Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 03:57:25

Description: 58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

๑๓๖ อิริยาบถย่อยอยู่ในระดับปานกลางลดลง สรุปอินทรีย์๕ คือ วิริยินทรีย์(วิริยะ)คู่กับสมาธินท รีย์(สมาธิ)หลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในรูปแบบการเดินจงกรมของนิสิตผู้ปฏิบัติ วิปัสสนา กรรมฐาน ส่วนมากมี วิริยินทรีย์(วิริยะ)คู่กับสมาธินทรีย์(สมาธิ) อยู่ในระดับปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด ดังนี้ คือ ในระดับปานกลาง ได้แก่ ในการเดินจงกรมสามารถกำหนดการแยกรูป แยกนามออกจากกันได้ กำหนดเห็น “ตัวรู้ก่อน แล้วเท้าจึงเคล่ือนไปตาม” กำหนดเห็น“อาการ เบาอาการหนักของเท้า มีลักษณะเกดิ ข้ึนและดบั ไป” และกำหนดเห็น “อาการเบาอาการหนักของ เท้าแล้วมีความอิ่มเอมใจ”ในระดับน้อย ได้แก่ ในการเดินจงกรมสามารถกำหนดเห็น “แต่ความ ดับไปหรือหายไปหรือจบไปของอาการเบาอาการหนักของเท้า” กำหนดเห็น “ความกลัวในรูป นาม” กำหนดเห็น“โทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด”กำหนดเห็น “ความเบ่ือหน่ายในรูปนาม” กำหนดเห็น“ความอยากจะพ้นไปจากรูปนาม”กำหนดเห็น “ความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของรปู นามอย่างชัดเจน” ในระดับน้อยที่สุด ได้แก่ ในการเดินจงกรมสามารถกำหนดเห็น “ความ วางเฉยหรือใจที่สงบต่อรูปนามอย่างมีท่าที” กำหนด“ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ บริกรรม อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๒ ขณะ อนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๓ ขณะรวมกัน”หรือกำหนด “ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะอนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๒ ขณะรวมกัน” กำหนด“นิพพานมาเป็น อารมณ์” กำหนด“ความดับไปทางอนจิ จัง”หรือ “ความดบั ไปทางทกุ ขัง”หรือว่า “ความดบั ไปทาง อนัตตา” กำหนด“ความดับเงียบตอนสุดท้าย”และกำหนด“การหวนกลับพิจารณาถึงสภาวะท่ีตน เข้าสู่ความดับ” สรุป อินทรีย์๕ คือ สตินทรีย์(เร่ืองสติ)เป็นตัวกลางเชื่อมโยง สัทธากับปัญญา และวิริยะกับสมาธิให้เสมอกันในรูปแบบการกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถย่อยของนิสิต หลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนมากยังคงมีสตินทรีย์(สติ) อยู่ในระดับระดับปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสดุ ดงั น้ี คอื ในระดบั ปานกลาง ไดแ้ ก่ ในขณะเห็นรูปเป็นต้น สามารถกำหนดเห็น “ความวางเฉยเป็นต้น” กำหนดเห็น “ความอยากจะพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด” ในระดับ น้อย ได้แก่ ในขณะเห็นรูปเป็นต้น สามารถกำหนดเห็น “รูปท่ีเห็นและนามที่รู้เห็นออกจากกัน” กำหนดเห็น “รูปท่ีเห็นเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนามท่ีรู้” กำหนดเห็น “ความเกิด-ความดับ” กำหนด เห็น“ความดับไปอย่างเดียวของความวางเฉย เป็นต้น” ในระดับน้อยที่สุด ได้แก่กำหนดเห็น “ความน่ากลัวในการเวียนว่ายตายเกิด”กำหนดเห็น“โทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด” กำหนด เห็น“ความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด”กำหนด“ชวนะทั้ง ๗ ขณะ คือ บริกรรม อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๒ ขณะ อนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๓ ขณะรวมกัน”หรือกำหนด“ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะ อนุโลมญาณ คือบริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๒ ขณะรวมกัน” กำหนด“นิพพานมาเป็น อารมณ์”กำหนด“ความดับไปทางอนิจจัง” หรือ“ความดับไปทางทุกขัง”หรือว่า“ความดับไปทาง

๑๓๗ อนัตตา”กำหนด“ความดับเงียบตอนสุดท้าย”และกำหนด“การหวนกลับพิจารณาถึงสภาวะท่ีตน เข้าสู่ความดับ”ข้อสังเกต คือไม่มีผู้ที่สามารถจะเข้าถึงญาณ ตั้งแต่ญาณท่ี ๑๒–ญาณท่ี ๑๖ ได้เลย เพราะไม่มีคำตอบระดับมากที่สุดแม้แต่รายเดียว สรุปอินทรีย์๕ คือ สมาธินทรีย์(สมาธิ) คู่กับวิริ ยินทรีย์(วิริยะ)ในรูปแบบของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานคือการนั่งสมาธิของนิสิตผู้ปฏิบัติได้ ปรับอินทรีย์ให้สมดุลกันและเกิดญาณข้ึนตามลำดับ ส่วนมากนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมี สมาธินทรีย์(สมาธิ) คู่กบั วิริยนิ ทรีย์(วิริยะ) หลังการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานอยใู่ นระดับปานกลาง น้อย และนอ้ ยท่ีสดุ ดงั น้ี คือ ในระดบั ปานกลางไดแ้ ก่ ในขณะนง่ั สมาธิ กำหนดเหน็ “อาการพอง- ยุบเกิดขึ้นก่อน ใจจึงตามไปรู้ทีหลัง” กำหนดอยู่มีอาการคันเหมือนมีแมลงมาไต่ หรืออยากจะ ออกจากสังสารวัฏไม่อยากได้รูปนามอีก กำหนดอยู่การกำหนดไม่ค่อยสะดวกบางทีต้องพยายาม จนเหนอ่ื ยและอ่อนเพลีย ถึงจะพยายามไม่ทนั ปัจจุบัน กำหนดอยู่จะกำหนดได้คล่องแคล่ว ใจสงบ เงียบ ไม่มีเวทนา กำหนดอยู่เมื่อกำหนดไม่ทัน จะกำหนดรู้หนอกำหนดช้าลงเป็นธรรมดาอีกจะมี อาการเร็วขึ้นๆ กำหนดอยู่บริกรรมอุปจาร อนุโลมได้เกิดข้ึน ดับเงียบไปตอนแรกเป็นอารมณ์ ใน ระดับน้อย ได้แก่ในขณะนั่งสมาธิจะกำหนดเห็น “อาการพอง-ยุบ กับ ใจท่ีรู้อาการพอง-ยุบนั้น เปน็ คนละอยา่ งกัน” กำหนดเห็น“พอง-ยบุ เกิดดับเร็ว” หรอื แสงสวา่ งมากมายเต็มไปหมด หรือตัว เบา เป็นต้น” กำหนดเห็น“พอง-ยุบหายไปอย่างเดียว” กำหนดเห็นพอง-ยุบหายไปหมด “เกิดความกลัว” กำหนดเห็น “แต่ของไม่ดีหรือไม่เห็นอะไรมีแต่หายไปๆเห็นแต่รูปนามเป็นโทษ” กำหนดสังขารรูปนามได้เป็นอย่างดี“แต่รู้สึกใจแห้งแล้งหรือรู้สึกเบ่ือ”กำหนดอยู่จะมีอาการคัน เหมือนมีแมลงมาไตห่ รืออยากจะออกจากสงั สารวฏั ไม่อยากได้รปู นามอีก ในขณะน่งั สมาธิกำหนด อยู่ย่อมเห็นรูปนามแสดงโดยความเป็นทุกข์แล้วเข้าสู่มรรค ดับเงียบตอนกลาง มีนิพพานเป็น อารมณ์ ในระดับน้อยท่ีสุด คือ ในขณะน่ังสมาธิกำหนดอยู่ บริกรรม อุปจาร อนุโลมได้เกิดข้ึน ความดับเงียบไปตอนแรกเป็นอารมณ์ ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่ย่อมเห็นรูปนามแสดงโดย ความเป็นทุกข์แล้วเข้าสู่มรรค ดับเงียบตอนกลาง มีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะนั่งสมาธิ กำหนดอยู่ความดับเงียบตอนสุดท้ายเป็นอารมณ์ ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่จะพิจารณาเห็น กิเลสท่ีละได้แล้วและกิเลสที่ยังเหลืออยู่ ข้อสังเกตคือไม่มีผู้ท่ีสามารถเข้าถึงญาณ ตั้งแต่ญาณที่ ๑๒–ญาณท่ี ๑๖ ได้เลยเพราะไมม่ ีคำตอบระดบั มากทส่ี ุดแมแ้ ต่รายเดียวสงู สดุ ถึงญาณที่ ๑๑ ๔๓ [๔๔] สติปัฏฐานเป็นท้ังสมถะและวิปัสสนาโดยสติปัฏฐานหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏ ฐานเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัวคือเม่ือปฏิบัติแล้วมักนำไปสู่ความสงบแต่ในขณะเดียวกัน สามารถทำให้ผู้ภาวนาเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจรงิ ได้ สรุปได้ว่าสตปิ ัฏฐานรวมท้ังการปฏิบัติ ๔๓ อา้ งแลว้ , พระมหาบญุ เลิศ ธมฺมทสฺสี (โอฐส)ู , [รหัสแบบบันทึก ๕๐-๕๕].

๑๓๘ แบบสมถะและวิปัสสนาไว้ด้วยกันบุคคลที่จะบรรลุธรรมได้อาจใช้แนวทางเจริญสมถะนำหน้า วปิ สั สนานำหน้าหรอื ควบคูก่ ันได้๔๔ [๔๕] การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักของสติปัฏฐานสูตรในกายานุปัสสนา สติปัฏฐานเฉพาะในหมวดสัมปชัญญะบรรพเพื่อฝึกให้มีสติสัมปชัญญะคอยกำหนดรู้ในการ เคลอ่ื นไหวอิริยาบถย่อยต่างๆ เช่น การก้าว การถอย การแล การเหลียว การกิน การดมื่ หรือไม่ วา่ ตนจะอยู่ในอิริยาบถใดๆให้ทำความร้ตู ัวอยู่เสมอ เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดได้ละเอียดสมบูรณ์ การทำงานของสติในการพิจารณา รูป ส่วนที่เป็นการเคล่ือนไหวและนาม คือ จิต ที่ทำให้เกิดการ เคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆนั้น จะทำให้ผู้ปฏิบัติเห็นสภาวะท่ีเกิดข้ึนของรูปและนามตามความ เป็นจริง ผู้ปฏิบัติมีปัญญาเห็นประโยชน์เห็นโทษของการเคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆ มีปัญญาหย่ัง เหน็ ไตรลักษณ์ว่า รูปและนามท่ตี ามรู้ในปัจจบุ ันขณะนั้น ไม่เที่ยง เปน็ ทุกข์ ไม่ใชต่ วั ตน ละความ ยึดม่ันในร่างกาย ตัวตน บุคคล เราเขา จิตข้ึนสู่อารมณ์ของวิปัสสนาญาณและสามารถจะบรรลุ มรรคผล นิพพานได้ จากการศึกษาผู้วิจัยพบว่า สัมปชัญญะ คือ ความรู้ท่ัวพร้อม รู้รอบคอบ รูต้ ัวเสมอ รู้ท่ีถูกต้องสมบูรณ์และหลักในหมวดสัมปชัญญะบรรพในสติปัฏฐานสูตร คือ หลักการ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เป็นการฝึกให้มีสติ สัมปชัญญะในการกำหนดรู้ในอิริยาบถทุกๆ อิริยาบถ มีการก้าวไป ถอยกลับ การแล การเหลียว การเหยียด การคู้ การนุ่งห่ม การฉัน การดื่ม การถ่าย อุจจาระและถ่ายปัสสาวะ การเดินเป็นต้น การกำหนดในอิริยาบถเหล่าน้ีเป็นการฝึกให้เกิด สัมปชัญญะรู้เท่าทันอิริยาบถตามสภาพความเป็นจริง และเม่ือผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดระลึกรู้ได้ ละเอียดสมบูรณ์ทุกๆการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆประกอบด้วย การก้าวไป การถอยกลับ การ แลดู การเหลียวดู การค้เู ข้า การเหยยี ดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจวี ร การฉนั การดื่ม การ เคี้ยว การล้ิม การถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ การเดิน การยืน การนั่ง การนอน การต่ืน การพูด การนิ่งเป็นต้น การทำงานของสติในการพิจารณารูปและนามปรากฏชัดตามลำดับของวิปัสสนา ญาณ ๑๖ สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตบรสิ ุทธเ์ิ ป็นขน้ั ๆไป ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า บรรลุมรรค ผล นิพพานเป็นข้ันท่ีจิตบริสุทธิ์สิ้นเชิงปราศจากกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง ท้ังมวล เรียกว่า พระ อริยบุคคล คือ ผู้ประเสริฐ เพราะเป็นผู้มีจิตใจพัฒนาแล้วเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธ์ิเหนือปุถุชนคน สามัญชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติตามอริยมรรคที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสแสดงไว้ดีแล้ว สภาวะของรูป ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง สภาวะที่มคี วามแตกดับไปมีการสลายแปรปรวนเป็นลักษณะ มี การแยกออกจากกันได้เปน็ กิจ มีความเปน็ อัพยากตธรรมหรือมีความไมร่ ้อู ารมณ์เปน็ อาการปรากฏ ในปัญญาของบัณฑิตท้ังหลายและมีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ส่วน สภาวะของนามในทาง พระพุทธศาสนา หมายถึง สภาวะของจิตมีการน้อมเข้าไปสู่อารมณ์เป็นลักษณะมีการประกอบ กับวิญญาณและประกอบกันเองโดยอาการที่เป็นเอกุปปาทตาเป็นต้นเป็นกิจ มีการไม่แยกกันกับ ๔๔ อ้างแลว้ , สุเมธ โสฬศ, [รหสั แบบบนั ทกึ ๔๒–๕๔].

๑๓๙ จิตเป็นอาการปรากฏในปัญญาของบัณฑิตท้ังหลายและมีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ในขันธ์ทั้ง ๕ รูป ขันธ์เป็นรูป เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวญิ ญาณขนั ธเ์ ป็นนาม ในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา ตามหมวดสัมปชัญญะบรรพ อาการที่ปรากฏทางกายท้ังหมด เช่น อาการคู้ เหยียด แล เหลียวเป็นต้น จัดเป็นรูป สภาวะที่เข้าไปรับรู้อาการคู้ เหยียด แลเหลียว เรียกว่า นาม ทั้งรูป และนามนี้ ล้วนต้ังอยู่ในไตรลักษณ์ คือความไม่เท่ียงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา การเห็นสภาวะรูป และนามที่เกิดขึ้น เป็นการเหน็ ท่เี กิดในการปฏิบตั วิ ิปสั สนาในหมวดสัมปชัญญะบรรพ ผ้ปู ฏิบัติจะ พิจารณารู้สภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง สภาวะธรรมเหล่าน้ีจะปรากฏเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไป และเป็นการกำหนดรู้สภาวะธรรมท่ีเกิดข้ึนจากสมาธิหรือวิปัสสนาญาณ ตามลำดับขั้นของวิปัสสนาญาณท้ัง ๑๖ จะทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตบริสุทธ์ิเป็นข้ันๆไปจนถึงการบรรลุ มรรค ผล นิพพานในที่สุด สรุปความได้ว่าการปฏิบัติตามหลักของสติปัฏฐานสูตรโดยเฉพาะ ปฏิบัติในหมวดสัมปชัญญะบรรพแล้ว เราจะมีสติเป็นการรู้เท่าทันในการเคล่ือนไหวในอิริยาบถ ต่างๆ รู้สภาวธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เห็นสภาวะของรูปนาม สภาวะรูปและนาม เหลา่ นีจ้ ะปรากฏเกดิ ขน้ึ ตัง้ อยแู่ ละดับไป ผ้ปู ฏิบัตสิ ามารถละความยดึ มน่ั ในร่างกาย ตัวตน บุคคล เราเขา จิตข้ึนสู่อารมณ์ของวิปัสสนาญาณและสามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ชีวิตของผู้ ปฏิบตั ิได้รับความร่มเย็นกระแสแห่งธรรมและเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อ่ืนรวมถึงสังคมโดย สว่ นรวม การปฏิบตั ิวิปัสสนามีผลทำให้ศีล สมาธิ ปญั ญาเกดิ ขึน้ เกดิ มรรคผลนพิ พานได้๔๕ [๔๖] “โรค”ในคัมภรี ์พระไตรปฎิ กหมายถึง“ความเสยี ดแทง”บุคคลใดเปน็ โรค บคุ คลนั้น มีส่ิงหน่ึงส่ิงใดเสียดแทงอยู่ แบ่งประเภทโรคเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ได้แก่ โรคทางร่างกายและโรคทาง จิตใจ มีสาเหตุของการเกิดโรคอยู่ที่ ความผิดปกติของธาตุทั้ง ๔ ความเปล่ียนแปลงของอากาศ ความผิดปกติในแต่ละช่วงอายุท่ีมากข้ึน ถูกสัตว์ทำร้าย การรักษาด้วยวิธีที่ผิดความผิดปกติของ อาหารท่ีรับประทาน ความผิดปกติของจิตใจและผลของกรรมท่ีได้กระทำไว้โดยโรคทางร่างกาย สามารถรักษาให้หายได้ดว้ ยการใช้สมุนไพรและวิธกี ารทางเทคนคิ ส่วนโรคทางจิตใจนั้นต้องรักษา ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์และการบำเพ็ญเพียรทางจิตจึงจะหายแต่ท้ังน้ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ วา่ ผู้ป่วยบางรายถงึ แม้ไดร้ บั การรักษาอยา่ งเหมาะสม ได้รับประทานอาหารที่มคี ณุ ค่าและได้รบั การ ดแู ลเป็นอย่างดี ไมส่ ามารถรักษาโรคให้หายได๔้ ๖ [๔๗]กระบวนการฝึกฝนอบรมตนเองตามนัยแห่งสติปัฏฐาน ๔ มีข้อปลีกย่อยออกไปอีก เปน็ จำนวนมาก เช่น ในการพิจารณากายในกาย มีข้อแยกยอ่ ยต่างๆ อีก เชน่ อานาปานบรรพ ว่า ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าและออก โดยผู้ปฏิบัติพึงกำหนดจิตของตนให้รู้ลมเข้าและลม ๔๕ อ้างแล้ว, พระมหาญาณทัสน์ ฉฬภิญโฺ ญ (วงศ์กำภู), [รหัสแบบบันทึก ๓๔-๕๔ ] ๔๖ อา้ งแลว้ , พลกฤษณ์ โชตศิ ิริรัตน์,[รหัสแบบบนั ทึก ๔๑-๕๔]

๑๔๐ ออกไปตามสภาพจริงท่ีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะส้ันหรือยาว หยาบหรือละเอียด เป็นต้น จนกระท่ังจิตนั้น สามารถท่ีจะสงบระงับจากนิวรณ์ธรรมท้ังปวงได้ในชั่วขณะปฏิบัติ คือ เป็นการบ่ันทอนหรือ ทำลายนิวรณ์ธรรมให้สงบลงไม่ให้ส่งผลในทางลบต่อผู้ปฏิบัติ เชน่ เม่ือจิตสงบมีสมาธขิ ั้นใดข้ันหนึ่ง ยอ่ มเป็นฐานแห่งวิปัสสนากรรมฐานได้ชัดเจนย่ิงขึ้น เพราะวิปัสสนาญาณต่างๆ จะบังเกิดขึ้นไม่ได้ เลย หากจิตปราศจากสมาธิเป็นรากฐาน ฉะน้ันความสัมพันธ์ในการฝึกฝนอบรม จึงเป็นเร่ืองท่ี สำคัญยิ่งต่อผู้ปฏิบัติ เพราะเป็นบันไดให้เดินไปทีละก้าวไปตามขั้นตอน (Step-By-Step) จะ กระโดดข้ามไปปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานเลยทีเดียว ไม่มีเหตผุ ลท่ีจะกระทำได้อย่างนอ้ ยจติ จะต้อง มีพลังท่ีจะยืนหยัดอยู่ได้ คือ มีอิสระหรือกำลังพอท่ีจะพิจารณากาย เวทนา จิตและธรรมได้ ตามท่ีผปู้ ฏิบัตมิ ีความประสงค์ ส่วนข้ออื่นๆ คอื การพิจารณาเวทนา จิต และธรรม มีนัยท่ีคล้ายกัน คือ ให้วางจิตของตนไว้ในอารมณ์แห่งการพิจารณาน้ันๆ เป็นสำคัญ ไม่ให้ส่งจิตไปในสถานที่หรือ อารมณ์อ่ืนไม่ได้กำหนดให้พิจารณา เช่น หากจะพิจารณาธาตุ ๔ จิตจะต้องอยู่ในอารมณ์ของธาตุ ๔ คือ ดินน้ำ ไฟและลม เท่านน้ั ไมม่ ีอารมณ์อนื่ เข้ามาแทรกหรอื มาทำลายสมาธิได้๔๗ [๔๘] การสร้างตัวช้ีวัดใช้ความสมดุลของอินทรีย์ ๕ ไปเปรียบเทียบกับรูปแบบของการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ แบบท่ี ๑ เปรียบเทียบสัทธินทรีย์คู่กับปัญญินทรีย์ในรูปแบบของ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ การเดินจงกรม การน่ังสมาธิ การกำหนดทางทวาร ๖ และ อิริยาบถย่อย แบบท่ี ๒ วิริยินทรีย์คู่กับสมาธินทรีย์ในรูปแบบของการเดินจงกรม แบบที่ ๓ สติ นทรีย์เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงทั้ง ๒ คู่ให้สมดุลกันในรูปแบบการกำหนดทางทวาร ๖ และ อิริยาบถย่อยและแบบท่ี ๔ สมาธินทรีย์คู่กับวิริยินทรีย์ในรูปแบบของการนั่งสมาธิเม่ือ เปรียบเทียบเทียบกันแล้วทำให้เกิดญาณ ๑๖ คือ ต้ังแต่ญาณท่ี ๑ คือ นามรปู ปริจเฉทญาณจนถึง ญาณท่ี ๑๖ คือปจั เจกขณญาณ ๔๘ [๔๙] ลักษณะภายในท่ีสำคัญ คือ จิตใจ องค์ประกอบของพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออก อันเป็นลักษณะภายนอกและมนุษย์จะพัฒนาจิตเพื่อบรรลุคุณวิเศษได้ในระดับใดด้วยเวลานาน เท่าใดหรือไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษได้ในภพนี้ขึ้นอยู่กบั กำลังศรัทธา กัลยาณมิตร การใครค่ รวญ พิจารณาในคลองธรรม การเลือกวิธีปฏิบัติกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริตของตน ความเพียรและ อุปนิสัยในการบรรลุธรรม ภิกษุหรือบุคคลผปู้ ฏิบัติกายคตาสติกมั มัฏฐานย่อมอยู่เป็นสขุ ในปจั จบุ ัน ด้วยฌาน ได้ญาณทัสสนะ ได้ในส่ิงที่ต้องการโดยไม่ยากลำบาก เป็นผู้มีจิตใจมั่นคงไม่ถูกครอบงำ ดว้ ยความยนิ ดี ความไม่ยินดี สิ่งท่ีเป็นภัยอันตราย หรือความหวาดกลวั แสดงฤทธิ์ให้ปรากฏได้มีหู ทพิ ย์ ตาทพิ ย์ ระลึกชาติได้ และมีปัญญา หลดุ พน้ จากกิเลส และกองทุกข์ได้๔๙ ๔๗ อ้างแล้ว,บญุ เรอื ง ทพิ พอาสน์, [รหสั แบบบันทกึ ๔๐-๕๔ ] ๔๘ อ้างแล้ว,พระมหาบุญเลศิ ธมมฺ ทสฺสี/โอฐสู, [รหสั แบบบันทึก ๕๐-๕๕] ๔๙ อ้างแลว้ ,ทสั นี วงศ์ยืน, [รหสั แบบบนั ทกึ ๑๑–๕๐]

๑๔๑ ๔.๑.๔) การบรรลุผลการปฏิบตั ิ : ด้านกายานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน [๕๐] การปฏิบัติธรรมเจริญสติในพระไตรปิฎก เรยี กวา่ สติปฏั ฐาน ๔ ประกอบดว้ ยการ พิจารณาหรอื การกำหนดรกู้ าย เวทนา จิตและธรรม โดยมีความละเอียดปลีกย่อยในการปฏิบัติแต่ ละประเภทแยกย่อยออกไปอีกหลายข้อ เช่น อานาปานสติบรรพ คือ การกำหนดลมหายใจเข้า ออก อิริยาบถบรรพ คือ การกำหนดอิริยาบถน้อยใหญ่ วัตถุประสงค์สำคัญในการปฏิบัติทุก ประเภท คือ ความดับทุกข์ เพราะว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางสายเอกสายเดียวที่นำผู้ปฏิบัติให้ มงุ่ ตรงไปยังนพิ พาน หรอื สภาวะท่ีดับทุกข์ไดส้ ้ินเชงิ ๕๐ [๕๑] การพิจารณากายหรือกายานุปัสสนาปรากฏในกายคตาสติสูตรอธิบายขยายความ ถงึ การพจิ ารณากำหนดลมหายใจเข้าออกพิจารณาอริ ยิ าบถกายพิจารณารู้ตวั ในความเคลื่อนไหว พิจารณาความน่าเกลียดของร่างกาย แบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่างๆพิจารณาร่างกายโดยความเป็น ธาตุ และพิจารณาร่างกายที่เป็นศพ และเมื่อศึกษาลงลึก ในการพิจารณากำหนดลมหายใจเข้า ออก ในอานาปานสังยุต หมวดว่าด้วยธรรมอันเป็นเอก ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า“ธรรมอันเป็น เอกที่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก คือ อานาปานัสสติสมาธิและอานา ปานัสสติ คือ วิหารธรรมของพระองค์ตั้งแต่ก่อนตรัสรู้(สมัยเป็นพระโพธิสัตว์) และเมื่อตรัสรู้แล้ว พระองค์ยงั ทรงปฏิบัติอานาปานัสสติสมาธิเป็นวัตรประจำวันเมื่อเวลาทรงพักผ่อน เพราะพระองค์ ทรงเห็นว่า อานาปานัสสติสมาธิ ไม่ถือม่ันด้วยอุปาทาน ภิกษุผู้ยังต้องศึกษาผู้ปรารถนาธรรมอัน ยอดเย่ียม ปลอดโปร่งจากเครื่องผูกมัด เพ่ือทำให้สิ้นอาสวะควรเจริญอานาปานสั สติให้มาก ส่วน พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ส้นิ ภาระ ส้ินกิเลสแล้ว อานาปานัสสติสมาธิย่อมเปน็ ไปเพื่อความอยู่เป็นสุข ในปจั จบุ นั และเพ่ือสตสิ ัมปชญั ญะ เจริญกายคตาสติกัมมฏั ฐาน เพอื่ การอบรมจิตให้มีอารมณ์เดยี ว (มีสมาธิ) ด้วยการมีสติม่ัน พิจารณาความไม่งามความเป็นส่ิงปฏิกูล และความแปรผันของสังขาร ให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ทำให้ราคะดับ ไม่ฟุ้งซ่าน ก้าวพ้นตัณหา พระพุทธเจ้าได้ตรัส ว่า ภิกษุผู้เจริญกายคตาสติมากย่อมมีกายจิตสงบเกิดกุศลธรรม ละอกุศลธรรม ละความสำคัญใน ตน ถอนอนุสัย ละสังโยชน์ มีความแตกฉานในปัญญาและธาตุ บรรลุอมตธรรม เพื่อประโยชน์ อย่างย่ิง คอื นพิ พาน กายคตาสติเปน็ ธรรมอันเปน็ เอก เป็นมรรคแหง่ วปิ ัสสนาและเปน็ สิ่งท่ีภิกษุพึง ปฏบิ ัตเิ พอื่ ทจี่ ะไม่ทำให้การถวายบิณฑบาตของชาวบ้านสญู เปลา่ พระพุทธเจา้ ทรงสอนคฤหัสถ์ให้ เจริญกายคตาสติกัมมัฏฐานให้เห็นรูปกายที่ไม่สะอาดเป่ือยเน่าไม่งามเพื่อไม่ให้หลงกายตนเอง และเกิดความเบ่ือหน่าย คลายกำหนัดในที่สุด สังเกตว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนกายคตาสติ กมั มัฏฐานแก่คฤหสั ถ์ เนน้ เฉพาะปฏกิ ลู มนสกิ ารบรรพเท่าน้ัน ผู้วิจัยวเิ คราะหว์ ่าคฤหัสถ์ผรู้ ูแ้ จง้ มีจิต เล่ือมใสและประพฤติวัตรแห่งคฤหัสถ์ด้วยการถวายบิณฑบาต เล้ียงมารดาบิดาประกอบอาชีพ ๕๐ อ้างแลว้ , พระสวุ รรณ สวุ ณฺโณ (เรืองเดช), [รหสั แบบบนั ทกึ ๑๙–๕๓ ]

๑๔๒ ที่ชอบธรรม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือ มีสติในการกระทำทุกอย่าง สมาทานอุโบสถ ศลี ในวันอุโบสถ สวดมนตท์ ำวัตรเชา้ –เย็น เป็นประจำทุกวนั ย่อมเป็นการเพียงพอแต่หากบุคคลใด มีอุปนิสัยท่ีจะบรรลุธรรมพระองค์จะแสดงปาฏิหาริย์ให้ผู้นั้นได้เห็นและพิจารณากายท่ีมีสภาพไม่ สะอาดมีการเปล่ียนแปลงเนา่ เปื่อยไปตามกาลเวลา เพื่อบรรลุธรรมวิเศษ แนวทางการประยุกต์ใช้กายคตาสติกัมมัฏฐานที่เหมาะสมกับการครองชีวิตประจำวัน ของคฤหัสถ์ ลักษณะความพอเพียงพอเหมาะพอดีด้วยการเจริญอานาปานัสสติกำหนดพิจารณา อาการ ๓๒ เป็นส่ิงปฏิกูล ไม่งามน่ารังเกียจเป็นธาตุ ๔ เพ่ือกำจัดจิตใจที่ฟุ้งซ่านวุ่นวายให้มีสมาธิ ระลึกรู้ แม้ร่างกายของเราต่างมีความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำจิตให้ว่างและปล่อยวาง การ ฝกึ จติ ให้มีสมาธิ ฝึกไดท้ ้ังในขณะปฏิบตั ิภารกิจประจำวันในการสวดมนตเ์ ช้า(ทำวัตรเช้า) สวดมนต์ เย็น(ทำวัตรเย็น)ทุกวัน และจัดเวลาเข้าฝึกปฏิบัติในสำนักปฏิบัติธรรมที่ถูกจริตของเรา(ปีละ ๒ คร้ัง) ช่วงเวลาท่ีเหมาะสมกายคตาสติกัมมัฏฐานนี้คฤหัสถ์สามารถปฏิบัติได้ง่ายปฏิบัติได้บ่อย ตามต้องการเป็นท้ังสมถและวปิ ัสสนาและเลือกกำหนดพิจารณาอาการท่เี ด่นชัดท้งั ในลกั ษณะของ ความเป็นปฏิกูล ความเป็นธาตุ ๔ ความเกิดข้ึนต้ังอยู่ดับไป ความไม่เท่ียงไม่งามเป็นทุกข์เป็น อนัตตาเกิดความเบื่อหน่ายอย่างที่สุดคลายกำหนัดละราคะดับกิเลสหมดส้ินอาสวะเกิดความสงบ เข้าถงึ ความเปน็ อมตะ คือ นพิ พาน๕๑ [๕๒] ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคหวั ใจและหลอดเลือด พบว่า มผี ลใน การเพิ่มการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติกมีผลลดอัตราการเต้นของหัวใจและความ ดันโลหิตช่วยเพ่ิมปริมาณเลือดท่ีไปเล้ียงอวัยวะต่างๆ ทำให้การทางานของอวัยวะต่างๆ รวมท้ัง ต่อมไร้ทอ่ และระบบประสาททำงานได้ดีขนึ้ และมีผลทำให้ความตา้ นทานของหลอดเลือดลดลง ทำ ให้การไหลเวียนเลือดดีข้ึน ความดันโลหิตลดลง ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยกลไกที่ สำคัญในการลดความดันโลหิตน้ัน เป็นผลมาจากการคลายตัวของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ การเพิ่มข้ึน ของปริมาณไนตริกออกไซด์(สารที่มีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว)และผลต่อระบบประสาทที่ ควบคุมการทางานของหลอดเลือดและหัวใจ เมื่อศึกษาในผู้ป่วยท่ีมีความผิดปกติทางหลอดเลือด และหัวใจ พบว่าการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานสามารถลดปัจจัยเส่ียงและการดำเนินของ โรคหัวใจและหลอดเลือดท่ีแย่ลงได้ โดยมีผลลดความดันโลหิต ลดระดับโคเลสเตอรอลในกระแส เลือด ลดระดับสารส่ือประสาท Norepinephrine ทำให้หัวใจทำงานหนักน้อยลงและเพิ่ม ประสิทธิภาพในการบีบตัวของหัวใจอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกเป็นผลในการรักษาและป้องกัน โรคหวั ใจและหลอดเลือดได้๕๒ ๕๑ อ้างแลว้ , ทัสนี วงศ์ยืน, [รหสั แบบบันทึก ๑๑–๕๐ ] ๕๒ อา้ งแล้ว, พลกฤษณ์ โชตศิ ริ ิรตั น์, [รหัสแบบบันทึก ๔๑-๕๔]

๑๔๓ [๕๓] ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคมะเร็ง พบว่า มีผลทำให้ระบบภูมิ ต้านทานของร่างกายเพิ่มมากข้ึนเป็นกลไกการรักษาตัวเองตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติมีผลลด ปริมาณการเกดิ อนุมูลอสิ ระ เพ่ิมการหลั่งสารเอ็นดอรฟ์ ินทำให้ร่างกายอยูใ่ นสภาวะทไ่ี ม่เอ้ือตอ่ การ เกิดเซลล์มะเร็งและเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว(T-cells) ทำให้ประสิทธิภาพของระบบภูมิต้านทาน ร่างกายเพิ่มขึ้นทำให้สามารถชะลอการเจริญเติบโตของมะเร็งและทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง จนหายไปได้ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานยังมีผลลดอาการทางจิตวิทยาลดอาการของ ความเครียดและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลของการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานต่อโรคเบาหวาน พบช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ช่วยเพ่ิม ประสิทธิภาพของอินซูลินและมีผลช่วยลดความดันโลหิตได้รวมท้ังช่วยลดความเครียดอาการ ซึมเศร้าและความวติ กกังวล ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรงอยา่ งมีนยั สำคญั ทางคลนิ ิก เม่ือ ผู้ปว่ ยโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือดและความเครยี ดได้คณุ ภาพชวี ิตของผู้ปว่ ย จะดีขึ้นด้วย๕๓ [๕๔] ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อโรคทางจิตเภท พบว่า มีผลช่วยลด ความเครียดลง ความเครียดเป็นสาเหตุในการทำลายสมดุลของร่างกาย ผลของความเครียดมีผล ต่อเซลล์สมองโดยตรง ในสภาวะปกติสมองจะมีคลื่นความถ่ีชนิดเบต้าเป็นคล่ืนที่เกิดขึ้นในขณะที่ รู้ตัวและใช้ความคิดในการทำงาน เม่ือเกิดสภาวะความเครียดข้ึนคลื่นสมองชนิดเบต้าจะมีความถ่ี สูงมากขึ้น เป็นผลให้ความคิดถดถอยจากสภาวะปกติ การทำงานจะถูกปรับเข้าสู่ ฐานของความ กลัวรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคทางจิตเภท เมื่อได้รับการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน คล่ืนสมอง ชนิดเบต้าจะมีความถี่ลดลงจนเปลี่ยนเป็นคลื่นสมองชนิดแอลฟาเป็นคลื่นสมองท่ีเกิดข้ึนใน ขณะท่ีจิตสงบอยู่ในสภาวะสมดุล เป็นผลให้เรามีสติในการพิจารณาส่ิงต่างๆมากขึ้น การตัดสินใจ ถูกต้องและแม่นยามากขึ้น ความคิดเป็นระบบมากข้ึน ประสิทธิภาพในการจัดการทางอารมณ์ สงู ขน้ึ เมือ่ ผู้ปฏิบัตฝิ ึกเจริญวปิ สั สนากมั มัฏฐานอย่างสม่ำเสมอเปน็ ระยะเวลานาน จนจติ เขา้ สสู่ มาธิ ในระดับที่สูงข้ึน คลื่นสมองจะเปลี่ยนจากคล่ืนสมองชนิดแอลฟาเป็นคล่ืนสมองชนิดธีต้า แสดง ถึงภาวะผ่อนคลายและจิตสงบอย่างสูง ในช่วงนี้จะเกิดความปีติสุขท่ีเพ่ิมมากขึ้นเกิดความคิด หย่ังเห็น(Insight)และเกิดปัญญาญาณมีศักยภาพสาหรับความจำระยะยาวและการระลึกรู้และ เมื่อปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจนเข้าสู่สมาธิระดับข้ันอัปปนาสมาธิ(สมาธิข้ันสูง)คลื่นสมองจะ เปลี่ยนเป็นคลื่นสมองชนิดเดลต้าจะเกิดการผ่อนคลายที่สูงมากเปรยี บได้กับการประจุพลังงานเข้า สู่ร่างกายใหม่ ทำให้เซลล์ต่างๆเกิดการซ่อมแซมตัวเองและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานยังสามารถปรับคล่ืนสมองท้ังสองข้างให้มีความถ่ีและเป็นจังหวะ เดยี วกนั เป็นภาวะแห่งการตื่นรู้ของจิตและกระต้นุ การทำงานของสมองในสว่ นต่างๆทำใหม้ ีปญั ญา ๕๓ อา้ งแล้ว, พลกฤษณ์ โชติศริ ิรัตน์, [รหัสแบบบนั ทกึ ๔๑-๕๔]

๑๔๔ ในการบริหารจัดการมีสติในการพิจารณาความรู้สึกและส่ิงท่ีมากระตุ้น มีความสามารถในการ ประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ มีประสิทธิภาพในการจดจาเพิ่มมากข้ึนมีความต่ืนตัว ในการเรียนรูอ้ ย่างงมีประสิทธภิ าพและทำให้เครอื ขา่ ยของสมองเป็นระบบมากยิง่ ขึ้นยังเปน็ วิธีการ ยับยั้งกลไกการตอบสนองต่อความเครียดช่วยควบคุมการหลั่งฮอร์โมน epinephrine มีผลต่อ ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ อตั ราการหายใจเป็นวธิ ีการท่ชี ่วยใหผ้ ูป้ ่วยมีจิตใจที่สงบเกิด การผ่อนคลาย ลดอาการตึงเครียด และลดอารมณ์วิตกกังวลและความกลัวได้ เกิดการ เปลยี่ นแปลงในระดบั ความรู้สึกตวั เปน็ ผลในการเปลี่ยนวิธีการคิดและการตอบสนองตอ่ สิ่งเร้ากลไก ในการรกั ษาด้วยการฝึกปฏิบัตวิ ิปัสสนากมั มัฏฐานมงุ่ เน้นการเปล่ยี นแปลงกระบวนการความคดิ ทมี่ ี ความสำคัญมากกว่าเพียงการเปลี่ยนแปลงท่ีเนื้อหาของความคิดด้วยกลไกต่อระบบประสาท การ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจึงสามารถรักษาโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น ภาวะติด สารเสพติดและภาวะการนอนไมห่ ลับได้๕๔ [๕๕] เมอื่ ปฏิบัติกรรมฐานกำหนดพิจารณาญาณจะแก่กล้าขึ้นตามลำดับผู้ปฏิบัติย่อมจะ ได้รับอานิสงส์ระดับโลกิยะในเบ้ืองต้นและย่อมได้รับอานิสงส์ระดับโลกุตตระในลำดับต่อไป พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสุทธิ)เชื่อม่ันเสมอว่า“ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาท่ี พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปในต่างๆ ประกาศพระพุทธศาสนา ทรงแสดงวิปัสสนากรรมฐานไว้ใน พระสูตรต่างๆ กรรมฐานคือหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นเรอื่ งของคนทุกเพศทกุ วยั ทกุ ชาติ ทุกภาษาและกรรมฐานมีอนิสงส์มหาศาล”การรักษาสังคมประเทศชาติให้ธำรงอยู่ เจริญรุ่งเรืองมี ความสงบสุข ต้องอาศัยวิปสั สนากรรมฐาน๕๕ ๔.๒ การสงั เคราะห์ด้านเวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน จากประมวลรวบรวมงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เล่ม โดยจำนวนงานวิทยานิพนธ์ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน (การพิจารณาเวทนา) มีจำนวนวิทยานพิ นธ์ ๔ เรื่องท่เี กีย่ วข้องโดยนำมาศึกษาเพอื่ สงั เคราะห์ ด้านเวทนานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ได้ผลการศึกษาดังต่อไปนี้ ๔.๒.๑ หลกั การปฏบิ ตั ิตามพระไตรปิฎกและคัมภีรต์ า่ งๆ : ด้านเวทนานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [๕๖] ความหมายสติปัฏฐานด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานแปลว่าการตั้งสติเวทนา นปุ สั สนาพิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนา ๓ หมวด คอื (๑)สุขเวทนา (๒)ทกุ ขเวทนา (๓)อทุกขมสุข ๕๔ อา้ งแล้ว ,พลกฤษณ์ โชติศิริรตั น์, [รหัสแบบบนั ทกึ ๔๑-๕๔] ๕๕ อา้ งแล้ว, พรรณราย รตั นไพฑรู ย,์ [รหัสแบบบันทกึ ๒/๔๔]

๑๔๕ เวทนา คือ บุคคลละความยึดม่ันความเห็นผิดเขา้ ใจผดิ มากเพียงใดจะหมดความทุกข์มากเพียงนั้น การปฏิบัติสติปัฏฐานเป็นการใช้สติสัมปชัญญะ กำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม ให้สอดคล้องกับ ความจริงตามธรรมชาตจิ นเกิดวิปัสสนาปัญญาถึงขน้ั ไม่ยึดมนั่ ถอื ม่ัน๕๖ [๕๗] การปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ การปฏิบัติกรรมฐานทางพระพุทธศาสนา ตอ้ งมสี ติเป็นหลักใหญ่โดยอาศัยฐานที่ต้ัง ๔ ประการ คอื กาย เวทนา จิต และธรรม ตอ้ งมีธรรม ประกอบ ๓ ประการ คือ ความเพียรเผากเิ ลส(อาตาปี) มคี วามร้ตู วั (สมั ปชาโน) มีความระลกึ ใน ปัจจุบันอารมณ์(สติมา) เม่ือมีสติต้ังมั่นสามารถทำลายอวชิ ชาและความทุกข์ในกายและใจ จึงช่ือ ว่า การรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะรูปนามที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ช่ือว่า วิปัสสนา ในทางพระพุทธศาสนาวิปัสสนาคือ สติปัฏฐานตรงกับข้อความในคัมภีร์อรรถกถาว่า ยสฺมา ปน กายวทนาจิตฺตธมฺเมสุ กญฺจิ ธมฺม อนามสติ ฺวา ภาวนา นาม นตถฺ ิ แปลว่า อนึ่งข้ึนชื่อวา่ ภาวนาที่ ไม่เน่ืองด้วยกาย เวทนา จิต หรือสภาวธรรมอย่างใดอย่างหน่ึงย่อมไม่มีด้วยเหตุนี้พระอริยเจ้าจึง พ้นจากทุกข์กายและทุกข์ใจจนกระท่ังบรรลุมรรคญาณและผลญาณในที่สุดได้ด้วยการระลึกรู้สติ ปัฏฐาน ๔ เวทนา เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ตัณหา อุปาทาน ไม่มีท่ีสิ้นสุดเพราะเหตุแห่งการเสวย อารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุข-ไม่ทุกข์ ท้ังที่เป็นกามคุณ(อามิส)และไม่อาศัยกามคุณ(นิรามิส) ท่ีเกิดข้ึน ทางกาย และใจ การเจริญเวทนานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน คอื การมุ่งน้อมใหม้ าดูทกี่ ายกับใจของตน เป็นสำคัญ เพื่อจะกำหนดรู้ชัดเวทนาว่า สุขหนอๆ ทุกข์หนอๆ เฉยหนอๆ ซึ่งเป็นการกำหนดตาม อาการทจ่ี ติ เสวยอารมณ์ท่ีเกิดข้ึนในปัจจบุ ันอารมณ์ เรียกว่า กำหนดอารมณ์ปัจจบุ ัน การตามรู้ เวทนาส่งผลให้นักปฏิบัติหยั่งเห็นความเกิดดับของเวทนา คือ ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา ย่อม ไม่หลงไปยึดม่ันถือม่ันในอารมณ์ทั้งปวงย่อมเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดย่อมหลุดพ้นได้ในท่ีสุด คือ พระนิพพาน ๕๗ [๕๘] เวทนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ความหมายของเวทนานุปัสสนาปรากฏ ๓ แห่งใหญ่ๆคือ (๑)ความหมายในพระสุตตันตปิฏก คือ เวทนานุปัสสนาปรากฏในพระ สุตตันตปิฎกมีหลายลักษณะและในพระสูตรต่างๆ ได้แก่ (๑)เวทนาสูตร คือ พระสูตรว่าด้วยการ เจริญสติปัฏฐาน ๔ เพ่ือกำหนดรู้เวทนา ใจความสำคัญของพระสูตร คือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถาม ภิกษุทั้งหลายที่กำลังสนทนาธรรมกันว่า สนทนาเรื่องอะไร เม่ือภิกษุเหล่าน้ันกราบทูลว่า สนทนา เรื่องเวทนา ๓ ทรงตรัสไว้ว่า เมื่อภิกษุเจริญให้มากแล้วจะมีผลมากมีอานิสงส์มาก (๒)เวทนา ปริคคหสูตร คือ พระสูตรว่าด้วยการเกิดข้ึนของเวทนาอย่างปรมัตถ์กล่าวแสดง ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ และอทุกขมสขุ เวทนาอันไม่สุขไม่ทุกข์ว่าล้วนเกิดขึ้นแต่มีเหตุเป็นปัจจัยปรงุ แต่งข้ึน ท้ังส้ินจึงย่อมล้วนเป็นสังขารจึงย่อมมีความเส่ือมไปคลายไปส้ินไปดับไปเป็นธรรมดาสภาวธรรม ๕๖อา้ งแล้ว, พรรณราย รตั นไพฑรู ย,์ [รหสั แบบบันทกึ ๒/๔๔] ๕๗อา้ งแลว้ , พระครูสมหุ เ์ กิด ปญุ ฺ กาโม (ดานขนุ ทด), [รหสั แบบบนั ทึก ๓๙/๕๔]

๑๔๖ ของสังขารท้ังปวงจึงย่อมเน่ืองถึงเวทนาท้ัง ๓จึงย่อมอยู่ภายใต้อำนาจพระไตรลักษณ์หรือธรรม นิยามหรืออนิจจัง ทุกขังอนัตตา จึงย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์หรือ สังสารวัฏเพราะการแสวงหาและยึดม่ันในสุขทุกข์(เวทนา)อย่างไม่รู้จักจบอย่างไม่รู้จักส้ิน (๓) เวทนาในหลักธรรมตา่ งๆ ได้แก่ เวทนาในขนั ธ์ ๕ คอื “เวทนาขันธ์”ได้แก่ หมวดแหง่ ธรรมชาติอัน เสวยอารมณ์ เม่ืออารมณ์เป็นที่พึงใจมาปรากฏในทวาร เสวยความพึงพอใจ เมื่ออารมณ์ไม่เป็นที่ พึงใจมาปรากฏก็เสวยความไม่พึงใจ พระธรรมปิฏก(ป.อ.ปยุตโต)กล่าวถึง เวทนาในขันธ์ ๕ แบ่งเป็น ๓ คือ สุข(สุขทางกายหรือทางใจก็ตาม) ทุกข์(ทุกข์ทางกายหรือทางใจก็ตาม) อทุกขมสุข เวทนา(ไม่สุขไม่ทุกข์ คือ เฉยๆ บางทีเรียกว่า อุเบกขาเวทนา) อกี อย่างหน่ึง แบ่งเปน็ เวทนา ๕ คือ สุข(ทางกาย) ทุกข์(ทางกาย) โสมนัส(ดีใจ) โทมนัส(เสียใจ) อุเบกขา(เฉยๆ) แบ่งตามท่ีเกิดเป็น ๖ คือ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจักขุ ทางโสตะ ทางฆานะ ทางชิวหา ทางกาย และทางมโน ดังนั้น เวทนาในขันธ์ ๕ คอื การเสวยอารมณ์หรอื การเสพรสของอารมณ์ท่ีเกิดขึน้ ความรู้สกึ ตอ่ ส่ิงทีถ่ ูก รับรู้ซ่ึงจะเกิดข้ึนทุกคร้ังท่ีมีการรับรู้เป็นความรู้สึกสุขสบาย ถูกใจ ชื่นใจ หรือทุกข์ บีบคั้น เจ็บปวด หรือไม่ก็เฉยๆอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อท่ีควรทำความเข้าใจอย่างหนึ่งเก่ียวกับเวทนา (๔) เวทนาในปฏิจจสมุปปบาท เพราะตามธรรมดาคนเรานั้นมีทวารไว้เป็นประจำตน สำหรบั ร้อู ารมณ์ ภายนอกละ ๖ ทวาร เหมือนกันทั้งโลก เรียกว่า ตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ และอารมณ์ท้ัง ๖ ชนิด คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ย่อมจะเข้ามาปรากฏแก่คนท้ังหลายได้เสมอ โดยผ่านทางทวาร ๖ เหล่านี้ ถ้าผู้ปฏิบตั ไิ ม่ระวงั รักษาสติใหด้ ี อารมณ์ภายนอกท้งั หลายไหลพร่งั พรู เข้ามารบกวนชวนให้หมุนไปเป็นวงจรของปฏิจจสมุปบาทอย่างไม่มีที่ส้ินสุด ความหมายในชั้น อรรถกถา คือ นิยามและความหมายของเวทนานุปัสสนารวมความสำคัญที่การมีสติรู้เท่าทัน เวทนา เทา่ ทันขณะเกิดขึ้นบ้างเท่าทนั ขณะที่กำลงั แปรปรวนอยู่บ้าง หรือขณะดับไปบา้ ง พรอ้ ม ทงั้ รู้วา่ เป็นสุขเวทนาทุกขเวทนา เฉยๆ หรืออทุกขมสุข ท้ังท่ีมีอามิสหรือไม่มีอามิสก็รชู้ ัดตามท่ีเป็น เม่ือสตริ เู้ ท่าทนั เวทนา แล้วจึงเปน็ กลางอเุ บกขา วางทเี ฉยโดยไม่เอนเอียงไปคิดไปนึกปรุงแตง่ ไปท้ัง ในทางดีหรือในทางไม่ดี ประเภทของเวทนานุปัสสนา ได้แก่ เวทนา ๓ เวทนา ๕ เวทนา ๙ ประกอบ ๓ ประการ หมายถงึ จำแนกความรู้สึกในการเสวยอารมณ์ ๓ ทาง คือ ๑)ความรู้สึกสุข คือ ความรู้สึกทางกายและใจ ๒)ความรู้สึกทุกข์ คือ ความรู้สึกทางกายและใจ ๓)ความรู้สึกไม่ใช่ สุข-ไมใ่ ช่ทุกข์ หรือ อุเบกขา๕๘ [๕๙] หลักธรรมสนับสนุนการเจริญเวทนานุปัสสนา ๒ ประการ (๑)หลักธรรมที่ เก่ียวข้องกับเวทนานุปัสสนา คือ ธรรมท่ีสนับสนุนการเจริญกายานปุ ัสสนาจนเกิดสมาธิ คือ สิ่งท่ี เป็นตัวช่วยในการปฏิบัติหรือเป็นกำลังสนับสนุนในการปฏิบัติเป็นตัวสำคัญในการสร้างสมาธิ (๑) แบบกายานุปัสสนา คือ อิทธิบาท ๔ คือ การปฏิบัติสมาธิแบบกายานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติต้องปลูก ๕๘อ้างแลว้ , พระอนชุ า อนุชาโต (นามจันทร)์ , [รหัสแบบบนั ทกึ ๔๘/๕๕].

๑๔๗ ฉันทะหรือศรัทธา ให้มีอัธยาศัยรักในสมาธิแล้วมีความขวนขวาย การมีใจจดจ่อและการใช้ปัญญา ไตร่ตรองก็จะตามมา ฉะน้นั การมีอทิ ธิบาทในการปฏิบตั ิน้ันถือวา่ มีความสำเร็จในกิจทุกอย่างท่ีจะ ทำให้เกิดขึ้น (๒) จิตตานุปัสสนา คือ การมีสติม่ันในการพิจารณาเนืองๆ ซึ่งจิตอันเป็นวิญญาณ ขันธ์ มี โลภจิต อโลภจิต โทสจิต อโทสจิต โมหจิต อโมหจิต เป็นต้น เป็นการพิจารณา คือ การ กำหนดพิจารณาอาการต่างๆ ของจติ เช่น จิตมีราคะ มีสติรชู้ ัดวา่ จิตมีราคะ (๓)ธรรมานปุ ัสสนา คอื การมีสตมิ ่ันในการพจิ ารณาเนืองๆ ซงึ่ สภาพธรรมอันเป็นสัญญาขันธ์และสังขารขันธโ์ ดยเป็นไป ตามอาการของสภาวธรรมแต่ละอย่างๆปราศจากความเป็นตัวตน เช่น สภาวธรรมของ โลภะ โทสะ โมหะ (๔)อาตาปี หมายถึง มีความเพียร ได้แก่องค์มรรคข้อ ๖ คือ สัมมาวายามะ หมายถึง เพยี รระวังและละความช่วั กับเพียรสร้างและรักษาความดหี รอื ปคั คาหะ ความเพียรเครื่อง เผากิเลส อาตาปี สมั มปั ปธาน หรือสัมมาวายามะในพระสตู รน้ันได้แสดงความหมายเดียวกันความ เพียรท่ีต้ังม่ันความหม่ันประกอบความไม่ประมาทและอาศัยการใช้ความคิดท่ีถูกวิธี คำว่า วิริยะ หมายถึง ความเพียรความบากบั่นความกล้าวิริยะภาพเดชอำนาจกำลังอาจหาญพยายาม ปราศจากความคร่ันคร้ามไม่ถอยหลังพ้นทุกข์บ่อแห่งไตรสิกขาบ่อบุญอุตสาหะการออกแรงอย่าง เร่งรีบ (๕)สัมปชาโนหรือสัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวท่ัวพร้อมความรู้ตระหนักความรู้ชัด เข้าใจชัดซึ่งสิ่งที่นึกได้ (๖)สติมา หมายถึง ความระลึกได้ไม่ใจลอยไม่เผลอไม่ลืมกายไม่ลืมใจไม่มัว แต่คิดตัวสติน้ีจะระลึกท่ีไหนก็ได้ ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ได้ ท่ีกายทั้งกายในอาการใด อาการหน่ึงในอาการเดินยืนน่ังนอนหรอื ในอิริยาบถย่อยๆเคลื่อนไหว กระพริบตากลืนน้ำลายอะไร พวกน้ีกไ็ ด้แต่ว่าระลกึ แลว้ ให้มีความรสู้ ึกตวั ๕๙ [๖๐] หลกั ธรรมทส่ี นบั สนนุ การเจริญเวทนานุปสั สนา (๑)สัมมัปปธาน ๔ เปน็ องค์ธรรม ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดญาณ เป็นเรื่องของความเพียร ๔ หรือสัมมาวายามะ ได้แก่ความพยายาม ในทางท่ีชอบซ่ึงเป็นการปฏิบัติในขั้นของจิตใจ คือในส่วนของจิตตสิกขา ประกอบด้วย ๔ อย่าง คือ สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน และ อนุรักขนาปธาน (๒)อิทธิบาท๔ เป็นธรรมที่เป็น เหตุให้ถึงความสำเร็จ ฌาน อภิญญา มรรค ผล มีความแตกต่างกับอธิบดี แม้อิทธิบาทอธิบดีต่างก็ มีองค์ธรรมเท่ากันและเหมือนกัน คือ ฉันทะ วิริยะ จิต และปัญญา (๓)อินทรีย์ ๕ คือ ความเป็น ใหญ่เป็นผู้ปกครองในการงาน ธรรมท่ีเป็นใหญ่ในกิจของตน อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ๑) สัทธินทรีย์ คือ ศรัทธาเป็นผู้ปกครองในความเล่ือมใสต่อส่ิงท่ีควรเลื่อมใส ได้แก่ ความเลื่อมใสในสมถภาวนาและ วิปัสสนาภาวนา มีการปฏิบตั ิที่จะดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ ๒)วริ ิยินทรีย์ คือ วิรยิ ะเป็นผู้ปกครอง ในความพยายามต่ออบรมในการเจริญสมถภาวานและวปิ ัสสนาอย่างแรงกล้า ๓)สตินทรีย์ คอื สติ เป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการระลึกถึงอารมณ์กรรมฐาน อันได้แก่ รูป นาม ๔)สมาธินทรีย์ คือ สมาธิเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการกระทาจิตให้ตั้งม่ันในอารมณ์กรรมฐาน ๕)ปัญญินทรีย์ คือ ๕๙อา้ งแล้ว, พระอนุชา อนุชาโต(นามจันทร์) [รหสั แบบบนั ทกึ ๔๘/๕๕]

๑๔๘ ปัญญาเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการรู้ตามความเป็นจริงของอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ รูป นาม ขนั ธ์ ๕ ๔)โพชฌงค์ ๗ หมายถึง เป็นองค์ประกอบของปัญญาที่เป็นเหตุแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ หมายความว่า ธรรมอันเป็นองค์ประกอบของธรรมหมวดที่เป็นเหตุให้รู้อริยสัจ ๔ โพชฌงค์ ๗ คือ สติ ปัญญา วริ ยิ ะ ปิติ ปัสสัทธิ เอกัคคตา ตัตตรมัชฌัตตา เมอื่ เจรญิ แล้วจะเห็นว่า สติเจตสิก ได้แก่ สติในสติปัฏฐาน เมื่อเจริญข้ึนมีสภาพเป็น สตินทรีย์ สติพละ สัมมาสติ สติโพชฌงค์ ๗ ปัญญา เจต สิ ก เจริญ ข้ึ น เป็ น วิมั งสิ ท ธิบ าท ปั ญ ญิ น ท รีย์ ปั ญ ญ า พ ล ะ สัม ม าทิ ฐิ เรีย กว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ได้แก่ การเข้าถึงปัญญาวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์แห่งปัญญา ๕ ประการ คือ ประการที่ ๑ ทิฐิวิสุทธิ ความบริสุทธ์ิแห่งปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของ สภาวธรรมเป็นต้น ๕)มรรคมีองค์ ๘ ข้อปฏิบัติท่ีทำให้เข้าถึงพระนิพพาน คือ ธรรมท่ีเป็นเครื่อง ดับทุกข์ เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หมายความว่า เป็นข้อปฏิบัติที่จะทำให้เข้าถึงความดับ ทุกข์ มรรคมีองค์ ๘ หรือ อัฏฐังคิกมรรค เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า ทางมีองค์ ๘ ประการ อันประเสริฐ มรรคมีองค์ ๘ ได้ช่ือวา่ มัชฌิมาปฏิปทา แปลวา่ ทางสายกลาง เพราะเป็น ข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ ดับทุกข์ ปลอดปัญหา ไม่ติด ข้องในที่สุดทั้งสองทาง คือ กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กปั ปะ สัมมาวาจา สมั มากมั มันตะ สมั มาอาชวี ะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ และสัมมาสมาธิ เมอ่ื บรรลุจตตุ ถฌานไมม่ ที กุ ข์ไม่มสี ุขเพราะละสขุ และทุกข์ได้ ๖๐ ๔.๒.๒ วิธีการปฏิบตั ติ ามคำสอนครูบาอาจารย์ : ด้านเวทนานุปสั สนาสติปฏั ฐาน [๖๑] วิธีการของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ)ความเช่ือมโยงหลักการ ตามพระไตรปฎิ กเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เทียบเคยี งกับหลักฐานในมหาสตปิ ัฏฐานสตู รตรงกับหลัก พระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นภาคทฤษฏีหรือภาคปฏิบัติ ท่านใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ คือ การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นกรอบในการปฏิบัติและการสอนตามแนวทีป่ รากฏในมหาสติปัฏฐานสตู ร ตามกรอบท่ีพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พิจารณาภายในกาย พิจารณาเวทนาใน เวทนาทั้งหลาย .พิจารณาจิตในจิตและพิจารณาธรรมในธรรม มีความเพียร มีความรู้ตัวท่ัวพร้อม และมีสติขจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้” แนวปฏิบัติจริงๆอันเป็นหลักการดีเพียงเท่านี้ นอกจากน้ันเปน็ รายละเอียดแจงวิธปี ฏบิ ัตเิ พ่อื รเู้ ท่าน้ันไมใ่ หเ้ กิดกิเลสครอบงำการพิจารณาเวทนา (ความรู้สึก) ขณะนั่งเมื่อมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้นก็ภาวนาว่า “เจ็บหนอ ปวดหนอ”จนกว่าอาการ จะหายไปแล้วก็กลับมาพิจารณาอาการพองยุบของท้องอีก การกำหนดเวทนาสอนวิธีการกำหนด เวทนา ๓ ได้แก่ สุขเวทนา กำหนดว่า“สุขหนอ” ทุกขเวทนา กำหนดคำว่า“ทุกข์หนอ” อทุกขมสุขเวทนา กำหนดว่า “เฉยหนอ” การกำหนดเวทนาเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน ดู ๖๐อา้ งแลว้ , พระอนชุ า อนุชาโต (นามจันทร์), [รหัสแบบบนั ทกึ ๔๘/๕๕]

๑๔๙ ภาวะท่ีจิตเสวยอารมณ์ กำหนดให้เท่าทันปัจจุบันและตรงสภาวะตามจริงของผู้ปฏิบัติ ดังน้ันการ กำหนดเวทนาตามคำสอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ) จึงมีบาลีรองรับนับว่า ถูกตอ้ งตามพระไตรปิฎก การกำหนดเวทนาตอ้ งกำหนดทั้งทางกายและทางใจ เชน่ เจ็บ ปวด ตึง เคล็ด ขัด ยอก วิงเวยี น เป็นต้น ผู้ปฏบิ ัตติ ้องมีความเพียรพยายามอดทน อดกล้ัน กำหนดอยู่เสมอ ว่า กำหนดแล้วจะหายไปหรอื ไม่ก็ตาม จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม พยายามกำหนดให้ทัน พยายาม ขยับตวั ให้เวทนาหายไป การปฏิเสธไม่ยอมรับเวทนาเป็นเร่ืองท่ีผู้ปฏิบัติทกุ คนชอบทำซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเวทนานั้นเกิดโดยสภาวะของแต่ละญาณทุกคร้ังที่สามัญญลักษณะชัดขึ้นมา ผู้ปฏิบัติจะพบ กับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าจนขยายเสมอ ดังน้ันหากผู้ปฏิบัติทำลายเวทนาโดยจงใจก็ย่อมไม่ สามารถเข้าไปเห็นวิปัสสนาญาณ อันเป็นลักษณะต่างๆของสภาวลักษณะ สามัญญลักษณะ และ อรยิ สัจ ๔ ได้ เพราะอิริยาบถเป็นตัวปิดบังทกุ ข์ ทกุ คร้ังที่ขยับเปลย่ี นอริ ิยาบถ ความทุกข์จากความ เมอ่ื ยล้า เจ็บปวดกจ็ ะลดลงหรือหายไป๖๑ [๖๒] คำขยายการสอนแนวปฏิบัติเร่ืองเวทนา วิธีการของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) ธรรมดาเวทนาต่างๆ การเม่ือย เจ็บ ปวด ย่อมมีอยู่ในรา่ งกายของคนเราเสมอ อยู่แล้ว ถงึ ในขณะอยปู่ กตไิ ม่ได้ใช้สติกำหนดพิจารณาเวทนานั้นก็คงมีอยเู่ หมือนกนั แตเ่ รากไ็ มค่ อ่ ย จะรู้สึกเท่าไร เพราะจิตใจของเราไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง คิดไปในเรื่องราวต่างๆ อยู่เร่ือยๆ ไปไม่ปกติ ไม่ มีสมาธิ ฉะน้ันจึงไม่รู้สึกอาการของเวทนาเท่าไรนักแต่เวทนาท่ีเกิดข้ึนนั้น ขณะไม่ได้กำหนดสติ หรือกำหนดสตอิ ยูก่ ็ตาม เป็นเวทนาท่มี กี ำลังเท่าๆกนั ไมแ่ ตกตา่ งอะไรกัน แต่ผ้ปู ฏบิ ตั ิมีกำลงั ใชส้ ติ กำหนดพิจารณารูปนามอยู่นั้นจิตใจย่อมมีสมาธิ กว่าผู้ไม่ได้กำหนดสติอำนาจของสมาธิทำให้ กำหนดความรู้สึกตอ่ เวทนานั้นปรากฏชัดมาก ๖๒ [๖๓] ข้อคิดวิธีการของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ)ในการกำหนด เวทนาท่ีสำคัญ คือ ต้องระวังความรู้สึกให้เวทนาน้ันหายไปเร็วๆ อย่าปล่อยจิตให้ทุกข์ร้อนทุรนทุ รายไปกับเวทนาที่แรงกล้าหรืออย่ารู้สึกติดใจพอใจในสุขเวทนา ในการพิจารณาดูเวทนาจะต้อง วางจิตให้ถูกต้อง เป็นหน้าที่ เพียงแต่เฝ้าดูเท่าน้ัน ดูเฉยๆ วางอุเบกขาขณะตามเวทนาต่างๆ อย่า ดใี จเมื่อเวทนานั้นทุเลาหรอื หายไป อย่าปรุงแต่งคดิ หาเหตุผลวิจัย เวทนาว่าคงเกิดจากการนั่งนาน ๆ ในท่าเดียว หรือคงเกิดจากโรคเก่ากำเริบ ไม่ใช่ทำหน้าท่ีจะคิดวิตกวิจาร การคิดปรุงแต่งจัดแจง เป็นการเพ่ิมกิเลส ตัณหา เป็นการสร้างสังขารจะต้องฝึกฝน แยกตัวตนหรือยึดมั่นในตัวตน อัตตา ว่าเป็นการที่ได้รับทุกขเวทนา วิธีการฝึกโดยทำใจมนสิการให้ถูกต้องว่า ตนน้ันเป็นผู้ดูเท่านั้น อะไรจะเกิดข้ึนดำเนินไปอย่างไรก็ตาม จะต้องเป็นผูด้ ูเฉยๆ ในการฝึกตนให้เปน็ เพยี งผู้ดูนั้นตอ้ งเร่ิม ๖๑อา้ งแล้ว, พรรณราย รัตนไพฑูรย,์ [รหัสแบบบันทกึ ๒/๔๔] ๖๒ อา้ งแลว้ , พรรณราย รัตนไพฑูรย,์ [รหสั แบบบนั ทึก ๒/๔๔]

๑๕๐ ฝึกฝนจากการเวทนาเล็กน้อย เวทนาท่ีไม่รุนแรงจนจิตเกิดความชำนาญ แหลมคม และว่องไว ใน การตามรู้สภาพของเวทนาแม้เล็กน้อยด้วย การวางเฉย จนสามารถปล่อยว่างในเวทนาท่ีรนุ แรง ได้ด้วยสมาธิท่ีมากพอเม่ือกำหนดเวทนา เวทนาก็จะหายไปด้วยสมาธิ แต่สมาธิยังไม่เข้มแขง็ เมื่อ กำหนดเวทนาแลว้ ย่งิ ปวดมากข้ึน ก็ตอ้ งผอ่ นจิตและสติ ใหด้ ูแบบรับรเู้ ฉยๆการเปล่ียนอิริยบถทันที ท่ีเกิดเวทนา ก็จะไม่มีอิริยาบถที่จะอดทนต่อเวทนาใหม่ท่ีตะเกิดขึ้นต่อไป สมาธิก็แตกซานไปแล้ว แตถ่ ้าสามารถกำหนดติดตามจนถงึ ทสี่ ดุ ของเวทนาแลว้ จะเหน็ อาการต่างๆ ของเวทนาอย่างพสิ ดาร จนเกิดปัญญาเขา้ ใจสภาวะธรรมชาติของเวทนา แลว้ ผู้ปฏิบัติจะกา้ วลว่ งสภาวะนั้นขึ้นไปสู่วปิ ัสสนา ญาณที่สูงข้ึน ถ้าเวทนารนุ แรงมากต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ขอ้ สำคญั ควรมีมนสิการในใจใหถ้ ูกต้องว่า การเปลี่ยนอิริยาบถเพราะสามารถมาจากความบีบค้ันจากอิริยาบถเก่าจิตคิดจะเปลี่ยนจึงมีการ เปลี่ยนอริ ิยาบถเป็นการพิจารณาให้เกิดความร้ถู ึงเหตุผลของรปู นามบางครั้งนามเป็นเหตุรูปเปน็ ผล บางคร้ังนามเป็นผลรูปเป็นเหตุ มิใช่เปล่ียนเพราะตัณหาความอยากให้เกิดสุขเวทนา แม้ใน อิริยาบถใหม่ที่เปลี่ยนไปน้ันก็เป็นทุกข์ แต่มักมองไม่เห็น อิริยาบถเก่าเป็นทุกข์เห็นได้ชัดเจนกว่า เม่ือสติ สมาธิ ปญั ญามากขน้ึ จะสามารถเหน็ รูปนาม ตามความเป็นจริงว่าเปน็ ทุกข์ได้๖๓ ๔.๒.๓ การขยายความจากผ้ศู กึ ษาวจิ ัยพบ : ด้านเวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน [๖๔] เวทนาเป็นผลที่เกิดจากจติ กระทบกับอารมณ์ และถ้าจิตยึดถือเวทนาไว้ ทุกข์ก็เกิด ซ้อนข้ึนมาด้วย ฉะน้ันจิตที่เข้ามาสัมผัสกับอารมณ์ จึงมีความรู้สึก(เวทนา) ควบคู่อยู่ด้วยเสมอ ไป เวทนาจึงเป็นความรู้สึกท่ีเกิดขนึ้ เมื่อมีอารมณ์มากระทบจิต หรืออีกนัยหนึ่ง เปน็ อาการท่ีจิต แสดงออกมาในขณะน้ันด้วย จัดเป็นนามในขันธ์ ๕ ความสำคัญของเวทนานุปัสสนา คือ การใช้ สติเข้าไปรู้เห็นเวทนาทั้งหลายอย่างต่อเนื่องลำพังจิตเองไม่ได้มีอะไรหรือไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้นและ ไม่ดี ไม่ใช่ช่ัว ไม่ใช่ทุกข์ และไม่ใช่สุขอีกด้วยเม่ือมีอารมณ์เข้ามากระทบจิต เวทนาเกิดตามด้วย ทนั ที ถ้ายังไมม่ ีอารมณ์มากระทบเวทนากย็ ังไม่เกิด ดังนั้นเวทนาจึงเป็นผลทีเ่ กิดจากจิตกระทบกับ อารมณ์และถ้าจิตยึดถือเวทนานั้นๆไว้ ทุกข์เกิดซ้อนขึ้นมาด้วยเพราะฉะน้ันจิตที่เข้ามาสัมผัสกับ อารมณจ์ ึงมีความรู้สกึ (เวทนา) ควบค่อู ยู่ดว้ ยเสมอไป เวทนาจึงเปน็ ความรู้สึกท่เี กดิ ข้ึนเมื่อมีอารมณ์ มากระทบจิต หรืออีกนัยหน่ึงเป็นอาการที่จิตแสดงออกมาในขณะนั้นด้วยจัดเป็นนามในขันธ์ ๕ ถ้าจิตเข้าไปยึดถือเวทนาท่ีเกิดขึ้นเนื่องด้วยอารมณ์ต่างๆ ไว้จิตก็ย่อมฟุ้งซ่านซัดส่ายตามเวทนาที่ กำลังปรุงแต่งไปด้วย ส่วนจิตฟุ้งซ่านหวั่นไหวมากหรือน้อยเพียงใดนั้นย่อมแล้วแต่ความยินดี- เพลิดเพลิน ถา้ ยดึ ถือมากก็ทุกขม์ ากถ้ายึดถือนอ้ ยก็ทุกข์น้อยถ้าไม่ยดึ ถือเลยก็ไม่มที กุ ข์๖๔ ๖๓ อ้างแล้ว,พรรณราย รตั นไพฑรู ย,์ [รหัสแบบบนั ทึก ๒/๔๔] ๖๔ อา้ งแล้ว,พระอนชุ า อนชุ าโต (นามจนั ทร์) [รหัสแบบบันทกึ ๔๘/๕๕]

๑๕๑ [๖๕] วธิ ีเจรญิ เวทนานปุ สั สนา หมายถงึ การเจรญิ สตปิ ัฏฐาน ๔ มี กาย เวทนา จติ ธรรม เมื่อย่อลงแล้วเหลือ นามกับรูป คือ การกำหนดรู้ตามสภาวธรรมที่เกิดข้ึนกาย จัดเป็น“รูป” ส่วน เวทนา จิต ธรรม จัดเป็น“นาม” ท่ีมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ดังน้ัน การกำหนด สุข ทกุ ข์ อุเบกขาทเี่ กิดคือ การรรู้ ูปนาม ท่ีเกิดข้นึ ทางกายและใจ เช่น เม่ือมีสุขเวทนาเกิดขึ้นก็กำหนด รู้เท่าทันต่อสุขเวทนาท่ีเกิดขึ้นว่า สุขหนอๆ เม่ือมีทุกข์เวทนาเกิดขึ้นก็มีสติรู้เท่าทันต่อทุกข์เวทนา วา่ ทุกขห์ นอๆ หรอื เม่อื อเุ บกขาเวทนาเกิดขนึ้ ก็มีสตริ ้เู ทา่ ทันตอ่ อุเบกขาเวทนาทีเ่ กิดขน้ึ ๖๕ ๔.๒.๔ การบรรลุผลการปฏบิ ตั ิ : ด้านเวทนานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน [๖๖] การปฏิบัติธรรมเจริญสติในพระไตรปิฎก เรียกว่า สตปิ ัฏฐาน ๔ ด้วยการพิจารณา หรือการกำหนดรู้กาย เวทนา จิตและธรรม โดยมีความละเอียดปลีกย่อยในการปฏิบัติแต่ละ ประเภทแยกย่อยออกไปอีกหลายข้อ วัตถุประสงค์สำคัญในการปฏิบัติทุกประเภท คือ ความดับ ทุกข์ เพราะว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางสายเอกสายเดียวที่นำผู้ปฏิบัติให้มุ่งตรงไปยังนิพพาน หรือ สภาวะท่ีดับทกุ ขไ์ ดส้ ิน้ เชิง๖๖ [๖๗] ผลการเจริญสติตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ พบว่า เมื่อผู้ปฏิบัติได้ ดำเนินการตามหลักสูตรที่พระสงฆ์อบรมแนวทางภาคทฤษฎีและนำสู่ภาคปฏิบัติแล้ว ย่อมทำให้ บคุ คลผู้ปฏิบตั ิเกดิ มีสติ ถือว่าสติมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวติ ของทุกคนเปน็ อย่างย่ิง จะเห็นได้ ว่า สติน้ันบุคคลจะต้องทำให้สมบูรณ์ ทำให้เกิดข้ึนโดยเร่ิมมีสติตั้งแต่เช้าตรู่ต่ืนนอน แปรงฟัน ล้าง หน้าลุกข้ึนไปทำงาน การรับประทานอาหาร เครื่องด่ืม การพบปะสังสรรค์กับบุคคลต่างๆ เพราะ สติเป็นตัวป้องกันความพลั้งเผลอของจิต ไม่ให้จิตตกเป็นทาสของอารมณ์ท่ีเข้ามากระทบทั้งฝ่าย อารมณ์ดีและไม่น่าปรารถนา เหตุนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมท่ีผ่านกระบวนการฝึกฝนตนเองให้มีสติดีแล้ว นนั้ จึงเป็นทีพ่ ึ่งให้แก่ตนและคนอื่นได้ เพราะสตเิ ป็นธรรมท่ีสง่ ต่อไปยังสมาธแิ ละปัญญา หากขาด สติแล้ว ปัญญา คือ เคร่ืองวินิจฉัยเรื่องราวต่างๆ ย่อมไม่เกิด เมื่อบุคคลขาดปัญญา ทุกข์ คือ สภาพที่กัดกร่อนหัวใจของมนุษย์ย่อมเข้ามาทำลายผู้นั้นให้ประสบกับความเสียใจ ความเศร้าใจ วิธีการแนวทางการปฏิบัติธรรมเจริญสติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ถือแนวทางอิริยาบถบรรพ เป็นหลักใหญ่แล้วน้อมเอาสติปัฏฐานข้ออ่ืนๆคือ เวทนา จิต และธรรม เข้ามาพิจารณาภายหลัง จากจิตได้ถืออารมณ์กรรมฐาน คือ อิริยาบถบรรพ เรียกว่า “การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว”จึง เป็นการปฏิบัติวิปัสสนาท่ีสอดคล้องกับพระพุทธองค์ทุกประการ เพียงแต่วิธีการและเทคนิคคำพูด ต่างๆ มีความหลากหลายและตรงใจผปู้ ฏบิ ัติตามยคุ สมัย จุดเด่นของการปฏิบตั แิ บบเคลื่อนไหว คือ การมีสติรู้ตัวอยู่กับอิริยาบถน้อยใหญ่จนสามารถท่ีจะดับทุกข์ในปัจจุบันได้ ซงึ่ ผลจากการเจริญสติ ๖๕ อา้ งแลว้ ,พระอนุชา อนชุ าโต (นามจนั ทร)์ [รหสั แบบบันทกึ ๔๘/๕๕] ๖๖ อา้ งแลว้ , พระสวุ รรณ สวุ ณฺโณ(เรอื งเดช), [รหัสแบบบันทกึ ๑๙/๕๓] .

๑๕๒ ท่ีนำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวนั ในลักษณะต่างๆ เช่น การควบคมุ อารมณ์ การมีสตสิ มั ปชญั ญะ การรู้จักตนเอง การมีสมาธิ การเข้าใจผู้อื่น ด้านการทำงาน ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อมทาง กายภาพของผู้ปฏบิ ตั ธิ รรมเจริญสติ๖๗ [๖๘] การเจริญเวทนานุปัสสนาเพื่อพัฒนาชีวิตจำแนก (๑)การปฏิบัติเวทนานุปัสสนา ของบรรพชิตและ (๒) ด้านคฤหัสถ์ คือ การปฏิบัตเิ วทนานุปัสสนาของคฤหัสถ์ คือ (๑)การปฏิบัติ เวทนานุปัสสนาเพื่อพัฒนาชีวิตบรรพชิต โดยเฉพาะในด้านของการศึกษาพระธรรมและด้านการ พัฒนาจิตใจ เพราะบรรพชิตหรือพระสงฆ์ ผู้นำจิตวิญญาณที่ต้องศึกษาให้เกิดความเข้าใจที่ส่งผล ต่อการพัฒนาจิตใจตนเองและเข้าใจถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซ่ึงผู้วิจัยแบ่งการศึกษา ออกเป็น ๓ ประการ คือ ๑)ด้านการศึกษาพระธรรมของบรรพชิต ๒)ด้านการพัฒนาจิตใจของ บรรพชิต ๓)ด้านการพัฒนาสังคม บรรพชิตหรือพระสงฆ์ทั้งหลายจะต้องกำหนดรู้ในเมื่อสุขหรือ ทุกข์กำลังเกิดขึ้นว่า สุขหรือทุกข์อย่างไร หรือเม่ือรู้ว่าไม่สุข ไม่ทุกข์ก็รู้ชัดแก่ใจ หรือสุขหรือทุกข์ เกิดขนึ้ จากอะไรเปน็ มูลเหตุ เช่น เกิดจากการเห็นรูปหรือได้ยินเสียง หรือไดล้ ิ้มรส หรือไดส้ ัมผัสก็รู้ ชัดแจ้งหรือเม่ือรู้สึกเจ็บหรือปวดหรือเม่ือย ก็รู้ชัดว่าด้วยสติ เพราะเมื่อมีการปฏิบัติเวทนานุปัสส นาจะทำให้ได้รบั อานิสงส์ คอื สามารถพัฒนาชีวติ ของตนเองไปส่พู ระธรรมคำสอนและพัฒนาจิตใจ ของตนเองซ่ึงบรรพชิตปัจจุบันนี้ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือสังคมทางด้านจิตใจ เช่น การ เทศนาธรรม การนำปฏิบัติธรรม เป็นต้น จึงจะทำให้เข้าใจเวทนานุปัสสนาที่ส่งผลต่อการดำเนิน ชวี ติ ในปัจจุบันได้เปน็ อย่างดีท่สี ดุ หากมคี วามรู้สกึ เกดิ ขึ้นก็ตอ้ งรู้เท่าทันตามรูใ้ นความรู้สึกเพ่ือความ รู้เท่าทันอย่างต่อเนื่อง (๒)การปฏิบัติเวทนานุปัสสนาเพื่อพัฒนาชีวิตของคฤหัสถ์ คือ ต้องมี ความรู้สึกอยากและไม่อยากติดตัวมาตงั้ แตเ่ กิด ความอยากและไมอ่ ยากจะผลักดันใหม้ นษุ ย์ดำเนิน ชีวิตอยู่ได้ยาวนานและปลอดภัย การฝึกเจริญเวทนานุปัสสนาเพ่ือหยุดความคิดท่ีไม่ดีทำให้ทุกข์ คือวัตถุประสงค์ของการฝึกเจริญเวทนานุปัสสนา คือการฝึกสติอย่างเข้มข้นเพื่อหยุดความรู้สึก ทุกรปู แบบ การฝึกหยดุ ความคิดทุกแบบโดยการมีสตอิ ยู่กับกิจเพยี งกิจเดียวซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของ การฝึกกำกับและควบคมุ ความคดิ มิให้หลงไปกับอาการตา่ งๆท่ีเกิดข้ึนและให้เขา้ ใจสภาวะนั้นๆ ใน การปฏิบัติสมาธิขณะท่ีมีสมาธิต้ังมั่นอยู่กับกิจที่กำหนดไว้ เช่น อยู่กับลมหายใจความรู้สึกต่างๆจะ เกิดข้ึนก็ให้หยุดการรับอารมณ์ต่างๆและไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านเพราะความคิดฟุ้งซ่านอาจเป็น สาเหตุให้เกิดความรู้สึกท่ีไม่ดีตามมาและปล่อยวางไม่ได้ในท่ีสุด การเจริญสมาธิอย่างถูกต้องตาม หลักการในพระพุทธศาสนาคือการฝึกมีสติในการกำกับและควบคุมความรู้สึกอย่างจริงจังถึงขั้น หยุดความคิดเพ่ือให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนเป็นอย่างดีเยี่ยมและอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้ นอนหลบั ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกสมาธิจนมคี วามชำนาญคือ จะสามารถหยุดความคิดต่างๆที่ ขดั แย้งกบั หลกั ธรรมได้ในทนั ทีท่ีตอ้ งการ เพราะการกำหนดรู้เวทนาท่ีเกิดขึ้นจะทาให้เขา้ ใจสภาวะ ๖๗อ้างแล้ว, พระสุวรรณ สวุ ณโฺ ณ (เรอื งเดช), [รหสั แบบบันทึก ๑๙/๕๓] .

๑๕๓ ของธรรมชาติ ของสังขารในตัวเราได้เม่ือจะนำเอาหลักการปฏิบัติเวทนานุปัสสนาท่ีถือว่าเป็น อานสิ งสเ์ พ่ือมาใชใ้ นการพฒั นาชีวติ ของตนเองได้ ๖๘ ๔.๓ การสังเคราะห์ดา้ นจติ ตานปุ สั สนาสติปัฏฐานจากงานวิทยานิพนธ์ จากประมวลรวบรวมงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เรอื่ งมหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เลม่ โดยจำนวนงานวทิ ยานิพนธ์ดา้ นจิตตานุปสั สนาสติปฏั ฐาน (การพิจารณาจิต) มีจำนวนวิทยานิพนธ์ ๑๑ เรื่องที่เก่ียวข้อง โดยนำมาศึกษาเพ่ือสังเคราะห์ด้าน จิตตานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ไดผ้ ลการศึกษาดงั ตอ่ ไปนี้ ๔.๓.๑ หลกั การปฏิบตั ติ ามพระไตรปฎิ กและคมั ภรี ์ : ด้านจติ ตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน [๖๙] คัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทพบการกล่าวถึงจริตจำนวนมากโดยพบใน พระไตรปิฎก คมั ภีรเ์ นติปกรณ์ อรรถกถา มหาสติปัฏฐานสูตร คัมภีร์วิมุตตมิ รรค คมั ภรี ์วิสุทธิมรรค คัมภีร์อภิธรรมมัตถสังคหะ คัมภีร์ปรมัตถทีปนี มีการแบ่งจริตออกเป็น ๓ แนวทางใหญ่ๆ คือ (๑) แบ่งจริต ๖ ประเภท (๒)แบ่งจริตเป็น ๒ ประเภท (๓) แนวทางการแบ่งจริตอย่าง พระพุทธเจ้า อาจแสดงธรรมและแนวทางการภาวนาให้เหมาะสมกับจริตนิสัยของผู้ฟังคนเดียวหรือกลุ่มผู้ฟัง ขนาดเล็กจึงเหมือนมีแนวทางการภาวนาหลายอย่างที่ทรงแนะนำให้สาวกปฏิบัติ เช่น อานาปาน สติ กายคตาสติ ส่วนสติปัฏฐานสูตรเป็นพระสูตรท่ีมีขนาดยาวมากเป็นพิเศษ ประกอบไปด้วย หลายหมวดย่อย ดังนั้นสติปฏั ฐานสตู รจงึ เหมอื นการรวบรวมแนวทางท่เี หมาะสมกบั คนทุกจริต ไวใ้ นพระสูตรเดยี วกัน แต่ทั้งน้ีทั้งนน้ั ผปู้ ฏิบัติอาจเลือกเอาหมวดใดหมวดหน่ึงที่ถูกอัธยาศยั ซง่ึ การ เลอื กเจริญสติปัฏฐานเพยี งหมวดเดยี วก็อาจสามารถให้ผลทางปฏิบตั ไิ ด้เชน่ เดียวกัน เช่น การเจริญ อานาปานสติเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้การเจรญิ สตปิ ัฏฐานท้งั หมดครบสมบูรณ์ได้ กรณีพระ อานนท์คืนสุดท้ายก่อนบรรลุธรรม ท่านเจริญกายคตาสติเป็นส่วนมากเป็นข้อยืนยันว่า แม้หมวด กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเพียงหมวดเดียวก็สามารถทำให้บรรลุผลได้ ดังน้ันสรุปว่าการเจริญสติ ปัฏฐานแต่ละหมวดเข้าประตูไหนก็ไดห้ รือกองดนิ กลางสี่แยกทไ่ี มว่ ่าจะขบั รถจากทางทศิ ใดก็ตอ้ ง กระทบกับกองดิน ดังนั้นการเข้าถึงความมีสติการเจริญสติปัฏฐานในหมวดใดหมวดหนึ่งหรือ แมก้ ระท่ังหมวดย่อยหมวดใดหมวดหนึ่งกไ็ ด้แลว้ แตผ่ ปู้ ฏบิ ัตจิ ะเลอื กปฏบิ ตั ิในแนวทต่ี นถนัด๖๙ [๗๐]สตแิ ละสติปัฏฐานเป็นธรรมะสำคัญท่ีสุดและถกู กล่าวมากที่สดุ โดยเฉพาะกล่าวถึงใน ฐานะทางเอกสายเดียวมุ่งตรงสู่พระนิพานพระพุทธองค์ตรัสสอนสติปัฏฐาน ๔ ถึง ๒๑ หมวดย่อย ๖๘อ้างแล้ว, พระอนชุ า อนุชาโต(นามจนั ทร์), [รหสั แบบบันทึก ๔๘/๕๕] ๖๙ อา้ งแล้ว , สเุ มธ โสฬศ, รหสั แบบบนั ทกึ ๔๒ – ๕๔]

๑๕๔ เพ่ือให้ครอบคลุมการปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติทุกคน ในขณะที่ความรู้เรื่องจริตในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญม่ งุ่ ศึกษาเรอ่ื งจรติ ๖ เป็นเครอ่ื งมือในการเจริญสตปิ ัฏฐานสมถกรรมฐานส่วนการเจริญสติ ปัฏฐาน ๒๑ หมวดย่อยยังไม่มีเคร่ืองมือในการจำแนกจริตที่เหมาะสมรวบรวมองค์ความรู้ในการ เจริญสติปัฏฐาน และองค์ความรู้ท่ีว่าด้วยเรื่องของจริต ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา คัมภีร์ ช้ันหลงั ในพระพุทธศาสนาเถรวาท นำมาศึกษาวิเคราะห์และจัดการบูรณาการอย่างเหมาะสมเพ่ือ สรา้ งเครอ่ื งมอื จำแนกจรติ สามารถประเมนิ ตนเองและทราบจรติ ของตนเองเพื่อทำใหส้ ามารถเลอื ก กรรมฐานท่ีเหมาะสมกับจริตและสอดคล้องกับวธิ ีการดำรงชีวติ ของตนในยุคปัจจุบันเพ่อื ประโยชน์ ในการนำไปปฏิบัตใิ ห้เหมาะสมกับตนเองต่อไป๗๐ [๗๑] จรติ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทจัดหมวดหมอู่ งค์ความรู้เรอ่ื งจรติ ทีเ่ ก่ียวข้องกับ การเจรญิ สติปัฏฐานนำไปสู่การสร้างแบบจำลองเครือ่ งมอื จำแนกจริต ๔ สำนัก ได้แก่ สายพองยุบ สายอานาปานสติแบบท่านพุทธทาส สายพระธุดงค์กรรมฐาน และสายดูจิตแบบหลวงปู่ดูลย์ แนวทางการแบ่งจริต ๖ ประเภท ๑)ราคจริต ๒)โทสจริต ๓)โมหจริต ๔)วติ กจริต ๕)สัทธาจริต ๖) ญาณจริต หรือพุทธิจริต พบหลักฐานในคัมภีร์ (๑)พระไตรปิฎก (๒)คัมภีร์วิมุตติมรรค (๓)คัมภีร์ วิสุทธิมรรค (๕)คัมภีร์อภิธรรมมัตถสังคหะ (๖) คมั ภีร์ปรมตั ถทีปนี ซ่ึงในพระไตรปิฎกใช้จรติ ในข้อ ท่ี๖ ว่า ญาณจริต ส่วนคัมภีร์อ่ืนๆใช้คำว่า พุทธิจริต ทั้งน้ีแนวทางในการแบ่งจริต ๖ เป็นที่รู้จัก แพร่หลายมาก ซึ่งในแต่ละคัมภีร์กล่าวถึงจริต ๖ ได้สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ โดยการกล่าวถึง จริต ๖ จุดประสงค์มุ่งเน้นไปสู่การเตรียมตัวเพ่ือเลือกแนวทางการเจริญสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ เปน็ หลักใหญ่สำหรบั เรื่องกรรมฐานท่ีเหมาะสมในแต่ละจริต แนวทางการแบ่งจริตเป็น ๒ ประเภท คือ ตัณหาจริตและทิฏฐจิ ริตพบ(๑) คมั ภีร์เนตติปกรณ์ (๒)อรรถกถา(มหาสติปัฏฐานสูตร) แนวทางการแบ่งจริตเป็น ๒ ประเภท มุ่งเน้นเพ่ือการเจริญสติปัฏฐานเป็นหลัก โดยแบ่งจริตและ ความแก่กลา้ ของปัญญาเพ่อื เปน็ เคร่ืองชว่ ยเลอื กหมวดในการเจริญสตปิ ฏั ฐาน ๔ การพบจริต ๒ ใน เนตติปกรณแ์ ละอรรถกถา(มหาสติปฏั ฐานสูตร)๗๑ [๗๒] กรรมฐานทเ่ี หมาะสมกับจริต ๖ แยกตามคมั ภรี ์๗๒ จริต พระสารบี ุตร วิมตุ ติมรรค วิสุทธิมรรค ราคจรติ อสุภกรรมฐาน อสุภสญั ญา ๑๐ และ กายคตา อสุภสญั ญา ๑๐ และ สติ ไมค่ วรเจรญิ อัปปมญั ญา๔ กายคตาสติ (และกสิณ ๖ อรปู ๔) ๗๐ อา้ งแลว้ , สเุ มธ โสฬศ, รหสั แบบบนั ทึก ๔๒–๕๔] ๗๑ อา้ งแล้ว, สเุ มธ โสฬศ, รหัสแบบบนั ทึก ๔๒–๕๔] ๗๒ อา้ งแลว้ , สเุ มธ โสฬศ, [รหสั แบบบนั ทกึ ๔๒–๕๔]

๑๕๕ โทสจริต เมตตา ผมู้ ีอินทรยี ์อ่อนควรเจรญิ พรหมวหิ าร ๔ และ อัปมญั ญา ๔ หรอื วัณณกสิณ ผมู้ ี วัณณกสิน ๔ อินทรยี แ์ ก่ควรฝึกอรปู กรรมฐาน ( และกสณิ ๖ อรปู ๔) แตไ่ ม่ควรเจรญิ อสุภสญั ญา๑๐ โมหจรติ การเรียน ไตถ่ าม ฟัง ควรทำการศึกษาพระธรรม ฟัง อานาปานสติ ธรรมตามกาล การ ธรรมตามกาล ควรอยู่กับ ( และกสิณ ๖ อรูป ๔) สนทนาธรรมตามกาล อาจารย(์ หากมปี ัญญาแล้ว) ควร การอยู่ร่วมกับครู ฝกึ มรณสติ และจตธุ าตุววฏั ฐาน สทั ธา อนุสสต๔ิ พทุ ธานุสสติ อนุสสติ๖ อนสุ สติ๔ จรติ ธรรมานสุ สติ สงั ฆานสุ (เพม่ิ จาคานุสสติ และ (เพม่ิ จาคานุสสติ และ สติ ศลี านสุ สติ เทวตานสุ สต)ิ เทวตานสุ สติ) (และกสิณ ๖ อรูป ๔) ญาณจริต นิมิตแห่งวิปัสสนา มี จตุธาตวุ ฏั ฏฐาน จตธุ าตวุ ัฏฏฐาน อาหาเร หรอื อาการไม่เท่ียง เป็นทุกข์ อาหาเรปฏิกูลสัญญา มรณสติ ปฏิกูลสัญญา มรณสติ พุทธิจรติ เปน็ อนัตตา และอุปสมานสุ สติ และอุปสมานุสสติ (และกสิณ ๖ อรูป ๔) วิตกจรติ อานาปานสติ อานาปานสติ อานาปานสติ (และกสิณ ๖ อรูป ๔) [๗๓] แนวคิดเร่ืองฌานในพระพุทธศาสนาเถรวาท คำว่า“ฌาน”หลักพระพุทธศาสนา เถรวาท หมายถึง การเพ่งและการเผา คือ เพ่งอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหน่ึงจน จิตเป็นสมาธิท่ีท่านเรียกว่า เอกัคคตา หมายถึง การเผา คือ เผ่าอารมณ์อันข้าศึกต่อฌาน ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ให้มีกำลังน้อยลงหรือไม่ให้เกิดข้ึน เม่ือจิตเป็นสมาธิในขณะท่ีอยู่ในฌานสามารถท่ีจะกด กิเลสไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ ฌานใช้ในความหมายท่ัวไป หมายถึง จ้องได้ จากการศึกษาแนวคิดเร่ืองฌาน ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท พบวา่ แนวคดิ เรือ่ งฌานมีมานานแล้วต้ังแต่ก่อนสมยั ท่ีพระพุทธเจ้าจะ ทรงอุบัติข้ึน ดังปรากฏในชาดกต่างๆและบุคคลท่ัวไปนิยมที่จะฝึกกันเป็นอันมากโดยเฉพาะพวก นักบวชลัทธติ า่ งๆ เช่น โยคี ฤาษี ชีไพร ฌานเป็นผลมาจากการปฏิบัติสมถกมั มฏั ฐานโดยการเพ่ง อารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึงในบรรดาอารมณ์สมถกัมมัฏฐาน ๔๐ จนจิตเป็นสมาธิถึงขั้นบรรลุ ฌานในระดับต่างๆ การปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน มีหลักในการปฏิบัติอยู่ ๒ ประการ ประการท่ี ๑ คือ การเข้าไปเพ่งรูปธรรมเป็นอารมณ์ เช่น การเพ่งกสิณ เป็นต้น เป็นอารมณ์จนสามารถบรรลุ รูปฌาน ๔ ประการที่ ๒ คือ การเข้าไปเพ่งอรูปธรรมเป็นอารมณ์ เช่น การเพ่งอากาศเป็นต้น เป็นอารมณ์จนสามารถบรรลุอรปู ฌาน ๔ รูปฌาน ๔ และอรปู ฌาน ๔ รวมกนั เรียกว่า สมาบัติ ๘

๑๕๖ จิตที่อยู่ในฌานเป็นจิตที่สงบ ผ่องใส ปราศจากกิเลสเศร้าหมอง ซ่ึงเป็นข้าศึกต่อการบรรลุฌานคือ นิวรณ์ ๕๗๓ [๗๔] จติ ตวิสทุ ธใิ นการปฏบิ ัตวิ ปิ สั สนาภาวนา เป็นการฝกึ สมาธิใหต้ งั้ ม่ันในอารมณ์เดียว เพื่อจะเป็นบาทในการเจริญวิปัสสนาต่อไปจะมีเพียงสมาธิท่ีแนบแน่นอยู่ในสมถารมณ์หรือ วปิ ัสสนารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองสมาธิดังกล่าวเป็นจิตตวิสุทธิอย่างแท้จริงจิตที่มีสมาธิรว่ มน้ัน ย่อมจะหมดจดจากนิวรณ์ด้วยกำลังของสมาธิ องค์ธรรมได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ในจิตตวิสุทธิ เข้าถึงระดับจิตตวิสุทธิมี ๓ ประเภท (๑)อุปจารสมาธิ สมาธิใกล้ฌาน สมาธิใกล้จะแนบแน่น (๒) อัปปนาสมาธิ สมาธิแนบแน่น (๓)ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะสมาธิ สองประการแรก คือ อุปจาร สมาธิและอัปปนาสมาธิ กล่าว สมถยานิก ผเู้ จรญิ สมถะเป็นบาทของวิปัสสนา ส่วน ขณิกสมาธิ กลา่ ว วิปัสสนายานิก ผูเ้ จรญิ วิปสั สนาโดยตรงอุปจารสมาธิเปน็ กามาวจรสมาธิที่เกิดแก่ผู้เจริญสมถ ภาวนา ผู้ที่บรรลุปฏิภาคนิมิตในขณะที่ปราศจากนิวรณ์ธรรมแล้วหรือสามารถรับรู้พระพุทธคุณ ชัดเจน หมายถึง สมาธิในกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปานสติ ๑ พรหมวิหาร ๔ และอารุปปกรรมฐาน ๔ โดยตรง หมายถึง อนุสสติ ๘ ปฏิกูลสัญญา และธาตุววัตถานโดยอ้อม เพราะกรรมฐาน ๑๐ อย่าง ทำให้บรรลุถึงสภาวะที่ปราศจากนิวรณไ์ ดแ้ ต่ไม่อาจทำใหบ้ รรลุฌานได้ จึงจัดเป็นอุปจารสมาธิโดยอ้อม อัปปนาสมาธิเป็นสมาธิท่ีแนบแน่นอยู่ในกสิณารมณ์เป็นต้น ท่ี กำลังเพ่งอยหู่ มายถึง สมาบัติ ๘ หรอื รูปฌาน ๔ หรือรูปฌาน ๕ และอรปู ฌาน ๔ ขณิกสมาธิเป็น สมาธิท่ีเกิดชั่วขณะเม่ือกำหนดรู้สภาวธรรมอยู่ย่อมปรากฏขึ้นเมื่อจิตต้ังม่ัน ในอารมณ์ปัจจุบัน ที่ เปน็ รปู นามอย่างต่อเน่ือง ปราศจากนิวรณ์ ในขณะท่ี อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธาวิรยิ ะ สติ สมาธิ และ ปัญญา มีกำลังสม่ำเสมอกันแก่ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาผู้ท่ีเจริญวิปัสสนาโดยอาศัยอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิ ช่ือว่า สมถยานิก คือผ้ดู ำเนินไปสู่มรรค ผล และนิพพานด้วยสมถยาน สมาธิท้ัง สองอย่างนั้นจึงเป็นจิตตวิสุทธิเป็นที่อาศัยของสมถยานิก ส่วนผู้ที่เจริญวิปัสสนาอย่างเดียวโดยไม่ อาศัยสมาธิท้ังสองน้ัน ช่ือว่า สุทธิวิปัสสนายานิก คือ ผู้ดำเนินไปสู่มรรค ผล และนิพพานด้วย วิปัสสนายานล้วนๆบุคคลประเภทน้ี มีขณิกสมาธิอย่างเดียวเป็นจิตตวิสุทธิ จากการศึกษาพบว่า สมถยานิกผู้ปรารถนาจะบรรลุธรรมควรพยายามเจริญฌานขั้นใดข้ันหน่ึงในฌาน ๔ ก่อนเม่ือ เข้าถึงฌานแล้วควรปฏิบัติให้คล่องแคล่วแล้วจึงใช้ฌานเป็นบาทในการเจริญวิปัสสนา เม่ือเจริญ วิปัสสนาถึงกำหนดรู้อารมณ์ที่ปรากฏชัดได้แก่นามธรรม คือ ฌานจิตตุปบาท ในปัจจุบันขณะน้ัน หทยั รปู อันเป็นทีต่ งั้ ของจติ หรอื รูปอย่างใดอย่างหนึ่งทเี่ กดิ ข้นึ กบั จิต ส่วนวปิ ัสสนายานิกท่เี ริ่มเจริญ วิปัสสนาเป็นลำดับแรกโดยมิได้เจริญสมถภาวนามาก่อนควรเจริญธาตุกรรมฐานเพื่อให้เกิด วิปัสสนาขณิกสมาธิอย่างต่อเน่ืองไม่ส่งจิตไปหาอารมณ์ภายนอก เม่ือจิตจดจ่ออยู่กับสภาวะ ปัจจุบนั ก็จะเกดิ จิตตวิสุทธิสามารถยังวิปัสสนามรรคใหเ้ กิดข้ึนได้ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมตามหลัก ๗๓อา้ งแลว้ , พระมหากฤช ญาณาวโุ ธ (ใจปลมื้ บญุ ), [รหัสแบบบันทกึ ๕-๔๗]

๑๕๗ สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นสิ่งที่ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เรียกว่า เดินทางสายเอกด้วยตัวเพียงคน เดียว เม่ือถึงที่สุดแห่งทางท่ีเดินแล้วก็ถึงคนเดียวรู้จักพระนิพพานเพียงคนเดียวและได้รับผลของ การปฏิบัติธรรมเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้อื่นไม่รู้และไม่ได้รับผลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมได้ดังคำ วา่ “อันผ้รู ู้ จะพึงร้ไู ด้เฉพาะตน”๗๔ [๗๕] สภาวธรรมของอทุ ยัพพยญาณจิตรู้อารมณ์ทั้งท่ีเป็นปรมัตถ์และบัญญัติมีสติระลึก รู้สภาวะลักษณะและอาการของนามและรูป รู้ความเกิดขึ้น ของนามรูปในปัจจยปริคหญาณ รู้ ความดับของนามรูป ในสัมมสนญาณและความรู้เกดิ ขึ้นและดับไปของนามรูปในปัจจุบันชัดเจนว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ส่ิงที่ปิดบังไตรลักษณ์ คือสันสติ ได้ถูกทำลายลงแล้วซ่ึงการรับรู้ สภาวะลักษณะและอาการท่ีเป็นลำดับเช่นนี้ เรียกว่า อุทยัพพยญาณ ด้วยเหตุนี้ อุทยัพพยญาณ จงึ เป็นญาณหรือปัญญาท่ีสำคัญของปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ อันเป็นหนทางปฏิบัติท่ีให้ถึง ความ บริสุทธข์ิ องปญั ญา๗๕ [๗๖] หลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาสติปัฏฐาน ๔ เป็นพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรง ตรสั เก่ยี วกับปฏิปทาหรือแนวทางฝกึ ฝนจิตเพื่อประจกั ษ์แจ้งอรยิ สัจธรรมเปน็ เปา้ หมายสูงสุดของ พระพุทธศาสนามีความเป็นระบบท้ังมเี นื้อหาสาระกวา้ งครอบคลมุ พุทธธรรมไว้ท้ังหมด คือ หมวด ศีล หมวดสมาธิ และหมวดปัญญา ทรงวางลำดับแห่งสติปัญญาไว้จากหยาบไปละเอียด คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ทุกหมวดธรรมแห่งหลักธรรม มีความสัมพันธ์กับอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติ และ เนื้อหาในแต่ละหมวดนั้น กจ็ ัดลำดับจากหยาบไปสู่ละเอยี ดเชน่ กัน๗๖ ๔.๓.๒ วธิ กี ารปฏบิ ัตติ ามคำสอนครบู าอาจารย์ : ด้านจิตตานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [๗๗] ทัศนะต่อความสงบแบบสมถะ คือ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มองว่าความสงบ แบบสมถะถึงขั้นจิตสงบจนเกิดฌานยังอยู่ภายใต้โมหะยังไม่ใช่ทางดำเนินไปสู่ความสงบอย่างถาวร ที่ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้โมหะ ส่วนความสงบที่เกิดจากการเจริญสติรู้เท่าทันกายที่เคล่ือนไหวและ จิตใจที่นึกคิดจึงเป็นทางเข้าถึงความสงบที่ถาวร ดังนั้นแนวการปฏิบัติไม่ส่งเสริมให้เจริญสมถะ จนจิตสงบลงในฌาน ตรงกันข้ามกับ วิธีการปฏิบัติตามแนวท่านพุทธทาสภิกขุ มองว่าความที่จิต สงบเป็นสมาธิถึงระดับฌานเป็นประโยชน์เก้ือกูลอย่างย่ิงต่อการเจริญวิปัสสนาข้ึนสูงขึ้นไปจัดเป็น วิหารธรรมท่ีดีอีกอย่างหนึ่งด้วยแม้แนวการปฏิบัติของท่านทั้งสองจะมีรูปแบบและวิธีการรวมถึง ทัศนะต่อความสงบต่างกันแต่เมื่อพิจารณาในส่วนที่เหมือนกันพบว่าท่านท้ังสองยึดการปฏิบัติ กรรมฐานโดยใช้สติเป็นพ้ืนฐานสำคัญของการปฏิบัติและมุ่งเน้นการประจักษ์แจ้งผลของการ ๗๔ อ้างแลว้ ,พระครปู รยิ ตั ิกาญจนโชติ(มานติ ย์ ธมมฺ โชโต), [รหสั แบบบนั ทึก ๓๐-๕๔] ๗๕ อา้ งแลว้ ,รุจาภา ธงปล้ืมจติ ร, [รหสั แบบบันทกึ ๑๖–๕๒ ] ๗๖ อ้างแล้ว, รุจาภา ธงปลม้ื จิตร, [รหัสแบบบนั ทึก ๑๖–๕๒ ]

๑๕๘ ปฏิบัติในปัจจุบันเป็นหลักสำคญั โดยไม่ต้องรอถึงภพหนา้ เพราะการกระทำทุกอย่าง ตามทรรศนะ ทางพุทธศาสนาย่อมส่งผลแกผ่ ปู้ ฏิบัติในขณะท่ีทำลงไปซึ่งผลทางด้านจิตใจโดยตรงส่วนผลทางดา้ น วัตถุจัดเป็นผลโดยอ้อม เช่นเดียวกับการปฏิบัติกรรมฐานย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับความสงบ เย็น ในขณะทปี่ ฏิบตั ิ๗๗ [๗๘] วิปลาสท่ีเกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานในทัศนะของครูผู้สอนกรรมฐานกล่าวถึง วิปลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานดังนี้ อุบาสิกาแนบ มหานีรานนท์ และพระธรรมธีรราช มหามุนี(เจ้าคุณโชดก) กล่าวถึงวิปัสสนูปกิเลสจะเกิดขึ้นในช่วงญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ รอยต่อกับ ญาณท่ี ๔ อุทยัพยญาณ ซ่ึงจะทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง คิดว่าตนบรรลุธรรมหรือเป็นผู้มีความ พิเศษ ดังนนั้ การปฏบิ ัตคิ วรมีครูอาจารย์ท่ีแนะนำไดถ้ กู ทาง หลวงพ่อฤาษลี ิงดำ(พระราชพรหมยาน) กล่าวว่าเปน็ ผู้วิปลาสเพราะปฏิบัติกรรมฐานเกนิ พอดีกว่าท่ีครูสอน หลวงป่ดู ู่ พรหมปญั โญกล่าวว่า วิปลาสเพราะยึดมั่นถือม่ัน อุปาทาน อุบาสิการัญจวน อินทรกำแหง กล่าวว่าเป็นเพราะปฏิบัติ กรรมฐานเพื่อสง่ เสริมตวั กูเพิ่มมากขึ้น พระสมภาร สมภาโร (ทวรี ัตน)์ กล่าวว่าการปฏิบตั กิ รรมฐาน เป็นการป้องกันไม่ให้คนเสียจริต ส่วนคนเสียสติเพราะปฏิบัติในสิ่งท่ีคลาดเคล่ือนไปจากวิปัสสนา กรรมฐาน พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช กล่าวว่าเพราะมีตัณหาแทรกอยูใ่ นระหว่างการปฏิบัติ ไม่กำหนดรู้ทุกข์กายและใจอย่างแท้จริง การภาวนาผิดทำให้ไม่หายจากทุกข์แล้วทุกข์ยังเพ่ิมมาก ข้ึน พระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล แนะนำว่าเม่ือจิตเป็นสมาธิแม้เล็กน้อยจิตมักจะออกไปรู้เห็น มากมายโดยมิได้ต้ังใจเห็นเองอย่างอัศจรรย์แรกๆอาจถูกต้องเป็นของจริงแต่นานไปจิตฟุ้ง เพลิดเพลิน ต้องมีสตคิ วบคมุ ดร.สนอง วรอุไร กล่าวว่าการปฏิบตั ิกรรมฐานเมื่อเกิดวิปสั สนูปกิเลส ๑๐ อย่าง ถ้าไม่มีใครไปแก้ปัญหาให้อาจเป็นบ้าได้ หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวว่า การปฏิบัติวิปลาส นั้นต้องมีการกระทำท่ีถูกต้องที่สุด ความถูกต้องคือไม่มีปัญหา วิปัสสนาจึงจะไม่ล้มเหลว พระ อาจารย์เสาร์ กันตสีโล ได้เคยแก้อาการบ้าให้ลูกศิษย์เพราะสัญญาวิปลาส ส่วนท่ีแก้ไม่ได้เพราะมี เช้ือบ้าแต่กำเนิด หลวงปู่ม่ัน ภูริทัตโต แนะนำว่าอย่าหลงเชอื่ นิมิต จะเป็นบ้าได้ หลวงปู่ดุล อตุโล กล่าวว่าวิปัสสนูปกิเลสมีอำนาจทำให้น้อมใจเช่ืออย่างรุนแรงโดยไม่เท่ากันเป็นการสำคัญผิด อาการที่เกิดจากวิปัสสนูปกิเลสจะคล้ายคลึงคนบ้าแต่เป็นเพียงสติวิกลเพราะจิตต้ังมั่นอยู่กับ อารมณ์ภายนอก สติคุมไม่ทัน การที่ผู้ปฏิบัติเป็นวิปลาสน้ัน เขาเห็นจริง แต่ส่ิงที่เห็นนั้นไม่จริง หลวงปู่ฝ่ัน อาจาโร กล่าวว่า กิเลสปรุงหลอกให้หลงวิปัสสนูปกิเลส เป็นเหตุให้เกิดสัญญาวิปลาส ความเห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หลวงพ่อชา สุภัทโท กล่าวว่าการหลงระเริงกับ อิทธิปาฏิหาริย์ผิดวตั ถุประสงค์ของการปฏิบัติกรรมฐานจะเป็นบ้าได้ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย กล่าวว่า นิมิตเป็นมโนภาพที่จิตเราสร้างข้ึนหากเราเข้าใจผิดว่าเป็นผู้วิเศษก็จะน้อมให้ตัวเองกลายเป็นคน ๗๗อา้ งแล้ว,พระมหานพิ นธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต (แสมแก้ว), [รหัสแบบบันทึก ๓-๔๖]

๑๕๙ ทรงผี เม่ือเกิดวิปลาสแก้ไขได้โดยต้องให้ครูผู้สอนเป็นคนแก้ไข ถ้าไม่มีครูต้องหาผู้ทรงภูมิธรรม แก้ไขหรือหยุดภาวนาไป พระอาจารย์พล ยโสธโร กล่าวว่าผู้ปฏิบัติแล้ววิปลาสมีพ้ืนฐานจิตเดิม ชอบเรอื่ งอิทธฤิ ทธม์ิ กั เป็นผู้อ่านมากมคี วามรู้มากแกไ้ ขโดยอยา่ ตามนมิ ิต หาครูผูช้ ำนาญแกไ้ ขให้ถูก จุด และหยุดทำกรรมฐาน ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ กล่าวว่าความคลาดเคลื่อนความ แปรปรวนไปจากสภาวะความเป็นจริงมี ๒ ลักษณะ ได้แก่ สัญญาวิปลาส คือ จำผิด สำคัญผิด จากบัญญัติเป็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์เป็นบัญญัติ ผิดเป็นถูกถูกเป็นผิด จริงเป็นปลอมปลอมเป็นจริง และ สติวปิ ลาส คือสติสำคัญไปตามสัญญา หลวงพ่อสุเมโธ กล่าวว่าถา้ ผปู้ ฏิบัติกรรมฐานเป็นเพียง คิดและเช่ือตนเองหรืออวดดี ก็จะทำให้เป็นบ้าได้ ต้องรู้เท่าทันภาพนิมิต พระอาจารย์ปสันโน กล่าวว่าวิปลาสตามภาษาบาลี คือ ทุกคนวิปลาสหมด วิปลาสตามภาษาไทยคือบ้า ไม่เต็มเต็ง ถ้า ปฏิบัติธรรมควรแก่ธรรม ไม่เป็นบ้า เป็นบ้าเพราะยึดความเห็นและอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง จึงฟุ้งซ่านตามความคิด ต้องการความสำเร็จเกินไป ไม่คำนึงถึงความริงและความสามารถของ ตนเอง ไม่ยอมรับความเป็นจริง ผลักดันตัวเองอย่างไม่สมดุล พระอาจารย์อมโรกล่าวว่าวิปลาส เพราะโมหะแต่ละบุคคลตา่ งกัน ทำสมาธิปฏิบัติกรรมฐานควรมีการตรวจสอบโดยครูอาจารย์ ต้อง ปฏิบตั ิกรรมฐานดว้ ยปัญญา พระอาจารย์ถิรธมั โม กล่าวว่าวิปลาสเพราะทำกรรมฐานไม่ถูกต้องผิด ธรรมชาติ ความเขา้ ใจเร่ืองโลกความจริงกบั โลกจินตนาการไมส่ มดุล พระอาจารยญ์ าณธัมโม กล่าว ว่าปฏิบัติกรรมฐานแล้ววิปลาสเพราะอาจจะมีกรรมพันธ์ุทางโรคจิตอยู่หรือมีอุปาทานยึดม่ัน ความคิดตนหลงนิมิตไม่เช่อื ครอู าจารย์ คนฟุง้ ซ่านหลงอารมณ์เกดิ วปิ ลาสไดง้ ่าย๗๘ [๗๙] หลวงพ่อเทียนและพุทธทาสภิกขุมองชีวิตด้านใน คือ จิตว่าเริ่มต้นจากธรรมชาติ เดิมที่บริสุทธ์ิ แต่ยังอยู่ในฐานะท่ีปรุงแต่งด้วยกิเลสได้เป็นหน้าท่ีของทุกคนท่ีจะต้องปฏิบัติให้ เขา้ ถึงความบริสุทธอิ์ ย่างแท้จริง ประเดน็ แรก คอื แนวความคดิ และหลกั คำสอนนน้ั หลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโกและท่านพุทธทาสภิกขุ มีทัศนะตรงกันในเร่ืองธรรมชาติเดิมแท้ของจิตมีความบริสุทธ์ิ เปน็ พื้นฐาน โดยหลวงพ่อเทียนได้ยืนยันถงึ ธรรมชาตเิ ดมิ ของจติ ซ่ึงมอี ยู่ในทกุ คนว่าเป็นธรรมชาติมี ความสะอาด สว่าง สงบอยู่ในตัวเป็นพ้ืนฐาน สอดคล้องกับพุทธทาสภิกขุที่ยืนยันทำนองเดียวกัน วา่ ธรรมชาติของจิตเดิมแท้นั้นตามแนวคิดของท่านท้ังสองยังอยู่ในฐานะท่ีจะถูกปรุงแต่งด้วยกิเลส และความคิดได้จงึ ยังไมถ่ าวร๗๙ [๘๐] การกำหนดจิตหมวดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)สอนให้กำหนดในเวลาโกรธว่า“โทสะหนอ”ในเวลาไม่โกรธให้กำหนดว่า“ไม่มีโทสะ หนอ”จิตที่มีความคิดนึก ฟุ้งซานหงุดหงิด จิตมีสมาธิเป็นต้น ให้กำหนดทันตามสภาวะท่ีเป็นจริง ขณะน้ันๆ ก็จะอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ถา้ กำหนดไมท่ ัน คอื คดิ เพลินไป กเ็ ป็นนิวรณ์ ๕ เป็นทางร่ัว ๗๘ อา้ งแล้ว, ภาวนยี ์ บุญวรรณ, [รหัสแบบบันทกึ ๑๕–๕๒] ๗๙อา้ งแล้ว, พระมหานิพนธ์ มหาธมมฺ รกขฺ โิ ต(แสมแก้ว), [รหัสแบบบันทึก ๓-๔๖]

๑๖๐ ให้กิเลสเกิดขึ้นในจิตตน การกำหนดเช่นนี้ตรงตามพระไตรปิฎกท่ีว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุใน ธรรมวินัยน้ีย่อมรู้จักจิตที่มีราคะว่าเป็นจิตที่มีราคะฯลฯ ย่อมรู้จักจิตที่ไร้โมหะว่าเป็นจิตที่ไร้โมหะ ในการกำหนดจิตให้ตรงตามสภาวะและเท่าทันปัจจุบัน ทำให้เกิดพลังของสติ สมาธิ ปัญญา และ ความเพยี ร ทำใหก้ ิเลสเบาบางลงไปตามลำดบั ๘๐ ๔.๓.๓ การขยายความจากผูศ้ ึกษาวจิ ัยพบ : ด้านจิตตานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน [๘๑] สติปัฏฐานเป็นธรรมเครื่องมือเกิดความสามัคคีพร้อมเพียงกันของพุทธบริษัท เป็น ธรรมหมวดที่รวบรวมแนวทางการปฏิบัติสำหรับทุกๆคนทุกๆจริตเอาไว้ในที่เดียวกันโดยเรียงร้อย กันเป็น ๔ หมวดใหญ่ ๒๑ หมวดย่อย ให้เหมาะกับอัธยาศัยของแต่ละคน สติปัฏฐาน ๔ เหมาะ สำหรับคน ๔ ประเภท ๑)คนประเภทตัณหาจริตมีปัญญาไม่แก่กล้า เหมาะกับการเจริญกายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน ๒)คนประเภทตัณหาจริตมีปัญญาแก่กลา้ เหมาะกับการเจริญเวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน ๓)คนประเภททิฎฐิจริตมีปัญญาไม่แกก่ ล้าเหมาะกับการเจริญจติ ตานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน (๔)คนประเภททฏิ ฐจิ รติ มปี ญั ญาแกก่ ล้าเหมาะกบั การเจริญธรรมานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน๘๑ [๘๒] สำหรับแนวทางการเลอื กกรรมฐานสำหรับการแบง่ จรติ เปน็ ๒ ประเภทสรุปได้๘๒ จริต ปญั ญา แนวทาง กรรมฐานท่ีสมควร แกส้ ญั ญาวิปลาส ตณั หาจริต ไมก่ ล้า สมถยานิก กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน (กาย)สวย ตัณหาจริต กลา้ สมถยานกิ เวทนานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน (เวทนา)สุข ทิฏฐิจรติ ไม่กลา้ วิปัสสนายานกิ จิตตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน (จติ )เท่ียง ทฏิ ฐจิ รติ กลา้ วิปัสสนายานกิ ธรรมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน เปน็ ตวั ตน การแจกแจงประเภทจริตกับแนวทางการเจริญสติปัฏฐาน ผู้วิจัยได้ค้นพบร่องรอยแนวทางการ แบ่งจริตเป็นอย่างอื่นตามท่ีต่างๆในพระไตรปิฎกอีกจำนวนมากโดยมีวิธีการแบ่งบุคคลออกเป็น ประเภทต่างๆ ๑)แบ่งตามธาตุ ๒)ประเภทการบรรลุอรหันตผล ๓)ศักยภาพการเรียนรู้ ๔) อุปนิสัยที่ควรรับการฝึกสอน ๕)ความรวดเรว็ ในการรับรภู้ ัยในวัฏฏสงสาร หลังจากการศกึ ษาใน เรื่องสตปิ ัฏฐานและจริตในคัมภีรแ์ ลว้ ผูว้ ิจัยได้สังเคราะห์ความรู้นำมาสร้าง “เครื่องมอื จำแนกจริต ทีเ่ หมาะสมในการเจรญิ สติปัฏฐาน”เปน็ ชุดเครื่องมือ(Indicators) เป็นการวดั นามธรรมเพอ่ื จำแนก จริตและปัญญาเพ่ือจำแนกลักษณะเฉพาะของปัจเจกชน โดยมีวัตถุประสงค์ใช้ในการเลือกหมวด ในการเจริญสตปิ ัฏฐาน เครื่องมือจำแนกจริตจึงเป็นชุดตัวช้ีวดั หลายๆตัวประกอบกันอันประกอบ ไปด้วยเคร่ืองชี้วัด ๓ ชุด คือ (๑)เคร่ืองชี้วัดจริต ๒ ประกอบไปด้วยตัวช้ีวัดหลายตัว เพ่ือบ่งชี้ว่าผู้ ๘๐อา้ งแลว้ , พรรณราย รตั นไพฑูรย,์ [รหัสแบบบนั ทึก ๒-๔๔ ๘๑ อ้างแล้ว, สุเมธ โสฬศ, [รหสั แบบบันทกึ ๔๒ – ๕๔] ๘๒ อา้ งแลว้ , สุเมธ โสฬศ, [รหสั แบบบันทกึ ๔๒ – ๕๔]

๑๖๑ ถูกศึกษาเป็นจริตใด ในจริต ๒ ประเภท คือ ตัณหาจริต และทิฏฐิจริต (๒)เคร่ืองชี้วัดจริต ๖ ประกอบไปด้วยตัวช้ีวัดหลายตัวเพื่อบ่งชี้ว่าผู้ถูกศึกษาเป็นจริตใด ในจริต ๖ประเภท คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต ศรัทธาจริต พุทธิจริตหรือญาณจริตและวิตกจริต (๓)เคร่ืองช้ีวัดปัญญา ประกอบไปด้วยตัวชี้วัดหลายตัวเพื่อบ่งช้ีว่าผู้ถูกศึกษาเป็นประเภทผู้ที่มีปัญญากล้าหรือปัญญาไม่ กล้า นำเครื่องมือจำแนกจริตดังกล่าวพร้อมแบบจำลองไปทวนสอบกับผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงคุณวุฒิ จาก ๔ สำนัก ผู้วิจัยได้เลอื กผู้ทรงคณุ วฒุ ิไดด้ ังตอ่ ไปนี้ (๑) สายยุบพอง-ผู้วิจยั เลอื กพระราชสิทธิมุนี (๒)สายอานาปานสติแบบสวนโมกข์-ดร. โสรีช์ โพธ์ิแก้ว (๓)สายพระธุดงค์กรรมฐาน-ดร.บรรจบ บรรณรุจิ (๔) สายเจริญสติด้วยแนวทางการดูจิตแบบหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หรือ สายดูจิต-หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช หลังจากการทวนสอบเครอ่ื งมือโดยการสัมภาษณ์แล้ว ผู้วิจัยได้นำมาปรบั ปรุง แบบจำลองน้ีเพ่ือช่วยเลือกกรรมฐานสำหรับผู้ที่มีจริตต่างๆกัน โดยเริ่มจากการนำผู้ฝึกกรรมฐาน มาดำเนินการจำแนกจรติ โดยใช้ “เคร่ืองมือวัดจริต ๒”ก่อน และทำการทดสอบด้วย “เคร่ืองมือชี้ วดั ปัญญา” ซึ่งหากเป็นตัณหาจริตมีปัญญาไม่กล้า ให้เจริญสติปัฏฐานในหมวด กายานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน หากเป็นตัณหาจริตมีปัญญา ให้เจริญสติปัฏฐานในหมวด เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานและ หากเป็นทิฎฐิจริตมีปัญญาไม่กล้า ให้เจริญสติปัฏฐานในหมวด จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานและหาก เป็นทิฎฐิจริตมีปัญญากล้า ให้เจริญสติปัฏฐานในหมวด ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อนึ่งผู้ภาวนา ทั้งหลายแม้จะเป็นแนวสมถยานิกหรือวิปัสสนายานิกก็ตาม การที่สามารถสงบจิตให้มีสติและ สัมมาสมาธิได้ย่อยเป็นสิ่งเกื้อหนุนกำลังปัญญา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีสมถกรรมฐานเป็น เคร่ืองหนุนนำ และต้องหาสมถกรรมฐานเป็นท่ีเหมาะสม ใช้“ เครื่องชี้วัดจริต๖”ซ้ำอีกคร้ังหนึ่ง เพื่อแนะนำสมถกรรมฐานให้นำไปเจริญควบคู่กับสติปัฏฐานด้วย กล่าวโดยสรุปเครื่องมือจำแนก จริตที่เหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐานนี้ ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากองค์ความรู้ในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาในเรื่องสติปัฏฐานและเร่ืองจริต โดยได้นำเรื่องทั้งสองมาบูรณาการเช่ืองโยงกัน หาความสมั พันธ์ เพื่อเพ่อื สร้างเครอ่ื งมือจำแนกจรติ ซ่ึงเครื่องมือดังกลา่ วไดอ้ าศัยหลักการวา่ สติปัฏ ฐาน ๔ แต่ละหมวดเหมาะสำหรบั ผู้ทีม่ จี ริตและปัญญาแตกต่างกนั ออกไป สรุปได้ว่า ๑)คนประเภท ตัณหาจริตมีปัญญาไม่แก่กล้าเหมาะกับการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๒)คนประเภทตัณหา จริตมีปัญญาแก่กล้าเหมาะกับการเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๓)คนประเภททิฏฐิจริตมี ปัญญาไม่แก่กลา้ เหมาะกับการเจริญจิตตานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ๔)คนประเภททฏิ ฐิจริตมปี ัญญาแก่ กล้า เหมาะกับการเจริญธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อีกท้ังผู้ที่มีตัณหาจริต เหมาะสำหรับแนว สมถยานิก และผู้ท่ีมีตัณหาจริตเหมาะกับแนววิปัสสนายาเพื่อตอบสนองต่อแนวทางการจำแนก จรติ เพ่ือการเจรญิ สติปฏั ฐาน๘๓ ๘๓ อ้างแลว้ , สเุ มธ โสฬศ [รหัสแบบบนั ทึก ๔๒ – ๕๔]

๑๖๒ [๘๔] จริต ๖ ถือว่าเป็นหลักพุทธธรรมที่สำคัญหมวดหนึ่งในพระพุทธศาสนาและเป็นท่ี นิยมศึกษากันมากในปัจจุบัน เรือ่ งจริต ๖ หมายถึง ลักษณะพื้นเพนิสัยของมนุษย์ท่ีแตกต่างกันไป ในทางพระพุทธศาสนา เมื่อได้ศึกษาและสำรวจจริตในตนเองก็จะหากิจกรรมเพื่อใช้ในการพัฒนา ปัญญา ซึ่งในเบื้องต้นของการกล่าวถึงจริต ๖ พบว่า มีจุดประสงค์มุ่งเน้นไปสู่การเตรียมตัวเพ่ือ พัฒนาปัญญาของบุคคล ท่ีมีจริตต่างกันแล้วเลือกแนวทางการเจริญสมถกรรรมฐาน ๔๐ ประการ เป็นหลักใหญ่ โดยอ้างอิงหลักฐานที่พบในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาแต่ผู้วิจัยมีความเห็นว่าเน่ือง ดว้ ยปัจจุบัน แนวทางของการเจริญสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ ไมเ่ ป็นที่นยิ มในการปฏบิ ัตจิ ริง มีแต่เพียงเป็นส่วนของการศึกษาในพระไตรปิฎกท่ีอ้างถึง ส่วนการเจริญวิปัสสนาเป็นที่แพร่หลาย และเป็นท่ีนิยมมากตามสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างย่ิง การเจริญวิปัสสนา กรรมฐานตามแนวทางของสติปฏั ฐาน ๔ ซึง่ สติปฏั ฐานเปน็ ทั้งสมถะและวิปัสสนาโดยสติปัฏฐานใน หมวดกายานปุ ัสสนาสติปฏั ฐานมกั มีแนวโน้มเป็นทงั้ สมถะและวปิ สั สนาในตัว คือเมอื่ ปฏบิ ตั ิแล้ว มักนำไปสู่ความสงบแต่ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้ผู้ภาวนาเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงได้ สรุปไดว้ า่ สตปิ ฏั ฐานรวมทง้ั การปฏิบตั ิแบบสมถะและวปิ สั สนาไว้ด้วยกัน บุคคลท่จี ะบรรลุธรรมได้ อาจใช้แนวทางเจริญสมถะนำหน้า วิปัสนานำหน้าหรอื ควบคู่กนั ก็ได้ สติปัฏฐานเป็นธรรมหมวด ทีร่ วบรวมแนวทางการปฏิบัติสำหรับทุกๆคน ทุกๆ จริต เอาไว้ในท่ีเดียวกันโดยร้อยเรียงกันเปน็ ๔ หมวดใหญ่ ๒๑ หมวดย่อยให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของแต่ละคน จากการศึกษาพบว่า การเจริญ สตปิ ัฏฐาน ๔ มีความสมั พนั ธ์เชื่อมโยงกับจรติ อีกประเภทหนง่ึ ในพระพุทธศาสนา คอื แนวทางของ จริต ๒ ปรากฏในคัมภรี ์เนติปกรณ์และอรรถกถามหาสติปฏั ฐานสูตร ซงึ่ ถือว่ามีต้นกำเนิดมาในสมัย พทุ ธกาลเหมือนกันและเก่าแก่พอๆ กับเรือ่ งของจริต ๖ อกี เมือ่ ศึกษาคณุ ลักษณะเฉพาะของแต่ละ จริตแล้วมีความสอดคล้องกันสังเคราะห์เข้ากลุ่มเดียวกันเพื่อเลือกแนวทางในการเจริญกรรมฐาน ได้อีกทางหน่ึงคือไม่เฉพาะแต่การกล่าวถึงจริต ๖ เพื่อเลือกแนวทางในการเจริญสมถกรรมฐาน เท่าน้ัน แต่ยังเช่ือมโยงและสัมพันธ์กับการเลือกแนวทางวิปัสสนากรรมฐานได้อีกด้วยข้อมูลจาก การสัมภาษณ์พระวิปัสสนาจารย์กับกลุ่มผู้เข้าปฏิบัติธรรมช้ีให้เห็นได้ว่าในปัจจุบันการท่ีเราจะมา ปฏิบัติธรรมแต่ละคนอาจจะมีปัญหา ความทุกข์ ความเครียดวิตก มาก่อน แล้วเข้ามาปฏิบัติธรรม เพื่อต้องการจะแก้หรือดับความทุกเหล่าน้ัน ให้หมดสิ้นไป การที่จะเข้ามาปฏิบัติธรรมแทบจะไม่ ต้องเน้นเลยว่าคนไหนมีจริตแบบใดเพราะหากคนทุกคนมีความต้ังใจและมีความศรัทธาไม่ว่า จะเป็นการปฏิบัติธรรมในรูปแบบใดก็ย่อบังเกิดผลบรรลุตามจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ ประโยชน์หรือผลท่ีได้รับตามมาคือ การได้ยึดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางในการ ดำเนินชีวิตเพ่ือให้เกิดความสุข ความสบายใจ การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขและเกิด

๑๖๓ สันติภาพ จริต ๖ และองค์ความรู้ท่ีได้จากการศึกษาเร่ืองการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนามา วเิ คราะห์ถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างจรติ ๖ กับการปฏิบตั ิธรรม ๘๔ [๘๕] การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ การเจริญสติอันเป็นเหตุของการเกิดปัญญา ไดแ้ ก่ การเฝา้ สงั เกตปรากฏการณ์ของรปู และนาม โดยการใชจ้ ิตท่ีเป็นธรรมชาติในขณะเรากำหนด รูแ้ ล้วเกิดรู้ตัวว่า กำลังจงใจกำหนดรู้ ขณะนนั้ การกำหนดรู้จะดับไปจะเกดิ สภาวะของความรู้ขึ้นมา แทนท่ี(ระลึกรู้) ถึงสภาวธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงของธรรมชาติธรรมดาท่ีมีอยู่ในตน อันได้แก่ ขันธ์๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อริยสัจ ๔ ปฎิจจสมุปบาท ๑๒ โดยให้มีสติเป็นประธาน ด้วยการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคายถึงส่ิงท่ีเกิดขึ้นและดับไปของสภาวธรรมน้ันๆ การ ปฏบิ ัติเฉพาะกรณี ๗ เดือน การปฏิบัตวิ ิปัสสนามผี ลจริง ในลักษณะของการลงมือปฏิบัติตามหลัก สติปัฏฐาน ๔ ต้องเอารูปและนามท้ัง ๒ มาเป็นอารมณ์โดยการเจริญสติไปในกาย เวทนา จิตและ ธรรมซึ่งผลของการเจริญสติน้ีประโยชน์ที่ได้รับสามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันกับ สถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คำแนะนำจากวิปัสสนาจารย์ ใน ระหว่างที่ปฏิบัตินั้นส่ิงท่ีคิดไม่ถึงหรือส่ิงท่ีเราคิดว่าเป็นไปไม่ได้นั้น ปรากฏข้นในตัวเรามาก ใน บางครั้งมสี ภาวะที่น่ากลัวเกิดข้ึน คือ มเี สียงดังคล้ายระเบิดแล้วแตกกระจายบริเวณท่ีหูข้างซ้ายดัง สนั่นลั่นทั่วทั้งศรีษะทำให้ตกใจและสงสัยว่าเราป่วยเป็นอะไรหรอื เปล่าแต่ได้รับคำแนะนำจากท่าน สะยาดอว่า ให้กำหนดทุกอย่างท่ีจิตเข้าไปรับรู้ไม่ว่าสภาวะที่เกิดขึ้นน้ันจะเป็นสภาวะสุขสภาวะที่ ทุกข์หรือสภาวะที่เฉยๆก็ตามพอใจหรือไม่พอใจก็ตามจะดีใจหรือเสียใจก็ตามจะตกใจกลัวก็ตาม ตอ้ งกำหนดให้ทันต่อสภาวะน้ันจะลงั เลหรอื สงสัยต้องกำหนดอยู่กับสภาวะปจั จบุ ันและผลจากการ ที่กำหนดอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้จิตตั้งมั่นรู้เท่าทันกับสภาวะท่ีเกิดข้ึนเปลี่ยนเป็นความเบาสบาย ของจติ ๘๕ [๘๖]วิปลาสทีเ่ กิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐานจากกรณศี กึ ษาผู้เคยมีประสบการณว์ ิปลาส ในการปฏิบัติกรรมฐานเกิดวิปลาสเม่ือได้อบรมกรรมฐานมาแล้วหลายคร้ัง แรงจูงใจที่ทำให้มา ปฏิบัติกรรมฐานของกรณีศึกษา คือ แรงจูงใจจากความทุกข์ทั้งกายและทางใจ ความศรัทธาใน พระพุทธศาสนา ถูกเพ่ือนบังคับหรือข้อบังคับทางการศึกษา กรณีศึกษาทุกคนมีความมุ่งหวัง ปฏิบัติกรรมฐาน คือ บรรลุธรรมเพ่ือพ้นจากความทุกข์ มุ่งหวังจะได้พบกับธรรมะของพระพุทธเจ้า บางรายถูกการศึกษาบังคับไม่ได้หวังอะไรเป็นพิเศษแต่เป็นคนทำอะไรแล้วต้ังใจจริง ทุกราย กรณีศึกษาต่างมุ่งม่ันจริงจังกับการปฏิบัติกรรมฐานจึงปฏิบัติกรรมฐานกันอย่างเคร่งครัดทุก กรณีศึกษาเกิดสภาวธรรมร้เู ห็นนิมิตตา่ งๆทท่ี างใจ ในความรู้สึกของกรณีศึกษาเหมือนเปน็ การรับรู้ ๘๔ อา้ งแล้ว,พระศรศกั ด์ิ สงวฺ โร (แสงธง), [รหสั แบบบันทกึ ๔๗-๕๕] ๘๕ อา้ งแล้ว, รจุ าภา ธงปลมื้ จิตร,[รหัสแบบบันทกึ ๑๖–๕๒ ]

๑๖๔ ทางกายสัมผัส ได้ยินเสียง เห็นภาพ ได้กล่ิน และรู้ทางจิต ส่วนในคอร์สการฝึกอบรมกรรมฐาน กรณศี ึกษาทุกรายม่งุ ม่ันปฏิบัติกรรมฐานเคร่งครัดจนกลายเป็นเคร่งเครียด พักผ่อนน้อยกวา่ ที่ผู้จัด อบรมได้กำหนดรับประทานน้อย มักไม่พูดคุยกับใคร ก็มีความม่ันใจตนเอง ไม่ฟังคำตักเตือนของ ครูผู้สอน บางคนไม่เข้าใจสิ่งที่ครูผู้สอนกล่าวบอกพร่ำเตือนต่อสิ่งที่ได้รับรู้ เชื่อม่ันสง่ิ ที่ตนรับรู้และ มพี ฤติกรรมคล้อยตามการรับรู้เหล่าน้ัน มีความสุขใจท้ังภูมิใจว่าตนเองเป็นบุคคลสำคัญหรือเป็นผู้ บรรลุธรรม ส่ิงท่ีทำให้กรณีศึกษารู้ตัวว่าตนเองมีอาการวิปลาส คือ การกล่าวตักเตือนของครู อาจารย์ผู้สอนและกัลยาณมิตร ระยะแรกกรณีศึกษาไม่เชื่อจนกระท่ังทบทวนไตร่ตรองแล้ว พิจารณาคำตักเตือนจึงมารู้ภายหลัง วิธีน้ี ตรงตามหลักธรรมท่ีนำไปสู่สัมมาทิฏฐิทาง พระพุทธศาสนา คือ ปรโตโฆสะ เสียงกระตุ้นเตือนจากภายนอกและโยนิโสมนสิการ การ พิจารณาโดยแยบคายจากภายใน คิดถูก คิดเป็น ผลกระทบของอาการวิปลาสน้ันมีท้ังต่อตนเอง ตอ่ ผ้อู ่ืน และตอ่ สังคมรอบข้าง เช่น ครอบครัว ที่ทำงาน เปน็ ตน้ มากน้อยตามระยะเวลาและความ รุนแรงที่มีอาการวิปลาส สาเหตุของอาการวิปลาสของกรณีศึกษาได้แก่ ความต้องการตาม ระยะเวลาและความรนุ แรงท่ีมีอาการวิปลาส สาเหตุของอาการวิปลาสของกรณีศึกษา ได้แก่ ความ ต้องการบรรลุธรรมอย่างความมีสมาธิ ศรัทธามากเกินไป แต่สติน้อย จึงทำให้ฟุ้งซ่าน จิตของ กรณีศึกษาสรา้ งจนิ ตนาการขึน้ เองเพราะมีสติออ่ น ขาดความรแู้ ละมีความกลัวเมื่อรตู้ ัวว่ามีอาการ วิปลาส กรณีศึกษาต้องเผชิญกับปัญหาที่ตนประสบโดยการยอมรับสภาพความเป็นจริงท่ีตนมี อาการวิปลาสบางรายปฏิเสธความจริงแต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับ บางคนพยายามหาเหตุผลมา อธิบายส่ิงที่ประสบ ทุกคนได้หาท่ียึดเหนีย่ วทางใจได้แก่ เพื่อน พี่น้อง ภรรยาและบุตร บุคคลอ่ืนๆ ในครอบครัว ครูอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน บุคลากรทางการแพทย์ กรณีศึกษาได้ฟ้ืนตัวแก้ไขปัญหา วิปลาสของตน ด้วยการอยู่กับปัจจุบันขณะ การใช้อิริยาบถท่ีชัดเจนในการปฏิบัติกรรมฐาน เช่น การเดินจงกรม ใช้ปัญญา และถ้าอาการยังไม่หาย ต้องถอยออกจากการปฏิบัติกรรมฐาน ในด้าน สภาพร่างกายและจิตใจหลังการฟ้ืนฟู ทุกกรณีศึกษามีสภาพร่างกายเป็นปกติ ส่วนสภาพจิตใจ กรณศี ึกษาส่วนใหญ่สามารถฟ้ืนตัวไดเ้ ร็วในเวลาไม่ถึง ๑-๒ เดือน บางรายใช้เวลาราว ๑ ปี มีเพียง ๑ ราย ใช้เวลานานหลายปีในการฟ้ืนฟูรักษาตัวในโรงพยาบาล ในที่สุดก็มาแก้ไขได้ด้วยอาจารย์ ผู้สอนกรรมฐานที่ชำนาญ มีกรณีศึกษา ๔ รายกลับมาปฏิบัติกรรมฐานได้อีก มีอยู่๑ รายได้เป็น วิปัสสนาจารย์ในเวลาต่อมา แต่อีก ๒รายไม่ได้กลับมาปฏิบัติกรรมฐาน เพราะคนในครอบครัว ขอร้อง กรณีศึกษารายหน่ึงมีสามีนับถือศาสนาอ่ืน ส่วนอีกรายหน่ึงภรรยาและบุตรไม่ต้องการให้ กรณีศึกษาพบกับเหตุการณ์วิปลาสอีก แต่กรณีศึกษาทั้งสองรายที่ไม่ได้กลับมาปฏิบัติกรรมฐาน ยังคงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และยังต้องการกลับมาปฏิบัติกรรมฐานอีกเม่ือมีโอกาส คุณค่า จากประสบการณ์การปฏิบัติกรรมฐานของกรณีศึกษาชว่ ยให้กรณีศึกษาบางรายแก้ไขปมขัดแย้ง ในใจช่วงวัยเด็ก ลดอารมณ์ฉุนเฉียวโกรธเคือง สามารถพิสูจน์ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

๑๖๕ เกิดความปีติสุขคลายทุกข์ ทำให้หายขาดและบรรเทาอาการเจ็บป่วยทางกาย รู้จักการให้อภัย ซาบซึ้งในความกตัญญูต่อบุพการี เห็นคุณค่าในสรรพสัตว์และธรรมชาติ เสริมสร้างความมีศีล ละ เลกิ อบายมุข พัฒนาตนท้งั ในทางโลกและทางธรรม กำหนดอารมณ์ได้ มีสติรู้ตวั มากขน้ึ เข้าใจหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนคุณค่าจากประสบการณ์วิปลาสท่ีประสบกรณีศึกษารายท่ี ๑ เห็นว่า วิปลาสขวางกั้นการปฏิบัติธรรม แต่ก็สามารถช่วยเหลือคนที่กำลังประสบปัญหาวิปลาส เป็น กำลังใจช่วยให้มีทางออก เป็นตัวอย่างว่าแม้มีอาการวิปลาส แต่ก็กลับหายได้ กรณีศึกษารายที่ ๒ ประสบการณ์วิปลาสทำให้ตนเองได้พิสูจน์คำสอนในพระพุทธศาสนา ช่วยสอนและแก้ไขคนอ่ืนๆ ได้ในฐานะวิปสั สนาจารย์ กรณีศกึ ษารายท่ี ๓ กลา่ ววา่ วิปลาสทำใหเ้ กิดความเขา้ ใจเรอื่ งการปฏบิ ัติ กรรมฐานมากข้ึน สามารถแนะนำคนอ่ืนท่ีเข้าใจผิดได้ กรณีศึกษารายท่ี ๔ เปน็ โอกาสท่ีดีได้เรยี นรู้ ประสบการณ์ชีวติ อีกแบบหน่ึงซง่ึ ถือได้ว่าหนักท่ีสุดในชีวติ ทำให้เข้าใจวา่ การปฏิบัติกรรมฐานต้อง มีอาจารย์ผู้เช่ียวชาญและสามารถแนะนำได้อย่างถูกต้อง รวมถึงต้องรู้หลักปริยัติเพื่อจะปฏิบัติได้ อยา่ งถูกต้อง กรณีศึกษารายที่ ๕ คิดว่าประสบการณ์ไดส้ อนวิถแี ห่งการปฏิบตั ิทางพระพุทธศาสนา ได้ละเอียดลึกซ้ึง เข้าใจในหลักไตรลักษณ์ ร้ักวางใจเป็นอุเบกขา เกิดพัฒนาการทางปฏิบัติเพ่ิมข้ึน กรณีศึกษารายท่ี ๖ ทำให้เข้าใจหลักธรรมที่เรียนมา รู้จักอารมณ์ การกำหนด การมีสติมากยิ่งขึ้น คำแนะนำของกรณีศึกษาส่วนมากจะเน้นวา่ การปฏิบัตกิ รรมฐานต้องมีอาจารย์ผู้สอนทีช่ ำนาญ และสอนถูกวิธี เพ่ือป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติเกิดอาการวิปลาส หรือ ถ้าหากผู้ปฏิบัติเกิดอาการ วิปลาสก็สามารถแก้ไขได้ อีกท้ังแนะนำว่าการปฏิบัติกรรมฐานไม่ต้องหวาดกลัวอาการวิปลาส ถ้า ปฏิบัติถูกต้องมีสติเท่าทันก็จะไม่มีวิปลาสแต่ถึงพลาดพลั้งปฏิบัติผิดพลาดไปก็สามารถต้ังสติและ แก้ไขกลับมาได้๘๖ [๘๗] วิปลาสท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐานในวิถีตะวันตกงานวิจัยอ้างถึงวิปลาสที่ เกิดขึ้นในการปฏิบัตกิ รรมฐานในวิถีตะวันตกมที ัศนะต่อการปฏิบัติกรรมฐานสรุปวิเคราะห์ได้เป็น ๓ แนวคิด คือ แนวคิดแรกเห็นว่าการปฏิบัติกรรมฐานเป็นประโยชน์ล้วนๆต่อสภาพร่างกายและ สภาพจิตใจ แนวคิดท่ีสองเห็นว่าการปฏิบัติกรรมฐานเป็นโทษต่อสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ การบำบัดรักษาและสังคม แนวคิดสุดท้ายเห็นว่าการปฏิบัติกรรมฐานเป็นประโยชน์แต่ก็มีผลโทษ เกิดขึ้น ชาวตะวันตกทตี่ ้องประสบอาการวิปลาสในการปฏบิ ตั กิ รรมฐาน มีแนวโน้มเพ่ิมมากขน้ึ และ มีรายละเอียดผสมผสานส่ิงต่างๆมากข้ึนกว่าชาวตะวันออก ผู้วิจัยแยกวิเคราะห์ถึงสาเหตุอันเป็น ลักษณะเฉพาะของชาวตะวันตก ๔ ลักษณะ ประการแรก การมีรูปแบบการฝึกปฏิบัติกรรมฐานท่ี ประยุกต์ผสมผสานหลากหลายวิธีการและหลากหลายลัทธิศาสนาจากท้ังศาสนาตะวันออกและ ศาสนาตะวันตก เช่น การปฏิบัติแบบคริสเตียนเซน ยิวเซน ฮินดูเซน เป็นต้น ประการท่ีสอง อุปนิสัยของชาวตะวันตกการมีวิถีชีวิตท่ีต้องดิ้นรนเพ่ือความอยู่รอดของตนเองเป็นอันดับแรกมา ๘๖ อ้างแล้ว, ภาวนยี ์ บญุ วรรณ,[รหสั แบบบนั ทึก ๑๕–๕๒]

๑๖๖ ต้ั งแ ต่ ใน อ ดี ต จ น เค ย ชิ น ซึ่ งไม่ ส อ ด ค ล้ อ งกั บ วิ ถี ชี วิต แ ล ะวัฒ น ธ ร ร ม ศ าส น าต ะ วัน อ อ ก ท ำให้ ชาวตะวันตกยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง มีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สนับสนุนความคิด รวมถึงขาดการ อธิบายทางจิตวิญญาณ ประการที่สาม ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ได้ให้คุณค่าการปฏิบัติกรรมฐาน เพียงเพื่อบำบัดรักษาให้ตนเองมีสุขภาพดีเท่าน้ัน การปฏิบัติกรรมฐานจึงมีคุณค่าด้อยลงไปจาก คุณค่าเดิมในทางตะวันออก ทัศนคติดั้งเดมิ ส่งเสริมใหม้ ีความคิดเช่นนี้ ความคิดเช่นนี้ย่ิงส่งเสริมให้ ชาวตะวันตกยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลางมากย่ิงข้ึน คือมีอัตตาตัวตนซ่ึงขัดกับเป้าหมายหลักของ ศาสนาตะวันออกในการละวางตัวตน ประการสุดท้าย การปฏิบัติกรรมฐานในวิถีตะวันตกมัก เปน็ ไปในเชิงธุรกิจ หรือไมก่ ต็ ้องมีค่าใชจ้ ่ายจึงไม่สามารถเข้าถงึ จิตใจไดล้ ึกซ้ึงไร้ขอ้ จำกัดเหมือนการ ปฏิบัติกรรมฐานในวิถีตะวันออก ซ่ึงให้เปล่าโดยไม่หวังผลตอบแทนทำให้เกิดความสัมพันธ์และ ความรู้สึกท่ีดีงาม ไว้วางใจกัน ให้ความเคารพได้อย่างเต็มท่ีระหว่างผู้สอนและผู้เข้ารับการอบรม ปั จ จั ย เส ริ ม ท่ี ท ำ ใ ห้ เกิ ด อ า ก า ร วิ ป ล า ส ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ก ร ร ม ฐ า น ต า ม ค ว า ม คิ ด ข อ ง ชาวตะวันตกที่ค้นพบจากงานวิจัยก็คือ การกินน้อย นอนน้อย ความเครียดในการพยายามฝึก ซ่ึง พบในคอร์สการฝึกอบรมกรรมฐานเร่งรัด ทำให้เกิดภาพหลอน หูแว่ว และอ่ื นๆ(นิมิต) ซึ่ง ชาวตะวันตกมองว่าเป็นอาการโรคทางจิต ส่วนทางตะวันออกมองนิมิตเป็นเรื่องธรรมดาในการ ปฏิบัติกรรมฐานแต่การยึดติดเป็นวิปลาส ในทางจิตศาสตร์สากลของตะวันตกมีความเห็นว่า อาการวิปลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติกรรมฐานว่าอาจจะเป็นโรคจิตระยะส้ัน โรคไบโพลาร์(โรค อารมณ์แปรปรวนสองขั้ว) โรคคล้ายโรคจิตเภท และโรคจิตเภท ในปี ค.ศ.๑๙๘๐ จงึ ได้มีการจัดตั้ง เครือข่ายเหตุฉุกเฉินทางจิตวิญญาณ (The Spiritual Emergency Network เรียกย่อๆ ว่า SEN) เพ่ือให้คำปรึกษาแก่ผู้ท่ีประสบปัญหาโรคทางจิตท่ีเกี่ยวเน่ืองกับการฝึกปฏิบัติหรือประสบกา รณ์ ทางจิตวิญญาณ และจากงานวิจัยเรื่องสมาธิทำให้เกิดโรคจิตได้นำเสนอเกี่ยวกับอาการวิปลาสใน การปฏิบัติกรรมฐานเข้าข่ายกับอาการที่เรียกว่าโรคจิตเฉียบพลัน (Acute and Transient Psychotic Disorder) ตามมาตรฐานการจำแนกโรคทางจิตเวชสากลระบบ ICD 10 หรือเรียกกัน ว่า โรคจิตระยะสั้น (Brief Psychotic Disorder)ตามระบบ DSM-IV ซึ่งมีลักษณะของโรคจิตที่ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักเป็นหลังจากประสบเหตุการณ์กดดันรุนแรง ระยะเวลาของอาการอย่าง น้อย ๑ วัน ไม่เกิน ๑ เดือน และผู้ป่วยจะหายเป็นปกติ ซึ่งมักจะไม่ค่อยเป็นซ้ำ ถ้าเป็นซ้ำจะเป็น โรค ไบ โพ ล าร์ (Bipolar) แ ล ะ โรค จิ ต เภ ท (Schizophrenia) ส่ ว น โรค ค ล้ าย โรค จิต เภ ท (Schizophrenia form Disorder) มีอาการคล้ายโรคจติ ระยะส้นั แตอ่ าการของโรคเป็นนานกวา่ ๑ เดือน ไม่เกิน ๖ เดือน ส่วนโรคจิตเภท (Schizophrenia Disorder) มีอาการของโรคนานกว่า ๖ เดือนขึ้นไป การดูแลรักษาผู้มีอาการโรคจิต คือ การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล การรักษาด้วยยา การรักษาด้วยจิตบำบัดและการรักษาด้วยไฟฟ้า การป้องกันอาการวิปลาสที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติ กรรมฐานในวิถีตะวันตก คือการให้กรอกแบบสอบถามเรื่องประวัติสุขภาพทางกายและทางจิตคัด

๑๖๗ กรองผู้เข้าฝึกอบรม รวมถึงจัดการอย่างเป็นรูปธรรมเม่ือมีเหตุฉุกเฉินทางจิตข้ึน มีกระบวนการ ขน้ั ตอนทีเ่ ปน็ นโยบายสำหรบั ครูผสู้ อนและเจ้าหน้าที่ท่ีใหก้ ารอบรมรวมถึงมกี ารเกีย่ วขอ้ งกับระบบ ของรฐั ด้วย ๘๗ [๘๘] ผู้ท่ีปฏิบัติสมถะจนสามารถบรรลุฌานไม่อยากท่ีจะบำเพ็ญวิปัสสนาปัญญาต่อ สาเหตุเพราะ ๑) ภาวะจิตของผู้บรรลุฌาน ในขณะที่อยู่ในฌานจะมีแต่ความสุข สงบ เกิดปิติ ความอ่ิมใจ บางคนไม่อยากจะบำเพ็ญวิปัสสนาปัญญา ๒) ผู้ปฏิบัติสมถะ(ฌาน)ถือว่าฌานเป็น ของสงู จงึ มีศรัทธาต่อฌานเป็นอย่างมากบางคนไม่เห็นด้วยทจ่ี ะต้องใช้ฌานในบาทฐานในการเจริญ วิปัสสนาปัญญา อย่างไร ฌานที่ได้ย่อเป็นประโยชน์อย่างย่ิงเพราะเมื่อตายไปย่อมไม่บังเกิดใน อบายภูมิแน่นอน และสำคัญคือ สามารถอาศัยเป็นบาทฐานในการพัฒนาสู่ปัญญาช้ันโลกุตตร ธรรมต่อไปได้อย่างดีเพราะฌานท่ีได้ถือได้ว่าเป็นธรรมอันวิเศษข้ันกลางท่ีบุคคลทั่วไปไม่สามารถ กระทำให้บังเกิดได้ง่ายนักต้องมีศรัทธา ความตั้งใจจริง ปฏิบัติตนตามหลักศีล เพ่ือให้เกิดสมาธิ มี ฌานเป็นต้น เพื่อพัฒนาสู่ปัญญาข้ันฌาน ซึ่งเป็นโลกุตตรธรรมจนกว่าจะบรรลุอาสวักขยญาณ ตอ่ ไปในทส่ี ดุ ๘๘ ๔.๓.๔ การบรรลุผลการปฏิบตั ิ : ด้านจติ ตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน [๘๙] ผ้ทู ี่บรรลฌุ านและรกั ษาฌานไม่ให้เสื่อมย่อมได้รับอานสิ งส์หลายประการสรุปดังน้ี ๑)ประโยชน์ในด้านสุขภาพจิตและการพัฒนาบุคลิกภาพ เช่น ทำให้เป็นผู้มีจิตใจหนักแน่นสงบ ม่ันคงและมีบุคลิกลักษณะเข้มแข็งเป็นการเตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมและง่ายต่อการปลูกฝัง คุณธรรมต่างๆและเสริมสร้างนิสัยที่ดี ๒)เป็นวิธีการพักผ่อนอย่างสุขสบายในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรม สขุ วิหาร) ทำให้เสวยความสขุ อยู่ไดโ้ ดยไม่มจี ิตตลอดเวลา ๗ วัน เห็นได้จากการท่พี ระพทุ ธเจา้ และ พระอรหันต์ท้ังหลายนิยมใช้ฌานเป็นที่พักผ่อนกายใจเป็นอยู่อย่างสุขสบายในโอกาสสว่างจากการ บำเพ็ญกิจ ซ่ึงมีคำเรียกเฉพาะว่าเพ่ือเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร ๓)เป็นบทบาทหรือเป็นฐานแห่ง อภิญญา คือ แสดงฤทธิต์ ่างๆได้ เช่น คนเดียวแสดงเป็นหลายคนได้ หลายคนแสดงเป็นคนเดียวได้ มีหูทิพย์สามารถได้ยินเสียงของมนุษย์ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลได้ กำหนดรู้ใจหรือความคิดของผู้อ่ืนได้ มีตาทิพย์หรือรู้เห็นการเกิดและการตายของสัตว์ทั้งหลายตามกรรมของตน การระลึกชาติก่อนได้ หลายชาติ ๔)ทำให้ได้เกิดในพรหมโลก ๒๐ ชน้ั แบ่งเป็นรปู ภพ ๑๖ ชั้นและอรูปภพ ๔ ชนั้ ผู้ที่เกิด ในภพเหล่าน้ีปกติเรียกว่า พรหม เพราะเกิดขึ้นด้วยผลแห่งการปฏิบัติพัฒนาจิตใจจนได้บรรลุรูป ฌานและอรปู ฌาน๘๙ ๘๗ อา้ งแล้ว, ภาวนีย์ บุญวรรณ,[รหสั แบบบนั ทกึ ๑๕–๕๒] ๘๘ อ้างแล้ว, พระมหากฤช ญาณาวโุ ธ (ใจปลม้ื บญุ ), [รหัสแบบบันทกึ ๕-๔๗] ๘๙ อ้างแล้ว, พระมหากฤช ญาณาวุโธ (ใจปลื้มบุญ), [รหสั แบบบันทกึ ๕-๔๗]

๑๖๘ [๙๐] การยกจิตสู่การพิจารณาไตรลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญในการถอนจากอนุสัยกิเลสนอน เนื่องของบุคคล การฝกึ เพยี งสตแิ ละสัมปชัญญะเพียงอยา่ งเดียวจติ ย่อมไม่สามารถถอนออกจากอา สวะกิเลสได้เด็ดขาด จากแบบการปฏิบัติวิปัสสนาแบบสมถยานิก ทั้งสองแบบน้ันมีผลท่ีได้ต่างกัน สามารถแบ่งได้ ๒ กลุ่ม คือ ๑) กลุ่มท่ีหนึ่งเป็นกลุ่มทีไ่ ดอ้ ภิญญา ฝึกจนได้จตุตถฌาน(รูปฌาน ๔) และบางคนปฏิบัติอรูปฌานต่อ แต่ท้ังน้ีต้องผ่านอากาสกสิณ ก่อนจึงจะเข้าอรูปฌานขั้นต้นคือ อากาสาณัญจายตนะฌานก่อน จึงจะเจริญอรูปฌานข้ันต่อไปได้ เมื่อได้รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แลว้ ก็จะสามารถเขา้ นโิ รธสมาบตั ิไดเ้ ม่อื ปฏิบตั ิวปิ ัสสนาจนได้ถึงอนาคามี บุคคลเปน็ ต้นไป อภญิ ญา ของผู้ปฏิบัติกลุ่มน้ีก็ได้ไม่เหมือนกันอีก บางคนได้ครบ ๕ ประการ บางคนไม่ครบ บางคนระลึก ชาติได้ ๓๐ ชาติ บางคน ๑๐๐ ชาติก็มี แล้วแต่บุญญาบารมีท่ีสั่งสมมาในชาติก่อนๆกลุ่มนี้เมื่อ ปฏิบัติวปิ ัสสนาต่อไปแบบ สมถยานิกะ อันมีกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์จนบรรลุอาสวกั ขยญาณก็จะได้ อภิญญา ๖ ประการเป็นอรหัตตแบบ ฉฬภิญโญ ได้วิชชา ๓ สมาบัติ ๘ โลกุตตรธรรม ๙ ประการ มีความแตกฉานในปฏิสัมภิทายาณ ๔ รู้แจ่มแจ้งในธรรมทั้งปวง หลุดพ้นจากวัฏฏสงสารโดย เด็ดขาด เป็นอรหันตบุคคลอย่างสมบูรณ์แบบ ๒) กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ไม่ได้อภิญญา สำหรับ กลุ่มน้ีผู้ปฏิบัติมีความสามารถหรือพอใจเพียงฌาน ในระดับท่ีไม่ได้อภิญญา เป็นรูปฌาน ที่ไม่ได้ โลกียวิชชา และโลกยี อภญิ ญา แตก่ ็สามารถปฏิบัติวิปสสนาแบบ สมถยานกิ ะ โดยอาศัย ฌาน จาก กสิณท่ีตนได้ เป็นบาทฐาน ปฏิบัตวิ ปิ สั สนาต่อไป ซ่งึ การปฏบิ ัติก็เป็นเช่นเดยี วกบั พวกแรก เพยี งแต่ ความชำนาญอาจน้อยกว่า กำลังฌานน้อยกว่าแต่ก็สามารถจะบรรลุอาสวักขยญาณได้เช่นกัน กล่มุ ผู้ปฏบิ ัตไิ ม่ว่ากลุ่มใดๆ ยอ่ มมปี จั จัยกระทบสัมพันธต์ ่อผปู้ ฏิบตั แิ บ่งได้ ๒ คือ ๑) ปัจจัยส่งเสริม ได้แก่ บุญ บารมี และการปฏิบัติกรรมฐานท่ีได้ส่ังสมมาในชาติก่อนๆทุกชาติภพ อิทธิบาท ๔ ใน ชาติปัจจุบันโดยเฉพาะความเพียร ๒)ปัจจัยต่อต้านได้แก่ ปัจจัยภายใน ได้แก่ อนุสัยกิเลสนอน เนื่อง อัตตาในสันดานที่ตนส่ังสมมาทุกชาติภพ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ อกุศลกรรมท่ีตนเองส่ังสม มาทุกชาติภพ เจ้ากรรมนายเวร เทวปุตตมาร อันธพาลฯลฯ อากาศ ที่อยู่อาศัย อาหารฯลฯ สิ่ง เหล่านี้เป็นบทเรียนภาคปฏิบัติที่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ทั้งน้ีต้องอาศัยอิทธิบาท ๔ โดยเฉพาะความ เพียร ๓ ข้ัน คือ อุกกัฎฎะ มัชฌิมา และมุทุ ผู้ปฏิบัติต้องเป็นติเหตุกบุคคล และความเพียรต้อง ๓ ประการ จงึ จะสามารถบรรลุผลในการปฏิบตั ไิ ดจ้ นทา้ ยทส่ี ุดจะสามารถบรรลุอาสวักขยญาณได้๙๐ [๙๑] การศึกษาผลของการเจริญสติตามแนวทางของติช นัท ฮันห์ กับการพัฒนา คุณภาพชีวิตพบว่า ๑) การพัฒนาด้านสุขภาพร่างกายและพฤติกรรม พบว่า ทำให้มีสุขภาพ ร่างกายท่ีแข็งแรง มีผิวพรรณผ่องใส มคี วามกระฉับกระเฉง ร่างกายสงบ ผ่อนคลาย โปรง่ โล่ง เบา สบาย ไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน และช่วยให้บรรเทาหรือหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ส่วนผล ดา้ นพฤติกรรม ช่วยทำให้การแสดงออกทางกาย(กายกรรม)เปน็ ไปอย่างถูกต้อง สภุ าพ สงบงดงาม ๙๐ อา้ งแล้ว, อภิราษฎร์ ปรีชาจารย,์ [รหสั แบบบนั ทกึ ๔-๔๖]

๑๖๙ อ่อนโยน และมีบุคลิกภาพที่ดีมากขึ้น ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่มีการแสดงออกที่ รุนแรง ทำให้ลด ละ เลิกเครื่องดื่มของมึนเมา การบริโภคอาหารและการบริโภคสื่อที่ไม่เป็น ประโยชน์ได้มากข้ึน ส่วนการแสดงออกทางวาจา(วจีกรรม) ช่วยทำให้การพูดจาเป็นไปอย่าง ถูกต้อง เป็นความจริง สุภาพ นุ่มนวล ไพเราะเป็นปิยวาจา สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์มากข้ึน ๒) การพัฒนาด้านจิตใจ พบว่า ทำให้มีสุขภาพจิตดี คือ มีจิตผ่องใส มีใจเบิกบานนิ่งสงบ ผ่อน คลาย มีความสุขมากข้ึนและง่ายขึ้น มีความทุกข์ ความกลัว ความโกรธ ความเกลียด ความกังวล และความเครียดลดน้อยลง เป็นผู้ท่ีมีความฉลาดทางอารมณ์หรือมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น ไม่ หวั่นไหวไปกับสิ่งที่เข้ามากระทบ เช่น ไม่โกรธง่าย ไม่โกรธมาก ไม่โกรธนาน ทำให้มีคุณภาพจิตดี คือ มีคุณธรรมต่างๆ เกิดขึ้นในจิตใจ เช่น มีจิตใจที่สุภาพอ่อนโยน มองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่ เปิดกว้าง มีความรัก ความเมตตากรุณาแก่ตนเองและคนอ่นื ไดม้ ากข้ึน มีศักยภาพจิตทด่ี ี คือ ทำให้ มีสติ สมาธิ หนักแน่น ม่ันคงกับการฝึกปฏิบัติและการทำงานในชีวติ ประจำวันได้ดีมากขึ้น มีความ สุขุม รอบคอบ ละเอียดอ่อน และรับฟังคนอื่นได้มากขึ้น ๓)การพัฒนาดา้ นปัญญา พบว่า วิถีทาง ท่ีทำให้เกิดปัญญาตามแนวทางของ ติช นัทฮันห์ มีความสอดคล้องกับหลักพระไตรปิฎกอย่าง เด่นชัด คือ เกิดจากฝึกเจริญสติ(ภาวนามยปัญญา) การฟังอย่างลึกซึ้ง(สุตมยปัญญา) และจาก การคิดพจิ ารณาอย่างลึกซ้ึง(จนิ ตามยปัญญา)ซึง่ ทำให้เกิดความเขา้ ใจนำไปสกู่ ารพัฒนาด้านปัญญา คือทำให้สามารถโอบกอด ดูแล และแปรเปลี่ยนปมหรือสังโยชน์(อกุศลจิต)ในอาลยวิญญาณหรือ จิตใต้สำนึกได้ทำให้สามารถรู้เท่าทันอารมณ์ความคิดของตนเองและจัดการกับความทกุ ข์ไดม้ ากขึ้น สามารถมองได้อย่างลึกซึ้งทำให้เข้าใจในตนเองและคนอ่ืนมากขึ้น คิดพิจารณาตัดสินใจหรือแก้ไข ปัญหาต่างๆได้ดี และทำให้มีความรู้ความเข้าใจคำสอนในทางพระพุทธศาสนามากข้ึน ๔)การ พัฒนาด้านสังคม พบว่าเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวทำให้คนในครอบครัวมีความสุขมีความรัก ความเข้าใจกันมากขึ้น ประโยชน์แก่เพื่อนร่วมงานทำให้เกิดความสนใจและมีโอกาสได้ไปร่วมงาน ภาวนาดว้ ย เป็นประโยชนใ์ นการนำไปประยุกตใ์ ชส้ ำหรับการเรียนการสอนและประยุกตใ์ ช้สำหรับ การเยียวยารักษาคนไข้ในโรงพยาบาลได้ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสร้าง สันติภาพให้แก่สังคม การรับประทานมังสวิรัติเป็นประโยชน์ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ ทำให้มชี ุมชน(วดั )ของหมู่บ้านพลัมเกิดข้ึนในหลายประเทศ และทำให้มี“สงั ฆะ”กลุม่ ผ้ปู ฏิบตั ิธรรม ตามแนวทางของหมู่บ้านพลัมเกิดขึ้นเกือบหนึ่งพันกลุ่มในหลายประเทศทั่วโลกเป็นวงล้อแห่งพุทธ ธรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการตื่นรู้ให้แก่สังคม หรือช่วยเกื้อหนุนให้คณะบริษัททั้ง ๔ ได้มี โอกาสฝึกเจริญสติมากข้ึน สรุป การฝึกเจริญสติกับการพฒั นาคุณภาพชีวิตตามแนวทางของติชนัท ฮันห์ เป็นไปอย่างสอดคล้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทางพระพุทธศาสนา คือ“ภาวิต กาย” ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางกาย (Pysical Gowth) ซ่ึงเป็นเร่ืองของสุขภาพร่างกายและ พฤติกรรม “ภาวติ ศีล”การพัฒนาทางศีล (Social Growth) เป็นเรือ่ งของพฤติกรรมทั้งส่วนบุคคล

๑๗๐ และส่วนรวม “ภาวติ จติ ”การพัฒนาทางจิต(Emotional Growth) และ“ภาวิตปัญญา”การพฒั นา ทางปัญญา (Intellectual Growth) การภาวนาทั้ง ๔ ทางหากฝึกอบรมให้ดีให้มีความเจริญ ยิง่ ๆขนึ้ แลว้ ยอ่ มเป็นเพอ่ื ความรม่ เยน็ เป็นสุขจนถึงความพน้ ทุกข์ คือพระนิพพาน แท้จรงิ ๙๑ ๔.๔ การสังเคราะห์ด้านธมั มานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน จากประมวลรวบรวมงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เล่ม ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน(การพิจารณาธรรม) มี จำนวนวิทยานิพนธ์ ๔๘ เร่ืองท่ีเกี่ยวข้อง โดยนำมาศึกษาเพื่อสังเคราะห์ด้านธรรมานุปัสสนา สติปฏั ฐาน ได้ผลการศกึ ษาดงั ตอ่ ไปน้ี ๔.๔.๑.หลกั การปฏิบตั ิตามพระไตรปิฎกและคมั ภีร์ต่างๆ : ดา้ นธรรมานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน [๙๒] การศึกษารูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ประเด็นแรก แนวทางการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาเถรวาท เริ่มปรากฏในมหาสติปัฏฐาน สูตร ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทีฆนิกายมหาวรรคเป็นทฤษฎีต้นแบบเก่ียวกับการเจริญวิปัสสนา กรรมฐาน และพบหลักฐานในขุททกนิกาย มหานิทเทส กล่าวถึง วิปัสสนาว่าด้วยการพิจารณา ด้วยปญั ญาหรืออนปุ ัสสนา ๗ ประการ ต่อมาวิปสั สนากรรมฐานได้ถูกอรรถาธิบายในชน้ั อรรถกถา ลงมา คัมภีร์ท่ีมีช่ือเสียงและมักถูกใช้เป็นหลักในการนำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน คือ คัมภีร์วิสุทธิ มรรค มีเนื้อหาเน้นลำดับขั้นตอนของปัญญาคือความวิสุทธิของศีล สมาธิ และปัญญา และ กล่าวถึงการตรวจสอบผลการปฏิบัติตาม ลำดับญาณ ต่อมาในคัมภีร์พระอภิธัมมัตถสังคหะ กล่าวถึงสภาวธรรมล้วนๆ ไม่อ้างเรื่องราว สัตว์ บุคคล อ้างแต่สภาวะปรมัตถ์ของ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ได้ถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยการให้การกำหนดรู้รูป รู้นาม ตามสภาวะท่เี ป็นจรงิ เรยี กว่า กำหนดปรมัตถธรรมทีเ่ กดิ ข้นึ ในปจั จุบัน๙๒ [๙๓] รูปแบบ“พทุ -โธ”ยดึ อานาปานสติต้นลม และจิตตานุปสั สนาสติปัฏฐาน เป็นหลัก ในการกำหนดรู้ รูปแบบ “พอง-ยุบ” ยึดอานาปานสติ ปลายลม อิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย และ ธาตุมนสิการบรรพ เป็นหลักในการกาหนดรู้ รวมทั้งยึดวิปัสสนาญาณในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเพ่ือ ตรวจสอบการปฏิบัติ รูปแบบ“เจริญสติรู้การเคลื่อนไหว”ยึดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สัมปชัญญะบรรพเป็นหลักในการกาหนดสติ รูปแบบ“ปรมัตถภาวนา” ยึดจิตตานุปัสสนา สติปัฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ด้วยการนำ รูป–นามปรมัตถ์ ไตรลักษณ์ เป็นหลักในการกำหนดรู้จะเห็นได้ว่า ทุกรูปแบบข้างต้นล้วนมีวิธีการที่ให้เจริญสติ ๙๑ อา้ งแล้ว, พระทรัพย์ชู มหาวโี ร (บุญพิฬา), [รหสั แบบบันทึก ๑๘–๕๓ ] ๙๒อ้างแลว้ ,ภัทรนธิ ์ิ วสิ ุทธศิ กั ดิ์, [รหสั แบบบนั ทึก ๕๕-๕๕].

๑๗๑ ระลึกรู้ไปใน รปู -นาม ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ทวาร ๖ ท้ังสิ้น จึงนับได้วา่ ทุกรูปแบบอิงอยู่กับหลักสติปัฏ ฐาน ในแต่ละแบบจะมี ข้อเด่นหรือข้อจำกัดท่ีควรสังเกตและระวังต่างกันและมีวิธีการสอนที่เน้น ในจุดต่างกัน เช่น รูปแบบพุท-โธ เน้นอานาปานบรรพ ในกายานุปัสสนาเป็นหลัก โดยมีอุบายให้ ใจสงบกอ่ น(สมถะนำ วิปัสสนาตาม) รูปแบบพอง-ยบุ เน้นตามดูกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยให้ ใช้คำบริกรรมในทุกการเคล่ือนไหวและรู้สึก รูปแบบเจริญสติรู้การเคลื่อนไหวเน้นกายานุปัสสนา สติปัฏฐาน ในหมวดสัมปชัญญะบรรพ โดยไม่มีการให้น่ังสมาธิ ไม่มีองค์บริกรรม (มีแต่การนับ จงั หวะ ๑๕ จังหวะของท่าทางที่สรา้ งขึ้น) รูปแบบปรมัตถภาวนา เน้นจิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยเน้นการให้ความรู้ปริยัติธรรมในเร่ืองรูป-นามปรมัตถ์ ไตรลักษณ์ ให้เข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ รูปแบบต่างๆที่กล่าว แม้จะยึดสติปัฏฐาน ๔ ในบางหมวด เป็นแมบ่ ทหรือเป็นอารมณ์หลักแต่มกั ใช้เป็นอบุ ายให้น้อมรใู้ นฐานอื่นๆเป็นอารมณ์รองตามมาด้วย ในที่สุด พบว่า ทุกรูปแบบใช้กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอารมณ์หลักด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ เป็นอารมณ์หยาบ กำหนดรู้ได้ชัดเจนสามารถรู้หรือเห็นต่อเน่ืองเมื่อเห็นอารมณ์ทางกายได้ชัด จะนอ้ มไปรู้ เวทนา จิต ธรรมไปดว้ ย เรยี กไดว้ า่ เจริญสตคิ รบท้งั ๔ ฐานโดยแท้๙๓ [๙๔]ศึกษาสมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยความ เหมือนกันและความต่างกันของสมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรค พบว่า คัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นคัมภีรป์ กรณ์วิเสส แต่งโดยพระพุทธโฆสาจารย์ เป็นพระอรรถกถาจารย์ชาว ชมพูทวีป แต่งข้ึนในสมัยที่ท่านเดินทางไปท่ีศรีลังกาเพ่ือแปลอรรถกถาจากภาษาสิงหลมาเป็น ภาษามคธ โดยก่อนที่ท่านจะได้รับอนุญาตให้แปลอรรถกถา ทางคณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหารได้มอบ คาถา ๒ คาถา ให้ท่านแต่งอธิบายขยายความเป็นคัมภีร์กล่าวถึงแนวทางการปฏิบัติเพ่ือไปถึง นิพพานเป็นคัมภีร์คู่มือเพ่ือเข้าถึงนิพพาน คัมภีร์วิสุทธิมรรคยึดหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักหรือเป็นหัวข้อในการอธิบาย ตัวคัมภีร์จึงแบ่งเป็น ๓ ภาค โดยแบ่งโครงสร้าง ออกเป็นบท ท่ีเรียกว่านิเทศ ไว้ ๒๓ นิเทศ มีสีลนิเทศ ลักษณะการแต่งเป็นแบบ วิมิสสะหรือแบบ ผสม เพราะมีทั้งส่วนท่ีเป็นร้อยกรองและร้อยแก้วผสมกันไปตลอดทั้งเล่ม เนื้อหาของคัมภีร์วิสุทธิ มรรคประกอบด้วยเรื่องศีล เร่ืองธุดงค์ เร่ืองการเจริญกัมมัฏฐาน อารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน ๔๐ อย่าง เรื่องโลกิยอภิญญา ๕ ประการ เป็นผลมาจากการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานอารมณ์ของวิปัสสนา กัมมัฏฐาน ประกอบด้วย ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และ ปฏจิ จสมปุ บาท เรือ่ งวสิ ทุ ธิ ๕ ประการ และอานิสงส์ท่ีเกิดจากการเจรญิ วปิ สั สนากัมมัฏฐานคัมภีร์ วมิ ุตติมรรคเป็นคัมภีร์ปกรณ์วิเสส อธิบายไตรสิกขาอันเป็นทางแห่งความหลุดพ้น แตง่ โดยพระอุป ติสสเถระ เดิมแต่งเป็นภาษาบาลีต้นฉบับสูญหายไปเหลือแต่ฉบับท่ีแปลเป็นภาษาจีนต่อมาแปล เป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นภาษาไทยเป็นคัมภีร์สำคัญสำหรับการศึกษาและปฏิบัติเพื่อเข้าถึง ๙๓อ้างแล้ว ,ภัทรนธิ ิ์ วสิ ุทธศิ ักด์ิ, [รหัสแบบบันทกึ ๕๕-๕๕].

๑๗๒ ความหลุดพ้น รูปแบบการแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค เป็นแบบวิมิสสะ คือ ผสมกันระหว่างร้อยแก้ว และร้อยกรอง สว่ นมากจะมรี อ้ ยแกว้ ร้อยกรองเป็นส่วนนอ้ ย การดำเนนิ เร่อื ง ดำเนินตามแบบการ เขียนคัมภีร์อรรถกถาโดยทั่วไป คือประกอบด้วยปณามพจน์ อุทเทศคาถา เนื้อหาสาระและนิคมน คาถาสมถกัมมัฏฐานท่ีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ท้ัง ๒ ครอบคลุมรายละเอียดการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน ในประเด็น บุพกิจเบ้ืองต้นก่อนการปฏิบัติ การเรียนกัมมัฏฐาน เน้ือหา การปฏิบัติและผลการ ปฏบิ ตั ิ ในกัมมฏั ฐานแตล่ ะข้อเนอื้ หาของสมถกัมมฏั ฐาน ตามทปี่ รากฏในคัมภรี ว์ ิสทุ ธิมรรค แบ่ง ๗ หมวดคือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตวุ วฏั ฐาน ๔ การอธบิ ายเนือ้ หาสมถกมั มฏั ฐานทั้ง ๔๐ การอธิบายความไปตามหลกั ภาษามี การนิยามความหมายทางไวยากรณ์ เช่น ทางด้านรูปวิเคราะห์ เพื่อให้เห็นความหมายตามราก ศพั ท์ท่ีชดั เจน การอธบิ ายความไปตามหลักธรรม เช่น การอธบิ ายความโดยใชห้ ลักวิเสสลกั ษณะ ๔ ประการมาอธิบาย คือ ลักษณะ รส ปจั จุปัฏฐาน และ ปทัฏฐาน การอธบิ ายบางครง้ั มียกตัวอยา่ ง จากพระไตรปิฎกมาอ้างอิงด้วยจากเนื้อหาอารมณ์สมกัมมัฏฐาน ๔๐ สามารถจัดเน้ือหาอารมณ์ กัมมัฏฐาน ๔๐ เป็นกลุ่มๆ ดังน้ี กลุ่มท่ี ๑ ใช้วัตถุที่เป็นรูปธรรมมาเป็นอารมณ์ในการกำหนด เช่น กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กลุ่มที่ ๒ ใช้สิ่งท่ีเป็นนามธรรมมาเป็นอารมณ์ในการกำหนด โดยใช้การ กำหนดนึกและระลึกถึง เช่น อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ สมถกมั มัฏฐานในคมั ภีรม์ ุตติมรรค แบ่ง ๓๘ ประการ ดังนี้ กสิณ ๑๐ ได้แก่ ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ โลหิตกสิณ โอทาตกสิณ อากาสกสณิ ปริจฉินนากาสกสิณ อสุภสญั ญา ๑๐ คือ อุทธมาตกสัญญา วินีลกสัญญา วิปุพพกสัญญา วิกขิตตกสัญญา วิกขายิตก-สัญญา หตวิกขิตตกสัญญา วิจฉิททก สัญญา โลหิตกสัญญา ปุฬุวกสัญญา อัฏฐิกสัญญา อนุสสติ ๑๐ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณสติ กายคาตาสติ อานาปานสติ อุปสามา นุสสติ อัปปมัญญา ๔ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจตุธาตุววัฏฐาน ๑ อาหาเรปฏิกูล สัญญา ๑ อากิญจัญญายตนะ ๑ เนวสัญญานา สัญญายตนะ ๑ กัมมัฏฐานท้ัง ๔๐ ประการ จำแนกโดยบัญญัติกัมมัฏฐาน ๒๘ และปรมัตถกัมมัฏฐาน ๑๒ ความเหมือนกันและความ แตกต่างกัน สมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรค พบว่า ในด้านเนื้อหาทั้ง สองคัมภีร์กล่าวไว้สอดคล้องเป็นแนวเดียวกัน การแบ่งจำนวนสมถกัมมัฏฐานยึดแนวเดียวกันคือ แบ่งเป็น กสิณ ๑๐ อุสภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหม วิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ อาหาเรปฏิกุลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ รวมเป็น ๔๐ ประการ ในด้านการปฏิบัติท้ังสองคัมภีร์กล่าวไว้สอดคล้อง เป็นไปในแนวเดียวกันเป็น วิธีการปฏิบัติบางเรื่องแตกต่างกันบางเรื่องใกล้เคียงกัน ในด้านผลการ ปฏบิ ัติทง้ั สองคมั ภีรก์ ลา่ วไว้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกัน สรุปได้ เม่อื ปฏิบตั กิ ัมมฏั ฐานขอ้ ใดข้อ หนง่ึ อานิสงส์ที่ได้คอื การรู้เทา่ ทนั ความเป็นจริงของชีวิต มีสติ ไมป่ ระมาท คลายความยึดม่ันถือ มั่น ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ เป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือสมถกัมมัฏฐานบางข้อ เม่ือ

๑๗๓ เจริญสามารถให้บรรลุมรรคผลนิพพานหรือเป็นบาทฐานของการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เช่น กายคตาสติ อานาปานสติ จตุธาตุววัฏฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา นำไปสู่สุคติคือ จะไม่ตกไปอบาย เช่น การเจริญอนุสสติทั้ง ๑๐ หากยังไม่บรรลุคุณวเิ ศษในชาตินี้จะมีสุคติเป็นที่ไปในภพหน้าผลอีก ดา้ นหน่ึงคอื การได้อภิญญาหมายเอาอภิญญา ๕ เป็นโลกิยอภิญญา สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็น บาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน เม่ือเจริญสมถกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหน่ึง ขณิกสมาธิเป็น สมาธริ ะดบั ตน้ ยอ่ มเกิดข้นึ เมือ่ ได้ฝึกจติ บ่อยๆจิตจะตั้งม่ันจนกระทัง่ เป็นอปุ จารสมาธแิ ลว้ ประคอง รักษาสมาธทิ ่ีได้ไว้จิตย่อมถึงความสงบต้ังม่นั ในอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึงแนบแน่น เป็นอปั ปนาสมาธิ เม่ือจิตอยู่ในระดับอัปปนาสมาธิแล้ว องค์ฌานเกิดข้ึนใช้องค์ฌานเป็นบาทฐานในการเจริญ วิปัสสนากัมมัฏฐานและใช้อารมณ์สมถกัมมัฏฐานบางหมวดเพ่ือเป็นบาทฐานเพื่อการเจริญ วิปัสสนาจนสามารถบรรลุอรหัตผลได้ เช่น อสุภะ อนุสสติ จตุธาตุววัฏฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา สมถกัมมัฏฐานและวปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน มีความสัมพันธ์กัน ๔ รูปแบบคอื ๑)การปฏิบัติวปิ ัสสนาท่ี มีสมถะนำหน้า เป็นลักษณะการปฏิบัติแบบสมถยานิกะ โดยผู้ปฏิบัติใช้อารมณ์ของสมถ กัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหน่ึงจนเกิดอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิ เกิดองค์ฌานจากจึงใช้ปัญญา พิจารณาสมาธิรวมถึงธรรมท่ีเกิดพร้อมด้วยสมาธิให้เห็นแจง้ โดยลักษณะ ๓ ประการ คือ ไม่เทยี่ ง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ๒) การปฏิบัติสมถะท่ีมีวิปัสสนานำหน้า เป็นลักษณะการปฏิบัติ แบบวิปัสสนายานกิ ะ คือผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆยังไม่ได้บำเพ็ญสมถะโดยพิจารณาเบญจขันธ์โดย ความเป็นไตรลักษณ์ ไม่เท่ียงเป็นต้น ผู้ปฏบิ ตั ิโดยวธิ ีน้ีจะไมไ่ ดฌ้ านมาก่อนเม่ือปฏิบัตวิ ิปัสสนาแล้ว อยากได้ฌานจึงหันมาบำเพ็ญสมถะทำฌานให้เกิดขึ้นในภายหลังจนกระทั่งได้สมาบัติ ๘ ประการ ๓)การปฏบิ ัติแบบการเจริญสมถะวิปสั สนาควบคู่กัน มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างการเข้าสมาบัติ และการพิจารณาสังขาร คือ เข้าสมาบัติถึงไหนพิจารณาสังขารถึงนั่น พิจารณาสังขารถึงไหนเข้า สมาบัติถึงนนั่ และ ๔) การปฏิบตั เิ ม่ือจติ ถูกทำใหไ้ ขว้เขวดว้ ยธัมมทุ ธจั จ์ เปน็ ลกั ษณะการปฏิบตั ิที่ เกิดขึ้นเมื่อกำลังพิจารณาสังขารท้งั หลายโดยความเปน็ ไตรลักษณ์ แล้ววิปัสสนูปกิเลสคอื อุปกเิ ลส แห่งวปิ ัสสนา ๑๐ อย่างเกิดขึ้นแกผ่ ู้ไดว้ ิปัสสนาญาณอ่อนๆทำให้ใหผ้ ู้ปฏิบัตเิ ข้าใจผิดวา่ ตนได้บรรลุ มรรคผลแล้วคลาดออกนอกวปิ ัสสนาวิถที ้ิงกรรมฐานเดมิ ให้พจิ ารณาวปิ ัสสนปู กเิ ลสโดยความเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา จนเม่ือสามารถกำจัดวิปัสสนูปกิเลสเหล่าแล้ว จิตเข้าสู่ วถิ แี หง่ มรรคผล นอกจากนี้แล้ว สมถกัมมัฏฐานและวปิ ัสสนากมั มัฏฐานยังมีความสมั พันธ์กันใน แง่ของการบรรลุธรรม คือ การปฏิบัติวิปัสสนาที่มีสมถะนำหน้าหรอื การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา ควบคู่กัน เรียกผู้ปฏิบัติว่า สมถยานิก เม่ือบรรลุธรรมแล้วเป็นพระอริยบุคคล ประเภทอุภโตภาค วิมุตติ มีวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ ส่วนการปฏิบัติสมถะท่ีมีวิปัสสนานำหน้า และ การปฏิบัติเมื่อจิตถูกทำให้ไขว้เขวด้วยวิปัสสนูปกิเลส เรียกผู้ปฏิบัติว่า วิปัสสนายานิก เม่ือบรรลุ ธรรมแล้วเป็นพระอริยบุคคลประเภทปัญญาวิมุตติเป็นอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสก คัมภีร์

๑๗๔ วสิ ทุ ธมิ รรคและคมั ภีร์วิมุตตมิ รรคมีลักษณะเดน่ ในการนำเสนอเรอ่ื งสมถกัมมฏั ฐานแตกต่างกนั คือ คัมภีร์วิสุทธิมรรคนำเสนอเนื้อหาละเอียดทุกแง่มุมเหมาะสำหรับผู้ที่เร่ิมศึกษาหรือผู้ท่ีต้องการ รายละเอียดต่างๆ ส่วนคัมภีร์วิมุตติมรรคนำเสนอเน้ือหาส้ันกระชับตรงประเด็นเป็นลักษณะการ ถามตอบเหมาะสำหรบั ผู้ที่ไม่ต้องการรายละเอียดมากนัก ต้องการหลักปฏบิ ัติล้วนๆเม่ือบูรณาการ เน้ือหาของท้ังสองคัมภีร์เข้าด้วยกันแล้วเห็นได้ว่าเนื้อหาเป็นไปในแนวทางเดียวกันสามารถนำมา เปน็ หลักในการปฏิบตั สิ มถกัมมัฏฐานได้๙๔ [๙๕] สมาธิในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท พบว่า คำว่า “สมาธิ” เมือ่ พิจารณาตามรูปศัพท์ หมายถึง ธรรมท่ีข่มจิตอันฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆให้สงบลงแต่หากพิจารณาตามอรรถจะ หมายถึง ภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง สมาธิมีมาก่อนสมัยพุทธกาลต้ังแต่สมัยก่อนพระเวท คือ ประมาณสมัยอารยธรรมโมเฮนโจ-ดาโร และหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วได้มี การปฏิบัติสมาธิกันมาโดยตลอด แม้ในปัจจุบันที่พระสัมมาสมั พุทธเจ้าทรงเข้าปรินิพพานไปนาน แล้ว การฝึกสมาธิยงั แพร่หลาย ท้ังประเทศตะวนั ตกและตะวนั ออก สมาธจิ ำแนกได้หลายประเภท มี ๔ นัยในการจำแนก คือ ๑) ลักษณะ ๒) หน้าท่ี ๓) อาการที่ปรากฏ ๔) เหตุใกล้ท่ีสุด ในขณะ ที่คัมภีร์ช้ันอรรถกถาแยกสมาธิระดับ ๓ ระดับคือ ๑)ขณิกสมาธิ คือ สมาธิช่ัวขณะ ๒) อุปจารสมาธิ คือ สมาธิจวนจะแน่วแน่ ๓)อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแน่วแน่ สมาธิมีหมวดธรรมที่ เกี่ยวข้อง คือ (๑)นิวรณ์เป็นอุปสรรคของสมาธิ (๒)สมาธิเป็นส่วนหนึ่งของไตรสิกขา (๓)สมาธิ กับโพธิปักขิยธรรม โพธิปักขิยธรรมประกอบด้วยหมวดธรรมย่อยอีกหลายหมวดธรรมเมื่อศึกษา เชื่อมโยงสมาธิเข้ากับแต่ละหมวดย่อยทราบว่า (ก)สติปัฏฐาน ๔ เป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ (ข) สัมมัปปธาน ๔ เป็นธรรมอุดหนุนสมาธิ (ค)อิทธิบาท ๔ เป็นข้อปฏิบัติให้เกิดสมาธิ (ง)สมาธิเป็น ส่วนหนึ่งของอินทรีย์ ๕ พละ ๕ (จ)สมาธิเป็นส่วนหน่ึงของโพชฌงค์ ๗ (ฉ)สุดท้ายสมาธิเป็นองค์ ของมรรค การฝึกสมาธิมีอานิสงค์คือ ทิฏฐธรรมสุข วิปัสสนา อภิญญา ภพอันวิเศษ นิโรธ สมาบัติ๙๕ [๙๖] ความหมายอินทรีย์ ๕ หมายถึง ความเป็นใหญ่ในอำนาจหรือหน้าท่ีของตน สำคัญ คือ (๑)สัทธินทรีย์ คอื ความเป็นใหญ่ในความเชอ่ื ในฐานะ ๕ ประการ ได้แก่ ๑)เช่ือมั่นคุณ ของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ๒)เชื่อมั่นคุณ ของพระธรรมวา่ พระธรรมเป็นทางแห่งการหลุดพน้ จากสังสารวฏั ๓)เชื่อมั่นของพระสงฆ์วา่ พระ อรยิ สงฆ์เป็นผูบ้ รรลุธรรมในพระพุทธศาสนา ๔)เช่ือมนั่ วา่ กรรมมีจริง ๕)เชื่อมั่นว่าผลกรรมมจี ริง ไม่ให้เกิดความไม่เชื่อม่นั ความไม่เลื่อมใส มีลักษณะของความเชื่อม่ัน (๒)วิริยนิ ทรีย์ คอื ความเป็น ใหญ่ในความเพียร ๔ สถาน ได้แก่ ๑) เพียรเฝ้าระวังไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้น ๒)เพียรละอกุศล ๙๔ อ้างแลว้ , เสฐียร ท่งั ทองมะดนั , [รหัสแบบบันทกึ ๕๔-๕๕] ๙๕ อา้ งแลว้ , อรภัคภา ทองกระจา่ งเนตร, [รหสั แบบบันทกึ ๕๒-๕๕]

๑๗๕ ธรรมท่เี กิดข้ึน ๓) เพยี รทำกุศลธรรมให้เกิดข้ึน ๔)เพียรรกั ษากศุ ลธรรมทีเ่ กิดขนึ้ แลว้ ไมใ่ ห้เสอ่ื มไป ไมใ่ ห้เกิดความเกียจคร้าน มลี ักษณะของหนกั แน่นบากบนั่ (๓)สตินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในฐาน ที่ตั้ง ๔ ประการ ได้แก่ ๑) ฐานของกาย ๒)ฐานของเวทนา ๓) ฐานของจิต ๔)ฐานของธรรม ไม่ให้ เกิดความหลงลืม มีลักษณะของแนบชิดในอารมณ์ (๔)สมาธินทรีย์ คือ สมาธิที่เป็นใหญ่ในความ ต้ังม่ัน ๓ ประเภท คือ ๑) อุปจาระ สมาธิจวนจะแน่วแน่ ๒) อัปปนาสมาธิท่ีเป็นใหญ่ในอัปปนา แบ่ง ๔ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ไม่ให้เกิดความฟุ้งซ่าน มีลักษณะของ ความต้ังมั่นแห่งจิต ๓) วิปัสสนาขณิก สมาธิที่แก่กล้ามีกำลังมากคล้ายกับอัปปนาสมาธิเพราะ ปราศจากกิเลสนิวรณ์และ ๕)ปัญญินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในความรู้แจ้ง ๔ ประการ ๑) ทุกข์ ๒) สมุทัย ๓) นิโรธ ๔) มรรค ไม่ให้เกิดความหลงงมงาย มีลักษณะของการรู้เห็นหรือแทงตลอด ตามเป็นจริง อินทรีย์ ๕ เปรียบเหมือนพระราชาเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ ใน สมัยก่อนทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระราชา อินทรีย์ ๕ มีกำลังมากในการประกอบกิจ ของตน เพราะความสำคัญของอินทรีย์ ๕ อยู่ที่จะต้องปรับให้สมดุลกันเพ่ือเจริญสติปัฏฐานหรือ วิปัสสนากรรมฐานให้เกิดวิปัสสนาญาณ ตามลำดับจึงได้ชื่อว่าเป็นหลักธรรมบ่งชี้วัด ความก้าวหน้าหรือตัวช้ีวัด การเจริญสติปัฏฐาน ๔ และการเกิดขึ้นของญาณ ๑๖ นอกจากน้ี อินทรีย์ ๕ หลักธรรมที่เก่ียวข้อง ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ แนวคิดเรื่องญาณ ๑๖ คือ ผลของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่ีมีการปรับอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้สมดุลกัน ญาณ ๑๖ ย่อม เกิดขึ้นตามลำดับ ๑)ปริจเฉทญาณ ญานกำหนดแยกรูปนาม ๒) ปัจจยปริคคหญาณ ญาณ กำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูป ๓) สัมมสนญาณ ญาณกำหนดรู้โดยไตรลักษณ์ ๔) อุทยัพพย ญาณ ญาณกำหนดรู้โดยความเกิดและความดับของนามและรูป ๕) ภังคญาณ ญาณกำหนดรู้ ความดับของนามและรูป ๖) ภยญาณ ญาณกำหนดรู้โดยความน่ากลัว ๗) อาทีนวญาณ ญาณ กำหนดรู้โทษของนามและรูป ๘) นิพพิทาญาณ ญาณกำหนดรู้ความเบ่ือหน่ายในนามและรูป (๙) มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณกำหนดร้ดู ้วยความปรารถนาท่ีจะพ้นไปเสีย ๑๐) ปฏิสังขาญาณ ญาณ กำหนดรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน ๑๑) สังขารุเปกขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยความวางเฉยใน สังขาร ๑๒)อนุโลมญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการคล้อยตาม ๑๓) โคตรภูญาณ ญาณที่เช่ือมต่อ ระหว่างความเป็นปุถุชนกับพระอริยบุคคล ๑๔) มัคคญาณ ในอริยมรรค ญาณท่ีให้สำเร็จภาวะ อริยบุคคลแต่ละขั้น ๑๕) ผลญาณในอริยผล ญาณท่ีเป็นผลสำเร็จของพระอริยบุคคลช้ันๆ ๑๖) ปัจจเวกขณญาณ ญาณท่ีกำหนดรู้ด้วยการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างญาณ ๑๖ กับอินทร์ย์๕ คือ เม่ือสัทธากับปัญญา วริ ิยะกับสมาธิและสติของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเปน็ วิปัสสนายานิกะ หรือผู้ท่เี ป็นสมถยานิกะเสมอกันย่อมเกดิ ปัญญาทเ่ี รียกวา่ ญาณ ๑๖ ข้ึน ๙๖ ๙๖ อา้ งแลว้ , พระมหาบุญเลศิ ธมฺมทสฺส/ี โอฐสู, [รหัสแบบบนั ทึก ๕๐-๕๕]

๑๗๖ [๙๗] การเปรียบเทียบระหวา่ งญาณ ๑๖ กับอินทรีย์ ๕ จากแนวคิดการเจริญสติปฏั ฐาน ๔ แนวคิดเรื่องญาณ ๑๖ ความสัมพันธ์ระหว่างญาณ ๑๖ กับอินทรีย์ ๕ รูปแบบการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานเชื่อมโยงกับอินทรีย์ ๕ พบว่า มหาสติปัฏฐานสูตรเป็นแนวคิดของการเจริญ สติปัฏฐาน ๔ ผลของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นแนวคิดเร่ืองญาณ ๑๖ และญาณ ๑๖ เกิดข้ึน ได้เพราะอินทรีย์ท้ัง ๕ สมดุลหรือเสมอกัน คือ เม่ือสัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิ และสติของผู้ ปฏบิ ัตวิ ิปัสสนากรรมฐานท่ีเป็นวปิ ัสสนายานกิ ะหรือผ้ทู ่ีเปน็ สมถยานิกะเสมอกัน ญาณ ๑๖ เกิดขึ้น อนิ ทรีย์ ๕ ถึงความแกร่ อบ ทัง้ ๒ ต้องอาศัยรูปแบบการปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐานที่มคี วามต่อเนอ่ื ง เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ได้แก่ การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ การกำหนดทางทวาร ๖ และอิรยิ าบถยอ่ ย การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้แนวคิดมาจากมหาสติปัฏฐานสูตรมีท้ังหลักการและวิธีการท่ี พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้สมบูรณ์แบบที่สุด คือการต้ังสติไปไว้ที่ฐานของ กาย เวทนา จิต และธรรม จนเหน็ พระไตรลกั ษณ์หรอื นำไปสกู่ ารเกดิ ญาณ ๑๖ ข้ึนมา๙๗ [๙๘] ปฏิจจสมุปบาทที่ปรากฎในพระพุทธศาสนาเถรวาท ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ธรรมท้ังหลายท่ีอาศัยกันและกันเกิดข้ึนโดยชอบโดยปฏิจจสมุปบาทจะอธิบายการเกิดข้ึนและการ ดับของสภาวธรรมท้งั หลายในเชิงเหตแุ ละผลปราศจากผสู้ ร้างบันดาลตามทป่ี รากฏในพระไตรปิฎก ทอ่ี ธิบายการเกดิ ข้ึนและการดับไปของสภาวธรรมทั้งหลายว่า อวชิ ชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร สังขาร เปน็ ปัจจัยจึงมวี ิญญาณ ฯลฯ เปน็ ต้น หรืออวชิ ชาดับสงั ขารจึงดับ สังขารดับวญิ ญาณจงึ ดับ เปน็ ต้น องค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาทมี ๑๒ อย่าง แต่ละอย่างทำหน้าท่ีอุปการสภาวธรรมท่ียังไม่ เกิดข้ึนให้เกิดขึ้น และสภาวธรรมทั้งหลายที่เกิดข้ึนแล้ว จะอุปการให้มีความเจริญยิ่งขึ้น กล่าวคือ ๑)อวิชชา ความไม่รู้ความจริงในอริยสัจ ๔ ๒)สังขาร สภาวธรรมที่ปรุงแต่งจิต ได้แก่ ปุญญาภิ สังขาร อปุญญาภิสังขาร และอาเนญชาภิสังขาร ๓)วิญญาณ ความรู้แจ้งในอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖ ๔)นามรูป คือ นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ รูป ๕) สฬายตนะ ส่ิงท่ีเช่ือมต่อกันก่อให้เกิดความรู้ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ ๖)ผัสสะ ความกระทบ ได้แก่ สัมผัส ๖ ๗)เวทนา ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖ ๘)ตัณหา ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ์) ๙) อปุ าทาน ความยดึ มน่ั ได้แก่ อปุ าทาน ๔ ๑๐)ภพ ภาวะชวี ติ ไดแ้ ก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม ไดแ้ ก่ อภสิ ังขาร ๓ และอุปปัตติภพ ภพคือที่อุบัติ ไดแ้ ก่ ภพ ๓) ๑๑)ชาติ ความเกดิ ได้แก่ ความปรากฏ แห่งขันธ์ทั้งหลาย หรือการไดอ้ ายตนะ ๑๒)ชรามรณะ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความ เสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์) และมรณะ(ความสลายแห่งขันธ์ ความขาดชีวิตินทรีย์) องค์ประกอบในปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไปหมุนเวียนเป็นวงจรเพราะอาศัย กระบวนการเช่ือมต่อของเหตุปัจจัยที่เป็นไปในอัทธา ๓ สังเขป ๔ อาการ ๒๐ สนธิ ๔ วัฏฏ ๓ ๙๗ อา้ งแลว้ , พระมหาบุญเลศิ ธมฺมทสสฺ ี/โอฐส,ู [รหัสแบบบันทึก ๕๐-๕๕]

๑๗๗ มูล ๒ และภวจักร ๒ เป็นเหตุปัจจัยท้ังหลายสืบตอ่ ข้ามภพข้ามชาติหาทสี่ ุดไม่ได้ การสบื ทอดเหตุ ปจั จัยของปฏิจจสมุปบาทองค์ ๑๒ มี ๒ รปู แบบ คอื ปฏิจจสมปุ บาทฝา่ ยอนโุ ลม(ฝา่ ยเกดิ ) เกดิ จาก มิจฉาปฏิปทา แนวทางการปฏิบัติผิดและปฏิจจสมุปบาทฝ่ายปฏิโลม (ฝ่ายดับหรือฝ่ายทวน กระแส) เกิดจากสัมมาปฏิปทา แนวทางการปฏิบัติท่ีถูกต้องหรืออริยมรรคมีองค์ ๘ (ไตรสิกขา) การแสดงปฏิจจสมปุ บาท มี ๔ รูปแบบ ได้แก่ ๑.เร่มิ ตน้ จากต้นจนถึงปลาย ๒.จากกลางไปถึงปลาย ๓.จากปลายจนถึงต้น ๔. จากกลางจนถึงต้นพระอริยบุคคล คือ ผู้อบรมกาย วาจา จติ และปญั ญา แล้ว สามารถรแู้ จ้งความเป็นไปของเหตปุ จั จัยในปฏจิ จสมปุ บาทองค์ ๑๒ และสามารถรู้แจ้งและละ เหตุปัจจัยแต่ละอย่างตามกำลังของปัญญาของแต่ละบคุ คล๙๘ [๙๙] ปฏิจจสมุปบาทและหมวดธรรมท่ีเก่ียวข้อง ขันธ์ ๕ อริยสัจ ๔ ไตรลักษณ์ และ อริยมรรคมีองค์ ๘ หมวดธรรมเกี่ยวข้องกับปฏิจจสมุปบาทหลายนัย คือ ปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ ๕ และอริยสัจ ๔ ถือว่า เป็นธรรมอย่างเดียวกัน เพราะธรรมแต่ละหมวดอธิบายถงึ เร่ืองของชีวติ ใน สังสารวัฏฏแ์ ละการออกจากสงั สารวัฏฏ์จะแตกตา่ งกันอยูบ่ ้าง คือ รปู แบบการอธบิ ายขอ้ ธรรมแต่ ละอยา่ งเท่า คือ ปฏิจจสมุปบาทเป็นหมวดธรรมท่ีอธิบายถึงสิง่ มีชวี ิตและไม่มีชีวติ หรือความเป็นไป ของรูปนาม โดยมงุ่ เน้นการอธิบายเหตุปัจจัยที่อาศัยกันและกัน ผลธรรมจึงเกิดขึน้ หมายถึง สัตว์ บุคคลตัวตน เรา เขา จึงเกิดข้ึนขันธ์ ๕ อธบิ ายถึง สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต(รูปและนาม) โดยมุ่งเน้น การอธิบายองค์ประกอบ ๕ สว่ น ประกอบรวมกันเป็นชีวิต เรียกว่า ขนั ธ์ ๕ ได้แก่ รปู ขันธ์ เวทนา ขนั ธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวญิ ญาณขันธ์ โดยที่แต่ละขันธท์ ำหน้าที่แตกต่างกนั ไปแตเ่ ป็น เหตุปัจจัยกันและกัน จึงทำให้ขันธ์ ๕ ประกอบร่วมกันและสามารถดำรงอยู่ได้ปรากฏเป็นอัตภาพ ชีวิต บุคคลเราเขา อริยสัจ ๔ อธิบายถึง ส่ิงมีชีวิตและไม่มีชีวิต(รูปและนาม) โดยมุ่งเน้นอธิบาย การสรุปสภาวธรรมท้ังหมดที่ได้รู้แจ้งแทงตลอดแล้วด้วยปฏิจจสมุปบาทและจำแนกให้เป็น หมวดหมู่ เข้าใจง่ายชัดเจนตลอดทั้งยังอธิบายถึงวิธีปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมคือ ๑.ปฏิจจสมุป บาทฝ่ายอนุโลมหรือฝ่ายเกิด หมายถึง ทุกขสมุทยอริยสัจ(เหตุแห่งทุกข์)เป็นธรรมที่ควรละ ๒. ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส หมายถึง ทุกขอริยสัจ เป็นธรรมท่ีควร กำหนดรู้ ๓.ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายปฏิโลมหรือฝ่ายดับ หมายถึง ทุกขนิโรธอริยสจั หรือพระนิพพาน เป็นธรรมที่ ควรทำให้แจ้งตลอดท้ังช้ีแนะข้อปฏิบัติเพ่ือเข้าถึงความรู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจจสมุป บาทว่า ควรปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา)เป็นทางเอกและเป็น สัมมาปฏิปทา ท่ีบุคคลควรทำให้เจริญไตรลักษณ์ หมายถึง ลักษณะของสภาวธรรมที่เป็นสามัญ เหมือนกันหมดยกเว้นพระนิพพานเพราะไม่เท่ียงเป็นทุกข์และไม่มีตัวตน เหตุปัจจัยในปฏิจจสมุป ๙๘ อา้ งแล้ว, พระครูสุวรรณวจิ ิตร, [รหสั แบบบนั ทกึ ๔๙-๕๕]

๑๗๘ บาทองค์ ๑๒ ขันธ์ ๕ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจและทุกขสมุทย ปฏิปทาคามินีอริยสัจต่าง ลว้ นตกอยภู่ ายใต้อำนาจของความไม่เท่ียงเป็นทุกขแ์ ละไม่มตี ัวตนไร้แกน่ สารหาประโยชน์มไิ ด้๙๙ [๑๐๐] ความหมายของจตุรารักขกัมมัฏฐาน เป็นคำสมาส แปลว่า กัมมัฏฐานเป็น เครื่องรักษาปฏิบัติให้สงบระงับ ควรเจรญิ เป็นนิตย์ ๔ อย่าง ได้แก่ ๑)พุทธานุสติ คือ ระลึกถงึ คุณ พระพุทธเจ้าที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ ๒)อสุภกัมมัฏฐาน คือ พิจารณาร่างกายตน และผู้อื่น ให้เห็นเป็นของไม่งาม ๓)มรณานุสสติ คือ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตนเป็นธรรมดา ๔)เมตตา ภาวนา คือ แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า จตุรารักขกัมมัฏฐานเป็นสัพพัตถก กมั มัฏฐานเพราะเป็นกัมมัฏฐานเบื้องต้นท่ผี ู้ปฏบิ ัติ ควรกระทำเป็นอันดบั แรก เพอ่ื เจรญิ คุณความดี ที่ยิง่ ๆข้นึ ไปดว้ ยความไมป่ ระมาท๑๐๐ [๑๐๑] หลักจตุรารักขกัมมัฏฐานในพระไตรปิฎก คือ การแยกจตุรารักขกัมมัฏฐาน ออกเป็น ประเด็นที่ ๑ เร่ืองอสุภกัมมัฏฐาน และมรณานุสสติอยู่ในหมวดสัญญา ๑๐ ประเด็นท่ี ๒ เร่ือง พุทธานุสสติ มรณานุสสติ และกายคตาสติ อยู่ในหมวดอนุสติ ๑๐ ส่วนเมตตากัมมัฏฐานพบ ใน พรหมวิหาร ๔ เห็นว่า มรณานุสสติจะไม่เกิด ในหมวดพรหมวิหารแต่มรณานุสสติจะเกิดกับ กัมมัฏฐานท้ัง ๓ ยกเว้นหมวดพรหมวหิ ารหลกั จตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภรี ์อรรถกถาฎีกา คือ ใน คัมภีร์วิสุทธิมรรค อสุภะ ๑๐ คือ สภาพอันไม่สวยงามเป็นการพิจารณาซากศพโดยอาการต่างๆ เพื่อให้จิตคลายจากความยึดม่ันว่าเป็นของสวยงาม มี ๑๐ ประการ อนุสติ ๑๐ คือ สติอันมี ลักษณะให้ระลึกเนืองๆ ในพระพุทธคุณมี ๑๐ อย่าง มรณานุสสติ คือ ระลึกถึงความตาย ๓ ประการ คือ ๑)สมุจเฉทมรณะ ได้แก่ พระอรหัตอันตดั เสียวัฏฏทุกข์ กิจท่ีให้สำเร็จแก่พระอรหนั ต์ ตัดทุกข์ให้สังสารวัฏได้ขาด ๒)ขณิกมรณะ คือสังขารธรรมอันดับอันทำลายทุกๆ ภวังขณะ มี ๓ ขณะ มีอุปาทะ ฐิติ และภังคะ ๓)สมมุติมรณะ คือความตายอันสมมุติโลกโวหารร้องเรียกว่า ต้นไม้ตายเป็นต้น สมมุติมรณะ มรณะท้ัง ๓ ประการ อย่าได้ประสงค์เอาเป็นอารมณ์ในกาลเม่ือ เจริญมรณานุสสติกัมมัฏฐาน ในท่ีมีคำฎีกาอธิบายไว้ว่า สมุจเฉทมรณะมีน้อย ฝ่ายขณิกมรณะ คือ ความเกิดดับ เนืองๆ และสมมตุ ิมรณะ คือทองแดงตาย เหล็กตายเป็นตน้ ไม่ไดเ้ ป็นท่ีเกิดแห่งธรรม สังเวช มรณะท้ัง ๓ ประการจึงไม่ควรจะเอาเป็นอารมณ์ เม่ือเจริญมรณานุสสติกัมมัฏฐาน เมตตา กัมมัฏฐาน พระพุทธองค์ตรัสสอนภิกษุท้ังหลายว่า เมตตาเจโตวิมุตติบุคคลเสพเจริญทำให้มาก แล้วทำให้เปน็ ดจุ ยานแลว้ ทำให้เปน็ ที่ตง้ั แล้วให้ต้ังมน่ั แลว้ ส่ังสมแลว้ ปรารภดีแลว้ พึงหวังได้อานิสงส์ ๘ ประการ ผู้มีสติต้ังมั่น เจริญเมตตาแผ่ไปไม่มีประมาณ พิจารณาเห็นธรรมเป็นที่ส้ินอุปธิ(บรรลุ อรหัตตผลอันเปน็ ท่สี ิน้ กิเลสตามแนวทางการเจรญิ วิปัสสนาทมี่ เี มตตาเปน็ พนื้ ฐาน) ๑๐๑ ๙๙ อา้ งแล้ว, พระครูสุวรรณวิจิตร, [รหัสแบบนั ทกึ ๔๙-๕๕]. ๑๐๐ อ้างแลว้ , พระมหาอาคม สมุ งคฺ โล (คณุ สถติ ), [รหสั แบบบันทึก ๔๖-๕๕]. ๑๐๑ อา้ งแลว้ , พระมหาอาคม สมุ งฺคโล (คณุ สถิต),[รหสั แบบบนั ทกึ ๔๖-๕๕]

๑๗๙ [๑๐๒]วิริยะ ความเพียรท่ีย่ิงใหญ่มีปรากฏในหมวดธรรมในการภาวนา ได้แก่ โพธิปักขิย ธรรม ๓๗ ประการ คือ ในสติปัฏฐาน ๔ ช่ือว่า อาตาปี ในอิทธิบาท ๔ ชื่อว่า วิริยิทธิบาท ใน อินทรีย์ ๕ ชื่อว่า วิริยินทรีย์ ในพละ ๕ ชื่อว่า วิริยพละ ในโพชฌงค์ ๗ ช่ือว่า วิริยสัมโพชฌงค์ ใน มรรคมีองค์ ๘ ชอื่ วา่ สมั มาวายามะ พบว่า หลักความเพียรท่ีใชใ้ นการปฏิบตั ิวิปัสสนาภาวนาคือ ปธาน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า สัมมัปปธาน ๔ อย่าง คือ ๑)สังวรปธาน หมายถึง เพียรระวังไม่ให้ บาปใหม่เกิดขึ้นในจิตของตน ๒) ปหานปธาน หมายถึง เพียรละบาปเก่าท่ีครอบงำจิตของตนให้ หมดไป ๓)ภาวนาปธาน หมายถึง เพียรเจริญให้กุศลเกิดขึ้นในจิตสันดาน ๔)อนุรักขนาปธาน หมายถึง เพียรรักษากุศลที่เกดิ ขึ้นแลว้ มิให้เสอ่ื มความเพียร ๔ เป็นความเพียรชอบควรประกอบให้ มีในตนอยู่เสมอสัมมัปปธาน มีองค์ธรรมอันเดียวกับ อาตาปี ในสติปัฏฐาน สัมมาวายามะ ใน มรรคองค์ ๘ คือ วิริยเจตสิกธรรมในขณะกำหนดพิจารณารูปนามเป็นปัจจุบันอารมณ์ด้วยวิริยะ ด้วยสัมปชัญญะและด้วยสติ เม่ือกำหนดอย่างต่อเนื่องย่อมเป็นบาทฐานให้เกิดสมาธิ ปัญญา ย่อมเจริญขึ้น เมื่อมรรคใดมรรคหน่ึงเกิดแล้วมรรคท่ีเหลือย่อมเกิดตามมา ผลท่ีได้รับจากการใช้ ความเพียรนี้ เรียกว่า พระอริยบุคคลทั้ง ๔ พวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ สรุป วิริยะท่ีพบในพระไตรปิฎกที่เป็นกลไกสำคัญทำให้วิปัสสนาภาวนาดำเนิน ไปสูม่ รรคผลได้ คือ ปธานแตต่ ้องเปน็ ปธานที่ต้ังมน่ั บนพ้ืนฐานแห่งทิฏฐวิ ิสุทธิ คือ ปัญญาที่กำหนด รู้ทุกขสัจจ์ได้เป็นญาณที่ ๑ คอื นามรปู ปริจเฉทญาณในญาณ ๑๖ ตรงกับทฏิ ฐิวิสุทธิอันเป็นวิสุทธิ ท่ี ๓ ในวิสุทธิ ๗ ดังมีตัวอย่างคือ นางโสณาเถรี ผู้ปรารภความเพียรผู้ได้นำวิริยะมาเป็นหัวใจ สำคัญในการเจริญปัญญาตั้งแต่สุตมยปัญญาดี จินตมยปัญญาดี และภาวนามยปัญญาดี เข้าใจ ในปัญญา ๓ ระดับย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีวิริยะเป็นเลิศ วิริยะเป็นอริยธรรมเป็นแรงบันดาลใจให้ทุก ลว้ นสำเร็จได้ด้วยพรอันประเสรฐิ อย่างย่ิงในทางพระพุทธศาสนาคือ ความเพียร ดจุ คำพูดท่ีว่า พร ใดท่ีว่าเลิศประเสริฐในโลกายังไม่เท่ากับเรานำธัมมะมาประพฤติปฏิบตั ิเอาเอง วิรยิ ะสามารถทำได้ จริงการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา หมายถึง ความรู้แจ้งเห็นชัด ตามความเป็นจริงของสภาวธรรม ท้ังหลาย มีรูป-นาม เป็นต้น ว่าเป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ความไม่เท่ียง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตนเป็นการเห็นถูกด้วยตนเองด้วย อัตตปัจจักขญาณ คือ รู้ประจักษ์ ตามความเป็นจริงจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของตนเอง ชื่อว่า วิปัสสนา เม่ือกล่าวถึงว่า วิปัสสนาภาวนา หมายความว่า เป็นการฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้เท่าทันส่ิงที่เกิดข้ึน เข้าใจส่ิงท้งั หลายตามความเป็นจรงิ ใจมีอิสระไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์ ในคัมภีร์ พระสตุ ตนั ตปิฏก ทีฆนิกายมหาวรรค มหาสติปฏั ฐานสูตร กล่าวถงึ การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ท่อี งค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งประทับท่ีนิคมของชาวกุรุ ในแคว้นกุรุว่าเป็นทางเดียวที่จะนำผู้ ปฏิบัติไปส่คู วามหลดุ พน้ จากกิเลสกองทุกข์ท้ังปวงเป็นทางเดียวทีจ่ ะทำให้เหลา่ สัตว์บริสุทธ์ิล่วงพ้น ความโศกและความร่ำไรรำพันได้ ดับความทุกข์และโทมนสั ได้บรรลุอริยมรรคเห็นแจง้ พระนิพพาน

๑๘๐ ได้หนทางน้ีคือสตปิ ัฏฐาน ๔ ทราบว่า สติปัฏฐานกับวิปสั สนากัมมัฏฐาน เป็นอันเดียวกัน เพราะมี รปู นามเปน็ อารมณ์เหมือนกันมีวตั ถปุ ระสงคเ์ ปา้ หมายเดียวกนั มีเหตมุ ีผลอยูใ่ นหลกั ของตนเอง๑๐๒ [๑๐๓] การบรรลุธรรมในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ การบรรลุโลกุตตรธรรม ๙ รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ในขณะมรรคจิตตามกำลังของมรรคสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ โดยการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาคือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา การบรรลุธรรมได้ต้องเจริญสมถะและวิปัสสนา เพือ่ ให้เกิดวิปัสสนาปัญญา มัคคปัญญา ผลปัญญาจัดเป็นอธิปัญญา ตามหลักการเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ คือ การกำหนดรู้รูปและนามให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง มีท้ังใช้สมถะเป็นบาท เจริญวิปัสสนาและเจริญวิปัสสนาล้วนๆเมื่อเจริญสติปัญญา ๔ เท่ากับว่าให้เจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการไปพร้อมๆกัน คือ โพธิปักขิยธรรมจะเจริญข้ึนไปโดยลำดับ สติเป็นโสภณเจตสิก โสภณเจตสิกมีปัญญาเจตสิกเป็นต้นจะเกิดขึ้นเมื่อมีสติส่งผลให้เกิดสมถะระงับนิวรณ์เกิดสมาธิต้ัง มั่นย่ิงๆข้ึนไป เมื่อสัมปชัญญะตามกำหนดรู้รูปและนามอยู่ทุกขณะจิตส่งผลให้เกิดวิปัสสนาทำให้ เห็นไตรลักษณ์ได้ตามความเปน็ จริง วิปัสสนาญาณจะเจรญิ ขึ้นไปตามลำดับการยกจิตข่มจิตต้องใช้ สติเท่า หากขาดสติแล้วไม่สามารถทำได้ สติและสัมปชัญญะ สมถะและวิปัสสนา จึงเป็นธรรมที่ ตอ้ งเจริญทำให้เกิดขึ้น เมื่อวิปัสสนาแกก่ ล้าไปตามลำดับข้ึนสู่วิปัสสนาวิถตี ้ังแต่อุทยัพพยญาณ คือ พลววิปัสสนาพ้นจากวิปัสสนานูปกิเลส ๑๐ ประการ จนถึงสังขารุเบกขาญาณเห็นนิพพานข้ึนสู่ อนุโลมจิต โคตรภูจิต ในขณะมรรคจิตโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการจะรวมกัน สมถะและ วปิ ัสสนามกี ำลงั เสมอกนั ผปู้ ฏิบัตจิ ะสามารถบรรลุธรรมสำเรจ็ พระอรยิ บุคคล๑๐๓ [๑๐๔]หลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท พบว่า ความ ประสงค์คือการสำรวจดูตัวเองท่ีการเจริญสตกิ ำหนดรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของรปู และนาม ตามกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ เป็นสิ่งไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พ้นจากความยึดมั่นถือม่ันใน ตัวตนโดยการกำหนดอารมณ์ท่ีเกิดข้ึนมาเป็นอารมณ์ภาวนา คือ ปรมัตถ์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาภมู ิ ๖ เป็นภูมิแห่งวิปัสสนา ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ และอริยสัจ ๔. วิปัสสนาภูมิและสติปัฏฐาน ๔ หมายถึง กาย เวทนา จิตและธรรม สรุป รูปกับนาม เป็นเพียงปรมัตถ์ เอามาเป็นอารมณ์ภาวนาเป็นกรรมฐานเป็นสติปัฏฐานเป็น วปิ ัสสนากรรมฐาน ในปัจจุบนั นิยมเรยี กกันว่าการปฏบิ ัติวิปัสสนาภาวนา เป็นวชิ าท่ีพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบแล้วนำมาสอนในการฝึกฝนอบรมเพ่ือให้เกดิ สติปัญญาและใหค้ วามสำคญั กับการปฏิบัติ พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักของสติปัฏฐาน ๔ เป็นวิชาที่ฝึกฝนอบรมเพื่อให้เกิด สติปัญญาเกิดความรูแ้ จ้งในธรรมชาติที่เป็นจริงโดยการกำหนดอารมณ์ท่ีเกิดขึ้น การตั้งสติรู้อยู่ ๑๐๒ อ้างแลว้ , พระครพู ิศิษฏ์ชัยโชติ (สำรวย โชตวิ โร), [รหัสแบบบันทกึ ๓๘-๕๔] ๑๐๓ อา้ งแล้ว, พระมหาสามารถ อธิจิตฺโต (มนัส), [รหสั แบบบันทกึ ๓๗-๕๔].

๑๘๑ ให้ถูกตรงตามสภาวะ ทันกับปัจจุบันอารมณ์ เรียกตามอาการหรืออารมณ์ให้ตรงตามสมมติ บัญญัติ กล่าวได้ว่า มีอาการอย่างไรหรือมีความรู้สึกอย่างไร ให้กำหนดรู้และเรียกเป็นไปตาม ญาณ ๑๖ เกิดปัญญาความหย่ังรู้เกิดขึ้นแก่ผู้เจริญวิปัสสนาตามลำดับญาณ ตั้งแต่นามรูปปริเฉท ญาณจนถึงปัจจเวกขณญาณ เป็นการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมของชีวิตทีส่ ามารถปลดเปลื้องจากทุกข์ ทง้ั มวลเป็นอิสรเสรีภาพจากกองกิเลสตัณหาทงั้ ปวง ทำศีลให้บริสทุ ธิ์หมดจดเพราะว่าศีลเป็นที่ตั้ง ของความเชื่อมั่น เมอ่ื ต้งั ใจมนั่ แล้วอนั จะเป็นกำลงั หนุนให้ปฏิบตั ธิ รรมมีความเจรญิ กา้ วหน้าได้ ตอ้ ง มีหลกั ๓ ประการ คอื ๑.อาตาปี คอื ความเพียรเพอ่ื ม่งุ หวังในการเผากิเลส ๒.สัมปชาโน คอื มี ความรู้สึกตัวอยู่เสมอในทุกอิริยาบถและทุกอาการของจิต ๓.สติมา คือ มีสติเป็นใหญ่ในการ ปกครองของกายและจิตสุดท้ายการปฏบิ ัติตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน คือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยมีการกำหนดรู้ตามสภาวธรรมทางทวารท้ัง ๖ เท่ากับเป็นการกระทำกิจอันเก่ียวกับอริยสัจ ๔ อย่างไปพร้อมกัน คือกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำนิโรธให้แจ้งและเจริญมรรค ผู้ปฏิบัติธรรม วปิ สั สนามรรคย่อมรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ เม่อื วิปสั สนามรรคเจรญิ เต็มทโ่ี ลกุตตรมรรคสามารถ ทำให้เห็นแจง้ พระนพิ พานเกิดข้ึนได้และมกี ารพฒั นาจนมีความสมบูรณ์อย่างถูกต้องตามเปน็ จริง รู้ แจ้งความดับรูปนามทำให้มรรคเจริญย่ิงๆข้ึนจะต้องมีประสบการณ์ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ใน สภาวธรรมต่างๆ เกิดขึ้นในปัจจุบันอารมณ์และพัฒนาจิตเข้าถึงคุณธรรมพิเศษที่สูงขึ้นในขั้นใดข้ัน หนึ่ง จะด้วยเวลานานเท่าใดดี หรือยังไม่สามารถเข้าถึงคุณธรรมท่ีพิเศษได้ในภพน้ีขึ้นอยู่กับบุญ บารมี ความมีศรัทธามากน้อยขนาดไหน โดยเลือกปฏิบัติตามแนวทางท่ีเป็นเฉพาะกับจริตของตน ได้ และมีกัลยาณมติ รท่ีดีคอยใหก้ ารช้ีแนะแก้ไขสภาวธรรมเพื่อความพ้นทกุ ข์ทำให้เกิดความพอใจ ในการศึกษาหลักคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทได้แก่พระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกาและหนังสือทำ ใหเ้ กิดความเข้าใจวิปสั สนาภาวนาแบบพอง–ยบุ ทเ่ี ป็นหลักแห่งปัญญาเรยี กว่า ปัญญาขั้นปรมัตถร์ ู้ ความจริงของรูปนาม ในการกำหนดรู้ในสภาวธรรมต่างๆท่ีเกิดขึ้น อันจะเป็นปัญญาทำให้เกิด ความรู้แจ้งเห็นความเป็นจริงในสภาวธรรมของธรรมชาติเพ่ือเป็นข้อมูลทางทฤษฎีและผลการ ปฏบิ ัตไิ ด้อยา่ งถกู ต้องทำใหเ้ กดิ ปัญญาเพื่อความพน้ ทกุ ข์๑๐๔ [๑๐๕] รูป คือ ธรรมชาตทิ ่ีแตกดับ เมื่อวา่ โดยลกั ขณาทิจตกุ ะ คือ มกี ารสลายแปรปรวน เป็นลักษณะมีการแตกแยกกันเป็นกิจ(กับจิต)ได้เป็นกิจ มีความเป็นอพยากต-ธรรมเป็นผลมี วิญญาณเป็นเหตุใกล้ ส่วนนามเป็นธรรมชาติท่ีน้อมไปหาอารมณ์ เมื่อวา่ โดยลักขณาทิจตุกะ คือ มีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ มีการเกิดก่อนและเป็นประธานในธรรมท้ังปวงเป็นกิจ มีการเกิดข้ึน ต่อเน่ืองกันไม่ขาดสายเป็นผล มีนามรูปเป็นเหตุใกล้ให้เกิดดังน้ีลักขณาทิจตุกกะของรูป รุปฺปนลกฺขณ มีความเส่ือมสลายไปเป็นลักษณะ วิกิรณรส มีการแยกจากกัน(จิต)ได้เป็น ๑๐๔ อา้ งแลว้ , พระครูปลดั สุนทร สุนทฺ โร (แซ่เตยี ว), [รหสั แบบบันทกึ ๓๖-๕๔].

๑๘๒ กิจอยฺยากตปจฺจุปฏฺาน มีความเป็นอพยากตธรรมเป็นผลปรากฏในปัญญาของบัณฑิต วิญฺ ญาณปทฏฺาน มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ลักขณาทิจตุกกะของนาม นมนลกฺขณ มีการน้อมไปสู่ อารมณ์เป็นลกั ษณะ สมฺปโยครส มีการประกอบกบั จิตและประกอบกันเอง โดยอาการทีเ่ ป็นเอกุป ปาทะ เป็นต้น เป็นกิจ อวินิพฺโภคปจฺจุปฏฺ าน มีอันไม่แยกจากกันกับจิตเป็นผลปรากฏวิญฺ ญาณปทฏาฺ น มีวญิ ญาณเป็นเหตุใกล้ ปัญญาท่ีรวู้ า่ ขณะตาเหน็ รูป หไู ด้ยินเสยี ง จมูกได้กลิน่ ลนิ้ ได้ รส กายถูก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง(อาการกาย ๓๒ ประการ) มีเพียง ๒ อย่าง คอื มีแต่รปู กับนามเป็น สัจจธรรมแท้ไม่แปรผัน หลักธรรมในการกำหนดรปู นามทางวิญญาณ ๖ พบวา่ การเรียนรู้รปู นาม คือ การรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในตนอยู่กับปัจจุบันทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเพื่อผู้ปฏิบัติจะได้ตั้งสติกำหนดถูกในเม่ือรูปนามเกิดข้ึนตั้งอยู่และดับไปตามทางทวาร ๖ พร้อมท้งั เหตปุ ัจจัยใหร้ ูปนามเกดิ ๑๐๕ [๑๐๖] รูปนามทางอายตนะ ๑๒ จักขุประสาท(ตา) รูปารมณ์(สี) เป็นรูป จักขุวิญญาณ (เห็น) เป็นนาม โสตประสาท (หู) สัททารมณ์ (เสียง) เป็นรูป โสตวญิ ญาณ (ได้ยิน) เป็นนาม ฆาน ประสาท (จมูก) คันธารมณ์ (กลิ่น) เป็นรูป ฆานวิญญาณ (รู้กลิ่น) เป็นนาม ชิวหาประสาท (ล้ิน) รสารมณ์ (รส) เป็นรูป ชิวหาวิญญาณ (รู้รส) เป็นนาม กายประสาท (กาย) โผฏฐัพพารมณ์ (เย็น รอ้ น อ่อน แข็ง ไหวและเคร่งตึง ) หรืออาการกาย ๓๒ เป็นรูป กายวิญญาณ (รู้ถูกต้อง) เป็นนาม หทยวัตถุ ธรรมารมณ์(อิริยาบถ) เป็นรูป มโนวิญญาณ(รู้ธรรมารมณ์) เปน็ นาม พบว่า รูปนาม คือ ขันธ์ ๕ เกิดทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ เป็นอารมณ์ ของวิปัสสนากรรมฐานเป็นปัจจุบันอยู่ใน ขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกล่ิน ลิ้นรู้รส กายถูกสัมผัส ใจนึกคิดอารมณ์ ผู้ที่จะเข้าปฏิบัติ ต้องรู้ให้เข้าใจถึงรูปนาม เพราะเห็นรูปครั้งหนึ่งขันธ์ ๕ เกิดคือในขณะท่ีเห็นจักขุประสาท กับรูปารมณ์เป็นรูป เกิดเวทนาขึ้นเช่นเห็นรูปดี มีความสุข เห็นรูปชั่วเกิดความทุกข์ ความสบาย กายและไม่สบายใจเป็นเวทนาขันธ์ ความสบายกายความไม่สบายใจเป็นสัญญาขันธ์ ชอบไม่ชอบ เป็นสังขารขันธ์ เหน็ เปน็ วญิ ญาณขนั ธ์ เป็นต้น๑๐๖ [๑๐๗] หลักปฏิบัตธิ รรมในการกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ เกดิ ขึ้นไดโ้ ดยหน้าท่ี คือ เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กล่ิน รู้รส รู้ถูกต้อง รู้ธรรมารมณ์ได้ต้องอาศัยสภาวธรรมตามท่ีเกิดขึ้นทาง ทวารท้ัง ๖ ทวารในสภาวะแห่งทวารละ ๔ เฉพาะในทวารทั้ง ๕ สภาวะ ๓ อย่างเป็นรูปธรรม มนสิการทั้ง ๖ เป็นนามธรรมส่วนในทางมโนทวาร เฉพาะหทัยวัตถเุ ปน็ รปู แต่ธรรมารมณ์เป็นไดท้ ั้ง รูปท้ังนามแต่ในที่น้ีกล่าวเฉพาะแต่อิริยาบถ สำหรับอิริยาบถเป็นรูปนาม ส่วนมโนวิญญาณเป็น นามธรรมทั้งหมด ตามธรรมดารูปนามย่อมปรากฏในทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา ทางหู ทางจมูกทาง ลิ้น ทางกายทางใจ ขณะที่จิตรู้อารมณ์ทางทวารท้ัง ๖ แต่ละทวาร รูปนามจะปรากฏเป็นธรรม ๑๐๕ อา้ งแลว้ , พระมานัส โสภณจิตฺโต (ชอบมี), [รหสั แบบบันทึก ๓๕-๕๔] ๑๐๖ อ้างแล้ว, พระมานัส โสภณจิตโฺ ต (ชอบมี), [รหสั แบบบันทึก ๓๕-๕๔]

๑๘๓ นิยามพร้อมกัน ส่วนอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐานเป็นปัจจุบันอยู่ในขณะตาเห็นรูปหูฟัง เสียง จมูกดมกลิ่น ล้ินลิ้มรส กายถูกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหวและเคร่งตึงใจนึกคิดอารมณ์ ดีใจเสียใจไม่ ยินดียินร้าย ผู้จะเข้าปฏิบัติต้องเรียนให้รู้ให้เข้าใจรูปนาม เพราะเห็นรูปคร้ังหน่ึงขันธ์ ๕ เกิดคือ ในขณะท่ีเห็นจักขุประสาทกับรูปารมณ์เป็นรูป เห็นรูปดี สบายใจ เห็นรูปชั่วไม่สบายใจ ความ สบายและไม่สบายเป็นเวทนาขันธ์ จาความสบายและความไม่สบายเป็นสัญญาขันธ์ ปรุงแต่งให้ ชอบไมช่ อบเป็นสังขารขนั ธ์ เห็นเป็นวิญญาณขันธ์ มีการเกิดดับโดยหลักของไตรลักษณ์๑๐๗ [๑๐๘] หลักธรรมท่ีเก่ียวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา พบว่า ต้องกำหนดรู้อยู่ที่ วิปัสสนาภมู ิ ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒ อริยสจั ๔ ย่อลงได้แก่ นามรูป เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาหรอื เป็นธรรมท่ีอบรมให้เกิดปัญญาและสรรพสิง่ ทั้ง ปวงลว้ นเป็นอารมณ์ของวิปสั สนาหรือกรรมฐานทง้ั ส้ินเพราะว่า เมื่อเรากำหนดส่ิงใดสิ่งหน่ึงอยา่ งมี สติและไม่ยึดม่ันในสิ่งท้ังปวงพิจารณาตามความเป็นจริงด่ิงลงสู่พระไตรลักษณ์จัดเป็นอารมณ์ กรรมฐานไดอ้ ย่างแท้จรงิ ๑๐๘ [๑๐๙]อเุ บกขาท่ีปรากฏในหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา พบว่า มีอเุ บกขา ๑๐ ประการ มีฉฬังคุเปกขา เป็นอุเบกขาท่ีประกอบด้วยองค์ ๖ ประการ ปรากฏเพียงสภาวะท่ีรับรู้แห่งความ เป็นกลางของอินทรีย์ ๖ ขณะ เช่น เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กล่ิน รับรู้ รส ถูกต้อง สัมผัสทางกาย รู้ แจง้ ธรรมารมณท์ างใจ เป็นผู้วางเฉย เป็นผูส้ งบ ไม่ยินดยี ินร้าย มสี ติสมั ปชัญญะอยูเ่ สมอนเี้ ป็นปกติ ของการรู้อารมณ์ของพระอริยผู้เป็นพระอรหันต์เท่า พรหมวิหารรุเปกขาคือ อุเบกขาที่เป็นไปใน ความวางเฉยต่อสัตว์ท้ังปวงท่ีเป็นสุขและทุกข์ ได้แก่ ระลึกเป็นอารมณ์ไว้ในใจแล้วแผ่ออกไปด้วย จิตท่ีเป็นกลาง ส่งเสริมให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ การรักษาอินทรีย์ให้สม่ำเสมอตัดขาดจาก ความรู้สึกท้ังสองฝ่าย ไม่เอียงไปในฝ่ายยินดีและไม่มีความเสียใจมีความเป็นกลาง ไม่ต้องจดจ่อ มากนัก การกำหนดเป็นไปได้เองอย่างราบรนื่ โดยไม่ตอ้ งเฝ้าระวังรดำเนินไปอย่างพอดีๆ สนับสนุน ใหว้ ิริยะอุเปกขา คอื ถงึ วริ ิยะที่ไม่มากล้นและขาดแคลนในการปฏิบัติครั้งใดตามถ้ากำหนดไดอ้ ยา่ ง ดีราบรื่น วิริยะไม่ขาดไม่เกิน การรู้สังขารุเปกขาญาณ คือ การกำหนดไปอย่างเป็นกลางๆในขณะ รบั รู้ของสังขารทป่ี รากฏ มเี วทนาอุเปกขา คือความสขุ ไมใ่ ช่ ความทุกข์ใจไม่ใช่ มีแต่ใจท่ีเปน็ กลางๆ ปัญญาที่วิปัสสนานุเปกขา คือ มีเกิดขึ้นได้ท่ีอุทยัพพยญาณ ได้ค้นพบการได้พบเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาวธรรมทเ่ี กดิ ดับ แสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เปน็ ทุกข์ และเป็นอนัตตา การกำหนดรู้ ดำเนินไปโดยไม่ได้หยุดคิดพิจารณาโดยความรู้ความเห็นพระไตรลักษณ์ปราศจากความยินดีพอใจ ๑๐๗ อ้างแลว้ , พระมานสั โสภณจติ โฺ ต (ชอบมี), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓๕-๕๔] ๑๐๘ อา้ งแล้ว, พระมานัส โสภณจิตโฺ ต (ชอบมี), [หัสแบบบนั ทกึ ๓๕-๕๔]

๑๘๔ หรือเสียใจเข้าไป โดยมี ตัตตรมัชฌัตตุเปกขา คือ ความวางเฉยต่อสุขในฌานเป็นธรรมชาติที่เป็น กลางในสัมปยุตตธรรม๑๐๙ [๑๑๐] อุเบกขาที่เป็นไปในองค์ธรรมของการเจริญโพชฌงค์ ในสติปัฏฐาน ๔ เป็นไปใน อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความชัดเจนในทางปัญญานุเปกขา ศรัทธาและวิริยะที่ เกิดข้ึนสม่ำเสมอ เป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยดีของที่สุดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เข้าถึงวิมุตติได้ตาม หลักของการเจรญิ สตปิ ัฏฐาน ๔ ดว้ ยความที่การสั่งสมบารมมี าตา่ งกันทำการเข้าถึงปฏิปทาของตน ที่สร้างมาทำให้ใช้เวลาปฏิบัติต่างกันเรียกวา่ เสขะ ผู้ท่ียังต้องศึกษา(ปุถุชน) และอเสกข(อริยะชน) ผู้ท่ไี ม่ตอ้ งศึกษาอีกต่อไปแล้วคอื ถึงพระนพิ พาน เพ่ือใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ิ คิดเป็นทำเปน็ แกป้ ญั หาเป็น เน้น คุณธรรม ดำรงตนอยู่ในการเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เป็นไปในชีวิตประจำวันตามแนว สติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธองค์ทรงพิจารณาบุคคลที่สามารถบรรลุธรรม ได้แก่ ตามอุปนิสัยบารมีท่ี ตนเองสร้างมาและได้พบกับกัลยาณมิตรที่ดีงาม มีพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกจากได้ฟังธรรม และปฏิบตั ธิ รรมดังปรากฏในบุคคลท่ีแสดงไว้ประเภทคือ ๑. อุคฆฏิตญั ญู คอื พอได้รับการอธิบาย เพียงหัวข้อเท่ารู้ได้ทันที (บางดอกอยู่เหนือน้ำ พอต้องแสงอาทิตย์จะบาน) ๒.วิปปจิตัญญู คือ พอ ได้รับการอธบิ ายรายละเอียดเข้าใจได้(บางดอกอยู่เสมอน้ำจะบานในวนั รุ่งขึ้น) ๓.เนยยะ คอื พวก ทฟี่ งั ธรรมไว้เพือ่ เปน็ อปุ นสิ ยั ในโอกาสหน้า หรือพวกที่ตอ้ งค่อยฝึกค่อยเปน็ ค่อยไปจึงจะเข้าใจ (บาง ดอกอยู่ใต้น้ำจะบานในโอกาสต่อไป)เม่ือผู้ปฏิบัติท่ีเป็นไปในสติปัฏฐาน ๔ ด้วยการพัฒนาไปในกา ยานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา การพัฒนาของอุเบกขาย่อม สร้างความสมดุลในการวางใจเป็นอุเบกขา ในขณะการกำหนดรู้รูปนามท่ีกำลังดำเนินไปด้วยใจท่ี เป็นกลางในขณะกำหนดรู้การเกิดดับของรูป การรู้เห็นเวทนาย่อมเข้าถึงความแจ่มแจ้งในการ วางใจไมข่ าดกลวั ตอ่ ทกุ ขเวทนาไมห่ ลงระเรงิ ในสขุ ทเ่ี กดิ กบั เวทนานุปสั สนารู้แจ้งอเุ บกขา๑๑๐ [๑๑๑] วิปัสสนาภูมิ ๖ ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุป บาท ๑๒ อริยสัจจ ๔ วิปัสสนาภูมิเป็นที่เกิดที่มีข้ึนการเข้าไปกำหนดรู้ในรูปนามที่เป็นอารมณ์ ของวิปัสสนาปัญญาอาศัยหลักการท่ีเป็นไปในการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติ เข้าใจในการเจรญิ กายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จติ ตานปุ ัฏฐานสติปฏั ฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่ีได้แสดงตัว วิปัสสนาปัญญาเห็นรูปนามตามความเป็นจริงใน ปัญญาหยั่งรู้ หยั่งเห็น เห็นแจ้งโดยประการต่างๆในสภาวะลักษณะของสภาวธรรมรูปสภาวธรรม นาม ตามความเป็นจริงว่าสภาวธรรมท้ังหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตนเราเขา จึงเป็นธรรมเครอ่ื งรู้เห็นรปู นามตาม สภาวะแหง่ ไตรลักษณ์ หมายถงึ ปัญญา ท่ีหย่ังรู้ ๑๐๙ อา้ งแล้ว, พระมหาณชั พล พนฺธาโณ (นราวงษ์), [รหัสแบบบนั ทกึ ๓๓-๕๔]. ๑๑๐ อา้ งแลว้ , พระมหาณชั พล พนธฺ าโณ (นราวงษ์), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓๓-๕๔].

๑๘๕ สภาวะ(ปรากฏการณ์)ของสภาวธรรม อารมณ์ภายในกายใจ หรอื รูปกับนาม ตามความเป็นจริงว่า สภาวธรรมท้งั หลายไม่เที่ยง เปน็ ทกุ ข์ เป็นอนัตตา จงึ แสดงหลกั การปฏิบตั วิ ิปสั สนาภาวนาเป็นสอง หมวด คือ ดังน้ี (๑)หมวดท่ีเป็นไดท้ ั้งสมถะและวิปสั สนาในส่วนของกายานปุ ัสสนาจดั ไว้ดงั นีส้ ่วน ของสมถะนำหน้าวิปัสสนาตามหลัง คือ อานาปานปัพพะปฏิกูลมนสิการปัพพะ นวสิวถิกะปัพพะ เมื่อเจริญสติตามกำหนดรู้จนเกิดความสงบในข้ันของอุปจารสมาธิ ในหมวดตามอุปนิสัยของตนๆ ที่ส่ังสมบารมีมาจากยกจิตขึ้นพิจารณารูปนามตามความเป็นจริง จิตที่ถูกปัญญาอบรมดีมองเห็น ความเป็นของรูปนามในหลักของความเกิดดับตามความเป็นจริง การรู้เห็นอย่างน้ี จึงได้ชื่อว่ามี สมถะนำหน้าวิปัสสนาตามหลัง (๒)หมวดท่ีเป็นวิปัสสนานำหน้าสมถะ ปรากฏในกายานุปัสสนา จัดไว้ส่วนของวิปัสสนานำหน้าสมถะตามหลัง คือ อิริยาบถปัพพะ สัมปชัญญะปัพพะ ธาตุ มนสิการปัพพะ เม่ือผู้เจรญิ วิปัสสนานำหน้าเกิดปัญญาในการเจริญสติปฏั ฐานย่อมมองเห็นรูปนาม ตามความเป็นจริงในขั้นของความเกิดดับในอุทยัพพยญาณ ความสงบเย็นของจิตย่อมเกิดขึ้น เป็นขณิกสมาธิ ที่เกิดข้ึนในขณะกำหนดรู้ปัจจุบันขณะของรูปนามความด้ินรนของความเดือดร้อน ดว้ ยอำนาจของนิวรณ์ย่อมระงับด้วยปัญญาที่รู้เทา่ ทัน สมาธิของการกำหนดรู้รูปนามอย่างต่อเน่ือง จงึ เกิดขึ้นความสงบเย็นของจิตในขั้นสมถะตามมาเอง จงึ จัดได้ว่าปัญญาทำจิตให้เห็นประจักษ์แจ้ง พระไตรลักษณ์ในรูปท่ีเห็นอาการที่เคลื่อนไหวใจที่คิด (๓) หมวดที่ควบคู่กันทั้งวิปัสสนาและ สมถะทีป่ รากฏในกายานุปัสสนา ดังน้ี อานาปานปัพพะ อิริยาบถปพั พะ สัมปชัญญะปัพพะ ปฏิกูล มนสิการปัพพะ ธาตุมนสิการปัพพะ และนวสิวถิกะมนสิการปัพพะ เม่ือเจริญสมถะหรือวิปัสสนา ภาวนาตามอุปนิสัยจริตท่ีสั่งสมด้วยบารมีของตนมา เม่ือเจริญวิปัสสนาภาวนาท่ีเป็นไปในกายา นปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ปฏิบัตยิ ่อมเข้าถึง สภาวเกิดดับของรูปนามความสงบเย็นของจิตจะถูกตอ้ ง ด้วยสุขแท้เห็นรูปนามตามความเป็นจริงทุกข์ท่ีถูกตัดท่อนด้วยปัญญาที่กำลังดำเนินไปตามหนทาง นี้เท่าไม่มีทางอ่ืน ในการอบรมปัญญาให้เข้าใจตามความจริงไม่ใช่เห็นตามท่ีเราวาดภาพให้เป็น ด้วยความชอบ ความชัง ความอยากไดห้ รือความขัดใจของความยึดถือ รู้แจ้งชัดเข้าใจจรงิ จนถอน ความหลงผิดและยดึ ติดในส่ิงท้ังหลายได้ ถึงข้ันเปล่ียนท่าทีต่อโลกและชีวิตใหม่ ความรู้ความเข้าใจ ถูกต้องที่เกิดเพิ่มข้ึนเรือ่ ย ๆ มคี วามสุขสงบผ่องใสและเป็นอิสระเพราะพ้นจากอำนาจครอบงำของ กิเลสคือนำไปสู่ความหลุดพ้นที่แท้จริงยั่งยืนถาวร(สมุจเฉทวิมุติ) การรู้เห็นด้วยปัญญาท่ีเจริญ วิปัส สนาภ าวนาจัดได้ว่าเป็นคุณ ประโยช น์ทั้งสมถคุ ณ แล ะวิปัสสนาคุณ ในการเจริญ ส มถแล ะ วิปัสสนาคู่กันดังที่กล่าวมา (๔)หมวดเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานจัดเป็นการเจริญวิปัสสนาล้วน เป็นเหตุให้เห็นความเป็นจริงของ รูปนามที่แสดงออกมาในกระแสของจิตท่ีมีการเกิดข้ึนต้ังอยู่และดับไปในที่สุดท่ีถูกต้องตามหลัก ของการเจริญวิปัสสนาภาวนาท่ีมีการดำเนินไปของหมวดกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตา นุปัสสนาและธัมมานุปัสสนา การกำหนดรู้ที่เป็นไปในฐานท้ัง ๔ มีความสัมพันธ์กันทั้งหมดไม่ว่าผู้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook