Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 03:57:25

Description: 58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

ภาคผนวก ๔๗ รวบรวมขอ้ มูล สามารถนำมาอธิบายเปน็ องค์ความรู้ท่ีได้จากการศกึ ษาปรากฏการณน์ น้ั (๓) การรโู้ ดยนยั (Tacit Knowing) โดยปกตเิ รามกั สนใจกบั คุณลกั ษณะท่ีเด่นชัดในการรับรู้ครั้งแรก แต่ ละเลยคณุ สมบตั ิอนั สำคัญกว่าที่ซ่อนอยู่ ซ่ึงจะปรากฏขึ้น ต่อเม่ือบคุ คลได้พิจารณาบางส่งิ บางอย่างซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า หรือปรากฏอยู่ในลักษณะของการได้คิดในภายหลัง (Second Thought) ทำให้เข้าใจท้ังภาพรวม ของประสบการณ์แกน่ แท้ของปรากฏการณท์ ีเ่ กิดข้นึ (๔) การหย่ังรู้(Intuition) ถือเป็นสะพานเช่ือมระหว่างความรู้ท่ีปรากฏชัดกับความรู้ท่ีแฝงเร้น การ หย่ังรู้เป็นสภาวะที่ปราศจากการใช้ความคิดและเหตุผล เป็นรอยต่อระหว่างการสืบค้นจากรอ่ ยรอยหนึ่ง ไปสู่ร่องรอยต่อไป ในช่วงรอยต่อนี้เอง ที่การหย่ังรู้ในบางสิ่งบางอย่างจะปรากฏข้ึน และทำให้เกิดความ กระจ่างแจ้งต่อปรากฏการณท์ ่ีศึกษา ฉะน้ันการหยั่งรจู้ งึ เป็นกระบวนการทขี่ ยายองค์ความรู้ไปสมู่ ิตทิ ลี่ ึกและ กวา้ งกว่าเดมิ (๕) การฝงั ตัว(Indwelling) เป็นการเฝา้ สังเกตด้วยความสนใจในบางแง่มมุ ของประสบการณ์มนุษย์ อยา่ งตั้งใจ กระบวนการนตี้ ้องอาศัย ความมีสติ สมาธิ และเป็นอิสระจากการใชค้ วามคดิ และเหตุผล แต่เฝ้า คิดตามรอ่ งรอยต่างๆที่ปรากฏข้ึน จมดิ่งอย่ใู นร่องรอยน้ันๆเพื่อขยายความหมายและเชือ่ มโยงความสัมพนั ธ์ กัน จนกระทัง่ สามารถอธิบายขอบเขตและรายละเอียดของประสบการณไ์ ด้ (๖) การเพ่งความสนใจ (Focusing) ไปยังความรู้สึกนึกคิดท่ีมีนัยสำคัญอย่างผ่อนคลายและเปิด กวา้ ง ซ่งึ จะทำให้มองเหน็ สภาวะที่แท้จรงิ ของส่ิงน้ันตรงตามความเปน็ จริงและจะเป็นประโยชน์ ต่อการตอบ คำถาม การจดั การกับคำถาม การแจกแจงองคป์ ระกอบของความร้สู กึ นกึ คดิ (๗) กรอบอ้างอิงภายใน(The Internal Frame of Referece) ความรู้ที่ได้มาจากการสบื สวนแบบ ค้นพบด้วยตนเองนั้น เก่ียวข้องกับการสังเกต ศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนจากภายในตนเองอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นกรอบอ้างอิง “ส่วนตวั ”ในการตีความปรากฏการณ์ ด้วยเหตุนี้การทำความเขา้ ใจประสบการณ์ที่ คล้ายคลึงกันของผู้อื่นจึงต้องศึกษาจากทัศนะของผู้น้ัน ผ่านการแลกเปล่ียนประสบการณ์ระหว่างกันอย่าง เปิดเผย และต้องยอมรับการใช้กรอบอ้างอิงส่วนตัวของผู้อ่ืน ผนวกกับความรู้จากประสบการณ์ตรงของ ตนเอง เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้วิจัยเลือกใช้รูปแบบ การสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง(Hearistic Inqulry) เป็นแนวทางหลักในการศึกษาวิจัย เน่ืองจากมีวิธีการสืบสวนประสบการณ์ภายในบุคคลท่ีคล้ายคลึงกันกับ การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานในพระพุทธศาสนาท่ีสืบสวนความจริงของธรรมชาติ จนรู้แจ้งความหมาย ของปรากฏการณ์จากตัวของมันเอง นอกจากน้ี การสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเองยังเป็นการศึกษาที่ให้ ความสำคัญกับบริบทแวดล้อมภายนอกท่ีเกี่ยวข้อง (Contextualization) จึงเน้นความหลากหลาย (Diversity) ท่ีเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ ทำให้การวิจัยรูปแบบน้ีไม่ได้เน้นระเบียบ วธิ ี(Methodology) ในการเก็บข้อมลู ภายในตนเองเพียงอย่างเดียว แต่มี วิธีวิทยา(Conceptualization) ในการเชื่อมโยงประสบการณ์ตนเองกับประสบการณ์ของบุคคลอ่ืนอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถศึกษา และทำความเขา้ ใจปรากฏการณท์ ป่ี ระจกั ษ์กบั แต่ละคนอย่างเฉพาะตัวได้ หลังจากที่ได้พัฒนาภาพรวมของกิจกรรมการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติท่ีเรียบเรียงตามลำดับ เวลาเพ่อื ให้เกิดความเข้าใจเนือ้ หาและหน้าทข่ี องการฝึกอบรมไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ชัดเจนแล้ว ขน้ั ตอนตอ่ ไปนี้ ก็ ยังเป็นการฝังตัวกับข้อมูล โดยการเพ่งความสนใจไปท่ีการทบทวนข้อมูลอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความกระจ่าง อย่างถ่องแท้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบประเด็นปัญหาในการศึกษาโดยใช้ข้อมูลท่ีรวบรวมได้ท้ัง ภาค ทฤษฏีและภาคปฏิบัติเป็นกรอบอ้างอิง ก่อนจะนำผลการศึกษาที่ประกอบ ๒ ส่วน โดยส่วนแรกเป็นการ สรุปผลการศึกษาเป็น ๔ ประเด็น คือ ๑)สรุปผลการศึกษาหลักไตรสิกขาและภาวนา ๔ ในคัมภีร์

ภาคผนวก ๔๘ การวิเคราะห์ พระพุทธศาสนา ๒)สรปุ ผลกระบวนการสร้างภาวนา ๔ ให้เกิดในกล่มุ ผู้ปฏิบัติธรรม ๓)สรุปผลการพัฒนา สรปุ ผลการวิจัย ตนทีเ่ กิดจากการฝกึ ฝนตามหลักไตรสิกขา ของกลุม่ ผ้รู ว่ มวิจยั ในด้าน กาย ศีล จิต ปญั ญา ๔)สรุปผลการใช้ วิธีการสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง (Hearistic Inqulry) ในการศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ จากน้ัน จึงนำเสนอส่วนที่สอง คือการอภิปรายผลที่ไดจ้ ากการศึกษาได้แก่ จุดเด่นของกระบวนการศึกษาใน พระพุทธศาสนา และปัญหาทีพ่ บมากในการปฏิบตั ธิ รรม กระบวนการสังเคราะห์ข้อมูลต้องอาศัยระยะเวลาฝังตัวในการศึกษาข้อมูลอย่างมีสติและสมาธิ การ เปรียบเทียบข้อมูลภาคทฤษฏีกับภาคปฏิบัติ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจท่ีลึกซ้ึงในจุดมุ่งหมายของ กระบวนการฝึกอบรม จนมองเห็นภาพรวมท่ีชัดเจน จากน้ัน ผู้วิจัยต้องเว้นระยะการศึกษาข้อมูล เพื่อให้มี เวลาในการประมวลผลความรู้และเกิดมุมมองใหม่ๆ ที่จะกระตุ้นให้ผู้วิจัยกลับไปสำรวจข้อมูลอีกคร้ังว่า กิจกรรมตา่ งๆ ถกู ถา่ ยทอดออกมาอย่างครบถว้ นหรอื ไม่ ผลการศึกษาค้นคว้าหลักไตรสิกขา และภาวนา ๔ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่ พระไตรปิฎก และวรรณกรรมชั้นรองๆ ลงมาน้ัน พบว่า พระไตรปิฎกซึ่งเป็นเอกสารปฐมภูมิโดยเฉพาะพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ดิกนิบาต ได้กล่าวถึง สิกขา๓ ในฐานะกิจที่สมณะพงึ กระทำได้อย่างชดั เจนและพบมากทสี่ ุด นอกจากน้ีในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ได้แจกแจงแสดงลำดับขั้นของอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา และอธิ ปัญญาสิกขา ไว้โดยละเอียดสำหรับเอกสารช้ันรองลงมาอย่าง คัมภีร์วิมุตติมรรค และวิสุทธิมรรคต่าง แสดงทั้งหลักการและรวบรวมแนวทางในการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาท่ีแบ่งประเภทตามจริงของผู้ศึกษา เพอ่ื ให้สามารถเข้าถึงสัจธรรมไดต้ ามลำดับ โดยใช้ วิสุทธิ๗ เป็นเกณฑ์วัดความก้าวหน้าในการศึกษาส่วน เอกสารเชิงวิชาการร่วมสมัยอย่างพุทธธรรมน้ัน ให้ความสำคัญกับปัจจัยท่ีเหนี่ยวนำให้เกิดการปฏิบัติ ฝึกอบรม คือ กัลยาณมิตรและ โยมิโสมนสิการและแสดงความสัมพันธ์ที่มิอาจแยกจากกันได้ระหว่าง อริยมรรคมอี งค์๘ ซ่งึ เป็นข้ันตอนอย่างละเอียดของไตรสกิ ขา กบั วถิ ีการดำเนินชวี ิต โดยใช้ภาวนา ๔ เปน็ ตัว วัดความก้าวหน้าของการศึกษา นอกจากน้ีเอกสารในเชิงปฏิบัติ ของพระภิกษุสายวิปัสสนาธุระ อาทิ พระ ราชวุฒาจารย์(ดูลย์ ยตุโล) พระราชนิโรธรังสี(เทสก์ เทสรังสี) ท่านภททันตะอาสภมหาเถระ ต่างให้ ความสำคัญกับการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยกรอบสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติตามหลัก ไตรสิกขาเพื่อให้เห็นจริงตามคำสอนได้ด้วยตนเอง โดยใช้การละสงั โยชน๑์ ๐ และการได้มาซ่ึงวิสุทธิ ๗ เป็น เกณฑว์ ดั ความสำเรจ็ ในการศกึ ษา สรุปได้ว่า ไตรสิกขาเป็นระบบการศึกษาท่ีเน้นการฝึกอบรมตนเอง อย่างเป็นข้ันตอน และมี กระบวนการที่ประสานกันอย่างเป็นพ้ืนฐานให้แก่กันจนถึงความพ้นทุกข์ โดยเร่ิมจากการสำรวจระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ตกอยู่ภายใต้ครอบงำของกิเลส และให้มีปกติไม่เบียดเบียนผู้อื่น ต่อเม่ือกาย วาจา ใจ สงบ จากอารมณ์ภายนอกแล้วจึงเป็นฐานในการฝึกอบรมจิตให้มีสตติ ั้งม่ันเกิดสมาธิไม่หวั่นไหวไปตามอำนาจของ นวิ รณ์ ๕ จนจิตน่งิ สงบเปน็ กลาง อย่างมีสติ อยใู่ นสภาพควรแกก่ ารงานแล้ว จึงสามารถใช้ปัญญาพิจารณา สภาวธรรมที่ปรากฏ ข้ึนในปัจจุบันขณะ จนรู้เท่าทันสภาวะไตรลักษณ์ของส่ิงทั้งหลายทั้งภายในและ ภายนอกตามความเปน็ จรงิ และรู้แจง้ ในอรยิ สัจ ๔ ทำใหส้ ามารถละกเิ ลสท่ีเปน็ เหตุให้เกิดทกุ ขไ์ ดโ้ ดยส้ินเชงิ ภาวนา ๔ น้ัน แต่เดิมถูกกล่าวถึงในคัมภีร์พระไตรปิฎกว่า เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์สำเร็จ การศึกษาแล้ว ซึ่งพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ขยายความว่า ภาวนา ๔ เป็นภาพลักษณ์ของกาย ศีล(สังคม) จิต(อารมณ์) ปัญญา ของบุคคลผู้ผ่านการฝึกอบรมตามหลักไตรสิกขาท่ีจะสะท้อนออกมาใน ระหว่างการดำเนินชีวิตว่าเป็นผู้ท่ีพัฒนาแล้วในแง่น้ี ภาวนา ๔ จึงเป็นคุณสมบัติท่ีเพ่ิมค่าใหบ้ ุคคลกลายเป็น ผู้ควรแก่การยกย่อง ชวนให้ผู้พบเห็นนำไปเป็นแบบอย่างเพ่ือปฏิบัติตาม ซ่ึงเป็นการช่วยสืบทอด พระพุทธศาสนาให้ย่ังยืนได้อีกทางหน่ึงท้ายท่ีสุดภาวนา ๔ ยังสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือวัด

ภาคผนวก ๔๙ ความก้าวหนา้ ในการฝกึ ปฏิบตั ิตามหลักไตรสกิ ขาได้ สรุปผลการศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสิกขาให้เกิดในกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม การ ศึกษาวิจัยในประเด็นน้ีเป็นการทำวิจัยจากสภาพแวดล้อมท่ีเป็นธรรมชาติและศึกษาจากกิจกรรมการ ปฏิสมั พันธร์ ะหว่าง “สถานปฏิบัติธรรมท่ีให้การอบรม” กบั “บุคคลเข้ารบั การฝึกอบรม” ดำเนินอยเู่ ป็นจำ ตามปกติ ทั้งน้ี ผู้วิจัยได้เข้าร่วมฝึกอบรมกัมมฏั ฐานและสังเกตการณ์ตามวธิ ีการสืบสวนแบบคน้ พบด้วย ตนเอง(Hearistic Inqulry) โดยใช้แนวคิดปรากฏการณ์วิทยาเป็นกระบวนทัศน์ในการวิจัย เพ่ือเก็บข้อมูล จากสถานปฏิบัติธรรม ๒ แห่ง คือมหาจุฬาอาศรม และทิพวรรณธรรมสถาน ผลการศึกษา พบว่า สถาน ปฏิบัติธรรมท้ังสองแห่งต่างเร่ิมต้นกระบวนการฝึกอบรมด้วยการช้ีแจกกฎระเบียบและกำหนดการในการ ฝึกอบรมให้ผู้ปฏิบัติทราบ จากนั้น จงึ ปลูกศรทั ธาด้วยการ แสดงธรรมโดยเน้นไปที่ประโยชน์ เป้าหมายและ ความสำคัญของการปฏิบัติ แล้วถ่ายทอดวิธีการปฏิบัติซ่ึงเป็นวิธีการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยอยู่ใน กรอบสติปัฏฐาน ๔ ด้วยรูปแบบท่ีแตกต่างกัน กลา่ วคือ มหาจฬุ าอาศรม ใช้รูปแบบการเจริญ กายานุปัสส นาสติปัฏฐาน ขณะที่ให้บทเรียนกัมมัฏฐานอย่างเป็นไปตามลำดับกำลังของผู้ปฏิบัติซึ่งจะมีการติดตาม และประเมินผลด้วยการสอบอารมณจ์ ากผู้ปฏิบตั ิโดยตรง อยา่ งไรก็ตาม เมอ่ื ทดสอบปฏิบัติตามเทคนิควิธีท้ัง สองแบบพบวา่ ต่างมีแนวทางท่ีสอดคล้องกับลักษณะธรรมวินัย๘ ประการ ท่สี ามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ได้เชน่ กัน กระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสกิ ขาให้เกิดในผู้ปฏิบัตธิ รรม จึงเกดิ ขึน้ จากการ ประยุกต์แนวคิดและหลักการมาสู่การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยการ เจริญสติสัมปชัญญะด้วยความ เพียร (อาดาปี สัมปชาโน สติมา) จนเกิดการเรียนรู้ท่ีดำเนินไปตามขั้นตอนของไตรสิกขาและมีลักษณะ หมุนวนเป็นรอบซึ่งสามารถสังเกตได้จากสภาวธรรมที่ปรากฏข้ึน คือ ขณะทอี่ ยู่ในการฝึกข้นั ศีล คือ สำรวม กาย วาจา ใจ แล้วจะมีการเจริญกุศลธรรมขึ้นมาทำให้ไม่หว่ันไหวไปตามอกุศลธรรมที่มีลักษณะตรงข้าม เช่นไม่ก้าวล่วงปาณาติบาตเพราะเจริญเมตตา กั้นกามฉันทะเพราะเจริญเนกขัมมะ กั้นพยาบาทเพราะ ความไม่พยาบาท แต่เมื่อย่ใู นการฝึกข้นั สมาธิจะสงั เกตเห็นสภาวะท่จี ิตมคี วามสงบต้ังม่ันอยู่กับอารมณ์เดียว ในปัจจุบันขณะและทำกิจเพียงอย่างเดียว คือ เฝ้าดู เฝ้าสังเกต เท่าน้ัน เม่ือเข้าสู่การฝึกข้ันปัญญาจะเห็น สภาวธรรมเหล่าน้ันตามความเป็นจริง ทั้งเห็นเหตุท่ีทำให้ธรรมเหล่าน้ันเกิดขึ้นและดับไป จนรู้ชัดว่า ปรากฏการณ์ของรูป-นาม ที่อิงอาศัยกันอย่างเป็นเหตุเป็นปัจจัย มีสภาวะจรงิ ท่เี กิดขนึ้ ให้รู้เหตุเพียงช่ัวขณะ ก่อนจบลงท่ีความไม่มีตัวตน ซึ่งการเฝ้าติดตาม สังเกตดูอยู่บ่อยๆจะทำให้ผู้ปฏิบัติรู้แจ้งความจริงของ ธรรมชาติและชวี ติ จงึ พน้ จากความทุกข์ที่เกิดข้นึ เพราะความไมร่ ู้ไปได้ สรุปได้ว่า แม้กระบวนการฝึกอบรมข้างต้นจะใช้รูปแบบการเจริญสติปัฏฐานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน และปรับรูปแบบการฝึกให้เหมาะสมต่อการนำไปปฏิบัติในวิถีชีวิตยุคปัจจุบันได้อย่างต่อเน่ือง แต่ก็ยังรักษา ส่วนท่ีเป็นสาระสำคัญของหลักการฝึกปฏิบัติในพระไตรปิฎกไว้ คือ มุ่งให้เกิดการเรียนรู้ และค้นพบความ จรงิ ทีเ่ ก่ยี วกับตนเอง ตลอดจนสิ่งต่างๆด้วยประสบการณ์ตรง โดยมีพระวิปัสสนาจารย์และผู้ฝึกสอนช่วยให้ คำปรึกษาแนะนำควบคู่ไปเพื่อให้แสวงหาความจริงได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็วขึ้น ท้ังน้ี เมื่อผู้ปฏิบัติได้ พสิ ูจนใ์ ห้ร้ชู ัดด้วยตนเองแล้วเขาย่อมเช่ือม่ันในศักยภาพของตน เชื่อมนั่ วิถปี ฏิบัติอย่างปราศจากความสงสัย ในคำสอนและย่อมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมที่ส่งเสริมการฝึกปฏิบัติด้วยความ เตม็ ใจ ซง่ึ จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาให้ถงึ พร้อมด้วยคณุ สมบัติท้งั ๔ด้านในที่สุด สรุปผลการพัฒนาของผู้ปฏิบัติในด้าน กาย ศีล จติ ปัญญา ท่ีจริงมาจากการฝึกฝนตามหลักไตรสิกขา การศึกษาผลการพฒั นาของผู้ปฏิบัติเปน็ การศึกษาจากขอ้ มูลที่เก็บรวบรวมข้ึนในช่วงระหว่างเดือน ธันวาคม ๒๕๔๘ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๔๙ จากสนาม ๒ แห่งคือ (๑) มหาจุฬาอาศรมซึ่งจัดอบรมกัมมัฏฐานใน ระหว่างวันที่ ๗-๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ โดยเก็บขอ้ มูลจากนิสิตปริญญาโท(คฤหัสถ์) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง

ภาคผนวก ๕๐ กรณราชวิทยาลัยจำนวน ๗ คน และ(๒) ทิพวรรณธรรมสถาน ในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเก็บข้อมูลในช่วง ระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๔๙ ถงึ เดือนกันยายน ๒๕๔๙ จากกลุ่มผู้ปฏิบัติ ๗ คน นอกจากนี้ ยังศึกษาจาก ประสบการณ์ตรงของผู้วิจยั ซึง่ เขา้ ไปมสี ่วนร่วมในสมาชกิ ทั้ง ๒ กลุ่ม โดยใช้แนวคดิ ปรากฏการณ์วิทยาเป็น กระบวนทัศน์ในการวิจัย และใช้เคร่ืองมือตามวิธีการสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง (Hearistic Inqulry) ได้แก่ การสนทนา การสัมภาษณ์เจาะลึก การสังเกต การเสวนาภายในตนเองและการสืบสวน ภายในตนเองเป็นหลกั ปัจจยั สำคัญทีน่ ำผู้ปฏิบัติเขา้ ส่กู ารฝกึ ฝนพฒั นาตนตามหลกั ไตรสิกขา ผลการศึกษาพบว่า พฤตกิ รรมที่ หนุนนำให้ผู้ปฏิบัติเข้าสู่การฝึกฝนพัฒนาตามหลักไตรสิกขาน้ันเกิดจากการตั้งตนไว้รอบ และประกอบแต่ ความดี กล่าวคือ สมาคมกับคนดี คบหาสัตบุรุษ แสวงหาความรู้ท่ีเกี่ยวกับหลักธรรมและการปฏิบัติ หรือเป็นผู้ใฝ่ใจในการทำบุญด้วยการทำทาน ถือศีล เจริญภาวนา นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากความทุกข์ใน การดำเนินชีวิตทางโลกพฤติกรรมเหล่าน้ีมีส่วนเสริมสรา้ งเง่ือนไขสำคัญต่อการตัดสินใจปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็น จุดเริ่มต้นของกระบวนการไตรสิกขา ประสบการณ์สำคัญที่นำไปสู่การเปล่ียนแปลงภายในตนเอง การฝึกปฏิบัติด้วยการหม่ันสังเกตให้เห็นความไม่มีตัวตนของขันธ์ ๕ และสิ่งต่างๆ ด้วยความมีสติอยู่เป็น ประจำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ร่วมวิจัยเกิดความเบ่ือหน่าย คลายความยินดี จากเดิมที่เคยรับรู้อารมณ์ แล้ว เกิดความหวั่นไหวคล้อยไปตามอารมณ์ด้วยความชอบ-ชังกลับการเป็นไปสงบรู้ ดู อยู่ อย่างไมห่ ว่ันไหว และ รสู้ ึกได้ถึงสภาพจิตท่ีมีลักษณะโล่ง โปร่ง เบา เย็น สบาย สงบ เกษม ซ่ึงต่างจากความรู้สึกทุกข์ เฉย ฯลฯ ที่เกิดข้ึนอยูเ่ ป็นประจำ จนในทีส่ ุดผู้รว่ มวิจัยจงึ เกิดความรู้แจ้งในสภาวธรรมบางอย่าง คือ รใู้ นอาการเกดิ ขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสภาวธรรมน้ัน และรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้สภาวธรรมนั้นปรากฏขึ้น เม่ือร้ชู ัดในภาวะท่ีเป็นอย่างนนั้ ภาวะทค่ี ลาดเคล่อื นไปจากนัน้ และ ภาวะท่ีเป็นอย่างอืน่ อีกของสภาวธรรม นั้นๆ อย่างถ่องแท้ จึงหมดความสงสัยในเรื่องนั้นๆ ไม่ต้องศึกษาในเร่ืองน้ันๆอีกต่อไป ซ่ึงประสบการณ์ สำคัญของผู้ร่วมวจิ ัยท่ีนำไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรมด้วยตนเองน้ันมลี ักษณะทห่ี ลากหลาย เชน่ การเห็นอสุภนมิ ิต ท่ีเป็นซากศพ การเห็นกายโดยความเป็นปฏิกูล การเห็นความว่างไร้ตัวตนของกาย-ใจ เป็นต้น อยา่ งไรก็ ตาม การสังเกตพบวา่ ผู้รว่ มวิจัยมักจะสำรวจตนเองอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และรายงานสภาวะท่ีเกิดข้นึ ต่อ อาจารย์ผ้สู อน เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ายังมีจดุ ใดที่มองพลาดไปหรอื ไม่ และสงั เกตจากการแสดงออกท่ีพ้น ไปจากการสำคัญตนว่าเป็นนั่น เป็นน่ีไปตามลำดับ จนกว่าจะปล่อยว่างได้ทั้งหมดจึงพ้นจากความทุกข์ได้ อย่างแท้จริง ผลการพัฒนาของผู้ปฏิบัติ ในด้านกาย ศีล จิต ปัญญา ที่เกิดมาจากการฝึกฝนตามหลัก ไตรสิกขา การฝึกฝนตามหลักไตรสิกขา ทำให้ผู้ร่วมวิจัยประจักษ์ ชัดในความเป็นจริงของโลกและชีวิตของ ตนเอง และส่งผลให้สามารถแยกแยะอารมณ์ที่เป็นบัญญัติ ออกจากอารมณ์ปรมัตถ์ได้ เม่ือสามารถ ทำลายมายาภาพที่ปกปิดความจริงได้มากข้ึนตามลำดับ จึงมีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เปล่ียนแปลงไป ในทางเรียบง่าย พอเหมาะ พอเพียง กล่าวคือ ผู้ร่วมวิจัยบางท่านจะนำรูปแบบความเป็นอยู่ในระหว่างการ ปฏิบัติไปใช้ต่อท่ีบ้าน เช่นกินเมื้อเดียว เดินจงกรมในเวลาวา่ งหรือเลิกพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นอันตราย ตอ่ สุขภาพได้อย่างเด็ดขาด เช่น เลิกเหล้า เลิกบุหรหี่ รือลดการจับจ่ายใช้สอยท่ีไม่จำเป็น เช่น เลิกเล่นหวย เคลียร์หนี้เล็กๆน้อยๆหรือลดจากการใช้เคร่ืองสำอาง เคร่ืองประดับที่เกินความจำเป็น เปลี่ยนมาแต่งตัวให้ สะอาด เรียบง่ายและสว่ นมากจะหนั มาใช้เวลาว่างด้วยการเข้าปฏบิ ัติธรรม นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลง รู้แบบการใช้ชีวิตแล้ว ยังพบว่า ผู้ร่วมวิจัยยังชักชวนครอบครัวญาติมิ ตรสนิทให้มาปฏิบัติธรรมและ เปล่ียนแปลงนิสัยในการทำงาน เช่น ชักจูงผู้ร่วมงานไม่ให้พูดนินทาผู้อ่ืน รับฟังเหตุผลของผู้อ่ืนมากขึ้น ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เลิกใช้วิธีการหลอกล่อ หรือไม่ยุติธรรมแก่ผู้อ่ืน ช่วยเตือนสติเพ่ือน รว่ มงานท่ีกำลังเป็นทุกข์ ขณะเดียวกัน พบวา่ ผูร้ ่วมวจิ ัยมีความมั่นคงทางอารมณ์มากข้ึน เพราะรจู้ ักนำวิธี

ภาคผนวก ๕๑ ปฏิบัติมาใช้เพอ่ื เขา้ ถึงความสุข เบาสบาย แช่มชื่น ร่าเรงิ เบิกบาน ในภายใน แมจ้ ะมีภาระท่ีต้องรับผิดชอบ หรือมีเร่ืองยุ่งยากต่างๆ ให้แก้ไขก็สามารถใช้ปัญญาจัดการปัญหาอย่างมีสติแล้วยอมรับผลท่ีตามมาด้วย ความสงบหนักแน่นไม่หวั่นไหวไม่ว่าจะร้ายหรือดี การเข้าถึงสัจธรรมในแต่ละครั้ง ยังทำให้ผู้ร่วมวิจัย สามารถ ดำเนิ นชีวิตได้อย่างเป็น อิสระจากความยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งท่ีไม่เป็นภ าระได้มากขึ้นด้วยการ พิจารณาไตรลักษณ์ รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาเร่ืองต่างๆ ตามเหตุตามผล มองตนเองและผู้อ่ืนตาม สภาวธรรมตามความเป็นจรงิ ว่ามีกุศลธรรม และอกศุ ลธรรม เปน็ เหตปุ ัจจยั กำหนดพฤติกรรมการแสดงออก ฉะน้ันไม่ว่าจะดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางสงั คมเมืองท่ีวุ่นวายหรือ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ท้ายที่สุด ผู้ร่วมวิจัย จงึ พบว่า การดำเนินชีวิตน้นั เปน็ สว่ นหนึ่งของการปฏบิ ัตธิ รรม และไม่ไดแ้ ยกออกจากการปฏบิ ตั ิธรรมอย่างที่ ตนเคยเขา้ ใจ สรุปผลการใช้วิธีการสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง(Heuristic Research) ในการศึกษา กระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสิกขา การสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง เป็นวิธีวิจัยที่กำลัง ได้รับความนิยมและได้รับความสนใจมากข้ึนเร่ือยๆ จากนักวิชาการต่างประเทศ ในการศึกษาพฤติกรรม และประสบการณ์มนุษย์ท่ีมีผลต่อการพัฒนาทางการจติ วิญญาณ เน่ืองจากจุดเด่นของการสืบสวนแบบการ ค้นพบด้วยตนเองน้ันอยู่ท่ีการเสนอวิธีการสืบสวนประสบการณ์มนุษย์อย่างเป็นระบบ เพื่อถ่ายทอดและ แปลประสบการณ์เฉพาะออกมาเป็นภาษาอีกระดับหนึ่งท่ีมีประเด็นกว้างขวางขึ้น และสามารถรับรู้ แลกเปล่ียนแปลง และเปรียบเทียบกับผู้อื่นท่ีเคยมีประสบการณ์ทำนองเดียวกัน การสืบสวนแบบค้นพบ ด้วยตนเอง เป็นวิธีการศึกษาท่ีผู้วิจัยต้องนำพาตนเองเข้าไปเช่ือมโยงและเข้าไปมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ประสบการณ์ทตี่ ้องการศึกษา โดยเริ่มจากการสืบสวนหาขอ้ เท็จจริงทเี่ ก่ียวกับประสบการณ์ด้วยตนเองว่า มี ความเก่ียวข้องกับเหตุการณ์ กิจกรรม กลุ่มบุคคลและสง่ิ แวดลอ้ มอะไรบ้าง แล้วเฝา้ สังเกตการณ์ใหค้ ุณค่า และให้ความหมายของตนเองต่อส่ิงเหล่าน้ัน อนึ่ง การสืบสวนประสบการณ์ของตนเองน้ันด้วยอาศัยความ พยายามทุ่มเทเอาใจใส่อย่างต่อเน่ือง จนกว่าจะเกิดความกระจ่างแจ้งในประสบการณน์ ั้นอยา่ งถ่องแท้ทุกแง่ ทุกมุมเพ่ือใช้เป็นพื้นฐานในการสืบสวนประสบการณ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับของผู้ร่วมวิจัยท่านอื่นๆด้วย การสนทนา แลกเปล่ียนความรู้ เพ่ือสะท้อนมุมมองระหว่างกัน และเชื่อมโยงข้อมูลสำคัญต่างๆเข้าด้วยกัน เพื่อการค้นหาธรรมชาติท่ีแท้จริงของประสบการณ์และบริบทอ่ืนๆที่เก่ียวข้องซ่ึงนำไปสู่การค้นพบ ประสบการณ์ท่ีมีรูปแบบหลากหลาย แตม่ ีความหมายบางอย่างร่วมกันอยู่ อย่างไรก็ตาม การสืบสวนแบบ ค้นพบด้วยตนเองน้ัน เป็นวิธีการศึกษาที่ต้องอาศัยความอดทนในการสังเกตอย่างเอาใจใส่และต่อเนื่องเป็น ระยะเวลานานพอสมควร ดงั น้นั การตั้งปัญหาในการศึกษาจึงควรเกิดจากความสนใจของผู้วจิ ยั เอง เพ่อื ให้มี ความมุ่งมั่นท่ีค้นหาคำตอบท้ังน้ี ยังต้องคำนึงถึงกำหนดเวลาในการทำวิจัย และคุณลักษณะของสนามท่ีเข้า ไปศกึ ษาเพ่ือเลือกใช้เคร่อื งมือในการเก็บข้อมลู ได้อยา่ งเหมาะสม อภิปรายผล จุดเดน่ ของกระบวนการศึกษาในพระพุทธศาสนา การแสวงหาความรภู้ ายในตนเอง ท่ี ผู้ศึกษาทำการประเมินผลและอนุมัติให้จบการศึกษาด้วยตนเอง กระบวนการศึกษาในพระพุทธศาสนา เป็นการแสวงหาความรู้ที่เกิดข้ึนจากภายในตนเองโดยมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นแนวทาง และมีครูบาอาจารย์เป็นกัลยาณมิตรผู้ชี้แนะให้คำปรึกษาให้ปฏิบัติตรงทาง และมีปัญญาในตนเองทำหน้าท่ี ประเมินผลการศึกษา และตัดสินใจให้สำเร็จการศึกษา ดังน้ัน การศึกษาในพระพุทธศาสนาจึงต่างจาก การศึกษาในรายวิชาทั่วไปท่ีแสวงหาความรู้จากการค้นคว้า อ้างอิงจากตำรา โดยมคี รูบาอาจารย์เป็นผู้ชแ้ี นะ แหล่งความรู้ ควบคุมการประเมนิ ผลการศกึ ษาและตดั สินวา่ สมควรให้จบการศึกษาหรือไม่ การศึกษาเร่ืองของชีวิตในฐานะที่เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการธรรมชาติ สารัตถะแห่งการศึกษา ในพระพุทธศาสนาก็มีความแตกต่างจากวิทยาการศึกษาทั่วไปตรงท่ีมุ่งศึกษาเพ่ือให้เข้าใจความหมายของ

ภาคผนวก ๕๒ ชวี ิต การเข้าถึงสภาวะจริงของชีวิต ดว้ ยการเฝ้าสังเกตว่ากระบวนการแห่งชีวิตนำเนนิ การไปอยา่ งไร เม่ือรู้ แจ้งในเรื่องของชีวิตอย่างถ่องแท้ก็สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นอยู่ได้อย่างเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ หลักการท่ีพระพุทธองค์ทรงนำมาแสดงนั้นเป็นกฎธรรมชาติ ท่ีทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง จึงมีความเท่ียง แท้แน่นอนเป็นสจั ธรรม ไมใ่ ช่ของเสนอทางความคดิ หรือทฤษฎที างปรัชญาที่ต้องนำมาถกเถียงอภิปรายเพ่ือ หาเหตุผลมาสนับสนุนหรือหักล้าง พระองค์ทรงแสดงหลักการนั้นโดยสังเขปว่า “ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมีความ เกดิ ข้ึนเป็นธรรมดาสิง่ น้นั ท้ังมวลมีความดบั เปน็ ธรรมดา” หลกั การสั้นๆที่อธิบายกระบวนการเกิด-ดับของ ธรรมทั้งหลายที่ดำเนินอยู่ตลอดเวลา รวมถึงชวี ิตมนุษย์ท่ีเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการน้ันดว้ ยจะเห็นได้ว่า องค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาน้ัน มีทงั้ มติ ิทล่ี ุ่มลึกและกว้างขวาง มีทง้ั ความเรียบแต่ก็ซับซอ้ น พระพุทธองค์ จึงทรงกำหนดวิธีการในการศึกษาอย่างเป็นลำดับ เป็นขัน้ เป็นตอน โดยทรงวางเป้าหมายของการศกึ ษาไว้ ๒ ระดับใหญ่ๆคือ (๑) การค้นพบตนเอง (Self-Discovery) เป็นการสร้างความเห็นถูกว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ทั้งนี้ผู้ผ่าน การศึกษาในขั้นต้นยอ่ มรูช้ ัดว่า ตัวตนทีแ่ ท้จริงนั้นเปน็ เพียงสภาวะที่เกดิ จากการประชุมกนั ของรูป-นามเป็น กระบวนการทีข่ ับเคลื่อนอย่ตู ลอดเวลา จึงไม่ควรไปยึดม่ันถือมั่นในกระบวนการน้นั ว่า เปน็ ที่ต้ังของเรา มเี รา เป็นเจ้าของ ทำให้สามารถแยกแยะเหตุปัจจัยแห่งการกระทำออกจากความมีตัวตนได้อย่างชัดเจน จึง ปรับปรุงแก้ไขข้อเสียได้ภายในตนได้มากขึ้น ผลที่เกิดจากการค้นพบตนเอง ทำให้หมดความสงสัยท้ังในผู้ กำหนดหลักสูตร และหลักสูต เพราะเกิดความเช่ือมุ่นในคุณภาพการศกึ ษาว่า หากดำเนินตามวธิ ีการศึกษาน้ี ย่อมพบความจรงิ ไดแ้ นน่ อน (๒) การพ้นไปจากตนเอง (Self -transcendence) ผู้ท่ีกำลังศึกษาในระดับน้ี ย่อมมุ่งหน้าขัดเกลา ตัณหาหรือความอยาก ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์เบาบางลง จนกระทั่ง “ปัญญา” ท่ีเต็มบริบูรณ์จึงรู้ชัดว่า สิ่ง ทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีลักษณะไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรท่ียืดถือไว้ให้เป็นของเราได้ จึง หมดความปรารถนาท่ีจะแสวงหาสิ่งภายนอกใดๆ ส่งผลให้จิตเปล่งประกายสดใสอยู่ได้อย่างอิสระ เรียกว่า เป็นจิตท่ีหลุดพ้นจากกิเลส หรือ “เจโตมุตติ” แต่จิตก็ยังเป็นอัตตาสุดท้ายท่ีต้องทำลายให้หมดไป ด้วยการ ปล่อยว่างความยึดมั่นถือม่ันในจิตน้ันเพ่ือให้เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นอิสระไร้ขอบเขต ไร้ตัวตน จึง กระจ่างชัดแจ่มแจ้งและหมดจดในนพิ พาน เรียกได้ว่า บรสิ ุทธ์ดว้ ย “ปญั ญาวิมุตติ” อย่างสมบรู ณบ์ รบิ รู ณ์ กระบวนการเรียนรู้ท่ีมีพื้นฐานมาจากความไม่รู้ จากการค้นคว้าด้วยปริยัติเพื่อเป็นแนวทางในการ ปฏิบัติ ทำให้ทราบถึงหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของการศึกษา เน้ือหาสาระและ วธิ ีการที่ผู้ฝึกปฏิบัติจะต้องเรียนรูแ้ ละฝึกฝนในสถานการณ์จริง เกณฑ์ท่ีใช้ในการจัดลำดับข้ันของการศึกษา ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่เก้ือหนุนต่อกระบวนการศึกษาภาคปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การศึกษาปริยัติธรรมยัง เป็นเพียงการเรียนรู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่น ผู้ฟังจึงไม่อาจปักใจเช่ือได้ทั้งหมด เพราไม่มีเกณฑ์ท่ีจะใช้ ตัดสินความถูก-ผิด คุณ-โทษ เป็นประโยชน์-ไม่เป็นประโยชน์ เป็นสาระ-ไม่เป็นสาระ จึงต้องใคร่ครวญ พจิ ารณาทบทวนให้จำได้แม่นยำ จากน้ัน จึงเริ่มต้นกระบวนการศึกษาเพื่อพิสูจน์คำตอบด้วยวิธกี ารทเี่ รียบ ง่ายท่ีมนุษย์ใช้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คือ การเฝ้ามอง เฝ้าสังเกตอย่างจอดจ่อและเอาใจใส่ต่อสภาพจริงของสิ่ง ต่างๆ ที่ปรากฏใช้รู้ได้ด้วยใจ ราวกับว่าไม่เคยพบเห็นและไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อการสังเกตอย่าง ปราศจากอคติดำเนินไปอย่างตอ่ เนอ่ื ง จนบุคคลหมดความคลางแคลงใจในเร่ืองนั้นอย่างแท้จริงแล้ว เมอื่ น้ัน จงึ สมารถตดั สนิ ดว้ ยตนเองไว้ว่าส่ิงท่ไี ด้ยินได้ฟงั มานัน้ เป็นความจริงหรอื ไม่ การแตกตา่ งของการศึกษาภาคปรยิ ตั ิและภาคปฏิบัติ ขอ้ สงั เกต ประการแรก คือ การศึกษาปริยัติธรรมในเชิงวิชาการมักเน้นไปที่การวิเคราะห์จำแนกแยกย่อยพระ ธรรมลงไปในรายละเอียด หากเป็นการศึกษาในเชิงปรัชญาก็เป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อตีความพระ

ภาคผนวก ๕๓ ธรรมคำสอนในหลากหลายมุมมอง โดยไม่มีคำตอบท่ีชี้ชัดเป็นการนำหลักธรรมที่เรียบง่ายมาแสดงไว้ โดยพิสดาร เพื่อประโยชน์ต่อการนำไปตรวจสอบ ดงั นั้น หากไดน้ ำความรู้ทางด้านปริยัติ มาฝึกฝนปฏบิ ัติ จนเกดิ ทักษะความชำนาญเฉพาะตัวในการเรียนรู้จากสภาพจริง คอื เหน็ จรงิ และรจู้ ริงตามความเปน็ จริง จน เกิดปฏิเวธธรรมแล้ว ผู้ศึกษาย่อมสามารถเช่ือมโยงความรู้ทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติเข้าด้วยกัน และยัง เรียงความรู้ได้อย่างเป็นระเบียบทำให้สามารถใช้คำอธิบายที่ส่ือไปถึงความเรยี บงา่ ยและธรรมดาของธรรมะ ที่เขา้ ใจได้งา่ ยกวา่ การอ้างองิ ปริยตั เิ พียงสว่ นเดยี ว ประการสอง คือ แม้จะคิดวิเคราะห์จนเกิดความเข้าใจ แต่เม่ือพบสถานการณ์จริงกลับไม่สามารถทำ ได้อย่างทีค่ ิด เช่น ร้วู ่าโกรธแล้วเป็นทกุ ข์ มีโทษมากมาย แตถ่ ้ามใี ครมาทำร้ายตนหรอื บุคคลที่ตนเคารพรกั ก็ โกรธแค้นทันที จึงเป็นเพียงแผนทปี่ ระกอบการเดินทางไปสู่การเข้าถงึ สจั ธรรม ในขณะท่ีการปฏบิ ัติเป็นการ เผชิญหนา้ กับสภาวะจริงและฝกึ ฝนทีจ่ ะจัดการกับปัญหาใหไ้ ด้ตามหลักการทว่ี ่า “ธรรมเหล่าใดเกดิ แต่เหตุ พระตถาคตรัส เหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น” ดังนั้น เม่ือรู้เห็นได้ด้วยตนเองว่า อะไรคอื สาเหตุท่ีแท้จรงิ แห่งปัญหาก็จะไม่ทำเหตุเช่นน้ันอกี ปัญหากส็ ้ินไป เป็นผลใหเ้ ปลี่ยนจากผู้ศึกษา มาเปน็ ผรู้ ูท้ ่ีพน้ ไปจากความเชอ่ื เป็นผู้บอกทางใหผ้ ู้อื่นรู้ตาม กลายเป็นบัณฑิตผู้นำทางความคิดอยา่ สง่า งาม ปัญหาท่ีพบมาในการปฏิบัติธรรม ความสับสนในการแยกแยะกระบวนการออกจากหลักการของ ไตรสกิ ขา แม้ว่าผู้ปฏิบตั ิจะมีความรูเ้ ชิงปริยัติมาแลว้ กม็ ักจะสบั สนในการแยกแยะกระบวนการออกจาก หลักการของไตรสิกขา ทำให้ไม่ทราบชัดว่าขณะท่ีกำลังปฏิบัติอยู่นั้น กระบวนการไตรสิกขากำลงั อยู่ในข้ัน ใด เล่ือนขั้นขึ้นไปแล้วหรือตกลงมา บางครั้งกระบวนการไตรสิกขาเล่ือนจากขั้นศีลไปสู่ข้ันสมาธิแล้ว หรือ เล่ือนจากขั้นสมาธิไปสู้ขั้นปัญญาแล้ว แต่เพราะความไม่เข้าใจผู้ปฏิบัติจึงวนกลับไปฝึกในข้ันเดิมอีกซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าทำให้ผลปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ท้ังนี้ “ศีล” โดยหลักการ หมายถึง ข้อพฤติปฏิบัติทางกายวาจาท่ีอยู่ใน กรอบของศลี สิกขา แต่กระบวนการฝกึ ปฏิบัตขิ ั้นศีล จะมลี ักษณะของการตอ่ ส้รู ะหว่างสำนึกผิดชอบชั่วดีการ มีสติสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง ๖ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อดทนอดกล้ันต่อการยั่วยุของกิเลสจนจิตสงบตั้งม่ันไม่ หวั่นไหวไปตามอารมณ์ท่ีมากระทบได้ ศีลท่ีแท้จริงจึงปรากฏจึง เรียกกระบวนการฝึกปฏิบัติข้างต้นว่า “อธิศีลสิกขา” ส่วน “สมาธิ” โดยหลักการหมายถึง การอบรมจิตใจให้ประณีตยิ่งๆข้ึนไปแต่กระบวนการ เจรญิ สมาธิที่มศี ีลเปน็ บาทฐานนั้น มีลักษณะอาการของจิตท่ีไม่ฟุ้งซ่านไปหาอารมณอ์ ่ืนแต่จะพ่งุ ความสนใจ ไปที่การสังเกตอารมณ์โดยอารมณ์หนึ่งในปัจจุบันขณะ หรืออารมณ์กรรมฐานท่ีกำหนดไว้อย่าง “ดู รู้ สงบ” ส่งผลให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสได้ชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิน้ัน จึงเรียกกระบวนการฝึกปฏิบัติ เช่นนี้ว่า “อธิจติ สิกขา” ในขณะที่ “ปัญญา” โดยหลักการ หมายถงึ ความรแู้ จ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง แต่กระบวนการเจริญปัญญาที่มีสมาธเิ ป็นบาทฐาน จะมีสภาวะของจิตพรอ้ มท่ีจะเผชิญหน้ากับสภาวธรรมท่ี ปรากฏเพือ่ เรียนรู้ โดย “จับตาดูส่ิงทป่ี รากฏ” อย่างเป็นกลาง จนสังเกตเหน็ ไตรลักษณ์ และเห็นความโยง ใยที่ซ่อนเร้นระหว่างเหตุปัจจัยและผลปรากฏว่า ก่อนหน้าที่สภาวธรรมจะปรากฏนั้นมีอะไรเป็นเหตุ หรือ อะไรเป็นปัจจยั ให้สภาวธรรมน้ันดับไปซึ่งนำไปสู่ความรู้ชัดในอริยสัจ ๔ มีผลให้ปล่อยว่างความยึดม่ันถือม่ัน ได้ท้ังหมดโดยไม่กลับกำเรบิ ข้ึนมาอกี จงึ เรียกกระบวนการฝึกปฏิบัติเช่นนีว้ ่า “อธปิ ัญญาสิกขา” เม่อื ทราบ กระบวนการแล้ว ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นสังเกตอาการความเป็นไปของจิตท่ีมีต่ออารมณ์ท่ีมากระทบ เพื่อให้ ทราบว่า กระบวนการไตรสิกขามีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเน่ืองหรือไม่ การสังเกตอยู่บ่อยๆ จะเป็นปัจจัยให้ ปญั ญาประเมนิ สถานการณแ์ ละสามารถว่างแผนปฏิบตั ิการได้อย่างเหมาะสม ความวิตกกังวลว่าจะทำผิด ปัญหาของการศึกษาจากประสบการณ์จริง คือ ผู้ฝึกจะถูกทดสอบอยู่ เสมอก่อนท่ีจะได้รับบทเรียนอันมีค่า ผู้ท่ีเริ่มฝึกปฏิบัติใหม่ๆ จึงเป็นกังวลว่า ตนจะทำผิด ทำให้เกิดความจง

ภาคผนวก ๕๔ ใจไปแทรกแซงอารมณ์ ด้วยการบังคับ กดข่ม เพ่งจ้อง ซึ่งเป็นอำนาจของตัณหาและทิฎฐิ หาไม่ก็ทำในสิ่ง ตรงกันข้ามด้วยการปล่อยใจให้เฝ้าดูอย่างเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ด้วยอำนาจของความหลงซึ่งเป็นเรื่อง ปกตขิ องการปฏิบตั ิธรรมทผ่ี ู้ปฏิบัติต้องหม่ันเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหลา่ นดี้ ้วยตนเองจนกว่าจิตจะสามารถ จดจำสภาวธรรมไดเ้ องว่า ถ้าจิตเผลออกจากการเป็นผู้ดู ผู้รู้แล้ว ย่อมมีผลให้เกิดความทุกข์ แต่หากจิตมีสติ “ดรู ู้ สงบ” ไม่หว่ันไหว อยกู่ ับปัจจบุ ันขณะเสมอๆย่อมมผี ลให้ความทุกข์ดบั การจดจำสภาวธรรมได้อย่างแม่นยำเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ ฉะนั้น การรู้ว่าทำผิดหรือรู้ว่าทำถูก รู้ว่า เผลอไปหรอื รู้ว่าไม่หลงล้วนเป็นประโยชน์ เพราะเม่ือใดที่สภาวธรรมปรากฏข้ึนก็จะเกิดสติระลึกรู้อย่างเท่า ทัน หากเจริญสติได้ถูกต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดตามมาโดยอัตโนมัติส่งผลให้เกิดญาณหย่ังรู้ในสิ่งท่ี ปรากฏภายใน เกดิ ธรรม ร้เู ห็นความเปน็ ไปของสภาวธรรมท่ีเปน็ ไตรลักษณ์เป็นอริยสัจ ๔ จึงได้บทเรียน ได้ ประสบการณ์ ดังนั้นการเรียนรู้ท่ีแท้จริง จึงเป็นการกระทำของจิตโดยตรง ผู้ปฏิบัติเพียงแต่ทำส่ิงท่ีเอื้อต่อ การเรยี นรขู้ องจิต คอื “ดูรู้ สงบ” เท่านั้น การไม่กำหนดเป้าหมายของการปฏิบตั ิท่ีชัดเจน ทำให้ผ้ปู ฏิบตั ิธรรมนั้นจะถูกล่อลวงไปติดกบั ตักของ กิเลส โดยอาศัยการสำรวมระวังรักษาศีลเป็นปัจจัยให้ติดอยู่ในการทำความดีกลายเป็น สีลัพตปรามาส อาศัยการเจริญสมาธิเป็นปัจจัยให้ติดอยู่ในญาณที่ไปรู้สภาวธรรมต่างๆ ได้ละเอียด จึงหลงลืมเป้าหมายที่ แท้จริงของการปฏิบัติไป หรืออีกกรณหี นึ่งคอื ผู้ปฏิบัติมุ่งมนั่ ละกิเลสจริงจงั แต่ทำข้ามขน้ั ตอน เช่น คิดจะไป ละตัณหา ละโลภ โกรธ หลง ทั้งๆ ท่ียังไม่มีความเห็นถูกว่ากาย-ใจน้ีไม่ใช่เรา กิเลสก็ไม่ใช่เรา เมื่อเจริญสติ ไปเห็นพฤติกรรมอันเลวร้ายท่ีถูกกิเลสครอบงำชัดขึ้นก็ย่ิงรู้สึกไม่ดีต่อตนเอง ซ่ึงยังเกิดอคติต่อการปฏิบัติ ธรรมทีท่ ำให้ทุกขย์ ิง่ กว่าเดิม จนเกิดความทอ้ แท้เลิกปฏบิ ตั ไิ ปกลางคันอย่างนา่ เสยี ดาย ความเคลือบแคลงใจในแนวปฏิบัติของแต่ละสำนักท่ีไม่มีระบุในไตรปิฎก การอธิบายหลักปฏิบัติ ทางพระพุทธศาสนามักประสบปัญหาในการแปลคำศัพท์ภาษาบาลี เช่น สติ ศีล สมาธิ ภาวนามาเป็น ถอ้ ยคำท่ีผู้ฟังเขา้ ใจได้ง่าย เพราะศัพท์เหล่านี้มีความหลากหลายเฉพาะมากมายให้สำนักปฏิบัติสายต่างๆ ท่ี สืบทอดวิธีปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรต่างพัฒนาคำอธิบายจนกลายเป็นภาษาของกลุ่มวัฒนธรรมย่อย (Argot) เชน่ การกำหนด การดูจติ การระลึกร้สู กึ ใจ การหันกลับ การดคู วามคิดซง่ึ เป็นวถิ ีที่ใชแ้ ละเข้าใจ ได้เฉพาะในกลุ่มผู้ปฏิบัติของแต่ละสำนัก แต่เมื่อบุคคลอื่นได้ยินได้ฟังกลับต้ังข้อสงสัยว่า วิธีปฏิบัติเหล่านี้มี ในพระไตรปิฎก หรอื ไม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติท่ีทุกสำนักจะได้รับคำวิจารณ์ท้ังคำถามทั้งทางบวกและทางลบจาก ผชู้ มทางสังคม แต่ประเดน็ ที่นา่ สนใจย่ิงกว่านน้ั ก็คอื ทำไมยงั มีผูศ้ รัทธาไปเขา้ รับการฝกึ อบรมในสำนักปฏิบตั ิ แตล่ ะสายอย่อู ย่างต่อเนอ่ื ง ในความเป็นจรงิ แล้ว สตปิ ัฏฐาน ๔ คอื ทางสายเดียว เพ่ือทำใหแ้ จง้ นิพพาน แต่เทคนคิ วิธเี พอ่ื ใหเ้ กิด สติตั้งมั่นอยู่ในฐานของกาย เวทนา จิต ธรรมน้ันอาจแตกต่างไปตามจริง ตามทักษะความชำนาญเฉพาะ ตนของวิปัสสนาจารย์ แต่ละท่านเช่นเดียวกับการแก้สมการคณิตศาสตร์ข้อเดียวกันที่นักคณิตศาสตร์แต่ละ คนอาจใช้เทคนคิ ในการถอดสมการตา่ งกนั แตก่ ็นำไปสู่ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ข้อสงสัยน้ัน กลายเป็นอปุ สรรคขัดขวางการปฏบิ ัติธรรมของตนเองแต่สามารถพสิ ูจน์ได้ดว้ ยการต้ังข้อสังเกตในการศึกษา วธิ ปี ฏิบัตนิ ั้นวา่ มีวธิ ีนำไปสู่การละความยึดมั่นถอื มนั่ ในตัวตนได้อยา่ งไร หากพิจารณาแล้วเห็นชอบ กค็ วรจะ หาโอกาสไปฝึกกับวิปัสสนาจารย์ในสายน้ันๆ เพื่อจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติท่ีถูกต้อง ถ้าตั้งใจเพียร ปฏบิ ัติต่อเน่อื งไปสกั พกั แล้วยังไม่ไดค้ วามคบื หนา้ ข้นึ มาหรือได้แต่ความเครียด ก็เป็นไปไดท้ ่ีจะสรปุ ว่าเทคนิค วธิ นี ี้ยงั ไม่ตรงกับจริตของตน ควรเปล่ยี นไปปฏิบตั ิสำนักอืน่ ทต่ี รงจรติ การคาดหวังในความสมบรูณ์แบบดง่ั บุคคลในอุดมคติ คุณสมบัติของพระพุทธองค์ท่ีสมบูรณ์พร้อมใน ทุกๆดา้ นทัง้ พระปญั ญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคณุ ทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมและคนท่ัวไปคาดคะเนว่า

ภาคผนวก ๕๕ นอกจากจะหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิน้ เชิงแล้ว การปฏิบัติจะต้องทำให้เกดิ การพัฒนาที่สมบรู ณ์แบบคือ ตอ้ งมีจรรยามารยาททง่ี ดงาม และมีอภิญญาความสามารถพิเศษเหนือคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเขา้ สกู่ าร ปฏิบัติท่ีถูกต้องอย่างจริงจังแล้ว ความคาดหวังในภาพลักษณ์ท่ีเพียบพร้อมเช่นนั้นจะย่ิงน้อยลงจนกระท่ัง หมดไปพร้อมๆกับความยืดถือในตัวตน และเกิดคุณสมบัติพเิ ศษท่ผี ู้เข้าถงึ สัจธรรมต้ังแต่ระดับโสดาบันบุคคล ขึน้ ไปจะพึงมีคอื ความมีศรทั ธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา พระธรรม พระสงฆ์ และความมีจิตต้งั มั่นอยู่ในกุศล กรรมท่ีเก้ือหนุนให้ถึงความหมดกิเลส มีเมตตากรุณาไม่คิดเบียดเบียนเพ่ือนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย นอกจากน้ี การฝึกเจริญสติเข้าไปรู้ในกาย-ใจยังสร้างทักษะความชำนาญในการสังเกต การพิจารณา อย่าง ลกึ ซึ้งเป็นกลาง โดยไมเ่ ข้าไปเก่ียวพนั กับอารมณ์จงึ มจี ิตใจทพ่ี ้นจากความทกุ ข์ หรอื หากมคี วามทุกขก์ ็ทุกข์ไม่ มากและไม่นาน อย่างไรก็ตาม บุคคลผู้ยังไม่พ้นไปจากทุกข์อย่างสน้ิ เชิง ยังมีโอกาสถูกครอบงำด้วย ราคะ โทสะ โมหะ ส่วนที่เหลือที่ยังละไม่ได้ จึงอาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่สำรวม มีภาพลักษณ์ท่ีไม่เหมาสมน่าติ เตยี นได้ในทุกคร้ังทเ่ี ผลอสติ บคุ คลจึงควรอยู่ใกลก้ ัลยาณมิตรท่ีมีคุณธรรมสงู กว่าหรือเสมอกนั เพอื่ ให้เกิด พัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เมื่อจบการศึกษาแล้วก็มีวิถีชีวิตเป็นอิสระไม่ถูกจำกัดด้วยรูปแบบหรือกฎเกณฑ์ที่ สมมติข้ึนมา ผู้จบการศึกษาบางท่านอาจเลือกดำรงวิถีชีวิตแบบเดิมต่อไปหรือบางท่านอาจเลือกพัฒนา คุณสมบัติอน่ื ๆ หรอื ขัดเกลาพฤติกรรมทเ่ี ป็นวาสนาต่อไป เพื่อให้เหมาสมกับการดำเนินชีวิตในบั้นปลายท่ีจะ ออกจากความเปน็ คฤหสั ถ์อยา่ งแน่นอน

ภาคผนวก ๕๖ รหัส ๑๐–๔๙ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ ช่ือวทิ ยานิพนธ์ การศกึ ษาวเิ คราะหผ์ ลสัมฤทธใิ์ นการปฏิบตั วิ ปิ สั สนากัมมัฏฐานตามแนว ผูว้ ิจยั ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ปริญญา (An Analytical Study Of The Effectiveness of Mahachulalongkornrajavidyalaya University’s ปี Vipassanã Retreat) วตั ถุประสงค์ อณวิ ชั ร์ เพชรนรรตั น์ ปรญิ ญาพุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั การทบทวน ๒๕๔๙ เอกสารและ ๑. เพอ่ื ศึกษาหลกั การและวิธปี ฏบิ ตั ิวปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน ตามแนวของพระพุทธศาสนาเถรวาท งานวิจยั ท่ี ๒. เพื่อศึกษาหลักการและวิธีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช เก่ียวขอ้ ง วทิ ยาลัย นิยามศัพท์ ๓. เพ่อื ศึกษาเปรียบเทยี บ ความรแู้ ละความเข้าใจ ในวธิ ีการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากัมมัฏฐานของนิสติ มหาวทิ ยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ก่อนเร่มิ กับหลงั จบหลกั สูตรวิปสั สนากมั มัฏฐานภาคบังคบั ๔. เพ่ือศึกษาวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ ใน เรื่องพละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ของนิสิต มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั หลังจบหลักสตู รวิปัสสนากมั มฏั ฐาน ภาคบังคบั หลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของพระพุทธศาสนาเถรวาท และ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้แก่ หลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวของ พระพุทธศาสนาเถรวาท หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวของพระพุทธศาสนาเถรวาท ก. หลัก สติปัฏฐาน ๔ ความหมายของสติปฏั ฐาน ประเภทของสติปัฏฐาน ๔ จุดประสงค์ของสติปัฏฐาน ประเภท บุคคลเหมาะกับสติปัฏฐาน ๔ ข. หลักธรรมแห่งการตรัสรู้ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ . อิทธิบาท ๔. อินทรีย์ ๕. พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ . มรรคมีองค์ ๘ ค หลักวิปัสสนาภูมิ ๖ ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน วิธีการปฏิบัติ สมถกัมมัฏฐาน ตามแนวของพระพุทธศาสนาเถรวาท ก. ความหมาย ข.ประเภทของสมาธิ ค.อารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน ง.ผลของสมถกัมมัฏฐาน วิธีการปฏิบัติ วปิ สั สนากัมมัฏฐานตามแนวของพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ก ความหมาย ข.ประเภทของวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน ค. ประโยชน์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ง.วิธีปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๒๑ บรรพ ๑.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๒.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน จ.หลักฐานและ สภาวะของวิปัสสนาญาณ ๑๖ ฉ. เปรียบเทียบวิปัสสนาญาณ ๑๖ ในวิสุทธิ ๗ หลักการและวิธีปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หลักสูตรภาคปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน ก.ประวัติและความเป็นมา ข.หลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐาน ค.ระเบียบในการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ก.หลักวิปัสสนาภูมิ ๖ ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ข.หลักการ ปฏิบัติตามแนว สติปัฏฐาน ๔ ค.หลักธรรมเกื้อหนุนในการบรรลุธรรม วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ก. ตารางกิจกรรมประจำวัน ข.กิจเบ้ืองตน้ ท่ีควรรู้และควรทำกอ่ นเข้าปฏิบตั ิ ค.การสมาทานพระกัมมฏั ฐาน ง.ข้อ ที่ควรเว้น ในการเจริญกัมมัฏฐาน จ.ข้อที่ควรปฏิบัติ ในการเจริญกัมมัฏฐาน ฉ.การกำหนด ช. การปฏิบัติ ใน อิริยาบถย่อยต่างๆ ซ.การปฏิบัติ ในอิริยาบถยืนและอิริยาบถเดิน (เดินจงกรม) ฌ.การปฏิบัติ ในอิริยาบถน่ัง (นงั่ สมาธิ) ญ.หลกั ธรรมเกอ้ื หนนุ ตอ่ วิปัสสนากัมมฏั ฐาน ฎ.การส่งและสอบอารมณ์ ฏ.วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบกับ วธิ ใี นมหาสตปิ ัฏฐานสูตร ๑. ผลสัมฤทธิ์ หมายถงึ ผลลพั ธ์และสง่ิ ทไ่ี ด้รับจากการปฏิบัตวิ ิปสั สนากัมมัฏฐานของนิสิตระดับปริญญาโท

ภาคผนวก ๕๗ ประชากรและ ของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั โดยศึกษาจากแบบสอบถาม ในหลกั สูตรภาคบงั คับของ กลมุ่ ตัวอย่าง การปฏบิ ตั ิวิปสั สนากมั มัฏฐาน ๒. รูป หมายถงึ ส่วนประกอบของร่างกายคนมี ๒๘ ประเภท ประกอบด้วย มหาภูตรปู ๔ และ อปุ ทายรปู วิธีดำเนนิ การ ๓. นาม หมายถงึ จิต(ธรรมชาติท่ีรอู้ ารมณ์) เจตสกิ (ธรรมชาติที่ประกอบกบั จติ ปรงุ แตง่ จิตใหเ้ กิดการรู้ วิจัย อารมณ์ และรสู้ กึ เป็นไปตามตนเองท่ีประกอบ และนิพพาน(ธรรมชาติทสี่ งบจากกิเลสและขันธ์ ๔. การปฏบิ ตั ิวิปัสสนากมั มฏั ฐาน หมายถงึ การฝกึ หัดปฏบิ ัตโิ ดยอาศัยรปู นามขันธ์ 5 สำหรับเป็นปจั จยั ให้ เกิดการเหน็ แจ้งตามความเป็นจริงของธรรมชาติ เพ่ือการบรรลุพระนพิ พาน ซงึ่ เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของ พระพทุ ธศาสนา ๕. พระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง หลักธรรมคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ท่ียึดถือดั้งเดิมจากสมัย พทุ ธกาลโดยไม่บัญญัติเพม่ิ เติมหรือเปลี่ยนแปลงสิกขาบทแม้เล็กน้อย หลักเถรวาทเป็นที่แพร่หลาย เช่น ใน ประเทศไทย พมา่ ศรีลังกา ลาว และ เขมร เป็นตน้ ๖. พละ ๕ หมายถึง กำลัง และ ผลที่ได้รับในเรื่อง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา หลังจากการฝึก ปฏบิ ัตวิ ิปัสสนากัมมฏั ฐาน ๗. ศรัทธา หมายถึง ความเช่ือ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้ แต่อาจเป็นทางเช่ือมต่อนำไปสู่ความรู้ได้ เพราะ ศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรบั ความรูข้ องผู้อนื่ ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผอู้ ่ืน ยอมพ่ึง9 ศรัทธา ในงานวิจัยน้ีมุ่งเน้นในหลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของพระพุทธเจ้า และ ตาม คำแนะนำจากพระวิปัสสนาจารย์ ๘. วริ ิยะ หมายถงึ ความเพยี รพยายามในการปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ทดลองสิ่งท่เี ช่อื เพ่อื ใหเ้ ห็นผล ประจกั ษจ์ รงิ จังแก่ตน ซงึ่ นำไปสู่ ปัญญา หรอื วิปสั สสนาญาณ ในท่สี ดุ ๙. สติ หมายถงึ ความสามารถในการการระลกึ รู้ทันปัจจบุ ันแหง่ รปู นามทุกขณะทางอารมณ์ทางทวารท้ัง ๖ (ตา หู จมูก ล้นิ กาย และใจ) ๑๐. สมาธิ หมายถึง ในระดับเพยี งขณกิ สมาธิ(ช่ัวขณะ) ซงึ่ เป็นสมาธิท่ีมปี ระสิทธิภาพเพยี งพอสำหรับใช้ใน การปฏิบัตวิ ิปสั สนากัมมัฏฐาน โดยมีอารมณอ์ ยู่ท่ีรปู และนาม ๑๑. ปญั ญา หมายถงึ ความรอบรู้ รชู้ ัด และรทู้ วั่ ถึงความจริง หรือรตู้ รงตามความเปน็ จริงในรูปนาม ซึง่ นำมา สปู่ ญั ญาทางพุทธศาสนา(วปิ ัสสนาญาณ ๑๖) ที่เกิดจากการปฏิบัติวิปสั สนากัมมัฏฐาน โดยมเี ปา้ หมาย สงู สดุ คอื พระนพิ พาน นิสิตระดับปริญญาโท และ เอก ในบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในภาค การศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๘ กลมุ่ ตวั อย่างเป็นนสิ ติ ระดบั ปริญญาโทของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่เขา้ ฝึกปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมฏั ฐานตามหลกั สูตรภาคบงั คับ ภาคการศึกษาที่ ๒ ๑. การวิจัยทางเอกสาร โดยศึกษาจาก คัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท(ฉบับภาษาไทยของ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๓๙) คัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา(ฉบับภาษาไทย มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๕ ) และ ตำราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับ หลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน ตามแนวของพระพุทธศาสนาเถรวาท และ ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๒. การวิจัยภาคสนาม โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจาก กลุ่มตัวอย่างที่เป็นนิสิตระดับปริญญาโทของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่ีเข้ารับการอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลกั สูตรภาคบังคับ ๑๕ วนั แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปทำการวิเคราะห์ทางสถิติ เพ่ือทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ ข้ันการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ สร้างแบบสอบถามแล้วนำไปให้กลุ่มตัวอย่างตอบ สำหรับการวิจัยในหลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐานภาคบังคับ แก่ นิสติ ระดบั ปริญญาโทของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้วยการเกบ็ ข้อมูล เป็น ๒ ระยะ คือ

ภาคผนวก ๕๘ เครื่องมอื ทีใ่ ช้ ก. ก่อน เร่ิมหลกั สูตร ข. หลัง จบหลักสูตร นำข้อมูลท่ีได้จากแบบสอบถามมาทำการศึกษาวเิ คราะหท์ างสถติ ิ ในการ จากข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาค่าความเฉล่ีย หรือ ตัวเลขกลางเลขคณิต (Mean) ค่าเบี่ยงเบน วเิ คราะห์ มาตรฐาน (Standard Deviation) และ ใช้คา่ Z-Test เพอื่ ทดสอบสมมติฐานทต่ี งั้ ไว้ รวบรวมข้อมูล แบบสอบถาม ๒ ชุด คือ ก่อนเริ่ม และหลังจบหลักสูตร วิปัสสนากัมมัฏฐาน ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การปฏิบัติ การวิเคราะห์ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ิของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในเร่ืองวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐาน และ เรือ่ งพละ ๕ (ศรทั ธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา) สรุป ผูว้ ิจัยได้ดำเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลภาคสนามตามลำดับข้ันตอนดงั น้ี ผู้วิจยั ได้ไปแจก และเกบ็ รวบรวม ผลการวิจยั แบบสอบถามด้วยตนเอง ณ สถานปฏิบัตธิ รรมมหาจฬุ าอาศรม ก่อนเร่ิมและหลังจบหลกั สตู รวิปสั สนา กัมมัฏฐานดว้ ยตนเอง การวจิ ัยคร้ังนี้ได้ทำการประมวลผลข้อมูลด้วยเครอื่ งคอมพิวเตอร์ ในการวเิ คราะห์ข้อมูล โดยใช้สถติ ิดงั ตอ่ ไปนี้ ก). ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) S.D. ค่าความ เช่ือม่ัน ของแบบทดสอบโดยใช้ระดับนัยสำคัญ (Level of Significance of a test) สัญลักษณ์ คือ ∝ สำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์นิยมโดยกำหนด ∝ เท่ากับ ๐.๐๕ ระดับความเช่ือม่ัน ๙๕ % และ Degree of Freedom (df) = n – ๑ เนื่องจากไม่ทราบค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานของประชากรท้ังหมด งานวิจัย ได้แต่ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่างเท่าน้ัน ในการใช้ค่า (Z-Test) จากตาราง โดยเลือกจากจำนวน กลุ่มตัวอย่าง(N) ไม่เกิน ๖๐ จะได้ค่าเท่ากับ +๒.๐/-๒.๐ (แบบทดสอบสองทาง) และ + ๑.๖๗ (แบบทดสอบ ทางเดียว) เพ่ือแสดงพนื้ ท่ีของความคลาดเคล่ือนทย่ี อมให้เกิดข้นึ ที่เรียกว่า เขตปฏิเสธหรือเขตวกิ ฤต สำหรับ ใช้ในการยอมรับหรือปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ด้วยเปรียบเทียบ ค่าจากการคำนวณของ Z-Test กับ ค่าจาก ตาราง Z-Test ว่าจะยอมรับ หรือ ปฏิเสธ ถ้าตกอยู่ในเขตปฏิเสธหรือวิกฤตก็จะให้ผลคือ การปฏิเสธ สมมติฐานกลางหรือสมมติฐานไร้นัยสำคัญ (Null hypothesis) และยอมรับสมมติฐานอ่ืน(Alternative hypothesis) ถ้าไมต่ กอยใู่ นเขตวิกฤตกใ็ หย้ อมรับสมมติฐานกลาง และปฏเิ สธสมมติฐานอน่ื สรุปงานวจิ ยั ดา้ นเอกสาร ได้ผลการศึกษาดงั ต่อไปน้ี ก. หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในพระไตรปิฎก หลักปฏิบัติเพื่อการบรรลุพระนิพพานท่ี พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ มีอยู่ทางสายเดียวเท่าน้ัน คือ หลักสติปัฏฐาน ๔ และหลักธรรมในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ หรือ มรรคมี องค์ ๘ ลว้ นแต่ตอ้ งมีสติและใชส้ ติกำกบั ถอื ว่าเป็นหลักที่สำคัญสำหรบั กำหนดในทุกทวารเพ่อื ปอ้ งกนั การเกิด ตัณหาและอุปาทาน นำไปสู่การติดในสังสารวัฏ ถา้ หากผใู้ ดชำนาญในการใช้สติก็สามารถปิดก้ันไมใ่ หก้ ิเลสเข้า สู่จิต ด้วยหลักสติปัฏฐานท้ัง ๔ ในพระอภิธรรมปิฎก และคัมภีร์วิสุทธิมรรค ยังได้รวบรวมอารมณ์พื้นฐาน สำหรับการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน หรือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ ๖ ไว้เป็นหลักที่จะใช้ เจริญสตปิ ัฏฐานหรือวปิ สั สนาอีกด้วย ข. วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท การปฏิบัติสมถกมั มัฏฐานมี มาแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ส่วนวิปัสสนากัมมัฏฐานมีเฉพาะในสมัยพุทธกาล โดยสอนเน้นท่ีจุดสำคัญคือ เรื่อง อนัตตา ซึ่งตรงข้ามกับ สมถกมั มัฏฐานหรือลัทธคิ วามเชอื่ อ่ืน ๆ ท่ีเชอ่ื ในเรือ่ ง อตั ตา ดังนั้น การประกาศอนตั ต ลกั ษณะเปน็ วิสยั ของพระสพั พัญญพู ุทธเจ้าเท่านั้น มิใช่วสิ ยั ของคนทั่วไป เพราะวา่ อนัตตลกั ษณะนั้นสุขุมคัมภีร ภาพยิ่งนัก สมัยพุทธกาลพระสาวกเรียนกัมมัฏฐานจาก มหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเป็นพุทธพจน์ที่สอนการ ปฏิบัตินับว่าเป็นพระตำรากัมมัฏฐานสำคัญรุ่นพระบาลี และเป็นคัมภีร์กัมมัฏฐานรุ่นแรก ก่อนคัมภีร์วิสุทธิ มรรค ซ่ึงเป็นคัมภีร์รุ่นหลัง แต่นักปฏิบัติได้นิยมใช้วิสุทธิมรรคเป็นหลักในการศึกษาสำหรับการปฏิบัติสมถ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน สำหรับในมหาสติปัฏฐานสูตร มีการสอนกัมมัฏฐานถึง ๒๑ บรรพ กัมมัฏฐานท่ีกล่าว

ภาคผนวก ๕๙ ในสูตรนี้มีท้ัง สมถะและวิปัสสนา แต่วิธีปฏิบัติที่พระพุทธองค์ทรงสอนไวบ้ ่อยท่ีสุดในพระไตรปิฎก และเป็นท่ี นยิ มตราบจนปจั จุบนั คือ อานาปานสติ ตามหลักฐานหากเรมิ่ เจริญอานาปานสติโดยทำใหม้ ากแล้วย่อมบำเพ็ญ สติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ผู้ที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ในท่ีสุดนอกจาก หลัก ปฏิบัติท่ีสอน เช่นในมหาสติปัฏฐานสูตรแล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสเน้นสอนภิกษุ ในธรรมวิหาริกสูตร ว่ามิใช่ เพียงแค่รู้ในส่ิงที่เรียนมา หรอื รู้แล้วมาบรรยายสอนผู้อ่ืนหรือ สาธยายธรรมตามท่ีได้ฟังได้เรียนมา หรือ เพียง แค่การตรึกตามธรรมน้ัน แต่พระองค์สอนให้ไปปฏิบัติท่ี โคนต้นไม้ หรือท่ีเรือนว่าง และให้สาวกท้ังหลายจง เพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าเป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลัง อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยการไม่หลีกออก เร้นอยู่ ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน และ ทรงสอนให้ทราบชัดเน้ือความของธรรมนั้นท่ีย่ิงขึ้นไปด้วย ปัญญา ซึ่งนับว่าเป็นผู้อยู่ในธรรมเส้นทางที่นักปฏิบัติประสงค์จะเจริญวิปัสสนา เพ่ือบรรลุความบริสุทธ์ิที่เริ่ม ด้วยอานาปานสตภิ าวนา เมื่อทำฌานให้เปน็ วสีคลอ่ งแคล่วแล้ว ต้องกำหนดนามรูป เพ่ือเร่ิมเจรญิ วิปัสสนาโดย เม่ือกำหนดนามรูปแล้ว แสวงหาปัจจัยของนามรูป เห็นนามรูปด้วยพระไตรลักษณ์ ละวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ เห็นการเกิดดับของนามรูป บรรลุการตามเหน็ ความดับแหง่ นามรูปแล้วเบ่ือหนา่ ยคลายความกำหนัด หลดุ พ้นในสงั ขารทง้ั ปวง ท่ีปรากฏโดยความเป็นของนา่ กลัวเพราะเหน็ แตน่ ามรปู ที่ดับไปหาระหว่างคน่ั มไิ ด้ จน บรรลุอริยมรรค ๔ ตามลำดับ จนถึงอรหัตผลการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นยอดของการบูชาเพราะเป็นการปฏิบัติ ตามรอยยุคลบาทของพระพุทธองค์ดังน้ันการบูชาด้วยอามิสใดๆ ก็ไม่เท่ากับการปฏิบัติบูชาตามหลักสติปัฏ ฐาน ๔ ค. หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจากข้อมูลที่ ปรากฏ หลักการปฏิบัติวิปัสสนา ตามแนวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นแบบวิปัสสนา ยานิกะ อาศัยเพียงขณิกสมาธิ ยึดหลักปฏิบัติตามในคัมภีรว์ ิสุทธิมรรค ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานโดย ใชว้ ิปัสสนาภูมิ ๖ เป็นอารมณพ์ ้ืนฐานแตห่ ลักปฏิบตั ิยังอยู่ในกรอบของหลักสติปัฏฐาน ๔ เชน่ เดียวกับ มหา สติปัฏฐานสูตร ๒๑ บรรพโดยมีการตรวจสอบผลของการปฏิบัติและเป็นเครื่องตัดสินความก้าวหน้าเป็น รูปธรรมที่ชัดเจนจากสภาวธรรมและลักษณะของวิปัสสนาญาณ ๑๖ ที่จะเกิดข้ึนตามลำดับ อย่างเป็นระบบ และมีการตรวจสอบได้ วิปัสสนาญาณ ๑๖ ในวิสุทธิมรรคมีหลักฐานอ้างอิงอย่างถูกต้องในพระไตรปิฎกเล่ม ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ที่ได้แสดงเร่อื งของ ญาณ ๗๓ และในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ แสดงเร่ือง รถวินีตสูตร (เน้ือหาของ วิสุทธิ ๗) ที่พระสารีบุตรแต่งขึ้นเพ่ือประโยชน์ใน การศึกษาเร่ืองปัญญาท่ีพระพุทธองค์ทรงสอนใน มหาสติปัฏฐานสูตรและยังมีปรากฏอีกในอรรถกถา อย่าง ครบถ้วนทั้ง ๑๖ ญาณ ซ่งึ เป้าหมายสูงสุดของการปฏิบตั ิตามแนวทางวสิ ุทธมิ รรคคอื พระนิพพาน เช่นเดียวกับ เปา้ หมายของสตปิ ฏั ฐาน ๔ ง. วิธีการปฏบิ ัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๑. ประวัติกัมมัฏฐานในประเทศไทยสมัยก่อน พระสงฆ์ไทยสายปฏิบัติกรรมฐานมักจะอยู่ในป่าเรียกว่า อรัญญวาสี ส่วนพระบ้านในเมืองเรียกว่า คามวาสี การปฏิบัติกัมมัฏฐานจึงถูกแยกออกจากปัจจัยที่ตั้ง พระ บ้านมักจะไม่เคยชินกับกัมมัฏฐาน พระในเมืองจะมุ่งศึกษาบาลี ซ่ึงช้ันที่สูงสุดคือ เปรียญธรรม ๙ ประโยค หลักสูตรเปรียญธรรมจะเป็นการศึกษาในคัมภีร์ต่างๆ โดยเน้นใช้คัมภีร์แปลเป็นภาษาบาลี และจากบาลีเป็น ภาษาไทยเป็นต้น การศึกษาในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ก็มิได้เป็นหลักสูตรสำหรับพระสงฆ์ไทยท่ัวไป แต่ถ้าสนใจก็ ต้องไปศึกษาเองภายหลัง โดยสรุปคอื พระสงฆ์ไทยจึงไม่ค่อยชำนาญในพระไตรปิฎก และเรอ่ื งของกัมมัฏฐาน ไมว่ ่าจะเปน็ สมถะ หรือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน นับตั้งแตส่ มัยอยุธยา ชาวพุทธคุ้นเคยกับการปฏิบัตทิ ่ีเร่ิมต้นด้วย สมถกัมมัฏฐานและ สมถยานิกะ (หากเจริญวิปัสสนาต่อ ถ้าไม่หยุดเพียงแค่ผลของสมาธิ) โดยใช้องค์บริกรรม

ภาคผนวก ๖๐ ว่า พุทโธ โดยเน้นการน่ังสมาธิเป็นส่วนใหญ่ พระภิกษุและชาวพุทธไทยจึงคุ้นเคยกับ คำว่า นั่งสมาธิแบบ พุทโธ หรือ แบบอานาปานสติ โดยทำใจให้สงบน่ิง อย่างไรก็ดีการปฏิบัติก็ยังไม่เป็นท่ีแพร่หลายใน พุทธศาสนิกชนเมืองไทยในปจั จุบัน เมื่อพิเคราะห์ตรวจสอบดูพอประเมินได้ว่า มกี ารปฏิบัติสมถกัมมฏั ฐาน ราว ๗๐-๘๐ % ส่วนวิปัสสนากัมมัฏฐานมีเพียง ๒๐-๓๐% เท่านั้น เพราะว่าเมืองไทยศึกษาวิสุทธิมรรค หลักสูตรของประโยค ป.ธ. ๘ เพียงเล่ม ๑-๒ คือ สีลนิเทศและสมาธินิเทศ ที่ว่าด้วยศีล สมาธิ ที่เป็นสมถ กัมมัฏฐานล้วนๆ ซ่ึงพระพุทธโฆสาจารย์รจนาด้วยภาษาที่ไพเราะ แสดงเนื้อหาได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงเกิด ความพอใจไม่ประสงค์จะเรียนเลม่ ที่ ๓ หรือเรียนเฉพาะช่วงต้นๆ เพยี งประปราย เล่มท่ี ๓ คือ ปัญญานิเทศ ว่าด้วยปัญญา เป็นส่วนของวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยเฉพาะ พระภิกษุมีจำนวนน้อยมากท่ีจะเรียนเลยเปรียญ ธรรม ๘ ประโยค และจึงไม่ค่อยมีโอกาสเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐาน จากการศึกษาที่ไม่ครบถ้วนนี่เอง จึงเป็น เหตุให้สมถะมีมากกว่าวิปัสสนา นอกจากน้ันการปฏิบัติสมถะจะเป็นท่ีนิยมเพราะคนไทยส่วนใหญ่ชอบ อทิ ธิปาฏิหารยิ ์จากสมถะ ส่วนการปฏิบตั วิ ิปัสสนากัมมฏั ฐานมีแต่ความยากลำบาก แสนจะเหน็ดเหนอ่ื ยเต็มไป ด้วยทุกข์ เด๋ียวเจ็บโน่นเด๋ียวปวดน่ี ท้ังจิตก็ไม่สงบซัดซ่ายคิดเร่ืองโน้นเรื่องน้ีอยู่เรื่อย การฝึกกัมมัฏฐาน คือ การฝกึ จิต และพฒั นาปัญญา การฝึกตอ้ งอดทนลำบากและดเู หมอื นวา่ ไม่ได้อะไรเลย เพราะจติ และปญั ญา ไม่มีตัวตน ไมม่ ีสี ไม่มีรูปร่าง ไม่มนี ิมติ หมายสณั ฐานใหเ้ ปน็ ท่รี ่ืนรมยต์ ่อการปฏิบตั ิ ผู้ทีพ่ ่ึงฝึกใหม่ และที่มกี ิเลส รักความสบายอยู่ จึงมักจะล้มเลิก ก่อนคำว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นคำศัพท์ท่ีไม่คุ้นหูสำหรับชาวพุทธ และ เมอื่ มีการสอนพรอ้ มกบั การบรกิ รรมภาวนาว่า พองหนอ ยุบหนอ ซ่งึ เปน็ แนวปฏิบัติท่ีฝกึ มาจากพม่า ยง่ิ ทำให้ คนไทยเกิดความลงั เลสงสัยและเกิดอคติ ดงั น้ันเรอื่ งวิปัสสนากัมมฏั ฐานจดั ว่าเปน็ เร่ืองใหม่ อีกท้ังคณะสงฆ์ไทย ก็ไม่มีแผนกวิปัสสนาธุระ เพ่ือสอน เผยแผ่ และ ตรวจสอบ กิจกรรมกัมมัฏฐาน ตามวัดต่างๆ ทั่วไป ท้ังๆ ที่ วิปัสสนาธุระเป็นหน่ึงในธุระสำคัญที่สุด ๒ อย่าง (วิปัสสนา และ คันถธุระ) ฉะน้ันธุระหน้าที่ที่ไม่เป็นไปเพ่ือ สง่ เสรมิ ศีล สมาธิ และปัญญาแลว้ จัดไดว้ ่าไมใ่ ช่ธุระในพุทธศาสนา หากบรรพชติ รปู ใด ไมท่ ำหน้าท่ีของตน ๒ อย่างนี้ ผู้น้ันช่ือว่า ทำลายตัวเอง และ ทำลายพระพุทธศาสนา และจัดว่าปฏิบัติตนเพื่อความเส่ือมสูญแห่ง พระพุทธศาสนา ๒. สาระสำคัญของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้วยองค์บริกรรม พองหนอ ยุบหนอ ประวัติและความ เป็นมาของวิปัสสนากัมมัฏฐานหลักการและวิธีปฏิบัติวิปัสสนา ไม่ใช่พึ่งมีการสอนมาไม่นาน โดยที่รุ่นอาจารย์ เป็นคนคิดค้นได้ การปฏิบัติวิปัสสนาแนวน้ีมีมานานหลายช่ัวอายุคนแล้วและแพร่หลายไปทั่วโลก หากจะ เปรยี บกเ็ หมือนกับมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่โดยมีผู้ได้พิสูจน์ไปแล้วนบั ไม่ถ้วน ถา้ ต้ังใจปฏิบัติจริงและต่อเนื่อง ผล ก็จะปรากฏทำให้เข้าใจเหมือนกันทุกคน ใน เรื่อง สภาวธรรมต่างๆ วิปัสสนาญาณ 16 อารมณ์พระนิพพาน และ ผลสมาบัติ ที่ตรวจวดั ผลไดเ้ ป็นรูปธรรม มิใช่เพียงแคค่ วามนึกคิดในทฤษฎีเท่าน้ัน ดังนั้น กัมมัฏฐานแนว นี้มีประวัติ และท่ีมา หรือ ที่เรียกว่า วิปัสสนาวงศ์ จากปัจจุบันถึงอดีต ท่ีน่าสนใจ โดยเรียงลำดับดังนี้ กองกลางวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณ สิทฺธิ)-พระวิปัสสนาจารย์ใหญ่ คณะ 5 วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพ พระอาจารย์ ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัค คมหากัมมัฏฐานาจรยิ ะ พระวิปัสสนาจารย์ ของ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) พระภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัคคมหาบัณฑิต, ย่างกุ้ง, พม่า (พระอาจารย์มหาสีสะยาดอร์) พระวิปัสสนาจารย์ ของ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ พระภัททันตะ นารทเถระ หรือ พระนารทภิกขุ (พระ อาจารย์มิงกุลเชตะวันสะยาดอร์), สุธรรมบุรี, พม่า พระอาจารย์มิงกุลโตญ สะยาดอร์ พระอาจารย์นโมเถร พระอาจารย์ติรงคมหาเถระ (ติรงคะ สะยาดอร์) พระเขม มหาเถระ อภิญญา (ช่วง พ.ศ. ๑๘๕๕) พระอรยิ วัง สมหาเถระ พระธรรมทัสสีอรหนั ต์ (วงศพ์ ระอรหันต์) พ.ศ. ๑๔๔๑ อริมทั ทนคร สวุ รรณภูมิ พระอาจารย์รุ่น ก่อนหน้าหลายรุ่น จนถึงรุ่น พระโสณะ และ พระอุตตระ อรหันต์ พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ คร้ังตติย

ภาคผนวก ๖๑ สงั คายนา (พ.ศ. ๒๓๕) ข) วิธีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน การกำหนดนักปฏิบัติใหม่ส่วนมากจะคุ้นเคยกับการปฏิบัติแบบ บริกรรมอยา่ งเดียวนานๆ ซึ่งการเพ่งหรือการจดจ่อในอารมณ์น้ันนาน ๆ เป็นแนวทางของสมถกัมมฏั ฐาน นัก ปฏิบัติจึงไม่ค่อยคุ้นเคยถึงวิธีปฏิบัติด้วยการกำหนด เน่ืองจากธรรมชาติของจิตที่ทำงานปกติ เช่น การรับ อารมณ์การคิดนึกจินตนาการในเรื่องต่าง ๆ ตลอดเวลา การตอบสนองต่อสิ่งภายนอกท่ีมากระทบ และการ ปรุงแต่งของจิต เมื่อจิตมีความชำนาญในส่ิงใดส่ิงหนงึ่ จติ จะไม่เคยชินในส่ิงใหม่ และมักจะลืมกำหนดต่อเน่ือง อกี ด้วย ดังน้ัน ประเด็นสำคัญที่ควรปฏิบัติอยา่ งเขม้ งวด เช่น การกำหนดอารมณ์ท่ีชัดที่สดุ ของทางทวารทั้ง ๖ ตลอดเวลา และต้องทำอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่รู้สึกตวั ลมื ตาตอนตื่นนอนจนถงึ เวลาหลบั ตานอน อย่างช้าๆ โดยทำ ให้ละเอียดที่สุด สรุปปัญหาของนักปฏิบัติใหม่ คือ ความไม่เข้าใจในปรัชญาของการกำหนด หากผู้ปฏิบัติ กำหนดไม่ต่อเน่ือง สติสัมปชัญญะและสมาธิก็จะขาดตอน ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ทุกที การกำหนดจึงเปรียบ เหมือนกญุ แจสำคัญ ค) การกำหนดอิริยาบถย่อย อิริยาบถที่สำคัญท่ีสุดของวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ การกำหนดอิริยาบถ ย่อย รองลงมา คือ การเดินจงกรมและนั่งสมาธิตามลำดับ นักปฏิบัติใหม่ๆ มักจะไม่เห็นความสำคัญและขาด ศรัทธาในการปฏิบัติต่อการกำหนดอิริยาบถย่อย เพราะคุ้นเคยในอิริยาบถของการนั่งสมาธิ ปัญหาน้ีต้อง แนะนำให้ผู้ฝึกใหม่เข้าใจก่อนเข้าปฏิบัติ และสร้างศรัทธาก่อน มิฉะน้ันเวลาเข้าปฏิบัติผู้ปฏิบัติ จะเดินจงกรม นอ้ ยกวา่ น่งั สมาธิ ง) วิริยะ-ความเพียร นักปฏิบัติควรมีความเพียรวิริยะต่อการกำหนด อย่างไม่หยุด ตอ่ เนื่องในทุกขณะ ของจิตที่รับอารมณ์ วิริยะคือ ปัจจัยเสริมให้วิปัสสนาเกิดความบริบูรณ์ขึ้น ซึ่งหากกำหนดด้วยวิริยะในทุก อารมณ์ท่ีชัดเจน ผลท่จี ะตามมา คือ สติทีเ่ กิดข้นึ ต่ออารมณ์ต่างๆ ของนามและรูป (อารมณ์) เม่ือสติเกดิ ขณิกส มาธิก็เกิดข้ึน ณ ทนี่ ั้น อยา่ งไรก็ดีการกำหนดไม่ใช่การทอ่ งแคค่ ำพดู หรือแค่นึกคิด แตต่ ้องเปน็ การกำหนด ตรง ต่ออารมณท์ เี่ กิดข้ึนจรงิ จ) การปรับอนิ ทรยี ์ ๕ การปรับอินทรีย์ ๕ เพื่อให้เกิด พละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปญั ญา) เป็นเคร่ืองมือท่ีสำคัญในการพัฒนาสู่การเกิดวิปัสสนาญาณ ๑๖ การปรับอินทรีย์ ๕ เปรียบได้กับการเอา เลนสข์ ยายมาส่องกระดาษโดยให้แสงอาทิตย์มารวมตัวกันจนเปน็ จุดเล็กๆ เพ่ือรวมให้เกิดความร้อนสูงสดุ ถ้า ขยับเลนส์ไม่ถูกตำแหน่งพลังแสงแดดจะไม่รวมตัวกันและแสงจะกระจายทำให้ขาดพลัง ดังนั้น ระยะทาง จะต้องพอดีและถูกตำแหน่ง ตัวอย่างน้ีเปรียบได้กับการปฏิบัติวิปัสสนา ของการกำหนด รูป และ นาม ด้วย การปรับอินทรยี ์ ๕ โดย ไม่ตรงึ เครียด-หยอ่ นยาน ไม่ใกล้-ไกล ไมบ่ ังคับ-ปล่อย ไม่เอยี งซ้าย-ขวา ไม่ไปบน-ลา่ ง ไมเ่ พง่ -เหมอ่ ลอย แต่ตอ้ งได้จดุ ที่เหมาะสมและสมดุล สรุปสาระสำคัญและหัวใจของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย มีดังน้ี ๑) การกำหนด พร้อมบริกรรมในใจ ที่รปู และ นาม ตามความเป็นจริง ๒) ความเพียร (วิริยะ) ของการกำหนดทุกอารมณ์ที่ รูป และ นาม ๓) อิริยาบถย่อย ต้องถูกกำหนดในทุกอารมณ์ อย่าง ต่อเน่ือง ให้ละเอียดท่ีสุด ๔) กำหนดอย่างต่อเน่ือง ไม่หยุดกำหนด ไม่คุย ไม่อ่าน ไม่คิดปรุงแต่ง นอนน้อย และสำรวมในทุกอินทรีย์ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยกำหนดให้มาก ๕) กำหนดเพียงรู้อารมณ์ ใน ระดับขณิกสมาธิ ด้วยความเป็นกลาง และเบาสบาย ไม่บังคับ ไม่ตรึงเครียด เพียงแค่กำหนดรู้อารมณ์ต่าง ๆ ด้วยความคลอ่ งแคลว่ ฉบั ไว อย่างต่อเน่ืองสม่ำเสมอ โดยไม่ปล่อยให้จิตด่ิงหรือเพ่งในอารมณ์เดียวนาน ๆ ๖) พระวิปัสสนาจารย์ที่มีเคยผ่านประสบการณ์จากการปฏิบัติและสำเร็จวิชาครูในการสอบอารมณ์ เพื่อช่วยแก้ สภาวธรรมและปรบั อินทรยี ์ท้ัง ๕ ในการพฒั นาสู่ วปิ ัสสนาญาณ ๑๖ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

ภาคผนวก ๖๒ สรุปผลการวจิ ัย ที่จะแสดงการวิเคราะห์ผลจากสมมตฐิ านที่ต้งั ไว้ ๗ ข้อ เพราะเป็นประเด็นท่ีสำคัญของ งานวิจัย โดยเฉพาะอย่างย่ิง สมมติฐานข้อที่ ๑, ๖และ ๗ สมมติฐานข้อท่ี ๑ และ ๖ จะเป็นการวัดผลได้อย่าง ชัดเจนเพราะท้ัง ๒ ส่วนน้ันเป็นการวัดจากการตอบคำถามที่มีคำตอบที่ถูกเพียงข้อเดียว ผู้ตอบต้องมีความรู้ จริง ๆ ในการตอบจึงจะตอบถูก ส่วนสมมติฐานที่ ๗ คือ การสรุปผลสัมฤทธ์ิในเร่ือง พละ ๕ โดยรวม ของ งานวิจัย ผลวิจัยมีดังต่อไปน้ี นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่เข้าอบรมก่อนเร่ิมหลักสูตร วิปัสสนากัมมัฏฐาน ขาดศรัทธาและความเข้าใจ ในหลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน น่าจะเป็น เพราะไม่ได้มีการสอนเรอื่ งหลักการและวิธีการปฏิบัติให้นิสติ เขา้ ใจเปน็ อย่างดีก่อนเข้าปฏิบัติถึงแม้วา่ จะมีการ สอนวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่นิสิตในปีที่ ๒ จากข้อมูลทั่วไปท่ีบ่งบอกว่ามี นิสิตปีท่ี ๒ เข้าปฏิบัติถึง ๘๑.๔๘ % แต่นสิ ิตปที ี่ ๒ กย็ ังตอบคำถามในความเข้าใจตอ่ วปิ ัสสนากมั มัฏฐานไดด้ ีพอ ผลของการปฏิบัติ จากคำตอบ ในตารางท่ี ๓ และ ๔ ซึ่งผลท่ีได้ในตารางที่ ๕ ไม่ได้ให้ความแตกต่างกันเลย ระหว่าง ก่อนเร่ิม กับ หลังจบ หลักสูตร สำหรับ ๑๕ วันของการปฏิบัติอย่างเข้มข้น สรุปคือนิสิตส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจในสาระสำคัญ ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน และยังขาดความเข้าใจในวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาเบื้องต้นท่ีสำคัญอีกด้วย เช่น การ กำหนด และความสำคัญของอริ ิยาบถยอ่ ย และการเดินจงกรม ไมใ่ ช่มุง่ เน้นท่กี ารน่ังสมาธิ ผลท่ีตามมาคือช่วง อาทิตย์แรกนิสิตส่วนใหญ่จึงไม่ได้ผลของการปฏิบัติดีเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่ ควรจะได้ผลเร็วและน่าจะได้ สภาวธรรมของการปฏิบัติตั้งแต่ภายใน ๕ วันแรกแล้ว ตลอดจนจบโครงการ ๑๕ วัน นิสิตส่วนใหญ่ยังตอบ ไม่ได้ว่า หัวใจของวิปัสสนา คือ หลักของการกำหนด ความสำคัญของความเพียร(วิริยะ) ความสำคัญ ของอิริยาบถย่อย / เดินจงกรม ความสำคัญของความต่อเนื่องของการกำหนด และความสำคัญของการ กำหนดเพียงรู้อารมณ์ (ขณิกสมาธิ) ผลจากตารางท่ี ๖ ผลจากการปฏิบัติในเรื่อง ศรัทธา แสดงผลได้ดีใน ระดับมากเน่ืองจากนิสิตส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุบวชอยู่พุทธศาสนาและยังมาศึกษาพุทธศาสนาเพ่ิมเติม ใน ระดับปริญญาโท แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพุทธศาสนา ดังนั้นพระนิสิตส่วนใหญ่จึงมีพื้นฐานของความ ศรัทธามากกวา่ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นชาวบ้าน หรอื คนทำงานท่ัวไป ผลในเรื่องศรัทธา จึงออกมาดี ในระดับ มาก อย่างไรก็ดีผลในส่วนนี้มิได้สะท้อนถึงผลการปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน มากเท่าที่ควร เพราะเป็นเพียงการวัด ระดบั ความคิดเหน็ ในเรื่อง ศรัทธา เทา่ นั้นผลจากตารางท่ี ๗ และ ๘ ผลจากการปฏิบัติในเร่ือง วิริยะ และ สติ แสดงผลได้ในระดับ ปานกลาง ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึง ศรัทธาและความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนา วิริยะเป็น หนึ่งในประเด็นสำคัญมากของการปฏิบัติ ถ้ามีความเพียรในการกำหนด ผลจะออกมาดีตามลำดับ เช่น ก่อให้เกิดสติ ได้ขณิกสมาธิ และ เป็นปัจจัยให้เกิด ปัญญา (วิปัสสนาญาณ ๑๖)วิริยะเปรียบเหมือนขบวนหัว จักรรถไฟที่ฉุดนำให้ จิตเดินหน้าสู่ การเห็นรูปนาม ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ เม่ือใดท่ีจิตมีวิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาจะเกดิ ตามมาในไมช่ ้า ถ้าหากวิรยิ ะอ่อน สติกจ็ ะอ่อน สมาธกิ ็จะไม่ม่ันคงตั้งม่ัน อาจทำให้จิต ฟุ้งซ่าน เบื่อ และหงุดหงิดได้ผลจากตารางท่ี ๙ ผลจากการปฏิบัติในเร่ือง สมาธิ แสดงผลในระดับ ดี หรือ มากเน่ืองจากสมาธิหรือความมุ่งมั่นต้ังใจ เป็นคุณสมบัติอย่างหน่ึงของพระภิกษุไทยที่เปี่ยมด้วยศรัทธาใน พระพุทธศาสนา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น วัฒนธรรม ประเพณี หรือ บุคลิกภาพของพระสงฆ์ ตัวอย่างเช่น ในขณะศึกษา พระสงฆ์จะต้ังใจฟังดีมาก เงยี บ และเช่อื ฟังตามอาจารย์แบบอนุรักษ์นิยม โดยในระหว่างศกึ ษา จะไม่ค่อยมีการซักถาม การโต้แย้งความคิดเห็นหรือเสนอแนะมากเท่าท่ีควร เพราะอาจจะมีความเกรงใจ ไม่ ก้าวร้าว นอบน้อมถ่อมตน ต้ังใจฟัง และเคารพครูบาอาจารย์อย่างย่ิง คือวัฒนธรรมการเรียนการสอนแบบ ด้านเดียว มีท้ังคุณและโทษ ผลจากตารางที่ ๖, ๗, ๘ และ ๙ เป็นการวัดผลแบบ ระดับคะแนน สำหรับ เน้ือหา และรูปแบบของประเด็นในแต่ละเร่ือง ระดับคะแนนเป็นเพียงการวัดผลในเชิงความคิดเห็นและการ ประเมินผลเอง ของนกั ปฏิบตั ใิ นประเด็นต่าง ๆ ซึ่งมักจะให้ระดบั คะแนนความคดิ เห็น โนม้ เอียงไปใน ทางบวก มากกว่า ความเป็นจรงิ ผลจากตารางที่ ๑๐ ผลจากการปฏิบัติในเร่ือง ปญั ญา แสดงคำตอบในแบบ ถูก หรือ

ภาคผนวก ๖๓ ผิด ซึ่งเป็นการวัดผลจากผู้ปฏิบัติ ด้วยประสบการณ์จริง ๆ ไม่ใช่จินตนาการหรือการนึกเอาเองโดยที่ไม่ สามารถคาดคะเนหรือโน้มเอียงไปในทางบวกได้ หากตอบถูกจะแสดงถึงผลทันที และถ้าตอบไม่ได้แปลว่าไม่ เห็นจริงๆ เพราะหากเห็นในขณะปฏิบัติจริง ๆ จะไม่มีวันลืม และตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว ผลที่ได้ของ ตารางน้ี จะสอดคล้องกับ ตารางเปรียบเทียบความรูแ้ ละความเข้าใจในวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา ที่ ๕ (ก่อนเร่ิม และ หลังจบหลักสูตร) และผลท่ีได้ก็เป็นไปตามผลในตารางที่ ๕ คือ ผลของการปฏิบัติในเรือ่ ง ปัญญา อยู่ใน ระดับ น้อย คือไดค้ า่ เฉลี่ยที่ตอบถกู เพียงรอ้ ยละ ๓๔.๔๙ เท่านั้น ซึง่ สอดคล้องกับผลในตารางท่ี ๕ หากนสิ ิต ได้รับผลดีและมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นในวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา ผลของปัญญาก็จะเกิดตามมาอย่างแน่นอน ใน งานวิจัยน้ีผลสัมฤทธิ์ท่ีสำคัญที่สุดอยู่ที่การวัด ความรู้และความเข้าใจในวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา หลังจบ หลักสูตร และ ผลการปฏิบตั ิในเรื่อง ปัญญา เนื่องจากวา่ ผลทไ่ี ด้จะสะทอ้ นค่าใกล้เคียงความจริงมากทส่ี ุด สว่ น ผลสมั ฤทธิ์ของการปฏบิ ัติ ในเร่ือง พละ ๕ ทีร่ วมทงั้ หมด (ศรทั ธา วิริยะ สติ สมาธิและ ปัญญา) ไดค้ า่ เฉล่ียร้อย ละ ๖๖.๕๐ อยู่ในระดับ ปานกลางเท่าน้ัน หากนำเอาผลจากตารางที่ ๕ และ ๑๐ มาวิเคราะห์ จะให้ ผลสัมฤทธ์ิเท่ากัน ในระดับ น้อยสรุปผลการวิจัย คือนิสิตผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรวิปัสสนายังขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักการและวิธีการปฏิบัติ ทั้งก่อนและหลังหลักสูตร ซ่ึงทำให้ผลท่ีได้ไม่แตกต่างกัน แม้ว่าจะ เป็นนิสิตท่ีกำลังศึกษาสาขาพุทธศาสนาก็ตาม แม้ว่าผลสัมฤทธิ์ในเร่ือง ศรัทธา และ สมาธิ จะอยู่ในเกณฑ์ท่ี ยอมรับ ตามสมมติฐานว่ามีค่าเฉล่ียมากกว่า ๗๐ % ก็ตาม แต่ผลสัมฤทธ์ิในเรื่องวิริยะ สติ และปัญญา ยังอยู่ ในเกณฑ์ท่ี ปฏิเสธ ตามสมมติฐานว่ามีค่าเฉล่ียมากกว่า ๗๐ %โดยเฉพาะผลสัมฤทธ์ิในเร่ืองปัญญา ท่ีมีระดับ ต่ำกว่ามาตรฐาน คือได้เฉลี่ยร้อยละ ๓๔.๔๙ เท่าน้ันซ่ึงหมายถึงว่านิสิตได้ความรู้ในเร่ืองวิปัสสนาปัญญาหรือ วปิ สั สนาญาณในระดับ น้อย หากนำผลสัมฤทธิ์ทัง้ ๕ (ในเรือ่ ง พละ ๕) มาคดิ ค่าเฉลีย่ รวมกันแลว้ จะไดร้ ะดับ ปานกลางเท่านั้น และผลสัมฤทธ์ิอยู่ในเกณฑ์ท่ี ปฏิเสธ สมมติฐานท่ีมีค่าเฉลี่ยมากกว่า ๗๐ % สรุปโดยรวม แล้วผลสัมฤทธ์ิที่ได้ยังไม่เป็นท่ีน่าพอใจสำหรับนิสิตในระดับปริญญาโท สาขาพระพุทธศาสนา แม้จะจัด หลักสูตรให้ปฏิบัติคร้ังละ ๑๕ วัน สองครั้ง และ ค่าเฉลี่ยของผลที่ไม่แตกต่างกันระหว่างก่อนและหลังจบ หลักสูตร สะท้อนให้เห็นว่า นิสิตท่ีปฏิบัติตามหลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั ไดผ้ ลในระดบั ต่ำ หรือ น้อย กว่าระดบั กลาง

ภาคผนวก ๖๔ รหสั ๑๑–๕๐ แบบบนั ทึกข้อมูลงานวทิ ยานิพนธ์ ช่อื วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาวิเคราะห์การปฏิบัตกิ ัมมัฏฐานตามแนวกายคตาสตใิ นคมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท ผู้วิจัย An Analytical Study on Meditation Practise with Mindfulness Regarding to The Body ปรญิ ญา (Kãyagatãsati) in Theravada Buddhism ปี ทสั นี วงศ์ยืน วัตถปุ ระสงค์ ปรญิ ญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๒๕๕๐ การทบทวน ๑ เพอื่ ศกึ ษาวเิ คราะหก์ ายคตาสตกิ ัมมฏั ฐานท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท เอกสารและ ๒ เพอื่ ศกึ ษาวเิ คราะหแ์ นวทางปฏิบัตกิ ายคตาสติกมั มัฏฐานที่ปรากฏในคัมภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาท งานวจิ ัยท่ี ๓ เพื่อนำเสนอแนวทางการประยกุ ตใ์ ชก้ ายคตาสตกิ มั มฏั ฐานท่เี หมาะสมกบั การครองชีวิตประจำวันของ เก่ยี วขอ้ ง คฤหสั ถ์ในยุคปัจจบุ ัน ๑. กายคตาสติกัมมัฏฐานท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ การจัดกลุ่มบุคคลผู้ปฏิบัติ นยิ ามศัพท์ กัมมัฏฐาน ๑๖ ความเข้าใจพ้ืนฐานเรื่องกัมมัฏฐาน กายคตาสติสูตร โครงสร้างการปฏิบัติกายคตาสติ กัมมัฏฐาน กายคตาสติกัมมัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบรรพชิตและการปฏิบัติของพระอริยสาวก และคฤหสั ถ์ อานิสงส์ของการเจรญิ กายคตาสตกิ มั มฏั ฐาน ๒. แนวทางการปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐานท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ วิธีสอน หลักปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐาน (ความรอบรู้ในหลักปฏิบัติกายคตาสติ วิธีเร่ิมเจริญกัมมัฏฐาน วิธีการสาธยายด้วยวาจา การกำหนดอาการ ๓๒ เป็นสิ่งปฏิกูล) อารมณ์กัมมัฏฐานตามแนวกายคตา สติ การเลือกสถานท่ีเพ่ือปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐาน ตัวอย่างบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติกายคตา สติกมั มฏั ฐาน ๓. วิธีประยุกต์การปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐานท่ีเหมาะสมแก่คฤหัสถ์ในยุคปัจจุบัน ได้แก่ ศึกษา วิเคราะห์แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐(พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ศึกษาวิเคราะห์ สถานะของประเทศไทยภายใต้บรบิ ทของการเปล่ยี นแปลง หลักธรรม คำสอน เบ้ืองต้น ท่ีเกี่ยวกับการ ปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐาน คฤหัสถ์ยุคปัจจุบันกับวิธีประยุกต์การปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐาน (คฤหัสถ์กับการเตรียมเพื่อปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐาน กายคตาสติกัมมัฏฐานที่พึงปฏิบัติในเวลาเข้า สำนักปฏิบัติ กายคตาสตกิ มั มฏั ฐานท่ีเหมาะสมกบั การครองชวี ิตประจำวันของคฤหัสถ์) ๑. กัมมัฏฐาน (หรือ กรรมฐาน) หมายถึง ที่ต้ังแห่งการทำงานของจิต ส่ิงท่ีใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญ ภาวนา อปุ กรณ์ที่ใช้ในการฝึกอบรมจติ หรอื อุบาย หรอื กลวิธเี หน่ียวนำให้เกิดสมาธิเป็นส่ิงท่ีเอามาใหจ้ ิต กำหนด เพือ่ ให้จิตสงบอยไู่ ด้ ไม่ปล่อยใหเ้ ล่อื นลอยฟงุ้ ซา่ นไปอย่างไรจ้ ดุ หมาย ๒. การปฏิบัติกัมมัฏฐาน หมายถึง การกระทำกุศลกรรมชนิดหน่ึง โดยเฉพาะมโนกรรมมีจุดมุ่งหมาย พ้ืนฐาน คือ การอบรมจิตใจให้สงบจากนิวรณ์ธรรม ได้แก่ ตัณหา ความคิดมุ่งร้ายความเกียจคร้าน ความเร่ารอ้ น ไม่สบายใจ และระแวงสงสัย เพ่ือเข้าถึงสภาวะแห่งปัญญา เพื่อความสิ้นภพชาติ ส้ินทุกข์ ไม่ตอ้ งไปกำเนิดในแหลง่ ใดอกี อบุ ายเพือ่ ลดความซัดสา่ ยของจิต โดยหาสงิ่ ทีไ่ มเ่ ป็นโทษใหจ้ ติ อิงอยู่ ๓. คัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง ตำราทางพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยพระไตรปิฎก อรรถ กถา ฎีกา ซ่ึงถือตามคติที่พระอรหันต์ พุทธสาวกได้วางหลักธรรมวินัยเป็นแบบแผนไว้เมื่อครั้งปฐม สังคายนา พระพุทธศาสนาทแ่ี พร่หลายในประเทศไทย เปน็ พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔. วธิ ีการประยุกต์ใช้ หมายถึง วิธีการนำความรู้เรื่องกัมมัฏฐานตามแนวกายคตาสติ จากพระไตรปิฎกมา

ภาคผนวก ๖๕ ประชากรและ ปรับใช้เป็นประโยชน์ กลมุ่ ตวั อยา่ ง การวิจัยลักษณะเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมุ่งศึกษากายคตาสติกัมมัฏฐานตามที่ปรากฏใน คัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ขั้นตอนดังน้ี เก็บรวบรวมข้อมูล โดยผู้วิจัยได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก วิธดี ำเนินการ เอกสาร หนังสือและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของปัญหา และประเด็นท่ีต้องการทราบจากแหล่งข้อมูล วจิ ัย ต่อไปนี้ (๑) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Source) จากคัมภีร์พระไตรปิฎกอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และคัมภีร์ อื่นๆ ที่เก่ียวข้อง คัมภีร์วิสุทธิมรรค และคัมภีร์วิสุทธิมรรคฎีกา .(๒) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Source) สรปุ ผลการวจิ ัย ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้องานวิจัย จากวิทยานิพนธ์ หนังสือ วารสาร และเอกสารต่าง ๆ วิเคราะห์ ตคี วาม สรุปข้อมูลทไี่ ดจ้ ากการคน้ ควา้ และให้ขอ้ เสนอแนะ การวิจัยลักษณะเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเน้นการวิจัยเอกสาร(Documentary Research) ผู้วิจัยมุ่งศึกษาเนื้อหาสาระเฉพาะประเด็นของกายคตาสติกัมมัฏฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์ท่ีเกี่ยวข้องโดยศึกษาในส่วนของ กายคตาสติกัมมัฏฐาน ที่เป็นการเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าต่อพระภิกษุ และศึกษาการปฏิบัติกายคตาสติ กัมมัฏฐานของอุบาสก อุบาสิกา จำแนกตามชนช้ันของผู้ปฏิบัติในสมัยพุทธกาลเท่านั้น สำหรับการอ้างอิง เนื้อหา ข้อความที่เก่ียวเน่ืองในคัมภีร์พระพุทธศาสนา งานวิจัยน้ีใช้คัมภีร์พระไตรปิฎก ฉบับแปลเป็น ภาษาไทย ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และอรรถกถา ฉบับแปลเป็นภาษาไทย ของ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย คัมภีร์วิสุทธิมรรค ฉบับแปลและเรียบเรียงโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) คัมภรี ์วสิ ุทธมิ รรคฎีกา วิทยานพิ นธห์ นังสือ เอกสารต่าง ๆ ซึง่ เป็นวรรณกรรมทีม่ ีเนื้อหา เกีย่ วข้องกบั เรอื่ งกายคตาสติกมั มัฏฐาน (๑) กายคตาสติกัมมัฏฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ คัมภีร์พระไตรปิฎก และ อรรถกถา คัมภีร์วิสุทธิมรรค พบว่า (๑) มนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันล้วนมีความแตกต่างกัน ทั้งลักษณะ ภายในและลักษณะภายนอก ลักษณะภายในที่สำคัญ คือ จิตใจ ซ่ึงเป็นองค์ประกอบของพฤติกรรมที่มนุษย์ แสดงออก อันเป็นลักษณะภายนอก และมนุษย์จะพัฒนาจิต เพ่ือบรรลุคุณวิเศษได้ในระดับใดด้วยเวลานาน เท่าใด หรือไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษได้ในภพน้ี ขึ้นอยู่กับกำลังศรัทธา กัลยาณมิตรการใคร่ครวญพิจารณา ในคลองธรรม การเลือกวิธีปฏิบัติกัมมัฏฐานท่ีเหมาะกับจริตของตน ความเพียรและอุปนิสัยในการบรรลุ ธรรม (๒) กายคตาสติกัมมัฏฐานและกายานุปัสสนา คือ การใช้สติพิจารณากายเป็นอารมณ์ โดยเลือก สถานที่ปฏิบัติเป็นท่ีสงบ สงัด ปราศจากส่ิงรบกวน ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ได้แก่ มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจ ออก มีสติอยู่ที่การเคล่ือนไหวอิริยาบถใหญ่ (เดิน ยืน น่ัง นอน) มีสติอยู่ที่การเคลื่อนไหวอิริยาบถย่อยทุก อย่าง มีสติพิจารณาส่วนประกอบของร่างกาย (อาการต่าง ๆ) เป็นสิ่งไม่งาม ไม่สะอาด น่ารังเกียจ มีสติ พิจารณาร่างกายให้เป็นธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีสตพิ ิจารณาร่างกายใหเ้ ห็นเปน็ ซากศพ มีการอืดพอง เน่าเป่อื ย ถูกสัตว์แทะกินเหลือแต่กระดูก กายคตาสติ และ กายานุปัสสนา จึงเป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย ท้ัง ภายในภายนอกของตนเองและภายในภายนอกของผู้อื่น มีจิตตั้งม่ันอยู่ในอารมณ์เดียว เกิดเป็นสมาธิ เห็น ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบ่ือหน่าย คลายกำหนัด ขจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลก คือ กายได้ (๓) การพิจารณากายหรือกายานุปัสสนา ปรากฏในกายคตาสติสูตรท่ีได้อธิบายขยายความถึงการ พจิ ารณากำหนดลมหายใจเขา้ ออก พจิ ารณาอิริยาบถของกาย พิจารณารู้ตัวในความเคล่ือนไหว พิจารณา ความน่าเกลียดของร่างกาย แบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่างๆ พิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ และพิจารณา ร่างกายท่ีเปน็ ศพ และเม่อื ศึกษาลงลึกในการพิจารณากำหนดลมหายใจเขา้ ออก ในอานาปานสังยุต หมวดว่า ด้วยธรรมอันเป็นเอก ท่พี ระพทุ ธเจ้าได้ตรัสไวว้ ่า “ธรรมอนั เป็นเอก ท่ีภิกษเุ จรญิ ทำใหม้ ากแล้ว มีผลมาก มี อานิสงส์มาก คือ อานาปานัสสติสมาธิและอานาปานัสสติ คือ วิหารธรรมของพระองค์ตั้งแต่ก่อนตรัสรู้

ภาคผนวก ๖๖ (สมัยเป็นพระโพธิสัตว์) และเม่ือตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ยังทรงปฏิบัติอานาปานัสสติสมาธิ เป็นวัตรประจำวัน เมือ่ เวลาทรงพกั ผอ่ น เพราะพระองคท์ รงเหน็ วา่ อานาปานสั สตสิ มาธิ ไม่ถือมั่นด้วยอปุ าทาน นอกจากนี้ ภิกษุ ผูย้ งั ตอ้ งศึกษาผ้ปู รารถนาธรรมอนั ยอดเยี่ยม ปลอดโปร่งจากเครอื่ งผูกมดั เพือ่ ทำใหส้ ้ินอาสวะ ควรเจรญิ อา นาปานัสสติให้มาก ส่วนพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ส้ินภาระ ส้ินกิเลสแล้ว อานาปานัสสติสมาธิย่อมเป็นไปเพื่อ ความอยู่เป็นสุขในปัจจบุ ัน และเพื่อสติสมั ปชัญญะ (๔) การปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐาน ประกอบด้วย การ ปฏิบัติ ๔ ข้ันตอน ไดแ้ ก่ ขนั้ แรก เป็นข้นั เตรยี มการ คือ การเลือกสถานที่อันสมควร การตัดปลิโพธิ การเลอื ก หาอาจารย์ผู้เป็นกัลยาณมิตร การเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน เป็นผู้มีศีล มีจิตบริสุทธ์ิ ขั้นตอนท่ี ๒ เริ่มลงมือปฏิบัติ ด้วยการน่ังขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงจิตให้ม่ัน เจริญอานาปานัสสติ ตั้งสติสาธยายอาการ ๓๒ ด้วยความ เพียร มีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ เกิดจิตเป็นสมาธิมั่นคง มีอารมณ์หน่ึงเดียว อดทนต่อความร้อนหนาว อด กลั้นต่อทุกขเวทนา ข้ันตอนท่ี ๓ กำหนดพิจารณาอาการ ๓๒ เป็นส่วนๆ แล้วกำหนดพิจารณาร่างกายเป็น ธาตุ ๔ เจริญอสุภสัญญา เห็นความไม่สวยงาม น่ารังเกียจเป็นส่ิงปฏิกูล ทำให้เกิดความเบ่ือหน่ายอย่างท่ีสุด คลายกำหนดั ละราคะ ดับกเิ ลสหมดส้นิ ขัน้ ตอนสดุ ท้าย เม่ือจติ หลุดพ้นจากอาสวะดว้ ยปญั ญา ให้พิจารณา เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เข้าถึงความเป็นอมตะ คือ นิพพาน (๕) พระพุทธเจ้าทรงสอนบรรพชิตในพระพุทธศาสนา ให้เจริญกายคตาสติกัมมัฏฐาน เพื่อการ อบรมจิตให้มีอารมณ์เดียว (มีสมาธ)ิ ด้วยการมสี ติมน่ั พจิ ารณาความไม่งามความเปน็ สิ่งปฏิกูล และความแปร ผันของสังขาร ให้เกิดความเบ่ือหน่าย คลายกำหนัด ทำให้ราคะดับ ไม่ฟุ้งซ่าน กา้ วพ้นตณั หา พระพุทธเจ้าได้ ตรัสว่า ภิกษุผู้เจริญกายคตาสตมิ าก ย่อมมีกาย และจิตสงบ เกิดกุศลธรรม ละอกุศลธรรม ละความสำคัญใน ตน ถอนอนุสัย ละสังโยชน์ มีความแตกฉานในปัญญาและธาตุ บรรลุอมตธรรม เพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง คือ นิพพาน กายคตาสติเป็นธรรมอนั เป็นเอก เป็นมรรคแห่งวิปสั สนา และเป็นส่ิงที่ภิกษุพึงปฏิบัติ เพ่ือที่จะไม่ทำ ให้การถวายบิณฑบาตของชาวบ้านสูญเปล่า (๖) พระพุทธเจ้าทรงสอนคฤหัสถ์ให้เจริญกายคตาสติ กัมมัฏฐานให้เห็นรูปกายที่ไม่สะอาด เปื่อยเน่า ไม่งาม เพื่อไม่ให้หลงกายตนเอง และเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในท่ีสุด ซึ่งเป็นทีน่ า่ สังเกตวา่ พระพทุ ธเจ้าทรงสอนกายคตาสตกิ มั มัฏฐานแกค่ ฤหสั ถ์ เนน้ เฉพาะ ปฏิกลู มนสิการบรรพเท่าน้ัน ซ่ึงผู้วจิ ัยวิเคราะห์ว่า คฤหัสถ์ผู้รแู้ จ้ง มีจิตเลอ่ื มใส และประพฤติวัตรแห่งคฤหัสถ์ ด้วยการถวายบิณฑบาต เลีย้ งมารดา บิดา ประกอบอาชีพที่ชอบธรรม ดำรงชีวิตอยดู่ ้วยความไม่ประมาท คือ มีสติในการกระทำทุกอย่าง สมาทานอุโบสถศีลในวันอุโบสถ สวดมนต์ทำวัตรเช้า – เย็น เป็นประจำทุกวัน เพียงเท่าน้ีย่อมเป็นการเพียงพอ แต่หากบุคคลใดมีอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรม พระองค์จะแสดงปาฏิหาริย์ให้ผู้ นน้ั ได้เห็น และพจิ ารณากายท่ีมีสภาพไม่สะอาดมกี ารเปล่ียนแปลง เน่าเป่ือยไปตามกาลเวลา เพื่อบรรลุธรรม วิเศษ ในท่ีสุด (๗) ภิกษุหรือบุคคลผู้ปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐาน ย่อมอยู่เป็นสุขในปัจจุบันด้วยฌาน ได้ ญาณทัสสนะ ได้ในสิ่งที่ต้องการโดยไม่ยากลำบาก เป็นผูม้ ีจิตใจม่ันคง ไม่ถูกครอบงำด้วยความยนิ ดี ความไม่ ยินดี ส่ิงท่ีเป็นภัยอันตราย หรือความหวาดกลัว แสดงฤทธ์ิให้ปรากฏได้มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ และมี ปญั ญา หลดุ พน้ จากกเิ ลส และกองทุกขไ์ ด้ (๒) แนวทางการปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า พระพทุ ธเจา้ ตรัสแนะนำให้ปฏบิ ัติไปตามลำดบั ดังนี้ ๑) ให้เริ่มตน้ จากดำรงตนอยูใ่ นศีล สงั วรในปาฏโิ มกข์ มี ความประพฤติเพียบพร้อมด้วยกุศลกรรมบถ ไม่ล่วงละเมิดผอู้ ื่นทางกาย ทางวาจา และทางใจ มีความสำรวจ ระวงั ในศลี ทงั้ ปวง ไม่เลย้ี งชพี ด้วยมิจฉาอาชวี ะที่พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ ไม่เทยี่ วไปยังสถานท่ีท่ีไม่สมควรเทยี่ ว ไป ไม่คลุกคลีกบั บุคคลท่ีไม่สมควรคลุกคลีด้วย และไม่คบหากับตระกูลท่ีไม่สมควรคบหาเป็นผู้มปี กติ เห็นภัย ในโทษแม้เพียงเลก็ น้อย เป็นผคู้ ุ้มครองทวารในอินทรียท์ ั้งหลาย ๒) ตัดปลิโพธิไม่ให้ค้างไวใ้ นจิตใจ ๓) เลือก สถานท่ีท่ีเหมาะกับการปฏิบัติกัมมัฏฐานของตน ๔) เข้าหากัลยาณมิตรผู้มีคุณสมบัติท่ีจะให้กายคตาสติ

ภาคผนวก ๖๗ กัมมัฏฐาน ๕) รับเอากายคตาสติกัมมัฏฐานนั้นมาปฏิบัติด้วยหลักอิทธิบาท ๔ ในความดูแลของอาจารย์ผู้ บอกกัมมัฏฐาน จนกว่าจะเกิดความชำนาญ และบรรลุเป้าหมายท่ีต้องการ ๖) ภิกษุ ภิกษุณี ในสมัย พุทธกาล ผู้บรรลุอรหัตผล มักจะปฏิบัติกายคตาสติเป็นมรรคท้ังส้ิน ที่ปรากฏเป็นข้อความชัดเจนใน พระไตรปิฎก ไดแ้ ก่ พระมหากสั สปะเถระพระราหลุ เถระ ภิกษุณี มารดาของพระกมุ ารกสั สปเถระ พระโสณา เถรี พระสเุ มธาเถรี เปน็ ต้น (๓) ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการประยุกต์ใช้กายคตาสติกัมมัฏฐานท่ีเหมาะสมกับการครอง ชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ ในลักษณะของความพอเพียง พอเหมาะ พอดี กับการครองชีวิตในสภาพ เศรษฐกิจและสังคมยุคปัจจุบัน (๒๕๕๐-๒๕๕๔) ด้วยการเจริญอานาปานัสสติ กำหนดพิจารณาอาการ ๓๒ เป็นส่ิงปฏิกูล ไม่งาม น่ารังเกียจ เป็นเพียงธาตุ ๔ เพ่ือกำจัดจิตใจที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย ให้มีสมาธิระลึกรู้ แม้ ร่างกายของเราตา่ งก็มีความเป็นอนิจจัง ทุกขงั อนัตตา ทำจิตให้ว่างและปล่อยวาง การฝึกจติ ให้มีสมาธิน้ี ฝึก ได้ทัง้ ในขณะปฏิบัติภารกิจประจำวัน ในการสวดมนต์เช้า(ทำวัตรเช้า) สวดมนต์เย็น (ทำวตั รเย็น) ทุกวนั และ จดั เวลาเข้าฝึกปฏิบัติในสำนักปฏิบัตธิ รรมท่ีถูกจรติ ของเรา (ปีละ ๒ ครั้ง) ในช่วงเวลาท่ีเหมาะสม ซ่ึงกายคตา สติกัมมัฏฐานน้ี คฤหัสถ์สามารถปฏิบัติได้ง่าย ปฏิบัติได้บ่อยตามต้องการ เป็นท้ังสมถและวิปัสสนา และ เลือกกำหนดพิจารณาอาการท่ีเด่นชัด ทั้งในลักษณะของความเป็นปฏิกูล ความเป็นธาตุ ๔ ความเกิดขึ้น ต้ังอยู่ ดับไป ความไม่เที่ยง ไม่งาม เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบ่ือหน่ายอย่างท่ีสุด คลายกำหนัด ละ ราคะ ดบั กิเลสหมดสน้ิ อาสวะ เกิดความสงบ เข้าถึงความเป็นอมตะ คอื นพิ พาน

ภาคผนวก ๖๘ รหัส ๑๒-๕๔ แบบบันทกึ ขอ้ มูลงานวทิ ยานิพนธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ การศกึ ษาเชิงวเิ คราะห์สติปฏั ฐานกถาในคมั ภรี ป์ ฏิสัมภิทามรรค ผูว้ จิ ัย An analytical study of satipatthanakatha in the patisambhidamagga ปริญญา พระแสนปราชญ์ ฐติ สทฺโธ (เสาศริ )ิ ปี ปรญิ ญาพุทธศาสนาหาบณั ฑติ สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๕๑ ๑. เพ่ือศึกษาสติปัฎฐาน ทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงแสดงในพระไตรปิฏก การทบทวน ๒. เพอื่ ศกึ ษาสติปัฏฐานกถา ท่ีพระสารบี ุตรแสดงในคมั ภีรป์ ฏิสมั ภิทามรรค เอกสารและ ๓. เพ่ือวิเคราะห์ความสอดคล้องของสติปัฏฐาน ท่ีพระพุทธเจ้าแสดงในพระไตรปิฎก กับสติปัฏฐานกถาท่ี งานวจิ ยั ที่ เกี่ยวขอ้ ง พระสารบี ุตรแสดงในคัมภรี ์ปฏสิ มั ภิทามรรค ๑. วิเคราะห์สติปัฏฐานท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง ได้แก่ หลักการทางสายเดียว หลักสมถะและ นิยามศัพท์ วปิ ัสสนากัมมัฏฐาน กระบวนการและผลการปฏบิ ัติ ด้านความสำคัญ วิธดี ำเนินการ ๒. สติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ได้แก่ สาระสำคัญของคัมภีร์ วิจัย ปฏิสัมภทิ ามรรค นยิ ายความหมายของสติปัฏฐานในคมั ภีร์ปฏิสัมภิทามรรค สติปัฏฐานที่ปรากฏ ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค รูปแบบลักษณะของกถา เนื้อหาของสติปัฏฐานกถา สาระและประเด็นสำคัญ วิเคราะห์สติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตร แสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค (เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์การแสดง ด้านเน้ือหา ด้าน สาระสำคัญ) ๓. วเิ คราะหค์ วามสอดคล้องของสติปัฏฐานท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงในพระไตรปิฎกกับสติปัฏฐาน กถาที่พระสารีบตุ รแสดงในคัมภรี ์ปฏิสัมภิทามรรค ไดแ้ ก่ วิเคราะห์ความสอดคล้องสตปิ ัฏฐาน ท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงกับสติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดง ( ด้านหลักการ ด้านวิธีการ ปฏิบัติ) วิเคราะห์ความแตกต่างสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับสติปัฏฐานกถาท่ีพระ สารีบุตรแสดง (เป้าหมายที่กลุ่มผู้ฟัง เทคนิควิธีการแสดง- วิธีการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา) เปรียบเทยี บบทอทุ เทสและนทิ เทสในมหาสตปิ ัฏฐานสตู รกับสติปัฏฐานกถา ๑. สตปิ ฏั ฐาน หมายถงึ หลักการและวิธีการปฏบิ ัตธิ รรมของพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื การดับทกุ ข์ บรรลุ นพิ พาน โดยใช้ความเพยี ร สมั ปชัญญะ สติ พิจารณากาย เวทยา จติ ธรรรมง ๒. สตปิ ฏั ฐานกถา หมายถงึ คำอธิบายสติปัฏฐานทพี่ ระพุทธเจ้าแสดง ซึ่งเป็นของพระสารบี ตุ ร อัครสาวก เบื้องขวา ของพระพุทธเจา้ ๓. ปฏิสัมภทิ ามรรค หมายถึง ทางที่ทำใหค้ วามรู้แตกฉาน ๔ ประเภท คอื (๑) อตั ถปฏสิ ัมภิทา ความรู้ แตกฉานในอรรถ คือ ผล (๒) ธมั มปฏิสัมภิทา ความรแู้ ตกฉานในธรรม คือ เหตุ (๓) นริ ุตตปิ ฏสิ ัมภทิ า ความร้แู ตกฉานในอรรถท้งั อรรถทง้ั ธรรม คอื ท้งั เหตุ ท้ังผล รวมท้ังแตกฉานในภาษา (๔) ปฏิภาณ ปฏสิ มั ภิทา ความรู้แตกฉานในปฏิภาณ ไหวพรบิ ๔. คมั ภีรป์ ฏสิ ัมภิทามรรค หมายถึง พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าเตปิฎก พุทธศกั ราช ๒๕๐๐ (เล่มที่ ๓๑) พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั พุทธศักราช (เลม่ ที่ ๓๑) ผลงาน พระสารีบุตร การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ โดยใชก้ ารวจิ ยั เชิงเอกสาร (Documentary Research) ม่งุ เน้นประเด็นเก่ยี วกบั สติ ปัฏฐานทเี่ ก่ียวกบั สตปิ ัฏฐานทพี่ ระพทุ ธเจ้า ทรงแสดงในพระไตรปิฏก

ภาคผนวก ๖๙ สรปุ ผลการวิจัย สรุปผลการวิจยั การศึกษาเชิงวิเคราะหส์ ติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค โดยทำการศึกษา และวิเคราะห์ใน ๓ หัวข้อ (๑) สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎก (๒) สติปัฏฐานกถาท่ีพระ สารีบุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภทิ ามรรค (๓) วเิ คราะห์ความสอดคล้องของสติปัฏฐานทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ในพระไตรปฎิ กกับสติปฏั ฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดงในคัมภรี ป์ ฏสิ มั ภิทามรรค สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎก จากการศึกษาวิเคราะห์สติปัฏฐานท่ี พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎก สรปุ ไดว้ า่ (๑) นิยามและความหมายของสติปัฏฐาน พบว่า มปี รากฏในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก รวมท้ังมีปรากฏ ในอรรถกถาและในเชงิ วชิ าการหลายแห่ง ซงึ่ ความหมายของสติปฏั ฐานโดยหลักใหญ่แล้วหมายถึงทตี่ ั้งของสติ ๔ อย่างคือ กาย เวทนา จิต ธรรม เพ่ือกำจัดอภิชฌาและโทมนัส เพ่ือการดับทุกข์ เห็นแจ้งพระนิพพาน อัน เปน็ ความม่งุ หมายสูงสดุ ของพระพุทธศาสนา (๒) สติปัฏฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก พบว่า เป็นพุทธบัญญัติและหลักธรรมคำสอนอยใู่ นพระวินัย ปิฎก ในพระสุตตันตปิฎกทรงแสดงไว้มากมาย ทรงแสดงแบบเต็มรูปบ้างทรงแสดงแบบบางส่วนบ้าง ทรง แสดงเป็นการเฉพาะและทรงแสดงไว้ในชื่อกัมมัฏฐานบ้าง และในอภิธรรมปิฎกปรากฏในลักษณะการจำแนก สติปัฏฐานในคัมภีรว์ ิภังค์ และการถาม – ตอบในคมั ภีร์กถาวตั ถุ (๓) สาระและประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน สรุปได้ ๓ หัวขอ้ (๑) ด้านหลักการ คือ หลกั การปฏบิ ัติที่ จะทำให้เข้าถึงพุทธธรรม มีความมุ่งหมายเพอื่ ความดับทุกข์หรือพน้ จากทุกข์ (๒) ด้านวิธีการ คือ เทคนคิ และ วิธีการต่างๆ สำหรับใช้ในการปฏิบัติ (๓) หลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในมหาสติปัฏฐาน สูตร คอื หลักการและวิธีการปฏบิ ัติกัมมฏั ฐาน ๒๑ วธิ ี ทสี่ มบรู ณเ์ ต็มรูปแบบซง่ึ มที ้ังสมถะและวปิ ัสสนา (๔) วิเคราะห์สติปัฏฐานท่ีพระเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎก พบว่า หลักการทางสายเดียวกับ หลักการทางสายกลางเป็นหลักการเดียวกัน ส่วนหลักสมถะและวิปัสสนาในทางพระพุทธศาสนามี ๔ วิธี ซ่ึง ท้ัง ๔ วิธีใช้วิปัสสนาเป็นหลักเพ่ือเข้าถึงพุทธธรรม ในการวิเคราะห์กระบวนการและผลการปฏิบัติพบ องค์ประกอบหลักคือ ฝ่ายท่ีทำ ฝ่ายที่ถูกทำ อาการท่ีกำหนดและตามดูรู้ทัน และผลของการปฏิบัติ สำหรับ อปุ สรรคของการปฏิบตั ิมี ๖ อยา่ ง คือ ความเปน็ ผู้ ชอบการงาน ชอบการพูดคุย ชอบการนอนหลบั ชอบการ คลุกคลดี ว้ ยหมู่ ไม่คมุ้ ครองทวารในอินทรยี ์ทั้งหลาย ไม่รู้จักประมาณในการบรโิ ภค ในดา้ นความสำคัญของสติ ปฏั ฐานที่สำคัญๆ พบว่า (๑) สติปฏั ฐานในฐานะอรยิ สัจภาคปฏิบัติ (๒) สติปัฏฐานเป็นการรักษาพระสัทธรรม (๓) ฐานะของสติในพุทธธรรม (๔) สติปัฏฐานมีคุณค่าทางสงั คม (๕) การเจริญสติปัฏฐานคือการอยู่อยา่ งไม่มี ทุกขท์ ่ีจะตอ้ งดบั สรุปไดว้ ่าสติปฏั ฐานที่พระพุทธเจา้ ทรงแสดงในพระไตรปิฎก มคี วามกวา้ งขวางครอบคลุม หลักพุทธธรรม ทรงแสดงตั้งแต่หลักพื้นฐานทั่วๆ ไปจนไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือความ ดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่ีทรงตรัสแสดงในฐานะเป็นพุทธบัญญัติ ในฐานะหลักธรรมคำสอน ทรงแสดงเต็มรูปแบบบ้างทรงแสดงเพียงบางส่วนบ้าง ทรงแสดงไว้เป็นการเฉพาะ และทรงแสดงไว้ในชื่อกัมมัฏฐานอื่นบ้างและทรงตรัสแสดงเพ่ือเช่ือมโยงหรือขยายไปสู่หลักธรรมอื่นๆ ซ่ึง พบว่ามีคำอธบิ ายทั้งในด้านหลักการและวธิ ีปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ครบถว้ น โดยเฉพาะในมหาสติปัฏฐานสตู ร มี รายละเอยี ดสมบรู ณ์เต็มรปู แบบเพยี งพอต่อการนำไปปฏบิ ัตกิ ัมมฏั ฐานได้ด้วยตนเอง สติปัฏฐานกถาที่พระสารีบตุ รแสดงในคัมภรี ์ปฎิสัมภทิ ามรรค จากการศึกษาวิเคราะห์สติปัฏฐานกถา ที่พระสารบี ตุ รแสดงในคัมภรี ป์ ฏิสมั ภทิ ามรรคพบประเด็นสำคญั ดงั น้ี ๑) สาระสำคัญของคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่า มีความหมายและวตั ถุประสงค์ของปฏิสัมภิทามรรค ๔ อย่างคือ เพ่ือให้บรรลุถึงความรู้แตกฉานในอรรถ ในธรรม ในนิรุตติ และในปฏิญาณ คัมภีร์ปฏิสัมภิทา มรรคเป็นผลงานของพระสารีบุตร ถือกันว่าเป็นคัมภีร์คู่มือผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานเล่มแรก เป็นคัมภีร์อภิธรรมใน

ภาคผนวก ๗๐ ยุคต้นๆ และเป็นต้นแบบของคัมภีร์ทางด้านน้ีในสมัยต่อมา โครงสร้างของคัมภีร์ปฏิสัมภิทามร รค ประกอบด้วยส่วนเน้ือหาและวธิ ีดำเนินการเนื้อหาการอธบิ ายกถาต่างๆ ในคมั ภีรเ์ ป็นไปอย่างมีระบบระเบียบ แบบแผนโดยการจัดวิธีการแสดงแบบบทอุทเทสและนิทเทส แตล่ ะกถายังมีคำอธิบายเช่ือมโยงซึง่ กันและกัน เป็นอย่างดี ควรทีจ่ ะทำการศกึ ษาเผยแพร่ให้กวา้ งขวางย่งิ ๆ ขนึ้ ไป ๒) นิยามความหมายของสติปัฏฐานในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่ามี ๒ นัย (๑) สติปัฏฐาน ๔ ประการ มีความหมายเดยี วกันกับในพระสูตรคือ สมั มาสติ ไดแ้ ก่ การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม โดยใช้ ความเพียร สัมปชัญญะ สติ เพ่ือกำจัดอภิชฌาและโทมนัสให้ได้ (๒) สติปัฏฐานภาวนา ท่านให้ความหมายว่า เป็นการปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน โดยการกำหนดองค์ธรรมของ กาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยอาการ ๗ อย่าง ทำให้เกิดผล ๗ อย่าง และอธบิ ายความหมายของภาวนาไว้วา่ ธรรมทง้ั หลายท่ีเกิดในภาวนาน้นั ไม่ล่วงเลยกัน อนิ ทรียท์ ้ังหลายมีรสเป็นอยา่ งเดยี วกนั การนำความเพียรท่ีสมควรแกธ่ รรมน้นั เขา้ ไป และการปฏบิ ัตเิ นอื งๆ ๓) สติปัฏฐานท่ีปรากฏในคัมภีร์ปฏิสัมทามรรค พบว่า ท่ีสำคัญมี ๓ แห่ง คือ (๑) อานาปานัสสติกถา ว่าด้วยการมีสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ผู้เจริญอานาปานัสสติจะเกิดญาณความรู้ ๒๐๐ ประการ (๒) สติ ปัฏฐานวาร ว่าด้วยญาณ ๓ คือ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ท่ีหมุนไปในสติปัฏฐาน ๔ ประการ รวม ๑๒ รอบ (๓) สติปัฏฐานกถา ว่าด้วยเรอ่ื งของการปฏิบตั ิวปิ ัสสนาล้วน ๔) สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่า มีรูปแบบลักษณะสำคัญ ๓ อย่างคือ (๑) รูปแบบ ลักษณะของกถาเป็นแบบปุจฉาและวิสัชชนา (๒) เนื้อหาของสติปัฏฐานกถามีลักษณะเป็นการอธิบายการ ปฏิบัติให้พิจารณาองค์ธรรมโดยอาการ ๗ อย่าง ทำให้เกิดผล ๗ อย่าง เรียกว่า สตปิ ัฏฐานภาวนา (๓) สาระ และประเด็นสำคัญมีด้านหลักการและวิธีการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน และหลักการปฏิบัติตามแนวสติปัฏ ฐาน ๔ ประการ ส่วนด้านกระบวนการและผลการปฏิบัติ ประกอบด้วยองค์ประกอบฝ่ายที่ถูกทำ ฝ่ายท่ีทำ อาการที่กำหนด และผลการปฏิบัติ ๕) วิเคราะห์สติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่าสติปัฏฐานกถาเป็น การอธิบายเฉพาะกลุ่ม เนื้อหามี ๓ ลักษณะ (๑) เนื้อหาหลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน (๒) เน้ือหาแนวอภิธรรม (๓) เน้ือหาแสดงถึงไตรลักษณ์ ส่วนหลักการและวธิ ีการปฏิบัติกัมมัฏฐานของสติปัฏฐาน กถาเป็นแบบวปิ ัสสนาล้วน ซ่งึ เป็นวิธปี ฏิบัติอย่ใู นสวี่ ิธีของพระพุทธศาสนา สำหรบั หลกั การปฏิบตั ติ ามแนวสติ ปัฏฐานกถา มสี ่วนประกอบสำคัญ คอื องคธ์ รรม อาการ ๗ ประการ ผล ๗ ประการ และสตปิ ฏั ฐานภาวนา สรปุ ได้ว่าสติปัฏฐานกถาที่พระสารบี ุตรแสดง เป็นหลักการและวิธีการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน มี สาระสำคัญของการปฏิบัติ ๗ ลำดับข้ัน โดยการพิจารณาหรือกำหนดองค์ธรรมของกาย เวทนา จิต ธรรม โดยอาการ ๗ ประการ มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น ซ่ึงจะเกดิ ผล ๗ ประการจากอาการกำหนดน้ัน ทา่ น ได้แสดงสรุปหลักการและวิธีการปฏิบัติในแนวทางของท่านให้เข้าใจง่ายข้ึน โดยมุ่งท่ีจุดหมายสูงสุดของ พระพุทธศาสนาคือ วิปัสสนาหรือปัญหาเพื่อดับทุกข์ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งท่ีผู้ศึกษาและปฏิบัติสามารถนำไปปฏิบัติ ตามไดโ้ ดยมั่นใจว่าไมผ่ ิดจากหลกั การ วิเคราะหค์ วามสอดคล้องของสติปัฏฐานที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงในพระไตรปฎิ กกับสติปัฏฐาน กถาทพ่ี ระสารบี ุตรแสดงในคมั ภีรป์ ฏสิ มั ภิทามรรค การวิเคราะหค์ วามสอดคล้องของสตปิ ัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกกับสตปิ ัฏฐาน กถาทีพ่ ระสารบี ุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสมั ภทิ ามรรคพบว่า ด้านหลกั การสำคัญๆ มีความสอดคล้องกัน ส่วนดา้ น วิธีการมีความแตกตางกนั บา้ งในบางประเด็น สรปุ ไดด้ ังน้ี ๑) สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกกับสติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดงใน คมั ภีร์ปฏิสัมภิทามรรคมีความสอดคล้องในหลักการสำคัญ ๔ ประเด็น คือ (๑) ความหมายสติปัฏฐานมคี วาม

ภาคผนวก ๗๑ สอดคล้องกันในความหมายของสติปัฏฐาน ๔ ประการและสติปัฏฐานคือวิปัสสนา (๒) หลักสมถะและ วิปัสสนามีความสอดคล้องกันเพราะวิปัสสนาล้วนในสติปัฏฐานกถาคือวิธีที่ปฏิบัติแบบสมถะมีวิ ปัสสนา นำหน้า กับวิธีปฏิบัติเม่ือจิตถูกชักให้เขวด้วยธรรมุธัจจ์ ซึ่งเป็น ๒ วิธีใน ๔ วิธีของพระพุทธศาสนา (๓) กระบวนการและผลการปฏิบัติมีความสอดคล้องกัน โดยมีองค์ประกอบเหมือนกันคือ ฝ่ายที่ทำ ฝ่ายท่ีถูกทำ อาการท่ีกำหนดและตามดูรู้ทัน ผลการปฏิบัติ (๔) ความสำคัญมีความสอดคล้องกันในฐานะของสติปัฏฐาน เป็นอรยิ สัจภาคปฏบิ ัติ ๒) สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกกับสติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงใน คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคมีความแตกต่างกันในด้านวิธีการบางประเด็น คือ (๑) เป้าหมายกลุ่มผู้ฟังแตกต่างกัน โดยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานครอบคลุมกลุ่มผู้ฟังทั่วไป ส่วนสติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดง เฉพาะภิกษุบางกลุ่ม (๒) เทคนิควิธีการแสดงแตกต่างกัน โดยท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงมีท้ังแนวพระสูตรและ พระอภิธรรม ทรงมีวิธีการแสดงแบบอุปมาโวหารเปรียบเทียบพร้อมการยกตัวอย่าง ส่วนสติปัฎฐานกถาที่ พระสารีบุตรแสดงเป็นไปในแนวอภิธรรมเพียงลักษณะเดียว (๓) แสดงวิธีการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา แตกต่างกัน คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีท้ังสมถะและวิปัสสนา ส่วนสติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงเป็น แบบวปิ สั สนาลว้ นเพียงอยา่ งเดียว ๓) บทอุทเทสและนิทเทสในมหาสติปัฏฐานสูตรกับสติปัฏฐานกถามีความสอดคล้องและแตกต่าง กัน คือ อุทเทสว่าด้วยหลักการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ประการอย่างเดียวกัน ส่วนบทนิทเทสแตกต่างกัน คือ มหาสตปิ ฏั ฐานสตู รอธบิ ายโดยพิสดาร แตใ่ นสติปฏั ฐานกถาอธบิ ายโดยหลกั การเดียวกนั ทุกนทิ เทส สรุปไดว้ า่ สตปิ ัฏฐานที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงในพระไตรปิฎกกับสตปิ ัฏฐานกถาทพ่ี ระสารีบุตรแสดง ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคมีความสอดคล้องกัน แม้เน้ือหาด้านวิธีการปฏิบัติจะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็อยู่ใน หลักการปฏิบัติของพระพุทธศาสนา กล่าวได้ว่าสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีความกว้างขวาง ครอบคลุมหลักพุทธธรรม ทรงแสดงตั้งแต่หลักปฏิบัติพื้นฐานท่ัวไปจนไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของ พระพุทธศาสนา ส่วนสติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดงเป็นการแสดงจำเพาะเจาะจงไปท่ีจุดมุ่งหมาย สงู สุดของพระพุทธศาสนาคือวปิ ัสสนา หรือปญั ญาเพ่ือดับทกุ ข์ อน่ึงหลกั การและวิธกี ารปฏบิ ัตติ ามแนวทาง สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและหลกั การและวิธีการปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐานกถาทพี่ ระสารีบุตร แสดง เป็นหลักการที่อยู่ในชั้นบาลีคืออยู่ในพระไตรปิฎกทั้งสองหลักการ จึงถือว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง สมบูรณ์ สามารถนำไปปฏิบัติเพ่ือดับทุกข์ได้ตามความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ดังนั้นพุทธศาสนิกช น ควรจะศกึ ษาและนำไปปฏบิ ัติดว้ ยตนเองพร้อมกบั เผยแผใ่ ห้กวา้ งขวางต่อไป

ภาคผนวก ๗๒ รหสั ๑๓ – ๕๑ แบบบันทกึ ข้อมลู งานวทิ ยานิพนธ์ ช่ือวทิ ยานิพนธ์ การศกึ ษาสภาวญาณเบ้ืองต้นของผเู้ ข้าปฏบิ ัติวปิ สั สนาตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ ณ สำนกั วิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรจี อมทอง วรวหิ าร ผู้วจิ ัย (The study of the first insights of Vipassana meditator following Satipattana at meditation ปรญิ ญา center of Wat Phradhatu Sri Chom Thong Vorvihara) ปี แม่ชรี ะววี รรณ ธมมฺ จารินี (ง่านวิสุทธิพันธ์) วัตถปุ ระสงค์ พุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาวิปสั สนาภาวนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๕๑ การทบทวน ๑. เพอ่ื ศึกษาหลักปฏบิ ตั ิวิปัสสนาตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ ทป่ี รากฏในพระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกา และ เอกสารและ งานวจิ ัยท่ี คัมภรี ์อืน่ ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง เก่ียวขอ้ ง ๒. เพื่อศึกษาสภาวญาณเบื้องต้น อารมณ์ และการปรับอนิ ทรีย์ ทเ่ี กิดขึ้นของผูเ้ ข้า ปฏบิ ัติวปิ ัสสนาตามหลัก นิยามศัพท์ สติปัฏฐาน ๔ ณ สำนกั วิปสั สนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวหิ าร ๑. วปิ ัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐานทป่ี รากฏในพระไตรปิฎกและคมั ภีร์ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ได้แก่ ความเป็นมาของสติ ปัฏฐาน ๔ ความสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ความหมายของ “วิปัสสนาตาม หลักสติปัฏฐาน ๔” หลักการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ การสงเคราะห์วิปัสสนาตามหลักสติ ปัฏฐาน ๔ ผลหรืออานิสงส์จากการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ วิปสั สนาตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมาธิ ๓ ประเภท ๒. วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔(ภาคปฏิบัติ) ข้อควรปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ความสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ วิปัสสนาญาณ วิสุทธิ และลำดับญาณ ความสำคัญของการถามตอบสอบอารมณ์ ๓. วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร ไดแ้ ก่ ประวัติวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหารโดยสงั เขป วัดพระธาตุ ศรีจอมทอง วรวิหารในยุคสมัยของพระเทพสิทธาจารย์โดยสังเขป วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติ ปัฏฐาน ๔ ณ สำนกั วปิ สั สนากรรมฐานวัดพระธาตุศรจี อมทองวรวิหาร ๑. วิปัสสนา หมายถึง ปัญญา๑๒ ที่เห็นสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม หรือ รูปกับนาม ในปัจจุบันขณะท่ี เกิดข้ึนตามธรรมชาติ ตามความเป็นจริงว่า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ ตวั ตน สามารถบงั คบั บัญชาได้ คอื ไตรลักษณ์ ๒. สติปัฏฐาน มาจาก สติ คอื การระลกึ รู้ ปฏั ฐาน คือ เข้าไปต้ังไว้ สตปิ ัฏฐาน หมายถึงฐานทต่ี ัง้ ของสติ หรือ ฐานทรี่ องรบั การกำหนด การระลกึ การตามรู้ สภาวธรรม อารมณ์ ณปัจจบุ ัน ๓. วปิ สั สนาตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ หมายถึง ปัญญาทก่ี ำหนดรสู้ ภาวธรรมทางกายกบั สภาวธรรมทางใจรแู้ จ้ง ถึง ความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงไปของกายกับใจหรือรูปกับนามตามความเป็นจริงว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนตั ตา บนฐาน ๔ ฐาน คือ กาย หมายถงึ กายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ได้แก่ รปู ขันธ์ (นปิ ผนั นรปู ๑๘) ๔. เวทนา หมายถงึ เวทนานุปสั สนาสติปัฏฐาน ได้แก่ เวทนาเจตสิก ๕. จิต หมายถงึ จติ ตานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน ไดแ้ ก่ วิญญาณขันธ์ ๖. ธรรม หมายถึง ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ได้แก่ สงั ขารขันธ์ และสัญญาขันธ์ ๗. สภาวธรรม หมายถงึ สภาวะ(ปรากฏการณ์) ทีเ่ กดิ ข้ึนเองภายในกาย และใจของผูป้ ฏบิ ตั ขิ ณะน่ังกำหนด หรือขณะเดนิ จงกรมโดยมีจติ เปน็ สมาธิ แล้วเกิด สภาวะ (ปรากฏการณ์) ตา่ ง ๆ ข้ึนตง้ั แต่สภาวเบื้องต้น เปน็ ต้นไปจึงถงึ มรรค ผล นิพพาน

ภาคผนวก ๗๓ ๘. วิปัสสนาญาณ แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ ๑. ญาณระดับต้น หมายถึง นามรูปปริจเฉทญาณ และปัจจย ปริคคหญาณ ๒. ญาณระดับกลาง หมายถึง อุทยัพพยญาณ ๓. ญาณระดับสูง หมายถึง ภังคญาณเป็น ต้นไป สำหรับวิทยานิพนธ์นี้ ศึกษาเฉพาะสภาวญาณระดับต้น คือ นามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจยปริคคห ญาณ เท่าน้ัน ๙. สภาวญาณเบ้อื งตน้ หมายถงึ สภาวญาณ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ สภาวญาณ ๒ ปจั จยปรคิ คหญาณ ๑๐. วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร หมายถึง วัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นพระอารามหลวงช้ันตรี ชนิดวรวิหาร ต้ังอยู่เลขที่ ๑๕๗ ถนนเชียงใหม่–ฮอด หมู่ท่ี ๒ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัด เชยี งใหม่ มีเนอ้ื ที่ ๑๙ ไร่ ๒ งาน และปจั จบุ ันเปดิ เป็นสำนกั วิปสั สนากรรมฐาน ๑๑. วิธีการกำหนดพ้ืนฐาน หมายถึง ความเข้าใจในการกำหนดข้ันพื้นฐานของผู้ปฏิบัติได้ถูกต้อง เช่น การ กำหนดเดินจงกรมระยะที่ ๑ ให้กำหนดว่า “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” ก่อนจะเดินให้มสี ติอยู่ที่เท้าขวา ขณะที่เทา้ ขวายก ให้กำหนดรู้พร้อมกับคำว่าขวา เมอื่ เคลอื่ นเท้าออกให้กำหนดพรอ้ มกบั คำวา่ ย่าง เม่ือเท้า ลงถึงพื้น ให้กำหนดรู้พร้อมกบั คำว่าหนอ แล้วเอาสติไปอยู่เท้าซ้าย ขณะท่ีเท้าซ้ายยกให้กำหนดรู้พร้อมกับ คำว่าซ้าย ขณะเคลื่อนเท้าออกไปให้กำหนดรู้พร้อมกับคำว่าย่าง เมื่อเท้าถึงพ้ืนให้กำหนดรู้พร้อมกับคำว่า หนอ สลบั กนั เชน่ น้เี รอ่ื ยไป การเดนิ ให้เดนิ ช้า ๆ กำหนดให้ทนั ปจั จุบนั ๑๒. สภาวญาณท่ี ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ หมายถึง ปัญญากำหนดรู้ว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม ผู้ปฏิบัติ สามารถแยกสภาวะรูปสภาวะนามออกจากกนั ได้อยา่ งชดั เจน เช่น พองสว่ นหนึ่ง ยบุ สว่ นหนงึ่ จติ ที่เขา้ ไปรู้ พองก็ส่วนหนึ่ง รู้ยุบก็ส่วนหน่ึง การกำหนดน่ังหนอ ถูกหนอก็เป็นคนละอัน คนละสภาวะกัน จิตที่ทำ หน้าท่ีกำหนดรู้ก็อย่างหนึ่ง อารมณ์ท่ีถูกกำหนดรกู้ ็อย่างหน่ึง ท้ังจิตที่ทำหน้าที่กำหนดรู้ และอารมณ์ที่ถูก กำหนดรู้ กเ็ ปน็ คนละอนั กัน เปน็ ตน้ ๑๓. สภาวญาณที่ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ หมายถึง ปัญญากำหนดรู้เหตุและผลของสภาวะรูป สภาวะนามว่า เป็นเหตเุ ป็นผลซ่ึงกันและกนั ได้แก่ นามเป็นเหตุนามเปน็ ผล รูปเป็นเหตรุ ูปเปน็ ผล นามเป็นเหตุรูปเป็นผล รูปเป็นเหตุนามเปน็ ผล เช่น เรากำหนดพองยุบ เมอื่ มีอาการพองเป็นเหตุ เราจึงจะกำหนดพองหนอได้เป็น ผล และเมื่อน่ังนาน ๆ จิตก็อยากขยับ จิตอยากขยับเป็นเหตุ จิตที่กำหนดอยากขยับหนอเป็นผล อาการ ขยับเป็นเหตุ (รูป) กำหนดขยบั หนอ(นาม) เป็นผล อารมณ์ที่เกิดขึ้นเปน็ เหตุ จติ ทีต่ ามกำหนดรเู้ ป็นผล เช่น คิดพิจารณาธรรม นิมิต หรือ เวทนาที่เกิดขึ้นเป็นเหตุ จิตท่ีกำหนดรู้เป็นผล เป็นต้น เมอื่ ญาณแก่กลา้ ขึ้นก็ จะเหน็ การแยกรูปแยกนามไดช้ ัดเจนขนึ้ ๑๔. การปรับอนิ ทรยี ์ หมายถงึ การปรบั ศรทั ธาให้เสมอกบั ปญั ญา การปรบั วิริยะให้เสมอกับสมาธิ สติตอ้ ง เจรญิ ให้มาก ๑๕. อารมณ์ของสติปัฏฐาน หมายถึง ธรรมที่เป็นปัจจุบัน ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม อารมณท์ ี่เป็นปัจจุบัน ขณะในขณะกำหนดกาย เวทนา จติ ธรรม (สภาวะรูป นาม) จนเกิด ปัญญารู้เหน็ ตามความเป็นจริงวา่ รูป นามเปน็ ไตรลกั ษณ์ ๑๖. การสอบอารมณ์ หมายถึง การที่พระวิปัสสนาจารย์ ทำหน้าท่ี รับฟัง และซักถามถึง สภาวธรรมของผู้เข้า ปฏิบัติวิปัสสนา ให้คำแนะนำการปรับอินทรีย์ การให้กำลังใจ ตอบข้อสงสัย ช่วยวินิจฉัย ประเมินผลการ ปฏิบัติของผู้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ตรงกับสภาวธรรมที่เกิดข้ึนและเหมาะสมกับสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ ผู้สอบอารมณ์ หมายถึง พระวิปัสสนาจารย์ ท่ีได้รับมอบหมายแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สอบ อารมณ์จาก พระเทพสิทธาจารย์ (ทอง สริ ิมงฺคโล) ให้ทำหนา้ ท่ี รบั ฟงั และซักถามสอบถาม สภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนในขณะ กำหนดกาย เวทนา จติ ธรรม ของผูเ้ ข้าปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนา ๑๗. การส่งอารมณ์ หมายถึง การที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้นำเอาสภาวธรรม อารมณ์ประสบการณ์

ภาคผนวก ๗๔ ประชากรและ เหตุการณ์ หรือผลท่ีเกิดขึ้นในขณะกำลังปฏิบัติมาเล่าให้ พระวิปัสสนาจารย์ฟังเพื่อรับคำแนะนำ วิธีการ กลุ่มตัวอย่าง ปฏิบตั ิท่ถี ูกตอ้ งเหมาะสมตรงตามสภาวธรรม จนมคี วามก้าวหนา้ ในการปฏบิ ัตยิ ่ิง ๆ ขึน้ ไป วธิ ดี ำเนินการ ๑๘. ผู้สง่ อารมณ์ หมายถึง นกั ศกึ ษาผู้ปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐาน วิจัย นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตลำปางระดับ ปวส. และระดับปริญญาตรี ใน โครงการปฏบิ ตั ธิ รรมเฉลิมพระเกียรติเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษามหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ ภูมิพลอดุลยเดช รนุ่ ท่ี ๒๐ จำนวน ๕๘ คน เข้าปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐานเป็นเวลา ๑๐ วัน ระหวา่ งวันท่ี ๙- ๑๙ ในการ ต.ค. ๒๕๕๐ วิเคราะห์ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผสมผสานระหว่างการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) กับการวิจัยภาคสนาม (Fieldwork Research) ศกึ ษาการปฏิบัตวิ ิปัสสนาตามหลกั สตปิ ัฏฐาน ๔ ท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา รวบรวมข้อมูล ฎีกา และคัมภีร์อ่ืนๆ ที่เกี่ยวข้อง ศึกษาสภาวญาณเบ้ืองต้น๑๑ ได้แก่ สภาวญาณ ๑ สภาวญาณ ๒ อารมณ์ และวิธีการปรับอินทรีย์ พรอ้ มท้งั วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลกั สตปิ ัฏฐาน ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระ สรปุ ธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร โดยกำหนดให้ผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นเวลา ๑๐ วัน ขอบเขตด้าน ผลการวจิ ัย ระยะเวลาในการทำวจิ ัย ๑๒ เดือน ตั้งแตเ่ ดือนมนี าคม ๒๕๕๐ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๑) วิจัยเอกสาร (Documentary Research) มีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังน้ี (๑) รวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เก่ียวกับการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า และ คัมภีร์อ่ืนที่เกี่ยวข้อง (๒) เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏ ฐาน ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทอง-วรวิหาร ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัด เชียงใหม่ ๒) วิจัยภาคสนาม (Fieldwork Research) ศึกษาสภาวญาณเบ้ืองต้น และอารมณ์ เพ่ือปรับ อินทรีย์ของผู้เข้าปฏิบัตวิ ิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังน้ี(๑) จากการสอบถามผู้เข้า ปฏิบัติ (๒) จากการสังเกตสภาวญาณเบ้ืองต้นของผู้ปฏิบัติ (๓) จากการถามตอบสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือการหาความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) หลังจากสร้าง แบบสอบถาม แบบสังเกตสภาวธรรมการปฏิบัติวิปัสสนาของผู้ปฏิบัติ และแบบถามตอบสอบอารมณ์ ผเู้ ช่ยี วชาญ ๕ ทา่ นตรวจสอบความเทีย่ งตรงของเนอื้ หา การเก็บรวบรวมข้อมูล ๑) วิจัยเอกสาร (Documentary Research) มีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังน้ี(๑) รวบรวมข้อมูลตา่ งๆ ท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และ คัมภีร์อื่นที่เกี่ยวข้อง(๒) เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทอง-วรวิหาร ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ๒) วจิ ัยภาคสนาม (Fieldwork Research) ศึกษาสภาวญาณเบื้องต้น และอารมณ์ เพ่ือปรบั อนิ ทรยี ์ของผู้เข้า ปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐานมีวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดังนี้(๑) จากการสอบถามผู้เข้าปฏิบัติ (๒) จาก การสงั เกตสภาวญาณเบื้องตน้ ของผู้ปฏิบัติ (๓) จากการถามตอบสอบอารมณข์ องผปู้ ฏิบตั ิ ประเด็นในการศึกษาไว้ ๒ ประการ คือ (๑) หลักการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่ปรากฏ ในพระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์ท่ีเกี่ยวข้อง (๒) สภาวญาณเบอ้ื งต้น อารมณ์ และวธิ ีปรับอินทรีย์ ของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหารการสรุป ผลการวิจยั (๑) สรุปผลการวิจัยภายใต้ประเดน็ ศึกษาหลักแนวคิดและทฤษฎี การศึกษาหลักการปฏิบัตวิ ิปัสสนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกอรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์ท่ีเกี่ยวข้อง โดยรวบรวมข้อมูลข้ัน ปฐมภูมิ และขอ้ มูลทุติยภูมิ พบว่า หลกั ธรรมคำส่ังสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ์ท่ีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกน้ัน ให้ความสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔โดย

ภาคผนวก ๗๕ ชี้ให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ เพื่อความบริสุทธ์ิของจิต เพื่อกำจัดความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณ เพ่ือกำจัดความทุกข์กายทุกข์ใจ เพ่ือเข้าถึงความจริงของชีวิต และเพ่ือความพ้นทุกข์ คือ มรรค ผล นิพพาน และการจะเข้าถึงจุดประสงค์ได้ต้องลงมือปฏิบัติซึ่งมีหลักการปฏิบัติ ดังน้ี ให้เอาสติสัมปชัญญะกำหนดจรดจด จ่อบนฐาน ๔ ฐานอันได้แก่ กาย เวทนา จิตและธรรม (เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน) หรือย่อเหลือ รูปกับนาม (เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา)ในทางปฏิบัติการกำหนดท่ี อาการของท้องพอง–ยุบ โดยกำหนดว่า “พองหนอ ยุบ หนอ” อย่างติดต่อต่อเน่ืองตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน จนเกิดปัญญาเห็นความเป็นไปของสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม เปล่ียนแปลงไปตามความเป็นจริง ว่าไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และไม่สามารถบังคับบัญชาได้ไม่ใช่ ตัวตนเราเขา เป็นขั้นๆ ต้ังแต่สภาวญาณ ๑ นามรูปปริเฉทญาณ ไปจนถึงมรรค ผล นิพพาน ผลหรืออานิสงส์ที่ ได้จากการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เม่ือใกล้ตายได้สติระลึกถึงบุญกุศล คุณงามความดีที่ตนได้ทำ ไว้ ตายแล้วจะได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพื่อเป็นอุปนิสัยท่ีจะได้บรรลุ มรรค ผล นิพพานในชาติต่อไป ถ้าปฏิบัติ วปิ สั สนาตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ตอ่ เน่ืองเป็นเวลา ๗ ปี จะได้ผล ๒ ประการคือ จะไดเ้ ป็นพระอนาคามี หรือ เป็น พระอรหันต์ในชาติปัจจุบันน้ี จึงนับว่าเป็นความอุ่นใจของนักปฏิบัติธรรมเป็นอย่างย่ิง ที่สำคัญในปัจจุบันน้ีก็ สามารถนำสติไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จากการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ของกลุ่มตัวอย่าง ณ สำนักวปิ ัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรจี อมทอง วรวหิ ารได้เป็นไปตามหลกั ของสตปิ ฏั ฐาน ๔ และผลการปฏิบตั ิ ของกลุ่มตัวอย่าง สภาวญาณเบ้ืองต้น ได้แก่ สภาวญาณ ๑ นามรูปปริเฉทญาณ สภาวญาณ๒ ปัจจยปริคคห ญาณ เป็นไปตามหลักการและความสอดคล้องตาม คมั ภีร์พระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกา และคมั ภีรท์ เี่ กี่ยวขอ้ ง (๒) สรุปผลการวิจัยเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔ จากการ ปฏิบัติวปิ ัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ เป็นวิธกี ารดับทุกข์ทางกาย ทางใจท่ีเกดิ จากกิเลส อันไม่พึงประสงค์เป็น การชว่ั คราวหรือถาวร มี ๒ ประการ คอื เพอื่ ดบั ทุกขใ์ ห้ผู้ปฏิบัตพิ ้นจากทุกข์ เขา้ ถึงมรรค ผล นิพพาน อนั ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล และอรหัตตมรรค อรหัตตผล ถือเป็นผลอันสูงสุดในการอบรมจิตใจของมนุษย์ท้ังปวงในโลก เป็นเนื้อนาบุญที่สูงสุดไม่มีสิ่งใดย่ิงไป กว่า เพราะส่งผลถงึ โลกุตตระสามารถหลุดพ้นจากภพภูมิอนั ได้แก่ นรก เปรต อสรุ กาย เดรัจฉาน มนุษย์ สวรรค์ และพรหมได้โดยเดด็ ขาด ซง่ึ เปน็ การดับทุกขอ์ ย่างถาวร แต่ถ้ายังไม่สามารถดบั ทกุ ข์อย่างถาวรได้ ทำใหผ้ ู้ศกึ ษา และปฏิบัติมีความเข้าใจในหลักการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานได้อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ปฏิบัติมีสติดี ความจำดี มีสมาธิ มีความอดทน มีความพากเพียร มีปัญญาในการทำงานสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าใน ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างกำลังใจให้มีความอดทนในการดำเนินชีวิตตามทำนอง คลองธรรมได้สรุปจากหลักการปฏบิ ัติวปิ ัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ ไดแ้ ก่ กายานุปสั สนา เวทนานุปสั สนา จิต ตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา เม่ือย่อแล้วเหลือ ๒ อย่างคือ รูป กับ นาม หรือกายกับ ใจ การจะเข้าถึงพุทธ ประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องลงมือปฏิบัติวิปัสสนาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ โดยการกำหนดสติไว้ที่ กาย (รูป) เวทนา (นาม) จิต (นาม) ธรรม (เป็นท้ังรูปและนาม) หรือรูป นามเป็นอารมณ์ วิธีปฏิบัติโดยการเอา สติสัมปชัญญะ กำหนดจดจ่ออยู่กับรูปนาม ปัจจุบันขณะ อย่างติดต่อ ต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับการปรับอินทรีย์ ของผู้ปฏิบัติให้สม่ำเสมอกนั ไมใ่ ห้ขาดตกบกพรอ่ ง โดยพระวปิ สั สนาจารย์ผู้ชำนาญ จนเกดิ ปญั ญา หรือท่เี รียกว่า ญาณ เห็นความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปของสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม ตามความเป็นจริง ว่า ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ตามลำดับญาณต้ังแต่ญาณ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ ไปจนถึง มรรค ผล นพิ พาน และญาณ ๑๖ ปัจจเวกขณญาณ ตามลำดับสภาวญาณ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ หมายถึง ปัญญาท่ี กำหนดรู้เห็นลกั ษณะเฉพาะของสภาวธรรมทางกาย(รูป) และทางใจ(นาม) ออกจากกันได้ตามความเป็นจริง คือ รปู มีสภาพเปล่ียนแปลงชำรุดทรุดโทรม นามมีสภาพน้อมไปสู่อารมณ์ หรือรอู้ ารมณ์ น่ันคือ ปัญญากำหนดรู้ว่า อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม หรือ แยกรูปแยกนามออกจากกันได้ ไม่ปะปนกัน เช่นขณะเดินซ้ายย่างหนอ ขวา

ภาคผนวก ๗๖ ยา่ งหนอ เปน็ คนละอันกัน จติ ทรี่ ู้พอง กับจติ ที่รยู้ บุ เปน็ คนละอนั กนั เปน็ ตน้ สภาวญาณ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ หมายถึง ปัญญาที่กำหนดรลู้ ักษณะของสภาวธรรมรูป สภาวธรรม นาม ที่เกิดก่อนเป็นเหตุ และสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนามทเี่ กิดทหี ลงั เป็นผลหรอื ปญั ญากำหนดรู้เหตุและผล ของรูป นามว่าเป็นเหตุเป็นผลซ่ึงกนั และกัน เช่น ขณะกำหนดพอง ยุบอยนู่ ั้น พอง ยุบ เป็นเหตุ จติ ทรี่ ู้พองรู้ยุบ เป็นผล เป็นต้นจากการวิจัยพบว่า เมื่อผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักการปฏิบัติของสำนักวิปัสสนา กรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร ผลของการปฏบิ ัติมีสภาวญาณเบอ้ื งตน้ มีความสอดคล้องตามคัมภีร์ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า และคัมภีร์ท่ีเกีย่ วข้อง ซ่ึงสามารถอภิปรายผลของการวิจัยในแต่ละขนั้ ตอนได้ดังน้ี จากการศึกษาสภาวธรรม อารมณ์ และการปรับอินทรีย์ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยา เขตลำปาง ระดับปริญญาตรี ช้ันปที ่ี ๓ ผู้เข้าปฏิบัตวิ ิปัสสนาตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ ณ สำนักวิปสั สนากรรมฐาน วดั พระธาตศุ รีจอมทอง วรวิหาร จำนวน ๑๖ คนพบวา่ จากแบบสอบถามสถานภาพทวั่ ไปของนักศึกษากอ่ นและ หลังเข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ พบว่า ผู้ให้ความสนใจและมีศรัทธาดีในการเข้าปฏิบัติวิปัสสนา ตามหลักสติปฏั ฐาน สว่ นใหญ่เป็นเพศหญงิ แม้ว่าการปฏิบัติในระยะเวลาเพียงเล็กน้อย แต่กม็ ผี ลต่อสภาพจิตใจ ทำให้ผู้เข้าปฏิบัติมีความขยัน อดทน และความเข้มแข็งมั่นคงทางด้านจิตใจมากขึ้น การสอบอารมณ์ ทำให้การ ปฏิบัติมีความก้าวหน้า สามารถเปล่ียนแปลงพฤติกรรมด้านจริยธรรมของตนเองเกิดความตั้งใจท่ีจะเลิก อบายมุขต่าง ๆ และสามารถจะแนะนำการปฏิบัติแก่บุคคลอื่นได้จากแบบสังเกตสภาวธรรมการปฏิบัติของผู้ ปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐานประกอบด้วยการยืน การเดินจงกรม และการน่ังสมาธิ พบว่าในระยะ ๓ วัน แรก กลุ่มตัวอย่างมีความต้ังใจสม่ำเสนอเพียรในการปฏิบัติ ส่วนใหญ่ผู้เข้าปฏิบัติตรงต่อเวลาในการเข้าปฏิบัติ ทำวัตรสวดมนต์ ต้ังใจฟังธรรมบรรยาย การส่งอารมณ์ และขณะปฏิบัติก็ต้ังใจเพียรในการกำหนดดี วันที่ ๔ – ๗ กลุ่มตัวอยา่ งมีความตงั้ ใจกำหนดมากข้ึน สำรวมมากขน้ึ โดยสำรวมตา หู จมูกลิ้น กาย และใจ ทำใหก้ ายสงบ ลง วันท่ี ๘ วันที่ ๙ ของการปฏิบัติสงั เกตได้วา่ หน้าตาผิวพรรณของผู้ปฏบิ ัตมิ ีความอมิ่ เอิบ ผ่องใส่ และแววตามี ประกายแหง่ ความสุขสงบจากแบบถามตอบสอบอารมณ์ พบวา่ ในขณะท่ีผู้ปฏิบัตเิ ล่าประสบการณ์การปฏิบัติใน การกำหนดกาย เวทนา จิต ธรรม และอารมณ์ท่ีเกิดข้ึนแก่พระวิปัสสนาจารย์ และพระวปิ ัสสนาจารย์ซักถามผู้ ปฏิบัติตามแบบถามตอบสอบอารมณ์ในแต่ละญาณ พร้อมกับให้คำแนะนำ การปรับปรุงอินทรีย์ในแต่ละวัน ดังนี้สภาวธรรมเบ้ืองต้น จากแบบถามตอบสอบอารมณ์ส่วนใหญ่ตอบได้ถูก และท่ีตอบไม่ถูกส่วนมากเป็นข้อ คำถามเดียวกัน อาจเน่ืองจากผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจคำถาม สรุปได้ว่าสภาวธรรมเบ้ืองต้น ผู้ปฏิบัติมีความเข้าใจขั้น พ้ืนฐานการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานโดยการกำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม ดี เน่ืองจากผู้ปฏิบัติมี ความตั้งใจ สนใจ ศรัทธาในการปฏิบัติและได้รับการแนะนำการปฏิบัติขั้นพ้ืนฐาน โดยการอบรมให้โอวาทและ สาธิตการปฏิบัติ ที่มีสภาวญาณ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ คือปัญญาท่ีมีความรู้ ความเข้าใจ ในการกำหนดรู้รูป นามสภาวะที่เป็นจริง เกิดปัญญาหยั่งรู้ว่าอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม ทุกส่ิงทุกอย่างในสากลโลกล้วนแต่ ประกอบด้วยรูปและนามเท่านั้น ผู้ปฏิบัติสามารถแยกรูปนามออกจากกันได้อย่างชัดเจน จากแบบถามตอบ สอบอารมณ์ พบว่า สว่ นใหญ่มสี ภาวธรรมปานกลาง อาจเน่ืองมาจากไม่เข้าใจคำถาม เพราะคำถามทตี่ อบไม่ถูก นัน้ มักจะเปน็ คำถามท่ีซำ้ ๆ กนั การกำหนดไม่จดจอ่ ไม่ตอ่ เน่อื งท้ังในเวลาที่ปฏิบัตแิ ละเวลาพัก ทำให้ปัญญาไม่ คมชัดความน่าสนใจทันสมัยและเหมาะสมกับผ้ปู ฏิบัติสภาวญาณ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ คือ ปัญญากำหนดรจู้ ัก ปัจจัยแห่งรูปและนาม ญาณที่ผู้ปฏิบัติสามารถเกิดปัญญารู้แจ้งสภาวะของรูปกับนามท่ีกำหนดอย่นู ั้นว่า ทั้งรูป ทั้งนามเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งกันและกัน จากแบบถามตอบสอบอารมณ์ พบว่า ส่วนใหญ่มีสภาวธรรมพอใช้ เนื่องมาจากความต่อเน่ืองจากสภาวะญาณ ๑ คือ กำหนดไม่จดจ่อ ไม่ต่อเน่ือง ไม่กำหนดอิริยาบถย่อย ทำให้ กรรมฐานร่ัวสรุป การปฏิบตั ิธรรมจะดูแค่สภาวธรรมภายนอกไมไ่ ด้ จะตอ้ งดทู ั้งสภาวธรรมภายในและภายนอก พร้อมทั้งเหตุปจั จัยจากพฤติกรรมก่อนเข้าปฏิบัติ และอดีตที่ผ่านมาวา่ เคยทำเหตุมาก่อนหรือไม่ ซึ่งมีผลตอ่ การ

ภาคผนวก ๗๗ ปฏิบัติ คือ บางคนปฏิบัติลำบากแต่สำเร็จช้า บางคนปฏิบัติลำบากสำเร็จเร็ว บางคนปฏิบัติง่าย สำเร็จช้า บาง คนปฏิบัติง่ายแต่สำเร็จเร็ว เป็นต้น และการกระทำ ณปัจจุบันว่ามีความตั้งใจในการกำหนดสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม ท้ังภายนอกและภายในอยา่ งประณีตบรรจงจรดจดจ่อติดต่อต่อเน่ืองดีหรือไม่ ต้งั แต่ต่ืนนอนจน เข้านอน พร้อมท้ังการให้คำแนะนำของพระวิปัสสนาจารย์ที่มีความเข้าใจและมีประสบการณ์ในการซักถาม สภาวธรรมต่าง ๆ และสามารถปรับอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติให้เสมอกัน คือ ศรัทธาต้องเสมอกับปัญญา วิริยะต้อง เสมอกับสมาธิ สติยิ่งมากยิ่งดี จนทำให้สภาวธรรมตา่ ง ๆ เจริญก้าวหน้าขึน้ เป็นลำดับไปต้ังแต่สภาวญาณ ๑ ถึง สภาวธรรมมรรค ผล นิพพานนอกจากนี้ ผลการวิจัยฉบับนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน คือ ๑) ได้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักพระไตรปิฎก สามารถนำไปปฏิบัติ และให้ผลได้ อยา่ งน้อยดับทกุ ข์ทางกาย วาจา ใจ ไดส้ ร้างกำลังใจใหม้ ีความอดทน มคี วามพากเพียร มสี มาธิ มปี ัญญาในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การงาน การเรียนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจนถึงที่สุด คือ หลุดพ้นจากภพภูมิอันได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มนุษย์ สวรรคพ์ รหม ไปจนถึงพระนิพพาน ๒) ได้แนวคำถามสภาวธรรมในการ สอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติเพ่ิมข้ึน และสามารถนำคำถามไปปรับใช้ในการถามตอบสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติให้มี ความก้าวหน้าในการปฏบิ ตั ยิ ง่ิ ข้ึน

ภาคผนวก ๗๘ รหัส ๑๔-๒๕๕๒ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ ศึกษาสังขารุเปกขาญาณ ในการปฏบิ ตั ิวปิ สั สนาตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ ผวู้ จิ ัย เฉพาะกรณีการปฏบิ ัติวปิ ัสสนาภาวนา ๗ เดอื น ปริญญา (A Study of Sankharupekkhanana in Vipasanabhavana in Accordance with the Four ปี Mindfulness : A Case Study of the Seven-Month Vipasasanabhavana Practice) วัตถปุ ระสงค์ พระปลัดพงค์ศกั ด์ิ ธมฺมวโร (อภยั โส) การทบทวน พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เอกสารและ ๒๕๕๒ งานวิจยั ที่ ๑. เพื่อศึกษาหลกั ปฏิบตั ิวิปสั สนาตามหลกั สติปฏั ฐาน ๔ ทีป่ รากฎในคมั ภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาท เก่ียวขอ้ ง ๒. เพ่อื ศกึ ษาสังขารเุ ปกขาญาณ ทป่ี รากฏในคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๓. เพอ่ื รายงานปฏิบตั เิ ฉพาะการปฏิบัตวิ ิปสั สนาภาวนา ๗ เดือน นิยามศัพท์ ๑. หลักการ วิธีการ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ความเป็นมาและความหมายของวิปัสสนาภาวนา วิธีดำเนินงาน สงเคราะห์วิปัสสนาภาวนากับปริญญา ๓ การเจริญวิปัสสนาภาวนาคือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ สติ ปัฏฐาน ๔ วิปัสสนาภูมิ ๖ แนวทางปฏิบัติวิปัสสนาโดยยึดขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ธรรมอันเป็นปัจจัยให้ เข้าถงึ วปิ ัสสนาญาณ การเหน็ แจอ้ รยิ สัจ ๒. สังขารุเปกขาญาณ ได้แก่ ความหมายของสังขารุเปกขาญาณ การกำหนดสังขารุเปกขาญาณ สภาวะลักษณะขงสังขารุเปกขาญาณ อุปมาของสังขารุเปกขาญาณ ผลของสังขารุเปกขาญาณ ยอด ของวิปสั สนา สงั ขารุเปกขาญาณทค่ี วรทราบ ๓. การปฏิบัติวิปัสสนาเฉพาะกรณีการปฏิบัติ ๗ ได้แก่ หลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาท่ีปฏิบัติ ๗ เดือน หลกั พอง-ยบุ เปน็ สติปัฏฐาน เปน็ รปู นามอย่างไร สภาวะทเ่ี ปน็ ปญั หาของการปฏิบัติและแนวทางแกไ้ ข ๑. วิปัสสนา หมายถงึ การฝกึ ฝนอบรมปญั ญาใหเ้ กดิ ความเห็นแจ้งรู้ชัดภาวะของส่ิงท้ังหลายตามที่ มันเปน็ ของมันเอง ๒. ภาวนา หมายถึง การเจริญ การพัฒนา ให้มีข้ึนเป็นข้ึน อย่างจดจ่อต่อเน่ืองให้รู้เท่าทันอาการ ตา่ งๆ ท่ีเกิดอย่ใู นกายกบั จิตตามความเป็นจรงิ ๓. สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง การมีสติกำหนดจดต่อเนื่องในฐานทั้งส่ี คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ท่ี กำลงั เกดิ ข้นึ อยา่ งชดั เจนในปจั จบุ นั ขณะ ๔. โสฬสญาณ คอื ความรู้ในสภาวะท่ีเปน็ ผลมาจากการเจรญิ วิปสั สนาภาวนา ๕. สังขารุเปกขาญาณ หมายถึง ญาณท่ี ๑๑ ในโสฬสญาณซึ่งเป็นผลอันเกิดจากการปฏิบัติ วิปสั สนาภาวนา คอื สภาวะท่ีมีความไมย่ นิ ดียินรา้ ยในสังขารท้งั ปวง ๖. ปฏิบตั ิวิปสั สนาภาวนา ๗ เดอื น หมายถึง การปฏิบัติของนิสิตหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ๗. เฉพาะกรณี หมายถงึ นิสิตผศู้ ึกษาเพยี งรูปเดียว ๘. กำหนด หมายถึง การระลึกในใจถึงชื่ออาการ ความรู้สึก นึกคิดให้ตรงตามอาการและ ความร้สู ึกนกึ คดิ นนั้ ๆ ใหเ้ ปน็ ปัจจุบนั ไม่กอ่ นหรอื หลัง ๙. การส่งสอบอารมณ์ หมายถึง การเล่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติให้วิปัสสนาจารย์ฟัง และรบั ฟงั วิธีการแก้ไขในหลักการ วธิ ีการปฏิบัติ ศึกษาเอกสารงานวิจัยหลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาและสติปัฏฐาน ๔ เป็นการวิจัยทั้งเอกสารและทดลอง

ภาคผนวก ๗๙ วิจัย ปฏิบัติ โดยรวบรวมข้อมูลเอกสารและจากแบบการบันทึกประสบการณ์ประจำวัน ในการปฏิบัติวิปัสสนา สรปุ ผลการวิจัย ภาวนาเฉพาะกรณีของนิสิตหลักสูตรวิปัสสนาภาวนา พุทธศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย วิทยาเขตบางฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ดังต่อไปน้ี (๑) การศึกษาภาคเอกสาร ศึกษาค้นคว้า วเิ คราะหข์ อ้ มูล เกีย่ วกับหลกั ปฏิบตั ิวปิ ัสสนาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ทป่ี รากฏในคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎก ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา ท่ีปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท (๒) ศึกษาสัง ขารุเปกขาญาณ อันเป็นญาณข้ันที่ ๑๑ ซ่ึงเป็นผลของการปฏิบัติวิปัสสนาตามสติปัฏฐาน ๔ ตามที่ปรากฏ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราวิทยาลัย อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา ที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธ ศาสนาเถรวาท (๓) ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เป็นระยะเวลา ๗ เดือน ระหว่าง วันท่ี ๒๘ เดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๒๘ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เฉพาะกรณีนิสิตหลักสูตรวิปัสสนา ภาวนา จากการบันทึกประสบการณ์ประจำวันในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา สรุป แล้วนำข้อมูลจากเอกสาร ท้ังหมดน้ันมาวิเคราะห์เขียนเป็นเชิงพรรณนา ในการศึกษาคร้ังนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเอกสาร และทดลอง ปฏิบัติพร้อมท้ังรายงานการปฏิบัติวิปัสสนา ขอบเขตด้านเน้ือหา เป็นการศึกษาหลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่มีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และ ปกรณ์วิเสสอ่ืนๆ และศึกษาเฉพาะกรณี เป็นการศึกษาการปฏิบัติเฉพาะกรณีนิสิต ๑ รูป ช่ือพระปลัดพงค์ ศักด์ิ ฉายา ธมฺมวโร นามสกุล อภัยโส อายุ ๔๕ ปี พรรษา ๑๘ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเมืองใหม่ ตำบลป่าตาล อำเภอเมอื ง จังหวัดลพบรุ ี ๑. การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ การปฏิบัติตามลหักสติปัฏฐาน ๔ จากการศึกษาทำใหท้ ราบวา่ การ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ดังหลักฐานท่ีปรากฏในคัมภีร์ พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่มที่ ๓๑ หน้า ๒๔๘ ว่า “วปิ ัสสนาโดยอรรถว่า พิจารณา เห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทกุ ข์โดยความเปน็ อนัตตา” และทีฆนิกายอรรถกถากล่าว ไว้ว่า “ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธมฺเมสุ ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ ตสฺมา เตปิ อิมินาว มคฺเคน โสกปริเทเว สมติกฺกนฺตาติ เวทิตพฺพา ขึ้นช่ือว่าภาวนาทไ่ี ม่เนื่องด้วย กาย เวทนา จิต หรือ สภาวธรรมอย่างใดอย่างหน่ึง ย่อมไมม่ ี ดังนนั้ พึงทราบ แมท้ ่านเหล่านั้นได้ล่วงพ้น ความโศก และความ รำพนั ครำ่ ครวญด้วยทางสายนี้เอง ดว้ ยการเพยี รเจรญิ ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ สติปัฏ ฐาน ๔” ซ่ึงการกำหนดตามหลักสติปัฏฐาน ๔ โดยการกำหนดร้ใู นฐานท้ัง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ปรากฏสภาวะดังน้ี คือ เม่ือกำหนดอาการพองอาการยุบ อาการพองหรืออาการยุบ เกิดขึ้น คงอยู่ แล้วก็หายไปแล้วเกิดข้ึนใหม่ แล้วก็หายไปอีก สลับกันอยู่เช่นนี้ อาการอย่างนี้เป็น “อนิจจัง” เม่ือเกิด อาการพองข้ึนจะบังคับไม่ให้มันยุบก็ได้ เมื่อเวทนาเกิดข้ึนจะบังคับไม่ให้มันเกิดก็ไม่ได้ อาการพองก็ดี ทุกขเทนาก็ดี ไม่อาจบังคับอะไรได้เลย อาการอย่างนี้เป็น “อนัตตา” ดังน้ันในขณะที่ เรากำหนดรู้ท่ี กาย เวทนา จิต และธรรม ตัวอนิจจัง ทุกขงั อนัตตาก็ปรากฏอยู่ที่กาย เวทนา จติ ธรรมหรอื รูปนาม ท่เี รากำหนดอยตู่ ลอดเวลา รูปนามเกดิ ข้ึนในทใี่ ดพระไตรลักษณ์กม็ ีอยู่ ดังน้ันการปฏบิ ัติตามหลกั สติ ปัฏฐาน ๔ จงึ เป็นการปฏบิ ตั ิวิปัสสนาภาวนาอยา่ งแนน่ อน ๒. สังขารุเปกขาญาณ จากการศึกษาทำให้ทราบว่า สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นญาณลำดับท่ี ๑๑ ใน โสฬสญาณซ่ึงเป็นผลมาจากการเจริญวิปัสสนา คือ ปัญญาอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร หมายความว่า เมื่อพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเกิดความรเู้ ห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริง ว่ามีความเป็นอยู่ไป ของมันอย่างน้ันเป็นธรรมดา จึงวางใจเป็นกลางได้ ไม่ยินดียินร้าย ในสังขาร ทั้งหลาย แล้วยึดเอาพระนิพพานเป็นสันติบท จึงพยายามมุ่งไปยังพระนิพพาน เลิกละความเก่ียวเกาะ

ภาคผนวก ๘๐ ยนิ ดยี นิ รา้ ยในสังขารเสียได้ สภาวะลักษณะทถี่ งึ ท่ีสดุ ของสังขารเุ ปกขาญาณ คือ ๑) เมื่อพจิ ารณาสงั ขารซ้ำแล้วซำ้ อีก จงึ ละความกลัว ละความยนิ ดเี สยี ได้ มใี จวางเฉยอยู่กับรูปนาม ๒) เมื่อพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่ยึดม่ันถือมั่นรูปนามว่าเป็นของเรา มีอุปมาเหมือนกันกับ บุรษุ ท่หี ยา่ ขาดจากภรยิ าแล้ว ย่อมหมดความยนิ ดียนิ รา้ ยในภรรยานน้ั ๓) เม่อื พิจารณาสงั ขารซ้ำแล้วซ้ำอกี จงึ เกิดมีสติสมั ปชัญญะรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตย่อมไมห่ วนกลับ ไมว่ ก ไม่เวียน ไม่ซ่านไปในภพ ๓ กำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ คงเหลืออยู่แต่ความวาง เฉยในรูปนามหรอื เห็นรปู นามเปน็ ปฏกิ ูล ๔) เมื่อพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซำ้ อีก จึงเกดิ มีสติตั้งมนั่ สติมีกำลังแก่กล้าปรากฏแล้ว ความโลภ ความ โกรธ ความหลงก็ไม่มี อุปมาเหมือนกับไฟฟ้าที่มีแรงเทียนสูงย่อมให้แสงสว่างมากดูอะไร ก็เห็นได้ ชดั เจนไม่มีความมืดฉันนน้ั ดังนนั้ จงึ มีความวางเฉย ๕) เมื่อพิจารณาสังขารซำ้ แลว้ ซำ้ อีก จงึ เกิดไมย่ ึดมน่ั ถือไม่ถือมนั่ ไม่ผูกพันไม่เกาะเกีย่ ว ไม่กำหนัดพอใจ ในรูปเสยี ง กลิน่ รส เปน็ ตน้ จึงปรากฏแต่ความวางเฉย ๖) เมื่อพิจารณาสังขารซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่รับบัญญัติไว้เป็นอารมณ์คือ ไม่รับว่าเบญจขันธ์เป็นของ เที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน เพราะมีสติปัญญาพิจารณาเห็นแน่ชัดแล้วว่า เบญจขันธ์เป็นอสุภะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัญญาวิปัลลาสจึงหายไปไม่เข้าใจผิดและไม่หลงติดอยู่ ใจจึงมีแต่ความวาง เฉยในรปู นาม ๗) เมื่อพิจารณาสังขารซ้ำแลว้ ซ้ำอีก จึงเกดิ ไม่ส่งั สมทุกขไ์ ว้ มีแต่ความพยายามตัดรากของทุกขใ์ หห้ มด ไปใหส้ ลายไป ใจกว็ างเฉยในรูปนาม ๘) เมอ่ื พิจารณาสงั ขารซ้ำแล้วซำ้ อกี จึงเกิดรูปนามว่าเป็นภยั เปน็ ทุกข์ เปน็ โทษ เบือ่ หน่าย อยากหลุด พ้น ใจเขม้ แข็งและวางเฉย ๙) สังขารุเปกขาญาณนี้ย่ิงนานก็ยิ่งละเอียด สุขุม ประณีต ดุจบุคคลเอาตะแกรงร่อนแป้ง และดุจชี ฝ้ายท่ีหีบแล้วด้วยไน ฉะนั้น ครั้นพิจารณารูปนามโดยประการต่างๆ อย่างน้ีแล้วละความกลัวละ ความยินดีมีใจวางเฉยในการพิจารณารูปนาม จิตย่อมตั้งม่ันดว้ ยอำนาจอนปุ ัสสนาทั้ง ๓ เม่ือต้ังอยู่ โดยอาการอยา่ งนี้ย่อมถึงความเปน็ วโิ มกขมขุ ๓ อยา่ ง และเป็นปัจจัยแกก่ ารจำแนกพระอริยบุคคล ออกเปน็ ๗ จำพวก ๓. การปฏิบัติเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือนการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ โดยมี สะยาดอ ภทั ทันตะ วิโรจนะ เป็นพระวปิ ัสสนาจารย์ควบคุมดูแลการปฏบิ ัติให้เป็นไปด้วยความ เรยี บร้อยและเป็นประโยชนเ์ ก้ือกูลต่อการปฏิบตั ิอย่างใกล้ชิด ระหว่างวนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พบว่า หลักปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักการ วิธีการที่พระพุทธองค์ทรงตรัส ยืนยันว่าเป็นทางสายเอก ทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งมีสิ่งท่ีเป็นต้นเหตุ เป็นเหตุเป็น ปัจจัยให้เกิดความทุกข์ก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือความพอใจ ไม่พอใจ ความไม่รู้ ความยึดมั่นถือมั่น ในตัวตน ในอารมณ์ทั้งหลาย จากประสบการณ์ตรงที่ผู้ศึกษาได้ประสบด้วยตนเอง (สันทิฎฐิโก) ท่ีเข้า ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตลอดระยะเวลา ๗ เดือน พอจะสรุปวิเคราะห์สภาวธรรมท่ีได้ประสบพบเจอ ตามกรอบของหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ ไดด้ ังน้ี ๑) การปฏิบัติเป็นวิปัสสนาล้วน คือ อิริยาปถปัพพะ สัมปชัญญะปัพพะ และธาตุมนสิการปัพพะ ซึ่ง สรุปวิธีปฏิบัติก็คือ การกำหนดรู้ในอิริยาบถใหญ่ (ยืน เดิน นั่ง นอน) อิริยาบถย่อย และอาการ พองอาการยุบของท้อง สะยาดอ ภัททันตะ วิโรจนะ ให้ใส่ใจกำหนดจดจ่อ ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา

ภาคผนวก ๘๑ ต้ังแต่ต่ืนนอนจนถึงหลับไป เม่ือต้ังใจใส่ใจกำหนดจดจ่อต่อเนื่องอย่างจริงจังแล้ว ทำให้เห็นว่ามี ความมหัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกอาการพอง อาการยุบ ทุกการขยับ ทุกการเคลื่อนไหว ทุก อริ ิยาบถ เพราะจะเหน็ ได้วา่ ทุกขณะท่ีมีการกำหนดอยู่นัน้ โลภะ โทสะ โมหะ จะเริ่มเข้าแทรกจิต ของเราไม่ได้ ย่ิงกำหนดจดจ่อ ต่อเนื่องไปยิ่งเห็นชัดเจนว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน ของเราไม่ถูก กระต้นุ ไมถ่ ูกกระทบหรือกระทบแต่ไม่กระเทือนถึงจติ และในช่วงตน้ ๆ พอขาดการกำหนดจะเห็น ได้ชัดเจนว่าจะกระเทือน (อึดอัด ขัดเคือง) ถึงใจง่ายกว่าตอนยังไม่ได้ปฏิบัติ ทำให้เข้าใจชัดในคำ กลา่ วท่ีหลวงพอ่ พุทธทาสได้กลา่ วไวว้ ่า “ทุกข์จะไม่โผล่ถ้าไมโ่ ง่เร่อื งผัสสะ” ดังนั้นสะยาดอ ภทั ทัน ตะ วิโรจนะ จะย้ำเสมอวา่ “ขาดการกำหนด” กค็ ือ ตายจากความเป็นโยคที ันที และการปฏบิ ัตจิ ะ ก้าวหน้าไม่ได้ ถ้ายังกำหนดจดจ่อต่อเนื่องทุกๆ อิริยาบถไม่ใช่หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ ความก้าวหน้าได้เลย ก็คือกำหนดได้ก่ีเปอร์เซ็นต์ความก้าวหน้าก็เท่ากับเปอร์เซ็นต์ของ ความก้าวหน้านัน่ เอง โดยไมต่ อ้ งถามใครเราก็สามารถรไู้ ด้ดว้ ยตัวเราเอง ๒) การเดินจงกรม ตามหลักการวิธีการเดินจงกรมท่ปี รากฏในคัมภรี ์วิสุทธิมรรค กจ็ ะมี ๖ ระยะ แบบ มรี ะยะ ๑-๖ ชัดเจน โยคบี างท่านก็จะเดินไปตามปรารถนาของตนเอง แตส่ ะยาดอ ภัททันตะ วิโรจ นะ จะกำหนดให้เดินตามความก้าวหน้าของโยคีนั้นๆ และส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมเดินตามรูปแบบ ๖ ระยะ แต่จะนิยมใช้การเพ่ิม (เตมิ การกำหนด) ในระยะท่ี ๑-๓ เท่าน้ันเอง เช่นระยะที่ ๓ ยกหนอ- ย่างหนอ-เหยียบหนอ ก็สามารถเติมเป็นยกหนอๆ ย่างหนอๆ เหยยี บหนอๆ แล้วก็เพม่ิ ยกหนอเป็น ๑๐ ยกหนอ ๓๐ ยกหนอ หรือในยกคร้ังเดียวกำหนดเป็นร้อยยกหนอก็ได้ ถ้าจิตของโยคีละเอียด พอ และจะใชร้ ะยะทางสั้นๆ กำหนด ๓-๔ เที่ยวก็ไดห้ น่งึ ชวั่ โมงแลว้ ๓) การกำหนดอาการพองอาการยุบ จัดว่าเป็นอาการที่ปรากฏในส่วนของฐานกาย และกำหนดที่ อาการพอง อาการยุบน้ียังเป็นการกำหนดวาโยโผฏฐัพพะรปู ซึ่งอาจจะกล่าวโดยอนุโลมได้วา่ เป็น การกำหนดอานาปานะโดยอ้อม และการกำหนดรู้อาการพอง อาการยุบเป็นการกำหนดรู้อาการ เคลื่อนไหวของธาตุลม “กุจฉิสยวาโย ลมในท้อง” อาการพอง อาการยุบ เป็นรปู จิตที่รู้อาการพอง อาการยุบนั้นเป็นลม ดังนั้นการกำหนดพอง-ยุบ จึงอยู่บนฐานของการกำหนดรูปนาม หรือ เปรียบเทียบขันธ์ ๕ ในการกำหนดอาการพอง อาการยุบก็ได้ เพราะขันธ์ ๕ เม่ือย่อลงมาก็เท่ากับ รูปนาม คือ รปู อันหมายถึง รูปขันธ์ และ นาม อันหมายถึง นามขันธ์ ซึ่งได้แก่เวทนาขันธ์ สัญญา ขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ดังน้ี อาการพองหรืออาการยุบ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ หมายถึง เมื่อกำหนดอาการพอง อาการยุบ เกิดความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ หรอื ชอบใจไม่ชอบ ในต่ออาการพองอาการยุบ เม่ืออาการพองยุบเปลี่ยนไปเป็นอึดอัดบ้าง นุ่มนวลบ้าง สัญญาขันธ์ หมายถึง ความจำไดว้ า่ อาการอย่างนเ้ี รียกว่าพองอาการอยา่ งนเี้ รียกว่ายุบ หรอื จำไดว้ า่ ร้สู ึกอยา่ งไร สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ หลังจากเกิดอาการนั้น สังขารขันธ์ หมายถึง เม่ือเห็นอาการพองอาการยุบ และรู้จักอาการแล้วมีความคิดปรุงแต่ง สนับสนุนเสริมให้น่าหลงใหลในอาการพองอาการยุบ ใน อาการหลังจากพองยุบน้ัน วิญญาณขันธ์ หมายถึง การรับรู้อาการท้ังหลายที่เกิดข้ึน ไม่ว่าจะ เปน็ เวทนา สญั ญา หรือสงั ขาร การกำหนดพอง-ยบุ จงึ เปน็ รปู นาม ดังน้ี ๔) ส่งสอบอารมณท์ กุ วนั พระอาจารย์กำหนดใหโ้ ยคสี ่งสอบอารมณท์ กุ วันเว้นวันพระ แตถ่ ้ามสี ภาวะ พเิ ศษก็อนุญาตให้ส่งได้ โดยไมม่ กี ารกำหนดเวลา ใหโ้ ยคีสอบถามไดจ้ นเปน็ ทีพ่ อใจ จากการทดลอง ปฏิบัตผิ ู้ศึกษาพบว่า ทำให้การปฏิบัติไม่มีการติดขัดเพราะสามารถสอบถามในสิ่งท่ีไม่เข้าใจ สงสัย นั้นได้ทุกวัน จึงเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติมาก และเห็นว่าสอดคล้องกับวิธีการของพระ พทุ ธองค์ ที่ปรากฏในอรรถกถาเร่ืองพระอธิมานิกภิกษุ ไม่สามารถรู้สภาวธรรมของศิษย์ด้วยญาณ

ภาคผนวก ๘๒ เชน่ เดียวกบั พระพุทธองค์ จึงตอ้ งใหม้ าเล่าใหฟ้ งั หรือสอบถามกนั โดยตรง ๕) องคแ์ ห่งการกำหนด สะยาดอ ภัททนั ตะ วิโรจนะ ไดแ้ นะนำองค์แหง่ การกำหนด (ทุกอิริยาบถ) มี หลักในการกำหนด ๓ ประการ คือ ๑) ตอ้ งชา้ ๆ ๒) ต้องกำหนดจดจ่อให้ทันปัจจุบัน ๓) ต้องให้ ต่อเนื่องหรือติดต่อกันจริงๆ ในอิริยาบถเดินกับอิริยาบถนั่งแนะนำให้กำหนดเท่าๆ กัน ถ้าครึ่ง ช่ัวโมงก็เดินคร่ึงชั่วโมงน่ังครึ่งชั่วโมง ถ้าเดินหน่ึงชั่วโมงก็นั่งหนึ่งชั่วโมง ไม่ได้บังคับว่าจะต้องแค่ ไหนอยา่ งไร แตถ่ ้ายงั นั่งไม่ถึงหนง่ึ ชวั่ โมงก็จะยงั ไม่มีการสอบอารมณใ์ ห้ การนั่งกำหนดก็เช่นกัน กำหนดใหม่ๆ พอส่งใจไปท่ีหนา้ ท้องถ้าจบั พอง-ยุบ ไมไ่ ด้กใ็ หเ้ อา มือมาวางท่บี ริเวณหน้าท้อง พอกำหนดได้ดีแล้วก็เอามือลองและถ้าต่อไปอาการพองอาการยุบมัน ใหญ่ข้ึน ยาวข้ึนก็สามารถเพ่ิมการกำหนดเป็นหลายกำหนดในอาการพองเดียวยุบเดียวได้ เช่น พองหนอๆ พองหนอๆๆ พองหนอๆๆๆ ยุบหนอๆๆ ยุบหนอๆๆๆ หรือถ้าไม่มอี าการพองอาการยุบ มีอาการอยา่ งไรก็กำหนดอยา่ งนน้ั เชน่ น่งั หนอ ถกู หนอ รู้หนอตามสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย นั่งหนอ ไม่มีหนอ พอง ยุบ เบา ไหว โยก โยน ก็ว่าไปตามอาการที่ปรากฏ ประการสำคัญคือให้มีการ กำหนดอยู่ ไมว่ ่าอาการทีป่ รากฏคืออะไรกใ็ ห้กำหนดว่า รหู้ นอๆๆๆ อิริยาบถยืน ปกติโยคีจะคุ้นเคยกับการใช้ในตอนก่อนเดินกับตอนสุดทางจงกรมแต่สะ ยาดอ จะแนะนำให้ใช้การยืนแทนการเดินจงกรมได้ ซ่ึงผู้ศึกษาได้ทดลองปฏิบัติดูก็สามารถ กำหนดได้ สภาวธรรมก็เกดิ ชัดเจนมากกว่าการเดินจงกรม หรืออาจจะเท่าๆ กับอริ ิยาบถน่ังก็วา่ ได้ โดยเฉพาะเวทนายง่ิ ชัดเจนกวา่ อริ ิยาบถนงั่ เสียอีก มีมาให้กำหนดสารพดั สารพัน และในที่สดุ ทำให้ เห็นว่าการปฏิบัติแบบพองยุบนี้ เป็นหลักการ วิธีการท่ีง่ายท่ีสุดและเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย สามารถปฏบิ ัตไิ ดเ้ พราะใช้การกำหนดเป็นหลกั เบอ้ื งต้น ซง่ึ ถ้าจะบอกวา่ ยาก ไม่รจู้ ะกำหนดอะไร ก็ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะในจักรวาลนี้ไม่มีสภาวะใดๆ ปรากฏอยู่นอกฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม เพียงแค่ “กำหนดๆ” เพราะใช้กำหนดได้ทุกอย่างหรืออาจจะบอกว่าไม่ต้องไปหา อารมณ์ท่ีไหน ไม่ต้องหาอุปกรณ์ใดๆ เพราะมีอารมณ์ให้กำหนดอยู่ตลอดเวลา กายเคล่ือนไหวก็ กำหนดท่ีกาย เกิดเวทนาก็กำหนดท่ีเวทนา คิด ฟุ้ง ก็กำหนดที่ความคิด อายตนะกระทบสิ่งใดก็ กำหนดท่ีส่งิ นนั้ “กำหนดๆ อยา่ งจดจ่อ ต่อเน่อื ง ทกุ ที่ ทุกเวลา ทุกการขยบั ทกุ ส่งิ ที่เกดิ ขึ้นกับกาย กับใจ” ก็สามารถพิสูจน์ส่ิงท่ีพระพุทธองค์ตรัสไว้ได้แล้วและสำคัญที่สุดต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง เพราะไม่สามารถอธิบาย สาธยาย บรรยาย เขียนบอกเป็นลายลักษณ์อักษรได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ด้วยภาษาใดๆ ได้ หรือหากแม้เขียนได้ อธิบายได้ ก็ไม่สามารถเข้าใจตามน้ันได้อย่าง แทจ้ รงิ อยา่ งสมบูรณท์ กุ ประการแนน่ อน

ภาคผนวก ๘๓ รหสั ๑๕–๕๒ แบบบันทกึ ขอ้ มลู งานวิทยานิพนธ์ ชื่อวทิ ยานิพนธ์ ศกึ ษาอาการวิปลาสที่เกิดข้ึนในการปฏิบัตกิ รรมฐาน (The Study of Vipallasa (Perversion) Arising During the Practice of Kammatthana) ผวู้ จิ ยั ภาวนีย์ บญุ วรรณ ปริญญา พทุ ธศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ปี ๒๕๕๒ วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพอ่ื ศึกษาเรื่องวปิ ลาสทีป่ รากฏในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาเถรวาทและขอ้ มูลอ่ืนๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง ๒. เพ่อื ศกึ ษาเรอื่ งวิปลาสท่ีเกดิ ข้ึนในการฝึกปฏบิ ัตกิ รรมฐาน(สมาธภิ าวนา) ในวิถีตะวนั ตก การทบทวน ๓. เพือ่ ศกึ ษาปรากฏการณ์ดา้ นจติ ใจของกรณีศกึ ษา ผมู้ อี าการวิปลาสท่ีเกดิ ข้นึ ในการปฏิบัติกรรมฐาน เอกสารและ ๑. วปิ ลาสที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทและข้อมูลอื่นที่เก่ียวข้อง ได้แก่ ความหมายของ งานวิจัยที่ เก่ยี วขอ้ ง วปิ ลาสความหมายเดิมของคำว่า “วิปลาส” ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (คำวา่ “วิปลาส” ใน พระไตรปิฎก คำว่า “วิปลาส” ในอรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษ คำว่า “วิปลาส” ในพจนานุกรม พระพุทธศาสนา ความหมายของคำว่า “วิปลาส” ตามรูปศัพท์ คำที่มีความหมายเหมือนกับคำว่า “วปิ ลาส” สรุปความหมายเดิมของคำว่า “วิปลาส” ความสัมพันธร์ ะหว่างสัญญาวิปลาส จติ ตวิปลาส และ ทิฎฐิวิปลาส ) ความหมายของวิปลสท่ีใช้โดยทั่วไปในปัจจุบัน (พจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ความหมายของคนทั่วไปในสังคมไทย) ความสำคัญของวิปลาส (บทบาทของวิปลาส (วิปลาสต้องทำให้สิ้นไปเพื่อความพ้นทุกข์ วิปลาสก่อให้เกิดอกุศลกรมเพิ่มมาก ข้ึน ) โทษของวิปลาส (วิลาสทำให้จิตเกิดนิวรณ์ วิปลาสทำให้ทิฎฐิวิบัติ วิปลาสทำให้เกิดโมหะ วิปลาสทำให้ผิดศีล วิปลาสทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฎ) สาเหตุของการเกิดวิปลาส (ความติดใจใน กามคุณ นิวรณ์ ๕ อโยนิโสมนนิการ ความยึดถือ ๒ อย่าง การเกิดในอบายภูมิมีผลทำให้ทิฎฐิ วิปลาส การไม่กำหนดรู้ความทุกข์ ) แนวทางแก้ไขวิปลาส (หลักการการละวิปลาส (การละ วิปลาสในพระไตรปิฎก การวิปลาสในอถรรถกถา การละวปิ ลาสในปกรณ์พเิ ศษ วิธีการละวิปลาส) (ตัวอย่างบุคคลผู้ละวิปลาสด้วยการเจริญสติปัฏฐานท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา (กายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน) วิปลาสในการฝึกปฏิบัติกรรมฐานในพระไตรปิฎก (ความสัมพันธ์ระหว่าง “วิปลาส” และ “บ้า” ความสัมพันธ์ระหว่าง “วิปลาส” และ “วปิ ัสสนปู กิเลส” ตัวอย่างของวิปลาสที่เกิดในการฝึก กรรมฐานในพระไตรปิฎก) กระบวนการวิปลาสท่เี กิดข้นึ ในการปฏิบัติกรรมฐาน วิปลาสในทัศนะ ของครูอาจารย์ผู้สอนปฏิบัติกรรมฐาน (ทัศนะของครูอาจารย์ผู้สอนปฏิบัติกรรมฐานในภาคกลาง (อุบาสิกาแนบ มหานีรานนท์ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร) พระราชพรหมยาน (วี ระ ถาวโร, หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง พระ สมภาร สมภาโร (ทวีรัตน์) พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช) ทัศนะของครูอาจารย์ผู้สอนปฏิบัติ กรรมฐานในภาคเหนือ (พระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล ดร.สนอง วรอุไร) ทัศนะของครูอาจารย์ ผู้สอนปฏิบิตกรรมฐานในภาคใต้ (พระธรรมโกศาจารย์(หลวงพ่อพุทธทาส อินทปัญโญ) ) ทัศนะ ของครูอาจารย์ผู้สอนปฏิบัติกรรมฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่ม่นั ภูริทัตโต หลวงปูด่ ุล อตโุ ล หลวงปู่ฟ่นั อาจารโร พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัท โท) พระราชวุฒาจารย์ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) พระอาจารย์พล ยโสธฺโร ) ทัศนของครูอาจารย์ ผู้สอนปฏบิ ัติกรรมฐานชาวต่างประเทศท่ไี ดร้ ับการอุปสมบทในฝ่ายเถรวาท (ดร.กทั ทนั ตะ อาสาภ

ภาคผนวก ๘๔ นยิ ามศัพท์ มหาเถระ (ชาวพม่า) พระสุเมธาจารย์ (ลวงพ่อสุเมโธ, ชาวอเมริกา) พระอาจารย์ปสันโน (ชาว แคนาดา) พระอาจารย์อมโร (ชาวอังกฤษ) พระอาจารย์ถิรธัมโม (ชาวแคนาดา) พระอาจารย์ ญาณธัมโม (ชาวออสเตรเลีย) หลวงพ่อธี วิจิตตธัมโม (ชาวไทยใหญ่) พระอาจารย์สุชาโต (ชาว ออสเตรเลีย) ๒. วิปลาสท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐานในวิถีตะวันตก ได้แก่ แนวคิดที่เก่ียวกับการปฏิบัติ กรรมฐานในวิถีตะวันตก ( แนวคิดท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติกรรมฐานมีประโยชน์ (ประโยชน์ต่อสภาพ ร่างกาย ประโยชน์ต่อสภาพจิตใจ ประโยชน์ต่อการบำบัดรักษา) แนวคิดท่ีเห็นว่าการปฏิบัติ กรรมฐานมีโทษ (โทษต่อสภาพร่างกาย โทษต่อสภาพจิตใจ โทษต่อการบำบัดรักษาและโทษต่อ สังคม) แนวคิดท่ีเป็นว่าการปฏิบัติกรรมฐานมีประโยชน์แต่บางทีมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดโทษได้ ประสบการณ์ของผู้มีอาการวิปลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐาน (ประสบการณ์ของผู้มีอาการ วปิ ลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานชาวต่างประเทศ ประสบการณ์ของผู้มีอาการวิปลาสที่เกิดข้ึน ในการปฏิบัติ กรรมฐานชาวไทย) สาเหตุของอาการวิปลาสที่เกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐาน (สาเหตุที่มีลักษณะเฉพาะในชาติตะวันตก (ความหลากหลายของรูปแบบการปฏิบัติกรรมฐาน อุปนิสัยของชาวตะวันตก การปฏิบัติกรรมฐานมีคุณค่าเพียงแค่การบำบัดรักษา ให้มีสุขภาพดี การ ปฏิบัติกรรมฐานเป็นเรื่องในเชิงธุรกิจ) ) สาเหตุจากการศึกษาตามแนวจิตเวศาสตร์สากล (โรคจิต ระยะส้นั โรคไบโพลาร์ โรคคล้ายโรคจิตเภท โรคจิตเภท) การรักษาอาการวิปลาสท่ีเกดิ ข้ึนในการ ปฏิบัติกรรมฐาน (การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล การรักษาด้วยยา การรักษาด้วยจิตบำบัด การ รักษาด้วยไฟฟ้า) การป้องกันอาการวิปลาสท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐาน ( ปัจเจกบุคคลท่ี ต้องการปฏิบัติกรรมฐาน สำนักและองค์กรที่สอนปฏิบัติกรรมฐาน (การคัดกรองบุคคลที่เข้ารับการ อบรมปฏบิ ตั ิกรรมฐาน แนวการจัดการเม่อื เกดิ เหตฉุ กุ เฉนิ ทางจิต)) ๓. อาการวิปลาสท่ีเกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานจากกรณีศึกษา ได้แก่ ข้อมูลส่วนตัวทั่วไป (ข้อมูล เบ้ืองต้น อุปนิสัยทั่วไป ประวัติการศึกษาปฏิบัติธรรม ) ประสบการณ์ด้านจิตใจของกรณีศึกษาผู้มี อาการวิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐาน (ก่อนการรู้ตัวว่ามีอาการวิปลาส (แรงจูงใจที่ทำให้มาปฏิบัติ กรรมฐาน ความมุ่งหวังเม่ือได้มาปฏิบัติกรรมฐาน สภาวธรรมที่เกิดขึ้น พฤติกรรมและสภาพทาง จิตใจ) เมื่อรู้ตัวว่ามีอาการวิปลาส (ส่ิงท่ีทำให้รู้ตัว ผลกระทบจากอาการวิปลาส สาเหตุของ อาการวิปลาส หลังการรู้ตัวว่ามีอาการวิปลาส ( การเผชญิ กับปัญหา การฟื้นตัว (การแก้ไข) สภาพ ร่างกายและจิตใจหลังการฟื้นฟู)) คุณค่าจากประสบการณ์วิปลาส (คุณค่าจากประสบการณ์การ ปฏิบตั ิกรรมฐาน คุณค่าจากประสบการณ์วิปลาส คำแนะนำต่อคนอืน่ ) ๑. อาการวิปลาส หมายถงึ ลักษณะอาการทางความคดิ และพฤตกิ รรมของบุคคลที่ปรากฏด้วยคำพดู หรือ การกระทำ ที่หลงคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไปจากอาการหรือพฤติกรรมธรรมดาสามัญท่ัวไปก่อนการ ปฏิบัติกรรมฐานเป็นความผิดปกติทางจิต เช่น มีความหลงผิดว่าตัวเองเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ วิเศษ หรือ บรรลุธรรมขั้นใดข้ันหนง่ึ แล้ มีอาการหวาดระแวง ต่นื กลวั นอนไม่หลับ ซึมเศร้า พูดจามีเนื้อหาแปลกๆ เป็นตน้ ๒. กรรมฐาน หมายถึง อุบายวิธีการฝึกฝนอบรม มีสมถกรรมฐาน (เพ่ือความสงบใจ) และวปัสสนา กรรมฐาน (เพือ่ เกิดปญั ญา) ๓. ผู้ฝึกปฏิบัติกรรมฐาน หมายถึง บุคคลใดก็ตามทั้งเพศชายและเพศหญิง อยู่ในสถานะนักบวชหรือ ฆราวาส ไดพ้ ยายามฝกึ ฝนจิตใจตนโดยอุบายวิธกี ารตา่ งๆ ๔. นิมิต หมายถงึ การรบั รู้ในใจตา่ งๆ ของผูป้ ฏิบัติกรรมฐาน

ภาคผนวก ๘๕ วธิ ีดำเนนิ งาน ๑. ภาคเอกสาร ส่วนแรกของการวิจัย เปน็ การคน้ คว้าข้อมูลเกี่ยวกบั วปิ ลาสในคัมภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถร วิจยั วาทตา่ งๆ และวปิ ลาสในหนังสือและบทความในวารสารทางจิตวิทยาตะวนั ตก โดยมวี ธิ ีดำเนินการวิจัย ดังน้ี (๑) ผู้วิจัยได้ตรวจหาจำนวนคำ “วิปลาส” ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกบนอินเตอร์เน็ตของ มหาวิทยาลัยมหิดลท่ีใช้ฉบับสยามรัฐ ภาษาไทย สืบค้นได้ท้ังหมด ๑๐๙ คำ และในซีดีรอม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทานจัดทำโดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ พระไตรปิฎก สืบค้นได้ท้ังหมด ๗๑ คำ อรรถกถา สืบค้นได้ ๑๓๑ คำ มิลินทปัญหา และวิสุทธิมรรคเพ่ือตรวจทานความถกู ตอ้ งและครอบคลุม ทุกเนื้อหาแหล่งข้อมูล (๒) เม่ือสืบค้นจำนวนคำ “วิปลาส” ผู้วิจัยนำมาตรวยค้นกับหนังสือ พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาฯ อรรถกถาภาษาไทยฉบับมหามกุฎฯ มิลินทปัญหา วิสุทธิมรรค ตามท่ีระบไุ ว้ในขอบเขตของการวิจัยข้างต้น ส่วนหนังสือวิมตุ ติมรรคได้ตรวจหาจากดรรชนี (๓) ผู้วิจัย ได้ศึกษาอ่านเนื้อความบทท่ีเกี่ยวข้องกับคำว่า “วิปลาส” และได้วเิ คราะห์ความหมายท่ีปรากฏอยู่ใน แต่ละบริบท จากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ภาษาไทย เพื่อจะได้ทราบที่มาอย่างถูกต้อง (๔) ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าข้อธรรมพระพุทธศาสนาท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่มีบริบท เก่ียวข้องกับวิปลาสและนำมาวิเคราะห์เพ่ือให้ทราบถึงสาเหตุวิปลาสและการละวิปลาส (๕) ผู้วิจัยได้ ศึกษาคำที่มีความเก่ียวข้องกับวิปลาส คือ “บ้า”, “วิกลจริต” และ “วิปัสสนูปกิเลส” ท่ีปรากฏใน พระไตรปฎิ กและอรรถกถา ภาษาไทย นำมาแสดงไว้เพือ่ ใหเ้ ห็นถงึ ความเชื่อมโยงซึ่งกันและกนั และทำ ให้เน้ือหาสมบรู ณย์ ิง่ ข้นึ ๒. ภาคสนาม การวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ซึ่งมีรากฐานมาจาก สาขาปรัชญา ซึ่งในทัศนะของปรากฏการณ์วิทยากล่าวว่า การเข้าถึงส่ิงที่เป็นจริงไม่จำเป็นต้องรบั รู้ได้ เฉพาะประสาทสมั ผัสเทา่ นน้ั แต่การหยั่งรูห้ รอื อชั ฌัตตกิ ญาณ (Intuition) กส็ ามารถเข้าถึงความจริง ได้ด้วยเช่นกัน การวิจัยแบบน้ี Heidegger กล่าวว่าต้องมองผ่านจากสิ่งท่ีปรากฏ ไปยังความหมายท่ีอยู่ เบ้อื งหลังสิง่ นน้ั ๓. วิธีการแบบปรากฏการณ์วิทยา เป็นการศึกษาประสบการณ์ชีวิตที่เกิดข้ึนจริง (live experience) ของผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ท่ีเคยมีอาการวิปลาสซึ่งเกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐาน เพ่ือศึกษาถึงพฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อประสบการณ์นี้ โดยค้นหาข้อมูลอย่างเป็นองค์รวมโดยละเอียดท้งั แนวกว้างและ แนวลึก เพ่ือค้นหาความหมายและโลกทัศน์ของกลุ่มผู้ประสบปรากฏการณ์วิปลาสน้ี เพื่อจะหา ลกั ษณะร่วมของโครงสร้างและแก่นแท้ (essence) ของการรับรู้ปรากฏการณเ์ ร่ืองเดยี วกนั ท่ีได้ประสบ ของแตล่ ะคน เปน็ วิธกี ารดำเนินวิจัยที่มุง่ พรรณนาและตีความ ขอบเขตของการวิจัย (๑) การวิจัยเชิงเอกสาร ศึกษาเรื่องวิปลาสที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา และหนังสือชวี ประวตั ิพระภิกษแุ ละครูอาจารย์สอนกรรมฐานภาวนา ตำราจิตวิทยาตะวนั ตกและข้อมลู อนื่ ๆ ดังต่อไปนี้ จากหลักฐานช้ันปฐมภูมิ คือ พระไตรปิฎก โดยผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม โดยใช้พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีและฉบับภาษาไทยของมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับอรรถกถา โดยผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าจาก อรรถกถาฉบับแปลภาษาไทยของมหามกุฏราช วิทยาลยั ๙๑ เล่ม พิมพ์ครงั้ ท่ี ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ พิมพ์เนื่องในวโรกาส ครบ ๒๐๐ ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งผู้วจิ ยั ได้ศกึ ษาค้นคว้าจากปกรณพ์ ิเศษดังน้ี ก. วิมุตตมิ รรค รจนาโดยพระอุปติสสเถระ แปลจากฉบับ ภาษาอังกฤษของพระเอฮารา พระโสมเถระ และพระเขมินทเถระ โดยพระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมฺ จิตฺ โต) และคณะ ฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข. วิสุทธิมรรค รจนาโดยพระพุทธโฆสเถระ ซึ่งแปลเป็น ภาษาไทยโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสมหาเถร) และคณะศิษยานุศิษย์ ฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ ค. มิลินทปัญหา รจนาโดยพระติปิฎกจุฬาภัย แปลภาษาไทยเป็นมลิ ินทปญั ญา ฉบับหอสมุดแห่งชาติ กรม

ภาคผนวก ๘๖ รวบรวมข้อมูล ศิลปากร ฉบับพิมพ์เม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๖ และ พ.ศ. ๒๕๐๐ และ ฉบับของนายย้ิม ปัณฑยางกูร พ.ศ. ๒๕๐๖ หนังสือตำราพระพุทธศาสนาต่างๆ และงานวจิ ัยต่างๆ ชีวประวัติและคำสอนของพระภิกษุและครอู าจารย์ ผู้สอนกรรมฐานภาวนาในประเทศไทย จากหนังสือและการบันทึกเสียง หนงั สือและงานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้องกับ เรื่องจิตวิทยาตะวันตกและผู้ป่วยจิตเภททั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ได้แก่ - Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fourth Edition, Text Revision (DSM-IV-TR) by American Psychiatric Association, 2005 , Abnormal and Clinical Psychology, Biopsychology by Paul Bennett, 2006 , Cognitive Psychology, Dictionary of Psychology by MichelW. Eysenck and Mark T. Keane, 2005 , Biopsychology by John P.J.Piel, 2006 , ตำราจิตเวชศาสตร์ โดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ , ตำราเวชศาสตร์ โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมภพ เรืองตระกูล มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. ๒๕๔๔ , ตำราจิตเวช ศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๔๒ , จิตเวชศาสตร์ โดย นายแพทย์จำลอง ดิษยวณิช พ.ศ. ๒๕๒๒ , ความผิดปกติทางจิต โดย สุวัทนา อารีพรรค พ.ศ. ๒๕๒๔ , บทความและ รายงานการวิจัยท่เี กย่ี วกับโรคจิตสัมพนั ธ์จากสมาธภิ าวนา การวิจยั ภาคสนาม เพื่อศึกษากลุ่มตวั อยา่ งท่ีมีลักษณะเหมือนกัน ม่งุ เน้นการศกึ ษาถึงวิปลาสอัน เกดิ ข้ึนเฉพาะปัจเจกบุคคลกบั ผู้ปฏิบัตกิ รรมฐาน คอรส์ กาฝกึ อบรมกรรมฐานวิธกี ารตา่ งๆ ด้วยการสัมภาษณ์ กรณีตัวอย่างซ่ึงเป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์เก่ียวกับอาการวิปลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐาน และได้ หายจากอาการวิปลาสนั้นแล้ว และเป็นผู้ที่ไม่เคยมีประวัติในครอบครัวหรือตนเองเคยมีอาการทางจิตมา ก่อนมาปฏิบัติกรรมฐาน ท้ังเพศชายและเพศหญิง ทั้งฆราวาสและนักบวชอย่างเป็นทางการไม่ต่ำกว่า ๖-๘ คน (จนขอ้ มูลอิ่มตัวคือข้อมูลซ้ำแบบเดิม) อย่างเป็นทางการ (Formal Interview) เป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก ทงั้ นี้ เป็นการเลือกตัวอย่างแบบยึดจุดม่งหมายของการศึกษาเป็นหลัก (Purposeful Sampling) เพราะเป็นการ เลือกแบบมีข้ันตอนและวิธีการไม่ซับซ้อน ไม่มีโครงสร้างเคร่งครัด แต่เป็นตัวอย่างท่ีเหมาะสมสำหรับ จดุ มุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการวิจัยและ Patton (2002) นักวิชาการด้านการวิจัยชาวตะวันตกไดก้ ว่า ว่าเป็นการเลือกจากคุณสมบัติ (Criterion sampling) เพราะเป็นผู้ที่จะให้ข้อมูลได้ละเอียดดีที่สุดสำหรับ ปรากฏการณ์นั้น และยังได้สัมภาษณ์ผู้เก่ียวข้องกับผู้มีอาการวิปลาส เช่น อาจารย์ผู้ฝึกสอน ไม่ได้ระบุ จำนวนอย่างไมเ่ ป็นทางการ (Informal Interview) เป็นผู้ให้ขอ้ มูลประกอบอกี ดว้ ย วิธกี ารรวบรวมข้อมลู (เครือ่ งมือหรือเทคนิคในการวจิ ยั ) คือ การใชแ้ บบสอบถามเพื่อสอบถามข้อมลู ส่วนตัว ท่ัวไป และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) เพ่ือสอบถามความจริงเก่ียวกับเนื้อหาและ ความรู้สึกจากผู้ให้สัมภาษณ์มากท่ีสุด เป็นแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) ด้วยคำถามปลายเปิด (Open-Ended Question) เพือ่ ความยืดหยนุ่ และเปิดกว้าง ผู้สัมภาษณ์มีอิสระทีถ่ าม อะไรก่อนก็ได้และไม่จำเป็นต้องถามคำถามเหมือนกันทุกคน ข้ึนอยู่กับความสามารถท่ีจะได้ข้อเท็จจริงให้ มากท่ีสุด ซ่ึงมีข้ันตอนในการสร้างแบบสัมภาษณ์โดยกำหนดประเด็นที่ต้องการศึกษาแล้วนำไปทดลอง สัมภาษณ์กับผู้ให้สัมภาษณ์ ๑ ราย เม่ือปรับปรุงแล้วนำไปใช้สัมภาษณ์กับกรณีการศึกษา พร้อมด้วยการ บันทึกเทปเสียงโดยได้ขออนุญาตผู้ให้สัมภาษณ์ เป็นเวลาครั้งละ ๑:๓๐-๒:๓๐ ชั่วโมงต่อผู้ให้สัมภาษณ์ ๑ ราย และได้มีการถอดเทปแบบคำต่อคำ (Verbatim) มีการตั้งจำนวนกลุ่มตัวอย่างผู้เคยมีอาการวิปลาสที่ เกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐานและหายจากอาการน้ันแล้วเพ่ือสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ (Formal Interview) ไว้ต่ำสุด ๖-๘ คน จนกระทั่งข้อมูลท่ีได้อิ่มตัว (Data Saturation) และเครื่องมือสำคัญในการ วิจัยเชิงคุณภาพคือตัวผู้วิจัยเอง เครื่องมืออ่ืนๆ ได้แก่ เคร่ืองอัดเสียง แนวทางการสัมภาษณ์ ส่วนการ สมั ภาษณผ์ เู้ ก่ียวข้อง เชน่ อาจารยผ์ ู้ฝึกกรรมฐานอย่างไม่เปน็ ทางการ (Informal Interview)

ภาคผนวก ๘๗ การวเิ คราะห์ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลได้ใช้แนวทางของ Giorgi (1997) โดยผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ คือ ข้ันแรก สรุปผลการวิจัย ผวู้ ิจัยต้องทำความเข้าใจกับข้อมลู ดบิ ทไี่ ด้มาทุกมิติโดยภาพรวม ผูว้ ิจัยสร้างโครงรา่ งเนอื้ หาจากขอ้ มูลที่ไดม้ า ผู้วิจัยจัดแยกประเด็นหลักออกเป็นหมวดหมู่และต้องตรวจสอบความถูกต้องของประเด็นหลักที่จัดไว้ ผู้วิจัย นำประเดน็ เหลา่ น้นั มาตีความและอธิบายขยายความขั้นตอนสุดทา้ ยผู้วิจัยไดส้ ังเคราะหป์ ระเด็นหลักที่ได้ถูก ตีความเพื่อให้เห็นภาพเชิงลึก วิธีการตรวจสอบข้อมูลและเน้ือหา ผู้วิจัยได้ตรวจสอบข้อมูลดิบด้วยการ ถามซ้ำกับผูใ้ หส้ ัมภาษณ์เพือ่ ใหไ้ ด้ข้อมูลทถี่ ูกตอ้ ง สว่ นข้อมลู ท่ีไดร้ บั การวเิ คราะห์ ตคี วาม และสังเคราะห์น้ัน อาการวิปลาส ท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐาน อันเป็นภาวะสะดุดในการปฏิบัติกรรมฐานขึ้น เป็นสง่ิ ที่อาจเกิดขึ้นไดส้ ำหรับผู้เข้าฝึกอบรมปฏบิ ัติกรรมฐานบางคนเท่านั้น แตม่ ีจำนวนนอ้ ยมากหากเปรียบ กับจำนวนผู้ที่เข้าฝึกอบรมกรรมฐานแล้ว แต่ก็ยังเป็นประเด็นหนึ่งท่ีทำให้บุคคลอ่ืนๆ ท่ียังไม่ได้ศกึ ษาปฏิบัติ ธรรมและญาติของครอบครัวผู้มีอาการวิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐานเกิดความหวาดระแวงวิตกว่า เหตุใด การปฏิบัติกรรมฐานท่ีว่าเป็นสิ่งท่ีดีแต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ จึงมีการต้ังคำถามไว้หลายประการว่า เพราะสาเหตุอันใดจึงเกิดข้ึน จะสามารถแก้ไขป้องกันได้อย่างไร และในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎกและอรรถกถามีการระบุถึงเรื่องวิปลาสไว้อย่างไรบ้าง อีกท้ังทัศนะของครูผู้สอนกรรมฐานร่วม สมัยในปัจจุบันเป็นอย่างไร รวมถึงแนวคิดในทางตะวนั ตกเก่ียวกับวิปลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานมี มุมมองเช่นไร ท้ังน้ีควรจะได้นำเสนอความคิดเห็น จากกรณีศึกษาผู้มีประสบการณ์วิปลาสในการปฏิบัติ กรรมฐานด้วยจากคำถามเหล่าน้ี เป็นเหตุให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาถึงประเด็นเรื่องวิปลาสและสามารถสรุป ผลการวิจยั ได้ดังน้ี วปิ ลาสในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท วิปลาส หมายถึง ความสำคัญผิดและการยึดถือโดย คลาดเคล่ือน ในพระไตรปิฎกมีการระบุถึงวิปลาสโดยเฉพาะอยู่เพียง ๒ สูตร คือ วิปัลลาสสูตรและวิปัลลา สกถา ทั้ง ๒ สูตรนี้มีเน้ือหาเกี่ยวกับ วิปลาส และ นวิปลาส คือ วิปลาสเป็นเจตสิกฝ่ายอกุศลธรรม และน วิปลาสเป็นเจตสิกฝ่ายกุศลธรรม วิปลาสด้วยจิตและเจตสิกมี ๓ ประการ ได้แก่ สัญญาวิปลาส จิตตวิปลาส และทิฏฐิวิปลาส ในวัตถุ ๔ ประการ คือ ไม่เท่ียงว่าเท่ียง ทุกข์ว่าสุข ไม่ใช่อัตตาว่าอัตตา ไม่งามว่างาม รวมกันเป็น ๑๒ ประเภทเรียกว่า วิปลาสใหญ่ ซ่ึงมีอยู่ครบในปุถุชนคนธรรมดา ในปกรณ์พิเศษภาษาไทย เร่ืองมิลินทปัญหาฉบับหอสมุดแห่งชาติ มีคำว่า สติวิปลาส ปรากฏเป็นคร้ังแรก หมายถึง สติที่คลาดเคล่ือน ซึ่งไม่เคยพบในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย รวมถึงมิลินทปัญหาฉบับภาษาบาลี ด้วย จึงทำให้ตั้งสมมุติฐานไว้ว่าเป็นการประยุกต์ของนักปราชญ์ชาวไทยทำให้เกิดประเภทของวิปลาส เพิ่มขึ้น และยังเป็นที่นิยมใช้กันในสังคมไทยมากกว่าประเภทของวิปลาสด้ังเดิม อันได้แก่ สัญญาวิปลาส จิตตวิปลาส และทฏิ ฐวิ ปิ ลาสในพระไตรปฎิ ก คำว่า “วิปลาส” ในพจนานุกรมต่างๆ ในสังคมไทยปัจจุบัน หมายถึง ความคลาดเคลื่อน ความ แปรปรวน ความผันแปร ความกลับกลาย ในพจนานุกรมฉบับประมวลคำศัพท์ พระพรหม คุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต) กลา่ ววา่ วิปลาส คือ กิรยิ าทถี่ ือโดยการวิปริตผิดจากความเป็นจริง ความเห็นหรือความ เข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง ตามรูปศัพท์ภาษาบาลีในหนังสืออภิธานวรรณาโดยพระมหา สมปอง มุทิโต คือ วิปลฺลาส วิปฺปลฺลาส หมายถึง ความแปรปรวน ความผิดเพ้ียน ความพลิกกลาย ได้แก่ อญฺญถาภาว พฺยตฺตย,วิปริยาย วิปริยาส และคำอ่ืนที่มีความหมายเหมือนวิปลาส ได้แก่ วิปริเยสะ และ วปิ รติ ความหมายของ วปิ ลาส ตามความเขา้ ใจของคนทวั่ ไปในสังคมไทย หมายถึง คลาดเคล่ือนไปจาก ธรรมดาสามัญ เน สติวิปลาส ตัวอักษรวิปลาส สัญญาวิปลาส ซ่ึงสติวิปลาสหมายถึงมีสติฟั่นเฟือนคล้ายคน บ้า คมุ้ ดีคมุ้ รา้ ยหรือวกิ ลจริต หมายถึง มีความประพฤติหรอื กริ ิยาผิดปกติ เพราะสตวิ ิปลาส เปน็ บ้า ในอรรถ

ภาคผนวก ๘๘ กถาได้แบ่งคนบ้าออกเป็น ๘ จำพวก คือ บ้ากาม บ้าโกรธผู้อื่น บ้าความเห็น บ้าความหลง บ้าเพราะยักษ์ บา้ เพราะดีกำเรบิ บ้าเพราะสุรา และบ้าเพราะความสญู เสยี เน่ืองจากปุถุชนทุกคนมีวิปลาสอยู่อันเป็นเหตุก่อให้เกิดอกุศลกรรม ดังนั้นจึงสมควรท่ีจะละ วิปลาสให้สิ้นไปเพื่อเป้าหมายของการทำให้กองทุกข์ทั้งปวงหมดลง อีกท้ังวิปลาสก่อให้เกิดอกุศลให้ส้ินไป เพื่อเป้าหมายของการทำให้กองทุกข์ทง้ั ปวงหมดลง อีกทัง้ วิปลาสกอ่ ให้เกิดอกุศลเพิ่มมากข้ึน เพราะวปิ ลาส มีโทษทำให้จิตเกดิ นวิ รณ์ ทำให้ทิฏฐวิ บิ ัติ ทำให้เกิดโมหะทำใหผ้ ิดศีล ทำใหต้ ิดอยู่ในสังสารวัฎ รวมวา่ วิปลาส ทำให้เกิดวงจรทกุ ข์ สาเหตุที่ทำให้เกิดวิปลาสในพระไตรปิฎก ได้แก่ การเห็นแก่ความสุขในกามคุณ เช่น ความงาม การมีทรัพย์สมบัติช่อื เสียง เป็นต้น นิวรณ์ ๕ อโยนิโสมนสิการ ความยึดถือว่าเป็นของเราด้วยอำนาจตัณหา และอำนาจทฏิ ฐิ การเกดิ ในอบายภูมิทำให้มที ิฏฐิวปิ ลาส การไม่กำหนดรู้ความทุกข์ การเวียนว่ายอยู่ในวงจร ทุกข์ก็ทำให้เกดิ วิปลาสเพม่ิ ข้นึ หลักการเพื่อการละวิปลาสในพระไตรปิฎก ได้แก่ การละราคะท่ีทำให้จิตเร่าร้อน การละนิวรณ์ ด้วยธรรมที่ทำให้สงัด (สงบ) การกำจัดความพอใจในผัสสะในอดีตและอนาคต การกำหนดรู้ผัสสะและ สัญญาด้วยปริญญา ๓ คือ การกำหนดรขู้ ้ันรู้จัก ข้ันพิจารณาด้วยไตรลักษณ์และขั้นละ การละด้วยความไม่ ประมาท การละด้วยการไม่ให้ความสำคัญในอำนาจตัณหาและทิฏฐิ การละทิฏฐิ ๖๒ ต่างๆ ด้วยการไม่ทำ ความพอใจในผัสสะที่เห็นรูปได้ยินเสียง การละด้วยวิเวก ๓ อย่าง คือ กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก และการละด้วยธรรมเพื่อบรรลุความสงบ การละจากเหตุที่ทำให้ธรรมอันเนิ่นช้าด้วยความมีสติ การละด้วย การรู้แจ้งกามและละด้วยความมีสัมมาทิฏฐิส่วนการละวิปลาสในอรรถกถา ได้แก่ ละด้วยสติปัฏฐาน ด้วย อริยสัจ ๔ ด้วยปริญญา ๓ ด้วยการกำหนดรู้ขันธ์ ส่วนการละวิปลาสในปกรณ์พิเศษ คือ ละด้วยความเป็น อรยิ บคุ คล ละด้วยการเจริญ อสุภภาวนาและพจิ ารณาไตรลกั ษณใ์ นสงั ขาร และละดว้ ยญาณ วิปลาสในพระไตรปิฎกมีความหมายลึกซึ้งในระดับปรมัตถ์สัจจะ (ความจริงระดับปรมัตถ์สูงสุด) ปถุ ุชนทุกคนต่างเป็นวิปลาส แม้พระอรยิ บุคคลระดับต้นๆ ก็ยังคงมีวปิ ลาสอยู่บา้ ง บคุ คลที่ไม่เป็นวิปลาสเลย มแี ตพ่ ระอรหันต์เท่านั้น ผทู้ ี่บรรลุธรรมสนิ้ ทุกข์ได้เท่านั้นจึงหมดวิปลาส ซง่ึ แม้แต่ปุถุชนที่คนเราท่ัวไปเหน็ ว่า เปน็ ปกตอิ ยู่ ก็เป็นคนวิปลาส มีคำกล่าวไว้ว่า ปุถุชนยงั ประกอบด้วยอยู่ด้วยกเิ ลสเปรียบเหมือนคนบ้า เพราะ ยังยึดถือส่ิงต่างๆ อยู่ ส่วนในความคิดของคนท่ัวไป จะกล่าวถึงวิปลาสในลักษณะของอาการความ คลาดเคลื่อนไปจากวิสัยอาการของปุถุชนปกติซึ่งอาจจะกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ว่าเป็นวิปลาสใน ระดับสมมุติสัจจะ (ความจริงระดับสมมุติ) จึงจะเห็นว่าเป็นบ้า แต่ท้ังนี้ทั้งน้ันไม่ช่ทุกคนจะเป็นวิปลาสใน ระดับสมมุติตามที่คนทั่วไปเห็นแต่ในพระไตรปิฎกแสดงว่าทุกคนเป็นวิปลาสหมด (ในระดับปรมัตถ์) ยกเว้น พระอรหันต์ อย่างไรก็ดีวิปลาสในระดับสมมุติย่อมมีรากฐานมาจากวิปลาสในระดับปรมัตถ์ ซึ่งเก่ียวเน่ือง เช่ือมโยงกันอยู่ คือ วิปลาสในระดับปรมัตถ์น้ันมีความหมายกว้างกว่าวิปลาสในระดับสมมุติ และบุคคลที่ ปฏิบตั ิกรรมฐานแล้วมีอาการผดิ เพ้ยี นไปจากคนสามัญปกตจิ งึ ถูกเรียกว่า “วปิ ลาส” ในพระไตรปิฎกมีเรื่องพระภิกษุวิกลจริตมีจิตแปรปรวนท่ีมีชื่อว่า คัคคภิกษุ ไม่ได้มาเข้าร่วม ประชุมสงฆ์ แต่ไม่ได้มีเรื่องราวท่ีผู้มาปฏิบัติกรรมฐานแล้วเกิดวิปลาสในระดับสมมุติโดยตรงอย่างชัดเจน มี แต่เรื่องพระภิกษุปุถุชนเม่ือได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับอสุภกรรมฐานแล้ว เกิดความเบ่ือหน่ายใน ชีวิตอย่างแรงกล้า จึงพากันฆ่าตัวตายบ้าง ให้คนอ่ืนฆ่าบ้าง และเรื่องของพระภิกษุซ่ึงสำคัญผิดว่าตนบรรลุ ธรรมโดยไม่เจตนาเป็นอนุบัญญัติไม่ถือว่าเป็นปาราชิกในข้ออวดอุตริมนุษยธรรม แล้วภายหลังได้ระลึกได้ สว่ นในอรรถกถาได้กล่าวถึงพระ โคธิกะที่เส่ือมจากฌาน ๖ ครง้ั เกิดความท้อใจ ฆ่าตัวตาย แต่ก่อนสิ้นชีวิต ตัง้ มั่นในการเจริญวิปัสสนา ทำให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ก่อนมรณภาพ และยังมีเรือ่ งอรรถกถาอ้างมาจากวิ

ภาคผนวก ๘๙ สทุ ธิมรรคกล่าวถึง พระมหานาคเถระผู้เข้าใจว่าตนบรรลุอรหันต์เพราะเกิดวปิ ัสสนูปกิเล ทำให้พระธมั มทิน เถระลูกศิษย์ผเู้ ป็นพระอรหนั ต์จริงต้องไปชว่ ยแก้จติ อาจารยใ์ หเ้ ข้าใจถูกต้อง และต่อมาพระมหานาคก็บรรลุ พระอรหันต์ได้จริง ในพระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงวิปัสสนูปกิเลสเลย มีแต่คำว่า “ธรรมวิตก” ซ่ึงมี ความหมายไปในทางเดียวกันกับวปิ ัสสนปู กิเลส (แต่ไม่ได้แจกแจงรายละเอียดมากเทา่ กับวปิ ัสสนปู กิเลส) มี แต่ในอรรถกถาและปกรณ์พิเศษวิสุทธิมรรคที่กล่าวถึงวิปัสสนูปกิเลส ๑๐อย่าง ซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับการ ปฏิบัติกรรมฐาน อันเป็นธรรมที่ทำให้วิปัสสนามีความหม่นหมองเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม ขวางกั้น ปัญญาไมใ่ ห้เจริญกรรมฐานตอ่ วปิ ลาสที่เกดิ ข้ึนในการปฏิบัตกิ รรมฐานในทัศนะของครูผู้สอนกรรมฐาน วิปลาสในทัศนะของ ครูอาจารย์ผูส้ อนกรรมฐาน ทั้งอาจารย์ผู้เปน็ นักบวชและอาจารย์ฆราวาส ท้ังอาจารย์ชายและอาจารย์หญิง และท้ังอาจารย์ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้กล่าวถึงวิปลาสท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐานดังนี้ อุบาสิกาแนบ มหานีรานนท์ และพระธรรมธีรราชมหามุนี (เจ้าคุณโชดก) กล่าวถึงวิปัสสนูปกิเลสจะเกิดข้ึน ในช่วงญาณท่ี ๓ สัมมสนญาณ รอยต่อกับญาณท่ี๔ อุทยัพยญาณ ซ่ึงจะทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง คิดว่าตน บรรลุธรรมหรือเปน็ ผูม้ ีความพิเศษ ดังน้ัน การปฏิบตั ิควรมีครอู าจารย์ที่แนะนำได้ถูกทาง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) กล่าวว่าเป็นผู้วิปลาส เพราะปฏิบัติกรรมฐานเกินพอดีกว่าท่ีครูสอน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ กล่าวว่าวิปลาสเพราะยึดมั่นถือม่ัน อุปาทาน อุบาสิการัญจวน อินทรกำแหงกล่าวว่า เป็น เพราะปฏิบัติกรรมฐานเพื่อส่งเสริมตัวกูเพิ่มมากข้ึน พระสมภาร สมภาโร (ทวีรัตน์) กล่าวว่าการปฏิบัติ กรรมฐานเป็นการป้องกันไม่ให้คนเสียจริต ส่วนคนเสียสติเพราะปฏิบัติในส่ิงที่คลาดเคลื่อนไปจากวิปัสสนา กรรมฐาน พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช กล่าวว่าเพราะมีตัณหาแทรกอยู่ในระหว่างการปฏิบัติ ไม่ กำหนดรู้ทุกข์กายและใจอย่างแท้จริง การภาวนาผิดทำให้ไม่หายจากทุกข์แล้ว ทุกข์ยังเพิ่มมากข้ึน พระ อาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล แนะนำว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิแม้เล็กน้อย จิตมักจะออกไปรู้เห็นมากมายโดยมิได้ ตงั้ ใจ เห็นเองอย่างอศั จรรย์ แรกๆ อาจถูกตอ้ งเป็นของจรงิ แต่นานไปจิตฟงุ้ เพลิดเพลิน ต้องมีสตคิ วบคมุ ดร. สนอง วรอุไร กล่าวว่าการปฏิบัติกรรมฐานเม่ือเกิดวิปสั สนปู กิเลส ๑๐ อยา่ ง ถา้ ไม่มีใครไปแก้ปญั หาให้อาจ เปน็ บา้ ได้ หลวงพ่อพุทธทาส กล่าวว่า การปฏิบัติวิปลาสนั้นต้องมีการกระทำที่ถูกต้องที่สุด ความถูกต้อง คือไม่มีปัญหา วิปัสสนาจึงจะไม่ล้มเหลว พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ได้เคยแก้อาการบ้าให้ลูกศิษย์เพราะ สัญญาวิปลาส ส่วนที่แก้ไม่ได้เพราะมีเช้ือบ้าแต่กำเนิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แนะนำว่าอย่าหลงเชื่อนิมิต จะเป็นบ้าได้ หลวงปู่ดุล อตุโล กล่าวว่าวิปัสสนูปกิเลสมีอำนาจทำให้น้อมใจเชื่ออย่างรุนแรงโดยไม่เท่ากัน เป็นการสำคัญผดิ อาการทเี่ กิดจากวปิ ัสสนูปกิเลสจะคลา้ ยคลึงคนบ้า แต่เป็นเพยี งสติวกิ ลเพราะจติ ตง้ั มน่ั อยู่ กับอารมณ์ภายนอก สตคิ ุมไมท่ ัน การทีผ่ ู้ปฏิบตั เิ ป็นวิปลาสนั้น เขาเหน็ จริง แต่สิ่งท่เี ห็นนน้ั ไม่จรงิ หลวงปู่ฝ่ัน อาจาโร กล่าวว่า กิเลสปรุงหลอกให้หลงวิปัสสนูปกิเลส เป็นเหตุให้เกิดสัญญาวิปลาส ความเห็น คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หลวงพ่อชา สุภัทโท กล่าวว่าการหลงระเริงกับอิทธิปาฏิหาริย์ผิด วตั ถุประสงค์ของการปฏิบัติกรรมฐานจะเป็นบ้าได้ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย กล่าวว่านิมิตเป็นมโนภาพที่จิตเรา สร้างข้ึนหากเราเข้าใจผิดว่าเป็นผู้วิเศษ ก็จะน้อมให้ตัวเองกลายเป็นคนทรงผี เม่ือเกิดวิปลาสแก้ไขได้โดย ต้องให้ครูผู้สอนเป็นคนแก้ไข ถ้าไม่มีครูต้องหาผู้ทรงภูมิธรรมแก้ไขหรือหยุดภาวนาไป พระอาจารย์พล ยโสธโร กลา่ วว่าผ้ปู ฏิบัติแล้ววิปลาสมีพื้นฐานจติ เดิมชอบเรอ่ื งอทิ ธิฤทธ์ิ มักเป็นผู้อา่ นมากมีความร้มู าก แก้ไข โดยอย่าตามนิมิต หาครูผู้ชำนาญแก้ไขให้ถูกจุด และหยุดทำกรรมฐาน ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ กล่าวว่าความคลาดเคล่ือนความแปรปรวนไปจากสภาวะความเป็นจริงมี ๒ ลักษณะ ได้แก่ สัญญาวิปลาส คอื จำผิด สำคัญผิด จากบญั ญตั เิ ป็นปรมัตถ์ ปรมตั ถ์เป็นบญั ญัติ ผดิ เปน็ ถูก ถกู เป็นผิด จริงเป็นปลอม ปลอม

ภาคผนวก ๙๐ เป็นจริง และ สติวปิ ลาส คือสติสำคัญไปตามสัญญา หลวงพ่อสุเมโธ กล่าวว่าถ้าผู้ปฏิบัติกรรมฐานเป็นเพียงคิดและเช่ือตนเองหรืออวดดี ก็จะทำให้ เปน็ บ้าได้ ต้องรู้เทา่ ทนั ภาพนิมิต พระอาจารยป์ สันโน กล่าววา่ วิปลาสตามภาษาบาลี คอื ทุกคนวปิ ลาสหมด วิปลาสตามภาษาไทยคือบ้า ไม่เต็มเต็ง ถ้าปฏิบัติธรรมควรแก่ธรรม ไม่เป็นบ้า เป็นบ้าเพราะยึดความเห็น และอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง จึงฟุ้งซ่านตามความคิด ต้องการความสำเร็จเกินไป ไม่คำนึงถึงความริง และความสามารถของตนเอง ไม่ยอมรับความเปน็ จริง ผลักดันตัวเองอย่างไม่สมดลุ พระอาจารย์อมโรกล่าว ว่าวิปลาสเพราะโมหะแตล่ ะบุคคลตา่ งกัน ทำสมาธิปฏบิ ัติกรรมฐานควรมีการตรวจสอบโดยครูอาจารย์ ต้อง ปฏบิ ัตกิ รรมฐานด้วยปัญญา พระอาจารยถ์ ิรธัมโม กล่าวว่าวิปลาสเพราะทำกรรมฐานไม่ถกู ตอ้ งผดิ ธรรมชาติ ความเข้าใจเร่ืองโลกความจริงกบั โลกจนิ ตนาการไมส่ มดุล พระอาจารย์ญาณธมั โม กล่าวว่าปฏิบัตกิ รรมฐาน แล้ววิปลาส เพราะอาจจะมีกรรมพันธุ์ทางโรคจิตอยู่ หรือมีอุปาทานยึดม่ันความคิดตน หลงนิมิตไม่เชื่อครู อาจารย์ คนฟุ้งซ่านหลงอารมณ์เกิดวปิ ลาสได้ง่าย หลวงพ่อธี วิจิตตธมั โม กล่าววา่ เพราะความเห็นผดิ ทำให้ คลาดเคล่อื นไม่ตรงกับความจริง ยึดสมมตหิ รือบญั ญัตวิ า่ จริง ไดแ้ ก่ เหน็ ผดิ ว่าเปน็ ตัวตนของเรา พิจารณาผิด วา่ เปน็ ตัวตนของเรา เพยี รพยายามผิดและระลึกรู้สกึ ผดิ ทาง วปิ ลาสทเี่ กดิ ขึน้ ในการปฏบิ ัติกรรมฐานในวิถีตะวนั ตก การปฏิบัติทางจิตวิญญาณได้เริ่มแพร่หลายไปในหมู่ชาวตะวันตกราวปลายศตวรรษท่ี ๑๙ ประมาณ ค.ศ. ๑๙๖๐ จึงเร่ิมมาได้ราว ๔๐ ปี (ในขณะที่ชาวตะวันออกรู้จักกันมาเป็นเวลา ๕.๐๐๐ ปีแล้ว) จากงานวิจัยหลายชิ้นท่ีอ้างถึงวิปลาสท่ีเกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานในวิถีตันตกน้ันมีทัศนะต่อการปฏิบัติ กรรมฐาน ที่ผู้วิจัยพอจะสรุปวิเคราะห์ออกมาได้เป็น ๓ แนวคิด คือ แนวคิดแรกเห็นว่าการปฏิบัตกิ รรมฐาน เป็นประโยชน์ล้วนๆ ต่อสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ แนวคิดทีส่ องเห็นว่าการปฏิบัติกรรมฐานเปน็ โทษต่อ สภาพร่างกายและสภาพจิตใจ การบำบัดรักษาและสังคม แนวคิดสุดท้ายเห็นว่าการปฏิบัติกรรมฐานเป็น ประโยชนแ์ ต่กม็ ีผลโทษเกิดขน้ึ ได้ ชาวตะวันตกที่ต้องประสบอาการวิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐาน มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและมี รายละเอียดผสมผสานสิ่งต่างๆ มากขึ้นกว่าชาวตะวันออก ผู้วิจัยแยกวิเคราะห์ถึงสาเหตุอันเป็น ลักษณะเฉพาะของชาวตะวันตก ๔ ลักษณะ ประการแรก การมีรูปแบบการฝึกปฏิบัติกรรมฐานที่ประยุกต์ ผสมผสานหลากหลายวิธีการและหลากหลายลัทธิศาสนาจากทั้งศาสนาตะ วันออกและศาสนาตะวันตก ดังเช่น การปฏบิ ัติแบบคริสเตียนเซน ยวิ เซน ฮินดูเซน เป็นต้น ประการท่ีสอง อุปนิสัยของชาวตะวันตกการ มีวิถีชีวิตท่ีต้องด้ินรนเพ่ือความอยู่รอดของตนเองเป็นอันดับแรกมาต้ังแต่ในอดีตจนเคยชิน ซึ่งไม่สอดคล้อง กับวถิ ีชีวติ และวัฒนธรรมศาสนาตะวันออก ทำให้ชาวตะวันตกยึดตวั เองเป็นศูนย์กลาง มีวฒั นธรรมดั้งเดมิ ท่ี สนับสนุนความคิด รวมถึงขาดการอธบิ ายทางจิตวิญญาณ ประการที่สาม ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ได้ให้คณุ ค่า การปฏิบัตกิ รรมฐานเพยี งเพ่ือบำบัดรักษาใหต้ นเองมสี ุขภาพดเี ทา่ น้นั การปฏิบัตกิ รรมฐานจึงมคี ุณคา่ ด้อยลง ไปจากคุณค่าเดิมในทางตะวันออก ทัศนคติดั้งเดิมส่งเสริมให้มีความคิดเช่นนี้ ความคิดเช่นน้ีย่ิงส่งเสริมให้ ชาวตะวันตกยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลางมากย่ิงข้ึน คือมีอัตตาตัวตน ซึ่งขัดกับเป้าหมายหลักของศาสนา ตะวันออกในการละวางตัวตน ประการสุดท้าย การปฏิบัติกรรมฐานในวิถีตะวันตกมักเป็นไปในเชิงธุรกิจ หรือไม่ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย จึงไม่สามารถเข้าถึงจิตใจได้ลึกซ้ึงไร้ข้อจำกัดเหมือนการปฏิบัติกรรมฐานในวิถี ตะวันออก ซ่ึงให้เปล่าโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำให้เกิดความสัมพันธ์และความรู้สึกท่ีดีงาม ไว้วางใจกัน ให้ ความเคารพได้อย่างเต็มที่ระหว่างผู้สอนและผู้เข้ารับการอบรม ปัจจัยเสริมท่ีทำให้เกิดอาการวิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐาน ตามความคิดของชาวตะวันตกท่ี ค้นพบจากงานวิจัยก็คือ การกนิ น้อย นอนน้อย ความเครียดในการพยายามฝึก ซ่ึงพบในคอร์สการฝึกอบรม

ภาคผนวก ๙๑ กรรมฐานเร่งรัด ทำให้เกิดภาพหลอน หูแว่ว และอ่ืนๆ (นิมิต) ซึ่งชาวตะวันตกมองว่าเป็นอาการโรคทางจิต ส่วนทางตะวันออกมองนิมิตเป็นเร่ืองธรรมดาในการปฏิบัติกรรมฐานแต่การยึดติดเป็นวิปลาส ในทางจิต ศาสตรส์ ากลของตะวนั ตกมคี วามเหน็ ว่า อาการวปิ ลาสที่เกดิ ขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานวา่ อาจจะเปน็ โรคจิต ระยะสั้น โรคไบโพลาร์ (โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว) โรคคล้ายโรคจิตเภท และโรคจิตเภท ในปี ค.ศ. ๑๙๘๐ จึงได้มกี ารจดั ต้ังเครือข่ายเหตุฉุกเฉินทางจิตวิญญาณ (The Spiritual Emergency Network เรียก ย่อๆ ว่า SEN) เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ท่ีประสบปัญหาโรคทางจิต ที่เก่ียวเนื่องกับการฝึกปฏิบัติหรือ ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ และจากงานวิจัยเรอ่ื งสมาธิทำใหเ้ กิดโรคจิต ได้นำเสนอเก่ียวกับอาการวิปลาส ในการปฏิบัติกรรมฐานเข้าข่ายกับอาการที่เรียกว่าโรคจิตเฉียบพลัน (Acute and Transient Psychotic Disorder) ตามมาตรฐานการจำแนกโรคทางจิตเวสากลระบบ ICD 10 หรือเรียกกันว่า โรคจิตระยะส้ัน (Brief Psychotic Disorder)ตามระบบ DSM-IV ซ่ึงมีลักษณะของโรคจิตท่ีเกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว มักเป็น หลังจากประสบเหตุการณ์กดดันรุนแรง ระยะเวลาของอาการอย่างน้อย ๑ วัน ไม่เกิน ๑ เดือน และผู้ป่วย จะหายเป็นปกติ ซ่ึงมักจะไม่ค่อยเป็นซ้ำ ถ้าเป็นซ้ำจะเป็นโรคไบโพลาร์ (Bipolar) และโรคจิตเภท (Schizophrenia) ส่วนโรคคล้ายโรคจิตเภท (Schizophrenia form Disorder) มีอาการคล้ายโรคจิตระยะ สนั้ แต่อาการของโรคเป็นนานกว่า ๑ เดือน ไม่เกิน ๖ เดือน ส่วนโรคจิตเภท (Schizophrenia Disorder) มี อาการของโรคนานกว่า ๖ เดือนข้ึนไป การดูแลรักษาผู้มีอาการโรคจิต คือ การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล การรกั ษาดว้ ยยา การรกั ษาดว้ ยจติ บำบัดและการรักษาดว้ ยไฟฟ้า การป้องกันอาการวิปลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานในวิถีตะวันตก คือการให้กรอก แบบสอบถามเรื่องประวัติสุขภาพทางกายและทางจิต คัดกรองผู้เข้าฝึกอบรม รวมถึงจัดการอย่างเป็น รูปธรรมเมือ่ มีเหตุฉุกเฉนิ ทางจิตขึ้น มกี ระบวนการขั้นตอนท่ีเปน็ นโยบายสำหรับครูผู้สอนและเจ้าหน้าที่ท่ีให้ การอบรม รวมถึงมีการเก่ียวข้องกับระบบของรัฐด้วย เช่น ถ้ามีอาการรุนแรงมากไม่สามารถท่ีจะจัดการได้ ตอ้ งเรยี กหนว่ ย ๙๑๑ (สำหรับประเทศสหรฐั อเมริกา) เปน็ ต้น วิปลาสทเ่ี กดิ ขน้ึ ในการปฏิบตั ิกรรมฐานจากกรณีศึกษา กรณีศึกษาผู้เคยมีประสบการณ์วิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐานมีท้ังหมด ๖ คน เป็นชาย ๓ คน เป็นหญิง ๓ คน เป็นนักบวช ๒ รูป เป็นฆราวาส ๔ คน ตอนที่เกิดอาการวิปลาสในช่วงอายุ ๑๙ -๔๗ ปี ปัจจุบันท่ีให้สัมภาษณ์ทุกคนผ่านพ้นอาการวิปลาสหายเป็นปกติดีมามากกว่า ๕ ปี ข้ึนไป กรณีศึกษา ๓ รายได้เกิดวิปลาสในการฝึกปฏิบัติกรรมฐานในคร้ังแรก และกรณีศึกษาอีก ๓ ราย เกิดวิปลาสเม่ือได้อบรม กรรมฐานมาแล้วหลายคร้ัง แรงจงู ใจท่ีทำให้มาปฏิบัติกรรมฐานของกรณีศึกษา คอื แรงจงู ใจจากความทุกข์ ทั้งกายและทางใจ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ถูกเพื่อนบังคับหรือข้อบังคับทางการศึกษา กรณีศึกษา ทุกคนมีความมุ่งหวังปฏิบัติกรรมฐาน คือ บรรลุธรรมเพ่ือพ้นจากความทุกข์ มุ่งหวังจะได้พบกับธรรมะของ พระพุทธเจ้า บางรายถูกการศึกษาบังคับไม่ได้หวังอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นคนทำอะไรแล้วตั้งใจจริง ทุกราย กรณีศกึ ษาตา่ งมุง่ ม่นั จรงิ จังกับการปฏิบัติกรรมฐาน จึงปฏบิ ัติกรรมฐานกันอย่างเครง่ ครดั ทุกกรณีศึกษาต่าง มุ่งม่ันจริงจังกับการปฏิบัติกรรมฐาน จึงปฏิบัติกรรมฐานกันอย่างเคร่งครัด ทุกกรณีศึกษาเกิดสภาวธรรมรู้ เห็นนิมิตต่างๆ ท่ีทางใจ ในความรู้สกึ ของกรณีศกึ ษาเหมือนเป็นการรบั รทู้ างกายสัมผัส ได้ยนิ เสียง เห็นภาพ ได้กลน่ิ และรู้ทางจติ ส่วนในคอร์สการฝึกอบรมกรรมฐาน กรณศี ึกษาทุกรายมงุ่ ม่ันปฏิบัติกรรมฐานเครง่ ครัด จนกลายเป็นเคร่งเครียด พักผ่อนน้อยกว่าที่ผู้จัดอบรมได้กำหนดรับประทานน้อย มักไม่พูดคุยกับใคร ก็มี ความมั่นใจตนเอง ไม่ฟังคำตักเตือนของครูผู้สอน บางคนไม่เข้าใจส่ิงที่ครูผู้สอนกล่าวบอกพร่ำเตือนต่อส่ิงที่ ได้รับรู้ เช่ือม่ันส่ิงท่ีตนรับรู้และมีพฤติกรรมคล้อยตามการรับรู้เหล่านั้น มีความสุขใจท้ังภูมิใจว่าตนเองเป็น บุคคลสำคัญหรือเปน็ ผู้บรรลธุ รรม

ภาคผนวก ๙๒ ส่งิ ที่ทำให้กรณีศึกษารู้ตัวว่าตนเองมีอาการวิปลาส กค็ ือ การกล่าวตักเตือนของครูอาจารย์ผ้สอน และกัลยาณมิตร ระยะแรกกรณีศึกษาไม่เชื่อจนกระท่ังทบทวนไตร่ตรองแล้วพิจารณาคำตักเตือนจึงมารู้ ภายหลัง วิธีน้ีตรงตามหลักธรรมที่นำไปสู่สัมมาทิฏฐิทางพระพุทธศาสนา คือ ปรโตโฆสะ เสียงกระตุ้นเตือน จากภายนอกและโยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคายจากภายใน คิดถูก คิดเป็น ผลกระทบของ อาการวิปลาสน้ันมีท้ังต่อตนเอง ต่อผู้อ่ืน และต่อสังคมรอบข้าง เช่น ครอบครัว ท่ีทำงาน เป็นต้น มากน้อย ตามระยะเวลาและความรุนแรงท่ีมีอาการวิปลาส สาเหตุของอาการวิปลาสของกรณีศึกษาได้แก่ ความ ต้องการตามระยะเวลาและความรุนแรงที่มีอาการวิปลาส สาเหตุของอาการวิปลาสของกรณีศึกษา ได้แก่ ความต้องการบรรลุธรรมอย่างความมีสมาธิ ศรัทธามากเกินไป แต่สติน้อย จึงทำให้ฟุ้งซ่าน จิตของ กรณีศึกษาสร้างจินตนาการขนึ้ เองเพราะมสี ติอ่อน ขาดความรู้และมคี วามกลัว เมื่อรู้ตัวว่ามีอาการวิปลาส กรณีศึกษาต้องเผชิญกับปัญหาท่ีตนประสบโดยการยอมรับสภาพ ความเป็นจริงที่ตนมีอาการวิปลาส บางรายปฏิเสธความจริงแต่ในท่ีสุดก็ต้องยอมรับ บางคนพยายามหา เหตุผลมาอธิบายสิ่งที่ประสบ ทุกคนไดห้ าที่ยึดเหน่ียวทางใจได้แก่ เพ่ือน พีน่ ้อง ภรรยาและบุตร บุคคลอ่ืนๆ ในครอบครัว ครูอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน บุคลากรทางการแพทย์ กรณีศึกษาได้ฟื้นตัวแก้ไขปัญหาวิปลาส ของตน ด้วยการอยูก่ ับปัจจุบันขณะ การใช้อิริยาบถที่ชัดเจนในการปฏิบตั ิกรรมฐาน เช่น การเดนิ จงกรม ใช้ ปัญญา และถ้าอาการยังไม่หาย ต้องถอยออกจากการปฏิบัติกรรมาน ในด้านสภาพร่างกายและจิ ตใจหลัง การฟ้ืนฟู ทกุ กรณีศึกษามสี ภาพร่างกายเป็นปกติ ส่วนสภาพจิตใจ กรณีศึกษาส่วนใหญ่สามารถฟ้ืนตัวได้เร็ว ในเวลาไม่ถึง ๑-๒ เดือน บางรายใช้เวลาราว ๑ ปี มีเพียง ๑ ราย ใชเ้ วลานานหลายปีในการฟนื้ ฟูรกั ษาตัวใน โรงพยาบาล ในท่ีสุดก็มาแก้ไขได้ด้วยอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานท่ีชำนาญ มีกรณีศึกษา ๔ รายกลับมาปฏิบัติ กรรมฐานได้อีก มีอยู่๑ รายได้เป็นวิปัสสนาจารย์ในเวลาต่อมา แต่อีก ๒รายไม่ได้กลับมาปฏิบัติกรรมฐาน เพราะคนในครอบครัวขอร้อง กรณีศกึ ษารายหน่ึงมีสามีนับถือศาสนาอื่น สว่ นอกี รายหน่ึงภรรยาและบุตรไม่ ต้องการให้กรณีศึกษาพบกับเหตุการณ์วิปลาสอีก แต่กรณีศึกษาทั้งสองรายที่ไม่ได้กลับมาปฏิบัติกรรมฐาน ยังคงมีศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา และยงั ตอ้ งการกลบั มาปฏิบตั กิ รรมฐานอกี เม่อื มโี อกาส คุณค่าจากประสบการณ์การปฏิบัติกรรมฐานของกรณีศึกษาช่วยให้กรณีศึกษาบางรายแก้ไขปม ขัดแยง้ ในใจช่วงวยั เด็ก ลดอารมณ์ฉุนเฉียวโกรธเคอื ง สามารถพิสูจน์ธรรมะคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า เกิด ความปีติสุขคลายทุกข์ ทำให้หายขาดและบรรเทาอาการเจ็บป่วยทางกาย รู้จักการให้อภัย ซาบซ้ึงในความ กตัญญูต่อบุพการี เห็นคุณค่าในสรรพสัตว์และธรรมชาติ เสรมิ สร้างความมีศีล ละเลิกอบายมขุ พัฒนาตนทั้ง ในทางโลกและทางธรรม กำหนดอารมณ์ได้ มีสติรู้ตัวมากขึ้น เขา้ ใจหลัก อนิจจัง ทุกขงั อนัตตา ส่วนคุณค่า จากประสบการณ์วิปลาสท่ีประสบกรณีศึกษารายที่ ๑ เห็นวา่ วิปลาสขวางกั้นการปฏิบัติธรรม แต่ก็สามารถ ช่วยเหลือคนท่ีกำลังประสบปัญหาวิปลาส เป็นกำลังใจช่วยให้มีทางออก เป็นตัวอย่างว่าแม้มีอาการวิปลาส แต่ก็กลับหายได้ กรณีศึกษารายท่ี ๒ ประสบการณ์วิปลาสทำให้ตนเองได้พิสูจน์คำสอนในพระพุทธศาสนา ช่วยสอนและแก้ไขคนอ่ืนๆ ได้ในฐานะวิปัสสนาจารย์ กรณีศึกษารายที่ ๓ กล่าวว่าวิปลาสทำให้เกิดความ เข้าใจเร่ืองการปฏิบัติกรรมฐานมากข้ึน สามารถแนะนำคนอ่ืนที่เข้าใจผิดได้ กรณีศึกษารายท่ี ๔ เป็นโอกาส ท่ีดีได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตอีกแบบหนึ่งซึ่งถือได้ว่าหนักที่สุดในชีวิต ทำให้เข้าใจว่าการปฏิบัติกรรมฐาน ต้องมีอาจารย์ผู้เช่ียวชาญและสามารถแนะนำได้อย่างถูกต้อง รวมถึงต้องรู้หลักปริยัติเพื่อจะปฏิบัติได้อย่าง ถูกต้อง กรณีศึกษารายที่ ๕ คิดว่าประสบการณ์ได้สอนวิถีแห่งการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาได้ละเอียด ลึกซ้ึง เข้าใจในหลักไตรลักษณ์ รั้กวางใจเป็นอุเบกขา เกิดพัฒนาการทางปฏิบัติเพิ่มข้ึน กรณีศึกษารายท่ี ๖ ทำใหเ้ ข้าใจหลักธรรมท่ีเรียนมา รจู้ ักอารมณ์ การกำหนด การมีสติมากยิ่งขนึ้ คำแนะนำของกรณีศึกษาส่วนมากจะเน้นว่า การปฏิบัติกรรมฐานต้องมีอาจารย์ผู้สอนที่ชำนาญ

ภาคผนวก ๙๓ และสอนถูกวธิ ี เพ่ือป้องกนั ไม่ให้ผปู้ ฏิบัติเกิดอาการวิปลาส หรือ ถ้าหากผู้ปฏิบตั ิเกิดอาการวปิ ลาสก็สามารถ แก้ไขได้ อีกทง้ั แนะนำว่าการปฏิบัติกรรมฐานไม่ต้องหวาดกลัวอาการวิปลาส ถ้าปฏิบัติถูกตอ้ งมีสติเทา่ ทันก็ จะไม่มีวิปลาส แต่ถึงพลาดพล้ังปฏิบัติผิดพลาดไปก็สามารถต้ังสติและแก้ไขกลับมาได้ ส่ิงที่สมควรกลัวคือ การไม่ปฏิบัติกรรมฐานมากกว่า เพราะจะทำให้พลาดโอกาสทด่ี ใี นชีวิตไป

ภาคผนวก ๙๔ รหัส ๑๖ – ๒๕๕๒ แบบบันทึกข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ ชอื่ วทิ ยานิพนธ์ การศึกษาอทุ ยัพพยญาณในการปฏบิ ัติวิปัสสนาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ เฉพาะกรณีการปฏบิ ตั ิวปิ สั สนาภาวนา ๗ เดอื น ผ้วู จิ ัย (The Study of Udayabbayanana in Vippassana in Accordance with the Four Foundations of ปริญญา Mindfulness : A case Study of the seven month Vipassanabhavana Practice) ปี รุจาภา ธงปล้มื จติ ร วตั ถุประสงค์ พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวปิ ัสสนาภาวนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ๒๕๕๒ การทบทวน ๑. เพือ่ ศึกษาหลกั ปฏบิ ัตวิ ปิ สั สนาภาวนาตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ ปรากฏในคมั ภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาท เอกสารและ ๒. เพ่ือศึกษาลักษณะ อุทยัพพยญาณ อันเป็นญาณท่ี ๔ ในโสฬสญาณที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา งานวิจยั ที่ เกยี่ วขอ้ ง เถรวาท ๓. เพื่อศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเฉพาะกรณีนางรุจาภา ธงปลื้มจิตร นิสิตหลักสูตรปริญญาพุทธ นิยามศัพท์ ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตบางฬีศกึ ษาพทุ ธโฆส จังหวัดนครปฐม ๑. หลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ความหมายวิปัสสนาภาวนา (วิปัสสนา ตามหลักสัททนัย วิปัสสนา ตามหลักอัตถนัย ภาวนา ตามหลักสัททนัย การเจริญวิปัสสนา ๓ นัย ธรรมอันเป็นปัจจัยให้เข้าถึง วิปัสสนาญาณ ) วิปัสสนาภูมิ ๖ (ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจจ์ ๔ ปฏิจจสมุป บาท) แนวปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนาโดยมีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ๒. อุทยัพพยญาณในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ ความหมายอุทยัพพยญาณ (ตามหลัก สัทท นัย ตามหลักอัตถนัย สภาวะลักษณะ) อุทยัพพยญาณ (ตรุณอุทยัพพยญาณ (การดับของขันธ์ ๕ การ เหน็ รปู นามโดยปัจจยั และขณะ ผ้เู รม่ิ เหน็ แจง้ อุทยพั พยญาณ วิปสสนปู กิเลส)พลวอทุ ยัพพยญาณ ๓. การปฏิบัติวิปัสสนาเฉพาะกรณีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน ได้แก่ หลักสติปัฏฐาน ๔ (สติปัฏ ฐาน ๔ ตามสัททนัย สติปัฏฐาน ๔ ตามอัตตนัย ) การปฏิบัติแบบพองยุบ คำแนะนำจากวิปัสสนา จารย์ สภาวะอารมณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ และการถามตอบสอบอารมณ์ ๑. วิปัสสนา แยกได้ ๒ บท คือ วิ บทหน่ึง กับ ปัสสนา บทหนึ่ง (วิเสเสน ปสฺสตีติวิปสฺสนา) แปลว่า เพ่ง โดยวิเศษหรืออาการวิเศษ ต้องอาศัย ปรมัติถ์ คือ อารมณ์รูปและนามท้ัง ๒ โดย อนิจจฺ ํ ทุกขํ อนตฺตา วปิ สั สนา เป็นช่อื ของปญั ญา ปญั ญาทเ่ี หน็ สภาวธรรมตา่ งๆ ของรปู นามหรอื ขนั ธ์ ๕ เป็นไตรลกั ษณ์ ๒. ภาวนา หมายถงึ การเจรญิ การทำให้มขี ึ้น ให้เกิดขึ้น ๓. สติปัฏฐาน ๔ เป็นศัพท์สมาสที่มาจากศัพท์ ๒ ศัพท์ คือ สติ + ปัฏฐาน “สติ” (สรหิ-สายํ+ติ) ความ รู้สึกตัว ความระลึกได้ ความรู้สึกตัวท่ีเบียดเบียนความประมาทช่ือว่า “สติ” “ปทฎฺฐาน (ปท+ ฐาน)” เหตุใกล้ผล ปทานํ เหตูนํ ฐานํ ปทฐานํ ที่ต้ังของเหตุ ช่ือวา่ “ปทฏั ฐาน” ๔. สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ธรรมเป็นที่ต้ังของสติ ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน เป็นธรรมท่ีมีอุปการะทุก ระดับเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยมีองค์ธรรมท่ีสำคัญประกอบร่วมกับสติ คือ อาตาปี สัมปชาโน คอื ให้ มคี วามเพียร มสี ัมปชัญญะ มสี ติ ที่จะระลึกไปตามฐานทงั้ ๔ คอื กาย เวทนา จิต และธรรม ๕. อุทยัพพยญาณ เป็นชื่อของญาณที่ ๔ ในโสฬสญาณ หมายถึงปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ญาณทีเ่ ป็นไปด้วยอำนาจการพจิ ารณาการเกิดข้ึนและดับไปแห่งสังขารทงั้ หลาย ๒ อย่างคือ - ตรุณอุทยพั พยญาณ คือ อุทยัพพญาณอย่างอ่อนท่ยี ังมีวิปัสสนูปกิเลสเกิดปะปนอยู่ เรียกว่า

ภาคผนวก ๙๕ วิธีดำเนนิ งาน มคั คามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ คอื อยูร่ ะหว่างการวนิ จิ ฉยั ว่าทางหรอื มิใช่ทาง วจิ ยั - พลวอุทยัพพญาณ คือ อุทยัพพยญาณอย่างแก่ คือ ปัญญาท่ีเห็นความเกิดดับของรูปนาม รวบรวมขอ้ มูล ผ่าน วปิ สั สนูปกิเลส ๑๐ไปได้ ดำเนินไปตามมคั คปฏปิ ทาโดยตรง ๖. สภาวธรรม แปลตามศัพท์ว่า ความเป็นเอง ความเกิดข้ึนเอง การปรากฏข้ึนเอง เช่นสภาวะลักษณะ การวิเคราะห์ สรปุ ผลการวจิ ัย หมายถึง ลักษณะท่ีเป็นเอง เกิดเองตามธรรมชาติของสิ่งน้ันๆ ในการปฏิบัติกรรมฐาน ซ่ึงหมายถึง สภาวะหรือปรากฎการณ์ซ่ึงเกิดข้ึนภายในกายและจิตของโยคีผู้ปฏิบัติขณะน่ังกำหนดหรือขณะเดิน จงกรมโดยมีจติ เปน็ สมาธิ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเน้นการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และ เขา้ ปฏิบัตวิ ิปสั สนาเปน็ เวลา ๗ เดือน ข้ันตอนดังนี้ (๑) ศึกษาหลกั ปฏบิ ัตวิ ิปัสสนาภาวนาตามหลักสตปิ ัฎฐาน ๔ ท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ พระไตรปฎิ ก อรรถถาฎีกา และปกรณ์วเิ สสอน่ื ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง (๒) ผลการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผู้ศึกษาได้เก็บข้อมูลจากการบันทึกสภาวธรรมต่างๆ ท่ีปรากฏขึ้นใน ระหว่างการปฏิบตั ิจรงิ อย่างละเอียด จากนัน้ จงึ นำข้อมูลมาวิเคราะห์อุทยพั พยญาณ สรุปผลความสัมพันธข์ อง หมวดธรรม ข้ันตอนการพิจารณาสภาวธรรม แล้วนำมาเรียบเรียงบรรยายเชิงพรรณนา (๓) การใช้เวลาใน การปฏิบัติย่างต่อเน่ือง ๗ เดือน เริ่มต้ังแต่วันท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ รวมระยะเวลา ๒๑๐ วัน ณ ศนู ย์ปฏิบัติธรรม ธรรมโมลี ต.หนองนำ้ แดง อ.ปากชอ่ ง จ.นครราชสมี า ๑. การกำหนดประเด็นในการศึกษาและการวิจัยเอกสารโดยศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา เอกสารตำรา และรายงานการวิจัยต่างๆ และ เข้าปฏิบัติธรรม ๗ เดือน สอบอารมณ์ ฟังธรรมบรรยาย บันทึกเก็บ รวบรวมขอ้ มลู ๒. การเก็บข้อมูลในการเข้าปฏิบตั ิวิปสั สนาภาวนา ๗ เดือน เรม่ิ ตั้งแต่วนั ที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึง วันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมระยะเวลา ๒๑๐ วนั ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมโมลี ต.หนองน้ำแดง อ. ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยมี สะยาดอ ภัททันตะวโิ รจนะ เป็นพระวิปสั สนาจารย์ควบคุมการปฏบิ ัติ ผู้ ศกึ ษาได้บนั ทกึ สภาวธรรมและการแก้ไขปรบั อินทรียต์ ามคำแนะนำของวิปสั สนาจารย์ ๓. วิเคราะห์เน้ือหาของอุทยัพพยญาณและหลักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามท่ีปรากฏในคัมภีร์ พระพทุ ธศาสนาเถรวาท คอื คมั ภีรพ์ ระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎกี า และปกรณ์อน่ื ๆ ท่เี กย่ี วข้อง ๔. วิเคราะห์จากการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน ของผู้ศึกษาเอง โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกสภาวธรรมประจำวัน เพ่ือบันทึกสภาวธรรมท่ีปรากฏตามความเป็นจริงในทุกๆ บัลลังกี่ ปฏบิ ัติ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลจากการบันทึก วิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) จากข้อมูลเชิงเอกสาร และ ข้อมลู จากการบันทึกผลการปฏบิ ตั วิ ิปัสสนาตามหลักสถิติปฏั ฐาน ๔ (๑) หลักการปฏบิ ตั วิ ิปสั สนาภาวนา สตปิ ัฏฐาน ๔ เป็นพุทธวจนะท่ีพระพุทธองคท์ รงตรัสเกยี่ วกบั ปฏิปทา หรือแนวทางฝึกฝนจิตเพ่ือประจักษ์แจ้งอริยสัจธรรม อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาน้ัน มี ความเป็นระบบ ท้ังมีเนื้อหาสาระกว้างครอบคลุมพุทธธรรมไว้ท้ังหมด คือ หมวดศีล หมวดสมาธิ และ หมวดปัญญา ทรงวางลำดับแห่งสติปัญญาไว้จากหยาบไปละเอียด คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ทุก หมวดธรรมแห่งหลักธรรม มีความสัมพันธ์กับอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติ และเนื้อหาในแต่ละหมวดนั้น ก็ จดั ลำดับจากหยาบไปสู่ละเอียดเชน่ กนั (๒) สภาวธรรมของอุทยัพพยญาณ จิต รู้อารมณ์ ท้ังท่ีเป็นปรมัตถ์และบัญญัติ มีสติ ระลึกรู้สภาวะ ลกั ษณะและอาการของนามและรูป รู้ความเกิดขึ้น ของนามรปู ในปัจจยปริคหญาณ รคู้ วามดับของนาม รูปในสมสนญาณและความรู้เกิดขึ้นและดับไปของนามรูปในปัจจุบันชัดเจนว่า ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็น

ภาคผนวก ๙๖ อนัตตา ส่ิงที่ปิดบังไตรลกั ษณ์ คือสันสติ ไดถ้ ูกทำลายลงแล้วซึ่งการรับร้สู ภาวะลักษณะและอาการที่เป็น ลำดับเช่นน้ี เรียกว่า อุทยัพพยญาณ ด้วยเหตุน้ี อุทยัพพยญาณจึงเป็นญาณหรือปัญญาที่สำคัญของ ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ อันเปน็ หนทางปฏบิ ัติท่ใี หถ้ งึ ความบรสิ ทุ ธ์ิของปญั ญา ดังน้ันการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็คือ การเจริญสติอันเป็นเหตุของการเกิดปัญญาอันได้แก่ การเฝ้าสังเกต ปรากฏการณ์ของรูปและนาม โดยการใชจ้ ิตที่เป็นธรรมชาติ ในขณะที่เรากำหนดรู้แล้วเกิดรู้ตัวว่า กำลัง จงใจกำหนดรู้ ขณะน้ันการกำหนดรู้จะดับไปจะเกิดสภาวะของความรู้ข้ึนมาแทนท่ี (ระลึกรู้) ถึง สภาวธรรมท่ีกำลงั ปรากฏตามความเป็นจริงของธรรมชาตธิ รรมดาที่มีอยูใ่ นตนอันได้แก่ ขนั ธ์๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อริยสัจ ๔ ปฎิจจสมุปบาท ๑๒ โดยให้มีสติเป็นประธานด้วยการกระทำไว้ในใจโดยอุบาย อันแยบคายถงึ ส่ิงที่เกิดข้ึนและดบั ไปของสภาวธรรมนัน้ ๆ (๓) การปฏบิ ัตเิ ฉพาะกรณี ๗ เดือน การปฏิบตั ิวปิ ัสสนา มีผลจริง ในลักษณะของการลงมือปฏิบัติตามหลัก สติปัฏฐาน ๔ ต้องเอารูปและนามทั้ง ๒ มาเป็นอารมณ์โดยการเจริญสติไปในกาย เวทนา จิตและธรรม ซ่งึ ผลของการเจริญสตินี้ ประโยชน์ท่ีได้รับ สามารถนำมาใช้ในการดำเนนิ ชีวิตประจำวนั กับสถานการณ์ ปัจจบุ ันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล คำแนะนำจากวปิ ัสสนาจารย์ ในระหวา่ งท่ีปฏิบตั ินัน้ ส่ิง ท่คี ิดไม่ถงึ หรือส่ิงท่ีเราคิดว่าเป็นไปไม่ได้นน้ั ปรากฏข้นในตัวเรามาก ในบางครัง้ มสี ภาวะทน่ี ่ากลวั เกดิ ข้ึน กล่าวคือ มีเสียงดังคล้ายระเบิดแล้วแตกกระจายบริเวณท่ีหูข้างซ้ายดังสน่ันล่ันท่ัวทั้งศรีษะ ทำให้ตกใจ และสงสัยว่าเราป่วยเปน็ อะไรหรอื เปล่า แต่ได้รับคำแนะนำจากทา่ นสะยาดอวา่ ให้กำหนดทุกอย่างท่จี ิต เข้าไปรับรู้ไม่ว่าสภาวะที่เกิดขึ้นน้ันจะเป็นสภาวะสุข สภาวะท่ีทุกข์ หรือสภาวะที่เฉยๆ ก็ตาม พอใจ หรือไม่พอใจก็ตาม จะดีใจหรือเสียใจก็ตาม จะตกใจกลัวก็ตาม ต้องกำหนดให้ทันต่อสภาวะน้ันจะลังเล หรือสงสัยต้องกำหนดอยู่กับสภาวะปัจจุบัน และผลจากการท่ีกำหนดอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้จิตต้ังมั่น ร้เู ท่าทนั กับสภาวะท่เี กิดข้นึ เปลีย่ นเปน็ ความเบาสบายของจิต


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook