๒๘๖ พระจิตตพัฒน์ โสภณปญฺโ ญ (กิจจาณัฏฐ์),“ศึกษาปรากฏการณ์ของโอภาสในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔) พระครูปริยัติกาญจนโชติ (มานิตย์ ธมฺมโชโต), “ศึกษาจิตตวิสุทธิในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา”, วทิ ยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๕๔) พระครูปลัดศุภชัย ปริชาโน (ฉัตรคู่), “อธิโมกข์ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติ ปัฏฐาน ๔” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔) พระพงษ์สิทธ์ พาหิโย (เทพอารีนันท์), “ศึกษาหลักธรรมในอนุปทสูตรกับการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔) พระมหาณัชพล พนฺธ ญาโณ (นราวงษ์), “ศึกษาวิเคราะห์อุเบกขาในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาตามแนวสตปิ ัฏฐาน ๔”,วทิ ยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ , (บัณฑติ วิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔) พระมหาญาณทัสน์ ฉฬภิญฺโ ญ (วงศ์กำภู),“ศึกษาสภาวะรูปนามในการปฏิบัติในหมวด สัมปชัญญะบรรพ ในสติปัฏฐานสูตร”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔) พระมานัส โสภณจติ ฺโต (ชอบมี), “ศึกษาการกำหนดรูปนามทางวญิ ญาณ ๖ ในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา” , วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔), พระครปู ลัดสุนทร สุนทฺ โร (แซ่เตยี ว), “ศึกษาหลักปฏิบัติวปิ ัสสนาภาวนาแบบพอง–ยุบตาม แนวการปฏิบัติของพระโสภณมหาเถระ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔) พระมหาสามารถ อธิจิตฺโต (มนัส), “ศึกษาการบรรลุธรรมด้วยการเจริญอานาปานสติใน คมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท”,วิทยานพิ นธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔) พระครูพิศิษฏ์ชัยโชติ (สำรวย โชติวโร),“ศึกษาวิริยะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔)
๒๘๗ พระครูสมุห์เกดิ ปญุ ฺ กาโม (ดานขุนทด), “ศกึ ษาเวทนาในการปฏบิ ตั ิวิปสั สนาภาวนาตาม หลักสติปัฏฐาน ๔”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔) บุญเรือง ทิพพอาสน์,“ศึกษาการสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางของโคเอ็นก้ากับ พระไตรปิฎก”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณ ฑิต,(บัณ ฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔) พลกฤษณ์ โชติศิริรัตน์, “การศึกษาวิเคราะห์การรักษาโรคด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐานตาม แนวทางของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิจธมฺโม)” ,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔) สุเมธ โสฬศ, “การศึกษาเคร่ืองมือจำแนกจริตท่ีเหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐาน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔) กัมปนาท พุทธปวรางกูร,“ศึกษาธัมมนานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท” , วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔) พยุง พุ่มพวง, “ศึกษาปัญญาเจตสิกกับการพัฒนาสัมปชัญญะในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๔) พระวงศ์แก้ว วราโภ (เกสร), “การศึกษาเปรียบเทียบการปฏิบัติกรรมฐานของพระ โพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) กับพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)”, วิทยานิพนธ์ พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ , (บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔) พระมหาอาคม สุมงฺคโล (คุณสถิต), “ศึกษาหลักการเจริญจตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภีร์ พุทธศาสนาเถรวาท”วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕) พ ระศ รศัก ดิ์ สงฺวโร (แส งธง ),“ก ารวิเค ราะห์ จ ริต ๖ กับ ก ารป ฏิ บั ติ ธ รรม ใน พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕) พระอนุชา อนุชาโต (นามจันทร)์ , “การเจริญเวทนานุปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร วาท”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๕๕)
๒๘๘ พระครูสุวรรณ (สมจิตต์ คุ้มสมบัติ),“ศึกษาปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรมใน พระพุทธศาสนาเถรวาท” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕) พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสสฺ ี (โอฐสู), “การสร้างตัวช้ีวดั เพ่ือวิเคราะห์อินทรยี ์ ๕ เปรียบเทียบ กับญ าณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน” , วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕) ทศพร เหลืองขาบทอง, “ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนากับการบำบัดเยียวยารักษาโรค”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕) อรภัคภา ทองกระจ่างเนตร,“การศึกษาวิเคราะห์สมาธิกับการบรรลุธรรมใน พระพุทธศาสนา” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๕) อุทัย สติมั่น, “การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศ ไทย”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๕) เสถียร ท่ังทองมะดัน, “สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕) ภทั รนิธิ์ วิสุทธิศ์ กั ด์ิ, “รปู แบบผสมผสานการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๕๕)
๒๘๙ ช่ือ-สกลุ ประวตั ผิ ู้วิจยั ทอ่ี ยูป่ ัจจุบนั นางสาวสรญั ญา โชติรตั น์ Miss . Saranyar Chotirat ประวตั ิการศึกษา เกิดวันจนั ทร์ท่ี ๒๒ มิถนุ ายน ๒๕๑๓ จงั หวดั ลำปาง ปี ๒๕๒๖ บา้ นเลขท่ี ๔๕ หมู่ ๓ ถนนเทศบาล ๖/๖ ตำบลหนองมว่ งไข่ ปี ๒๕๓๐ อำเภอหนองมว่ งไข่ จงั หวัดแพร่ ๕๔๑๗๐ ปี ๒๕๓๖ ระดบั ประถมศึกษา ๑-๖ โรงเรยี นไตรภพวทิ ยา จังหวดั ลำปาง ปี ๒๕๓๙ ระดบั มธั ยมศึกษา ๑-๖ โรงเรยี นลำปางกัลยาณี จงั หวดั ลำปาง ระดับปรญิ ญาตรี ศลิ ปศาสตรบัณฑติ (ศศ.บ.) ปี ๒๕๕๐ มหาวิทยาลยั รามคำแหง ระดับปรญิ ญาโท พฒั นบริหารศาสตรมหาบัณฑิต (พบ.ม.) สถาบนั บัณฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์ ระดบั ปริญญาตรี นิตศิ าสตรบณั ฑิต (น.บ.) มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ประวตั ิการทำงาน ตำแหนง่ เจ้าหน้าทบ่ี รหิ ารงานทั่วไป ระดบั ๔ ปี ๒๕๓๙-๒๕๔๐ งานโครงการจัดต้งั วิทยาเขตชุมพร สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจ้าคณุ ทหารลาดกระบัง ปี ๒๕๔๐-๒๕๔๕ ตำแหนง่ เจ้าหน้าทีว่ เิ คราะห์นโยบายและแผน ระดบั ๕-๖ ปี ๒๕๔๖ ถึง ปัจจุบัน งานวิจัยสถาบัน กองแผนงาน มหาวทิ ยาลัยแมโ่ จ้ จังหวัดเชียงใหม่ ตำแหนง่ นักวจิ ยั ชำนาญการ E-mail งานวิจยั มหาวิทยาลยั แม่โจ้-แพรเ่ ฉลมิ พระเกยี รติ Line ID ตำบลแม่ทราย อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ Facebook โทรศัพท์ ๐๘๒-๑๙๕-๖๖๕๕ : [email protected] : [email protected] : saranyarchotirat : Bar Bar
ภาคผนวก ๑ ภาคผนวก ขอ้ มูลการบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ จำนวน ๕๕ เรือ่ ง
ภาคผนวก ๒ รหัสแบบบันทึกและรายช่ือวทิ ยานิพนธข์ องมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เรอื่ งมหาสติปัฏฐาน ๔ ระหว่างปี ๒๕๔๐-๒๕๕๕ (๑๕ ปี) นำมาสังเคราะห์จำนวน ๕๕ เล่ม รหัสแบบ ปี ชื่อผวู้ ิจยั ชื่อวิทยานพิ นธ์ บันทกึ ๑/๔๒ ๒๕๔๒ พระมหาอำนวย อานนฺโท ๑. การศกึ ษาเรื่องการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถร ๒/๔๔ (จนั ทร์เปลง่ ) วาท ๓/๔๖ ๔/๔๖ ๒๕๔๔ พรรณราย รตั นไพฑูรย์ ๒. การศกึ ษาวธิ กี ารปฏบิ ตั ิกรรมฐานตามแนวสตปิ ฏั ฐาน ๔ ๕/๔๗ ๖/๔๘ : ศึกษาแนวสอนของพระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ๗/๔๘ ญาณสฺ ทิ ธิ) ๘/๔๙ ๙/๔๙ ๒๕๔๖ พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกขฺ ิโต ๓. ศึกษาเปรยี บเทยี บแนวทางการปฏบิ ัติกรรมฐานของ ๑๐/๔๙ (แสมแกว้ ) หลวงพอ่ เทยี น จิตฺตสโุ ภ และพุทธทาสภิกขุ ๑๑/๕๐ ๑๒/๕๑ ๒๕๔๖ อภิราษฎร์ ปรีชาจารย์ ๔. ศึกษาวเิ คราะห์ “สมถยานิกะ” ในการปฏบิ ัติกัมมัฎฐาน ๑๓/๕๑ อันมีกสณิ ๑๐ เป็นอารมณ์ ๑๔/๕๒ ๒๕๔๗ พระมหากฤช ญาณาวุโธ ๕. การศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธร์ ะหว่างญาณและ (ใจปลืม้ บุญ) ปญั ญาในพระพุทธศาสนา ๒๕๔๘ พระสมบัตร ฐติ ญาโณ ๖. ศกึ ษาเปรยี บเทียบหลักวปิ สั สนากัมมฎั ฐานใน (สขุ ประเสริฐ) พระไตรปิฎกและแนวปฏบิ ตั ิวปิ สั สนากมั มฎั ฐานวดั โพธิ์ บ้านโนนทัน. ๒๕๔๘ ฐิตริ ัตน์ รกั ษ์ใจตรง ๗. ศึกษาการใช้อานาปานสติภาวนาเพ่ือพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของเสถยี รธรรมสถาน ๒๕๔๙ เสนาะ ผดงุ ฉตั ร ๘. การศึกษาเชิงวิเคราะหอ์ านาปานัสสตกิ ถาในคัมภรี ์ ปฏิสัมภิทามรรค ๒๕๔๙ พชิ ญรัชต์ บุญช่วย ๙. การศกึ ษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใชห้ ลกั ไตรสิกขา ๒๕๔๙ อณวิ ชั ร์ เพชรนรรัตน์ ๑๐. การศึกษาวิเคราะห์ผลสมั ฤทธิใ์ นการปฏิบตั วิ ิปัสสนา กมั มัฏฐาน ตามแนวของมหาวิทยาลัยจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั ๒๕๕๐ ทศั นี วงศย์ นื ๑๑. ศกึ ษาวิเคราะห์การปฏิบัติกัมมฏั ฐานตามแนวกายคตา สตใิ นคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒๕๕๑ พระแสนปราชญ์ ฐติ สทโฺ ธ ๑๒. การศึกษาเชงิ วิเคราะหส์ ติปฏั ฐานกถา ในคมั ภรี ์ปฏิสภั ิทามรรค ๒๕๕๑ แมช่ รี ะววี รรณ ธมมจฺ ารินี ๑๓. การศกึ ษาสภาวญาณเบอ้ื งตน้ ของผ้เู ข้าปฏบิ ตั ิวิปัสสนา (งา่ นวิสุทธิพันธ)์ ตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วดั พระธาตุศรจี อมทอง วรวหิ าร ๒๕๕๒ พระปลดั พงคศ์ ักดิ์ ธมฺมวโร ๑๔. ศกึ ษาสังขารเุ ปกขาญาณในการปฏิบัตวิ ิปัสสนาตาม (อภยั โส) หลักสตปิ ฏั ฐาน ๔ เฉพาะกรณีการปฏบิ ัติวปิ ัสสนา ภาวนา ๗ เดือน
ภาคผนวก ๓ ๑๕/๕๒ ๒๕๕๒ ภาวนยี ์ บุญวรรณ ๑๕. การศกึ ษาอาการวิปลาสทเี่ กดิ ข้ึนในการปฏิบตั ิ กรรมฐาน ๑๖/๕๒ ๒๕๕๒ รุจาภา ธงปลื้มจิตร ๑๖. การศกึ ษาอทุ ยพั พญาณในการปฏบิ ัตวิ ปิ สั สนาตามหลัก สติปฏั ฐาน ๔ : เฉพาะกรณี การปฏิบัตวิ ปิ ัสสนาภาวนา ๗ เดือน ๑๗/๕๓ ๒๕๕๓ พระมหาสิงหห์ น สริ ินฺธโร ๑๗. ศกึ ษาวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างหลกั ปฏิบัติ (ฉิมพาลี) สมั ปชญั ญะในมหาสติปฏั ฐานสูตรกับวธิ ีการฝึกเจริญ ตามแนวของหลวงพอ่ เทยี น จิตตฺ สุโภ ๑๘/๕๓ ๒๕๕๓ พระทรัพยช์ ู มหาวีโร ๑๘. การศึกษาวธิ ีการเจริญสติในชวี ิตประจำวันตามแนวทาง (บญุ พิฬา) ของติช นัท ฮันท์ ๑๙/๕๓ ๒๕๕๓ พระสวุ รรณ สุวณโฺ ณ ๑๙. ศกึ ษาผลการเจริญตามแนวปฏิบตั ิของหลวงพอ่ เทยี น (เรอื งเดช) จติ ตฺ สุโภ : กรณีศกึ ษาผู้ปฏิบตั ิธรรมในสำนักปฏบิ ัติธรรม มหาสติปัฏฐาน ๔ บ้านเหลา่ โพนทอง ๒๐/๕๔ ๒๕๕๔ พระทนงศักดิ์ ปภาโต ๒๐. ศกึ ษารูปนามตามทป่ี รากฏในไตรลักษณ์ในการปฏิบตั ิ (ปิยะสขุ ) วปิ ัสสนาภาวนา ๒๑/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูสังฆรักษช์ ีพ ธมมเฺ ตโช (คู่ ๒๑. วเิ คราะหศ์ ีลเพอ่ื การบรรลธุ รรมในพระพุทธศาสนาเถร กระโทก) วาท ๒๒/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูนวิ ิฐสาธุวัตร ๒๒. ศึกษาการพัฒนาสตโิ ดยใชห้ ลักกายคตาสตใิ นคมั ภรี ์ (ทองล่ำ ยโสธโร) พระพุทธศาสนาเถรวาท ๒๓/๕๔ ๒๕๕๔ พระชัยพร จนทฺ วํโส ๒๓. ศกึ ษาศรทั ธาในการปฏิบตั ิวปิ ัสสนาภาวนา ตามแนว (จนั ทวงษ์) สติปฏั ฐาน ๔ ๒๔/๕๔ ๒๕๕๔ พระอำนาจ ขนตฺ ิโก ๒๔. ศึกษาอรยิ มรรค ในการปฏิบัติวิปัสสนา (ภาคาหาญ) ตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ ๒๕/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาพิสูตน์ จนฺทวํโส ๒๕. การศกึ ษาความสมั พันธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาท กับขนั ธ์ (พะนิรมั ย์) ๕ ในการ เจริญวิปสั สนาภาวนา ๒๖/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูพสิ ฐิ สรภาณ ๒๖. การศกึ ษาวิเคราะห์หลักการปฏบิ ตั ธิ รรม (นิรนั ดร์ ศิรริ ัตน์ ) ในภัทเทกรัตตสูตร ๒๗/๕๔ ๒๕๕๔ พระทรงยศ ยสธโร ๒๗. ศกึ ษาการปฏบิ ัตเิ พอ่ื บรรลมุ รรคผลในปณุ โณวาทสตู ร (ตง้ั จิตพทิ กั ษก์ ลุ ) ๒๘/๕๔ ๒๕๕๔ พระวรมน ขนตฺ ิโก ๒๘. ศกึ ษาสัมมัปปธาน ๔ อันเป็นองคแ์ ห่งการบรรลุธรรม (วัดถมุ า) ๒๙/๕๔ ๒๕๕๔ พระจติ ตพัฒน์ โสภณปญฺโ ญ ๒๙. ศึกษาปรากฏการณข์ องโอภาสในการปฏิบตั ิวิปัสสนา (กิจจาณฏั ฐ)์ ภาวนา ตามหลกั สตปิ ัฏฐาน ๔ ๓๐/๕๔ ๒๕๕๔ พระครปู รยิ ตั ิกาญจนโชติ ๓๐. ศึกษาจิตตวสิ ุทธิในการปฏิบัตวิ ิปสั สนาภาวนา (มานิตย์ ธมฺมโชโต) ๓๑/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูปลดั ศุภชัย ปรชิ าโน ๓๑. อธโิ มกขใ์ นการปฏิบตั วิ ปิ ัสสนาภาวนาตามหลกั สติปัฏ (ฉตั รค)ู่ ฐาน ๔
ภาคผนวก ๔ ๓๒/๕๔ ๒๕๕๔ พระพงษส์ ิทธ์ พาหิโย ๓๒. ศึกษาหลักธรรมในอนปุ ทสูตรกับการปฏิบัตวิ ิปสั สนา (เทพอารีนนั ท์) ภาวนา ๓๓/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาณัชพล พนธฺ ญาโณ ๓๓. ศึกษาวเิ คราะห์อเุ บกขาในการปฏิบัตวิ ิปสั สนาภาวนา (นราวงษ)์ ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ๓๔/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาญาณทัสน์ ฉฬภญิ โฺ ญ ๓๔. ศึกษาสภาวะรูปนามในการปฏบิ ตั ใิ นหมวดสัมปชัญญะ (วงศก์ ำภู) บรรพ ในสติปัฏฐานสูตร ๓๕/๕๔ ๒๕๕๔ พระมานสั โสภณจติ ฺโต ๓๕. ศึกษาการกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ในการปฏิบตั ิ (ชอบมี) วิปสั สนาภาวนา ๓๖/๕๔ ๒๕๕๔ พระครปู ลดั สุนทร สุนทฺ โร ๓๖. ศกึ ษาหลักปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนาแบบพอง–ยบุ ตาม (แซเ่ ตียว) แนวการปฏิบัติของพระโสภณมหาเถระ ๓๗/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาสามารถ อธิจิตโฺ ต ๓๗. ศึกษาการบรรลุธรรมด้วยการเจริญอานาปานสติ (มนัส) ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ๓๘/๕๔ ๒๕๕๔ พระครพู ิศิษฏ์ชยั โชติ ๓๘. ศกึ ษาวิริยะในการปฏบิ ตั วิ ิปสั สนาภาวนา (สำรวย โชตวิ โร) ๓๙/๕๔ ๒๕๕๔ พระครสู มหุ เ์ กิด ปุญฺ กาโม ๓๙. ศกึ ษาเวทนาในการปฏิบัติวิปสั สนาภาวนาตามหลกั สติ (ดานขุนทด) ปฏั ฐาน ๔ ๔๐/๕๔ ๒๕๕๔ บุญเรอื ง ทิพพอาสน์ ๔๐. ศึกษาการสอนสตปิ ัฏฐาน ๔ ตามแนวทางของโคเอน็ กา้ กบั พระไตรปฎิ ก ๔๑/๕๔ ๒๕๕๔ พลกฤษณ์ โชติศริ ริ ตั น์ ๔๑. การศึกษาวิเคราะห์การรกั ษาโรคด้วยวิปสั สนา กัมมฏั ฐานตามแนวทางของพระธรรมสงิ หบรุ าจารย์ (จรัญ ฐจิ ธมโฺ ม) ๔๒/๕๔ ๒๕๕๔ สเุ มธ โสฬศ ๔๒. การศกึ ษาเคร่อื งมือจำแนกจริตทเี่ หมาะสมในการเจริญ สตปิ ัฏฐาน ๔๓/๕๔ ๒๕๕๔ กัมปนาท พทุ ธปวรางกูร ๔๓. ศกึ ษาธมั มนานุปัสสนาในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔๔/๕๔ ๒๕๕๔ พยุง พ่มุ พวง ๔๔. ศึกษาปัญญาเจตสกิ กับการพัฒนาสมั ปชัญญะ ในการปฏิบตั วิ ิปัสสนาภาวนา ๔๕/๕๕ ๒๕๕๕ พระวงศแ์ กว้ วราโภ (เกสร) ๔๕. การศกึ ษาเปรียบเทยี บการปฏิบัติกรรมฐานของ พระโพธิญาณเถร (ชา สภุ ทโฺ ท) กับพระธรรมวิสุทธิมงคล ๔๖/๕๕ ๒๕๕๕ พระมหาอาคม สุมงฺคโล (บัว ญาณสมฺปนโฺ น) (คุณสถติ ) ๔๖. ศกึ ษาหลกั การเจรญิ จตรุ ารกั ขกมั มัฏฐานในคัมภีรพ์ ุทธ ๔๗/๕๕ ๒๕๕๕ พระศรศักด์ิ สงวฺ โร ศาสนาเถรวาท (แสงธง) ๔๗. การวิเคราะห์จริต ๖ กับการปฏบิ ัติธรรมใน ๔๘/๕๕ ๒๕๕๕ พระอนุชา อนุชาโต พระพทุ ธศาสนา (นามจันทร์) ๔๘. การเจริญเวทนานุปสั สนาในคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาเถร ๔๙/๕๕ ๒๕๕๕ พระครูสวุ รรณ วาท (สมจติ ต์ คุ้มสมบัต)ิ ๔๙. ศึกษาปฏิจจสมุปบาทกบั การบรรลธุ รรมใน พระพทุ ธศาสนาเถรวาท
ภาคผนวก ๕ ๕๐/๕๕ ๒๕๕๕ พระมหาบุญเลศิ ธมฺมทสฺสี ๕๐. การสรา้ งตัวชี้วัดเพอื่ วเิ คราะห์อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบ (โอฐสู) กบั ญาณ ๑๖ ในผ้ปู ฏบิ ัติวปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน ๕๑/๕๕ ๒๕๕๕ ทศพร เหลอื งขาบทอง ๕๑. ศกึ ษาการปฏิบตั วิ ิปัสสนากับการบำบัดเยียวยา รักษาโรค ๕๒/๕๕ ๒๕๕๕ อรภคั ภา ทองกระจา่ งเนตร ๕๒. การศกึ ษาวิเคราะหส์ มาธิกบั การบรรลธุ รรมใน ๕๓/๕๕ ๒๕๕๕ อทุ ัย สติม่นั พระพุทธศาสนา ๕๔/๕๕ ๒๕๕๕ เสถียร ทงั่ ทองมะดัน ๕๓. การพฒั นารูปแบบการจดั การความรู้สำหรับ สำนักปฏิบตั ธิ รรมในประเทศไทย ๕๕/๕๕ ๒๕๕๕ ภัทรนิธ์ิ วสิ ุทธิ์ศักดิ์ ๕๔. สมถกมั มฏั ฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวปิ ัสสนา กัมมฏั ฐาน ๕๕. รูปแบบผสมผสานการปฏิบตั ิวิปสั สนากรรมฐาน ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔
ภาคผนวก ๖ รหัส ๑-๔๒ แบบบันทึกข้อมูลงานวิทยานพิ นธ์ ชือ่ วิทยานิพนธ์ การศกึ ษาการบรรลธุ รรมในพระพุทธศาสนา ผู้วจิ ยั (The Study of the Enlightenment in Theravada Buddhism) ปรญิ ญา พระมหาอำนวย อานฺนโท (จันทร์เปลง่ ) ปี พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วัตถุประสงค์ ๒๕๔๒ ๑. เพอื่ ศึกษาวิจยั หลกั ธรรมทีน่ ำไปสู่การบรรลธุ รรม การทบทวน เอกสาร แนวคิด ๒. เพอ่ื ศึกษาวิจยั วิธปี ฏิบตั ิท่นี ำไปส่กู ารบรรลธุ รรม ทฤษฎี ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ๓. เพอื่ เปน็ แนวทางในการตรวจสอบผลการปฏิบัติของผู้ปฏบิ ัติธรรมและบุคคลอ่นื ๑. หลักธรรมเพื่อการบรรลธุ รรม ได้แก่ สติปฏั ิฐาน๔ สัมมัปปธาน ๕ อิทธิบาท๔ อินทรีย์๕ พละ๕ นิยามศัพท์ ดำเนินงานวจิ ัย โพขณงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ สรุปผลการวิจยั ๒. วิธีปฏิบัติเพ่ือการบรรลุธรรม ได้แก่ ปลิโพธ จริต สัปปายะ สมถกรรมฐาน สมาธิ วิปัสสนา วิปัสสนาญาณ ๑๖ ๓. ระดับการบรรลุธรรม ได้แก่ สังโยชน์ ๑๐ พระโสดาบัน พระสกทาดามี พระอนาคามี พระ อรหันต์ ภาวะของผ้บู รรลุธรรม ๔. การบรรลุธรรมของพระสาวกและพระสาวิกาสำคัญ ได้แก่ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระยสะ พระสารีบุตร พระโมคคัดลานะ พระสีวดี พระวักลี พระอานนท์ พระนางรูปนันทา นางปฏาจา รา นางอุบลวรรณา การบรรลุธรรม หมายถึง การบรรลุมรรคผล ตัง้ แต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ตามหลกั คำสอนใน พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ศกึ ษาจากเอกสาร (Documentary Research) หลักธรรมเพื่อการบรรลุ ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ปรากฏว่าในพระไตรปิฎก หลักของสติ ปัฏฐาน ๔ คำอธิบายไว้อย่างละเอียดใน มหาสติปัฏฐานสูตร ส่วนหมวดธรรมอ่ืนๆ มีอธิบายไว้ไม่มาก นัก จะเป็นแต่เพียงหัวข้อธรรมและอธิบายประกอบอีกเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะพละ ๕ มีอธิบายไว้ น้อยมาก แต่โดยสรุปแม้จะไม่มีคำอธิบายอย่างละเอียดแต่ละหัวข้อมีความสมบูรณ์อยู่ในตัว สามารถ นำไปปฏิบัติได้เท่าเทียมกันตามอุปนิสัยของแต่ละคน ส่วนในหลักปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรได้ แสดงไว้อย่างครบถ้วน ประกอบด้วย สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ผู้ปฏิบัติตามสามารถ ปฏิบัติตามได้โดยไม่ต้องค้นคว้าการปฏิบัติจากที่ใด เพราะพอเพียงแล้วสำหรับการปฏิบัติตั้งแต่เริ่ม จนถึงการบรรลุธรรม สำหรบั ในอรรถกถาเป็นเพียงส่วนเสรมิ และขยายความและรายละเอียดประกอบ อ่ืนๆ แก่พระสูตรต่างๆเท่าน้ัน เพียงถ้าสงสัยก็อ่านประกอบ แต่ถ้าอ่านเอาความท้ังหมด ควรจะหมด ความสงสัยอาจทำใหส้ ับสนมากยิ่งขึ้น มีปกรณ์วเิ ลส ๒ เล่ม ท่ีแสดงหลักการละเอยี ดทุกด้าน คือ วิสุทธิ มรรคกับวิมุตติมรรค หนงั สือ ๒ เลม่ น้ีคลา้ ยกันมาก อธบิ ายเรอื่ งเดียวกัน คอื ศีล สมาธิ และปัญญา ท่ี แตกต่างกันคือ วิมุตติมรรค อธิบายได้กระชับเข้าใจง่ายไม่สับสน ส่วนวิสุทธิมรรคบางหัวข้ออธิบาย แยกแยะออกไปมากจนทำให้สับสนหลงประเด็น ประกอบกับผู้วิจัยอ่านจากหนังสือแปลที่ใช้ ประกอบการเรียนบาลี ซ่ึงเป็นหนังสือแปลที่รักษาสำนวนภาษาเก่ามากเข้าใจยากเป็นส่วนหนึ่งทำให้ สบั สนก็เป็นได้ แต่โดยสรปุ หลักธรรมและหลักปฏิบตั ิเพือ่ การบรรลุธรรมมอี ยอู่ ยา่ งครบถ้วนและสมบูรณ์ สว่ นระดับการบรรลุธรรมน้ันใช้ สังโยชน์๑๐ เปน็ เกณฑ์ตัดสิน และได้วิเคราะห์ภาวะทางปญั ญา ทาง จิตและการดำเนินชีวิตของพระอริยบุคคล สำหรับภาวะการบรรลุธรรมของพระสาวกและสาวิกาได้
ภาคผนวก ๗ วิเคราะห์ให้เห็นแง่คิด มุมมองต่างๆ ที่ทำให้เกิดการบรรลุธรรม โดยพิจารณาจากหลักธรรมท่ีท่าน เหลา่ น้ันได้ฟงั หรอื ได้ใชใ้ นการปฏิบัตจิ นบรรลุธรรม สภาพแวดลอ้ มและองคป์ ระกอบในบรบิ ทต่างๆ ภูมิ หลังและอน่ื ๆ เพื่อใหเ้ กิดแง่คิดแก่ผปู้ ฏิบัติธรรมตอ่ ไป
ภาคผนวก ๘ รหสั ๒-๔๔ แบบบนั ทกึ ข้อมลู งานวทิ ยานิพนธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ การศกึ ษาวธิ ีปฏบิ ัติวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสตปิ ฏั ฐาน ๔ : ศึกษาแนวการสอน ของพระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ญาณสทิ ธฺ ิ ) ผูว้ จิ ยั (The critical study of the Insight Meditation Practice of Fourfold Foundation of Mindfuness ปริญญา :A Critical Study of the Teaching of Venerable PHRADAHAMMADHIRARAJMAHAMUNI ปี (JODOK NANASIDHHI) ) วัตถปุ ระสงค์ พรรณราย รตั นไพฑรู ย์ พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย การทบทวน ๒๕๔๔ เอกสารและ ๑. เพื่อศึกษาเน้ือหาของสตปิ ัฏฐานสูตรและสูตรทเ่ี กี่ยวขอ้ งพรอ้ มท้ังวธิ ีปฏิบัตติ ามแนวทางสติปักฐาน ๔ ที่ งานวิจัยท่ี เก่ยี วข้อง ปรากฏในคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนา (แนวคิด ทฤษฎี ๒. เพ่ือศึกษาการสืบลำดับแนวการสอนและวิธีการปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน ๔ จากอินเดียมาสู่ ท่ีเก่ียวขอ้ ง) ประเทศไทย นยิ ามศัพท์ ๓. เพ่ือศึกษากรณีแนวการสอนวธิ ีการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ญ าณสิทฺธ)ิ ๑. มหาสติปัฏฐานสูตร ได้แก่ บทนำเกี่ยวกับมหาสติปัฏฐานสูตร (ความหมาย พุทธประสงค์แห่งการ แสดงความเป็นเอกายนมรรค ความสำคัญ) สาระแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร(สติปัฏฐาน ๔ สาระโดย พสิ ดาร จำแนก กายานุปัสสนา-การพจิ ารณากาย เวทนานุปสั สนา-การพิจารณาเวทนา จติ ตานปุ ัสสนา การพจิ ารณาจติ ธมั มานุปัสสนา-การพิจารณาธรรม) อานิสงค์แหง่ การเจริญสติปฏั ฐาน ๔ ๒. วิปัสสนาวงศ์ ได้แก่ สมัยปฐมสังคายนาทุติยสังคายนา สมัยคติยสังคายนา การสืบทอด วปิ ัสสนาวงศ์ในสวุ รรณภูมิ การสืบทอดวิปัสสนาวงศ์ระหว่างไทยกับลังกา การสืบทอดวิปัสสนา วงศใ์ นพม่า การสืบทอดวิปัสสนาวงศ์ระหว่างไทยกับพม่า ๓. วิธีปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน ของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทุธิ) ได้แก่ ความสำคญั ของการวปิ สั สนา พระพทุ ธเจ้าทรงพร่ำสอนวิปสั สนา หลกั การสำคัญวิปัสสนาภูมิ วิปัสสนา ญาณ ๑๖ องค์ ๑ ของนักปฏิบัติธรรม บุพพกรณ์ บุพพกิจแห่งวิปัสสนากรรมฐาน วิธีวิปัสสนา กรรมฐาน คำสอนภาคทฤษฎี แนวทางการวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสส นา จิตตานปุ ัสสนา ธมั มานุปสั สนา คำสอนภาคปฎิบัติ อานสิ งสแ์ ห่งวิปัสสนากรรมฐาน ๑. เอกานยมรรค หมายถงึ ทางอันเอก คือ ข้อปฏิบตั อิ ันประเสรฐิ ทจี่ ะนำผปู้ ฏิบัติไปสู่ความบริสทุ ธ์ิหมด จด หมดความทกุ ข์ และบรรลุนิพพาน ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ๔ และโดยภาพรวมหมายถงึ โพธิปักขยิ ธรรม ๓๗ ๒. รูปฌาน หมายถึง ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ มี ๔ คือ ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัตคตา ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ ปิติ สุข เอกัคคตา ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา จตุตถ ฌาน มอี งค์ ๒ คอื อุเบกขา เอกคั คตา ๓. อรูปฌาน หมายถึง ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ มี ๔ คือ อากาสานัญจายตนะ กำหนดท่ีว่าหาท่ีสุด มิได้เป็นอารมณ์ วิญญานัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาท่ีสุดมิได้เป็นอารมณ์ อากิญจัญญายนะ กำหนดภาวะไม่มี ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ เนวสัญญนาสัญญายนตะ ภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ ไมใ่ ช่
ภาคผนวก ๙ ดำเนินการวจิ ยั ๔. ปลิโพธ หมายถึง เครื่องผูกพันหรือหน่วงเหน่ียว เป็นเหตุให้ใจพะวงห่วงกังวล เหตุกังวล หมายถึง สรปุ ผลการวิจยั เคร่ืองผูกพนั หน่วงเหน่ยี วทผี่ ู้ปฏบิ ัตกิ รรมฐานพึงจะต้องตดั ใหไ้ ด้ เพ่อื ใหเ้ กิดความปลอดโปรง่ ๕. โพธปิ ักขยิ ธรรม หมายถงึ ธรรมอันเปน็ ไปในฝกั ฝา่ ยแห่งการตรสั รู้ ธรรมเหอื้ หนนุ แหง่ อรยิ มรรค รวบรวมข้อมูลจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาทุกระดับเรื่องสติปัฏฐาน ๔ และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องแล้วศึกษา วิเคราะห์ประเด็นสำคัญ ว่าด้วยเรื่องการสืบทอดวิธีการสอนวิปัสสนากรรมฐานมาสู่ประเทศไทยจาก วรรณกรรมพระพุทธศาสนา และหนังสือของวิปัสสนาจารย์ร่วมสมัยท้ังชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวบรวมขอ้ มูลหนังสือของพระธรรมธรี าชมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทธฺ )ิ ๑.สรุป สติปัฏฐาน ๔ เป็นหนทางเอกท่ีนำไปสู่การรู้แจ้งทางสัจธรรม บรรลุภาวะหมดกิเลสซ่ึงเป็นจุดหมาย สูงสุดในพระพุทธศาสนา ถือเป็นมรรคทน่ี ำไปสู่ภาวะท่ไี ม่ถูกปัจจยั ปรุงแต่งดังกล่าวแล้วเช่นกนั ความสำคัญ ของสติปัฏฐาน เห็นได้จากพุทธดำรัสในตอนเร่ิมต้นมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ภิกษุทั้งหลาย ทางน้ีเป็นทาง เดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อลว่ งโสกะและปรีเทวะ เพ่ือดับทุกข์และโทมนัส เพื่อนบรรลญุ าย ธรรม เพอ่ื ทำใหแ้ จ้งนพิ พาน ทางน้คี อื สตปิ ัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน แปลว่า การตั้งสติ เป็นหมวดหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ แบ่งออกเป็น ๗ หมวด คือ สติปัฏฐาน ๔ สัททปปทาน ๔ อิทธิบาท ๔อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์แปดเรียก โดยรวมว่า “เอกายนมรรค” สติปัฏฐาน ๔ อย่างซ่ึงเป็นสาระสำคัญแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร สาระโดยสรุป คือ (๑) กายานุปัสสนา คือ พิจารณาเห็นกายในกาย แบ่งออกเป็น ๖ หมวด คือ (๑)อานาปานปัพพะ หมวดว่าด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก (๒)อิริยะปถปัพพะ หมวดว่าด้วยการกำหนดอิริยบถ (๓) สมัปชัญญปัพพะ หมวดสัมปชัญญะ (๔)ปฏิกูลมนสิ การปัพพะ หมวดพิจารณาของปฏิกูล (๕) ธาตุ มนสิการปัพพะ หมวดพพิจารณาธาตุ (๖)นวสีถิกาปัพพะ หมวดว่าด้วยการพิจารณาซากศพ (๒) เวทนา นปุ ัสสนา พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มี ๓ หมวดใหญ คือ (๑)สุขเวทนา (๒)ทุกขเวทนา (๓)อทุกขมสสุข เวทนา (๓) จิตตานุปัสสนา คือ พิจารณาเหน็ จติ ในจติ เช่น จิตมีราคะ ไมม่ รี าคะ มีโทสะ ไม่มโี ทสะ มโี มหะ ไม่มีโมหะ เป็นต้น ก็รู้ชัดตามท่ีมันมีอยู่อย่างน้ันๆ (๔) ธัมมานุปัสสนา พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มี ๕ หมวด คอื (๑)นวิ รณ์ ๕ (๒)ขันธ์ ๕ (๓)อายตนะ ๑๒ (๔) โพฌงค์ ๗ (๕) อรยิ สจั ๔ แนวคิดสากลเชิงพุทธ คอื บุคคลยึดมน่ั ความเห็นผิดเข้าใจผิดมากเพียงใด เขาก็จะหมดความทุกข์มาก เพียงน้ันการปฏิบัติสติปัฏฐาน เป็นการใช้สติสัมปชัญญะ กำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม ให้สอดคล้องกับ ความจรงิ ตามธรรมชาติ จนเกดิ วิปัสสนาปญั ญาถึงข้ันไม่ยึดมั่น ถือม่ัน เชน่ กายท่ีมีอยูม่ ีจรงิ แตไ่ ม่ใช่สัตว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา เป็นพยี งสว่ นประกอบของนามและรปู การมีสติ กำหนดรู้ เช่น ขณะตาเห็นรูปหูได้ยิน กำหนดรู้ให้อยู่กับปัจจุบันธรรม คือ เห็นก็สักแต่ว่า เห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ปรุงแต่งให้เกิดตัณหาอุปาทานจนเกิดเป็นนั้น เป็นน้ี เพราะตัณหา ไม่อาศัย ปัจจุบันธรรมเกิดข้ึน ตัณหาซึ่งเป็นเหตุของทุกข์เกิดในอารมณ์ท่ีเป็นอดีตและอนาคตเท่านั้น เม่ือตัณหาไม่ เกิดทุกข์ก็ไม่เกิด สติปัฏฐานจึงเป็นไป (๑) เพ่ือความบริสุทธิ์ของสัตว์ คือ บริสุทธิ์จกมลทินราคะเป็นต้น และจากอุปกิเลสมอี ภิชฌามาวิสมโลภะเปน็ ต้น (๒) เพ่อื ก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ (ความเศรา้ และวิตกทุกข์ ร้อน) เพรามองเห็นสภาวะของสิ่งของท้ังหลายตามความเป็นจริง (๓) เพ่ือความดับไปเป็นทุกข์ของและ โทมนัส คือความดับสนิท ของทุกข์ของกาย และทางจิตใจ (๔) เพ่ือบรรลุ อริยมรรคมีองค์ ๘ (๕)เพื่อทำให้ แจ้งซง่ึ อมตะธรรมที่เรียกวา่ นพิ พานเพราะเวน้ จากตัณหา สติปัฏฐานจึงเป็นหลักปฏบิ ัติ เพ่ือนเอาชนะปัญหา(ทุกข์) ในชีวติ ประจำวัน เพราะเมื่อบคุ คลมีความ เพียร (อาตามี) เพียรพัฒนาให้เป็นผู้มีความรู้ตัวท่ัวพร้อม (สัมมาชาโน) และมีสติ (สติมา) ย่อมดำเนิ นไปสู่
ภาคผนวก ๑๐ การจดั ทุกข์ให้ตามลำดบั ขนั้ และสดุ ท้ายย่อมบรรลคุ วามสุขสูงสดุ นิรนั ดร (นิพพพาน) เป้าหมาย(อานิสงส์) ๕ ประการของสติปฏั ฐานชดั แจง้ พร้อมท้ังรายละเอยี ดและวธิ ีปฏิบตั ทิ ำให้มกี าร สืบสานปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันติดต่อกันและมีประวัติพัฒนาการเร่ิมแรกจากที่พระพุ ทธเจ้าวิปัสสนา กรรมฐานในประเทศไทยทรงแสดงไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยพระองค์เองแล้วมีการจัดให้เป็นระบบ เผยแพร่ยังนานาประเทศ ในสมัยตติยสังคายนา พระเจ้าอโศกมหาราชและพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระส่ง พระธรรมทูต ๙ สาย ออกไปประกาศพระศาสนายังถน่ิ ต่างๆ พระธรรมทูตสายที่มีพระมหินเถระเป็นหัวหน้า เดินทางไปเกาะลังกา และสายท่ีมีพะรโสณะและพระอุตตระเอระเป็นหัวหน้าเดินทางมายังสุวรรณภูมิซึ่งมี ผลทำให้พระพุทธศาสนาท้ังด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระเจริญรุ่งเรืองอยู่ในถ่ินนั้นๆ ความรุ่งเรืองแห่ง พระพุทธศาสนาใน ๓ ประเทศคือ (๑) ซีลอนหรือศรีลังกา (๒) พุกามหรือพม่า (๓) สุวรรณภูมิหรือไทย ทำ ใหว้ ปิ ัสสนาธรุ ะรงุ่ เรืองในประเทศไทยปัจจบุ ัน นบั แตอ่ ดตี ถึงปจั จุบนั พระพุทธศาสนาแผ่เขา้ มาสู่ประเทศเรา ๒ ช่องทาง คือ (๑) แผ่จากชมพูทวีปเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยตรง (๒) แผ่จากศรีลังกาผ่านมาแล้วเข้าสู่ ประเทศไทย ขอ้ มูลเชิงประวัติศาสตร์บ่งชว้ี ่า พระพุทธศาสนาด้านวิปัสสนาธุระแผเ่ ข้ามาสู่ประเทศไทยและ ดำเนินการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมโดยช่องทางท่ี ๒ เทา่ ท่ีสืบสาวได้ วิปัสสนาธุระแผจ่ ากพม่าเข้ามาสู่ประเทศ ไทย โดย พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลไทยส่งหนังสือไปเชิญให้รัฐบาลพม่าส่งมณฑูลมาสอนวิปัสสนากรรมฐานใ น ประเทศไทย มหาสี สยาดอ จึงส่ง สยาดอ อู อาสภะ และอู อินทวังสะ มาดำเนินงานสอนวิปัสสนา กรรมฐาน วางรากฐานวิธีปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทย ในพ.ศ.๒๔๙๕ สมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสถมหาเถระ) ส่งพระมหาโชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙ (พระธรรมธีรราชมหามุนี) ไปเรียนวิปัสสนาธุระ ณ สำนกั วิปัสสนาศาสนายติ สา(ศาสนเยกถะ) ภายใต้คำแนะนำของพระมหาสี สยาโสภณเถระพระอาจารยใ์ หญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระมหาโชดก ญาณสิทธิ (หรือพระธรรมธีรราชมหามุนี สมณศักดิ์ท่ีได้รับครั้งสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ) ศึกษาฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในประเทศพม่า ๑ ปี เดินทางกลับประเทศ ไทย พ.ศ. ๒๔๙๖ ดำเนนิ งานสอนวปิ ัสสนากรรมฐานในประเทศไทยตั้งแตน่ ้ันมา วธิ ีปฏิบัติของพระธรรมธีรราชมหามุนีเทียบเคียงกับหลักฐานในมหาสติปัฏฐานสูตร วิธีการของ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสทิ ธิ) ไม่ว่าจะเปน็ ภาคทฤษฏีหรือภาคปฏิบัติ ท่านใชห้ ลักสตปิ ัฏฐาน ๔ คอื การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมเป็นกรอบในการปฏิบัติและการสอนตามแนวที่ปรากฏในมหาสติปัฏ ฐานสูตรตามกรอบทพ่ี ระพุทธองค์ตรสั ไว้ว่า “ภกิ ษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาภายในกาย... พิจารณาเวทนาใน เวทนาทั้งหลาย...พิจารณาจิตในจิตและพิจารณาธรรมในธรรม มีความเพียร มีความรู้ตัวท่ัวพรอ้ ม และมีสติ ขจัดอภชิ ฌาและโทมนัสเสยี ได้” แนวปฏิบตั ิจรงิ ๆอันเปน็ หลกั การดีเพียงเท่าน้ี นอกจากนั้นเป็นรายละเอียด แจงวธิ ีปฏิบตั ิเพ่ือรู้เท่านนั้ ไมใ่ หเ้ กดิ กเิ ลสครอบงำ วธิ ปี ฏิบัติกรรมฐาน ๔ ประการ คือ (๑) วปิ ัสสนามรสมถะนำ (๒) สมถะมวี ปิ ัสสนานำ (๓) สมถะและ วิปัสสนาคู่กัน (๔) ปฏบิ ัตแิ บบผสม ๓ แบบขา้ งตน้ แลว้ แตส่ ถานะและโอกาส ในภาคทฤษฏีในมหาสตปิ ัฏฐาน สูตร พระพุทธองค์ทรงเริ่มด้วยให้พิจารณากาย โดยการใหก้ ำหนดลมหายใจก่อนแล้วต่อด้วยหมวดอิริยาบถ เดิน นั่ง นอนแต่พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ) สอนให้ผู้ปฏิบัตเข้าใจทั้งสมถกรรมฐานและ วิปัสสนากรรมฐาน ในภาคปฏิบัติ ท่านปฏบิ ัติสอนโดยเน้นวิธีการที่ ๒ คือ สมถะมีวิปสั สนานำ โดยยกหมวด วา่ ด้วยอริ ยิ าบถข้นึ แสดง ส่วนท่ี ๑ การกำหนดเบ้ืองตน้ กำหนดพิจารณา ๖ ขอ้ คอื (๑) จงเดนิ จงกรม ภาวนา “ขวายา่ งหนอ ซา้ ยย่างหนอ” ขณะยืนก็ภาวนาประมาณ ๓ คร้ังว่า “ยนื หนอยนื หนอ ยืนหนอ” ขณะกลับกภ็ าวนา”กลับหนอ กลับหนอ กลับหนอ”
ภาคผนวก ๑๑ (๒) นง่ั ก็พิจารณาว่า “นง่ั หนอ” “พองหนอ ยบุ หนอ” (๓) พจิ าณาเวทนา (ความรู้สกึ ) ขณะนง่ั อย่นู ัน้ เม่ือมอี าการเจบ็ ปวดเกิดข้ึนกภ็ าวนา ว่า “เจบ็ หนอ,ปวดหนอ” จนกวา่ อาการนั้นจะหายไปแลว้ ก็กลับมาพิจารณาอาการพองยบุ ของทอ้ งอกี (๔) พจิ าณาจติ เมอ่ื จติ คิดเรอ่ื งอะไรก็ใหก้ ำหนอดพจิ ารณาภาวนาวา่ “คิดหนอๆ” เมือ่ ร้สู ึกโกรธก็ ภาวนาว่า “โกรธหนอๆ” จนกวา่ ความร้สู กึ โกรธนัน้ จะหายไปแล้วกลบั มาพิจารณาอาการพองของทอ้ ง (๕) พจิ ารณาเสยี ง เมือ่ มเี สยี งดังมากระทบหู ใหภ้ าวนาว่า” ได้ยนิ หนอ,ได้ยินหนอ,ได้ยินหนอ” จนกวา่ เสียงรบกวนจะหายไป แล้วกลับมาพจิ ารณาอาการพองของท้อง (๖) ตอนสุดทา้ ยส่วนที่ ๑ คอื การนอนพกั ขณะเอนตัวลงนอน ภาวนาวา่ ”นอนหนอ,นอนหนอ, นอนหนอ” ตอ่ จากนั้นใหพ้ จิ ารณาอาการพองของทอ้ งขณะท่ีนอน ในระยะตอ่ ไปตง้ั แตว่ ันที่ ๒ แห่งการปฏิบัตเิ ป็นต้น ให้เพ่ิมความละเอียดของการกำหนดพจิ ารณา ข้ึนไปอีก เร่ิมด้วยการกำหนดต้นใจ คือความอยาก เช่นอยากลุก อยากนั่ง อยากเดนิ ต่อให้เพิ่มการกำหนด ทวารทั้ง ๕ เช่น ขณะตาเห็นรูป ต้งั สตไิ ว้ทต่ี าแล้วภาวนาว่า “เห็นหนอ, เห็นหนอ, เห็นหนอ” เมื่อญาณท่ี ๑ ( นามรูปปริจเฉทญาณ ) ญาณที่๒ (ปัจจยปริคคหญาณ) เกิดขึ้นแล้วในการเดิน จงกรม ให้เพ่ิมระยะทางเข้ามาอีกคือ “ขวาหนอ,ซ้ายหนอ” เป็น “ยกหนอ,เหยียบหนอ” สลับกับการ กำหนดอาการพองหยุบของท้อง เมื่อญาณที่ ๓ (สัมมสนญาณ) และญาณที่ ๔ (อุพยัพพยญาณ) เกดิ ขึ้นแล้ว ในการเดินจงกรม ให้ เพ่มิ ระยะเข้ามาอีกเปน็ “ยกหนอ,ยา่ งหนอ,เหยียบหนอ” สว่ นที่ ๒ การกำหนดตอ่ เน่อื ง กำหนดพจิ ารณา ๖ ขอ้ โดยละเอยี ด การกำหนดพิจารณาในส่วนท่หี รอื ช่วง ๒ นี้ เปน็ การกำหนดตอ่ เนอื่ งหรอื โดยละเอียด (๑) เมือ่ ญาณที่ ๕ (ภังคญาณ) ญาณที่ ๖ (ภยญาณ) และญาณท่ี ๗ (อาทีนวญาณ) เกดิ ข้ึนแลว้ ใน การเดนิ จงกรม ใหก้ ำหนดพิจารณาจาก ๓ ระยะเพิม่ เป็น ๔ ระยะ คือ “ยกส้นหนอ, ยกหนอ, ย่างหนอ, เหยยี บหนอ” สลับการกำหนดอาการพองยบุ ของท้อง (๒) เมอื่ เกดิ ญาณท่ี ๘ (นิพพทิ าญาณ) ญาณท่ี ๙ (มุญจิตุกมั ยตญาณ) และ ญาณท่ี ๑๐ (ปฏิสังขา ญาณ) ขึ้นแลว้ ในการเดินจงกรม ให้กำหนดพิจารณาเพม่ิ จาก ๔ ระยะเป็น ๕ ระยะ คือ “ยกส้นหนอ, ยก หนอ, ยา่ งหนอ, ลงหนอ, ถูกหนอ” (๓) เม่ือเกิดญาณท่ี ๑๑ (สังขารุเปกขาญาณ) ข้ึนแล้วในการเดินจงกรม ให้กำหนดพิจารณาเพ่ิม จาก ๕ ระยะ เป็น ๖ ระยะ คอื ยกหนอ, ย่างหนอ, ลงหนอ, ถูกหนอ, กดหนอ” สลับการกำหนดอาการพอง ยุบของท้อง ส่วนการน่ังน้ัน ให้กำหนดพิจารณา ๔ ขณะ คือ “พองหนอ, ยุบหนอ, น่ังหนอ, ถูกหนอ” โดยเฉพาะ “ขณะถูก นั้น ให้กำหนดท่ีถูก ๖ แห่ง คือ “ก้นย้อยขวาและซ้าย, เข่าขวาและซ้าย, ตาตุ่มขวา และซ้าย” เม่ือปฏิบัติกรรมฐาน กำหนดพิจารณาดังกลา่ วนี้ ญาณก็จะแก่กล้าข้ึนตามลำดับ ผู้ปฏิบัติย่อมจะ ได้รับอานิสงส์ระดับโลกิยะในเบ้ืองต้น และย่อมได้รับอานิสงส์ระดับโลกุตตระในลำดับต่อไป พระธรรมธีร ราชมหามุนี (โชดก ญาณสุทธ)ิ เชื่อมั่นเสมอว่า “ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาที่พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ จาริกไปใน ต่างๆ ประกาศพระพุทธศาสนา ทรงแสดงวิปัสสนากรรมฐานไว้ในพระสูตรต่างๆ กรรมฐานคือหัวใจของ พระพุทธศาสนา และเป็นเร่ืองของคนทุกเพศทุกวัย ทุกชาติ ทุกภาษาและกรรมฐานมีอนิสงส์มหาศาล” การรกั ษาสังคมประเทศชาติให้ธำรงอยู่ เจรญิ รุ่งเรืองมีความสงบสุข ต้องอาศัยวิปสั สนากรรมฐาน ๒. วเิ คราะห์
ภาคผนวก ๑๒ ๒.๑ วิเคราะห์แนวการสอน พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณ สิทธิ ) เรียกวิชา พระพุทธศาสนาว่า “อุดมวิชา” ซ่ึงหมายรวมท้งั โลกิยวชิ าและโลกตุ ตรวิชา ทา่ นกล่าวไวต้ อนหนงึ่ วา่ โลกิยวิชานัน้ ได้จากความรทู้ ่ีเกิดขน้ึ จากการศึกษาเล่าเรียนพระปรยิ ัติธรรมจนแตกฉานเช่ียวชาญ ในพระไตรปฎิ ก และได้ลงมอื ประพฤตปิ ฏิบัติวปิ สั สนากรรมฐานจนเกดิ นามรปู ปริจเฉทญาณ ปจั จยปริคคห ญาณ... โครตภูญาณ ถ้าจะจัดตามวิสุทธิ ๗ ได้แก่ สีลวสิ ุทธิ จติ ตวิสุทธิ ทิฎฐวิ ิสทุ ธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัค คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิปฎิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ส่วนในโลกุตตรวิชานั้น ได้แก่การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานถึงมรรคญาณและผลญาณ วิชาท้ัง ๒ ประการน้ีเกิดขึ้นได้โดยสมบูรณ์บริบูรณ์ ต้องอาศัยหลัก วิชาการที่ถูกต้อง คอื วปิ สั สนาภูม.ิ .. ข้อความนี้ ทำให้ทราบว่า โลกิยวิชาคือความรู้ที่เกิดขึ้นจากการศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์อ่ืน ทางพระพุทธศาสนานั้น ถ้าจะให้สมบูรณ์ครบถ้วนต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานควบคู่ไปด้วย ส่วนโลกุตต รวิชาน้ันก่อต่อยอดจากโลกิยวิชาน่ันเองไม่ใช่วิชาอยู่ต่างแนวทางจากโลกิยวิชา สรุปได้ว่า ผู้ปฏิบัติวปิ ัสสนา กรรมฐานตอ้ งผ่านการศกึ ษาพระไตรปิฎกและคมั ภรี ์อนื่ ๆ พระพทุ ธศาสนาจนเชยี่ วชาญกอ่ น แนวการสอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) จึงเน้นท่ีภาคทฤษฎีใน พระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่เฉพาะที่เก่ียวกับสมถะหรือวิปัสสนาเท่านั้นความเช่ือม่ันในแนวทางนี้ของท่าน เห็นได้จากการที่ท่านเองศึกษาคัมภีร์ มีภูมิความรู้ถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค และศึกษาพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ หลักพระอภิธรรมถึงขั้นเชี่ยวชาญท่านเชื่อม่ันในหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมท้ังแผนก ธรรมและแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทยอนั เปน็ ไปเพอ่ื การส่งเสริมวิปัสสนาธรุ ะ ทา่ นกลา่ วไดต้ อนหน่ึงวา่ คณะสงฆ์ได้ส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างมากทีเดียวหลักฐานเป็นเคร่ืองวง ยนื ยันอยู่ในหลักสูตรแห่งการศึกษาของคณะสงฆ์น่ันเอง ท้งั นักธรรมและบาลี คอื ต้ังแตน่ ักธรรมชน้ั ตรีจนถึง ประโยค ป.ธ.๙ ท่านยกตัวอย่างให้ดูว่า ในหนังสือหลักสูตรนักธรรมช้ันตรี เร่ืองทาน ศีล ภาวนา ในหนังสือ หลกั สูตรช้ันโท มีเร่อื งสมถกรรมฐานและวปิ สั สนากรรมฐานในหนงั สอื นักธรรมช้ันเอก มเี ร่ืองสำรวมจิต เม่ือมีความรู้ความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาท้ังหมด ในการสอนภาคปฏิบัติ พระธรรมธรี ราช มหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) สอนท้ังสมถและวิปัสสนาควบคู่กันไป ทา่ นสอนสมถะโดยใชก้ รอบกรรมฐาน ๔๐ มีกสิณ ๑๐ เป็นต้นที่พระพุทธโฆสาจารย์แสดงไว้ในคมั ภีรว์ ิสทุ ธิมรรค ท่านกล่าวถึงความสำคัญของสมถะไว้ ตอนหนึ่งว่า สมถยานิก แปลว่า เอาสมถกรรมฐานเป็นยานพาหนะนำพาไปสู่วิปัสสนา แล้วเอาวิปัสสนา เป็นทางนำไปสู่มรรค ผล นิพพานต่อไป หมายความว่า ผทู้ ่ีเจรญิ สมถกรรมฐานจนได้ญาณแล้ว เอาญาณเป็น บาทเจริญวิปสั สนาต่อ สามารถจะไดบ้ รรลุมรรคผลนิพพาน แต่ถ้าไม่เจริญวิปัสสนาต่อ ก็จะไม่มีโอกาสบรรลุ มรรค ผล นพิ พานได้ ในการสอนวิปัสสนาน้ัน ท่านยังแบ่งเป็น ๒ ภาค คือ (๑) ภาคสมถะหรือปฏิบัติศาสนา ท่านสอน หลักการเตรียมตัวก่อนลงมือปฏิบัติ ที่สำคัญการแผ่เมตตา การระลึกถึงความตาย (๒) ภาควิปัสสนาหรือ ปฏิเวธศาสนา ท่านสอนวิปัสสนา ๑๖ วิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๘ อุปกิเลส ๑๐ ในส่วนที่เป็นรายละเอียด เกีย่ วกับการปฏิบตั นิ ัน้ ทา่ นสอนโดยใช้กรอบสตปิ ัฎฐาน ๔ เป็นแนวเริ่มต้นดว้ ย (๑) มสี ตกิ ำหนดรูปนามตามอริ ยิ าบถ ๔ คอื ยนื เดิน นง่ั นอน (๒) มีสติกำหนดรูปนามตามอิริยาบถย่อย หรือตามอายตนะทั้ง๖ คือ ตา หนู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเป็นประตูรับอารมณ์ภายนอก คือรูป เสียง กลิ่น รส ฯลฯ ให้มีสติรู้เท่าทันในการรับ อารมณ์อย่างมากก็อยู่ในข้ันเสวยอารมณ์ (เวทนา) ไม่เลยไปถึงข้ึนเกิดตัณหา อันนำไปสู่ อุปาทาน เพื่อใหร้ คู้ วามจริงในสิ่งลว่ ง มองเห็นปรมตั ถใ์ นบัญญตั ิ
ภาคผนวก ๑๓ ๒.๒ วิเคราะห์แนวการปฏิบตั ิ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสทิ ธิ) ปฏิบัติโดยเนน้ แบบสมถะมีวิปัสสนานำกจ็ ริง แตท่ ่าน ให้ความสำคัญแก่สมถะและวิปัสสนา ในการลงมือปฏิบัติภาคสมถะคือ การเตรียมการก่อนลงมือปฏิบัติ ใน คัมภีร์บาลีไม่ได้กำหนดรายละเอียดไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ส้ันๆว่า “ภิกษุในศาสนาน้ี ข้าไปสู่ป่า โคนต้นไม้ เรือนเงียบ นั่งคู้ บัลลังก์ กายตรง ดำรงสติม่ัน” มีข้อความบาลีมีเพียรเท่านี้ แต่พระธรรมธีรราชมหามุนีได้ แบ่งเป็นขั้นตอนดังน้ี (๑) จัดหาสถานท่ี (๒) ตัดปลิโพธ (ความกังวล) ต่างๆ (๓) บูชาพรรัตนตรัย (๔) ถวาย ตวั ตอ่ อาจารยผ์ ู้สอนกรรมฐาน (๕) แผเ่ มตตา (๖) การระลึกถึงความตาย (มรณะสติ) ภาควิปัสสนาน้ันเร่ิมต้นด้วยการกำหนดพิจารณาด้วยอิริยาบถเดิน คือ การเดินจงกรมตั้งแต่ ภาวนาว่า “ขาวย่างหนอ .ซ้ายย่างหนอ” ไปจนถึงภาวนา ๖ ระยะว่า “ยกส้นหนอ .ยกหนอ .ย่างหนอ.ลง หนอ. ถูกหนอ. กดหนอ” ต่อไปก็จะเป็นอิริยาบถน่ัง พิจารณาอาการพองยุบของท้อง พิจารณาต้นใจ คือ ความร้สู ึก พิจารณาทวารทง้ั ๕ ท้ังหมดน้ใี ช้วปิ สั สนาญาณ๑๖เปน็ กรอบการตรวจสอบในการก้าวหน้าทางจิต ข้อสังเกตประการหน่ึง คือ พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ ) แสดงความต่างกันระหว่างความ เจริญสมถกรรมฐานและวปิ ัสสนากรรมฐานไว้วา่ การเจริญสมถกรรมฐานต้องการความสงบ เพราะเสียงเป็นข้าศึก เป็น ปฏิปักข์ ต่อการเจริญ สมถะมาก ถ้าประสงค์จะเจริญสมถะให้ได้ฌานก่อนแล้วจึงเอาฌานให้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อ ต้อง ออกไปอยู่ในที่สงบสงัด เชน่ ป่าโคนไม้เปน็ ต้น ส่วนการเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยตรงนั้นไม่กลัวเสียง เสียง ก็เอามาเป็นอารมณ์ของกรรมฐานได้ เพราะวิปสั สนาไดข้ ันธ์๕ คือ รปู กับนามเป็นอารมณ์ ตาเห็นรูป หูได้ยิน เสียง จมูกได้กล่ิน ลิ้นได้รส กายถูก เย็นร้อน อ่อน แข็ง ใจคิดธรรมรมณ์เม่ือใด รูปนามเกิดขึ้นได้เม่ือนั้น ผู้ เจริญวปิ ัสสนากรรมฐานสามารถกำหนดได้หมดทกุ ๆทาง เช่น ขณะทตี่ าเห็นภาวนาวา่ เห็นหนอ ขณะที่หไู ด้ ยนิ เสยี ง ภาวนาวา่ ไดย้ นิ หนอ เปน็ ตน้ พิจารณาตามนัยนี้ วิธีเจริญสติปัฏฐานสูตร ทรงให้เร่ิมต้นด้วยสมถะเป็นตัวนำ เพราะตรัสว่า “ภิกษุผู้ ปฏิบัติเข้าไปสู่ป่า โคนต้นไม้ เรือนเงียบสงัด” ข้อความนี้ทำให้ทราบวา่ ข้อจำกัดของการปฏิบัติสมถกรรม ฐานมีมากกว่าวิปัสสนากรรมฐาน สมถะต้องการสภาพแวดล้อมที่สงบตัดขาดจากสังคม ในขณะที่วิปัสสนา ต้องการสภาพแวดล้อมที่สะดวกอาจ ไม่ต้องสงบมากนักก็ได้แนวปฏิบัติของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) อาจแบ่งเป็น๒ ข้ัน คือ (๑) ข้ันต้นคือข้นั สมถะท่ีตอ้ งใช้สถานที่สงบจริงๆ เพื่อเตรียมจติ ให้พร้อม (๒) ขั้นสงู คือวิปสั สนาที่อาจไม่ต้องใช้สถานทีส่ งบมากนักก็ได้ ๒.๓ วิเคราะห์เปรียบเทียบแนวปฏิบัติ ของพระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) กับพระภัท ทนั ตะ อาสภมหาเถระ อคั คมหากมั มฏั ฐานาจรยิ ะแหง่ พม่า แนวทางปฏิบัติของพระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) ยึดหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ตามท่ีปรากฏในคัมภีรพ์ ระไตรปิฎก จึงไม่แตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาดั้งเดิม ถามว่า “แนวทางปฏิบัติ ของพระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) แตกต่างจากแนวการปฏิบัติ ของ พระภัททันตะ อาสภมหา เถระ อัคคมหาคัมมฏั ฐานาจรยิ าหรอื ไม่?” พระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) กับ พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ เป็นศิษย์ของมหา สีสะยาดอ แนวทางปฏิบัติโดยรวมไม่แตกต่างอย่างแน่นอน แต่ในรายละเอียดนั้นจะมีความแตกต่างกัน เลก็ น้อย เพราะพื้นฐานด้านปริยัตทิ ่ีมีจดุ เน้นที่แตกตา่ งกนั พระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) จะสอนให้รู้ทฤษฎี๓ ภาค คือ (๑) ทฤษฎีทั่วไปของ พระพุทธศาสนา (๒) ทฤษฎีที่เก่ียวกับสมถกรรมฐาน (๓) ทฤษฎีที่เกี่ยวกับวิปัสสนากรรมฐาน เพราะฉะนั้น
ภาคผนวก ๑๔ ในแนวปฏิบัติ จึงอาจแบ่งเป็นระดับต้นคือ สมถะเพ่ือเตรียมจิตผู้ปฏิบัติให้พร้อม และระดับสูงคือวิปัสสนา ในขณะท่ี พระภัททันตะ อาสภมหาเถระจะสอนทฤษฎีที่เก่ยี วกบั วิปสั สนาโดยตรง เช่น มหาวิปัสสนา ๑๘ วิ สุทธิ ๗ อุปกิเลส ๑๐ พระภัททันตะ อาสภมหาเถระกำหนดเป้าหมายเบื้องต้นไว้ก่อนการปฏิบัติ คือ การ กำจัดสักกายทฏิ ฐิ คือ ความเข้าใจผิดเก่ียวกับรูปนาม และในเบื้องตน้ ผู้ปฏบิ ัตจิ ำเป็นต้องสร้างอนิจจานปุ สั ส นา ทุกขานุปัสสนา และอนัดตานุปัสสนาขึ้นมาให้ได้ ส่วนแนวทางปฏิบัติของอาจารย์ท้ัง ๒ เก่ียวกับการ กำหนดพิจารณาอิริยาบถใหญ่ และอิริยาบถย่อย ไม่แตกต่างกันมากนัก ทั้งสองท่านเดินตามแนวคิดสติปัฏ ฐานสตู รและคัมภรี ว์ ิสุทธิมรรค พระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสทิ ธิ ) กับพทุ ธทาส ภกิ ขุ พระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) ดำเนินงานวิปัสสนาธุระโดยเร่ิมจากการศึกษาปริยัติธรรม สำเร็จข้ันสูงสดุ คือนกั ธรรมชั้นเอกและเปรียบธรรม ๙ ประโยค จากนน้ั เดินทางไปศกึ ษาวิปสั สนากรรมฐาน ที่ประเทศพม่า เป็นการศึกษาในระบบมาโดยตลอด แนวการสอนและปฏิบัติของท่านจึงมีระบบ มี กระบวนการและข้ันตอนท่ชี ัดเจน ในขณะทพ่ี ุทธทาส ภกิ ขุศึกษาดว้ ยตนเองจากคัมภรี ์เกือบจะท้งั หมด ไม่ วา่ จะเป็นภาคทฤษฎหี รอื ภาคปฏิบตั ิ แนวการสอนและปฏบิ ัติของพระพทุ ธทาส ภิกขุ จึงดเู รยี บไม่ซบั ซ้อน น่ี คอื ข้อแตกต่าง ส่วนความเหมอื นของแนวการสอนและปฏบิ ัติของอาจารย์ทง้ั ๒ คือ กรอบใหญ่ที่ใช้เป็นแนว การสอนและปฏิบัติ โดยใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ เหมือนกัน เป้าหมายแห่งการปฏิบัติก็เหมือนกัน แต่เรียกช่ือ ต่างกัน พระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) กล่าวว่าจุดหมายสูงสุดแห่งการปฏิบัติ โดยใช้คำว่า “มรรค ญาณ ผลญาณ” หรือ“มรรค ผล นิพาน” ในขณะที่ พุทธทาส ภิกขุใช้คำว่า “จิตว่าง” เพื่อหมายถึง ผลแหง่ การปฏิบัตใิ นทุกระดับ พทุ ธทาส ภิกขกุ ลา่ วไวต้ อนหนงึ่ สรปุ ความได้วา่ ส่ิงทั้งปวงมีลักษณะ คือ ความว่าง แม้แต่จิตก็มีความว่างเป็นลักษณะของมัน คือ ว่างจากตัวตน การเรียนหรอื การปฏิบตั ิธรรมก็มลี ักษณะเป็นความว่างจากตวั ตน กระท่ังส่ิงท่ีเรียกว่า มรรค ผล นิพาน ก็มี ลกั ษณะที่เป็นความว่างจากตัวตน นี้เป็นความว่างอย่างท่ีหนึ่ง อย่างที่สอง คือลักษณะของจิตที่ไม่ยึดม่ันถือ ม่นั สงิ่ ทั้งปวง ๓ . วิเคราะห์วิปัสสนากรรมฐานของ พระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) เทียบเคียงกับ ข้อความพระไตรปิฎก ระบบการสอนในแนวนี้เรียกว่า “ระบบพองหนอ ยุบหนอ” และแนวทางการ ปฏิบัติจะแตกต่างจากแนวทาง การปฏิบัติที่มีปฏิบัติสืบๆ มาในอดีตโดยเฉพาะหลักการในพระไตรปิฎก หรือไม่ จะสรุปประเด็นวเิ คราะห์ดังนี้ ๑.ระบบ “หนอ” ๒.การกำหนด “พองหนอ- ยุบหนอ” ๓.การ เดนิ จงกลม ๔.การกำหนดอริ ิยาบถใหญ่และอริ ิยาบถยอ่ ย ๕. การกำหนดเวทนา ๖. การกำหนดจิต ๗. สภาวญาณ ระบบ “หนอ” แนวการสอนของ พระธรรมธีรมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทธิ ) มีคำว่า “หนอ” ต่อท้าย เสมอ เชน่ “พองหนอ ยบุ หนอ ยนื หนอ” เป็นระบบกรรมฐานท่เี กดิ ขนึ้ ในประเทศไทย โดยการนำกลบั มา จากพม่า โดย พระธรรมธรี มหามุนี เม่ือ พ.ศ ๒๔๙๖ จึงกล่าวได้ว่าเป็นระบบกรรมฐานท่ีเกดิ ใหม่ สังคมไทย คุ้นเคยกับการกำหนดว่า “พุทโธ” หรือ สมฺมา หรหํ และยังฟังใจว่าระบบหนอเป็นของพม่า ไม่มีใน พระไตรปิฎก ซึ่งความจริงคำว่า “หนอ” เป็นภาษาไทยไม่ใช่ภาษาพม่า “หนอ” เป็นคำท่ีแปลมาจากภาษา บาลีว่า “วต” ปรากฏในพระไตรปิฎก เช่น “อญญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ” แปลว่า พระอัญญาโกณฑญั ญะ ไดร้ ้แู ล้วหนอ ดังน้ัน “หนอ” จึงไม่ได้กรรมฐานของประเทศพม่า แต่เปน็ คำท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก ท่ีสามารถ สบื ค้นได้ ในพม่าไม่ใช้คำว่า “หนอ” ภาษพม่าใช้คะว่า “แด” เช่น “พองแด่ -เบ่งแด่”(อาจเปรียบได้กับพอง หนอ-ยุบหนอ ) คำว่า “แด่” ไม่ได้แปลว่า “หนอ” ท่ีใช้ในภาษาไทยแต่มีความหมายบ่งบอกว่า “เป็น
ภาคผนวก ๑๕ ปัจจุบันกาล” เม่ือต่อท้ายกับคำใด ก็มีความหมายว่า เป็นกิริยาท่ีกำลังกระทำอยู่ อันเป็นการเพิ่มสมาธิให้ มากขึน้ การอธิบายคำว่า “หนอ”ท่ีแปลมาจากภาษา “วต” น้ัน เป็นเพียงการอธิบายตามรูปศัพท์โดย พยัญชนะเท่าน้ัน เพ่ือประโยชน์ในการความสงสัยของผู้นิยมยึดถือในตัวอักษรพระธรรมธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของ “หนอ”ไวว้ ่า (๑) เพมิ่ ขณกิ สมาธิ คำว่า “หนอ” มีประโยชน์สำหรับเพิ่มขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) ให้มีกำลังกล้า เพ่ือจะให้ผู้ปฏิบัติเห็นรูป นาม เห็นพระไตรลักษณ์ (อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา) เห็นปัจจุบันธรรมดุจไฟนอี อน ตามธรรมดา ไฟนีออนกม็ ี แสงสวา่ งดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเพิ่มหมอ้ ไฟเข้าไปอีก ยิง่ มีแสงสว่างมากกวา่ เดิมอีกหลายเทา่ ข้อน้ีฉันใด ขณกิ สมาธิ กฉ็ ันนน้ั ตามปกติเวลากำหนด “พองยบุ ” ก็มขี ณิกสมาธิอยแู่ ลว้ ถ้าเพ่ิมคำว่า “หนอ” เขา้ ไปอีก ถว่ งเวลาให้ ชา้ ลงอีก สมาธิจึงมีกำลงั แรงขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่าเมื่อสมาธิมีกำลงั แรงขึ้นก็เป็นเหตุให้เกิดปัญญาได้ง่าย เพราะปัญญามีสมาธเิ ป็นปทฏั ฐานหรอื สมาธิเปน็ เหตุใกล้ที่จะให้ปัญญาเกดิ ข้ึน (๒) คั่นรูปนาม คำว่า “หนอ” มีประโยชน์สำหรับค่ันรูปนามให้ขาดเป็นระยะ ให้ขาดตอน ให้ขาดจังหวะ เพ่ือจะให้ผู้ปฏิบัติ ได้เห็น อนจิ จงั ทุกขัง อนตั ตาให้ชัดเจนยงิ่ ขน้ึ (๓) กำจดั ทจุ ริตทางไตรทวาร ขณะท่ีผู้ปฏิบัติกำหนดคำว่า “พองหนอ ยุบหนอ” อยู่ ย่อมไม่มี กายทุจริต คือฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติ ผิดประเวณี ไม่มีวจีทุจริต คือ พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มีมโนทุจริต คือจิตท่ีมีความ โลภ จิตมีความพยาบาท จิตมีความเห็นผิด ความบริสุทธิ์ดีท่ัวไตรทวารอันน้ีจัดเป็นศีล ใจไม่เผลอจากพอง ยบุ เปน็ สมาธิ เห็นรูปนามเป็นส่ิงทตี่ กอย่ใู นไตรลกั ษณ์ เป็นปัญญา “หนอ” เป็นการเพิ่มกำลังของสมาธิให้มากขึ้น ถ้าเปรียบเหมือนแสงสว่างของไฟนีออน ย่อม ปรากฏแสงสว่าง แวบหนึ่งแล้วดับไป เป็นอย่างนี้เสมอ เพราะกำลังไฟไม่พอ หากได้หม้อไฟเพ่ิมไฟมาช่วย แสงสว่างก็จะแจ่มจ้า ไม่มือสลัวฉันใด คำว่า “หนอ” ท่านเพ่ิมเข้ามาเพ่ือให้สมาธิมีกำลังเพิ่มขึ้นพอสมควร ฉันนัน้ พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัครมหากัมมัฏฐานาจรินะเห็นด้วยกับคำว่า “หนอ” ที่ใช้ใน ประเทศไทย เพราะคำว่า “หนอ” เป็นการเพิ่มสมาธิแก่ผู้ปฏิบัติ แม้แต่การกำหนดอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน ตามแบบพม่า ก็เป็นการเพิม่ สมาธิเหมือนกนั ผู้ท่ีเคยผ่านปฏิบัติตามแนวนี้มาแล้ว ก็จะเกิดความเข้าใจในระดับหน่ึง ผู้วิจัยเคยปฏิบัติในแนวนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ ๒๕๒๗ ที่คณะ๕ วัดมหาธาตุ ซึ่งสอนโดนพระธรรม ธีรมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ )และ เขา้ ปฏิบัตอิ กี หลายครั้งกับวิปัสสนาจารยห์ ลายท่าน ประสบการณจ์ ากกการกำหนดคำว่า “หนอ” ทำใหเ้ กิด ความรู้ตวั แจ่มชดั เป็นการเพม่ิ สัมปะชัญญะ ลักษณะคลา้ ยการตอกย้ำใหก้ ารกำหนดรูน้ ั้นไม่เลื่อนลอย มสี ติรู้ อารมณ์นั้นๆ อย่างแนบแน่นมากกว่าการกำหนดที่ไม่ลงท้ายว่า“หนอ” เป็นการช่วยให้มีสติติดต่อกันตลอด สาย ช่วยใหส้ มาธดิ ีขน้ึ เรือ่ งที่มาของระบบ“หนอ” น้ีมีข้อสันนษิ ฐานวา่ น่าจะมีการตกลงปรกึ ษาหารือกันอยพู่ อสมควร ในหมู่วิปัสสนาจารย์แห่งวัดมหาธาตุเกี่ยวกับการใช้คำว่า “หนอ” ดังนั้น คำว่า “หนอ” จึงเป็นสัญญา ลกั ษณข์ องกรรมฐานวดั มหาธาตุ จวบจนปัจจุบันน้ี หลักคัมภีร์อรรถกถาวัตถุ ได้อธิบายคำว่า “หนอ” ไว้ว่า เป็นคำแสดงถึงความเช่ือม่ัน(วตาติ โอกปฺปนจวนํ) ดังเป็นการอธบิ ายตามหลักของอรรถกถาซ่งึ ทำให้เราเชื่อมนั่ ในประสบการณ์และปริบัติธรรม
ภาคผนวก ๑๖ ว่าตรงกัน การกำหนด“หนอ” น้ันนอกจากมีความหมายตรงตามอักษร และเป็นการเพิ่มสมาธิแล้ว เป็น การเพ่ิมสติปัญญาอย่างครบวงจรตามหลักไตรสขิ าอีกด้วย แต่ในการปฏิบัติในระดับต้น ๆ ก็เป็นการยากท่ี ผปู้ ฏิบัติจะรู้วา่ ตนเองได้ สมาธิ สติ หรือ ปัญญา แต่เมื่อผู้ปฏิบัติผ่านประสบการณ์ปฏิบัติในระดับหนึ่งอย่าง ต่อเน่ือง จึงจะรู้ได้ชัดเจนว่า “การปฏิบัติเจริญก้าวหน้าโดยลำดับ” และมีกำลังใจในการปฏิบัติคำว่า “หนอ” ปรากฏอยแู่ ลว้ ในคัมภีร์พระไตรปฎิ ก และอรรถกถา การกำหนด “พองหนอ-ยุบหนอ” คำว่า “พอง-ยุบ” เป็นการกำหนดของวาโยธาตุ (ธาตุลม) ซ่ึงเป็นหน่ึงในมหาภูตรูป๔ ซ่ึงอยู่ใน หมวดธาตุมนสิการปัพพะ การอธิบายแบบน้ีน่าจะถูกต้องตรงกับความจริง เพราะลักษณ์ของวาโยธาตุ คือ เคร่งตึง อาการพอง จะมีลักษณะตึงมากกว่าอาการ ยุบ และในสภาวะที่แท้จริงก็เกิดจากลมในช่องท้องคือ ลมหายใจท่ีทำให้เกิดอาการ“พอง-ยุบ” ดังท่ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในกายานุปัสสนา ธาตุมนสิการปัพพะว่า ดกู ่อนภิกษุทัง้ หลายข้ออื่นยังมีอยู่ ภิกษุพิจารณาดูกายนี้ แหละตามที่ต้ังอยู่โดยความเป็นธาตุวา่ ในกายน้ี มี ธาตุดิน ธาตุนำ้ ธาตไุ ฟ ธาตุลม อาการพอง-ยุบ เป็นเพียงอุบายวิธีที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานใช้กำหนดรู้ เป็นอาการที่จิต สามารถรู้ได้ชัดเจนมากกว่าอารมณ์อ่ืนๆ และมีการเกิดข้ึนต่อเนื่องกัน ตลอดเวลาท่ียังมีการหายใจ ซึ่งเป็น ปัจจัยให้สมาธิเกิดง่ายขึ้น ส่วนธาตุต่างๆ ได้แก่ปฐวีธาตุ(ธาตุดิน ) มีลักษณะ แข็ง และอ่อน เตโชธาตุ(ธาตุ ไฟ) มีลักษณะอุ่นหรือเย็น และ อาโปธาตุ(ธาตุน้ำ) ซ่ึงมีลกั ษณะเกาะกุมเอิบอาบก็มอี ยใู่ นรา่ งกาย ให้เรารู้สึก ได้ ซง่ึ เปน็ อารมณก์ รรมฐานไดเ้ ช่นกัน ถา้ อารมณ์ใดปรากฏชดั จะตอ้ งกำหนดรอู้ ารมณน์ ั้นๆ ในการกำหนดอาการพอง-ยุบ ให้ใช้จิตกำหนด อย่าใช้ปากกำหนด อาการไหวขึ้นลงของท้อง ที่ ปรากฏในขณะกำหนดว่า ว่า “พองหนอ ยุบหนอ” จนเห็นสภาพความเคลื่อนไหวของรูปท้อง ตรงกับท่ี พระพทุ ธเจ้าตรสั ไว้ในสังยุตตนิกายว่า ภิกษทุ ั้งหลาย พวกเธอจงเอาใจใส่กำหนดรปู ให้ดี พยายามจับเอา ความไม่เท่ียงของรูปให้จงได้ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุย่อมกำหนด รูปที่ไม่เท่ียงอยู่แล้วน้ันแหละว่า เป็น ของไมเ่ ท่ียง การกำหนดของภกิ ษุนั้นยอ่ มเปน็ สัมมาทฎิ ฐิ ความเหน็ ท่ถี ูกต้องโดยแท้ การกำหนดอาการพองหนอ-ยุบหนอ เช่นนี้ จัดเข้าในขันธมั มานุปัสสนา ท่ีมาในมหาสติปัฏฐาน สตู ร และยังตรงกบั ขอ้ ความในพระไตรปฎิ กหลายแหง่ เชน่ ในสังยตุ ตนิกายว่า ภิกษทุ ้งั หลาย เธอทง้ั หลาย จงเอาใจใส่กำหนดอารมณ์ท่ีมากระทบ โดยแยบยล และจงกำหนดความไม่เท่ียงของอารมณ์น้ันด้วย ภิกษุ ท้ังหลายหากภกิ ษุกำหนดเหน็ อารมณ์ทม่ี ากระทบว่าเป็นของไมเ่ ท่ยี ง สมั มาทิฎฐิกเ็ กิดขึ้นแกเ่ ธอ ในสังยุตตนิกาย วา่ ผทู้ ี่สามารถกำหนดรแู้ จ้ง สามารถคลายกำหนัด สามารถละโผฎฐพั พารมณ์ ในสงั ยุตตนิกาย ว่า ผู้ท่ีเหน็ อาการไมเ่ ที่ยง ของ โผฎฐัพพารมณไ์ ด้ เป็นผู้สามารถละอวิชชาได้ ในการกำหนดเล่นน้ี จัดเข้าในอายตนธรรมานุปัสสนา ที่มาในมหาสติปัฏฐานสูตร นอกจากน้ียังตรง กับข้อความแห่งธาตุเทสนา เป็นต้นว่า วาโยธาตุภายในกายก็ดี วาโยธาตุภายนอกกายก็ดี มีอยู่ วาโยธาตุ เหล่านั้นท้ังหมด ก็คือว่าโยธาตุนั้นแหละ (ภิกษุ) พึงกำหนดวาโยธาตุน้ันให้เห็นตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่ใช่ ของเรา นี้ไมใ่ ช่อัตตาตวั ตนของเรา การกำหนดเช่นน้ี จดั เข้าในธาตุมนสิการกายานุปัสสนา ซง่ึ มาในมหาสติปฏั ฐานสูตร นอกจากวาโยธาตุ แล้ว รูปท่ีพองและยุบของหน้าท้องเป็นทุกขสัจ กล่าวคือรูปปาทานขันธ์ ซ่ึงตรงกับข้อความแห่งสัจจเทสนา วา่ ภกิ ษุทงั้ หลายทกุ ขสัจเปน็ ไฉน? พึงตอบวา่ ไดแ้ ก่ขนั ธ์ ๕ นนั่ แหละ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจอันภิกษุพึงกำหนดรู้ การกำหนดเช่นน้ีจัดเข้าใน อริยสัจจธัมมา นปุ ัสสนา เท่าที่ยกขอ้ ความในพระไตรปิฎกมาทั้งหมดนี้ เป็นการยืนยันวา่ การกำหนดอาการพองหนอ ยุบ
ภาคผนวก ๑๗ หนอนน้ั ถกู ตอ้ งตามคัมภีร์พระไตรปฎิ ก และอรรถกถา สำหรับคำว่า “พองหนอ-ยุบหนอ” ในพระไตรปิฎก ไม่ได้กล่าวไว้ เพียงแต่พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อผู้ปฏิบัตินั่งอยู่ ก็รู้ว่าน่ังอยู่ ซึ่งเป็นการตรัสแบบกว้างๆ ผู้ ปฏิบัติท่ีไมส่ ามารถรู้อาการพองยุบได้ อาจกำหนด “นั่งหนอ” “ถูกหนอ” ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ใน การกำหนด ถ้าอาการพอง-ยุบ ชัดเจนกว่าก็ควรกำหนด อาการพอง-ยุบแทน เพราะจับอารมณ์ได้ง่ายและ สมาธิเกิดขึน้ เรว็ ในการอธิบายเองการกำหนดว่า “พองหนอ-ยุบหนอ” พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณ สิทฺธิ ) อธบิ ายตรงกับข้อความว่า กายของผู้ปฏิบัติน้ัน ต้ังอยู่ในอาการใดๆ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ชัดซ่ึงกายนั้น โดยอาการน้ันๆ ทา่ นให้เหตุผลว่าพระพุทธองคต์ รัสพระบาลีอย่างครอบจักรวาล “พอง-ยุบ” จัดเข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน จติ ตานปุ ัสสนาสติปัฏฐานและธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐานได้ โดยทา่ นใหเ้ หตุผลวา่ ในกายอันยาววาหนา คืบของเราน้ี เรากำหนดที่ไหนๆก็ได้สามารถเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาได้ท้ังส้ิน อุปมาเหมือนรถกับเรือน ขอให้เราจบั ตวั รถถกู หรอื จบั เรอื นถูก เป็นอนั ว่า เราจับถูกรถ ถกู เรือนเปน็ แน่ โดยไมต่ อ้ งสงสยั ข้อนี้เป็นการอธิบายความแบบกว้าง ๆ ครอบคลุมเน้ือหาสติปัฏฐาน ๔ โดยสรุปแล้ว เป็นการ ปฏิบัติโดยยึดรูปนามเป็นอารมณ์ แต่เฉพาะเรื่องการกำหนดอาการ “พองหนอ-ยุบหนอ”พระธรรมธีรราช มหามนุ ี (โชดก ญาณสิทฺธิ ) อธบิ ายแตกต่างจากพระมหาสีสะยาดอ และ อู ชนกาภวิ ังสะ กัมมัฎฐานาจรยิ า ซ่ึงอธิบายว่าเป็นการกำหนดวาโยธาตุ แต่พระธรรมธีรราชมหามุนี อธิบายว่าเป็น อานาปานปัพพะ โดย เป็นปัพพะหน่ึงในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะลมหายใจเข้าเป็นเหตุ ท้องยุบเป็นผล วิธีการกำหนด เชน่ น้ใี นทางวปิ ัสสนาได้ผลดี เหมือนกับการกำหนดลมหายใจเข้าออกโดยตรง ในเรื่องนี้นั้น อาจจะเป็นการอธิบายให้ผู้ปฏิบัติยอมรับว่า วิธีการนี้ไม่แตกต่างไปจากการกำหนดลม หายใจ เหมือนวิธีเก่าด้ังเดิม เพื่อให้ผู้ปฏิบัตยิ อมรับไดง้ ่าย ซ่ึงการอธิบายนี้ วิปัสสนาจารยร์ ุ่นหลัง ๆ ยงั สอน ว่า เป็นการกำหนดปลายลมแทนที่จะเป็นต้นลม ในความเห็นของผู้วิจัย มีความเข้าใจว่า “การกำหนด อาการพองยุบเป็นการกำหนดวาโยโผฏฐัพพารมณ์” เพราะว่าโดยสภาวะลักษณะของวาโยธาตุ มีลักษณะ เคร่งตึง พัดโบก ส่ันไหว ซ่ึงการเคล่ือนไหวของหน้าท้องจึงเป็นลักษณะของวาโยโผฏฐัพพารมณ์ ตรงตาม สภาวะลกั ษณะของธาตุลม แต่สำหรบั อานาปานปัพพะ เปน็ การมสี ตติ ามรู้ลมหายใจ หรือกองลมโดยตรง ซึ่ง แตกต่างจากการรู้ทางหน้าท้องอนั เปน็ โผฏฐพั พารมณ์ทเี่ กิดจากลม การเดินจงกรมในพระไตรปฎิ กและอรรถกถา แนวการสอนกรรมฐานของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสทิ ฺธิ ) ท่านเน้นการเดินจงกรม ควบคู่กบั การน่งั กรรมฐาน ซึ่งการเดินจงกรม คือ การเดนิ ธรรมดาโดยมสี ตคิ อยกำหนดอยตู่ ลอดเวลา เป็น การกำหนดสติที่รูปกาย อันเป็นอิริยาบถหน่ึงในอิริยาบถทั้ง ๔ คือ อิริยาบถปัพพะในกายานุปัสสนา ซ่ึงมีใน พระไตรปฎิ กว่า “เม่ือภกิ ษุผู้ปฏบิ ัตเิ ดินอยู่ ก็ร้วู า่ กำลงั เดินอยู่” ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้กว้างๆ ถึงการมีสติรู้ว่า กำลังเดิน แต่คำสอนของ พระธรรมธีรราชมหา มุนีได้สอนการเดินจงกรมไว้ ๖ ระยะ โดยจะสอนให้เดินและนั่งใช้เวลาเท่ากันในเบ้ืองต้น เพื่อปรับความ สมดลุ ของวิริยะกบั สมาธใิ หเ้ ทา่ เทียมกัน เม่ือผู้ปฏบิ ัติกำหนดรูปนามได้ทันปัจจบุ ัน พระอรรถกถาจารย์จึงได้ อธิบายวิธีท่ีพระพุทธเจ้าตรัสให้ง่ายต่อการปฏิบัติ อธิบาย การเดินจงกรมอย่างละเอียดในคัมภีร์ อรรถกถา เช่น “การเดินจงกรมนับแบ่งเท้าก้าวออกเป็น ๖ ระยะ” ซึ่งสามารถเปรียบได้กับการเดินจงกรมแบบการ สอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี ดงั น้ี (๑) การยกเท้าขึน้ จากพ้นื (อุทฺธรณ์ นาม ปาทสฺส ภูมิโต อุกเฺ ขปนํ) ชื่อว่า อุทธรณะ เทียบได้กบั “ยก ส้นหนอ”
ภาคผนวก ๑๘ (๒) การยื่นเท้าไปข้างหนา้ (อติหรณํ นาม ปุรโต หรณ)ํ ช่อื วา่ อติหรณะ เทยี บได้กบั (ยกปลายเท้า ขึ้น) (๓) เม่ือผู้ปฏิบัติเห็นตอหนาม หรืองูเป็นต้น อย่างใดอย่างหน่ึง แล้วย้ายเท้าไปข้างน้ีและข้างนี้ (วิติ หรณํ ขานุกณฺฏกทีฆชาติอาทีสุ กิญฺจิเทว ทิสฺวา อิโต จิโต วปาทสญฺจนํ นาม) เรียกว่า วิติหรณะ เทยี บไดก้ ับ “ย่างหนอ” (ยา่ งเทา้ ไปข้างหน้า) (๔) เม่ือลดหย่อนเท้าให้ต่ำลงกับพ้ืน(โวสฺสชฺชนํ นาม ปาสฺส โอโรปนํ) เรียกว่า โวสัชชนะ เทียบได้กับ “ลงหนอ” (ลดระดบั เท้าลงแตย่ ังไมถ่ งึ พื้น) (๕) เม่ือวานเท้าลงที่พ้ืนดิน(สนฺนิเขปนํ นาม ปฐมวิตเล ฐปนํ) เรียกว่า สันนิ เขปนะ เทียบได้กับ “ถกู หนอ”(ปลายเทา้ แตะพืน้ ) (๖) ขณะเท้าก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง กดเท้าอีกหนึ่งไว้กับพ้ืน (สนฺนิรุมฺภนํ นาม ปุน ปาทุทฺธรณ กาเล ปาทสฺส ปฐวิยา สทฺธึ อภินิปฺปีฬนํ) เรียกว่า สันนิรุมภนะ เทียบได้กับ “กดหนอ” (วาง เฉพาะสน้ ทางลง) พระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ) สอนการเดินจงกรมตามแบบอรรถกถามากกว่าใน พระไตรปิฎก อาจจะด้วยเหตุผลทว่ี ่าการเดนิ จงกรมในพระไตรปิฎกเป็นทฤษฎีที่ตรัสไว้แบบกว้างๆ คนท่ี เกิดภายหลังไม่ทราบพุทธาธิบาย จึงต้องอาศัยการตีความของพระอรรถกถาจารย์ ผู้รู้การอธิบายของ พระพุทธเจ้าเป็นหลกั อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเดินจงกรมในพระไตรปิฎกกับอรรถกถาจะมีความแตกต่างกันในเร่ือง วธิ กี ารปฏิบตั ิ แต่จะไมแ่ ตกต่างกันเลยในเร่ืองของ “สาระสำคัญ” ดังนน้ั พระธรรมธีรราชมหามุนหี รอื แม้แต่ พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าสายมหาสีสะยาดอต่างก็จะอธิบายว่า ความสำคัญของการเดินจงกรม มิได้อยู่ท่ี ระยะเดียวหรือเพิ่มระยะ มากขึ้น แต่อยู่ท่ีกำหนดสติ กับอาการเคลื่อนไหวของเท้าเป็นสำคัญ เช่น ขณะท่ี เดินอยไู่ ม่วา่ ระยะใด กค็ อยกำหนดสติใหท้ ันปจั จุบนั อาการที่เทา้ เคลือ่ นไหวไป กบั สติท่กี ำหนดการให้ทันกัน พอดี ไม่กอ่ นหรือไม่หลงั การปฏบิ ัตเิ ช่นนี้ จงึ จะทำใหก้ ารเดินจงกรมได้ผล ในทางตรงข้ามกัน แม้วา่ ผู้ปฏิบัติ จะพยายามเดินระยะสูงๆ เช่น ระยะท่ี ๔- ๕- ๖ แต่ผูป้ ฏิบัติไม่สามารถกำหนดอาการเคลื่อนไหวของเท้าทัน ปจั จบุ นั ได้ การปฏบิ ตั วิ ิปัสสนากไ็ ม่สามารถเกิดสมั ฤทธผ์ิ ลได้เลย ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจึงไม่ต้องกังวลว่า “จะเดินตามหลักพระไตรปิฎก หรือ อรรถกถา” เพียงแต่การ เดินจงกรมน้ันต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ อาตาปี(ความเพียร) สติมา(ความมีสติระลึกเสมอ) สัมปชาโน (ความร้ตู วั ทว่ั พรอ้ ม) กเ็ ป็นการปฏิบัตถิ กู ต้องตามหลกั พระไตรปฎิ กและอรรถกถา พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ พระวิปัสสนาจารย์ชาวพมา่ ได้อธิบายเก่ียวกับการเดินจงกรม ๖ ระยะว่า “เน่ืองจากคนรุ่นหลังเป็นผู้มีกิเลสหนาแน่น” จึงต้องอาศัยการเดินจงกรมหลายระยะ เพ่ือให้จิต เกิดสมาธิ(ขณิกสมาธิ) วิริยะ และสติที่คล่องแคล่ว วิริยะช่วยให้ผู้ปฏิบัติต่ืนแล้ว เอาใจใส่กำหนดอยู่เสมอ การกำหนดท่ีทนั ปจั จุบนั เป็นปัจจุบันสำคญั ท่จี ะทำให้บรรลธุ รรม ผล นิพพาน การเดินจงกรมที่มากเกินไป จะเกิดปัญหาต่อการปฏิบัติ อันเกี่ยวกับอินทรีย์โดยเม่ืออินทรีย์ไม่ เสมอกัน จะเกิดผลดังน้ี วริ ิยะมากเกินไป คือ การเดินจงกรมมากเกินไป จะทำให้ฟุ้งซานมาก ในเวลานั่งสมาธิ สมาธมิ าก เกินไป คือการนั่งกรรมฐานเป็นเวลานานๆ จะทำให้ง่วงนอน ซึมเศร้า และหลับในโดยไม่รู้ตัว หรือบางราย สมาธยิ งิ่ เกินจนเกิดอาการตวั แข็ง ฉะน้ัน วิริยะกับสมาธิควรจะสมดุลกัน โดยต้องปรับการเดินนั่งให้สม่ำเสมอกัน สติกำหนดได้ทัน ทันปจั จบุ นั ญาณปัญญาจึงเกิดได้ทำลายอวชิ ชา และคลายความยดึ มั่นในอตั ตา ตัวตนได้หมดสน้ิ
ภาคผนวก ๑๙ การกำหนดอิรยิ าบถใหญ่ และ อิรยิ าบถยอ่ ย อิริยาบถใหญ่ ได้แก่ การเดิน การน่ัง การยืน การนอน ส่วน อิริยาบถย่อย ได้แก่ การก้าวไป การถอยหลัง เหลียวซ้าย แลขวา คู้ เหยียด พาดสังฆาฏิ ห่มจีวร นุ่งผ้า กิน ดื่ม เค้ียว ลิ้มรส ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เดนิ ยืน น่ัง นอน หลับ ตนื่ พดู โดยสรปุ คอื อาการ๒๒ พระธรรมธีรราชมหามุนี สอนเน้นการกำหนดอิรยิ าบถใหญ่น้อย เพราะมีความสำคัญมาก ขณะ ยืนกต็ ้องมกี ารกำหนดวา่ “ยนื หนอ” ซ่ึงตรงกบั หลักฐานในพระไตรปิฎกว่า “ผปู้ ฏบิ ัตยิ นื อยู่ กร็ ้วู ่ายนื อยู่” การกำหนดให้ตรงกบั สภาวะความเป็นจริงจะทำให้มีประสิทธภิ าพในการปฏิบัตอิ ย่างมาก แม้ ในเบื้องต้นผู้ปฏิบัติยังยึดติดอารมณ์บัญญัติ คือ รู้ว่ายืนโดยยึดอัตตา ว่า เรายืน เม่ือกำลังของสติ สมาธิ ปัญญามากขึ้น จะทำใหเ้ ห็นสามัญลกั ษณะ คือ ความเป็นธาตุ และสภาวะลักษณะ คือสภาพไตรลักษณ์ จิต จะละคลายความยึดมั่นลงได้ อิริยาบถเดิน นั่ง และนอน มีนัยเดียวกัน เช่น อิริยาบถนอนก็กำหนดว่า“นอน หนอ” ซ่ึงตรงกบั พระไตรปฎิ ก “เวลานอนก็รวู้ า่ กำลังนอนอยู่” ในอิริยาบถนอนน้ัน พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ) สอนให้กำหนดพองหนอ ยุบ หนอจนกว่าจะหลับ การกำหนดว่านอนหนอเพียงขณะนอนลงทันทีแรกเท่านั้น เพ่ือให้จิตเกาะอารมณ์ท่ี ชัดเจนกว่า และแคบลง เพื่อให้สติ สมาธิ ปญั ญา เกิดได้ง่ายกวา่ อิริยาบถย่อย นั้น ท่านจัดอยู่ในหมวดสัมปชัญญะปัพพะ ว่า ด้วยการมีสัมปชัญญะรู้ตัวใน อริ ยิ าบถใหญ่ และอิริยาบถย่อย ทั้งปวง ในชวี ติ ประจำวนั คอื รูอ้ าการ ๒๒ ใน ปัจจบุ นั ทุกขณะ ในการเปลยี่ น อิริยาบถจากเดินจงกรมเป็นน่ังสมาธิ หรือจากน่ังสมาธิเป็นลุกข้ึนเดินจงกรม ก็ต้องกำหนดอิริยาบถย่อยให้ ครบถ้วนท่ีสุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจะช่วยไม่ให้อารมณ์รัว่ ขาดสติ หากละเลยการกำหนดอิริยาบถย่อย จะ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ เป็นช่องทางให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ เข้าแทนที่ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้ คณุ ภาพการปฏบิ ัติถอยลงไป การกำหนดอิริยาบถย่อย น้ี ตรงกับพระไตรปิฎก ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ข้ออ่ืนยงั มีอยู่อกี ภิกษุเวลาก้าวไป ถอยกลับ กำหนดรู้อยู่ ฯลฯ เวลาเดินไป เวลาเดิน เวลาน่ัง เวลาฟัง เวลา ตน่ื เวลาพูด เวลานิ่งเงียบ ก็กำหนดรอู้ ยู่ ดังน้ัน การสอนให้กำหนดอิริยาบถใหญ่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และอิริยาบถย่อย ของพระ ธรรมธีรราชมหามนุ ี จงึ ตรงตามพระไตรปิฎกทุกประการ การกำหนดเวทนา พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ) สอนวธิ กี ารกำหนดเวทนา ๓ ทา่ น ไดแ้ ก่ สขุ เวทนา กำหนดว่า “สุขหนอ” ทกุ ขเวทนา กำหนด คำว่า “ทุกข์หนอ” อทุกขมสุขเวทนา กำหนด ว่า”เฉยหนอ” ซงึ่ การกำหนดเวทนา น้ี เป็นเวทนานปุ ัสสนาสติปฎั ฐาน ดูภาวะที่จิตเสวยอารมณ์ กำหนดให้ เท่าทันปจั จบุ ันและตรงสภาวะตามจริงของผู้ปฏิบัติตรงกับหลกั พระไตรปิฎก ดงั น้ี ภิกษเุ มอื่ เสวยสุขเวทนา กร็ ูช้ ดั วา่ “เราเสวยสุขเวทนา” เมือ่ เสวยทุขเวทนากร็ ชู้ ัดวา่ “เราเสวยทุขเวทนา” เมื่อเสวย อทุกขมสุข เวทนา กร็ ู้ชัดว่า“เราเสวย อทุกขมสุขเวทนา” ดังนั้น การกำหนดเวทนาตามคำสอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) จึงมีบาลี รองรับ นบั ว่าถูกต้องตามพระไตรปฎิ ก การกำหนดเวทนา ต้องกำหนดท้ังทางกายและทางใจ เช่น เจ็บ ปวด ตึง เคลด็ ขัด ยอก วิงเวยี น เป็นตน้ ผู้ปฏิบตั ิต้องมีความเพยี รพยายามอดทน อดกล้ัน กำหนดอยู่เสมอว่า กำหนดแลว้ จะหายไปหรือไมก่ ็ ตาม จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม พยายามกำหนดให้ทัน พยายามขยับตัวให้เวทนาหายไป การปฏิเสธไม่ ยอมรับเวทนาเป็นเร่อื งท่ีผู้ปฏิบัติทุกคนชอบทำซ่ึงไม่ถูกต้อง เพราะเวทนานั้นเกิดโดยสภาวะของแตล่ ะญาณ ทกุ คร้ังที่สามัญญลักษณะชดั ข้ึนมา ผู้ปฏบิ ัติจะพบกบั ทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าจนขยายเสอม ดังนั้น หากผู้
ภาคผนวก ๒๐ ปฏิบัติทำลายเวทนาโดยจงใจ ก็ย่อมไม่สามารถเข้าไปเห็นวิปัสสนาญาณ อันเป็นลักษณะต่างๆ ของสภาว ลักษณะ สามัญญลักษณะ และอริยสัจ ๔ ได้ เพราะอิริยาบถ น้ีเป็นตัวปิดบังทุกข์ ทุกครั้งที่ขยับเปล่ียน อิรยิ าบถ ความทุกขจ์ ากความเม่ือยล้า เจบ็ ปวดก็จะลดลงหรอื หายไป ธรรมดาเวทนาต่างๆ การเม่ือย เจ็บ ปวด เหล่าน้ี ย่อมมีอยู่ในร่างกายของคนเราเสมออยูแ่ ล้ว ถึง ในขณะอยู่ปกติ ไม่ได้ใช้สติกำหนดพิจารณาเวทนานั้นก็คงมีอยู่เหมือนกัน แต่เราก็ไม่ค่อยจะรู้สึกเท่าไร เพราะจิตใจของตนเราไม่ได้อยู่ท่ีตัวเอง คิดไปในเรื่องราวต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ไปไม่ปกติ ไม่มีสมาธิ ฉะน้ันจึงไม่ รู้สึกอาการของเวทนาเท่าไรนัก แต่เวทนาที่เกิดขึ้นนั้น ขณะไม่ได้กำหนดสติ หรือกำหนดสติอยู่ก็ตาม เป็น เวทนาท่ีมีกำลังเท่าๆกัน ไม่แตกต่างอะไรกัน แต่ผู้ปฏิบัติมีกำลังใช้สติกำหนดพิจารณารูปนามอยู่น้ันจิตใจ ย่อมมสี มาธิ กวา่ ผู้ไม่ไดก้ ำหนดสติ อำนาจของสมาธนิ ีท้ ำใหก้ ำหนดความรู้สึกต่อเวทนานน้ั ปรากฏชัดมาก อุปมาเหมือนเสียงนาฬิกาในเวลากลางคืน ยิ่งดึกเสียงนาฬิกายิ่งปรากฏชัดมากขึ้น ทั้งนี้เพราะ เวลากลางวันนน้ั ไมส่ งบ มีเสยี งอืน่ ๆเขา้ มากลบเสยี งนาฬิกา และจิตใจของคนก็ไม่ได้สนใจนาฬกิ าน้ี ไม่สนใจ เร่ืองราวอื่นๆ จึงไม่ได้ยินเสียงนาฬิกา ส่วนตอนกลางคืน มีความสงบมากกว่าตอนกลางคืน จิตใจคนย่อม สงบกว่า ฉะน้ัน แม่มีเสยี งอะไรเล็กน้อยก็สามารถได้ยินชัดเจนกว่าเวลากลางวัน ท้ังๆท่ีเสียงนาฬกิ าน้นั กไ็ ม่ ผดิ แปลกแต่อยา่ งใดขอ้ อปุ มาก็เช่นเดียวกับ เวทนาท่ปี รากฏข้ึนกับตัวเรา ก็เชน่ เดยี วกับเสียงนาฬิกา ข้อคิดในการกำหนดเวทนาที่สำคัญ อีกประการหนึ่ง คือ โยคีต้องระวังความรู้สึกให้เวทนานั้น หายไปเร็วๆ อย่าปล่อยจิตให้ทุกข์ร้อนทุรนทุรายไปกับเวทนาที่แรงกล้าหรืออย่ารู้สึกติดใจพอใจในสุข เวทนา ในการพิจารณาดูเวทนานั้นจะต้องวางจิตให้ถกู ต้อง หนา้ ทีข่ องโยคี เพียงแต่เฝ้าดูเท่าน้ัน ดูเฉยๆ วาง อุเบกขาขณะตามเวทนาต่างๆ อยา่ ดใี จเม่อื เวทนานั้นทเุ ลาหรือหายไป อย่าปรุงแต่งคิดหาเหตผุ ลวิจัย เวทนา ว่าคงเกิดจากการนั่งนาน ๆ ในทา่ เดยี ว หรอื คงเกิดจากโรคเก่ากำเริบ ไม่ใช่ทำหนา้ ท่ีของโยคีจะคิดวิตกวิจาร การคิดปรุงแต่งจัดแจงเป็นการเพ่ิมกิเลส ตัณหา เป็นการสร้างสังขาร โยคีจะตอ้ งฝึกฝน แยกตัวตนหรือยึด ม่ันในตัวตน อัตตาว่าเป็นการท่ีได้รับทุกขเวทนา วิธีการฝึกโดยทำใจมนสิการให้ถูกต้องว่า ตนน้ันเป็นผู้ดู เท่านั้น อะไรจะเกดิ ขึ้นดำเนินไปอย่างไรก็ตาม โยคีจะต้องเปน็ ผดู้ เู ฉยๆ ในการฝกึ ตนใหเ้ ปน็ เพยี งผู้ดูนั้นต้องเริม่ ฝกึ ฝนจากการเวทนาเล็กนอ้ ย เวทนาท่ีไมร่ ุนแรงจนจติ เกิด ความชำนาญ แหลมคม และว่องไว ในการตามรู้สภาพของเวทนาแม้เล็กน้อยด้วย การวางเฉย จนสามารถ ปล่อยวา่ งในเวทนาทร่ี ุนแรงไดด้ ้วยสมาธิที่มากพอเมอ่ื กำหนดเวทนา เวทนาก็จะหายไปด้วยสมาธิ แตส่ มาธิ ยงั ไม่เข้มแข็งเม่ือกำหนดเวทนาแลว้ ย่ิงปวดมากขึ้น ก็ต้องผ่อนจิตและสติ ให้ดูแบบรับรูเ้ ฉยๆการเปลี่ยนอิริย บถทันทีท่ีเกิดเวทนา ก็จะไม่มีอิริยาบถที่จะอดทนต่อเวทนาใหม่ที่ตะเกิดข้ึนต่อไป สมาธิก็แตกซานไปแล้ว แต่ถา้ สามารถกำหนดติดตามจนถงึ ทีส่ ุดของเวทนาแล้วจะเหน็ อาการต่าง ๆ ของเวทนาอย่างพสิ ดารจนเกิด ปัญญาเข้าใจสภาวะธรรมชาติของเวทนา นั้นๆ แล้วผู้ปฏิบัติจะก้าวล่วงสภาวะนั้นข้ึนไปสู่วิปัสสนาญาณที่ สูงขนึ้ ถ้าเวทนารุนแรงมากก็ต้องเปล่ียนอิรยิ าบถ ข้อสำคัญควรมีมนสิการในใจให้ถูกต้องว่าการเปลี่ยน อิริยาบถนั้น เพราะสามารถมาจากความบีบค้ันจากอิริยาบถเก่า จิตคิดจะเปลี่ยน จึงมีการเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นการพิจารณาให้เกดิ ความรู้ถึงเหตุผลของรูปนามบางครง้ั นามเป็นเหตุ รูปเป็นผล บางครง้ั นามเป็นผลรูป เป็นเหตุ มิใช่เปลี่ยนเพราะตันหาความอยากให้เกิดสุขเวทนา แม้ในอิริยาบถใหม่ท่ีเปลี่ยนไปนั้นก็เป็นทุกข์ แต่โยคีมักมองไม่เห็น อิริยาบถเกา่ เป็นทุกขเ์ ห็นได้ชดั เจนกว่า เมอ่ื สติ สมาธิ ปัญญามากข้ึน จะสามารถเห็น รูปนาม ตามความเปน็ จริงว่าเปน็ ทุกขไ์ ด้ การกำหนดจิต ในหมวดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานน้ัน พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) สอนให้
ภาคผนวก ๒๑ กำหนดในเวลาโกรธวา่ “โทสะหนอ” ในเวลาไม่โกรธ ให้กำหนดว่า “ไมม่ ีโทสะหนอ” จิตที่มคี วามคิดนึก ฟุ้ง ซานหงุดหงิด จิตมีสมาธิเป็นต้น ให้กำหนดทันตามสภาวะที่เป็นจริงขณะน้ันๆ ก็จะอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ากำหนดให้ทันคือคิดเพลินไป ก็เป็นนิวรณ์ ๕ เป็นทางรั่วให้กิเลสเกิดขึ้นในจิตตน การกำหนดเช่นน้ี ตรง ตามพระไตรปิฎกท่ีว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมรู้จักจิตที่มีราคะว่าเป็นจิตที่มีราคะ ฯลฯ ย่อมรู้จัก จิตที่ไร้โมหะว่าเป็นจิตท่ีไร้โมหะ ในการกำหนดจิตให้ตรงตามสภาวะและเท่าทันปัจจุบัน ทำให้เกิดพลังของ สติ สมาธิ ปัญญา และความเพยี ร ทำใหก้ ิเลสเบาบางลงไปตามลำดบั การกำหนดอายตนะ เรื่องการกำหนดอายตนะนี้ อยู่ในหมวด ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นการกำหนดตรงจุด รอยต่อระหว่างอายตนะภายในและภายนอก เช่น ตากับรูปเป็นต้น การกำหนดดังนี้ว่า “เห็นหนอ ได้ยิน หนอ ได้กลิ่นหนอ รสหนอ ถูกหนอ คิดหนอ” ให้ตรงตามความเป็นจริง ในขณะปัจจุบันที่กำหนดนั้น เป็น การตัดรอยต่อของปฏิจจสมุปบาทในช่วง “ผัสสะ” ซ่ึงเป็นผลให้เกิดเวทนา เม่ือกำหนดบ่อยๆ ชำนาญมาก ขนึ้ จติ จะไม่สรา้ งอัตตา ไมเ่ ลยไปถึงตณั หา นับว่าเป็นการตดั พบชาติได้ วิธกี ารนีต้ รงกับพระไตรปฎิ กที่วา่ “เม่ือตาเห็นรูป กำหนดว่า ตาเห็นหนอ” เป็นต้น การกำหนดอย่างน้ี เป็นการปิดกั้นกิเลสท่ีจะเกิดต่อเน่ือง จากการเห็น ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ สภาวญาณ ความก้าวหน้าทางวิปัสสนา ทางศาสนาเรียกว่า “ญาณ” หรือ“วิปัสสนาญาณ” มี ๑๖ ขั้น ซ่ึง เป็นเครือ่ งมือในการสำรวจผลของการปฏิบัติ ในสมัยพุทธการพระพุทธองค์หย่ังรู้ วาระจิตของผู้ปฏิบัติ เม่ือ พระองค์เสดจ็ ดับขนั ธปรนิ พิ าน การตรวจสอบการปฏบิ ตั ิวิปสั สนากรรมฐาน จึงต้องอาศัยหลกั การในคมั ภีร์ การรู้เร่ืองโสฬสญาณอาจเป็นได้ท้ังแง่ลบและแง่บวก ในแง่บวก เป็นการสร้างกำลังใจในการปฏิบัติและ ตรวจสอบความก้าวหน้าของตนเอง ในแง่ลบ การรู้เร่ืองญาณอาจเป็นอุปสรรคในการเจริญวิปัสสนา กรรมฐาน เพราะจิตของผู้ปฏิบัติมุ่งคอยจองผลของการปฏิบัติอยู่ ผู้ปฏิบัติบางคนก็นึกโน้มน้าวไปตามท่ีเคย ได้ยนิ ได้ฟงั มา ทำให้เกิดอุปาทานว่า “สภาวะนั้นๆ ได้บงั เกิดขึน้ กับตนแลว้ ” ซ่ึงทำให้เกิดความฟ้งุ ซ่าน เป็น อปุ สรรคต่อการปฏบิ ัติ ผู้ปฏิบัติที่นำเรื่องญาณ ไปพูดคุยสอบถามกันเอง เช่น ถามว่า “ผ่านญาณแล้วหรือยัง” จัดเป็น คำถามทไ่ี ม่สมบูรณ์ เพราะญาณท้ังหมดมี ๑๖ ญาณ การตอบคำถามนีเ้ หมือนดาบ ๒ คม คือ ถ้าผู้ตอบยงั ไม่ ผ่านญาณ ๑๖ ก็จะร้สู กึ นอ้ ยหน้า ไม่ได้รับการชนื่ ชม ถา้ ผ่านญาณ ๑๖ จริง ก็มีส่วนเป็น ผู้อวดอตุ ตริ มนุสส ธรรม เวน้ แตจ่ ะมมี นสกิ ารว่าจะชว่ ยสรา้ งสรา้ งศรทั ธาแก่ผู้ฟงั ใหเ้ ห็นว่า การปฏิบัตไิ ด้ผลจรงิ ส่วนผู้ต้ังคำถาม ถ้าไม่มีคุณธรรมในตน จะมีข้อเสียมากมาย ได้แก่ ถ้าคำตอบคือ “ยังไม่ผ่าน ญาณ” อาจทำให้หมดกำลังใจท้อแท้ เห็นว่าการปฏิบัติวิปัสสนาน้ี ยากเข็ญ อาจเลิกปฏิบัติหรืออาจคิดว่า ยังมีคนอ่ืนอีกที่ไม่มีญาณ ฉะน้ัน เราก้อไม่ต้องเร่งรีบ ทำให้ผลการปฏิบัติช้าลง แต่หากว่าผู้ปฏิบัติผู้น้ันตอบ ว่า “สามารถผ่านญาณ ๑๖ แล้ว” ผู้ถามอาจเกิดปีติศรัทธาขึ้นช่ัวขณะ ในเวลาเดียวกันก็อาจสงสัยว่า “ทำ ไม่ผู้ปฏิบตั ิผา่ นญาณ ๑๖ เป็นถึง อรยิ บุคคลยงั มีความประพฤติบกพร่องมากมาย” ท่เี กิดความคิดนี้เพราะผู้ วินิจฉัยขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประหาณกิเลสของมรรคญาณแต่ละข้ัน ว่าทำหน้าที่กำจัดกิเลส อะไรบ้าง ยังเหลือกิเลสอะไรบ้าง จึงทำให้เกิดการดูถูกดูหมิ่น ผู้ปฏิบัติธรรมผู้นั้นขึ้นมา อาจถึงกับ วิพากษว์ ิจารณโ์ ดยขาดความเคารพคุณธรรมของกันและกันได้ ส่วนผู้ที่ถามแล้วเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า ที่จะถือเอาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ และมีความ เคารพในความมีคุณธรรมของผู้ผา่ นญาณ ๑๖ แลว้ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จดั เป็นความคิดทีถ่ ูกต้องที่สุด
ภาคผนวก ๒๒ ขอ้ เสนอแนะ เพราะไม่เป็นภัยแกต่ นเอง และให้คุรอย่างมหาศาล คือ เป็นต้น เหตุแห่งความสำเร็จในอริยมรรคในอนาคต ได้ การปลอ่ ยให้ผู้ปฏบิ ัติรูส้ ภาวะล่วงหน้าท้ังยังปฏิบัติไม่ถงึ เรียกวา่ เป็นการทำลายหรือการฆ่า ไม่ให้ โยคีผู้นั้นมีโอกาสเจริญก้าวหน้า ต่อไปในการปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัติพยายามจะล่วงรู้ก็เป็นการทำลายตนเอง หลักสูตรโลกิยะใช้ไม่ได้กับหลักของวิปัสสนา ความรู้ทางทฤษฎีมิได้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติได้เปรียบผู้อื่น กลับเป็น เครื่องถ่วงเวลาทำให้ความสำเร็จล้าช้าออกไป มากน้อยข้ึนกับผู้ปฏิบัติแต่ละท่าน ผู้ปฏิบัติที่เป็นนักทฤษฎี มกั จะมคี วามสงสัย ชอบวิเคราะห์ทฤษฎี ซ่งึ เปน็ ตัววจิ กิ ิจฉานิวรณ์ หนทางที่จะช่วยได้ คอื ลงมือปฏิบัตทิ ันทีจนเกดิ ขณิกสมาธิ ผู้ปฏิบัติจะเขา้ ใจ สภาวะรปู นามท่ีละ น้อยๆ ความสงสัยจะถูกกำจัดเป็น ตทังคปหาน จนกระท้ังบรรลุเป้าหมายจึงจะสามารถกำจัดวิจิกิจฉา นิวรณ์ได้เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน คือ ความสงสัยตัวน้ีจะไม่เกิดข้ึนอีก ส่วนความสงสัยอื่นๆ ภายหลัง เปน็ ปฏิรปู กวจิ ิกจิ ฉา คือความสงสัยเทียม ซึ่งไมป่ ดิ ก้ันมรรค ผล นพิ พานแตอ่ ย่างใด ฉะนั้นทางท่ีดีท่ีสุดผู้ปฏิบัติทุกท่านควรต้ังใจเอาใจใส่ปฏิบัติ ให้ดีท่ีสุดดีกว่าเอา เวลาอันมีค่าไป สนใจเร่ืองของคนอ่ืน หรอื สนใจ รู้สภาวญาณลว่ งหน้า มีหน้าท่ีอยู่ ๓ อย่างที่มีความสัมพันธ์กัน ในระหวา่ ง ปฏิบตั ิวปิ สั สนา ได้แก่ (๑) หนา้ ทขี่ องผู้ปฏบิ ัติ คอื กำหนดรปู และนามใหท้ นั ปจั จุบันแลว้ สง่ อารมณ์ (๒) หน้าท่ีของวิปัสสนาจารย์ คือ แก้ไขสภาวะและแต่งอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติให้สมดุลอยู่เสมอ โดยการสอบอารมณ์ (๓) หน้าที่ของวิปสั สนาญาณ คือ สภาวลกั ษณะของรูปและนาม สภาวะของสามัญญลักษณะ ๓ และสภาวะของอริยสจั ๔ ถ้าผู้ปฏิบตั ิทำหน้าท่ีของตนได้ถูกต้องสมบรู ณ์ไมร่ ่ัวไหลแล้ว วิปัสสนาจารย์ก็ยอ่ มทำหน้าท่ีได้แม่นยำ รวดเร็วทันเหตุการณ์ และจากนั้น และจากน้ัน วิปัสสนาญาณก็ย่อมผุดข้ึนให้เห็นได้โดยสภาวะของแต่ละ ญาณโดยลำดับ การปฏิบัติวิปสั สนาก็จะกา้ วหน้าจนบรรลผุ ลได้ในที่สุด การปฏบิ ัติกรรมฐานตามแนวสติปฏั ฐาน ๔ เป็นหลักการท่ีถูกต้องตามแนวแห่งพระพทุ ธศาสนา ดงั้ เดมิ ในยุคหลังทพ่ี ระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ดับขันธปรินิพพานแล้ว เมอื่ พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรืองอยู่ในประเทศ ศรีลงั กา พม่า และประเทศไทย ความสมั พันธด์ ้านพระพุทธศาสนาระหวา่ งกันของ ๓ ประเทศนี้ โดยเฉพาะ ดา้ นพระศาสนา มีตลอดเวลาและแน่นแฟน้ เพราะวิปัสสนาธุระเป็นสาเหตุสำคญั พระสงฆ์ในศรลี ังกาปฏิบตั ิ เครง่ ครัด มีวปิ สั สนาธุระเขม้ แขง็ กษัตรยิ แ์ ห่งพุกาม(พมา่ ) และไทยที่สง่ พระองค์ของตนไปศึกษาเพื่อกลบั มา เผยแพร่วิปัสสนาธุระในบ้านตน หรือ เมื่อวิปัสสนาธุระในพุกามหรือไทยเข้มแข็ง ทางการศรีลังกาก็เชิญ พระสงฆ์จากพุกามหรือไทยไปเผยแพร่วิปัสสนาธุระในศรีลังกา เพราะฉะนั้น ประเด็นที่ควรไปศึกษาต่อ น่าจะเป็นเรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบวิปัสสนาธุระในประเทศไทยกับประเทศพม่า” หรือ “การศึกษา เปรียบเทียบวิปัสสนาธุระในประเทศไทยกับประเทศศรีลังกา” อีกประเด็นท่ีควรศึกษาเพ่ิมเติมคือ “การศึกษาผลสัมฤทธ์ิแห่งการนำหลักวิปัสสนากรรมฐานมาใช้เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการเรียนของนิสิต ระดับอดุ มศกึ ษา” ข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติ ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยท้ังเชิงปริมาณและคุณภาพเกี่ยวกับผลดีของ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นเครื่องยืนยันว่า วิปัสสนากรรมฐานมีอานิสงส์มาก และจะมีอานิสงส์ มหาศาลในกลุ่มประชาชนทุกระดับ ถ้ามีการประยุกต์ปฏิบัติให้เหมาะแก่ เพศ วัย และสถานภาพมากขึ้น โดยจัดรูปแบบปฏิบัติแตกต่างกันออกไป แนวการสอนและปฏิบัติของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) มีกระบวนการขั้นตอนซับซ้อนก็จริง แต่ถ้าพจิ ารณาดตู อนสรุปทุกครงั้ ท่านจะกล่าวถึงเฉพาะ
ภาคผนวก ๒๓ รูปนามเท่าน้ัน รูป คือ ในส่วนท่ีเป็นความเคลื่อนไหว เป็นภาพปรากฏ เป็นเสียงที่ได้ยิน นามคือส่วนที่เป็น ความคิด ให้กำหนดรู้เท่าทันงา่ ยๆ วา่ “เดินก็ใหร้ ู้ว่าเดิน นง่ั ก็ใหร้ ู้วา่ น่ัง ไดย้ ินกใ็ หร้ ู้ว่าได้ยนิ รสู้ ึกโกรธกใ็ ห้ รู้ว่ารู้สึกโกรธ หรือ คิดก็ให้รู้ว่าคิด” ให้กำหนดง่ายๆ อย่างน้ี พยายามสอนกันและกันให้กำหนดรู้รูปนาม อย่างน้ี ในชีวิตประจำวนั หรือจะสอนให้รูแบบอ่ืน ๆ ก็ได้ เพ่ือกำหนดพิจารณารูปนามวิปัสสนากรรมฐานก็ จะอำนวยประโยชนแ์ กช่ าวโลกอย่างมหาศาล จากการศึกษา ผู้วิจัยพบว่า การปฏิบัติสมถวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน นอกจากมีอานิสงส์ ๕ ประการ อนั เป็นเปา้ หมายหลกั ตามนัยสตปิ ฏั ฐานสูตรแลว้ อานิสงส์ อนื่ ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั ชีวิตปจั จุบนั คอื ๑. ช่วยเสริมปัญญารู้เห็นตามเปน็ จรงิ เขา้ ถึงสารตั ถะของสรรพสิ่ง ขจดั อวชิ ชาให้หมดไป ๒. ช่วยขจดั ความเป็นผดิ (มจิ ฉิฏฐ)ิ เชน่ เห็นวา่ บุญบาปไมม่ ี สวรรคน์ รกไมม่ ี ๓. ชว่ ยขจดั ส่งิ ทีเ่ ปน็ กอ่ ใหเ้ กิดทุกข์ โดยการรูเ้ ทา่ ทนั ไม่หลงสมมตหิ รือบญั ญัติ ๔. ชว่ ยขจัดความฟ้งุ ซานแหง่ จติ อันเกิดจากการวิ่งพล่านตามกระแสโลก ๕. ช่วยให้พลังความจำชัดเจน และมีประสิทธิภาพเพราะฝึกให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ และขจัดอปุ สรรค(อนั ตราย)ของความจำ(นิวรณ)์ ให้หมดไป ๖. ทำให้จิตมีเสรีภาพสมบูรณ์ อันเป็นรากฐานของเสรีภาพทุกด้าน เพราะจิตปราศจากกิเลส คือโลภ โกรธ หลง สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นทางสายเอก เพื่อ ความบริสทุ ธิ์ เพื่อการล่วงพ้นความโศกเศร้ารำพัน เพ่ือดับทุกข์โทมนัส เพ่ือบรรลอุ ริยมรรค มอี งค์ ๘ และเพ่ือทำใหแ้ จ้งซ่ึงพระนิพพาน เพ่ือการแกป้ ัญหาด้านสังคม เช่นปญั หายาเสพ ติด ควรจัดให้มีสำนักฝึกอบรม วิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐานให้พอเพียง เพราะ เรามีแนวปฏิบัติตามแนวของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ) เป็นแนวท่ีดี สง่ เสริมให้เข้าใจทง้ั ทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ัต”ิ
ภาคผนวก ๒๔ รหัส ๓-๔๖ แบบบนั ทกึ ขอ้ มูลงานวิทยานพิ นธ์ ช่อื วิทยานิพนธ์ การศกึ ษาเปรยี บเทียบแนวการปฏิบตั ิกรรมฐานของหลวงพอ่ เทยี น จิตตฺ สโุ ก และพุทธทาสภิกขุ ผู้วจิ ัย (A Comparative Study of Teaching on Meditaion Practices between LUANGPHOTHIAN ปรญิ ญา CITTASUBHO AND BUDDHADÃSA BHIKKHU) ปี พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขโิ ต (แสงแกว้ ) วัตถปุ ระสงค์ พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๔๖ การทบทวน ๑. เพ่ือศึกษาหลักการและวธิ กี ารการปฏิบตั กิ รรมฐานในพระไตรปิฎก เอกสารและ ๒. เพ่อื ศึกษาแนวคิดหลกั คำสอนและวิธีการเกี่ยวกบั การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุ งานวิจัยที่ เก่ยี วขอ้ ง โก และพุทธทาสภกิ ขุ ๓. เพอื่ ศกึ ษาเปรียบเทียบการปฏิบัตกิ รรมฐานตามแนวหลวงพ่อเทียน จติ ฺตสโุ ก และพุทธทาสภิกขุ ในสว่ น นยิ ามศัพท์ ท่ีคล้ายคลึงกันและแตกต่างกันและความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับแนวการปฎิบัติกรรมฐานใน ดำเนินการวิจยั พระไตรปิฎก สรุปผลการวิจยั ๑. หลักการและวิธีการปฏิบัติกรรมฐานในพระไตรปิฏก ได้แก่ ความหมายของกรรมฐาน ความสำคัญ ประเภท อารมณ์ จุดมุ่งหมาย หลักการและความสำคัญมหาสติปัฏฐานสูตร วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ๔ แบบ ประโยชนแ์ ละคุณค่าการปฏบิ ตั ิกรรมฐาน ๒. วธิ ีการปฏบิ ัติกรรมฐานตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จติ ฺตสุโภ ได้แก่ จุดเดน่ แนวคิดและหลักคำ สอน จุดเด่นหลักคำสอนในการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การนำหลักการและวิธีกาปฏิบัติ กรรมฐานตามแนวพระไตรปฏิ กมาประยกุ ตใ์ ช้ ๓. วิธีการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของทา่ นพุทธทาสภิกขุ ได้แก่ จุดเด่นแนวคิดและหลักคำสอน จุดเด่นหลักคำสอนในการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การนำหลักการและวิธีการปฏิบัติ กรรมฐานตามแนวพระไตรปิฏกมาประยุกตใ์ ช้ ๔. การศึกษาเปรียบเทียบวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตามแนว หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และ ท่านพุทธ ทาสภิกขุ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะท่แี ตกต่างกัน ลักษณะทีส่ อดคล้องกันของการปฏิบัติ ๑. กรรมฐานหรือกัมมัฏฐาน หมายถึง ท่ีตั้งแห่งการงาน อารมณ์เป็นที่ต้ังแห่งการงานของใจ อุบายทาง ใจ วิธีการฝึกอบรมจติ มี ๒ อยา่ งคือ สมถกมั มฏั ฐาน ๑ วปิ สั สนากมั มฏั ฐาน ๑ ๒. สมถกรรมฐานหรือสมถภาวนา หมายถึง อุบายสงบใจ การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ ตั้งม่ัน ควร แก่การใชก้ าร หรอื วธิ ีฝึกจิตให้สงบระงบั จากนิวรณูปกเิ ลส ๓. วิปัสสนากรรมฐานหรือวิปัสสนาภาวนา หมายถึง อุบายเรืองปัญญา การฝึกจิตให้เห็นแจ้งตรงต่อ ความเป็นจริงของสภาวธรรมตามท่ีเป็นอยู่ หรือวิธฝี กึ อบรมจิตใหเ้ กิดปญั ญาเหน็ ไตรลักษณเ์ ปน็ เหตุให้ ถอนความหลงผิดร้ผู ดิ ในสงั ขารเสยี การวิจัยเชงิ เปรียบเทยี บโดยศึกษาค้นคว้าข้อมลู ทางเอกสาร กรรมฐานเป็นงานสำหรับพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิและปัญญา เป็นเคร่ืองมือสำคัญในการปฏิบัติ เพื่อดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือ ความดับทุกข์ ผู้ปรารถนาจะเข้าถึง จุดมุ่งหมายดังกล่าวจึงต้องศกึ ษาและปฏบิ ัติกรรมฐาน การศึกษาเปรียบเทียบแนวการปฏิบัตกิ รรมฐานของ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโก และพุทธทาสภิกขุ ทำให้ทราบว่าแนวคิดหลักคำสอนและวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ตลอดถึงการนำหลักการวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ของท้ังสองท่านมี
ภาคผนวก ๒๕ จดุ เด่นดังนี้ การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวหลวงพ่อเทียนมีจุดเด่นอยู่ท่ีการใช้สติเข้าไป กำหนดรู้อาการ เคล่ือนไหวของอิริยาบถน้อยใหญ่ โดยมีจุดประสงค์เพ่ือบ่มเพราะสติให้มีกำลังที่จะเข้าไปรู้เท่าทัน ความคิดนึกปรุงแต่งอันเป็นสาเหตุของความทุกข์ สติที่ได้รับการพัฒนาด้วยวิธีเจริญสติอย่างถูกต้องจนมี กำลังเพียงพอ จะสามารถเข้าไปควบคุมกระแสความคิดไม่ให้ปรุงแต่งไปตามอำนาจกิเลสได้ การปฏิบัติ กรรมฐานตามแนวหลวงพ่อเทียนจึงมีหัวใจแห่งการปฏิบตั ิสำคัญอยทู่ ี่การมีสติดูกายที่เคล่ือนไหวและดใู จ ที่นึกคิด ซึง่ เมื่อว่าโดยหลักการปฏบิ ตั ิตามแนวพระไตรปิฎกมหาสตปิ ัฏฐานสูตรจดั เข้ามา กายานุปสั สนาสติ ปัฏฐานและจติ ตานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ว่าโดยวิธีการปฏิบัติในพระไตรปิฎกจัดเข้าในวิธีการเจรญิ วิปัสสนา นำหน้าสมถะและวธิ ีการปฏบิ ตั ิเพอื่ ออกจากธรรมุธัจจ์ สว่ นการปฏิบัตกิ รรมฐานตามแนวพุทธทาสภกิ ขุมีจุดเด่นอยู่ท่ีอานาปานสติแบบสมบรู ณ์ คือ การใช้สติกำหนดพจิ ารณาลมหายใจ (กาย) เวทนา จิต และธรรม ทุกลมหายใจเข้าออก มีกระบวนการ ปฏิบัติ ๑๖ ขั้น โดยมีจุดประสงค์เพ่ือบ่มเพาะสติ ปัญญา สัมปชัญญะและสมาธิ สำหรับเข้าไปควบคุม กระแสปฏิจจสมุปบาทไม่ให้ไหลไปในฝ่ายเกิดทุกข์จนทำลายความยึดม่ันถือมั่นได้ แนวการปฏิบัติอานา ปานสติแบบสมบูรณ์มีหลักการครอบคลุมสติปัฏฐานท้ัง ๔ ในมหาสติปัฏฐานสูตรและจัดเข้าในวิธีการ เจริญสมถะนำหน้าวิปัสสนา นอกจากนี้พุทธทาสภิกขุยังแสดงวิปัสสนาระบบลัดส้ันสำหรับผู้มีเวลาจำกัด เพื่อให้ปฏบิ ัติได้สะดวกซงึ่ มีจุดเด่นอยทู่ ่ีการใช้สติกำหนดรู้ลมหายใจและอิริยาบถใหญ่น้อยโดยแยกส่วน เป็นนามรูป เบญจขันธ์ และพิจารณาถึงความไม่เท่ียง ความจางคลาย ความดับไป ความสลัดคืน อาการที่ยึดมั่นถือม่ันในลมหายใจและอิริยาบถเหล่าน้ัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายความรู้สึกว่าเป็น ตัวตนของตนในขณะทเี่ ขา้ ไปเกี่ยวข้องกับทกุ ส่ิงพร้อมกับมองเหน็ ตามเป็นจริง การปฏิบัตติ ามแนววิปัสสนา สูตรจัดเข้าในกายานุปัสสนาระบบลัดสัน้ ซึ่งเมื่อว่าโดยหลักการปฏิบัติตามแนวพระไตรปิฎกมหาสติปัฏฐาน สตู รจัดเข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานและธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ว่าโดยวิธีการปฏิบัติในพระไตรปิฎก จัดเข้าในวธิ ีการเจริญวิปัสสนานำหน้าสมถะและวิธกี ารปฏบิ ัตเิ พือ่ ออกจากธรรมธุ ัจจ์ ในการศึกษาแนวการปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโก และพุทธทาสภิกขุ ผู้วิจัยได้ กำหนดศึกษาเปรียบเทียบใน ๓ ประเด็น คือ (๑)แนวคิดและหลักคำสอน (๒)วิธีการปฏิบัติ (๓)การนำ หลกั การและวิธกี ารปฏบิ ตั ิตามแนวพระไตรปฎิ กมาประยุกต์ใช้มเี นือ้ หาสาระเก่ียวขอ้ งกันตามลำดับ ในประเด็นแรก คือ แนวความคิดและหลักคำสอนนั้น หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโก และพุทธทาส ภิกขุมีทัศนะตรงกันในเรื่อง ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตมีความบริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน โดยหลวงพ่อเทียนได้ ยืนยันถึงธรรมชาติเดิมของจิตซึ่งมีอยู่ในทุกคนว่าเป็นธรรมชาติมีความสะอาด สว่าง สงบอยู่ในตัวเป็น พน้ื ฐาน สอดคล้องกับพุทธทาสภกิ ขุที่ยืนยันทำนองเดียวกันว่าธรรมชาติของจิตเดิมแท้นนั้ ตามแนวคิดของ ท่านท้งั สองยังอยูใ่ นฐานะท่จี ะถูกปรงุ แต่งดว้ ยกิเลสและความคิดไดจ้ งึ ยังไม่ถาวร ทัศนะของท่านทั้งสองเก่ียวกับการนำเสนอแนวคิดและหลักคำสอนเรื่องสาเหตุของความทุกข์ แตกต่างกันคือ หลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโก มองสาเหตุแห่งความทุกข์วา่ มาจากความคิดท่ีปราศจากสติปัญญา กำกับในขณะที่พบเห็นหรือสัมผัสอารมณ์ซ่ึงเป็นสาเหตุให้จิตเข้าไปเกาะเก่ียวพัวพันติดอยู่กับเร่ืองราว ความคิดน้ัน บุคคลท่มี ีจิตตกอยู่ภายใต้อิทธิพลความคิดเชื่อวา่ ยังหาความสขุ สงบท่ีแท้จริงไม่ได้ การอธบิ าย สาเหตุของความทุกข์ตามแนวของหลวงพ่อเทียนเช่นน้ียึดเอาความรู้สึกท่ีเกิดกับคนทั่วไปเป็นหลัก ส่วน ทัศนะพุทธทาสภิกขุ มองวา่ สาเหตุของความทกุ ขม์ าจากอุปทาน คอื ความยดึ มนั่ ถือมนั่ เปน็ ตวั ตน ของ ตน ในทุกสิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องซ่ึงมีกระบวนการเกิดข้ึนอย่างเป็นมีระบบตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็น การอธบิ ายตามหลักวชิ าการ
ภาคผนวก ๒๖ มีข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ เทคนิคการใช้ภาษาสื่อสารของท่านท้ังสองต่างกันคือ หลวงพ่อ เทียนได้ใช้ภาษาในการถ่ายทอดธรรมะด้วยการนำคำศัพท์ต่างๆ ที่ชาวบ้านท่ัวไปคุ้นเคยที่ได้ยินได้ฟังมา จากครูบาอาจารย์มาตีความให้มีความหมายเป็นไปในแนวที่เก่ียวกับพฤติกรรมทางกายและจิตท่ีเป็นไปใน ปัจจุบันโดยยึดประโยชน์ท่ีการสื่อธรรมให้ผ้ฟู ังเข้าใจเป็นหลัก การใช้ภาษาของท่านจงึ มีลักษณะเป็นภาษา พูดไม่เป็นระบบ ส่วนพุทธทาสภิกขุนำหลักธรรมตามที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมาตีความหมายแยกเป็น ๒ ประเดน็ คอื ภาษาคนและภาษาธรรมโดยยดึ การนำไปใช้ปฏิบัติในปจั จุบนั เปน็ หลัก การใช้ภาษาของทา่ น พทุ ธทาสจึงมีแหล่งที่มาและเป็นระบบ ถึงแม้การใช้เทคนคิ ทางภาษาในการอธิบายธรรมของท่านทั้งสอง จะต่างกัน แต่เม่ือวา่ โดยจุดหมายในการตีความและการใช้ภาษาล้วนมีจุดประสงค์ร่วมอย่างเดียวกันคือมุ่ง ให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ดับทุกข์ในปัจจุบันได้ดังจะเห็นได้จากการอธิบายตีความ อริยสจั จ์ ๔ ของหลวงพ่อเทยี น และการตคี วามปฏิจจสมุปบาทของพุทธทาสภกิ ขุ เปน็ ต้น การอธิบายลำดับสภาวธรรมท่ีเกิดแก่ผู้ปฏิบัติของท่านท้ังสองของท่านมีความแตกต่างกัน คือ หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ ได้อธิบายลำดับสภาวธรรมจากประสบการณ์การปฏิบัติของท่านโดยเรียกว่า อารมณ์ของการปฏบิ ตั ิ ลำดบั สภาวธรรมเหลา่ นีไ้ ม่เปน็ ระบบตามหลักวิชาการแบง่ ออกเป็น ๒ ภาค คือ (๑) การรู้จักอารมณ์สมมติมีผลทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตอิสระเช่ืองมงาย (๒) ผู้ปฏิบัติท่ีผ่านประสบการณ์ในอารมณ์ สมมติแล้วก็จะรู้จักอารมณ์ปรมัตถ์ไปจนกว่าจะประสบสภาวะอาการเกิดดับอันเป็นจุดสุดท้ายของการ เจรญิ สติ ส่วนพทุ ธทาสภกิ ขุไดย้ กเอา อานาปานสติท้ัง ๑๖ ขั้น เป็นหลักการปฏิบัติและถือวา่ อานาปานสติ ท้ัง ๑๖ ขั้น เป็นการแสดงถึงหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ และพระพุทธทาสภิกขุยังแสดง ถึงวิปัสสนาระบบลัดสั้นโดยวิธีปฏิบัติ คือ เบื้องต้นเพียงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและอิริยาบถใหญ่น้อย ให้เห็นสักว่าเป็นลมหายใจและอิริยาบถตามท่ีกำหนดเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน จากน้ันกำหนดลม หายใจและอิริยาบถใหญ่น้อยโดยความเปน็ รปู นาม เบญจขันธ์ โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นอนัตตา โดย ความจางคลาย โดยความดับไป และโดยความสลัดคืน แนวการปฏิบัติของพุทธทาสภิกขุดำเนินไปอย่าง เป็นระบบตามหลกั วชิ าการ ในประเด็นที่สอง คือ วิธกี ารปฏิบัตินั้นพบว่า รูปแบบและวิธีการในการปฏิบัติของท่านทั้งสอง ต่างกัน โดยที่หลวงพ่อเทียนใช้วิธีการปฏิบัติแบบเคล่ือนไหว กล่าวคือ ต้องใช้สติกำหนดรู้อาการ เคลื่อนไหวของรา่ งกายพร้อมกับดูจิตใจท่นี กึ คิด วธิ ีการปฏิบัตินี้ต้องเคลอ่ื นไหวรา่ งกายอยู่ตลอดเวลาเพ่ือ เป็นอุปกรณ์ให้สติกำหนดจบั ตรงกันข้ามกับ วิธีการปฏิบัติอานาปานสติตามแนวพุทธทาสภิกขุ ต้องอาศัย ด้วยความสงบน่ิงในอิริยาบถน่ังพร้อมท้ังกำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดเวทนา จิตและธรรม เป็น หลัก และวธิ ีการเจรญิ วปิ ัสสนาแบบลัดส้ันตามแนวพุทธทาสภิกขุ ต้องใช้สติกำหนดลมหายใจและอิริยาบถ น้อยใหญ่เป็นหลักพร้อมทั้งนึกคำบริกรรม ช่ือของอาการหรืออิริยาบถน้ันกำกับลงไปด้วย ซึ่งต่างจาก วิธีการปฏิบตั ิตามแนวหลวงพอ่ เทียน ไม่ตอ้ งว่าคำบริกรรมอะไรเพียงแตใ่ ช้สติกำหนดรู้อิรยิ าบถและจิตใจที่ นึกคิดเท่าน้ัน วิปัสสนาระบบลัดสัน้ ตามแนวพุทธทาสภิกขถุ ึงแม้จะกำหนดอิริยาบถนอ้ ยใหญ่เหมือนกนั กับ แนวการเจรญิ สติตามแนวหลวงพ่อเทียน แต่มวี ธิ ปี ฏิบตั ิในส่วนรายละเอียดต่างกนั ทัศนะต่อความสงบแบบสมถะ ของท่านท้ังสองต่างกันคือ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มองว่า ความสงบแบบสมถะถึงข้ันจิตสงบจนเกิดฌานยังอยู่ภายใต้โมหะ ยังไม่ใช่ทางดำเนินไปสู่ความสงบอย่าง ถาวรท่ไี ม่ตอ้ งตกอยภู่ ายใตโ้ มหะ สว่ นความสงบท่ีเกิดจากการเจริญสติรู้เทา่ ทันกายท่ีเคลื่อนไหวและจิตใจท่ี นึกคิดจึงเป็นทางเข้าถึงความสงบท่ีถาวร ดังน้ัน แนวการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียนจึงไม่ส่งเสริมให้เจริญ สมถะจนจิตสงบลงในฌาน ตรงกันข้ามกับวิธีการปฏิบัติตามแนวพุทธทาสภิกขุ มองว่าความที่จิตสงบเป็น สมาธิถึงระดับฌานเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งต่อการเจริญวปิ ัสสนาขึ้นสูงขึ้นไปจดั เป็นวิหารธรรมที่ดีอีก
ภาคผนวก ๒๗ อย่างหน่ึงด้วย ถึงแม้แนวการปฏิบัติของท่านท้ังสองจะมรี ูปแบบและวิธีการรวมถึงทัศนะต่อความสงบ ต่างกันดังกล่าว แต่เมื่อพิจารณาในส่วนที่เหมือนกันพบว่า ท่านท้ังสองยึดการปฏิบัติกรรมฐานโดยใช้สติ เป็นพ้ืนฐานสำคัญของการปฏิบตั ิและมุ่งเน้นการประจกั ษแ์ จ้งผลของการปฏิบัตใิ นปจั จุบันเป็นหลักสำคัญ โดยไม่ต้องรอถึงภพหน้า เพราะการกระทำทุกอยา่ ง ตามทรรศนะทางพุทธศาสนายอ่ มส่งผลแก่ผู้ปฏิบัติใน ขณะท่ีทำลงไปนั่นเอง ซ่ึงผลทางด้านจิตใจโดยตรง ส่วนผลทางด้านวัตถุจัดเป็นผลโดยอ้อม เช่นเดียว กับ การปฏิบตั กิ รรมฐานยอ่ มทำให้ผู้ปฏิบัตไิ ดร้ ับความสงบ เย็นในขณะที่ปฏิบัติ ในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมและตรวจสอบการปฏิบตั ิ พบว่า หลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ ได้เอาใจ ใส่ดูแลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิดและมีการสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติพร้อมกับให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อ การปฏิบัตติ ่างจากพุทธทาสภิกขุซงึ่ เมอื่ แนะนะหลักการปฏิบัตจิ นเข้าใจแล้วก็ปลอ่ ยเป็นหน้าที่ของผูป้ ฏบิ ัติ จะต้องทำเองไม่มีการสอบอารมณ์หรือดูแลอย่างใกล้ชิด เพียงแต่คอยให้คำปรึกษาเม่ือผู้ปฏิบัติเกิดความ สงสัยในการปฏิบัติ ประเด็นท่ีสาม การนำหลักการและวิธีการปฏิบัติในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ พบว่า หลวง พ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้นำหลักการปฏิบัติมหาสติปัฏฐานสูตรมาประยุกต์ใช้โดยเน้นท่ีกายานุปัสสนาสติปัฏ ฐานที่ว่าด้วยการมีสติกำหนดอิริยาบถใหญ่และอิรยิ าบถย่อยและเน้นที่ จิตตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ๔ ต่าง จากพุทธทาสภิกขุซ่ึงนำหลักการปฏิบัติในพระไตรปิฎก คือ อานาปานสติมาประยุกต์ใช้ซ่ึงมีหลักการ ครอบคลุมสติปัฏฐาน ๔ นอกจากนี้พุทธทาสภกิ ขไุ ด้นำหลักการปฏบิ ัตใิ นมหาสติปัฏฐานสูตรมาประยุกต์ใช้ กับการปฏิบัติวิปัสสนาระบบลัดส้ันโดยเน้นที่หมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่ว่าด้วยการกำหนดลม หายใจเข้าออก และว่าด้วยการมีความรู้สึกตัวอยู่กับอาการเคลื่อนไหวอิริยาบถน้อยใหญ่พร้อมกับเน้นที่ หมวดธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่ีวา่ ด้วยกำหนดขันธ์ ๕ และกำหนดหมวดธรรม ๔ เม่ือพิจารณาในส่วนที่ เหมือน พบว่า หลักการหลักการปฏิบัติกรรมฐานของท่านท้ังสองได้นำเสนอหลกั การปฏิบัติในหมวดกายา นุปสั สนาสตปิ ฏั ฐานมาใช้เป็นพ้ืนฐานในการปฏบิ ัตเิ ชอ่ื มโยงไปสูก่ ารพิจารณาสภาวธรรมตามความเป็น จรงิ ในสตปิ ัฏฐานหมวดอ่นื ส่วนการนำวิธีการการปฏิบัติกรรมฐานในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ของท่านทั้งสอง พบว่า หลวงพ่อเทียน ได้นำวิธีการปฏิบัติในพระไตรปิฎกมาใช้เพียง ๒ วิธี คือ วิธีเจริญวิปัสสนานำหน้าสมถะ และวิธีปฏิบัติเมื่อจิตถูกชักให้ไขว้เขวเพราะธรรมุธัจจ์ ซ่ึงต่างจากวิธีปฏิบัติอานาปานสติแบบสมบูรณ์ตาม แนวพุทธทาสภิกขุที่ใช้วิธีเจริญสมถะนำหน้าวิปัสสนา ส่วนวิธีเจริญวิปัสสนาระบบลัดส้ันตามแนวพุทธ ทาสภิกขุได้นำวธิ ีการปฏิบตั ิตามแนวพระไตรปิฎกมาใช้ ๒ วิธีเหมอื นกบั หลวงพอ่ เทียน จติ ตฺ สุโภ จากผลการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ทำให้ทราบแน่ชัดว่าแนวการปฏิบัติของท่านทั้งสองแม้จะมีแนวคิด หลักคำสอนและวิธีการปฏิบัติตลอดทั้งการนำหลักการนำหลักการและวิธีการในพระไตรปิฎกมา ประยุกต์ใช้ที่ต่างกันและเหมือนกันในส่วนรายละเอียดบางประเด็น แต่เมื่อว่าโดยจุดมุ่งหมายสูงสุดแล้ว แนวการปฏิบัติทั้งสองแบบล้วนเป็นไปเพื่อควบคุมและอยู่เหนือความทุกข์อย่างเดียวกันดังนั้น แนวการ ปฏิบตั ิทั้งสองแบบจงึ มคี วามสอดคล้องลงกันกับจุดมุ่งหมายของมหาสติปัฏฐานสตู รในพระไตรปฎิ ก
ภาคผนวก ๒๘ รหัส ๔-๔๖ แบบบันทึกขอ้ มูลงานวิทยานพิ นธ์ ชื่อวิทยานิพนธ์ ศึกษาวเิ คราะห์ “สมถยานิกะ” ในการปฏิบัตกิ รรมฐานอนั มกี สิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ ผ้วู จิ ัย (An Analytical Study of Samatha-yanika Meditation Practice on Ten Kasinas ) ปริญญา (สาขา) อภิราษฎร์ ปรชี าจารย์ ปี พุทธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๔๖ ๑. เพ่ือศึกษาวิเคราะห์วิธีการเจริญกรรมฐานแบบ “สมถยานิกะ” โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ตาม การทบทวน เอกสาร แนวคดิ แนวทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ทฤษฎี ท่กี ยี่ วขอ้ ง ๒. เพื่อกำหนดนำแนวทางในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ “สมถยานิกะ” โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เป็น นิยามศัพท์ อารมณ์ มาใช้ปฏบิ ัติและพัฒนาการดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั ได้ ๓. เพอ่ื ศึกษาทัศนคตขิ องผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานแนวกสณิ ๑๐ อย่างเดยี ว และแบบ “สมถยานิกะ” โดย การดำเนินงาน วจิ ัย อาศยั กสณิ ๑๐ เป็นอารมณ์ ๑. หลักธรรมแนวกสิณ ๑๐ ได้แก่ นิยาม ความหมาย ความสำคัญ ความสำคัญของจริตต่อการฝึกรรม ประชากรและ กล่มุ ตวั อยา่ ง ฐาน ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานแนวกสิณ ๑๐ การจัดทำองค์ปถวีกสิณและการ สรุปผลการวิจัย ปฏิบัติ ผลแห่งการปฏิบัติกสิณ ๑๐ ๒. แนวทางสู่วิปัสสนากรรมฐานแบบ “สมถยานิกะ” โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ ได้แก่ นิยาม ความหมาย ความสำคัญ การเตรียมความพรอ้ มกอ่ นเจรญิ วิปสั สนา วิธีการเจริญวปิ ัสสนาแบบ “สมถ ยานิกะ” มหาสติปัฏฐาน ๔ ท่ีเหมาะสมกับการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รูปนามที่เป็นภูมิของ วิปัสสนา ๖ ความเพียรพยายามในการเจริญวิปัสสนา ภัยวิปัสสนาและวิธีการแก้ไข อานิสงส์การ เจริญวิปัสสนาแบบ “สมถยานกิ ะ” ๑. กสิณ คือ สิง่ สำหรับเพง่ มองเพอ่ื ทำใหจ้ ิตใจใหเ้ ป็นสมาธิ เป็นกรรมฐานชนิดหนงึ่ ทมี่ ีประสิทธิภาพใน การนำจติ ใหเ้ ข้าไปยึดตดิ อยกู่ ับกสณิ โดยอาศัยนมิ ิตเป็นทางเดินสอู่ ภญิ ญา ๒. ฌาน คือ การเพ่งนินิจด้วยจติ ทเ่ี ป็นสมาธิแน่วแน่ ผลแหง่ การไดธ้ รรมะ จากการฝกึ สมถกรรมฐาน ระดับโลกียธรรม ๑. ศกึ ษาในลักษณะงานวิจัยเชงิ คุณภาพผสมผสานกับงานวิจยั เชิงปรมิ าณ ๒. การวิจัยมุ่งเน้น การศึกษาวิเคราะห์ \"สมถยานิกะ\" ในการปฏิบัติกรรมฐาน อนั มีกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ โดยการฝึกเฉพาะสมถกรรมฐาน แนว กสณิ ๑๐ กอ่ นจนได้ระดบั ฌาน ๓. การใช้แบบสอบถามเพื่อสำรวจทัศนคติ เน้นกลุ่มประชากร ดังนี้ (๑) ผู้ปฏิบัติกรรมฐานแนวกสิณ ๑๐ จำนวน ๓๘ คน (๒) ผู้ปฏิบัตกิ รรมฐานแบบ \"สมถยานิกะ\" โดยอาศัยแนวกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ ผู้ปฏบิ ัติสมถกรรมฐาน “สมถยานิกะ” โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เปน็ อารมณ์ จำนวน ๖๐ คน กลมุ่ ตัวอย่างสำรวจ ทัศนคติผู้ปฏิบัติกรรมฐาน โดยมีกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน ๓๘ คน โดยใช้แบบสอบถาม ผูว้ จิ ัยได้เขา้ ไปมีสว่ นร่วมในการปฏิบัติ ต้ังแต่วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ผลการวิเคราะห์วิธกี ารเจริญกรรมฐานแบบ “สมถยานิกะ” โดยอาศัย กสณิ ๑๐ เป็นอารมณ์ตาม แนวทางพระพุทธศาสนาเถรวาท จากการค้นคว้าคมั ภีร์ เอกสาร อาทิ พระไตรปิฎก วิสุทธิมรรค ปรมัตถ โชติกะ วิมตุ ตมิ รรค พุทธธรรม ฯลฯ สามารถวเิ คราะห์ สรุปและอภิปรายผลการวจิ ยั ไดด้ งั น้ี (๑) ความหมายของ “สมถยานิกะ”โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ โดยกสณิ ทีป่ รากฏในคมั ภีร์ และหนังสือตา่ งๆ สามารถสรุปความหมายได้ ดงั นี้ กสณิ หมายถึง วัตถุที่นำมาใช้เพ่ง โดยให้เปน็ บญั ญตั ิ
ภาคผนวก ๒๙ อารมณ์ใหจ้ ิตใจไปผกู อยู่ จนมอี ารมณแ์ น่วแน่ มีกำลัง และเกิดสมาธิเปน็ ไปตามลำดับข้นั โดยอาศยั นิมิต เป็นทางเดินสู่อภิญญา กสิณน้ีมีอยู่ ๑๐ ประการ คือ กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาว อากาศ และกสิณ แสงสว่าง การปฏิบัติกสิณนี้ทุกจริตสามารถฝึกได้ และให้ได้ถึงรูปฌานข้นั ปฐมฌานจนถึง จตุตถฌานโดยไม่ต้องเปลีย่ นสมถกรรมฐานอ่ืน การฝกึ กสิณ ๑๐ นี้ เม่ือฝกึ เพง่ วัตถุอย่างใดอย่างหนง่ึ จนเกิด ปฏิภาคนิมิตแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเพ่งวตั ถุอื่นอีก สามารถเพ่งต่อไปกสิณ อีก ๙ ประเภท ก็สามารถเกิดขึ้นมา ได้เอง และการฝึกกสิณน้ีช่วยให้ปฏิบัติอรูปฌาน ๔ ที่สำคัญคือกสิณน้ีสามารถอาศัยเป็นบาทฐานในการ ปฏิบัติวิปัสสนาต่อไปได้ เมื่อสำเร็จเป็นอนาคามีบุคคลเป็นต้นไป ก็สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้เพราะ สำเร็จรูปฌาน ๔ และอรปู ฌาน ๔ ทำให้มีกำลงั สมาธิเพพียงพอที่จะเขา้ นิโรธสมาบัตไิ ด้ สำหรับการปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐานมีหลักใหญๆ่ อยู่ ๒ ประการคอื แบบ “สมถยานิกะ” และ แบบ “วิปสั สนายานกิ ะ” จากความหมายหลายนยั สามารถวิเคราะห์และสรุปลักษระและความหมายของ สมถยานิกะ ได้ดังนี้ ๑. สมถยานิกะ น้ีเป็นช่ือที่บัญญัติกันในคัมภีร์ชั้นหลัง เช่น คัมภีร์อภิธรรมปรมัตถ ติกะ มีปรากฎในพระบาลีว่า คืออุภโตภาควิมุติ ๒. เป็นวิปัสสนา ท่ีใช้สมถภูมิ ๗ หมวด ๔๐ องค์ อย่าง ใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่างเพื่อให้เกิดสมาธิในระดับท่ีสามารถอาศัยเป็นบาทฐาน เป็นอารมณ์ ผ่าน อายตนะภายใน อายตนะภายนอกแล้วพิจารณารูป นามเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนบรรลุมรรคผลพระ นิพพาน เปรียบเสมือนผู้ปฏิบัติสร้างยานพาหนะขึ้นมาก่อนเมื่อสร้างยานพาหนะตามความสามารถของ ตนเองจนพอที่จะนัง่ ไดแ้ ล้ว ก็ใช้ยานพาหนะท่ีตนสรา้ งน้ีนง่ั ไปสูจ่ ุดหมายน่ันเอง (๒) วิธกี ารปฏิบัติ แนวคิดโดยสรปุ แนวทางสูว่ ิปสั สนาแบบ “สมถยานิกะ” โดยอาศยั กสิณ ๑๐ เปน็ อารมณ์ สามารถอธบิ ายโดยสรุปได้วา่ บคุ คลทีจ่ ะปฏิบัตไิ ดน้ ้นั มีอยู่ ๒ จำพวกใหญ่ ๆ คือ ๑) จำพวกแรก เป็นบุคคลที่เคยปฏิบัติในชาติก่อนๆ มาก่อน เรียกว่า พวกอารัมมณิกกรรมฐาน พวกน้ีจะมีอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต หรือ ฌาน ท่ีเป็นทุนเดิมอยู่ เม่ือมาชาติน้ี บุญกุศล วาสนา บารมีเก่า เก้ือหนุน ผลักดัน ส่งเสริม ให้ผู้น้ันมีจิตใจฝักใฝ่ โน้มเอียง สนใจในการปฏิบัติกรรมฐาน บุคคลกลุ่มน้ีไม่ จำเป็นต้องอาศัยวัตถุมาต้ังต้นเพ่งใหม่ เพียงแต่มองธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ สีต่างๆ โดยท่ัวไป ธรรมชาติ เหล่าน้ีจะเป็นตัวกระตุ้น ตัวจุดประกาย (Spark) ทำใหเ้ กิดนิมติ ตดิ ตา พอปฏบิ ัติสมาธติ ่อ พวกนโี้ ดยมากจะ เปน็ ติเหตกุ บุคคล นิมติ เกา่ ในอดตี ชาติทงั้ หลายก็จะบงั เกดิ ขึน้ ตามลำดับ ๒) จำพวกท่ีสอง เป็นกลุ่มบุคคลท่ีไม่เคยปฏิบัติมาก่อนเลยในชาติก่อนๆ หรือเคยปฏิบัติแต่ไม่ สำเร็จฌานจากกสิณ พวกนี้ต้องเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ โดยอาศัยวัตถุมาเพ่งภาวนา จนเกิดนิมิตและฌาน ตามลำดับขั้น ตามบุญ วาสนา บารมีและความเพียรพยายาม จากน้ันจึงอาศัยฌานดังกล่าวเป็นบาทฐาน เจริญวิปัสสนาต่อไป ท้ังนี้บุคคลทั้ง ๒ จำพวกนี้ เมื่อมาฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ต้องอาศัยวิธีปฏิบัติ วิปัสสนาโดยการมองด้วยอาการหลายอย่าง ซึ่งการมองดังกล่าวก็สามารถปฏิบัติได้ ๒ แบบ คือ แบบท่ี ๑ วิธีการแบบภาวะแห่งสมถะและวิปัสสนา แบบที่ ๒ วิธีการแบบสังขารุเปกขาญาณ วิธีดังกล่าวท้ัง ๒ แบบ ผู้ปฏิบัติต้องอาศัยสัมพันธ์สืบเน่ืองกัน โดยไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะอยา่ งเดียว ทางเดียว เช่น ตัวอย่าง ผู้ปฏิบัติคือ นาย ก. เม่ือสำเร็จขั้นทุติยฌาน แล้ว ก็พอใจแค่น้ัน แล้วก็ฝึกเข้า ออก ฌานให้เป็นวสี จน ชำนาญแล้ว ก็ปรารถนาจะปฏิบัติวิปัสสนาต่อไป นาย ก. จึงเริม่ เข้าฌานใหม่ และตั้งมั่นที่ทุติยฌาน แล้วจึง ปฏิบัติวิปัสสนาแบบวิธีการที่ ๑ คือ การปฏิบัติวิปัสสนามีสมถะนำหน้า เม่ือเข้าฌานแล้ว ก็อาศัยช่วงเวลา นั้นอาศัยฌานขั้นทุติยฌาน พิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และวิธีการนี้ก็เป็นแบบ วิธีการท่ี ๒ ด้วย คือ รูปแบบย่อย คือ ปาทกฌานวาท โดยเข้าฌานก่อนแล้วพิจารณาวิปัสสนาในขณะเข้าฌาน เมื่อนาย ก. ทำจนชำนาญแล้ว ก็ออกจากฌาน เม่ือออกจากฌานแล้วก็ยังพิจารณาถึงไตรลักษณ์ในฌานท่ีตนได้ตนมี และในสภาวธรรมต่างๆ ท่ีปรากฏท่ีสัมผัสกาย ใจ ทั้งอายตนะภายใน และอายตนะภายนอก วิธีการน้ีก็จะ
ภาคผนวก ๓๐ เป็นแบบที่ ๒ ในรูปแบบย่อยคือ ปุคฺคลชฺฌานสยวาท นั่นเอง ซึ่งการกำหนดฌานนี้เป็นรูปแบบมหาสติปัฏ ฐานสี่ แบบธัมมานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และเวทนานุปัสสนา โดยฌานน้ีเป็นสัญญาที่เป็นมหากุศลที่เกิด ข้ึนกับจิต เป็นมหัคคตจิต จัดเป็นธรรมะ และในองค์ฌานก็มี ปีติ สุข เอกคัตตา ด้วยจิตเข้าไปสัมผัสรับรู้ เวทนาดังกล่าว โดยสัมผัสผ่านอายตนะภายในท่ีเกิดกับจิต เม่ือนาย ก. ปฏิบัติไปได้สักพักหนึ่ง นาย ก. ก็ ออกจากอิริยาบถน่ัง ขณะที่นาย ก. กำลังจะเปล่ียนอิริยาบถ นาย ก. กำหนดวิปัสสนาช่องทางกายานุปัสส นาสติปัฏฐานไปด้วย คือ อิริยาบถบรรพ ขณะเดียวกันก็กำหนด สัมปชัญญะบรรพในการคู้เหยียด แขน ขา อิริยาบถย่อยไปด้วย ขณะใด โอกาสใด ที่เวทนาที่เป็นทุกเกิดข้ึน เช่น เมื่อยขา ขาชา นาย ก. ก็อาศัย ชอ่ งทางเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน กำหนดทุกท่ีเกิดข้ึนมาในทันที เมื่อ นาย ก. ยืนก็กำหนดอิริยาบถบรรพ คือ ยืนก็กำหนดอิรยิ าบถบรรพ คือ ยืน แล้ว กก็ ำหนดเดินจงกรม เพ่อื ฝึกสติ และสัมปชญั ญะใหม้ ่ันคง อกี ท้ัง เป็นการผ่อนคลายกล้ามเน้ือ เลือดลมเดินสะดวก นาย ก. จะพยายามปรับอินทร์ในทุกๆ อิริยาบถให้ สม่ำเสมอกัน เพราะหากนาย ก. นั่งอย่างเดียว นายก. จะมีสมาธิมากเกินไป หากเดินมากเกินไปก็อาจมีสติ มากเกินไป มคี วามเพียรมากเกินไป นาย ก. ได้พยายามปฏิบตั ิอยา่ งนตี้ ่อเน่ืองสมำ่ เสมอ โดยมีศีล ๕ ทม่ี ่ันคง ทง้ั นี้ นาย ก. ไมม่ ีอภญิ ญาใด ๆ เพราะ นาย ก. ไดเ้ พยี ง ทุติยฌานเท่านัน้ การยกจติ สู่การพิจารณาไตรลักษณ์เปน็ ส่งิ สำคัญในการถอนจากอนุสัยกเิ ลสนอนเนื่องของบคุ คล การฝึกเพียงสติและสัมปชญั ญะเพียงอยา่ งเดียวจิตย่อมไม่สามารถถอนออกจากอาสวะกิเลสได้เด็ดขาด จาก แบบการปฏบิ ตั ิวิปัสสนาแบบสมถยายนกิ ะ ทัง้ สองแบบนั้น มผี ลทไ่ี ด้ตา่ งกัน สามารถแบง่ ได้ ๒ กลมุ่ คอื ๑) กลุ่มที่หนึ่ง เป็นกลุ่มที่ได้อภิญญา พวกน้ีฝึกจนได้จตุตถฌาน (รูปฌาน ๔) และบางคนก็ ปฏิบัติอรปู ฌานตอ่ แต่ท้ังน้ีตอ้ งผา่ นอากาสกสิณเสียก่อนจึงจะเข้าอรูปฌานข้ันตน้ คือ อากาสาณัญจายตนะ ฌานก่อน จึงจะเจรญิ อรูปฌานข้ันตอ่ ไปได้ เมื่อได้รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แลว้ พวกน้ีก็จะสามารถเข้านิโรธ สมาบัติได้เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาจนได้ถึงอนาคามี บุคคลเป็นต้นไป อภิญญาของผู้ปฏิบัติกลุ่มน้ีก็ได้ไม่ เหมือนกันอีก บางคนได้ครบ ๕ ประการ บางคนไม่ครบ บางคนระลึกชาติได้ ๓๐ ชาติ บางคน ๑๐๐ ชาติก็ มี แล้วแตบ่ ุญญาบารมีที่สั่งสมมาในชาติก่อนๆ กลุ่มนี้เม่ือปฏิบัตวิ ิปัสสนาต่อไปแบบ สมถยานิกะ อันมีกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ จนบรรลุอาสวักขยญาณ ก็จะได้อภิญญา ๖ ประการเป็นอรหัตตแบบ ฉฬภิญโญ ได้วิชชา ๓ สมาบัติ ๘ โลกุตตรธรรม ๙ ประการ มีความแตกฉานในปฏิสัมภิทายาณ ๔ รู้แจ่มแจ้งในธรรมท้ังปวง หลุดพน้ จากวฏั ฏสงสารโดยเด็ดขาด เปน็ อรหนั ตบุคคลอยา่ งสมบรู ณแ์ บบ ๒) กลุ่มที่สอง เป็นกลุม่ ท่ีไม่ได้อภญิ ญา สำหรับกลุ่มนี้ผู้ปฏิบัตมิ ีความสามารถหรือพอใจเพยี งฌาน ในระดับที่ไม่ได้อภิญญา เป็นรูปฌาน ท่ีไม่ได้โลกียวิชชา และโลกียอภิญญา แต่ก็สามารถปฏิบัติวิปสสนา แบบ สมถยานิกะ โดยอาศยั ฌาน จากกสิณที่ตนได้ เป็นบาทฐาน ปฏิบัติวิปัสสนาต่อไป ซึ่งการปฏิบัติก็เป็น เช่นเดียวกับพวกแรก เพียงแต่ความชำนาญอาจน้อยกว่า กำลังฌานน้อยกว่า แต่ก็สามารถจะบรรลุอาส วักขยญาณไดเ้ ช่นกัน กลุ่มผปู้ ฏิบัติไมว่ ่ากลุ่มใด ๆ ก็ตาม ย่อมมปี ัจจัยท่มี ากระทบ มาสมั พันธ์ตอ่ ผปู้ ฏิบัติสามารถแบ่งได้ ๒ ประการ คือ ๑) ปจั จัยส่งเสริม อันได้แก่ บุญ บารมี และการปฏิบัติกรรมฐานที่ได้ส่งั สมมาในชาติกอ่ น ๆ ทุกชาติภพ อิทธิบาท ๔ ในชาติปัจจุบัน โดยเฉพาะความเพียร ๒) ปัจจัยต่อต้าน อันได้แก่ ปัจจัย ภายใน ได้แก่ อนุสัย กิเลส นอนเน่ือง อัตตาในสันดาน ที่ตนส่ังสมมาทุกชาติภพ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ อกุศลกรรมท่ีตนเองส่ังสมมาทุกชาติภพ เจ้ากรรมนายเวร เทวปุตตมาร อันธพาล ฯลฯ อากาศ ท่ีอยู่ อาศัย อาหาร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนภาคปฏิบัติท่ีต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ท้ังน้ี ต้องอาศัยอิทธิบาท ๔ โดยเฉพาะ ความเพียร ซ่ึงมี ๓ ขั้น คือ อุกกัฎฎะ, มัชฌิมาและมุทุ ผู้ปฏิบัติต้องเป็นติเหตุกบุคคล และความเพียรต้อง
ภาคผนวก ๓๑ เข้าข่าย ๓ ประการนี้ จึงจะสามารถบรรลุผลในการปฏิบัตไิ ด้ จนท้ายทีส่ ุดก็จะสามารถบรรลุอาสวักขยญาณ ได้ ๓) ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพจากแบบสอบถามปลายเปิด (แบบสัมภาษณ์) พบวา่ มี ทศั นคตหิ ลากหลาย ตามความเชอ่ื ถอื ศรทั ธา ปัญญาและทศั นคติส่วนบุคคล วเิ คราะหแ์ ละสรปุ ดงั น้ี ๑) ความคิดเห็นต่อการเจริญสมถกรรมฐานแบบกสิณ ๑๐ สามารถสรุปแนวความคิดได้ดังน้ี (๑) เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเอง เช่น เกิดสมาธิ สุขภาพ เป็นต้น (๒) เพราะมีศรัทธาและความสนใจ เป็นส่วนตัว (๓) เพราะต้องการความท้าทาย ๒) ความคิดเห็นต่อการเจริญกรรมฐานแบบ “สมถยานิกะ” โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ (คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยอาศัยสมถกรรมฐานแนวกสิณ ๑๐ เป็นบาท) จากแบบสอบถาม ปลายเปดิ (แบบสัมภาษณ)์ โดยสรปุ พบว่า มีท้งั ทเ่ี ข้าใจและไม่เขา้ ใจ ผ้เู ข้าใจกเ็ ห็นว่าเปน็ ทางสะดวก สำหรับ คน ส่วนผู้ไม่เข้าใจก็ยังสับสนแนวทางอยู่และเข้าใจไปว่า มหาสติปัฏฐานส่ีกับวิปัสสนายานิกะ เป็นแบบ เดียวกัน มีหนทางเดียวที่พ้นทุกข์ ส่วน สมถยานิกะ เป็นทางอ่ืนไม่ใช่ทางมหาสติปัฏฐานส่ี ซ่ึงความเข้าใจ เรื่องนี้ยงั ตอ้ งมีการปรบั ปรงุ พัฒนาต่อไปในสังคมผ้ปู ฏิบัตแิ ละผู้เรียนปรยิ ัติธรรม ๓) ความเหน็ การเจริญกรรมฐานแบบ “สมถานิกะ” ท่ีเปน็ ประโยชนต์ ่อการช่วยแกป้ ัญหาของ ตนเอง สังคมและการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน จากแบบสอบถามปลายเปิด (แบบสัมภาษณ์) โดยสรุปพบว่า โดยมากจะเห็นประโยชน์ในทางบวกทกุ ๆ คน แสดงให้เหน็ ว่า การปฏิบัติกรรมฐานทุกประการ (ทถี่ ูกวธิ ี ตาม หลกั พทุ ธพจน์) ลว้ นเป็นประโยชนท์ ้ังสิน้ ๔) ความคิดเห็นเก่ียวกับวิธีการปฏิบัติกรรมฐานในประเทศไทย จากแบบสอบถามปลายเปิด (แบบสัมภาษณ์) โดยสรุปพบว่า โดยมากมีทั้งท่ีเป็นสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นว่าบางแห่งก็ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูก บาง แห่งก็ผิดแผกไปจากพุทธพจน์ก็มาก ส่วนแบบพิจารณาทิฏฐิก็มีบ้างและยังคงมีต่อไปที่ปฏิบัติผิดแผก แหวก แนวทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรนัก โดยส่วนใหญ่เห็นว่าการ ฝึกแบบกสิณ ๑๐ และ สมถยานิกะ มีน้อยมากและกลุ่มวัยรุ่นต้องการฝึกมากแต่ไม่มีสถานที่ปฏิบัติแนว ดังกล่าว ๕) ข้อเสนอแนะอ่ืนๆ จากผู้ปฏิบัติ จากแบบสอบถามปลายเปิด (แบบสัมภาษณ์) สรุปพบว่า เน้นเร่ือง ผู้สอนการรู้จริง ไม่ใช่จากการโปรโมท เพราะส่งผลต่อการบ่ันทอนศรัทธามาก อกี ประการคือ ผู้ ปฏิบัติไม่ควรบีบบังคับ ให้เดินตามทางท่ีผู้อื่นขีดให้เพราะจริตอาจไม่ต้องกัน ตรงกันเสมอไป อีกท้ังควร สนับสนุนสมถะและวิปัสสนาให้มีอย่างสมดุล ไม่ควรมองข้ามแลตั้งข้อสังเกตอย่างใดอย่างหน่ึง จาก แบบสอบถามปลายเปิด มีลักษณะดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยเร่ืองศึกษาเชิงวิเคราะห์สมถกัมมัฏฐานใน พระพุทธศาสนา ยุคน้ีเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ ยุคเครื่องอำนวยความสะดวก วิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ การ ขนสง่ ทันสมัย ตลอดจนการเผยแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ระบบทุนนิยม มกี ารแขง่ ขันกันทุกเส้ยี ววนิ าที ผคู้ น มีตัณหาและความโลภ สะสมเงินทอง ข้าวของ รถยนต์ ฟุ่มเฟือย แต่ว่ามีภาวะจิตใจท่ีสับสน วิตกกังวล โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ผู้คนจึงหันมาพึ่งพระพุทธศาสนาคร้ันจะให้คนดังกล่าวเข้าสู่วิปัสสนาเลย ก็กระทำได้ ยาก โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มีความคิดโลดแล่น โลดโผน เราควรมีอุบายให้จิต อ่อนโยน สมควรแก่การงาน เสยี กอ่ น โดยอาศัยสมถกรรมฐานแต่วา่ สมถกรรมฐานในประเทศไทยผู้คนปฏิบัติไมใ่ คร่จะได้ผล แต่บางคนก็ ได้ผลมาก การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าหรือฝึกไม่ถูกวิธี มีสาเหตุมาจาก ๑. ไม่มีอาจารย์ท่ีเก่งพอ ๒. ไม่มีเวลา ปฏิบตั ิเพียงพอ ๓. การปฏิบัติไมต่ ่อเนื่อง ๔. สถานที่ปฏบิ ัติไม่เอ้อื อำนวย (ขาดการสนับสนุนจากวดั ต่างๆ ด้านกิจกรรมด้านปฏิบัติธรรม ส่วนมากมีแต่กิจกรรมด้านการทำบุญตามประเพณี) ๕. ไม่ละเว้นส่ิงท่ี พระพุทธเจ้าตรัสให้ละเว้น จากงานวิจัยดังกล่าว ทำให้ทราบปัญหาที่เด่นชดั เรื่องการเจริญสมถกรรมฐาน
ภาคผนวก ๓๒ ในเมืองไทยที่มีทั้งจริงและลวงปะปนกนั ไปและที่สำคัญเร่อื งครูบาอาจารย์ และ ศีลธรรมอันเป็นรากฐานการ ปฏบิ ัตเิ พือ่ ธรรมะเบ้อื งสูงตอ้ งสะอาด บรสิ ุทธิใ์ ห้ไดถ้ งึ วิสทุ ธิ ๗ ประการเปน็ ทีส่ ุด
ภาคผนวก ๓๓ รหสั ๕-๔๗ แบบบนั ทึกขอ้ มูลงานวิทยานพิ นธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ การศึกษาวิเคราะห์ความสมั พนั ธร์ ะหว่างฌานและปญั ญาในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ( An analytical study of Relationship Between Uhana (Trance and Panna (Insight)) ผูว้ ิจยั In Theravada Buddhism) ปรญิ ญา พระมหากฤช ญาณาวุโธ (ใจปลืม้ บญุ ) ปี พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๔๗ นิยามศัพท์ ๑. เพือ่ ศกึ ษาแนวคิดเรอ่ื งฌานในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. เพ่ือศกึ ษาแนวคิดเรอ่ื งปญั ญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท การทบทวน ๓. เพ่ือศกึ ษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ งฌานและปญั ญา เอกสารและ ๑. ฌาน หมายถึง การเพ่งอารมณ์จนจิตใจแน่วแน่เป็นอัปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซ่ึงมีสมาธิเป็น งานวจิ ัยที่ องค์ธรรมหลัก เกีย่ วข้อง ๒. ปัญญา หมายถึง ความรู้ท่ัว ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล ความรู้ความเข้าใจชัดเจน ความรู้เข้าใจในการหย่ัง (แนวคดิ ทฤษฎี แยกได้ในเหตุผล ดชี ่ัว คุณโทษ ประโยชน์ และมิใช้ประโยชน์ เป็นตน้ และรู้ท่ีจะจัดแจง จัดสรร จัดกา ท่เี กีย่ วขอ้ ง) ความรอบรู้ในกองสังขารมองเหน็ ตามความเป็นจริง การดำเนินการ ๑. ฌานในพระพทุ ธศาสนา ได้แก่ นยิ ามฌาน ประเภท วิธปี ฏบิ ตั เิ พ่ือให้เกดิ ฌาน ผลการบรรลุฌาน วิจัย ๒. ปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ นิยาม ประเภท ระดับของปัญญา วิธีปฏิบัติตนเพ่ือให้เกิด ปญั ญา อานิสงส์ผลการปฏบิ ตั ิตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ การวเิ คราะห์ ๓. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างฌานกับปัญญา ได้แก่ ตามหลักคัมภีร์ ฌานและปัญญาในการพัฒนา จิต ฌานและปัญญาเปน็ ปัจจัยกันและกัน กระบวนการพัฒนาปัญญาโดยมีฌานเป็นบาทฐาน รปู นาม สรปุ ผลการวจิ ยั ทเี่ ป็นเครอ่ื งมืออาศัยฌานเป็นบาทฐาน ๖ ประการ ไตรลักษณใ์ นกระบวนการพัฒนาปญั ญาโดยอาศัย ความสมั พนั ธ์จากฌาน ปัญญาที่เกดิ จากการอบรมฌาน ผลผ้มู ปี ญั ญาทเ่ี กดิ จากการอบรมฌาน การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ข้ันตอน ๑) ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเอกสาร ชั้นปฐมภูมิ (Primary Sources) คือ พระไตรปิฎก ๒) ศึกษาค้นคว้า และรวบรวมข้อมูล ชั้นทุติยภูมิ มี อรรถกถา ฏีกา อนุฏกี า ปกรณ์วเิ สสอ่นื ๆ ตลอดจนงานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง ๓) ศึกษาข้อมูลทัง้ หมดทีไ่ ด้มา ด้วย การวเิ คราะห์ ตคี วามและแปลความ รวบรวมเรยี บเรียงนำเสนอผลงานวิจัย วเิ คราะหเ์ รอื่ งฌานและปัญญาตามทศั นะของพระพทุ ธศาสนาเถรวาท และความสัมพนั ธ์ระหว่างฌานและ ปัญญา เพ่ือให้เห็นความหมาย ความสำคญั และวิธีการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌานและปัญญา ขอ้ มูลท่ีศึกษาได้ จากหลกั ฐานทเี กีย่ วกับพระไตรปฏิ ก ภาคบาลีและภาษาไทย หนงั สือและงานเขียนตา่ งๆ (๑) แนวคิดเร่ืองฌานในพระพุทธศาสนาเถรวาท คำว่า ฌาน ตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง การเพ่ง และการเผาคือเพ่งอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหน่ึง จนจิตเป็นสมาธิท่ีท่าน เรียกว่า เอกัคคตา อกี นัยหน่ึงหมายถงึ การเผา คือเผ่าอารมณ์อันข้าศึกต่อฌาน อันได้แก่ นิวรณ์ ๕ ใหม้ ีกำลัง น้อยลงหรือไม่ให้เกิดขึ้น เม่ือจิตเป็นสมาธิในขณะที่อยู่ในฌานสามารถที่จะกดกิเลสไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ อีกนัย หนึ่ง ฌานใช้ในความหมายท่ัวไป หมายถึง จอ้ งได้ อยา่ งเชน่ สุนขั จงิ้ จอก จ้องหาปลาใกลฝ้ ่งั น้ำ จากการศึกษาแนวคิดเร่ืองฌานในพระพุทธศาสนาเถรวาทพบว่า แนวคิดเร่อื งฌานมีมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้น ดังปรากฏในชาดกต่างๆ และบุคคลทั่วไปนิยมท่ีจะฝึกกันเป็น อนั มาก โดยเฉพาะพวกนักบวชลทั ธติ ่างๆ เช่น โยคี ฤาษี ชไี พร เป็นต้น ฌานน้ี เป็นผลมาจากการปฏิบตั ิสมถ
ภาคผนวก ๓๔ กัมมัฏฐาน โดยการเพ่งอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอารมณ์สมถกัมมัฏฐาน ๔๐ จนจิตเป็นสมาธิ ถึงข้ันบรรลุฌานในระดับต่างๆ การปฏิบัติเพ่ือบรรลุฌานน้ัน มีหลักในการปฏิบัติอยู่ ๒ ประการด้วยกัน ประการที่ ๑ คือ การเข้าไปเพ่งรูปธรรมเป็นอารมณ์ เช่น การเพ่งกสิณ เป็นต้น เป็นอารมณ์จนสามารถ บรรลุรูปฌาน ๔ ประการท่ี ๒ คือ การเข้าไปเพ่งอรูปธรรมเป็นอารมณ์ เช่น การเพ่งอากาศเป็นต้น เป็น อารมณ์จนสามารถบรรลอุ รปู ฌาน ๔ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ รวมกันเรียกว่า สมาบัติ ๘ จิตท่ีอยู่ในฌานเป็นจิตที่สงบ ผ่องใส ปราศจากกเิ ลสเศร้าหมองซงึ่ เปน็ ข้าศึกตอ่ การบรรลุฌาน คอื นิวรณ์ ๕ ผทู้ ี่บรรลุฌาน และรักษาฌานนั้นไม่ให้เสื่อม ย่อมได้รับอานิสงส์มากมายหลายประการ พอสรุป ได้ดังนี้ ๑) ประโยชน์ในด้านสุขภาพจิตและการพัฒนาบุคลิกภาพ เช่น ทำให้เป็นผู้มีจิตใจหนักแน่นสงบ มั่นคง และมีบุคลิกลักษณะเข้มแข็งเป็นการเตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมและง่ายต่อการปลูกฝังคุณธรรม ต่างๆ และเสริมสร้างนิสัยที่ดี ๒) เป็นวิธกี ารพักผ่อนอย่างสุขสบายในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร) ทำให้ เสวยความสุขอยู่ได้โดยไม่มีจิตตลอดเวลา ๗ วัน ดังจะเห็นได้จากการท่ีพระพุทธเข้าและพระอรหันต์ ทั้งหลาย นิยมใช้ฌานเป็นที่พักผ่อนกายใจเป็นอยู่อย่างสุขสบายในโอกาสสว่างจากการบำเพ็ญกิจ ซึ่งมีคำ เรยี กเฉพาะว่าเพือ่ เปน็ ทิฏฐธรรมสุขวิหาร ๓) เปน็ บทบาทหรอื เป็นฐานแห่งอภญิ ญา คือ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น คนเดียวแสดงเป็นหลายคนได้ หลายคนแสดงเป็นคนเดียวได้ มีหูทิพย์สามารถได้ยินเสยี งของมนุษย์ ท่ีอยู่ใกล้และอยู่ไกลได้ กำหนดรู้ใจหรือความคิดของผู้อื่นได้ มีตาทิพย์หรือรู้เห็นการเกิดและการตายของ สัตว์ท้ังหลายตามกรรมของตน การระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ ๔)ทำให้ได้เกิดในพรหมโลก ๒๐ ช้ัน แบ่งเป็นรูปภพ ๑๖ ชั้น และอรูปภพ ๔ ช้ัน ผู้ท่ีเกิดในภพเหล่านี้ปกติเรียกว่า พรหม เพราะเกิดขึ้นด้วยผล แห่งการปฏิบัติพฒั นาจติ ใจจนไดบ้ รรลรุ ปู ฌานและอรปู ฌาน และผู้วิจัยพบว่าผู้ที่ปฏิบัติสมถะจนสามารถบรรลุฌานไม่อยากท่ีจะบำเพ็ญวิปัสสนาปัญญาต่อ สาเหตุเพราะ ๑. ภาวะจติ ของผู้บรรลุฌาน ในขณะที่อยใู่ นฌานจะมีแต่ความสุข สงบ เกิดปิติความอิ่มใจ บางคนไม่อยากจะบำเพ็ญวิปัสสนาปัญญา ๒. ผู้ปฏิบัติสมถะ (ฌาน) ถือว่าฌานเป็นของสูงจึงมีศรัทธาต่อ ฌานเปน็ อย่างมากบางคนไม่เหน็ ด้วยทจ่ี ะตอ้ งใชฌ้ านในบาทฐานในการเจริญวปิ ัสสนาปญั ญา ถึงอย่างไรก็ ตาม ฌานท่ีได้ย่อเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพราะเมื่อตายไปย่อมไม่บังเกิดในอบายภูมิแน่นอน และท่ีสำคั ญ ท่ีสุดคือ สามารถอาศัยเป็นบาทฐานในการพัฒนาสู่ปัญญาชั้นโลกุตตรธรรมต่อไปได้อย่างดี เพราะฌานที่ ได้นั้นถือได้ว่าเป็นธรรมอันวิเศษขั้นกลางที่บุคคลท่ัวไปไม่สามารถกระทำให้บังเกิดได้ง่ายนัก ต้องมีศรัทธา ความตง้ั ใจจริง ปฏบิ ัตติ นตามหลักศลี เพื่อให้เกดิ สมาธิ มีฌานเป็นต้น เพ่ือพัฒนาสู่ปัญญาขนั้ ฌาน ซ่ึงเป็นโล กตุ ตรธรรมจนกว่าจะบรรลอุ าสวักขยญาณต่อไปในทสี่ ุด (๒) แนวคิดเรือ่ งปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า ปัญญาน้ีเป็นเรอื่ งท่ีละเอียดลึกซ้ึง เพราะในงานวิจัยน้ีเน้นปัญญาท่ีสัมพันธ์กับฌาน ดังนั้นปัญญาดังกล่าวต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากภาวนามย ปัญญา หรือที่เรียกว่าวิปัสสนาปัญญาไม่ใช่ปัญญาทางโลกทั่วๆ ไป เป็นโลกุตรปัญญา เป็นปัญญาท่ีจะนำ ความรู้แจ้งในทุกๆ สิ่ง นำความพ้นทุกข์มาสู่ผู้ปฏิบัติ ไม่มีการฝึกฝนแทนกันได้ แนวทางนี้ทาง พระพทุ ธศาสนาเถรวาทเรียกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพ่ือให้เกิดผลทสี่ ดุ แห่งปัญญา คอื อาสวกั ขย ญาณ คือการทำอาสวะให้สิ้น แนวทางวิปัสสนานั้นต้องผ่านกระบวนการท่ีเรียกว่า มหาสติปัฏฐาน ๔ ประการ คอื ๑. กายานปุ ัสสนา ๒. เวทนานุปัสสนา ๓. จิตตานุปสั สนา ๔. ธัมมานุปัสสนา ปัญญาจะเกิดข้ึนได้ด้วยอาศัยมหาสติปัฏฐาน ๔ เช่น กายานุปัสสนา การพิจารณาเห็นกายว่า เป็นของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เป็นต้น เม่ือปฏิบัติอย่างน้ีจิตจะค่อยๆ เป็นสมาธิ เม่ือจิตเป็นสมาธิ แล้วก็จะเห็นส่ิงที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง คือ เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในปัจจุบัน เป็นปัญญาท่ีเกิดข้ึนใน
ภาคผนวก ๓๕ ภายใน ผลของการบรรลุปัญญาน้ีคือ ญาณ เพราะสามารถนำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชงิ กล่าว โดยสรุป การปฏิบัติแนวสติปัฏฐาน ๔ นี้ คือการใช้สติพิจารณากำหนดรู้อารมณ์ที่เป็นทั้งรูปธรรมและ นามธรรมท่เี กิดขึ้นในปัจจุบัน แตถ่ ้านึกถึงแตส่ ่ิงท่ีเป็นอดีตและอนาคตแล้ว ทำให้จติ ใจขาดพลงั จะเกิดความ หลงลืมตัวได้งา่ ย ในการปฏบิ ัติสตปิ ัฏฐาน ๔ น้ัน ถ้าปฏบิ ัติกายานุปสั สนาอยา่ งเดียว เม่ือปฏิบัตอิ ย่างน้ีทำให้ ได้บรรลุธรรมยาก ฉะนั้น ผู้ท่ีปฏิบัติกายานุปัสสนา สภาวธรรมของสติปัฏฐานข้ออ่ืนๆ บังเกิดขึ้นต้องมีสติ กำหนดรู้ เช่น เกิดเวทนา ก็กำหนดรู้อาการของเวทนา เป็นต้น เม่ือปฏิบัติเช่นน้ีทำให้สมาธิแก่กล้าเร็ว อย่างไรก็ตามหลักการปฏิบัติแนวสติปัฏฐานนี้ เป็นหลักในการปฏิบัติท่ีสำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนา ผู้ ปฏิบัติตามแนวนีส้ ามารถบรรลมุ รรค ผล นิพพาน ได้อย่างแนน่ อน (๓) ความสัมพันธ์ระหว่างฌานและปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท จากการศึกษา งานวิจัย เรื่องวิเคราะห์ความสัมพันธ์ฌานและปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาทน้ี ทำให้ทราบวิธีและ แนวทางของการปฏิบัติฌานและปัญญารวมท้ังความสัมพันธ์ท่ีเกี่ยวข้องกัน อิงอาศัยกัน เป็นตัวหนุนเน่ือง ส่งเสริมกันและกัน พอสรุปได้ดังนี้ ความสัมพันธ์ของฌาน(สมถะ) และปัญญา(วิปัสสนา)พบว่า ท่ีเข้าใจ กันมาแต่เดิมว่า การปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น ปฏิบัติแต่วิปัสสนาไม่ต้องปฏิบัติสมถะก็ได้ ในการศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างฌานแลปัญญาจำเปน็ ต้องปฏบิ ัติอิงอาศัยกันจะขาดอยา่ งใดอย่างหน่ึงมิได้ ผู้ที่ประสงค์ จะบำเพญ็ ฌาน (สมถะ) ก่อนแลว้ จงึ บำเพ็ญปัญญา (วปิ ัสสนา) ทหี ลังก็ได้ จะบำเพญ็ วิปัสสนา (ปญั ญา) ก่อน แล้วจึงบำเพ็ญสมถะ ทีหลังก็ได้ หรือจะบำเพ็ญพร้อมกันก็ได้ตามความต้องการของแต่ละคน แต่ว่าผลการ ปฏิบัติที่จะได้รับน้ันแตกต่างกันคือผู้ปฏิบัติฌาน (สมถะ) อย่างเดียว ผลท่ีได้รับคือได้อภิญญา เป็นต้น และหลุดพ้นจากกิเลสท่ีเรียกว่า วิกขัมภนวิมุติ (การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยการข่มไว้) ผู้ปฏิบัติปัญญา (วิปัสสนา) อย่างเดียว ผลที่ได้รับคือ ญาณ ที่นำไปสู่ความหลุดพ้นหรือท่ีเรียกว่า ปัญญาวิมุติ (การหลุดพ้น จากกิเลสโดยอาศยั วิปัสสนาปัญญา ส่วนผู้บำเพ็ญทั้งฌานและปัญญา คือ บรรลุฌานแล้วอาศัยฌานน้ันเป็น บาทฐานในการเจริญวิปัสสนาปญั ญา ผลท่ีไดร้ บั คอื ความหลดุ พ้นจากกิเลสเหมอื นกัน การหลุดพน้ ประเภทนี้ เรยี กว่า เจโตวิมุติหรืออุภโตภาควมิ ุติ (การหลุดพน้ จากกเิ ลสโดยอาศัยฌานและปญั ญาทั้งสองอยา่ ง) จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ฌานและปัญญาต้ององิ อาศยั กนั และกัน เพ่ือพฒั นาไปสจู่ ุดมุ่งหมาย สงู สุดคือ มรรค ผล นิพพาน ในพระพุทธศาสนา หากผู้ใดผ่านกระบวนการฝึกฝนท่ีเรยี กว่าการบำเพ็ญฌาน และปัญญาจนสามารถบรรลุจุดหมายสูงสดุ ในพระพุทธศาสนาได้ ถือว่าเป็นบุคคลที่มีศกั ยภาพในการเผยแผ่ หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาได้มาก ด้วยเหตุน้ันกล่าวได้ว่า ฌานและปัญญามีบทบาทอนั สำคัญย่ิงใน การช่วยให้ปัจเจกชนบรรลุความหลุดพ้น (วิมุต) ในพระพุทธศาสนา ท้ังยังเป็นการสร้างสรรค์ศาสนาบุคคล ให้กบั พระพทุ ธศาสนาไปด้วยในขณะเดยี วกนั
ภาคผนวก ๓๖ รหัส ๖-๔๘ แบบบนั ทึกขอ้ มลู งานวิทยานพิ นธ์ ช่อื วทิ ยานิพนธ์ ศกึ ษาเปรยี บเทยี บหลักวิปสั สนากัมมฏั ฐานในพระไตรปฏิ กและแนวปฏิบัติวิปสั สนากัมมัฏฐาน ผวู้ จิ ัย วดั โพธบ์ิ ้านโนนทัน ปรญิ ญา (The Comparative Study of Vipassana Meditation on Tipitaka with Wat Po Bannontan ปี Meditation Centre) วัตถปุ ระสงค์ พระสมบตั ร ฐิตญาโณ (สขุ ประเสรฐิ ) พุทธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั การทบทวน ๒๕๔๘ เอกสารและ ๑. เพ่อื ศึกษาหลักวปิ สั สนากมั มัฎฐาน ทปี่ รากฏในพระไตรปฎิ ก งานวิจยั ท่ี ๒. เพ่ือศึกษาเปรียบเทียบแนวทางปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ของสำนักวัดโพธ์ิบ้านโนนทัน กับหลักการใน เก่ยี วข้อง พระไตรปฎิ ก นิยามศัพท์ ๓. เพื่อศึกษาการประยุกต์หลักวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก เพ่ือใช้ในการเผยแผ่ของสำนัก วัดโพธบิ์ า้ นโนนทัน ๑. การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานและหลักธรรมท่ีส่งเสริมการปฏิบัติในพระไตรปิฎก ได้แก่ ความหมาย ของคำว่า “วิปัสสนา” ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก หลักการปฏิบัติกัมมัฏฐานท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก รปู แบบของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน หลักและวิธีการของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ปัจจัยใน การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ หลักอุปการะธรรมท่ีสัมพันธ์ในการส่งเสริมการ ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน ธรรมท่เี ปน็ อาหารของสมถะและเปน็ อารมณ์ของวิปัสสนาอปุ มาดจุ รถ ๗ ผลัด เป็นปัจจัยส่งต่อเพ่ือวิมุตติคือวิสุทธิ ๗ ญาณที่เกิดข้ึนอันเป็นผลแห่งการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน คุณลักษณะอันเปน็ ผลของผู้ปฏบิ ัตติ ามหลักวิปัสสนากมั มฏั ฐาน ๒. เปรียบเทยี บแนวปฏิบัตวิ ิปัสสนากัมมัฏฐานวัดโพธิ์บ้านโนนทันกบั หลักการในพระไตรปิฎก ได้แก่ การ สืบทอดวิปสั สนาวงศ์องค์อรหันต์ แนวปฏบิ ัติวิปสั สนากมั มัฏฐานสำนักวัดโพธ์บิ า้ นโนนทนั (บุพพกิจกอ่ น เข้าปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานสำนักวัดโพธิ์บ้านโนนทัน กิจเบ้ืองต้นของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน บุพพกิจวันเข้าปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน) ปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตรสมถกัมมัฏฐาน ๗ หมวด ๔๐ กอง (จุดมุ่งหมายของการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานน้ันผูเ้ จริญพึงศึกษา ให้รู้จักธรรม ๔ ประการ ประโยชน์ของวิปัสสนา อานิสงส์ของการเจริญวิปัสสนา) ปฏิบัติท้ังสมถ กัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานควบคู่กันไป เกณฑ์ในการตัดสินผลของการปฏิบัติด้วยหลักสังโยชน์ ๑๐ ประการ เปรียบเทียบหลักปฏิบัติวิปัสสนาในพระไตรปิฎกกับแนวปฏิบัติวัดโพธ์ิบ้านโนนทัน (หลักการปฏิบัติกัมมัฏฐานท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกความแตกต่างแนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดโพธ์ิ บา้ นโนนทนั ) สรุปการเปรยี บเทยี บวิปสั สนากัมมัฏฐานในพระไตรปฎิ กกบั แนวปฏิบัติวดั โพธ์ิบา้ นโนนทัน ๓. ศึกษาการประยุกต์หลักวิปัสสนากัมมัฏฐานและการเผยแผ่ของสำนักวัดโพธ์ิบ้านโนนทัน ได้แก่ แนว ปฏิบัติวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานและการเผยแผ่ของสำนักวัดโพธ์ิบ้านโนนทัน หลักการและวิธีการในการอบรม เผยแผ่แนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน (บุพกิจเบื้องต้นของการปฏิบัติ ศึกษาพระปริยัติควบคู่กับการ ปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน สืบสานอดุ มธรรมพระครูโพธิสารคุณ วิสัยทัศน์เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันกับการ เผยแผแ่ ละสง่ เสรมการปฏิบัติธรรม ๑. วปิ สั สนา หมายถึง การใชส้ ตสิ ัมปชัญญะกำหนดรูส้ ภาวะความเป็นจรงิ ของขนั ธ์ ๕ ๒. วปิ ัสสนาภาวนา หมายถึง การพัฒนาสติปญั ญาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔
ภาคผนวก ๓๗ การดำเนินการ ๓. วปิ สั สนาญาณ หมายถงึ ผลอันเกิดจากการเจริญวปิ สั สนาภาวนา วจิ ัย ๔. การกำหนด หมายถึง การใช้สติตามรสู้ ภาวะอารมณ์ในปจั จุบัน (กาย เวทยา จิต ธรรม) ๕. พระไตรปิฎก หมายถึง คมั ภรี ์หรือตำราท่บี รรจหุ ลกั ธรรม คำส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ การวเิ คราะห์ ๖. การปฏิบัตธิ รรม หมายถงึ การเจรญิ สมถะภาวนาและวิปสั สนาภาวนา ๗. โยคบี ุคคล หมายถึง ผปู้ ฏิบัตวิ ิปัสสนากมั มฏั ฐานตามหลกั สตปิ ฏั ฐานสูตร สรปุ ๘. สำนกั หมายถงึ สำนกั วิปสั สนากมั มัฏฐานวัดโพธิ์บ้านโนนทัน ผลการวิจยั ๑) . ศึกษาองค์ความรูเ้ รือ่ งวปิ ัสสนากัมมัฏฐานท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก โดยใช้แผน่ พระไตรปฎิ กฉบับ CD- ROM ในการค้นหาคำศัพท์ เพ่อื รวบรวมข้อมูลและความหมายที่เกี่ยวข้องกับชอื่ เรื่องจดั เป็นหมวดหมู่ เรียงจาก ความสำคัญมากไปหาส่วนย่อยลงบนแผ่นกระดาษที่จัดเตรียมเอาไว้ เพื่อเชื่อมโยงเข้าไปสู่พระสูตรต่างๆ ที่ กล่าวถึง การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในพระไตรปิฎก ๒). การเก็บข้อมูลภาคสนาม ผู้วิจัยใช้วิธีในการเก็บ รวบรวมข้อมูล การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของสำนักวัดโพธิ์บ้านโนนทันต้ังแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๘ และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (Indepth Interview) การสนทนากลุ่ม (Focus Group) และการ สงั เกต (Observation) ในภาคสนาม วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) มีขั้นตอน ๑). ข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และ เอกสารที่เก่ียวข้อง โดยเร่ิมจากข้อความที่เกี่ยวกับหลักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในพระสูตรต่างๆ ที่กล่าวถึง วิธีการเจริญวิปัสสนาโดยจัดลำดับข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ตามความสำคัญ แล้ววิเคราะห์ข้อมูล นำมาเขียนให้ ละเอียดตามหัวข้อที่ตั้งไว้ ๒). ข้อมูลภาคสนาม จาการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสนทนากับกลุ่มเป้าหมาย และการสังเกต วิเคราะห์ ประมวลข้อมูลท่ีสำคัญมากไปหาส่วนย่อยแล้วสรุปผลท่ีได้จากการศึกษาภาคสนาม นำมาเชื่อมโยงเปรียบเทยี บข้อมูลทีไ่ ดจ้ ากพระไตรปิฎก ผลจากการศึกษาเปรียบเทียบ ภาคทฤษฎีแล้ว หลักการใหญ่ๆ ดำเนินไปตามหลักฐานท่ีปรากฎใน พระไตรปิฎกเป็นหลัก ทั้งส่วนท่ีเป็นสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ความหมายคำว่า “วิปัสสนา” เป็นช่ือของธรรมหรือปัญญาท่ีควรเจริญให้มากทำให้มากควบคู่กันไปกับ “สมถะ” ท่ีเป็นธรรมซึ่งมีอุปการะแก่ สัญญเวทยิตนิโรธสมาบตั ิ มีอุภโตภาควิมุตติเป็นผล และคำว่า “สมถะ” เป็นชอ่ื ของความสงบ หมายถึง สภาว ลักษณะใดท่ีจิตเป็นสมาธิไม่ฟุ้งซ่านนั่นคือ ลักษณะของสมถะ จะเป็นสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี ต่างก็เป็นธรรมท่ี เกอื้ กูลแก่ วปิ ัสสนาญาณไม่ได้แยกจากกนั สว่ นของคำว่า “กมั มัฏฐา” เป็นอุบายในการเจริญภาวนา ท่ีมีปรากฎ ในคัมภีรช์ ้นั หลัง คือ คัมภีรว์ สิ ทุ ธิ์มรรค จะแยกวปิ ัสสนาออกจากสมถะชัดเจน ดังน้ี อารมณ์ของสมถะแบง่ เป็น ๗ หมวด ๔๐ ประการ มีกสิณ ๑๐ เป็นต้น จึงนำคำศัพท์มาเช่ือมกัน เป็นสมถกัมมัฏฐานและความหมายของ วปิ ัสสนากัมมัฏฐานก็เช่นกัน จัดอารมณ์ของวิปัสสนาเป็น ๖ หมวด เรียกว่า วปิ ัสสนาภมู ิ ๖ มขี ันธ์ ๕ เป็นต้น ส่วนใน พระอภิธรรม สามารถกระทำได้ ๒ วิธี คือ การภาวนาเพื่อให้จิตใจสงบไม่มีอาการด้ินรน ไม่ กระสับกระส่ายเข้าสู่ภวังค์บังเกิดเป็นสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) เพียงอย่างเดียว วิธีน้ี เรียกว่า “สมถะกัมมัฏฐาน” และการเฝ้าคอยติดตามควบคุมประคองจิตท่เี กดิ ดับ อยู่ทุกระยะให้ผูกติดพิจารณาอย่ใู นเร่ืองเดียวอารมณเ์ ดยี ว เฝ้าประคองนำเอาอารมณ์นน้ั ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ท่ีเรียกว่า “มนสิการ” จนกระทั่งเกิดปัญญา วธิ ีน้ี เรียกว่า “วิปัสสนากัมมัฏฐาน” หรือจะกล่าวอย่างสั้นๆ คือ “สมถะ”(Static) เป็นอุบายสงบใจ “วิปัสสนา” (Dynamic) เป็นอบุ ายเรืองปญั ญา แนวปฏิบตั วิ ิปสั สนากมั มัฏฐานวัดโพธิบ์ ้านโนนทนั นยิ ามความหมายของ สมถะและวิปสั สนา ตาม มติท่ีปรากฏในคัมภีร์ช้ันหลังเป็นส่วนมาก คือ แยกอธิบายความหมายของสมถะและวิปัสสนาตามนัยแห่ง คมั ภีรอ์ รรถกถาและวิสุทธิมรรคเป็นแนวทาง ความเข้าใจคาดเคล่ือน ย่อมมีแก่โยคีผปู้ ฏิบตั ิทงั้ หลาย ว่า ปฏิบตั ิ แบบนี้ กำหนดแบบน้ี เป็นอารมณ์ของสมถะ เพราะคำว่า วิปัสสนาเป็นการเจริญปัญญาด้วยสติสัมปชัญญะ
ภาคผนวก ๓๘ ดังนี้ การตีความหมายก็เป็นไปโดยนัยแห่งพุทธประวัติเป็นข้ออ้างวา่ ก่อนท่ีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรง ตรัสรู้ พระองค์ท่านได้ทรงปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานมาแล้ว แต่ได้ทรงพิจารณาเห็นว่า เป็นทางปฏิบัติท่ีไปสุดส้ิน เพียงพรหมโลกเท่าน้ัน มิใช่เป็นทางปฏิบัติท่ีจะไปสู่ พระนิพพาน พระพุทธองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนไปปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานแทน “องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงแสดงวิปัสสนา กมั มฏั ฐานญาณอนั สูงสุด รู้เหน็ ตามทัศนะทเ่ี ป็นจริงอันเปน็ ไปเพ่อื ความบรสิ ุทธห์ิ มดจดโดยสว่ นเดียว เรยี กว่า วิ สุทธิมรรค คือ ทางบริสุทธ์ิ ผู้ใดเดนิ ทางน้ีจนถึงที่สุด ย่อมบรรลจุ ุดหมายปลายทาง กล่าวคือ อมตมหานิพพาน ท่ีบรสิ ุทธิ์สิ้นกิเลสและพ้นจากกองทุกขท์ ง้ั ปวง” อย่างไรก็ตาม การตีความหมายตามศพั ท์ ทงั้ ท่เี ป็นศัพท์เฉพาะ หรือประยุกต์ขึ้นมาใหม่ก็ตามซ่ึงมีลักษณะทัศนะคติท่ีหลากหลาย มีมุมมองท่ีแตกต่างจะเป็นการตีความหมาย ท้ังส่วนปริยัติหรือส่วนแห่งการปฏิบัติก็ตาม ในความหมายหลายเหล่านี้ ย่อมให้ผลที่เรียกว่า ปฏิเวธเหมือนกัน มีวิมตุ ติ คือ ความหลุดพ้นเป็นอันเดยี วกัน จะแตกต่างก็เพียงแต่เทคนิคและวธิ ีการเท่านน้ั จะเป็นสมถะและ วิปสั สนาก็ดี หรอื สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากมั มัฏฐานก็ดี เมื่อความถึงพรอ้ มแหง่ มรรคมอี งค์ ๘ มีสมั มาทฏิ ฐิ เป็นต้น องค์แห่งการตรัสรู้ หมายเอา โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ย่อมเกิดข้ึนพร้อมกันในขณะบรรลุมรรค ผล และ นิพพาน อภิปรายผล หลักการปฏิบัติที่ปรากฏในพระไตรปิฎกนั้น จะมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวก็ตามก็หาใช่ ประโยชน์สูงสุดไม่ หากเม่ือไม่นำมาปฏิบัติกันอย่างจริงจังและเผยแผ่แล้ว ประโยชน์และคุณค่าแห่งการ ประพฤติพรหมจรรย์น้ัน ย่อมไม่เป็นไปในแนวทางแห่งพุทธดำรัส ท่ีทรงตรัสไว้ในตอนท้ายของมหาสติปัฏฐาน สูตร ตามระดับสติปัญญาของเวไนยสัตว์น้ันๆ เม่ือศึกษาเปรียบเทียบแล้ว วิถีแห่งการเข้าถึงจุดหมายแห่งพุทธ ธรรมนั้น แม้จะมีสาระสำคัญว่า ต้องประกอบพร้อมดว้ ยองค์มรรคท้ัง ๘ ข้อเหมือนกัน แต่ก็อาจแยกได้โดย วิธี ปฏบิ ัตทิ ่ีเกีย่ วขอ้ งกบั การใชส้ มาธิเปน็ ๒ วธิ คี ือ ๑. วิธีการทมี่ ุ่งเฉพาะด้านปญั ญา คือ การปฏิบัติทีใ่ ชส้ มาธิแต่เพยี งขั้นต้นๆ เท่าที่จำเป็นสำหรับการ ปฏิบัติ หรือใช้สมาธิเป็นเพียงตัวช่วย แต่ใช้สติเป็นหลักสำคัญ สำหรับยึดจับหรือมัดส่ิงท่ีต้องการกำหนดไว้ ให้ ปัญญาตรวจพิจารณา คอื วิธีปฏิบัตทิ ่ีเรียกวา่ วิปัสสนา แท้จริงน้ัน ในการปฏิบัติวิธที ่ี ๑ น้ีสมถะกม็ ีอยู่ คือ การ ใช้สมาธิช้ันต้นๆ เท่าท่ีจำเป็นแก่การทำงานของปัญญาที่เป็นวิปัสสนา แต่เพราะการฝึกตามวิธีน้ีสมถะจะไม่ ปรากฎเด่นชดั ออกมา เรยี กการปฏบิ ตั ใิ นวธิ ีที่ ๑ น้วี ่า เปน็ แบบวปิ ัสสนาล้วนๆ ๒. วิธกี ารท่ีเนน้ การใชส้ มาธิ เป็นวิธีปฏบิ ัติท่ีสมาธมิ ีบทบาทสำคัญ คือบำเพ็ญสมาธิใหจ้ ิตสงบแน่ว แน่ จนเข้าถึงภาวะที่เรียกว่า ฌานหรือสมาบัติข้ันต่างๆ เสียก่อน ทำให้จิตดื่มด่ำแน่นแฟ้นอยู่กับที่กำหนดนั้นๆ การปฏิบัติในข้นั นเี้ รยี กวา่ เป็นสมถะ ถา้ ไม่หยุดเพยี งเทา่ นี้ก็จะก้าวตอ่ ไปสู่ขนั้ ใชป้ ญั ญากำจัดกิเลสอาสวะให้หมด ส้ินเชิงคือ ช้ันวิปัสสนา คล้ายกับในวิธีท่ี ๑ แต่กล่าวตามหลักการว่า ทำให้ง่ายข้ึนเพราะจิตพร้อมอยู่แล้ว กา ร ปฏิบัติอย่างนี้ คือ วิธีท่ีเรียกว่าใช้สมถะและวิปัสสนา ผลสำเร็จของการปฏิบัติตามวิถีที่ ๑ เรียกว่า ปัญญา วิมุตติ คือ ความหลุดพ้น เป็นอิสระสิ้นอาสวะด้วยปัญญา เม่ือปัญญาวิมุตติเกิดขึ้น สมาธิขั้นเบ้ืองต้นท่ีใช้เป็น ฐานของการปฏิบัติมาแต่เร่ิมแรก ก็จะม่ันคงและบริสุทธ์ิสมบูรณ์เข้าควบคู่กับปัญญา กลายเป็นเจโตวิมุตติ แต่ เจโตวิมุตติในกรณีนี้ไม่โดดเด่น เพราะเป็นเพียงสมาธิขั้นต้น เท่าที่จำเป็นซ่ึงพ่วงมาด้วยแต่ต้น แล้วพลอยถึง จุดสิ้นสุดบริบูรณ์ไปด้วย เพราะปัญญาวิมุตติน้ัน ผลสำเร็จของการปฏิบัติตามวิธีที่ ๒ แบ่งได้เป็น ๒ ตอ น ตอนแรกท่ีเป็นผลสำเร็จของสมถะ เรียกว่า เจโตวิมุตติ คือ ความหลุดพ้น เป็นอิสระพ้นอำนาจกิเลสช่ัวคราว เพราะคมุ ไว้ได้ด้วยกำลังสมาธิของจิต และตอนที่สอง ซึง่ เป็นขั้นสุดท้าย เรียกวา่ ปัญญาวิมตุ ติ เหมือนอย่างวิธี แรก เม่ือถึงปัญญาวิมุตติแล้ว เจโตวิมุตติที่ได้มาก่อนซ่ึงเสื่อมถอยได้ ก็จะพลอยมั่นคงสมบูรณ์กลายเป็นเจโต วิมุตติท่ีไม่กลับกลายอีกต่อไป เม่ือแยกโดยบุคคลผู้ประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติตามวิถีท้ังสองน้ี (๑) ผู้ได้รับ ผลสำเร็จตามวิธีแรก ซ่ึงมีปัญญาวิมุตติเด่นชัดออกหน้าอยู่ อย่างเดียว เรียกว่า “ปัญญาวิมุตติ” คือ ผู้หลุดพ้น
ภาคผนวก ๓๙ ด้วยปัญญา (๒) ส่วนผู้ได้รับผลสำเร็จตามวิธีที่สอง เรียกว่า “อุภโตภาควิมุตติ” คือผู้ หลุดพ้นทั้งสองส่วน ท้ัง ด้วยสมาบัติและอริยมรรค ข้อท่ีควรทราบเพ่ิมเติมและเน้นไว้เก่ียวกับวิธีที่สอง คือ วิธีที่ใช้ทั้งสมถะและ วิปัสสนา ซ่ึงผู้ปฏิบัติได้ผลสำเร็จเป็น อุภโตภาควิมุตติน้ัน มีว่า ผู้ปฏิบัติตามวิถีนี้อาจประสบผลได้พิเศษใน ระหว่าง คอื ความสามารถต่างๆ ท่เี กิดจากฌานสมาบัติดว้ ย โดยเฉพาะท่เี รยี กว่า อภญิ ญา ๖ อยา่ ง
ภาคผนวก ๔๐ รหัส ๗-๔๘ แบบบนั ทึกขอ้ มลู งานวทิ ยานิพนธ์ ช่ือวทิ ยานิพนธ์ ศกึ ษาการใชอ้ านาปานสตภิ าวนาเพื่อพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของเสถียรธรรมสถาน (The Study of the Application of Anapanasatibhavana to the Development the Qualities of ผูว้ จิ ยั Lives as Taught of Sathiendhammasathan) ปรญิ ญา ฐิตริ ตั น์ รักษใ์ จตรง ปี พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา. มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วตั ถุประสงค์ ๒๕๔๘ ๑. เพอ่ื ศึกษาหลกั คำสอนเกย่ี วกับอานาปานสติสมาธทิ ี่ปรากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ ก และคัมภีร์อื่นๆ การทบทวน ๒. เพอ่ื ศกึ ษาการใชอ้ านาปานสติภาวนาเพอ่ื พฒั นาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถาน เอกสารและ ๓. เพอื่ ศกึ ษาผลของการเขา้ รบั การฝกึ อบรมการใชอ้ านาปานสตภิ าวนาเพ่อื พัฒนาคุณภาพชวี ิตของเสถยี ร งานวิจัยท่ี เก่ียวขอ้ ง ธรรมสถาน นิยามศัพท์ ๑. อานาปานสติ ได้แก่ อานาปานสตทิ ่ีปรากฏในคมั ภีร์ (นิยามและความหมาย หลกั การเจริญอานาปาน การดำเนินการ สตเิ บอ้ื งต้น จดุ มุ่งหมายและประโยชน์ วธิ ีปฏิบัติอานาปานสติสมาธิตามแนวพุทธพจน์ ๑๖ ข้นั ตอน) วจิ ัย ๒. ศึกษาการใช้อานาปานสติภาวนาเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถาน ได้แก่ วิธีการสอน ประชากรและ อานาปานสติภาวนาของเสถียรธรรมสถาน วธิ กี ารทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ข้ันตอนการเขา้ ปฏบิ ัติอานาปาน กลมุ่ ตัวอยา่ ง สตภิ าวนาของ เสถยี รธรรมสถาน เคร่อื งมอื ที่ใช้ใน ๑. อานาปานสติ หมายถงึ สติซึง่ กำหนดลมหายใจเข้า-ออก การวิเคราะห์ ๒. การใช้อานาปานสติภาวนา หมายถึง การฝึกอบรมจิตให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็ง ม่นั คง เบกิ บาน สงบสุข ผ่องใสพรอ้ มด้วยความเพียร สติและสมาธโิ ดยการ ใชส้ ติกำหนดลมหายใจเข้า- รวบรวมขอ้ มูล ออกพัฒนา การวิจัยเชิงเอกสารและวิจัยเชิงสำรวจ (Documentary and Survey Research) ดังน้ี (๑) เอกสาร ชั้นปฐมภูมิ (Primary Sources) ได้แก่ พระไตรปิฎกฉบับบาลีและฉบับภาษาไทย คัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์ อรรถกถาอ่ืนๆ (๒) เอกสารชั้นทุติยภูมิ (Secondary Sources) ได้แก่ การฝึกอบรม อานาปานสติภาวนา หนังสือ บทความ บทวิจารณ์ บทสัมภาษณ์ เอกสารอื่นๆ ท่ีมีความเกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ บทความทางวิชาการ โดยการสำรวจศึกษาผลสัมฤทธ์ิจากการใช้อานาปานสติ ภาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถาน นำแบบสอบถามไปเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง จากผู้เข้ารับการอบรม จำนวน ๓๐๐ คน นำแบบสอบถามมาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และทดสอบค่า ที (t-test) สัมภาษณ์บุคคลที่เข้ารับการฝึกอบรมวิธีการใช้อานา ปานสตภิ าวนา ประชากร ได้แก่ ผู้ท่ีเข้ารับการฝึกอบรมอานาปานสติภาวนาท้ังหมด ส่วนกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ เก็บแบบ เฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จากประชากรที่สำเร็จการอบรมอานาปานสติภาวนาจากเสถียร ธรรมสถานไปแลว้ ชว่ ง เดอื นกรกฎาคม เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ จำนวนทงั้ สน้ิ ๒๑๐ คน แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึน้ เอง มลี ักษณะเป็นแบบเลือกตอบ และมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ๕ ระดับ นำแบบสอบถามไปปรับปรุงแก้ไขแล้วนำไปทดลองใช้กับบุคคล ท่ีไม่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่างจาก เสถียรธรรมสถานจำนวน ๓๕ คน เพื่อนำไปหาค่าความเช่ือม่ัน (Reliability) ของแบบสอบถามตามวิธีการ ของ “ครอนบาค” (Cronbach ได้คา่ ความเช่อื ม่นั เท่ากบั ๐.๘๗ นำแบบสอบถามใหก้ บั ผ้เู ข้ารับการอบรมอานาปานสติภาวนาทีเ่ ป็นกลมุ่ ตัวอย่าง จำนวน ๒๑๐ ชุด และได้
ภาคผนวก ๔๑ การวเิ คราะห์ เก็บรวบรวมขอ้ มูลตอบกลับคืนมาทางไปรษณีย์จำนวน ๑๕๘ ชุด ซ่งึ คิดเป็นรอ้ ยละ ๗๕.๒๔ สรปุ ผลการวจิ ยั ข้อมูลเก่ียวกับสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เหตุผล ท่ีเข้ารับการฝึกอบรม ความเชื่อและความ ศรัทธา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่และร้อยละ ข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถามประเภท มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ซ่ึงได้แก่พฤติกรรมการปฏิบัติตน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ค่าเฉลย่ี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (๑) การศึกษาอานาปานสติสมาธิในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อ่ืนๆ ที่เก่ียวข้อง พบว่า อานาปานสติที่ สมบูรณ์แบบนั้น มีอยู่ในอานาปานสติสูตรในมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เป็นกรรมฐานหรือสมาธิภาวนา แบบที่พระพุทธองค์ได้ปฏิบัติในราตรีตรัสรู้ จากพุทธพจน์ท่ีว่า อานาปานสติเป็นธรรมท่ีเป็นเคร่ืองอยู่ของ พระอริยเจ้า เป็นเครื่องอยู่ของพรหม และเป็นเคร่ืองอยู่ของตถาคต (พระพุทธเจ้า) จึงเป็นข้อยืนยันว่าเป็น สมาธิแบบพุทธโดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาน้ี อานาปานสติจึงเป็นกรรมฐานท่ีสำคัญทาง พระพุทธศาสนา สำหรบั ในประเทศไทยเป็นท่ีนิยมปฏิบัติกันมากเพราะเป็นกรรมฐานท่ปี ฏิบัติได้สะดวกทุก โอกาส เป็นกรรมฐานหรอื สมาธิภาวนาแบบที่ไมต่ ้องใช้ท่าทางหรือส่งิ ใดสิ่งหนึง่ เป็นเครอื่ งประกอบ ทุกอยา่ ง มีอยู่ในตัว คือ ลมหายใจเขา้ ออกซึง่ ทุกคนมีอยู่แล้ว การศกึ ษาอานาปานสติ ๑๖ ข้นั เพื่อประโยชน์ในการฝึก จิตให้สงบจากนิวรณ์ในข้ันสมถกรรมฐานและฝึกจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงใน กองสังขารในข้ันวปิ ัสสนากรรมฐาน สรุปคืออานาปานสติน้ันเป็นได้ท้ังสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน การทำสมาธิภาวนาตามวิธีอานาปานสติ ภาวนาแล้วเป็นการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ที่สุด ทั้งในศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่าสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว อานา ปานสติจึงเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ ทั้งในแง่ของปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ คือ ในการศึกษาเล่าเรียนก็เรียนรู้ เร่อื งอานาปานสติ ในการปฏิบัตกิ ็ปฏบิ ัตอิ านาปานสตแิ ละได้รับผลของการปฏบิ ตั ิกค็ ือการบรรลฌุ านสมาบัติ และมรรคผลนพิ พาน (๒) การศึกษาการใช้อานาปานสติภาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถาน โดยแม่ชี ศันสนยี ์ เสถยี รสตุ เป็นอาจารย์ผสู้ อนที่มชี ่ือเสยี งท่านหนึ่งในปัจจุบนั ผลการสอนของท่าน ได้รับการยอมรับ จากสังคมทั่วไป ผทู้ ่ีเคยผ่านการ อบรมมีความหลากหลายทั้งฐานะ อายุ อาชีพ การศึกษา รวมท้งั ผู้ที่นับถือ ศาสนาอื่นๆ ด้วย การสอนอานาปานสติของท่านยึดถือหลักคำสอน ตามที่ท่านได้รับ การถ่ายทอดความรู้นี้ จาก หลวงพ่อพุทธทาสภกิ ขุ พระภาวนาโพธิคุณ(โพธ์ิ จนฺทสโร) หลวงพ่อพระครภู าวนาภิธาน อบุ าสิกาคุณ รัญจวน อินทรกำแหง บางส่วนท่านศึกษาจากคัมภีร์ด้วยตนเอง บางส่วนท่านก็ประยุกต์เป็นรูปธรรม เพ่ือให้ผู้ปฏิบตั ิใหม่โดยเฉพาะเยาวชนเข้าใจได้ง่ายตามหลักสตู รระยะส้นั ของเสถียรธรรมสถาน การปฏบิ ัติ ท่ีท่านสอนมีขั้นตอนสำคัญ ในอิริยาบถ ๔ ดังนี้ ๑. ภาวนาในอิริยาบถยืน ๒. ภาวนาในอิริยาบถเดิน ๓. ภาวนาในอิริยาบถนั่ง ๔. ภาวนาในอิริยาบถนอน การสอนของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จึงเป็นการ รปู แบบการนำอานาปานสติภาวนามาใช้ในชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะเป็นการฝึกให้มีสติปัญญาอยู่ กับปัจจบุ ัน อยู่ในกิจการงานท่ีกระทำทุกขณะ โดยไม่ยึดเอาอารมณ์ท่ีเป็นอดีต และไม่เพ้อหวังสิ่งที่ยังมาไม่ ถึงในอนาคต เม่ือฝึกปฏิบัตใิ ห้มากแล้ว ทำให้มีชีวิตเป็นสุขในปัจจุบันมีสติสัมปชัญญะ จิตประกอบด้วยกุศล การศึกษาการใช้อานาปานสติภาวนาเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถานที่ใช้ในการแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน พบว่า ผู้เข้าอบรมใน โครงการศิลปะเพื่อการพัฒนาชีวิตด้วยอานาปานสติภาวนา มีความ แตกต่าง หลากหลายในเร่ือง เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ เหตุผล เมื่อได้รับการฝกึ อบรม อานาปาสติภาวนา แล้วจะมีทัศนคติ หรือมีศรัทธาต่อพระสงฆ์ หลักธรรม และ เสถียรธรรมสถาน และจะสามารถนำไปใช้ใน การพฒั นาชีวิตให้ดีขนได้ซึง่ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ (๓) ผลสัมฤทธิ์จากการฝึกอานาปานสตภิ าวนา ดังน้ี (๓.๑) เมื่อเปรยี บเทยี บพฤติกรรมการปฏิบัติ ตนระหว่างกอ่ นและหลังการเข้าฝึกอบรมอานาปานสติภาวนา พบว่า กลุ่มตัวอย่างท่ีได้ผ่านการฝึกอบรม อา
ภาคผนวก ๔๒ นาปานสติภาวนาแล้วจะมีการพัฒนาชีวิตในทางท่ีดีขึ้นเกือบทุกด้าน แต่อย่างไร ก็ตามในเรื่องท่ียังมี พฤติกรรมอยู่ในระดบั เดิมทง้ั ก่อนและหลงั การเข้าฝึกอบรมน้ัน เปน็ เร่ืองที่กลุ่มตัวอย่างไดป้ ระพฤติปฏิบัตติ น อยูใ่ นระดับท่ีดอี ยู่แล้ว ซึง่ ได้แก่การ ลักขโมย ฉ้อโกง หรือเอาของผอู้ ่ืนมาเป็นของตนโดยเจ้าของมิได้อนุญาต การกล่าวคำหยาบด่าทอให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน การประกอบมิจฉาชีพ ความพึงพอใจในอบายมุข และการตอบ แทนบุญคุณผู้มีพระคุณ สรุปได้ว่า เมื่อได้รับการฝึกอบรมอานาปานสติภาวนาแล้ว จะสามารถนำไปใช้ใน การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ต้ังไว้ (๓.๒) เมื่อกลุ่มตัวอย่างได้ผ่านการ ฝกึ อบรมอานาปานสติภาวนาแล้ว จะมีความเช่ือในเรอ่ื งการปฏิบัติธรรมสามารถช่วยให้มีสติ หรือแก้ปัญหา ชีวิตให้สำเร็จลุล่วงได้ และมีความเชื่อเร่ืองกฎแห่งกรรม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ช่วั ” เพมิ่ ขึ้น นอกจากนี้ กลุ่ม ตวั อยา่ งท่ไี ด้ผ่านการฝกึ อบรมแล้วจะมีทัศนคตทิ ี่ดีหรือมีศรัทธาต่อ พระสงฆ์ สามเณร หลักธรรม และเสถียร ธรรมสถานเพ่มิ ขน้ึ เชน่ กัน อภิปรายผลการวิจัย (๑)การศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการอบรมอานาปานสติภาวนา พบว่า ผู้ที่ผ่าน การอบรมแล้วจะมีพฤติกรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน สำหรับพฤติกรรมบางเรื่องท่ีไม่เปล่ียนแปลง นั้น เน่ืองจากกลุ่มตัวอย่างได้ประพฤติปฏิบัติตนในทางท่ีดีอยู่แล้ว ซึ่งผลการวิจัยน้ีน่าจะสอดคล้องกับความ เป็นจริง เพราะผู้ที่ตั้งใจและตัดสินใจเข้ารับการฝึกอบรมโดยพื้นฐานน่าจะต้องเป็นคนท่ีดีมีคุณธรรม และมี ความเช่ือม่ันในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับการฝึกอบรมแล้ว ก็จะนำไปปฏิบัติมากย่ิงข้ึน เพราะการเข้ารับการอบรมนน้ั ส่วนหน่ึงอาจารย์ผใู้ หค้ วามร้จู ะโนม้ น้าวจติ ใจให้ผู้เข้ารับการ อบรมให้เห็นถึง บาป บุญ คุณ โทษ และมีความเชื่อเกิดขึ้น (๒) ผลการวิจัยเกี่ยวกับความเช่ือและความศรัทธา พบว่า ผู้ เข้ารับการ อบรมมีความเชื่อและศรัทธาต่อการปฏิบัติธรรมเพ่ิมขึ้น ท้ังน้ีเน่ืองจากการปฏิบัติจะช่วย แก้ปัญหาชีวิตให้ลุล่วงไปได้ ซ่ึงผลการวจิ ัยน้ีน่าจะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการโน้มน้าวจิตใจให้บุคคลท่ีมีปัญหา ชีวิตได้เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อจะได้นำไปแก้ปัญหาชีวิตได้ ผลการวิจัยท่ีค้นพบนี้น่าจะสอดคล้องกับความ เป็นจริงเพราะการเข้าฝึกอบรมจะทำให้มจี ิตสงบ มสี มาธิและไม่ฟงุ้ ซ่าน การท่ีมีจติ ใจและอารมณม์ ่ันคงจะทำ ให้คนมีความสุข ปัญหาชีวิตจึงมีน้อยลงหรืออาจไม่มีเลยก็ได้ (๓) การใช้อานาปานสติภาวนาเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถานสอดคล้องกับพระธรรมปิฎก(ป.อ. ปยุตฺโต) ท่ีท่านได้กล่าวว่า “พระพุทธศาสนายอมรับความแตกต่างหลากหลายในหมู่มนุษย์ โดยสัมพันธ์กับการพัฒนามนุษย์ และ ให้มีทางเลือกในวิถีชีวิตสำหรับบุคคลทแ่ี ตกตา่ งหลากหลายและอยู่ในระดับการพัฒนาตา่ งๆกันนนั้ ท้ังน้ี มีแกนกลางทัง้ หมดอย่ทู กี่ ารพฒั นาคน ซงึ่ ใช้วิธีฝึก ไมใ่ ช่วธิ ีบังคับ แตก่ ็ไม่ใช่วธิ ีปล่อยอยา่ งไรก็ได้” และ ยังให้แนวคิดในด้านของการปฏิบัติว่า “จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องยอมรับความจริงแห่งการดำเนินชีวิตตาม ระดับแห่งการพัฒนาของตน และพยายามปฏิบัติให้มนุษย์มีการพัฒนาท่ีสูงขึ้น โดยมีความสำนึกหรือ ตระหนักรู้อยู่ว่าตนทำเช่นนั้นเพื่อเป็นการฝึกฝน พัฒนาตน” และยังได้กล่าวว่า “สิ่งท้ังหลายอยู่ในระบบ สัมพันธ์ทั้งมนุษย์และส่ิงแวดล้อม ระบบที่เป็นแกนกลางของการแก้ปัญหาก็คือ ระบบพัฒนาคน ซ่ึงจะต้อง พัฒนาระบบการดำเนินชีวติ ทั้ง ๓ ด้านท่ีสัมพันธ์อิงอาศัย และส่งผลต่อกันคือพฤติกรรมจิตใจ และปัญญา” ด้านท่ี ๑. พฤติกรรม ได้แก่ วินยั การทำมาหาเลี้ยงชีพ และวธิ ีปฏิบัตใิ นการผลิตเสพบรโิ ภค แบ่งปัน และอยู่ ร่วมกับส่ิงแวดล้อม ด้านที่ ๒. จิตใจ ได้แก่ คุณธรรม ความรู้สึก แรงจูงใจ และสภาพจิตใจ เช่น ความสุข ความพอใจ ความสดชื่นเบิกบาน ด้านที่ ๓. ปัญญา หรือปรีชาญาณ ความรู้ความเข้าใจเหตุผล การเข้าถึง ความจริง รวมทงั้ ความเช่ือถือ ทัศนคติคา่ นยิ ม และแนวความคดิ ต่าง ๆ
ภาคผนวก ๔๓ รหสั ๘ -๔๙ แบบบันทกึ ข้อมลู งานวิทยานิพนธ์ ชื่อวิทยานิพนธ์ การศกึ ษาเชิงวิเคราะห์อานาปานัสสติกถาในคัมภีรป์ ฏิสัมภิทามรรค (An Analytical study of ANAPANASSATIKATHA in the PATISAMBHIDAMAGGA) เสนาะ ผดงุ ฉัตร ปริญญา พุทธศาสตรดษุ ฏีบณั ฑติ สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปี ๒๕๔๙ วตั ถุประสงค์ ๑. เพื่อศึกษาอานาปานสั สติท่พี ระพุทธเจ้าทรงแสดง ๒. เพอื่ ศึกษาอานาปานัสสตทิ ี่พระสารีบตุ รแสดงไวใ้ นคัมภรี ป์ ฏสิ ัมภิทามรรค ๓. เพอื่ ศึกษาความสอดคล้องของอานาปานัสสตทิ ่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงกับที่พระสารีบุตรอธบิ าย การทบทวน ๑. อานาปานัสสติท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง ได้แก่ นิยามและความหมาย (ความหมายที่ปรากฏในพระ เอกสารและ ธรรมวินัย ความหมายที่ปรากฏในพระสูตร ความหมายที่ปรากฏในพระอภิธรรม ความหมายท่ี งานวจิ ยั ท่ี ปรากฏในเอกสารท่ีเก่ียวข้อง) อานาปานัสสติที่ปรากฏในพระสูตรต่างๆ (อานาปานัสสติท่ีกล่าวไว้ เกี่ยวขอ้ ง เปน็ การเฉพาะ อานาปานัสสตทิ ี่มาร่วมกับกรรมฐานอื่นๆ) จุดมุ่งหมายทีท่ รงแสดงและสาระสำคัญ (วธิ ีการเจรญิ เป็นกรรมฐานที่เป็นสัปปายะ (สำหรับบุคคลทุกคน สำหรับพระอริยบุคคล)) ผลท่ีได้รับ จากการปฏบิ ัติ ๒. ศึกษาอานาปานัสสติที่พระสารีบุตรแสดงไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ได้แก่ ความหมายและ วัตถุประสงค์ของคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ความเป็นมาและความสำคัญของคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค โครงสร้างของคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค อานาปานัสสติกถา ( โครงสร้างอานาปานัสสติ (ก) มาติกา หรอื อทุ เทส : ต้ังบทธรรมหรอื หรอื หัวข้อธรรมเพือ่ อธิบาย (ข) นทิ เทส : อธิบายขยายความหรอื อธิบาย อุทเทสด้วยนัยและอรรถต่างๆอย่างแจ่มแจ้ง ) รูปแบบของนิทเทส ๕ ( (๑) โสฬสญาณนิทเทส : อธิบายญาณ ๑๖ (๒) อุปกิเลสญาณนิทเทส : อธิบายญาณในอุปกิเลส (๓) โวทานญาณนิทเทส : อธิบายญาณในโวทาน (๔) สโตการิยาณนิทเทส : อธิบายญาณในการทำสติ (๕) ญาณราสิฉักกนิทเทส : อธบิ ายหมวด ๖ แห่งกองญาณ ) ๓. ศึกษาความสอดคล้องของอานาปานัสสติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับท่ีพระสารีบุตรอธิบาย ได้แก่ บทมาติกาและการอธิบายขยายความ ความสอดคล้องแห่งอานาปานัสสติกถาของพระพุทะเจ้ากับ พระสารีบุตรเถระ วิเคราะห์ประเด็นท่ีน่าสนใจอานาปานัสสติ ( ในฐานะอัปปมาทธรรม ทำให้เข้าใจ นามรปู และกฎธรรมชาติ ประโยชน์ของการเจริญอานาปานัสสติ) การประยุกต์อานาปานัสสติไปใช้ กบั ชีวติ ประจำวัน (อานาปานัสสติเกื้อกูลชีวติ ปัจจุบัน การเจริญอานาปานัสสติ คอื การอย่แู บบไม่มี ทกุ ข์ ผเู้ จรญิ อานาปานสั สติ คือ ผู้สร้างสมดลุ และสันติสขุ แกโ่ ลก โลกมสี นั ติสขุ เพราะบงั คบั จิตได้ ) นยิ ามศัพท์ ๑. ปฏิสัมภิทามรรค หมายถึง ทางแห่งปฏิสัมภิทา ๔ ประการ คือ อัตถปฏิสัมภิทา ความรู้แตกฉานใน อรรถ ธัมมปฏิสัมภิทา ความรู้แตกฉานทางธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทา ความรู้แตกฉานในนิรุตติ และ ปฏภิ าณปฏิสมั ภทิ า ความรู้แตกแนในปฏิภาณ ๒. อานาปานัสสติ หมายถึง กรรมฐานท่ีเจริญโดยใช้สติกำหนดลมหายใจ เข้าออกเป็นอารมณ์ดังที่ พระพุทธเจา้ ทรงแสดงในที่ต่างๆ และท่พี ระสารีบตุ รเถระอธบิ ายรวมทง้ั ผอู้ นื่ อธิบายความ ๓. อรรถกถา หมายถึง คัมภีร์ท่ีอธิบายความในพระไตรปิฏก คือ อธิบายศัพท์หรือถ้อยคำ อธิบายข้อความ อธิบายหลักธรรมหลักวินัย และเล่าเรื่องประกอบรวมถึงแสดงเหตุปัจจัยแวดล้อม ความเป็นมาการที่ พระพุทธเจ้าจะตรัสพุทธพจน์น้ันๆ พร้อมทั้งเช่ือมโยงประมวลความเป็นมาเป็นไปต่างๆ ที่จะช่วยให้
ภาคผนวก ๔๔ การ เขา้ ใจพทุ ธพจน์ หรือเร่ืองราวในพระไตรปิฏกไดอ้ ยา่ งชดั เจนยงิ่ ข้ึน ดำเนินการ การวิจัยเชิงคุณภาพโดยวิธีการวิจัยเชิงเอกสาร เกี่ยวกับ อานาปานัสสติกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค วิจยั ผู้วิจัยศึกษาวเิ คราะห์จากเอกสาร (๑)เอกสารขั้นปฐมภูมิ คือ พระไตรปิฎก (๒)เอกสารข้ันทุติยภูมิ คือ อรรถ กถา รวมท้ังเอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวขอ้ งเป็นหลักการพิจารณา และอธิบายความในมุมมองต่างๆ เกี่ยวกับ อา สรุป นาปานสั สตกิ ถา โดยแสดงเหตผุ ลความสัมพนั ธ์ในแต่ละประเดน็ ผลการวจิ ัย ผลของการวิจยั สรปุ ไดด้ งั น้ี (๑) อานาปานัสสติสมาธิ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงท่ีเป็นพระสูตรหน่ึงโดยเฉพาะหรือท่ีทรงแสดงไว้ใน พระสูตรอ่ืน โดยทรงปรารภเหตุการณ์แสดงท่ีแตกต่างกันตามอุปนิสัยของผู้รับฟัง แต่หลักการสำคัญก็ กล่าวถึงการสติกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก (อานาปานัสสติสมาธิ) และหลักธรรมข้ออื่นท่ีเกี่ยวเน่ือง สัมพันธ์กันในเชิงเหตุผล ได้แก่ ทรงแสดงวธิ ีเจริญอานาปานสั สติ ๑๖ ข้ัน ต่อจากนั้นทรงอธิบายวา่ เมื่อเจริญ และทำใหม้ ากแล้ว กจ็ ะเปน็ ปัจจยั ให้เกิดสติปฏั ฐาน ๔โพชฌงค์ ๗ โดยลำดับ เพอ่ื ข้าถึงจุดหมายสูงสดุ คอื การ บรรลุวิชาและวิมุตติ โดยทรงแสดงหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน ต้ังแต่ระดับ โลกิยะจนถึงระดับโลกุตตระ ซ่ึงผู้ ปฏิบัติเมอ่ื ศึกษาอย่างดแี ลว้ กจ็ ะรแู้ ละเขา้ ใจปฏิบตั ิได้ถูกต้องบรรลุผลตามสมควรแก่อุปนสิ ัยของฅน (๒) อานาปานัสสติสมาธิ ท่ีพระสารบี ุตรเถระแสดงไวใ้ นคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค จะมีเอกลักษณ์ฉพาะ ตัว โดยแบ่งเนื้อหาสาระเป็นส่วนท่ีเป็นมาติกาหรืออุทเทส กล่าว คือ ตั้งบทตั้งหรือหัวข้อธรรมเพ่ืออธิบาย ขยายความ และส่วนที่เป็นนิทเทส หมายถึง การอธิบายขยายความอุทเทสตามนัย และอรรถต่างๆอย่าง พิสดาร มาตั้งเป็นคำถามและคำตอบ เพ่ือให้ได้ความแจ่มแจ้ง เช่น ท่านตั้งอุทเทส แห่งอานาปานัสสติสมาธิ หวั ข้อขึ้นอธบิ ายได้เห็นชัดเจนว่า พระโยคาวจรผู้อานาปานัสสติสมาธิ อันมีวัตถุ ๑๖ ก็จะเกิดญาณ ๒๒๐ ซึ่ง บทอุทเทสที่ยกข้ึนแสดงมานี้ เรียกว่า คณนวาระ แปลว่า วาระที่แสดงถึงการนับจำนวนยาณที่เกิดจากการ เจริญอานาปานัสสติสมาธิ อน่ึง พระสารบี ุตรเถระ ได้นิทเทสญาณ ๒๒๐ อันเกดิ จากการเจริญอานาปานัสส ติสมาธิ ๑๖ขั้นตอนในรูปแบบของการถามตอบ ประกอบด้วยนิทเทส ๕ ในลักษณะท่ีถามเองและตอบเอง สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะบริสุทธ์ิบริบูรณ์สิ้นเชิงสะดวกต่อการศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติ สำหรับผู้ใฝ่รู้ ทั้งหลาย ถือว่าเป็นคัมภีร์แนวปฏิบัติกรรมฐานเล่มแรกในพระพุทธศาสนา และคัมภีร์อรรถกถาก็ได้อธิบาย สอดคล้องเป็นแนวเดียวกันที่ท่านอธิบายอย่างผสมกลมกลืน จึงกล่าวได้ว่า ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติตามคัมภีร์น้ี ย่อมไดร้ บั ผลแหง่ การปฏิบตั ติ ามความสามารถของตนอย่างแน่นอน (๓) ความสอดคล้องของอานาปานัสสติสมาธิ ท่ีพระสารบี ุตรอธิบายกับที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจาก การศึกษาวิจยั พบว่า ทา่ นไดจ้ ำแนกญาณในการทำสติ(สโตการญิ าณ) ด้วยอานาปานัสสติสมาธิ ๓๒ ประการ แบ่งเป็น ๑๖ คู่ ตั้งเป็นบทมาติกา เหมือนกับ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ส่วนวิธีการอธิบายของท่านจะยก หัวข้อธรรมซึง่ มีที่มา ๓ แห่ง คือพุทธภาษิต ภาษติ ของพระอานนท์เถระถือพุทธพจน์ท่ฟี ังมาจากพระพทุ ธองค์ แล้วนำมาบอกแก่ภิกษุท้ังหลาย และภาษิตของท่านเอง ได้แก่ พระพุทธพจน์ท่ีรับฟังมาจากพระพุทธองค์ใน โอกาสต่างๆ มาต้ังเป็นบทอุทเทสหรือมาติกา ในการอธิบายของท่าน บทที่เป็นพุทธวจนะหรือภาษิตของ อานนท์เถระท่านจา้ งท่ีมาไวด้ ้วย สว่ นท่ีเป็นบทของท่านจะไมอ่ ้างไว้ ต่อจากนัน้ ท่านจะอธิบาย ขยายความใน ส่วนที่พระพุทธองค์มิได้ทรงอธิบายไว้ ทั้งด้านอรรถและพยัญชนะได้อย่างผสมกลมกลืนสอดคล้องกับที่พระ พุทธองค์ทรงแสดง เม่ือผู้ปฏิบัติศึกษาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติของตน ซ่ึงมี ความม่ันใจว่าจะไม่ผิดจากหลักการ และยังเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อการเผยแพระพุทธศาสนาให้เจริญ แพรห่ ลายยิง่ ๆ ข้ึนไปก่อใหเ้ กิดผลคอื ความสงบสุขแกต่ นและสงั คมสืบไป
ภาคผนวก ๔๕ รหัส ๙ - ๔๙ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานพิ นธ์ ช่ือวทิ ยานิพนธ์ การศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสกิ ขา A Study of the process of Constructive four Aspects of Self-Development ผู้วจิ ยั (Bhãvanã 4) through The Threefold Training (Trisikkhã) ปรญิ ญา พชิ ญรชั ต์ บุญชว่ ย ปี พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพระพุทธสาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๔๙ ๑. เพื่อศกึ ษาหลักคำสอนเรือ่ งไตรสิกขาและภาวนา ๔ ในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนา การทบทวน ๒. เพอื่ ศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใชห้ ลกั ไตรสิกขาใหเ้ กิดในกลุ่มผู้ปฏิบัติ เอกสารและ ๓. เพ่ือศกึ ษาผลการปฏบิ ัตติ ามหลักไตรสิกขาที่มีตอ่ การพฒั นาคนในด้านต่างๆตามแนวคิดภาวนา ๔ งานวจิ ัยท่ี ๑. หลักคำสอนเร่ืองไตรสิกขาและภาวนา๔ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่ ความหมายและ เกย่ี วข้อง ความสำคัญของไตรสิกขาและภาวนา (ความหมายของไตรสิกขา ความสำคัญ ความหมายของ นยิ ามศัพท์ ภาวนา ความสำคัญของภาวนา) ๒. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งไตรสิกขาและภาวนา(ความสัมพันธ์ของไตรสิกขาที่มีต่อภาวนา (ความสัมพนั ธ์ ในการดำเนินชีวิตด้วยภาวนา ๔ ท่ีมีต่อไตรสิกขา) หลักคำสอนที่เกย่ี วข้องกับไตรสิกขาและภาวนา ๔ (หลักไตรลักษณ์ อริยสัจ ๔) ไตรสิกขาในฐานะเครื่องมือเพ่ือการพัฒนาตนและคนในสังคม (ข้ันตอน นำเขา้ สู่ไตรสิกขา ข้ันตอนไตรสกิ ขา) ภาวนา๔ในฐานะเครื่องวดั ผลของการพัฒนาตนและคนในสงั คม ๑. ภาวนา ๔ หมายถึง การพัฒนาท่ีเกดิ ขึ้นจากการฝกึ อบรมตนเองในทั้ง ๔ ด้าน คือ (๑)กายภาวนา หรือ การพัฒนาการให้รู้จกั “กิน อยู่ ดู ฟัง” โดยควบคุมความเป็นอยู่ไม่ให้เกิดความต้องการที่ฟุ่มเฟือยเกิด ความพอดี, รู้จักจัดระเบียบตนเองในการปรากฏตัวต่อสาธารณะ(Public Appearance) (๒) ศีลภาวนา หรือการพัฒนาความประพฤติที่เก่ียวข้องกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ให้อยู่ในระเบียบวินัย มีความ ซ่ือสัตย์ที่ไม่คดโกง มีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ต่างๆ โดยไม่เบียดเบียน หรือ ก่อความเดือดร้อน เสียหายท้ังแก่ตนเองและผู้อื่น เป็นไปเพื่อเกื้อกูลสิ่งแวดล้มทางกายภาพ หรือทางวัตถุ (๓)จิตภาวนา หรือ การพัฒนาจิตให้เจริญงอกงามในคุณธรรมความดีงามทั้งหลายรวมถึงการมีสติตั้งมั่น มีสมาธิ มีความเพียง พยายามอดทนต่อการฟันฝ่าอุปสรรคเพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากน้ี ยังเป็นการพัฒนาจิตให้สดช่ืน เบิก บาน เป็นสุขอยู่เสมอ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์อันน่าปรารถนา(อิฏฐารมณ์)และไม่น่า ปรารถนา(อิฏฐารมณ์) (๔)ปัญญาภาวนา หรอื การพัฒนาปัญญาให้รูเ้ ข้าใจโลกและชีวติ ได้ตรงตามความจริง รู้เทา่ ทันความรู้สกึ นึกคิดของตนเองสามารถจัดการแก้ไขปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนได้ด้วยการปล่อยวางความทกุ ข์ และ เป็นอิสระปลอดพน้ จากกิเลส ๒. ไตรสิกขา หมายถงึ หลักการศึกษาตามแนวทางพระพุทธศาสนาที่ครอบคลุมข้อปฏิบัตทิ ั้ง ๓ ด้าน คือ (๑) อธิศีลสิกขา อันไปเพื่ออบรมความประพฤติทางกายวาจาใจและการดำเนินชีวิตของตนให้บริสุทธ์ิ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเก้ือกูลประโยชน์ระหว่างกัน (๒) อธิจิตสิกขา อันไป เพ่ืออบรมจิตใจให้ตั้งม่ันไม่หว่ันไหวอยู่ในสภาพอ่อนโยน ควรแก่การงาน (๓) อธิปัญญาสิกขา อันไปเพื่อ อบรมปัญญาให้รู้แจ้งความจริงของธรรมชาติและชีวิต นำไปสู่การว่างใจต่อชีวิตและจัดการกับชีวิตน้ันได้ อย่างเหมาะสม โดยปราศจากความทุกข์หรืออีกนัยหนึ่ง คือ มีเป้าหมายสูงสุดที่การบรรลุพระนิพพาน กระบวนการสรา้ งภาวนา๔โดยใช้หลักไตรสิกขา หมายถึงลำดบั การพัฒนาตนท่เี ริ่มต้นด้วยการนำความรู้ทาง พระพุทธศาสนาที่ศึกษาในเชิงปริยัติจาการฟัง การอ่าน การคิดจนเกิดเข้าใจอย่างถูกต้อง แล้วนำมาฝึก
ภาคผนวก ๔๖ การดำเนินการ ปฏิบัติตามแนวทางแห่งไตรสิกขา เพ่ือให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอนด้วยตนเอง มีผลให้เกิดการ วจิ ยั เปลี่ยนแปลงทางความคิด การมองโลกและชีวิตจึงปรับเปล่ียนพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตให้สอดคล้อง กับสัจธรรม และสะท้อนออกมาเป็นภาพลักษณ์ของผู้ที่พัฒนาตนเองแล้วใน๔ด้านคือ กาย,ศีล(สังคม),จิต เครื่องมือที่ใช้ใน (อารมณ)์ ,ปญั ญา การวิเคราะห์ หลกั ตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงคณุ ธรรม เพ่ือให้ไดข้ อ้ มลู ในมติ ิที่ลึก คือ ปรากฏการณ์ ในระดับบุคคลเปน็ สำคัญ ซ่ึงรวบรวมมาจากผู้วิจัยหลัก(Primary Researcher) คือ ตัวผู้วิจัย และจากผู้ร่วมวิจัย(Co-Researchers) ท่แี บง่ เป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลมุ่ นิสิตปริญญาโทที่ไปปฏบิ ัตธิ รรม ตามขอ้ บงั คับของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ า ลงกรณราชวิทยาลัย ณ มหาจุฬาอาศรมจำนวน ๗ คน เป็นเวลา ๑๕ วัน เพ่ือเป็นการสำรวจเบ้ืองต้น สำหรับใช้เป็นแนวทางให้สามารถต้ังประเด็นท่ีต้องการศกึ ษาได้ชดั เจนข้ึน แล้วนำมาทำการวิจัย กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติธรรมที่เข้ามาเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ ณ ทิพวรรณสถาน จ.เพชรบูรณ์จำนวน ๗ คน โดยเร่มิ ต้นเก็บขอ้ มูลในช่วงระหว่างธันวาคม ๒๕๔๘ ถึงกันยายน ๒๕๔๙ รวมเวลา ๑๐ เดือน ทั้งผู้วิจยั และ ผ้รู ว่ มวจิ ัยไดร้ วมกนั สบื สวนประสบการณ์ของตนเองที่เกดิ ข้ึนในระหว่างการฝกึ ปฏิบัติตามหลกั ไตรสิกขาทท่ี ำ ให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตตามแนวคิดเรื่องภาวนา ๔ แล้วจากนั้น จึงถ่ายทอด ประสบการณข์ องกนั และกัน ผู้วิจัยต้องการศึกษาหลักการ วิธีการ และกระบวนการของไตรสิกขาและภาวนา๔ ตามแนว พระพุทธศาสนานอกจากต้องการศึกษาประสบการณ์จากการฝึกปฏิบัติตามแนวไตรสิกขาที่ทำให้เกิดการ พัฒนาตนเองของผู้ปฏิบัติธรรม ซ่ึงสามารถสังเกตได้จากการปรับเปล่ียนพฤติกรรมและวิถีชีวิตของพวกเขา ภายหลังจากได้รับการฝึกอบรมจนเกิดความเข้าใจหลักการและวิธีการปฏิบัติท่ีถูกต้องและสามารถนำไป ทดลองฝึกฝนด้วยตนเอง ภายใต้คำแนะนำและการประเมินผลจากวิปัสสนาจารย์อย่างสม่ำเสมอเป็น ระยะเวลาพอสมควรด้วยเหตุน้ี ผู้วิจัยจึงเลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งภาคทฤษฏีโดยใช้การศึกษา ค้นคว้าจากเอกสารและการเก็บข้อมูล ภาคปฏิบัติโดยใช้วิธีการสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง (Heuristic Research) เน้นเรื่องการสืบสวนเข้าไปภายในตนเอง(introspection) จนค้นพบธรรมชาติ และความหมายของประสบการณท์ ต่ี อ้ งการศกึ ษา คือ กระบวนการสรา้ งภาวนา๔ โดยใชห้ ลกั ไตรสิกขา วิธีการที่ใช้ในการศึกษา: การสืบสวนแบบคน้ พบด้วยตนเอง (Hearistic Inqulry) การสบื สวนแบบ ค้นพบด้วยตนเอง (Hearistic Inqulry) เป็นการแสวงหาความรู้ท่ีต้ังอยู่บนฐานคติเชิงปรากฏนิยม ซึ่งมี ความเด่นชดั อยู่ท่ีการนำประสบการณ์ตรงมาสะท้อนความคดิ ความเข้าใจของนักวจิ ัย โดยอาศัยการสังเกต ศึกษาลักษณะของปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนภายในตนเองอย่างใกล้ชิด แล้วจึงพัฒนาวธิ กี ารและระเบียบปฏิบัติ เพ่อื การสืบสวน ตีความและให้คุณคา่ ปรากฏการณ์น้นั จากกรอบอา้ งองิ ภายในตนเอง จากนั้น จึงตัง้ ประเด็น คำถามต่อไปว่า “ประสบการณ์ของฉันเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับที่เกิดกับคนอ่ืนท่ีผ่านปรากฏการณ์ น้ันๆมาแล้ว” ระเบียบวิธวี ิธวี ิทยาการสืบสวนแบบค้นพบดว้ ยตนเอง กระบวนการสำคญั อยู่ ๗ ระดับ คอื (๑) การกำหนดแนวทางในการศึกษา (Identifying with the Focus of Inquiry) ด้วยการต้ังคำถาม ปลายเปิด และอาศัยมุมมองจากการค้นหาเข้าไปภายในตนเองเป็นเครื่องมือทำความเข้าใจประสบการณ์ ของมนุษย์ นักวิจัยอาจใช้กระบวนทัศน์ทางทฤษฏีมาเป็นแนวทางการทำวิจัย ขณะเดียวกันก็พร้อมท่ีจะ เรยี นรสู้ ิง่ ใหมๆ่ เสมอ (๒) การโต้ตอบกันเอง(Self-Dialogue) เป็นกระบวนการศึกษา สำรวจปรากฏการณ์ขึ้นในตนเอง โดยปล่อยให้ดำเนินไปในสภาพธรรมชาติ การตรวจสอบตนเองอย่างต่อเนื่อง เป็นกลาง และยอมรับความ จริงท่ีนำไปสู่การตื่นรู้ การพิจารณาทบทวนกลับไปกลับมา จนค้นพบความหมายที่หลากหลาย แล้ว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 552
Pages: