรมโดยมสี ถาวธรรมเป็นเครอ่ื ง รองรับการอธิบาย๒๘ [๒๙] สาระสำคัญวิปัสสนากมั มัฏฐานตามแนวมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดังน้ี ๑) การกำหนดพร้อมบริกรรมในใจที่รูปและนามตามความเป็นจริง ๒)ความเพียร(วิริยะ) ของการกำหนดทุกอารมณ์ท่ี รูปและนาม ๓)อิริยาบถย่อย ต้องถูกกำหนดในทุกอารมณ์ อย่าง ต่อเน่ือง ให้ละเอียดที่สุด ๔)กำหนดอยา่ งต่อเน่ืองไม่หยุดกำหนด ไม่คุยไมอ่ ่านไม่คิดปรุงแตง่ นอน น้อยและสำรวมในทุกอินทรีย์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยกำหนดให้มาก ๕) กำหนดเพียงรู้ อารมณ์ ในระดับขณิกสมาธิด้วยความเป็นกลางและเบาสบายไม่บังคับไม่ตรึงเครียด เพียงแค่ กำหนดรู้อารมณ์ต่างๆด้วยความคล่องแคล่ว ฉับไว อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยไม่ปล่อยให้จิตด่ิง หรอื เพ่งในอารมณ์เดียวนานๆ ๖)พระวิปัสสนาจารย์ที่มีเคยผ่านประสบการณ์จากการปฏิบัติและ สำเร็จวิชาครูในการสอบอารมณ์เพ่ือช่วยแก้สภาวธรรมและปรับอินทรีย์ทั้ง ๕ ในการพัฒนาสู่ วิปัสสนาญาณ ๑๖ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ๒๙ [๓๐] การมีสติกำหนดรปู นามตามอริ ยิ าบถใหญ่ ๔ คือ ยนื เดนิ น่งั นอน และมสี ติกำหนด รปู นามตามอิรยิ าบถย่อยหรือตามอายตนะท้งั ๖ คอื ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้ปฏิบัติเร่ิมต้นด้วย การ กำหนดพิจารณาอิริยาบถเดนิ คอื เดินจงกรม ภาวนา ๒ ระยะวา่ ขวาย่างหนอ, ซ้ายย่างหนอ เม่ือสติม่ันคง ญาณแก่กล้าแล้ว ให้ภาวนา ๖ ระยะว่า“ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูก หนอ กดหนอ” อิริยาบถน่ัง พิจารณาอาการพองยุบของท้อง พิจารณาต้นใจคือความรู้สึก พิจารณาทวารทั้ง ๕ โดยใช้วิปัสสนาญาณ ๑๖ เป็นกรอบในการตรวจสอบความก้าวหน้าทางจิต ๒๘อ้างแล้ว, พระมหาสิงห์หน สิรนิ ธฺ โร (ฉิมพาลี), [รหสั แบบบนั ทกึ ๑๗/๕๓]. ๒๙อ้างแล้ว, อณิวชั ร์ เพชรนรรัตน,์ [รหสั แบบบนั ทึก ๑๐–๔๙]
๑๒๑ แนวการสอนและการปฏิบัติธรรมของพระธรรมธรี ราชมหามุนี(โชดก ญาณสทิ ฺธิ)ดำเนินตาม เน้ือหาในมหาสติปัฏฐานสูตร และประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ โดยอาศัยแนวพระไตรปิฎก และแนวพระวปิ ัสสนาจารยแ์ ห่งพม่าเป็นกรอบในการประยุกต์๓๐ [๓๑] การกำหนดเบื้องต้นกำหนดพิจารณา ๖ ข้อ คือ (๑)จงเดินจงกรม ภาวนา“ขวา ย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ”ขณะยืนภาวนาประมาณ ๓ คร้ังว่า“ยืนหนอยืนหนอ ยืนหนอ”ขณะกลับ ภาวนา”กลับหนอ กลับหนอ กลับหนอ” (๒)น่ังพิจารณาว่า“นั่งหนอ” “พองหนอ ยุบหนอ”(๓) พิจารณาเวทนา(ความรู้สึก)ขณะน่ังอยู่น้ัน เมื่อมีอาการเจ็บปวดเกิดข้ึนภาวนา ว่า“เจ็บหนอ ปวด หนอ”จนกว่าอาการนั้นจะหายไปแล้วกลับมาพิจารณาอาการพองยุบของท้องอีก (๔)พิจารณา จิตเม่ือจิตคิดเร่ืองอะไรให้กำหนดพิจารณาภาวนาว่า“คิดหนอๆ”เม่ือรู้สึกโกรธภาวนาว่า “โกรธ หนอๆ” จนกว่าความรู้สึกโกรธน้ันจะหายไปแล้วกลับมาพิจารณาอาการพองของท้อง (๕) พิจารณาเสียงเมื่อมีเสียงดังมากระทบหูให้ภาวนาว่า”ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ”จนกว่า เสียงรบกวนจะหายไปแล้วกลับมาพิจารณาอาการพองของท้อง (๖)ตอนสุดท้ายส่วนที่ ๑ คือการ นอนพัก ขณะเอนตัวลงนอน ภาวนาว่า”นอนหนอ นอนหนอ นอนหนอ”ต่อจากน้ันให้พิจารณา อาการพองของท้องขณะที่นอน ในระยะต่อไปต้ังแต่วันท่ี ๒ แห่งการปฏิบัติให้เพ่ิมความละเอียด ของการกำหนดพิจารณาขึ้นไปอกี เร่มิ ดว้ ยการกำหนดตน้ ใจ คอื ความอยาก เช่นอยากลุก อยากนั่ง อยากเดิน ต่อให้เพิ่มการกำหนดทวารทั้ง ๕ เช่น ขณะตาเห็นรูปตั้งสติไว้ที่ตาแล้วภาวนาว่า“เห็น หนอ เห็นหนอ เห็นหนอ”เม่ือญาณที่ ๑(นามรูปปริจเฉทญาณ) ญาณท่ี๒(ปัจจยปริคคหญาณ) เกิดข้ึนแล้วในการเดินจงกรมให้เพ่ิมระยะทางเข้ามาอีกคือ“ขวาหนอ ซ้ายหนอ”เป็น“ยกหนอ เหยียบหนอ”สลับกับการกำหนดอาการพองหยุบของท้อง เม่ือญาณท่ี ๓ (สัมมสนญาณ) และ ญาณท่ี ๔ (อุพยัพพยญาณ) เกิดขึน้ แลว้ ในการเดินจงกรมให้เพิ่มระยะเข้ามาอีกเป็น“ยกหนอ ย่าง หนอ เหยยี บหนอ” การกำหนดต่อเนื่อง กำหนดพิจารณา ๖ ข้อโดยละเอียด การกำหนดพิจารณาในสว่ นท่ี หรือช่วง ๒ นี้ เป็นการกำหนดต่อเนื่องหรือโดยละเอียด (๑)เม่ือญาณที่ ๕ (ภังคญาณ) ญาณที่ ๖ (ภยญาณ) และญาณที่ ๗ (อาทนี วญาณ) เกิดขึ้นแล้ว ในการเดินจงกรม ให้กำหนดพิจารณาจาก ๓ ระยะเพ่ิมเป็น ๔ ระยะ คือ“ยกส้นหนอ, ยกหนอ, ย่างหนอ, เหยียบหนอ”สลับการกำหนดอาการ พองยุบของท้อง (๒)เมื่อเกิดญาณท่ี ๘ (นิพพิทาญาณ) ญาณท่ี ๙ (มุญจิตุกมั ยตญาณ)และ ญาณท่ี ๑๐ (ปฏิสังขาญาณ)ขึ้นแล้ว ในการเดินจงกรม ให้กำหนดพิจารณาเพ่ิมจาก ๔ ระยะเป็น ๕ ระยะ คือ “ยกสน้ หนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ” (๓)เมอื่ เกดิ ญาณที่ ๑๑ (สงั ขารเุ ปกขาญาณ) ๓๐ อา้ งแล้ว, พรรณราย รตั นไพฑรู ย,์ [รหสั แบบบนั ทึก ๒/๔๔].
๑๒๒ ขึ้นแล้วในการเดินจงกรม ให้กำหนดพิจารณาเพิ่มจาก ๕ ระยะ เป็น ๖ ระยะ คือ ยกหนอ ยา่ งหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ” สลับการกำหนดอาการพองยุบของท้อง ส่วนการน่ังให้กำหนดพิจารณา ๔ ขณะ คือ“พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” โดยเฉพาะ“ขณะถูกนั้น ให้กำหนดที่ถูก ๖ แห่ง คือ“ก้นย้อยขวาและซ้าย เข่าขวาและซ้าย ตาตุ่ม ขวาและซา้ ย” ๓๑ [๓๒] วิเคราะห์แนวการปฏิบัติพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ) ปฏิบัติโดย เน้นแบบสมถะมีวิปสั สนานำจริงแต่ท่านใหค้ วามสำคญั แกส่ มถะและวิปสั สนา ในการลงมอื ปฏบิ ัติ ภาคสมถะคือ การเตรียมการก่อนลงมือปฏิบัติในคัมภีร์บาลีไม่ได้กำหนดรายละเอียดไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ส้ันๆว่า“ภิกษุในศาสนานี้ ข้าไปสู่ป่า โคนต้นไม้ เรือนเงียบ นั่งคู้ บัลลังก์ กาย ตรง ดำรงสติม่ัน” มีข้อความบาลีมีเพียรเท่านี้ แต่พระธรรมธีรราชมหามุนีได้แบ่งเป็นข้ันตอนดังน้ี (๑)จัดหาสถานท่ี (๒)ตัดปลิโพธ (ความกังวล)ต่างๆ (๓)บูชาพรรัตนตรัย (๔)ถวายตัวต่ออาจารย์ ผู้สอนกรรมฐาน (๕) แผ่เมตตา (๖)การระลึกถึงความตาย(มรณะสติ) ภาควิปัสสนา เริ่มต้นด้วย การกำหนดพิจารณาด้วยอิริยาบถเดิน คือ การเดินจงกรมต้ังแต่ภาวนาว่า“ขาวย่างหนอ ซ้ายย่าง หนอ” ไปจนถึงภาวนา ๖ ระยะว่า“ยกสน้ หนอ ยกหนอ ย่างหนอ.ลงหนอ.ถูกหนอ.กดหนอ” ต่อไป จะเป็นอิริยาบถน่ัง พิจารณาอาการพองยุบของท้อง พิจารณาต้นใจ คือความรู้สึก พิจารณาทวาร ทงั้ ๕ ท้งั หมดนี้ ใช้วปิ สั สนาญาณ๑๖เปน็ กรอบการตรวจสอบในการก้าวหน้าทางจิต๓๒ [๓๓] พระธรรมธีรราชมหามนุ ี(โชดก ญาณสทิ ธิ) แสดงความต่างกันระหวา่ งความเจริญ สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานไว้ว่า การเจริญสมถกรรมฐานต้องการความสงบ เพราะ เสียงเป็นขา้ ศึก เป็น ปฏปิ ักข์ ตอ่ การเจริญสมถะมาก ถ้าประสงค์จะเจริญสมถะให้ได้ฌานก่อนแล้ว จึงเอาฌานให้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อ ต้องออกไปอยู่ในที่สงบสงัด เช่นป่าโคนไม้เป็นต้น ส่วน การเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยตรงนั้นไม่กลัวเสียง เสียงเอามาเป็นอารมณ์ของกรรมฐานได้ เพราะวปิ ัสสนาได้ขันธ์๕ คือ รูปกับนามเป็นอารมณ์ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลนิ่ ล้ินได้รส กายถูก เย็นร้อน อ่อน แข็ง ใจคิดธรรมรมณ์เมื่อใด รูปนามเกิดขึ้นได้เม่ือนั้น ผู้เจริญวิปัสสนา กรรมฐานสามารถกำหนดได้หมดทุกๆทาง เช่น ขณะที่ตาเห็นภาวนาว่า เห็นหนอ ขณะท่ีหูได้ยิน เสียง ภาวนาว่าได้ยินหนอ เป็นต้น พิจารณาตามนัยน้ี วิธีเจริญสติปัฏฐานสูตร ทรงให้เร่ิมต้นด้วย สมถะเป็นตัวนำ เพราะตรสั ว่า“ภิกษุผ้ปู ฏิบัติเข้าไปสู่ปา่ โคนต้นไม้ เรือนเงียบสงดั ”ขอ้ ความนท้ี ำให้ ทราบว่าข้อจำกัดของการปฏิบัติสมถกรรมฐานมีมากกว่าวิปัสสนากรรมฐาน สมถะต้องการ สภาพแวดล้อมทีส่ งบตดั ขาดจากสังคม ในขณะท่วี ิปสั สนาตอ้ งการสภาพแวดล้อมท่สี ะดวกอาจ ๓๑ อา้ งแลว้ , พรรณราย รตั นไพฑูรย์, [รหสั แบบบนั ทึก ๒/๔๔] . ๓๒ อา้ งแลว้ , พรรณราย รัตนไพฑรู ย์, [รหสั แบบบันทึก ๒/๔๔] .
๑๒๓ ไม่ต้องสงบมากนักได้แนวปฏิบัติของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ)แบ่งเป็น๒ ขั้นคือ ๑) ข้นั ต้นคือขั้นสมถะที่ตอ้ งใช้สถานที่สงบจริงๆ เพื่อเตรียมจติ ให้พร้อม ๒)ข้ันสูงคอื วปิ ัสสนาที่อาจ ไม่ต้องใช้สถานท่สี งบมากนักได้๓๓ [๓๔] พระธรรมธีรมหามุน(ี โชดก ญาณสทิ ธ)ิ สอนให้ร้ทู ฤษฎี ๓ ภาค คือ(๑)ทฤษฎีทั่วไป ของพระพุทธศาสนา(๒)ทฤษฎีท่ีเก่ียวกับสมถกรรมฐาน (๓)ทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับวิปัสสนากรรมฐาน เพราะฉะน้นั ในแนวปฏิบตั แิ บง่ เปน็ ระดบั ต้นคือ สมถะเพื่อเตรยี มจิตผู้ปฏบิ ตั ิใหพ้ ร้อม ระดับสงู คือ วิปัสสนา ในขณะท่ีพระภัททันตะ อาสภมหาเถระจะสอนทฤษฎีที่เกี่ยวกับวิปัสสนาโดยตรง เช่น มหาวิปัสสนา ๑๘ วิสุทธิ ๗ อุปกเิ ลส ๑๐ พระภัททันตะ อาสภมหาเถระกำหนดเปา้ หมายเบ้ืองต้น ไว้ก่อนการปฏิบัติ คือ การกำจัดสักกายทิฏฐิ คือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับรูปนาม และในเบ้ืองต้นผู้ ปฏิบัติจำเป็นต้องสร้างอนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนาและอนัตตานุปัสสนาข้ึนมาให้ได้ ส่วน แนวทางปฏิบัติของอาจารย์ท้ัง ๒ เกยี่ วกับการกำหนดพิจารณาอิริยาบถใหญ่ และอิริยาบถย่อยไม่ แตกต่างกันมากนักทัง้ สองท่านเดนิ ตามแนวคดิ สติปัฏฐานสูตรและคัมภรี ว์ ิสุทธมิ รรค๓๔ [๓๕] พระธรรมธีรมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ)กับท่านพุทธทาส ภิกขุ โดยพระธรรม ธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) ดำเนินงานวิปัสสนาธุระโดยเริ่มจากการศึกษาปริยัติธรรมสำเร็จข้ัน สงู สุดคอื นกั ธรรมชนั้ เอกและเปรยี บธรรม ๙ ประโยค จากนัน้ เดนิ ทางไปศึกษาวปิ ัสสนากรรมฐานท่ี ประเทศพม่าเป็นการศึกษาในระบบมาโดยตลอด แนวการสอนและปฏิบัติของท่านจึงมีระบบ มี กระบวนการและขั้นตอนที่ชัดเจนในขณะที่พุทธทาส ศึกษาด้วยตนเองจากคัมภีร์เกือบจะ ท้ังหมด ไม่ว่าจะเป็นภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ แนวการสอนและปฏิบัติของพระพุทธทาส ภิกขุ จึงดูเรียบไมซ่ ับซ้อน นีค่ อื ขอ้ แตกตา่ ง ส่วนความเหมอื นของแนวการสอนและปฏิบัติของอาจารยท์ ้ัง ๒ คือ กรอบใหญ่ท่ีใช้เป็นแนวการสอนและปฏิบัติ โดยใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ เหมือนกัน เป้าหมาย แห่งการปฏิบัติเหมือนกัน แต่เรียกช่ือต่างกัน พระธรรมธีรมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ)กล่าวว่า จุดหมายสูงสุดแห่งการปฏิบัติโดยใช้คำว่า“มรรค ญาณ ผลญาณ”หรือ“มรรค ผล นิพาน” ในขณะท่านพุทธทาส ภิกขุใช้คำว่า“จิตว่าง”หมายถึง ผลแห่งการปฏิบัติในทุกระดับ พุทธทาส ภิกขุกล่าวไว้ตอนหน่ึงสรุปความได้ว่า สิ่งท้ังปวงมีลักษณะ คือ ความว่าง แม้แต่จิตมีความว่าง เป็นลักษณะของมัน คือ ว่างจากตัวตน การเรียนหรือการปฏิบัติธรรมมีลักษณะเป็นความว่าง จากตัวตน กระท่ังสิ่งที่เรียกว่า มรรค ผล นิพาน มีลักษณะท่ีเป็นความว่างจากตัวตน น้ีเป็น ความว่างอย่างทหี่ นงึ่ อยา่ งทส่ี อง คอื ลักษณะของจติ ท่ีไม่ยึดม่นั ถอื ม่ันสง่ิ ท้ังปวง๓๕ ๓๓ อ้างแล้ว, พรรณราย รัตนไพฑรู ย์, [รหสั แบบบนั ทึก ๒/๔๔] . ๓๔ อ้างแลว้ , พรรณราย รัตนไพฑูรย์, [รหัสแบบบนั ทกึ ๒/๔๔] . ๓๕ อ้างแล้ว, พรรณราย รัตนไพฑูรย์, [รหสั แบบบันทึก ๒/๔๔] .
๑๒๔ [๓๖]วิเคราะห์วิปัสสนากรรมฐานของพระธรรมธีรมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ) เทียบเคียงกับข้อความพระไตรปิฎกระบบการสอนเรียกว่า“ระบบพองหนอ ยุบหนอ”และ แนวทางการปฏิบัติจะแตกต่างจากแนวทางปฏิบัติท่ีมีปฏิบัติสืบๆมาในอดีตโดยเฉพาะหลักการใน พระไตรปิฎกหรือไม่สรุป วิเคราะห์ดังนี้(๑)ระบบ“หนอ”(๒)การกำหนด“พองหนอ-ยุบหนอ” (๓)การเดินจงกรม (๔)การกำหนดอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย (๕)การกำหนดเวทนา (๖) การกำหนดจิต (๗)สภาวญาณ ระบบ“หนอ”แนวการสอนของพระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ)มีคำว่า“หนอ” ต่อท้ายเสมอ เช่น“พองหนอ ยุบหนอ ยืนหนอ”เป็นระบบกรรมฐานที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดย การนำกลับมาจากพม่า โดย พระธรรมธีรมหามุนี เม่ือ พ.ศ ๒๔๙๖ จึงกล่าวได้ว่าเป็นระบบ กรรมฐานที่เกิดใหม่ สังคมไทยคุ้นเคยกับการกำหนดว่า“พุทโธ” หรือ สมฺมา หรหํ และยังฟังใจว่า ระบบหนอเป็นของพม่า ไม่มีในพระไตรปิฎก ความจริงคำวา่ “หนอ”เป็นภาษาไทยไมใ่ ช่ภาษาพม่า “หนอ”เป็นคำท่ีแปลมาจากภาษาบาลีว่า“วต”ปรากฏในพระไตรปิฎก เช่น “อญญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ” แปลว่า พระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ดังน้ัน“หนอ”จึงไม่ได้กรรมฐานของ ประเทศพม่าแต่เป็นคำที่ปรากฏในพระไตรปฎิ กที่สามารถสืบค้นไดใ้ นพม่าไม่ใช้คำว่า“หนอ”ภาษา พม่าใช้คะว่า“แด”เช่น“พองแด่-เบ่งแด่”(อาจเปรียบได้กับพองหนอ-ยุบหนอ) คำว่า “แด่”ไม่ได้ แปลว่า“หนอ”ท่ีใช้ในภาษาไทยแต่มีความหมายบ่งบอกว่า “เป็นปัจจุบันกาล”เมื่อต่อทา้ ยกับคำใด มีความหมายว่า เป็นกิริยาที่กำลังกระทำอยู่ อันเป็นการเพิ่มสมาธิให้มากข้ึน การอธิบายคำว่า “หนอ”ที่แปลมาจากภาษา“วต”นั้นเป็นเพียงการอธิบายตามรูปศัพท์โดยพยัญชนะเท่าน้ัน เพ่ือ ประโยชน์ในการความสงสัยของผู้นิยมยึดถือในตัวอักษรพระธรรมธีรมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ ) กล่าวถึงประโยชน์ของ“หนอ”ไว้ว่า(๑) เพิ่มขณิกสมาธิ คำว่า“หนอ”มีประโยชน์สำหรับ เพิ่มขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) ให้มีกำลังกล้า เพ่ือจะให้ผู้ปฏิบัติเห็นรูปนาม เห็นพระไตรลักษณ์ (อนิจจงั ทุกขัง อนัตตา) เห็นปัจจุบันธรรมดุจไฟนีออน ตามธรรมดา ไฟนีออนมีแสงสว่างดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเพิ่มหม้อไฟเข้าไปอีก ยิ่งมีแสงสว่างมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ข้อนี้ฉันใด ขณิกสมาธิฉันนั้น ตามปกติเวลากำหนด“พองยุบ”มีขณิกสมาธิอยู่แล้ว ถ้าเพ่ิมคำว่า“หนอ” เข้าไปอีกถ่วงเวลาให้ช้า ลงอกี สมาธิจงึ มีกำลงั แรงขึ้นกว่าเดมิ เปน็ หลายเทา่ เมื่อสมาธิมีกำลงั แรงขึ้นเปน็ เหตุให้เกิดปัญญาได้ งา่ ย เพราะปัญญามีสมาธิเป็นปทัฏฐานหรือสมาธิเป็นเหตุใกล้ที่จะให้ปัญญาเกิดข้ึน(๑)คั่นรูปนาม คำว่า“หนอ”มีประโยชน์สำหรับคั่นรูปนามให้ขาดเป็นระยะให้ขาดตอนให้ขาดจังหวะ เพื่อจะให้ผู้ ปฏิบัติได้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น (๒)กำจัดทุจริตทางไตรทวาร ขณะท่ีผู้ ปฏิบัติกำหนดคำว่า“พองหนอ ยุบหนอ”อยู่ยอ่ มไม่มี กายทุจริต คือฆ่าสตั ว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด ประเวณี ไม่มีวจีทุจริต คือ พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มีมโนทุจริต คือจิตที่มี
๑๒๕ ความโลภ จิตมีความพยาบาท จิตมีความเห็นผิด ความบริสุทธิ์ดีท่ัวไตรทวารอันน้ีจัดเป็นศีล ใจไมเ่ ผลอจากพองยบุ เปน็ สมาธิ เหน็ รูปนามเป็นสง่ิ ทีต่ กอย่ใู นไตรลักษณ์ เป็นปัญญา “หนอ”เป็นการเพิ่มกำลังของสมาธิให้มากขึ้น ถ้าเปรียบเหมือนแสงสว่างของไฟนีออน ย่อมปรากฏแสงสว่าง แวบหนึ่งแล้วดับไป เป็นอย่างนี้เสมอ เพราะกำลังไฟไม่พอ หากได้หม้อไฟ เพิ่มไฟมาช่วย แสงสว่างจะแจ่มจ้า ไม่มือสลัวฉันใด คำว่า“หนอ”ท่านเพ่ิมเข้ามาเพ่ือให้สมาธิมี กำลังเพ่ิมขึ้นพอสมควร พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ เห็นด้วยกับคำว่า“หนอ”ท่ีใช้ในประเทศ ไทย เพราะคำว่า“หนอ”เป็นการเพิ่มสมาธิแก่ผู้ปฏิบัติ แม้แต่การกำหนดอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน ตามแบบพม่า เปน็ การเพมิ่ สมาธเิ หมือนกนั ผู้ทีเ่ คยผา่ นปฏิบตั ติ ามแนวน้มี าแล้ว จะเกดิ ความเขา้ ใจ ในระดับหนึ่ง ผู้วิจัยเคยปฏิบัติในแนวนี้ เม่ือประมาณ พ.ศ ๒๕๒๗ คณะ๕ วัดมหาธาตุ สอนโดน พระธรรมธีรมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ)และเข้าปฏิบัติอีกหลายคร้ังกับวิปัสสนาจารย์หลายท่าน ประสบการณ์จากการกำหนดคำว่า “หนอ”ทำให้เกิดความรู้ตัวแจ่มชัด เป็นการเพิ่มสัม ปะชัญญะ ลักษณะคล้ายการตอกย้ำใหก้ ารกำหนดรู้น้ันไมเ่ ลอื่ นลอย มีสติรู้ อารมณ์นั้นๆ อย่าง แนบแน่นมากกว่าการกำหนดที่ไม่ลงท้ายว่า“หนอ”เป็นการช่วยให้มีสติติดต่อกันตลอดสาย ช่วยให้สมาธิดีข้ึนเร่ืองท่ีมาของระบบ“หนอ”น้ีมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะมีการตกลงปรึกษาหารือ กันอยู่พอสมควรในหมู่วิปัสสนาจารย์แห่งวัดมหาธาตุเก่ียวกับการใช้คำว่า “หนอ”ดังนั้นคำว่า “หนอ”จงึ เปน็ สญั ญาลกั ษณ์ของกรรมฐานวัดมหาธาตุจวบจนปัจจบุ นั นี้ หลักคัมภีร์อรรถกถาอธิบายคำว่า“หนอ”ไว้ว่า เป็นคำแสดงถึงความเช่ือม่ัน(วตาติ โอกปฺ ปนจวนํ) ดังเป็นการอธิบายตามหลักของอรรถกถาทำให้เราเช่ือม่ันในประสบการณ์และปริบัติ ธรรมว่าตรงกัน การกำหนด“หนอ”มคี วามหมายตรงตามอักษรและเป็นการเพิ่มสมาธแิ ล้วเป็นการ เพิ่มสตปิ ัญญาอย่างครบวงจรตามหลักไตรสิขาอีกด้วย แต่ในการปฏิบัติในระดบั ต้นๆเป็นการยากที่ ผู้ปฏิบัติจะรู้ว่าตนเองได้ สมาธิ สติ หรือ ปัญญา แต่เม่ือผู้ปฏิบัติผ่านประสบการณ์ปฏิบัติในระดับ หน่ึงอย่างต่อเน่ืองจึงจะรู้ได้ชัดเจนว่า“การปฏิบัติเจริญก้าวหน้าโดยลำดับ”และมีกำลังใจในการ ปฏิบัติคำว่า“หนอ”ปรากฏอยู่แล้วในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถาในการอธิบายเองการ กำหนดว่า“พองหนอ-ยุบหนอ”พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ)อธิบายตรงกับข้อความ วา่ กายของผู้ปฏิบัตนิ ั้นตงั้ อยู่ในอาการใดๆผู้ปฏิบัติยอ่ มรู้ชัดกายนั้น โดยอาการน้ันๆท่านให้เหตุผล ว่าพระพุทธองค์ตรัสพระบาลีอย่างครอบจักรวาล “พอง-ยุบ”จัดเข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จติ ตานุปัสสนาสติปฏั ฐานและธัมมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐานได้ โดยท่านใหเ้ หตุผลวา่ ในกายอันยาววา หนาคบื ของเรานี้ เรากำหนดทไี่ หนๆไดส้ ามารถเป็นอารมณ์ของวปิ ัสสนาได้ท้ังสิ้น อุปมาเหมือน รถกับเรือน ขอให้เราจับตัวรถถูกหรือจับเรือนถูกเป็นอันว่า เราจับถูกรถ ถูกเรือนเป็นแน่ โดยไม่ ต้องสงสัย ข้อน้ีเป็นการอธิบายความแบบกว้างๆ ครอบคลุมเน้ือหาสติปัฏฐาน ๔ สรุปเป็นการ ปฏิบัติโดยยึดรูปนามเป็นอารมณ์ พระธรรมธีรราชมหามุนีอธิบายว่าเป็นอานาปานปัพพะโดย
๑๒๖ เป็นปัพพะหนึ่งในกายานปุ ัสสนาสติปัฏฐานเพราะลมหายใจเข้าเป็นเหตุ ท้องยุบเปน็ ผล วิธีการ กำหนดเช่นนี้ในทางวิปัสสนาได้ผลดีเหมือนกับการกำหนดลมหายใจเข้าออกโดยตรงในเร่ืองนี้น้ัน อาจจะเป็นการอธิบายให้ผู้ปฏบิ ัตยิ อมรับว่าวิธีการนไี้ ม่แตกตา่ งไปจากการกำหนดลมหายใจเหมือน วิธีเก่าด้ังเดิม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติยอมรับได้ง่าย การอธิบายน้ี วิปัสสนาจารย์รุ่นหลังๆยังสอนว่า เป็น การกำหนดปลายลมแทนที่จะเป็นต้นลม ในความเห็นของผู้วิจัยมีความเข้าใจว่า“การกำหนด อาการพองยุบเป็นการกำหนดวาโยโผฏฐัพพารมณ์” เพราะว่าโดยสภาวะลักษณะของวาโยธาตุ มีลักษณะเคร่งตึง พัดโบก สั่นไหว การเคล่ือนไหวของหน้าท้องจึงเป็นลักษณะของวาโยโผฏฐัพพา รมณ์ตรงตามสภาวะลักษณะของธาตุลมแต่สำหรับอานาปานปัพพะเป็นการมีสติตามรู้ลม หายใจ หรอื กองลมโดยตรง แตกตา่ งจากการรู้ทางหนา้ ทอ้ งอนั เปน็ โผฏฐัพพารมณ์ทเี่ กิดจากลม ส่วนพระภัททันตะ อาสภมหาเถระ พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่า อธิบายเกี่ยวกับการเดิน จงกรม ๖ ระยะว่า“เนื่องจากคนรุ่นหลังเป็นผู้มีกิเลสหนาแน่น”จึงต้องอาศัยการเดินจงกรม หลายระยะเพื่อให้จิตเกิดสมาธิ(ขณิกสมาธิ) วิริยะ และสติที่คล่องแคล่ว วิริยะช่วยให้ผู้ปฏิบัติตื่น แล้ว เอาใจใส่กำหนดอยเู่ สมอ การกำหนดที่ทนั ปัจจุบนั เปน็ ปัจจุบันสำคญั ที่จะทำใหบ้ รรลุธรรม ผล นิพพาน การเดินจงกรมท่ีมากเกินไปจะเกิดปัญหาต่อการปฏิบัติ อันเกี่ยวกับอินทรีย์โดยเมื่อ อินทรีย์ไมเ่ สมอกัน จะเกิดผลดังนี้ วิริยะมากเกินไป คือ การเดินจงกรมมากเกินไปจะทำให้ฟุ้งซ่าน มาก ในเวลานั่งสมาธิ สมาธิมากเกินไป คือการน่ังกรรมฐานเป็นเวลานานๆ จะทำให้ง่วงนอน ซมึ เศรา้ และหลับในโดยไมร่ ้ตู ัวหรือบางรายสมาธิยงิ่ เกินจนเกิดอาการตวั แข็ง ฉะนั้นวิริยะกับสมาธิ ควรจะสมดุลกัน โดยต้องปรบั การเดินนั่งใหส้ ม่ำเสมอกนั สตกิ ำหนดไดท้ ันทันปัจจุบนั ญาณปัญญา จงึ เกิดได้ทำลายอวิชชาและคลายความยึดมั่นในอัตตาตัวตนได้หมดส้ิน การกำหนดอิริยาบถใหญ่ และ อิริยาบถย่อย อิริยาบถใหญ่ ได้แก่ การเดิน การนั่ง การยืน การนอน ส่วนอิริยาบถย่อย ได้แก่ การก้าวไป การถอยหลัง เหลียวซ้าย แลขวา คู้ เหยียด พาดสังฆาฏิ ห่มจีวร นุ่งผ้า กิน ดื่ม เค้ียว ลิ้มรส ถา่ ยอุจจาระ ปัสสาวะ เดิน ยืน น่ัง นอน หลับ ตื่น พูด สรปุ คือ อาการ๒๒ พระธรรม ธรี ราชมหามนุ ี สอนเน้นการกำหนดอิรยิ าบถใหญ่น้อย เพราะมีความสำคัญมาก ขณะยืนต้องมี การกำหนดว่า“ยืนหนอ”ตรงกับหลักฐานในพระไตรปิฎกว่า“ผู้ปฏิบัติยืนอยู่ รู้ว่ายืนอยู่”การ กำหนดให้ตรงกับสภาวะความเป็นจริงจะทำให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติอย่างมาก แม้ใน เบ้ืองต้นผู้ปฏิบัติยังยึดติดอารมณ์บัญญัติ คือ รู้ว่ายืนโดยยึดอัตตา ว่า เรายืน เมื่อกำลังของสติ สมาธิ ปัญญามากขึ้นทำให้เห็นสามัญลักษณะ คือ ความเป็นธาตุ และสภาวะลักษณะคือสภาพ ไตรลักษณ์ จิตจะละคลายความยึดม่ันลงได้ อิริยาบถเดิน น่ัง และนอน มีนัยเดียวกัน เช่น อริ ิยาบถนอนกำหนดว่า“นอนหนอ”ตรงกับพระไตรปิฎก“เวลานอนรู้ว่ากำลังนอนอยู่”ในอริ ิยาบถ นอน พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสทิ ฺธิ)สอนให้กำหนดพองหนอ ยุบหนอจนกว่าจะหลับ
๑๒๗ การกำหนดว่านอนหนอเพียงขณะนอนลงทันทีแรกเท่านั้น เพื่อให้จิตเกาะอารมณ์ที่ชัดเจนกว่า และแคบลง เพ่อื ให้สติ สมาธิ ปญั ญา เกิดได้งา่ ยกวา่ อิริยาบถย่อยจัดอยู่ในหมวดสัมปชัญญะปัพพะ ว่า ด้วยการมีสัมปชัญญะรู้ตัวในอิริยาบถ ใหญ่ และอิริยาบถย่อย ทั้งปวง ในชีวิตประจำวันคือรู้อาการ ๒๒ ใน ปัจจุบันทุกขณะ ในการ เปล่ียนอิริยาบถจากเดินจงกรมเป็นน่ังสมาธิ หรือจากน่ังสมาธิเป็นลุกขึ้นเดินจงกรม ต้องกำหนด อิริยาบถย่อยให้ครบถ้วนท่ีสุดเทา่ ที่จะทำได้ เพราะจะช่วยไม่ให้อารมณ์ร่ัว ขาดสติ หากละเลยการ กำหนดอิริยาบถย่อย จะทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ เป็นช่องทางให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ เข้า แทนท่ี ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้คุณภาพการปฏิบัติถอยลงไป การกำหนดอิริยาบถย่อยตรงกับ พระไตรปฎิ ก ท่ีพระพุทธเจา้ ตรัสไวว้ ่า ดูกอ่ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ข้ออืน่ ยังมอี ยูอ่ กี ภกิ ษุเวลาก้าวไป ถอย กลับ กำหนดรู้อยู่ ฯลฯ เวลาเดินไป เวลาเดิน เวลาน่ัง เวลาฟัง เวลาต่ืน เวลาพูด เวลานิ่งเงียบ กำหนดรู้อยู่ ดังน้ัน การสอนให้กำหนดอิริยาบถใหญ่ คือ ยืน เดิน น่ัง นอน และอิริยาบถย่อย ของพระธรรมธรี ราชมหามุนี จงึ ตรงตามพระไตรปฎิ กทุกประการ๓๖ [๓๗] พระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตธมฺโม)ว่าเป็นโรคกรรมท่ีบคุ คลผู้นน้ั เคยได้กระทำ ไว้การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตรเท่าน้ันสามารถรักษาโรคกรรมให้ หายได้โดยต้องปฏิบัติด้วยความศรัทธา ความเพียร และความอดทนอย่างที่สุด จนสติสัมปชัญญะ เจริญสมบูรณ์ พจิ ารณาในทุกข์ทเี่ กดิ ข้ึน กำหนดเวทนาท่ีเผชิญอยดู่ ้วยสตทิ ่ีตั้งมน่ั จนเกิดกุศลจิตขึ้น ในจิตใจเมื่อแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลจนได้รับการอโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรจะสามารถ หายจากโรคกรรมท่ีเป็นอยู่ได้ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตรเป็น วิธีการบำเพ็ญเพียรทางจิตหน่ึงในโพธิปักขิยธรรมเป็นธรรมะในการตรัสรู้ มีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ ท่ีการตัดสิ้นกิเลสทั้งปวง บรรลุ เข้าสู่นิพพาน โดยมีวิธีการปฏิบัติ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นการฝึกเจริญสติและใช้สติพิจารณาร่างกายเท่าทันความเป็นจริง เพ่ือให้เกิดความเบ่ือหน่าย คลายความหลงใหลในร่างกายปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ๒)เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นการฝึกเจริญสติให้รู้เท่าทันเวทนาท่ีเกิดขึ้นความแปรปรวนของ เวทนาและในขณะที่เวทนานั้นดับไป เม่ือมีสติพิจารณาได้ชัดแจ้งแล้ววางอุเบกขา ปราศจากความ ยึดม่นั ถอื ม่ันในเวทนานัน้ ๓)จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นการฝึกเจริญสติให้ร้เู ท่าทันจติ ความคิด และอาการของจิต เมื่อพิจารณาจิตท่ีเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไป จนรู้แจ้งแล้ว จะปราศจากการยึด มั่นถือม่ันในจิต สามารถละกิเลสตัณหาได้ ๔)ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการฝึกเจริญสติ พิจารณาให้รู้เท่าทัน และรู้แจ้งในธรรม เมื่อเจริญสติในธรรมได้ถึงพร้อมจะเกิดปัญญาในการ พิจารณาเห็นความจริงจนเกิดความเบ่ือหน่ายในกองทุกข์ สามารถดบั ทกุ ขเ์ ข้าสนู่ ิพพานได้ ๓๗ ๓๖ อา้ งแลว้ , พรรณราย รตั นไพฑูรย์, [รหสั แบบบันทกึ ๒/๔๔]. ๓๗อ้างแลว้ , พลกฤษณ์ โชติศริ ิรตั น์, [รหัสแบบบนั ทึก ๔๑-๕๔]
๑๒๘ ๔.๑.๓) การขยายความจากผศู้ กึ ษาวิจัย : ด้านกายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [๓๘] การปฏิบัติเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน โดยท่านสะยาดอ ภัททันตะ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ควบคุมดูแลการปฏิบัติ พบว่า หลักปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักการ วิธีการที่พระพุทธองค์ทรงตรัสยืนยันว่าเป็นทางสายเอก ทางสายเดียวท่ีนำไปสู่ความพ้นทุกข์ มีสิ่งท่ีเป็นต้นเหตุเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือความพอใจไม่ พอใจ ความไม่รู้ ความยึดมั่นถือม่ันในตวั ตน ในอารมณ์ทงั้ หลาย จากประสบการณ์ตรงที่ผศู้ ึกษาได้ ประสบด้วยตนเอง(สันทิฎฐิโก)ท่ีเข้าปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตลอดระยะเวลา ๗ เดือน สรุป วเิ คราะหส์ ภาวธรรมที่ได้ประสบพบเจอตามกรอบของหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ ดงั นี้ (๑) การปฏิบัติเป็นวิปัสสนาล้วน คือ อิริยาปถปัพพะ สัมปชัญญะปัพพะ และธาตุ มนสิการปัพพะ สรุปวิธีปฏิบัติคือ การกำหนดรู้ในอริ ิยาบถใหญ่(ยืน เดิน นั่ง นอน)อิริยาบถย่อย และอาการพองอาการยุบของท้อง ท่านสะยาดอ ภัททันตะ วิโรจนะ ให้ใส่ใจกำหนดจดจ่อ ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ต้ังแต่ตื่นนอนจนถึงหลับไปเม่ือต้ังใจใส่ใจกำหนดจดจ่อตอ่ เนอ่ื งอยา่ งจริงจัง แล้วทำให้เห็นว่ามีความมหัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกอาการพองอาการยุบทุกการขยับทุกการ เคล่ือนไหว ทุกอิริยาบถ เพราะจะเห็นได้ว่าทุกขณะท่ีมีการกำหนดอยู่น้ัน โลภะ โทสะ โมหะ จะ เร่ิมเข้าแทรกจิตของเราไม่ได้ย่ิงกำหนดจดจ่อ ต่อเนื่องไปยิ่งเห็นชัดเจน ว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน ของเราไม่ถูกกระตุ้นไม่ถูกกระทบหรือกระทบแต่ไม่กระเทือนถึงจิต และในช่วงต้นๆพอ ขาดการกำหนดจะเห็นได้ชัดเจนว่าจะกระเทือน (อึดอัด ขัดเคือง) ถึงใจง่ายกวา่ ตอนยงั ไม่ได้ปฏิบัติ ทำให้เข้าใจชัดในคำกล่าวที่หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า“ทุกข์จะไม่โผล่ถ้าไม่โง่เรื่องผัสสะ” ดงั น้ันท่านสะยาดอ ภัททันตะ วิโรจนะ จะยำ้ เสมอว่า“ขาดการกำหนด”คือ การปฏิบัตจิ ะก้าวหน้า ไม่ได้ ถ้ายังกำหนดจดจ่อต่อเน่ืองทุกๆอิริยาบถไม่ใช่หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความก้าวหน้าได้ เลย คือกำหนดได้กี่เปอร์เซ็นต์ความก้าวหน้าเท่ากับเปอร์เซ็นต์ของความก้าวหน้านั่นเอง โดยไม่ ตอ้ งถามใครเราสามารถรไู้ ด้ด้วยตัวเราเอง (๒) การเดินจงกรม ตามหลักการวิธีการเดินจงกรมท่ีปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิมรรค จะมี ๖ ระยะ แบบมีระยะ ๑-๖ ชัดเจน บางท่านจะเดนิ ไปตามปรารถนาของตนเองแต่สะยาดอ ภัททันตะ วิโรจนะ จะกำหนดให้เดินตามความก้าวหน้า และสว่ นใหญ่ไม่นยิ มเดินตามรูปแบบ ๖ ระยะแต่จะ นิยมใช้การเพิ่ม(เติมการกำหนด)ในระยะท่ี ๑-๓ เท่าน้ัน เช่นระยะท่ี ๓ ยกหนอ-ย่างหนอ-เหยียบ หนอ สามารถเติมเป็นยกหนอๆ ย่างหนอๆ เหยียบหนอๆ แล้วเพ่ิมยกหนอเป็น ๑๐ ยกหนอ ๓๐ ยกหนอ หรือในยกครั้งเดียวกำหนดเป็นร้อยยกหนอได้ ถ้าจิตของผู้ปฏิบัติละเอียดพอและจะใช้ ระยะทางส้นั ๆ กำหนด ๓-๔ เทย่ี วได้หนง่ึ ชว่ั โมงแล้ว (๓) การกำหนดอาการพองอาการยุบเป็นอาการท่ีปรากฏฐานกายและกำหนดอาการ พองอาการยุบเป็นการกำหนดวาโยโผฏฐัพพะรูปกล่าวโดยอนุโลมว่าเป็นการกำหนดอานาปานะ
๑๒๙ โดยอ้อมและการกำหนดรู้อาการพอง อาการยุบเป็นการกำหนดรู้อาการเคลื่อนไหวของธาตุลม “กุจฉิสยวาโย ลมในท้อง”อาการพองอาการยุบเป็นรูปจิตที่รู้อาการพองอาการยุบนั้นเป็นลม ดังนั้นการกำหนดพอง-ยุบ จึงอยู่บนฐานของการกำหนดรูปนาม หรือเปรียบเทียบขันธ์ ๕ ใน การกำหนดอาการพองอาการยุบได้เพราะขันธ์ ๕ เม่ือย่อลงมาเท่ากับรูปนาม คือ รูป อันหมายถึง รปู ขันธ์ และ นาม หมายถึง นามขันธ์ ได้แกเ่ วทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สงั ขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ดังน้ี อาการพองอาการยุบ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ หมายถึง เมื่อกำหนดอาการพองอาการยุบ เกิดความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ หรือชอบใจไม่ชอบในต่ออาการพองอาการยุบ เม่ืออาการพอง ยุบเปล่ยี นไปเป็นอึดอัดบ้าง นุ่มนวลบ้าง สัญญาขันธ์ หมายถงึ ความจำได้ว่าอาการอย่างนี้เรียกว่า พองอาการอย่างนี้เรียกว่ายุบหรือจำได้ว่ารู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ หลังจากเกิดอาการน้ัน สังขารขันธ์ หมายถึง เมื่อเห็นอาการพองอาการยุบ และรู้จักอาการแล้วมีความคิดปรุงแต่ง สนับสนุนเสริมให้น่าหลงใหลในอาการพองอาการยุบ ในอาการหลังจากพองยบุ นั้น วิญญาณขันธ์ หมายถงึ การรับรู้อาการท้ังหลายท่เี กิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเวทนา สัญญา สังขาร การกำหนดพอง-ยุบ จงึ เป็นรปู นาม (๔) ส่งสอบอารมณ์ทุกวันพระอาจารย์กำหนดให้สอบอารมณ์ทุกวันเว้นวันพระแต่ถ้ามี สภาวะพเิ ศษอนุญาตให้ส่งได้โดยไม่มีการกำหนดเวลาให้สอบถามได้จนเป็นท่ีพอใจจากการทดลอง ปฏิบัติผู้ศึกษาพบว่าทำให้การปฏิบัติไม่มีการติดขัดเพราะสามารถสอบถามในสิ่งท่ีไม่เข้าใจสงสัย นน้ั ไดท้ ุกวันจึงเห็นวา่ เปน็ ประโยชน์ตอ่ การปฏบิ ัตมิ ากและเห็นว่าสอดคล้องกับวธิ ีการของพระพุทธ องค์ที่ปรากฏในอรรถกถาเร่ืองพระอธิมานิกภิกษุ ไม่สามารถรู้สภาวธรรมของศิษย์ด้วยญาณ เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ จึงต้องให้มาเล่าให้ฟังหรือสอบถามกันโดยตรง องค์แห่งการกำหนด สะยาดอ ภัททันตะ วิโรจนะ ได้แนะนำองค์แห่งการกำหนด(ทุกอิริยาบถ) มีหลักในการกำหนด ๓ ประการ คือ ๑) ต้องชา้ ๆ ๒) ต้องกำหนดจดจ่อให้ทนั ปัจจุบัน ๓) ต้องให้ตอ่ เน่ืองหรอื ติดต่อกัน จริงๆ ในอิริยาบถเดินกับอิริยาบถน่ังแนะนำให้กำหนดเท่าๆ กัน ถ้าครึ่งช่ัวโมงเดินครึ่งช่ัวโมงนั่ง คร่ึงชวั่ โมง ถ้าเดินหนึ่งชว่ั โมงนั่งหน่ึงชั่วโมง ไม่ได้บังคับว่าจะต้องแค่ไหนอย่างไร แต่ถ้ายังน่ังไม่ถึง หน่งึ ชั่วโมงจะยังไม่มกี ารสอบอารมณ์ให้๓๘ [๓๙] การนั่งกำหนดใหม่ๆพอส่งใจไปที่หน้าท้องถ้าจับพอง-ยุบ ไม่ได้ให้เอามือมาวางที่ บริเวณหน้าท้อง พอกำหนดได้ดีแล้วเอามือลองและถ้าต่อไปอาการพองอาการยุบมันใหญ่ขึ้น ยาว ข้ึนสามารถเพ่ิมการกำหนดเป็นหลายกำหนดในอาการพองเดียวยุบเดียวได้ เช่น พองหนอๆ พอง หนอๆๆ พองหนอๆๆๆ ยุบหนอๆๆยุบหนอๆๆๆหรือถ้าไม่มีอาการพองอาการยุบมีอาการอย่างไร กำหนดอย่างนั้น เช่น นั่งหนอ ถูกหนอ รู้หนอตามส่วนต่างๆของร่างกาย น่ังหนอ ไม่มีหนอ พอง ยุบ เบา ไหว โยก โยน ว่าไปตามอาการท่ีปรากฏ ประการสำคัญคือให้มีการกำหนดอยู่ ไม่ว่า ๓๘ อา้ งแล้ว, พระปลัดพงคศ์ ักดิ์ ธมมฺ วโร (อภยั โส), [รหัสแบบบันทกึ ๑๔-๕๒]
๑๓๐ อาการที่ปรากฏคืออะไรให้กำหนดว่า รู้หนอๆๆๆ อิริยาบถยืนจะคุ้นเคยกับการใช้ในตอนก่อนเดิน กบั ตอนสุดทางจงกรม แต่สะยาดอจะแนะนำให้ใช้การยนื แทนการเดินจงกรมได้ ผู้ศึกษาได้ทดลอง ปฏิบัติดูสามารถกำหนดได้สภาวธรรมเกิดชัดเจนมากกว่าการเดินจงกรมหรืออาจจะเท่าๆ กับ อิริยาบถน่ังว่าได้โดยเฉพาะเวทนาย่ิงชัดเจนกว่าอิริยาบถน่ังเสียอีกมีมาให้กำหนดสารพัดสารพัน และในท่ีสุดทำใหเ้ ห็นวา่ การปฏิบัตแิ บบพองยุบน้ี เป็นหลักการ วธิ ีการท่ีง่ายที่สุดและเหมาะกับคน ทุกเพศทุกวัย สามารถปฏิบัติได้เพราะใช้การกำหนดเป็นหลักเบื้องต้น ถ้าจะบอกว่ายากไม่รู้จะ กำหนดอะไรเป็นไปไม่ได้เลยเพราะในจักรวาลน้ีไม่มีสภาวะใดๆปรากฏอยู่นอกฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม เพียงแค่“กำหนดๆ”เพราะใช้กำหนดได้ทุกอย่างหรืออาจจะบอกว่าไม่ต้อง ไปหาอารมณ์ท่ีไหน ไม่ต้องหาอุปกรณ์ใดๆเพราะมีอารมณ์ให้กำหนดอยู่ตลอดเวลา กาย เคล่ือนไหวกำหนดท่ีกาย เกิดเวทนากำหนดที่เวทนา คิด ฟุ้ง กำหนดที่ความคิด อายตน ะ กระทบสง่ิ ใดกำหนดท่ีสงิ่ นัน้ “กำหนดๆอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง ทุกทที่ ุกเวลา ทกุ การขยับ ทุกส่งิ ที่ เกดิ ขนึ้ กับกายกบั ใจ”สามารถพสิ จู นส์ งิ่ ทีพ่ ระพทุ ธองคต์ รัสไว้ไดแ้ ลว้ และสำคัญที่สุดตอ้ งพิสูจน์ด้วย ตนเองเพราะไมส่ ามารถอธบิ าย สาธยาย บรรยายเขียนบอกเป็นลายลักษณ์อกั ษรได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ด้วยภาษาใดๆได้หรือหากแม้เขียนได้อธิบายได้ไม่สามารถเข้าใจตามนั้นได้อย่างแท้จริง อย่างสมบูรณท์ กุ ประการแนน่ อน๓๙ [๔๐] กายคตาสติกมั มัฏฐานและกายานุปัสสนา คอื การใชส้ ตพิ ิจารณากายเปน็ อารมณ์ โดยเลือกสถานท่ีปฏิบัติเป็นที่สงบ สงัด ปราศจากสิ่งรบกวน ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ได้แก่ มีสติ หายใจเข้า มีสติหายใจออก มีสติอยู่ท่ีการเคล่ือนไหวอิริยาบถใหญ่ (เดิน ยืน นั่ง นอน) มีสติอยู่ที่ การเคล่ือนไหวอิริยาบถย่อยทุกอย่าง มีสติพิจารณาส่วนประกอบของร่างกาย (อาการต่างๆ) เป็น สิ่งไม่งาม ไม่สะอาดน่ารังเกียจ มีสติพิจารณาร่างกายให้เป็นธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีสติพิจารณา ร่างกายให้เห็นเป็นซากศพ มีการอืดพอง เน่าเปื่อย ถูกสัตว์แทะกินเหลือแต่กระดูกกายคตาสติ และกายานุปัสสนา จึงเป็นการพิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในภายนอกของตนเองและภายใน ภายนอกของผู้อ่ืน มีจิตต้ังม่ันอยู่ในอารมณ์เดียวเกิดเป็นสมาธิเห็นความไม่เท่ียงเป็นทุกข์ เป็น อนตั ตา เกิดความเบือ่ หน่าย คลายกำหนัด ขจัดอภชิ ฌา และโทมนัสในโลก การปฏิบตั ิกายคตาสติกัมมฏั ฐาน การปฏิบตั ิ ๔ ข้ันตอน ได้แก่ ขั้นแรกเปน็ ขัน้ เตรยี มการ คือ การเลือกสถานที่อันสมควร การตัดปลิโพธิ การเลือกหาอาจารย์ผู้เป็นกัลยาณมิตร การเป็นผู้ ไม่เกียจคร้าน เป็นผู้มีศีล มีจิตบริสุทธิ์ ขั้นตอนท่ี ๒ เริ่มลงมือปฏิบัติด้วยการนั่งขัดสมาธิ ต้ังกาย ตรง ดำรงจิตให้ม่ัน เจริญอานาปานัสสติ ต้ังสติสาธยายอาการ ๓๒ ด้วยความเพียร มีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ เกิดจิตเป็นสมาธิม่ันคง มีอารมณ์หนึ่งเดียว อดทนต่อความร้อนหนาว อดกลั้นต่อ ทุกขเวทนา ข้ันตอนที่ ๓ กำหนดพิจารณาอาการ ๓๒ เป็นส่วนๆแล้วกำหนดพิจารณาร่างกายเป็น ๓๙ อา้ งแล้ว, พระปลัดพงคศ์ กั ดิ์ ธมมฺ วโร(อภัยโส) , [รหสั แบบบันทกึ ๑๔-๒๕๕๒]
๑๓๑ ธาตุ ๔ เจริญอสุภสัญญาเห็นความไม่สวยงามน่ารังเกียจเป็นสิ่งปฏิกูลทำให้เกิดความเบ่ือหน่าย อย่างที่สุด คลายกำหนัด ละราคะ ดับกเิ ลสหมดสน้ิ ขนั้ ตอนสุดทา้ ยเม่ือจติ หลุดพ้นจากอาสวะด้วย ปัญญาให้พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เข้าถงึ ความเปน็ อมตะ คอื นพิ พาน๔๐ [๔๑] การกำหนดอิริยาบถย่อยสำคัญท่ีสุดของวิปัสสนากัมมัฏฐาน รองลงมาคือการเดิน จงกรมและนั่งสมาธิตามลำดับนักปฏิบัติใหม่ๆมักจะไม่เห็นความสำคัญและขาดศรัทธาในการ ปฏิบัติต่อการกำหนดอิริยาบถย่อยเพราะคุ้นเคยในอิริยาบถของการนั่งสมาธิ ปัญหานี้ต้องแนะนำ ให้ผู้ฝึกใหม่เขา้ ใจก่อนเข้าปฏิบตั ิและสรา้ งศรทั ธากอ่ นมฉิ ะน้ันเวลาเข้าปฏิบัติผ้ปู ฏบิ ัตจิ ะเดนิ จงกรม น้อยกวา่ นัง่ สมาธิ วริ ิยะ-ความเพยี ร ต่อการกำหนดอย่างไม่หยดุ ต่อเนื่องในทุกขณะของจิตท่รี ับ อารมณ์วิริยะคือ ปัจจัยเสริมให้วิปัสสนาเกิดความบริบูรณ์ข้ึน หากกำหนดด้วยวิริยะในทุก อารมณ์ที่ชัดเจน ผลที่จะตามมา คอื สติที่เกิดข้ึนตอ่ อารมณ์ต่างๆของนามและรูป(อารมณ์) เม่ือสติ เกิดขณิกสมาธิเกิดขึ้น ณ ท่ีนั้น อย่างไรดีการกำหนดไม่ใช่การท่องแค่คำพูดหรือแค่นึกคิดแต่ต้อง เป็นการกำหนดตรงต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นจริง การปรับอินทรีย์ ๕ เพ่ือให้เกิด พละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา) เป็นเครื่องมือท่ีสำคัญในการพัฒนาสู่การเกิดวิปัสสนาญาณ ๑๖ การปรับอินทรยี ์ ๕ เปรียบได้กับการเอาเลนส์ขยายมาส่องกระดาษโดยให้แสงอาทิตยม์ ารวมตัวกัน จนเป็นจุดเล็กๆเพื่อรวมให้เกิดความร้อนสูงสุด ถ้าขยับเลนส์ไม่ถูกตำแหน่งพลังแสงแดดจะไม่ รวมตัวกันและแสงจะกระจายทำให้ขาดพลัง ดังน้ัน ระยะทางจะต้องพอดีและถูกตำแหน่ง ตวั อย่างน้ีเปรียบได้กับการปฏิบัตวิ ิปัสสนา ของการกำหนด รูป และ นาม ด้วยการปรับอินทรีย์ ๕ โดย ไม่ตรึงเครยี ด-หย่อนยาน ไม่ใกล้-ไกล ไม่บังคับ-ปล่อย ไม่เอียงซ้าย-ขวา ไม่ไปบน-ล่าง ไมเ่ พ่ง-เหม่อลอย แตต่ ้องไดจ้ ดุ ทีเ่ หมาะสมและสมดลุ ๔๑ [๔๑] การศึกษาผลงานของพระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตธมฺโม) พบว่า มีผู้ป่วยท่ี ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้วหายจากโรคที่ตนเป็นอยู่ จำนวน ๔๔ ราย อันประกอบด้วยผู้ป่วย โรคหัวใจ ๓ ราย ผู้ป่วยอัมพาต ๗ ราย ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ๘ ราย ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ๓ ราย และ ผู้ป่วยท่ีมีอาการทางจิตเภท ๕ ราย เป็นต้น นอกจากเป็นผลท่ีได้รบั จากการอโหสิกรรมทำให้หาย จากโรคกรรมที่เปน็ อยแู่ ล้ว สมาธิที่เกิดขนึ้ จากการปฏิบตั ิวิปัสสนากัมมัฏฐานยังเป็นกลไกสำคญั ที่มี ผลดีต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลทำให้สามารถรักษาโรคให้หายได้ ผลของสมาธิจากการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมีผลต่อระบบต่างๆ ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรค อ่ืนๆ ได้แก่ โรคลมชัก โดยไปเพิ่มปริมาณสาร GABA เป็นสารส่ือประสาทในสมอง ทำให้สามารถ รักษาสมดุลของสมองและระบบประสาท เกิดความสงบผ่อนคลายจึงสามารถรักษาและป้องกัน ๔๐ อา้ งแล้ว, ทัศนี วงศย์ นื , [รหัสแบบบนั ทกึ ๑๑–๕๐]. ๔๑ อา้ งแลว้ , อณวิ ัชร์ เพชรนรรตั น์, [รหสั แบบบันทกึ ๑๐–๔๙]
๑๓๒ การเกิดโรคลมชักได้ โรคหอบหืดโดยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจะมีผลในการลดอัตราการ หายใจ ช่วยรักษาภาวะอัตราการหายใจผิดปกติในผู้ใหญ่ควบคุมจังหวะการหายใจและยังมีผลลด การตอบ สน องต่ อสิ่งเร้าท่ี ท ำให้ เกิดอาการห อบ หื ดโรคภู มิคุ้มกัน บ กพ ร่อง (Human Immunodeficiency Virus:HIV) การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมีส่วนสำคัญในการดูแลรักษา ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพรอ่ งเปน็ อยา่ งมาก ท้ังในแง่ช่วยใหจ้ ติ ใจสงบผ่อนคลายลดอาการวิตกกังวล และทำให้นอนหลับได้ดีขึ้นช่วยให้รู้เท่าทันความคิดเชิงลบท่ีเกิดขึ้นและช่วยพัฒนาความรู้สึกรัก และเมตตาทำให้เข้าใจและให้อภัยต่อตนเอง นอกจากน้ีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานยังมีผลต่อ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) ช่วยการจัดความเครยี ดเร้ือรัง เป็นปัจจัยท่ีทำให้ เกิดผลด้านลบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและอาการปวดเมื่อยกล้ามเน้ือ โดยการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานมีผลช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเน้ือเป็นผลมาจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า และเพ่ิมการไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อสว่ นต่างๆ ทำให้อาการปวดเมอื่ ยกล้ามเน้ือหายไปได้ สรปุ ผล การศึกษาเชิงวิเคราะห์การรักษาโรคด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรม สิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ได้ว่า การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรม สิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) สามารถรักษาโรคท่ีเกิดข้ึนทั้งทางร่างกายและจิตใจให้หายได้ ดว้ ยผลจากการไดร้ ับการอโหสิกรรมและผลของสมาธิที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยมีผลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ว่า การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานสามารถการรักษาโรคได้ จริง๔๒ [๔๓] สร้างระดับอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ๑๖ ของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานจำนวนทงั้ ๒๐๐ รูป/คน พบว่า นิสติ ผู้ปฏิบตั ิวิปสั สนากรรมฐานมีความรู้และความเข้าใจ ก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการเดินจงกรม ไดแ้ ก่ การเดนิ จงกรม ๖ ระยะ มีขวายา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ เป็นตน้ ขณะที่เกิดความรู้สกึ เจ็บปวด หรือสบายหรือว่าเฉยๆ ทั้งขณะที่จิตนึกรัก โกรธ หลง เป็นต้น และขณะที่จิตเกิดความยินดี พยาบาท ง่วง ท้อแท้ เกียจคร้าน ฟุ้งซ่าน เบื่อรำคาญ ลังเลสงสัย หรอื เกิดความระลึกได้ พิจารณา ธรรม เพียรพยายาม อ่ิมใจ สงบ ต้ังม่ัน ปล่อยวางอย่างมีปัญญาแทรกในขณะเดินจงกรม ระดับ ปานกลาง นิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีความรู้และความเข้าใจก่อนการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการนั่งสมาธิ คือในขณะน่ังสมาธิจะสังเกต อาการพอง-ยุบ ของท้อง ท้ังขณะที่เกิดความรู้สึกเจ็บปวดหรือสบายหรือว่าเฉยๆทั้งขณะที่จิตนึก รกั โกรธ หลง เป็นต้น และขณะท่ีจิตเกิดความยินดี พยาบาท ง่วง ท้อแท้ เกียจคร้าน ฟุ้งซ่าน เบื่อ รำคาญลังเลสงสัย หรือเกิดความระลึกได้ พิจารณาธรรม เพียรพยายาม อ่ิมใจ สงบ ต้ังม่ัน และ ปล่อยวางอย่างมีปัญญา แทรกในขณะน่ังสมาธิ ระดับปานกลาง ผลการวิเคราะห์รูปแบบของการ ๔๒ อา้ งแล้ว, พลกฤษณ์ โชติศริ ิรัตน์, [รหัสแบบบันทึก ๔๑-๕๔]
๑๓๓ กำหนดทางทวาร ๖ (อายตนะภายในอายตนะภายนอก ๑๒) คือ ระดับปานกลาง คือ ขณะเห็น ขณะได้ยินเสียง ขณะดมกล่ิน ขณะล้ิมรส ขณะท่ีการถูกต้องสัมผัสเย็น ร้อนฯลฯ และขณะเกิด ความนึกคิด นิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีความรู้และความเข้าใจก่อนการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานหรือการเจริญสติ ปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการกำหนดอิริยาบถย่อย ระดับปานกลาง คือ ขณะตื่นนอน ขณะล้างหน้าแปรงฟัน ขณะอาบน้ำ ขณะนุ่งห่มจีวรหรือสวมใส่เสื้อผ้า ขณะฉัน หรือรับประทานอาหาร ขณะด่ืมน้ำ ขณะล้างบาตร ถ้วย ชาม ช้อน ขณะก้ม-เงย ขณะแลซ้าย-แล ขวา ขณะเปิด-ปิดประตู ขณะกราบพระ ขณะเดินไปมา และขณะเข้านอน อินทรีย์๕ ได้แก่ สทั ธนิ ทรีย์(ศรัทธา) คู่กับ ปัญญนิ ทรีย์(ปัญญา) ของนิสติ กอ่ นการปฏิบัติวิปสั สนากรรมฐานท้ัง ๓ รูปแบบคือ การเดิน จงกรม การน่ังสมาธิและการกำหน ดอิริยาบถย่อย ส่วนมาก สัทธินทรีย์(ศรัทธา)คู่กับปัญญินทรีย์(ปัญญา)อยู่ในระดับมากที่สุด คือ การเดินจงกรมจะกำหนด ตามระยะเวลาท่พี ระวิปสั สนาจารยแ์ นะนำให้เดิน และการนัง่ สมาธิจะนง่ั กำหนดตามระยะเวลา ทพี่ ระวิปสั สนาจารย์แนะนำให้น่ัง นอกจากนั้นจัดอยู่ในระดับปานกลาง คือ การกำหนดอิรยิ าบถ ยอ่ ย จะเกิดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จะเกิดเล่ือมใสในพระธรรม และจะเกิดเลื่อมใสในพระอรยิ สงฆ์ อินทรีย์ ๕ คือ วิริยินทรีย์(วิริยะ) คู่กับ สมาธินทรีย์(สมาธิ) ของนิสิตก่อนการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ในรูปแบบการเดินจงกรม ส่วนมากวิริยินทรีย์(วิริยะ) อยู่ในระดับปานกลาง น้อยและ น้อยท่ีสุด คือ ในระดับปานกลาง ได้แก่ การเดินจงกรมจะกำหนดการแยกรูปแยกนามออกจาก กันได้ กำหนดเห็น“ตัวรู้ก่อนแล้วเท้าจึงเคล่ือนไปตาม” กำหนดเห็น“อาการเบาอาการหนักของ เท้า มีลักษณะเกิดขึ้นและดับไป” และกำหนดเห็น“อาการเบาอาการหนักของเท้าแล้วมีความ อ่ิมเอมใจ เป็นต้น” ในระดับน้อย ได้แก่ กำหนดเห็น“แต่ความดับไป หรือหายไป หรือจบไปของ อาการเบาอาการหนักของเท้า” กำหนดเห็น“ความกลัวในรูปนาม”กำหนดเห็น“โทษภัยในการ เวียนว่ายตายเกิด” กำหนดเห็น“ความเบื่อหน่ายในรปู นาม”กำหนดเห็น“ความอยากจะพ้นไปจาก รูปนาม” กำหนดเห็น “ความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของรูปนามอย่างชัดเจน” ระดับน้อย ในระดับน้อยท่ีสุด ได้แก่ กำหนดเห็น “ความวางเฉยหรือใจท่ีสงบต่อรูปนามอย่างมีท่าที” กำหนด “ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ บริกรรม อุปจารอนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๒ ขณะ อนุโลมญาณ คือ บริกรรมอุปจาร และอนุโลมท้ัง ๓ ขณะรวมกัน” หรือกำหนด“ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะอนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๒ ขณะรวมกัน”กำหนด“นิพพานมาเป็นอารมณ์”กำหนด“ความดับไปทางอนิจจัง” หรือ“ความดับ ไปทางทุกขัง”หรือว่า“ความดับไปทางอนัตตา”กำหนด“ความดับเงียบตอนสุดท้าย”และกำหนด “การหวนกลับพิจารณาถึงสภาวะท่ีตนเข้าสู่ความดับ”สำหรับอินทรีย์๕ คือ สตินทรีย์(เรื่องสติ) เป็นตัวกลางเช่ือมโยง สัทธากับปัญญา และวิริยะกับสมาธิให้เสมอกันในรูปแบบการกำหนด ทางทวาร ๖ และอิริยาบถย่อยของนสิ ิตก่อนปฏบิ ัติวิปสั สนากรรมฐาน ส่วนมากสตินทรยี ์(สติ) อยู่
๑๓๔ ในระดับระดับปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด คือในระดับปานกลาง ได้แก่ ในขณะเห็นรูปเป็นต้น จะสามารถกำหนดเห็น“ความวางเฉย เป็นต้น” กำหนดเห็น “ความอยากจะพ้นไปจากการเวียน ว่ายตายเกิด” ในระดับน้อยได้แก่ ในขณะเห็นรูปเป็นต้น จะสามารถกำหนดเห็น“รูปที่เห็น และ นามท่ีรู้เห็นออกจากกัน”กำหนดเห็น“รูปที่เห็น เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนามท่ีรู้”กำหนดเห็น“ความ เกิด-ความดับ”กำหนดเห็น“ความดับไปอย่างเดียวของความวางเฉย เป็นต้น” ในระดับน้อยท่ีสุด ได้แก่กำหนดเห็น“ความน่ากลัวในการเวียนว่ายตายเกิด” กำหนดเห็น“โทษภัยในการเวียนว่าย ตายเกิด” กำหนดเห็น“ความเบ่ือหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด” กำหนด“ชวนะทั้ง ๗ ขณะ คือ บรกิ รรม อุปจารอนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๒ ขณะ อนโุ ลมญาณ คือ บริกรรม อปุ จาร และ อนุโลม ๓ ขณะรวมกัน”หรือกำหนด“ชวนะ ๗ ขณะ คอื อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะอนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๒ ขณะรวมกัน” กำหนด“นิพพานมา เป็นอารมณ์” กำหนด“ความดับไปทางอนิจจัง”หรอื “ความดบั ไปทางทุกขัง”หรือ“ความดับไปทาง อนัตตา” กำหนด“ความดับเงียบตอนสุดท้าย”และกำหนด “การหวนกลับพิจารณาถึงสภาวะท่ีตน เข้าสู่ความดับ” อินทรีย์ ๕ คือ สมาธินทรีย์(สมาธิ) คู่กับวิริยินทรีย์(วิริยะ) ในรูปแบบของการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ การน่ังสมาธิของนิสิตก่อนปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน อยู่ในระดับ ปานกลางน้อยและน้อยทส่ี ุด คือ ในระดับปานกลาง ไดแ้ ก่ ในขณะนงั่ สมาธจิ ะกำหนดเห็น“อาการ พอง-ยุบเกิดข้ึนก่อน ใจจึงตามไปรู้ทีหลัง”กำหนดอยู่จะมีอาการคันเหมือนมีแมลงมาไต่หรือ อยากจะออกจากสังสารวัฏไม่อยากได้รูปนามอีก กำหนดอยู่การกำหนดไม่ค่อยสะดวกบางทีต้อง พยายามจนเหน่ือยและออ่ นเพลียถึงจะพยายามไมท่ ันปัจจุบัน กำหนดอยจู่ ะกำหนดได้คลอ่ งแคล่ว ใจสงบเงียบไม่มีเวทนา กำหนดอยู่เมื่อกำหนดไม่ทันจะกำหนดรู้หนอ กำหนดชา้ ลงเป็นธรรมดาอีก จะมีอาการเร็วข้ึนๆ กำหนดอยู่บริกรรมอุปจารอนุโลมได้เกิดขึ้น ดับเงียบไปตอนแรกเป็นอารมณ์ ในระดับน้อย ได้แก่ ในขณะนั่งสมาธิจะกำหนดเห็น“อาการพอง-ยุบ กับ ใจท่ีรู้อาการพอง-ยุบ เป็นคนละอย่างกัน” กำหนดเห็น“พอง-ยุบเกิดดับเร็ว”หรือแสงสว่างมากมายเต็มไปหมดหรือตัว เบา” กำหนดเห็น“พอง-ยุบหายไปอย่างเดียว”กำหนดเห็นพอง-ยุบหายไปหมด“เกิดความกลัว” กำหนดเห็น“แต่ของไม่ดี หรือไม่เห็นอะไรมีแต่หายไปๆเห็นแต่รูปนามเป็นโทษ”กำหนดสังขารรูป นามได้เป็นอย่างดี“แต่รู้สึกใจแห้งแล้งหรือรู้สึกเบ่ือๆ” กำหนดอยู่จะมีอาการคันเหมือนมีแมลงมา ไต่หรืออยากจะออกจากสังสารวัฏ ไม่อยากได้รปู นามอีก ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่ ย่อมเห็นรูป นามแสดงโดยความเป็นทุกข์แล้วเข้าสู่มรรค ดับเงยี บตอนกลาง มีนิพพานเป็นอารมณ์ ระดับน้อย ที่สุด คือ ในขณะน่ังสมาธิกำหนดอยู่บริกรรมอุปจารอนุโลมได้เกิดขึ้น ความดับเงียบไปตอนแรก เป็นอารมณ์ ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่ ย่อมเห็นรูปนามแสดงโดยความเป็นทุกข์แล้วเข้าสู่มรรค ดับเงียบตอนกลางมีนิพพานเป็นอารมณ์ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่ความดับเงียบตอนสุดท้า ยเป็น อารมณ์ ในขณะน่ังสมาธิกำหนดอยู่จะพิจารณาเห็นกิเลสท่ีละได้แล้วและกิเลสท่ียังเหลืออยู่ สรุป
๑๓๕ ความรู้และความเข้าใจหลังการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบ ของการเดินจงกรมของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนมากมีความรู้และเข้าใจในการเดิน จงกรม ๖ ระยะ มีขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขณะท่ีเกดิ ความรูส้ ึกเจ็บปวด หรือสบายหรือวา่ เฉยๆ ท้ังขณะท่ีจิตนึกรัก โกรธ หลง เป็นต้น และขณะท่ีจิตเกิดความยินดีพยาบาท ง่วง ท้อแท้ เกียจ คร้าน ฟุ้งซ่าน เบื่อรำคาญ ลังเลสงสัยหรือเกิดความระลึกได้ พิจารณาธรรม เพียรพยายาม อิ่มใจ สงบ ต้ังมั่น ปล่อยวางอย่างมีปัญญาแทรกในขณะเดินจงกรมยังอยู่ในระดับปานกลาง สรุปความรู้ และความเข้าใจของนิสิตหลังการปฏิบัติวิปัสสนากมั มัฏฐานหรือการเจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ในรูปแบบ ของการน่ังสมาธิ ส่วนมากมีความรู้และเข้าใจกัมมัฏฐาน ในขณะนั่งสมาธิสามารถสังเกตอาการ พอง-ยุบของท้องท้ังขณะที่เกิดความรู้สกึ เจ็บปวด หรือสบายหรือว่าเฉยๆ ทั้งขณะท่ีจติ นึกรัก โกรธ หลง เป็นต้น และขณะที่จิตเกิดความยินดี พยาบาท ง่วง ท้อแท้ เกียจคร้านฟุ้งซ่าน เบื่อรำคาญ ลงั เลสงสัยหรือเกดิ ความระลึกได้ พิจารณาธรรม เพียรพยายาม อมิ่ ใจ สงบ ตั้งม่ัน ปล่อยวางอย่าง มีปัญญาแทรกในขณะน่ังสมาธิอยู่ในระดับปานกลาง แต่มีความรู้ความเข้าใจเพ่ิมมากขึ้นในการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการน่ังสมาธิสังเกตได้จาก ก่อนปฏิบัติ สรุปความรู้และความเข้าใจของนิสิตหลังการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญ สติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการกำหนดทางทวาร ๖(อายตนะภายในอายตนะภายนอก ๑๒) สว่ นมากมีความรแู้ ละเข้าใจกัมมฏั ฐานเพิ่มข้ึนในขณะเหน็ ดมกลิ่น ลิม้ รส กายถูกต้องสัมผัสและใจ นึกคดิ ถงึ แม้จะจดั อยใู่ นระดับปานกลาง คือ ขณะเหน็ ขณะได้ยินเสียง ขณะดม ขณะลมิ้ รส ขณะท่ี กายถูกต้องสัมผัสเย็น ร้อน ฯลฯ และขณะเกิดความนึกคิด สรุปความรู้และความเข้าใจของนิสิตผู้ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หลังการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ใน รปู แบบของการกำหนดอริ ิยาบถย่อย ส่วนมากมีความรู้และเข้าใจการกำหนดอิริยาบถย่อยเพิ่มข้ึน แต่มีความแตกต่างกัน ยังคงจัดอยู่ในระดับปานกลาง คือ ขณะตื่นนอน ขณะล้างหน้าแปรงฟัน ขณะอาบน้ำ ขณะนุ่งห่มจีวร หรอื สวมใส่เสื้อผ้า ขณะฉันหรือรับประทานอาหาร ขณะดื่มน้ำ ขณะ ล้างบาตร ถ้วย ชาม ช้อน ขณะก้ม-เงย ขณะแลซ้าย-แลขวา ขณะเปิด-ปิดประตู ขณะกราบพระ ขณะเดินไปและขณะเข้านอน สรุป อินทรีย์ ๕ ได้แก่ สัทธินทรีย์(ศรัทธา) คู่กับ ปัญญินท รีย์(ปัญญา)หลังการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในรูปแบบทั้ง ๓ คือ การเดินจงกรม การนั่ง สมาธิและการกำหนดอิริยาบถย่อยของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนมาก สัทธินทรีย์(ศรัทธา) คู่กับ ปัญญินทรีย์(ปัญญา) อยู่ในระดับมาก คือ ในการเดินจงกรมจะ กำหนดตามระยะเวลาที่พระวิปัสสนาจารย์แนะนำให้เดิน อยู่ในระดับมากท่ีสุด ลดลงจากก่อน การปฏิบัติเน่ืองจากได้มีการปรับตัวศรัทธา สำหรับการน่ังสมาธิได้นั่งกำหนดตามระยะเวลาท่ีพระ วิปัสสนาจารย์แนะนำให้น่ังในระดับมากที่สุด นอกจากนั้น จัดอยู่ในระดับปานกลาง คือได้เกิด เล่ือมใสในพระพุทธเจ้าเกิดเล่ือมใสในพระธรรมและจะเกิดเล่ือมใสในพระอริยสงฆ์แต่การกำหนด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 552
Pages: