ภาคผนวก ๑๔๗
ภาคผนวก ๑๔๘ รหัส ๓๓-๕๔ แบบบันทกึ ขอ้ มูลงานวิทยานิพนธ์ ชือ่ วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาวเิ คราะหอ์ เุ บกขาในการปฏบิ ัติวิปสั สนาภาวนา ตามแนวสตปิ ฏั ฐาน ๔ (An Analytical Study of the Equanimity in Vipassanãbhãvanã Practice according to the four ผวู้ ิจัย foundations of mindfulness ) ปรญิ ญา พระมหาณชั พล พนฺธาโณ (นราวงษ)์ ปี พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วตั ถุประสงค์ ๒๕๕๔ ๑. เพ่ือศกึ ษาการปฏิบัติวปิ ัสสนาภาวนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ที่มปี รากฏในคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท การทบทวน ๒. เพ่ือศึกษาอเุ บกขาที่มีปรากฏในหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา เอกสารและ ๓. เพื่อศกึ ษาวเิ คราะหก์ ารเจรญิ อุเบกขาในสติปัฏฐาน ๔ งานวิจยั ท่ี ๑. การปฏิบัติวิปสั สนาภาวนาตามหลกั สติปฏั ฐาน ๔ ไดแ้ ก่ ความหมายของวิปสั สนาภาวนา ความหมาย เกยี่ วข้อง สติปัฏฐาน ๔ หลักการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ การเจรญิ สติปัฏฐานทั้ง ๔ การเจริญวปิ ัสสนาภาวนาตาม นยิ ามศัพท์ หลกั สตปิ ัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิฎก ๒. อุเบกขาที่ปรากฏในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ ความหมายของอุเบกขา ประเภทของ อุเบกขา ลกั ขณาทจิ ตกุ กะของอเุ บกขา องคธ์ รรมอุเบกขาทป่ี รากฏในโพธิปกั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ ๓. วเิ คราะห์การเจริญอเุ บกขาในสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ ความหมายอุเบกขาในสติปฏั ฐาน ๔ หลกั การเจริญ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ สรปุ อเุ บกขาในสติปัฏฐาน ๔ ๑. อเุ บกขา หมายถึง ความวางเฉย หรือความมีใจเป็นกลาง ความวางทีเฉยดูอยู่ หมายถึง การดูอย่างสงบ หรือดูตามเรื่องท่ีเกิด ไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ในกรณีของฌาน คือไม่ติดข้างแม้แต่ในฌานที่มีความสุขอย่าง ยอด และความหมายที่สูงขึ้นไปอีก หมายถึง วางทีดูเฉยในเม่ืออะไรทุกอย่างเข้าท่ีดำเนินไปด้วยดี หรือ เสรจ็ เรยี บร้อยแล้ว ไม่ตอ้ งขวนขวายเจา้ ก้เี จ้าการโดยเฉพาะในฌานที่ ๔ คือบริสทุ ธิ์ หมดจดจากธรรมที่ เป็นข้าศึกเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องขวนขวายที่จะกำจัดธรรมท่ีเป็นข้าศึกน้ันอีก จัดเป็นองค์ฌาน โดยเฉพาะของฌานที่ ๔ ๒. วิปัสสนาภาวนา หมายถึง ปัญญา ที่เห็นสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม หรือ รูปนามในปัจจุบันขณะที่ เกิดข้ึนตามธรรมชาติ ตามความเป็นจริงว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และไม่ใช่ ตัวตน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ น้ัน คือ ไตรลักษณ์ นั้นเองการฝึกอบรมจิตให้เกิดความรู้แจ้งตาม ความเป็นจริง การเจริญปัญญา หรือวิธีการทำใหเ้ กิดการเห็นแจ้งสตปิ ัฏฐาน มาจาก สติ คือ การระลึกรู้ ปฏั ฐาน คือ เขา้ ไปตั้งไว้ ๓. สติปัฏฐาน หมายถึง ฐานท่ีตั้งของสติ หรือฐานท่ีรองรับการกำหนด การระลึก การตามรู้ สภาวธรรม อารมณ์ ปัจจุบนั ธรรมเครอื่ งระลกึ ท่ีเป็นไปอยา่ งตอ่ เนื่อง สติทีเ่ ขา้ ไปต้ังไว้อยา่ งมั่น ธรรมอันเปน็ ทตี่ ง้ั แห่ง สติหมายถึง อารมณข์ องสติ ได้แก่ กาย เวทนา จติ ธรรม ๔. ภาวนา ได้แก่ ธรรมควรเจริญ คือ ให้เกิดในสนั ดาน ธรรมท่ีเป็นเครอื่ งอบรมกระแสจิตและทำให้กศุ ลที่ เกิดข้นึ แลว้ เจริญเพ่มิ พนู ข้นึ ๕. สัมปชัญญะ คือ ความรู้ทั่วพร้อม รู้รอบคอบ รู้ตัวเสมอ รู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์ จึงรูปส่วนท่ีเป็นการ เคล่ือนไหว และ นาม คือ จติ ทที่ ำให้เกิดการเคลือ่ นไหวในอิรยิ าบถต่าง ๖. รูป คือ ธรรมชาติที่ผันแปรแตกดับไปด้วยความเย็นและความร้อนนิพพาน เป็นธรรมชาติท่ีสงบจากรูป นาม (ขันธ์ ๕) เพราะวา่ นิพพานน้เี ป็นธรรมชาติที่พ้นจากตัณหาอย่างเด็ดขาดเปน็ ธรรมท่ีพ้นจากการปรุง
ภาคผนวก ๑๔๙ แต่งท้ังปวงชือ่ ว่า อสังขตธรรม ๗. ขนั ธ์ แปลวา่ กอง เพราะเปน็ ท่ีรวมธรรมชาติท้ังปวงเข้าด้วยกัน ธรรมชาติท้ังปวงท่ีมีปรากฏข้ึนมาแลว้ ก็ ต้องสลายไปเสื่อมไปด้วยวิโรธิปัจจัย คือปัจจัยที่ไม่ถูกกัน ได้แก่ ความร้อนความเย็น เป็นต้น องค์ธรรม ไดแ้ ก่ รูป (มหาภูตรปู ,อปุ าทยรูป ) ๘. ปรมัตถ มคี วามหมายว่า สภาวธรรมท่ีเป็นอารมณ์ของญาณอันประเสริฐ สภาวธรรมที่มีลักษณะเฉพาะ ตน ไม่แปรปรวนตามกาลเวลา สถานที่ บุคคล ธาตุ เพราะหมายความว่า ทรงไว้ซ่ึงผลและสภาวะของ ตน ส่ิงที่ให้เกิดผล ทรงไว้ซึ่งผลของตนและสภาวะของตน ทรงไว้เฉพาะสภาวะอย่างเดียว สภาวธรรม เหล่านั้นมีอยู่เอง เป็นอยู่เองโดยความเป็นธรรมชาติ ปราศจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จึง บญั ญัติศพั ทเ์ รยี กวา่ “ธาตุ” ๙. อินทรีย์ แปลว่า เป็นผู้ปกครอง หมายความว่า สามารถทำใหส้ ภาวธรรมที่เกดิ ข้ึนพร้อมกันกับตนน้ัน ตอ้ งเปน็ ไปตามอำนาจของตน ความเปน็ ใหญ่ หรือเป็นผู้ปกครองในสภาวธรรมทีเ่ กดิ ร่วมกันกับตน หรอื เป็นใหญ่ในกจิ การน้ัน ๑๐. อรยิ สัจ ๔ แปลวา่ เปน็ สัจจะของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เปน็ ของคลาดเคลอ่ื น เป็นของแทไ้ มแ่ ปรผัน ไม่ เปน็ อย่างอน่ื เพราะ ๑๑. ปฏจิ จสมปุ บาท หมายความวา่ ความเกิดขน้ึ แห่งก้องทุกข์ท้ังมวลนั้น ธรรมที่อาศัยกันเกิดข้ึน คือ ธรรม ทเี่ ป็นผลอาศัยธรรมที่เป็นเหตุ ธรรมท่ีเป็นเหตุ ก็เป็นเหตุปจั จยั ให้ธรรมที่เปน็ ผลเกิดข้นึ เป็นธรรมมีความ สิ้นไปเป็นธรรมดา เรยี กว่า เป็นปฏจิ จสมุปปันนธรรม เป็นธัมมฐิตตา(ความตั้งอยู่เปน็ ธรรมดา) เป็นธัมม นิยามตา๔๗ (ความแน่นอนแห่งธรรมดา) เป็นตถตา (ความมีปัจจัยอย่างน้ัน) เป็นอวติ ถตา (ความไม่มีท่ี จะไม่มีเพราะปัจจัยอย่างนั้น) เป็นอนัญญถตา (ความไม่มีธรรมอื่นเพราะปัจจัยอื่นอย่างนี้) เป็นอิ ทปั ปัจจยตา (ความที่สิ่งน้ีเปน็ ปัจจยั ของสิง่ นี้) ๑๒. ไตรลกั ษณ์ คือ ลกั ษณะท่วั ไปของกายกบั จิต มี ความไมเ่ ทยี่ ง ความเป็นทุกข์ และความเป็นอนัตตา ของกาย เวทนา จติ และสภาวธรรม ๑๓. ลกั ษณะ คอื สภาวะลักษณะ มี ๒ อยา่ ง (๑) สภาวะลกั ษณะ หมายถึงลักษณะเฉพาะของสภาวธรรมน้ัน ๆ ซ่ึงในท่ีนี้เม่ือกล่าวว่า“มีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ” จึงได้แก่ จิต นั้นเอง (๒) สามัญญลักษณะ หมายถึงลักษณะท่ัวไปของสภาพธรรมทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำว่า“ลักษณะ”ในที่น้ี หมายเอา สภาวลักษณะ คอื ลกั ษณะเฉพาะของสภาวธรรม ซ่ึงในข้อนีไ้ ด้แก่ลักษณะของจิต ๑๔. ทวิโกฏิกะ คือ การกำหนดแบบว่างเปล่าโดยส่วนทั้ง ๒ หมายความว่า ถ้ารู้ส่วนที่หนึ่ง(ไม่มีตัวตน) โดย ถูกต้องแลว้ กจ็ ะทำให้การกำหนดรู้ส่วนท่ี ๒ (ไม่ใช่ส่ิงของของเรา)พลอยสำเร็จไปดว้ ย ๑๕. จตุโกฏิกะ คือ วิธีกำหนดความว่างโดยส่วนท้ัง ๔ ย่อมกำหนดเห็นอย่างนี้ว่า “ตัวข้าไม่มีอยู่ ณ ที่ไหนๆ ไม่มีอยู่ในกาลไหนๆ ไมม่ ีอยู่ในธรรมใดๆ ตัวข้าไม่ตั้งอยใู่ นความเป็นสิ่งที่ทำความกังวลแก่ใครๆ เป็นการ เห็นความว่างเปล่าด้วยญาณโดยปราศจากความยึดม่ันถือม่ันว่าตัวตน บุคคล เรา เขาเป็นการพิจารณา นามรปู สังขารแบบ จตุโกฏิกะ คือพจิ ารณาโดยจำแนกเป็นสี่สว่ น ๑๖. อาการ คือ ย่อมพจิ ารณาเห็นธรรมท่ีตอ้ งเปลยี่ นแปลงความว่างเปล่าแหง่ รูปนาม ๑๗. ขณิกสมาธิ หมายถึง สมาธิทตี่ ง้ั มั่นอยูใ่ นชว่ งท่ีจิตอย่ใู นการกำหนดเท่าน้ัน ๑๘. กำหนด คือ การพามันกำหนดรู้ หมายถึงกำหนดให้ตรงตามสภาวะที่เกิดตามความเป็นจริง เรียกช่ือให้ ถูกต้องตามบัญญัติท่ีสอดคล้องตามสภาวะว่า ตัชชามานบัญญัติ แบบตามดู ตามรู้ตามเห็น เข้าใจใน สภาวะท่ีปรากฏอยู่ของเวทนา แบบเฝ้ าดู เฝ้ ารู้ เฝ้ าเห็น การเฝ้ าสังเกตอาการนั้น มีลักษณะของการ ใช้คำกำหนดรู้คือ กำหนดรู้แบบสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง รวดเร็วนุ่มนวลหนักแน่นมัน่ คงผ่อนส่ันผ่อนยาว เข้า
ภาคผนวก ๑๕๐ วธิ ดี ำเนนิ งาน ไปดูอาการท่ีกำลังดำเนินไปอยู่นั้น การรู้ปฏิกิริยา สัมพันธ์ท่ีรู้ อิทธิผลทีรู้อากัปกิริยา รู้เห็นแบบ วิจัย ประคบั ประคองการอาการท่ีเกดิ ข้นึ ทเี่ ป็ นไป ความสมั พันธ์กับอารมณ์ความร้เู ฉยอยู่ การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิเคราะห์เอกสาร มีลำดับการศึกษา (๑) ศึกษาข้อมูลขั้นปฐมภูมิ จากคัมภีร์ สรปุ ผลการวจิ ัย พระไตรปิ ฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์อ่ืนท่ีเกี่ยวข้อง. (๒) ศึกษาข้อมูลข้ันทุติยภูมิ จากเอกสารงานวิจัยที่ เก่ียวข้อง คือ คัมภีร์วิสุทธิมรรควิมุตติมรรค พุทธธรรม เป็นต้น (๓) วิเคราะห์ข้อมูล โดยการแปล เรียบเรียง วิเคราะห์ บรรยายเชิงพรรณนาและตรวจสอบความถูกต้องด้านเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญ ขอบเขตการวิจัย เป็นการศึกษาเนื้อหาตามเอกสาร โดยมีขอบเขตเน้ือหาที่ศึกษา คือ หลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา หลัก สติปัฏฐาน ๔ และอุเบกขาที่ปรากฏในหลักธรรมต่าง ๆ เช่น พรหมวิหาร โพชฌงค์ วิริยุเปกขา และท่ี เก่ียวข้องกับการเจรญิ สตปิ ัฏฐาน ๔ สิ่งที่พบในการวิจัย คือ พระพุทธศาสนาได้แสดงหลักของการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาที่มีความสมบูรณ์ในภูมิ ของวิปสั สนาภูมิกมั มัฏฐานไว้ด้วยกันถึง ๖ หมวด เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ ๖ ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรยี ์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อริยสัจจ ๔ วิปสั สนาภมู ิเหล่านเี้ ป็นที่เกิดทม่ี ีขน้ึ ของการเขา้ ไปกำหนด รูใ้ นรูปนามที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาปัญญาท่ีอาศัยหลักการท่ีเป็นไปใน การปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เพือ่ ให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจในการเจรญิ กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน เวทนานุปสั สนาสติปัฏฐาน จติ ตานปุ ัฏฐานสติปัฏ ฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่ได้แสดงตัว วิปัสสนาปัญญา ที่มีการเห็นรูปนามตามความเป็นจริงใน ปัญญาหย่ังรู้ หยั่งเห็น เห็นแจ้งโดยประการต่างๆ ในสภาวะลักษณะของสภาวธรรมรูปสภาวธรรมนาม ตาม ความเป็นจริงวา่ สภาวธรรมท้ังหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่สตั ว์ ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา จึงเป็น ธรรมเคร่ืองรู้เห็นรูปนามตาม สภาวะแห่งไตรลักษณ์ หมายถึงปัญญา ท่ีหยั่งรู้สภาวะ (ปรากฏการณ์)ของ สภาวธรรม อารมณภ์ ายในกาย ใจ หรอื รูปกับนาม ตามความเป็นจริงว่าสภาวธรรมทั้งหลายไมเ่ ที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จึงแสดงหลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเป็นสองหมวด คือ ดังนี้ ๑. หมวดท่ีเป็นได้ทั้งสมถะ และวิปัสสนา ในส่วนของกายานุปัสสนาจดั ไว้ดงั นสี้ ่วนของสมถะนำหน้าวปิ ัสสนาตามหลัง คือ อานาปานปัพ พะ ปฏิกูลมนสิการปัพพะ นวสิวถิกะปัพพะ เม่ือเจริญสติตามกำหนดรู้จนเกิดความสงบในขั้นของอุปจาร สมาธิ ในหมวดท่ีกล่าวแล้วตามอุปนิสัยของตนๆ ที่สั่งสมบารมีมาจากน้ันก็ยกจิตขึ้นพิจารณารูปนามตาม ความเป็นจรงิ จิตที่ถกู ปัญญาอบรมดีแลว้ กจ็ ะสามารถมองเห็นความเป็นของรูปนามในหลักของความเกิดดับ ตามความเป็นจริง การรู้เห็นอย่างน้ี จึงได้ช่ือว่ามีสมถะนำหน้าวิปัสสนาตามหลัง ๒. หมวดที่เป็นวิปัสสนา นำหน้าสมถะ ตามหลังท่ีปรากฏในกายานุปัสสนาจัดไว้ ดังนี้ส่วนของวิปัสสนานำหน้าสมถะตามหลังคือ อริ ิยาบถปพั พะ สมั ปชัญญะปัพพะ ธาตมุ นสิการปัพพะ เม่ือผู้เจริญวิปัสสนานำหน้าเกิดปญั ญาในการเจริญสติ ปัฏฐานในหมวดท่ีกล่าวแล้วน้ี ย่อมมองเห็นรูปนามตามความเป็นจริงในข้ันของความเกิดดับในอุทยัพพย ญาณ ความสงบเย็นของจิตย่อมเกิดข้ึนเป็น ขณิกสมาธิ ท่ีเกิดข้ึนในขณะกำหนดรู้ปัจจุบันขณะของรูปนาม ความด้ินรนของความเดือดร้อนด้วยอำนาจของนิวรณ์ย่อมระงบั ด้วยปัญญาท่ีรู้เทา่ ทนั สมาธิของการกำหนดรู้ รูปนามอย่างต่อเน่ืองจึงเกิดขึ้นความสงบเย็นของจิตในขั้นสมถะก็ตามมาน้ันเอง จึงจัดได้ว่าปัญญาทำจิตให้ เห็นประจักษ์แจ้งพระไตรลักษณ์ในรูปที่เห็นอาการที่เคลื่อนไหว ใจท่ีคิด เป็นต้น ๓. หมวดท่ีควบคู่กันท้ัง วปิ ัสสนาและสมถะทป่ี รากฏในกายานปุ สั สนาจดั ไว้ ดงั น้ีอานาปานปพั พะ อริ ิยาบถปพั พะ สัมปชัญญะปัพพะ ปฏิกูลมนสิการปัพพะ ธาตุมนสิการปัพพะ และนวสิวถิกะมนสิการปัพพะ เม่ือเจริญสมถะหรือวิปัสสนา ภาวนาตามอุปนิสัยจริตที่สั่งสมด้วยบารมีของตนมา เม่ือเจริญวิปัสสนาภาวนาที่เป็นไปในกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน ผู้ปฏิบัติย่อมสามารถเขา้ ถึง สภาวเกิดดับของรปู นาม ความสงบเย็นของจิต ก็จะถูกต้องดว้ ยสุขแท้ เห็นรูปนามตามความเป็นจริง ทุกข์ที่ถูกตัดท่อนด้วยปัญญาที่กำลังดำเนินไปตามหนทางน้ีเท่านั้นไม่มีทางอ่ืน ในการอบรมปัญญาให้เข้าใจตามความจริงไม่ใช่เห็นตามท่ีเราวาดภาพให้เป็นด้วยความชอบ ความชัง ความ
ภาคผนวก ๑๕๑ อยากได้ หรอื ความขดั ใจของความยดึ ถือ รู้แจ้งชัดเขา้ ใจจรงิ จนถอนความหลงผดิ และยึดติดในสิ่งทัง้ หลายได้ ถึงข้ันเปล่ียนท่าทีต่อโลกและชีวิตใหม่ ความรู้ความเข้าใจถูกต้องท่ีเกิดเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ มีความสุขสงบผ่องใส และเป็นอิสระ เพราะพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลสท่ีสุดคือนำไปสู่ความหลุดพ้นท่ีแท้จริงยั่งยืนถาวร (สมุจเฉทวิมุติ) การรูเ้ ห็นด้วยปัญญาที่เจริญวิปัสสนาภาวนาอย่างนี้ จึงจัดได้วา่ เป็นคุณประโยชน์ทั้งสมถคุณ และวิปัสสนาคุณในการเจริญสมถและวิปัสสนาคู่กันดังที่กล่าวมา ๔ หมวดเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จติ ตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปฏั ฐานจัดเป็นการเจริญวิปัสสนาล้วน เพราะเป็นเหตุให้ เห็นความเปน็ จริงของรูปนามท่ีแสดงออกมาในกระแสของจติ ท่ีมีการเกิดข้ึนตั้งอยู่และดับไปในที่สุด ทีถ่ ูกต้อง ตามหลักของการเจริญวิปัสสนาภาวนาท่ีมีการดำเนินไปของหมวดกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตา นปุ ัสสนาและธมั มานุปัสสนา การกำหนดรทู้ ่ีเป็นไปในฐานทงั้ ๔ น้ีล้วนมีความสมั พันธ์กันทั้งหมดไม่ว่าผู้ปฏิบตั ิ จะกำหนดรู้ในฐานไหนล้วนเป็นการใช้สติปัฏฐาน เพื่อกำหนดรู้เห็นตามเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะของ รูปนาม เม่ือรับรู้เอาอารมณ์ที่เกิดข้ึนในปัจจุบันขณะด้วยสติปัฏฐานแล้วในฐานทั้ง ๔ ย่อมปรากฏชัดเจนใน การรเู้ ห็นพระไตรลักษณท์ ่แี สดงตัวตนของรปู นามทป่ี รากฏในการเจรญิ อเุ บกขาที่ปรากฏในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเม่ือศกึ ษาแลว้ พบว่า มีอุเบกขา ๑๐ ประการ มีฉฬัง คุเปกขา เป็นอุเบกขาท่ีประกอบด้วยองค์ ๖ ประการ ปรากฏเพียงสภาวะที่รับรู้แห่งความเป็นกลางของ อินทรีย์ ๖ ขณะ เช่น เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รับรู้ รส ถูกต้อง สัมผัสทางกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจ เป็นผู้วางเฉย เป็นผู้สงบ ไม่ยินดียินร้าย มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอนี้เป็นปกติของการรู้อารมณ์ของพระอริยผู้ เปน็ พระอรหันตเ์ ทา่ นั้น ต่อมาพรหมวหิ ารรเุ ปกขาคือ อเุ บกขาท่ีเปน็ ไปในความวางเฉยต่อสัตวท์ ง้ั ปวงที่เป็นสุข และทุกข์ ได้แก่ ระลึกเป็นอารมณ์ไว้ในใจแล้วแผ่ออกไปด้วยจิตที่เป็นกลาง ส่งเสริมให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คอื การรักษาอินทรีย์ให้สม่ำเสมอตัดขาดจากความรู้สกึ ทัง้ สองฝา่ ย ไมเ่ อยี งไปในฝ่ายยนิ ดแี ละไมม่ ีความเสยี ใจ มคี วามเป็นกลาง ไม่ต้องจดจ่อมากนัก การกำหนดเป็นไปได้เองอย่างราบร่ืน โดยไม่ต้องเฝ้าระวังระไวกลัวว่า จะเผลอไผลลืม ดำเนินไปอย่างพอดีๆ สนับสนุนให้วิริยะอุเปกขา คือ ถึงวิริยะที่ไม่มากล้นและขาดแคลนใน การปฏิบัติครั้งใดก็ตามถ้ากำหนดได้อย่างดีราบร่ืน วิริยะไม่ขาดไม่เกิน การรู้สังขารุเปกขาญาณ คือ การ กำหนดไปอย่างเป็นกลางๆในขณะรับรู้ของสังขารทปี่ รากฏ มีเวทนาอุเปกขา คือความสุขก็ไม่ใช่ ความทกุ ข์ใจ ก็ไม่ใช่ มีแต่ใจท่ีเป็นกลางๆ ปญั ญาท่ีวิปัสสนานุเปกขา คือ มีเกิดขึ้นได้ท่ีอุทยัพพยญาณ ก็ได้ค้นพบการได้พบ เหน็ อนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตา สภาวธรรมที่เกิดดบั อย่างนี้แสดงให้เหน็ ถึงความไมเ่ ที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา การกำหนดรู้ก็ดำเนินไปโดยไม่ได้หยุดคิดพิจารณาโดยความรู้ความเห็นพระไตรลักษณ์ปราศจากความยินดี พอใจหรอื เสียใจเขา้ ไป โดยมตี ัตตรมชั ฌัตตุเปกขา คอื ความวางเฉยต่อสขุ ในฌานเป็นธรรมชาติทเ่ี ป็นกลางใน สัมปยตุ ตธรรม การศึกษาอุเบกขาท่ีเป็นไปในองค์ธรรมของการเจริญโพชฌงค์ ในสติปัฏฐาน ๔ ท่ีเป็นไปใน อุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติมีความชัดเจนในทางปัญญานุเปกขา ศรัทธาและวิริยะท่ี เกิดขึ้นก็สม่ำเสมอ เป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยดีของที่สุดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ท่ีสามารถเข้าถึงวิมุตติได้ตาม หลักของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ แต่ด้วยความท่ีการสั่งสมบารมีมาต่างกันทำการเข้าถึงปฏิปทาของตนท่ีสร้าง มา ทำให้ใช้เวลาปฏิบัติต่างกันเรียกว่า เสขะ ผู้ที่ยังต้องศึกษา (ปุถุชน) และอเสกข (อริยะชน) ผู้ท่ีไม่ต้อง ศกึ ษาอีกต่อไปแล้วคือ ถึงพระนิพพาน เพ่ือให้ผู้ปฏิบัติ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น เน้นคุณธรรม ดำรงตน อยู่ในการเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เป็นไปในชีวิตประจำวันตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ท่ีพระพุทธองค์ทรง พจิ ารณาบุคคลที่สามารถบรรลธุ รรม ไดแ้ ก่ ตามอปุ นสิ ัยบารมที ต่ี นเองสรา้ งมาและไดพ้ บกับกัลยาณมิตรทีด่ ี งาม มีพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกจากนั้นได้ฟังธรรมและปฏิบัติธรรมดังปรากฏในบุคคลท่ีแสดงไว้ประเภท ดงั นี้คือ ๑. อุคฆฏิตัญญู คือ พอได้รับการอธิบายเพียงหัวข้อเท่าน้ันกร็ ู้ได้ทันที (บางดอกอยู่เหนือนำ้ พอต้อง
ภาคผนวก ๑๕๒ แสงอาทติ ย์กจ็ ะบาน) ๒. วิปปจติ ัญญู คือ พอได้รับการอธิบายรายละเอยี ดก็เข้าใจได้ (บางดอกอยู่เสมอนำ้ จะ บานในวนั รุ่งขึ้น) ๓. เนยยะ คือ พวกที่ฟังธรรมไว้เพอ่ื เป็นอุปนิสัยในโอกาสหน้า หรือ พวกที่ต้องค่อยฝกึ คอ่ ย เป็นค่อยไปจงึ จะเข้าใจ (บางดอกอยู่ใต้นำ้ จะบานในโอกาสต่อไป)เม่ือผู้ปฏิบัตทิ ่ีเป็นไปในสติปฏั ฐาน ๔ ด้วย การพัฒนาไปตามลำดับใน กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา การพัฒนา ของอุเบกขาย่อมสร้างความสมดุลในการวางใจเป็นอุเบกขา ในขณะการกำหนดรู้รูปนามที่กำลังดำเนินไป ด้วยใจท่ีเป็นกลางในขณะกำหนดรู้การเกิดดับของรูป การรู้เห็นเวทนา ย่อมเข้าถึงความแจ่มแจ้งในการวางใจ ไมข่ าดกลัวตอ่ ทุกขเวทนา ไม่หลงระเรงิ ในสุขท่เี กิดกับเวทนานปุ สั สนา ย่อมรู้แจง้ ในการวางอเุ บกขา
ภาคผนวก ๑๕๓ รหัส ๓๔-๕๔ แบบบันทึกข้อมูลงานวิทยานพิ นธ์ ช่อื วทิ ยานิพนธ์ ศึกษาสภาวะรูปนามในการปฏิบตั ิในหมวดสมั ปชญั ญะบรรพในสติปัฏฐานสตู ร (The Study of Rūpanamā in Deep Practice of Sampajaññababba ผู้วจิ ยั ปรญิ ญา in Satipaṭṭhana Sutta) ปี พระมหาญาณทัสน์ ฉฬภิญฺโณ (วงศ์กาภู) วัตถุประสงค์ พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิปสั สนาภาวนา มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๕๔ การทบทวน ๑. เพ่ือศกึ ษาสัมปชญั ญะบรรพ ในหมวดกายานุปัสสนา สติปัฏฐานสตู ร เอกสารและ ๒. เพื่อศึกษาลักษณะสภาวะของรูปนาม ในการปฏิบัตใิ นหมวดสัมปชัญญะบรรพ งานวจิ ยั ที่ ๑. การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ความหมายของวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน ๔ ท่ีปรากฏใน เกี่ยวขอ้ ง คัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ วิธีปฏิบัติ นิยามศัพท์ วปิ ัสสนาภาวนาตามสติปฏั ฐาน ๔ ๒. การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ในหมวดสัมปชัญญบรรพ ได้แก่ ความสำคัญของการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา ความหมายของสัมปชัญญะบรรพ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในหมวดสัมปชัญญะ บรรพ สัมปชัญญะบรรพที่ปรากฏในพระสูตรอืน่ ๆ ๓. สภาวะรูปนามที่ปรากฏในการปฏบิ ัติหมวดสัมปชญั ญบรรพ ไดแ้ ก่ ความสัมพนั ธ์ทีเ่ กดิ ข้ึนจาก องค์ประกอบของการกำหนดในรูปนาม สภาวะรูปนามในการปฏิบตั ใิ นหมวดสัมปชญั ญะบรรพ ๑. สติ หมายถงึ ธรรมชาติทร่ี ะลึกรอู้ ารมณ์ ๒. สตปิ ัฏฐาน แปลวา่ ธรรมเปน็ ท่ตี ัง้ แหง่ สตหิ รอื การปฏิบตั มิ ีสติเป็นประธาน ๓. สตปิ ัฏฐาน ๔ หมายถึง เปน็ หลกั การปฏบิ ัติท่ใี ช้สตเิ ป็นประธานบนฐาน ๔ ฐาน คือ กาย เวทนา จติ ธรรม ๔. สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัว ความร้ตู วั ทั่วพรอ้ ม ความรชู้ ัด ความรู้ท่ัวชัด ความตระหนัก ๕. บรรพ ปพั พะ หมายถึง หมวด ๖. วปิ ัสสนา หมายถงึ ความเห็นแจง้ เป็นพิเศษ วปิ สั สนา แยกออกเป็น ๒ บท คือ วิ + ปสฺสนา วิ แปลว่า พเิ ศษ ปสสฺ นา แปลวา่ ความเห็นแจง้ ๗. วิปัสสนากัมมฏั ฐาน หมายถงึ การฝึกอบรมปญั ญาให้เกดิ ความร้เู ทา่ ทนั เขา้ ใจสง่ิ ทง้ั หลายตาม ความเปน็ จรงิ ใจมอี สิ ระไม่ถกู ครอบงำดว้ ยกิเลสและความทุกข์ ๘. วปิ ัสสนาภมู ิ มี ๖ ภูมิ คอื ภูมขิ องปัญญาในขันธบรรพ อายตนบรรพ ธาตบุ รรพ สจั จบรรพ อินทรียบ์ รรพ และปฏิจจสมปุ บาทบรรพ ๙. สภาวะ คือ ความเป็นเอง ความเกิดขึ้นเอง การปรากฏข้ึนเองในขณะปฏิบัติธรรม หมายถึง สภาวะหรือความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนภายในกายและจิตใจของผู้ปฏบิ ัตใิ นขณะเดนิ จงกรม ยืน นอน หรือ นงั่ ภาวนาอยู่ ๑๐. รูป หมายถึง สภาวะทม่ี คี วามแตกดับไป มกี ารสลายแปรปรวนเป็นลักษณะ มีการแยกออกจากกัน ได้เป็นกิจ มีความเป็นอัพยากตธรรม หรือมีความไม่รู้อารมณ์เป็นอาการปรากฏในปัญญาของ บณั ฑติ ทง้ั หลาย และมวี ิญญาณเปน็ เหตใุ กล้ ๑๑. นาม หมายถึง สภาวะของจิตมีการน้อมเข้าไปสู่อารมณ์เป็นลักษณะ มีการประกอบกับวิญญาณ และประกอบกันเองโดยอาการที่เป็นเอกุปปาทตาเป็นต้นเป็นกิจ มกี ารไม่แยกกันกับจติ เป็นอาการ
ภาคผนวก ๑๕๔ วธิ ดี ำเนินงานวิจยั ปรากฏในปัญญาของบัณฑติ ทัง้ หลาย และมีวิญญาณเป็นเหตใุ กล้ สรปุ ผลการวิจยั การวิจัยเชิงเอกสาร(Documentary Research) โดยมุ่งศึกษาสภาวะรูปนามในการปฏิบัติใน หมวดสัมปชัญญะบรรพ ในสติปัฏฐานสตู ร ขั้นตอนในการศึกษาวจิ ัยดังน้ีคอื (๑) เก็บรวบรวมข้อมูล ศึกษาเอกสาร ได้แก่ ศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฎก ทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย ตรวจชาระโดย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คัมภีร์อรรถกถา คัมภีร์ปกรณ์ต่างๆและ เอกสารงานวิจัย วิทยานพิ นธ์ ตำราอ่ืนๆท่ีเก่ียวข้อง หลักสูตรวิชาวิปัสสนาภาวนาของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลัย วิทยาเขตบาฬีศกึ ษาพุทธโฆส นครปฐม ผูศ้ ึกษาได้คน้ คว้าหาข้อมูล เกี่ยวกับสภาวะรูปนามใน หมวดสัมปชัญญะบรรพ สติปัฏฐานสูตร โดยได้แบ่งการวิจัย วิธีการสืบค้นข้อมูลและลาดับเอกสารไว้ ดังน้ี ด้านเน้ือหา คือ สัมปชัญญะบรรพ กายานุปัสสนา สติปัฏฐานสูตรจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา เถรวาท ในพระไตรปฏิ กเล่มที่ ๑๐ และ ๑๒ ภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๙ จากการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักของสติปัฏฐานสูตรในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเฉพาะใน หมวดสมั ปชัญญะบรรพนน้ั เพื่อฝึกให้มีสติสัมปชัญญะคอยกำหนดรู้ในการเคลื่อนไหวอริ ิยาบถย่อย ต่างๆ เช่น ในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลยี ว ในการกิน ในการด่มื เป็นต้น หรอื ไมว่ ่าตน จะอยู่ในอิริยาบถใดๆ ก็ให้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ เม่ือผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดได้ละเอียดสมบูรณ์ การทา งานของสติในการพิจารณา รูป สว่ นท่ีเป็นการเคลื่อนไหว และนาม คือ จิต ท่ีทาให้เกิดการเคลือ่ นไหว ในอิริยาบถตา่ งๆนั้น จะทำใหผ้ ู้ปฏิบัตเิ ห็นสภาวะทเี่ กดิ ขึ้นของรูปและนามตามความเปน็ จรงิ ผูป้ ฏิบัติ มีปัญญา เห็นประโยชน์เห็นโทษของการเคล่ือนไหวอิริยาบถต่างๆ มีปัญญาหยั่งเห็นไตรลักษณ์ว่า รูป และนามที่ตามรู้ในปัจจุบันขณะนั้น ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ละความยึดม่ันในร่างกาย ตัวตน บุคคล เราเขา จิตข้ึนสู่อารมณ์ของวิปัสสนาญาณและสามารถจะบรรลุมรรคผล นิพพานได้ จาก การศึกษาผู้วิจัยพบว่า สัมปชัญญะ คือ ความรู้ทั่วพร้อม รู้รอบคอบ รู้ตัวเสมอ รู้ท่ีถูกต้องสมบูรณ์ และหลักในหมวดสมั ปชัญญะบรรพในสติปัฏฐานสูตร คือ หลกั การปฏิบตั ิวิปัสสนาภาวนา ซ่ึงเป็นการ ฝึกให้มีสติ สัมปชัญญะในการกำหนดรู้ในอิริยาบถทุกๆ อิริยาบถ มีการก้าวไป ถอยกลับ การแล การ เหลียว การเหยียด การคู้ การนุ่งห่ม การฉัน การด่ืม การถ่าย อุจจาระและถ่ายปัสสาวะ การเดินเป็น ตน้ การกำหนดในอิริยาบถเหล่าน้ีเป็นการฝึกให้เกิดสัมปชัญญะ รู้เท่าทันอิริยาบถตามสภาพความเป็น จริง และเมื่อผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดระลึกรู้ได้ละเอียดสมบูรณ์ทุกๆการเคล่ือนไหวในอิริยาบถต่างๆซ่ึง ประกอบด้วย การก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครอง สังฆาฏิ บาตร และจีวร การฉัน การด่ืม การเค้ียว การล้ิม การถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ การเดิน การ ยืน การนั่ง การนอน การต่ืน การพูด การน่ิงเป็นต้น การทางานของสติในการพิจารณารูปและนามก็ ปรากฏชัดตามลำดับของวิปัสสนาญาณ ๑๖ สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตบริสุทธิ์เป็นข้ันๆ ไป ซึ่งทาง พระพุทธศาสนาเรียกว่า บรรลุมรรค ผล นิพพาน ซ่ึงเป็นขั้นท่ีจิตบริสุทธ์ิส้ินเชิงปราศจากกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง ท้ังมวล เรียกว่า พระอริยบคุ คล คือ ผปู้ ระเสริฐ เพราะเป็นผู้มีจิตใจพัฒนาแล้ว เป็นผู้มี จิตใจบริสุทธิ์เหนือปุถุชนคนสามัญ ช่ือว่าเป็นผู้ประพฤตติ ามอริยมรรคที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสแสดง ไว้ดีแล้วสภาวะของรูปในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง สภาวะที่มีความแตกดับไป มีการสลาย แปรปรวนเป็นลักษณะ มีการแยกออกจากกันได้เป็นกิจ มีความเป็นอัพยากตธรรมหรือมีความไม่รู้ อารมณ์เป็นอาการปรากฏในปัญญาของบัณฑิตทั้งหลาย และมีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ส่วนสภาวะของ นามในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง สภาวะของจิตมีการน้อมเข้าไปสู่อารมณ์เป็นลักษณะ มีการ ประกอบกับวิญญาณ และประกอบกันเองโดยอาการท่เี ป็นเอกปุ ปาทตาเป็นต้นเป็นกิจ มีการไม่แยกกัน กับจิตเป็นอาการปรากฏในปัญญาของบัณฑิตทั้งหลาย และมีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ในขันธ์ทั้ง ๕ รูป
ภาคผนวก ๑๕๕ ขันธ์เป็นรูป เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์เป็นนาม ในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา ตามหมวดสัมปชัญญะบรรพน้ัน อาการที่ปรากฏทางกายท้ังหมด เช่น อาการคู้ เหยียด แล เหลียวเปน็ ต้น จัดเป็นรูป สภาวะท่ีเข้าไปรับรูอ้ าการคู้ เหยียด แล เหลียวน้ันๆ เรียกว่านาม ท้ังรูปและ นามนี้ ล้วนตั้งอยู่ในไตรลักษณ์ คือความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา การเหน็ สภาวะรูปและนามที่ เกิดข้ึน เป็นการเห็นท่ีเกิดในการปฏิบัติวิปัสสนาในหมวดสัมปชัญญะบรรพ ผู้ปฏิบัติจะพิจารณารู้ สภาวธรรมต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนตามความเป็นจริง ซ่ึงสภาวะธรรมเหล่านี้จะปรากฏเกิดข้นึ ต้ังอยู่ และดับไป และเป็นการกำหนดรู้สภาวะธรรมท่ีเกิดข้ึนจากสมาธิหรือวิปัสสนาญาณตามลำดับข้ันของวิปัสสนา ญาณท้ัง ๑๖ ซ่ึงจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตบริสุทธ์ิเป็นข้ันๆไปจนถึงการบรรลุมรรค ผล นิพพานในที่สุด สรุปความได้ว่าการปฏิบัติตามหลักของสติปัฏฐานสูตรโดยเฉพาะปฏิบัติในหมวดสัมปชัญญะบรรพ แลว้ เราก็จะมีสติเป็นการรู้เทา่ ทนั ในการเคลอ่ื นไหวในอริ ิยาบถตา่ งๆ รูส้ ภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดขน้ึ ตาม ความเป็นจริง เห็นสภาวะของรูปนาม ซ่ึงสภาวะรูปและนามเหล่านี้จะปรากฏเกิดข้ึน ตั้งอยู่ และดับไป ผู้ปฏิบัติสามารถละความยึดมั่นในร่างกาย ตัวตน บุคคล เราเขา จิตข้ึนสู่อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ และสามารถจะบรรลุมรรคผล นิพพานได้ ทำให้ชีวิตของผู้ปฏิบัติได้รับความร่มเย็นของกระแสแห่งพระ ธรรม และเป็นประโยชน์ทง้ั แก่ตนเองและผู้อนื่ รวมถึงสังคมโดยส่วนรวม การปฏิบตั ิวิปัสสนามีผลทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดข้ึน เกิดมรรคผลนพิ พานได้ เมื่อหลักปฏิบัติในหมวดสัมปชัญญะบรรพ สติปัฏฐาน สูตรได้รับการเผยแผ่ให้กว้างขวาง ก็จะช่วยให้บุคคลผู้ที่ศึกษาและนำไปปฏิบัติมีความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึน รู้จักเอาสติมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชีวิตได้ ตลอดจนสามารถสืบต่อพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ตอ่ ไป
ภาคผนวก ๑๕๖ รหสั ๓๕-๕๔ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานพิ นธ์ ชือ่ วิทยานิพนธ์ ศึกษาการกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ในการปฏบิ ตั ิวิปสั สนาภาวนา ผวู้ จิ ยั (The Study of the Stipulation of the Form and the Name in Six Souls in Practising ปริญญา Vipassanā Meditation) ปี พระมานัส โสภณจิตโฺ ต (ชอบม)ี วตั ถปุ ระสงค์ พุทธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าวิปสั สนาภาวนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั การทบทวน ๒๕๕๔ เอกสารและ ๑. เพอื่ ศึกษาสภาวะรูปนามในคัมภรี พ์ ทุ ธศาสนาเถรวาท งานวจิ ยั ท่ี ๒. เพื่อศึกษาวิญญาณที่ปรากฏทางทวาร ๖ เก่ยี วข้อง ๓. เพื่อศึกษาการกำหนดรูปนามทางวิญญาณในการปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนาภาวนา ๑. สภาวะรูปนาม ได้แก่ ความหมายของรูปนาม ลักขณาทิจตุกะของรูปนาม รูปนามกับอารมณ์ นยิ ามศัพท์ ของวปิ สั สนาภาวนา วิธีดำเนินงานวิจยั ๒. วิญญาณที่เกิดทางทวาร ๖ ได้แก่ ความหมายของวิญญาณ ประเภทของวิญญาณ กระบวนการ สรุปผลการวจิ ยั เกิดวญิ ญาณ การจาแนกวิญญาณ ๖ ตามแนวทางวปิ สั สนาภาวนา ๓. การกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ การเจริญวิปัสสนา วิปัสสนาภาวนา หลักสติปัฏฐาน ๔ กำหนดรูปนามในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (ความหมาย ของอายตนะ สงเคราะหอ์ ายตนะ ๑๒ เป็นรปู นาม) ๑. วิญญาณ (Consciousness) คอื การรับรู้อารมณต์ ่างๆ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เชน่ ตาเห็น กค็ ือวญิ ญาณเห็น หู ไดย้ ิน คอื วิญญาณได้ยิน ใจนกึ คิดคือวิญญาณนึกคดิ เป็นต้น ๒. สงั ขาร คอื ส่วนท่ปี รุงแตง่ จติ หรอื สภาพที่ปรากฏของจติ ๓. อายตนะ ๑๒ คอื สะพานเครอื่ งเช่ือมเครอ่ื งตอ่ ให้เกิดความรู้ มี ๑๒ ๔. นามรูป คือ สภาพที่แตกดับยืนไว้ไห้รู้เรียกว่ารูป สภาพที่น้อมไปหารูปที่แตกดับ คือ ผู้เข้าไปรู้ เรยี กวา่ นาม ๕. ผสั สะ คือ ธรรมชาตทิ ก่ี ระทบอารมณ์ อนั เน่อื งจากการประชุม ของอารมณก์ ระทบกบั ปสาทรูป และเกดิ วญิ ญาณข้ึน วิจัยจากเอกสาร (Documentary Research) ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับวิปัสสนาตามที่ปรากฏในคัมภีร์ พุทธเถรวาท ใช้ข้อมูลจากเอกสาร ดังน้ี .(๑) ศึกษารวบรวมข้อมูลเรื่อง ศึกษาวิเคราะห์การปฏิบัติเพื่อ บรรลุมรรค ผลในรูปนามทางวิญญาณหก จากคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทคือ พระไตรปิฎก ฉบับ ภาษาไทย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ พ .ศ.๒๕๓๙คัมภีร์พระสูตรและอรรถกถามหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พุทธศักราช ๒๕๒๕และคัมภีร์ที่เก่ียวข้อง เช่นคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสสและตำราต่าง (๒)วิเคราะห์ข้อมูล บรรยาย พรรณนา เสนอผลงานผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความถูกต้อง ผู้วิจัยได้ศึกษา คัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท เพ่ือมุ่งเน้นประเด็นการวิเคราะห์กำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ด้าน เน้ือหาเพื่อศึกษารูปนามทางวิญญาณ ๖ ในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาทกำหนดรูปนามทางวิญญาณใน การปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนาภาวนา จากการศึกษาพบว่า รูป คือ ธรรมชาติท่ีแตกดับ เม่ือว่าโดยลักขณาทิจตุกะ คือ มีการสลาย แปรปรวน เปน็ ลักษณะ มีการแตกแยกกนั เปน็ กิจ (กับจติ )ได้เปน็ กจิ มีความเป็นอพยากต -ธรรมเป็นผล มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ส่วนนามเป็นธรรมชาติท่ีน้อมไปหาอารมณ์ เม่ือว่าโดย ลักขณาทิจตุกะ คือ
ภาคผนวก ๑๕๗ มีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ มีการเกิดก่อนและเป็นประธานในธรรมทั้งปวงเป็นกิจ มีการเกิดข้ึน ต่อเน่ืองกนั ไม่ขาดสายเป็นผล มีนามรูปเป็นเหตุใกล้ให้เกดิ ดังน้ี ลักขณาทิจตุกกะของรูป รุปฺปนลกฺขณ มีความเส่ือมสลายไปเป็นลักษณะ วิกิรณรส มีการแยกจากกัน (จิต) ได้เป็นกิจอยฺยากตปจฺจุปฏฺาน มี ความเป็นอพยากตธรรมเป็นผลปรากฏในปัญญาของบัณฑิต วิญฺญาณปทฏฺาน มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ลักขณาทิจตุกกะของนาม นมนลกฺขณ มีการน้อมไปสู่อารมณ์เป็นลักษณะ สมฺปโยครส มีการประกอบ กับจติ และประกอบกันเอง โดยอาการท่ีเป็นเอกุปปาทะ เปน็ ต้น เป็นกจิ อวินพิ ฺโภคปจฺจปุ ฏฺ าน มีอันไม่ แยกจากกันกับจิตเป็นผลปรากฏ วิญฺญาณปทฏฺาน มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ปัญญาท่ีรู้ว่า ขณะตาเห็น รปู หูไดย้ ินเสียง จมูกไดก้ ล่นิ ลนิ้ ได้ รส กายถกู เยน็ ร้อน อ่อน แขง็ (อาการกาย ๓๒ ประการ ) มีเพยี ง ๒ อย่างเทา่ นี้ คือมแี ต่รปู กบั นามเป็นอยา่ งน้ที ่วั สากลโลก นีเ้ ปน็ สจั จธรรมแทไ้ ม่แปรผนั จากเน้ือหาหลักธรรมในการกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า การเรียนรู้รูปนาม คือ การรู้อารมณ์ที่เกิดข้ึนภายในตนอยู่กับปัจจุบันทางตา ทางหู ทางจมูก ทางล้ิน ทางกาย และทางใจเสมอ เพ่ือผู้ปฏิบัติจะได้ตงั้ สตกิ าหนดถูก ในเม่ือรูปนามเกิดขึ้นต้ังอยู่และดับไปตาม ทางทวาร ๖ น้ันๆ พร้อมทั้งเหตุปัจจัยให้รูปนามเกิด พอสรุปประเด็นได้ ดังต่อไปนี้ ๑.รูปนามทาง อายตนะ ๑๒ จักขุประสาท (ตา) รูปารมณ์ (สี) เป็นรูป จักขุวิญญาณ (เห็น) เป็นนาม โสตประสาท (หู) สัททารมณ์ (เสียง) เป็นรูป โสตวิญญาณ (ได้ยิน) เป็นนาม ฆานประสาท (จมูก) คันธารมณ์ (กล่ิน) เป็นรูป ฆานวิญญาณ (รู้กล่ิน) เป็นนาม ชิวหาประสาท (ล้ิน) รสารมณ์ (รส) เป็นรูป ชิวหาวิญญาณ (รู้ รส) เป็นนาม กายประสาท (กาย) โผฏฐพั พารมณ์ (เยน็ ร้อน อ่อน แข็ง ไหวและเคร่งตึง ) หรืออาการ กาย ๓๒ เป็นรูป กายวิญญาณ (รู้ถูกต้อง) เป็นนามหทยวัตถุ ธรรมารมณ์ (อิริยาบถ) เป็นรูป มโน วิญญาณ (รู้ธรรมารมณ์) เปน็ นาม จากการศึกษาพบว่า รูปนามคือขันธ์ ๕ เกิดทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ เป็นอารมณ์ ของ วิปัสสนากรรมฐานท้ังน้ัน เป็นปัจจุบันอยู่ในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรู้รส กายถูก สัมผัส ใจนึกคิดอารมณ์ ผทู้ ่ีจะเข้าปฏิบัติต้องรู้ให้เข้าใจถึงรูปนามเหลา่ นเี้ สยี ก่อน เพราะเห็นรูปครั้งหน่ึง ขันธ์ ๕ เกิดคือในขณะที่เห็นนั้นจักขุประสาทกับ รูปารมณ์เป็นรูป เกิดเวทนาข้ึนเช่นเห็นรูปดี มี ความสุข เห็นรูปชั่วเกิดความทุกข์ ความสบายกายและไม่สบายใจน้ันเป็นเวทนาขันธ์ จาความสบาย กายความไม่สบายใจเป็นสญั ญาขันธ์ ชอบไม่ชอบเป็นสังขารขันธ์ เหน็ เป็นวญิ ญาณขันธ์ เป็นต้น ๒. หลักปฏิบัติธรรมในการกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ในการที่วญิ ญาณทั้ง ๖ จะเกิดขน้ึ ไดโ้ ดยหน้าท่ี คือเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รู้รส รู้ถูกต้อง รู้ธรรมารมณ์ได้นั้นก็ต้องอาศัยสภาวธรรม ตามที่เกิดขึ้น ทางทวาร ท้ัง ๖ ทวารในสภาวะแห่งทวารละ ๔ น้ันเฉพาะในทวารท้ัง ๕ นั้นสภาวะ ๓ อย่างเป็น รูปธรรม คาว่ามนสกิ ารทั้ง ๖เป็นนามธรรมสว่ นในทางมโนทวาร เฉพาะหทัยวตั ถุเป็นรปู แต่ธรรมารมณ์ เป็นได้ทั้งรูปท้ังนามแต่ในท่ีนี้กล่าวเฉพาะแต่อิริยาบถ สาหรับอิริยาบถน้ีเป็นรูปนาม ส่วนมโนวิญญาณ นนั้ เปน็ นามธรรมท้งั หมด ตามธรรมดารูปนามน้ันยอ่ มปรากฏในทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิน้ ทางกาย และทางใจเสมอ ขณะท่ีจิตรู้อารมณ์ทางทวารทง้ั ๖ แตล่ ะทวาร รปู นามจะปรากฏเป็น ธรรมนิยามพร้อมกัน ส่วนอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐานเป็นปัจจุบันอยู่ในขณะตาเห็นรูป หูฟัง เสียงจมูกดมกล่ิน ล้ินลิ้มรส กายถูกเย็น รอ้ น อ่อน แข็ง ไหวและเคร่งตึงใจนึกคิดอารมณ์ ดีใจเสียใจไม่ ยนิ ดยี ินร้าย ผู้จะเข้าปฏบิ ัติต้องเรียนให้ร้ใู ห้เข้าใจรูปนามเหล่านี้เสียก่อน เพราะเห็นรูปครงั้ หนงึ่ ขนั ธ์ ๕ เกิดคือ ในขณะที่เห็นน้ันจักขุประสาทกับรูปารมณ์เป็นรูป เห็นรูปดี สบายใจ เห็นรูปชั่วไม่สบายใจ ความสบายและไม่สบายน้ันเป็นเวทนาขันธ์ จาความสบายและความไม่สบายนั้นเป็นสัญญาขันธ์ ปรุง แต่งให้ชอบไมช่ อบนัน้ เป็นสังขารขันธ์ เห็นเป็นวญิ ญาณขันธ์ มกี ารเกดิ ดับโดยหลกั ของไตรลักษณ์ ๓.
ภาคผนวก ๑๕๘ หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติวปิ ัสสนาภาวนา จากการศึกษาพบวา่ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา น้ัน ต้องกำหนดรู้อยู่ท่ีวิปัสสนาภูมิเท่าน้ัน ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อริยสัจ ๔ เม่ือย่อลงแล้วได้แก่ นามรูป ซ่ึงเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา หรือเป็น ธรรมท่ีอบรมให้เกิดปัญญา และสรรพสิ่งท้ังปวงล้วนเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาหรือกรรมฐานทั้งสิ้น เพราะว่า เม่ือเรากำหนดสิ่งใดสิ่งหน่ึงอย่างมีสติและไม่ยึดม่ันในสิ่งท้ังปวงนั้น พิจารณาตามความเป็น จรงิ ดง่ิ ลงสู่พระไตรลกั ษณจ์ ัดเปน็ อารมณ์กรรมฐานได้อย่างแท้จรงิ รหสั ๓๖-๕๔ แบบบันทกึ ขอ้ มูลงานวิทยานพิ นธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ ศึกษาหลักปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนาภาวนาแบบพอง – ยุบตามแนวการปฏิบตั ิของพระโสภณมหาเถระ ( A study of the principle of insight meditation “rising–falling medthod” according to ผู้วจิ ยั phrasophana - maha thera ปรญิ ญา พระครูปลัดสุนทร สุนทฺ โร (แซเ่ ตยี ว) ปี พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาวปิ ัสสนาภาวนา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๕๔ ๑. เพื่อศึกษาหลักการปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนาในคัมภีรพ์ ุทธศาสนาเถรวาท การทบทวน ๒. เพอ่ื ศกึ ษาแนวการปฏิบตั วิ ิปสั สนาภาวนาแบบ พอง–ยุบ และผลการปฏิบัติตามแนวของพระโสภณ เอกสารและ งานวิจยั ท่ี มหาเถระ เกยี่ วขอ้ ง ๑. หลักปฏิบัติวิปัสสนาในคัมภีร์ ได้แก่ ความเป็นมาและความหมายของวิปัสสนาภาวนา (ความหมายของวิปัสสนา ความหมายของวิปัสสนาตามหลักสัททนัย ความหมายของวิปัสสนา ตามหลักอัตถนัย (สติปัฏฐาน ๔ ท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (สติปัฏฐานตาม คัมภีร์ไวยากรณ์ ความหมายของสติปัฏฐานตามหลักอัตถนัย สติปัฏฐาน ๔ ประการ) บาทฐาน ของวิปัสสนา ( ก.สมถปุพฺพังคมํ วิปสฺสนํ ภาเวติ ข.วิปัสสนา ปุพฺพังคมํ สมถํ ภาเวติ ค.ยุทนัทธ สมถวิปัสสนา ง. ธมฺมุทฺธจฺจาวิคฺคหิตมานสํ โหติ) หลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ( ก) หลักการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ข) วิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ค) อานิสงส์แห่งการเจริญสติปัฏฐาน ๔) องค์ประกอบของการปฏบิ ัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ( ก) องค์คุณ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา ข) สมาธิ ค) การปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน ง) วิธีการปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ) อารมณ์ของวิปัสสนา ( ๑) อารมณ์วิปัสสนา ๒) วิปัสสนาภูมิ) แนวทางการ เจริญวิปัสสนา(สติปัฏฐาน๔) ( ๑) ความหมายของการเจริญวิปัสสนา ๒) การเจริญสตใิ นกายที่ เป็นวาโยธาตุ ) ๒. การปฏิบัตวิ ิปัสสนาแบบพอง-ยุบ ไดแ้ ก่ ความเปน็ มาและความหมายของพอง–ยุบ (ความหมาย ของพอง-ยุบ ที่มาของพองหนอ ยุบหนอ) การกำหนด พอง–ยุบ เป็นธาตุกรรมฐาน (ความหมาย ของธาตุ พอง–ยุบ เป็นธาตุกรรมฐาน) การเฝ้าระวังสังเกตอาการ พอง–ยุบ ข้อวินิจฉัยการ ปฏิบัติแบบ พอง–ยุบ ส่ิงที่ควรรู้ในเรื่อง พอง–ยุบ วิธีการสมาทานพระกรรมฐาน วิธีการปฏิบัติ อิริยาบถนั่งในการภาวนาพอง-ยุบ (การนั่งกรรมฐาน (น่ังสมาธิ) วิธีนั่งกำหนด (น่ังสมาธิ) วิธีหา พองยุบ (สำหรับโยคีใหม่)) ประโยชน์ของการน่ังตัวตรง วิธีการกำหนดเบ้ืองต้นของผู้ปฏิบัติแนว วปิ ัสสนาพอง-ยุบ ๓. วินจิ ฉยั การปฏิบัตวิ ปิ สั สนาแบบพอง-ยุบ ได้แก่ คำบริกรรม คำวา่ บรกิ รรม บญั ญตั แิ ละปรมัตถ์ (คำว่า บัญญัติ ปรมัตถ์ การรับรปู้ รมัตถ์) วาโยโผฏฐัพพรปู สภาวญาณท่เี กดิ ขึ้นตามลำดับ (คำ
ภาคผนวก ๑๕๙ นิยามศัพท์ วา่ สภาวะ ญาณ นยิ าม กำหนดรู้ ญาณ ๑๖) ๑. วิปัสสนาภาวนา หมายถงึ การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตามความเปน็ จรงิ ได้แก่หลักหรือ วธิ ีดำเนินงาน วิจัย วิธีปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ในขันธ์ ๕ ว่าเป็นสภาวะท่ีไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ ทนได้ยาก (ทุกขัง) เป็นสภาวะท่ีไม่ใช่บุคคล ตัวตน เราเขาบังคับบัญชาไม่ได้ เรียกว่า สรปุ ผลการวจิ ยั วปิ ัสสนา ๔ ๒. การกำหนดอาการท้องพอง ทอ้ งยบุ อยา่ งจดจ่อต่อเนื่องเปน็ การเจรญิ วิปสั สนาให้บรรลุถงึ มรรค ผล ไดจ้ ริง ๓. สติปัฏฐาน ๔ หมายถึงท่ีต้ังของสติ, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งท้ังหลายทั้งปวงซึ่งเป็นรูปนาม ตามความเป็นจริงว่าสัตว์ทั้งหลายท้ังปวง ซ่ึงตามความเป็นจริง คือ รูปนาม ท่ีสิ่งนั้น ๆ ให้เห็นกฎ แหง่ ไตรลกั ษณ์ การวิจยั เชิงเอกสาร เป็นการศกึ ษาเชงิ วิเคราะหแ์ ละลำดับเอกสาร ดงั นี้ การวิจัยการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน (เฉพาะกรณพี อง– ยบุ ) เปน็ การศกึ ษาวิจยั เชงิ คุณภาพ ดงั นี้. (๑)ศกึ ษารวบรวมข้อมูลช้ันปฐม ภูมิ ได้แก่ การศึกษาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก ทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๓๙ รวมทั้งอรรถกถาฎีกา อนุฎีกาและธรรมนิพนธ์ต่างๆ รวมท้ังเอกสารท่ี จัดพิมพ์ขึ้นโดยผู้สอนวิปัสสนาท่านอื่นๆ (สายพอง–ยุบ) และหมวดธรรมอ่ืนๆ ที่เก่ียวข้อง (๒) รวบรวม ข้อมูลช้ันทุติยภูมิ ท่ีเป็นสิ่งพิมพ์ หรือเอกสารทางวิชาการ ได้แก่ คัมภีร์อรรถกถา ฎีกาและปกรณ์วิสุทธิ มรรค ตำรา และเอกสารงานวิจัยอ่ืนๆ ด้านเน้ือหา ศึกษาวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่ ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแบบ พอง–ยุบ ตามแนวทางการ ปฏิบตั ิของสำนกั มหาสีสยาดอ หนังสอื วปิ ัสสนานยั เลม่ ๑-๒ ตามลำดบั ญาณของหลวงพ่อโชดก (๑) ผู้วิจัยศึกษาหลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาทพบว่า การปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นส่ิงเดียวกัน มีความประสงค์คือ การสำรวจดูตัวเองเพราะสิ่ง ที่สำคัญอยู่ที่การเจริญสติกำหนดรู้เท่าทันความเปล่ียนแปลงของรูปและนามตามกฎแห่งไตรลักษ ณ์ คือเป็นส่ิงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พ้นจากความยึดมั่นถือม่ันในตัวตนโดยการกำหนดอารมณ์ที่ เกิดข้ึน มาเป็นอารมณ์ภาวนา ซ่ึงก็คือปรมัตถ์ หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า วิปัสสนาภูมิ ๖ เป็นภูมิแห่ง วิปัสสนา ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ และอริยสัจ ๔. วิปัสสนาภูมิและสติปัฏฐาน ๔ หมายถึง กาย เวทนา จิตและธรรม สรุปแล้วได้แก่ รูปกับนาม ก็เป็น เพียงปรมัตถ์ ทั้งหมดที่กล่าวมาน้ีเอามาเป็นอารมณ์ภาวนา เป็นกรรมฐาน เป็นสติปัฏฐานเป็นวิปัสสนา กรรมฐาน ในปัจจบุ ันนิยมเรียกกันว่า การปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนา การปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนา เป็นวิชา ท่ีพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้ว นำมาสอนในการฝึกฝนอบรมเพื่อให้เกิดสติปัญญา และให้ความสำคัญกับ การปฏิบัติอย่างมากพบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามหลักของสติปัฏฐาน ๔ น้ี เป็นวิชาที่ฝึกฝน อบรมเพ่ือให้เกิดสติปัญญา เกิดความรู้แจ้งในธรรมชาติที่เป็นจริง โดยการกำหนดอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน การตัง้ สติรู้อยู่ให้ถูกตรงตามสภาวะ ทันกับปัจจุบันอารมณ์ และเรียกตามอาการหรืออารมณ์ใหต้ รงตาม สมมติบัญญัติ กล่าวได้ว่า มีอาการอย่างไร หรือมีความรู้สึกอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้และเรียกอย่างนั้น เป็นไปตามญาณ ๑๖ จะเกิดปัญญาความหยง่ั รู้เกิดข้นึ แก่ผเู้ จรญิ วิปัสสนาตามลำดับญาณ ตงั้ แต่นามรูป ปริเฉทญาณจนถึงปัจจเวกขณญาณ เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชีวิตที่สามารถปลดเปลื้องจาก ทุกข์ท้ังมวล เป็นอิสรเสรีภาพจากกองกิเลสตัณหาทั้งปวง ทำศีลให้บริสุทธ์ิหมดจด เพราะว่าศีลน้ันเป็น ที่ต้ังของความเช่ือมั่น เม่ือตั้งใจม่ันแล้วอันจะเป็นกำลังหนุนให้ปฏิบัติธรรมมีความเจริญก้าวหน้าได้อย่าง รวดเร็ว ซ่ึงต้องมีหลักอยู่ ๓ ประการ คือ ๑. อาตาปี คือ ความเพียรเพ่ือมุ่งหวังในการเผากิเลส ๒.
ภาคผนวก ๑๖๐ สัมปชาโน คือ มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอในทุกอิริยาบถและทุกอาการของจิต ๓. สติมา คือ มีสติเป็น ใหญ่ในการปกครองของกายและจิตสุดท้ายการปฏิบัติตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน คือการเจริญสติ ปัฏฐาน ๔ โดยมีการกำหนดรูต้ ามสภาวธรรมทางทวารทัง้ ๖ เทา่ กบั เป็นการกระทำกจิ อันเกย่ี วกับอรยิ สัจ ๔ อย่างไปพร้อมกัน คือกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำนิโรธให้แจ้งและเจริญมรรค ซ่ึงผู้ปฏิบัติธรรมน้ี วปิ สั สนามรรคย่อมรู้แจ้งแทงตลอดอริยสจั ๔ เมอ่ื วปิ ัสสนามรรคเจรญิ เต็มที่ โลกุตตรมรรคกส็ ามารถทำ ให้เห็นแจ้งพระนิพพานเกิดขึ้นได้และมีการพัฒนาจนมีความสมบูรณ์อย่างถูกต้อง ตามเป็นจริง รู้แจ้ง ความดับรูปนามทำให้มรรคเจรญิ ย่ิง ๆ ข้นึ ซง่ึ จะต้องมีประสบการณป์ ฏิบตั ิวปิ ัสสนาภาวนา ในสภาวธรรม ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในปัจจุบันอารมณ์และพัฒนาจิต เข้าถึงคุณธรรมพิเศษที่สูงข้ึนในขั้นใดข้ันหน่ึง จะด้วย เวลานานเท่าใดก็ดี หรือยังไม่สามารถเข้าถึงคุณธรรมที่พิเศษได้ในภพนี้ซ่ึงข้ึนอยู่กับบุญบารมี ความมี ศรัทธามากน้อยขนาดไหน โดยเลือกปฏิบัติตามแนวทางท่ีเปน็ เฉพาะกบั จริตของตนได้ และมกี ลั ยาณมติ ร ที่ดีในปัจจุบันคอยให้การช้ีแนะแก้ไขสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นนั้นได้ด้วย เพ่ือความพ้นทุกข์น่ันเอง ทำให้เกิด ความพอใจในการศึกษาหลักคมั ภีรพ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท อันไดแ้ ก่พระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกาเป็นต้น และหนังสือที่มีความเก่ียวข้องทำให้เกิดความเข้าใจ วิปัสสนาภาวนา แบบ พอง –ยุบ ที่เป็นหลักแห่ง ปัญญาเรียกว่า ปัญญาขั้นปรมัตถ์รู้ความจริงของรูปนาม ในการกำหนดรู้ในสภาวธรรมต่างๆท่ีเกิดขึ้น อันจะเป็นปัญญาทำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นความเป็นจริงในสภาวธรรมของธรรมชาติ เพื่อเป็นข้อมูล ทางทฤษฎี และผลการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ทำให้เกิดปัญญาเพ่ือความพ้นทุกข์ จากการศึกษาได้พบว่า ทำให้มีความเข้าใจมากข้ึน มีความหวังอยากให้พุทธบริษัทและคนท่ัวโลกได้มีโอกาสปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ กันมากขน้ึ (๒) ศึกษาแนวการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแบบ พอง –ยุบ จากตำราวิปัสสนาจารย์หลายๆ ท่าน แล้วพบว่า แนวการเจริญวิปัสสนาภาวนาแบบพอง –ยุบ เป็นการกำหนดพิจารณาจิตท่ีเกิดขึ้นโดยการ สำรวจดูตัวเองเป็นหลักด้านใน ที่เรียกว่าสภาวธรรมภายในก็ได้ และต้องกำหนดให้ถูกตรงจริง ๆ ไม่ ผิดเพี้ยน ของการปฏิบัติวิปัสสนา สิ่งที่สำคัญอยู่ที่การมีสติกำหนดรู้ให้เท่าทันความเปล่ียนแปลงของ กระแสจิตดูการทำงานของจิตทางทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา คือการเห็น, ทางหู คือการได้ยินเสียง, ทาง จมูก คือการได้กลิ่น,ทางลิ้น คือการได้ล้ิมรส , ทางกาย คือการได้สัมผัส เย็น ร้อน หนาว เป็นต้น ฯลฯ, ทางใจ คือการรู้ทางใจ และกลับมาอยู่ที่อาการของท้องพอง ท้องยบุ ตามเดิมเป็นฐานท่ีสำคัญอย่างมาก ในการภาวนาอย่างน้ี การปฏิบตั ิวิปสั สนา โดยใช้คำบรกิ รรมว่า พองแด เปงแด เปน็ คำภาวนา โดยพระ โสภณมหาเถระ(มหาสีสยาดอ ชาวพม่า) เม่ือพิจารณาการปฏิบตั ิในหมวดอื่นๆ คือ หมวดกายานุปัสสนา สติปฏั ฐาน เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปสั สนาสติปัฏฐาน พบว่ามีการ ปรากฏสอดคลอ้ งในมหาสตปิ ัฏฐานสูตรทุกประการ กลา่ วคอื อริ ิยาบถหลกั ได้แก่ การยืน การเดินการนั่ง การนอน ในหมวดอิรยิ าบถบรรพ มปี รากฏในหมวดสัมปชัญญะปัพพะ กล่าวในอิรยิ าบถนั่งไดส้ อนให้โยคี บุคคล พิจารณาในส่วนของร่างกายที่เคล่ือนไหวของผนังหน้าท้อง ร่างกายท่ีเคลื่อนไหวของ วาโย โผฏฐัพพรูป พบว่าไดม้ ีคำวา่ พองแด เปงแด เป็นคำบัญญัติและสัทธบัญญัติพระธรรมธรี ราชมหามุนี ได้ เข้าศึกษาวิปัสสนา ท่ีพบคำบริกรรมว่า พองแด เปงแด ได้กำหนดวิธีการปฏิบัติของพระโสภณมหาเถระ ท่ีได้เผยแผ่ในประเทศไทยเริ่มต้ังแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นต้นมา เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า การปฏิบัติ วิปัสสนาท่ีกำหนดว่า พอง-ยุบ นี้ มีความสอดคล้องกับการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ถึงจะแตกต่างกัน โดยช่ือเรียกแต่มีหลักคำสอนที่มีในพระไตรปิฎกผู้ปฏิบัติวิปัสสนาช่ือว่าเป็นผู้พัฒนาสติและปัญญา ใน รูปแบบของพอง-ยุบโดยเน้น การกำหนดรู้ถึงธาตุทั้ง ๔ ซงึ่ มีธาตุลมเป็นหลักจัดเป็นสติปัฏฐานในกายา นปุ ัสสนา สภาวะของพอง-ยุบนี้ เป็นลมที่เกิดในท้อง มีช่อื เรียกว่า วาโยโผฐัพพารมณ์ และบุคคลผู้ปฏบิ ัติ
ภาคผนวก ๑๖๑ วิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนา ท่ีพระพทุ ธองค์ทรงค้นพบแล้ว มากว่าสองพันห้ารอ้ ยกว่าปี เขา้ ถึง กึ่งพุทธกาลในปัจจุบันนี้ วิปัสสนาภาวนา โดยมีการเฝ้า ดู เห็น รู้ และ สังเกต พิจารณา สภาวธรรม ต่างๆ ที่เกิดข้ึนในกาย และจิต จนเห็นและรู้ธรรม ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมท้ังหมด คือ ความ เป็น อนิจจังไม่เที่ยงมีการเปล่ียนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา และทุกขัง คือ ทนอยู่ไม่ได้ อนัตตา ความ บังคับบัญชาไม่ได้ไร้แกน่ สาร ตัวตน ว่างเปล่า ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ย่อลง ก็คือ รูปกับนามโดยการปฏิบัติกำหนดดูอาการของท้องพองท้องยุบ และกำหนด พองหนอ–ยุบหนอ ให้มีสติกำหนดจดจ่ออย่างต่อเน่ืองในอิริยาบถ ท้ัง ๔ คือ เดิน ยืน น่ัง นอน จนมีสติบริสุทธ์ิ บริบูรณ์ จนเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดปัญญาญาณเข้าไปเห็นส่ิงที่เป็นไปของสภาวธรรมของรูป และสภาวธรรม ของนามโดยเห็นและเข้าไปรู้ความเปลี่ยนแปลงของหลักความจริงว่า ไม่ใช่ตัวตน เรา เขา ซ่ึงเริ่มต้ังแต่ สภาวธรรมของนามรปู ปริเฉทญาณเกดิ ขึน้ ดังนนั้ เมื่อเห็นธรรมชาติของจริงท้ัง ๓ ผปู้ ฏิบัตบิ างคนมคี วาม เห็นชัดต่างกัน บางคนเห็นชัดอนิจจงั บางคนเห็นชัดทกุ ขัง บางคนเห็นชัด อนัตตา คือ เห็นชัดขอ้ ใดก็ได้ ตามจริตนิสยั มีการสร้างสมบุญบารมีของแต่ละคน โดยปฏบิ ตั ใิ หม้ ากมีความเพียรไม่ทอ้ ถอย เผากิเลส จน ในท่ีสุดทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ละวาง อุปาทานความเห็นผิด วา่ ขนั ธ์ ๕ น้ีเป็นอัตตา ตัวตน ตัวกู ของ กูหรือละสกั กายทิฐิได้
ภาคผนวก ๑๖๒ รหัส ๓๗-๕๔ แบบบันทกึ ขอ้ มูลงานวิทยานิพนธ์ ชอื่ วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาการบรรลุธรรมดว้ ยการเจรญิ อานาปานสตใิ นคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ผู้วจิ ยั (A Study of the Attainment of the Dhamma by Developing the Mindfulness on Breathing ปรญิ ญา ปี (Ānāpānasati Bhāvanā) In Theravāda Buddhist Scriptures) วัตถปุ ระสงค์ พระมหาสามารถ อธจิ ิตฺโต (มนัส) การทบทวน พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั เอกสารและ ๒๕๕๔ งานวิจัยท่เี ก่ียวข้อง ๑. เพ่อื ศกึ ษาการบรรลธุ รรมในคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท นิยามศัพท์ ๒. เพ่อื ศึกษาหลักการปฏิบตั ิอานาปานสติในคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท ๑. การบรรลุธรรมในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ ความหมายของการบรรลุธรรม หลักการ วธิ ดี ำเนนิ งานวิจยั ปฏบิ ตั ิเพือ่ การบรรลธุ รรม การบรรลธุ รรม แนวทางการบรรลุธรรม บคุ คลผ้บู รรลธุ รรม ๒. หลักการปฏิบัติอานาปานสติในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ ความหมายอานาปานสติ หลกั การปฏบิ ัติอานาปานสติ กิจเบอื้ งต้นในการเจริญอานาปานสติ ๓. การบรรลุธรรมด้วยการเจริญอานาปานสติในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ สงเคราะห์อา นาปานสตเิ ข้าในสตปิ ฏั ฐาน ๔ การบรรลุธรรมดว้ ยเจริญอานาปานสตผิ ลสำเร็จเจริญอานาปานสติ ๑. การบรรลุธรรม หมายถึง การบรรลุโลกุตตรธรรม ๙ รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ขณะมรรคจิตตาม กำลังของมรรค สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอานาคามี พระ อรหันต์ ๒. อาน หมายถึง ลมหายใจเข้า ๓. อปาน หมายถึง ลมหายใจออก ๔. สติ หมายถงึ ความระลกึ ได้ ๕. อานาปานสติ หมายถึง สติทกี่ ำหนดรูล้ มหายใจเข้าลมหายใจออก ๖. กาย หมายถงึ ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ๗. เวทนา หมายถงึ ปตี ิ สุข จติ ตสังขาร ๘. จิต หมายถงึ จติ ที่อยู่ในฌานและนอกฌานและจิต ๑๖ อยา่ งมีจิตมรี าคะเป็นตน้ ๙. ธรรม หมายถึง ธรรมมนี ิวรณเ์ ป็นต้น และกาย เวทนา จติ ในจตุกกะท่ี ๑-๓ ๑๐. สมถะ หมายถงึ ธรรมทยี่ ังเหล่าธรรมทีเ่ ปน็ ข้าศกึ มกี ามฉนั ทเ์ ป็นต้นใหส้ งบ ระงบั สมาธิ ๑๑. วปิ สั สนา หมายถึง ปัญญาท่ีเหน็ ธรรมทงั้ หลายโดยอาการมีอย่างต่างๆ ด้วยอำนาจไตรลักษณม์ ีความ ไม่เท่ยี งเป็นตน้ ปัญญา ๑๒. สตปิ ฏั ฐาน หมายถงึ สติทเี่ ข้าไปตง้ั มัน่ ๑๓. โพชฌงค์ หมายถึง องคธ์ รรมสามคั คเี ครอ่ื งตรัสรู้แห่งพระอรยิ สาวกหรอื องคแ์ หง่ พระอรยิ สาวกผตู้ รัส ร้ดู ว้ ยธรรมสามคั คี ๑๔. วชิ ชา หมายถึง อรหตั ตมรรค ๑๕. วมิ ตุ ติ หมายถึง อรหตั ตผล ๑๖. นิพพาน หมายถงึ ความสน้ิ ตณั หา, ความส้นิ ราคะ ความสนิ้ โทสะ ความสิ้นโมหะ ผู้วิจยั ได้ศกึ ษาคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท โดยอาศยั ข้อมูลในพระไตรปิฎก คือ พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฎกํ ๒๕๐๐ พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช
ภาคผนวก ๑๖๓ วิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พุทธศักราช ๒๕๓๙ คัมภีร์อรรถ กถา ฎีกา และคัมภีร์อื่นๆ ท่ีเก่ียวข้อง ขอบเขตศึกษาเนื้อหาของการบรรลุธรรมด้วยการเจริญอานาปาน สติ ๑) สงเคราะห์อานาปานสติเข้าในสติปัฏฐาน ๔ ๒) การบรรลุธรรมด้วยการเจริญอานาปานสติ ๓) ผลสำเรจ็ ของการเจริญอานาปานสติ สรปุ ผลการวิจัย (๑) การบรรลุธรรมในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ การบรรลุโลกุตตรธรรม ๙ รู้แจ้ง แทงตลอดอริยสัจ ๔ ในขณะมรรคจิตตามกำลังของมรรค สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ โดยการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาคือ อธิสีลสิกขา อธิจิต ตสิกขา อธิปัญญาสิกขา การจะบรรลุธรรมได้ต้องเจริญสมถะและวิปัสสนา เพื่อให้เกิดวิปัสสนาปัญญา มัคคปัญญา ผลปัญญาซึ่งจัดเป็นอธิปัญญา ซ่ึงมีอยู่แต่ในพระพุทธศาสนานี้เท่าน้ัน ตามหลักการเจริญสติ ปัฏฐาน ๔ คือ การกำหนดรู้รูปและนามให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง มีทั้งใช้สมถะเป็นบาท เจริญวิปัสสนา และเจริญวิปัสสนาล้วนๆ เม่ือเจริญสติปัญญา ๔ ก็เท่ากับว่าให้เจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการไปพร้อมๆ กัน คอื โพธิปักขิยธรรมก็จะเจริญขึ้นไปโดยลำดับ สตเิ ป็นโสภณเจตสิก โสภณเจตสิก มีปัญญาเจตสิกเป็นต้นก็จะเกิดขึ้น เม่ือมีสติก็ส่งผลให้เกิดสมถะระงับนิวรณ์ เกิดสมาธิต้ังม่ันยิ่งๆ ข้ึนไป ตามลำดับ เม่ือสัมปชัญญะตามกำหนดรู้รูปและนามอยู่ทุกขณะจิต ก็ส่งผลให้เกิดวิปัสสนาทำให้เห็นไตร ลักษณ์ได้ตามความเป็นจริง วิปัสสนาญาณก็จะเจริญข้ึนไปตามลำดับ การยกจิตข่มจิตต้องใช้สติเท่านั้น หากขาดสตแิ ล้วก็ไม่สามารถทำได้ ดังน้ัน สติและสัมปชญั ญะ สมถะและวิปัสสนา จงึ เปน็ ธรรมที่ต้องเจริญ ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อวิปัสสนาแก่กล้าไปตามลำดับข้ึนสู่วิปัสสนาวิถี ตั้งแต่อุทยัพพยญาณ คือ พลววิปัสสนา พ้นจากวิปัสสนานูปกิเลส ๑๐ ประการ จนถึงสังขารุเบกขาญาณ เห็นนิพพานขึ้นสู่อนุโลม จิต โคตรภูจิต ในขณะมรรคจิตโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการก็จะรวมกัน สมถะและวปิ ัสสนามีกำลังเสมอ กนั ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถบรรลธุ รรม สำเรจ็ พระอริยบคุ คลในพระพทุ ธศาสนา (๒) หลกั การปฏบิ ัตานาปานสติในคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท พ ร ะ ผู้ มี พ ร ะ ภ า ค ตรัสการเจริญอานาปานสติอย่างพิสดารไว้ ๑๖ ข้ัน ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท อานาปานสติจัดอยู่ ในหมวดอนุสสติ ๑๐ สามารถเจริญได้ถึงสมาบัติ ๘ และนิโรธสมาบัติ เป็นการเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็น พ้ืนฐาน เป็นสุดยอดในประเภทของกัมมัฏฐาน เป็นภูมิมนสิการของพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นปทัฏฐานใน การบรรลุคุณวิเศษต่างๆ เป็นวิหารธรรมเคร่ืองอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ที่ต้องใช้สติปัญญามีกำลังมาก ไม่ใช่ ว่าใครๆ ก็จะสามารถเจริญได้ง่ายๆ พระพุทธองค์ทรงแนะอริ ยิ าบถท่ีเหมาะสมคอื การนั่งคูบ้ ัลลงั ก์ เจรญิ ใน เสนาสนะที่สงัด เพื่อจะให้เกิดสมาธิได้ฌานเรว็ แล้วใช้ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนาตามหลักการเจริญสติ ปัฏฐาน ๔ ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง เพ่ือเจริญวิปัสสนาญาณยิ่งๆ ข้ึนไป แบ่งเป็น ๔ จตุก กะ ตอ้ งใชส้ ตกิ ำหนดรลู้ มหายใจเข้าลมหายใจออกทุกๆ ขั้นโดยไมไ่ ด้ใช้คำบรกิ รรม เมอ่ื เจริญได้อย่างนีแ้ ล้ว ก็เทา่ กับ่าได้เจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ไปพรอ้ มๆ กนั คือ จตุกกะท่ี ๑ จัดเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จตุกกะนี้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก จัดเป็น วาโยกายชนิดหนึ่งในกาย ๔ อย่าง และจัดเป็นโผฏฐัพพายตนะในส่วนแห่งรูป ๒๕ ประการ พระผู้มีพระ ภาค ตรัสลมหายใจเข้าออกว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในบรรดากายท้ังหลาย เมื่อพิจารณาเหน็ กายคือลมหายใจ เข้าลมหายใจออก มีความเพยี รเป็นเครือ่ งแผดเผากิเลสในภพท้งั ๓ อยู่ มีสติสมั ปชัญญะกำหนดระลกึ รู้ลม หายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ พิจารณาเห็นด้วยปัญญา พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ตรัส กัมมัฏฐานด้วยการตามพิจารณาเห็นกายคือลมหายใจเข้าลมหายใจออก การบริหารกายของผู้บำเพ็ญ กมั มัฏฐานด้วยวิหารธรรม ตรัสสมั มัปปธานด้วยความเพียรเผากิเลสในภพท้ัง ๓ สัพพัตถกกัมมัฏฐานหรือ อุบายเคร่ืองบริหารกัมมัฏฐานไว้ด้วยสติและสัมปชัญญะ การได้สมถะด้วยการใช้สติกำหนดพิจารณาเห็น
ภาคผนวก ๑๖๔ กายคอื ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก การได้วิปัสสนาด้วยการมสี ัมปชัญญะ ผลสำเรจ็ แหง่ การภาวนาไว้ด้วย การกำจดั อภิชฌาและโทมนัส จตุกกะนต้ี รสั ไว้ดว้ ยอำนาจสมถะและวิปสั สนา จตุกกะที่ ๒ จัดเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตรัสการใส่ใจลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็น อย่างดีท่ีเกิดข้ึนด้วยการกำหนดรู้ปีติ สุข จิตตสังขารและการระงับจิตตสังขารว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่งใน เวทนาท้ังหลาย ทรงสงเคราะห์เวทนาทั้งหมดโดยเช่ือว่า มนสิการ จตุกกะน้ีตรัสไว้ด้วยอำนาจสมถะและ วิปสั สนาโดยนยั ในจตุกกะที่ ๑ จตุกกะท่ี ๓ จัดเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตรัสการกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกให้ เป็นอารมณ์ การเข้าไปต้ังสติและสัมปชัญญะไว้ในอารมณ์ของจิต ชอื่ ่า พิจารณาเห็นจิตในจติ อยู่ หมายถึง การมีสติและสัมปชญั ญะระลึกรอู้ ยตู่ ลอดเวลา ดังนั้น สำหรับผู้มีสติหลงลมื ไม่มีสัมปชัญญะย่อมไม่สามารถ เจริญอานาปานสตไิ ด้ จตุกกะนีต้ รัสไวด้ ้วยอำนาจสมถะและวปิ สั สนาโดยนยั ในจตุกกะที่ ๑ จตุกกะที่ ๔ จัดเป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทรงแสดงนิวรณ์คือกามฉันทะด้วยอำนาจ อภิชฌา ทรงแสดงนิวรณ์ คือ พยาบาทด้วยอำนาจโทมนัส ซึ่งนิวรณ์นเ้ี ป็นเบ้ืองต้นแห่งการพจิ ารณาเห็น ธรรมในธรรม ๕ หมวดน้ัน เป็นการเจริญอนุปัสสนา ๓ และอนุปัสสนา ๗ จตุกกะน้ี ตรัสไว้ด้วยอำนาจ วิปัสสนา อรรถกถาและคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นต้น ได้อธิบายการเจริญอานาปานสติโดยใช้มนสิการวิธีมี การนับเป็นต้นเพื่อเป็นอุบายผูกจิตไว้ สติเป็นเหมือนเชือก ลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นเหมือนหลัก จติ กเ็ หมือนลูกวัวท่ีว่ิงไปมา เพราะวา่ จติ มีสตเิ ป็นเครื่องระลึกรกั ษาไว้ ดงั น้ันสติจึงมีความสำคญั มากในการ กำหนด หากขาดสตแิ ล้วก็ไม่อาจยกจิตข่มจิตได้ อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิก็ไม่อาจเกิดข้ึนได้ ผู้ทข่ี าด สติสัมปชัญญะแล้วย่อมไม่สามารถเจริญอานาปานสติให้สำเร็จได้เลย เมื่อจิตต้ังมั่นอยู่ท่ีลมหายใจเข้า หายใจออกดีแล้วก็ไม่ต้องนับ ถ้าลมขาดหายไปเพราะสติและปัญญา ระลึกกำหนดรู้ไม่ทันก็ไม่ต้องตกใจ ให้กำหนดตรงที่ลมกระทบตามปกติไม่นานลมก็จะปรากฏแล้วก็ให้ทำความเพียรยิ่งๆ ข้ึนไป เพื่อให้นิมิต เกดิ ขนึ้ เมือ่ นิมิตเกิดข้นึ ย่อมขม่ นิวรณ์ได้ กเิ ลสทงั้ หลายสงบน่ิง สติปรากฏชัด จิตตง้ั ม่ันด้วยอุปจารสมาธิใน อุปจารภูมิและด้วยอัปปนาสมาธิในปฎิลาภูมิเพราะความปรากฏแห่งฌานท่ีมีกำลัง พึงเว้นอสัปปะยะ ๗ เสพสัปปายะ ๗ ไม่ละอัปปนาโกศล ๑๐ เข้าออกฌานทำให้ชำนาญ คือ เป็นวสี เพ่ือใช้เป็นกำลังเจริญ วิปัสสนา เพราะว่าหากใช้ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนาก็จะเจริญได้ง่ายสะดวกเห็นไตรลักษณ์ ได้บรรลุ มรรคผลเร็ว ตรงกันข้ามหากไม่ได้ใช้ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนา ก็จะทำให้ลำบากได้บรรลุมรรคผลช้า ดังน้ัน สมาธิจึงมีความสำคัญอย่างนี้ เพราะว่าเมื่อจิตต้ังมั่นเป็นสมาธิแล้วก็ย่อมรู้ย่อมเห็นตามความเป็น จรงิ สติปัฏฐาน ๔ ท่ีเจริญทำให้มากแล้วย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ คือ เม่ือพิจารณาเห็นกาย คอื ลมหายใจเข้าลมหายใจออก มีสติสัมปชญั ญะ มีความเพียร ย่อมกำจดั อภิชฌาและโทมนัสได้ เมื่อสติตั้ง ม่ันไม่หลงลืม สติสัมโพชฌงค์ก็ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เม่ือมีสติอย่างน้ันค้นคว้าไตร่ตรองพิจารณา ธรรมด้วยปัญญา ธัมมวจิ ยสัมโพชฌงค์ย่อมถงึ ความเจริญบริบูรณ์ เมื่อค้นคว้าไตร่ตรองพิจารณาธรรมด้วย ปญั ญาปรารภความเพียรไมย่ ่อหยอ่ น วิริยสัมโพชฌงคย์ อ่ มถึงความเจริญบริบูรณ์ เม่ือปีติท่ีปราศจากอามิส เกิดขึ้นแก่ผู้ปรารภความเพียร ปีติสัมโพชฌงค์ยอ่ มถึงความเจริญบริบูรณ์ เม่ือจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อม สงบ ปัสสัทธสิ ัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เม่ือกายสงบมคี วามสขุ จติ ตั้งมั่นอยู่ สมาธิสัมโพชฌงค์ ย่อมถงึ ความเจรญิ บริบรู ณ์ เมื่อจิตต้ังม่ันไดเ้ ป็นอยา่ งดแี ล้วกว็ างเฉยจิตที่ตง้ั มั่น อุเบกขาสมั โพชฌงค์ยอ่ มถึง ความเจรญิ บริบูรณ์ สติกำหนดลมหายใจเขา้ หายใจออก จัดเปน็ กายอย่างหนึ่งในกาย ๑๔ อย่าง ชอ่ื ว่า สติสัมโพชฌงค์ ญาณที่สัมปยุตด้วยสติ ชื่อว่าธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเพียรทางกายและทางจิตท่ี
ภาคผนวก ๑๖๕ สัมปยุตด้วยธัมมวิจยสัมโพชฌงค์น้ัน ชื่อว่าวิริยสัมโพชฌงค์ ปีติท่ีเกิดขึ้น ชื่อว่าปีติสัมโพชฌงค์ปัสสัทธิที่ เกิดข้ึน ชื่อว่าปัสสัทธสัมโพชฌงค์ จิตเตกัคคตา ชื่อว่าสมาธิสัมโพชฌงค์ อาการเป็นกลางๆ คือการไม่ ท้อถอยและการไม่เป็นไปล่วงสัมโพชฌงค์ ๖ ประการนี้ ช่ือว่าอุเบกขา สัมโพชฌงค์ ทั้งหมดนี้ ชื่อว่า วปิ สั สนาสัมโพชฌงค์ ซง่ึ มีกจิ ต่างกนั แต่มีอยูใ่ นขณะจิตเดยี วกนั การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรมก็พึงทราบโดยนัย เดียวกันนี้ เมื่อเจริญสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อาศัยวิเวก วิราคะ นิโรธ น้อมไปเพ่ือการสละ โพชฌงค์ ๗ ที่เจริญทำให้มากบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ สติที่กำหนดลมหายใจ เข้าลมหายใจออกเป็นโลกิยะ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกท่ีเปน็ โลกิยะย่อมทำสติปัฏฐาน ๔ ท่ีเป็นโลกิยะ ใหบ้ รบิ ูรณ์ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ท่เี ป็นโลกิยะยอ่ มทำโพชฌงค์ ๗ ท่ีเป็นโลกุตตระให้บริบรู ณ์ โพชฌงค์ ๗ ที่เป็นโล กุตตระยอ่ มทำวชิ ชา วิมตุ ติ ผล และนิพพาน ท่ีเป็นโลกตุ ตรธรรมให้บรบิ รู ณ์ สรุปได้ว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสอานาปานสติอย่างพิสดาร ๑๖ ขั้นไว้ ต้องมีสติกำหนดรู้อยู่ ตลอดทุกๆ ข้ัน โดยไม่ได้ใช้คำบริกรรม อานาปานสติท่ีถูกต้องตามพุทธพจน์ต้องเจริญ ๑๖ ข้ัน คือ การ เจริญสติปัฏฐาน ๔ ไปพร้อมๆ กัน เพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวก ทัง้ หลายไม่มีประมาณ เขา้ ถงึ มรรคผลนพิ พานด้วยการเจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ นี้ อานาปานสติกมั มัฏฐาน เป็น ยอดในประเภทกัมมัฏฐาน เป็นกัมมัฏฐานของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พุทธสาวกทั้งหลาย ท่ี เจรญิ ได้ยากไมใ่ ช่ว่าใครๆ ก็จะสามารถเจริญได้เน่ืองเวลาภาวนาไปก็ยิ่งละเอียดสุขมุ ไปตามลำดับๆ ตอ้ งใช้ สตแิ ละปัญญามาก พระสารีบุตรเถระแสดงไว้ว่าเมื่อเจริญอานาปานสติ ๑๖ ข้ันไดอ้ ย่างบริบรู ณ์แล้ว ญาณ ๒๒๐ ย่อมเกิดข้ึน แบ่งออกเป็น ๔ จตุกกะ ตามอารมณ์ที่กำหนดพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม ซ่ึง ทั้ง ๔ อย่างน้ี ย่อลงก็คือ “รูปและนาม” จตุกกะท่ี ๑-๓ เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา จตุกกะท่ี ๔ เป็น วิปัสสนาล้วน จตุกกะท่ี ๑ เจริญได้ถึงฌาน ๔ ส่วน ๓ จตุกกะท่ีเหลือ ก็มีการพิจารณาไปพร้อมๆ กัน อาศัยฌานท่ีได้แล้วในจตุกกะท่ี ๑ จึงสามารถพิจารณาปีติ สุข เป็นต้น ที่เป็นองค์ฌานได้ ไม่ได้มีการแยก ทำท่ีละหมวดๆ พราะว่าสภาวธรรมใดๆ เช่น ปีติ สุข ในองค์ฌานเป็นต้น เกิดข้ึนที่ปรากฏชัดสามารถ พิจารณากำหนดไปพร้อมๆ กันเม่ือได้ฌานแล้วก็ใช้ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนา ซึ่งก็คือ การเจริญ อนุปัสสนา ๓ และอนุสปัสสนา ๗ อีกอย่างหน่ึง จะเจริญวิปัสสนาล้วนๆ ก็ย่อมทำได้ คือไม่มุ่งการได้ ฌาน กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ใช้ขณิกสมาธิเป็นหลัก แล้วใช้ขั้นท่ี ๑๓ ๑๔ ๑๖ มาเจริญ วิปัสสนาเลย ซึ่งก็คือ การเจริญอนุปัสสนา ๓ และ อนุปัสสนา ๗ เหมือนกัน เมื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็ เท่ากับวา่ ได้เจริญโพธิปัขิยธรรม ๓๗ ประการไปพร้อมๆ กัน และเป็นวิถีทางการปฏิบตั ิตามอรยิ มรรคมี องค์ ๘ เม่ือวิปัสสนาญาณแก่กล้าดำเนินตามวิปัสสนาวิถี รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ในขณะมรรคจิต สมถะและวิปัสสนาย่อมมีกำลังเสมอกัน เพราะอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อลงเป็นสองก็คือ “สมถะและ วิปัสสนา” สมถะและวิปัสสนาเป็นธรรมคู่กันท้ังในขณะ “มรรคและผล” เจโตวิมุตติเป็นผลของสมถะ ปัญญาวิมุตติเป็นผลของวปิ ัสสนาโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการก็รวมกัน ก็จะสามารถบรรลโุ ลกุตตรธรรม ๙ ละสังโยชน์และอนุสัยไดต้ ามกำลงั ของมรรค สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ย่อมจะได้ทั้ง เจโตวมิ ตุ ตแิ ละปญั ญาวมิ ุตติ
ภาคผนวก ๑๖๖ รหัส ๓๘-๕๔ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานพิ นธ์ ชอ่ื วทิ ยานิพนธ์ ศึกษาวิรยิ ะในการปฏบิ ตั ิวปิ สั สนาภาวนา ผู้วิจัย (A Study of Effort (Viriya) in Practice of Insight Meditation) ปรญิ ญา พระครพู ิศิษฏช์ ัยโชติ (สำรวย โชติวโร) ปี พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วตั ถุประสงค์ ๒๕๕๔ การทบทวน ๑. เพือ่ ศกึ ษาเนือ้ หาหลักธรรมวริ ิยะท่ีปรากฏในคัมภรี ์พุทธศาสนาเถรวาท เอกสารและ ๒. เพือ่ ศกึ ษาวริ ิยะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา งานวิจยั ที่ ๑. วิริยะท่ีปรากฎในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ ความหมายของวิริยะ คำที่เป็นไวพจน์ของ เกย่ี วขอ้ ง วริ ยิ ะ หลกั ธรรมที่เก่ียวขอ้ งกับวริ ิยะ ลกั ขณาทิจตกุ กะของวิรยิ ะ ธรรมทเ่ี ป็นเหตุเกดิ วิรยิ ะ นยิ ามศัพท์ ๒. หลักปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ความหมายของวิปัสสนาภาวนา ความหมายสติปัฏฐาน การ วิธดี ำเนนิ งานวจิ ัย ปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิต ตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน ธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน) องคค์ ณุ ในการปฏบิ ัติวิปสั สนา ๓. วิริยะในการเจริญวิปัสสนา ได้แก่ วิริยะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (สงเคราะห์วิริยะเข้าใน สัมมาวายามะ ความสำคัญพิเศษของความเพียร ความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาต้อง เป็นความเพียรท่ีพอดี วิธีทำอินทรีย์ให้แก่กล้าด้วยอาการ ๙ อย่าง) ความเพียรตามหลัก ชาคริยานุโยค ตัวอย่างผู้ใช้ความเพียร ๑. วิรยิ ะ หมายถึง ความเพยี ร ความพยายาม ความอุตสาหะ ความไมย่ อ่ ถ้อ ๒. วิปัสสนาภาวนา หมายถึง การปฏิบัติ หรอื การฝึกอบรม ที่ทำให้เกิดปญั ญาเห็นแจ้ง ใน สภาวธรรมอารมณ์ต่าง ๆ ทปี่ รากฏทาง ตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ ตามความเป็นจรงิ (เห็นรปู นาม) ว่า เป็นอนจิ จงั ไม่เท่ยี ง เป็นทกุ ข์ ต้ังอยูใ่ นสภาพเดิมไม่ได้ เป็นอนัตตา บังคับบญั ชาใหอ้ ย่ใู น สภาพเดิมไม่ได้ ไมเ่ ปน็ ไปความอำนาจตอ้ งการของใคร ๓. สติปฏั ฐาน ๔ หมายถึง การปฏิบัติท่ีมสี ติเป็นประธานมฐี านต้งั อยู่ในกายเวทนา จิต และธรรม กำหนดรูธ้ รรมดังกลา่ วให้เป็นปจั จบุ ันอารมณ์ โดยมสี ตริ ะลกึ ถึงอารมณ์ มสี ัมปชัญญะจดจ่อท่ี อารมณ์ มีอาตาปี (ความเพียร) ชว่ ยประคองใหจ้ ดจอ่ อารมณ์ อย่างตอ่ เน่ือง ๔. สภาวธรรม หมายถึง ธรรมชาติที่ปรากฏข้ึนด้วยเหตุปัจจัย ตามธรรมดาของเขาท้ังรูปและนาม เป็นสภาวะที่เกิดข้ึน ตั้งอยู่และดับไปท้ังส้ินไม่ใช่ตัวตนที่ยั่งยืน สภาวธรรมท้ังหลายมีลักษณะ ประจำ เชน่ ว่าน้ี อินทรยี ์ หมายถงึ สภาวธรรมท่ีเกดิ ขึ้นพรอ้ มกันกับตนนั้น ตอ้ งเป็นไปตามอำนาจ ของตน ความเป็นใหญ่ ไดแ้ ก่ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ และปัญญา ๕. อาตาปี หมายถงึ ความเพยี ร ความเพียรเผ่ากเิ ลส ความเพยี รชอบ ๖. ชาครยิ านุโยค หมายถึง การประกอบความเพียรเครอื่ งต่ืนอยอู่ ย่างตอ่ เน่ือง ๗. โพธปิ กั ขิยธรรม หมายถึง ธรรมอันเป็นฝักฝา่ ยแหง่ การตรัสรู้ ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร (Documentary Research) ศึกษาค้นคว้าข้อมูลโดยมีข้ันตอน (๑) ศึกษา รวบรวมข้อมูลเรื่อง “วิริยะ” จากคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท คือพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และ คัมภีร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง. (๒) นำข้อมูลท่ีได้ศึกษามาเรียบเรียง บรรยายเชิงพรรณนาและตรวจสอบ ความถูกต้อง โดยอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และผู้เช่ียวชาญด้านวิปัสสนาภาวนา (๓) นำข้อมูลท่ี
ภาคผนวก ๑๖๗ สรปุ ผลการวิจัย ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบแล้วน้ัน ตรวจสอบข้อมูล ปรับปรุง และเรียบเรียง บรรยายเชิงพ ด้านเน้ือหา หลกั ธรรมวิริยะ กำหนดขอบเขตเฉพาะในคัมภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ พระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎกี า และคมั ภรี ์อ่ืน ๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง เชน่ วสิ ุทธมิ รรค เป็นตน้ ขอบเขตการวจิ ัยการวิจยั วิรยิ ะคร้งั นี้ กำหนด ขอบเขตเฉพาะการปฏิบตั ิวปิ ัสสนาภาวนาเทา่ น้ัน ผลการศึกษา พบวา่ วริ ิยะ ความเพียรที่ยิ่งใหญ่มีปรากฏในหมวดธรรมท่ีใช้ในการภาวนา ไดแ้ ก่ โพธิ ปักขิยธรรม ๓๗ ประการ คือ ใน สติปัฏฐาน ๔ ช่ือว่า อาตาปี ในอิทธิบาท ๔ ชื่อว่า วิริยิทธิบาท ใน อินทรีย์ ๕ ช่ือว่า วิริยินทรยี ์ ในพละ ๕ ชื่อว่า วิริยพละ ในโพชฌงค์ ๗ ช่ือว่า วิริยสัมโพชฌงค์ ในมรรค มีองค์ ๘ ชื่อว่าสัมมาวายามะ จากการศึกษาพบว่า หลักความเพียรที่ใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาคือ ปธาน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า สัมมัปปธาน มี ๔ อย่าง คือ (๑) สังวรปธาน หมายถึง เพียร ระวังไม่ให้บาปใหม่เกิดข้ึนในจิตของตน (๒) ปหานปธาน หมายถึง เพียรละบาปเก่าท่ีครอบงาจิตของ ตนให้หมดไป (๓) ภาวนาปธาน หมายถึง เพียรเจริญให้กุศลเกิดขึ้นในจิตสันดาน (๔) อนุรักขนา ปธาน หมายถึง เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อมความเพียร ๔ อย่างน้ีเป็นความเพียรชอบ ควร ประกอบให้มีในตนอยู่เสมอสัมมปั ปธาน มีองค์ธรรมอนั เดียวกับ อาตาปี ในสติปัฏฐาน สัมมาวายามะ ในมรรคมีองค์ ๘ คือ วิริยเจตสิกธรรมในขณะกำหนดพิจารณารูปนามเป็นปัจจุบันอารมณ์ด้วยวิริยะ ด้วยสัมปชัญญะ และด้วยสติ เมื่อกำหนดอย่างต่อเน่ืองย่อมเป็นบาทฐานให้เกิดสมาธิ ปัญญาย่อม เจรญิ ขน้ึ เมอื่ มรรคใดมรรคหนง่ึ เกิดแล้วมรรคที่เหลอื ก็ยอ่ มเกดิ ตามมา ผลทไี่ ด้รบั จากการใชค้ วามเพียร น้ี เรียกว่า พระอริยบุคคลท้ัง ๔ จำพวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระ อรหันต์ สรุปในงานวิจัยนี้ วิริยะท่ีพบในพระไตรปิฎกท่ีเป็นกลไกสำคัญทำให้วิปัสสนาภาวนาดำเนิน ไปสู่มรรคผลได้นั้น คือ ปธาน แตต่ ้องเปน็ ปธาน ที่ต้ังม่ันบนพื้นฐานแห่งทิฏฐิวิสุทธิ คือ ปญั ญาท่ีกำหนด รู้ทกุ ขสจั จ์ได้ ซงึ่ เป็นญาณท่ี ๑ คือ นามรูปปรจิ เฉทญาณในญาณ ๑๖ ตรงกับทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ อันเปน็ วสิ ุทธทิ ่ี ๓ ในวสิ ุทธิ ๗ ดังมีตัวอย่างที่ยกมาแสดงในงานวิจยั น้ีคอื นางโสณาเถรี ผู้ปรารภความเพยี ร ผู้ได้นำ วิริยะมาเป็นหัวใจสำคัญในการเจริญปัญญาต้ังแต่สุตมยปัญญาก็ดี จินตมยปัญญาก็ดี และภาวนามย ปัญญาก็ดี โดยมีความหวังไว้ว่า หากผู้ท่ีได้ศึกษางานวิจัยนี้อย่างเข้าใจในปัญญา ๓ ระดับดังกล่าวมานี้ ย่อมช่ือว่า เป็นผู้มีวิริยะเป็นเลิศ สมดังพุทธธรรมที่ได้นามากล่าวแสดงไว้ในงานวิจัยชิ้นนี้ วิริยะเป็น อริยธรรม ท่ีจักเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านท่ีปรารถนา ล้วนสำเร็จได้ด้วยพรอันประเสริฐอย่างย่ิง ในทางพระพุทธศาสนาคือ ความเพียร ดุจคำพูดท่ีว่า พรใดท่ีว่า เลิศประเสริฐในโลกา ยังไม่เท่ากับเรา นำธัมมะมาประพฤติปฏิบัติเอาเอง วริ ิยะสามารถทำไดจ้ ริงการปฏิบัติวปิ ัสสนาภาวนา หมายถึง ความรู้ แจ้งเห็นชัด ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมท้ังหลาย มีรูป-นาม เป็นต้น ว่าเป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ความไม่เท่ียง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน เป็นการเห็นถูกด้วย ตนเองด้วย อัตตปัจจักขญาณ คือ รู้ประจักษ์ตามความเป็นจริงจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของ ตนเอง ช่ือว่า วิปัสสนาเมื่อกล่าวถึงคาว่า วิปสั สนาภาวนา จึงหมายความว่า เป็นการฝึกอบรมปัญญา ให้เกิดความรู้เท่าทันสิ่งท่ีเกิดขึ้น เข้าใจส่ิงทั้งหลายตามความเป็นจริง ใจมีอิสระไม่ถูกครอบงำด้วย กิเลสและความทุกข์ ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกายมหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวถึงการ ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ท่ีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คร้ังประทับที่นิคมของชาวกุรุ ในแคว้นกุรุว่า เป็นทางเดียวที่จะนาผู้ปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ท้ังปวง เป็นทางเดียวที่จะทาให้ เหล่าสัตวบ์ ริสุทธ์ิล่วงพ้นความโศกและความร่ำไรรำพันได้ ดับความทุกข์และโทมนัสได้บรรลุอริยมรรค และเห็นแจ้งพระนิพพานได้ หนทางน้ีคือสติปัฏฐาน ๔ จากข้อความข้างบนทำให้ทราบว่า สติปัฏฐาน กับ วิปัสสนากัมมัฏฐาน นั้นเป็นอันเดียวกัน เพราะมีรูปนามเป็นอารมณ์เหมือนกัน มีวัตถุประสงค์
ภาคผนวก ๑๖๘ เปา้ หมายเดยี วกนั และมีเหตุมผี ลอย่ใู นหลกั ของตนเอง
ภาคผนวก ๑๖๙ รหสั ๓๙ -๕๔ แบบบนั ทึกขอ้ มูลงานวิทยานิพนธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาเวทนาในการปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนาตามหลักสตปิ ฏั ฐาน ๔ (A Study of the Feeling (Vedanã) in the According to Four Foundations of ผู้วิจัย Mindfulness) ปริญญา พระครูสมหุ ์เกิด ปุญฺญกาโม (ดานขุนทด) ปี ปรญิ ญาพุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๕๔ ๑. เพ่ือศึกษาหลกั การปฏิบตั วิ ิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ การทบทวน ๒. เพือ่ ศกึ ษาเวทนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เอกสารและ ๓. เพอื่ ศกึ ษาการเจรญิ เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ๔ งานวิจยั ท่ี ๑. หลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ ความสำคัญของวิปัสสนาภาวนา เกีย่ วข้อง ความหมายของวิปัสสนา ความหมายของภาวนา ความหมายของสติปัฏฐาน การปฏิบัติ นิยามศัพท์ วิปัสสนาภาวนา คือ การเจรญิ สติปฏั ฐาน ๔ การเจรญิ กายานปุ ัสสนา การเจริญเวทนานุปัสสนา การเจรญิ จิตตานปุ ัสสนา การเจริญธรรมานปุ สั สนา วปิ สั สนาภูมิ ๖ ๒. เวทนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ ความหมายของเวทนา ลักขณาทิจตุกะของ เวทนา เวทนาในหลักธรรมต่างๆ เวทนาในขันธ์ ๕ เวทนาในปฏิจจสมุปบาท เวทนาในสติปัฏ ฐาน เวทนาปรคิ คหสตู ร ๓. การเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ ความหมายของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ ประเภทของเวทนาในสติปัฏฐาน ๔ ประเภทเวทนา ๓ ประเภทเวทนา ๕ ประเภทเวทนา ๙ การเจรญิ เวทนานุปสั สนาในสติปัฏฐาน ๔ สรปุ การเจริญเวทนานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน ๔ ๑. เวทนา หมายถึง ความรูส้ กึ เสวยอารมณท์ ่ีเป็นสุข ทกุ ข์ และไม่สขุ ไมท่ กุ ข์หรือการเสพรสของ อารมณ์ที่เกดิ ขนึ้ จึงทำให้เกิดความยึดม่นั ถือม่ันเป็นอปุ าทานขนั ธ์ ๕ ใหเ้ กิดข้ึนตามมา ๒. วิปัสสนา หมายถึง ปัญญา๑๖ ท่ีเห็นสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม รูปนาม ในปัจจุบันขณะท่ี เกิดข้ึนตามธรรมชาติ ตามความเป็นจริงว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือไม่เท่ียงเป็นทุกขและ ไม่ใช่ตัวตน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ น้ันก็ คือ ไตรลักษณ์น้ันเองการฝึกอบรมจิตให้เกิดความรู้ แจ้งตามความเป็นจริง การเจริญปญั ญา หรือวิธกี ารทาให้เกิดการเห็นแจ้ง ๓. สติปฏั ฐาน มาจาก สติ คอื การระลึกรู้ ปัฏฐาน คือ เขา้ ไปต้ังไว้ สตปิ ฏั ฐาน หมายถึง ฐานทตี่ ง้ั ของ สติ หรือฐานทร่ี องรบั การกำหนด การระลกึ การตามรู้ สภาวธรรม อารมณ์ ณ ปจั จบุ ัน ธรรม เครอ่ื งระลึกที่เป็นไปอยา่ งต่อเน่อื งสติท่เี ข้าไปตัง้ ไว้อย่างมั่น๒๑ ธรรมอันเป็นท่ีตั้งแหง่ สตหิ มายถึง อารมณ์ของสติ ไดแ้ ก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ๔. ภาวนา ได้แก่ ธรรมควรเจริญ คอื ให้เกดิ ในสันดาน ธรรมที่เปน็ เครือ่ งอบรมกระแสจติ และทำให้ กศุ ลทเ่ี กิดข้ึนแล้วเจริญเพิ่มพูนข้นึ ๕. อนิ ทรีย์ แปลว่า เปน็ ผปู้ กครอง หมายความว่า สามารถทำใหส้ ภาวธรรมทเี่ กิดขน้ึ พร้อมกนั กับตน นัน้ ตอ้ งเปน็ ไปตามอำนาจของตน ความเป็นใหญ่ หรือเป็นผ้ปู กครองในสภาวธรรมท่ีเกดิ รว่ มกัน กับตน หรือเปน็ ใหญ่ในกจิ การนน้ั ๖. ไตรลกั ษณ์ คือ ลกั ษณะท่ัวไปของกายกบั จติ มีความไมเ่ ทีย่ ง ความเป็นทุกข์ และความเปน็ อนัตตา ของกาย เวทนา จติ และสภาวธรรม
ภาคผนวก ๑๗๐ วธิ ีดำเนินงานวจิ ยั วิเคราะห์เชิงเอกสาร (๑) ศึกษารวบรวมข้อมูลเร่ืองเวทนาจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ สรุปผลการวิจัย พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พ.ศ. ๒๕๓๙ พระไตรปิฎกและอรรถกถา แปล ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย.พ.ศ. ๒๕๒๕ และคัมภีร์ท่ีเก่ียวข้อง เช่นคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา วิสุทธิ มรรค ปกรณ์วิเสสและตำราต่างๆ .(๒) วิเคราะห์ข้อมูล บรรยายพรรณนา เสนอผลงานผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความถูกต้อง ขอบเขตด้านเนื้อหา หลักวิปัสสนาภาวนา และหลักธรรม คือ เวทนา ขอบเขตของการวิเคราะห์ ศกึ ษาเฉพาะเวทนาในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ การปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักของการปฏิบัติ เดียวกัน ตามหลักคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท ในการปฏิบัติกรรมฐานทางพระพุทธศาสนาต้องมีสติ เป็นหลักใหญ่ โดยอาศยั ฐานที่ต้ัง ๔ ประการ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ตอ้ งมีธรรมประกอบด้วย ๓ ประการ คือ ความเพียรเผากิเลส (อาตาปี) มีความรู้ตัว (สัมปชาโน) มีความระลึกในปัจจุบัน อารมณ์ (สติมา) เมื่อมีสติต้ังมั่นสามารถทาลาย อวิชชา และความทุกข์ในกายและใจ จึงชื่อว่า การรู้ แจ้งแทงตลอดในสภาวะรูปนามที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี้ชื่อว่า วิปัสสนา ในทาง พระพุทธศาสนาวิปัสสนาก็คือ สตปิ ัฏฐานนั่นเอง ซ่งึ ตรงกับข้อความในคัมภีร์ อรรถกถาว่า ยสฺมา ปน กายวทนาจิตฺตธมฺเมสุ กญฺจิ ธมฺม อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ แปลว่า อนึ่ง ข้ึนช่ือว่าภาวนาท่ีไม่ เนือ่ งด้วยกาย เวทนา จิต หรือสภาวธรรมอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ยอ่ มไมม่ ี ด้วยเหตุนี้พระอรยิ เจ้า จงึ พ้นจาก ทุกข์กายและทุกข์ใจ จนกระท่ังบรรลุมรรคญาณ และผลญาณในท่ีสุด ได้ด้วยการระลึกร้สู ติปัฏฐาน ๔ เวทนา เป็นเหตุปัจจัยใหเ้ กิด ตัณหา อุปาทาน ไมม่ ีที่ส้ินสุด ก็เพราะเหตุแห่งการเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุข-ไม่ทุกข์ ทั้งท่ีเป็นกามคุณ (อามิส) และไม่อาศัยกามคุณ (นิรามิส) ที่เกิดขึ้นทางกาย และใจ การ เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็คือ การมุ่งน้อมให้มาดูที่กายกับใจของตนเป็นสำคัญ ก็เพ่ือจะ กำหนดรูช้ ัดเวทนาว่า สุขหนอๆ ทุกขห์ นอๆ เฉยหนอๆ เป็นต้น ซ่ึงเป็นการกำหนดตามอาการที่จิตเสวย อารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอารมณ์ เรียกว่า กำหนดอารมณ์ปัจจุบัน การตามรู้เวทนาส่งผลให้นัก ปฏิบัติหย่ังเห็นความเกิดดับของเวทนา คือ ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา ย่อมไม่หลงไปยึดมั่นถือมั่นใน อารมณท์ ้ังปวง ย่อมเบอ่ื หน่ายคลายความกำหนดั ย่อมหลดุ พ้นไดใ้ นที่สุด คือ พระนิพพาน
ภาคผนวก ๑๗๑ รหัส ๔๐-๕๔ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ ช่อื วิทยานิพนธ์ ศึกษาการสอนสติปฏั ฐาน ๔ ตามแนวทางของโคเอ็นกา้ กับพระไตรปิฎก ผู้วจิ ัย (A Study of The Teaching Method Of The Four Foundations of Mindfulness According to S.N. ปริญญา Co-enka With Tipitaka) ปี บญุ เรือง ทิพพอาสน์ วตั ถุประสงค์ ปรญิ ญาพุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย การทบทวน ๒๕๕๔ เอกสารและ ๑. เพ่อื ศึกษาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท งานวิจัยท่ี ๒. เพ่อื ศึกษาการสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางของโคเอ็นกา้ เกีย่ วข้อง ๓. เพื่อศึกษาการสอนสตปิ ฏั ฐาน ๔ ตามแนวคมั ภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาทของโคเอ็นก้า ๑. สติปัฏฐาน ๔ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ ความนำเกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔ (หลักในการ นยิ ามศัพท์ ปฏิบัตสิ ติปัฏฐาน ๔ จุดมุ่งหมายของสติปัฏฐาน) มหาสติปัฏฐานสูตร (มูลเหตุให้เกิดมหาสติปัฏฐานสูตร วิธดี ำเนินงาน มหาสติปัฏฐานสตู รโดยพสิ ดาร อานสิ งสแ์ ห่งมหาสติปัฏฐาน ๔) วิจยั ๒. การสอนสตปิ ัฏฐาน ๔ ตามแนวทางของโคเอ็นก้า ได้แก่ การสอนสติปัฏฐาน ๔ ของโคเอ็นกา้ (อานา ปานบรรพ (การสังเกตลมหายใจเขา้ ออก) อริ ยิ าบถบรรพ (การมคี วามรู้ชดั เขา้ ใจในความไมเ่ ที่ยง) ปฏิก สรุปผลการวจิ ัย กลู มนสิการบรรพ (การพจิ ารณาส่ิงที่น่ารังเกียจ) ธาตมุ นสิการบรรพ (การพิจารณาธาตุทป่ี ระกอบกันข้ึน เป็นรูป) นวสถี ิการบรรพ (ขอ้ สังเกต ๙ ประการเกีย่ วกับป่าช้า) เวทนานปุ ัสสนา (การสงั เกตเวทนา) จิต ตานปุ ัสสนา (การสังเกตจิต) ธมั มานุปัสสนา (การสังเกตส่ิงที่อยใู่ นจติ ) นวิ รณบรรพ (อุปสรรคส่ิงปดิ กนั้ ) ขนั ธบรรพ (ขันธ์ ๕) อายตนบรรพ (อายตนะ) โพชฌงคบรรพ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้) สัจจบร รพ (อริยสัจ ๔) ) ๓. การสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทของโคเอ็นก้า ได้แก่ การสอนวิปัสสนา กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔ (การกำหนดกาย การกำหนดเวทนา การกำหนดจิต การกำหนดธรรม การกำหนดอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย การกำหนดอายตนะ) เปรียบเทียบการสอนวิปัสสนา กรรมฐานในพระไตรปิฎกกบั แนวการสอนโคเอ็นกา้ (การสอนวปิ ัสสนากรรมฐานในพระไตรปิฎก การสอน วปิ สั สนากรรมฐานของโคเอ็นกา้ เปา้ หมายสงู สดุ เหมือนกนั ) ๑. สตปิ ฏั ฐาน ๔ หมายถงึ การเจรญิ สติในกาย เวทนา จติ และธรรมตามนยั แห่งมหาสติปฏั ฐานสูตร ๒. การสอน หมายถงึ การสอนวิปัสสนา ทป่ี รากฏในพระไตรปิฎก และตามแนวทางของท่านโคเอ็นกา้ ๓. โคเอ็นกา้ หมายถงึ เจ้าสำนักวิปัสสนากรรมฐานผู้ซึ่งเป็นคฤหสั ถ์ชื่อโคเอ็นก้า มีชื่อยอ่ เป็นภาษาองั กฤษว่า S.N. Goenka อุบาสก ผู้ซ่ึงเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านวิปัสสนากรรมฐานด้วยหลักสติปัฏฐาน ๔ ท่ีมี เอกลกั ษณ์เฉพาะตนในด้านการสอนวปิ ัสสนากรรมฐาน การวิจยั เชิงคุณภาพจากเอกสาร (Qualitative Method) ดังนี้ (๑) ศึกษาข้อมูลจากเอกสารท่ีเก่ียวข้องในขั้น ปฐมภูมิ คือ จากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับเฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชินีนาถ มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๙ (๒) ศึกษาข้อมูลในข้ันทุติยภูมิ จากอรรถกถารองลงมา และหนังสือ ตำรา งานวิจัย ท่ี เก่ียวข้อง ตลอดจนหนังสือต่างๆ ของโคเอ็นก้า (๓) จัดลำดับข้อมูล และจัดหมวดหมู่ของข้อมูล ให้เป็น ประเด็นตามวตั ถุประสงค์ ที่ตั้งเอาไว้นั้น (๔) วิเคราะหข์ ้อมลู ท่ีเกี่ยวกับการสอนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตาม แนวทางของพระสุตตนั ตปิฎกของโคเอ็นกา้ พรอ้ มกับสรุปผลการวจิ ัย และข้อเสนอแนะ การสอนสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นวิธีการเดียวเท่าน้ัน ท่ีจะยัง บุคคลผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้สามารถไปสู่เป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาได้ คือ การดับทุกข์ได้
ภาคผนวก ๑๗๒ อย่างมีประสิทธิภาพและโดยส้ินเชิง แม้ว่าระยะเวลาในการปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันบ้าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเหตุ ปัจจัยภายในตัวผู้ปฏิบัติเองและปัจจัยแวดล้อมภายนอก เช่น พระวิปัสสนาจารย์ ผู้ให้การอบรมด้านวปิ ัสสนา กรรมฐานสถานที่ฝึกอบรม ระยะเวลาในการฝึกอบรม วิธีการฝึกอบรม เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว ในเบื้องต้นผู้ ปฏิบัติวปิ ัสสนา พึงรู้ความหมายและความสำคัญของวิปัสสนาว่ามีนยั สำคญั อยา่ งไรและมีขอบเขตในการปฏิบตั ิ เช่นไร เพ่ือป้องกันความเข้าใจผิดคลาดเคล่ือน (วิปลาส) ซ่งึ จะต้องเกิดข้ึนแก่ผู้ปฏิบัติทุกคน เพียงแต่ว่าจะต้อง ดำเนินการให้ถูกต้อง มีวิธีการท่ีแน่นอนเท่าน้ัน ประกอบกับจะต้องอาศัยท่านผู้รู้ ท้ังนี้ สติปัฏฐาน ๔ ถือเป็น แกนกลางของหลกั ปฏบิ ัตวิ ิปัสสนาทุกสำนักในประเทศไทยและในต่างประเทศ เพราะเป็นคำสอนดง้ั เดมิ จาก พระไตรปิฎก ส่วนพระวปิ ัสสนาจารยท์ ่านใดจะนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมในการอบรมสั่งสอน ก็เปน็ เทคนิค เฉพาะบุคคล แต่เม่ือกล่าวโดยสรุปแล้ว มี ๔ ประการหลัก ได้แก่ (๑) กายานุปัสสนา การพิจารณากายใน กาย (๒) เวทนานุปัสสนา การพิจารณาเวทนาในเวทนา (๓) จิตตานุปัสสนา การพิจารณาจิตในจิต (๔) ธัมมานุปัสสนา การพิจารณาธรรมในธรรม โดยผู้พิจารณาน้ัน จะต้องมีองค์พิจารณาอยู่เนืองๆ ๓ ข้อ คือ จะต้องมีความเพียร (อาตาปี) มีสติระลึกร้อู ยู่เสมอ (สติมา) และสัมปชัญญะ (สัมปชาโน ความรู้สึกตัวทุก ขณะ) คอยกำกับ ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือสำคัญอย่างย่ิงยวด หากบุคคลปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว ผลท่ีได้ก็คือ สามารถทจี่ ะกำจัดหรือทำลายอภิชฌาและโทมนัสท้ังปวงออกไปจากจติ ใจของตนเองได้ กระบวนการฝึกฝนอบรมตนเองตามนัยแห่งสติปัฏฐาน ๔ นั้น มีข้อปลีกย่อยออกไปอีกเป็นจำนวน มาก เช่น ในการพิจารณากายในกาย ก็มีข้อแยกย่อยต่างๆ อีก เช่น อานาปานบรรพ ว่าด้วยการกำหนดลม หายใจเข้าและออก โดยผู้ปฏิบัติพึงกำหนดจิตของตนให้รู้ลมเข้าและลมออกไปตามสภาพจริงท่ีเกิดขึ้น ไม่ว่า จะสัน้ หรือยาว หยาบหรือละเอียด เป็นต้น จนกระทั่งจิตนั้นสามารถที่จะสงบระงบั จากนวิ รณธ์ รรมท้ังปวงได้ ในช่ัวขณะปฏิบัติ คือ เป็นการบั่นทอนหรือทำลายนิวรณ์ธรรมให้สงบลงไม่ให้ส่งผลในทางลบต่อผู้ปฏิบัติ เช่น เมอ่ื จิตสงบมีสมาธิขั้นใดข้ันหน่ึงย่อมเปน็ ฐานแห่งวปิ ัสสนากรรมฐานได้ชัดเจนยิ่งข้นึ เพราะวิปสั สนาญาณต่างๆ จะบังเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากจิตปราศจากสมาธิเป็นรากฐาน ฉะนั้นความสัมพันธ์ในการฝึกฝนอบรม จงึ เป็นเรื่อง ท่ีสำคัญย่ิงต่อผู้ปฏิบัติ เพราะเป็นบันไดให้เดินไปทีละก้าวไปตามข้ันตอน (Step-By-Step) จะกระโดดข้ามไป ปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานเลยทีเดยี ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะกระทำได้อย่างน้อยจิตจะต้องมีพลังที่จะยืนหยัดอยู่ได้ คอื มีอสิ ระหรอื กำลงั พอท่จี ะพจิ ารณากาย เวทนา จิตและธรรมได้ ตามทผี่ ้ปู ฏบิ ตั ิมีความประสงค์ ส่วนข้ออื่นๆ คือ การพิจารณาเวทนา จิต และธรรม ก็มีนัยท่ีคล้ายกัน คือ ให้วางจิตของตนไว้ในอารมณ์แห่งการพิจารณา นนั้ ๆ เป็นสำคญั ไม่ให้ส่งจิตไปในสถานที่หรืออารมณ์อ่ืนซ่ึงไม่ได้กำหนดให้พิจารณา เช่น หากจะพิจารณาธาตุ ๔ จติ ก็จะต้องอย่ใู นอารมณ์ของธาตุ ๔ คือ ดนิ น้ำ ไฟและลม เท่านัน้ ไมม่ อี ารมณอ์ ื่นเขา้ มาแทรกหรอื มาทำลาย สมาธไิ ด้ การสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางท่านโคเอ็นก้า พบว่า สำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตาม แนวทางของโคเอ็นก้า ได้ก่อเร่ิมเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นครั้งแรก โดยใช้ หลักสตู ร ๑๐ ในการอบรมประชาชนผู้สนใจ ทเ่ี กาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ภาคใต้) แตก่ ็ยงั ไม่เป็นที่รูจ้ ักกัน มากนัก โดยมีเฉพาะผู้สมัครทเ่ี ปน็ ชาวต่างประเทศ โดยท่านเดนิ ทางไปอบรมด้วยตนเอง ต่อมาในภายหลงั จึงใช้ เทปบนั ทึกเสียงแทนแต่เปน็ การบรรยายด้วยภาษาอังกฤษท้ังหมด โดยเม่ือปีต่อมา พ.ศ.๒๕๓๑ จึงได้เริ่มขยาย การอบรมขึ้นท่ีวดั ชลประทานรงั สฤษฎ์ และมีประชาชนคนไทยเขา้ ร่วมอบรม ๖ คน นอกน้ันก็เป็นชาวต่างชาติ รวม ๔๐ คน และเม่ือ ปี พ.ศ.๒๕๓๒ จึงมีผู้สนใจกว่า ๖๐ คน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นคนไทย อีกทั้งเริ่มมีการแปลคำ สอนและธรรมบรรยายเป็นภาษาไทยมากยง่ิ ขึ้น จนเป็นที่นิยมนำมาปฏิบัติในแต่ละสาขาหลายแห่งในประเทศ ไทย เช่น ท่ีศูนย์วิปัสสนาธรรมสุวรรณา อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น เม่ือพิจารณาจากวิธีการ สอนของโคเอ็นก้าแล้ว จะเห็นว่า เป็นการประยุกต์คำพดู ในการสอนได้อย่างเหมาะสมแก่ยุคปัจจุบัน เพราะ
ภาคผนวก ๑๗๓ เป็นคำท่ีฟังแล้วเขา้ ใจงา่ ย ผู้ปฏบิ ตั ิไมส่ ับสน เน่ืองจากข้นั ตอนต่างๆ อันเป็นพิธีกรรมถูกแยกออกจากการปฏบิ ตั ิ อย่างสิ้นเชิง คือ ขณะปฏิบัติวปิ ัสสนาในสำนักหรอื ศูนย์ปฏิบัติแต่ละสาขานั้น ไมต่ ้องประกอบพิธีกรรมใดๆ อัน จะเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติเสียเวลาแม้แต่ข้ันตอนเดียว เช่น ไม่ต้องไหว้ไม่ต้องรับศีล ไม่ต้องสมาทานกรรมฐาน จากพระวิปัสสนาจารย์ เพราะเปน็ การปฏิบัติดว้ ยตนเอง มีข้อจำกัดท่จี ะตอ้ งเป็นกตกิ าร่วมกนั เช่น ห้ามพูดคุย กันขณะปฏิบัติใน ๙ วันแรกของหลักสูตร รายละเอียดของหลักสูตร ๑๐ วันที่ใช้อบรม แบ่งออกเป็น ๒ ภาค หรือ ๒ ระยะ คือ ๑) ระยะท่ี ๑ การเจรญิ สมถะกรรมฐาน (วนั ที่ ๑ -๓ ) ให้เจริญอานาปานสติ ฝึกกำหนดรู้ลม หายใจเข้าและออก แต่ไม่ต้องบริกรรมหรือท่องบ่นคำใดๆ ท้ังสิ้น กำหนดรู้อย่างเดียว ระยะท่ี ๒ การเจริญ วิปัสสนากรรมฐาน (จากวันท่ี ๔ ถึงวันที่ ๑๐ ของหลักสูตร) เลิกฝึกสมถะกรรมฐานแล้วหันไปเจริญวิปัสสนา กรรมฐานแทน ตา่ งๆของรา่ งกายตลอดทวั่ ร่างอยา่ งเป็นระบบ โดยเล่อื นจากศีรษะ ค่อยๆ เลื่อนไปถึงปลายเท้า โดยพิจารณาพื้นท่แี ต่ละครัง้ ประมาณ ๒ - ๓ ตารางน้ิว ไปตามลำดับ ไม่กระโดดไปมาตามอำนาจกเิ ลส ต่อมา ให้พิจารณาความรู้สึกบนพื้นผิวของร่างกาย เพราะตามผิวของเราในขณะปฏิบัติมักเกิดความรู้สึกตลอดเวลา เช่น คัน ขนลุก ขนชัน ตัวอุ่น ตัวเย็น ตัวหนัก ตัวเบา จักจี้ เป็นเหน็บ ปวดเม่ือยหลังจากน้ัน ก็ให้พิจารณา ความรู้สึกเข้าไปในร่างกาย เช่น รู้สึกถึงความส่ันสะเทือนอันละเอียดอ่อน อันเกิดจากการเกิด ดับ ของธาตุ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ ) ทั้งนี้ ผลของการปฏิบัติตามแนวทางน้ี คือ ทำให้มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทางจติ ที่เคยนึก คิดปรุงแต่งในเรื่องต่างๆ ทั้งดีและไม่ดี มาเป็นการกำหนดรู้เท่าทันต่ออารมณ์ของจิตท่ีเข้ามากระทบทาง อายตนะของตนเอง แลว้ สามารถท่ีจะตอ่ ต้านและปอ้ งกันจิตไม่ให้หลงใหลเพลิดเพลินไปในอารมณท์ ี่เข้ามาน้ัน จนกระทั่งจิตเป็นอิสระมีความปลอดโปรง่ โล่งเย็นภายใน และสามารถท่ีจะสกัดก้ันยับยั้ง นิวรณ์ธรรมต่างๆ ไม่ มารบกวนจิตใจเหมือนแต่กอ่ นฝกึ อบรมดว้ ยวธิ ีการนี้ การสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทของโคเอ็นก้า พบว่า การสอน วปิ ัสสนากรรมฐานในพระไตรปิฎก เบื้องต้นเป็นการกล่าวถึงเป้าหมายสูงสดุ หรือผลสัมฤทธ์ิของการปฏิบัติว่าผู้ ที่ปฏิบัติตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ พึงบรรลุถึงความหลุดพ้นแห่งทุกข์ทง้ั ปวงไปไดด้ ้วยการพจิ ารณาในกาย เวทนา จิตและธรรม แต่ขั้นตอนในการสอนนั้น ไม่ได้เรียงไว้ตามลำดับ บุคคลพึงปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ หมวดใด หมวดหนึ่งก่อนหรือหลังก็ได้ ทั้งนี้ กระบวนการถ่ายทอดวิปัสสนาของพระพุทธองค์จึงเป็นธรรมชาติมาก ที่สุดไม่ได้ปรุงแต่งหรือมีพิธีกรรมใดๆ มาเกี่ยวข้อง ส่วนแนวทางการสอนวิปัสสนาของโคเอ็นก้าพบว่า ไม่มี ขนั้ ตอนท่ีซับซอ้ นและไม่มพี ิธีกรรมมาเก่ียวขอ้ ง เพยี งแต่ผู้ปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐาน พึงสำเหนยี กกำหนดรู้ใน สติปัฏฐาน ๔ อยา่ งใดอย่างหนึง่ เช่น กำหนดรู้ในอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้าและออก แต่ไม่ต้องมคี ำบริกรรม เม่ือผู้ปฏิบัติจนชำนาญแล้ว ก็จะเกิดปฏิเวธธรรมข้ึนมาภายในเป็นเร่ืองเฉพาะตน ระยะเวลาท่ีใชฝ้ ึกวิปัสสนามี หลักสูตร ๓ วัน และ ๑๐ วันเหมาะแก่ทุกเพศทุกวัย แต่เมื่อพิจารณาจากเป้าหมายในการปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว เหมือนกันทั้งในพระไตรปิฎกและของโคเอ็นก้า กล่าวคือ การแก้ปัญหาให้ตนเองได้และสามารถท่ีจะหลุดพ้น จากทุกข์ทงั้ ปวงได้
ภาคผนวก ๑๗๔ รหสั ๔๑-๕๔ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ ช่อื วิทยานิพนธ์ การศกึ ษาเชิงวิเคราะหก์ ารรกั ษาโรคด้วยวปิ สั สนากมั มฏั ฐานตามแนวทาง ผู้วจิ ัย ของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรญั ฐิตธมโฺ ม) ปรญิ ญา (An Analytical Study of Treatment for Diseases by Vipassanã-Meditation According to ปี Phradhammasinhaburajahn (Jarun Thitadhammo) ) วตั ถปุ ระสงค์ พลกฤษณ์ โชติศริ ิรตั น์ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั การทบทวน ๒๕๕๔ เอกสารและ ๑. เพือ่ ศึกษาวิธีการรกั ษาโรคและวิธีการปฏิบัติวิปสั สนากมั มัฏฐานตามหลกั มหาสติปัฏฐานสูตรใน งานวจิ ัยที่ เก่ียวข้อง คมั ภีร์พระไตรปฎิ ก ๒. เพื่อศกึ ษาผลงานดา๎ นวปิ ัสสนากัมมัฏฐานของพระธรรมสิงหบรุ าจารย์ (จรัญฐติ ธมโฺ ม) ท่ีเกย่ี วข๎องกับ นิยามศัพท์ การรักษาโรค ๓. เพอ่ื ศึกษาผลทางวิทยาศาสตร์ในการรกั ษาโรค ด๎วยการปฏิบตั ิวิปสั สนากัมมัฏฐาน ๑. วิธีการรักษาโรคในคัมภีร์พระไตรปิฎกและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในมหาสติปัฏฐาน สูตร ได้แก่ ความหมายของโรคในคัมภีร์พระไตรปิฎก ประเภทของโรคในคัมภีร์พระไตรปิฎก (โรคทางกาย โรคทางใจ) สมฏุ ฐานของการเกดิ โรคในคมั ภีร์พระไตรปฎิ ก วิธีการรักษาโรคในคัมภีร์ พระไตรปิฎก (การรักษาโรคด้วยสมุนไพร การรักษาโรคด้วยเทคนิค การรักษาโรคด้วยการเจริญ พระพทุ ธมนต์ การรักษาโรคด้วยการบำเพ็ญเพียรทางจิต) วธิ ีการปฏบิ ัติวิปัสสนากัมมฏั ฐานตาม หลกั มหาสติปัฏฐานสตู รในคมั ภรี ์พระไตรปฎิ ก ๒. ผลงานด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานของพระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตธมฺโม) ที่เกี่ยวข้องกับการ รกั ษาโรค ได้แก่ วธิ ีการปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมฏั ฐานตามแนวทางของพระธรรมสิงหบรุ าจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) อานิสงส์ของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในการรักษาโรคตามแนวทางของพระธรรม สงิ หบุราจารย์ (จรญั ฐติ ธมโฺ ม) กรณีศึกษา : ผู้ที่หายจากโรคดว้ ยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตาม แนวทางของพระธรรมสงิ หบรุ าจารย์ (จรญั ฐติ ธมฺโม) ๓. ผลทางวิทยาศาสตร์ของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานท่ีเก่ียวข้องกับการรักษาโรค ได้แก่ การ วัดผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในทางคลินิก(Measurements of Clinical Outcomes of Mindfulness-Meditation) ผลทางวิทยาศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคด้วยการปฏิบัติ วิปสั สนากัมมัฏฐาน ผลของการปฏิบัตวิ ิปัสสนากัมมฏั ฐานตอ่ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด ผลของการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคมะเร็ง ( ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคเบาหวาน ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคทางจิตเภท (ก.โรควิตกกังวล ข.โรคซึมเศร้า ค.โรค สมาธิสั้น ง.ภาวะติดสารเสพติด จ.ปัญหาการนอน) ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรค อ่ืนๆ (ก.โรคลมชัก ข.โรคหอบหืด (asthma) ค. ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป (hyperthyroidism) ง.โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Human mmunodeficiency Virus : HIV) จ. อาการปวดเมือ่ ยกลา้ มเน้อื ) ) ๑. สมาธิ หมายถงึ ความมใี จตัง้ ม่ัน ความตงั้ ม่ันแห่งจิต การทำใหใ้ จสงบแนวแน่ ไม่ฟ้งุ ซา่ น มีจิต กำหนดแน่นอนอยู่ในส่ิงใดสิ่งหนง่ึ โดยเฉพาะ เปน็ พ้ืนฐานในการปฏบิ ัติธรรมในข้นั สูงตอ่ ไป
ภาคผนวก ๑๗๕ วธิ ีดำเนนิ งาน ๒. กัมมัฏฐาน หมายถึง ท่ีต้ังแห่งการงาน อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ อุบายทางใจวิธี วจิ ัย ฝึกอบรมจิตซ่ึงมี ๒ ประเภท คือ สมถกัมมัฏฐาน (อุบายสงบใจ) และวิปัสสนากัมมัฏฐาน (อุบาย เรอื งปญั ญา) รวบรวมขอ้ มูล สรุปผลการวิจัย ๓. วิปสั สนากัมมัฏฐาน หรือ การเจรญิ สติ หมายถึง การปฏิบัติธรรมตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร เพ่ือ การรู้แจ้งในรูป-นาม ขันธ์ ๕ ตามกฎพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามความเป็นจริง วิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) เป็นการปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นฐานท่ีต้ังของสติ เป็นเหตุปัจจัยสาหรับปลูกสติให้เกิดขึ้นในฐาน ทั้ง ๔ ในการพิจารณากาย (โดยพิจารณาอิริยาบถต่างๆ) เวทนา (เจริญสติโดยเอาเวทนาเป็นท่ีตั้ง) จิต (ปลูกสติโดยเอาจิตเป็นอารมณ์) และธรรม (มีสติพิจารณาธรรมท้ังหลายท้ังปวง) โรค เป็น สภาวะที่ผิดปกติของร่างกายหรือจิตใจของส่ิงมีชวี ิต ซ่ึงมีผลทำใหร้ ะบบการทางานของอวยั วะต่างๆ บกพร่องไป หรืออาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ พระอรรถกถาจารย์ให้ความหมายไว้ว่า โรค คือ การเสียดแทง การเบียดเบียนร่างกายและจิตใจให้ลำบาก ในที่น้ีจะหมายถึงเฉพาะโรคท่ีไม่ ติดต่อ ไดแ้ ก่ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคทางจติ เภท เป็นตน้ รูปแบบการวิจัย ๑) ขั้นปฐมภูมิ (๑) ศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏก ๒๕๐๐ (๒) ศกึ ษาคัมภรี ์พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย (๓) ศกึ ษาอรรถกถา บาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฺฐกถา ๒) ข้ันทุติยภูมิ (๑) ศึกษาผลงานของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ได๎แก่ หนังสือชุดกฎแหํงกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑-๒๒ ธรรมกำหนด ตรึกฉบับธรรมทาน (๒) ศึกษาหนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ และหนังสือปุจฉา-วิสัชนา เทคโนโลยี การแพทย์กับจริยธรรมพุทธ ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) (๓) ศึกษางานวิจัยทาง วทิ ยาศาสตรท์ เี่ กยี่ วข๎องกับการรกั ษาโรคดว๎ ยวปิ สั สนากัมมัฏฐาน ต้ังแตํปี พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๕๒ การวิจัยน้ีศึกษาวิธีการรักษาโรคและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักมหาสติปัฏฐาน สูตรในคัมภีร์พระไตรปิฎก ศึกษาผลงานวิปัสสนากัมมัฏฐานของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ที่เก่ียวข๎องกับการรักษาโรค และศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการรักษาโรคด้วยการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน และ กรณีศึกษา ผู้ท่ีหายจากโรคด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจำนวน ๔๔ ราย และ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เก่ียวข้องกับการรักษาโรคด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพ่ือศึกษา เอกสารอา้ งอิงยนื ยัน ผลวา่ การปฏิบัตวิ ปิ สั สนากัมมัฏฐานสามารถรกั ษาโรคไดจ้ ริง ๑) ข้อมูลขั้นปฐมภูมิ ๑) วิจัยและเก็บรวบรวมข๎อมูลที่เก่ียวข๎องกับการรักษาโรค และการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่ปรากฏในคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกและอรรถกถา ๒) ขอ้ มูลขั้นทุตยิ ภูมิ ๑) วิจยั ผลงาน ด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ท่ีเกี่ยวข้องกับการรักษาโรค ๒) วิจัยเนื้อหาในหนังสือพุทธธรรมท่ีเกี่ยวข้องกับงานวิจัย ๓) เก็บรวบรวมข้อมูลผลทางวิทยาศาสตร์ที่ เกีย่ วข้องกับการรักษาโรคด้วยวิปสั สนากมั มฏั ฐาน ตง้ั แต่ปี พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๕๒ ผลจากการวิจยั พบ คำวำ “โรค” ในคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกหมายถงึ “ความเสียดแทง”บุคคลใดเป็นโรค บุคคลน้ันมีสิ่งหนึ่งส่ิงใดเสียดแทงอยู่ โดยสามารถแบ่งประเภทของโรคออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ได้แก่ โรคทางร่างกายและโรคทางจิตใจ ซึ่งมีสาเหตุของการเกิดโรคอยู่ที่ ความผิดปกติของธาตุท้ัง ๔ ความ เปลี่ยนแปลงของอากาศ ความผิดปกติในแต่ละช่วงอายุที่มากขึ้น ถกู สัตว์ทำรา้ ย การรกั ษาด้วยวิธีท่ี ผิด ความผิดปกติของอาหารที่รับประทาน ความผิดปกติของจิตใจและผลของกรรมท่ีได้กระทำไว้ โดย โรคทางร่างกายสามารถรักษาให้หายไดด้ ้วยการใช้สมุนไพรและวิธีการทางเทคนคิ ส่วนโรคทางจิตใจนั้น ต้องรักษาด้วยการเจรญิ พระพุทธมนต์และการบาเพ็ญเพียรทางจติ จึงจะหาย แต่ทั้งนีพ้ ระพุทธเจ้าไดต้ รัส
ภาคผนวก ๑๗๖ ไว้ว่า ผู้ป่วยบางรายถึงแม้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า และได้รับการ ดูแลเป็นอย่างดี ก็ไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้ ในประเด็นนี้พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ได้ชี้แจงว่า เป็นโรคกรรมท่ีบุคคล ผู้นั้นเคยได้กระทำไว้ มีเพียงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลัก มหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาโรคกรรมให้หายได้ โดยต๎องปฏิบัติด้วยความศรัทธา ความเพียร และความอดทนอย่างที่สุด จนสติสมั ปชัญญะเจริญสมบูรณ์ พจิ ารณาในทกุ ข์ท่ีเกิดขน้ึ กำหนด เวทนาท่ีเผชญิ อยดู่ ว้ ยสตทิ ่ีตงั้ มั่น จนเกดิ กุศลจติ ขน้ึ ในจิตใจ เมอื่ แผ่เมตตาและอุทศิ ส่วนกุศลจนไดร้ ับการ อโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร ก็จะสามารถหายจากโรคกรรมที่เป็นอยู่ได้ การปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นวิธีการบำเพ็ญเพียรทางจิตหน่ึงในโพธิปักขิยธรรม ซึ่งเป็น ธรรมะในการตรัสรู้ มีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่การตัดส้ินกิเลสท้ังปวง บรรลุ เข้าสู่นิพพาน โดยมีวิธีการ ปฏิบัติ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการฝึกเจริญสติและใช้สติพิจารณา รา่ งกายเท่าทันความเป็นจริง เพ่ือให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความหลงใหลในร่างกาย ปราศจากความ ยึดม่ันถือม่ันใน ร่างกายน้ัน ๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการฝึกเจริญสติให้รู้เท่าทันเวทนาท่ี เกิดขึ้น ความแปรปรวนของเวทนา และในขณะที่เวทนานั้นดับไป เม่ือมีสติพิจารณาได้ชัดแจ้งแล้ว ก็วาง อุเบกขา ปราศจากความยึดมั่นถือม่ันในเวทนาน้ัน ๓) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการฝึกเจริญสติ ใหร้ ้เู ทา่ ทันจิต ความคิด และอาการของจิต เมือ่ พิจารณาจิตท่ีเกิดข้นึ ตง้ั อยู่ และดับไป จนร้แู จ้งแลว้ ก็จะ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในจิต สามารถละกิเลสตัณหาได้ และ ๔) ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็น การฝึกเจริญสติพิจารณาให้รู้เทา่ ทัน และรู้แจ้งในธรรม เม่ือเจริญสติในธรรมได้ถึงพร้อม จะเกิดปัญญาใน การพิจารณาเห็นความจริง จนเกิดความเบื่อหน่ายในกองทุกข์ สามารถดบั ทุกข์เข้าสู่นิพพานได้ ทส่ี ุดจาก การศึกษาผลงานของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) พบว่า มีผู้ป่วยท่ีปฏบิ ัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน แล้วหายจากโรคที่ตนเป็นอยู่ จำนวน ๔๔ ราย อันประกอบด้วยผู้ป่วยโรคหัวใจ ๓ ราย ผู้ป่วยอัมพาต ๗ ราย ผปู้ ่วยโรคมะเร็ง ๘ ราย ผปู้ ่วยโรคเบาหวาน ๓ ราย และผปู้ ่วยที่มอี าการทางจิตเภท ๕ ราย เป็นต้น นอกจากเป็นผลที่ได้รับจากการอโหสิกรรมทำให้หายจากโรคกรรมที่เป็นอยู่แล้ว สมาธิท่ีเกิดขึ้นจากการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานยังเป็นกลไกสำคัญท่ีมีผลดีต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลทำให้สามารถ รกั ษาโรคให้หายได้ ซงึ่ ผลของสมาธิจากการปฏิบตั ิวปิ สั สนากัมมฏั ฐานมผี ลต่อระบบต่างๆ ดังนี้ ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด พบว่า มีผลในการเพิ่มการ ทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งมีผลลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ช่วย เพ่ิมปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ทำให้การทางานของอวัยวะต่างๆ รวมท้ังต่อมไร้ท่อและระบบ ประสาททำงานได้ดีขนึ้ และมีผลทำให้ความต้านทานของหลอดเลือดลดลง ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ความดันโลหิตมีคำลดลง ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยกลไกที่สำคัญในการลดความดันโลหิต นน้ั เป็นผลมาจากการคลายตวั ของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ การเพ่ิมข้ึนของปริมาณไนตริกออกไซด์ (สารที่มีผล ทำให้หลอดเลือดขยายตัว) และผลต่อระบบประสาททีค่ วบคุมการทางานของหลอดเลือดและหวั ใจ เมื่อ ทาการศึกษาในผู้ป่วยท่ีมีความผิดปกติทางหลอดเลือดและหัวใจ พบว่าการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน สามารถลดปัจจัยเส่ียงและการดำเนินของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่แย่ลงได้ โดยมีผลลดความดันโลหิต ลดระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด ลดระดับสารสื่อประสาท Norepinephrine ทำให้หัวใจทางาน หนักน้อยลง และเพิ่มประสทิ ธิภาพในการบีบตัวของหัวใจอย่างมนี ัยสำคัญทางคลินกิ เป็นผลในการรกั ษา และปอ้ งกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคมะเร็ง พบว่า มีผลทำให้ระบบภูมิต้านทานของ ร่างกายเพ่ิมมากข้ึน เป็นกลไกการรักษาตวั เองตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติ มีผลลดปรมิ าณการเกิดอนุมูล
ภาคผนวก ๑๗๗ อิสระ เพิ่มการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่ไม่เอื้อต่อการเกิดเซลล์มะเร็ง และเพิ่ม ปรมิ าณเมด็ เลือดขาว (T-cells) ทำใหป้ ระสทิ ธิภาพของระบบภูมิต้านทานร่างกายเพ่ิมขึน้ กลไกเหล่าน้ีทำ ให้สามารถชะลอการเจริญเติบโตของมะเร็งและทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงจนหายไปได้ นอกจากนี้ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานยังมีผลลดอาการทางจิตวิทยาลดอาการของความเครยี ด และเพิ่มคุณภาพ ชวี ติ ได้อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติผลของการปฏบิ ัติวปิ ัสสนากมั มัฏฐานต่อโรคเบาหวาน พบช่วยใหส้ ามารถ ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพการทางานของของอินซูลิน และมีผลช่วยลด ความดันโลหิตได้ รวมท้ังช่วยลดความเครียด อาการซึมเศร้า และความวิตกกังวล ซ่ึงส่งผลต่อระดับ นำ้ ตาลในเลือดโดยตรง อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก เมื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดบั น้ำตาล ในเลอื ดและความเครียดได้ คุณภาพชีวติ ของผปู้ ว่ ยกจ็ ะดีขึน้ ด้วย ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคทางจิตเภท พบว่า มีผลช่วยลดความเครียดลง ซึ่ง ความเครียดเป็นสาเหตุในการทำลายสมดุลของร่างกาย ผลของความเครียดน้ัน มีผลต่อเซลล์สมอง โดยตรง ในสภาวะปกติสมองจะมีคลื่นความถี่ชนิดเบต้า ซ่ึงเป็นคล่ืนที่เกิดขึ้นในขณะท่ีรู้ตัวและใช้ ความคิดในการทางาน เม่ือเกิดสภาวะความเครียดขึ้น คล่ืนสมองชนิดเบต้าก็จะมีความถี่สูงมากขึ้น เป็น ผลให้ความคดิ ถดถอยจากสภาวะปกติ การทางานจะถูกปรบั เข้าสู่ ฐานของความกลัวรุนแรงถึงขนั้ เป็นโรค ทางจิตเภท เมื่อได้รับการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน คล่ืนสมองชนิดเบต้าจะมีความถี่ลดลงจน เปล่ียนเป็นคล่ืนสมองชนิดแอลฟา ซ่ึงเป็นคลื่นสมองที่เกิดข้ึนในขณะท่ีจิตสงบอยู่ในสภาวะสมดุล เป็น ผลให้เรามีสติในการพิจารณาสิ่งต่างๆ มากข้ึน การตัดสินใจถูกต้องและแม่นยามากข้ึน ความคิดเป็น ระบบมากข้ึน ประสิทธิภาพในการจัดการทางอารมณ์สูงข้ึน เม่ือผู้ปฏิบัติฝึกเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน อย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลานาน จนจิตเข้าสู่สมาธิในระดับที่สูงขึ้น คลื่นสมองจะเปลี่ยนจากคลื่น สมองชนิดแอลฟาเป็นคล่ืนสมองชนิดธตี า้ ซ่ึงแสดงถงึ ภาวะผ่อนคลายและจิตสงบอย่างสูง ในช่วงนี้จะ เกิดความปีติสขุ ท่ีเพิม่ มากขน้ึ เกดิ ความคิดหยัง่ เห็น (Insight) และเกิดปัญญาญาณ มีศักยภาพสาหรับ ความจำระยะยาวและการระลึกรู้ และเมื่อปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจน เข้าสู่สมาธิระดับข้ันอัปปนา สมาธิ (สมาธขิ ัน้ สูง) คล่ืนสมองจะเปลีย่ นเป็นคลนื่ สมองชนดิ เดลต้า จะเกิดการผ่อนคลายที่สูงมาก เปรียบ ได้กับการประจุพลังงานเข้าสู่ร่างกายใหม่ ทำให้เซลล์ต่างๆ เกิดการซ่อมแซมตัวเอง และทำงานได้อย่าง เต็มประสิทธิภาพ การปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน ยังสามารถปรับคลื่นสมองทัง้ สองข้างให้มีความถี่และ เป็นจังหวะเดียวกัน ซ่ึงเปน็ ภาวะแห่งการตื่นรู้ของจิต และกระตนุ้ การทำงานของสมองในส่วนตา่ งๆทำให้ มีปัญญาในการบริหารจัดการ มีสติในการพิจารณาความรู้สึกและส่ิงท่ีมากระตุ้น มีความสามารถในการ ประมวลการรับรู้และการควบคุมการส่ังการ มีประสิทธิภาพในการจดจาเพิ่มมากขนึ้ มีความตื่นตัวในการ เรียนรอู้ ย่างงมีประสิทธิภาพ และทำให้เครือข่ายของสมองเป็นระบบมากย่ิงข้ึน นอกจากน้ียังเป็นวิธีการ ยับยั้งกลไกการตอบสนองต่อความเครียด ช่วยควบคุมการหลั่งฮอร์โมน epinephrine ซ่ึงมีผลต่อความ ดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจ เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีจิตใจท่ีสงบ เกิดการ ผ่อนคลาย ลดอาการตึงเครียด และลดอารมณ์วิตกกังวลและความกลัวได้ นอกจากน้ียังทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงในระดับความรู้สึกตัว เป็นผลในการเปล่ียนวิธีการคิดและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า กลไกใน การรักษาด้วยการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น จะมุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการของ ความคิด ที่มีความสำคัญมากกว่าเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เนื้อหาของความคิด ด้วยกลไกต่อระบบ ประสาทดังกล่าว การปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐานจึงสามารถรักษาโรควติ กกังวล โรคซึมเศร้า โรคสมาธิส้ัน ภาวะตดิ สารเสพตดิ และภาวะการนอนไม่หลับได้ ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคอื่นๆ ได้แก่ โรคลมชัก โดยไปเพิ่มปริมาณสาร
ภาคผนวก ๑๗๘ GABA ซึ่งเป็นสารส่ือประสาทในสมอง ทำให้สามารถรักษาสมดลุ ของสมองและระบบประสาท เกิดความ สงบ ผ่อนคลาย จึงสามารถรักษาและป้องกันการเกิดโรคลมชักได้ โรคหอบหืดโดยการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานจะมีผลในการลดอัตราการหายใจ ช่วยรักษาภาวะอัตราการหายใจผิดปกติในผู้ใหญ่ควบคุม จังหวะการหายใจ และยังมีผลลดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าท่ีทำให้เกิดอาการหอบหืด โรคภูมิคุ้มกัน บกพร่อง (Human Immunodeficiency Virus : HIV) การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมีส่วนสำคัญใน การดูแลรกั ษาผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นอย่างมาก ท้ังในแง่ชว่ ยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ลดอาการ วิตกกังวล และทำให้นอนหลับได้ดขี ้ึน ช่วยให้รู้เท่าทันความคิดเชิงลบที่เกิดข้ึน และช่วยพัฒนาความรู้สึก รักและเมตตา ทำให้เข้าใจและให้อภัยต่อตนเองนอกจากนี้การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ยังมีผลต่อ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) ช่วยกาจัดความเครียดเร้ือรัง ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีทำให้ เกิดผลด้านลบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และอาการปวดเม่ือยกล้ามเนื้อ โดยการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานมีผลช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเน้ือซ่ึงเป็นผลมาจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า และเพ่ิมการ ไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทำให้อาการปวดเมื่อยกล้ามเน้ือหายไปได้ สรุปผลการศึกษาเชิง วิเคราะห์การรักษาโรคด้วยวิปสั สนากมั มัฏฐานตามแนวทางของพระธรรมสิงหบรุ าจารย์ (จรัญ ฐติ ธมโฺ ม) ได้ว่า การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) สามารถ รกั ษาโรคท่ีเกิดขน้ึ ท้ังทางรา่ งกายและจิตใจให้หายได้ด้วยผลจากการได้รับการอโหสิกรรมและผลของ สมาธิที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยมีผลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ว่า การปฏิบัติ วปิ ัสสนากมั มัฏฐานสามารถการรักษาโรคได้จริง
ภาคผนวก ๑๗๙ รหัส ๔๒ – ๕๔ แบบบนั ทึกขอ้ มูลงานวทิ ยานพิ นธ์ ชื่อวทิ ยานิพนธ์ การศึกษาเคร่ืองมือจำแนกจรติ ท่ีเหมาะสมในการเจรญิ สติปัญญา (The study of the Proper Personal Characteristic Classification Tools for Practicing the ผวู้ ิจยั Satipathanna (The Foundations of Mindfulness) ) ปรญิ ญา สุเมธ โสฬศ ปี ดุษฎบี ัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วตั ถุประสงค์ ๒๕๕๔ ๑. เพือ่ ศึกษาแนวทางการเจริญสตปิ ฏั ฐานในคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท การทบทวน ๒. เพือ่ ศึกษาเรอื่ งจริตในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท เอกสารและ ๓. เพอ่ื สรา้ งเคร่อื งมือจำแนกจริตท่เี หมาะสมในการเจรญิ สติปฏั ฐาน งานวจิ ัยท่ี ๑. การเจรญิ สติปัฏฐานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ สาระสำคัญของปัฏฐาน (ความหมายของ เก่ยี วข้อง สติปัฏฐาน ความเช่ืองโยงของสติขององค์ธรรมอื่นๆ ความสำคัญของสติและสติปัฏฐาน) พัฒนาการ ของสติปัฏฐาน (พัฒนาการของสติปัฏฐานในพระไตรปิฎก พัฒนาการของสติปัฏฐานในอรรถกถา) หลักการเบือ้ งต้น และหลกั ธรรมะพน้ื ฐานทีจ่ ำเปน็ ในการเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ (หลักการเบ้ืองต้นในการ เจริญสติปัฏฐาน ๔ ธรรมะพื้นฐานท่ีจำเป็นในการเจริญสติปัฏฐาน วิธีการเจริญสติปัฏฐาน ๔ (กายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ) ผลอันเกดิ จากการเจริญสติปัฏฐาน (เห็นส่งิ ต่างๆตามความเป็นจริง สามารถถอนความพอใจ และความ ไม่พอใจในโลกเสียได้ ได้คุณพิเศษจากกำลงั ของสมถกรรมฐาน อานิสงส์แหง่ การเจริญสติปฏั ฐาน คือการ บรรลอุ รหนั ตผล หรอื อนาคตมีผล) ๒. สติปัฏฐานกับสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน (สติปัฏฐานส่วนที่เป็นทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสสนา กรรมฐาน สตปิ ฏั ฐานส่วนท่จี ัดอยใู่ นหมวดวปิ สั สนากรรมฐาน) ๓. ข้อควรระวังในการเจริญสติปัฏฐาน (การเตรียมพ้ืนฐานศีลไม่พร้อม อินทรยี ์ไม่สม่ำเสมอ การเตรียมจิต ไม่พร้อม วิปัสสนูปกิเลส ผลข้างเคียงจากการเจริญอสุภกรรมฐานปฏิบัติด้วยความย่อหย่อนเกินไป หรอื ตึงเกินไป) ๔. สรุปแนวคิดพ้ืนฐานท่ีสำคัญในการเจริญสตปิ ัฏฐาน (การเจริญสติปัฏฐานแต่ละหมวดให้ผลทเ่ี หมอื นกัน สตปิ ัฏฐานเป็นทั้งสมถและวิปัสสนา การเจริญสติปฏั ฐานอาจไม่จำเป็นต้องทำตามทุกลำดับทุกหมวด สติ ปฏั ฐานทุกหมวดย่อยหมวดคลกุ ทกุ จริต ๕. จริตในคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท ความหมายของจรติ ประเภทของจรติ (แนวคิดการจำแนกจริต ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท จริต ๖ ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท จริต ๒ ท่ี ปรากฏในคมั ภีรพ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท) ๖. กรณีศึกษาเร่ืองจรติ กับการบรรลธุ รรมในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ( กรณีศึกษาการบรรลุธรรมของพระ จฬู ปันถก กรณีศึกษาบรรลุธรรมของสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตร กรณีศึกษาบรรลุธรรมของพระนาง เขมาเถรี กรณศี ึกษาบรรลธุ รรมของภิกษุณรี ูปนนั ทาเถรี) ๗. วิเคราะห์ความสำคัญของจริตในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่ ความสำคัญของจริตในแง่ของการ ตัดสินใจเลือกแนวทางประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้า ความสำคัญของจริตต่อความเช่ือในเรื่อง เก่ียวกับอดีตกรรมและการเปลี่ยนแปลงความเคยชินใหม่เพื่อปรับปรุงจริต ความสำคัญของจริตต่อการ ยอมรับความหลากหลายในด้านพฤติกรรมและความแตกต่างของ ปัจเจกชน ความสำคัญของจริตต่อ
ภาคผนวก ๑๘๐ นยิ ามศัพท์ การเลือกคบคนความสำคัญของจริตต่อการทำความรู้จักตนเอง ความสำคัญของจริตต่อแนวทางการ การศึกษาและปฏิบัติธรรม ความสำคัญของจริตต่อการเตรียมตัวเลือกสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมกับ การปฏบิ ัติธรรมและในการดำรงชวี ติ ความสำคญั ของจรติ ต่อการการบรรลุธรรม ๘. เคร่อื งมือจำแนกจริตทีเ่ หมาะสมในการเจริญสติปฏั ฐาน ได้แก่ องค์ความรู้เรอ่ื งจริตท่ีเก่ียวข้องกับการ เจริญสติปัฏฐาน แนวความคิดเบ้ืองต้นในการสร้างเคร่ืองมือจำแนกจริต แนวความคิดเบื้องต้น เกยี่ วกับการสร้างเคร่ืองมือชว้ี ัด ความหมายของเคร่ืองชีว้ ัด โครงสร้างของเครือ่ งมือชี้วัด แบบจำลอง เพ่ือการใช้เครื่องมือจำแนกจริต เครื่องช้ีวัดจริต ๒ เครื่องชี้วัดจริต ๖ เครื่องชี้วัดความแก่กล้าของ ปัญญา สรุปเครอ่ื งมอื จำแนกจรติ และเครือ่ งชวี้ ดั ๙. ความเห็นของนักวิชาการท่ีมีต่อเครื่องมือจำแนกจริต ได้แก่ เกณฑ์การเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ ผูท้ รงคณุ วฒุ ิท่ีถกู คัดเลือก ประเด็นการสัมภาษณ์ ประมวลความเห็นท่ีได้จากการสัมภาษณ์ ( ความเห็น ของพระราชสิทธิมุนี(วิ.) ความเห็นของ ดร. โสรีช์ โพธ์ิแก้ว ความเห็นของ ดร. บรรจบ บรรณรุจิ ความเห็นของผเู้ ชีย่ วชาญสายพระธดุ งคก์ รรมฐานรปู หนึง่ ความเห็นของหลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ๑๐. ประเด็นการปรับปรุงเครื่องมือจำแนกจริตในการเจริญสติปัฏฐานหลังจากการสัมภาษณ์เครื่องมือ จำแนกจริตในการเจริญสติปัฏฐาน ( แบบจำลองการจำแนกจริตเพ่ือการเจริญสติปัฏฐาน โครงสร้าง ของเครื่องมือจำแนกจริตท่ีเหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐาน ประมวลเครื่องมือจำแนกจริต เครื่องช้ีวัด ชุดเครอ่ื งช้ีวดั และตัวช้ีวัด ๑๑. ตัวอย่างแบบสอบถามเครื่องมือจำแนกจริต ( การพัฒนาแบบสอบถามจากตัวชี้วัด การหาความ เทย่ี งตรง(Validity) ของแบบสอบถาม) ๑๒. แนวทางการเจริญสติปฏั ฐานในการใช้ชีวิตประจำวันท่ีเหมาะสมกบั แต่ละจริต ได้แก่ ความหมายและ ความสำคัญของการเจริญสติปัฏฐานในการใช้ชีวิตประจำวัน ประเมินตนเอง เลือกสติปัฏฐานหมวดท่ี เข้ากันได้กับจริต เลือกสมถกรรมฐานประจำตัว ปรับพื้นฐานด้วยศีลสิกขา การฝึกฝนในรูปแบบด้วย หลักการจิตสิกขา เพ่ือให้ได้สัมมาสมาธิ เจริญสติปัฏฐานด้วยหลักการ เพิ่มพูนปัญญาสิกขา ตัวอย่าง แนวทางการเจรญิ สตปิ ฏั ฐานในการใช้ชีวติ ประจำวันสำหรับคนทิฏฐจิ รติ ๑. จริต หมายถึง ลักษณะเฉพาะตน อันได้แก่ อุปนิสัย ความประพฤติ หรือพื้นเพจิตใจท่ีเคยชิน กบั การดำเนินชีวติ ๒. การเจรญิ สติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน หมายถึง การหลอมรวมการเจริญสติปัฏฐานมาใช้ใน ชวี ิตอยา่ งเป็นธรรมชาตแิ ละตอ่ เนอ่ื ง ในทกุ อริ ยิ าบถท่ปี ระกอบภารกิจในชวี ิตประจำวัน ๓. แบบจำลองการจำแนกจริต หมายถึง ผังความคิดรวบยอดในการจำแนกจริตโดยใช้เครอื่ งมือ จำแนกจริต ในการแบ่งคนเปน็ ลักษณะต่างๆ และช้ีให้เห็นรปู แบบสติปัฏฐานทเี่ หมาะสมกับผู้ มีจรติ ต่างๆ ๔. เครื่องช้ีวัด ชุดตัวช้ีวัด และตัวชี้วัด ( Index of Indicators, Indicators, Indicator) เป็น กลุม่ ของตัวช้วี ัด และตัวช้วี ดั ย่อย ซ่ึงจะมุ่งเนน้ การวัดนานมธรรม และพฤตกิ รรม ซึ่งเป็นข้อมูล เชิงคุณภาพ ตัวชี้วัด จึงเป็น ส่ิงที่บ่งบอกลักษณะทางนามธรรมอันเป็นลักษณะเฉพาะตัว มาก วา่ ส่ิงทีเ่ ป็นการวดั เชิงปรมิ าณ ใชส้ ำหรับการแยกแยะประเภทของจริต หรือบ่งบอกความแก่ กล้าของปัญญาของบคุ คลได้ ๕. “เครอื่ งมือจำแนกจริต ที่เหมาะสมในการเจรญิ สติปัฏฐาน” หมายถึง ชุดความคิดใช้รว่ มกับ แบบจำลองการจำแนกจริต ซ่ึงเป็นการวัดนามธรรมเพ่ือจำแนกจริต และปัญญา โดยมี วัตถุประสงค์ใช้ในการเลือกหมวดในการเจริญสตปิ ัฏฐาน ประกอบไปดว้ ยเครอ่ื งชว้ี ัด ๓ ชุดคือ
ภาคผนวก ๑๘๑ วิธีดำเนินงาน (๑) เคร่ืองชี้วัดจริต ๒(๒) เครื่องชี้วัดจริต ๖ (๓) เคร่ืองชี้วัดปัญญา ประกอบไปด้วยตัวช้ีวัด วิจยั หลายตัว เพ่ือบ่งช้ีว่าผู้ถูกศึกษาเป็นประเภทผู้มีปัญญากล้า หรือปัญญาไม่กล้า ซ้ึงชุดตัวชี้วัด ต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดส่ิงที่เป็นนามธรรมภายใน และแปลงออกมาโดยการอธิบาย สรปุ ผลการวจิ ยั ลกั ษณะเฉพาะวา่ เปน็ จรติ ใด หรือมปี ัญญากล้าหรือไม่ การวิจัยเอกสารเพื่อค้นหาหลักฐานทางเอกสาร เรื่องสติปัฏฐานและเรื่องจริตที่มีความเก่ียวเน่ืองกัน เพ่ือทำ การวิเคราะห์และบูรณาการสร้างองค์ความร้เู พื่อพัฒนาแบบจำลองการจำแนกจริตท่ีเหมาะสมในการเจริญสติ ปฏั ฐาน จากนั้นนำมาสังเคราะห์หาแนวทางการเจริญสติปัฏฐานท่ีเหมาะสมสำหรับแต่ละจริต หลงั จากนั้นใช้ การสัมภาษณ์ โดยใช้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนอย่างน้อย ๔ ท่านคือ (๑)ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิปัสสนากรรมฐานสาย วัดมหาธาตุ(พองยุบ) (๒) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิปัสสนากรรมฐานสายอานาปานสติแบบสวนโมกข์ (๓) ผทู้ รงคุณวุฒิด้านวิปัสสนากรรมฐานสายพระธดุ งค์กรรมฐาน(สายอาจารย์ม่นั และหลวงพ่อชา) (๔)ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิปัสสนากรรมฐานสายเจริญสติดว้ ยแนวทางการดูจิตแบบหลวงปดู่ ูลย์ อตุโล สติ และสติปัฏฐานเป็นธรรมะท่ีสำคัญที่สุดหมวดหน่ึงในพระพุทธศาสนา และถูกกล่าวบ่อยมากท่ีสุด หมวดหนึ่ง โดยเฉพาะมักถูกกล่าวถึงในฐานะทางเอกสายเดยี วมุ่งตรงสู่พระนิพาน พระพุทธองค์ตรัสสอนสติ ปฏั ฐาน ๔ มากถงึ ๒๑ หมวดย่อยเพื่อให้ครอบคลุมการปฏิบัตสิ ำหรับผู้ปฏบิ ัตทิ ุกคน ในขณะที่ความรูเ้ รือ่ งจริต ในพระพทุ ธศาสนาสว่ นใหญ่ในปัจจุบัน มงุ่ ศึกษาเรือ่ งจริต ๖ ซึง่ เปน็ เครื่องมอื ในการเจริญสติปฏั ฐานสมถกรรม ฐาน ส่วนการเจริญสติปัฏฐานท้ัง ๒๑ หมวดย่อย ยังไม่มีเครื่องมือในการจำแนกจริตที่เหมาะสม ด้วย ดงั กล่าวทัง้ หมดขา้ งต้นผู้วจิ ัยจึงไดเ้ กิดความคิดท่ีจะรวบรวมองค์ความร้ใู นการเจริญสตปิ ัฏฐาน และองค์ความรู้ ที่ว่าด้วยเร่ืองของจริต ทั้งท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา คัมภีร์ช้ันหลังในพระพุทธศาสนาเถรวาท นำมาศึกษาวเิ คราะห์ และจัดการบูรณาการอยา่ งเหมาะสม เพื่อสรา้ งเคร่ืองมือจำแนกจรติ โดยม่งุ หวงั ให้ชาว พุทธสามารถประเมินตนเอง และทราบจริตของตนเองเพ่ือทำให้สามารถเลือกกรรมฐานท่ีเหมาะสมกับจริต และสอดคล้องกับวิธีการดำรงชีวิตของตนในยุคปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการนำไปปฏิบัติให้เหมาะสมกับ ตนเองต่อไปสติ และสติปัฏฐานเป็นธรรมะที่สำคัญที่สุดหมวดหนึ่งในพระพุทธศาสนา และถูกกล่าวบ่อยมาก ท่ีสุดหมวดหนึ่งโดยเฉพาะมักถูกกล่าวถึงในฐานะทางเอกสายเดียวมุ่งตรงสู่พระนิพาน พระพุทธองค์ตรัสสอน สติปัฏฐาน ๔ มากถึง ๒๑ หมวดย่อยเพื่อให้ครอบคลุมการปฏิบัติสำหรับผู้ปฏบิ ัติทุกคน ในขณะท่ีความรู้เร่ือง จริตในพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มุ่งศึกษาเรื่องจริต ๖ ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือในการเจริญสติปัฏฐานสม ถกรรมฐาน ส่วนการเจรญิ สตปิ ัฏฐานทงั้ ๒๑ หมวดยอ่ ย ยังไม่มเี ครอื่ งมือในการจำแนกจรติ ทีเ่ หมาะสม ดว้ ย ดังกล่าวทง้ั หมดขา้ งต้นผู้วจิ ัยจึงไดเ้ กิดความคิดท่ีจะรวบรวมองค์ความรู้ในการเจรญิ สติปัฏฐาน และองค์ความรู้ ท่ีว่าด้วยเรื่องของจริต ทั้งท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา คัมภีร์ช้ันหลังในพระพุทธศาสนาเถรวาท นำมาศึกษาวิเคราะห์ และจัดการบูรณาการอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างเคร่ืองมือจำแนกจริต โดยมงุ่ หวังให้ชาว พุทธสามารถประเมินตนเอง และทราบจริตของตนเองเพ่ือทำให้สามารถเลือกกรรมฐานที่เหมาะสมกับจริต และสอดคล้องกับวิธีการดำรงชีวิตของตนในยุคปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการนำไปปฏิบัติให้เหมาะสมกับ ตนเองต่อไป เป็นการวิจัยเชิงบูรณาการ ซึ่งผู้วิจัยได้วางกรอบแนวความคิดทางทฤษฏีและกระบวนการในการวิจัย ( research process) โดยเริ่มจากการศึกษาวิจัยเอกสารเรอื่ งสติปัฏฐาน และเรื่องจริตในคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนา เถรวาท จัดหมวดหมู่องค์ความรู้เรื่องจริตท่ีเก่ียวข้องกับการเจริญสติปัฏฐาน นำไปสู่การสร้างแบบจำลอง เคร่ืองมือจำแนกจริต และทวนสอบแบบจำลอง และเครื่องมือจำแนกจริตโดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จาก ๔ สำนัก ได้แก่ สายพองยุบ สายอานาปานสติแบบท่านพุทธทาส สายพระธุดงค์กรรมฐาน และสายดู จิตแบบหลวงปู่ดูลย์ นำมาสงั เคราะห์ใหม่โดยการตัด เพ่ิมหรือยบุ รวมประเด็น รวมทั้งทวนสอบแบบทดสอบ
ภาคผนวก ๑๘๒ ค่าดัชนีความสอดคล้องโดยผู้เช่ียวชาญ ( Index of Item-Objective Congruence : IOC ) และจาก กระบวนการวิจัย จงึ ได้เคร่ืองมือจำแนกจรติ ที่เหมาะสมในการเจรญิ สติปัฏฐาน แบบสอบถาม และแนวทาง การเจริญสติปฏั ฐานในชวี ติ ประจำวนั ที่เหมาะสมกบั แต่ละจรติ การดำเนนิ การวิจัยเร่ิมจากการค้นคว้าข้อมูลเรอ่ื ง สติ และสติปัฏฐานท่ปี รากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เถรวาท ในพระไตรปฎิ ก ไดใ้ ห้ความหมายของสติไว้ว่า คอื ความระลึก ความหวนระลึก กริ ิยาท่ีระลึก ความ ทรงจำ ความไม่เลื่อนลอย ความมาหลงลืม สตินทรีย์ สัมมาสติ น้ีเรียกว่า สติ โดยสติน้ันแทรกอยู่ในองค์ ธรรมอื่นๆ หลายหมวด เช่น เป็นองค์ธรรมข้อที่ ๑ ของธรรมท่ีมีอุปการะมาก๒ เป็นองค์ธรรมข้อ ๘ ของ นาถกรณธรรม ๑๐ เป็นองค์ธรรมข้อ ๓ ในพละ ๕ และอินทรีย์ ๕ เป็นองค์ธรรมข้อ ๑ ของโพชฌงค์ และ เป็นองคธ์ รรมขอ้ ๗ ของอริยมรรคมีองค์๘ เป็นตน้ นอกจากนั้น สติ ยงั อาจเรยี กขานว่า สมั มาสติกไ็ ด้ ซ่ึงคำ วา่ สมั มาสตินั้นก็สามารถแจกแจงได้เป็นองคธ์ รรมแหง่ สติปฏั ฐาน ๔ น่นั เอง ในการแสดงธรรมในบางคร้ังบางโอกาส พระพุทธเจ้าอาจแสดงธรรมและแนวทางการภาวนาให้ เหมาะสมกับจริตนิสัยของผู้ฟังคนเดียว หรอื กลุ่มผู้ฟังขนาดเล็ก จึงเหมือนมีแนวทางการภาวนาหลายอย่างที่ ทรงแนะนำให้สาวกปฏบิ ัติ เช่น อานาปานสติ กายคตาสติ เป็นต้น สว่ นสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรท่ีมีขนาด ยาวมากเป็นพิเศษ ประกอบไปด้วยหลายหมวดย่อย ดังนั้นสติปัฏฐานสูตรจึงเหมือนการรวบรวมแนวทางที่ เหมาะสมกับคนทุกจริตไว้ในพระสูตรเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งน้ัน ผู้ปฏิบัติอาจเลือกเอาหมวดใดหมวดหน่ึงท่ีถูก อธั ยาศัย ซึ่งการเลือกเจริญสติปัฏฐานเพียงหมวดเดียวกอ็ าจสามารถให้ผลทางปฏิบัติไดเ้ ช่นเดียวกัน เช่น ใน การเจริญอานาปานสตเิ พยี งอย่างเดียวก็สามารถทำใหก้ ารเจริญสติปัฏฐานทงั้ หมดครบสมบูรณไ์ ด้ หรือในกรณี พระอานนท์คืนสุดท้ายก่อนบรรลุธรรม ท่านเจริญกายคตาสติเป็นส่วนมาก ข้อนี้เป็นข้อยืนยันว่า แม้หมวด กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเพยี งหมวดเดียวก็สามารถทำให้บรรลุผลได้ ดังนั้นอาจสรุปไดว้ ่าการเจริญสติปัฏฐาน แต่ละหมวดเข้าประตูไหนก็ได้ หรือกองดินกลางส่ีแยก ที่ไมว่ ่าจะขับรถจากทางทิศใดก็ต้องกระทบกับกองดิน ดงั นั้นการเข้าถึงความมีสติ การเจริญสติปัฏฐานในหมวดใดหมวดหนึ่งหรือแม้กระทั่งหมวดย่อยหมวดใดหมวด หนง่ึ ก็ได้ ซึง่ แลว้ แต่ผู้ปฏบิ ัติจะเลือกปฏบิ ัติในแนวที่ตนถนัด สติปัฏฐาน เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา โดนสติปัฏฐานในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มักมีแนวโน้ม เป็นท้ังสมถะและวิปัสสนาในตัว คือเม่ือปฏิบัติแล้วมักนำไปสู่ความสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้ผู้ ภาวนาเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงได้ จึงสมมารถสรุปได้ว่า สติปัฏฐาน รวมทั้งการปฏิบัติแบบสมถะ และวิปัสสนาไว้ด้วยกัน บุคคลที่จะบรรลุธรรมไดอ้ าจใช้แนวทางเจริญสมถะนำหน้าวิปัสสนานำหน้าหรือควบคู่ กนั กไ็ ด้ สติปฏั ฐาน เปน็ ธรรมเครื่องมอื เกิดความสามัคคีพร้อมเพียงกันของพุทธบริษทั สตปิ ัฏฐานเป็นธรรมหมวด ทรี่ วบรวมแนวทางการปฏิบัตสิ ำหรับทกุ ๆคน ทุกๆจริต เอาไว้ในท่ีเดียวกันโดยเรียงร้อยกันเป็น ๔ หมวดใหญ่ ๒๑ หมวดย่อย ให้เหมาะกับอัธยาศัยของแต่ละคน สติปัฏฐาน๔ เหมาะสำหรับคน ๔ประเภทประเภท (๑) คนประเภทตณั หาจริตมีปัญญาไมแ่ กก่ ลา้ เหมาะกบั การเจริญกายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน (๒) คนประเภทตณั หา จริตมีปัญญาแก่กล้า เหมาะกับการเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๓) คนประเภททิฎฐิจริตมีปัญญาไม่แก่ กล้า เหมาะกับการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๔) คนประเภททิฏฐิจริตมีปัญญาแก่กล้า เหมาะกับการ เจริญธรรมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ผวู้ ิจัยได้ค้นคว้าคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้พบร่องรอยการกล่าวถึงจริตจำนวนมาก โดยพบใน พระไตรปิฎก คัมภีร์เนติปกรณ์ อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร คัมภีร์วิมุตติมรรค คัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์ อภิธรรมมัตถสังคหะ คัมภีร์ปรมัตถทีปนี ซึ่งมีการแบ่งจริตออกเป็น ๓ แนวทางใหญ่ๆ คือ (๑) แบ่งจริตเป็น ๖ ประเภท (๒) แบ่งจรติ เปน็ ๒ ประเภท (๓) แนวทางการแบง่ จริตอยา่ งอืน่
ภาคผนวก ๑๘๓ แนวทางการแบ่งจรติ ๖ ประเภท คือ (๑) ราคจริต (๒)โทสจริต (๓) โมหจริต (๔) วติ กจริต (๕) สัทธาจริต (๖) ญาณจริต หรือ พุทธิจริต พบหลักฐานในคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาเถรวาทดังน้ี (๑) พระไตรปิฎก (๒) คัมภีร์วิมุตติมรรค (๓) คัมภีร์วิสุทธิมรรค (๕) คัมภีร์อภิธรรมมัตถสังคหะ (๖) คัมภีร์ปรมัตถทีปนี ซึ่งใน พระไตรปิฎกใช้จรติ ในข้อท่ี๖ ว่า ญาณจริต ส่วนคัมภีร์อ่ืนๆใช้คำว่า พุทธิจริต ท้ังน้ีแนวทางในการแบ่งจริต ๖ นี้เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายมาก ซ่ึงในแต่ละคัมภีร์กล่าวถึงจริต ๖ ได้สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ โดยการกล่าวถึง จริต ๖ น้ัน มีจุดประสงค์ท่ีมุ่งเน้นไปสู่การเตรียมตัวเพื่อเลือกแนวทางการเจริญสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ เป็นหลักใหญ่ สำหรบั เรอ่ื งกรรมฐานทีเ่ หมาะสมในแตล่ ะจริต แนวทางการแบ่งจริตเป็น ๒ ประเภท คือ ตัณหาจริต และทิฏฐิจริต พบได้ใน (๑) คัมภีร์เนตติปกรณ์ (๒) อรรถกถา(มหาสติปัฏฐานสูตร) แนวทางการแบ่งจริตเป็น ๒ ประเภทน้ี มุ่งเน้นเพื่อการเจริญสติปัฏฐานเป็น หลัก โดยการแบ่งจริตและความแก่กล้าของปัญญาเพื่อเป็นเครื่องช่วยเลือกหมวดในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ นอกจากการพบจริต ๒ ในเนตติปกรณ์และ อรรถกถา(มหาสติปัฏฐานสูตร) แล้ว ผู้วิจัยได้ค้นพบร่องรอยของ ตณั หาจริต และและทิฏฐจิ ริตในคัมภีร์วิมุตติมรรค และคมั ภีรว์ ิสุทธิมรรค ได้กล่าวถึงตัณหา และทิฏฐจิ ริต ไว้ อีกหมวดหนึง่ โดยการนำไปรวมกนั กรรมฐานที่เหมาะสมกับจริต ๖ แยกตามคมั ภีร์ จริต พระสารบี ตุ ร วิมุตติมรรค วสิ ุทธิมรรค ราคจรติ อสภุ กรรมฐาน อสุภสญั ญา ๑๐ และ กายค อสภุ สัญญา ๑๐ และ กายคตาสติ ตาสติ ไม่ควรเจริญอปั ป ( และกสิณ ๖ อรปู ๔) มัญญา๔ โทสจรติ เมตตา ผู้มีอินทรีย์อ่อนควรเจริญ พรหมวหิ าร ๔ และ วณั ณกสิน ๔ อปั มัญญา ๔ หรอื วณั ณกสิณ ( และกสิณ ๖ อรปู ๔) ผมู้ อี นิ ทรีย์แก่ควรฝกึ อรูป กรรมฐาน แต่ไม่ควรเจริญ อสภุ สัญญา๑๐ โมหจรติ การเรยี น ไตถ่ าม ควรทำการศึกษาพระธรรม อานาปานสติ ฟงั ธรรมตามกาล ฟงั ธรรมตามกาล ควรอย่กู ับ ( และกสิณ ๖ อรปู ๔) การสนทนาธรรม อาจารย(์ หากมปี ญั ญาแล้ว) ตามกาล การอยู่ ควรฝึกมรณสติ และจตุ รว่ มกับครู ธาตุววัฏฐาน สทั ธาจริต อนุสสติ๔ พทุ ธา อนุสสติ๖ อนสุ สติ๔ นุสสติ ธรรมา (เพ่มิ จาคานุสสติ และ เทว (เพม่ิ จาคานุสสติ และ เทวตานสุ สติ) นสุ สติ สังฆานสุ ตานุสสต)ิ (และกสณิ ๖ อรูป ๔) สติ ศลี านุสสติ ญาณจริต นมิ ิตแหง่ วิปสั สนา จตุธาตุวัฏฏฐาน อาหาเร จตุธาตวุ ัฏฏฐาน อาหาเรปฏิกลู สัญญา หรอื พทุ ธิ มีอาการไมเ่ ทีย่ ง ปฏกิ ูลสัญญา มรณสติ และ มรณสติ และอุปสมานุสสติ จรติ เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อปุ สมานสุ สติ (และกสณิ ๖ อรปู ๔) อนตั ตา วติ กจรติ อานาปานสติ อานาปานสติ อานาปานสติ (และกสิณ ๖ อรูป ๔)
ภาคผนวก ๑๘๔ สำหรับแนวทางการเลือกกรรมฐานสำหรับการแบง่ จรติ เป็น ๒ ประเภทสามารถสรปุ ได้ จริต ปญั ญา แนวทาง กรรมฐานที่สมควร แก้ สญั ญาวิปลาส ตัณหาจรติ ไม่กลา้ สมถยานิก กายานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน (กาย)สวย ตัณหาจรติ กล้า สมถยานกิ เวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (เวทนา)สขุ ทิฏฐิจริต ไมก่ ล้า วิปัสสนายานกิ จิตตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (จิต)เที่ยง ทฏิ ฐจิ รติ กลา้ วปิ สั สนายานิก ธรรมานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน เปน็ ตัวตน การแจกแจงประเภทจริตกบั แนวทางการเจริญสติปฏั ฐาน ผู้วิจัยได้ค้นพบร่องรอยแนวทางการแบ่งจริตเป็นอย่างอื่นตามที่ต่างๆ ในพระไตรปิฎกอีกจำนวนมาก โดยอาจมวี ิธีการแบ่งบุคคลออกเป็นประเภทตา่ งๆดงั น้ี (๑) แบ่งตามธาตุ (๒) ประเภทการบรรลอุ รหันตผล (๓) ศักยภาพการเรียนรู้ (๔) อปุ นสิ ยั ท่คี วรรบั การฝกึ สอน (๕) ความรวดเร็วในการรบั รู้ภยั ในวัฏฏสงสาร หลังจากการศึกษาในเรื่องสติปัฏฐานและจริตในคัมภีร์แล้ว ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ความรู้นำมาสร้าง “ เครื่องมือจำแนกจริตท่ีเหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐาน” ซ่ึง เป็นชุดเคร่ืองมือ (Indicators) ชุดหนึ่ง ซ่ึงเป็น การวัดนามธรรมเพื่อจำแนกจริต และปัญญาเพื่อจำแนกลักษณะเฉพาะของปัจเจกชน โดยมีวัตถุประสงค์ใช้ใน การเลือกหมวดในการเจริญสติปัฏฐาน เคร่ืองมือจำแนกจริตจึงเป็นชุดตัวชี้วัดหลายๆตัวประกอบกันอัน ประกอบไปดว้ ยเครือ่ งชว้ี ัด ๓ ชดุ คือ (๑) เครื่องช้ีวัดจริต ๒ ประกอบไปด้วยตัวช้ีวัดหลายตัว เพื่อบ่งช้ีว่าผู้ถูกศึกษาเป็นจริตใด ในจริต ๒ ประเภท คือ ตัณหาจริต และทิฏฐจิ ริต (๒) เคร่ืองช้ีวัดจริต ๖ ประกอบไปด้วยตัวชี้วัดหลายตัว เพื่อบ่งช้ีว่าผู้ถูกศึกษาเป็นจริตใด ในจริต ๖ ประเภท คือ ราคจรติ โทสจริต โมหจรติ ศทั ธาจริต พุทธจิ รติ หรือญาณจรติ และ วิตกจรติ (๓) เคร่อื งช้ีวดั ปัญญา ประกอบไปด้วยตัวช้วี ัดหลายตัว เพ่ือบง่ ช้ีวา่ ผูถ้ ูกศึกษาเป็นประเภทผ้ทู ่ีมีปญั ญากล้า หรอื ปัญญาไมก่ ล้า ผ้วู ิจัยนำเคร่ืองมือจำแนกจริตดงั กล่าวพร้อมแบบจำลอง ไปทวนสอบกับผู้เช่ียวชาญผู้ทรงคุณวฒุ ิ จาก ๔ สำนัก ผู้วิจัยได้เลือกผู้ทรงคุณวุฒิได้ดังต่อไปน้ี (๑) สายยุบพอง-ผู้วิจัยเลือกพระราชสิทธิมุนี (๒) สายอานา ปานสติแบบสวนโมกข์-ดร. โสรีช์ โพธ์ิแก้ว (๓) สายพระธุดงค์กรรมฐาน - ดร. บรรจบ บรรณรุจิ(๔) สาย เจริญสติด้วยแนวทางการดูจิตแบบหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หรือ สายดูจิต-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช หลังจาก การทวนสอบเคร่ืองมือโดยการสัมภาษณ์แล้ว ผู้วิจัยได้นำมาปรับปรุงแบบจำลองน้ีเพ่ือช่วยเลือกกรรมฐาน สำหรับผูท้ ี่มีจริตต่างๆกนั โดยเร่ิมจากการนำผฝู้ ึกกรรมฐานมาดำเนินการจำแนกจริตโดยใช้ “เคร่ืองมือวัดจริต ๒”ก่อน และทำการทดสอบด้วย “เครื่องมือชวี้ ัดปัญญา” ซ่งึ หากเป็นตัณหาจริตมปี ัญญาไม่กล้า ให้เจรญิ สตปิ ัฏ ฐานในหมวด กายานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน หากเป็นตัณหาจริตมีปัญญา ให้เจริญสติปัฏฐานในหมวด เวทนานปุ ัสส นาสติปัฏฐาน และหากเป็นทิฎฐิจริตมีปัญญาไม่กล้า ให้เจริญสติปัฏฐานในหมวด จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และหากเป็นทิฎฐิจริตมีปัญญากล้า ให้เจริญสติปัฏฐานในหมวด ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อน่ึง ผู้ภาวนา ท้ังหลายแม้จะเป็นแนวสมถยานิกหรือวิปัสสนายานิกก็ตาม การท่ีสามารถสงบจิตให้มีสติและสัมมาสมาธิได้ ย่อยเป็นสงิ่ เก้ือหนุนกำลังปัญญา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีสมถกรรมฐานเป็นเคร่อื งหนุนนำ และต้องหาสม ถกรรมฐานเป็นท่เี หมาะสม โดยใช้ “ เคร่อื งชวี้ ดั จริต๖” ซ้ำอกี คร้งั หน่ึงเพ่ือแนะนำสมถกรรมฐานใหน้ ำไปเจริญ ควบคู่กับสติปัฏฐานดว้ ย หลังจากที่ได้แปลงตัวชี้วัดทั้งหมดท่ีได้มาเป็นแบบทดสอบสองชุด ชุดแรกใช้วัดจริต๒ และความแก่กล้า ของปัญญามีจำนวน ๑๔ ข้อ ชุดท่ี๒ ใช้วัดจริต ๖ มีจำนวน ๔๙ข้อ รวมท้ังส้ินมีจำนวน๖๓ ข้อ และนำ
ภาคผนวก ๑๘๕ แบบสอบถามนี้ไปหาค่าเที่ยงตรง (Validity) ของแบบทดสอบ ด้วยวิธกี ารทดสอบเป็นค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยผู้เช่ียวชาญ (Index of Item-Objective Congruence : IOC ) กับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ซ่ึงเป็นที่ ผู้ทรงคุณวฒุ ิดา้ นพระพุทธศาสนา และเป็นผู้มีความรเู้ ก่ียวกับเรือ่ งจรติ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้ค่าเฉล่ีย IOC= ๐.๘๖ หลังจากน้ันผู้วิจัยได้ปรับแบบทดสอบ ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ จึงถือว่าแบบสอบถามน้ี สามารถนำไปใช้งานได้จรงิ กล่าวโดยสรุปเครื่องมือจำแนกจริตท่ีเหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐานน้ี ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากองค์ ความรู้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาในเรื่องสติปัฏฐาน และเร่ืองจริต โดยได้นำเรื่องทั้งสองมาบูรณาการเช่ืองโยง กัน หาความสัมพันธ์ เพื่อเพื่อสร้างเครอ่ื งมือจำแนกจรติ ซ่ึงเครื่องมือดงั กลา่ วได้อาศัยหลักการว่าสตปิ ัฏฐาน ๔ แต่ละหมวดเหมาะสำหรับผู้ที่มีจริต และปัญญาแตกต่างกันออกไป โดยอาจสรุปได้ว่า (๑) คนประเภทตัณหา จริตมีปัญญาไม่แก่กลา้ เหมาะกบั การเจริญกายานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน (๒)คนประเภทตัณหาจรติ มปี ญั ญาแกก่ ล้า เหมาะกับการเจริญเวทนานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน (๓) คนประเภททฏิ ฐจิ ริตมปี ัญญาไม่แก่กลา้ เหมาะกบั การเจริญ จติ ตานุปสั สนาสติปัฏฐาน (๔) คนประเภททิฏฐิจริตมปี ัญญาแก่กล้า เหมาะกบั การเจริญธรรมานปุ ัสสนาสติปัฏ ฐาน อกี ทง้ั ผทู้ ม่ี ีตณั หาจรติ เหมาะสำหรบั แนวสมถยานกิ และผู้ท่ีมีตัณหาจรติ เหมาะกบั แนววิปัสสนายานิก เพ่ือตอบสนองต่อแนวทางการจำแนกจริตเพ่ือการเจริญสติปัฏฐาน ผู้วิจัยจึงออกแบบเคร่ืองมือจำแนก จรติ ที่ประกอบไปดว้ ย แบบจำลอง และชุดเครอ่ื งมือ ๓ ชดุ คือ (๑) ชุดเครือ่ งมือวัดจรติ ๒ (๒) ชดุ เครื่องมือวัด ความแก่กล้าของปัญญา และ(๓) ชุดเคร่ืองมือวัดจริต ๖ โดยชุดเครื่องมือ ๒ ชุดแรกออกแบบเพ่ือใช้เลือก หมวดของสติปัฏฐาน สว่ นชุดที่ ๓ เพื่อเลือกสมถกรรมฐานที่เหมาะสมไว้เจริญควบคู่กันไป หลังจากน้ันได้ทวน สอบเครื่องมือผู้เชี่ยวชาญ และนำข้อคิดเห็นมาปรับปรุงเครื่องมือ และสร้างเป็นแบบทดสอบพร้อมกับการหา ค่าความเที่ยงตรงด้วยค่า IOC ชุดเครื่องมือจำแนกจริต และแบบทดสอบนี้สามารถนำไปใช้ในการจำแนกจริต เพือ่ การเจรญิ สตปิ ฏั ฐานได้
ภาคผนวก ๑๘๖ รหัส ๔๓– ๕๔ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวทิ ยานิพนธ์ ช่อื วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาธมั มานปุ สั สนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท ผวู้ จิ ัย (A Study of Dhammanupassana in Theravada Buddhism) ปริญญา พ.ท. กปั นาท พุทธปวรางกูร ปี พุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๕๔ ๑. เพือ่ ศึกษาธัมมานปุ ัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท การทบทวน ๒. เพ่อื ศกึ ษาวธิ กี ารเจรญิ ธมั มานปุ ัสสนาในพระพุทธศาสนา เอกสารและ ๓. เพ่อื ศึกษาความสำคญั และผลจากการเจริญธัมมานุปสั สนาเพื่อประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวนั งานวิจัยที่ ๑. ธมั มานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท ไดแ้ ก่ ความหมายของธมั มนานุปสั สนา ลักษณะของธัมมนา เก่ียวขอ้ ง นปุ ัสสนา จดุ ม่งุ หมายของการแสดงธัมมนานปุ ัสสนา สตปิ ัฏฐานท่มี คี วามสัมพนั ธ์กบั ธมั มนานุปัสสนา นิยามศัพท์ ๒. วิธกี ารเจริญธมั มนานุปัสสนาในพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ การเตรยี มตัวในการเจรญิ ธัมมานุปสั สนา การ วธิ ดี ำเนินงาน เลอื กสถานที่การเจริญในธัมมานุปัสสนา วิธีการเจริญธัมมานุปัสสา ธรรมสำหรบั สนบั สนุนการเจริญธมั ม วิจยั นานุปัสสนา ธรรมท่ีเป็นอปุ สรรคในการเจรญิ ธัมมนานปุ ัสสนา ๓. ความสำคัญและผลท่ีเกิดจากการเจริญธัมมานุปัสสนาเพ่ือประยุกต์ในชี วิตประจำวัน ได้แก่ สรปุ ผลการวจิ ยั ความสำคัญและผลของการเจริญธัมมนานุปัสสนา ผลท่ีทำให้เกิดสมถะและวิปัสสนา การประยุกต์ธัม มานุปสั นามาใช้ในชวี ิตประจำวัน (ปฏิบัตดิ ้วยตนเอง ปฏบิ ตั ิในครอบครัว ประยกุ ตใ์ ช้กบั การศึกษา) ๑. ธัมมานุปัสสนา หมายถึง ปฏิบัติวิปัสสนา บำเพ็ญวิปัสสนา ฝึกอบรมปัญญา โดยพิจารณาธรรม คือ รูปธรรมและนามธรรมท้ังหมดแยกออกเป็นขันธ์ๆ กำหนดด้วยไตรลักษณ์ว่าไม่เที่ยว เป็นทุกข์ เป็น อนตั ตา ๒. สตปิ ัฏฐาน หมายถึง หลักการและวิธปี ฏิบตั ธิ รรมของพระพทุ ธศาสนาเพ่ือดับทุกข์ บรรลุนิพพาน โดยใช้ ความเพยี ร สติ สมั ปชัญญะ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ๓. การเจรญิ ธมั มานุปัสสนา หมายถึง พจิ ารณาธรรมนส้ี ักแตว่ า่ ธรรมไมใ่ ชส่ ตั วบ์ คุ คล ตวั ตน เรา เขา ๔. ผล หมายถึง ผลแห่งกุศล ส่ิงท่ีนำผลมาให้ หรือคุณท่ีไหลออกมาจากบุญกุศลหรือความดีท่ีบุคคลได้ กระทำ การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) มุ่งเน้นศึกษาธัมมานุปัสสนาใน พระพุทธศาสนาเถรวาท ศึกษาวิธีการเจริญธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท และความสำคัญและ ผลจากการเจริญธัมมานุปัสสนาเพ่ือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ซ่งึ ศึกษาจากเอกสาร ต่อไปน้ี (๑) เอกสาร ขั้นปฐมภูมิ คือ พระไตรปิฎกฉบัยมหาจุฬาเตปิฎกํ พุทธศักราช ๒๕๐๐ พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับเฉลิม พระเกียรติพระนางเจ้าสิริกิติ์ พุทธศักราช ๒๕๓๙ (๒) เอกสารขันทุติยภูมิ คือ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ปกรณว์ เิ สส รวมทง้ั ตำราวชิ าการ สื่ออเิ ล็กทรอนิกส์และงานวิจัยทีเ่ กีย่ วขอ้ ง การศึกษาวจิ ยั เร่อื ง ธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยทำการศกึ ษาตามวตั ถปุ ระสงค์การวิจยั ใน ๓ ประการ ได้แก่ (๑) ธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท (๒) วิธีการเจริญธัมมานุปัสสนาใน พระพทุ ธศาสนา (๓) ความสำคญั และผลจากการเจริญธัมมานุปัสสนาเพ่ือประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวนั ดงั นี้ (๑) ธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท การศึกษาธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท สรปุ ได้ดังน้ี (๑) ความหมายของธัมมานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นธรรมตามความเป็นจริง เช่น ให้ภิกษพุ ิจารณาเห็น
ภาคผนวก ๑๘๗ ธรรมท้ังหลายทั้งกายนอกตน พิจารณากายภายในตน และพิจารณาทั้งภายนอกตนและกายภายในตน ถึงความเกิดข้ึนและดับไปอย่างชัดเจนมีท้ังหมด ๕ หมวด คือ (๑)นีวรณ์ (๒)ขันธ์ (๓)อายตนะ (๔) โพชฌงค์ (๕)สัจจะ เพ่อื ละวิปลาสทีย่ ึดถอื ว่าเปน็ อัตตา เพอื่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสีย (๒) ลักษณะของธัมมานุปัสสนา สรุป ๕ ลักษณะคือ (๑) นีวรณ์ ๕ คอื เคร่ืองก้ัน ขัดขวางไมใ่ ห้บรรลุความดี (๒) ขันธ์ ๕ คือ ทรงสอนให้รู้จักขันธ์ ความเกิดขึ้นแห่งขันธ์ (๓) อายตนะ ๑๒ คอื การเชื่อมโยงระหว่าง อายตนะภายนอกและอายตนะภายใน (๔) โพชฌงค์ ๗ คอื องค์แห่งธรรมอันเปน็ ปัจจัยอุดหนุนใหต้ รัสรู้ หรือธรรมอนั สูงสุด (๕) อริยสัจ ๔ คือ การเห็นแจ้งตามความเปน็ จริงว่านท้ี ุกข์ น้ีเหตุให้เกดิ ทุกข์ น้ีความ ดับทกุ ข์ นี้ทางให้ถงึ ความทุกข์ (๓) จุดมุ่งหมายของการแสดงธัมมานุปัสสนา คือ ก็เพื่อการตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมหรือเป็นผู้พิจารณา เห็นธรรมในธรรมอยู่เพ่ือให้เกิดปัญญารู้ตามความเป็นจริงมี ๓ วัตถุประสงค์คือ (๑)พิจารณาองค์ หมวดธัมมานุปัสสนาให้ย่อเพียง ๒ อย่าง คือ รูป-นาม หรือ ขันธ์ ๕ (๒) พิจารณาองค์หมวดธัมมา นุปัสสนาให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ (๓) พิจารณาองค์พิจารณาองค์หมวดธัมมานุปัสสนาก็เพ่ือทำอาสวะ (กเิ ลส, ตัณหา, อปุ ทาน) ให้สิน้ ไป (๔) สติปัฏฐานที่มีความสัมพันธ์กับธัมมานุปัสสนา คือ การมีสติต้ังไว้ที่ ๔ อย่าง คือ กาย เวทนา จิตและ ธรรม มีความเพียร มีสัมปชัญญะในการพิจารณาเห็นธรรมของหมวดธมั มานุปัสสนา คือ นวิ รณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสจั ๔ เพ่ือกำจัดอภชิ ฌาและโทมมนัสในโลกได้ สรุปรวมความหมายของ ธัมมานุปัสสนาในพุทธศาสนา คือ การมีสติพิจารณาเห็นธรรมดาตาม ความเป็นจรงิ ทั้งหมด ๕ หมวด คือ (๑) นีวรณ (๒) ขันธ์ (๓) อายตนะ (๔) โพชฌงค์ (๕) สัจจะ ย่อหมวดธัม มานุปัสสนา ให้เหลือเพียงลักษณะ รูป-นาม หรือขันธ์ ๕ ก็เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงของกฎไตรลักษณ์ เพ่ือจุดมุ่งหมายเพื่อทำอาสวะ (กิเลส ตัณหา อุปทาน) ให้สิ้นไปและละวิปลาสที่ยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือเพื่อ กำจัดอภชิ ฌาและโทมนัสใหส้ นิ้ ไปน้นั เอง (๒) วิธีการเจริญธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนา จากการศึกษาวิธีการเจรญิ ธัมมานุปัสสนา ในพระพทุ ธศาสนา สรปุ ได้ดงั น้ี (๑) การเตรยี มตวั ในการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า ก่อนจะปฏิบัติเลือกสถานท่ีท่ี เหมาะสม เช่น สถานท่ี ปลอดโปร่ง ไม่มีเสียงรบกวน เปน็ ต้น และการปฏิบัติธรรมของหมวดธัมมานุปัสสนา ตั้งตัวตรง ดำรงสติ มนั่ กำหนดหายใจเข้า-ออก และพิจารณาตามหมวดของธัมมานุปัสสนา คือ ท้ัง ๕ หมวด คือ (๑) นวี รณ์ (๒) ขันธ์ (๓) อายตนะ (๔) โพชฌงค์ และ (๕) ทำอย่างน้ีจนกวา่ จิตสงบ แล้วจิตจะพัฒนาเห็นความจริง ตามหมวดธรรมท้ัง ๕ หมวด ขอธัมมานุปัสสนา ตามความเป็นจริง หลังจากที่จิตมีความสงบ จากน้ันก็ ให้แผ่เมตตาให้ตนเองก่อนและแผ่นให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย จนครั้นตอนในการเตรียมตัวในการ เจริญธมั มานปุ สั สนา (๒) การเลือกสถานท่ีในการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า เพื่อให้เกิดสภาวะรู้แจง้ ตามเป็นจริงขององค์ธรรม ของธัมมานุปสั สนา คือ การพิจารณาเหน็ ธรรมควรเลอื กสถานทที่ ่ีประกอบด้วยองคค์ ุณ ๕ ประการ และ หลีกเว้นสถานที่อันไมส่ มควรตามท่กี ลา่ วแล้วขา้ งต้น (๓) วิธีการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า การพิจารณาให้เห็นธรรมในหมวดธรรมทั้ง ๕ ประการ ดังนี้ คือ (นิวรณ์, ขันธ์, อายตนะ, โพชฌงค์, อริยสัจจ์) ว่าภายในของเรามีอยู่หรือเม่ือ (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ภายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชัดว่า (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ภายในของเรา ไม่มีอยู่ การเกิดขึ้นแห่ง (นิวรณ์ ขนั ธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ท่ียังไม่เกิดขึ้นมีไดด้ ้วยเหตุใด ก็รู้ชัด เหตุน้ัน การละ (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ท่ีเกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุนั้น
ภาคผนวก ๑๘๘ และ (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อรยิ สัจจ์) ท่ีละไดแ้ ลว้ จะไมเ่ กดิ ขึ้นต่อไปอกี ด้วยเหตุใด ก็รเู้ หตุน้ัน ด้วยวิธีการนี้ ภกิ ษพุ ิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายนอก อยู่ หรอื พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในท้ังภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในธรรมอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในธรรมอยู่ หรอื พิจารณาเห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมและเหตุดับใน ธรรมอยู่หรือว่า ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “ธรรมมีอยู่” ก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญญาณ เจริญ สติเท่านัน้ ไมอ่ าศัย (ตัณหาและทฎิ ฐิ) และไม่ยดึ มน่ั ถอื มัน่ อะไรๆ ในโลก (๔) ธรรมสำหรับสนับสนุนการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า ผู้ปฏิบัติธรรมหรือจะทำอะไรทำสิ่งต่างๆ ให้ สำเร็จ เบื้องต้นจะต้องมีฉันทะ คือ ความพอใจในสง่ิ นั้นเสียก่อน เม่ือมีความพอใจแล้ว การขวนขวายใน การที่จะได้มาซ่ึงสิ่งนั้นก็จะตามมา แม้ในการปฏิบัติตามหลักธรรมของธัมมานุปัสสนาก็เช่นเดียวกัน ผู้ ปฏิบัติจะต้องปลูกฉันทะหรือศรัทธา ให้มีอัธยาศัยรักในการปฏิบัติ แล้วมีความขวานขวาย การมีใจจด จ่อ และการใช้ปัญญาไตร่ตรองในหมวดของธัมมานุปัสสนา เช่น ขันธ์ อายตนะ เป็นต้น ก็จะตามมา ฉะน้นั การมีอทิ ธบิ าทในการปฏิบตั นิ น้ั ถือวา่ มคี วามสำเร็จในกิจทกุ อย่างทจ่ี ะทำใหเ้ กดิ ขน้ึ (๕) ธรรมท่ีเป็นอุปสรรคในการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการนี้เป็นตัวการสำคัญท่ี ทำลายความสงบ เพราะทำใหจ้ ิตของคนเรามัวหมอง เป็นเครื่องเศร้าหมอง ผิดจากภาวะปกติไป เช่น ไม่ สามารถรู้สภาวธรรมของหมวดธัมมานุปัสสนา เป็นต้น การท่ีจะรู้เท่าทันสภาวะของหมวดธัมมานุปัสส นา มีนิวรณ์ ๕ เป็นต้น ต้องมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติคอยเฝ้าระวังใจไว้นิวรณ์เป็นศัตรูท่ีมองไม่ เห็นตัว สมั ผัสไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ล้ิน กาย แต่สมั ผัสได้ด้วยใจเท่านั้น กล่าวคือ นิวรณ์เกิดท่ใี จ รู้ด้วยใจ ละไดท้ ใ่ี จ ใจจึงเป็นสนามรบทส่ี ำคัญ เมือ่ รบชนะเดด็ ขาด คือพน้ จากทกุ ขจ์ ากภัย สรปุ รวมการเจริญธมั มานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาทก่อนลงมือเจริญในหมวดธัมมานุปัสส นาน้ัน ควรเลือกสถานท่ีในการเจริญธัมมานุปัสสนาให้เหมาะสมตามหลักอิทธิบาท ๔ และควรหลีกเลี่ยง อปุ สรรคท่ขี ัดต่อองค์ความรูข้ องหมวดธมั มานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นธรรม) และให้เขา้ ใจวธิ ีการเจริญธัม มานุปัสสนาการพิจารณาให้เห็นธรรมในหมวดธรรมทั้ง ๕ ประการ ((นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ให้เห็นสภาวธรรมตามเป็นจริงของหลักธรรมของธัมมานุปัสสนาก็เพื่อละ (ตณั หาและทิฎฐิ) และไม่ ยดึ มัน่ ถือมั่น (๓) ความสำคัญและผลจากการเจริญธัมมานุปัสสนาเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จาก การศึกษาความสำคญั และผลการเจริญธัมมานุปสั สนาเพอื่ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน สรปุ ได้ ดงั นี้ (๑) ความสำคัญของการเจริญธัมมานปุ ัสสนา พบว่า หลักการปฏิบัติแบบวปิ ัสสนาล้วนของสติปฏั ฐาน คือ การพิจารณาองค์ธรรม ของหมวดธัมมานุปัสสนา (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ด้วย วปิ สั สนาญาณ เป็นการหยง่ั รู้สภาวะ รู้แจง้ รชู้ ดั รเู้ หตุ รู้ผล รู้ผดิ รถู้ ูก ดหี รอื ชั่ว รูเ้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ (๒) ผลท่ีทำให้เกิดสมถะและวิปัสสนา พบว่า ก็เพราะปฏิบัติตามหมวดธรรมของธัมมานุปัสสนา (นิวรณ์ ขนั ธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อรยิ สัจจ์) ยกหวั ข้อธรรมข้อใดข้อหนงึ่ ของหมวดธัมมานปุ ัสสนามา เพ็งพินติ ให้ ตงั้ ม่ันเป็นหนึ่งจนสงบ เป็นสมถะแล้ว หลงั จากน้ันถอนจิตมาพจิ ารณาดว้ ยวิปัสสนา พิจารณาใหเ้ ห็นจริง เช่น รูแ้ จ้งในหมวด (นวิ รณ์ ขนั ธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อรยิ สจั จ)์ ตามเป็นจรงิ ที่อยู่ในหมวดธัมมานุปัสสนา จติ จงึ จะหลุดพ้นได้จรงิ หมายถงึ วมิ ุตติขั้นสูงสุดท่ีสมบูรณ์ส้ินเชิง แต่การท่ีปัญญาวมิ ุตติมาควบคู่กับเจโต วิมตุ ติ (๓) การประยุกต์ธัมมนุปัสสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน พบว่า ตนเองต้องศึกษาหมวดของธัมมานุปัสสนา (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ให้เข้าใจแจ่มแจ้งเสียก่อนจึงจะนำไปประยุกต์ใช้กับตนเอง ครอบครัว และในสงั คม
ภาคผนวก ๑๘๙ ส รุ ป ร ว ม ค ว า ม ว่ า ค ว า ม ส ำ คั ญ แ ล ะ ผ ล จ าก ก าร เจ ริ ญ ธั ม ม านุ ปั ส ส น า เพื่ อ ไป ป ร ะ ยุ ก ต์ ใช้ ใน ชวี ติ ประจำวัน ให้การพจิ ารณาองคธ์ รรมของหมวดธัมมานุปสั สนา (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ให้เข้าใจแล้ว นำไปประพฤติเพื่อให้เกิดสมถะเพื่อทำจิตให้สงบ และเจริญวิปสั สนา เพื่อให้รูแ้ จ้ง รู้ชัด รูเ้ หตุ รู้ ผล รผู้ ดิ รถู้ กู ดีหรือชวั่ ร้ตู ามความเปน็ จริง จึงนำไปใช้กับตน ครอบครัวและสังคม
ภาคผนวก ๑๙๐ รหสั ๔๔–๕๔ แบบบันทกึ ขอ้ มลู งานวิทยานิพนธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ ศึกษาปญั ญาเจตสิกกับการพัฒนาสัมปชญั ญะในการปฏิบัตวิ ปิ สั สนาภาวนา ผู้วจิ ยั (The Study of wisdom of mental Object (paññācetasika and the Development of clear ปริญญา comprehension (sampajañña) the in insight meditaion) ปี พยงุ พุ่มพวง วตั ถปุ ระสงค์ พทุ ธศาสนาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าวปิ ัสสนาภาวนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย การทบทวน ๒๕๕๕ เอกสารและ ๑. เพ่ือศึกษาหลกั ปัญญาและปัญญาเจตสิกธรรมในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท งานวิจัยที่ ๒. เพือ่ ศึกษาหลกั สัมปชญั ญะทีม่ าในคมั ภรี ์พระพทุ ธศาสนาเถรวาท เก่ียวขอ้ ง ๓. เพ่อื ศกึ ษาความสัมพันธร์ ะหว่างปัญญาเจตสกิ กับการพัฒนาสมั ปชญั ญะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๑. ปญั ญาและปญั ญาเจตสิกที่มาในคัมภีร์พระพุทธสาสนาเถรวาท ไดแ้ ก่ นิยามความหมายและไวพจน์ นยิ ามศัพท์ ของปัญญาและปัญญาเจตสิก เจตสิกธรรม (ความหมายของเจตสิก ลักขณาทิจตุกกะของเจตสิก ประเภทของเจตสิก กิจหน้าท่ีและความสาคัญของเจตสิก) ปัญญาเจตสิกธรรม (ความหมายปัญญา เจตสิก ลักขณาทิจตุกกะของปัญญาเจตสิก ประเภทของปัญญา ระดับของปัญญา กิจหน้าท่ีของ ปัญญาเจตสิก ความสาคัญของปัญญาเจตสิก) กระบวนการเกิดปัญญาและปัญญาเจตสิก (กระบวนการรับรู้อารมณ์ กระบวนการเกิดความรู้ ปัญญา ๓ ) ปัญญาท่ีมาในพระสูตรอรรถกถา ฎีกา ตาราวิชาการต่าง ๆ (ปัญญาที่มาในพระสตู ร ปัญญาทมี่ าในคมั ภีร์วสิ ุทธิมรรค ปญั ญาท่มี าในตา ราวชิ าการตา่ ง ๆ) ๒. สัมปชัญญะท่ีมาในคัมภีร์พระพุทธสาสนาเถรวาท ได้แก่ ความหมายและไวพจน์ของสัมปชัญญะ ลักขณาทิจตุกกะของสัมปชัญญะ ประเภทของสัมปชัญญะ กิจหน้าท่ีและความสาคัญของสัมปชัญญะ สัมปชัญญะที่มาในพระสูตรและตาราวิชาการต่าง ๆ (สัมปชัญญะท่ีมาในพระสูตร สัมปชัญญะท่ีมา อรรถกถาตาราวิชาการต่าง ๆ ) ๓. ปัญญาเจตสิกกับการพัฒนาสัมปชัญญะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ความหมายวิปัสสนา (ความหมายของวิปัสสนาตามหลักสัททนัย ความหมายของวิปัสสนาตามหลักอัตถนัย วิปัสสนาใน ความหมายของนักปฏิบัตแิ ละนักวชิ าการ) สติปัฏฐาน ๔ (ความหมายของสติปัฏฐาน ประเภทของสติ ปัฏฐาน อารมณ์ของสติปัฏฐาน) การพัฒนาสัมปชัญญะ (การพัฒนาสัมปชัญญะตามทางทวาร ๖ การพัฒนาสัมปชัญญะในอิริยาบถใหญ่ การพัฒนาสัมปชัญญะในอิริยาบถย่อย ความสัมพันธ์ระหว่าง ปญั ญาเจตสกิ กับสมั ปชญั ญะ การพัฒนาปญั ญาเจตสิกกบั สมั ปชัญญะ) ๑. ปญั ญาเจตสกิ หมายถงึ ธรรมที่ประกอบกับจิต,อาการหรือคุณสมบตั ติ า่ ง ๆของจติ ไดแ้ ก่ความรอบรู้ ความหย่งั รเู้ หตผุ ล ความรู้จกั คิดพิจารณาความเข้าใจสภาวะของส่งิ ทั้งหลายตามความเป็นจรงิ และรจู้ กั แกไ้ ขปฏิบตั ิจัดการตา่ ง ๆ ๒. ปัญญินทรีย์ หมายถึง ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนด หมาย ความเข้าไปกาหนด ความเข้าไปกาหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะท่ีฉลาด ภาวะท่ีรู้ละเอียด ความรู้ อย่างแจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเคร่ืองทาลายกิเลส ปัญญา เคร่ืองนาทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ดี ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญาปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญา เหมอื นศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคอื ปัญญา แสงสว่างคือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ในสมัยน้ัน น้ีชื่อว่า ปัญญิ
ภาคผนวก ๑๙๑ วิธีดำเนินงาน นทรีย์ วจิ ยั ๓. สัมปชัญญะ หมายถึง ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกาหนด สรปุ ผลการวิจยั หมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะท่ีรู้ละเอียดความรู้ อย่างแจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญปัญญาเหมือนแผ่นดินปัญญาเคร่ืองทาลายกิเลส ปัญญา เครื่องนาทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ดี ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ปัญญา เหมือนศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่าง คือ ปัญญา ปัญญาเหมือน ประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรมสัมมาทิฏฐิ ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สัมปชัญญะท่ีเกิดข้ึนในสมัยนั้น สัมปชัญญะ ความรู้ตัว, สานึกตระหนักชัดด้วยปัญญา มี ๔ ได้แก่ ๑. สาตถกสปั ชญั ญะ ๒. สปั ปายสัปชญั ญะ ๓. โคจรสมั ปชัญญะ ๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ ๔. วปิ ัสสนา หมายถึง ปัญญา กิริยาท่ีรู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจยั ธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะ ท่ีฉลาดภาวะท่ีรู้ละเอียด ความรู้อย่าง แจม่ แจ้ง ความค้นคดิ ความใคร่ครวญปัญญาเหมือนแผ่นดนิ ปัญญาเคร่ืองทำลายกิเลส ปัญญาเคร่ืองนา ทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ดี ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญาปัญญินทรยี ์ ปัญญาพละ ปัญญาเหมือนศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่างคือปัญญาปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือน ดวงแก้ว ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่าวิปัสสนาที่เกิดข้ึนใน สมัยนั้น ๕. วปิ ัสสนาภูมิ ๖ หมายถึง ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรยี ์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ ซ่ึงเม่ือกล่าวโดยย่อแล้ว วิปัสสนาภูมิ ๖ ก็ได้แก่ นามกับรูป และภูมิท้ัง ๖ นี้ เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา หรอื เป็นกรรมฐานของวิปัสสนา หรอื เป็นธรรมทอี่ บรมเพอ่ื ให้เกดิ ปัญญา เปน็ การวิจัยเชงิ เอกสาร ดังน้ี (๑) ระเบยี บวิธีวิจยั เป็นการศึกษาวิจัยเชงิ เอกสาร ศกึ ษาเอกสารขั้นปฐมภูมิ ได้แก่ ศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย โดยวิธีการสืบค้นข้อมูลที่มีปรากฏเป็นหลักคำสอนเร่ือง\"การ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามแนวทางสติปัฏฐาน๔\" และหมวดธรรมอื่นๆ ที่เก่ียวข้องซึ่งเป็นข้อมูลเบ้ืองต้น ศึกษาเอกสารขั้นทุติยภูมิ ได้จากการสืบค้นคัมภีร์อรรถกถาฎีกา และ ปกรณ์วิเสส ท่ีขยายความตาม พระไตรปิฎกให้กระจา่ งขึ้นรวมทง้ั เอกสารงานวิจัยวิทยานพิ นธ์ ตาราง และวารสารอ่ืนๆ ที่เกีย่ วขอ้ ง (๒) วิธี การศึกษา การศึกษาเอกสารปฐมภูมิและทุติยภูมิ ตามหัวข้อเร่ือง และค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง ว่ามีปรากฏอยู่ ณ ท่ีใดบ้างแล้วนาข้อมูลท่ีได้มาประมวลรวบรวมเรียบเรียง ตามลาดับความสำคัญก่อน หลัง พร้อมท้ังกำหนดท่ีมาของข้อมูลเหล่าน้ัน โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการสืบกลับหาแหล่งที่มาของข้อมูล เหล่านั้น ในกรณีที่ข้อมูลระดับปฐมภูมิมปี รากฏแต่ไมช่ ัดเจนพร้อมนำข้อมูลระดับทุติยภูมิเขา้ มาเสริม เพ่ือให้ เกิดความเหมาะสมและมีความสมบูรณ์ในเน้ือหานามารวมรวมจัดทาเป็นรูปเล่มตามรูปแบบวิทยานิพนธ์ รวบรวมเรยี บเรียงข้อมูลท่ีไดพ้ รอ้ มส่งมอบใหผ้ ู้เช่ียวชาญ จานวน ๓ ท่านตรวจสอบหาความถูกต้องและความ สมบูรณข์ องเนอ้ื หากรณที ่ีเนือ้ หาของข้อมูลไม่ถกู ต้อง นำกลับมาแก้ไขปรับปรุงและตรวจสอบจนถกู ตอ้ งต่อไป ด้านเน้ือหา ศึกษาเน้ือหาของปัญญา ปัญญาเจตสิก สัมปชัญญะและการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท อันได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา(ภาษาไทย) ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัญญาเจตสิกกับการพัฒนาสัมปชัญญะใน การปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนาภาวนา ผลการวิจัย ปัญญาเจตสิกธรรม คือ ธรรมชาติที่รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง เมื่อว่าโดยลักขณาทิ จตกุ กะ คือ มกี ารรู้แจ้งซง่ึ สภาวธรรมเปน็ ลักษณะ มกี ารกำจัดความมดื (อโมหะ) เปน็ กจิ มีความไมห่ ลง (ติดอยู่) เปน็ ผล มสี มาธิ เปน็ เหตุใกล้ ปัญญามหี ลายระดบั ต้ังแต่ สตุ ตมยปญั ญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา
ภาคผนวก ๑๙๒ โดยลำดับในการเจริญปัญญา ปัญญาที่เกิดข้ึนน้ันย่อมขจัดเสียซ่ึงทิฏฐิ กิเลส คือ ความเห็นผิด คิดว่ารูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นเรา แล้วก็ถูกทำลายด้วยวิปัสสนาญาณ จนเข้าไปแจ้งพระนิพพานสัมปชญั ญะตรงกับภาษาบาลีว่า สมฺปชาโน คือ ความรู้สึกตัว เป็นความรู้สึกตัวขณะกำหนดรู้ชัดซ่ึงอารมณ์รูปธรรมและนามธรรมท่ีเป็น ปัจจุบัน ได้แก่ สมั ปชัญญะ ๔ คือ ๑. สาตถกสัมปชัญญะ การกำหนดร้ชู ัดซ่งึ อารมณ์ท่ีเป็นประโยชน์และไม่ เป็นประโยชน์ ๒. สัปปายสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ชัดซ่ึงอารมณ์ที่เป็นสัปปายะ ๓. โคจรสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ชัดซึ่งอารมณ์กรรมฐาน ๔. อสัมโมหะสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ชัดซ่ึงอารมณ์ทุกขณะโดยไม่ หลง การเจริญสติปัฏฐานนั้น อาตาปี สัมปชาโน สติมา หรือ ความเพียร สัมปชัญญะ สติ ทำหน้าท่ีพิจารณา อารมณ์กรรมฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม (รูป-นาม) สัมปชาโน หรือสัมปชัญญะ มีองค์ธรรม ได้แก่ ปัญญาเจตสิก หรือ เป็นปัญญาท่ีในสัมปชัญญะ ๔ ทำหน้าท่ีเป็นเจตสิกเป็นธรรมอันเดียวกัน ด้วยอำนาจ ปัจจัยแล้วสัมปชัญญะก็ คือ ปัญญาเจตสิกแต่ยังมีกาลังอ่อนอยู่ เม่ือพัฒนาหรือมีกำลังแก่กล้าแล้ว จึงพัฒนา มาเป็นปัญญา ดังนั้นสรุปได้ว่า สัมปชัญญะเป็นช่ือของปัญญา คือ ความรู้สึกตัวท่ีเกิดข้ึนจากการกำหนดรู้รูป นามท่กี ำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเป็นอารมณ์ (อารมณ์ปัจจุบัน) ส่วนปัญญาหรอื ปัญญาเจตสกิ คือ ธรรมชาติ ที่เห็นแจ้งตามสภาวธรรมตามความเป็นจริง ธรรมทั้งสองทากิจหน้าท่ีเดียวกันคือ คือ รู้ปัจจุบัน รู้รูปนาม รู้ พระไตรลักษณ์ รมู้ รรค ผล นพิ พาน จากการวิจยั พบว่า ความสำคัญของปญั ญาเจตสิกกบั สัมปชัญญะ มีดงั น้ี การปฏิบัติวิปัสสนาปัญญาเป็นสิ่งจากเป็นที่ผู้ปฏิบัติ ต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักการและเหตุผลของ วปิ ัสสนาภาวนาให้ถูกต้องเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะทำไปอย่างผิด ๆ เพราะอาจจะเกิดความหลงผิดได้เช่น เรื่อง สติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะคือ ความรู้สึกตัวของผู้ปฏิบัติในขณะท่ีกำหนดรูปธรรมนามธรรม เรื่องความ รสู้ ึกตัวมีหลักอยู่ว่า ในขณะนั้น ผู้ปฏิบัติต้องมีตัวกรรมฐานคือ กาย เวทนาจิต ธรรม หรือ รูปกับนาม ซ่ึงเป็น ตัวถูกเพ่ง และตัวเพ่ง คือ อาตาปีสัมปชาโน สติมา ความรู้สึกตัวในการพิจารณารูปธรรมนามธรรม มี ความสำคัญย่ิงในการเจริญวิปัสสนาปัญญา และส่วนมากแล้วผู้ปฏิบัติมักนึกเอาเอง คิดเอาเอง แล้วเข้าใจว่า การนึกเอา คิดเอา น้ันเป็นความรู้สึกตัว เมื่อความรู้สึกตัวไม่เกิดข้ึนวิปัสสนาปัญญาก็เกิดขึ้นไม่ได้ เม่ือปัญญา เกิดขึ้นไม่ได้กไ็ ม่เรียกวา่ วปิ ัสสนาภาวนา ดังน้ันความรู้สกึ ตวั มมี ากเท่าไหร่ กไ็ ด้อารมณ์ปจั จุบันมากขน้ึ เท่านั้น ดว้ ยเหตนุ ส้ี มั ปชญั ญะหรือความรูส้ ึกตวั จงึ เป็นส่ิงสำคัญของการเจรญิ วิปัสสนาภาวนา เพ่ือให้ปญั ญาเกิด
ภาคผนวก ๑๙๓ รหสั ๔๕-๕๕ แบบบันทึกขอ้ มูลงานวิทยานพิ นธ์ ชอื่ วทิ ยานิพนธ์ การศกึ ษาเปรียบเทียบการปฏบิ ตั ิกรรมฐานของพระโพธญิ าณเถร(ชา สุภทฺโท) กับ พระธรรมวิสุทธมิ งคล (บัว ญาณสมปฺ นโฺ น) ผวู้ จิ ยั (A Comparative Study of Meditation Practice of Phrabhodiyanthera (Cha Subhaddo) and ปริญญา Phradhammavisuddhimongkon (Bua Nanasampanno) ) ปี นวิ ัฒน์ ชัยภาณเุ กยี รต์ิ วตั ถุประสงค์ พุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาวปิ ัสสนาภาวนา มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๒๕๕๕ การทบทวน ๑. เพอื่ ศึกษาการปฏิบัติกรรมฐานของพระโพธญิ าณเถร (ชา สุภทโฺ ท) เอกสารและ ๒. เพือ่ ศึกษาการปฏิบัตกิ รรมฐานของพระธรรมวิสทุ ธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) งานวิจยั ท่ี ๓. เพ่อื เปรยี บเทียบการปฏบิ ัตกิ รรมฐานของพระโพธญิ าณเถร (ชา สุภทฺโท) และพระธรรมวิสทุ ธิมงคล เกย่ี วขอ้ ง (บัว ญาณสมฺปนฺโน) นิยามศัพท์ ๑. ปฏิบัติกรรมฐานของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ได้แก่ ชีวประวัติและผลงานของพระ โพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แนวคำสอนเก่ียวกับการปฏิบัติกรรมฐานของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) (การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม หิริโอตตัปปะ สัจจะ ๔) แนวทางหรือวิธีการปฏิบัติ กรรมฐาน (การรักษาศีลาจารวตั รเป็นพื้นฐานของปฏิบัติกรรมฐาน วิธีการปฏิบัติในอริ ิยาบถใหญ่ ปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติ การพิจารณาจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การใช้สมถะ เป็นฐานแห่งวปิ ัสสนา ) ๒. การปฏิบัติกรรมฐานของพระธรรมวิสทุ ธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้แก่ ชีวประวตั ิโดยย่อของ พระธรรมวิสุทธิมงคล รูปแบบการปฏิบัติกรรมฐาน แนวคำสอนเก่ียวกับการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน (ความเป็นเหตุผลกันแห่งธรรม สัจจะ ๔) แนวทางหรอื วธิ ีการปฏิบัติกรรมฐาน (การ รักษาศีลาจารวัตรเป็นพ้ืนฐานของปฏิบัติกรรมฐาน วิธีการปฏิบัติในอิริยาบถใหญ่ ปัญหาและ วธิ ีการแก้ไขปัญหาในการปฏิบตั ิ การพจิ ารณาเวทนานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน) ๓. เปรียบเทียบแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) กับพระธรรมวิ สุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้แก่ คำสอนเกี่ยวกับการศึกษาปริยัติและการปฏิบัติ รูปแบบ การปฏิบัติกรรมฐาน การรักษาพระวินัยหรือศีลาจารวัตร การปฏิบัตใิ นอิริยาบถใหญ่ (อิริยาบถ ยืน อิริยาบถเดิน (เดินจงกรม) อิริยาบถน่ัง (นั่งสมาธิ)) ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาในการปฏิบัติ ความเหมือนและความต่าง (ความเหมือน ความแตกต่าง) ตารางแสดงการปฏิบัติกรรมฐานของ พระโพธญิ าณเถร (ชา สุภทโฺ ท) และพระธรรมวิสทุ ธิมงคล (บวั ญาณสมปฺ นโฺ น) ๑. การปฏบิ ตั ิ หมายถงึ วิธีการประพฤติปฏบิ ตั ิหรอื การลงมือปฏิบัติกรรมฐานจนกลายเป็นแนวทางการ ปฏิบตั ิของพระมหาเถระท้งั สองรูป ๒. กมั มัฏฐาน หมายถึง การปฏบิ ัติตามหลักสมถะและวิปัสสนา เพ่อื ทาให้เกิดสมาธิและปัญญา เป็น เหตใุ หร้ ะงบั ดับกเิ ลสและเครือ่ งเศรา้ หมองท้งั หลายได้ ๓. สตปิ ฏั ฐาน หมายถึง ท่ตี ้ังของสติซ่งึ ก็คือการใชส้ ตกิ าหนดร้อู ยทู่ กุ ขณะถึงอาการทเี่ กิดขึน้ ทางกาย เวทนาจิตธรรมเพ่ือให้ทันอารมณ์ปจั จบุ นั ๔. รปู แบบ หมายถึง แบบอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ในการปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อชา และหลวง ตามหาบวั
ภาคผนวก ๑๙๔ วธิ ีดำเนนิ งาน ๕. เปรียบเทียบ หมายถึง การนำรูปแบบ หลักคำสอน แนวทาง วิธีการปฏิบัติมาเทียบเคียงดูในด้าน วจิ ัย ต่าง ๆ ว่ามคี วามเหมือนและความแตกต่างกนั อย่างไร สรุปผลการวจิ ัย การวิจัยเชงิ เปรียบเทยี บ (A Comparative Study) โดยศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสาร (Documentary Investigation) ดังน้ี .(๑)รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานจากพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๓๙ .(๒) รวบรวมข้อมลู เกี่ยวกับการปฏิบตั ิกรรมฐาน ของหลวงพ่อชาท่ีปรากฏในหนังสอื ธรรมบรรยายของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ทั้งเอกสารวชิ าการ และงานวิจัยที่เกย่ี วข้อง .(๓) รวบรวมข้อมูลเก่ยี วกับการปฏิบัติกรรมฐานของหลวงตามหาบัวที่ปรากฏใน หนังสือธรรมบรรยายของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ทั้งเอกสารวิชาการและงานวิจัยที่ เก่ียวข้อง .(๔) ตีความ วิเคราะห์ และสังเคราะห์ประเด็นท่ีจะศึกษาเปรียบให้รอบด้านและครบถ้วน. (๕) ศึกษาเปรียบเทียบการปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อชาและหลวงตามหาบัวในประเด็นท่ีกาหนดไว้คือ รูปแบบ หลักคาสอน แนวทางหรอื วิธีการปฏบิ ัติกรรมฐาน .(๖) เปรยี บเทียบการปฏบิ ัติกรรมฐานของพระ มหาเถระทงั้ สองรูปในเชิงพรรณนา .ด้านเน้ือหา ศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบ แนวคำสอน แนวทาง/วธิ กี าร ปฏิบัติกรรมฐานของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) กับพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ว่ามี รูปแบบ แนวคาสอน แนวทาง/วิธีการปฏิบัติกรรมฐานเหมือนกันหรือไม่และมีความแตกต่างกันในด้าน ใดบา้ ง สรปุ ความได้ดังนี้ กรรมฐานเป็นงานสาหรับพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิและปัญญา เป็นเคร่ืองมือสำคัญใน การปฏิบัติเพ่ือดำเนินไปสู่จุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือ ความดับทุกข์ผู้ปรารถนาจะเข้าถึง จุดมุ่งหมายดังกล่าวจะต้องศึกษาและปฏิบัติกรรมฐาน การศึกษาเปรียบเทียบแนวทางการปฏิบัติ กรรมฐานของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) และ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ทำให้ได้ ทราบแนวคิดหลักคำสอนและวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตลอดถึงการนาหลักปฏิบัติกรรมฐานตามแนว พระไตรปิฎกมาประยกุ ต์ใช้ของท้ังสองท่าน หลวงพ่อชาไมไ่ ด้ละเลยปริยัติ แต่ในการปฏิบัตทิ ่านสอนให้ วางปริยัติไว้ก่อน เพราะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ หลวงพ่อให้ความสำคัญต่อการรักษาศีลาจารวัตร มาก เพราะศีลหรือพระวินัยเป็นวิถีสร้างชมุ ชนสงฆ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย อกี ทัง้ ยังส่งเสริมการปฏบิ ัติ กรรมฐานด้วย ท่านปฏิบัติโดยการบริกรรมว่า “พุทโธ” ซึ่งอาจทำให้เขา้ ใจว่าเป็นการปฏิบัติแบบสมถะ แตเ่ ม่ือได้ศกึ ษาแนวการปฏิบตั ิของท่านแลว้ จะเห็นวา่ มีลักษณะเหมือนอานาปานสติ เพราะท่านไม่ท้งิ สติ ในการปฏิบัติ แม้มผี ู้ถามว่าท่านปฏิบัติแนวไหน ท่านก็กล่าวว่าตอบยากเหมอื นกัน เพราะใช้ท้ังสมาธิและ สติ แต่กพ็ อสรุปไดว้ ่าท่านปฏิบตั ิธรรมแบบไม่แบ่งแยกประเภทธรรม เป็นการปฏิบัติแบบเช่ือมโยงหรือ สัมพนั ธ์กนั หรืออาจกลา่ วไดว้ ่าทา่ นใชส้ ติพัฒนาสมาธใิ ห้ก้าวไปสู่ปญั ญา ส่วนหลวงตามหาบัว มีทัศนะว่า จุดมุ่งหมายของการบวชที่แท้จริง คือ การปฏิบัติเพื่อพระ นิพพาน เมื่อได้ศึกษาปริยัติแล้วควรปฏิบัติตามด้วยจึงจะได้ช่ือว่าเป็นพระไตรปิฎกในหรือผู้มีตาดี พระ วินัยเปรียบเหมือนรั้วก้ันไม่ให้ข้ามหรือปลีกแวะ ส่วนพระธรรมเป็นทางปฏิบัติสายกลาง ในการปฏิบัติ ต้องมีความสำรวม พูดแต่น้อย ปฏิบัติให้มาก วิธีปฏิบัติในการยืน ให้ยืนตัวตรงในท่าปกติแล้วกำหนด สติต้ังแต่ปลายผมลงมาสะดือและปลายเท้าโดยลำดับ แล้วกำหนดตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปสะดือและปลาย ผมโดยลำดับ ทำเป็นอนุโลมและปฏโิ ลมอย่างน้ี, การเดนิ จรมกรม ทางเดินควรมีความยาวประมาณ ๒๐- ๒๕ เมตร ก่อนเดินให้ระลึกถึงคุณพระรตั นตรยั และผมู้ ีพระคุณก่อนแลว้ จึงเดินด้วยความสารวม กานดสติ ไว้ที่คาบริกรรม พุทโธ การนั่ง ให้น่ังตัวตรงสบาย ไม่บังคับกาย บริกรรม พุทโธ ด้วยความมีสติ, การ นอนและอิริยาบถย่อยอ่ืนๆ ก็ทำในลักษณะเดียวกันน้ี อุปสรรคของการปฏิบัติท่ีต้องแก้ไขหรือละมี หลายอย่าง เช่น ความกลัว นิวรณ์ อุปาทาน วิปัสสนูปกิเลส เป็นต้น ส่วนการประยุกต์ใช้สติปัฏฐาน ๔
ภาคผนวก ๑๙๕ ท่านอธิบายถึงการพิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติ จนสามารถข่มได้และพัฒนาไปสู่การเจริญ วิปสั สนากมั มฏั ฐานในท่ีสุด จากการศกึ ษาเปรยี บเทยี บคำสอนเก่ียวกับการปฏิบัติ พบวา่ มีลักษณะใกลเ้ คียงกนั เพราะท่านทั้ง สองถือปฏิบัติตามสายหลวงปู่มั่น เช่น เห็นว่าการศึกษาเฉพาะปริยัติอย่างเดียว จะทำให้เกิดความสงสัย ในคำสอนหรือเป็นเหตุใหถ้ กเถียงกนั ไม่อาจเขา้ ถงึ ธรรมได้ ดังน้ัน จึงต้องปฏิบัติควบคู่กนั ไปด้วย แม้การ ปฏิบัติตามหลักวิปัสสนาก็มลี ักษณะใกล้เคียงกัน วธิ ีการของหลวงพ่อชามีลักษณะเป็นอานาปานสติ คือมี สติกำหนดลมหายใจในอิริยาบถยืน ส่วนวิธีการของหลวงตามหาบัวมีลักษณะเหมือนกายคตาสติใน อิริยาบถยืน วิธีการเดินจงกรมของหลวงพ่อชาและหลวงตามหาบัวท่ีเหมือนกันคือ จะกำหนดกายคือ กริ ยิ าเดินหรือกำหนดพิจารณาบทธรรมกไ็ ด้ แต่วิธีของหลวงตามหาบวั มีความเป็นทางการกวา่ ในเชิงธรรม เนียมปฏิบัติ คือมีการประนมมือระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยและผู้มีพระคุณก่อน หลวงตามหาบัวมีการ กล่าวถึงการปฏิบัติในอริ ยิ าบถนอนดว้ ย แตไ่ ม่ไดส้ ่งเสริมการปฏิบัตใิ นอริ ิยาบถนี้ เพราะเป็นเหตุแห่งความ เกยี จคร้าน แต่หลวงพ่อชาห้ามปฏิบัติในอิริยาบถนอน ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาในการปฏิบตั ิ พบว่า หลวงพ่อชาท่านสอนเกี่ยวกับปัญหาการปฏิบัติในระดับพื้นฐานคือการกำหนดลมหายใจและความง่วง โดยเฉพาะความง่วงน้ันท่านสอนให้แก้ไขด้วยการปรับอินทรีย์ส่วนหลวงตามหาบัวสอนถึงปัญหาและวิธี แก้ปัญหาทั้งในระดับพ้ืนฐานและระดับสูง เช่น วิปัสสนูปกิเลส เป็นต้น ซ่ึงต้องแก้ไขด้วยการพิจารณาให้ เห็นด้วยปัญญาตามหลักไตรลักษณ์ หลวงพ่อชาปฏบิ ัตแิ บบเชื่อมโยงกันแหง่ องค์ไตรสิกขา มีลักษณะ เป็นอานาปานสติในรปู แบบการบรกิ รรมว่า พุทโธ เพราะ ใช้สติกำหนดลมหายใจและพิจารณาสภาวะ เพื่อยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ส่วนหลวงตามหาบัวมีจริตนิสัยไปในทางสมถะ ท่านฝึกสมาธิจนมั่นคงหนักแน่น และสามารถอยู่ในสมาธไิ ด้นาน ท่านมีความสุขอย่างย่ิงจากท่ีจิตใจไม่ฟุ้งซ่านและติดอยู่ในสมาธนิ านถึง ๕ ปี ไม่ก้าวหน้าสู่ข้ันปัญญาได้เลย จนกระท่ังได้รับการเตือนให้ละการติดสุขในสมาธิจากหลวงปู่มั่นท่านจึง ไดเ้ รม่ิ พิจารณาทางด้านปัญญาในท่ีสุด
ภาคผนวก ๑๙๖ รหสั ๔๖-๕๕ แบบบันทกึ ขอ้ มูลงานวิทยานิพนธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาหลกั การเจรญิ จตุรารกั ขกัมมัฏฐานในคัมภรี ์พทุ ธศาสนาเถรวาท ผวู้ ิจัย (A Study of the Principle of the Four Protections in Meditation ปริญญา ปี (Caturārakkhakammaṭṭhāna) in Theravāda Scriptures) วตั ถปุ ระสงค์ พระมหาอาคม สมุ งฺคโล (คณุ สถติ ) การทบทวน พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าวิปสั สนาภาวนา มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เอกสารและ ๒๕๕๔ งานวจิ ัยที่ ๑. เพอื่ ศึกษาหลกั จตรุ ารกั ขกัมมฏั ฐานในคัมภีร์พทุ ธศาสนาเถรวาท เกี่ยวข้อง ๒. เพือ่ ศึกษาหลักการเจรญิ จตุรารักขกัมมัฏฐาน เฉพาะหมวดเมตตาภาวนาในการปฏบิ ัติวิปัสสนา นยิ ามศัพท์ ภาวนา ๑. จตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ นิยามความหมาย ประเภทของจตุรา วธิ ดี ำเนนิ งานวิจัย สรุปผลการวิจยั รักขกัมมัฏฐาน จตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภีร์ (พระสูตรในพระไตรปิฎก . จตุรารกั ขกัมมัฏฐานใน คัมภรี ์) ๒. หลักการเจริญจตุรารักขกัมมัฏฐาน ได้แก่ การเจริญพุทธานุสสติ (วิธีการเจริญพุทธานุสสติ อานิสงส์ของการเจริญพุทธานุสสติ) การเจริญอสุภกัมมัฏฐาน (ความหมาย วิธีการเจริญอุท ธุมาตกอสุภกัมมัฏฐาน อานิสงส์ของการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน) การเจริญมรณานุสสติ (วิธีการ เจริญมรณานุสสติ อานิสงส์ของการเจริญมรณานุสสติ) การเจริญเมตตา (วิธีการเจริญเมตตา อานสิ งสข์ องการเจริญเมตตา) ๓. เมตตาภาวนาในการปฏิบตั วิ ปิ สั สนา ได้แก่ นิยามความหมายวปิ สั สนา อารมณ์วปิ ัสสนา การ เจริญวปิ สั สนาตามหลกั สตปิ ัฏฐาน เมตตาภาวนาในการเจรญิ วิปสั สนา ๑. กัมมัฏฐาน หมายถึง ฐานเปน็ ที่ต้ังของการงาน คอื งานฝึกอบรมจิต หรืองานกำจัดกิเลสออกจาก จิตใจ ๒. สมถะ หมายถงึ ความสงบ หากหมายถึงวิธีปฏิบัตกิ ็หมายถึง วิธีการทาจิตให้สงบได้แกก่ ัมมฏั ฐาน ๐ วิธี แตถ่ ้าหากหมายถึงตวั สภาวะ กแ็ ปลวา่ ความสงบ ได้แก่ สมาธิ ๓. วปิ ัสสนา หมายถึง ปัญญาเห็นแจง้ เห็นชัด รปู -นาม, อรยิ สัจ เห็นโดยอาการต่างๆ มเี หน็ ไตร ลักษณ์ ปฏจิ จสมุปบาท และปัญญาเห็นแปลกประหลาด (อศั จรรย์ในสิ่งท่ีได้เห็นในขณะปฏิบัติ) ๔. จตุรารักขกัมมัฏฐาน หมายถึง กัมมัฏฐานท่ีควรรักษาไว้เป็นประจำ หรือ กัมมัฏฐานสำหรับ อารกั ขาผู้ปฏิบัติมี อย่าง คือ พุทธานุสสติ การระลึกถึงคุณของพระพทุ ธเจ้า อสุภกมั มฏั ฐาน การ พิจารณารา่ งกายของเราให้เห็นเป็นของไม่ส่วยไม่งาม มรณานุสสติ การนึกถึงความตายอันจะมี แก่ตนเปน็ ธรรมดา การเจรญิ เมตตา การแผไ่ มตรีจิต คิดจะให้สัตวท์ งั้ ปวงเปน็ สุขท่วั หนา้ ได้ศึกษาคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท เก่ียวกับความหมายและความสำคัญของหลักจตุรารักขกัมมัฏฐาน ในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท โดยอาศัยข้อมูลในพระไตรปิฎก ฉบับ คือพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เฉลมิ พระเกยี รติ ความหมายของจตุรารักขกัมมัฏฐาน คือ จตุรารกั ขกัมมัฏฐาน เป็นคำสมาส แปลว่า กัมมัฏฐาน เป็นเครื่องรกั ษาปฏิบัติให้สงบระงบั ซึ่งควรเจริญเป็นนิตย์ ๔ อย่าง ได้แก่ ๑) พุทธานุสติ คือ ระลึก ถึงคุณพระพุทธเจ้าท่ีทำให้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ ๒) อสุภกัมมัฏฐาน คือ พิจารณาร่างกายตน และ ผู้อ่ืนใหเ้ ห็นเป็นของไม่งาม ๓) มรณานสุ สติ คือ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตนเป็นธรรมดา ๔) เมตตา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 552
Pages: