๒๓๖ ใด รู้ชัดเหตุ การละ (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ท่ีเกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตุใด รู้ชัด เหตุ และ (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ)์ ท่ลี ะไดแ้ ล้ว จะไม่เกดิ ข้ึนตอ่ ไปอีกดว้ ยเหตุใด รู้ เหตดุ ว้ ยวธิ กี ารน้ี ภิกษพุ ิจารณาเห็นธรรมในธรรมทงั้ หลายภายในอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมทั้ง ภายนอกอยู่หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุ เกิดในธรรมอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในธรรมอยู่ หรือพิจารณาเหน็ ทง้ั ธรรมเปน็ เหตเุ กิดท้ัง ธรรมและเหตุดับในธรรมอยู่หรือว่า ภิกษุมีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “ธรรมมีอยู่” เพียงเพ่ือ อาศัยเจริญญาณ เจริญสติ ไม่อาศัย(ตัณหาและทิฎฐิ)และไม่ยึดมั่นถือม่ันอะไรๆในโลก (๔)ธรรม สำหรับสนับสนุนการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า ผู้ปฏิบัติธรรมหรือจะทำอะไรทำสิ่งต่างๆ ให้ สำเร็จเบ้ืองต้นจะต้องมีฉันทะ คือ ความพอใจในสิ่งเสียก่อน เมื่อมีความพอใจแล้ว การขวนขวาย ในการท่ีจะได้มาส่ิงจะตามมา แม้ในการปฏิบัติตามหลักธรรมของธัมมานุปัสสนาเช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติจะต้องปลูกฉันทะหรือศรัทธาให้มีอัธยาศัยรักในการปฏิบัติ แล้วมีความขวานขวาย การมี ใจจดจ่อและการใช้ปัญญาไตร่ตรองในหมวดของธัมมานุปัสสนา เช่น ขันธ์ อายตนะ จะตามมา การมีอิทธิบาทในการปฏิบัติถือว่ามีความสำเร็จในกิจทุกอย่างท่ีจะทำให้เกิดขึ้น (๕)ธรรมที่เป็น อุปสรรคในการเจริญธมั มานุปัสสนา พบว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการเป็นตวั การสำคัญทที่ ำลายความ สงบเพราะทำใหจ้ ิตของคนเรามัวหมองเป็นเครอ่ื งเศร้าหมอง ผิดจากภาวะปกติไป เช่น ไม่สามารถ รูส้ ภาวธรรมของหมวดธัมมานุปัสสนา การท่ีจะรู้เท่าทันสภาวะของหมวดธัมมานุปัสสนา มีนิวรณ์ ๕ ต้องมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติคอยเฝ้าระวังใจไว้นิวรณ์เป็นศัตรูที่มองไม่เห็นตัว สัมผัส ไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สัมผัสได้ด้วยใจเท่า คือ นิวรณ์เกิดที่ใจ รู้ด้วยใจ ละได้ที่ใจ ใจจึง เป็นสนามรบที่สำคัญ เม่ือรบชนะเดด็ ขาด คือพ้นจากทุกข์จากภยั สรุปการเจริญธมั มานปุ สั สนาใน พระพุทธศาสนาเถรวาทก่อนลงมือเจริญในหมวดธัมมานุปัสสนาควรเลือกสถานที่ในการเจริญธัม มานุปัสสนาให้เหมาะสมตามหลักอิทธิบาท ๔ และควรหลีกเลี่ยงอุปสรรคท่ีขัดต่อองค์ความรู้ของ หมวดธัมมานุปัสสนา(การพิจารณาเห็นธรรม)ให้เข้าใจวิธีการเจริญธัมมานุปัสสนาการพิจารณาให้ เหน็ ธรรมในหมวดธรรม ๕ ประการ ((นิวรณ์ ขนั ธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสจั จ์) ให้เห็นสภาวธรรม ตามเป็นจริงหลกั ธรรมของธมั มานปุ สั สนาเพ่อื ละ(ตณั หาและทฎิ ฐิ) และไมย่ ึดมั่นถอื มัน่ ๑๙๗ [๑๙๘] สัทธา คือ ความเชื่อในส่ิงทคี่ วรเช่ือ จำแนก ๔ ประการ ๑)กมั มสัทธา ๒)วิปาก สทั ธา ๓)กัมมัสสกตาสัทธา ๔)ตถาคตโพธิสทั ธา อาศยั เหตุ ๔ ประการในการสร้างหรือทำให้เกิด ดังน้ี (๑)เช่ือเพราะเห็นรูปสวย (๒)เชื่อเพราะเห็นความประพฤติเคร่งครัด (๓)เช่ือเพราะได้ฟัง ธรรมของผู้ที่ฉลาดในการแสดง (๔) เช่ือเพราะเหตุผลที่ได้ฟังธรรมจากการแสดง อุปมาเหมือน สารส้มทำน้ำให้ใสขึ้น จากการยกศรัทธาขึ้นแสดงเพราะว่า โอภาสนี้อาศัยศรัทธาเป็นบ่อเกิดดุจ ๑๙๗ อา้ งองิ , กัปนาท พุทธปวรางกูร, [รหัสแบบบันทกึ ๔๓–๕๔]
๒๓๗ ดังเร่อื งท่ีได้ยกมาแสดงข้างตน้ ความจริงแสงสว่างหรือโอภาส เป็นสิ่งที่คนมักเข้าใจผิดท่ไี ปพบเห็น กันในธรรมชาติว่าเป็นของวิเศษหรือบางคนนั่งสมาธิแล้วเห็นแสงต่างๆแล้วคิดว่าเป็นของดีของ วิเศษคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษท่ีได้พบแสงสว่างดังกล่าว เหตุการณ์ดังกล่าวล้วนแต่เป็นส่ิงที่ไม่ใช่ โอภาสในทางวิปัสสนาเพราะเป็นแสงสว่างท่ีเกิดจากความเช่ือท่ีงมงาย ไร้สาระ ไร้เหตุผล แต่แสง สว่างที่เป็นวิปัสสนาเกิดจากความศรัทธาในเหตุผลอีกอย่างหน่ึงแสงสว่างที่เรียกว่าโอภาสต้องเกิด จากความศรทั ธาในการปฏิบตั ิตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ อย่างจรงิ จงั ตงั้ แต่ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ผลท่ี ได้รับในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หมวดธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในช่วงเกิดสภาวญาณทางปัญญา โดยเฉพาะญาณท่ี ๔ อย่างอ่อนหรือเรียกว่า ตรุณอุทยัพพยญาณ ช่วงนี้เรียกว่าอารัทธวิปัสสนา ผู้ เรมิ่ วิปัสสนา ในช่วงนี้จะพบสภาวธรรมแปลกๆ ๑๐ ประการ มีแสงสว่างดว้ ยอำนาจแห่งปญั ญาท่ีรู้ แจ้งรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์อย่างช่าชองจึงทำให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกวางเฉยในรูปนาม เรียกว่า วิปัสสนุเปกขา ถ้าบุคคลใดมีความยินดีพอใจในแสงสว่างเป็นต้นจนถึงความวางเฉย ดังกล่าว ช่ือว่า ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมองโอภาสท่ีเกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนา คือ ช่วยให้ค้นพบ วิปัสสนาญาณท่ีจริงเม่ือผ่านพ้นโอภาสไปแล้ว ดังหลักฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า วิปัสสนูปกิเลส ย่อมไม่เกิดแก่พระอริยสาวกผู้ได้บรรลุมรรคผลแล้วแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิดทางบุคคลผู้ทอดท้ิง กัมมัฏฐานและบุคคลผู้เกียจคร้านย่อหย่อนในการปฏิบัติแต่จะเกิดข้ึนเฉพาะแก่ผู้ปฏิบัติอย่าง ยิง่ ยวด จนได้ชอ่ื วา่ อารัทธวิปัสสกะ๑๙๘ [๑๙๙] หลักธรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเน้ือหาหลักธรรมในปุณโณ วาทสตู ร พบวา่ การเจรญิ สตปิ ัฏฐาน คอื สติทีต่ ัง้ มั่นใน กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน สติทเ่ี ข้าไปต้งั ม่ัน โดยพิจารณาเห็นกาย เวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน สตทิ ่ีเข้าไปตั้งม่ันโดยพิจารณาเห็นเวทนา จิตตา นปุ ัสสนาสติปัฏฐาน สติทเ่ี ข้าไปตงั้ มัน่ โดยพิจารณาเห็นจิต และธัมมานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน สติท่เี ข้า ไปต้ังม่ันโดย พิจารณาเห็นธรรมท้ังหลาย เป็นหลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เป็นภาวนามย ปัญญา เพื่อทำความส้ินไปแห่งทุกข์ท้ังหลาย การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นการปฏิบัติเพ่ือความดับ ทุกข์ มีหลักธรรมท่ีสำคัญในการ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ อายตนะ ท่านพระปุณณะได้รับ โอวาทจากพระพุทธองค์ในปุณโณวาทสูตรมีความสอดคล้องในหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม อายตนะจัดอยู่ในหมวดธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อายตนะ ๑๒ เป็นอารมณ์วิปัสสนา อารมณ์ภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วนอารมณ์ภายนอก คือ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เม่ืออารมณ์ท้ังสองเกิดผัสสะ จึงเกิดเวทนาขึ้น พร้อมกับการรับรู้อารมณ์ที่เกิดจาก อายตนะภายในและภายนอก๑๙๙ ๑๙๘ อา้ งแล้ว, พระจติ ตพฒั น์ โสภณปญโฺ ญ (กจิ จาณฏั ฐ)์ , [รหสั แบบบนั ทกึ ๒๙ –๕๔] ๑๙๙ อ้างแล้ว, พระทรงยศ ยสธโร (ต้งั จิตพทิ กั ษก์ ุล), [รหสั แบบบนั ทึก ๒๗ – ๕๔]
๒๓๘ [๒๐๐] การเจริญวิปัสสนาภาวนาเป็นการเจริญปัญญาให้เห็นแจ้งในลักษณะมี อนิจจลักษณะเป็นการเจริญปัญญาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นหนทางเดียวเพื่อความบริสุทธ์ิของ เหล่าสัตว์เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพ่ือดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพ่ือทำให้แจ้ง นพิ พานโดยการกำหนดรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม หรือโดยย่อได้แก่ การกำหนดดูรูปนาม การที่จะ เจริญให้ได้ผลดี ต้องประกอบ อินทรีย์ ๕ มีศรัทธา คู่กับ ปัญญา สมาธิ คู่กับ วิริยะ ให้สมดุลกัน ไม่หนกั ไปขา้ งใดข้างหนงึ่ แตส่ าหรับสติ มมี ากเท่าไรยิง่ ดี อุปการะแก่ผปู้ ฏิบัตใิ นการทกุ เม่อื ๒๐๐ [๒๐๑] ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาทกับขันธ์ ๕ ในการเจริญวิปัสสนา ภาวนา พบว่า มคี วามสัมพันธ์ คือ นำมาทกุ ข์อย่างเดียวกันสงเคราะห์เข้ากนั ไดก้ ับรปู นาม อวิชชา เป็นเหตุให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ โดยปิดบังขันธ์ ๕ ไว้ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และในการ วิปัสสนาภาวนา ผู้ที่เจริญปฏิจจสมุปบาท คือเจริญขันธ์ ๕ ผู้ท่ีเจริญขันธ์ ๕ เป็นอันเจริญ ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่ เจริญธรรมท้ัง ๒ อยา่ งนี้ เรยี กได้ว่า เจริญรูปกับนาม เมื่อนำเอาหลักธรรม คอื ปฏิจจสมุปบาท และขนั ธ์ ๕ น้ีมาเจรญิ วิปัสสนาภาวนาแลว้ สามารถบรรลโุ ลกุตตรปัญญา หรือ บรรลุโพธิญาณได้ ความมีเหตุมีผลในตน ผลจะเกิดข้ึนโดยไม่มีเหตุหรือว่า เหตุจะเกิดข้ึนโดยไม่มี ผลไม่ได้ อุปมาเหมือนคนรับประทานอาหาร รับประทานเอง ตนย่อมอ่ิม หรือคนปลูกข้าวย่อมได้ ขา้ ว ปลกู ถ่วั งา ยอ่ มได้ถั่วงา คอื หลักเหตุและผลมพี ระพุทธพจนร์ บั รองขอ้ นี้วา่ “เพราะเหตุนี้ เมื่อ สิ่งน้ีมี ส่ิงน้ีจึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี”เป็นอาทิมวล มนุษย์ที่เจริญวิปัสสนาภาวนาแต่มวลมนุษย์ท่ีไม่ได้เจริญวิปัสสนาภาวนาทราบเช่นกันโดยอาศัย การบอก การแสดง ของพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลายเป็นต้น ปฏิจจสมุปบาท และ ขันธ์ ๕ เป็นปัจจุปปันธรรมด้วยกัน ในฝ่ายเกิดต่างก่อให้เกิดทุกข์เหมือนกันและในฝ่ายองค์ธรรม ของธรรมทั้ง ๒ น้ี กำหนดรู้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดเท่ากับกำหนดรู้ขันธ์ ๕ ฝ่ายเกิดอย่างเดียวกัน น้ี คือ กระบวนการเกิดแห่งธรรมท้ัง ๒ ระบวนการดับปฏิจจสมุปบาท และขันธ์ ตามหลักการ เจริญวิปัสสนาภาวนา จะมีความเหมือนกัน และคล้ายคลึงกันโดยส่วนมาก ต่างแต่องค์ธรรม โดยรวมมีความแตกต่างกันเท่า แต่รวมอยู่ในรปู กับนามปฏิจจสมุปบาท และขันธ์ ๕ ธรรมทั้ง ๒ น้ี เป็นวิปัสสนาภูมิหรือเป็นอารมณ์ของการเจริญวิปัสสนาภาวนา ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาย่อมได้ผล หรืออานิสงส์สงู สุดเดียวกัน คอื เข้าถึงพระนิพพานอนั เป็นธรรมทีเ่ ปน็ บรมสุขอย่างเดยี วกันแต่ถ้าว่า แยกตามอารมณ์ธรรมท่ีกำหนด ๒๐๑ [๒๐๒] ศีล หมายถึง การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อยตามระเบียบวินัยหรือข้อประพฤติ ปฏิบัติในการเว้นจากความช่ัว ทำให้จิตใจของมนุษย์ สงบร่มเย็น และเป็นสุข ถ้ารักษาตาม ประเภทของศีล เช่น วารีตศีล คือ ข้อห้ามเก่ียวกับศีล จารีตศีล คือ การอนุญาตเป็นพุทธบัญญัติ ๒๐๐ อ้างแลว้ , พระมหาพสิ ตู น์ จนทฺ วโํ ส (พะนริ ัมย์), [รหัสแบบบันทกึ ๒๕ –๕๔] ๒๐๑ อ้างแล้ว, พระมหาพสิ ูตน์ จนทฺ วํโส (พะนิรัมย์), [รหสั แบบบนั ทกึ ๒๕ –๕๔]
๒๓๙ เป็นต้น เพ่ือจุดมุ่งหมายในสังคมได้อยู่ด้วยความสามัคคีและความผาสุกและได้รับอานิสงส์ของ ผู้รักษา เช่น โภคทรัพย์ และหลังจากตายแลว้ ย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ วิธีปฏิบัติตามศีลใน พระพุทธศาสนาเถรวาท แบ่ง ๓ ประเภท คือ ๑)จุลศีล(ศีลอย่างเล็กน้อย) คือ ศีล ๕ ศีลของ คฤหัสถ์ท่ัวไป เพ่ือควบคุมความประพฤติทางกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงาม ความปกติสุข เพือ่ ประโยชนข์ ัน้ พ้ืนฐานคอื ความสุขและมีการเบียดเบยี นกนั ในสังคม ๒)มชั ฌิมศีล(ศลี อยา่ งกลาง) หมายถึง ศีลของกัลป์ยาณปุถุชน เป็นเคร่ืองควบคุมความประพฤติทางกาย วาจาให้อยู่ในสภาพ ปกติเรียบร้อยดีงาม พ้นจากการเบียดเบียนกันและกัน และเป็นที่รองรับการกุศลธรรมช้ันสูงย่ิงๆ ข้ึนไป ๓) มหาศีล(ศลี อยา่ งใหญ)่ หมายถึง ศีลสำหรับพระภิกษุผ้ถู อื ศีล ๒๒๗ ขอ้ เป็นขอ้ ห้ามของ พระภิกษุสงฆ์ตามพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงวางข้อกำหนดไม่พึงละเมิดไว้เพื่อความเป็น ระเบียบเรียบร้อยของคณะสงฆ์และกล้าไปสู่มรรค ผล นิพพาน ตามหลักของพระพุทธศาสนาและ เป็นการแสดงออกของบุคคลผู้ได้ฝึกฝนตามพระวินัยแล้วเพ่ือให้ศีลสมบริสุทธ์ิ สมาธิสมบริสุทธิ์ และปัญญาบริสุทธ์ิ อันเนื่องมาจากการปฏบิ ัติตามหลักปาริสุทธิศีล ๔ คอื ปาติโมกขสังวร อินทรีย สังวร อาชีวปารสิ ุทธิ และปัจจยปจั จเวกขณะ การปฏิบตั ิตามสมควรแกภ่ าวะของตนๆเพ่ือขดั เกลา ศลี ใหบ้ รสิ ุทธิ์ เม่ือศีลบรสิ ุทธ์ิแล้วเป็นเหตใุ หจ้ ิตบรสิ ุทธิแ์ ละปญั ญาบริสทุ ธ์ิ โดยลำดับจนกระท่งั เป็น ผู้บรสิ ุทธ์ิจากกิเลสท้ังปวง เป็นไปเพอ่ื ทำทสี่ ุดแหง่ ทกุ ข์๒๐๒ [๒๐๓] อาการวิปลาส ท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐานอันเป็นภาวะสะดุดในการปฏิบัติ กรรมฐานขึ้น เป็นส่ิงท่ีอาจเกดิ ขน้ึ ได้สำหรับผเู้ ข้าฝึกอบรมปฏิบัติกรรมฐานบางคนเท่า แต่มจี ำนวน น้อยมากหากเปรียบกับจำนวนผู้ท่ีเข้าฝึกอบรมกรรมฐานแล้วแต่ยังเป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้บุคคล อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมและญาติของครอบครัวผู้มีอาการวิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐาน เกิดความหวาดระแวงวิตกว่า เหตุใดการปฏิบัติกรรมฐานท่ีว่าเป็นสิ่งท่ีดีแต่ยังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ได้ จึงมีการตั้งคำถามไว้หลายประการว่า เพราะสาเหตุอันใดจึงเกิดข้ึน จะสามารถแก้ไขป้องกันได้ อย่างไร และในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เช่นพระไตรปิฎกและอรรถกถามีการระบุถึงเรื่องวิปลาสไว้ อย่างไรบ้าง อีกทั้งทัศนะของครูผู้สอนกรรมฐานร่วมสมัยในปัจจุบันเป็นอย่างไรรวมถึงแนวคิด ในทางตะวนั ตกเก่ียวกับวปิ ลาสท่ีเกดิ ข้นึ ในการปฏิบตั กิ รรมฐานมีมุมมองเชน่ ไร๒๐๓ [๒๐๔] สภาวญาณ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ หมายถึง ปัญญาที่กำหนดรู้ลักษณะของ สภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม ที่เกิดก่อนเป็นเหตุและสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนามท่ีเกิดทีหลัง เป็นผลหรือ ปัญญากำหนดรู้เหตุและผลของรูป นามว่าเป็นเหตุเป็นผลกันและกัน เช่น ขณะ กำหนดพอง ยุบอยู่ พอง ยุบ เป็นเหตุ จิตท่ีรู้พองรู้ยุบเปน็ ผล พบว่าเม่ือผ้ปู ฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักการปฏิบัติของสำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร ผลของการ ๒๐๒ อา้ งแลว้ , พระครสู ังฆรกั ษ์ชีพ ธมมฺ เตโช (คกู่ ระโทก), [รหสั แบบบันทกึ ๒๑ – ๕๔] ๒๐๓ อา้ งแลว้ , ภาวนยี ์ บุญวรรณ, [รหัสแบบบนั ทึก ๑๕–๕๒]
๒๔๐ ปฏบิ ตั ิมีสภาวญาณเบ้ืองตน้ มีความสอดคล้องตามคัมภรี ์พระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีรท์ ่ี เกี่ยวข้อง จากการศึกษาสภาวธรรม อารมณ์ และการปรับอินทรีย์ ผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามหลัก สติปัฏฐาน ๔ ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร พบว่าก่อนและหลังเข้า ปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ พบว่า ผู้ให้ความสนใจและมีศรัทธาดีในการเข้าปฏิบัติ วิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน แม้ว่าการปฏิบัติในระยะเวลาเพียงเล็กน้อยแต่มีผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้ผู้เข้าปฏิบัติมีความขยัน อดทน และความเข้มแข็งม่ันคงทางด้านจิตใจมากข้ึนการสอบ อารมณ์ ทำให้การปฏิบัติมีความก้าวหน้าสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านจริยธรรมของตนเอง เกิดความต้ังใจท่ีจะเลิกอบายมุขต่างๆ และสามารถจะแนะนำการปฏิบัติแก่บุคคลอื่นได้จากแบบ สังเกตสภาวธรรมการปฏิบัติของผูป้ ฏิบัตวิ ปิ ัสสนาตามหลกั สติปฏั ฐานประกอบด้วยการยนื การเดิน จงกรม และการนั่งสมาธิ พบว่าในระยะ ๓ วนั แรก กลุ่มตวั อยา่ งมีความต้ังใจสม่ำเสนอเพียรในการ ปฏิบัติ ส่วนใหญ่ผู้เข้าปฏิบัติตรงต่อเวลาในการเข้าปฏิบัติ ทำวัตรสวดมนต์ ตั้งใจฟังธรรมบรรยาย การส่งอารมณ์ และขณะปฏิบัติต้ังใจเพียรในการกำหนดดี วันท่ี ๔–๗ มีความต้ังใจกำหนดมากขึ้น สำรวมมากขึ้นโดยสำรวมตา หู จมูกล้ิน กาย และใจ ทำให้กายสงบลง วันที่ ๘ วันที่ ๙ ของการ ปฏิบัติสังเกตได้ว่า หน้าตาผิวพรรณของผู้ปฏิบัติมีความอิ่มเอิบ ผ่องใส่ และแววตามีประกายแห่ง ความสขุ สงบจากแบบถามตอบสอบอารมณ์ พบว่าในขณะท่ีผ้ปู ฏบิ ัติเล่าประสบการณ์การปฏิบัติใน การกำหนดกาย เวทนา จิต ธรรม และอารมณ์ที่เกิดข้ึนแก่พระวิปัสสนาจารย์และพระวิปัสสนา จารย์ซักถามผู้ปฏิบัติตามแบบถามตอบสอบอารมณ์ในแต่ละญาณพร้อมกับให้คำแนะนำ การ ปรับปรุงอนิ ทรยี ์ในแต่ละวัน สภาวธรรมเบื้องต้นจากแบบถามตอบสอบอารมณ์ส่วนใหญ่ตอบได้ถูก และท่ีตอบไม่ถูกส่วนมากเป็นข้อคำถามเดียวกันอาจเน่ืองจากผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจคำถามสรุปได้ว่า สภาวธรรมเบ้ืองต้นผู้ปฏิบัติมีความเข้าใจขั้นพ้ืนฐานการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานโดย การกำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม ดี เนื่องจากผู้ปฏิบัติมีความตั้งใจ สนใจ ศรัทธาในการปฏิบัติ และได้รับการแนะนำการปฏิบัติข้ันพ้ืนฐาน โดยการอบรมให้โอวาทและสาธิตการปฏิบัติที่มีสภาว ญาณ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ คือปัญญาที่มีความรู้ ความเข้าใจ ในการกำหนดรู้รูปนามสภาวะที่ เป็นจริงเกิดปัญญาหยั่งรู้ว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนามทุกส่ิงทุกอย่างในสากลโลกล้วนแต่ ประกอบด้วยรูปและนาม ผู้ปฏิบัติแยกรูปนามออกจากกันได้อย่างชัดเจนจากแบบถามตอบสอบ อารมณ์ พบว่า ส่วนใหญ่มีสภาวธรรมปานกลางอาจเนื่องมาจากไม่เข้าใจคำถาม เพราะคำถามที่ ตอบไม่ถูกมักจะเป็นคำถามท่ีซ้ำๆกัน การกำหนดไม่จดจ่อไม่ต่อเนื่องทั้งในเวลาที่ปฏิบัติและเวลา พัก ทำให้ปัญญาไม่คมชัดความน่าสนใจทันสมัยและเหมาะสมกับผู้ปฏิบัติสภาวญาณ ๒ ปัจจย ปริคคหญาณ คือ ปัญญากำหนดรู้จักปัจจัยแห่งรูปและนาม ญาณที่ผู้ปฏิบัติสามารถเกิดปัญญารู้ แจ้งสภาวะของรูปกับนามที่กำหนดอยู่ว่า ท้ังรูปท้ังนามเป็นเหตุเป็นผลกันและกัน จากแบบถาม ตอบสอบอารมณ์ พบว่า ส่วนใหญม่ ีสภาวธรรมพอใช้เนือ่ งมาจากความต่อเน่ืองจากสภาวะญาณ ๑
๒๔๑ คือ กำหนดไม่จดจ่อ ไม่ต่อเนื่อง ไม่กำหนดอิริยาบถย่อย ทำให้กรรมฐานรั่วสรุป การปฏิบัติธรรม จะดูแค่สภาวธรรมภายนอกไม่ได้ จะต้องดูทั้งสภาวธรรมภายในและภายนอก พร้อมท้ังเหตุปัจจัย จากพฤติกรรมก่อนเข้าปฏิบัติ และอดีตท่ีผ่านมาว่าเคยทำเหตุมาก่อนหรือไม่ มีผลต่อการปฏิบัติ คือ บางคนปฏิบัติลำบากแต่สำเร็จช้า บางคนปฏิบัติลำบากสำเร็จเร็ว บางคนปฏิบัติง่าย สำเร็จช้า บางคนปฏิบัติง่ายแต่สำเร็จเร็ว เป็นต้น และการกระทำ ปัจจุบันว่ามีความต้ังใจในการกำหนด สภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม ท้ังภายนอกและภายในอย่างประณีตบรรจงจรดจดจ่อติดต่อ ต่อเนื่องดีหรือไม่ ต้ังแต่ต่ืนนอนจนเข้านอน พร้อมท้ังการให้คำแนะนำของพระวิปัสสนาจารย์ที่มี ความเข้าใจและมีประสบการณ์ในการซักถามสภาวธรรมต่างๆและสามารถปรับอินทรีย์ของผู้ ปฏิบัติให้เสมอกัน คือ ศรัทธาต้องเสมอกับปัญญา วิริยะต้องเสมอกับสมาธิ สติยิ่งมากย่ิงดี จนทำ ให้สภาวธรรมต่าง ๆ เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับไปตั้งแต่สภาวญาณ ๑ ถึงสภาวธรรมมรรค ผล นิพพานนอกจาก ผลการวิจัยเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน คือ ๑) ได้วธิ ีการปฏิบัติท่ีถกู ต้องตามหลักพระไตรปิฎกสามารถนำไปปฏิบัติและให้ผลได้อย่างน้อยดับทกุ ข์ ทางกาย วาจา ใจ ได้สร้างกำลังใจให้มีความอดทน มีความพากเพียร มีสมาธิ มีปัญญาในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การงาน การเรียนอย่างมปี ระสิทธภิ าพย่ิงข้ึนจนถึงท่ีสุด คือ หลุดพ้นจากภพ ภูมิอันได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มนุษย์ สวรรค์พรหม ไปจนถงึ พระนิพพาน ๒)ได้แนว คำถามสภาวธรรมในการสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติเพ่ิมขึ้นและสามารถนำคำถามไปปรับใช้ในการถาม ตอบสอบอารมณผ์ ู้ปฏบิ ตั ิให้มคี วามก้าวหนา้ ในการปฏบิ ัติยิ่งข้ึน๒๐๔ [๒๐๕]สาระและประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน สรุป (๑)ด้านหลักการ คือ หลักการ ปฏิบัติท่ีจะทำให้เข้าถึงพุทธธรรมมีความมุ่งหมายเพ่ือความดับทุกข์หรือพ้นจากทุกข์ (๒)ด้าน วิธีการ คือ เทคนิคและวิธีการต่างๆ สำหรับใช้ในการปฏิบัติ (๓)หลักการและวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานในมหาสติปัฏฐานสูตร คือ หลักการและวิธีการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ๒๑ วิธี ท่ี สมบูรณเ์ ต็มรปู แบบมีทง้ั สมถะและวิปัสสนา๒๐๕ [๒๐๖] วิธปี ฏิบัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐานการกำหนดนักปฏบิ ัติใหมส่ ว่ นมากจะคุน้ เคยกบั การ ปฏิบัติแบบบริกรรมอย่างเดียวนานๆการเพ่งหรือการจดจ่อในอารมณ์นานๆเป็นแนวทางของสมถ กัมมัฏฐาน นักปฏิบัติจึงไม่ค่อยคุ้นเคยถึงวิธีปฏิบัติด้วยการกำหนดเน่ืองจากธรรมชาติของจิตท่ี ทำงานปกติ เช่น การรับอารมณ์การคดิ นึกจินตนาการในเร่ืองต่างๆตลอดเวลาการตอบสนองต่อสิ่ง ภายนอกท่ีมากระทบและการปรุงแต่งของจิต เมื่อจิตมีความชำนาญในสิ่งใดสิ่งหน่ึง จิตจะไม่เคย ชินในส่ิงใหม่ และมักจะลืมกำหนดต่อเน่ืองอีกด้วย ประเด็นสำคัญควรปฏิบัติอย่างเข้มงวด เช่น การกำหนดอารมณ์ท่ีชัดท่ีสุดของทางทวารทั้ง ๖ ตลอดเวลา และต้องทำอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่ ๒๐๔ อ้างแล้ว, แมช่ รี ะววี รรณ ธมมฺ จารินี (งา่ นวสิ ุทธิพนั ธ)์ , [รหัสแบบบันทกึ ๑๓–๕๑] ๒๐๕ อ้างแลว้ , พระแสนปราชญ์ ฐิตสทโฺ ธ (เสาศริ )ิ , [รหสั แบบบันทึก ๑๒-๕๔]
๒๔๒ รู้สึกตัวลืมตาตอนตื่นนอนจนถึงเวลาหลับตานอนอย่างช้าๆโดยทำให้ละเอียดท่ีสุด สรุปปัญหาของ นักปฏิบัติใหม่ คือ ความไม่เข้าใจในปรัชญาของการกำหนดหากผู้ปฏิบัติกำหนดไม่ต่อเน่ือง สติสัมปชัญญะและสมาธิจะขาดตอนต้องกลับมาเร่ิมต้นใหม่ทุกทีการกำหนดจึงเปรียบเหมือน กุญแจสำคญั ๒๐๖ [๒๐๗] จุดเด่นของกระบวนการศึกษาในพระพุทธศาสนาการแสวงหาความรู้ภายใน ตนเอง ผู้ศึกษาทำการประเมินผลและอนุมัติให้จบการศึกษาด้วยตนเอง เป็นการแสวงหาความรู้ที่ เกิดขน้ึ จากภายในตนเองโดยมพี ระธรรมคำสอนของพระพทุ ธองค์เป็นแนวทาง มคี รูบาอาจารย์เป็น กัลยาณมิตรผู้ช้ีแนะให้คำปรึกษาให้ปฏิบัติตรงทางและมีปัญญาในตนเองทำหน้าที่ประเมินผล การศึกษาและตัดสินใจให้สำเร็จการศึกษา การศึกษาในพระพุทธศาสนาจึงต่างจากการศึกษาใน รายวิชาท่ัวไปท่ีแสวงหาความรู้จากการค้นคว้า อ้างอิงจากตำราโดยมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะ แหล่งความรู้ ควบคุมการประเมินผลการศึกษาและตัดสินว่าสมควรให้จบการศึกษาหรือไม่ การศึกษาเรื่องของชีวิตในฐานะที่เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการธรรมชาติ สารตั ถะแห่งการศึกษา ในพระพุทธศาสนามีความแตกต่างจากวิทยาการศึกษาทั่วไปตรงท่ีมุ่งศึกษาเพ่ือให้เข้าใจ ความหมายของชีวติ การเข้าถงึ สภาวะจรงิ ของชีวิตด้วยการเฝ้าสังเกตว่ากระบวนการแห่งชีวติ นำ เนินการไปอย่างไร เมื่อรู้แจ้งในเรื่องของชีวิตอย่างถ่องแท้สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นอยู่ได้อย่าง เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ หลักการท่ีพระพุทธองค์ทรงนำมาแสดงเป็นกฎธรรมชาติท่ีทรง ค้นพบด้วยพระองค์เอง จึงมีความเที่ยงแท้แน่นอนเป็นสัจธรรมไม่ใช่ของเสนอทางความคิดหรือ ทฤษฎีทางปรัชญาท่ีต้องนำมาถกเถยี งอภิปรายเพอ่ื หาเหตผุ ลมาสนบั สนนุ หรือหักลา้ งพระองค์ทรง แสดงหลักการโดยสังเขปว่า“สิ่งใดสิ่งหน่ึงมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งท้ังมวลมีความดับเป็น ธรรมดา”หลักการสั้นๆท่ีอธิบายกระบวนการเกิด-ดับของธรรมท้ังหลายท่ีดำเนินอยู่ตลอดเวลา รวมถึงชีวิตมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการด้วยจะเห็นได้ว่า องค์ความรู้ในพระพุทธศาสนา มีทั้งมิติท่ีลุ่มลึกและกว้างขวาง มีทั้งความเรียบแต่ซับซ้อน พระพุทธองค์จึงทรงกำหนดวิธีการใน การศึกษาอย่างเป็นลำดับเป็นข้ันเป็นตอนโดยทรงวางเป้าหมายของการศึกษา ๒ ระดับใหญ่ๆคือ (๑)การค้นพบตนเอง (Self-Discovery)เป็นการสร้างความเห็นถูกว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เราท้ังน้ีผู้ ผ่านการศึกษาในขั้นต้นย่อมรู้ชัดว่า ตัวตนท่ีแท้จริงเป็นเพียงสภาวะท่ีเกิดจากการประชุมกันของ รูป-นามเป็นกระบวนการท่ีขับเคล่ือนอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ควรไปยึดมั่นถือม่ันในกระบวนการว่า เป็นท่ีตั้งของเรา มีเราเป็นเจ้าของ ทำให้สามารถแยกแยะเหตุปัจจัยแห่งการกระทำออกจากความ มีตัวตนได้อย่างชัดเจน จึงปรับปรุงแก้ไขข้อเสียได้ภายในตนได้มากข้ึน ผลที่เกิดจากการค้นพบ ตนเอง ทำให้หมดความสงสัยท้งั ในผู้กำหนดหลักสูตร เพราะเกิดความเช่อื มุ่นในคุณภาพการศกึ ษา ๒๐๖ อ้างแลว้ , อณิวชั ร์ เพชรนรรัตน์, [รหสั แบบบนั ทกึ ๑๐–๔๙]
๒๔๓ วา่ หากดำเนินตามวิธีการศึกษาน้ียอ่ มพบความจริงได้แน่นอน (๒)การพ้นไปจากตนเอง (Self - transcendence) มุ่งหน้าขัดเกลาตัณหาหรือความอยาก เป็นเหตุแห่งทุกข์เบาบางลง จนกระทั่ง “ปญั ญา” ท่ีเตม็ บริบรู ณ์จึงรู้ชัดว่า สง่ิ ทง้ั หลายเกิดข้ึนเพราะเหตุปัจจัยมลี ักษณะไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไมม่ ีอะไรทย่ี ืดถือไวใ้ ห้เปน็ ของเราได้ จงึ หมดความปรารถนาท่ีจะแสวงหาสิ่งภายนอกใดๆสง่ ผลให้ จิตเปล่งประกายสดใสอยู่ได้อย่างอิสระ เรียกว่า เป็นจิตท่ีหลุดพ้นจากกิเลส “เจโตมุตติ”แต่จิตยัง เป็นอัตตาสุดท้ายที่ต้องทำลายให้หมดไปด้วยการปล่อยว่างความยึดมั่นถือมั่นในจิตเพ่ือให้เข้าถึง ความเป็นหน่ึงเดียวที่เป็นอิสระไร้ขอบเขต ไร้ตัวตน จึงกระจ่างชัดแจ่มแจ้งและหมดจดในนิพพาน เรียกว่า บริสุทธิด์ ้วย“ปัญญาวิมุตติ”อยา่ งสมบูรณบ์ ริบรู ณ์ ๒๐๗ [๒๐๘] กระบวนการเรียนรู้ท่ีมีพื้นฐานมาจากความไม่รู้จากการค้นคว้าด้วยปริยัติเพื่อ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ทำให้ทราบถึงหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของ การศึกษา เนอื้ หาสาระและวธิ ีการท่ผี ู้ฝึกปฏิบัติจะต้องเรยี นรู้และฝกึ ฝนในสถานการณ์จรงิ เกณฑท์ ่ี ใช้ ใน การ จั ด ล ำดั บ ขั้น ของการ ศึกษ าถือ ว่าเป็ น ข้อได้ เป รี ย บ ที่ เก้ื อห นุ น ต่ อกร ะบ ว น ก ารศึก ษ า ภาคปฏบิ ัติ การศึกษาปริยตั ิธรรมยงั เป็นเพยี งการเรียนรจู้ ากคำบอกเล่าของผอู้ ่ืน ผู้ฟังจึงไม่อาจ ปักใจเชื่อได้ท้ังหมด เพราะไม่มีเกณฑ์ท่ีจะใช้ตัดสินความถูก-ผิด คุณ-โทษ เป็นประโยชน์-ไม่เป็น ประโยชน์ เป็นสาระ-ไม่เป็นสาระ จึงต้องใคร่ครวญพิจารณาทบทวนให้จำได้แม่นยำจึงเริ่มต้น กระบวนการศึกษาเพื่อพิสูจน์คำตอบด้วยวิธีการท่ีเรียบง่ายท่ีมนุษย์ใช้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คือ การเฝ้ามอง เฝ้าสังเกตอย่างจอดจ่อและเอาใจใส่ต่อสภาพจริงของส่ิงต่างๆท่ีปรากฏใช้รู้ได้ด้วยใจ ราวกับว่าไม่เคยพบเหน็ และไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อการสังเกตอย่างปราศจากอคติดำเนินไป อย่างต่อเนื่อง จนบุคคลหมดความคลางแคลงใจในเร่ืองอย่างแท้จริงแล้ว เม่ือจึงสมารถตัดสินด้วย ตนเองไว้ว่าส่งิ ที่ได้ยนิ ไดฟ้ งั มาเปน็ ความจริงหรอื ไม่๒๐๘ [๒๐๙] การแตกต่างของการศึกษาภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ ข้อสังเกตประการแรก คือ การศึกษาปริยัติธรรมในเชิงวิชาการมักเน้นไปท่ีการวิเคราะห์จำแนกแยกย่อยพระธรรมลงไปใน รายละเอียด หากเป็นการศึกษาในเชิงปรชั ญาเป็นการแสดงความคิดเห็นเพ่ือตีความพระธรรมคำ สอนในหลากหลายมุมมอง โดยไม่มีคำตอบที่ช้ีชัดเป็นการนำหลักธรรมที่เรียบง่ายมาแสดงไว้ โดยพิสดาร เพื่อประโยชน์ต่อการนำไปตรวจสอบ หากได้นำความรู้ทางด้านปริยัติมาฝึกฝน ปฏิบัติจนเกิดทักษะความชำนาญเฉพาะตัวในการเรียนรู้จากสภาพจริง คือ เห็นจริงและรู้จริงตาม ความเป็นจริงจนเกิดปฏิเวธธรรมแล้ว ผู้ศึกษาย่อมสามารถเชื่อมโยงความรู้ทั้งภาคปริยัติและ ภาคปฏบิ ตั ิเข้าด้วยกัน และยงั เรยี งความรู้ไดอ้ ย่างเป็นระเบียบทำให้สามารถใช้คำอธิบายที่สอ่ื ไปถึง ความเรียบง่ายและธรรมดาของธรรมะที่เข้าใจได้ง่ายกว่าการอ้างอิงปริยัติเพียงส่วนเดียว ๒๐๗ อ้างแลว้ , พชิ ญรัชต์ บญุ ช่วย, [รหัสแบบบันทึก ๙–๔๙] ๒๐๘ อา้ งแล้ว, พิชญรชั ต์ บญุ ชว่ ย, [รหสั แบบบนั ทึก ๙–๔๙]
๒๔๔ ประการสอง คือ แม้จะคิดวิเคราะห์จนเกิดความเข้าใจแต่เมื่อพบสถานการณ์จริงกลับไม่สามารถ ทำได้อยา่ งท่ีคดิ เช่น รวู้ ่าโกรธแล้วเป็นทกุ ข์ มีโทษมากมายแต่ถา้ มีใครมาทำร้ายตนหรือบคุ คลที่ตน เคารพรักโกรธแค้นทันที จึงเป็นเพียงแผนท่ีประกอบการเดินทางไปสู่การเข้าถึงสัจธรรม ในขณะที่ การปฏิบัติเป็นการเผชิญหน้ากับสภาวะจริงและฝึกฝนที่จะจัดการกับปัญหาให้ได้ตามหลักการ ท่ีว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตรัส เหตุแห่งธรรมเหล่าและความดับแห่งธรรมเหล่า” ดงั เมอ่ื รู้เห็นไดด้ ้วยตนเองว่า อะไรคือ สาเหตุท่ีแท้จริงแห่งปัญหาจะไม่ทำเหตุเช่นอีกปัญหาสิ้น ไป เป็นผลให้เปลี่ยนจากผู้ศึกษามาเป็นผู้รู้ที่พ้นไปจากความเช่ือ เป็นผู้บอกทางให้ผู้อ่ืนรู้ตาม กลายเป็นบณั ฑิตผ้นู ำทางความคิดอยา่ สง่างาม๒๐๙ [๒๑๐] ปัญหาที่พบมาในการปฏิบัติธรรม ความสับสนในการแยกแยะกระบวนการออก จากหลักการของไตรสิกขา แม้ว่าผู้ปฏิบัติจะมีความรู้เชิงปริยัติมามักจะสับสนในการแยกแยะ ก ร ะ บ ว น ก า ร อ อ ก จ า ก ห ลั ก ก า ร ข อ ง ไต ร สิ ก ข า ท ำ ให้ ไม่ ท ร าบ ชั ด ว่ า ข ณ ะ ที่ ก ำ ลั งป ฏิ บั ติ อ ยู่ กระบวนการไตรสิกขากำลังอยู่ในข้ันใด เล่ือนขั้นข้ึนไปแล้วหรือตกลงมา บางครั้งกระบวนการ ไตรสิกขาเลื่อนจากขั้นศีลไปสู่ข้ันสมาธิแล้ว หรือเล่ือนจากขั้นสมาธิไปสู้ขั้นปัญญาแล้วแต่เพราะ ความไม่เข้าใจผู้ปฏิบัติจึงวนกลับไปฝึกในขั้นเดิมอีกซ้ำแลว้ ซ้ำเล่าทำใหผ้ ลปฏิบัติไม่ก้าวหน้า “ศีล” โดยหลักการ หมายถึง ข้อพฤติปฏิบัติทางกายวาจาที่อยู่ในกรอบของศีลสิกขาแต่กระบวนการฝึก ปฏิบัติขั้นศีล จะมีลักษณะของการต่อสู้ระหว่างสำนึกผิดชอบชั่วดีการมีสติสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง ๖ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุของกิเลสจนจิตสงบต้ังม่ันไม่หวั่นไหวไปตาม อารมณ์ท่ีมากระทบได้ ศีลท่ีแท้จริงจึงปรากฏจึง เรียกกระบวนการฝึกปฏิบัติว่า“อธิศีลสิกขา” ส่วน “สมาธิ” โดยหลักการหมายถึง การอบรมจิตใจให้ประณีตย่ิงๆข้ึนไปแต่กระบวนการเจริญ สมาธิที่มีศีลเปน็ บาทฐานมลี ักษณะอาการของจิตที่ไม่ฟ้งุ ซ่านไปหาอารมณ์อ่ืนแต่จะพุ่งความสนใจ ไปท่ีการสังเกตอารมณ์โดยอารมณ์หนึ่งในปัจจุบันขณะหรืออารมณ์กรรมฐานที่กำหนดไว้อย่าง “ดู รู้ สงบ”ส่งผลให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสได้ชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิเรียกกระบวนการฝึก ปฏิบัติเช่นน้ีว่า“อธิจิตสิกขา” ในขณะท่ี“ปัญญา”โดยหลักการหมายถึงความรู้แจ้งเห็นจริงตาม ความเป็นจริงแต่กระบวนการเจริญปัญญาที่มีสมาธิเป็นบาทฐาน จะมีสภาวะของจิตพร้อมท่ีจะ เผชิญหน้ากับสภาวธรรมท่ีปรากฏเพ่ือเรียนรู้ โดย“จับตาดูส่ิงที่ปรากฏ”อย่างเป็นกลางจน สังเกตเห็นไตรลักษณ์และเหน็ ความโยงใยท่ซี ่อนเรน้ ระหว่างเหตุปัจจยั และผลปรากฏว่ากอ่ นหน้าท่ี สภาวธรรมจะปรากฏมีอะไรเป็นเหตุ หรืออะไรเป็นปัจจัยให้สภาวธรรมดับไปนำไปสู่ความรู้ชัดใน อริยสัจ ๔ มีผลให้ปล่อยว่างความยึดม่ันถือมั่นได้ท้ังหมดโดยไม่กลับกำเริบข้ึนมาอีก จึงเรียก กระบวนการฝึกปฏิบัติเช่นน้ีว่า “อธิปัญญาสิกขา”เมื่อทราบกระบวนการแล้วผู้ปฏิบัติต้องหม่ัน ๒๐๙ อ้างแลว้ , พชิ ญรัชต์ บุญช่วย, [รหสั แบบบันทึก ๙ – ๔๙]
๒๔๕ สังเกตอาการความเป็นไปของจิตที่มีต่ออารมณ์ที่มากระทบเพื่อให้ทราบว่า กระบวนการ ไตรสกิ ขามีการพัฒนาขึ้นอยา่ งต่อเน่ืองหรอื ไม่ การสงั เกตอย่บู ่อยๆ จะเป็นปัจจัยให้ปัญญาประเมิน สถานการณแ์ ละสามารถว่างแผนปฏบิ ัติการได้อย่างเหมาะสม๒๑๐ [๒๑๑] ผู้ที่เร่ิมฝึกปฏิบัติใหม่ๆจึงเป็นกังวลว่าตนจะทำผิดทำให้เกิดความจงใจไป แทรกแซงอารมณ์ ด้วยการบังคับ กดข่ม เพ่งจ้อง เป็นอำนาจของตัณหาและทิฎฐิ หาไม่ทำในสิ่ง ตรงกันขา้ มด้วยการปล่อยใจให้เฝ้าดูอย่างเพลิดเพลนิ ไปตามอารมณ์ดว้ ยอำนาจของความหลงเป็น เรือ่ งปกติของการปฏบิ ัติธรรมท่ีผู้ปฏิบัติต้องหมั่นเรยี นร้จู ากข้อผิดพลาด ด้วยตนเองจนกวา่ จิตจะ สามารถจดจำสภาวธรรมได้เองว่า ถ้าจิตเผลออกจากการเป็นผู้ดู ผู้รู้แล้ว ย่อมมีผลให้เกิดความ ทุกข์ แต่หากจิตมีสติ “ดูรู้ สงบ” ไม่หว่ันไหว อยู่กับปัจจุบันขณะเสมอๆย่อมมีผลให้ความทุกข์ดับ [การจดจำสภาวธรรมได้อย่างแม่นยำเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ การรู้ว่าทำผิดหรือรู้ว่าทำถูก รู้ว่า เผลอไปหรือรู้ว่าไม่หลงล้วนเป็นประโยชน์เพราะเม่ือใดที่สภาวธรรมปรากฏข้ึนจะเกิดสติระลึกรู้ อย่างเท่าทนั หากเจริญสตไิ ด้ถกู ตอ้ ง ศีล สมาธิ ปญั ญา จะเกิดตามมาโดยอัตโนมัติส่งผลให้เกิดญาณ หย่ังรู้ในส่ิงที่ปรากฏภายใน เกิดธรรม รู้เห็นความเป็นไปของสภาวธรรมเปน็ ไตรลักษณ์เปน็ อริยสัจ ๔ จึงได้บทเรียนได้ประสบการณ์ การเรียนรู้ท่ีแท้จริงจึงเป็นการกระทำของจิตโดยตรงผู้ปฏิบัติ เพยี งแตท่ ำส่ิงท่ีเอือ้ ต่อการเรยี นรขู้ องจิต คอื “ดรู ู้ สงบ” ๒๑๑ [๒๑๒] สติปัฏฐาน ๔ คือ ทางสายเดียว เพ่ือทำให้แจ้งนิพพานแต่เทคนิควิธีเพื่อให้เกิด สติตั้งม่ันอยู่ในฐานของกาย เวทนา จิต ธรรมอาจแตกต่างไปตามจริงตามทักษะความชำนาญ เฉพาะตนของวิปัสสนาจารย์แต่ละท่านเช่นเดียวกับการแก้สมการคณิตศาสตร์ข้อเดียวกันที่นัก คณิตศาสตร์แต่ละคนอาจใช้เทคนิคในการถอดสมการต่างกัน แต่นำไปสู่ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน ดัง จึงไม่ควรใช้ข้อสงสัยกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติธรรมของตนเองแต่สามารถพิสูจน์ได้ ด้วยการต้ังข้อสังเกตในการศึกษาวิธีปฏิบัติว่ามีวิธีนำไปสู่การละความยึดม่ันถือมั่นในตัวตนได้ อย่างไร หากพิจารณาแล้วเห็นชอบ ควรจะหาโอกาสไปฝึกกับวิปัสสนาจารย์ในสายๆเพื่อจะได้รับ คำแนะนำในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าตั้งใจเพียรปฏิบัติต่อเนื่องไปสักพักแล้วยังไม่ได้ความคืบหน้า ขึ้นมาหรอื ได้แต่ความเครยี ดเป็นไปไดท้ ่ีจะสรปุ วา่ เทคนิควธิ ีนี้ยงั ไม่ตรงกับจรติ ของตนควรเปล่ียนไป ปฏิบัติสำนักอื่นท่ีตรงจริต คาดหวังในความสมบรูณ์แบบด่ังบุคคลในอุดมคติคุณสมบัติของพระ พุทธองค์ที่สมบูรณ์พร้อมในทุกๆด้านท้ังพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทำให้ผู้ ปฏิบัติธรรมและคนท่ัวไปคาดคะเนว่า นอกจากจะหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงการปฏิบัติ จะต้องทำให้เกิดการพัฒนาที่สมบูรณ์แบบคือต้องมีจรรยามารยาทที่งดงามและมีอภิญญา ความสามารถพิเศษเหนือคนธรรมดาทั่วไปแต่เมื่อเข้าสู่การปฏิบัติท่ีถูกต้องอย่างจริงจังแล้ว ๒๑๐ อา้ งแลว้ , พชิ ญรชั ต์ บุญช่วย, [รหัสแบบบันทกึ ๙–๔๙] ๒๑๑ อ้างแลว้ , พิชญรชั ต์ บญุ ชว่ ย,[รหัสแบบบันทึก ๙–๔๙]
๒๔๖ ความคาดหวังในภาพลักษณ์ท่ีเพียบพร้อมเช่นจะยิ่งน้อยลงจนกระทั่งหมดไปพร้อมๆกับความยืด ถือในตัวตน และเกิดคุณสมบัติพิเศษท่ีผู้เข้าถึงสัจธรรมต้ังแต่ระดับโสดาบันบุคคลข้ึนไปจะพึงมีคือ ความมศี รัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา พระธรรม พระสงฆ์ และความมจี ิตตั้งมนั่ อยู่ในกศุ ลกรรมท่ี เก้ือหนุนให้ถึงความหมดกิเลส มีเมตตากรุณาไม่คิดเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ท้ังหลาย การ ฝึกเจริญสติเข้าไปรู้ในกาย-ใจยังสร้างทักษะความชำนาญในการสังเกต การพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เป็นกลาง โดยไม่เข้าไปเกี่ยวพันกับอารมณ์จึงมจี ิตใจท่พี ้นจากความทกุ ข์ หรือหากมีความทกุ ขท์ ุกข์ ไม่มากและไม่นาน บุคคลผู้ยังไม่พ้นไปจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงยังมีโอกาสถูกครอบงำด้วยราคะ โทสะ โมหะ ส่วนท่ีเหลือท่ียังละไม่ได้จึงอาจแสดงพฤติกรรมท่ีไม่สำรวมมีภาพลักษณ์ท่ีไม่ เหมาะสมน่าติเตียนได้ในทุกครั้งที่เผลอสติบุคคลจึงควรอยู่ใกล้กัลยาณมิตรที่มีคุณธรรมสูงกว่า หรือเสมอกันเพ่ือให้เกิดพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เมื่อจบการศึกษาแล้วมีวิถีชีวิตเป็นอิสระไม่ถูก จำกัดด้วยรูปแบบหรือกฎเกณฑ์ที่สมมติขึ้นมา ผู้จบการศึกษาบางท่านอาจเลือกดำรงวิถีชีวิต แบบเดิมต่อไปหรือบางท่านอาจเลือกพัฒนาคุณสมบัติอ่ืนๆหรือขัดเกลาพฤติกรรมท่ีเป็นวาสนา เพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตในบ้ันปลายท่ีจะออกจากความเป็นคฤหัสถ์ การใช้วิธีการ สืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง(Heuristic Research)ในการศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสิกขา การสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเองเป็นวิธีวิจัยท่ีกำลังได้รับความนิยมและ ไดร้ ับความสนใจมากข้นึ เรือ่ ยๆในการศกึ ษาพฤติกรรมและประสบการณ์มนษุ ย์ท่ีมผี ลต่อการพัฒนา ทางการจิตวิญญ าณ จุดเด่นของการสืบสวนแบบการค้นพบด้วยตนเองอยู่ท่ี การเสนอวิธีการ สืบสวนประสบการณ์มนุษย์อย่างเป็นระบบเพ่ือถ่ายทอดและแปลประสบการณ์เฉพาะออกมา เป็นภาษาอีกระดับหน่ึงที่มีประเด็นกว้างขวางข้ึน และสามารถรับรู้แลกเปล่ียนแปลง และ เปรียบเทียบกับผู้อ่ืนที่เคยมีประสบการณ์ทำนองเดียวกัน การสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเองเป็น วิธีการศึกษาท่ีผู้วิจัยต้องนำพาตนเองเข้าไปเชื่อมโยงและเข้าไปมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ประสบการณ์ที่ต้องการศึกษาโดยเร่ิมจากการสืบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประสบการณ์ด้วย ตนเองว่า มีความเก่ียวข้องกับเหตุการณ์ กิจกรรม กลุ่มบุคคลและสิ่งแวดล้อมอะไรแล้วเฝ้า สังเกตการณ์ใหค้ ุณคา่ และให้ความหมายของตนเองต่อสิ่งเหล่า อนึ่ง การสืบสวนประสบการณข์ อง ตนเองด้วยอาศัยความพยายามทุ่มเทเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเกิดความกระจ่างแจ้งใน ประสบการณ์อย่างถ่องแท้ทุกแง่ทุกมุมเพ่ือใช้เป็นพ้ืนฐานในการสืบสวนประสบการณ์ที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกับของผู้ร่วมวิจัยท่านอ่ืนๆด้วยการสนทนา แลกเปล่ียนความรู้ เพื่อสะท้อนมุมมอง ระหว่างกัน และเชื่อมโยงข้อมูลสำคัญต่างๆเข้าด้วยกัน เพ่ือการค้นหาธรรมชาติท่ีแท้จริงของ ประสบการณ์และบริบทอื่นๆที่เก่ียวข้องนำไปสู่การคน้ พบประสบการณ์ท่ีมรี ูปแบบหลากหลายแต่ มีความหมายบางอย่างร่วมกันอยู่ การสบื สวนแบบค้นพบด้วยตนเองเป็นวิธีการศกึ ษาต้องอาศัย ความอดทนในการสังเกตอย่างเอาใจใส่และตอ่ เน่ืองเปน็ ระยะเวลานานพอสมควร การตั้งปัญหาใน
๒๔๗ การศึกษาจึงควรเกิดจากความสนใจของผู้วิจัยเองเพ่ือให้มีความมุ่งมั่นท่ี ค้นหาคำตอบยังต้อง คำนึงถึงกำหนดเวลาในการทำวิจัยและคุณลักษณะของสนามท่ีเข้าไปศึกษาเพื่อเลือกใช้เครื่องมือ ในการเบข้อมูลได้อย่างเหมาะสม สรุปได้ว่า ไตรสิกขาเป็นระบบการศึกษาที่เน้นการฝึกอบรม ตนเอง อย่างเปน็ ขั้นตอนและมีกระบวนการทป่ี ระสานกันอย่างเปน็ พนื้ ฐานใหแ้ กก่ ันจนถงึ ความพ้น ทุกข์ โดยเริ่มจากการสำรวจระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ตกอยู่ภายใต้ครอบงำของกิเลสและให้มีปกติ ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน ต่อเม่ือกาย วาจา ใจ สงบจากอารมณ์ภายนอกแล้วจึงเป็นฐานในการฝึกอบรม จติ ให้มีสตติ ้ังม่ันเกิดสมาธิไมห่ วั่นไหวไปตามอำนาจของนวิ รณ์ ๕ จนจิตนิง่ สงบเป็นกลางอย่างมีสติ อยู่ในสภาพควรแก่การงานแล้วจึงสามารถใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน ขณะจนรู้เท่าทันสภาวะไตรลักษณ์ของสิ่งทั้งหลายท้ังภายในและภายนอกตามความเป็นจริงและรู้ แจ้งในอรยิ สจั ๔ ทำให้สามารถละกเิ ลสทีเ่ ป็นเหตใุ หเ้ กิดทุกข์ได้โดยส้นิ เชิง๒๑๒ [๒๑๓] สรุปผลการศกึ ษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใชห้ ลกั ไตรสกิ ขาให้เกิดในกลมุ่ ผู้ ปฏิบัติธรรม การศึกษาวิจัยในประเด็นนี้เป็นการทำวิจัยจากสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติและ ศึกษาจากกิจกรรมการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง “สถานปฏิบัติธรรมท่ีให้การอบรม” กับ“บุคคลเข้ารับ การฝึกอบรม”ดำเนินอยู่เป็นจำตามปกติ ได้เข้าร่วมฝึกอบรมกัมมัฏฐานและสังเกตการณ์ตาม วธิ ีการสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง(Hearistic Inqulry)โดยใช้แนวคิดปรากฏการณ์วทิ ยาเป็น กระบวนทัศน์ในการวิจัยเพื่อข้อมูลจากสถานปฏิบัติธรรม ๒ แห่ง คือมหาจุฬาอาศรม และ ทิพวรรณธรรมสถาน พบว่า สถานปฏิบัติธรรมทั้งสองแห่งต่างเริ่มต้นกระบวนการฝึกอบรมด้วย การช้แี จกกฎระเบียบและกำหนดการในการฝกึ อบรมให้ผู้ปฏิบัตทิ ราบ จาก จงึ ปลูกศรัทธาดว้ ยการ แสดงธรรมโดยเน้นไปที่ประโยชน์ เป้าหมายและความสำคัญของการปฏิบัติ แล้วถ่ายทอดวิธีการ ปฏิบัตเิ ป็นวิธีการเจริญวปิ ัสสนากัมมัฏฐานโดยอยู่ในกรอบสติปัฏฐาน ๔ ด้วยรูปแบบท่แี ตกต่างกัน กล่าวคือ มหาจุฬาอาศรม ใช้รูปแบบการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ขณะท่ีให้บทเรียน กัมมัฏฐานอย่างเป็นไปตามลำดับกำลังของผู้ปฏิบัติจะมีการติดตามและประเมินผลด้วยการสอบ อารมณจ์ ากผูป้ ฏิบัติโดยตรง อยา่ งไรตาม เมอ่ื ทดสอบปฏบิ ัติตามเทคนคิ วธิ ีทงั้ สองแบบพบว่า ตา่ งมี แนวทางที่สอดคล้องกับลักษณะธรรมวินัย๘ ประการ ท่ีสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เช่นกัน กระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสิกขาให้เกิดในผู้ปฏิบัติธรรมจึงเกิดข้ึนจากการ ประยุกตแ์ นวคดิ และหลักการมาสู่การปฏิบัตวิ ิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยการเจรญิ สติสัมปชัญญะด้วย ความเพียร(อาตาปี สัมปชาโน สตมิ า)จนเกิดการเรียนรู้ที่ดำเนนิ ไปตามขั้นตอนของไตรสกิ ขาและ มีลักษณะหมุนวนเป็นรอบสามารถสังเกตได้จากสภาวธรรมที่ปรากฏข้ึน คือ ขณะท่ีอยู่ในการฝึก ขั้นศีล คือ สำรวม กาย วาจา ใจ แล้วจะมีการเจริญกุศลธรรมข้ึนมาทำให้ไม่หวั่นไหวไปตามอกุศล ๒๑๒ อา้ งแล้ว, พชิ ญรชั ต์ บญุ ช่วย, [รหสั แบบบนั ทกึ ๙ – ๔๙]
๒๔๘ ธรรมท่ีมีลักษณะตรงข้าม เชน่ ไมก่ า้ วล่วงปาณาติบาตเพราะเจริญเมตตา ก้ันกามฉนั ทะเพราะเจริญ เนกขัมมะ ก้ันพยาบาทเพราะความไม่พยาบาทแต่เม่ือยู่ในการฝึกขั้นสมาธิจะสังเกตเห็นสภาวะที่ จิตมีความสงบตั้งม่ันอยู่กับอารมณ์เดียวในปัจจุบันขณะและทำกิจเพียงอย่างเดียว คือ เฝ้าดู เฝ้า สังเกต เม่ือเข้าสู่การฝึกขั้นปัญญาจะเห็นสภาวธรรมเหล่าตามความเป็นจริง ท้ังเห็นเหตุที่ทำให้ ธรรมเหล่าเกิดข้ึนและดับไปจนรู้ชัดว่าปรากฏการณ์ของรูป-นาม ที่อิงอาศัยกันอย่างเป็นเหตุเป็น ปัจจัย มีสภาวะจริงท่ีเกิดข้ึนให้รู้เหตุเพียงชั่วขณะก่อนจบลงที่ความไม่มีตัวตน การเฝ้าติดตาม สังเกตดูอยู่บ่อยๆจะทำให้ผู้ปฏิบัติรู้แจ้งความจริงของธรรมชาติและชีวิตจึงพ้นจากความทุกข์ท่ี เกดิ ขึน้ เพราะความไม่รไู้ ปได้๒๑๓ [๒๑๔] วิธกี ารปฏิบตั ิ สรปุ แนวทางสวู่ ปิ ัสสนาแบบ“สมถยานิกะ”โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เป็น อารมณ์ สรุปว่า บุคคลท่ีจะปฏิบัติได้มีอยู่ ๒ จำพวกใหญ่ๆ คือ (๑)จำพวกแรกเป็นบุคคลที่เคย ปฏิบัติในชาติก่อนๆมาก่อน เรียกว่า พวกอารัมมณิกกรรมฐาน พวกน้ีจะมีอุคคหนิมิต ปฏิภาค นิมิต หรือ ฌานท่เี ป็นทุนเดิมอยู่ เมอื่ มาชาตนิ ี้บุญกศุ ล วาสนา บารมีเก่าเก้ือหนุน ผลักดัน ส่งเสริม ให้ผู้มีจิตใจฝักใฝ่ โน้มเอียง สนใจในการปฏิบัติกรรมฐาน บุคคลกลุ่มน้ีไม่จำเป็นต้องอาศัยวัตถุมา ตั้งต้นเพ่งใหม่เพียงแต่มองธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ สีต่างๆ โดยท่ัวไป ธรรมชาติเหล่านี้จะเป็น ตัวกระตุ้น ตัวจุดประกาย (Spark) ทำให้เกดิ นิมิตติดตา พอปฏบิ ัติสมาธติ อ่ พวกนโี้ ดยมากจะเป็นติ เหตุกบุคคล นิมิตเก่าในอดีตชาตทิ ้ังหลายจะบังเกิดขนึ้ ตามลำดับ (๒)จำพวกท่ีสองเปน็ กลุ่มบคุ คล ท่ีไม่เคยปฏิบัติมาก่อนเลยในชาติก่อนๆหรือเคยปฏิบัติแต่ไม่สำเร็จฌานจากกสิณ พวกนี้ต้อง เร่มิ ต้นปฏบิ ตั ิใหม่โดยอาศยั วตั ถุมาเพ่งภาวนา จนเกิดนิมิตและฌาน ตามลำดบั ข้ัน ตามบุญ วาสนา บารมีและความเพียรพยายาม จากจึงอาศัยฌานดังกล่าวเป็นบาทฐานเจริญวิปัสสนาต่อไป ท้ังนี้บุคคลท้ัง ๒ จำพวกน้ีเม่ือมาฝึกวิปัสสนากรรมฐานต้องอาศัยวิธีปฏิบัติวิปัสสนาโดยการมอง ด้วยอาการหลายอย่าง การมองสามารถปฏิบัติได้ ๒ แบบ คือ แบบที่ ๑ วิธีการแบบภาวะแห่ง สมถะและวิปสั สนา แบบที่ ๒ วิธีการแบบสงั ขารุเปกขาญาณ วิธดี งั กลา่ วท้ัง ๒ แบบ ผู้ปฏบิ ัติตอ้ ง อาศยั สัมพันธ์สืบเนื่องกันโดยไมจ่ ำเพาะเจาะจงเฉพาะอย่างเดียวทางเดียว เชน่ ตวั อย่างผปู้ ฏบิ ตั ิคือ นาย ก. เม่ือสำเร็จขั้นทุติยฌาน แล้วพอใจแค่ แล้วฝึกเข้าออก ฌานให้เป็นวสีจนชำนาญแล้ว ปรารถนาจะปฏิบัติวิปัสสนาต่อไป นาย ก. จึงเริ่มเข้าฌานใหม่ และตั้งมั่นที่ทุติยฌาน แล้ วจึง ปฏิบัติวิปัสสนาแบบวิธีการท่ี ๑ คือ การปฏิบัติวิปัสสนามีสมถะนำหน้า เมื่อเข้าฌานแล้ว อาศัย ช่วงเวลาอาศัยฌานขั้นทุติยฌาน พิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และวิธีการนี้เป็นแบบ วิธีการที่ ๒ ด้วย คือ รูปแบบย่อย คือ ปาทกฌานวาท โดยเข้าฌานก่อนแล้วพิจารณาวิปัสสนา ในขณะเข้าฌาน เมื่อนาย ก. ทำจนชำนาญแล้ว ออกจากฌาน เมื่อออกจากฌานแล้วยังพิจารณา ถึงไตรลักษณ์ในฌานท่ีตนได้ตนมี และในสภาวธรรมต่างๆที่ปรากฏท่ีสัมผัสกาย ใจ ท้ังอายตนะ ๒๑๓ อ้างแลว้ , พชิ ญรชั ต์ บุญช่วย, [รหสั แบบบันทึก ๙–๔๙]
๒๔๙ ภายใน และอายตนะภายนอก วิธีการน้ีจะเป็นแบบที่ ๒ ในรูปแบบย่อยคือ ปุคฺคลชฺฌานสยวาท น่ันเอง การกำหนดฌานนี้เป็นรูปแบบมหาสติปัฏฐานสี่ แบบธัมมานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และ เวทนานุปัสสนา โดยฌานเป็นสัญญาที่เป็นมหากุศลท่ีเกิดข้ึนกับจิตเป็นมหัคคตจิตจัดเป็นธรรมะ และในองค์ฌานมี ปีติ สุข เอกคัตตา ด้วยจิตเข้าไปสัมผัสรับรู้เวทนา โดยสัมผัสผ่านอายตนะ ภายในท่ีเกิดกบั จิต เม่ือนาย ก. ปฏบิ ัติไปได้สกั พกั หนึ่ง นาย ก. ออกจากอริ ิยาบถนงั่ ขณะที่นาย ก. กำลังจะเปล่ียนอิริยาบถ นาย ก. กำหนดวิปัสสนาช่องทางกายานุปัสสนาสติปัฏฐานไปด้วย คือ อิริยาบถบรรพ ขณะเดียวกันกำหนด สัมปชัญญะบรรพในการคู้เหยียด แขน ขา อิริยาบถย่อยไป ดว้ ย ขณะใด โอกาสใด ท่ีเวทนาท่ีเป็นทุกเกิดขึ้น เช่น เม่ือยขา ขาชา นาย ก. อาศัยช่องทางเวทนา นปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน กำหนดทุกที่เกดิ ขน้ึ มาในทันที เมือ่ นาย ก. ยนื กำหนดอริ ิยาบถบรรพ คือ ยืน กำหนดอิริยาบถบรรพ คือ ยืน แล้ว กำหนดเดินจงกรม เพ่ือฝึกสติและสมั ปชัญญะให้มั่นคงท้ังเป็น การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เลือดลมเดินสะดวก นาย ก.จะพยายามปรับอินทร์ในทุกๆอิริยาบถให้ สมำ่ เสมอกัน เพราะหากนาย ก. นง่ั อยา่ งเดียว นายก.จะมสี มาธมิ ากเกินไปหากเดินมากเกินไปอาจ มีสติมากเกินไป มีความเพียรมากเกินไป นาย ก. ได้พยายามปฏิบัติอย่างนี้ตอ่ เน่ืองสม่ำเสมอโดยมี ศีล ๕ ท่ีม่นั คง ทั้งนี้ นาย ก. ไม่มอี ภญิ ญาใดๆเพราะ นาย ก.ไดเ้ พยี ง ทุติยฌาน๒๑๔ [๒๑๕] การปฏิบัติธรรม ๒ วิธี สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานต้องปฏิบัติควบคู่ กันไปโดยเฉพาะวิปัสสนากรรมฐานถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัติยังไม่สามารถ ยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้ การบรรลุมรรคผลจะไม่เกิดขึ้นเลยเมื่อสามารถทำวิปัสสนาญาณให้ แจ้งไดแ้ ล้ว การบรรลุมรรคผลจึงจะเกดิ ข้ึน การปฏิบตั ิเมอื่ ได้ศึกษาหลักธรรมจนมีความเขา้ ใจจดจำ ได้เป็นอย่างดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติต้องเตรียมตัวให้พร้อมตัดส่ิงวิตกกังวลต่างๆออกให้หมดเสียก่อน เมอ่ื พรอ้ มแลว้ จงึ ไปสู่สำนักของอาจารย์ท่ีมคี วามรู้ความสามารถในการสอนแนะนำแก้ไขข้อขัดข้อง ต่างๆได้ แล้วเริ่มลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง มีความมุ่งมั่นอย่างมีเป้าหมาย ไม่ท้อแท้ เพียรพยายาม ปฏิบัติไปตามข้ันตอน และต้องคอยตรวจสอบผลการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาพยายามปรับปรุงแก้ไข วิธีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการที่ได้ศึกษาจนสามารถขจัดกิเลสออกจากจิตสันดานและบรรลุ มรรคผลตามท่ปี รารถนา๒๑๕ [๒๑๖] การกำหนดอายตนะธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นการกำหนดตรงจุดรอยต่อ ระหว่างอายตนะภายในและภายนอก เช่น ตากับรูป การกำหนดดังนี้ว่า“เห็นหนอ ได้ยินหนอ ได้ กลน่ิ หนอ รสหนอ ถูกหนอ คิดหนอ”ให้ตรงตามความเป็นจรงิ ในขณะปจั จุบันทก่ี ำหนดเป็นการตัด รอยต่อของปฏิจจสมุปบาท ในช่วง“ผัสสะ”เป็นผลให้เกิดเวทนาเม่ือกำหนดบ่อยๆชำนาญมากขึ้น ๒๑๔ อา้ งองิ , อภิราษฎร์ ปรชี าจารย,์ [รหสั แบบบนั ทึก ๔-๔๖] ๒๑๕ อา้ งองิ , พระมหาอำนวย อานนฺโท (จันทร์เปลง่ ) , [รหสั แบบบันทกึ ๑-๔๒]
๒๕๐ จิตจะไม่สร้างอัตตา ไม่เลยไปถึงตัณหา นับว่าเป็นการตัดพบชาติได้ วิธีการนี้ตรงกับพระไตรปิฎก ท่ีว่า “เม่ือตาเห็นรูป กำหนดว่า ตาเห็นหนอ”เป็นการกำหนดปิดก้ันกิเลสที่จะเกิดตอ่ เน่ืองจากการ เห็น ดังได้กล่าวแล้ว การมีสติกำหนดรู้ เช่น ขณะตาเห็นรูปหูได้ยินกำหนดรู้ให้อยู่กับปัจจุบัน ธรรม คือ เหน็ สักแตว่ ่าเหน็ ได้ยนิ สกั แต่ว่าไดย้ ิน ไม่ปรุงแต่งให้เกิดตัณหาอุปาทานจนเกิดเป็นเป็นนี้ เพราะตัณหาไม่อาศัยปัจจุบันธรรมเกิดขึ้น ตัณหาเป็นเหตุของทุกข์เกิดในอารมณ์ที่เป็นอดีตและ อนาคตเท่า เมื่อตัณหาไม่เกิดทุกข์ไม่เกิด การปฏิบัติสติปัฏฐานเป็นการใช้สติสัมปชัญญะกำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม ให้สอดคลอ้ งกบั ความจริงตามธรรมชาตจิ นเกดิ วปิ สั สนาปัญญาถึงขั้นไม่ ยึดมั่นถือมั่น เช่น กายที่มีอยู่มีจริง แต่ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นพียงส่วนประกอบของ นามและรปู ๒๑๖ ๔.๔.๔ การบรรลุผลการปฏิบตั ิ : ดา้ นธรรมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน [๒๑๗] ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาเร่ิมต้ังแต่ ๗ ปีเป็นเบื้องต้นลดหลั่นลงมาแม้เพียง ๗วัน เป็นที่สุดพึงหวังผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันหรือเม่ือยังมีอุปาทานเหลืออยู่ จกั เป็นอนาคามี ผลหรืออานิสงส์แห่งการเจริญวิปัสสนาภาวนาอนั มาในท่ีอ่ืนๆประมวลได้ คือ หาก ผู้ปฏิบัติจะไม่ได้รับผลขั้นต่ำหรือขั้นสูง คือ ชั้นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามีและอรหัตต์เป็น ลำดับไปตามในการดำเนินชีวิตประจำวันอาจทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับความสุขกาย สุขใจ ตามกำลัง ศรทั ธา ตามกำลงั สติปญั ญาโดยสมควรแก่อุปนิสัยของตนๆเปน็ อยา่ งดี๒๑๗ [๒๑๘] ผลของการเจรญิ วิปัสสนาภาวนาโดยมีปฏิจจสมุปบาทเป็นอารมณ์ ประกอบด้วย ๑)เข้าถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุข ๒)ตัดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ ๓)รู้จักกฎธรรมดาของ ธรรมหรือธรรมชาติท่ีมีอยู่แล้ว ๔)รู้แจ่มแจ้งหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๕)ละความเป็นตัวตนได้ เด็ดขาด หรือกล่าวตามหลักวิสุทธิ ๗ เป็นผู้มีสีลวสิ ุทธิ มีญาณทัสสนวิสุทธิเป็นท่ีสุด หรอื ผู้เจริญ วปิ ัสสนาภาวนาโดยการกำหนดปฏิจจสมปุ บาทเป็นอารมณ์ มวี ิปัสสนาปัญญา คอื ปัญญาเห็นแจ้ง ในไตรลักษณ์ ได้แก่ รู้รูปนามตามความเป็นจริง ตามสมควรแก่อุปนิสัยของตนๆผลของการเจริญ วิปัสสนาภาวนาโดยมีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ประกอบ ๑)เข้าถึงพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขอย่าง เดียวกัน ๒)รู้จักขันธ์ ๕ โดยเป็นเพียงสภาวธรรมเท่า ๓)เข้าใจหลักไตรลักษณ์ ๔)ละความเป็น ตัวตนได้ ๕)มีปัญญา ผลหรืออานิสงส์จากการเจริญวิปัสสนามีมากตามหลักธรรมที่พระผู้มีพระ ภาคตรัสไวไ้ ดใ้ นอานิสงสแ์ ห่งการเจริญสติปัฏฐาน ๔๒๑๘ ๒๑๖ อ้างองิ , พรรณราย รัตนไพฑูรย,์ [รหสั แบบบันทกึ ๒-๔๔] ๒๑๗ อา้ งองิ , พระมหาพิสตู น์ จนทฺ วโํ ส (พะนิรัมย)์ , [รหสั แบบบนั ทึก ๒๕–๕๔] ๒๑๘ อ้างแล้ว, พระมหาพสิ ูตน์ จนทฺ วโํ ส (พะนิรมั ย์), [รหัสแบบบนั ทกึ ๒๕ –๕๔]
๒๕๑ [๒๑๙] ระดับการบรรลุผล ๑.ระดับโสดาบันบุคคล คือ เป็นอริยบุคคลประเภทแรกท่ีได้ สมั ผัสกระแสพระนิพพาน พระโสดาบันสามารถละสังโยชน์ได้ ๓ คือ ๑)สกั กายทิฎฐิ ความเห็นว่ามี ตัวตน ๒) วิจิกิจฉา ความสงสัยในพระพุทธเจ้า ๓) สีลัพพตปรามาส ความยึดมั่นในศีลพรต ๒. สกทาคามีบุคคล คือ ละกิเลสได้เหมือนพระโสดาบัน คือ สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส แต่ทำ ราคะ โทสะ โมหะ เหลือบเบาบางยิ่งข้ึน ๓. อนาคามีบุคคลกำจัดสังโยชน์เบ้ืองต่ำได้ ๕ ประการ สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ละกิเลสได้เพ่ิมขึ้น ๒ อย่างคือ กามราคะและ ปฏิฆะ ๔. พระอรหันต์ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ อย่าง ทั้งท่ีเป็นสังโยชน์เบ้ืองสูงและสังโยชน์ที่เป็นกิเลส อยา่ งละเอยี ดทรงละไดห้ มดทุกประการ๒๑๙ [๒๒๐] ระดับการบรรลุธรรมใช้สังโยชน์๑๐ เป็นเกณฑ์ตัดสิน ผลของการบรรลุธรรมมี ๔ ระดับ คือ โสดาปัตติผล สกพาดามีผล อนาคามผิ ล และ อรหัตผล ผลของการบรรลุธรรมแต่ ละระดับสามารถขจัดกิเลสได้ตามลำดับต้ังแต่กิเลสอย่างหยาบไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียดจังหวะ ในการบรรลุธรรมมีความแตกต่างกันแล้วแต่ประสบการณ์และภูมิหลังแต่ละบุคคลแต่ท่ีเหมือนกัน คอื เมอื่ ถึงจุดสุดทา้ ยของการบรรลุธรรมทุกคนล้วนมองเห็นความจริงของสรรพสิ่งว่าไม่เทย่ี ง เป็น ทกุ ข์ ไมม่ ตี ัวตน ไม่ควรยึดมนั่ ถือมน่ั วา่ เปน็ เราเป็นของเรา ทุกสิง่ เปน็ ไปตามเหตุปจั จัย๒๒๐ [๒๒๑] สภาวญาณความก้าวหน้าทางวิปัสสนาทางศาสนาเรียกว่า“ญาณ”หรือ “วิปัสสนาญาณ”มี ๑๖ ขั้น เป็นเครื่องมือในการสำรวจผลของการปฏิบัติในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์หยั่งรู้วาระจิตของผู้ปฏิบัติเม่ือพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพาน การตรวจสอบการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงต้องอาศัยหลักการในคัมภีร์ การรู้เร่ืองโสฬสญาณอาจเป็นได้ท้ังแง่ ลบและแง่บวก ในแง่บวกเป็นการสร้างกำลังใจในการปฏิบัติและตรวจสอบความก้าวหน้าของ ตนเองในแง่ลบการรู้เร่ืองญาณอาจเป็นอุปสรรคในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพราะจิตของผู้ ปฏิบัติมุ่งคอยจองผลของการปฏิบัติอยู่ผู้ปฏิบัติบางคนนึกโน้มน้าวไปตามท่ีเคยได้ยิน ได้ฟังมา ทำ ให้เกิดอุปาทานว่า “สภาวะๆได้บังเกิดขึ้นกับตนแล้ว”ทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน เป็นอุปสรรคต่อการ ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติท่ีนำเรื่องญาณ ไปพูดคุยสอบถามกันเอง เช่น ถามว่า“ผ่านญาณแล้วหรือยัง” จัดเป็นคำถามที่ไม่สมบูรณ์เพราะญาณท้ังหมดมี ๑๖ ญาณ การตอบคำถามน้ีเหมือนดาบ ๒ คม คือถ้าผู้ตอบยังไม่ผ่านญาณ ๑๖ จะรู้สึกน้อยหน้าไม่ได้รับการชื่นชม ถ้าผ่านญาณ ๑๖ จริง มีส่วน เป็นผู้อวดอุตตริ มนุสสธรรมเว้นแต่จะมีมนสิการว่าจะช่วยสร้างสร้างศรัทธาแก่ผู้ฟังให้เห็นว่าการ ปฏิบัตไิ ด้ผลจรงิ สว่ นผู้ต้ังคำถาม ถ้าไม่มีคุณธรรมในตนจะมีข้อเสียมากมาย ได้แก่ ถ้าคำตอบคือ “ยังไมผ่ ่านญาณ” อาจทำให้หมดกำลังใจทอ้ แท้ เห็นวา่ การปฏิบตั วิ ปิ ัสสนายากเข็ญอาจเลกิ ปฏิบัติ คิดว่ายังมีคนอ่ืนอีกท่ีไม่มีญาณ เราก้อไม่ต้องเร่งรีบทำให้ผลการปฏิบัติช้าลงแต่หากว่าผู้ปฏิบัติ ๒๑๙ อ้างแล้ว, พระครูสังฆรักษช์ ีพ ธมฺมเตโช (คู่กระโทก), [รหสั แบบบันทกึ ๒๑–๕๔] ๒๒๐ อ้างแลว้ , พระมหาอำนวย อานนฺโท (จันทรเ์ ปล่ง). [รหัสแบบบันทึก ๑-๔๒]
๒๕๒ ผู้ตอบว่า“สามารถผ่านญาณ ๑๖ แล้ว”ผู้ถามอาจเกิดปีติศรัทธาข้ึนชั่วขณะ ในเวลาเดียวกันอาจ สงสัยว่า“ทำไม่ผู้ปฏิบัติผ่านญาณ ๑๖ เป็นถึงอริยบุคคลยังมีความประพฤติบกพร่องมากมาย”ที่ เกิดความคิดน้ีเพราะผู้วินิจฉัยขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประหาณกิเลสของมรรคญาณแต่ละ ขั้น ว่าทำหน้าท่ีกำจัดกิเลสอะไรบ้างยังเหลือกิเลสอะไรบ้างจึงทำให้เกิดการดูถูกดูหมิ่น ผู้ปฏิบัติ ธรรมผู้ข้ึนมาอาจถึงกบั วิพากษ์วิจารณ์โดยขาดความเคารพคุณธรรมของกนั และกันได้ ส่วนผู้ท่ถี าม แล้วเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าท่ีจะถือเอาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติและมีความเคารพในความมี คุณธรรมของผู้ผ่านญาณ ๑๖ แล้วอย่างเสมอต้นเสมอปลายจัดเป็นความคิดที่ถูกต้องที่สุดเพราะ ไม่เป็นภัยแก่ตนเอง และให้คุรอย่างมหาศาล คือ เป็นต้น เหตุแห่งความสำเร็จในอริยมรรคใน อนาคตได้ การปล่อยใหผ้ ปู้ ฏิบัติรู้สภาวะล่วงหนา้ ทั้งยงั ปฏบิ ัตไิ มถ่ ึง เรียกว่าเป็นการทำลายหรือการ ฆ่า ไม่ให้โยคีผู้มีโอกาสเจริญก้าวหน้า ต่อไปในการปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัติพยายามจะล่วงรู้เป็นการ ทำลายตนเอง หลักสูตรโลกิยะใช้ไม่ได้กับหลักของวิปัสสนาความรู้ทางทฤษฎีมิได้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติ ได้เปรยี บผอู้ ื่นกลบั เป็นเคร่ืองถ่วงเวลาทำใหค้ วามสำเร็จล้าช้าออกไปมากน้อยขึ้นกับผู้ปฏิบัตแิ ต่ละ ท่านผู้ปฏิบัติที่เป็นนักทฤษฎีมักจะมีความสงสัยชอบวิเคราะห์ทฤษฎี เป็นตัววิจิกิจฉานิวรณ์ หนทางท่ีจะช่วยได้คือลงมือปฏิบัติทันทีจนเกิดขณิกสมาธิผู้ปฏิบัติจะเข้าใจสภาวะรูปนามที่ละ น้อยๆความสงสัยจะถูกกำจัดเป็น ตทังคปหาน จนกระทั้งบรรลุเป้าหมายจึงจะสามารถกำจัด วจิ กิ ิจฉานิวรณ์ไดเ้ ด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน คอื ความสงสัยตวั นจี้ ะไม่เกิดข้ึนอีก สว่ นความสงสัย อ่นื ๆภายหลังเป็นปฏิรูปกวิจิกจิ ฉา คือความสงสัยเทียม ไม่ปิดก้ันมรรค ผล นพิ พาน ทางที่ดีท่ีสุดผู้ ปฏิบัติทุกท่านควรต้ังใจเอาใจใส่ปฏิบัติ ให้ดีทสี่ ุดดกี ว่าเอาเวลาอนั มีค่าไปสนใจเร่ืองของคนอื่นหรือ สนใจรู้สภาวญาณล่วงหน้า มีหน้าท่ีอยู่ ๓ อย่างความสัมพันธ์กันในระหว่างปฏิบัติวิปัสสนา ได้แก่ (๑)หน้าที่ของผู้ปฏิบัติ คือ กำหนดรูปและนามให้ทันปัจจุบันแล้วส่งอารมณ์ (๒)หน้าที่ของ วิปสั สนาจารย์ คือ แกไ้ ขสภาวะและแตง่ อนิ ทรีย์ของผูป้ ฏบิ ัตใิ ห้สมดลุ อยู่เสมอ โดยการสอบอารมณ์ (๓)หน้าท่ีของวิปัสสนาญาณ คือ สภาวลักษณะของรูปและนาม สภาวะของสามัญญลักษณะ ๓ และสภาวะของอริยสัจ ๔ ถ้าผู้ปฏิบัติทำหน้าท่ีของตนได้ถูกต้องสมบูรณ์ไม่รั่วไหลแล้ววิปัสสนา จารย์ย่อมทำหน้าท่ีได้แมน่ ยำรวดเร็วทันเหตุการณ์ และจากวิปัสสนาญาณย่อมผดุ ข้นึ ให้เหน็ ได้โดย สภาวะของแต่ละญาณโดยลำดบั การปฏบิ ัตวิ ิปสั สนาจะกา้ วหนา้ จนบรรลุผลได้ในทส่ี ุด๒๒๑ [๒๒๒] การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง การได้การเข้าถึงการ สำเร็จการทำให้แจ้งธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทการบรรลุธรรมมีความสำคัญเนื่องจากการ บรรลุธรรมเป็นการบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพานโดยมีวิธีการ ปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมอยู่ ๔ แนวทาง คือ (๑)วิปัสสนามีสมถะนำหน้า (๒)สมถะมีวปิ ัสสนานำหน้า ๒๒๑ อา้ งแลว้ , พรรณราย รัตนไพฑรู ย์, [รหสั แบบบันทกึ ๒-๔๔]
๒๕๓ (๓)สมถะและวิปัสสนาคู่กัน (๔)วิธีปฏิบัติเม่ือจิตถูกชักให้เขวด้วยธรรมุธัจจ์ ๔ แนวทางสามารถ จัดเป็น ๒ แนวทางใหญ่ คือ วิปัสสนามีสมถะนำหน้าและสมถะมีวิปัสสนานำหน้าเป็นต้นแบบ หรือเป็นที่มาของวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ๒ วิธี ในรุ่นอรรถกถาคือ สมถยานและวิปัสสนายาน ต้องอาศยั หลักปฏิบัติเพ่ือการบรรลุธรรมคือ โพธิปักขิยธรรม เกณฑท์ ่ีใชแ้ บ่งระดบั ของการบรรลุ ธรรมเรียกว่า สังโยชน์ ๑๐ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะปฏิฆะรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา โดยที่พระโสดาบันเป็นผู้บรรลุธรรมขั้น ๑ สามารถละ สังโยชน์ได้ ๓ ข้อ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ถัดมาพระสกทาคามีเป็นผู้ บรรลุธรรมขน้ั ท่ี ๒ นอกจากสามารถละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้แล้ว ยังทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบา บางลงด้วย ส่วนพระอนาคามี เป็นผู้บรรลุธรรมขั้นท่ี ๓ สามารถละสังโยชน์เบ้ืองต่ำได้ครบ ๕ ข้อ สุดท้ายพระอรหันตเ์ ป็นผู้บรรลธุ รรมขั้นสดุ ทา้ ยสามารถละสงั โยชนไ์ ดท้ งั้ ๑๐ ข้อไม่เพยี งเท่า๒๒๒ [๒๒๓] หลงั จากการบรรลธุ รรมหากได้สมาธิในระดับหนึง่ จะสามารถมีความสามารถพิเศษ อภิญญา ๖ คือ ๑)อิทธิวิธิ ๒)ทิพพโสต ๓)เจโตปริยญาณ ๔)ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ๕) จุตูปปาตญาณ ๖)อาสวักขยญาณ ผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดทุกบุคคลจะสามารถมีความสามารถ พิเศษข้อสุดท้าย แต่ ๕ ข้อแรกขึ้นอยู่กับระดับสมาธิและความชำนาญในการทำสมาธิๆของแต่ละ บุคคลหลังจากเข้าใจท้ังเร่ืองสมาธิและเรื่องการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทจึงนำเสนอ ทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่เร่ืองสมาธิกับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา เถรวาท พบว่า การฝึกสมาธิเป็นส่วนหน่ึงของวิธีปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมทุกวิธีทั้งวิธีที่เรียกว่าสมถ ปุพพังคมวิปัสสนา(วิปัสสนามีสมถะนำหน้า) วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ(สมถะมีวิปัสสนานำหน้า) ยุคนัทธสมถวิปัสสนา (สมถะและวิปัสสนาคู่กัน) และธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส(วิธีปฏิบัติเมื่อจิตถูก ชักให้เขวด้วยธรรมุธัจจ์) นอกจากน้ีสมาธิยังนำมาเป็นอุปกรณ์ของวิธีปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรม สมาธิ ยังสามารถเช่ือมโยงเข้ากับหลักปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมมีชื่อว่าโพธิปักขิยธรรมหากพิจารณาลงใน รายละเอียด โพธิปักขิยธรรม พบว่า หลักปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมแบบสติปัฏฐาน ๔ เป็นปัจจัยให้ เกิดสมาธิหลักปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมแบบสัมมัปธาน ๔ อุดหนุนสมาธิหลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม แบบอิทธิบาทเป็นข้อปฏิบัติให้เกิดสมาธิหลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมแบบอินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และอริยมรรค มีสมาธิเป็นส่วนหน่ึงหลังจากหากการพิจารณามุ่งสู่ขณะบรรลุธรรมจะ พบว่า สมาธิเป็นองค์ธรรมขณะบรรลุธรรมคือ ในขณะบรรลุธรรมจะต้องมีสมาธิเป็นองค์ธรรม หนึ่งทป่ี ฏบิ ัติการอยู่๒๒๓ [๒๒๔] สมาธยิ ังเกย่ี วข้องกบั ระดบั ของการบรรลุธรรมคือ พระโสดาบนั และพระสกทาคามี มีระดบั สมาธพิ อประมาณ ท่านจะเขา้ ผลสมาบัตชิ ั้นต่ำได้สว่ นพระอนาคามีและพระอรหันต์มีระดับ ๒๒๒ อา้ งแลว้ , อรภคั ภา ทองกระจ่างเนตร, [รหสั แบบบนั ทกึ ๕๒-๕๕] ๒๒๓ อ้างแล้ว, อรภัคภา ทองกระจ่างเนตร, [รหัสแบบบันทึก ๕๒-๕๕]
๒๕๔ สมาธิที่สมบูรณ์ท่านทั้งสองสามารถเข้าผลสมาบัติชน้ั สูง คือ นิโรธสมาบตั ิต้องทำสมาบตั ิ ๘ ไดก้ าร เข้าสมาบัติ ๘ เป็นปฏิปทาของวิธีปฏิบัติของพระสมถยานิกยกเว้นพระอนาคามีกับพระอรหันต์ ทง้ั หลายที่เป็นสุกขวิปัสสกเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ เป็นปฏิปทาของวิธีปฏิบัติของพระวิปสั สนายานิก สมาธิยังมีผลทำให้ผู้บรรลุธรรมได้อภิญญาโดยอภิญญาที่ได้มีผลเก่ียวข้องกับระดับของสมาธิที่ สะสมมาโดยท่ีพระอรหันต์ทกุ ประเภทจะมีอภิญญาข้อ ๖ คือ อาสวักขยญาณแต่พระอรหันต์จะได้ อภิญญาทัง้ ๕ ขอ้ แตกต่างกนั ไปขน้ึ กับการฝึกฝนสมาธทิ ่ีมีความชำนาญตา่ งกัน๒๒๔ [๒๒๕] ปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรม การบรรลุธรรมพระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง การรู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาทหรืออริยสัจ ๔ โดยปัญญาสามารถเข้าถึงมรรค ญาณ ๔ การบรรลุธรรม ๔ ระดับ ได้แก่ ๑)การบรรลุธรรมในระดับโสดาปัตติมรรคญาณ หมายถึง ปัญญาของบคุ คลท่ีได้รแู้ จง้ สภาวธรรมทัง้ หลายแล้วสามารถละสกั กายทิฏฐิ วจิ ิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาสได้อย่างเด็ดขาดบุคคลผู้เข้าถึงการบรรลุธรรมในระดับเรียกว่า พระโสดาบัน เป็น พระอริยบุคคลผู้มีคติแน่นอน เป็นผู้ไม่ตกต่ำอีกต่อไป และจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์และจะนิพพาน ๒)การบรรลุธรรมในระดับสกทาคามิมรรคญาณ หมายถึง ปัญญาบุคคลท่ีได้รู้แจ้งสภาวธรรมท้ังหลายแล้ว สามารถละราคะและโทสะส่วนหยาบ ๆ ให้เบา บางได้ บุคคลผู้เขา้ ถึงการบรรลุธรรมในระดับ เรียกว่า พระสกทาคามี เป็นพระอริยบุคคลผู้จะเกิด อีกเพียงชาติเดียวเท่าแล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์และจะนิพพาน ๓)การบรรลุธรรมในระดับ อนาคามิมรรคญาณ คือ ปัญญาท่ีรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรมแล้วสามารถละราคะและโทสะ ส่วนละเอียดได้เด็ดขาด บุคคลผู้เข้าถึงการบรรลุธรรมระดับน้ี เรียกว่าพระอนาคามี เป็นพระ อริยบุคคลผู้จะไม่มาเกิดอีกต่อไป จะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วจะนิพพาน ๔)การบรรลุธรรมใน ระดับอรหัตตมรรค คือ ปัญญาของบุคคลที่รู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรมแล้วสามารถละความ ยินดีพอใจในรูปฌาน อรูปฌาน มานะ อุทธัจจะและอวิชชาได้เด็ดขาด บุคคลผู้เข้าถึงการบรรลุ ธรรมระดับน้ี เรียกว่า พระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลผู้หมดจรดจากกิเลสท้ังหลายจะนิพพานใน ชาติๆ ปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรมหมายความว่าปฏิจจสมปุ บาทฝ่ายปฏิโลมมคี วามสัมพนั ธ์ กับสัมมาปฏิปทา หรือมีความสัมพันธ์กับอริยมรรคมีองค์ ๘ (ไตรสิกขา)โดยท่ีปฏิจจสมุปบาทเป็น ผลธรรมที่เกิดจากสัมมาปฏิปทา คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของบุคคล บริบูรณ์มากเพียงใด อวิชชาท้ังหลายท่ีเกิดจากกาย วาจา ใจ หรือรูปนามต่างๆจะค่อยๆดับไป โด ย ปั ญ ญ า ห รื อ วิ ช ช า จ ะ มี ค ว า ม บ ริ บู ร ณ์ ยิ่ ง ข้ึ น ค ล้ อ ย ไป ต า ม ค ว า ม บ ริ บู ร ณ์ ข อ ง ไต ร สิ ก ข า ความสมั พันธ์เหล่าน้เี ริ่มตน้ เกิดข้นึ เม่ือ บุคคลปรารถนาจะออกจากวฏั ฏสงสารจงึ สั่งสมกุศลธรรมที่ เกิดจากการศึกษาอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา คือ ๑.อธิสีลสิกขา หมายถึง ๒๒๔ อ้างแลว้ , อรภคั ภา ทองกระจ่างเนตร, [รหสั แบบบันทึก ๕๒-๕๕]
๒๕๕ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ หรือตามความหมาย มหาสติปัฏฐาน หมายถึง กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน สตจิ ะระมัดระวังศีลของบุคคลมิให้วิบัติและสามารถเข้าถึงความหมดจด และความบริสุทธ์ิจากกิเลสท้ังหลายทางกายและวาจา เรียกว่าสีลวิสุทธิ เป็นความหมดจดเกื้อกูล ต่ออธิจิตตสิกขา ๒.อธิจิตตสิกขา หมายถึง สัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ สัมมาสติ หรือตาม ความหมายในมหาสติปัฏฐาน หมายถึง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานและจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่ีสติคอยประคับประคองจิตให้ต้ังมั่นอยู่ในฌานสมาธิ เป็นเหตุให้มิจฉาปฏิปทาดับไป ฌานจึง ข่มกิเลสทั้งหลายไว้มิให้กำเริบ เป็นเหตุให้จิตของบุคคลหมดจากกิเลสทั้งหลาย เรียกว่า จิตตวิสุทธิ ๓. อธิปัญญาสิกขา หมายถึง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ หรือตามความหมายในมหา สติปฏั ฐาน หมายถึง ธัมมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ท่สี ติระลกึ รู้สภาวธรรมท่ีมาปรากฏเฉพาะหน้าเป็น เหตุใหอ้ วชิ ชาและมจิ ฉาปฏปิ ทาท้ังหลายดบั ไปส่งผลให้ปญั ญาเขา้ ถึงความเจริญไพบูลยต์ ามลำดับท่ี เรียกว่า โสฬสญาณ นับต้ังแต่นามรูปปริจเฉทญาณจนถึงปัจจเวกขณญาณ ปัญญาเหล่าน้ีเป็นเหตุ ให้บุคคลเข้าถึงความหมดจดจากกิเลสตามลำดับต้ังแต่ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคค ญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ และญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นท่ีสุด กล่าวเป็นโวหารได้ ว่า บุคคลสามารถเข้าถึงหมดจรดจากกิเลสโดยกิเลสจะไม่หวนกลับมากำเริบอีกเป็นเหตุปัจจัยให้ สังสารวัฏฏ์อันยืดยาวดับลงอย่างถาวรถึง ๔ คร้ัง เรียกว่า การบรรลุธรรมระดับความสุขท่ีบุคคล จะได้รับจากการหลุดพ้นจากกิเลสบางส่วนจนถึงหมดจดจากกิเลสทั้งหลายบุคคลเหล่าน้ีได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ อน่ึงปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุ ธรรมจะเรม่ิ ทวนกระแส นับตัง้ แต่บคุ คลตั้งความปรารถนาเพ่ือบรรลุพระนพิ พาน โดยเริ่มต้นสั่งสม คุณธรรมต้ังแต่ระดับอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ระยะเวลาการเข้าถึงความ บริบูรณ์ของไตรสิกขา จะมากหรือน้อยย่อมแตกต่างกันไปตามความปรารถนาของแต่ละบุคคล ตลอดท้ังเหตุปัจจัยท่ีมีเฉพาะแต่ละบุคคลตัวอย่าง พระสารีบุตรเป็นพระอริยบุคคลรูปหนึ่งท่ีส่ังสม เหตุปัจจัยความบริบูรณ์ของไตรสิกขามาตง้ั แต่หนง่ึ อสงไขยแสนกัปป์โดยท่านตง้ั ความปรารถนาจะ เป็นเลิศทางด้านปัญญา และจะเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวามาในพุทธกาลท่านเห็นแจ้งแทงตลอด ความเกิดและความดับของเหตุปัจจัยท้ังหลายด้วยการพิจารณาเวทนาโดยรู้แจ้งการสืบต่ อของ เวทนา ความเกิดและความดับของเวทนา ตัณหาท่ีเกิดจากเวทนาจึงไม่ปรากฏเข้าถึงการบรรลุ ธรรมสกทาคามิมรรคอนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค พร้อมกับปฏิสัมภิทา ๔ วงจรของชีวิตไม่มี การสืบต่อ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกถือว่าเป็นชาติสุดท้ายการดับวงจรของชีวิต หรือ ดบั ปฏิจจสมปุ บาทได้ถอื ว่าเปน็ การบรรลุธรรมชัน้ สูงในพระพทุ ธศาสนา๒๒๕ ๒๒๕ อา้ งแล้ว, พระครสู ุวรรณวิจิตร, [รหสั แบบบันทกึ ๔๙-๕๕]
๒๕๖ [๒๒๖]ผลจากการเจริญ ธัมมานุปัสสนาเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน สรุปได้๑) ความสำคัญของการเจริญธัมมานุปัสสนา พบวา่ หลักการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วนของสติปัฏฐาน คือ การพิจารณาองค์ธรรมของหมวดธัมมานุปัสสนา(นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ด้วยวิปัสสนาญาณเป็นการหยัง่ ร้สู ภาวะ รแู้ จ้ง รูช้ ัด รูเ้ หตุ รผู้ ล รู้ผิด รถู้ ูก ดีหรือช่วั รู้เห็นตามความ เป็นจริง ๒) ผลที่ทำให้เกิดสมถะและวิปัสสนา พบว่า เพราะปฏิบัติตามหมวดธรรมของธัมมา นุปัสสนา(นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ยกหัวข้อธรรมข้อใดข้อหนึ่งของหมวด ธัมมานุปัสสนามา เพ็งพินิต ให้ต้ังม่ันเป็นหน่ึงจนสงบเป็นสมถะแล้วหลังจากถอนจิตมาพิจารณา ด้วยวิปัสสนา พิจารณาให้เห็นจริง เช่น รู้แจ้งในหมวด (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ตามเป็นจริงที่อยู่ในหมวดธัมมานุปัสสนา จิตจึงจะหลุดพ้นได้จริง หมายถึงวิมุตติขั้นสูงสุดที่ สมบูรณ์ส้ินเชิง แต่การที่ปัญญาวิมุตติมาควบคู่กับเจโตวิมุตติ (๓)การประยุกต์ธัมมนุปัสสนามาใช้ ในชีวิตประจำวัน พบว่า ตนเองต้องศึกษาหมวดของธัมมานุปัสสนา (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ให้เข้าใจแจม่ แจ้งเสียก่อนจึงจะนำไปประยุกต์ใช้กบั ตนเอง ครอบครวั ในสังคม สรุปว่าผลจากการเจริญธัมมานุปัสสนาเพื่อไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้การพิจารณา องค์ธรรมของหมวดธัมมานุปัสสนา(นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์)ให้เข้าใจแล้วนำไป ประพฤติเพื่อให้เกิดสมถะเพื่อทำจิตให้สงบและเจริญวิปัสสนาเพื่อให้รู้แจ้ง รู้ชัด รู้เหตุ รู้ผล รู้ผิด รถู้ ูก ดีหรือช่ัว รตู้ ามความเป็นจริง จึงนำไปใชก้ บั ตนครอบครัวและสังคม ๒๒๖ [๒๒๗] การไม่กำหนดเปา้ หมายของการปฏบิ ัติที่ชดั เจนทำให้ผู้ปฏิบตั ิธรรมจะถกู ล่อลวงไป ติดกับตักของกิเลสโดยอาศัยการสำรวมระวังรักษาศีลเป็น ปัจจัยให้ ติ ดอยู่ใน การทำความดี กลายเป็น สีลัพตปรามาส อาศัยการเจริญสมาธิเป็นปัจจัยให้ติดอยใู่ นญาณที่ไปรู้สภาวธรรมต่างๆ ได้ละเอียดจึงหลงลืมเป้าหมายที่แท้จริงของการปฏิบัติไป อกี กรณีคือผู้ปฏิบัติมุ่งมน่ั ละกิเลสจริงจัง แต่ทำข้ามข้ันตอน เช่น คิดจะไปละตัณหา ละโลภ โกรธ หลง ท้ังๆที่ยังไม่มีความเห็นถูกว่ากาย-ใจ ไมใ่ ช่เรา กิเลสไมใ่ ช่เรา เม่ือเจริญสตไิ ปเหน็ พฤตกิ รรมอนั เลวร้ายที่ถูกกิเลสครอบงำชัดขึ้นย่ิงรสู้ กึ ไม่ ดีต่อตนเองยังเกิดอคติต่อการปฏิบัติธรรมท่ีทำให้ทุกข์ย่ิงกว่าเดิมจนเกิดความท้อแท้เลิกปฏิบัติไป กลางคนั อยา่ งน่าเสยี ดาย๒๒๗ [๒๒๘] ผูส้ อนการรูจ้ รงิ สง่ ผลต่อการบ่ันทอนศรทั ธามาก คือ ผปู้ ฏบิ ัติไมค่ วรบบี บังคับ ให้ เดินตามทางที่ผู้อื่นขีดให้เพราะจริตอาจไม่ต้องกันตรงกันเสมอไปอีกท้ังควรสนับสนุนสมถะและ วิปัสสนาให้มีอย่างสมดุล มีภาวะจิตใจท่สี ับสน วิตกกังวลจะให้คนดังกล่าวเข้าสู่วิปัสสนา ความคิด โลดแล่น โลดโผน ควรมีอบุ ายใหจ้ ิต ออ่ นโยน โดยอาศัยสมถกรรมฐาน การปฏบิ ัตไิ ม่ก้าวหน้าหรือ ๒๒๖ อา้ งแลว้ , พ.ท. กัปนาท พทุ ธปวรางกรู , [รหสั แบบบันทึก ๔๓–๕๔] ๒๒๗ อ้างแลว้ , พิชญรัชต์ บุญช่วย, [รหสั แบบบันทกึ ๙–๔๙]
๒๕๗ ฝึกไม่ถูกวิธี สาเหตุมาจาก ๑)ไม่มีอาจารย์ที่เก่งพอ ๒)ไม่มีเวลาปฏิบัติเพียงพอ ๓)การปฏิบัติไม่ ต่อเนือ่ ง ๔) สถานท่ีปฏบิ ัติไม่เอื้ออำนวย ๕) ไมล่ ะเว้นส่งิ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั ใหล้ ะเว้น๒๒๘ [๒๒๙] สติปัฏฐาน เป็นไป ๑)เพื่อความบริสุทธ์ิของสัตว์ คอื บริสทุ ธจิ์ ากมลทินราคะเป็น ต้น และจากอุปกิเลสมีอภิชฌามาวิสมโลภะ ๒)เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ(ความเศร้าและวติ ก ทุกข์ร้อน) เพรามองเห็นสภาวะของสิ่งของท้ังหลายตามความเป็นจริง ๓)เพ่ือความดับไปเป็นทุกข์ ของและโทมนัส คือความดับสนทิ ของทุกขข์ องกายทางจิตใจ ๔)เพ่ือบรรลุ อริยมรรคองค์ ๘ ๕)เพ่ือ ทำใหแ้ จ้งอมตะธรรม เรียกวา่ นิพพาน เพราะเว้นจากตัณหา๒๒๙ [๒ ๓ ๐ ]ปั จ จั ย ส ำคั ญ น ำผู้ ป ฏิ บั ติ เข้ าสู่ การฝึ ก ฝ น พั ฒ น าต น ตาม ห ลั กไต ร สิ ก ขา พ บ ว่า พฤติกรรมท่ีหนุนนำให้ผู้ปฏิบัติเข้าสู่การฝึกฝนพัฒนาตามหลักไตรสิกขาเกิดจากการต้ังตนไว้รอบ และประกอบความดี คือ สมาคมกับคนดี คบหาสัตบุรุษ แสวงหาความรู้ที่เก่ียวกับหลักธรรม และการปฏิบัติเป็นผู้ใฝใ่ จในการทำบุญด้วยการทำทาน ถอื ศีล เจริญภาวนา เกิดจากความทุกข์ใน การดำเนินชีวิตทางโลกพฤติกรรมมีส่วนเสริมสร้างเง่ือนไขสำคัญต่อการตัดสินใจปฏิบัติธรรมเป็น จุดเริ่มต้นของกระบวนการไตรสิกขา ประสบการณ์สำคัญนำไปสู่การเปล่ียนแปลงภายในตนเอง การฝึกปฏิบัติด้วยการหมั่นสังเกตให้เห็นความไม่มีตัวตนของขันธ์ ๕ ด้วยความมีสติอยู่เป็นประจำ อย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ร่วมวิจัยเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยินดีจากเดิมท่ีเคยรับรู้อารมณ์ แล้ว เกิดความหวั่นไหวคล้อยไปตามอารมณ์ด้วยความชอบ-ชังกลับการเป็นไปสงบรู้ ดู อยู่อย่างไม่ หวั่นไหว และรู้สึกได้ถึงสภาพจิตที่มีลักษณะโล่ง โปร่ง เบา เย็น สบาย สงบ เกษม ต่างจาก ความรู้สึกทุกข์ เฉย ท่ีเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำจนในท่ีสุดเกิดความรูแ้ จ้งในสภาวธรรมคือ ร้ใู นอาการ เกิดข้ึน ต้ังอยู่ ดับไปของสภาวธรรมและรู้ว่าอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้สภาวธรรม ปรากฏขึ้นเมื่อรู้ชัดในภาวะที่เป็นภาวะท่ีคลาดเคลื่อนไปและท่ีเป็นอย่างอื่นอีกของสภาวธรรมๆ อย่างถอ่ งแทจ้ ึงหมดความสงสยั ในเรื่องๆไม่ต้องศึกษาอีกต่อไปประสบการณ์สำคัญนำไปสู่การรแู้ จ้ง สัจธรรมด้วยตนเองมีลักษณะท่ีหลากหลาย เช่น การเห็นอสุภนิมิตที่เป็นซากศพ การเห็นกายโดย ความเป็นปฏิกูล การเหน็ ความว่างไร้ตัวตนของกาย-ใจ พบว่า สำรวจตนเองอยา่ งต่อเน่ืองอยู่เสมอ และรายงานสภาวะที่เกิดขึ้นต่ออาจารย์ผู้สอนเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ายังมีจุดใดท่ีมองพลาดไป หรือไม่ สังเกตจากการแสดงออกที่พ้นไปจากการสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นน่ีไปจนกว่าจะปล่อยว่าง ได้ทั้งหมดจึงพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริงผลการพัฒนาผู้ปฏิบัติด้านกาย ศีล จิต ปัญญา เกิด มาจากการฝึกฝนตามหลักไตรสิกขา การฝึกฝนตามหลักไตรสิกขาทำให้ประจักษ์ชัดในความเป็น จริงของโลกและชีวิตของตนเองส่งผลให้สามารถแยกแยะอารมณ์ท่ีเป็นบัญญัติออกจากอารมณ์ ปรมตั ถไ์ ด้ เม่อื สามารถทำลายมายาภาพที่ปกปิดความจริงได้มากขึ้นจึงมีพฤติกรรมการดำเนินชวี ิต ๒๒๘ อ้างแล้ว, อภริ าษฎร์ ปรีชาจารย์, [รหัสแบบบันทึก ๔-๔๖] ๒๒๙ อา้ งแลว้ , พรรณราย รัตนไพฑูรย,์ [รหสั แบบบนั ทึก ๒/๔๔]
๒๕๘ ท่ีเปลี่ยนแปลงไปในทางเรียบง่ายพอเหมาะพอเพียง คือ นำรูปแบบความเป็นอยู่ในระหว่างการ ปฏิบัติไปใช้ต่อที่บ้าน เช่นกินเมื้อเดียว เดินจงกรมในเวลาว่างหรือเลิกพฤติกรรมการบริโภคที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพได้อย่างเด็ดขาด เช่น เลิกเหล้าเลิกบุหร่ีหรือลดการจับจ่ายใช้สอยท่ีไม่จำเป็น หันมาใช้เวลาว่างด้วยการเข้าปฏิบัติธรรม นอกเหนือจากการเปล่ียนแปลงรู้แบบการใช้ชีวิตแล้ว พบว่าชักชวนครอบครัวญาติมิตรสนิทให้มาปฏิบัติธรรมและเปลี่ยนแปลงนิสัยในการทำงาน มี ความมั่นคงทางอารมณ์มากข้ึน เพราะรู้จักนำวิธีปฏิบัติมาใช้เพ่ือเข้าถึงความสุข เบาสบายแช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ในภายในแมจ้ ะมีภาระท่ีต้องรับผิดชอบหรือมีเรื่องยุ่งยากต่างๆให้แก้ไขสามารถใช้ ปัญญาจัดการปัญหาอย่างมีสติแล้วยอมรับผลท่ีตามมาด้วยความสงบหนักแน่นไม่หวั่นไหวไม่ว่าจะ ร้ายหรือดี การเข้าถึงสัจธรรมในแต่ละคร้ังยังทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นอิสระจาก ความยึดม่ันถือม่ันในสิ่งท่ีไม่เป็นภาระได้มากข้ึนด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ รู้จักใช้ปัญญา พิจารณาเร่ืองต่างๆตามเหตุตามผลมองตนเองและผู้อ่นื ตามสภาวธรรมตามความเป็นจริงว่ามีกุศล ธรรม และอกุศลธรรมเป็ นเหตุปั จจัยกำหน ดพฤติกรรม การแสดงออกไม่ ว่าจะดำเนิ นชีวิต อยู่ ท่ามกลางสังคมเมืองท่ีวุ่นวายหรืออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พบว่า การดำเนินชีวิตเป็นส่วนหน่ึงของ การปฏบิ ตั ธิ รรมและไม่ได้แยกออกจากกนั ๒๓๐ [๒๓๑] ความเชื่อทปี่ ระกอบด้วยปัญญาจุดทีม่ ีความสำคัญของศรัทธา คือ การพัฒนาไปสู่ ความพ้นทกุ ข์ คือ ต้องประกอบดว้ ยสตปิ ฏั ฐาน ๔ เป็นแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาเร่อื งความเชอ่ื ที่ หลงงมงายต่างๆผู้ปฏิบัติท้ังหลายพึงเจริญในหลักสติปัฏฐาน ๔เข้าถึงสภาวะความเชื่ออย่างพระ อริยเจ้า คือ พระโสดาบันแต่ยังไม่พ้นทุกข์ ถ้าอยากพ้นความทุกข์จริงๆต้องปฏิบัติจนสามารถ ทำลายอุปาทานขันธ์ ๕ โดยเพราะการเจริญศรัทธาตามหลักโพชฌงค์ คือ ประกอบด้วยอาตาปี คอื เพียรเผากิเลส ดว้ ยอำนาจขณกิ สมาธิ(วปิ ัสสนาขณิกสมาธิ) ตรงกับ อธิจิตตสกิ ขา สมั ปชาโน ความรู้ตัวท่ัวพร้อม(นามรูปปริจเฉทญาณจนเห็นพระไตรลักษณ์ คือ เห็นความเกิดดับของรูปนาม เป็นต้นไป)ตรงกับอธิปัญญาสิกขา และสติมา(การระลึกรู้รูปนามปัจจุบัน ในหมวดกาย คือ อานา ปานะ อิริยาบถ สัมปชัญญะ ธาตุมนสิการ จนเห็นอาการของรูปนามดังกล่าว)ตรงกับอธิสีลสิกขา เพราะกำหนดรู้อินทรีย์สังวรศีล ความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติกรรมฐานอาศัยองค์ประกอบ หลัก คือ ศรัทธา ด้วยเหตุน้ีผู้ปฏิบัติควรมีความเช่ือมั่นในพระสัทธรรม ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ และปัญญาเมื่อปฏิบัติตามหลักดังกล่าวด้วยศรัทธาแล้วย่อมพบความพ้นทุกข์ได้เพราะ มีศรัทธาท่ี ไมส่ ั่นคลอนในพระรตั นตรัย๒๓๑ [๒๓๒] วิเคราะห์ศีลเพื่อการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท สรปุ ได้ การปฏิบัติ ตามหลักศีลท่ีมีองค์ธรรมท่ีเก่ียวข้องกับการบรรลุธรรม คือ สีลสิกขา จิตตสิกขา(สมาธิ) และ ๒๓๐ อ้างแลว้ , พชิ ญรชั ต์ บุญช่วย, [รหัสแบบบันทึก ๙ – ๔๙] ๒๓๑ อา้ งแล้ว, พระชยั พร จนทฺ วโํ ส (จนั ทวงษ์), [รหสั แบบบนั ทกึ ๒๓–๕๔]
๒๕๙ ปญั ญาสกิ ขา เปน็ ตวั ช่วยในการบรรลุธรรมมีความสมั พันธก์ นั ทีท่ ำงานร่วมกันแบบสมั พันธอ์ าศยั กัน และกันเป็นกระบวนการและองค์ประกอบทางสิกขา ๓ โดยทางธรรมคือ“มีศีลเป็นพื้นฐานมีสมาธิ เป็นกำลัง มีการเหน็ แจ้งแทงตลอด ปัญญา(วิปัสสนา)เป็นตัวการกระทำอย่างทไ่ี มอ่ าจจะแยกกันได้ “จะต้องอาศัยธรรม ๓ ประการทำงานร่วมกันแบบสัมพันธ์กันตามลำดับจึงจะได้ความรู้ที่ถูกต้อง เป็นจริงเป็นความรู้หรือปัญญาช้ันโลกตุ ตระ บรรลุเป้าประสงค์ คือ ความหลุดพ้นจากกิเลสสาสวะ คอื เป็นขบวนการของไตรสิกขาเพื่อบุคคลผู้ประเสริฐได้บรรลุธรรมตามหลักของพระพทุ ธศาสนามี ๔ ประเภท คือ ๑)ประเภทพระโสดาบัน ๒)ประเภทพระสกทาคามี ๓)ประเภทพระอนาคามี ๔) ประเภทพระอรหันต์ ผใู้ ดรแู้ จง้ เข้าใจสัจธรรมทม่ี ีอยโู่ ดยธรรมดาแห่งธรรมชาติผเู้ ป็นอรยิ ะคุณธรรม หรือระดับจิตของอริยบุคคลพัฒนาแล้วย่อมขึ้นอยู่กับผลที่ได้รับจากการปฏิบัติว่าสามารถขัดเกลา กิเลสและสังโยชน์ ๑๐ ออกไปจากจิตใจหรอื ภมู ขิ องจติ ท่ีแตกต่างกันไป๒๓๒ [๒๓๓] การศึกษาแนวคิดทฤษฎีการเจริญสติในทางพระพุทธศาสนาการฝึกฝนอบรม จิตใจเปน็ เรือ่ งที่สำคัญทีส่ ุดของมวลมนุษย์เพราะการจะหลุดพน้ จากความทุกข์และบรรลุถึงบรมสุข คือ นิพพานได้อย่างแท้จริงต้องอาศัยการฝึกอบรมจิตใจหนทางท่ีทำให้บรรลุคือ การเจริญสติ หมายถึง การฝึกหรือสร้างความระลึกรู้ ความต่ืนรู้ ความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม ความไม่ประมาท ความ ตระหนักรู้ การกำหนดรู้ ให้เกิดข้ึนบ่อยๆในทุกขณะ ทางพระพุทธศาสนา ๒ แนวทาง คือ ๑)การ เจริญสมถะกรรมฐาน(Concentration Meditation)เป็นวิธีปฏิบัติเพ่ือให้เกิดความสงบทางจิต หรือการทำจิตไห้เป็นสมาธิให้แน่วแน่มั่นคงเป็นสัมมาสมาธิ ๒)การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน (Insight Meditation) เป็นการฝึกฝนอบรมจิตให้มีสติสัมปชัญญะจนเกิดปัญญาญาณ รู้แจ้งเห็น จริงในสิ่งทั้งหลายตามความเปน็ จรงิ โดยอาศยั หลักการอันเป็นทางสายตรงและทางสายเอกตามคำ สอนในทางพระพุทธศาสนา คือ การเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ การพิจารณากาย เวทนา จิต และ สภาวธรรมเป็นคำสอนที่มีปรากฏเฉพาะในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาอน่ึงการเจริญอานาปานสติ เป็นอีกวิธีหนึ่งสำหรับการฝึกอบรมจิตที่สำคัญอย่างย่ิงและนิยมปฏิบัติกันเป็นอย่างมากโดยทั่วไป เพราะเปน็ สิ่งท่อี ยู่กับตัวผปู้ ฏบิ ัติตลอดเวลาจงึ สามารถใช้ลมหายใจนี้เป็นอุปกรณ์ในการฝึกจิตได้ทุก เวลาทุกโอกาส แม้ในระยะเวลาเพียงส้ันๆสามารถช่วยให้ผู้ปฏิบัติได้สัมผัสกับความสงบและผ่อน คลายได้ อีกท้ังยังเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาตามกระบวนการแห่งสติปัฏฐาน ๔ สรุปการเจริญ สติในทางพระพุทธศาสนาท้ังการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ หรือการฝึกเจริญอานาปานสติตาม ล้วนเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ไปสู่ความพ้นทุกข์ตามกระบวนการของหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันนำมาความสุข สงบ ผ่อนคลายม่ันคงบริสุทธิ์และผ่องใสทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจยังชีวิตให้มีคุณค่าท้ังต่อตนเองและสังคมจนถึงท่ีสุดคือการเข้าถึงความเป็นผู้รู้ผู้ต่ืนเบิก ๒๓๒ อ้างแลว้ , พระครูสงั ฆรักษช์ พี ธมมฺ เตโช (คกู่ ระโทก), [รหสั แบบบนั ทกึ ๒๑–๕๔]
๒๖๐ บานท่ียั่งยืนเป็นอิสระจากความทุกข์ท้ังปวงบรรลุถึงบรมสุขแห่งอริยธรรมขององค์สมเด็จพระ สัมมาสมั พทุ ธเจ้า กล่าวคือพระนิพพานได้อย่างแทจ้ รงิ ๒๓๓ [๒๓๔] การปฏิบตั ิวปิ ัสสนาตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ เปน็ วิธีการดับทกุ ขท์ างกายทางใจท่ีเกิด จากกิเลสอันไม่พึงประสงค์เป็นการชั่วคราวหรือถาวร ๒ ประการ คือ เพ่ือดับทุกข์ให้ผู้ปฏิบัติพ้น จากทุกข์เข้าถึงมรรค ผล นิพพาน ได้แก่ โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามผิ ล อนาคามิมรรคอนาคามผิ ล และอรหัตตมรรคอรหัตตผล ถือเปน็ ผลอันสงู สุดในการ อบ รมจิต ใจของมนุ ษย์ทั้งป วงใน โล กเป็ น เน้ื อน ำบุ ญ ที่สู งสุด ไม่มีสิ่งใดยิ่งไป กว่าเพราะส่ งผ ลถึง โลกุตตระสามารถหลุดพ้นจากภพภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มนุษย์ สวรรค์และ พรหมได้โดยเด็ดขาด เป็นการดับทุกข์อย่างถาวรแต่ถ้ายังไม่สามารถดับทุกข์อย่างถาวรได้ทำให้ผู้ ศกึ ษาและปฏิบัติมีความเข้าใจในหลักการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานได้อย่างถูกต้องทำให้ ผู้ปฏิบัติมีสติดีความจำดี มีสมาธิ มีความอดทน มีความพากเพียร มีปัญญาในการทำงานสามารถ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในชีวิตประจำวนั ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างกำลังใจให้มีความอดทน ในการดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรมได้ สรุปจากหลักการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลัก สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา เม่ือย่อ แล้วเหลือ ๒ อย่างคือ รูป กับ นาม หรือกายกับ ใจ การจะเข้าถึงพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัม พทุ ธเจ้า ตอ้ งลงมือปฏิบัตวิ ิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ โดยการกำหนดสติไว้ท่ี กาย (รปู )เวทนา (นาม) จิต(นาม) ธรรม(เป็นทั้งรูปและนาม) หรือรูปนามเป็นอารมณ์ วิธีปฏิบัติโดยการเอา สติสัมปชัญญะกำหนดจดจ่ออยู่กับรูปนามปัจจุบันขณะอย่างติดต่อต่อเน่ืองพร้อมๆกับการปรับ อินทรีย์ของผู้ปฏิบัติให้สม่ำเสมอกันไม่ให้ขาดตกบกพร่องโดยพระวิปัสสนาจารย์ผู้ชำนาญจนเกิด ปญั ญาเรียกวา่ ญาณ เห็นความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปของสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนามตาม ความเป็นจริงว่า ไม่เท่ียงเป็นทุกข์ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ตามลำดับญาณต้ังแต่ญาณ ๑ นามรูป ปริจเฉทญาณ ไปจนถึง มรรค ผล นพิ พาน และญาณ ๑๖ ปัจจเวกขณญาณ ตามลำดับสภาวญาณ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ หมายถึง ปัญญาท่ีกำหนดรู้เห็นลักษณะเฉพาะของสภาวธรรมทางกาย (รูป)และทางใจ(นาม)ออกจากกันได้ตามความเป็นจริงคือรูปมีสภาพเปล่ียนแปลงชำรุดทรุดโทรม นามมีสภาพน้อมไปสู่อารมณห์ รือรู้อารมณ์ คือ ปัญญากำหนดรู้ว่าอะไรเป็นรปู อะไรเปน็ นาม หรือ แยกรปู แยกนามออกจากกนั ได้ ไม่ปะปนกัน เชน่ ขณะเดินซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เปน็ คนละอัน กัน จติ ทีร่ ้พู อง กบั จติ ทีร่ ูย้ ุบ เป็นคนละอนั กันเป็นตน้ ๒๓๔ ๒๓๓ อ้างแล้ว ,พระทรพั ยช์ ู มหาวีโร (บญุ พฬิ า), [รหสั แบบบนั ทกึ ๑๘ – ๕๓] ๒๓๔อ้างแลว้ , แมช่ ีระววี รรณ ธมฺมจารินี (ง่านวสิ ุทธพิ ันธ)์ , [รหสั แบบบันทึก ๑๓–๕๑]
๒๖๑ บทท่ี ๕ บทสรุปและข้อเสนอแนะ ลักษณะข้อมูลท่ัวไปของงานวิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เล่ม พบว่าโดย ส่วนมากเป็นงานวิทยานิพนธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สถานภาพผู้ศึกษาเป็นพระภิกษุ ระดับปริญญา วทิ ยานพิ นธ์เป็นงานระดับปริญญาโท ด้านสาขาวิชาท่ีจบการศกึ ษาเป็นสาขาวชิ าพระพุทธศาสนา ด้าน ระเบียบวิธีของงานวิทยานิพนธ์เป็นลักษณะวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร การตั้ง วตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษาท่ัวไป ด้านคำจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรมมีคำวา่ “ธรรม” ดา้ นคำ จากสารบญั เนื้อหาการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม จำแนก ๑) ดา้ นหลักการ คำว่า “ความหมาย” ๒)ด้านวิธีการ คำว่า“การปฏิบัติ” ๓) ผล คำว่า“ผล” ด้านคำจากเน้ือหาคำนิยามศัพท์เฉพาะ คำว่า “ธรรม”มากที่สดุ สว่ นการวิเคราะหส์ าระความสอดคล้องงานวทิ ยานิพนธก์ ับหลกั การมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิฎก โดยมากที่สุดเป็นดา้ นธรรมานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน จากการศึกษาเนื้อหาสาระเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ งานวิทยานิพนธ์เป็นงานศึกษาได้มาซ่ึง ปัญญาในระดับ (๑)ปัญญาสุตมยปัญญา ที่เกิดจากศึกษาเล่าเรียน (๒)ปัญญาจิตตามยปัญญา ที่เกิด จากการคิดค้นการตรึกตรอง เท่านั้น แท้จรงิ เร่ืองสาระมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นการศึกษาปัญญาระดับ (๓)ปญั ญาภาวนามยปัญญา ท่เี กิดจากการอบรมจติ การเจริญภาวนา ต้องมีการปฏบิ ตั ิจึงจะอธิบายการ สร้างปัญญาระดับภาวนามยปัญญาอย่างแจ่มแจ้งต้องมีการปฏิบัติต่อเนื่อง ดังน้ันผลงานวิทยานิพนธ์ เรอ่ื งศึกษานี้ สรปุ ผลการศกึ ษาไดด้ งั ต่อไปนี้ ๕.๑ บทสรุปการสงั เคราะห์ด้านกายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ๕.๑.๑ หลักการปฏบิ ัติด้านกายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐานตามพระไตรปิฎก อานาปานสติเปน็ กรรมฐานสมาธทิ ี่พระพทุ ธเจ้าปฏิบัตใิ นคืนตรสั รู้เป็นสมาธิแท้ๆเป็นหลกั การ กำหนดลมหายใจเข้าออกตามหลักพระไตรปิฎกอธิบายความและขยายความอานาปานสติจะแสดงไว้ ในพระไตรปฎิ กและคัมภีร์อรรถตา่ งๆทง้ั อรรถและพยญั ชนะมีความชัดเจนให้ความเข้าใจตอ่ การปฏิบตั ิ เป็นคำสอนและวิธีการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ ทั้งปริยัติปฏิบัติเป็นท้ังสมถ ะกรรมฐาน และวิปัสส นา กรรมฐาน ศีลสมาธิปัญญา การปฏบิ ตั ิสามารถบรรลุได้ฌานสมบัติและมรรคผลนพิ พาน ก า ร เจ ริ ญ อานาปานสติฝึกจิตกำหนดลมหายใจเข้าออก จิตมีสติระลึกรักษากำหนดได้อุปาจารสมาธิและ อัปปนาสมาธิ ทำให้สงบจากนิวรณ์ เป็นสมถะพื้นฐานเกิดฌานรวดเรว็ เป็นบาทฐานการวปิ ัสสนารแู้ จ้ง เห็นจริงในกองสังขาร อานาปานสติเข้าฌานออกฌานชำนาญเป็นกำลังเจริญวิปัสสนา ฌานเป็นบาท ฐานเจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ง่ายบรรลุมรรคผลเร็ว อานาปานสติกำหนดพิจารณากาย เวทนา
๒๖๒ จิต ธรรม ได้ทั้ง ๔ ด้าน ย่อเป็น“รูปนาม”เกิดเป็นสภาวธรรม เป็นสมถะบาทฐานนำสู่วิปัสสนาคู่กัน เป็นวถิ ีทางการปฏบิ ตั ิไปสูอ่ รยิ มรรค ๘ เป็นเจโตวิมตุ ิเป็นผลสมถะ ปัญญาวมิ ตุ ติเปน็ ผลวปิ ัสสนา พระพุทธเจ้า ทรงอธิบายความหมาย “กาย” (๑)เป็นท่ีประชุมแห่งของกันน่าเกลียด (๒)หมู่ อวัยวะน้อยใหญ่ท้ังหลายมารวมกันเป็นหมวดหมู่ (๓)กายสิทธิของจิต เจตสกิ รปู รวมกันอยู่ ดังนั้น กายานุปัสสนาเป็นการปฏิบัติธรรมเพ่ือพัฒนาสติให้สติพิจารณากาย หรือ กายคตาสติ ๖ แบบ (๑) พิจารณากำหนดลมหายใจ (๒)พิจารณากำหนดอิริยาบถ (๓)รู้ตัวในการเคลื่อนไหว (๔) พิจารณา ความน่าเกลียดของร่างกาย (๕)พิจารณาความเป็นธาตุกาย (๖)พิจารณาความเป็นซากศพ พระพุทธเจ้าตรัสเอาใจใส่กำหนดรปู ให้ดี พยายามจับความไม่เที่ยงของรูปใหจ้ งได้ รปู เป็นของไม่เท่ียง เป็นความเห็นท่ีถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ กำหนดอารมณ์อย่างแยบยลและกำหนดความไม่เที่ยงของ อารมณ์ การปฏิบัติกายคตาสติกรรมฐาน ขั้นเตรียมการคือ การเลือกสถานท่ี การตัดปลิโพธิ เลือก อาจารย์ กัลยาณมิตร เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน เป็นผู้มีศีลและจิตบรสิ ุทธ์ิ การลงมือปฏิบัติ คือ น่ังสมาธิตั้ง กายตรง ดำรงจิตให้ม่นั เจริญอานาปานสติ ตั้งสตพิ ิจารณากาย อดทนตอ่ เวทนา กำหนดการพิจารณา คือ พิจารณาร่างกายธาตุ ๔ เจริญอสุภสัญญา จิตหลุดพ้นอาสวะด้วยปัญญา ให้พิจารณาเห็นความ เกิดข้ึนตั้งอยู่ดับไป หลักการกายคตาสติกรรมฐานคือการพัฒนาอาการสติ ตามกำหนดสติไว้ท่ีลม หายใจ พองยบุ ท่ีกาย อิรยิ าบถเคลื่อนไหว ความนึกคิด คำบรกิ รรม คือ เม่ือระลึกได้จะเกดิ สภาวะการ ตื่นรู้ เบิกบาน การใช้สติเฝ้าดูกายจะเฝ้าดูความคิด เห็นกาย เห็นความรู้สึกอารมณ์ โดยเบ้ืองต้นต้อง ฝึกทีละอย่าง สติตั้งม่ัน ฝึกดูกาย เวทนา จิต ธรรม ไปพร้อมกันต่อมา ผู้ปฏิบัติท่ีฝึกมากไม่มีกฎเกณฑ์ ว่าอะไรก่อนหลัง พบว่า กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเร่ืองเดียวกัน กำหนดรับรู้อาการต่างๆ ท่ีปรากฏ กำจัดความยึดมั่นถือมั่นสักกายทิฏฐิ พิจารณาซ้ำๆจึงไม่รับเอาบัญญัติเป็นอารมณ์ พิจารณารูปนาม โดยการบริกรรมต่างๆ ด้วยดำรงตนในศีล กำลังอินทรีย๕์ ศรัทธา กัลยาณมิตร การใคร่ครวญ พัฒนา ธรรม เลอื กปฏิบัติใหถ้ ูกจริต การกำหนดอาการพองยุบ ให้ใช้จิตกำหนดอาการเคล่ือนไหวข้ึนลงของ ท้องได้ท่ีปรากฏขณะกำหนดอาการว่า “พองหนอยุบหนอ” เห็นสภาพความเคลื่อนไหวของท้อง การ เดินจงกรมไม่ได้อยู่ท่ีระยะการเดินเดียวหรือหลายระยะมากข้ึน แต่อยู่ท่ีการกำหนดสติกับอาการ เคลื่อนไหวของเท้าเป็นสำคัญ ร่างกายมีธาตุน้ำดินไฟลม อาการพองยุบเป็นเพียงอุบายวิธีให้ผู้ปฏิบัติ กรรมฐานกำหนดรู้เป็นอาการเห็นชัดมากกว่าอารมณ์อ่ืนเป็นอารมณ์กรรมฐาน ถ้าอารมณ์ใดปรากฏ ชดั จะต้องกำหนดรอู้ ารมณน์ ัน้ ๕.๑.๒ วิธกี ารปฏิบัติด้านกายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐานตามคำสอนครูบาอาจารย์ พระธรรมธีรราชมหามุนี (ท่านโชดก ญาณสิทธิ) ท่านสอนทฤษฎี ๓ อย่าง คือ ๑)ทฤษฎี ท่วั ไปทางพระพุทธศาสนา ๒)ทฤษฎีสมถกรรมฐาน ๓)ทฤษฎีวิปัสสนากรรมฐาน ท่านศกึ ษาปริยตั ิธรรม วิปสั สนาธรุ ะในระบบมาโดยตลอดแนวการสอนจงึ เปน็ ระบบขั้นตอนชดั เจน การสอนเรยี กวา่ “ระบบ ยุบหนอพองหนอ” ๑)ระบบหนอ ๒)การกำหนด“พองหนอยุบหนอ” ๓)การเดินจงกรม ๔)การกำหนด
๒๖๓ อิรยิ าบถใหญ่และอิริยาบถย่อย ๕)การกำหนดเวทนา ๖)การกำหนดจิต ๗)สภาวญาณ โดยสอนแบบ สมถะเน้นวิปัสสนานำ สมถกรรมฐานต้องการความสงบต้องการให้ได้ฌานก่อนแล้วเอาฌานเป็นบาท ฐานการเจริญวิปัสสนาต่อ วิปัสสนากรรมฐานได้ขันธ์ ๕ คือ รูปนาม เป็นอารมณ์ ตาเห็นรูป หูได้ยิน เสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกเย็นอ่อนแข็ง ใจคิดธรรมารมณ์ รูปนามเกิดข้ึน ผู้เจริญวิปัสสนา กรรมฐานกำหนดได้ทุกทาง รูปแบบยุบหนอพองหนอ เน้นการกำหนดรู้ถึงธาตทุ ั้ง ๔ มีธาตุลมเป็น หลักเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอานาปานสติ ลมหายในเป็นเหตุให้ท้องยุบเป็นผล กำหนดยุบ หนอพองหนอการตั้งอยู่ในอาการใดๆ ในกายยาววาหนาคืบกำหนดที่ไหนก็ได้สามารถเป็นอารมณ์ วปิ ัสสนาได้ทง้ั หมด ผปู้ ฏิบตั ิย่อมรู้ชดั ในอาการนัน้ จะเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม เปน็ การปฏิบัติโดยยึด รูปนามเป็นอารมณ์ ใช้วิปัสสนาญาณ ๑๖ เป็นกรอบตรวจความก้าวหน้าทางจิต ปฏิบัติให้ไปมรรค ญาณ ผลญาณ คือมรรค ผล นิพพาน การกำหนด คำว่า“หนอ”จะเพิ่มสมาธิแก่ผู้ปฏิบัติทำให้เกิด ความรตู้ ัวแจม่ ชดั เป็นการเพิ่มสัมปชัญญะ ลักษณะการตอกยำ้ ให้การกำหนดรู้ไมเ่ ล่ือนลอยกำหนดอยู่ กับอารมณ์ปัจจุบัน มีสติรู้อารมณ์น้ันๆอย่างแนบแน่น ช่วยให้มีสติสมาธิไม่ขาดสาย กำหนดอิริยาบถ ใหญ่และย่อย ทั้งปวงปจั จบุ ันขณะตอ้ งกำหนดให้ครบถ้วนจะช่วยไม่ให้อารมณ์ร่ัวขาดสติ ถ้าไม่กำหนด จะเกิดช่องว่าง โลภะโทสะโมหะเข้ามา แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ย่อคือ รูปนาม โดยการปฏิบัติกำหนดดูอาการของท้องพองยุบ กำหนดให้สติกำหนดจดจ่ออย่างต่อเน่ืองใน อิริยาบถท้ัง ๔ คือ เดิน ยืน น่ัง นอน จนมีสติบริสุทธ์ิบริบูรณ์ เห็นการเปล่ียนแปลงเกิดปัญญาญาณ เห็นสิ่งท่ีเป็นไปของสภาวธรรมของรูปนามโดยเห็นเข้าไปรบั รู้การเปล่ียนแปลง มีสติกำหนดรู้รูปนาม ตามอิริยาบถใหญ่ ๔ คอื ยืนเดินน่ังนอน มีสตกิ ำหนดตามอิรยิ าบถย่อย หรอื อายตนะ ๖ คือ ตาหูจมูก ล้ินกายใจ ได้แก่ การกำหนดอิริยาบถการเดินจงกรม ภาวนา ๒ ระยะ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” หรือ ๖ ระยะ “ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ” กำหนดอิริยาบถนั่ง พิจารณาท้องพองยุบ “น่ังหนอ พองหนอ ยุบหนอ” การกำหนดยืนหนอให้ตรงกับสภาวะความเป็น จริง ผู้ปฏิบัติยึดติดกับอารมณ์บัญญัติ คอื รู้ว่ายืนโดยอัตตาว่าเรายืน เมื่อกำลังสมาธปิ ัญญามากข้ึนทำ ให้เห็นสามัญลักษณะ คือ ความเป็นธาตุ สภาวะลักษณะ คือ ไตรลักษณ์ จิตคลายจากความยึดม่ันถือ มั่น เห็นธรรมชาติของความจริง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เผากิเลสเกิดความเบ่ือหน่ายละวางอุปทาน ความเห็นผิด ละขันธ์ ๕ ตัวกูของกูละสักกายทิฐิได้ แนวปฏิบัติกรรมฐานมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย ได้นำแนวการสอนและการปฏิบัติธรรมของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) เป็นแนวทาง (๑) กำหนดพร้อมบริกรรมในใจที่รูปนามตามความเป็นจริง (๒) มีความเพียรกำหนดทุกอารมณ์ที่รูปนาม (๓) อิริยาบถย่อยต้องถูกกำหนดทุกอารมณ์อย่างต่อเน่ือง (๔)กำหนดอย่างต่อเนื่องกำหนดให้มากสำรวจอินทรีย์ (๕) กำหนดรู้อารมณ์เป็นกลางไม่เพ่งจิตใน อารมณ์เดียวนาน (๖)พระวิปัสสนาจารย์สอบอารมณ์แก้สภาวธรรมและปรับอนิ ทรีย์ ๕ เข้าสู่วิปัสสนา ญาณ ๑๖
๒๖๔ ท่านพุทธทาสใช้อานาปานสติเป็นหลักปฏิบตั ิครอบคลุมสติปฏั ฐาน ๔ หลักกำหนดลมหายใจ เขา้ ออก อิริยาบถน้อยใหญ่ ใชส้ ติกำหนดลมหายใจ พิจารณากายเวทนาจติ ธรรม ทุกลมหายใจเข้าออก ๑๖ ขั้น เป็นแนวทางปฏิบัติอานาปานสติแบบสมบูรณ์มีหลักคลอบคลุมสติปัฏฐานในมหาสติปัฏฐาน สูตรเป็นวิธีการเจริญสมถะนำหน้าวิปัสสนา การใช้สติกำหนดรลู้ มหายใจ อิริยาบถต่างๆแยกส่วนเป็น นามรูป ให้พิจารณาความไม่เที่ยง จางคลายความดับ สลัดคืนจากการยึดม่ันถือม่ันในลมหายใจและ อริ ิยาบถ ทำลายความรูส้ ึกตัวตนของตน มองเห็นตามความเป็นจรงิ ท่านจะศกึ ษาจากคัมภีร์ทั้งหมดไม่ ว่าจะเป็นปริยตั ิและปฏิบัติ ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบัติใช้กรอบมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ท่านพุทธทาส เน้น หมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐานสูตรมาประยุกต์ใช้กับหลักวิปัสสนาเน้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ว่า ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก และมีความรู้สึกตัวอยู่กับอาการเคล่ือนไหวอิริยาบถพร้อมกับเน้น หมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อานาปานสติเป็นกายานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นวิธีการปฏิบตั ิในพระไตรปิฎก อาศัยความสงบนิ่งในอิริยาบถนั่งพร้อมทั้งกำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดเวทนาจิตธรรม เป็นหลัก ใช้ “จิตว่าง” ส่ิงท้ังปวงมีลักษณะคือ ความว่าง แม้แต่จิตมีลักษณะ ว่าง คือว่างจากตัวตน การเรียนปฏิบัติธรรมมีลักษณะเป็นความว่างจากตัวตน มรรคผลนิพพาน มี ลกั ษณะเปน็ ความวา่ งจากตัวตน ลกั ษณะจิตไม่ยดึ มน่ั ถือมั่น หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโก กำหนดอาการเคล่ือนไหวของร่างกายพร้อมกับดูจิตนึกคิด เคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา เน้นอิริยาบถเปน็ หลักใหญ่แล้วเอาสตปิ ัฏฐาน คือ เวทนา จติ ธรรม เข้า มาพิจารณาภายหลัง นำหลักสติปัฏฐานเน้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานกำหนดสติอิริยาบถใหญ่ย่อย สามารถนำทุกข์ในชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องมีคำบรกิ รรมอะไรแต่ใช้สติกำหนดรอู้ ิริยาบถและจิตใจ ทนี กึ คดิ เทา่ น้ัน เน้นการควบคมุ ความคิด มองว่า ความคดิ ปรงุ แตง่ ท่ีเกดิ ขนึ้ โดยปราศจากสติคอยกำกับ เป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ หลวงพ่อเทียนเสนอวิธีการที่จะควบคุมความคิดใช้การเคลื่อนไหวเป็นหลัก กำหนดรู้ในอิริยาบถใหญ่น้อย ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานและดูจิตเพ่ือรู้เท่าทันความคิดเป็นจิตตา นุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้สติไปกำหนดรู้อาการเคลื่อนไหวของอริ ิยาบถน้อยใหญ่ เพื่อให้สติมีกำลังเข้าไป รู้ทันความคิดปรุงแต่งอันเป็นสาเหตุของความทุกข์ วิธีการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียนทำความรู้สึกตัว สร้างจังหวะการเคล่ือนไหว ทำความรู้สึกตัวกระพริบตา หายใจ ไม่ลืมกายลืมใจไปเผลอคิดเรื่องอ่ืน สอดคล้องกับอิริยาบถในมหาสติปัฏฐานสูตรกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยลักษณะการสอนอธิบาย ไม่ได้เป็นไปตามหลักการปริยัติธรรมแต่เป็นการตีความเพ่ือหาคำสอน คือ ถูกสอนโดยสภาวธรรมท่ี ปรากฎเป็นนามธรรม ท่ีหลักปริยัติไม่สามารถกำหนดลำดับสภาวะท่ีสัมผัสได้เป็นการอธิบายความ ภาษาธรรม พระโพธิญาณเถร(หลวงพ่อชา สุภทฺโท)ให้ความสำคัญกับการรักษาศีลาจารวัตรไม่ละเลย ปริยัติแต่ถ้าปฏิบัติท่านวางจากปรยิ ัติไว้ก่อนเพราะจะเป็นอปุ สรรคต่อการปฏิบัติ และการปฏิบัติธรรม ไม่แบ่งแยกประเภทธรรม ปฏิบัติแบบเช่ือมโยงสัมพันธ์กับใช้สติพัฒนาสมาธิก้าวไปสู่ปัญญาวิธีการ
๒๖๕ หลวงพ่อชาปฏิบัติโดยบริกรรมว่า“พุทโธ”เป็นอานาปานสติเป็นสมถะ คือ มีลมหายใจกำหนดใน อิริยาบถใช้สติกำหนดลมหายใจพร้อมบริกรรมมีลักษณะเป็นอานาปานสติในรูปแบบบริกรรมพุทโธ การใช้สติ พิจารณ าลมห ายใจและพิ จารณ าสภาวะเพื่ อยกจิตข้ึนสู่วิปั สสนา เชื่อมโยงกับ แห่งองค์ ไตรสิกขา พระธรรมวิสุทธิมงคล(บัว ญาณสมปนฺโน) ศึกษาปริยัติได้แล้วควรปฏิบัติตามจึงเป็นไป ตามพระไตรปิฎก การประยุกต์ใช้สติปัฏฐาน ๔ พิจารณาเวทนาที่เกิดข้ึนในขณะปฏิบัติพัฒนาไปสู่ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นลักษณะกายาคตาสติในอิริยาบถยืนจะกำหนดอิริยาบถเดินหรือกำหนด พิจารณาธรรมได้ สำรวมพดู แต่น้อยปฏบิ ัตใิ ห้มากเน้นไปทางสมถะฝึกสมาธใิ ห้หนกั แน่นใหอ้ ยู่ในสมาธิ นานจิตใจไม่ฟ้งุ ซ่าน พระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตธมฺโม) กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐานเป็นการฝึก เจริญและใช้สติพิจารณาร่างกายเท่าทันตามความเป็นจริงเพ่ือให้เกิดความเบ่ือหน่ายยึดม่ันในร่างกาย ใช้ความศรัทธาความเพียร อดทนอย่างที่สุดจนสติสัมปชัญญะเจริญสมบูรณ์ พิจารณาทุกข์ที่เกิดข้ึน การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปักฐานสูตรเป็นวิธีการบำเพ็ญเพียรทางจิตเป็นโพธิปักขิย ธรรมเป็นธรรมะแห่งการตรัสรู้ชนะกิเลส ท่านติช นัท ฮันห์ นำหลักการพระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้องกับสังคมยุคสมัย(Applied Buddhism) สติเป็นหัวใจแห่งคำ สอนพระพุทธเจ้า การฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันอาศัยหลักสมถะ (Stopping) และวิปัสสนา (Looking Deeply) ใช้วิธีการเจริญอานาปานสติเป็นหลักควบคู่การฝึกตามมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคดิ การดำรงอยูอ่ ย่างเชื่อมโยงเปน็ ดัง่ กันและกัน เพราะทุกสิง่ ท่ีเราคดิ ทุกกจิ ท่ีเราทำ ทุก คำท่ีเราพูด ล้วนส่งผลถึงผู้อ่ืนเสมอ วิธีการฝึกปฏิบัติ คือ นั่งสมาธิ เดินสมาธิ การผ่อนพักตระหนักรู้ ฝึกปฏิบัติในวิถีชีวิตกิจวัตรประจำวัน ใช้หลักการหายใจ การฝึกร่วมกับสังฆะ ร้องเพลงเป็นกุศโลบาย เพ่ือความตืน่ รู้หรือดำรงอยู่กับปจั จุบนั ท่านโคเอ็นก้า ประยุกตก์ ารสอนได้เหมาะสมกบั ปัจจบุ ัน ไม่มี พิธีกรรม ไมต่ ้องไหว้ ไมต่ ้องรบั ศลี หลกั สูตรการอบรม ๑๐ วัน แบ่งเปน็ ๒ ระยะ (๑) การเจรญิ สมถะ กรรมฐานใช้อานาปานสติฝึกกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไม่ต้องบริกรรม กำหนดรู้เท่าทัน (๒) การ เจรญิ วิปสั สนากรรมฐาน กำหนดรู้ทนั อารมณ์ของจติ ทีเ่ ขา้ มากระทบทางอายตนะของตนเอง ๕.๑.๓ การขยายความด้านกายานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐานจากผู้ศึกษาพบ หมวดกายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว คอื เม่อื ปฏิบัติแล้วมนั นำไปสู่ ความสงบ สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงได้ สติปัฏฐานกายานุปัสสนารวม การปฏิบัติทั้งแบบสมถะและวิปสั สนาไวด้ ้วย บุคคลจะบรรลุอาจใช้เจริญสมถะนำหน้า เจริญวปิ ัสสนา นำหน้า หรือเจรญิ ควบคู่กันไป การปฏิบตั ิวิปัสสนา คือ อริ ิยาบถ สัมปชัญญะ ธาตุมนสิการ กำหนดรู้ ในอิริยาบถใหญ่ ยืนเดินน่ังนอน และอิริยาบถย่อย อาการท้องพองยุบ ให้ใส่ใจกำหนดจดจ่อต่อเน่ือง อยู่ตลอดเวลา ในทุกอาการอิริยาบถทุกขณะที่มีการกำหนด โลภะ โทสะ โมหะ จะแทรกจิตไม่ได้ ย่ิงกำหนดจดจ่อต่อเนื่องย่ิงทำให้พบว่า กิเลสตัณหาไม่กระทบถึงจิต การเดินจงกรมจะเป็นกี่ระยะก็ ได้ถ้าจิตใจผู้ปฏิบัติละเอียดพอ การกำหนดต้องเป็นการกำหนดตรงต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นจริง จิตท่ีเป็น
๒๖๖ สมาธิจะเป็นรากฐานมีความสัมพันธ์สำคัญต่อผู้ปฏิบัติเป็นบันไดให้เดินไปทีละก้าว จิตจะมีพลังที่ยืน หยัดอยู่ไดม้ ีอิสระหรอื กำลังพอที่จะพัฒนากายเวทนาจติ ธรรมได้ กำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้จิตของตนรู้ลมหายใจเข้าออกไปตามสภาพความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น จิตสงบ ระงับจากนิวรณ์ เม่ือจิตสงบมีสมาธิย่อมมีฐานแห่งวิปัสสนากรรมฐานชัดเจน และ การฝึกรู้สติสัมปชัญญะกำหนดรู้ในการเคล่ือนไหวอิริยาบถต่างๆให้ทำความรู้สึกตัวเสมอ เม่ือสติ กำหนดละเอียดจะทำให้ผู้ปฏิบัตเิ ห็นสภาวะที่เกิดขึ้นของรูปนามตามความเป็นจริง หมวดสัมปชัญญะ ฝกึ ให้มีสตคิ อยกำหนดรู้ในการเคลอื่ นไหวอิริยาบถยอ่ ยตา่ งๆ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถใดให้ทำความรสู้ ึกตัว เสมอ สติพิจารณารูปส่วนท่ีเป็นการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ ลักษณะการกำหนดทุกอิริยาบถ (๑) ต้องชา้ (๒)กำหนดจดจอ่ ต่อเน่อื งปัจจบุ ัน (๓) ต่อเนื่องตดิ ต่อกนั ผูป้ ฏิบตั ิมปี ัญญาเหน็ ไตรลักษณ์รปู นาม ตามรู้ในปัจจุบันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ความเบื่อหน่ายในรูปนาม ความอยากพ้นไปในรูปนาม ความไม่เที่ยงในรูปนาม เป็นทุกข์เป็นอนัตตา การเดินจงกรมจะกำหนดการแยกรูปนาม ออกจากกัน ได้ กำหนดเห็น “ตัวรู้ก่อนแล้วจึงเคล่ือนไปตาม” “อาการเบาหนักของเท้ามีลักษณะเกิดขึ้นและดับ ไป” “อาการดับไปหายไปจบไป ของอาการเบาหนักของเท้า ความกลัวในรูปนามโทษของการเวียน ว่ายตายเกิด” การทำงานพิจารณารูปนามปรากฏชัดตามลำดับวิปัสสนาญาณ ๑๖ จิตบริสุทธ์ิ บรรลุ มรรคผลนิพพาน อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา คู่กับ ปัญญา ความเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา วิริยะ คู่กับ สมาธิ โดยสติ (สตินทรีย์) ตัวกลางเชื่อมโยงศรัทธาและปัญญา กับวิริยะและสมาธิให้เสมอกันใน รูปแบบการกำหนด วิริยะการกำหนดทุกอารมณ์ที่ชัดเจน มีสติท่ีเกิดขึ้นต่ออารมณ์ต่างๆของรูปนาม (อารมณ์) มีสติเกิดสมาธิข้ึน วิริยะความเพียรต่อการกำหนดไม่หยุดต่อเน่ืองในขณะจิตที่รับอารมณ์ การปรับอินทรีย์ ๕ ให้เกิดเป็นพละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญั ญา) พฒั นาไปเกดิ วิปัสสนาญาณ ๑๖ ๕.๑.๔ การบรรลุผลการปฏิบัติด้านกายานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ระดับอานิสงค์ ในทางโลกโลกิยะและระดบั โลกุตระ โดยกรรมฐานเปน็ หวั ใจพระพุทธศาสนา สติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอกไปสู่พระนิพาน สร้างสภาวธรรมท่ีดับทุกข์โดยแท้ ธรรมท่ีเจริญให้มากมีอา นิสงค์มากคือ อานาปานสติ เป็นการพัฒนากาย พิจารณาลมหายใจเข้าออก พิจารณาอิริยาบถกาย พิจารณารตู้ ัวในความเคลอื่ นไหว พิจารณาในความน่าเกลียดของร่างกาย ความเป็นธาตุ ร่างกายทเี่ ป็น ซากศพ กายคตาสติกัมมัฏฐานเหมาะกับครองชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ สามารถปฏบิ ัติไดง้ ่ายปฏิบัติ ได้บ่อยตามความต้องการเป็นทั้งสมถะและวิปสั สนาเลือกกำหนดอาการที่ชัดเจน การปฏิบัตวิ ิปัสสนา กัมมัฏฐานมีผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกายรักษาตัวเองทางธรรมชาติโดยอัตโนมัติ ลดอาการทางจิตลดความเครียด การฝึกวิปัสสนากรรมฐานมีผลต่อคล่ืนสมองชนิดเบต้า มีความถ่ี ลดลงเปล่ียนเปน็ คลนื่ สมองชนดิ แอลฟา จติ สงบ ความคิดเป็นระบบมากข้ึน มีประสิทธิภาพการจัดการ ทางอารมณ์สูงข้ึน เกดิ ปิติสุขเพิ่มมากข้ึน เกิดความคิดหย่ังเห็น (Insight) และเกดิ ปัญญาญาณ การ
๒๖๗ ปฏิบัติรักษาโรคและป้องกันโรคได้ รักษาอัตตาการหายใจ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีส่วนสำคัญ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยสามารถรักษาโรคท่ีเกิดจากร่างกายและจิตใจให้หายได้ด้วยผล จากการได้รับ การอโหสิกรรมและผลสมาธจิ ากการปฏิบัตวิ ปิ ัสสนากัมมัฏฐาน ๕.๒ บทสรุปการสงั เคราะห์ดา้ นเวทนานปุ สั สนาสติปัฏฐาน ๕.๒.๑ หลักการปฏบิ ตั ิดา้ นเวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐานตามพระไตรปฎิ ก เวทนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนามีปรากฏหลายแหลง่ (๑)เวทนาสูตร (๒)เวทนาปริคคหสตู ร (๓)เวทนาในหลกั ธรรมต่างๆ (๔) เวทนาในปฏจิ จสมปุ ปบาท ความหมายของเวทนาในชั้นอรรถกถา คอื การมีสติรู้เท่าทันเวทนาขณะเกดิ ข้ึน ขณะกำลังแปรปรวนอยู่ ขณะดับไป มสี ติรู้เท่าทันเวทนา จึง เป็นการวางอุเบกขาวางน่ิงเฉยไม่นึกคิดไปทางปรุงแต่ง ดังน้ันการปฏิบัติสติปัฏฐานกำหนดเวทนาให้ สอดคล้องความเป็นจริงตามธรรมชาติจนเกิดวิปัสสนาปัญญาไม่ยึดมั่นถือม่ัน เป็นการตั้งสติพิจารณา เห็นเวทนาในเวทนาเป็นการจำแนกในความรู้สึกในการเสวยอารมณ์ คือ (๑)สุขเวทนา เป็นความรูส้ ึก สุขคือความรู้สึกทางกายทางใจ (๒)ทุกขเวทนา เป็นความรู้สึกทุกข์คืออารมณ์รู้สึกทางกายทางใจ (๓) อทกุ ขมสุขเวทนา คือความรู้สกึ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ หรืออเุ บกขา ฐานต้ังสติหลักใหญ่โดยอาศยั ฐานตัง้ เวทนา ให้มีสติมั่นทำลายอวิชชาและความทุกข์ในกายในใจ เป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะรูปนามที่ไม่เท่ียง เป็นทุกขเ์ ป็นอนตั ตา การเจริญเวทนาปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การมุ่งน้อมมาดูท่ีกายใจของตนเป็นสำคัญ เพื่อ กำหนดรู้เวทนาชัด ว่า สุขหนอ ทุกข์หนอ เฉยหนอๆ เป็นการกำหนดตามอาการที่จิตเสวยอารมณ์ท่ี เกิดขึ้นในปัจจุบันอารมณ์ เรียกว่า กำหนดอารมณ์ปัจจุบัน ตามรู้เวทนาที่ให้นักปฏิบัติหยั่งเห็นความ เกิดดับของเวทนาเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา หลักธรรมที่เก่ียวกับเวทนานุปัสสนา คือ ธรรมที่ สนับสนุนการเจริญกายานุปัสสนา จนเกิดสมาธิ คือ (๑)กายานุปัสสนา คือ อิทธิบาท ๔ ปลูกฉันทะ (ศรัทธา) (๒)จิตตานุปัสสนา คือ การมีสติพิจารณาเนืองๆ จิตมีวิญญาณขันธ์เป็นการพิจารณากำหนด อาการต่างๆ ของจิต (๓)ธรรมานุปัสสนา คือ การมีสติมั่นในการพิจารณาเนืองๆ สภาพธรรมเป็น สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ ตามอาการสภาวธรรมแต่ละอย่าง (๔) อาตาปี (๕) สัมปะชาโน (สัมปชัญญะ) หมายถึง ความรู้ตัวท่ัวพร้อม ความรู้ตระหนัก ความรชู้ ัดเข้าใจ ชัดสิ่งท่ีนึกได้ สติมา คือ ความระลึกได้ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ สติระลึกท่ีลมหายใจเข้าออก ในอาการใดอาการหน่ึงระลึกแล้วมี ความรู้สกึ ตัว (๖) สติมา หลักธรรมสนับสนุนการเจริญเวทนานุปัสสนา คือ (๑) สัมมัปปธาน ๔ คือองค์ธรรมท่ีช่วย ส่งเสริมให้เกิดญาณ คือ ความเพียร (๒) อิทธิบาท ๔ คือธรรมอันเป็นเหตุให้เกิดความสำเร็จฌาน อภิญญามรรคผล (๓) อินทรีย์ ๕ คือ ความเป็นใหญ่ผู้ปกครองการทำงาน ได้แก่ ธรรมเป็นใหญ่ในกิจ ของตน ได้แก่ สทั ธินทรีย์ คือ ศรัทธาเลื่อมใสต่อส่ิงท่ีควรเลื่อมใส วริ ิยนิ ทรีย์ คือ วิรยิ ะพยายามต่อการ
๒๖๘ อบรมเจริญสมถะและวิปัสสนา สตินทรีย์ คือ สติระลึกอารมณ์กรรมฐาน รูปนาม สมาธินทรีย์ คือ สมาธิการกระทำให้ตั้งมั่นในอารมณ์กรรมฐาน ปัญญินทรยี ์ คือ ปัญญาในการรู้ตามความเป็นจริงของ อารมณ์กรรมฐานรูปนามขันธ์ ๕ (๔) โพชฌงค์ ๗ องค์ประกอบแห่งปัญญาเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ธรรมอันเป็นเหตุให้รู้อริยสัจ ๔ (๕)มรรคมีองค์ ๘ ธรรมเป็นเคร่ืองดับทุกข์เป็นข้อปฏิบัติท่ี จะทำใหเ้ ข้าถงึ ความดับทกุ ข์มรรคมีองค์ ๘ ๕.๒.๒ วธิ กี ารปฏิบตั ิด้านเวทนานปุ ัสสนาสติปัฏฐานตามคำสอนครบู าอาจารย์ วธิ ีการพระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) พจิ ารณากายเวทนาจิตธรรม เป็นกรอบ การปฏิบัติ การพิจารณาเวทนาสอนกำหนดเวทนา ๓ ได้แก่ สุขเวทนา กำหนดว่า“สุขหนอ” ทกุ ขเวทนา กำหนดวา่ “ทกุ ข์หนอ” อทกุ ขมสุขเวทนา กำหนดว่า “เฉยหนอ” การกำหนดเวทนาให้ดู ภาวะท่ีจิตเสวยอารมณ์ กำหนดให้เท่าทันปัจจุบันตรงกับสภาวะตามความเป็นจริงของผู้ปฏิบัติ ผู้ ปฏิบัติต้องมีความเพียรอดทนอดกล้ันกำหนดอยู่เสมอ หายหรือไม่ ก็กำหนด ชอบหรือไม่ก็กำหนด พยายามกำหนดให้ทันเวทนาเป็นสามัญลกั ษณะ ท่านโชดก ญาณสิทธิ ขยายคำสอนเร่ืองการปฏิบัติ เวทนา ธรรมดาเวทนาต่างๆ ย่อมมีอยู่ในร่างกายของคนเราเสมอ ผู้ปฏิบัติต้องใช้กำลังสติกำหนด พิจารณารูปนามอยู่ จิตใจย่อมมีสมาธิกว่าผู้ไม่ได้กำหนดสติอำนาจสมาธิทำให้กำหนดความรู้สึกต่อ เวทนาปรากฎชดั มาก กำหนดติดตามเวทนาจนเห็นอาการต่างๆของเวทนาจนเกิดปัญญาเข้าใจสภาวะ ธรรมชาติของเวทนาผู้ปฏิบตั ิจะก้าวล่วงสภาวะข้ึนไปสวู่ ิปัสสนาญาณที่สูงข้ึนและควรมีมนสกิ ารในใจท่ี ถูกต้องเห็นรูปนามตามความเป็นจริง การกำหนดเวทนาทั้งทางกายและทางใจ พิจารณาเวทนาต้อง วางจิตให้ถูกต้องเฝ้าดูเวทนาเท่าน้ันวางอุเบกขาไปกับเวทนาฝึกทำใจให้ถูกต้องว่าตนเป็นผู้ดูเท่านั้น อะไรเกิดขึ้นจะดำเนินไปอย่างไรก็ตามเป็นผู้ดูเฉยๆในการฝึกฝนตนให้เป็นเพียงผู้ดู การวางเฉยจน สามารถปล่อยวางในเวทนาที่รนุ แรงได้ด้วยสมาธิที่มากพอเพ่อื กำหนดเวทนา เวทนาจะหายไปเองด้วย สมาธิ ๕.๒.๓ การขยายความดา้ นเวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐานจากผ้ศู กึ ษาพบ การใช้สติเข้าไปรู้เห็นเวทนาท้ังหลายต่อเน่ือง จิตไม่มีอะไร ไม่ดไี ม่ชั่ว ไม่สขุ ไม่ทุกข์ เพียงแต่มี อารมณ์เข้ามากระทบจิตเวทนาเกิดตามมา ถ้าไม่มีอารมณ์มากระทบเวทนาก็ยังไม่เกิดดังนั้นเวทนาจึง เป็นผลที่เกิดจาก จิตกระทบอารมณ์ จึงมีความรู้สึกเวทนาเป็นผลจากจิตกระทบอารมณ์จึงยึดถือ เวทนาไว้ ทุกข์ก็เกิดซ้อนขึ้นมา ดังนั้น การเจริญเวทนาคือ การกำหนดรู้ สุขทุกข์อุเบกขา ที่เกิดคือ การรู้รูปนามที่เกิดขึ้นทางกายทางใจ เม่ือจิตเข้ามาสัมผัสอารมณ์จึงมีความรู้สึกเวทนาควบคู่เสมอ เวทนาจงึ เป็นความร้สู กึ ทเ่ี กดิ ข้ึน เมื่ออารมณ์กระทบจิตเป็นอาการที่จิตแสดงออกมาเปน็ นามในขนั ธ์ ๕
๒๖๙ ๕.๒.๔ การบรรลผุ ลการปฏิบัติดา้ นเวทนานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน การฝึกมีสติในการกำกับควบคุมความรู้สึกอยา่ งจริงจังถึงข้ันหยุดความคิด การฝกึ เวทนาหยุด ความคิดที่ไม่ดีที่นำให้ทุกข์ การฝึกสติอย่างเข้มข้นเพ่ือให้หยุดความรู้สึกทุกรูปแบบ การหยุดความคิด ให้มีสติอยกู่ บั ปจั จุบนั กำกับและควบคมุ ความคิด กำหนดร้เู วทนาจะทำให้เข้าใจสภาวะธรรมชาติของ สังขารของตัวเราพัฒนาตัวเอง การพัฒนาชีวิต ด้านการศึกษาพระธรรม การพัฒนาจิตใจ การพัฒนา สงั คม ต้องกำหนดรู้ในเมื่อสุขหรอื ทุกข์ กำลังเกิดขึ้นเพราะว่าสุขหรือทุกข์อย่างไร ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ชัด แกใ่ จ อะไรเปน็ มูลเหตุ รู้ชดั ด้วยสติ ๕.๓ บทสรุปการสังเคราะห์ดา้ นจิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๕.๓.๑ หลกั การปฏิบตั ิด้านจติ ตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐานตามพระไตรปฎิ ก สมถกรรมฐานต้องการบรรลุธรรมต้องควรพยายามเจริญ ฌานขั้นใดขั้นหนึ่งในฌาน ๔ เมอ่ื ถึง ฌานแล้วควรปฏิบัติให้คล่องแคล่ว จึงใช้ฌานเป็นบาทฐานการเจริญวิปัสสนา สร้างฌานให้เกิดขึ้น ฌาน หมายถึง การเพ่งการเผา เพ่งอารมณส์ มถกัมมัฏฐานอยา่ งใดอย่างหน่ึงจนจติ เป็นสมาธิเอกัคคตา เมอื่ จิตเป็นสมาธิในขณะอยใู่ นฌานสามารถกดกิเลสไม่ใหฟ้ ุ้งซา่ นได้ ฝึกให้จิตเป็นสมาธิ การปฏิบัติสมถ กัมมัฏฐานโดยการเพ่งอารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึง ในอารมณ์สมถะกัมมัฏฐาน ๔๐ จนจิตเป็นสมาธิถึง ขั้นบรรลุฌานในระดับต่างๆการบรรลุฌาน (๑)การเข้าไปเพ่งรูปธรรมเป็นอารมณ์ (๒) การเข้าไปเพ่ง อรูปธรรมเป็นอารมณ์ ท้ังรูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ เรียก สมาบัติ ๘ จิตอยู่ในฌานเป็นจิตสงบผ่อง ใสปราศจากกิเลศเศร้าหมอง การเจริญวิปัสสนาไม่ส่งจิตออกไปหาอารมณ์ภายนอก จิตจดจ่ออยู่กับ สภาวะปัจจุบันเป็นจิตตวิสุทธิสามารถยังวิปัสสนาภาวนาให้เกิดข้ึนได้ จิตตวิสุทธิสมาธิแนบแน่นใน อารมณ์เดียวเป็นบาทฐานวิปัสสนา องค์ธรรมในจิตตวิสุทธิ ๓ ประเภท (๑) อุปจารสมาธิ สมาธิใกล้ ฌานสมาธิใกล้แนบแน่น (๒) อัปปนาสมาธิ เปน็ สมาธแิ นบแน่น (๓) ขณิกสมาธิ เป็นสมาธชิ ่ัวขณะ การ ภาวนาให้เหมาะสมกับจริตนิสัย จริต ๖ ประสงค์มุ่งเน้นไปสู่การเตรียมตัวเพ่ือเลือกแนวทางเจริญ สมถกรรมฐาน ๔๐ ประการเป็นหลักใหญ่เร่ืองกรรมฐาน การเจริญกรรมฐานกับจริต ๖ ได้แก่ ราคะ จริตเจริญกรรมฐานอสภุ กรรมฐานกายคตาสติ โทสะจริตเจริญกรรมฐานเมตตาพรหมวิหาร ๔ โมหะ จริตเจรญิ กรรมฐานมรณสติ กรรมฐานอานาปานสติ สัทธาจริตเจริญกรรมฐานพุทธานุสติ ญาณจริต เจรญิ อาการไม่เที่ยงเปน็ ทุกข์เปน็ อนัตตา กรรมฐานมรณสติ วติ กจริตเจรญิ กรรมฐานอานาปานสติ ๕.๓.๒ วิธีการปฏบิ ัติดา้ นจิตตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐานตามคำสอนครบู าอาจารย์ ทา่ นพทุ ธทาส ธรรมชาติเดิมแท้ของจติ ความบริสทุ ธิ์เป็นพน้ื ฐาน จิตมีความสะอาดสว่างสงบ อยู่เป็นตัวพ้ืนฐาน อยู่ในฐานะท่ีจิตถูกปรุงแต่งด้วยกิเลสและความคิดได้ การฝึกจิตส่วนเป็นสมาธิถึง ระดับฌานเป็นประโยชน์เกื้อกูลการเจริญวิปัสสนาสูงข้ึนเป็นวิหารธรรมที่ได้ นำสติเป็นพ้ืนฐานสำคัญ
๒๗๐ ของการปฏิบัติมุ่งประจักษ์แจ้งผล หลวงพ่อเทียน จิตเร่ิมต้นเดิมบริสุทธ์ิแต่อยู่ในฐานะท่ีปรุงแต่งด้วย กเิ ลสไดเ้ ป็นหน้าท่ีของทุกคนตอ้ งปฏบิ ัติให้เขา้ ถึงความบรสิ ุทธ์อิ ย่างแท้จรงิ ความสงบแบบสมถะข้ันจิต สงบเกิดฌานจึงอยู่ใต้โมหะไม่ใช่ความสงบถาวร ความสงบเกิดจากการเจริญ สติรู้เท่าทัน กายที่ เคลื่อนไหวและจิตใจท่ีนึกคิด เป็นทางเขา้ ถงึ ความสงบที่ถาวร พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณ สิทฺธิ) สอนให้กำหนดจิตในหมวดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้กำหนดทันตามสภาวะความเป็นจริง ขณะน้ันต้องอยู่ในศีลสมาธิปัญญา ถ้ากำหนดไม่ทันคือ คิดเพลินไปเป็นนิวรณ์ ๕ เป็นทางร่ัวให้กิเลส เกดิ ขน้ึ ในจติ ใจ ๕.๓.๓ การขยายความดา้ นจติ ตานปุ สั สนาสติปัฏฐานจากผ้ศู ึกษาพบ การแบ่งจิตแนวทางแบ่ง (๑) แบ่งตามธาตุ (๒) ประเภทการบรรลุอรหันต์ (๓) ศักยภาพการ เรยี นรู้ (๔) อปุ นสิ ัยทีค่ วรรับการฝึกสอน (๕) ความรวดเร็วในการรับรู้ภัยในวัฏฏสงสาร สติปัฏฐานสูตร หมวดธรรมรวบรวมทุกคนทุกจริตเอาไว้ในท่ีเดียวกันโดยแบ่ง ๔ หมวดใหญ่ ๒๑ หมวดย่อย (๑) ตัณหาจริตปัญญาไม่แก่กล้า เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๒) ตัณหาจริตปัญญาแก่กล้า เจริญ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๓) ทิฏฐิจริตปัญญาไม่แก่กล้า เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๔) ทิฏฐิ จริตปัญญาแก่กล้า เจริญธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางจริต (๑) กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แนวทางสมถยานกิ เหมาะจิตตัณหาจริตปัญญาไมก่ ลา้ (๒) เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน แนวทางสมถยานิก ตัณหาจริตปัญญากล้า (๓) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แนวทาง วิปัสสนายานิก จริตทิฏฐิปัญญาไม่กล้า (๔) ธรรมานุปัสสนาสติปักฐาน แนวทางวิปัสสนายานิก จริตทิฏฐิปัญญากล้า สำหรับมหาสติปัฏฐานสูตรเหมือนการรวบรวมแนวท่ีเหมาะสมกับทุกจริตไว้ใน พระสตู รเดียวกนั ผปู้ ฏิบตั ิจะเลอื กเอาหมวดใดหมวดหนึ่งก็อาจทำให้ผลทางปฏบิ ัติได้ เชน่ หมวดกายา นปุ ัสสนาสติปัฏฐานหมวดเดียวก็ไดท้ ำให้การเจริญสตปิ ฏั ฐานท้ังหมดครบสมบูรณ์ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ การเจริญอันเป็นเหตุเกิดปัญญา คือ การเฝ้าสังเกต ปรากฎการณ์ของรูปและนาม โดยการใชจ้ ิตท่ีเปน็ ธรรมชาติกำหนดรู้แล้วเกิดรตู้ ัววา่ กำลังจงใจกำหนด รู้ รู้ถึงสภาวธรรมตามความเป็นจริง รู้ถึงสภาวธรรมตามความเป็นจริงของธรรมชาติท่ีมีอยู่ในตัวตน การนำรูปนามมาปฏิบัติวิปัสสนามาเป็นอารมณ์โดยเจริญสติไปในกายเวทนาจิตธรรม ให้กำหนดทุก อยา่ งที่จิตเข้าไปรบั รู้ ไม่ว่าสภาวะท่เี กิดขึน้ จะเป็นสภาวะสุขหรือสภาวะทุกขส์ ภาวะเฉย ตอ้ งกำหนดให้ ทันต่อสภาวะ กำหนดให้ทันต่อสภาวะจะลังเลสงสัยต้องกำหนดอยู่กับสภาวะปัจจุบันทำให้จิตต้ังมั่น รู้เท่าทันกับสภาวะท่ีเกิดข้ึนความเบาสบายของจิต หลักธรรมไปสู่สัมมาทิฏฐิ คือ ปรโตโฆสะ เสียง กระตุ้นเตือนจากภายนอก โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคายจากภายในคิดถูกคดิ เป็น ภาวะ จิตผู้บรรลุฌานจะมีความสุขสงบปิติอิ่มใจไม่อยากบำเพ็ญต่อวิปัสสนาปัญญา ไม่ใช้ฌานเป็นบาทฐาน ในการเจริญวิปัสสนาปัญญาโลกุตรธรรม
๒๗๑ ๕.๓.๔ การบรรลผุ ลการปฏิบตั ิด้านจติ ตานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ประโยชน์ (๑) สุขภาพจิตและพัฒนาบุคลิกภาพ (๒) การพักผ่อนสุขสบายใจปัจจุบัน ใช้ฌาน เป็นที่พักผ่อนกายใจอยู่เป็นสุขสบายในโอกาส (๓) เป็นบานแห่งอภิญญา คือ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ หู ทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ (๔) ทำให้เกิดในพรหมโลก พัฒนาจิตใจได้บรรลุรูปฌานและอรูปฌาน การยกจิตสู่ไตรลักษณ์ถอนจากอนุนิสัยกิเลส การฝึกเจริญสติพัฒนา ๑)ภาวิตกาย ให้เกิดการพัฒนา ทางกายสุขภาพร่างกายและพฤตกิ รรม ๒)ภาวิตศีล การพฒั นาทางศลี ๓)ภาวิตจิต การพัฒนาทางจิต ๔)ภาวิตปัญญา การพัฒนาทางปัญญา ฝึกอบรมย่ิงๆขึ้น จึงถึงความพ้นทุกข์ การฝึกปฏิบัติวิปัสสนา ๑)กลุ่มได้อภิญญา ๒)กลุ่มไม่ได้อภิญญา เป็นรูปฌานปฏิบัติแบบสมถยามิกะโดยอาศัยฌานเป็นบาท ฐาน ปัจจัยส่งเสริมผู้ปฏิบัติ ๑)บุญบารมีสั่งสมมาในชาติก่อนๆอิทธิบาท๔ ในชาติปัจจุบัน ๒)ปัจจัย ตอ่ ต้านกิเลส อกุศลกรรมท่ตี นเองส่ังสมมาทกุ ชาติ ๕.๔ บทสรปุ การสังเคราะห์ดา้ นธรรมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ๕.๔.๑ หลักการปฏิบัติดา้ นธรรมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐานตามพระไตรปิฎก ความหมายสติปัฏฐาน หมายถึง ที่ต้ังของสติ ๔ อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อกำจัด อภิชฌา และโทมนัสเพื่อการดับทุกข์และแจ้งพระนิพพาน มหาสติปัฏฐานสูตรเป็นแนวทางปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นทฤษฎตี ้นแบบเกย่ี วกับการเจรญิ กรรมฐาน คัมภีร์วิ สุทธิมรรค เน้นเนื้อหาลำดับข้ันตอนปัญญา คือ ความวิสุทธิของศีล สมาธิ ปัญญา กล่าวถึง ผลการ ปฏิบัติตามลำดับญาณ วิปัสสนาภาวนา หมายความว่า เป็นการฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้เท่าทัน ถึงสิ่งท่ีเกิดข้ึน เข้าใจส่ิงทั้งหลายตามความเป็นจริง ใจมีอิสระไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์ สตปิ ฏั ฐาน ๔ เจรญิ ทำให้มากแลว้ ย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบรู ณ์ สติปฏั ฐาน ๔ เปน็ วชิ าทีพ่ ระพุทธเจ้า ค้นพบแล้วนำมาสอนปฏิบัติภาวนาอบรมให้เกิดสติปัญญาเกิดความรู้แจ้งในธรรมชาติท่ีเป็นจริง กำหนดอารมณ์ที่เกิดข้ึน ต้ังสติให้ตรงสภาวะทันกับปัจจุบันอารมณ์ หลักการปฏิบัติปรากฎในไตร ปิฎกจะสมบูรณ์อยู่ในตัว หากเมื่อไม่นำมาปฏิบัติประโยชน์ย่อมไม่เป็นไปตามพุทธดำรัส สติปัฏฐาน จุดมุ่งหมายคือ ดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้หลากหลายรูปแบบ เป็นพุทธบัญญัติ หลักธรรมคำ สอน เฉพาะ แสดงไว้ในช่ือกัมมัฏฐานอื่นบ้างหรือตรัสเชื่อมโยงกับธรรมอ่ืนบ้าง ตัวอย่างเช่น อนุปท สูตร เป็นการปฏิบัติด้วยการเห็นแจ้งธรรมตามลำดับอำนาจฌานสมาบัติ กำหนดสภาวะองค์ฌาน สภาวะ ๑๖ ประการ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์ วริ ยิ ะ สติ อเุ บกขา มนสกิ าร เป็นสภาวธรรมทเี่ กดิ ข้ึนกำหนดพิจารณา เทกรตั ตสูตร หลกั การ ระลึกอย่างชัดเข้าใจเห็นแจง้ ธรรมในปจั จุบนั ๑)ไม่คำนึงถึงสง่ิ ท่ลี ่วงไปแล้ว ๒)การไมค่ วรหวังสิ่งที่ยังมา ไมถ่ ึง ๓)เหน็ แจ้งในธรรมปัจจบุ ัน
๒๗๒ การเจริญวิปัสสนาตามการปฏิบัติเน้นสติเป็นใหญ่ กำหนดระลึกรู้รูปนาม ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ อนิ ทรยี ์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒ เรียกวา่ วิปัสสนาภมู ิ หมายถึง อารมณ์ของ วิปัสสนา คือสภาวะการรู้แจ้งในอารมณ์ อนิ ทรีย์ ๕ หมายถึง ความเป็นใหญ่ในอำนาจหรือหน้าท่ขี อง ตน ๑) สทั ธินทรีย์ ๒)วริ ิยินทรีย์ ๓) สตินทรีย์ ๔) สมาธนิ ทรีย์ ๕)ปัญญินทรยี ์ อินทรีย์ ๕ ปรับใหส้ มดุล กนั เพ่ือเจรญิ สติปัฏฐานให้เกิดวปิ สั สนาญาณ โดยตวั ช้ีวัดการเจริญสตปิ ัฏฐาน คอื การเกิดข้ึนของญาณ ๑๖ อริยมรรค ๘ ในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ หนทางอันประเสริฐ ๑) สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ ๒)สัมมนาสังกัปปะ ดำริชอบ ๓)สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔)สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ ๕)สมั มาอาชีวะ เล้ยี งชพี ชอบ ๗)สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘)สมั มาสมาธิ ตง้ั จติ ม่นั ชอบ สติปัฏฐาน แปลว่า ท่ีต้ังของสติ เป็นหน่ึงในหมวดหนึ่งของ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เป็นหลักปฏิบัติเพ่ือไปสู่การบรรลุธรรม ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ คำศัพท์ต่างๆจากการตีความหมายศพั ท์เฉพาะ หรือประยุกต์ใหม่ตาม ทัศนคติหลากหลาย มุมมองต่างกันย่อมมีผลต่างกันท้ังเทคนิคและวิธีการต่างกัน ไม่วา่ เป็นสมถะหรือ วิปัสสนา หรือ สมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน เม่ือถึงพร้อมมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิองค์ แห่งการตรัสรู้ จงึ เกดิ โพธปิ ักขิยธรรม สว่ นการกำหนดระลึกรูใ้ นรปู นาม เรยี กว่า สตปิ ัฏฐาน หมายถึง สถานที่อันเป็นที่ต้ังสติในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ กายเวทนาจิตธรรม เช่น ฐานกาย ๖ ได้แก่ อานาปานะ อิริยาบถ สัมปชัญญะ ปฏิกูลมนสิการ ธาตุมนสิการ นวสีวถิกะ ฐานเวทนา ๙ ประการ ฐานจิต ๖ ประการ ฐานธรรม ๕ หมวด วิธปี ฏิบัตทิ ่ีพระพุทธเจ้าสอนบ่อยในพระไตรปฎิ ก เปน็ ท่ีนิยม คือ อานาปานสติ ทรงสอนให้ทราบชัดเนื้อหาของธรรมทยี่ ิ่งขึ้นด้วยปัญญา เป็นผู้อยู่ในธรรมเส้นทางที่ นักปฏิบตั เิ จริญวิปสั สนาบรรลุความบรสิ ทุ ธิเ์ ร่ิมต้นอานาปานสติ ทำฌานใหค้ ลอ่ งต้องกำหนดนามรปู การเจริญวิปัสสนาภาวนา คือ การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติเพ่ือให้เกิดปัญญารู้แจ้ง เห็นจริงในสภาวะรูปนามตามไตรลักษณ์ การมีสติรู้กายเวทนาจิตธรรม การบรรลุโลกุตรธรรม คือ การรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ มรรคจิต ตามกำลังสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล การบรรลุธรรมได้ต้อง เจริญสมถะและวิปัสสนา เน้นว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนา คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ผู้ปฏิบัติ วิปัสสนาต้องกำหนดร้รู ูปนาม หรือขันธ์ ๕ จนจิตมีความสงบนิ่งอยู่กับอารมณ์หนึ่งเกิดปัญญาหยั่งเห็น ไตรลักษณ์ ว่า สังขารขันธ์ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่มีตัวตนหาแก่นสารไม่ได้ สภาวะไตรลักษณ์ หมายถึง ปัญญาท่ีหยั่งรู้สภาวธรรม ภายในกาย ภายในใจ รูปนาม ตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกขเป็น อนัตตา การปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานอารมณ์วิปัสสนากัมมัฏฐาน ประกอบ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ วิสุทธิ ๕ อริยสัจ ๔ เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ เข้าไปกำหนดรู้ใน รูปนามเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาปัญญา ที่มีการเห็นรูปนามตามความเป็นจริง ย่อเป็นรูปนาม โพชฌงค์ ๗ เจริญให้มากทำให้วิชชาและวิมุตติ ให้บริบูรณ์ไดส้ ติกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นโลกิยะ
๒๗๓ ทำให้สตปิ ัฏฐาน ๔ ท่ีเปน็ โลกียะบรบิ ูรณ์ ยอ่ มทำให้โพชฌงค์ ๗ ที่เปน็ โลกุตระใหบ้ ริบรู ณ์ วิชชา วิมตุ ติ ผลและนิพพานที่เป็นโลกุตตรธรรมให้บริบูรณ์ ปฏิจจสมุปบาท เป็นการอธิบายการเกิดข้ึนและการ ดบั ของสภาวธรรมทั้งหลายในเชงิ เหตผุ ล องคป์ ระกอบมี ๑๒ อย่าง คือ อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นาม รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อปุ ทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ญาณ ๑๖ คือ ผลการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ที่มีการปรับอินทรีย์ ๕ ให้สมดุลกับญาณ ๑๖ ให้ เกิดขนึ้ ญาณกำหนดรู้นามรูป ญาณ ๑๖ ยอ่ มเกิดขึ้นตามลำดบั ๑)ปรจิ เฉทญาณ ๒)ปัจจยปรคิ คหญาณ ๓)สัมมสนญาณ ๔)อุทยัพพยญาณ ๕)ภังคญาณ ๖)ภยญาณ ๗)อาทีนวญาณ ๘) นิพพทิ าญาณ ๙)มุญ จิตุกัมยตาญาณ ๑๐)ปฏิสังขาญาณ ๑๑)สังขารุเปกขาญาณ ๑๒)อนุโลมญาณ ๑๓)โคตรภูญาณ ๑๔) มัคคญาณ ๑๕) ผลญาณในอริยผล ๑๖) ปัจจเวกขณญาณ จึงการกำหนดอารมณ์ที่เกิดข้ึนรู้การต้ังสติ รู้ตรงตามสภาวะทันกับปัจจุบันอารมณ์ ให้ตรงตามสมมติบัญญัติเป็นไปตามญาณ ๑๖ สมาธิ หมายถึง ธรรมที่ข่มจิตอันฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆให้สงบลงหรือภาวะท่ีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง จำแนก ๓ ระดับ คือ (๑) ขณิกสมาธิ เป็นสมาธชิ ่ัวขณะ (๒) อุปาจารสมาธิ เป็นสมาธิจวนแนว่ แน่ (๓) อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิแน่วแน่ วิธีการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการใช้สมาธิ ๒ วิธี คือ ๑)วิธีการท่ีมุ่งเฉพาะ ด้านปัญญา ๒) วธิ ีการที่เน้นการใช้สมาธิ องค์ธรรมที่เป็นเครื่องเก้ือหนุนให้เจริญสติปัฏฐานสำเร็จ คือ หลักการ ๓ ประการ ๑) อา ตาปี คือ ความเพียรมุ่งหวังเผากิเลส ๒)สัมปชาโน คือ มีปัญญาหย่ังเห็นโดยมีความรู้สึกตัวในทุก อิริยาบถและทุกอาการของจิต ๓) สติมา คือ มีสติเป็นใหญ่ ในการปกครองกายและจิต ส่วน สัมปชัญญะ ๔ คือ สาตถกสัมปชญั ญะ สปั ปายสมั ปชัญญะ โคจรสัมปชัญญะ อสัมโมหะสมั ปชญั ญะ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๒ หลัก คือ แบบสมถยานิกะ หรือสมถะ(static)เป็นอุบาย สงบใจ แบบวิปัสสนายานิกะหรือวิปัสสนา (dynamic) เป็นอุบายเรืองปัญญา โดยสมถกัมมัฏฐาน แบ่ง ๗ หมวด กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ อาหารเรปฏิกูล จตุ ธาตุวัฏฐาน ๔ อธิบาย กสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ เป็นสมถยานิกะ หมายถึง วัตถุที่นำมาใช้เพ่งทำให้ เป็นบัญญัติอารมณ์แน่วแน่ มีกำลังและเกิดสมาธิให้เป็นไปตามลำดับข้ัน อาศัยนิมิตเป็นทางเดินสู่ อภิญญา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญญากับฌาน เป็นตัวหนุนเนื่องส่งเสริมกัน ฌาน (สมถะ) และ ปัญญา (วิปัสสนา) ต้องปฏิบัติอาศัยกันจะขาดอย่างใดไม่ได้ และต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากภาวนามย ปัญญา เรียกว่า“วิปัสสนาปัญญา”เป็นโลกุตรปัญญาเป็นปัญญาที่จะนำความรู้แจ้งในทุกสิ่ง นำความ พ้นทุกข์มาสู่ผู้ปฏิบัติ เรียก ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ผ่านกระบวนการเรียกว่า มหาสติปัฏฐาน ๔ อธิบายปฐมฌาน มีวิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา และธรรมสัมปยุตธรรม พิจารณาธมั มานุปัสสนาสติ ปัฏฐานเข้าปฐมฌานและออกจากปฐมฌาน กำหนดสภาวธรรมตามที่ปรากฎพิจารณาเกิดขึ้นต้ังอยู่ และดับไป เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ปฏิบัติฌาน(สมถะ) อย่างเดียวได้ผล คือ อภิญญา การหลุด พ้นจากกิเลสด้วยการข่มไว้ ผู้ปฏิบัติปัญญา(วิปัสสนา) ได้ผลญาณนำไปสู่ปัญญาวิมุตติการหลุดพ้น
๒๗๔ อาศัยวิปัสสนาปญั ญา ดังนน้ั ผู้บำเพ็ญทงั้ ฌานและปญั ญา คอื บรรลุฌานแล้วอาศยั ฌาน เปน็ บาทฐาน การเจรญิ วปิ ัสสนาปัญญา ได้เจโตวมิ ตุ ติและอุภโตภาควิมตุ ติ การหลุดพ้นจากกิเลสโดยอาศยั ฌานและ ปญั ญาทงั้ สอง หลักการเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือ การกำหนดรู้รูปนามให้เห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง มี ท้ังใช้สมถะเป็นบาทฐานวิปัสสนาและเจริญวิปัสสนาล้วน ลักษณะการเจริญกัมมัฏฐาน (๑)เจริญสมถ กัมมัฏฐานอย่างใด ขณิกสมาธิเป็นสมาธิระดับต้น เกิดขึ้นเมื่อได้ฝึกจิตบ่อยๆโดยจิตจะตั้งม่ันเป็น อปุ จารสมาธแิ ล้ว จติ สงบตั้งม่ันในอารมณ์เป็นอัปปนาสมาธิ เกิดองค์ฌาน เป็นบาทฐานเจรญิ วิปัสสนา กรรมฐาน (๒) การปฏิบัติสมถะที่มีวิปสั สนานำหน้า ลักษณะการปฏิบัติแบบวิปัสสนานกิ ะ คือ ผู้เจริญ วิปัสสนาล้วนพิจารณาไตรลักษณ์ไม่เที่ยง จะไม่ได้ฌานมาก่อนเมื่อปฏิบัติวิปัสสนาแล้วอยากได้ฌาน หันมาเจรญิ สมถะ ทำฌานให้เกิดข้ึนจนได้สมาบัติ ๘ (๓) การเจรญิ สมถะวิปัสสนาควบคู่กันเก่ียวข้อง ระหว่างการเข้าสมาบัติและพิจารณาสังขารเขา้ สมาบัติพิจารณาสังขาร (๔) การปฏบิ ัติเม่ือจิตถูกทำให้ ไขว่เขวด้วยธัมมุทธัจจ์ พิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยความเป็นไตรลักษณ์แล้ววิปัสสนูกิเลสที่เกิดขึ้น เหตุแห่งการบรรลุธรรม คือ ๑)ด้วยการแสดงธรรม ๒)ด้วยการฟังธรรม ๓)ด้วยการสาธยายธรรม ๔) ดว้ ยการตรกึ ตรองธรรม ๕)ดว้ ยการอบรมสมาธนิ มิ ิต รปู แบบปรมัตถภาวนา ยึดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วยการนำ รูปนาม ปรมัตถ์ ไตรลักษณ์ เป็นหลักกำหนดรู้ เน้นความรู้ปริยัติธรรม ให้เข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ เข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ ใช้เป็นอุบายให้น้อมรู้ในฐานอ่ืนๆเป็นอารมณ์รองตามมา การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน กำหนดสตใิ ห้รู้รปู นามตามสภาวะทีเ่ ป็นจรงิ เรียก “กำหนดปรมตั ธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ ในปัจจบุ ัน” รูปนามการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ในไตรลักษณ์ คือ ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติท่ีเก่ียวกับจิตทั้งหลาย “สังขารท้ังปวงไม่เท่ียง สังขารท้ังปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา” อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ รปู แบบพุทโธยึดอานาปานสติเป็นตน้ ลม รปู แบบพองยบุ ยดึ อานาปานสติเป็นปลายลม อิริยาบถใหญ่ ย่อย และธาตุมนสิการเป็นหลักกำหนดรู้ การเจริญสติปัฏฐานรู้การเคล่ือนไหวยึดกายานุปัสสนา สติปัฏฐานเป็นหลักการกำหนดสติทุกรูปแบบใช้กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นอารมณ์หลักเนื่องจาก เป็นอารมณ์หยาบกำหนดรู้ได้ชัดเจนรู้เห็นต่อเนื่อง เห็นอารมณ์ทางกายได้ชัดเจนน้อมไปรู้เวทนาจิต ธรรมเจรญิ สติปัฏฐานครบ ๔ ฐานโดยแท้ ๕.๔.๒ วิธกี ารปฏิบัติดา้ นธรรมานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐานตามคำสอนครูบาอาจารย์ พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทฺธิ) นยิ ามคำว่า โพธิปักขิยธรรม หมายถงึ ธรรม อันเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ ท่านสอนการปฏิบัติกรรมฐาน ๔ ประการ ๑)วิปัสสนามีสมถะนำ ๒)สมถะมีวิปสั สนานำ ๓)สมาถะและวปิ สั สนาคู่กัน ๔)ปฏิบตั ิแนวผสม ท่านปฏบิ ัตสิ อนโดยเน้นวิธีการ ท่ี ๒ คือ สมถะมีวิปัสสนานำ ให้พิจารณาใช้สติปัฏฐาน ๔ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เป็นกรอบ
๒๗๕ การปฏิบัติ สอนทัง้ ภาคทฤษฎีและภาคปฏบิ ัติ เข้าใจทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กัน พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) วิชาพระพุทธศาสนาว่า“อุดมวิชา” หมายรวมทั้ง โลกิยวิชาและโลกุตตร ความหมาย วิชาโลกิยวิชา คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการศึกษาพระไตรปิฎก และคัมภรี ์อนื่ ถ้าให้สมบูรณต์ ้องปฏิบตั ิวปิ สั สนากรรมฐานควบคู่ ส่วนความหมาย โลกตุ ตรวิชา คือ ต่อ ยอดจากโลกยิ วิชา สรปุ ว่า ผู้ปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานต้องผ่านการศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์อื่นๆ พระพุทธศาสนาจนเช่ียวชาญก่อน จึงเน้นที่ภาคทฤษฎีในพระพทุ ธศาสนาทั้งหมด ท่านพุทธทาสภกิ ขุ นำหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาตีความ ภาษาคนภาษาธรรมโดยยึดหลักการใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน ภาษาท่านจึงเป็นระบบและมีแหล่งท่ีมา ตีความปฏิจจสมุปบาท สอนความยึดม่ันถือมั่นเป็นเหตุแห่ง ความทุกข์ อธิบายกระบวนการเกิดดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท และวิธกี ารควบคุม เพื่อทำลาย ความยึดมั่นถือมั่น หลวงพ่อเทียน ใช้การส่ือสารภาษาท่านเองมุ่งทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายประยุกต์เพ่ือ ความดับทุกข์ ใช้การเจริญวิปัสสนานำสมถะเพื่อออกจากธรรมุธัจจ์ แนวปฏิบัติมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้วยองค์บริกรรมพองหนอ-ยุบหนอ ผลการปฏิบัติเป็นสภาวธรรมต่างๆ วิปัสสนาญาณ ๑๖ ท่านโคเอ็นก้า สอนข้ันตอนในการสอนไม่ได้เรียงไว้ ผู้ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ หมวดใดหมวดหนึง่ กอ่ นหลงั ได้ ไม่มขี ้ันตอนทซ่ี ับซ้อนและไมม่ ีพธิ ีกรรมมาเกี่ยวข้อง การกำหนดรูใ้ นสติ ปัฏฐาน ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ต้องมีบริกรรมจนผู้ปฏิบัติชำนาญจนเกิดปฏิเวธธรรม พระสารีบุตร เป็นการศึกษากรณีการบรรลุธรรมแตกต่างกันเห็นความเชื่อมโยงของความสามารถพิเศษหลังการ บรรลุธรรมเข้ากับสมาธิ การเจริญสติปัฏฐาน ก่อนเข้าฌาน สภาวธรรมไม่ปรากฎ เมื่อได้เข้าฌาน ตามลำดับไปได้ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน นำเอาสภาวะและองค์ฌานมากำหนดพิจารณา ในการ กำหนดพจิ ารณาสภาวธรรม คือ การกำหนดสตปิ ฏั ฐาน ๕.๔.๓ การขยายความด้านธรรมานุปสั สนาสติปฏั ฐานจากผู้ศึกษาพบ สติปัฏฐาน ๔ เป็นหัวใจวิปัสสนากรรมฐานท่ีอยู่ทุกรูปแบบ ผู้ปฏิบัติต้องเข้าใจหลักการสติ ปัฏฐานกำหนดให้รู้ตรง รู้แจ้งในธรรมะของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติต้อง ๑) ต้องมีความเข้าใจท่ัวไปใน การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๒) วิธีการปฏิบัติ ๓) เข้าใจรูปนามไตรลักษณ์ ๔) เข้าใจการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานรูปแบบต่างๆที่นิยมปฏิบัติ ๔ รูปแบบ ๑) รูปแบบพุทโธ ๒)รูปแบบพองยุบ ๓) รูปแบบเจรญิ สติเคลอ่ื นไหว ๔)รปู แบบปรมัตถภาวนา การเข้าใจจะเป็นการเพมิ่ เข้าใจหลักการสติปัฏ ฐานการปฏิบัติแทรกทุกอารมณ์ของการปฏิบัติไม่ยึดติดในรูปแบบใดย่อมปฏิบัติได้ดีทุกๆรูปแบบ จะ เพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามลำดับ การปฏิบัติโดยให้กำหนดรู้ลักษณะรูปนาม นำการปฏิบัติในรูปแบบต่างๆ เป็นการเชื่อมโยงการปฏิบัติไปสู่รูปแบต่างๆ ให้เป็นอันเดียวกัน การ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานลำดับญาณเริม่ จากสามัญลกั ษณะเฉพาะท่พี ึงกำหนดรู้วา่ มอี ะไรบ้างกำหนดรู้ อย่างไร การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบไม่สำคัญเท่ากับเน้ือหาแห่งสติปัฏฐาน ความรู้สึกตัว
๒๗๖ สัมปชัญญะเกิด วิปัสสนาเกิด ความรู้สึกตัวมีมากเท่าใดได้อารมณ์ปัจจุบันมากข้ึน สัมปชัญญะความ รู้สึกตวั เปน็ ส่ิงสำคัญของการเจรญิ วปิ ัสสนาภาวนาเพื่อใหป้ ัญญาเกิด ปัญญาเจตสกิ กบั สัมปชัญญะตอ้ ง มีความเข้าใจหลักการวิปัสสนาที่ถูกต้อง สติสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัวของผู้ปฏิบัติในขณะที่ กำหนดรูปนามเป็นตัวเพ่งหรือตัวถูกเพ่ง วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต้องกำหนดอารมณ์ชัดสุด ของทวารทั้ง ๖ ตลอดเวลา ทำอย่างต่อเนื่องอย่างช้าให้ละเอียด นักปฏิบัติต้องเข้าใจปรัชญาการ กำหนด กำหนดต่อเน่ือง การกำหนดมีความสำคัญ ตัวอย่างหลักเมตตาเป็นบาทฐานการปฏิบัติ วปิ ัสสนา ผู้แผเ่ มตตาจะยนื เดิน นั่ง นอน ควรตั้งสติตลอดเวลา เป็นพรหมวหิ าร ผเู้ จริญวิปสั สนาแบบ สมถนำหน้าวิปัสสนาตามหลัง หรืออาศัยกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์โดยอาศัยวัตถุมาเพ่ง ภาวนานิมิตและ ฌาน ตามเกดิ ข้ึน ฌานเป็นบาทฐานการเจรญิ วิปสั สนาต่อไป ธัมมนานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นธรรมตามความเป็นจริง ๕ หมวด ได้แก่ นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ สัจจะ โดยความหมาย นิวรณ์ ๕ คือ เครอ่ื งกั้นขวางไม่ให้บรรลุความดี ขันธ์ ๕ คือ ให้รู้จักขันธ์ ๕ อายตนะ คือ การเชื่อมโยงระหว่างอายตนะภายในและภายนอก โพชฌงค์ คือ องค์ธรรมปัจจัยเกื้อหนุนให้ตรัสรู้ธรรม อริยสัจ ๔ คือ การเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ย่อธรรมนุปัสส นาสติปฏั ฐานเปน็ เพียง ๒ อยา่ ง คือ รูปนาม พิจารณาให้เห็นไตรลกั ษณ์ ตัวอย่างการกำหนดอายตนะ ธัมมนานุปัสสนาสติปัฏฐาน กำหนดอายตนะภายในและภายนอก ให้ตรงตามความเปน็ จริงในปัจจุบัน กำหนดให้ชำนาญมีสติรู้ปัจจุบันธรรม ไม่ปรุงแต่ง การปฏิบัติสติปัฏฐานเป็นการใช้สติสัมปชัญญะ กำหนดกายเวทนาจิตธรรม ให้สอดคล้องกันความเป็นจริงตามธรรมชาติเกิดวิปสั สนาปัญญา ไม่ยึดมั่น ถือม่นั การนำความรู้ปริยัติมาฝึกฝนปฏิบัติจนเกิดความชำนาญเฉพาะตัวเรียนรู้จากสภาพจริง หรือ เห็นจริงและรู้ตามความเป็นจริง ย่อมเกิดความเชื่อมโยงความรู้ทั้งหมดภาคปริยัติและภาคปฏิบัติเข้า ด้วยกัน กระวนการเรียนรู้ค้นควา้ ภาคปริยัติเพ่อื เป็นแนวทางในการปฏบิ ัตหิ นนุ ภาคปฏิบัติ การศึกษา ในพระพุทธศาสนาต้องแสวงหาความรู้ภายในตัวเองประเมินตนเอง เป็นการแสวงหาความรู้ท่ีเกิดข้ึน ภายในตนเองมีพระธรรมเป็นแนวทาง มีครูบาอาจารย์เป็นกัลยานมิตรให้คำปรึกษา การประมวล ความรู้และกลั่นกรองความรู้ โดยยึดถือแบบอย่างครูบาอาจารย์ รวมถึงการสอบทานระหว่างปริยัติ และปฏิบัติ ความรู้ท่ีเป็นระบบโดยพระไตรปิฎก และการจัดการความรู้ครูบาอาจารย์เกี่ยวกับเทคนิค การสอนไว้เป็นระบบ เป้าหมายการศึกษาพระพุทธศาสนา (๑) การค้นพบตัวเอง คือ การสร้าง ความเห็นว่าถูกว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เกิดจากการประชุมกันของรูปนาม เป็นกระบวนการที่ขับเคลื่อน อยู่ตลอดเวลาไม่ไปยึดมั่นถือมั่น (๒) การพ้นไปจากตนเอง มุ่งขัดเกลาตัณหาหรือความอยาก เป็นเหตุ แห่งความทุกขใ์ ห้เบาลง จนเกิดปัญญา สง่ิ ท้ังหลายเกิดเพราะเหตปุ ัจจัย มลี ักษณะไมเ่ ที่ยงเป็นทกุ ข์ ไม่ มีอะไรที่ยึดถือเป็นของเราได้ การเข้าใจความหมายของชีวิตเขาถึงสภาวะจริงของชีวิตส่ิงใดสิ่งหน่ึงมี ความเกิดขึน้ เป็นธรรมดา ส่ิงทั้งมวลมคี วามดับไปเป็นธรรมดา
๒๗๗ ๕.๔.๔ การบรรลุผลการปฏบิ ัติด้านธรรมานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ศึกษาจากกรณีผู้บรรลุธรรมในพระไตรปิฎก กรณีศกึ ษาจะเป็นการทำให้เข้าใจวิธีการบรรลุ ธรรมแตกต่างกัน ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาได้รับผล คือ ช้ันโสดาบัน ช้ันสกทาคามี ชั้นอนาคามี ชั้น อรหันต์ การบรรลุธรรม หมายถึง การได้ การเข้าถึง การสำเร็จ การทำให้แจ้ง เกณฑ์ท่ีใช้แบ่งระดับ การบรรลุธรรม เรียก สังโยชน์ ๑๐ ขจัดกิเลสได้อย่างหยาบไปจนถึงอย่างละเอียด สภาวญาณ ความหมาย ญาณ หรือวิปัสสนาญาณ ๑๖ ข้ัน คือ เคร่ืองมือการตรวจสอบการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ส่วนศีลกับการบรรลุธรรมโดยมีศีลเป็นพ้ืนฐาน มีสมาธิเป็นกำลังมีการเห็นแจ้งแทงตลอด ปัญญาวิปัสสนา การฝึกอบรมจิตใจให้บรรลุธรรม คือ การเจริญสติ คือ การฝึกหรือสร้างความระลึกรู้ ความต่ืนรู้ ความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม ความไม่ประมาท ความตระหนักรู้ ความกำหนดรู้ ผลการเจริญ ธมั มนานุปสั สนา (๑)พิจารณาองค์ธรรมหมวดธมั มนานุปัสสนา ไดแ้ ก่ นวิ รณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจ (๒) ด้วยวิปัสสนาญาณ ธัมมนานุปัสสนาสติปัฏฐานยกหัวข้อธรรม เพ่งต้ังม่ันจนสงบถอนจิต ออกมาเป็นวปิ สั สนา พจิ ารณาให้เหน็ จริงรู้แจ้งในหมวดธรรม จิตหลดุ พ้นได้วิมุตติขนั้ สูงสุด ๕.๕ ขอ้ เสนอแนะ (๑) ควรทำความเข้าใจเรื่อง แนวทางการปฏิบัติตามสติปัฏฐาน ๔ ฐานซึ่งทั้ง ๔ ฐานอาจไม่มี กฎเกณฑ์ก่อนหลัง จะกำหนดอิริยาบถอย่างเดียว หรือกำหนดเฝ้าจิตความคิดอย่างเดียว จะพิจารณา ธรรมอย่างเดียว ควรได้พัฒนาสติให้สามารถรู้ตัวทั่วพร้อม ให้รู้ทุกอย่างท้ังกายเวทนาจิตธรรม กำหนดให้รู้หลายๆอย่างพัฒนาให้มากๆรู้แบบทั่วถึงกายเวทนาจิตธรรม ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้า ตรัสไว้อย่างกว้างๆเป็นทฤษฏี ไม่แตกต่างจากอรรถกถา มีองค์ ๓ ได้แก่ (๑) อาตาปี ความเพียร (๒) สติมา ความมสี ตริ ะลึกเสมอ (๓) สัมปชาโน ความรูต้ ัวท่ัวพร้อม การปฏิบัตจิ ะเป็นอย่างตามขั้นตอนก็ ได้ จะปฏิบัติอย่างไม่มีขั้นตอนก็ได้ แล้วให้หาจุดกลางเช่ือมโยงให้พบว่า ตนเองมีความเหมาะสม อย่างไรหรอื จงึ ทำให้สภาวธรรมมีความกา้ วหน้า (๒) การศึกษาปริยตั ิอย่างเดียวจะทำให้เกดิ ความสงสัยในคำสอน เป็นเหตุให้เขา้ ไม่ถงึ ธรรมได้ ต้องปฏิบัติควบคู่กันไป หรือ การทำความเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานอยู่ตรงฐาน ๔ ฐาน อาจต้องมี หลักเกณฑ์ก่อนหลังซ่ึงอาจทำให้เข้าถึงการบรรลุธรรมได้โดยง่ายตามลำดับเพื่อให้ขั้นตอนมีผลแต่ละ ตอนการเข้าถงึ เป็นไปตามลำดับเพื่อความเข้าใจการฝึกฝนโดยการวดั ความก้าวหนา้ หนทางบรรลุธรรม จำต้องมีนิยามการเรียกช่ือให้เข้าใจตรงกัน ดังน้ันผู้ศึกษาพบว่า การศึกษาเรื่องมหาสติปัฏฐานเป็น เรื่องไมม่ ีอะไรถกู และอะไรผิด งานวทิ ยานิพนธ์เปน็ เร่ืองวิชาการ ทางสมมติบัญญัติไปทางปัญญาความ เข้าใจทางโลกวิชาการ ส่วนแนวทางปฏิบัติอาจเป็นอีกเร่ืองราวเป็นคำอธิบายอีกรูปแบบ ดังคำถาม ท่ีว่า ทำไมครูบาอาจารย์สอนปฏิบัติภาวนาชื่อเสียงเป็นท่ียอมรับในการปฏิบัติกรรมฐานในสมัยก่อนก็ ไม่ได้มีการศึกษาทำงานวิทยานิพนธ์งานวิชาการแต่สามารถอธิบายการปฏิบัติด้วยการเรียนรู้ด้วยจาก
๒๗๘ การฝึกปฏิบัติด้วยประสบการณ์เป็นท่ีเข้าใจได้ง่ายเข้าถึงได้ง่ายกว่ากา รการยึดติดนิยามความหมาย หรือเชิงอรรถหรือติดรูปแบบการปฏิบัติจนกลายเป็นการยึดม่ันถือมั่นไปเป็นอุปสรรคการเข้าถึง มหาสติปัฏฐาน ๔ ไป ดังนั้นผู้ศึกษาแนะนำหลักการสายกลาง คือ ศึกษาทางตำราหนังสือเข้าใจปริยัติ แล้วไมต่ ดิ ให้ปล่อยวา่ ง และศกึ ษาแนวทางไมย่ ึดตดิ ปรยิ ัติตามพระไตรปิฎก หรอื คำสอนครบู าอาจารย์ ให้ถูกกับจริตตนและวัดผลความกา้ วหนา้ ทางการบรรลุธรรมตามหลกั ปริยัติแล้วปลอ่ ยว่าง หาทางสาย กลางเป็นหนทางเข้าสู่การปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน ๔ หาทางสายกลางระหว่างแนวคิดทฤษฎี ปริยัติ และมงุ่ สู่ทางปฏบิ ัติ ผลปญั ญาเรอ่ื งมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ จะเกิดขึน้ (๓) ควรทำการศึกษาวิจัยเรื่องเก่ียวกับแนวคิดสอนของครูบาอาจารย์เน้นสายการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนาได้รับการยกย่องการปฏิบัติเป็นสายสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย ถอดหลักคำ สอนจากน้ำเสียงคำสอนท่านเพ่ือนำไปสู่ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง การขยายความคำสอนโดยครูบา อาจารย์ การอธิบายความของสติปัฏฐาน ๔ ข้อค้นพบว่า กายเวทนาจิตธรรม อธิบายเร่ืองเชื่องโยงไป โดยอาศัยแกนหลักอย่างใดอย่างหน่ึง ไม่ว่าจะอธิบายแกนหลักจากกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ว่าฐาน กายจะเป็นฐานดีท่ีสุด ตนเห็นได้ชัดเป็นรูปกายหยาบแล้วถอนนามธรรมไปเร่ือยๆ เป็นเวทนาเป็นจิต เปน็ ธรรม จากฐานกายแลว้ เชอ่ื มโยงไปหลกั เวทนานุปสั สนาสติปฏั ฐาน และจิตตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเร่ิมต้นอย่างไรตามความคิดเห็นผู้ศึกษาเสนอแนะว่า ก็อยู่กับจริตหรือตัวผู้ปฏิบัติ แล้ววันหนึ่งคนเรามจี ริตได้หลายหลายท้ังความโลภ ความโกรธ ความหลง บางคร้ังกไ็ ม่แน่ชัดว่ามีกเิ ลส อยา่ งไรตัวใด สำคัญคือสรา้ งด้วยความเพียรและความต่อเน่ืองอย่างไม่ ย่อท้อ จะนำสติไปปัก บนฐาน ใด เพื่อให้สติมีความต่อเนื่องจนกิเลสไม่อาจเข้าไปได้ ก็ถือว่า เป็นการเจริญสติปัฏฐานได้เช่นกัน แนวคิดครูบาอาจารย์หรือสำนักปฏิบัติเป็นกรอบแนวทาง โดยไม่มีการยึดติดสายปฏิบัติหรือรูปแบบ การปฏบิ ัตหิ รือว่ายดึ ม่ันถือมน่ั ว่า สายครบู าอาจารยใ์ ดจะดีกวา่ กนั หรือคัมภีรใ์ ด (๔) ควรอธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ข้ึนกับว่า เราจะศึกษาเอาอะไรเป็นจุดแก่นหลักหรือ จุดยืนท่ีมองออกไป ณ ขณะเส้ียวของเวลานั้น ปักไว้ กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วขยายความเข้าใจจับ สติให้ทัน ถ้าจุดเน้นต่างกันความหมายไม่เหมือนกัน ขั้นตอนต่างกัน แต่แท้จริงเรื่องกายเวทนาจิต ธรรม แยกส่วนกันไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกันเพียงแต่ผสมผสานกันอย่างไรขึ้นกับมุมมองอย่างไรให้เข้าใจ ท้ังหมด การเข้าใจทฤษฎีเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงการบรรลุธรรมได้ดีต้องอยู่บนฐาน ความไมย่ ึดมนั่ ถอื มน่ั สงิ่ ใดในโลก ดงั คำกลา่ วในพระไตรปฎิ ก (๔) ควรศึกษาอย่างต่อเนื่องเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ในทุกมิติมุมมอง ทำให้การตีความหมาย ในเรื่องวิชาการสมมติบัญญัติทั้งหลายเรียกชื่อตามกันมา ตลอดการนำไปสู่การบูรณาการ พระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ การเช่ือมโยงจะแม่นยำโดยแท้หลักต้องแม่นยำ หลักการ คือ คำ สอนของพระพุทธเจา้ ไมม่ ีสง่ิ ใดเป็นหลักไดน้ อกจากพระไตรปฎิ กและคัมภีร์อรรถต่างๆด้วย การเข้าใจ เข้าถึง และนำไปใช้ได้ในทุกมุม จึงสามารถทำให้งานวิชาการพระพุทธศาสนามีคุณค่า เป็นประโยชน์
๒๗๙ ต่อเพื่อนมนุษย์โดยแท้ และเหนือสิ่งอ่ืนใดเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์โดยแท้เป็น ตวั ชี้วัด (๕) ควรหาคำตอบเกยี่ วกับการเข้าถึงวชิ าพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เป็นวชิ าแห่งความพ้น ทุกข์ มีรูปแบบการเข้าถึงและเรียนรู้ได้อย่างไร การจัดการองค์ความรู้ระดับตัวเอง จึงเป็นระบบ เชื่อมโยงได้ทั้งปฏิบัติและปริยัติ การจัดการองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร และการไป เช่อื มโยงตอ่ ศาสตรอ์ ื่นๆไดอ้ ย่างไร องคค์ วามรทู้ ่ีบริสทุ ธ์ขิ องการเขา้ ถงึ ธรรมะทัง้ ทางปริยตั ิและปฏิบัติมี คำอธบิ ายเปน็ อย่างไร โดยก่อนท่พี ระพุทธศาสนาจะถูกนำไปใช้เพือ่ การบรู ณาการศาสตร์อ่นื ต้องเข้าใจ หลักการให้ถูกต้อง และต้องมีความรู้ทางลักษณะศาสตร์ที่จะไปบูรณาการด้วยพอสมควร จึงเป็นองค์ ความรู้ท่ีมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อไป อย่างเช่นถ้าไม่เข้าใจหลักกฎหมายในแต่ละมาตราก็ไม่อาจนำ กฎหมายไปตีความใช้กับเร่ืองราวเหตุการณ์ข้อเท็จจริงได้และวินิจฉัยได้ถูกต้องเที่ยงธรรมจนออกเป็น คำพิพากษา กรณีศกึ ษาเรอ่ื งมหาสติปัฏฐาน ๔ เชน่ กนั จำต้องทราบภาคปรยิ ัติให้เข้าใจถูกต้องก่อนจึง นำไปใชป้ ระโยชน์ตามมา และเมอ่ื ทราบปรยิ ตั ิไดแ้ ล้วกไ็ มต่ ้องยึดม่ันถือม่ัน (๖) ขอ้ เสนอแนะในการทำงานวิทยานิพนธ์หรอื งานวิจัยเร่ืองต่อไป หัวข้อประเด็นงานวิจัยท่ี เก่ียวกับเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ควรทำการศึกษา ได้แก่ (๑) ศึกษาการสกัดหลักคำสอนเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ จากครูบาอาจารย์สายปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา จากน้ำเสียงท่านโดยตรงผ่านทาง Youtube มีหลายท่านซึ่งทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจได้ลึกซ้ึงมากกว่าเข้าใจงานหนังสือวรรณกรรม หรืองาน วิทยานิพนธด์ า้ นวิชาการ (๒) ศึกษาวิธีการเข้าถงึ ซ่ึงปัญญาความรดู้ ้านภาวนามยปัญญา หมายถึง ด้าน ระเบียบวิธีการวิจัยการได้มาซ่ึงปัญญาจากการภาวนาวิปัสสนา มีวิธีการเก็บข้อมูลอย่างไร ถือว่าเป็น เอกลักษณ์เฉพาะทางด้านการปฏิบัติภาวนา (๓) ศึกษาวรรณกรรมยุคปัจจุบันท่ีเก่ียวกับเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ ที่ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ อธิบายความเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ในสังคมปัจจุบัน ตลอดจนการบูรณาการเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ กับศาสตร์สมัยใหม่ เป็นอย่างไร ซ่ึงเป็นเรื่องท้าทาย การค้นพบในยคุ สมยั ปจั จุบันท่ีเปลีย่ นไปจากเดิม
๒๘๐ บรรณานกุ รม ก. ข้อมลู ปฐมภมู ิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย. ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ข. ขอ้ มลู ทตุ ยิ ภูมิ หนังสอื พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). การศึกษากับการวิจัยเพื่ออนาคตของประเทศไทย พระธรรม ปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). การศึกษากับการวิจัยเพื่ออนาคตของประเทศไทย.พิมพ์ครั้งท่ี ๒ กรุงเทพ : บริษทั เคลด็ ไทยจำกัด, ๒๕๔๑. สุวิมล ว่องวาณิช และ นงลักษณ์ วริ ัชชัย. แนวทางการให้คำปรึกษาวทิ ยานิพนธ์. พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ตำราและเอกสารทางวิชาการ คณะครุศาสตร์ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย ,๒๕๕๐. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครัง้ ที่ ๑๘, (นนทบรุ ี : โรงพิมพ์เพมิ่ ทรัพยก์ ารพมิ พ,์ นนทบรุ )ี , ๒๕๕๓. สุชีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปิฏกสำหรับประชาชน (กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหามกุฏราช วทิ ยาลัย พมิ พค์ ร้งั ที่ ๑๗ , ๒๕๕๐. พระมหานิพนธ์ มหาธมมฺ รกฺขิโต. ในธรรมภาคปฏิบตั ิ เล่มที่ ๑.โดย พระมหาสุภวชิ ญ์ ปภสฺสโร รวบรวมคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. จำนวน ๗ เล่ม.เอกสารประกอบการ สอนรายวิชาหมวดวิชาแกนพระพุทธศาสนา หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต.พิมพ์คร้ังที่ ๑ (กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, กนั ยายน ๒๕๕๑). พระชาญชัย อธิปญฺโญ. บันไดสู่พระนิพพาน. (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์ธรรมะ อมรนิ ทรพ์ รนิ้ ตง้ิ แอนด์พบั ลิชช่ิง) ๒๕๕๕. บทความ อังศินันท์ อินทรกำแหง. การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับความเครียดและการเผชิญ ความเครยี ดของคนไทย. วารสารพฤตกิ รรมศาสตร์.ปที ี่ ๑๘ ฉบบั ที่ ๑ (มกราคม ๒๕๕๕).
๒๘๑ ละอองทิพย์ มัทธุรศ. การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์ระดับปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการ จัดการเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต.สาขาวิชาการจัดการ เทคโนโลยี โครงการผนึกกำลังการเปิดสอนระดับปริญญาเอกมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กรุงเทพมหานคร. วารสารบัณฑิตศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. ปีที่ ๕ ฉบับท่ี ๓ (กนั ยายน–ธันวาคม ๒๕๕๔). อัจฉรา สขุ ารมณ์ และอังศินนท์ อนิ ทรกำแหง. การประมวลและสังเคราะห์งานวิจัยที่เกย่ี วกับ อคี วิ ในประเทศไทย. วารสารพฤติกรรมศาสตร์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑ (กันยายน ๒๕๔๘). อังศินนท์ อินทรกำแหง.การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับความเครียดและการเผชิญ ความเครียดของคนไทย. วารสารพฤติกรรมศาสตร.์ ปีที่ ๑๔ ฉบบั ท่ี ๑ (กันยายน ๒๕๕๑). พิณนภา แสงสาคร อรพินทร์ ชูชม และพรรณี บุญประกอบ. การสังเคราะห์องค์ความรู้ เก่ียวกับสุขภาวะทางจิตวิญญาณในบริบทสังคมไทย.วารสารพฤติกรรมศาสตร์. ปีท่ี ๑๘ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม ๒๕๕๕). วทิ ยานิพนธ์ และรายงานผลการวิจยั กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. การสังเคราะห์งานวิจัยเก่ียวกับ การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา. รายงานผลการวิจัย. กองวิจัยทางการศึกษา กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร . ๒๕๔๒. ฉตั รศิริ ปิยะพิมลสิทธ์ิ. การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์ หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา การวดั ผลการศึกษา มหาวทิ ยาลัยทักษิณ. วทิ ยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต (ภาควชิ าการประเมิน ผลการวจิ ัย คณะศึกษาศาสตร์ : มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ). ๒๕๔๙ . ธารินี พลเยี่ยม. การสังเคราะห์งานวิทยานิพนธ์ทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา ๒๕๔๐-๒๕๔๕. วิทยานิพนธ์คุรุศาสตรมหาบัณฑิต. คณะคุรุศาสตร์ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗. นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ.รายงานการสังเคราะห์งานวิจัยเก่ยี วกับคุณภาพการศึกษาไทย : การวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis).รายงานผลการวิจัย. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) รว่ มกับ คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑. นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ. รายงานการสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาไทย: การวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis). รายงานผลการวิจัย. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) รว่ มกับ คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๒.
๒๘๒ ดลฤดี สุวรรณคีรี. การสังเคราะห์ว่าด้วยความคิดเรื่องความสุขของนักคิดและนักปรัชญา ตะวันออกและตะวันตก. รายงานผลการวิจัย. งบประมาณเงินรายได้ คณะสังคมศาสตร์ : มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ. ๒๕๕๔. สุนทรา โตบัว. การสังเคราะห์งานวิจัยที่ได้รับทุนวิจัยจากภาควิชาการการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. รายงานผลการวิจัย ภาควิชาการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. ๒๕๕๕. โสภนา สุดสมบูรณ์. การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหาร การศึกษาในประเทศไทย . วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต . (สาขาการบริหารการศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร ๒๕๕๐ . เอกสารท่ีไมไ่ ดต้ ีพมิ พ์เผยแพร่ นงลกั ษณ์ วริ ชั ชัย. เอกสารประกอบการบรรยาย powerpoint เรือ่ ง การวเิ คราะหอ์ ภิมาน ภาควิชาวจิ ัยฯ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เอกสารอดั สำเนา.๒๕๕๒. สื่ออิเล็กทรอนกิ ส์ “ความหมายวทิ ยานิพนธ”์ . (๕ มีนาคม ๒๕๕๖). [ออนไลน์], แหล่งท่มี า http://www.th.wikipedia.org/wiki/ [๕ มีนาคม ๒๕๕๖]. Cooper and Hedges, ความหมายการสังเคราะห์งานวจิ ัย, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : http://www.eng.rmutk.ac.th/download/20130527/ [๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖]. ดงั ตฤณ. มหาสตปิ ฏฐานสูตร . [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : http://www.fungdham.com/download/book/dungtrin/sati-2550-dungtrin.pdf [๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖]. (ฉบับปรบั ปรงุ ใหม่).หน้า ๒
๒๘๓ รายช่ือวทิ ยานิพนธน์ ำมาสงั เคราะห์ พระมหาอำนวย อานนฺโท (จันทร์เปล่ง),“การศึกษาเร่ืองการบรรลุธรรมใน พระพุทธศาสนาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒). พรรณราย รัตนไพฑูรย์, “การศึกษาวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ : ศึกษาแนวสอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก) ญาณฺสิทธิ)”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบณั ฑติ , (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔) พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต (แสมแก้ว), “ศึกษาเปรียบเทียบแนวทางการปฏิบัติ กรรมฐานของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และพุทธทาสภิกขุ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖). อภิราษฎร์ ปรีชาจารย์, “ศึกษาวิเคราะห์“สมถยานิกะ”ในการปฏิบัติกัมมัฎฐานอันมีกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๖). พระมหากฤช ญาณาวโุ ธ (ใจปลื้มบญุ ),“การศกึ ษาวิเคราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหว่างญาณและ ปัญญาในพระพุทธศาสนา”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๗). พระสมบัตร ฐิตญาโณ (สุขประเสริฐ), “ศึกษาเปรียบเทียบหลักวิปัสสนากัมมัฎฐานใน พระไตรปิฎกและแนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฎฐานวัดโพธิ์บ้านโนนทัน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบณั ฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘). ฐติ ิรตั น์ รกั ษ์ใจตรง, “ศึกษาการใช้อานาปานสติภาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวติ ของเสถียร ธรรมสถาน ”, วิทยานิพนธ์พุ ทธศาสตรมหาบัณ ฑิต, (บัณ ฑิ ตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘). เสนาะ ผดุงฉัตร, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์อานาปานัสสติกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙). พิชญรัชต์ บุญช่วย, “การศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสิกขา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙).
๒๘๔ อณิวัชร์ เพชรนรรัตน์, “การศึกษาวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙). ทัศนี วงศ์ยืน,“ศึกษาวิเคราะห์การปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวกายคตาสติในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐). พระแสนปราชญ์ ฐิตสทฺโธ. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัภิทา มรรค” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๑). แมช่ รี ะวีวรรณ ธมมจฺ ารนิ ี (งา่ นวิสุทธิพนั ธ์), “การศึกษาสภาวญาณเบ้ืองตน้ ของผเู้ ข้าปฏบิ ตั ิ วิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร” , วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑). พระปลัดพงค์ศกั ด์ิ ธมมฺ วโร (อภัยโส), “ศึกษาสังขารเุ ปกขาญาณในการปฏบิ ัตวิ ิปสั สนาตาม หลักสติปัฏฐาน ๔ เฉพาะกรณีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบณั ฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๒). ภาวนีย์ บุญวรรณ, “การศึกษาอาการวิปลาสท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐาน” , วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒). รุจาภา ธงปลื้มจิตร, “การศึกษาอุทยัพพญาณในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ : เฉพาะกรณีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒). พระมหาสิงห์หน สิรินฺธโร (ฉิมพาลี), “ศึกษาวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างหลักปฏิบัติ สัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตรกับวิธีการฝึกเจริญตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖). พระทรัพย์ชู มหาวีโร (บญุ พฬิ า), “การศกึ ษาวิธกี ารเจรญิ สติในชวี ิตประจำวนั ตามแนวทาง ของติช นัท ฮันท์” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๓).
๒๘๕ พระสุวรรณ สุวณฺโณ (เรืองเดช), “ศึกษาผลการเจริญตามแนวปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ : กรณีศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมมหาสติปัฏฐาน ๔ บ้านเหล่าโพนทอง”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓). พระทนงศักดิ์ ปภาโต (ปิยะสุข), “ศึกษารูปนามตามท่ีปรากฏในไตรลักษณ์ในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔) พระครูสังฆรักษ์ชีพ ธมมฺเตโช(คู่กระโทก),“วิเคราะห์ศีลเพื่อการบรรลุธรรมใน พระพุทธศาสนาเถรวาท” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔) พระครูนิวิฐสาธวุ ัตร (ทองล่ำ ยโสธโร),“ศึกษาการพัฒนาสตโิ ดยใช้หลกั กายคตาสติในคมั ภรี ์ พระพุทธศาสนาเถรวาท”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔) พระชัยพร จนฺทวํโส (จันทวงษ์), “ศึกษาศรทั ธาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามแนวสติ ปั ฏ ฐาน ๔ ” วิท ยานิ พ น ธ์พุ ท ธศาสตรมห าบั ณ ฑิ ต, (บั ณ ฑิ ตวิท ยาลัย : มห าวิท ยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔) พระอำนาจ ขนฺติโก (ภาคาหาญ), “ศึกษาอริยมรรคในการปฏิบัติวปิ ัสสนาตามหลักสตปิ ัฏ ฐาน ๔”, วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๕๔), พระมหาพิสูตน์ จนฺทวํโส (พะนิรัมย์), “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาท กับขันธ์ ๕ ในการเจริญวิปัสสนาภาวนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖) พระครูพิสิฐสรภาณ (นิรันดร์ ศิรริ ัตน์), “การศึกษาวิเคราะห์หลักการปฏิบัติธรรมในภัทเทก รตั ตสตู ร” วิทยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๔๖) พระทรงยศ ยสธโร (ตั้งจิตพิทักษ์กุล),“ศึกษาการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลในปุณโณวาท สูตร”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๕๔) พระวรมน ขนฺติโก(วัดถุมา),“ศึกษาสัมมัปปธาน ๔ อันเป็นองค์แห่งการบรรลุธรรม”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 552
Pages: