๑๘๖ ปฏิบัติจะกำหนดรู้ในฐานไหนล้วนเป็นการใช้สติปัฏฐานเพื่อกำหนดรู้เห็นตามเป็นจริงท่ีเกิดขึ้นใน ปจั จุบนั ขณะของรปู นาม เม่ือรับรู้เอาอารมณ์ท่ีเกดิ ขึ้นในปัจจุบันขณะด้วยสติปัฏฐานแล้วในฐานท้ัง ๔ ย่อมปรากฏชดั เจนในการรเู้ หน็ พระไตรลกั ษณ์แสดงตัวตนของรปู นามที่ปรากฏ๑๑๑ [๑๑๒] อนุปทสูตรเป็นพระสูตรหน่ึงที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ ในหมวด อนุปทวรรค สูตรที่ ๑ พระพุทธองค์ทรงตรัสกับภิกษุท้ังหลายถึงการบรรลุธรรมไปตามลำดับบท ของพระสารีบุตร หรือการปฏิบัตวิ ปิ ัสสนาดว้ ยการเห็นแจง้ ธรรมไปตามลำดับดว้ ยอำนาจของฌาน สมาบัติ พบว่าไดพ้ บหลักธรรมทเ่ี ป็นปฏบิ ัติวิปัสสนาทพี่ ระสารีบตุ รได้กำหนดรูส้ ภาวธรรมท่ปี รากฏ ในองค์ฌานไปตามลำดับ ท่านได้เข้าปฐมฌานจากจึงออกจากปฐมฌานแล้วจึงได้กำหนดเอา สภาวธรรม ๑๖ ประการ ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์ วิริยะ สติ อุเบกขา และมนสิการเป็นสภาวธรรมที่เกิดข้ึนมากำหนด พิจารณา โดยสภาวธรรมที่ปรากฏข้ึนเม่ือสงเคราะห์เข้าในอารมณ์วิปัสสนา คือขันธ์ ๕ หรือรูป นาม การปฏิบัติวิปัสสนาจะมีแนวทางการปฏิบัติสำคัญๆ ๒ ประเภทคือ ๑)การปฏิบัติวิปัสสนา โดยมีสมถนำหน้าหรือสมถยานิก ๒)การปฏิบัติโดยมีวปิ ัสสนานำหนา้ หรือวิปัสสนายานิก แนว ทางการปฏิบัติวิปัสสนาในอนุปทสูตรเปน็ การปฏิบัติโดยอาศัยองค์ฌานหรือสมาธิเป็นบาทฐาน จึง เป็นการปฏิบัติวิปัสสนาโดยมีสมถนำหน้า ในขั้นตอนแรกเป็นการปฏิบัติให้เกิดสมาธิหรือองค์ฌาน กอ่ นแล้วจึงอาศัยสภาวธรรมหรือรูปนามท่ีเกิดจากฐานของสมาธิหรือในองค์ฌานมากำหนดรู้ โดย พจิ ารณาเห็นถึงความเป็นอนิจจงั ทกุ ขงั และอนตั ตา เป็นการปฏิบตั โิ ดยใชฌ้ านเปน็ บาทฐาน โดย เข้าปฐมฌานแล้วจึงเจริญวิปัสสนาเป็นการกำหนดรู้ขันธ์ ๕ ท่ีปรากฏในปฐมฌานโดยเข้าฌานไป ตามลำดบั จนถึงนิโรธสมาบัตหิ ลังจากจึงกำหนดรู้รูปนามทป่ี รากฏในฌานๆตามความเป็นจรงิ การ ปฏิบัติวิปัสสนา สิ่งท่ีจะต้องขาดเสียไม่ไดค้ ือ อารมณ์ของวิปัสสนาหรือวิปัสสนาภูมิ ๖ โดยมีขันธ์ ๕ สรุป คือ รูปนาม เมื่อกำหนดรูปนามจึงเป็นการเจริญวิปัสสนาครบท้ัง ๖ ภูมิ การกำหนด วิปัสสนาเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือการพิจารณากาย การพิจารณาเวทนา การพิจารณาจิต และการพจิ ารณาธรรม การกำหนดรใู้ นฐานท้ัง ๔ นีจ้ ึงเปน็ การกำหนดรูร้ ปู นามในวปิ ัสสนาภูมิ๑๑๒ [๑๑๓] การนำวิธีการการปฏิบัติกรรมฐานในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ พบว่า ท่าน หลวงพ่อเทียน ได้นำวิธีการปฏิบตั ิในพระไตรปิฎกมาใช้ ๒ วิธี คือ วิธเี จริญวปิ ัสสนานำหน้าสมถะ และวิธีปฏิบตั ิเม่ือจติ ถูกชักให้ไขว้เขวเพราะธรรมุธัจจ์ ต่างจากวิธีปฏบิ ัติอานาปานสติแบบสมบูรณ์ ตามแนวท่านพุทธทาสภิกขทุ ี่ใช้วธิ ีเจรญิ สมถะนำหนา้ วิปสั สนา สว่ นวิธีเจรญิ วิปสั สนาระบบลดั สั้น ๑๑๑ อ้างองิ , พระมหาณชั พล พนฺธาโณ (นราวงษ์), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓๓-๕๔] ๑๑๒ อ้างแลว้ , พระพงษ์สทิ ธ์ิ พาหโิ ย (เทพอารนี นั ท์), [รหสั แบบบนั ทึก ๓๒-๕๔]
๑๘๗ ตามแนวพุทธทาสภิกขุได้นำวิธีการปฏิบัติตามแนวพระไตรปิฎกมาใช้ ๒ วิธีเหมือนกับหลวงพ่อ เทยี น จิตตฺ สโุ ภ๑๑๓ [๑๑๔] ความหมาย “สมถยานิกะ”โดยอาศัยกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ สรุปความหมาย กสิณ หมายถึง วัตถุที่นำมาใช้เพ่ง โดยให้เป็นบัญญัติอารมณ์ให้จิตใจไปผูกอยู่ จนมีอารมณ์ แน่วแน่ มีกำลัง และเกดิ สมาธิเป็นไปตามลำดับขั้น โดยอาศัยนิมิตเป็นทางเดินสอู่ ภญิ ญา กสิณ ๑๐ ประการ คือ กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาว อากาศ และกสิณ แสงสว่าง การปฏิบัติกสิณน้ีทุกจริตสามารถฝึกได้ และให้ได้ถึงรูปฌานขั้นปฐมฌานจนถึงจตุตถฌานโดยไม่ ต้องเปล่ียนสมถกรรมฐานอ่ืน การฝึกกสิณ ๑๐ เมื่อฝึกเพ่งวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งจนเกิดปฏิภาค นิมิตแล้วไม่จำเป็นต้องเพ่งวัตถุอื่นอีก สามารถเพ่งต่อไปกสิณอีก ๙ ประเภท เกิดข้ึนมาได้เองและ การฝึกกสิณช่วยให้ปฏิบัติอรูปฌาน ๔ สำคัญคือกสิณสามารถอาศัยเป็นบาทฐานในการปฏิบัติ วปิ ัสสนาต่อไปได้ เมื่อสำเรจ็ เป็นอนาคามบี ุคคลสามารถเข้านิโรธสมาบตั ิได้เพราะสำเร็จรปู ฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ทำให้มีกำลังสมาธิเพพียงพอท่ีจะเขา้ นิโรธสมาบัติได้ สำหรับการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานหลักใหญ่ๆ ๒ ประการคือ แบบ“สมถยานิกะ” และแบบ“วิปัสสนายานิกะ”จากสรุป ลักษณะและความหมายของสมถยานิก ดังนี้ ๑.สมถยานิกะ เป็นชื่อท่ีบัญญัติกันในคัมภีร์ชั้นหลัง เช่น คัมภีร์อภิธรรมปรมัตถติกะ มีปรากฎในพระบาลีว่า คืออุภโตภาควิมุติ ๒.เป็นวิปัสสนา ท่ีใช้ สมถภูมิ ๗ หมวด ๔๐ องค์ อย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่างเพ่ือให้เกิดสมาธิในระดับที่อาศัยเป็น บาทฐานเป็นอารมณ์ผ่านอายตนะภายในอายตนะภายนอกแล้วพจิ ารณารูปนามเป็นอนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา จนบรรลุมรรคผลพระนิพพาน เปรียบเสมือนผปู้ ฏิบัติสร้างยานพาหนะข้ึนมาก่อนเมอ่ื สร้าง ยานพาหนะตามความสามารถของตนเองจนพอที่จะน่ังได้แล้วใช้ยานพาหนะท่ีตนสร้างน้ีนั่งไปสู่ จุดหมาย๑๑๔ [๑๑๕]สติปัฏฐาน ๔ เจริญทำให้มากแล้วย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ เมื่อพิจารณา เห็นกายคือลมหายใจเข้าลมหายใจออก มีสติสัมปชัญญะ มีความเพียร ย่อมกำจัดอภิชฌาและ โทมนัสได้ เม่ือสติต้ังมั่นไม่หลงลืม สติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เมื่อมีสติอย่าง ค้นคว้าไตร่ตรองพิจารณาธรรมด้วยปัญญา ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เม่ือ ค้นคว้าไตร่ตรองพิจารณาธรรมด้วยปัญญาปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึง ความเจริญบริบูรณ์ เมอื่ ปีติที่ปราศจากอามิสเกิดขน้ึ แก่ผู้ปรารภความเพียร ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึง ความเจริญบริบูรณ์ เมื่อจิตเกิดปีติ กายและจิตย่อมสงบ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ บริบูรณ์ เม่ือกายสงบมีความสุขจิตต้ังมั่นอยู่ สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เม่ือจิต ตั้งม่ันได้เป็นอย่างดีแล้ววางเฉยจิตท่ีตั้งม่ัน อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ สติ ๑๑๓ อ้างแล้ว, พระมหานิพนธ์ มหาธมมฺ รกขฺ โิ ต (แสมแก้ว), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓/๔๖] ๑๑๔ อ้างแลว้ , อภิราษฎร์ ปรีชาจารย,์ [รหสั แบบบันทึก ๔-๔๖]
๑๘๘ กำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก จัดเป็นกายอย่างหน่ึงในกาย ๑๔ อย่าง ช่ือว่าสติสัมโพชฌงค์ ญาณท่ีสัมปยุตด้วยสติ ชื่อว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเพียรทางกายและทางจิตท่ีสัมปยุตด้วย ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ชื่อว่า วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติท่ีเกิดข้ึน ชื่อว่าปีติสัมโพชฌงค์ปัสสัทธิท่ีเกิดขึ้น ชื่อว่าปัสสัทธสัมโพชฌงค์ จิตเตกัคคตา ช่ือว่าสมาธิสัมโพชฌงค์ อาการเป็นกลางๆคือการไม่ ท้อถอยและการไม่เป็นไปล่วงสัมโพชฌงค์ ๖ ประการชื่อว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ท้ังหมดน้ี ชื่อว่า วิปสั สนาสมั โพชฌงค์ มีกจิ ตา่ งกันแตม่ ีอยใู่ นขณะจติ เดยี วกัน๑๑๕ [๑๑๖] การสอนสติปัฏฐาน ๔ พระพุทธศาสนาเถรวาท พบวา่ สติปฏั ฐาน ๔ เป็นวิธกี าร เดียวเท่าที่จะยังบุคคลผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้สามารถไปสู่เป้าหมายสูงสุดในทาง พระพุทธศาสนาได้ คือ การดับทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและโดยส้ินเชิง แม้ว่าระยะเวลาในการ ปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับเห ตุปัจจั ยภ ายในตัวผู้ปฏิบัติเองแล ะปัจจัยแว ดล้อม ภายนอกเช่น พระวิปสั สนาจารย์ผูใ้ ห้การอบรมดา้ นวปิ ัสสนากรรมฐานสถานทฝ่ี ึกอบรม ระยะเวลา ในการฝกึ อบรม วิธีการฝึกอบรม ในเบ้ืองต้นผู้ปฏิบัติวิปัสสนาพึงรู้ความหมายและความสำคัญของ วิปัสสนาว่ามีนัยสำคัญอย่างไรและมีขอบเขตในการปฏิบัติเช่นไร เพ่ือป้องกันความเข้าใจผิด คลาดเคล่ือน(วิปลาส) จะต้องเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติทุกคนเพียงแต่ว่าจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง มี วิธีการท่ีแน่นอนเท่าประกอบกับจะต้องอาศัยท่านผู้รู้ ท้ังนี้ สติปัฏฐาน ๔ ถือเป็นแกนกลางของ หลักปฏิบัติวิปัสสนาทุกสำนักในประเทศไทยและในต่างประเทศเพราะเป็นคำสอนด้ังเดิมจาก พระไตรปิฎก ส่วนพระวิปัสสนาจารย์ท่านใดจะนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมในการอบรมส่ังสอน เป็นเทคนิคเฉพาะบุคคล แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว มี ๔ ประการหลัก ๑) กายานุปัสสนา การ พิจารณากายในกาย ๒) เวทนานุปัสสนา การพิจารณาเวทนาในเวทนา ๓) จิตตานุปัสสนา การพิจารณาจิตในจิต ๔) ธัมมานุปัสสนา การพิจารณาธรรมในธรรม โดยผู้พิจารณาจะต้องมี องค์พิจารณาอยเู่ นอื งๆ ๓ ข้อ คอื จะตอ้ งมีความเพียร(อาตาปี)มีสติระลึกรอู้ ยเู่ สมอ(สติมา) และ สัมปชัญญะ (สัมปชาโน ความรสู้ ึกตัวทุกขณะ) คอยกำกบั เป็นเครือ่ งมือสำคัญหากบุคคลปฏิบัติ ได้อย่างสม่ำเสมอแล้วผลท่ีได้คือสามารถที่จะกำจัดทำลายอภิชฌาและโทมนัสทั้งปวงออกไปจาก จติ ใจของตนเองได้๑๑๖ [๑๑๗] การเจริญวิปัสสนาภาวนา คือ การเจริญสติปัฎฐานเป็นการปฏิบัติเพ่ือให้เกิด ปัญญารแู้ จง้ เหน็ จริงในสภาวะรปู นาม โดยความเปน็ ไตรลกั ษณ์ การมสี ติระลึกรูใ้ น กาย เวทนา จิต ตา ธรรม เม่ือว่าโดยการปฏิบัติวปิ ัสสนา คือ กายานปุ ัสสนา คอื การพจิ ารณากายในกาย พิจารณา ให้เห็นกายในกายเพ่ือให้มีสติพิจารณาถึงความเป็นรูป ไม่คงที่ แปรปรวน เปล่ียนแปลง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ที่ไม่สามารถบังคับบัญชาจัดเป็นรูปธรรม เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ๑๑๕ อา้ งแล้ว , พระมหาสามารถ อธจิ ติ ฺโต (มนัส), [รหสั แบบบนั ทึก ๓๗-๕๔] ๑๑๖ อ้างแล้ว, บุญเรือง ทพิ พอาสน์, [รหสั แบบบนั ทึก ๔๐-๕๔]
๑๘๙ คือ การพิจารณาเวทนาในเวทนา จิตในจิต พิจารณาให้เห็นเวทนาในกาย เห็นจิตในกาย เพื่อให้มี สตพิ ิจารณาถึงความเปน็ นาม ท่ีเกิดขึน้ ในกายว่าไมค่ งที่ แปรปรวน เปลี่ยนแปลง ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ท่ีไม่สามารถบังคับบัญชา จัดเป็นนามธรรม ธัมมานุปัสสนา คือ การพิจารณาธรรม ในธรรม พิจารณาให้เห็นธรรมในกาย เพ่ือให้มีสติพิจารณาถึงความเป็นนามที่เรียกว่าอารมณ์ของ ธรรมท่ีเกิดขึ้นในกาย ในจิตนี้ ว่าไม่คงที่แปรปรวน เปล่ียนแปลง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ท่ี ไมส่ ามารถบังคับบัญชา จัดเปน็ ทัง้ รูปและนาม๑๑๗ [๑๑๘] สติปัฏฐานท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกสรุปได้ว่านิยามและ ความหมายของสติปัฏฐาน พบว่า มีปรากฏในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎกรวมท้ังมีปรากฏในอรรถ กถาและในเชิงวิชาการหลายแห่ง ความหมายของสติปัฏฐานโดยหลักใหญ่แล้วหมายถึงท่ีตั้งของ สติ ๔ อยา่ งคือ กาย เวทนา จติ ธรรม เพอื่ กำจดั อภชิ ฌาและโทมนสั เพ่ือการดบั ทกุ ขเ์ ห็นแจ้งพระ นิพพาน อันเป็นความมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาสติปัฏฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก พบว่า เป็นพุทธบัญญัติและหลักธรรมคำสอนอยู่ในพระวินัยปิฎกในพระสุตตันตปิฎกทรงแสดงไว้ มากมายทรงแสดงแบบเต็มรูปบ้างทรงแสดงแบบบางส่วนบ้าง ทรงแสดงเป็นการเฉพาะและทรง แสดงไว้ในช่ือกัมมัฏฐานบ้าง และในอภธิ รรมปฎิ กปรากฏในลกั ษณะการจำแนกสตปิ ฏั ฐานในคัมภีร์ วภิ ังคแ์ ละการถาม–ตอบในคัมภรี ก์ ถาวตั ถ๑ุ ๑๘ [๑๑๙] สติปัฏฐาน แปลว่า การตั้งสติ เป็นหมวดหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ แบ่ง ๗ หมวด คอื สตปิ ัฏฐาน ๔ สมั มปทาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อินทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และ มรรคมีองค์แปด เรียกโดยรวมว่า “เอกายนมรรค” สติปัฏฐาน ๔ อย่างเป็นสาระสำคัญแห่งมหา สตปิ ฏั ฐานสตู ร สรุป (๑)กายานุปัสสนา คอื พิจารณาเห็นกายในกาย แบง่ ๖ หมวด คือ ๑)อานา ปานปัพพะ หมวดว่าด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก ๒)อิริยะปถปัพพะ หมวดว่าด้วยการ กำหนดอิริยบถ ๓)สมัปชัญญปัพพะ หมวดสัมปชัญญะ ๔)ปฏิกูลมนสิ การปัพพะ หมวดพิจารณา ของปฏิกูล ๕) ธาตุมนสิการปัพพะ หมวดพิจารณาธาตุ ๖)นวสีถิกาปัพพะ หมวดว่าด้วยการ พิจารณาซากศพ (๒)เวทนานุปัสสนา พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มี ๓ หมวดใหญ่ คือ (๑)สุข เวทนา (๒)ทกุ ขเวทนา (๓)อทุกขมสสุขเวทนา (๓) จติ ตานุปสั สนา คือ พิจารณาเห็นจติ ในจิต เช่น จิตมีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เป็นต้น รู้ชัดตามท่ีมันมีอยู่อย่างๆ (๔) ธัมมานุปัสสนา พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ๕ หมวด คอื ๑)นิวรณ์ ๕ ๒)ขันธ์ ๕ ๓)อายตนะ ๑๒ ๔)โพฌงค์ ๗ ๕) อริยสัจ ๔ ๑๑๙ ๑๑๗ อ้างแลว้ , พระทนงศักดิ์ ปภาโต (ปิยะสขุ ), [รหัสแบบบนั ทกึ ๒๐-๕๔] ๑๑๘ อา้ งแล้ว, พระแสนปราชญ์ ฐติ สทโฺ ธ (เสาศิร)ิ , [รหัสแบบบนั ทกึ ๑๒-๕๔] ๑๑๙ อา้ งแลว้ , พรรณราย รตั นไพฑรู ย์, [รหัสแบบบนั ทึก ๒/๔๔]
๑๙๐ [๑๒๐]ก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ท่านได้ทรงปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานมาแล้ว แต่ได้ทรงพิจารณาเห็นว่า เป็นทางปฏิบัติท่ีไปสุดสิ้นเพียงพรหมโลกมิใช่เป็นทางปฏิบัติท่ีจะไปสู่ พระนิพพาน พระพุทธองค์ได้ทรงเปล่ียนไปปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานแทน“องค์สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้าได้เสด็จอุบัติข้ึนแล้วในโลก ทรงแสดงวิปัสสนากัมมัฏฐานญาณอันสูงสุด รู้เห็นตาม ทัศนะท่ีเป็นจริงอันเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดโดยส่วนเดียว เรียกว่า วิสุทธิมรรค คือ ทาง บรสิ ุทธิ์ ผใู้ ดเดินทางนี้จนถึงที่สุดย่อมบรรลุจุดหมายปลายทาง คือ อมตมหานิพพาน ท่ีบริสุทธ์ิส้ิน กิเลสและพ้นจากกองทุกข์ท้ังปวง” การตีความหมายตามศัพท์ทั้งที่เป็นศัพท์เฉพาะหรือประยุกต์ ข้ึนมาใหม่ตามมลี ักษณะทัศนะคติท่ีหลากหลายมีมุมมองที่แตกต่างจะเป็นการตคี วามหมายทั้งส่วน ปริยัติหรือส่วนแห่งการปฏิบัติตาม ในความหมายหลายย่อมให้ผลท่ีเรียกว่า ปฏิเวธ มีวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นเป็นอันเดียวกันจะแตกต่างเพียงแต่เทคนิคและวิธีการเท่า จะเป็นสมถะและ วิปัสสนาดี หรือสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานดี เม่ือความถึงพร้อมแห่งมรรคมีองค์ ๘ มี สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น องค์แห่งการตรัสรู้ หมายเอา โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกัน ในขณะบรรลมุ รรค ผล และนิพพาน๑๒๐ [๑๒๑] ผลจากการศึกษาเปรียบเทียบภาคทฤษฎีแล้วหลักการใหญ่ๆดำเนินไปตาม หลักฐานที่ปรากฎในพระไตรปิฎกเป็นหลักท้ังส่วนท่ีเป็นสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ความหมายคำว่า“วิปัสสนา”เป็นช่อื ของธรรมหรือปัญญาทคี่ วรเจริญให้มากทำใหม้ ากควบคู่กัน ไปกับ “สมถะ”เป็นธรรมมีอุปการะ ได้แก่ สัญญเวทยิต นิโรธสมาบัติ มีอุภโตภาควิมุตติเป็นผล และคำว่า “สมถะ”เป็นช่ือของความสงบ หมายถึง สภาวลักษณะใดท่ีจิตเป็นสมาธิไม่ฟุ้งซ่าน คือ ลักษณะของสมถะ จะเป็นสมถะดีวิปัสสนาดี ต่างเป็นธรรมที่เก้ือกูลแก่ วิปัสสนาญาณไม่ได้แยก จากกัน ส่วนของคำว่า “กัมมัฏฐาน”เป็นอุบายในการเจริญภาวนาที่มีปรากฎในคัมภีร์ชั้นหลังคือ คัมภีร์วิสุทธ์ิมรรค จะแยกวิปัสสนาออกจากสมถะชัดเจน ดังน้ี อารมณ์ของสมถะแบ่งเป็น ๗ หมวด ๔๐ ประการ มีกสณิ ๑๐ จึงนำคำศพั ทม์ าเชือ่ มกัน เปน็ สมถกัมมฏั ฐานและความหมายของ วิปัสสนากัมมัฏฐาน จัดอารมณ์ของวิปัสสนาเป็น ๖ หมวด เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ ๖ มีขันธ์ ๕ ส่วนในพระอภิธรรมสามารถกระทำได้ ๒ วิธี คือ การภาวนาเพื่อให้จิตใจสงบไม่มีอาการดิ้นรน ไม่ กระสับกระส่ายเข้าสู่ภวังค์บังเกิดเป็นสมาธิ(อัปปนาสมาธิ) เพียงอย่างเดียว วิธีน้ีเรียกว่า “สมถะ กัมมัฏฐาน”และการเฝ้าคอยติดตามควบคุมประคองจิตท่ีเกิดดับอยู่ทุกระยะให้ผูกติดพิจารณาอยู่ ในเร่ืองเดียวอารมณ์เดียวเฝ้าประคองนำเอาอารมณ์ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ที่เรียกว่า “มนสิการ”จนกระท่ังเกิดปัญญา วิธีนี้เรียกว่า“วิปัสสนากัมมัฏฐาน”หรือกล่าวคือ “สมถะ” (Static) เป็นอบุ ายสงบใจ “วปิ ัสสนา” (Dynamic) เปน็ อุบายเรอื งปัญญา๑๒๑ ๑๒๐ อา้ งแล้ว, พระสมบตั ร ฐิตญาโณ (สุขประเสรฐิ ), [รหสั แบบบันทกึ ๖-๔๘] ๑๒๑ อ้างแลว้ , พระสมบตั ร ฐติ ญาโณ (สขุ ประเสรฐิ ), [รหัสแบบบันทกึ ๖-๔๘].
๑๙๑ [๑๒๒] หลักการปฏิบัติที่ปรากฏในพระไตรปิฎกจะมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวตามหาใช่ ประโยชน์สูงสุดไม่ หากเมอ่ื ไม่นำมาปฏิบัติกนั อย่างจริงจังและเผยแผ่แล้วประโยชนแ์ ละคณุ ค่าแห่ง การประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมไม่เป็นไปในแนวทางแห่งพุทธดำรัส ตรัสไว้ในตอนท้ายของมหาสติ ปฏั ฐานสูตร ตามระดับสตปิ ัญญาของเวไนยสัตวๆ์ วิถีแห่งการเขา้ ถึงจุดหมายแห่งพุทธธรรมแม้จะมี สาระสำคัญว่า ต้องประกอบพร้อมด้วยองค์มรรคท้ัง ๘ ข้อเหมือนกันแต่อาจแยกได้โดยวิธีปฏิบัติท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั การใช้สมาธิเปน็ ๒ วิธีคอื ๑. วิธีการที่มุ่งเฉพาะด้านปัญญา คือ การปฏิบัติที่ใช้สมาธิแต่เพียงข้ันต้นๆเท่าที่จำเป็น สำหรับการปฏิบัตหิ รือใชส้ มาธิเป็นเพียงตัวช่วยแต่ใช้สติเป็นหลักสำคัญ สำหรับยึดจับหรือมัดส่ิงที่ ต้องการกำหนดไว้ ให้ปัญญาตรวจพิจารณา คือ วิธีปฏิบัติเรียกว่า วิปัสสนา แท้จริง ในการปฏิบัติ วธิ ีท่ี ๑ นี้สมถะมีอยู่ คือ การใช้สมาธิชั้นต้นๆเท่าท่ีจำเป็นแก่การทำงานของปัญญาท่ีเป็นวิปัสสนา แต่เพราะการฝึกตามวธิ ีนส้ี มถะจะไม่ปรากฎเด่นชดั ออกมา เรียกการปฏิบัตใิ นวิธีท่ี ๑ ว่า เป็นแบบ วิปัสสนาลว้ นๆ ๒. วิธีการที่เน้นการใช้สมาธิ เป็นวิธีปฏิบัติท่ีสมาธิมีบทบาทสำคัญ คือบำเพ็ญสมาธิให้ จิตสงบแน่วแน่จนเข้าถึงภาวะเรียกว่า ฌานหรือสมาบัติขั้นต่างๆก่อนทำให้จิตด่ืมด่ำแน่นแฟ้นอยู่ กับท่ีกำหนดๆการปฏิบัติขั้นนี้เรียกว่า เป็นสมถะ ถ้าไม่หยุดเพียงเท่าน้ีจะก้าวต่อไปสู่ขั้นใช้ปัญญา กำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นเชิงคือ ชั้นวิปัสสนา คล้ายกับในวิธีท่ี ๑ แต่กล่าวตามหลักการว่า ทำ ใหง้ ่ายข้นึ เพราะจิตพร้อมอยู่แล้ว การปฏิบตั ิ คือ วธิ ีทเ่ี รียกว่าใช้สมถะและวปิ ัสสนา ผลสำเร็จของ การปฏิบัติตามวิถีที่ ๑ เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ คือ ความหลุดพ้น เป็นอิสระสิ้นอาสวะด้วยปัญญา เมื่อปัญญาวิมุตติเกิดขึ้น สมาธิขั้นเบ้ืองต้นท่ีใช้เป็นฐานของการปฏิบัติมาแต่เร่ิมแรกม่ันคงและ บรสิ ทุ ธ์ิสมบรู ณ์เข้าควบคกู่ บั ปัญญากลายเปน็ เจโตวิมุตติ แต่เจโตวิมตุ ติในกรณีน้ไี มโ่ ดดเด่น เพราะ เป็นเพียงสมาธิขั้นต้นเท่าที่จำเป็นพ่วงมาด้วยแต่ต้นแล้วพลอยถึงจุดส้ินสุดบริบูรณ์ไปด้วย เพราะ ปัญญาวิมุตติ ผลสำเร็จของการปฏิบัติตามวิธีท่ี ๒ แบ่งได้เป็น ๒ ตอน ตอนแรกท่ีเป็นผลสำเร็จ ของสมถะ เรียกว่า เจโตวิมุตติ คือ ความหลุดพ้น เป็นอิสระพ้นอำนาจกิเลสชั่วคราวเพราะคุมไว้ ได้ด้วยกำลังสมาธิของจิต และตอนท่ีสองเป็นข้ันสุดท้าย เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ เหมือนอย่างวิธี แรก เม่ือถึงปัญญาวิมุตติแล้ว เจโตวิมุตติท่ีได้มาก่อนเส่ือมถอยได้ม่ันคงสมบูรณ์กลายเป็นเจโต วิมุตติที่ไม่กลับกลายอีกต่อไปเม่ือแยกโดยบุคคลผู้ประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติตามวิถีทั้งสองน้ี (๑) ผู้ได้รับผลสำเร็จตามวิธีแรก มีปัญญาวิมุตติเด่นชัดออกหน้าอยู่อย่างเดียว เรียกว่า“ปัญญา วมิ ุตติ”คือ ผู้หลุดพ้นดว้ ยปัญญา (๒)สว่ นผู้ได้รบั ผลสำเร็จตามวิธีท่ีสอง เรยี กวา่ “อุภโตภาควมิ ุตติ” คือผู้ หลดุ พ้นทั้งสองสว่ น ท้ังด้วยสมาบัติและอรยิ มรรค ข้อท่ีควรทราบเพ่ิมเตมิ และเน้นไว้เก่ียวกับ วิธีที่สอง คือ วิธีท่ีใช้ท้ังสมถะและวิปัสสนา ผู้ปฏิบัติได้ผลสำเร็จเป็น อุภโตภาควิมุตติ มีว่า ผู้
๑๙๒ ปฏิบัติตามวิถีน้ีอาจประสบผลได้พิเศษในระหว่าง คือ ความสามารถต่างๆท่ีเกิดจากฌานสมาบัติ ดว้ ย โดยเฉพาะทเ่ี รียกวา่ อภิญญา ๖ อยา่ ง๑๒๒ [๑๒๓] แนวคดิ เร่ืองปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า ปัญญาท่ีสมั พันธ์กับฌาน ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากภาวนามยปัญญา หรือเรียกว่าวิปัสสนาปัญญา ไม่ใช่ปัญญาทางโลก ทว่ั ๆไป เป็นโลกุตรปญั ญาเป็นปญั ญาที่จะนำความรู้แจ้งในทุกๆ ส่ิง นำความพ้นทุกขม์ าสู่ผปู้ ฏบิ ัติ ไม่มีการฝึกฝนแทนกันได้ แนวทางนี้ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทเรียกว่า การปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน เพื่อให้เกิดผลท่ีสุดแห่งปัญญา คือ อาสวักขยญาณ คือ การทำอาสวะให้สิ้น แนวทาง วิปัสสนาต้องผ่านกระบวนการ เรียกว่า มหาสติปัฏฐาน ๔ประการ คือ ๑.กายานุปัสสนา ๒. เวทนานุปัสสนา ๓.จิตตานปุ ัสสนา ๔.ธมั มานปุ ัสสนา๑๒๓ [๑๒๔] ปัญญาเกิดข้ึนไดด้ ้วยอาศัยมหาสติปฏั ฐาน ๔ เช่น กายานุปัสสนา การพิจารณา เห็นกายว่าเปน็ ของไม่เที่ยง เป็นทกุ ข์ ไม่ใช่ตัวตน เปน็ ต้น เมื่อปฏิบัตอิ ย่างน้ีจิตจะค่อยๆ เปน็ สมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจะเห็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนตามความเป็นจริง คือ เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจรงิ ในปัจจุบัน เป็นปัญญาทีเ่ กดิ ขน้ึ ในภายใน ผลของการบรรลุปัญญานีค้ ือ ญาณ เพราะสามารถนำไปสู่ความหลุด พ้นจากกิเลสโดยส้ินเชิง สรุป การปฏิบัติแนวสติปัฏฐาน ๔ คือ การใช้สติพิจารณากำหนดรู้ อารมณ์ที่เป็นท้งั รปู ธรรมและนามธรรมที่เกิดข้ึนในปัจจบุ ันแต่ถ้านึกถึงแต่สงิ่ ทเี่ ป็นอดีตและอนาคต แล้ว ทำให้จิตใจขาดพลังจะเกิดความหลงลืมตัวได้ง่าย ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ถ้าปฏิบัติกายา นปุ ัสสนาอยา่ งเดยี ว เมื่อปฏิบตั ิอยา่ งน้ีทำให้ได้บรรลุธรรมยากผู้ที่ปฏบิ ัติกายานุปัสสนา สภาวธรรม ของสติปัฏฐานข้ออ่ืนๆบังเกิดข้ึนต้องมีสติกำหนดรู้ เช่น เกิดเวทนา กำหนดรู้อาการของเวทนา เป็นต้น เม่ือปฏิบัติเช่นนีท้ ำให้สมาธิแกก่ ล้าเรว็ อย่างไรตามหลักการปฏิบัติแนวสติปัฏฐานเป็นหลัก ในการปฏบิ ตั ิทีส่ ำคญั ย่ิงของพระพทุ ธศาสนา๑๒๔ [๑๒๕] ความสัมพันธ์ระหว่างฌานและปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาทวิธีและ แนวทางของการปฏิบัตฌิ านและปญั ญารวมทัง้ ความสัมพนั ธ์ที่เก่ียวข้องกนั อิงอาศัยกนั เป็นตัวหนุน เน่ืองส่งเสริมกันและกัน สรุปได้ ความสัมพันธ์ของฌาน(สมถะ)และปัญญา(วิปัสสนา)พบว่า ที่ เข้าใจกันมาแต่เดิมว่าการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ปฏิบัติแต่วิปัสสนาไม่ต้องปฏิบัติสมถะได้ ในการศึกษา เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฌานแลปัญญาจำเป็นต้องปฏิบัติอิงอาศัยกันจะขาดอย่างใดอย่าง หน่ึงมิได้ ผู้ที่ประสงค์จะบำเพ็ญฌาน (สมถะ) ก่อนแล้วจึงบำเพ็ญปัญญา (วิปัสสนา) ทีหลังได้ จะ บำเพ็ญวิปัสสนา (ปัญญา) ก่อนแล้วจึงบำเพ็ญสมถะ ทีหลังได้ หรือจะบำเพ็ญพร้อมกันได้ตาม ความต้องการของแต่ละคน แต่ว่าผลการปฏิบัติที่จะได้รับแตกต่างกันคือผู้ปฏิบัติฌาน (สมถะ) ๑๒๒ อ้างแลว้ , พระสมบตั ร ฐติ ญาโณ (สุขประเสรฐิ ), [รหัสแบบบันทึก ๖-๔๘] ๑๒๓ อา้ งแล้ว, พระมหากฤช ญาณาวุโธ (ใจปลื้มบุญ), [รหสั แบบบนั ทกึ ๕-๔๗] ๑๒๔ อา้ งแลว้ , พระมหากฤช ญาณาวโุ ธ (ใจปลมื้ บุญ), [รหสั แบบบนั ทกึ ๕-๔๗].
๑๙๓ อย่างเดียว ผลที่ได้รับคือได้อภิญญา และหลุดพ้นจากกิเลสเรียกว่า วิกขัมภนวิมุติ(การหลุดพ้น จากกิเลสดว้ ยการข่มไว้) ผู้ปฏิบัติปัญญา(วิปัสสนา) อยา่ งเดียว ผลที่ได้รบั คือ ญาณ ที่นำไปสู่ความ หลุดพ้นหรอื เรียกว่า ปญั ญาวิมุติ(การหลดุ พ้นจากกิเลสโดยอาศัยวิปัสสนาปญั ญา ส่วนผู้บำเพ็ญท้ัง ฌานและปัญญา คือ บรรลุฌานแล้วอาศัยฌานเป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนาปัญญา ผลที่ ได้รับคอื ความหลุดพ้นจากกิเลสเหมือนกัน การหลุดพน้ ประเภทนี้เรียกว่า เจโตวิมุติหรืออุภโตภาค วิมุติ(การหลุดพ้นจากกิเลสโดยอาศัยฌานและปัญญาท้ังสองอย่าง) เห็นได้ว่า ฌานและปัญญา ต้องอิงอาศัยกันและกัน เพ่ือพัฒ นาไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ มรรค ผล นิพพาน ใน พระพุทธศาสนา หากผู้ใดผา่ นกระบวนการฝึกฝนท่ีเรียกว่าการบำเพ็ญฌานและปัญญาจนสามารถ บรรลุจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้ ถือว่าเป็นบุคคลท่ีมีศักยภาพในการเผยแผ่หลักคำสอน ของพระพุทธศาสนาได้มากกล่าวไดว้ ่า ฌานและปัญญามบี ทบาทอนั สำคัญย่ิงในการช่วยใหป้ ัจเจก ชนบรรลคุ วามหลดุ พ้น(วิมุต) ในพระพุทธศาสนา๑๒๕ [๑๒๖]ปัญญาเจตสิกธรรม คือ ธรรมชาติที่รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริงเม่ือว่าโดย ลักขณาทิจตุกกะ คือ มีการรู้แจ้งสภาวธรรมเป็นลักษณะ มีการกำจัดความมืด(อโมหะ) เป็นกิจมี ความไม่หลง(ติดอยู่) เป็นผล มีสมาธิ เป็นเหตุใกล้ ปัญญามีหลายระดับ สุตตมยปัญญา จินตามย ปัญญา ภาวนามยปัญญา โดยลำดับในการเจริญปัญญาที่เกิดข้ึนย่อมขจัดเสียทิฏฐิกิเลส คือ ความเห็นผิด คิดว่ารูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นเราแล้วถูกทำลายด้วยวิปัสสนาญาณจนเข้าไปแจ้งพระ นิพพานสัมปชัญญะตรงกับภาษาบาลีว่า สมฺปชาโน คือ ความรู้สึกตัว เป็นความรู้สึกตัวขณะ กำหนดรู้ชัดอารมณ์รูปธรรมและนามธรรมที่เป็นปัจจุบัน ได้แก่ สัมปชัญญะ ๔ คือ ๑.สาตถก สัมปชัญญะการกำหนดรู้ชัดอารมณ์ที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ๒.สัปปายสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ชัดอารมณ์ท่ีเป็นสัปปายะ ๓.โคจรสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ชัดอารมณ์กรรมฐาน ๔. อสัมโมหะสัมปชัญญะ การกำหนดรชู้ ัดอารมณ์ทุกขณะโดยไม่หลง การเจริญสติปัฏฐาน อาตา ปี สัมปชาโน สติมา หรือ ความเพียร สัมปชัญญะ สติ ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์กรรมฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม (รปู -นาม) สัมปชาโนหรือสัมปชญั ญะ มอี งคธ์ รรม ได้แก่ ปัญญาเจตสิก หรือ เป็นปัญญาที่ในสัมปชัญญะ ๔ ทำหน้าที่เป็นเจตสิกเป็นธรรมอันเดียวกัน ด้วยอำนาจปัจจัยแล้ว สัมปชญั ญะ คือ ปญั ญาเจตสิกแต่ยังมีกาลังอ่อนอยู่ เมื่อพัฒนาหรือมกี ำลงั แกก่ ลา้ แลว้ จึงพัฒนามา เป็นปัญญา สรุปว่า สัมปชัญญะเป็นช่ือของปัญญา คือ ความรู้สึกตัวที่เกิดข้ึนจากการกำหนดรู้รูป นามที่กำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเป็นอารมณ์ (อารมณ์ปัจจุบัน)ส่วนปัญญาหรือปัญญาเจตสิก คือ ธรรมชาติท่ีเห็นแจ้งตามสภาวธรรมตามความเป็นจริง ธรรมท้ังสองทากิจหน้าท่ีเดียวกันคือ คือ รู้ ปัจจุบัน รู้รปู นาม รพู้ ระไตรลกั ษณ์ รมู้ รรค ผล นพิ พาน๑๒๖ ๑๒๕ อา้ งแลว้ , พระมหากฤช ญาณาวโุ ธ (ใจปลื้มบญุ ), [รหสั แบบบันทกึ ๕-๔๗] ๑๒๖ อ้างแลว้ , พยงุ พ่มุ พวง, [รหสั แบบบนั ทึก ๔๔–๕๔]
๑๙๔ [๑๒๗] การศึกษาหลักไตรสิกขาและภาวนา ๔ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่ พระไตรปิฎกและวรรณกรรมชั้นรองๆลงมา พบว่า พระไตรปิฎกเป็นเอกสารปฐมภูมิโดยเฉพาะ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ดิกนิบาต ได้กล่าวถึง สิกขา๓ ในฐานะกิจท่ีสมณะพึงกระทำได้ อย่างชัดเจนและพบมากท่ีสุด นอกจากนี้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ได้แจกแจงแสดงลำดับขั้น ของอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ไว้โดยละเอียดสำหรับเอกสารชั้นรองลงมา อย่าง คัมภีรว์ ิมุตติมรรคและวิสุทธิมรรคต่างแสดงท้ังหลักการและรวบรวมแนวทางในการปฏิบัติ ตามหลักไตรสิกขาที่แบ่งประเภทตามจริงของผู้ศึกษาเพ่ือให้สามารถเข้าถึงสัจธรรมได้ตามลำดับ โดยใช้ วิสุทธิ๗ เป็นเกณฑ์วัดความก้าวหน้าในการศึกษา ส่วนเอกสารเชิงวิชาการร่วมสมัยอย่าง พุทธธรรม ให้ความสำคัญกับปัจจยั ที่เหน่ียวนำให้เกิดการปฏิบัติฝึกอบรม คือ กัลยาณมิตรและโย มิโสมนสิการแสดงความสัมพันธ์ที่มิอาจแยกจากกันได้ระหว่างอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นข้ันตอน อย่างละเอียดของไตรสิกขากับวิถีการดำเนินชีวิต โดยใช้ภาวนา ๔ เป็นตัววัดความก้าวหน้าของ การศึกษา นอกจากนี้เอกสารในเชงิ ปฏิบัติของพระภิกษุสายวิปัสสนาธุระ อาทิ พระราชวุฒาจารย์ (ดูลย์ ยตุโล) พระราชนิโรธรังสี(เทสก์ เทสรังสี) ท่านภททันตะอาสภมหาเถระ ต่างให้ความสำคัญ กับการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยกรอบสติปัฏฐาน ๔ เป็นการฝึกปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา เพื่อให้เห็นจริงตามคำสอนได้ด้วยตนเอง โดยใช้การละสังโยชน์๑๐ และการได้มาวิสุทธิ ๗ เป็น เกณฑ์วดั ความสำเร็จในการศกึ ษา๑๒๗ [๑๒๘] ภาวนา ๔ กล่าวในคัมภีร์พระไตรปิฎกว่าเป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์สำเร็จ การศกึ ษาแลว้ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) ไดข้ ยายความวา่ ภาวนา ๔ เป็นภาพลักษณ์ของ กาย ศีล(สังคม) จิต(อารมณ์) ปัญญา ของบุคคลผู้ผ่านการฝึกอบรมตามหลักไตรสิกขาท่ีจะสะท้อน ออกมาในระหว่างการดำเนินชีวิตว่าเป็นผู้ที่พัฒนาแล้ว ภาวนา ๔ จึงเป็นคุณสมบัติที่เพิ่มค่าให้ บุคคลกลายเป็นผู้ควรแก่การยกย่อง ชวนให้ผู้พบเห็นนำไปเป็นแบบอย่างเพ่ือปฏิบัติตาม เป็นการ ช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ย่ังยืนได้อีกทางหน่ึงท้ายที่สุดภาวนา ๔ ยังสามารถนำไปใช้เป็น เครอื่ งมอื วัดความก้าวหนา้ ในการฝกึ ปฏิบัตติ ามหลักไตรสิกขาได้๑๒๘ [๑๒๙] โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ประกอบด้วย สติปฏิฐาน ๔ สมั มัปปธาน ๔ อิทธิ บาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘ เป็นหลักธรรมท่ีนำไปสู่การปฏิบัติ เพือ่ การบรรลุธรรม โดยเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ในวาระต่างๆเพื่อใหเ้ หมาะกบั จรติ นสิ ัย ของแตล่ ะบุคคล แต่ละหมวดธรรมมีความสมบูรณอ์ ยใู่ นตัวผู้ปฏิบัติธรรมจะถือหมวดไหนในการ ๑๒๗ อ้างแลว้ , พิชญรชั ต์ บุญชว่ ย, [หัสแบบบนั ทึก ๙ – ๔๙] ๑๒๘ อ้างแล้ว, พชิ ญรัชต์ บญุ ช่วย, [รหสั แบบบนั ทึก ๙ – ๔๙]
๑๙๕ ปฏบิ ัตสิ ามารถบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกันเปรียบเหมือนแมน่ ้ำทกุ สายยอ่ มไหลลงสู่มหาสมุทรฉันใด การปฏบิ ัตธิ รรมตามหมวดธรรมใดยอ่ มนำไปสู่บรรลธุ รรมได้๑๒๙ [๑๓๐] การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เมื่อเจริญสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อาศัยวเิ วก วิราคะ นโิ รธ น้อมไปเพื่อการสละ โพชฌงค์ ๗ ที่เจริญทำให้มากบริบูรณ์แล้ว ย่อมทำ วิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ สติที่กำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นโลกิยะ ลมหายใจ เข้าลมหายใจออกท่ีเป็นโลกิยะย่อมทำสติปัฏฐาน ๔ ท่ีเป็นโลกิยะให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่ เป็นโลกิยะย่อมทำโพชฌงค์ ๗ ที่เป็นโลกุตตระให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ท่ีเป็นโลกุตตระย่อมทำ วิชชา วมิ ุตติ ผล และนิพพาน ท่เี ป็นโลกตุ ตรธรรมใหบ้ รบิ รู ณ์๑๓๐ [๑๓๑] วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางอนุปทสูตรเป็นการปฏิบัติวิปัสสนาโดยใช้ สมาธเิ ปน็ ฐานเสียก่อนโดยผู้ปฏิบตั ิต้องเข้าปฐมฌานและออกจากปฐมฌานแลว้ จงึ นำสภาวธรรมที่ ปรากฏมากำหนดพิจารณาโดยสภาวธรรมในปฐมฌาน วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาและธรรม สัมปยุตธรรม ปรากฏข้ึนในการกำหนดรู้วิตกพึงกำหนดว่าวิตกมีลักษณะเป็นธรรมท่ีจิตยกขึ้นสู่ อารมณ์ หรอื เรียกอีกอยา่ งว่า การตรกึ นกึ คิดเมื่อวิตกเกิดขน้ึ รู้ชัดวา่ สภาวธรรมมีการต้ังอยู่และดับ ไป การท่ีผู้ปฏิบัติกำหนดรู้เป็นการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานจะกำหนดรู้สภาวะของ วิจารว่าเป็นสภาวธรรมที่ใคร่ครวญในอารมณ์ ความตริตรองเป็นสภาวะท่ีจิตสืบเน่ืองต่อจากวิตก สภาวะของวิจารนี้มีลักษณะเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไปเช่นเดียวกับวิตก การกำหนดรู้เช่นน้ีเป็นการ กำหนดรู้ในสติปัฏฐาน และเม่ือกำหนดพิจารณาปีติ ย่อมรู้ชัดว่าปีติน้ี เป็นธรรมท่ียินดีพอใจใน อารมณ์ โดยในการกำหนด วติ ก วิจาร ปีติ จึงเป็นการกำหนดสังขารขันธ์หรอื ความปรงุ แต่งของจิต ทป่ี รากฏในปฐมฌาน การกำหนดเช่นน้ีจึงเป็นการเจริญสติปัฏฐานในหมวดธมั มานุปัสสนาสติปัฏ ฐานผู้ปฏิบัติสามารถเข้าปฐมฌานและออกจากปฐมฌานแล้วกำหนดสภาวธรรมท่ีปรากฏข้ึนมา พิจารณาถึงความเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดับไป แล้วจึงได้เข้าทุติยฌานและออกจากทุติยฌานนำเอา สภาวะในองค์ทุติยฌานมากำหนดพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา โดย สามารถเข้าฌานไปตามลำดับแห่งฌานสมาบัติสภาวธรรมที่ปรากฏข้ึนดังที่กล่าวมานี้ เป็น สภาวธรรมท่ีเกิดจากการปฏิบัติโดยมีองค์ฌานเป็นบาทฐานแล้วพิจารณาสภาวธรรมต่างๆเป็น พระไตรลักษณ์ การกำหนดเห็นสภาวธรรมต่างๆเป็นการกำหนดสติปัฏฐาน วิธีการเป็นการเจริญ วปิ สั สนาหรอื การกำหนดสติปฏั ฐานตามแนวหลักธรรมในอนปุ ทสูตร๑๓๑ ๑๒๙ อา้ งแลว้ , พระมหาอำนวย อานนฺโท (จันทรเ์ ปลง่ ), [รหัสแบบบนั ทกึ ๑-๔๒] ๑๓๐ อ้างแลว้ , พระมหาสามารถ อธิจติ โฺ ต (มนัส), [รหัสแบบบันทกึ ๓๗-๕๔] ๑๓๑ อ้างแล้ว, พระพงษ์สทิ ธ์ิ พาหิโย (เทพอารนี นั ท์), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓๒-๕๔]
๑๙๖ [๑๓๒] การกำหนดระลึกรู้ในรูปนาม เรียกว่า สติปัฏฐาน หมายถึง สถานที่อันเป็นที่ต้ัง สติในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ๔ ประการ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ดังแสดง องค์ประกอบของสติปฏั ฐาน ๔ ต่อไปน้ี สติปฏั ฐาน ๔ องคป์ ระกอบ ได้แก่ ฐานกาย ๖ ประการ คอื อานาปานะ อิริยาบถ สัมปชญั ญะ ปฏิกูลมนสิการ ธาตุมนสกิ าร และนวสีวถิกะ ฐานเวทนา ๙ ประการ คือ สุข ทุกข์ เฉย ท่ีประกอบในอามิส ๓ และท่ีประกอบในนิรามิส ๓ ฐานจิต ๑๖ ประการ แบ่ง เป็น ๘ คู่ คือ ราคะ ไม่มีราคะ โทสะ ไม่มีโทสะ โมหะ ไม่มีโมหะ หดหู่ ไม่หดหู่ มหัคคตะ ไม่เป็นมหัคคตะ อุตตร อนุตตร ตั้งมั่น ไม่ตั้งม่ัน และหลุดพ้น ไม่หลุดพ้นฐานธรรม มี ๕ หมวด คือ นิวรณ์ อุปาทานขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ และสัจจะ สรุปได้ว่า สติปัฏฐาน ๔ ได้รูป ๑ กับนาม ๓ ประการ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ช่ือว่า ภาวนา ดังหลักฐานที่ปรากฏใน คัมภรี ์ทฆี นิกาย อรรถกถาว่าช่ือว่าการไม่ถูกต้องธรรมบางอย่างในกายเวทนาจิตและธรรมท้ังหลาย แล้ว ภาวนาไม่มีเลย การเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือ การระลึกรไู้ ปในอารมณ์รูปและนาม การกำหนด รู้สัจจะ ๓ อันเป็นญาณชนั้ โลกิยะ คือ การกำหนดรู้ทุกขสจั จ์ด้วยการกำหนดรู้นามและรูป กระทำ มาก่อนแล้วในทิฏฐิวิสุทธิ การกำหนดรสู้ มุทยสัจจ์ด้วยการกำหนดรู้ปัจจัย กระทำมาแล้วใน กงั ขา วติ รณวิสุทธิ การกำหนดรู้มคั คสัจจ์ด้วยการจำกดั แต่เพียงมรรคโดยชอบ กระทำแล้วในมัคคามัคค ญาณทัสสนวิสุทธิ ความรู้ว่าทางและมิใช่ทางน้ี ช่ือว่า ได้เกิดวิปัสสนา เพราะการรู้แจ้งเห็นจริงว่า รูปนาม เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง และเป็นอนัตตาอย่างชัดเจนทาให้มีความก้าวหน้าในญาณต่อไป อธิโมกข์ หมายถึง ความตัดสินใจเช่ือโดยอาศัยวิปัสสนาญาณท่ีดำเนินไป พบ สภาวธรรมวิเศษ ๙ ในอุปกิเลส ๑๐ คือ แสงสว่าง(โอภาส) ความรู้(ญาณ) ความอ่ิมใจ(ปีติ) ความสงบ(ปัสสัทธิ) ความสุข(สุข) ความน้อมใจเช่ือ(อธิโมกข์) ความเพียร(ปัคคาหะ) สติ(อุปัฏฐาน) ความวางจิต เป็นกลาง(อุเบกขา) เพราะสภาวธรรมดังกล่าวจึงทำให้ผู้ปฏิบัติม่ันใจในการปฏิบัติของตนว่าเป็น พระธรรมจริงแท้แน่นอนจงึ ตดั สินใจเช่ือโดยไมต่ อ้ งใชป้ ญั ญาพจิ ารณาในปัจจุบันเลยทำให้เกดิ ความ พอใจ(นิกันติ) ในคุณธรรมท่ีตนพบในการปฏิบัติคิดว่า สิ่งเหล่าเป็นมรรคผล นิพพาน ความเข้าใจ เรยี กว่า มคั คามคั คญาณทัสสนวิสุทธิ๑๓๒ [๑๓๓] อธิโมกข์ปรากฏในหมวดธัมมานุปัสสนาตรงกับหลักฐานในคัมภีร์ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรคเรื่อง ธัมมุทธัจจะ หมายความว่า อธิโมกข์ ช่ือว่าอุทธัจจะ ท่านให้เหตุผลว่าผู้ท่ี หลงใหลในธรรมวิเศษที่เป็นปรากฏการณ์ในวิปัสสนาอ่อนเป็นปัญญาที่ยังไม่แก่กล้า ด้วยอำนาจ แหง่ ความยินดีพอใจในผลของการปฏิบัติท่ีเกิดขึ้นกบั ตน จนเป็นเหตุให้วปิ ัสสนาญาณเศรา้ หมองไม่ ผ่องใส ความหลงใหลใน อมัคคะ วา่ เป็นมัคคะ ท่านเรียกว่า ความฟุ้งซ่านในทางธรรมหรือในการ ปฏิบัติ ต่างจากความฟุ้งของคนท่ัวไป ความฟุ้งนี้เป็นธรรมท่ีละเอียดประณีตเป็นส่ิงที่รู้ไม่ได้ด้วย การนึกคิดพิจารณาใดๆสำหรับท่านผู้อยากรู้ว่าเป็นเช่นไรแตกต่างกันอย่างไรควรที่จะปฏิบัติตาม ๑๓๒ อ้างแลว้ , พระครปู ลัดศภุ ชยั ปริชาโน (ฉัตรค)ู่ , [รหสั แบบบันทกึ ๓๑–๕๔]
๑๙๗ หลักสติปัฏฐานเถิดเมื่อกล่าวถงึ อธโิ มกข์ในลาดบั แห่งญาณปัญญาท่ีร้เู ห็นความเกิดข้ึนและความดับ ไป ช่ือว่า อุทยัพพยญาณ เป็นญาณที่ ๔ ในญาณ ๑๖ แต่เป็นญาณท่ี ๒ ในญาณ ๑๐ และเป็น ญาณท่ี ๑ ในญาณ ๙ ดัง อุทยัพพยญาณ มี ๒ อย่าง คือ ๑.อุทยัพพยญาณอย่างอ่อน(ตรุณ อทุ ยัพพยญาณ) เป็นญาณที่มีวิปัสสนูปกิเลสอยู่ อยู่ในช่วงแห่งวิสุทธิ คือ รูว้ ่าเป็นทางหรือมิใช่ทาง (มคั คามคั คญาณทัสสนวิสุทธิ) ๒.อุทยัพพยญาณอย่างแก่(พลวอุทยัพพยญาณ) เป็นปัญญาท่ีเห็น ความเกิดดับของรูปนามผ่านวปิ ัสสนูปกิเลสไปจัดเข้าในวิสทุ ธิ ๖ คอื ปฏิปทาญาณทัสสนวิสทุ ธเิ ป็น ความแน่วแน่แห่งปฏิปทาเป็นความรู้อย่างบริสุทธ์ิในหนทางท่ีจะบรรลุมรรค ผล นิพพานมี หลักฐานในคัมภีรว์ สิ ุทธิมรรคแสดงว่า วิปสั สนูปกิเลสไม่เกดิ ข้ึนแกพ่ ระอรยิ สาวกผู้บรรลุปฏิเวธแล้ว ผูป้ ฏบิ ตั ิผิดผลู้ ะท้งิ กรรมฐานบคุ คลเกยี จครา้ นอธโิ มกข์จงึ ไมเ่ กดิ กับบคุ คลดังกลา่ ว๑๓๓ [๑๓๔] โอภาส หมายถึง แสงสว่างเกิดจากความศรัทธาที่ประกอบดว้ ยกศุ ลไมใ่ ช่ศรัทธา ท่ีเป็นอกุศลตัวอย่าง เร่ืองอนาถบิณฑิกเศรษฐีเกิดความศรัทธาในการทำบุญกับพระพุทธเจ้าถึงกับ นอนไม่หลับท้ังคืนต้องตื่นแต่ดกึ เพ่ือไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพราะศรัทธาที่แรงมองไม่เห็นความมืด แต่พอผ่านเข้าไปในเขตป่าช้าปรากฏว่าเดินไปสะดุดซากศพตกใจเกิดความฟุ้งซ่าน เป็นถึง ๓ ครั้ง ได้มีเทวดามาช่วย จึงเกิดพลังศรัทธาทำให้เกิดรัศมีแผ่ซ่านออกนอกร่างกายด้วยอำนาจแห่ง ศรทั ธานี้เป็นลักษณะศรทั ธาแต่ยงั ไม่จัดเป็นวปิ ัสสนาเพราะยังขาดการเจรญิ ภาวนาตามหลกั สติปัฏ ฐาน ๔ เมื่อภาวนาจนเกิดปัญญาญาณ คือ เห็นความเกิดดับของรูปนาม ผู้ที่หยั่งรู้ในรูปนาม ด้วยปัญญาคือเห็นความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน โอภาสมีลักษณะดังนี้ (๑) โอกปฺปน ลกฺขณา มีความปลงใจเช่ือด้วยปัญญา เป็นลักษณะ (๒) ปกฺขนฺทน รสา มีความแล่นไป เป็น หน้าท่ี (๓) อธิมุตฺติ ปจฺจุปฏฺานา มีความน้อมใจเช่ือ เป็นผลปรากฏ (๔) สทฺธมฺมสวนาทิโสตาปตฺ ติยงฺคปทฏฺานา มีองค์แห่งโสดาปัตติมรรค (มีการฟังพระสัทธรรม) เป็นเหตุใกล้ สัทธานี้จัดเป็น ธรรมเบื้องต้น ในอันท่ีจะทำให้บุคคลได้ประกอบคุณงามความดีเป็นบุญ–กุศลขึ้นมา เจริญภาวนา ในบุญกิริยาวัตถุและสัทธาที่จะเกิดขึ้นได้ ย่อมต้องอาศัยวตั ถุอันเป็นที่ต้ังแห่งความเชื่อ ได้แก่ พระ รตั นตรยั กรรม และ ผลของกรรม เปน็ ตน้ ๑๓๔ [ [๑๓๕] ด้านการปฏิบัติวปิ ัสสนา อธิโมกข์ เกิดจากการเจริญวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน เป็นการปฏบิ ัติเน้นสติเป็นใหญ่ในการกำหนดระลึกรูร้ ูปนามเม่ือขยายออกไปแล้ว ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ธรรมเหล่านี้ เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ หมายถึง อารมณ์ของวิปัสสนา ชื่อว่า วิปัสสนา หมายถึง สภาวะการรู้แจ้งใน อารมณ์ โดยความเป็นของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เมื่อผู้ปฏิบัติกำหนด รูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์ได้อย่างชัดเจนเช่น ขันธ์ ๕ โดยลักษณ์ ๕๐ อย่างตามหลักทาง ๑๓๓ อ้างแลว้ , พระครูปลัดศุภชัย ปริชาโน (ฉัตรค)ู่ , [รหสั แบบบนั ทึก ๓๑–๕๔] ๑๓๔ อ้างแล้ว, พระจติ ตพฒั น์ โสภณปญโฺ ญ (กิจจาณฏั ฐ)์ , [รหัสแบบบันทกึ ๒๙ –๕๔]
๑๙๘ ศาสนา จะเกิดความเชอื่ ม่นั ศรัทธาในแนวทางการปฏิบัตโิ ดยมีสติระลึกรูอ้ ย่ใู นรปู นามท่ีเป็นอารมณ์ ของวิปัสสนาภาวนา ความศรัทธาในพระรัตนตรัยจึงจนพบ สภาวะของโอภาส คือ แสงสว่างอัน เกิดจากความศรัทธาในแนวทางการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และ สภาวธรรม เมอื่ กล่าวโดยสรปุ ในการปฏิบตั ติ ามหลกั สตปิ ัฏฐานมอี งค์ประกอบ ดังนี้ ตารางโครงสร้างสติปัฏฐาน ๔ ประการ องคป์ ระกอบฐาน ๔ ฐานที่ ๑ กาย มี ๖ หมวด ฐานท่ี ๒ เวทนา มี ๙ อยา่ ง ฐานที่ ๓ จติ มี ๘ คู่ ๑๖ อยา่ ง ฐานที่ ๔ ธรรม มี ๕ หมวด สรุปว่าในฐานกาย ๖ หมวด แบ่งเป็น ๓ ส่วนคือ สมถะ ๒ ส่วน คือ ปฏิกูล และป่าช้า ๙ แบ่งเปน็ วิปัสสนา ๓ ส่วน คือ อิริยาบถ ๔ สัมปชัญญะ ๗ และธาตุ ๔ และเปน็ ท้ังสมถวิปัสสนาคือ อานาปานสติว่าเป็นสมถะหรือวิปัสสนาแต่กำหนดรู้อยู่จุดเดียวตามคำแนะนำวิปัสสนาจารย์ คือ กำหนดรู้กายและใจตามความเป็นจริงจนเกิดปัญญาหยั่งรู้ในรูปนามว่าไม่เท่ียงเป็นทุกข์และ ไมใ่ ช่ตัวตน๑๓๕ [๑๓๖] การบรรลุธรรม พบว่า การเจริญวิปัสสนา คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ พระพุทธ องค์ได้ตรัสการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานไว้ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร จัดว่าเป็นการ ประกาศแนวทางในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ดงั มีพระดำรสั วา่ เอกายโน อย ภกิ ฺขเว มคฺโค สตฺตาน วสิ ุทธฺ ิยา โสกปริเทวาน สมตกิ ฺกมาย ทกุ ฺขโท มนสฺสาน อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย, ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺฐานา. “ทางนีเ้ ป็นทางเดยี ว เพอื่ ความบรสิ ทุ ธิข์ องเหลา่ สัตว์ เพือ่ ล่วงโสกะ และปรเิ ทวะ เพ่ือความดับทุกข์ และโทมนัส เพ่ือบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔” การเจริญ วปิ ัสสนาภาวนา คือ การเจริญสติปฏั ฐาน ๔ เพราะผูป้ ฏิบัตวิ ิปัสสนาจะต้องกำหนดร้รู ูปนามหรือ ขันธ์ ๕ จนจิตมีความสงบนิ่งอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จนเกิดปัญญาหยั่ง เห็นพระไตรลักษณ์ ว่าสังขารขนั ธ์นี้ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน หาแก่นสารมิได้จนถอนอัตตาตัวตนเสียได้และหลุด พ้นจากกองกิเลสกองทุกข์ทั้งปวง จนกระท่ังบรรลุมรรคผลนิพพาน การเจริญวิปัสสนาภาวนา คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพราะผู้ปฏบิ ัติวิปัสสนาจะต้องกาหนดรรู้ ูปนาม หรือขันธ์ ๕ จนจิต มีความสงบนิ่งอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึง จนเกิดปัญญาหยั่งเห็นพระไตรลักษณ์ว่าสังขาร ๑๓๕ อา้ งแลว้ , พระจติ ตพัฒน์ โสภณปญฺโ ญ (กิจจาณัฏฐ)์ , [รหสั แบบบนั ทึก ๒๙–๕๔]
๑๙๙ ขันธ์ว่า ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน หาแก่นสารมิได้จนถอนอัตตาตัวตนเสียได้ และหลุดพ้น จากกองกิเลสกองทุกขท์ ั้งปวง จนบรรลมุ รรคผลนพิ พาน๑๓๖ [๑๓๗] สัมมัปปธาน ๔ เก้ือหนุนต่อการบรรลุธรรม พบว่า สัมมัปปธาน ๔ ปรากกฎใน พระไตรปิฏก ๓ หมวด คือ พระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก และพระอภิธรรมปิฏก ส่วนใหญ่แล้ว เป็นหลักธรรมที่เก่ียวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เป็น ๑ ใน ๗ ของโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เมื่อกลา่ วถึง สัมมัปปธาน ๔ คร้งั ใด ต้องมีหลักธรรมอกี ๖ หมวด มาประกอบด้วย เพราะ แต่ละหมวด มีความเพียรมาเกี่ยวข้องเสมอ สรุปได้ว่า สัมมัปปธาน ๔ เป็นหลักธรรมหน่ึงใน ๗ หมวด ของ โพธปิ ักขิยธรรม เป็นหลักธรรมทีส่ ำคัญในการตรัสรู้ จากการศกึ ษาสัมมัปปธาน ๔ ท่ีมี ความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาพบว่า เป็นหลักธรรมท่ีประกอบด้วยองค์ ๔ เรียกว่า ความเพยี ร เป็นหลักธรรม มีปรากฎในหลักธรรมอน่ื ๆ อีกมากมาย ในโพธปิ ักขยิ ธรรม ๓๗ ประการ เป็นหลักธรรมแห่งการตรสั รู้จะตอ้ งมีความเพยี รเข้าไปประกอบดว้ ยทกุ ครัง้ ไป๑๓๗ [๑๓๘] หลักธรรมในปุณโณวาททสูตร กล่าวว่า การกำหนดอายตนะเป็นภูมิวิปัสสนา ใน การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในการเจริญวิปัสสนา คือ วิชชา ๓ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ อริยสัจ ๔ ท่าน พระปุณณะใช้หลักธรรมในการปฏิบัติวิปัสสนา คือ สติปัฏฐาน ๔ หมวดอายตนะ เป็นอารมณ์ใน การปฏิบัติ หลักปฏิบัติธรรมในปุณโณวาทสูตร หลักปฏิบัติธรรมท่ีปรากฏในปุณโณวาทสูตร ปรากฏในข้อความตอนท้ายพระสูตร คือ หลักปฏิบัติเร่ิมต้ังแต่การออกบวชด้วยความมีศรัทธาใน พระพุทธศาสนา เมอ่ื บวชแล้ว ตั้งใจปฏิบัติธรรม แต่ไม่มคี วามก้าวหน้าในการปฏิบัตจิ ึงได้เข้าไปขอ โอวาทจากพระพุทธ องคใ์ นหลักการปฏิบัติวิปัสสนาแล้วนำไปปฏิบัติที่เมืองสุนาปรันตะ พระพุทธ องค์ทรงประทานโอวาทหลักการปฏิบัติให้ เร่ืองอายตนะ ความสำรวม ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ท่านปฏิบัติโดยการเจริญสมถะนำหน้าวิปัสสนา ได้บรรลุวิชชา ๓ คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ ท้ังหลาย เรียกอีกอย่างว่า ทิพพ จักขุญาณ อาสวักขยญาณ ความรู้ท่ีทำอาสวะให้สิ้น ที่สามารถแสดงฤทธ์ิได้ ในพระสูตรมีความ ตอนหนึ่งวา่ นอ้ งชายของทา่ นพระปุณณะได้ประสบกับภัยทางทะเลแล้วได้ระลึกถงึ ทา่ นพระปณุ ณะ ด้วยอานุภาพของวิชชา ๓ ท่ีพระปุณณะมี จึงได้เหาะขึ้นสู่อากาศทำให้พวกอมนุษย์เห็นจึงเกิด ความกลัวแลว้ พากนั หนีไป๑๓๘ [๑๓๙] วิเคราะห์สติปัฏฐานท่ีพระเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎก พบว่า หลักการทาง สายเดียวกับหลักการทางสายกลางเป็นหลักการเดียวกัน ส่วนหลักสมถะและวิปัสสนาในทาง พระพุทธศาสนามี ๔ วิธี ท้ัง ๔ วิธีใช้วิปัสสนาเป็นหลักเพ่ือเข้าถึงพุทธธรรม ในการวิเคราะห์ ๑๓๖ อา้ งแล้ว, พระวรมน ขนฺตโิ ก (วัดถุมา), [รหสั แบบบันทกึ ๒๘-๕๔] ๑๓๗ อ้างแลว้ , พระวรมน ขนตฺ โิ ก (วดั ถุมา), [รหสั แบบบนั ทกึ ๒๘-๕๔] ๑๓๘ อ้างแล้ว, พระทรงยศ ยสธโร (ตง้ั จิตพิทกั ษ์กุล), [รหสั แบบบันทกึ ๒๗ – ๕๔]
๒๐๐ กระบวนการและผลการปฏิบัติพบองค์ประกอบหลักคือ ฝ่ายที่ทำ ฝ่ายท่ีถูกทำ อาการที่กำหนด และตามดูรู้ทัน และผลของการปฏิบัติ สำหรับอุปสรรคของการปฏิบัติมี ๖ อย่าง คือ ความเป็นผู้ ชอบการงาน ชอบการพูดคุย ชอบการนอนหลับ ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่คุ้มครองทวารใน อนิ ทรียท์ ัง้ หลาย ไมร่ ู้จักประมาณในการบริโภค ในด้านความสำคัญของสติปฏั ฐานพบว่า (๑)สตปิ ัฏ ฐานในฐานะอริยสัจภาคปฏิบัติ (๒)สติปัฏฐานเป็นการรักษาพระสัทธรรม (๓)ฐานะของสติในพุทธ ธรรม (๔)สติปัฏฐานมีคุณค่าทางสังคม (๕)การเจริญสติปัฏฐานคือการอยู่อย่างไม่มีทุกข์ท่ีจะต้อง ดับ สรุปได้ว่าสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกมีความกว้างขวางครอบคลุม หลักพุทธธรรมทรงแสดงต้ังแต่หลักพื้นฐานทั่วๆไปจนไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานมีหลากหลายรูปแบบท้ังที่ทรงตรัสแสดงใน ฐานะเปน็ พุทธบญั ญตั ิ ในฐานะหลักธรรมคำสอน ทรงแสดงเตม็ รปู แบบบา้ งทรงแสดงเพียงบางสว่ น บ้าง ทรงแสดงไว้เป็นการเฉพาะและทรงแสดงไว้ในชื่อกัมมัฏฐานอ่ืนบ้างและทรงตรัสแสดงเพื่อ เชื่อมโยงหรือขยายไปสู่หลักธรรมอ่ืนๆพบว่ามีคำอธิบายทั้งใน ด้านหลักการและวิธีปฏิบัติอย่าง สมบูรณ์ครบถ้วน โดยเฉพาะในมหาสติปัฏฐานสูตรมีรายละเอียดสมบูรณ์เต็มรูปแบบเพียงพอต่อ การนำไปปฏบิ ัติกัมมัฏฐานไดด้ ว้ ยตนเอง๑๓๙ [๑๔๐]หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในพระไตรปิฎกเพื่อการบรรลุพระนิพพานที่ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีอยู่ทางสายเดียวคือ หลักสติปัฏฐาน ๔ และหลักธรรมโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ได้แก่ สตปิ ัฏฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ล้วนแต่ต้องมีสติและใช้สติกำกับถือว่าเป็นหลักที่สำคัญสำหรับกำหนดในทุกทวาร เพือ่ ป้องกนั การเกิดตัณหาและอุปาทานนำไปสู่การติดในสังสารวฏั ถ้าหากผู้ใดชำนาญในการใช้สติ สามารถปิดก้ันไม่ให้กิเลสเข้าสู่จิตด้วยหลักสติปัฏฐานทั้ง ๔ ในพระอภิธรรมปิฎกและคัมภีร์วิสุทธิ มรรค ยังได้รวบรวมอารมณ์พื้นฐานสำหรับการปฏบิ ัติตามหลกั สตปิ ัฏฐาน หรอื วิปสั สนากมั มัฏฐาน เรยี กวา่ วิปสั สนาภมู ิ ๖ เปน็ หลักท่ีจะใช้เจริญสตปิ ฏั ฐานหรือวปิ ัสสนา๑๔๐ [๑๔๑] วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท การปฏิบัติ สมถกัมมัฏฐานมีมาแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ส่วนวิปัสสนากัมมัฏฐานมีเฉพาะในสมัยพุทธกาลโดย สอนเน้นที่จุดสำคัญคือ เรื่อง อนัตตา ตรงข้ามกับ สมถกัมมัฏฐานหรือลัทธิความเชื่ออ่ืนๆท่ีเช่ือใน เรื่อง อัตตา การประกาศอนัตตลักษณะเป็นวิสัยของพระสัพพัญญูพุทธเจ้ามิใช่วิสัยของคนทั่วไป เพราะว่าอนัตตลักษณะสุขุมคัมภีรภาพยิ่งนัก สมัยพุทธกาลพระสาวกเรียนกัมมัฏฐานจาก มหา สติปัฏฐานสูตรเป็นพุทธพจน์ท่ีสอนการปฏิบัตินับว่าเป็นพระตำรากัมมัฏฐานสำคัญรุ่นพระบาลี และเป็นคัมภีร์กัมมัฏฐานรุ่นแรก ก่อนคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นคัมภีร์รุ่นหลังแต่นักปฏิบัติได้นิยมใช้วิ ๑๓๙ อ้างแล้ว, พระแสนปราชญ์ ฐิตสทฺโธ (เสาศริ ิ), [รหสั แบบบนั ทึก ๑๒-๕๔] ๑๔๐ อา้ งแลว้ , อณวิ ัชร์ เพชรนรรตั น์, [รหสั แบบบันทกึ ๑๐–๔๙].
๒๐๑ สทุ ธมิ รรคเป็นหลกั ในการศกึ ษาสำหรับการปฏิบัติสมถและวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ในมหาสตปิ ฏั ฐาน สูตรมีการสอนกัมมัฏฐานถึง ๒๑ บรรพ กัมมัฏฐานในสูตรมีท้ังสมถะและวิปัสสนาแต่วิธีปฏิบัติท่ี พระพุทธองค์ทรงสอนไว้บ่อยท่ีสุดในพระไตรปิฎกเป็นท่ีนิยมตราบปัจจุบันคืออานาปานสติ ตาม หลักฐานหากเริ่มเจริญอานาปานสติโดยทำใหม้ ากแล้วย่อมบำเพ็ญสตปิ ัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ผู้ท่ี เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้วย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ผู้ท่ีเจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ในท่ีสุดนอกจาก หลักปฏิบัติที่สอน เช่นในมหาสติปัฏฐานสูตรแล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสเน้นสอนภิกษุ ในธรรมวิหาริกสูตร ว่ามิใช่ เพียงแค่รู้ในส่ิงที่เรียนมาหรือรู้แล้วมาบรรยายสอนผู้อื่นหรือสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมา หรือเพียงแค่การตรึกตามธรรมแต่พระองค์สอนใหไ้ ปปฏิบัติท่ีโคนตน้ ไม้หรือทเ่ี รือนว่างและให้สาวก ทง้ั หลายจงเพ่งฌาน อยา่ ประมาท อยา่ เปน็ ผู้มคี วามเดือดรอ้ นในภายหลงั อย่าปล่อยเวลาให้ลว่ งไป โดยการไม่หลีกออกเร้นอยู่ ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน และ ทรงสอนให้ทราบชัดเนื้อความ ของธรรมที่ยิ่งข้ึนไปด้วยปัญญา นับว่าเป็นผู้อยู่ในธรรมเส้นทางที่นักปฏิบัติประสงค์จะเจริญ วิปัสสนาเพ่ือบรรลุความบริสุทธิ์ที่เริ่มด้วยอานาปานสติภาวนาเมื่อทำฌานให้เป็นวสีคล่องแคล่ว แล้ว ตอ้ งกำหนดนามรปู เพ่ือเริ่มเจริญวิปสั สนาโดยเมือ่ กำหนดนามรูปแลว้ แสวงหาปจั จยั ของนาม รูปเห็นนามรูปด้วยพระไตรลักษณ์ ละวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ เห็นการเกิดดับของนามรูป บรรลุการตามเห็นความดบั แห่งนามรปู แลว้ เบ่ือหนา่ ยคลายความกำหนัดหลดุ พ้นในสังขารทั้งปวงที่ ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัวเพราะเห็นแต่นามรูปท่ีดับไปหาระหว่างคั่นมิได้ จนบรรลุ อริยมรรค ๔ ตามลำดับจนถึงอรหัตผลการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นยอดของการบูชาเพราะเป็นการ ปฏิบัติตามรอยยุคลบาทของพระพุทธองค์ดังการบูชาด้วยอามิสใดๆไม่เท่ากับการปฏิบัติบูชาตาม หลกั สตปิ ัฏฐาน ๔๑๔๑ [๑๔๒]การศึกษาอริยมรรคในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ปรากฏในคัมภีร์ พระไตรปิฎก พบว่าหลักธรรมที่เป็นแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ สามารถเข้าถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ และสามารถบรรลุมรรคญาณ ผลญาณ และนิพพานได้ในท่ีสุด อรยิ มรรค คือ ทางอันประเสริฐ หรือทางดำเนินของพระอริยะ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ ๑. สัมมาทฏิ ฐิ(เห็นชอบ) ๒.สัมมาสังกปั ปะ(ดำริชอบ) ๓.สัมมาวาจา(เจรจาชอบ) ๔.สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) ๕. สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ) ๖.สัมมาวายามะ(เพยี รชอบ) ๗.สัมมาสติ(ระลึกชอบ) ๘. สัมมาสมาธิ(ต้ังจิตม่ันชอบ) สติปัฏฐาน แปลว่า ธรรมอันเป็นท่ีตั้งแห่งสติ หมายถึง อารมณ์ ของสติ ไดแ้ ก่ กาย เวทนา จิต ธรรม หลักปฏิบัติดังนี้ ๑)พิจารณาเห็นกายในกายอยู่มคี วามเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๒)พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่มี ๑๔๑ อ้างแล้ว, อณิวชั ร์ เพชรนรรัตน์, [รหัสแบบบนั ทกึ ๑๐–๔๙]
๒๐๒ ความเพยี ร มีสัมปชัญญะ มสี ติ พึงกำจัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกได้ ๓)พิจารณาเห็นจติ ในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๔)พิจารณาเห็นธรรมใน ธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ สติปัฏฐาน ๔ เป็นหนทางสายเดียวท่ีจะนาพาผู้ปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังพระพุทธดำรัสว่า“ภิกษุทั้งหลาย ทางน้ีเป็นทางเดียวเพ่ือความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตว์ เพ่ือล่วงโสกะและปริเทวะเพื่อดับทุกข์และ โทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการองค์ธรรมที่เป็น เครื่องเกื้อหนุนให้การเจริญสติปัฏฐานสำเร็จ คือ อาตาปี ความเพียรเผากิเลส สัมปชาโน มี ปัญญาหยั่งเหน็ สตมิ ามสี ติ๑๔๒ [๑๔๓] ความสัมพนั ธ์กันของหลักอรยิ มรรคกับสติปฏั ฐาน คอื เป็นข้อปฏิบตั ทิ ่ีเกย่ี วเน่อื ง กนั อิงอาศัยกันเป็นแนวทางเดียวกัน คือ อริยมรรคเป็นข้อปฏิบัติใหญ่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ข้อ ปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง โดยวิธีการปฏิบัติคือปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ เพราะต้องอาศัยกาย เวทนา จิต และธรรม เป็นอารมณ์ในการปฏบิ ัตวิ ิปสั สนาภาวนา อริยมรรคมีองค์ ๘ สงเคราะห์เข้า ในสติปัฏฐาน ๔ และสงเคราะห์เข้าในไตรสิกขาจากสงเคราะห์ดังกล่าวทำให้ทราบว่าการเจรญิ สติ ปัฏฐานเท่ากับเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะโลกุตตรมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ เหมือนประตู พระนครหลวง กาย เหมือนทิศตะวันออก และผู้ปฏิบัติธรรมเม่ือมาด้วยเจริญกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน โดยวิธี ๑๔ อย่างแล้วจะไปสู่ที่เดียวกัน คือ พระนิพพาน ด้วยอริยมรรคที่เกิดข้ึนด้วย อานุภาพของกายานุปัสสนา เหมือนคนท้งั หลายท่ีมาจากทิศตะวันออกถือเอาสิ่งของท่ีมีข้ึนทางทิศ ตะวันออกแล้ว เข้าถึงพระนครได้เหมือนกันทางประตู ทิศตะวันออกได้ เพราะอริยมรรคมีองค์ ๘ กับสติปัฏฐาน ๔ มีความสอดคล้องกัน เม่ือมีการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ย่อมจะสามารถเกิดมรรคมี องค์ ๘ ได้ เพราะวา่ อริยมรรคมอี งค์ ๘ ปรากฏในสติปัฏฐานหมวดธัมมานปุ ัสสนาว่าด้วยเร่ืองสจั จะ ๔ คือ มรรคสัจ เมื่อมรรคสัจปรากฏเท่ากับว่าวิปัสสนาญาณได้ปรากฏข้ึนเช่นกันโดยเฉพาะมรรค ญาณเป็นหลักฐานเห็นว่า การปหานกิเลสในมรรคญาณ คือ อรหัตตมรรคญาณ คือ ตัวดับตัณหา คือ สมุทัยสัจ การเจริญสติปัฏฐาน หมวดจตุสัจจกรรมฐาน (กรรมฐานท่ที ำใหแ้ ทงตลอดสัจจะ ๔ เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา(การเจริญวิปัสสนา) เพราะเป็นบุรพภาคมรรค(หนทางเบ้ืองต้นในการ บรรลุโลกุตตรธรรม) การเจริญสติปัฏฐานตอ้ งมี วริ ิยะ สติ สมาธิ และปัญญา คืออริยมรรคมีองค์ ๘ คือ วิริยะ ได้แก่ สัมมาวายะ สติ ได้แก่ สัมมาสติ สมาธิ ได้แก่ สัมมาสมาธิ จัดเป็น สมาธิขันธ์ สงเคราะห์เข้าในอาตาปี ในสติปัฏฐาน ปัญญา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ จัดเป็น ปัญญาขันธ์ สงเคราะห์เข้าในสัมปชาโน ในสติปัฏฐาน ส่วนมรรค อีก ๓ ประการ คือ สมั มาวาจา สมั มากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเป็นสีลขันธ์ สงเคราะห์เข้าในสติมาใน สติปัฏฐาน ผู้ปฏิบัติธรรม ๑๔๒ อา้ งแล้ว, พระอำนาจ ขนฺติโก (ภาคาหาญ), [รหสั แบบบันทึก ๒๔ – ๕๔]
๒๐๓ จาต้องรักษาให้บริสทุ ธ์ิก่อนเริม่ ปฏิบัติธรรม สัมมาวาจาเป็นตน้ เป็นอริยมรรคทเ่ี กดิ ขนึ้ ก่อน เพราะ ผู้ปฏิบัติธรรมได้สมาทานศีลก่อนการปฏิบัติ เพื่อให้ความประพฤติทางกายและวาจาบริสุทธิ์ ส่วน อริยมรรคอีก ๕ อย่างอื่น เป็นส่ิงที่ผู้ปฏิบัติธรรมสั่งสมอบรมในเวลาเจริญวิปัสสนา เมื่อเป็นดังน้ี เขาได้ช่ือว่า เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ ในขณะท่ีปฏิบัติธรรมการเจริญสติปัฏฐาน คือ การเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือเจริญมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา(ข้อปฏิบัติอันเป็น ทางสายกลาง) เม่ือผู้ปฏิบัติธรรมดำเนินไปตามทางสายกลางเช่นน้ีแล้วตั้งสติระลึกรู้สภาวธรรม (รูปนาม)ปัจจุบันที่ปรากฏทางทวารท้ัง ๖ จะเห็นทุกส่ิงตามความเป็นจริง เกิดญาณปัญญาท่ีรู้ แจ้งนิพพาน สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ ๒ องค์นี้สงเคราะห์ด้วยวิปัสสนายาน(พาหนะ) เคร่ืองนำไป คือ วิปัสสนา ที่เหลืออีก ๖ องค์สงเคราะห์ด้วยสมถะ ยาน (พาหนะ) เคร่ืองนำไปคือ สมถะ พระอรยิ สาวกทา่ นเว้นส่วน ๒ คือ เว้นกามสุขัลลิกานุโยค ด้วยวิปัสสนายาน และเว้นอตั ตกิ ลมถานุโยค ด้วยสมถะยาน ดำเนินไปยังมัชฌิมาปฏิปทา คือทาง สายกลาง ทำลายกองโมหะด้วย ปัญญาขนั ธ์ ทำลายกองโทสะด้วยสีลขันธ์ ทำลาย กองโลภะด้วยสมาธขิ ันธ์ถึงปญั ญาสมั ปทาดว้ ยอธิ ปัญญาสิกขา ถึงสีลสัมปทาด้วย อธิสีลสิกขาถึงสมาธิสัมปทาด้วยอธจิ ิตตสิกขา ทันทีท่ีถึงพรอ้ มด้วย สกิ ขา ๓ แจ้งพระนิพพาน ในการปฏิบตั ิพบว่า มรรคญาณท่ีมนี ิพพานเป็นอารมณ์ คือ เหน็ อริยสัจ ๔ อย่างแจ่มแจ้ง เป็นภาวนามยปัญญา มุ่งหมายไปที่เห็นความดับแห่งทุกข์ (นิโรธสัจ) เป็นหลัก เพราะในขณะที่เห็นนิโรธสัจ อริยสัจ ๓ ที่เหลือปรากฏอยู่ในด้วยอุปมาเหมือนเงาท่ีติดตามต้นไม้ ฉันใด อปุ ไมยวา่ นิโรธเป็นต้นไม้และอริยสัจ ๓เป็นเช่นเงาแห่งต้นไม้ การเห็นพร้อมเพียงกันในขณะ เดียวช่ือว่าเห็นแจ้งอริยสัจด้วยเหตุน้ีผู้ท่ีบรรลุอริยมรรคแล้วมรรคจิตย่อมพบนิพพาน เพราะมี นิพพานเปน็ อารมณ์(นิโรธสจั ) การท่ีได้บรรลมุ รรคญาณ ชอ่ื ว่าเหน็ แจ้งนิโรธสจั ด้วยมรรคญาณ๑๔๓ [๑๔๔] ศรัทธา หมายถึง ความเช่ือ มีความแตกต่างจากศรัทธาในความหมายโดยทั่วไป ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทได้แสดงศรัทธาไว้ ๒ อย่าง คือ ๑)ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา และ ๒) ศรัทธาท่ีไม่ประกอบด้วยปัญญา ในศรัทธา ๒ อย่าง ศรทั ธาอย่างท่ี ๒)ศรัทธาชนิดน้ีเป็น ศรัทธาในปัญญาของพระพุทธศาสนาอย่างแทจ้ ริง เพราะพัฒนาคนให้เป็นอริยะไดจ้ ริง ในงานวิจัย นีพ้ บศรัทธามี ๓ ระดับจัดเป็นในศรัทธา ระดับภาวนามยปัญญา หมายถึง ศรัทธาจากการเจริญ สติปัฏฐาน ๔ จนเกิดปญั ญารูแ้ จง้ ในรูปนามตามความเปน็ จรงิ เรียกวา่ วปิ ัสสนา๑๔๔ [๑๔๕] การเจริญวิปัสสนาภาวนาในช่วงแรกอันหมายถึง ตรุณอุทยัพพยญาณ เป็น วิปัสสนาญาณอ่อนๆอยู่ เพ่ิงเร่ิมเกิดปัญญา ศรทั ธาน้ีหมายถึง อธิโมกข์ ท่ีเป็นความปักใจเชื่ออย่าง แรงกล้า เพราะไม่เคยพบ เมื่อเกิดปัญญาหยั่งรู้ในรูปนามโดยความเป็นของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ทน ยาก และ ความไม่มีตัวตน ความจริงศรัทธากับอธิโมกข์ความแตกต่างกันท้ังโดยความหมาย องค์ ๑๔๓ อา้ งแลว้ , พระอำนาจ ขนฺติโก (ภาคาหาญ), [รหัสแบบบันทกึ ๒๔–๕๔] ๑๔๔ อ้างแล้ว, พระชัยพร จนทฺ วโํ ส (จนั ทวงษ)์ , [รหสั แบบบนั ทกึ ๒๓–๕๔]
๒๐๔ ธรรมและเหตุที่ทาให้เกิด คือ ตัวหนึ่งเป็น สัทธาเจตสิก หมายถึง ความผ่องใสในกุศลธรรมคุณ งามความดีโดยเฉพาะเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย โดยองค์ธรรม คือ สัทธาเจตสิกคอื เชื่อส่งิ ท่ีควรเช่ือ ในทางพระพุทธศาสนาเท่า เหตุที่ทำให้ศรัทธาชนิดน้ีเกิดขึ้น คือ การคบสัตบุรุษ การฟังพระ สัทธรรม การใส่ใจในธรรมดังกล่าว การน้อมเอาหลักธรรมดังกล่าวมาพิจารณาการปฏิบัติตาม หลักธรรมตามโอกาสวันเวลาและสถานท่ีจะเอื้ออำนวยในปัจจุบันประเทศไทยได้มีนโยบายเปิด โอกาสให้พุทธศาสนกิ ชนไดม้ าปฏิบตั ิวปิ ัสสนาภาวนา เชน่ มีการจัดโครงการอบรมวิปสั สนาภาวนา ในลักษณะ ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน เพื่อสนองนโยบายของสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถือ ประเทศเรายังเป็นปฏิรูปเทสวาโสตามหลักในมงคล ๓๘ ประการตัวหน่ึงเป็นอธิโมกข์ หมายถึง การตัดสินใจเช่ือเป็นสภาวะที่เชื่อมั่นในคุณงามความดีทุกอย่าง เพราะเป็นศรัทธาท่ีอยู่ในกลุ่มของ เจตสกิ ทด่ี ีงาม มคี วามเช่อื ในศีล สมาธิ และปัญญา๑๔๕ [๑๔๖] ภัทเทกรัตตสูตร เน้ือหาสาระของพระสูตรเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติธรรมให้บรรลุถึง ความเป็นผู้เจริญในธรรม เข้าถึงได้ในปัจจุบันเนื่องจากมีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาเฝ้าพระบรม ศาสดาถึงท่ีประทับ ณ วัดพระเชตะวัน กรุงสาวัตถี พระองค์ทรงเล็งเห็นอัชฌาสัยของพระภิกษุ ท้ังหลายที่พอท่ีจะตรัสรู้ได้ในปัจจุบัน ทรงแสดงพระสูตรโดยมีพระประสงค์ให้เร่งปฏิบัติธรรมเพื่อ ผลในปัจจุบันสาเหตุการเกิดพระสูตรจึงเป็นไปตามอัธยาศัยของผู้ฟังจัดเป็นประเภทปรัชฌาสยะ ในพระสูตรน้ีพระพุทธเจ้าได้ใช้รูปแบบและวิธีการนำเสนอระดับย่อย ๓ รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบ และวิธีการนำเสนอประเภทคาถาหรือความร้อยกรองรูปแบบและวิธีการนำเสนอโดย การต้ัง ประเด็นถามตอบเองและรูปแบบและวิธีการการกล่าวสรุปย้ำปิดท้าย ภัทเทกรัตตสูตรมี ความสำคัญเน่ืองจากแสดงให้เห็นถึงหลักการปฏิบัติและข้อปฏิบัติเบื้องต้นแห่งการประพฤติ พรหมจรรย์แม้ได้ปฏิบัติตามเพียง ๑ วัน กับ ๑ คืน สามารถเจริญในธรรมได้ส่งผลให้สามารถ บรรลธุ รรมอนั เปน็ จดุ หมายสูงสดุ ในพระพุทธศาสนาได้๑๔๖ [๑๔๗] เน้ือหาหลักปฏิบัติตามภัทเทกรัตตสูตรคือหลักการระลึกรู้อย่างชัดเข้าใจชัดเห็น แจ้งธรรมอยกู่ บั ปจั จบุ ัน หลักการใชค้ วามเพยี รและหลกั การระลึกถึงความตายพบว่า(ก) หลกั การ ระลึกรู้อย่างชัดเข้าใจชัดเห็นแจ้งธรรมอยู่กับปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติจะสามารถเห็นธรรมปัจจุบันได้ อย่างชัดเจน จะต้องประกอบไปด้วยหลักการ ๓ คือ (๑)การไม่คำนึงถึงส่ิงที่ล่วงไปแล้ว ผู้ปฏิบัติ จะต้องไม่คิดถึงขันธ์ ๕ หรืออายตนะในอดีตท่ีผ่านมาแล้วที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วและได้ดับไปแล้ว ปัจจุบันเป็นธรรมท่ีไม่ได้มีปรากฏอยู่ ผู้ปฏิบัติไม่ควรท่ีจะหวนระลึกคิดถึงและยึดมั่นถือม่ันขันธ์ ๕ หรืออายตนะทีผ่ ่านไปแลว้ ด้วยตัณหา เพราะความทะยานอยาก ดงั กล่าวจะเปน็ สาเหตทุ ี่ทำให้เกิด ความทุกข์ นอกจาก ยังเป็นสาเหตุท่ีทำให้จิตใจตกไปสู่ความฟุ้งซ่านได้อีกด้วย เพราะฉะ ผู้ปฏิบัติ ๑๔๕ อา้ งแลว้ , พระชัยพร จนทฺ วํโส (จันทวงษ์), [รหสั แบบบนั ทึก ๒๓–๕๔] ๑๔๖ อ้างอิง, พระครูพิสฐิ สรภาณ (นริ นั ดร์ ศิรริ ัตน์), [รหัสแบบบันทกึ ๒๖-๕๔].
๒๐๕ จึงไมค่ วรคำนึงถึงสิ่งที่ลว่ งไปแล้ว(๒) การไม่ควรหวังส่ิงท่ียังไม่มาถึง ผู้ปฏิบัตจิ ะต้องไม่คาดหวังถึง ขันธ์ ๕ หรืออายตนะท่ียังไม่มาถึง เพราะการคาดหวงั ถึงส่ิงท่ยี ังไม่มาถึงดังกล่าวเปน็ สาเหตุท่ีทำให้ ตัณหา(ความทะยานอยาก) และทิฏฐิ(ความยึดม่ันถือม่ัน)อาศัยความเพลิดเพลินเกิดข้ึนความ ทุกขจ์ ึงปรากฏข้ึนเนอ่ื งจากสภาวปจั จุบันไมเ่ ป็นไปตามท่ีตนปรารถนาและยังทำให้จิตกวัดแกว่ง จิต ซดั ส่ายสง่ ผลให้ฟุ้งซ่านในท่ีสุด จึงไม่ควรคาดหวังถึงขันธ์ ๕ หรืออายตนะที่ยังไม่มาถึง (๓)การเห็น แจ้งธรรมท่ีเป็นปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน เพื่อให้เกิดความเข้าใจท่ีชัดเจนมากย่ิงขึ้น จึง สามารถอธิบาย ๒ ประเด็น คือ การไม่ม่ันคงในธรรมปัจจุบันและการมั่นคงในธรรมปัจจุบัน (ข) หลักการใช้ความเพียรท่ีปรากฏพระสูตรนี้เป็นการกล่าวถึงผู้มีราตรีเดียวเจริญจักต้องเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านท้ังกลางวันกลางคืนขยันในการเจริญสติในการตามกำหนดรู้ขันธ์ ๕ ปัจจุบันในแต่ละ ขณะๆต้ังแต่แรกเริ่มในการปฏิบัติจนกระท่ังถึงจบการปฏิบัติเป็นความเพียรตามลักษณะหน้าที่ใน ชาคริยานุโยค ผู้ปฏิบัติที่มีความเพียรตามลักษณะของพระสูตรจะต้องขยันต่ืนตัวอยู่โดยการตามรู้ ชัดถึงธรรมท่ีกำลังปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบันขณะตลอดเวลาท้ังในการเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอย่าง มน่ั คงและต่อเนื่องทงั้ กลางวันจนถึงกลางคืน ไม่เห็นแก่การนอน ไมป่ ระกอบในสขุ ในการนอนหลับ นอนในยามกลาง ๔ ช่วั โมง ตอ่ จากลกุ ขึน้ ชำระจิตใหส้ ะอาดจนตลอดยามสุดทา้ ยจงึ จะถือว่าเป็น ผู้ มีชวี ิตอยู่เพียงแค่คืนเดียวนับว่าเป็นผู้เจริญ (ค)หลักการระลึกถึงความตายพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง การระลึกถึงความตายในพระสูตรน้ีโดยทรงมีพุทธประสงค์ให้บุคคลได้รีบเร่งขวนขวายประกอบ ความเพียรในการปฏิบัติการระลึกถึงความตายตามสาเหตุในลักษณะต่างๆจะเป็นเหตุที่ทำให้เกิด ความเพยี ร เพราะการระลึกถึงความตายเป็นอุบายปลุกเร้าคณุ ธรรม หรือโยนิโสมนสิการแบบเร้า กุศล เปน็ ความคิดเช่ือมโยงให้เกดิ การลงมือกระทำด้วยความรู้สึกต่ืนตัว ไม่ประมาท เร่งขวนขวาย ในการปฏิบัติต่อไป เริ่มจากการพิจารณาความตายโดยชีวิตผู้ปฏิบัติท่ีพิจารณาว่าความตายเป็น ความวิบัติของร่างกายโดยร่างกายนี้เป็นของสาธารณะแก่สัตว์ท้ังหลายและปั จจัยที่ทำให้ถึงความ ตายมีจำนวนมาก จากพิจารณาความตายโดยอายุ ผู้ปฏิบัติท่ีพิจารณาว่าชีวิตของเรานี้เป็นชีวิตท่ี นอ้ ยมนุษย์ท่ีมีอายุยืนยาวมากที่สุดอย่างมากเป็นอย่ไู ด้เพียงแค่ ๑๐๐ ปี เกินกว่า ๑๐๐ ปีไปมีบ้าง แต่มีน้อย สุดท้ายพิจารณาความตายโดยขณะผู้ปฏิบัติท่ีพิจารณาว่าระยะกาลแห่งชีวิตนี้ส้ันจนไม่ น่าวางใจช่ัวขณะหน่ึงความตายจะเกิดขึ้นกับเราในทุกๆขณะเลย หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าตายหรือแม้แต่จิตของเรามีเกิดขึ้น ต้ังอยู่ และดับไป ในแต่ละขณะๆ ชีวิตของเราเหมือนตายแล้วในแต่ละขณะๆความรู้ในเรื่องเนื้อหา หลักการปฏิบัติธรรมที่ปรากฏ ในภัทเทกรัตตสูตร ศึกษาภัทเทกรัตตสูตรกับการบรรลุธรรมแล้ว พบว่า การบรรลุธรรมเป็น เป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาเม่ือบรรลุธรรมแล้วเป็นพระอริยะเจ้าทั้งหมด ๔ ระดับข้ัน ตง้ั แต่ช้ันพระโสดาบนั ขึ้นไป จนถึงขั้นพระอรหนั ต์ หมดสนิ้ อาสวะกิเลส ไมต่ ้องกลบั มาเกิดอีกตอ่ ไป การบรรลุธรรมประกอบด้วยเหตุแห่งการบรรลุธรรมมี ๕ ประการ คือ (๑)ด้วยการแสดงธรรม
๒๐๖ (๒)ด้วยการฟังธรรม (๓)ด้วยการสาธยายธรรม(๔) ด้วยการตรึกตรองธรรม (๕)ด้วยการอบรม สมาธนิ มิ ิต๑๔๗ [๑๔๘]หลักการปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรม ๗ หมวด ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ธรรมในแต่ละหมวดมคี วามสมบรู ณ์ ในตัวการปฏิบัติตามหลักปฏิบัติใดหมวดหนึ่งอย่างสมบูรณ์ มีผลเท่ากับปฏิบัติธรรมในหมวดที่ เหลือ หมวดธรรม ๗ จำแนกมี ๓๗ หน้าที่แต่บางหน้าที่เป็นองค์ธรรมเดียวกันเมื่อสรุปแล้วหลัก ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ๑๔ องค์ธรรม โดยมีสัมมัปปธาน ๔ เป็นตัวขับเคล่ือนให้องค์ธรรมที่เหลือ ทำหน้าท่ีอย่างสมบูรณ์ เป็นหลักปฏิบัติที่ปรากฏในภัทเทกรัตตสูตรการบรรลุธรรมคือเป้าหมาย ของหลักปฏบิ ัติทป่ี รากฏในภัทเทกรัตตสูตร คือ หลกั การม่ันคงอยู่กบั ธรรมปัจจุบันและหลักการมี ความเพียรเป็นหัวข้อธรรมที่ปรากฏในหลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมคือสติปัฏฐาน ๔ และ สัมมัปปธาน ๔ เป็นวิธีการปฏิบัติจริงที่สามารถทำให้บรรลุธรรมได้เมื่อปฏิบัติตามหลักปฏิบัติที่ ปรากฏในภัทเทกรัตตสูตรอย่างสมบูรณ์ย่อมครอบคลุมหลักการปฏิบัติท้ัง ๗ หมวดธรรมข้างต้น และเป็นไปเพ่ือการบรรลุธรรมหากปฏิบัตติ ามหลักปฏบิ ัตทิ ี่ปรากฏในภทั เทกรตั ตสูตรอยา่ งต่อเนือ่ ง ยอ่ มสามารถเปน็ ผูบ้ รรลุธรรม๑๔๘ [๑๔๙] หลักการปฏิจจสมุปบาทและขันธ์ ๕ พบว่าธรรมท้ัง ๒ เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาบัณฑิตท้ังหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นได้อาศัยอารมณ์ เหล่านี้มาใช้ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสามารถทำลายกองแห่งทุกข์ท้ังมวลได้ และได้บรรลุ ธรรมกระทั่งทราบชัดตามความเป็นจริงแห่งสิ่งท้ังหลายในโลก ดังมีพระพุทธพจน์ว่า“ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ช่ือว่าเห็นธรรม ผูใ้ ดเห็นธรรม ผู้ช่ือว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท”วิธีท่ีกำหนด ธรรมทั้ง ๒ พระผู้มพี ระภาคทรงแสดงด้วยสามารถแห่งธรรมบ้าง บุคคลบ้าง อุปมาให้เห็นตามด้วย สง่ิ ต่างๆ บ้าง แต่เม่ือรวมวิธีกำหนดธรรมท้ัง ๒ นี้ แลว้ จะไมพ่ ้นไปจากหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปได้ และประมวลรวมอารมณเ์ หลา่ นใ้ี หส้ น้ั เขา้ อยใู่ นอารมณ์ คือ รปู นาม๑๔๙ [๑๕๐] สาเหตุที่ทำให้เกิดวิปลาสในพระไตรปิฎก ได้แก่ การเห็นแก่ความสุขในกามคุณ เช่น ความงาม การมีทรัพย์สมบัติ ชือ่ เสยี ง เป็นต้น นิวรณ์ ๕ อโยนิโสมนสิการ ความยึดถือวา่ เป็น ของเราดว้ ยอำนาจตัณหาและอำนาจทิฏฐิ การเกิดในอบายภมู ิทำให้มีทิฏฐิวปิ ลาส การไม่กำหนดรู้ ความทุกข์ การเวียนว่ายอยู่ในวงจรทุกข์ทำให้เกิดวิปลาสเพิ่มข้ึน หลักการเพ่ือการละวิปลาสใน พระไตรปิฎก ได้แก่ การละราคะที่ทำใหจ้ ิตเร่าร้อน การละนิวรณ์ด้วยธรรมที่ทำให้สงดั (สงบ) การ กำจัดความพอใจในผัสสะในอดีตและอนาคต การกำหนดรู้ผัสสะและสัญญาด้วยปริญญา ๓ คือ ๑๔๗ อา้ งแลว้ , พระครพู ิสฐิ สรภาณ (นิรันดร์ ศริ ริ ตั น์), [รหัสแบบบนั ทกึ ๒๖-๕๔] ๑๔๘ อา้ งองิ , พระครูพสิ ิฐสรภาณ (นริ ันดร์ ศริ ิรตั น์), [รหสั แบบบันทกึ ๒๖-๕๔] ๑๔๙ อ้างองิ , พระมหาพสิ ูตน์ จนทฺ วํโส (พะนริ มั ย)์ , [รหสั แบบบันทึก ๒๕ –๕๔]
๒๐๗ การกำหนดรู้ข้ันรู้จัก ขั้นพิจารณาด้วยไตรลักษณ์และขั้นละ การละด้วยความไม่ประมาท การละ ด้วยการไม่ให้ความสำคัญในอำนาจตัณหาและทิฏฐิ การละทิฏฐิ ๖๒ ต่างๆ ด้วยการไม่ทำความ พอใจในผัสสะท่ีเห็นรปู ไดย้ นิ เสยี ง การละด้วยวิเวก ๓ อยา่ ง คือ กายวเิ วก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก และการละด้วยธรรมเพื่อบรรลุความสงบ การละจากเหตุท่ีทำให้ธรรมอันเน่ินช้าด้วยความมีสติ การละด้วยการรู้แจ้งกามและละด้วยความมีสัมมาทิฏฐิส่วนการละวิปลาสในอรรถกถา ได้แก่ ละ ดว้ ยสติปัฏฐาน ดว้ ยอริยสัจ ๔ ด้วยปรญิ ญา ๓ ด้วยการกำหนดรู้ขันธ์ ส่วนการละวิปลาสในปกรณ์ พิเศษ คือ ละด้วยความเป็นอริยบุคคล ละด้วยการเจริญอสุภภาวนาและพิจารณาไตรลักษณ์ใน สงั ขาร และละด้วยญาณ๑๕๐ [๑๕๑] วิปลาสในพระไตรปิฎกความหมายลึกซึ้งในระดับปรมัตถ์สัจจะ(ความจริงระดับ ปรมัตถ์สูงสุด) ปุถุชนทุกคนต่างเป็นวิปลาส แม้พระอริยบุคคลระดับต้นๆยังคงมีวิปลาสอยู่บ้าง บุคคลที่ไม่เป็นวิปลาสเลยมีแต่พระอรหันต์ ผู้ที่บรรลุธรรมสิ้นทุกข์ได้เท่าจึงหมดวิปลาสแม้แต่ ปุถุชนที่คนเราท่ัวไปเห็นว่าเป็นปกติอยู่เป็นคนวิปลาส มีคำกล่าวไว้ว่า ปุถุชนยังประกอบด้วยอยู่ ด้วยกิเลสเปรียบเหมือนคนบ้าเพราะยังยึดถือส่ิงต่างๆอยู่ ส่วนในความคิดของคนทั่วไปกล่าวถึง วิปลาสในลักษณะของอาการความคลาดเคล่ือนไปจากวิสัยอาการของปุถุชนปกติกล่าวเพ่ือให้เกิด ความเข้าใจได้วา่ เป็นวปิ ลาสในระดบั สมมตุ ิสัจจะ(ความจริงระดบั สมมตุ )ิ จึงจะเห็นว่าเป็นบ้าแตท่ งั้ นี้ ทั้งไม่ใช่ทุกคนจะเป็นวิปลาสในระดับสมมุติตามท่ีคนทั่วไปเห็นแต่ในพระไตรปิฎกแสดงว่าทุกคน เป็นวิปลาสหมด(ในระดับปรมัตถ์) ยกเว้นพระอรหันต์อย่างไรดีวิปลาสในระดับสมมุติย่อมมี รากฐานมาจากวิปลาสในระดับปรมัตถ์เก่ียวเนื่องเช่ือมโยงกันอยู่ คือ วิปลาสในระดับปรมัตถ์มี ความหมายกว้างกว่าวิปลาสในระดับสมมุติและบุคคลท่ีปฏิบัติกรรมฐานแล้วมีอาการผิดเพ้ียนไป จากคนสามญั ปกติจงึ ถกู เรียกวา่ “วปิ ลาส”๑๕๑ [๑๕๒] ในพระไตรปิฎกมีเรื่องพระภิกษุวิกลจริตมีจิตแปรปรวนที่มีชื่อว่า คัคคภิกษุ ไม่ ได้มาเข้าร่วมประชุมสงฆ์แต่ไม่ได้มีเรื่องราวที่ผู้มาปฏิบัติกรรมฐานแล้วเกิดวิปลาสในระดับสมมุติ โดยตรงอย่างชัดเจนมีแต่เร่ืองพระภิกษุปุถุชนเม่ือได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเก่ียวกับอสุภ กรรมฐานแล้วเกิดความเบ่ือหน่ายในชวี ิตอยา่ งแรงกลา้ จงึ พากันฆา่ ตัวตายบ้างให้คนอืน่ ฆ่าบ้าง และ เรื่องของพระภิกษุสำคัญผิดว่าตนบรรลุธรรมโดยไม่เจตนาเป็นอนุบัญญัติไม่ถือว่าเป็นปาราชิกใน ข้ออวดอุตริมนุษยธรรม แล้วภายหลังได้ระลึกได้ ส่วนในอรรถกถาได้กล่าวถึงพระ โคธิกะท่ีเส่ือม จากฌาน ๖ คร้ัง เกิดความท้อใจ ฆ่าตัวตาย แต่ก่อนสิ้นชีวิตต้ังมั่นในการเจริญวิปัสสนา ทำให้ บรรลุเป็นพระอรหันต์ก่อนมรณภาพ และยังมีเร่ืองอรรถกถาอ้างมาจากวิสุทธิมรรคกล่าวถึง พระ มหานาคเถระผู้เข้าใจว่าตนบรรลุอรหันต์เพราะเกิดวิปัสสนูปกิเล ทำให้พระธัมมทินเถระลูกศิษย์ผู้ ๑๕๐ อา้ งองิ , ภาวนยี ์ บญุ วรรณ, [รหสั แบบบันทึก ๑๕–๕๒] ๑๕๑ อา้ งอิง, ภาวนีย์ บญุ วรรณ, [รหสั แบบบนั ทึก ๑๕–๕๒]
๒๐๘ เป็นพระอรหันต์จริงต้องไปช่วยแก้จิตอาจารย์ให้เข้าใจถูกต้องและต่อมาพระมหานาคบรรลุพระ อรหันต์ได้จริง ในพระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงวิปัสสนูปกิเลสเลย มีแต่คำว่า“ธรรมวิตก”มี ความหมายไปในทางเดียวกันกับวิปัสสนูปกิเลส(แต่ไม่ได้แจกแจงรายละเอียดมากเท่ากับ วปิ ัสสนูปกิเลส) มแี ต่ในอรรถกถาและปกรณ์พเิ ศษวิสทุ ธิมรรคทกี่ ล่าวถงึ วิปัสสนปู กเิ ลส ๑๐อย่าง มี ความเกยี่ วขอ้ งกับการปฏิบตั ิกรรมฐานอนั เป็นธรรมทีท่ ำให้วิปัสสนามีความหมน่ หมองเป็นอปุ สรรค ต่อการบรรลธุ รรมขวางก้นั ปญั ญาไมใ่ หเ้ จริญกรรมฐานต่อ๑๕๒ [๑๕๓] วิปลาสในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง ความสำคัญผดิ และการยดึ ถือ โดยคลาดเคล่ือนในพระไตรปิฎกมีการระบุถึงวิปลาสโดยเฉพาะอยู่เพียง ๒ สูตร คือ วิปัลลาสสูตร และวิปัลลาสกถา ท้ัง ๒ สูตรมีเนื้อหาเกี่ยวกับ วิปลาสและนวิปลาส คือ วิปลาสเป็นเจตสิกฝ่าย อกุศลธรรม และนวปิ ลาสเป็นเจตสิกฝ่ายกุศลธรรม วปิ ลาสด้วยจิตและเจตสิกมี ๓ ประการ ได้แก่ สัญญาวิปลาส จิตตวิปลาสและทิฏฐิวิปลาส ในวัตถุ ๔ ประการ คือ ไม่เที่ยงว่าเท่ียงทุกข์ว่าสุข ไมใ่ ช่อตั ตาวา่ อตั ตา ไมง่ ามว่างาม รวมกนั เป็น ๑๒ ประเภทเรียกว่า วปิ ลาสใหญ่ มีอยคู่ รบในปุถชุ น คนธรรมดา ในปกรณ์พิเศษภาษาไทยเรื่องมิลินทปัญหาฉบับหอสมุดแห่งชาติมีคำว่า สติวิปลาส ปรากฏเป็นครั้งแรก หมายถึง สติท่ีคลาดเคลื่อน ไม่เคยพบในพระไตรปิฎกและอรรถกถาท้ังภาษา บาลีและภาษาไทย รวมถึงมิลินทปัญหาฉบับภาษาบาลีด้วย จึงทำให้ต้ังสมมุติฐานไว้ว่าเป็นการ ประยุกต์ของนักปราชญ์ชาวไทยทำให้เกิดประเภทของวิปลาสเพิ่มขึ้นและยังเป็นที่นิยมใช้กันใน สงั คมไทยมากกว่าประเภทของวิปลาสด้ังเดิม ได้แก่ สัญญาวิปลาส จติ ตวิปลาสและทิฏฐิวิปลาสใน พระไตรปิฎก๑๕๓ [๑๕๔] การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ดงั หลักฐานที่ ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่มที่ ๓๑ หน้า ๒๔๘ ว่า“วิปัสสนา โดยอรรถว่า พิจารณาเห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงโดยความเป็นทุกข์โดยความเป็นอนัตตา” และทีฆนิกายอรรถกถากล่าวว่า “ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธมฺเมสุ ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ ตสฺมา เตปิ อิมินาว มคฺเคน โสกปริเทเว สมติกฺกนตฺ าติ เวทิตพฺพา ข้ึนชื่อว่าภาวนาที่ ไม่เนื่องด้วย กาย เวทนา จิต หรือสภาวธรรมอย่างใดอย่างหน่ึงย่อมไม่มี ดังพึงทราบ แม้ท่าน เหล่าได้ล่วงพ้น ความโศก และความรำพันคร่ำครวญด้วยทางสายนี้เอง ด้วยการเพียรเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ สติปัฏฐาน ๔” การกำหนดตามหลักสติปัฏฐาน ๔ โดยการ กำหนดรู้ในฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ปรากฏสภาวะดังนี้ คือ เม่ือกำหนดอาการพอง อาการยุบ อาการพองหรืออาการยุบ เกิดข้ึน คงอยู่แล้วหายไปแล้วเกิดข้ึนใหม่ แล้วหายไปอีก ๑๕๒ อา้ งองิ , ภาวนีย์ บญุ วรรณ, [รหสั แบบบนั ทึก ๑๕–๕๒] ๑๕๓ อา้ งอิง, ภาวนีย์ บุญวรรณ, [รหัสแบบบนั ทกึ ๑๕–๒๕๕๒]
๒๐๙ สลับกันอยู่เช่นน้ีอาการอย่างนี้เป็น “อนิจจัง” เม่ือเกิดอาการพองข้ึนจะบังคับไม่ให้มันยุบได้ เม่ือ เวทนาเกิดขึ้นจะบังคับไม่ให้มันเกิดไม่ได้ อาการพองดี ทุกขเทนาดี ไม่อาจบังคับอะไรได้เลย อาการอย่างนเี้ ปน็ “อนัตตา”ในขณะท่ี เรากำหนดรทู้ ่ี กาย เวทนา จิต และธรรม ตัวอนจิ จัง ทุกขัง อนัตตาปรากฏอยู่ทก่ี าย เวทนา จติ ธรรมหรือรูปนามท่ีเรากำหนดอยตู่ ลอดเวลา รูปนามเกิดขึ้นใน ที่ใดพระไตรลักษณ์มีอยู่ ดงั การปฏบิ ัตติ ามหลกั สตปิ ัฏฐาน ๔ เปน็ การปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนา๑๕๔ [๑๕๕] หลักการปฏิบตั ิวิปัสสนาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ปรากฏในพระไตรปิฎกอรรถกถา ฎีกาและคัมภีร์ท่ีเก่ียวข้อง พบว่า หลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้ัง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ท่ีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกให้ความสำคัญของการปฏิบัติวปิ ัสสนาตาม หลักสติปัฏฐาน ๔ โดยชี้ให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติเพ่ือความบรสิ ุทธิ์ของจิต เพื่อกำจัด ความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณ เพ่ือกำจัดความทุกข์กายทุกข์ใจเพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิต และเพื่อความพ้นทุกข์ คือ มรรค ผล นิพพาน และการจะเข้าถึงจุดประสงค์ได้ต้องลงมือปฏิบัติมี หลักการปฏิบัติ ดังน้ี ให้เอาสติสัมปชัญญะกำหนดจรดจดจ่อบนฐาน ๔ ฐานได้แก่ กาย เวทนา จิต และธรรม(เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน) หรือย่อ รูปกับนาม(เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา)ในทาง ปฏิบัติการกำหนดท่ีอาการของท้องพอง–ยุบ โดยกำหนดว่า“พองหนอ ยุบหนอ”อย่างติดต่อ ต่อเนื่องต้ังแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน จนเกิดปัญญาเห็นความเป็นไปของสภาวธรรมรูปสภาวธรรม นาม เปล่ียนแปลงไปตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่สามารถบังคับบัญชาได้ไม่ใช่ ตัวตนเราเขา เป็นขั้นๆ ต้ังแต่สภาวญาณ ๑ นามรูปปริเฉทญาณ ไปจนถึงมรรค ผล นิพพาน ผล หรอื อานสิ งสท์ ี่ไดจ้ ากการปฏิบัติวปิ ัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ เมื่อใกล้ตายได้สติระลึกถึงบญุ กุศล คุณงามความดีท่ีตนไดท้ ำไว้ ตายแล้วจะได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพื่อเป็นอปุ นิสัยที่จะได้บรรลุ มรรค ผล นิพพานในชาติต่อไป ถ้าปฏิบัตวิ ิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ตอ่ เน่ืองเป็นเวลา ๗ ปี จะได้ผล ๒ ประการคือ จะได้เป็นพระอนาคามี หรือ เป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบันนี้ จึงนับว่าเป็นความ อนุ่ ใจของนักปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ท่ีสำคัญในปัจจุบันนี้สามารถนำสติไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จากการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ของกลุ่มตัวอย่าง ณ สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัด พระธาตุศรีจอมทอง วรวิหารได้เปน็ ไปตามหลกั ของสติปัฏฐาน ๔ ๑๕๕ [๑๕๖] สติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงในคัมภีร์ปฎิสัมภิทามรรค ๑) สาระสำคัญ ของคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่า มีความหมายและวัตถุประสงค์ของปฏิสัมภิทามรรค ๔ อย่าง คือ เพื่อให้บรรลุถึงความรู้แตกฉานในอรรถ ในธรรม ในนิรุตติ และในปฏิญาณ คัมภีร์ปฏิสัมภิทา มรรคเป็นผลงานของพระสารีบุตร ถือกันว่าเป็นคัมภีร์คู่มือผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานเล่มแรก เป็นคัมภีร์ อภิธรรมในยุคต้นๆและเป็นต้นแบบของคัมภีร์ทางด้านนี้ในสมัยต่อมาโครงสร้างของคัมภีร์ ๑๕๔ อา้ งองิ , พระปลดั พงคศ์ กั ดิ์ ธมฺมวโร (อภัยโส), [รหสั แบบบนั ทกึ ๑๔-๒๕๕๒] ๑๕๕ อา้ งอิง, แมช่ รี ะวีวรรณ ธมฺมจารินี (ง่านวสิ ุทธิพันธ)์ , [รหัสแบบบันทึก ๑๓ – ๕๑]
๒๑๐ ปฏิสัมภิทามรรคประกอบด้วยส่วนเนื้อหาและวิธีดำเนินการเน้ือหาการอธิบายกถาต่างๆในคัมภีร์ เป็นไปอย่างมีระบบระเบียบแบบแผนโดยการจัดวิธีการแสดงแบบบทอุทเทสและนิทเทส แต่ละ กถายังมีคำอธิบายเชื่อมโยงกันและกันเป็นอย่างดี ควรท่ีจะทำการศกึ ษาเผยแพร่ให้กว้างขวางยิ่งๆ ข้ึนไป ๒)นิยามความหมายของสติปัฏฐานในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่ามี ๒ นัย (๑)สติปัฏ ฐาน ๔ ประการ ความหมายเดียวกันกับในพระสูตรคือ สัมมาสติ ได้แก่ การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม โดยใช้ความเพียร สัมปชัญญะ สติ เพ่ือกำจัดอภิชฌาและโทมนัสให้ได้ (๒)สติปัฏฐาน ภาวนา ความหมายว่าเป็นการปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนากัมมฏั ฐานโดยการกำหนดองคธ์ รรมของ กาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยอาการ ๗ อย่างทำใหเ้ กิดผล ๗ อย่าง และอธบิ ายความหมายของภาวนาไวว้ ่า ธรรม ทั้งหลายที่เกิดในภาวนาไม่ล่วงเลยกัน อินทรีย์ทั้งหลายมีรสเป็นอย่างเดียวกัน การนำความเพียรท่ี สมควรแก่ธรรมเข้าไป และการปฏิบัติเนืองๆ ๓)สติปัฏฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ปฏิสัมทามรรค พบว่า ที่สำคัญมี ๓ แห่ง คือ (๑) านาปานัสสติกถา ว่าด้วยการมีสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ผู้ เจริญอานาปานัสสตจิ ะเกดิ ญาณความรู้ ๒๐๐ ประการ (๒)สติปัฏฐานวาร ว่าดว้ ยญาณ ๓ คอื สจั จ ญาณ กิจจญาณ กตญาณ ท่ีหมนุ ไปในสติปัฏฐาน ๔ ประการ รวม ๑๒ รอบ (๓)สติปฏั ฐานกถา ว่า ด้วยเร่ืองของการปฏิบัติวิปัสสนาล้วน ๔)สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่า มี รูปแบบลักษณะสำคัญ ๓ อย่างคือ (๑)รูปแบบลักษณะของกถาเป็นแบบปุจฉาและวิสัชชนา (๒) เนื้อหาของสติปัฏฐานกถามีลักษณะเป็นการอธิบายการปฏิบัติให้พิจารณาองค์ธรรมโดยอาการ ๗ อยา่ งทำให้เกดิ ผล ๗ อย่าง เรยี กว่า สติปัฏฐานภาวนา (๓)สาระและประเดน็ สำคัญมีดา้ นหลกั การ และวิธีการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วนและหลักการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ประการ ส่วนด้าน กระบวนการและผลการปฏิบัติ ประกอบด้วยองค์ประกอบฝ่ายที่ถูกทำ ฝ่ายท่ีทำ อาการที่กำหนด และผลการปฏิบัติ ๕)วิเคราะห์สติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พบว่าสติปัฏฐานกถาเป็นการอธิบายเฉพาะกลุ่มเนื้อหา ๓ ลักษณะ (๑)เน้ือหาหลักการและวิธีการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน (๒) เนื้อหาแนวอภิธรรม (๓)เน้ือหาแสดงถึงไตรลักษณ์ ส่วนหลักการ และวิธีการปฏิบัติกัมมัฏฐานของสตปิ ัฏฐานกถาเป็นแบบวิปัสสนาล้วน เป็นวิธปี ฏิบัติอยู่ในส่ีวธิ ีของ พระพุทธศาสนา สำหรับหลักการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานกถา มีส่วนประกอบสำคัญ คือ องค์ ธรรม อาการ ๗ ประการ ผล ๗ ประการ และสติปัฏฐานภาวนา สรุปได้ว่าสติปัฏฐานกถาที่พระ สารีบุตรแสดงเป็นหลักการและวิธีการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วนมีสาระสำคัญของการปฏิบัติ ๗ ลำดบั ขัน้ โดยการพิจารณาหรือกำหนดองคธ์ รรมของกาย เวทนา จิต ธรรม โดยอาการ ๗ ประการ มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น เกิดผล ๗ ประการจากอาการกำหนด สรุปหลักการและวิธีการ
๒๑๑ ปฏิบัติในแนวทางของท่านใหเ้ ข้าใจง่ายข้ึนโดยมุ่งท่ีจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือวิปัสสนา หรอื ปญั หาเพ่อื ดบั ทกุ ข๑์ ๕๖ [๑๕๗] วเิ คราะห์ความสอดคล้องสติปัฏฐานที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงในพระไตรปฎิ กกับ สติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบตุ รแสดงในคัมภีรป์ ฏสิ ัมภิทามรรคพบว่า ด้านหลกั การสำคัญๆมคี วาม สอดคล้องกัน ส่วนด้านวิธีการมีความแตกต่างกัน สรุปได้ดังนี้ ๑) สติปัฏฐานท่ีพระพุทธเจ้าทรง แสดงในพระไตรปิฎกกับสติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคมีความ สอดคล้องในหลักการสำคัญ ๔ ประเด็น คือ (๑)ความหมายสติปัฏฐานมีความสอดคล้องกันใน ความหมายของสติปัฏฐาน ๔ ประการและสติปัฏฐานคือวิปัสสนา (๒)หลักสมถะและวิปัสสนามี ความสอดคล้องกันเพราะวิปัสสนาล้วนในสติปัฏฐานกถาคือวิธีที่ปฏิบัติแบบสมถะมีวิปัสสนา นำหนา้ กับวธิ ปี ฏบิ ตั ิเมื่อจติ ถกู ชกั ให้เขวดว้ ยธรรมธุ จั จ์ เปน็ ๒ วิธีใน ๔ วิธขี องพระพุทธศาสนา (๓) กระบวนการและผลการปฏิบัติมีความสอดคล้องกัน โดยมีองค์ประกอบเหมือนกันคือ ฝ่ายท่ีทำ ฝา่ ยท่ีถูกทำ อาการที่กำหนดและตามดูรู้ทัน ผลการปฏิบัติ (๔)ความสำคัญมีความสอดคลอ้ งกันใน ฐานะของสติปัฏฐานเป็นอริยสจั ภาคปฏบิ ตั ิ๑๕๗ [๑๕๘] สติปัฏฐานท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกกับสติปัฏฐานกถาที่พระสารี บุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคมีความแตกต่างกันในด้านวิธีการ คือ (๑)เป้าหมายกลุ่มผู้ฟัง แตกต่างกันโดยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานครอบคลุมกลุ่มผู้ฟังทั่วไปส่วนสติปัฏฐานกถาท่ี พระสารีบุตรแสดงเฉพาะภิกษุบางกลุ่ม (๒)เทคนิควิธีการแสดงแตกต่างกันโดยพระพุทธเจ้าทรง แสดงมีทั้งแนวพระสูตรและพระอภิธรรม ทรงมีวิธีการแสดงแบบอุปมาโวหารเปรียบเทียบพร้อม การยกตัวอย่าง ส่วนสติปัฎฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดงเป็นไปในแนวอภิธรรมเพียงลักษณะเดียว (๓) แสดงวิธีการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาแตกต่างกัน คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีท้ังสมถะและ วิปัสสนา ส่วนสติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดงเป็นแบบวิปัสสนาล้วนเพียงอย่างเดียว ๓)บท อุทเทสและนิทเทสในมหาสติปัฏฐานสูตรกับสติปัฏฐานกถามีความสอดคล้องและแตกต่างกัน คือ อทุ เทสว่าด้วยหลักการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ประการอย่างเดียวกัน ส่วนบทนิทเทสแตกต่างกัน คือ มหาสติปัฏฐานสูตรอธิบายโดยพิสดาร แต่ในสติปัฏฐานกถาอธิบายโดยหลักการเดียวกันทุกนิทเทส สรปุ ได้ว่าสตปิ ัฏฐานท่พี ระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกกบั สติปฏั ฐานกถาท่ีพระสารบี ุตรแสดง ในคัมภีร์ปฏสิ ัมภิทามรรคมคี วามสอดคล้องกนั แมเ้ นื้อหาด้านวิธีการปฏบิ ัตจิ ะแตกต่างกนั บ้าง แต่ อยู่ในหลักการปฏิบัติของพระพุทธศาสนา กล่าวได้ว่าสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีความ กว้างขวางครอบคลุมหลักพุทธธรรม ทรงแสดงต้ังแต่หลักปฏิบัติพ้ืนฐานทั่วไปจนไปถึงจุดมุ่งหมาย สูงสุดของพระพุทธศาสนา ส่วนสติปัฏฐานกถาท่พี ระสารีบตุ รแสดงเป็นการแสดงจำเพาะเจาะจง ๑๕๖ อา้ งองิ , พระแสนปราชญ์ ฐิตสทโฺ ธ (เสาศริ )ิ , [รหสั แบบบนั ทก ๑๒-๕๔] ๑๕๗ อา้ งอิงแล้ว, พระแสนปราชญ์ ฐติ สทโฺ ธ (เสาศริ )ิ [รหัสแบบบันทกึ ๑๒-๕๔]
๒๑๒ ไปท่ีจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือวิปัสสนา หรือปัญญาเพ่ือดับทุกข์ อนึ่งหลักการ และวิธีการปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและหลักการและวิธีการปฏิบัติ ตามแนวทางสติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงเป็นหลักการที่อยู่ในช้ันบาลีคืออยู่ในพระไตรปิฎก ทั้งสองหลักการ จึงถือว่าเป็นหลักการที่ถูกต้องสมบูรณ์ สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้ตาม ความมงุ่ หมายของพระพุทธศาสนา๑๕๘ [๑๕๙] ศีลปรากฏในพระพุทธศาสนา ๑)ความหมายของศีล หมายถึง การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย เปน็ การรักษาปกติตามระเบียบวินัย หรือข้อปฏิบัติในการเวน้ จากความชั่ว ๒) ความสำคัญของศีล พบว่า การควบคุมกาย วาจา และจิตใจ ของมนุษย์ให้เรียบร้อย สงบร่มเย็น และเปน็ สุข ขดั เกลาพฤตกิ รรมในการดำเนินชีวิตมผี ลต่อกิจกรรม พิธกี รรม และศีลจะทำคนใหเ้ ป็น มนุษย์ได้ เพราะมนุษย์ แปลว่า ผ้มู ีจติ ใจสูง นำไปสู่การปฏิบัตขิ ั้นสูงของอรยิ มรรค โดยเริ่มจาก ศีล สมาธิ ปัญญา นำไปสู่ความรู้แจ้ง ๓)ประเภทของศีล คือ จุฬศีล(ศีลอย่างเล็กน้อย) มัชฌิมศีล (ศีล อย่างกลาง) และมหาศีล (ศีลอย่างใหญ่) เป็นเคร่ืองควบคุมความประพฤติทางกายวาจาให้อยู่ใน สภาพปกติเรียบร้อยดีงามพ้นจากการเบียดเบียนกันและกันและเป็นที่รองรับกุศลธรรมชั้นสูงย่ิงๆ ข้ึนไปจนถึงมรรคผลและประเภทของศีลแบ่งตามประเภทต่างๆ ท่ีพระพุทธองค์เจ้าทรงบัญญัติไว้ เชน่ วารตี ศีล คือ ข้อเบ้ืองต้นของพรหมจรรย์หรือศีลอนั เป็นสว่ นแห่งบัญญัติ อาทิ พรหมจริยกศีล คือ เป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้นของพรหมจรรย์หรือศีลอันเป็นส่วนแห่งบัญญัติสำหรับป้องกันความ เสียหาย อภิสมาจาริกศีล คือ ศีลท่ีเก่ียวกับความประพฤติมารยาท อาชีวปริสุทธิศีล คือ ศีลที่ เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์หมดจดแห่งอาชีวะและ ปาริสุทธิศีล คือ การเลี้ยงชีวิตในทางที่ดี ที่ชอบ ตามสมควรแก่ภาวะศีลทั้งหมดน้เี ปน็ ศีลพระพุทธองคเ์ ก่ียวกับระเบียบวินัย ใหผ้ ู้ปฏิบัตติ ามผลย่อม เกิดกับบุคคลตามอำนาจศีล ๔)จุดมุ่งหมายของศีล พบว่า เพ่ือจุดประสงค์เพื่อประโยชน์แก่ พระสงฆ์โดยส่วนรวม จุดประสงค์เพ่ือประโยชน์คือความดีงามแห่งชีวิต จุดประสงค์เพื่อประโยชน์ แก่พุทธศาสนกิ ชนและจุดประสงค์เพื่อประโยชนแ์ ก่พระศาสนา ไมว่ ่าชนเหล่าใดตามปฏิบตั ิตามศีล ยอ่ มทำให้ชนหมู่ๆ เกิดความสามัคคี และความผาสุก อาบัติปรับตามความหนักเบาของการละเมิด วินัย ๕)อานิสงส์ของศีล พบว่า ย่อมมีโภคทรัพย์ ย่อมแกล้วกล้า ไม่เก้อเขิน ย่อมไม่หลงลืม สติ ตาย หลังจากตายแลว้ ยอ่ มไปเกดิ ในสุคติโลกสวรรค์๑๕๙ [๑๖๐] วิธีปฏิบัติตามศีลในพระพุทธศาสนาเถรวาท สรุปได้ดังนี้ (๑)จุฬศีล คือ ข้อ กฎระเบียบและเป็นหลักประพฤตปิ ฏิบัติขน้ั พื้นฐานสำหรับมนุษย์ทกุ มนุษย์ เพื่อป้องกนั เวรและภัย ทำให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย (๒) มัชฌิมศีล คือ เป็นเคร่ืองควบคุมความประพฤติทางกาย วาจาให้อยู่ในสภาพปกติเรียบร้อยดีงาม พ้นจากการเบียดเบียนกันและกัน และเป็นท่ีรองรับกุศล ๑๕๘ อ้างอิง, พระแสนปราชญ์ ฐติ สทฺโธ (เสาศิร)ิ , [รหัสแบบบนั ทกึ ๑๒-๕๔] ๑๕๙ อา้ งองิ , พระครสู งั ฆรกั ษ์ชพี ธมฺมเตโช (คกู่ ระโทก), [รหสั แบบบันทึก ๒๑–๕๔]
๒๑๓ ธรรมชั้นสูงย่ิงๆ ขึ้นไปจนถึงมรรคผล นิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาชาวพุทธ โดยท่วั ไปเมอ่ื จะบำเพ็ญบญุ กศุ ลอยา่ งอ่ืนจึงต้องสมาทานศีลก่อนและก่อนจะสมาทานศีลจะเป็นศีล ๘ อุโบสถศีล หรือศีล ๑๐ ตาม ต้องเปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะก่อนทั้งส้ิน (๓) มหา ศีล คือ ผู้ประพฤติตามปาฏิโมกขสังวรศีล คือ เป็นศีลของภิกษุสงฆ์มี ๒๒๗ ข้อ จัดเป็นจาริตศีล คือ ระเบียบปฏิบัติตามแบบอย่างท่ีพระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติตามสมควรแก่ภาวะของตน เพ่ือขจัด เกลาศีลให้บริสุทธิ์ เม่ือศีลบริสุทธ์ิแล้ว เป็นเหตุให้จิตบริสุทธ์ิและปัญญาบริสุ ทธิ์โดยลำดับ จนกระทั่งเป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสท้ังปวง เป็นไปเพ่ือทำท่ีสุดแห่งทุกข์ คือ เพื่อพ้นจากทุกข์โดย สิ้นเชิง (๔) การปฏิบัติตามปาริสุทธิศีล ๔ เช่น ๑. ปาติโมกขสังวร คือ การสำรวมในพระ ปาติโมกข์ คือ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ทำตามข้อท่ีทรงอนุญาต ๒. อินทรียสังวร สำรวมใน อินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ๓. อาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีพโดย อาการท่ีชอบ ไม่หลอกลวงเขาเล้ียงชีพ ๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาเสียก่อนจึงจะเกลาศีลให้ บริสุทธ์ิ เม่ือศีลบริสุทธ์ิแล้ว เป็นเหตุให้จิตบริสุทธิ์ และปัญญาบริสุทธ์ิโดยลำดับจนกระทั่งเป็นผู้ บรสิ ุทธิ์จากกเิ ลสทัง้ ปวง เปน็ ไปเพ่อื ทำท่ีสดุ แห่งทุกข์ คอื เพื่อพน้ จากทกุ ข์โดยส้นิ เชิง๑๖๐ [๑๖๑]ทุกสรรพส่ิงทั้งหลายถือกำเนิดบังเกิดข้ึนรวมตัวกันเป็นสังขารทุกสรรพสิ่งอยู่ ภายใต้กฎอันเดียวของไตรลักษณ์ กล่าวคือ สามัญลักษณ์ โดย อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความ เป็นทุกข์ อนัตตา ความเป็นของมิใช่ตัวตนไม่บังคับบัญชาได้ เป็นธรรมธาตุ คือ ความเป็นภาวะท่ี ทรงตัวอยู่โดยธรรมดาของธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม รวมตัวกันเป็นสังขาร รา่ งกาย อันเป็นที่มาของขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วัญญาณ กล่าวโดยย่อ คือ รูป นาม รูป คงสภาวะว่าเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คงสภาวะวา่ เป็น นาม หลักธรรมที่เขา้ ถึง การรู้รูป รู้นาม คือ การเจรญิ สติวิปัสสนา เป็นการปฏิบัตเิ พอ่ื ให้เกดิ ปัญญาร้แู จง้ เหน็ จริงในสภาวะ รูป นาม โดยความเป็น ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา องค์ธรรมของวิปัสสนาภาวนา คือ ปัญญาเจตสิกธรรม สามารถให้เกิดขึ้นได้โดย อารมณ์ของวิปัสสนา คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ อริยสัจ ๔ กลา่ วโดยสงเคราะห์ เหลือเพยี ง รปู นาม สภาวะ ของรปู หมายถึง สภาวะทต่ี ้องแตกสลาย เม่ือกระทบกับ วิโรธิปัจจัย ไม่สามารถรบั รอู้ ารมณ์ได้ ใน สว่ นของขันธ์ ๕ รูปทงั้ หมด จดั เป็น รูปสภาวะของ นาม หมายถึง สภาวะท่ีเข้าไปรับร้อู ารมณ์ หรือ น้อมเข้าไปรับรู้อารมณ์ ในขันธ์ ๕ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จัดเป็นนาม ในการปฏิบัติ เจรญิ วปิ สั สนาโดยการปฏิบัตติ ามหลักสตปิ ฎั ฐาน ๔ เพอื่ ให้สติไปตัง้ มนั่ ในกาย เรยี กว่า กายานุปสั ส นา กายานุปัสสนา จัดเป็น รูป เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา จัดเป็น นาม ธรรมานุปัสสนา เป็นได้ท้ัง รูปและนาม ปัญญาท่ีพิจารณาเห็นสภาวะตา่ งๆ ที่เกิดขึ้น ต้ังอยู่ ดับไป ในขันธ์ ๕ ชื่อว่า ๑๖๐ อา้ งอิงแล้ว, พระครสู ังฆรกั ษช์ พี ธมฺมเตโช (คู่กระโทก), [รหสั แบบบนั ทึก ๒๑–๕๔]
๒๑๔ ได้พิจารณาเห็นแจ้งในสภาวะรูปนามตามที่ปรากฎในไตรลักษณ์ ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา สัจธรรมอันเก่ียวเนื่องกับไตรลักษณ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป นาม เป็นส่ิงที่ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของไตร ลกั ษณ์ โดยความเป็นกฎเกณฑข์ องธรรมชาติ ในการเจริญวิปสั สนาภาวนา ตามแนวทางสติปฎั ฐาน ๔ เป็นใจความสำคญั มากที่สุดกล่าวโดยออ้ ม คือ พระพุทธองค์ทรงแสดงหลกั ธรรมในเรื่องของขนั ธ์ ๕ รูป นาม ไตรลักษณ์ สติปัฎฐาน ๔ โดยตรง คือ อริยสัจ ๔ หมายถึง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้มากท่ีสุด ด้วยเหตุน้ี เพื่อให้เข้าใจถึงเหตุให้เกิดทุกข์ พระองค์ทรงแสดง ถงึ หนทางทางแห่งความดับทุกข์ คือ พระองค์ทรงสอนให้เหน็ ถงึ เหตุเกิดแห่งทุกข์ และทรงแสดงถึง เหตแุ ห่งการดบั ของทุกข๑์ ๖๑ [๑๖๒] การศึกษารูปนามตามท่ีปรากฏในไตรลักษณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเป็น หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหลักสำคัญคือหน่ึงในหลักคำสอนท่ีสำคัญในพระพุทธศาสนา คือ ธรรมนยิ าม(General Laws) ธรรมนยิ ามเป็นกฎธรรมชาตทิ เ่ี กยี่ วกบั สงิ่ ทัง้ หลายท่เี กีย่ วเนื่องกัน ด้วยเหตุและผลครอบคลุมทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ ในธรรมนิยามสูตรพระพุทธองค์ทรงแสดงว่า “สังขารท้ังปวง ไม่เท่ียง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมท้ังปวงเป็นอนัตตา”ความหมายว่า สิ่ง ทั้งหลายทั้งปวงย่อมข้ึนอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ ความเป็นจริง ความเป็นทุกขัง ความเป็น อนัตตา ไตรลักษณ์ กล่าวโดย ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วัญญาณ รูป หมายถึง รูปธรรม ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วัญญาณ หมายถึง นามธรรม ได้แก่ นามขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เม่ือสงเคราะห์ลงแล้วกล่าว คือ รูป นาม รูป หมายถึง รูปที่เป็นขันธ์ หรือที่เป็น รูปกาย เป็นมหาภูตรูป คือ รูปท่ีมีภูตะใหญ่ ภูตะ แปลว่า ส่ิงท่ี เป็น สิ่งที่มี รูปท่ีเป็น ส่ิงท่ีมี ได้แก่ ธาตุท้ัง ๔ ท่ีประกอบกันอยู่ในกายอัน ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุท้ัง ๔ ที่มีอยู่ในกาย อันประกอบเข้ารวมมาเป็นกายเมื่อธาตุทั้ง ๔ คุ้มกันอยู่ กายนีย้ ่อมดำรงอยู่ คือการมีชีวิตอยู่ เม่ือธาตุทั้ง ๔ แตกสลายไป ความดำรงอย่ใู นกายแตกสลายไป นาม ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ รูป คือ มหาภูตรูปทั้ง ๔ และอุปาทายรูป รูป อาศัยแห่งมหาภูตรูปท้ัง ๔ รจู้ ักเหตุเกดิ แห่งนามรูป คือ รู้จักวา่ เพราะ วิญญาณเกดิ นามรูปจึงเกิด รู้จักความดับนามรูป คือ รู้จักว่าเพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ผู้ปฏิบัติถึงความดับ นามรูป โดยทั่วไป สงเคราะห์มาจากขันธ์ ๕ คือ กอง หรือท่ีประชุมทั้ง ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ กอง รูป เวทนา ขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ รูปธรรม มีรูปร่างที่จะเห็นได้ด้วยตา นามธรรม ไม่มีรูปร่าง มีแต่ช่ือเรียกว่าเป็น นาม ของภาวะ อาการที่บังเกิดขึ้นทางร่างกาย และทางจิตใจ ด้วยวิธีท่ีรู้ดังกล่าวนี้ เป็นอารมณ์ ด้วยอารมณ์ ดังกล่าว เกิดข้ึนพร้อมกัน ในขณะเดียวกันเป็นส่ิงที่ละเอียด และรวดเร็วจึงยากท่ีจะรู้ หรือแยกได้ ๑๖๑ อา้ งแลว้ , พระทนงศักด์ิ ปภาโต (ปยิ ะสขุ ), [รหัสแบบบันทกึ ๒๐-๕๔]
๒๑๕ ในขบวนการน้ีเป็นวิถีของจิตเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของอาการที่จิตออกไปรับรู้อารมณ์เรียกว่า นาม ภูมิของการเจริญวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ขันธ์ ๕ เป็นสภาวะที่เม่ือเกิดข้ึนแล้วย่อมต้องแตก สลายเมื่อกระทบกับ วิโรธิปัจจัย เป็นสิ่งที่สามารถชำรุดทรุมโทรม แตกสลายหรือผันแปรไปตาม หลักของธรรมชาติ๑๖๒ ๔.๔.๒.วธิ กี ารปฏบิ ัตติ ามคำสอนของครบู าอาจารย์ : ด้านธรรมานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน [๑๖๓] ในการสอนวิปัสสนาพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ) นิยามคำว่า “โพธิปักขิยธรรม”หมายถึง ธรรมอันเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ธรรมเก้ือหนุนแห่งอริยมรรค ภาคปฏิบตั ิสอนโดยเน้นวิธีการแบบสมถะมีวิปัสสนานำ แบ่ง (๑)ภาคสมถะหรือปฏิบตั ิศาสนา เป็น หลักการเตรียมตัวก่อนลงมือปฏิบัติที่สำคัญคือการแผ่เมตตา การระลึกถึงความตาย (๒)ภาค วิปัสสนาหรือปฏเิ วธศาสนาว่าดว้ ยวิปสั สนาญาณ ๑๖ วิสทุ ธิ ๗ และญาณ ๑๘ อุปกเิ ลส ๑๐ ในการ ปฏิบตั ิ๑๖๓ [๑๖๔] หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย เป็นแบบวิปัสสนายานิกะอาศัยเพียงขณิกสมาธิ ยึดหลักปฏิบัติตามในคัมภีร์วิสุทธิ มรรค ในการปฏิบัติวปิ ัสสนากัมมัฏฐานโดยใช้วิปสั สนาภมู ิ ๖ เป็นอารมณพ์ ื้นฐานแต่หลักปฏิบัติยัง อยู่ในกรอบของหลักสติปัฏฐาน ๔ เช่นเดียวกับ มหาสติปัฏฐานสูตร ๒๑ บรรพโดยมีการ ตรวจสอบผลของการปฏิบัตแิ ละเป็นเคร่อื งตัดสนิ ความกา้ วหน้าเปน็ รูปธรรมชัดเจนจากสภาวธรรม และลักษณะของวิปัสสนาญาณ ๑๖ เกิดขึ้นตามลำดับอย่างเป็นระบบและมีการตรวจสอบได้ วิปัสสนาญาณ ๑๖ ในวิสุทธิมรรคมีหลักฐานอ้างอิงอย่างถูกต้องในพระไตรปิฎกเล่ม ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ท่ีได้แสดงเร่ืองของ ญาณ ๗๓ และในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ แสดงเรื่องรถวินีตสูตร(เน้ือหา วิสุทธิ ๗)ที่พระสารีบุตรแต่งข้ึนเพื่อ ประโยชน์ในการศึกษาเร่ืองปัญญาที่พระพุทธองค์ทรงสอนในมหาสติปัฏฐานสูตรและยังมีปรากฏ อีกในอรรถกถาครบท้ัง ๑๖ ญาณ เป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติตามแนวทางวิสุทธิมรรคคือพระ นิพพานเชน่ เดียวกบั เป้าหมายของสติปฏั ฐาน ๔ ๑๖๔ [๑๖๕] งานวิจัยของวริยา ชินวรรโณ ศึกษาวิจัยเร่ืองวิวัฒนาการการตีความคำสอนเร่ือง สมาธิในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทยพบว่าการตีความคำสอนเร่ืองสมาธิตลอดจน การนำมาเป็นแนวทางในการสอนปฏิบัติมีความแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของส่ิงที่นำมาใช้ พิจารณาแต่ละสำนักล้วนมีแนวทางการปฏิบัติแตกต่างกันออกไปโดยสรุปได้ว่าทุกสำนักต่างให้ ๑๖๒ อา้ งแล้ว, พระทนงศกั ด์ิ ปภาโต (ปยิ ะสขุ ), [รหสั แบบบนั ทึก ๒๐-๕๔] ๑๖๓ อ้างแล้ว, พรรณราย รัตนไพฑรู ย์, [รหัสแบบบันทึก ๒-๔๔] ๑๖๔ อา้ งแล้ว, อณวิ ชั ร์ เพชรนรรัตน,์ [รหสั แบบบนั ทกึ ๑๐–๔๙]
๒๑๖ ความสำคัญแก้การฝึกอบรมสมาธิว่าเป็นการปฏิบัติใน ๒ ลักษณะ คือ ในทางหลักการและในทาง วธิ ีการ ทางหลักการ คือ เป็นการอบรมเพ่ือเข้าถึงธรรม ส่วนวิธีการ คือ การคิดค้นเทคนิคและ วิธีปฏิบัติต่างๆเพื่อผู้ปฏิบัติสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ คือ การกำจัด กิเลสและความช่ัวต่างๆให้หมดไป แสดงว่า ไม่ว่าจะสอนการปฏิบัติด้วยรูปแบบใดๆหากคง หลักการปฏิบตั ิเพ่ือเข้าถงึ ธรรมอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ ย่อมไปสจู่ ุดหมายเดยี วกันไดผ้ ลสัมฤทธเิ์ หมอื นกัน คือ ได้ผลตามลำดับญาณไปสู่การบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุดเหมือนกันสอดคล้องกับ จฑุ ามาศ วารีแสงทิพย์ ไดศ้ ึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาพฒั นาการของวิปัสสนากรรมฐานในประเทศ ไทยศึกษาวิธีการของสำนักต่างๆ ๕ แบบ คือ แบบพองหนอ ยุบหนอ ของพระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) แบบอานาปานสติของท่านพุทธทาสภิกขุ แบบอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ แบบ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ แบบท่านโกเอ็นก้า พบว่าวิธีการสอนวิปัสสนากรรมฐานของท้ัง ๕ สำนัก ใช้หลักการในการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ แต่เนื่องจากประสบการณ์ของการปฏิบัติ ธรรมของท่าน เจ้าสำนักต่างกัน จึงมีวิธีการปฏิบัติท่ีต่างกัน ผู้ปฏิบัติสามารถ เลือกวิธีการท่ี เหมาะสมกับจริตของตนเองเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายที่สูงสุดจึงเป็นการตอกย้ำว่าการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน“รูปแบบไม่สำคัญเท่าเนื้อหา(แห่งสติปัฏฐาน)”ท่ีผู้สอนต้องทำให้ผู้ปฏิบัติ เขา้ ใจถอ่ งแท้จึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์เม่ือผูป้ ฏิบตั ิไดม้ ีโอกาสเลือกปฏิบัตใิ นวิธีท่ีตนถนัดหรอื เป็นไปตาม จรติ ยิง่ ทำให้ได้รับผลดีเจรญิ กา้ วหนา้ ในการปฏบิ ตั ไิ ปสคู่ วามดับทุกข์ได้จริง๑๖๕ [๑๖๖] กรณีศึกษาผู้บรรลุธรรมท่ีเกี่ยวข้องกับฤทธ์ิท่ีมีสมาธิปกป้องโดยพระนางสามาวดี นางอุตตราอุบาสิกา และพระสารีบุตร กรณีศึกษาผู้บรรลุธรรมที่แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของ ความสามารถพิเศษหลังการบรรลุธรรมเข้ากับสมาธิโดยมีพระจูฬปันถกเป็นกรณีศึกษาแสดงให้ เห็นถึงเรื่องอิทธิวิธิกับสมาธิธัมมิกอุบาสกเป็นกรณีศึกษาท่ีแสดงให้เห็นถึงเร่ืองทิพพโสตกับสมาธิ พระอนุรุทธะเป็นกรณีศึกษาท่ีแสดงให้เห็นถึงเร่ืองเจโตปริยญาณกับสมาธิ พระสารีบุตรเป็น กรณีศึกษาท่ีแสดงให้เห็นถึงเรื่องปุพเพนิวาสานุสติญาณกับสมาธิและพระโมคคัลลานะเป็น กรณีศึกษาท่แี สดงให้เห็นถึงเรือ่ งจุตูปปาตญาณกับสมาธแิ ละสุดท้ายพระสารบี ุตรยังเปน็ กรณีศึกษา ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ เรอื่ งอาสวักขยญาณกับสมาธิ๑๖๖ [๑๖๗] การสอนสตปิ ัฏฐาน ๔ ตามแนวคมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาทของท่านโคเอ็นก้า พบว่า การสอนวิปัสสนากรรมฐานในพระไตรปิฎกเบื้องต้นเป็นการกล่าวถึงเป้าหมายสูงสุดหรือ ผลสมั ฤทธิ์ของการปฏิบัตวิ ่าผู้ที่ปฏบิ ัตติ ามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ พึงบรรลุถึงความหลุดพน้ แห่งทุกข์ทั้ง ปวงไปได้ด้วยการพิจารณาในกาย เวทนา จิต ธรรม แตข่ ั้นตอนในการสอนไม่ได้เรียงไว้ตามลำดับ บุคคลพึงปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ หมวดใดหมวดหนึ่งก่อนหลังได้ กระบวนการถ่ายทอดวิปัสสนา ๑๖๕ อา้ งแล้ว, ภัทรนธิ ิ์ วสิ ุทธิศักดิ์ ,[รหสั แบบบนั ทกึ ๕๕-๕๕] ๑๖๖ อ้างแลว้ , อรภคั ภา ทองกระจ่างเนตร, [รหสั แบบบนั ทกึ ๕๒-๕๕]
๒๑๗ ของพระพุทธองค์จึงเป็นธรรมชาติมากที่สุดไม่ได้ปรุงแต่งหรือมีพิธีกรรมใดๆ มาเก่ียวข้อง ส่วน แนวทางการสอนวิปัสสนาของโคเอ็นก้าพบว่า ไม่มีขั้นตอนท่ีซับซ้อนและไมม่ ีพิธกี รรมมาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานพึงสำเหนียกกำหนดรู้ในสติปัฏฐาน ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กำหนดรู้ในอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้าและออกแต่ไม่ต้องมีคำบริกรรมเมื่อผู้ปฏิบัติจนชำนาญ แลว้ จะเกดิ ปฏิเวธธรรมข้นึ มาภายในเป็นเร่ืองเฉพาะตน๑๖๗ [๑๖๘] การเจริญสติปัฏฐานของพระสารีบุตรท่านกำหนดสภาวธรรม ว่าก่อนท่ีจะ เข้าฌานสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้ยังมิได้มีปรากฏโดยมาปรากฏตอนนี้คร้ันปรากฏเกิดขึ้นแล้ว กลับดับหายไปโดยที่ท่านได้เข้าฌานตามลำดับไปเร่ือยๆท้ังรูปฌานและอรูปฌานและได้นำเอา สภาวธรรมในองค์ฌานเหล่ามากำหนดพิจารณาในการกำหนดพิจารณาสภาวธรรมคือการ กำหนดสตปิ ฏั ฐาน๑๖๘ [๑๖๙] วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๑)ประวัติกัมมัฏฐานในประเทศไทยสมัยก่อนพระสงฆ์ไทยสายปฏิบัติกรรมฐานมักจะอยู่ในป่า เรียกว่า อรัญญวาสี ส่วนพระบ้านในเมืองเรียกว่า คามวาสี การปฏิบัติกัมมัฏฐานจึงถูกแยกออก จากปัจจัยที่ต้ัง พระบ้านมักจะไม่เคยชินกับกัมมัฏฐาน พระในเมืองจะมุ่งศึกษาบาลี ชั้นท่ีสูงสุดคือ เปรียญธรรม ๙ ประโยค หลักสูตรเปรียญธรรมจะเป็นการศึกษาในคัมภีร์ต่างๆโดยเน้นใช้คัมภีร์ แปลเป็นภาษาบาลี และจากบาลีเป็นภาษาไทยเป็นต้น การศึกษาพระไตรปิฎกทั้ง ๓ มิได้เป็น หลักสูตรสำหรับพระสงฆ์ไทยท่ัวไป แต่ถ้าสนใจต้องไปศึกษาเองภายหลัง โดยสรุปคือ พระสงฆ์ ไทยจึงไม่ค่อยชำนาญในพระไตรปิฎกและเร่ืองของกัมมัฏฐานไม่ว่าจะเป็นสมถะหรือวิปัสสนา กัมมัฏฐาน นับต้ังแต่สมัยอยุธยา ชาวพุทธคุ้นเคยกับการปฏิบัติที่เร่ิมต้นด้วยสมถกัมมัฏฐานและ สมถยานิกะ(หากเจริญวิปัสสนาต่อ ถ้าไม่หยุดเพียงแค่ผลของสมาธิ)โดยใช้องค์บริกรรมว่า พุทโธ โดยเน้นการนั่งสมาธิเป็นส่วนใหญ่ พระภิกษุและชาวพุทธไทยจึงคุ้นเคยกับ คำว่า นั่งสมาธิแบบ พุทโธ แบบอานาปานสติ โดยทำใจให้สงบนิ่งอย่างไรดีการปฏิบัติยังไม่เป็นที่แพร่หลายใน พุทธศาสนิกชนเมืองไทยในปัจจุบัน เม่ือพิเคราะห์ตรวจสอบดูพอประเมินได้ว่ามีการปฏิบัติ สมถกัมมัฏฐาน ราว ๗๐-๘๐% ส่วนวิปัสสนากัมมัฏฐานมีเพียง ๒๐-๓๐% เมืองไทยศึกษา วิสุทธิมรรคหลักสูตรของประโยค ป.ธ. ๘ เพียงเล่ม ๑-๒ คือ สีลนิเทศและสมาธนิ ิเทศ ที่วา่ ด้วยศีล สมาธิ ที่เป็นสมถกัมมัฏฐานล้วนๆพระพุทธโฆสาจารย์รจนาด้วยภาษาท่ีไพเราะ แสดงเนื้อหาได้ อย่างละเอียดถ่ีถ้วนจึงเกิดความพอใจไม่ประสงค์จะเรียนเล่มท่ี ๓ หรือเรียนเฉพาะช่วงต้นๆเพียง ประปราย เล่มที่ ๓ คือ ปัญญานิเทศ ว่าด้วยปัญญา เป็นส่วนของวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยเฉพาะ พระภิกษุมีจำนวนน้อยมากที่จะเรียนเลยเปรียญธรรม ๘ ประโยคและจึงไม่ค่อยมีโอกาสเรียน ๑๖๗ อ้างแล้ว, บญุ เรอื ง ทพิ พอาสน์, [รหัสแบบบนั ทกึ ๔๐-๕๔] ๑๖๘ อา้ งแล้ว, พระพงษ์สทิ ธ์ิ พาหิโย (เทพอารนี ันท์), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓๒-๕๔]
๒๑๘ วปิ ัสสนากัมมัฏฐาน จากการศึกษาท่ีไม่ครบถ้วนเป็นเหตุให้สมถะมีมากกว่าวิปัสสนานอกจากการ ปฏิบัติสมถะจะเป็นท่ีนิยมเพราะคนไทยส่วนใหญ่ชอบอิทธิปาฏิหาริย์จากสมถะ ส่วนการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานมีแต่ความยากลำบากแสนจะเหน็ดเหน่ือยเต็มไปด้วยทกุ ข์ ทั้งจิตไม่สงบซัดซา่ ย คิดเร่ืองโน้นเร่ืองนี้อยเู่ ร่ือย การฝึกกัมมัฏฐานคือการฝึกจิตและพัฒนาปัญญา การฝึกต้องอดทน ลำบากและดูเหมือนว่าไม่ได้อะไรเลย เพราะจิตและปัญญา ไม่มีตัวตน ไม่มีสี ไม่มีรูปร่าง ไม่มี นิมิตหมายสัณฐานให้เป็นที่ร่ืนรมย์ต่อการปฏิบัติ ผู้ที่พ่ึงฝึกใหม่และท่ีมีกิเลสรักความสบายอยู่จึง มักจะล้มเลิก ก่อนคำว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นคำศัพท์ท่ีไม่คุ้นหูสำหรับชาวพุทธและเม่ือมีการ สอนพร้อมกับการบริกรรมภาวนาว่า พองหนอ ยุบหนอ เป็นแนวปฏิบัติที่ฝึกมาจากพม่ายิ่งทำให้ คนไทยเกดิ ความลงั เลสงสยั และเกดิ อคติ ดงั เรื่องวิปัสสนากมั มฏั ฐานจดั วา่ เปน็ เร่อื งใหม่ อีกทัง้ คณะ สงฆ์ไทยไม่มีแผนกวิปัสสนาธุระ เพื่อสอนเผยแผ่ และตรวจสอบ กิจกรรมกัมมัฏฐานตามวัดต่างๆ ท่ัวไปท้ังๆท่ีวิปัสสนาธุระเป็นหนึ่งในธุระสำคัญท่ีสุด ๒ อย่าง (วิปัสสนาและคันถธุระ) ธุระหน้าท่ีท่ี ไม่เป็นไปเพื่อส่งเสรมิ ศีล สมาธิ และปญั ญาแล้ว จดั ได้ว่าไม่ใช่ธุระในพุทธศาสนา หากบรรพชิตรูป ใดไมท่ ำหนา้ ท่ขี องตน ๒ อย่างนีผ้ ู้ชื่อวา่ ทำลายตัวเองและพระพุทธศาสนาจัดวา่ ปฏิบตั ติ นเพอื่ ความ เส่อื มสญู แหง่ พระพุทธศาสนา ๒.สาระสำคญั ของวิปัสสนากัมมฏั ฐานด้วยองค์บริกรรมพองหนอ ยบุ หนอ ความเป็นมาของวิปัสสนากัมมัฏฐานหลกั การและวิธีปฏิบัติวิปัสสนาไม่ใช่พึ่งมีการสอนมา ไม่นานโดยท่ีรุ่นอาจารย์เป็นคนคิดค้นได้การปฏิบัติวิปัสสนาแนวน้ีมีมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว และแพร่หลายไปทัว่ โลก หากจะเปรียบเหมือนกับมหาวิทยาลยั ท่ีเก่าแก่โดยมีผไู้ ดพ้ ิสูจน์ไปแล้วนับ ไม่ถ้วนถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงและต่อเนื่องผลจะปรากฏทำให้เข้าใจเหมือนกัน ทุกคนในเรื่อง สภาวธรรมต่างๆวิปัสสนาญาณ ๑๖ อารมณ์พระนิพพานและผลสมาบัติที่ตรวจวัดผลได้เป็น รูปธรรมมิใชเ่ พียงแค่ความนกึ คดิ ในทฤษฎีกมั มัฏฐานแนวนี้มีประวัติและที่มา เรียกว่า วปิ สั สนาวงศ์ จากปัจจบุ ันถึงอดีตทีน่ ่าสนใจเรียงลำดับดังนี้ กองกลางวปิ ัสสนาธุระมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ)-พระวิปัสสนาจารย์ใหญ่ วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพ พระอาจารย์ ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ พระวิปัสสนาจารย์ ของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) พระภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัคคมหาบัณฑิต ย่างกุ้ง พม่า(พระอาจารย์มหาสีสะยาดอร์) พระวิปัสสนาจารย์ ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ พระภัททันตะ นารทเถระ หรื พระนารทภิกขุ(พระอาจารย์มิงกุลเช ตะวันสะยาดอร์)สุธรรมบุรี พม่า พระอาจารย์มิงกุลโตญ สะยาดอร์ พระอาจารย์นโมเถร พระ อาจารย์ติรงคมหาเถระ(ติรงคะ สะยาดอร์) พระเขมมหาเถระ อภิญญา(ช่วง พ.ศ. ๑๘๕๕) พระ อริยวังสมหาเถระ พระธรรมทัสสีอรหันต์(วงศ์พระอรหันต์)พ.ศ.๑๔๔๑ อริมัททนคร สุวรรณภูมิ
๒๑๙ พระอาจารย์รุ่นก่อนหน้าหลายร่นุ จนถึงรุ่นพระโสณะ และพระอุตตระ อรหันต์ พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ คร้งั ตตยิ สงั คายนา (พ.ศ. ๒๓๕)๑๖๙ [๑๗๐] กระบวนการฝึกอบรมจะใช้รูปแบบการเจริญสติปัฏฐานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน และปรบั รูปแบบการฝึกให้เหมาะสมต่อการนำไปปฏิบตั ิในวถิ ีชวี ิตยุคปัจจุบนั ได้อย่างต่อเนอื่ งแต่ยัง รกั ษาส่วนทเี่ ปน็ สาระสำคัญของหลักการฝึกปฏิบตั ิในพระไตรปิฎกไวค้ ือ มงุ่ ให้เกดิ การเรียนรู้ และ ค้นพบความจริงที่เก่ียวกับตนเองตลอดจนส่ิงต่างๆด้วยประสบการณ์ตรงโดยมีพระวิปสั สนาจารย์ และผู้ฝึกสอนช่วยให้คำปรึกษาแนะนำควบคู่ไปเพ่ือให้แสวงหาความจริงได้อย่างเป็นระบบและ รวดเร็วข้ึน ท้ังน้ีเมื่อผู้ปฏิบัติได้พิสูจน์ให้รู้ชัดด้วยตนเองแล้วเขาย่อมเชื่อม่ันในศักยภาพของตน เช่อื ม่ันวิถปี ฏิบัตอิ ย่างปราศจากความสงสัยในคำสอนและย่อมเปลี่ยนแปลงวิถีชวี ิตของตนให้อยใู่ น กรอบของศีลธรรมท่สี ง่ เสรมิ การฝึกปฏิบัติด้วยความเต็มใจ๑๗๐ [๑๗๑] พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ)ใช้หลักสติปัฏฐาน ๔ คือ การ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เป็นกรอบในการปฏิบัติและการสอนในภาคทฤษฎีสอนให้ผู้ปฏิบัติ เขา้ ใจทั้งหลกั สมถกรรมฐานและวิปสั สนากรรมฐานควบคู่กันไปวธิ ีการปฏบิ ัตขิ องพระธรรมธรี ราช มหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ)เทียบเคียงกับหลักฐานในมหาสติปัฏฐานสูตรไม่ว่าจะเป็นภาคทฤษฏี หรอื ภาคปฏบิ ัติ ท่านใชห้ ลกั สติปัฏฐาน ๔ คอื การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมเป็นกรอบในการ ปฏิบัติและการสอนตามแนวที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตรตามกรอบพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พิจารณาภายในกาย. พิจารณาเวทนาในเวทนาท้ังหลาย.พิจารณาจิตในจิต และพิจารณาธรรมในธรรม มีความเพียร มีความรู้ตัวทั่วพร้อม และมีสติขจัดอภิชฌาและโทมนัส เสียได้”แนวปฏิบัติจริงๆอันเป็นหลักการดีเพียงเท่านี้เป็นรายละเอียดแจงวิธีปฏิบัติเพื่อรู้เท่าไม่ให้ เกดิ กเิ ลสครอบงำ๑๗๑ [๑๗๒] วิธีปฏิบัติกรรมฐาน ๔ ประการ คือ (๑)วิปัสสนามีสมถะนำ (๒)สมถะมีวิปัสสนา นำ (๓)สมถะและวิปัสสนาคู่กัน (๔)ปฏิบัติแบบผสม ๓ แบบข้างต้นแล้วแต่สถานะและโอกาสใน ภาคทฤษฏีในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ทรงเริ่มด้วยให้พิจารณากายโดยการให้กำหนดลม หายใจก่อนแล้วต่อด้วยหมวดอิริยาบถ เดิน นั่ง นอนแต่พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ) สอนให้ผู้ปฏิบัตเข้าใจทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ในภาคปฏิบัติ ท่านปฏิบัติสอนโดย เนน้ วธิ กี ารที่ ๒ คอื สมถะมวี ปิ ัสสนานำโดยยกหมวดว่าด้วยอริ ิยาบถขึ้นแสดง๑๗๒ ๑๖๙ อ้างแล้ว, อณิวชั ร์ เพชรนรรัตน์, [รหสั แบบบันทกึ ๑๐–๔๙] ๑๗๐ อ้างแลว้ , พิชญรชั ต์ บญุ ชว่ ย, [รหัสแบบบนั ทกึ ๙ – ๔๙] ๑๗๑ อ้างแล้ว, พรรณราย รัตนไพฑรู ย์, [รหัสแบบบันทกึ ๒-๔๔]. ๑๗๒ อา้ งแล้ว, พรรณราย รัตนไพฑูรย์, [รหสั แบบบันทกึ ๒-๔๔].
๒๒๐ [๑๗๓] วิเคราะห์แนวการสอนพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) เรียกวิชา พระพุทธศาสนาว่า“อุดมวิชา”หมายรวมท้ังโลกิยวิชาและโลกุตตรวชิ า กล่าวไว้ว่าโลกิยวิชาได้จาก ความรู้ท่ีเกิดข้ึนจากการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนแตกฉานเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกและ ได้ลงมือประพฤติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดนามรูปปริจเฉทญาณปัจจยปริคคหญาณ โครตภูญาณ ถ้าจะจัดตามวิสุทธิ ๗ ได้แก่ สีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ ทิฎฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฎิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ส่วนในโลกุตตรวิชาได้แก่การปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานถึงมรรคญาณและผลญาณ วิชาท้ัง ๒ ประการน้ีเกิดข้ึนได้โดยสมบูรณ์บริบูรณ์ ต้องอาศัยหลักวิชาการท่ีถูกต้อง คือ วิปัสสนาภูมิ ข้อความนี้ทำให้ทราบว่า โลกิยวิชาคือความรู้ที่ เกิดขึ้นจากการศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์อืน่ ทางพระพุทธศาสนาถ้าจะให้สมบูรณ์ครบถ้วน ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานควบคู่ไปด้วย ส่วนโลกุตตรวิชาต่อยอดจากโลกิยวิชาไม่ใช่วิชาอยู่ ต่างแนวทางจากโลกิยวิชา สรุปว่า ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต้องผ่านการศึกษาพระไตรปิฎก และคัมภีร์อ่ืนๆพระพุทธศาสนาจนเช่ียวชาญก่อน แนวการสอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ)จึงเน้นท่ีภาคทฤษฎีในพระพุทธศาสนาท้ังหมดไม่เฉพาะท่ีเก่ียวกับสมถะหรือ วิปัสสนาเท่าความเช่ือม่ันในแนวทางน้ีของท่าน เห็นได้จากการท่ีท่านเองศึกษาคัมภีร์มีภูมิความรู้ ถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค และศึกษาพระไตรปิฎกโดยเฉพาะ หลักพระอภิธรรมถึงข้ันเช่ียวชาญ ท่านเช่ือมั่นในหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย อันเป็นไปเพ่ือการส่งเสริมวิปัสสนาธุระ ท่านกล่าวได้ตอนหนึ่งว่าการสอนภาคปฏิบัติ พระธรรมธีร ราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) สอนท้ังสมถและวิปัสสนาควบคู่กันไปท่านสอนสมถะโดยใช้กรอบ กรรมฐาน ๔๐ มีกสิณ ๑๐ เป็นต้นที่พระพุทธโฆสาจารย์แสดงไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวถึง ความสำคัญของสมถะไว้ว่า สมถยานิก แปลว่า เอาสมถกรรมฐานเป็นยานพาหนะนำพาไปสู่ วปิ สั สนา แล้วเอาวปิ ัสสนาเป็นทางนำไปสู่มรรค ผล นพิ พานต่อไป หมายความว่า ผู้ท่เี จรญิ สมถกร รมฐานจนได้ญาณแล้ว เอาญาณเป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อ สามารถจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน แตถ่ ้าไม่เจรญิ วปิ ัสสนาตอ่ จะไม่มีโอกาสบรรลมุ รรค ผล นพิ พานได้ ๑๗๓ [๑๗๔] แนวการสอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ)การสอนวิปัสสนา แบ่ง ๒ ภาค ๑)ภาคสมถะหรอื ปฏิบัติศาสนาสอนหลักการเตรียมตัวก่อนลงมือปฏิบัติท่ีสำคัญการ แผ่เมตตาการระลึกถึงความตาย ๒)ภาควิปัสสนาหรือปฏิเวธศาสนาสอนวิปัสสนา ๑๖ วิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๘ อุปกิเลส ๑๐ ในส่วนที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติท่านสอนโดยใช้กรอบ สติปัฎฐาน ๔ เป็นแนวเร่ิมต้นด้วย (๑)มีสติกำหนดรูปนามตามอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน (๒)มีสติกำหนดรูปนามตามอิริยาบถย่อย หรือตามอายตนะท้ัง๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อัน ๑๗๓ อ้างแลว้ , พรรณราย รัตนไพฑูรย,์ [รหสั แบบบันทึก ๒-๔๔].
๒๒๑ เป็นประตรู บั อารมณ์ภายนอก คือรูป เสยี ง กลิ่น รส ให้มีสติรู้เทา่ ทนั ในการรับอารมณ์อย่างมากอยู่ ในข้ันเสวยอารมณ์(เวทนา) ไม่เลยไปถึงขึ้นเกิดตัณหาอันนำไปสู่อุปาทานเพ่ือให้รู้ความจริงในส่ิง ล่วงมองเห็นปรมัตถใ์ นบญั ญัติ๑๗๔ [๑๗๕] ท่านพุทธทาสภิกขุเห็นว่า ความยึดม่ันถือม่ันเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์พร้อมท้ัง อธบิ ายกระบวนการเกิด-ดบั ทุกข์ตามหลักปฏิจจสมุปบาทนำเสนอวิธกี ารควบคุมกระแสปฏิจจสมุป บาทอันเป็นการทำลายความยึดมั่นถือม่ันด้วยการเจริญอานาปานสติและวิปัสสนาระบบลัดส้ัน การใช้วิธีการปฏิบัติตามแนวทางพระไตรปิฎก พบว่า แนวการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน ใช้วิธีการ เจริญวิปัสสนานำหน้าสมถะและวิธีการปฏิบัติเพ่ือออกจาก ธรรมุธัจจ์ ส่วนท่านพุทธทาสใช้วิธีการ เจริญสมถะนำหน้าวิปสั สนา วธิ ีการเจริญวปิ ัสสนานำหน้าสมถะและวิธกี ารปฏบิ ัติเพ่อื ออกจากธรร มุสัจจ์ เม่ือเปรียบเทียบแล้ว พบว่า ท่านท้ังสองได้ใช้หลักการและวิธีการในพระไตรปิฏกสอดคล้อง กันเป็นส่วนมากต่างกันตรงท่ีพุทธทาสได้นำหลักการและวิธีการปฏิบัติในพระไตรปิฏกมาใช้ หลากหลายกว่ากัน ทัศนะของท่านท้ังสองเกี่ยวกับการนำเสนอแนวคิดและหลักคำสอนเร่ือง สาเหตุของความทุกข์แตกต่างกันคือ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโก มองสาเหตุแห่งความทุกข์ว่ามาจาก ความคิดท่ีปราศจากสติปัญญากำกับในขณะท่ีพบเห็นหรือสัมผัสอารมณ์เป็นสาเหตุให้จิตเข้าไป เกาะเก่ียวพัวพันตดิ อยู่กับเรอ่ื งราวความคิด บคุ คลที่มีจิตตกอยู่ภายใต้อทิ ธิพลความคิดเช่ือว่ายังหา ความสุขสงบที่แท้จริงไม่ได้ การอธิบายสาเหตุของความทุกข์ตามแนวของหลวงพ่อเทียนเช่นนี้ยึด เอาความรู้สึกท่ีเกิดกับคนท่ัวไปเป็นหลัก ส่วนทัศนะพุทธทาสภิกขุ มองว่าสาเหตุของความทุกข์ มาจากอุปทาน คือ ความยึดม่ันถือมั่นเป็นตัวตน ของตน ในทุกส่ิงท่ีเข้าไปเก่ียวข้องมี กระบวนการเกิดขึ้นอย่างเป็นมีระบบตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการอธิบายตามหลัก วิชาการ๑๗๕ [๑๗๖]เทคนิคการใช้ภาษาสื่อสารหลวงพ่อเทียนใช้ภาษาถ่ายทอดธรรมะด้วยการนำ คำศัพท์ต่างๆ ท่ีชาวบ้านทั่วไปคุ้นเคยที่ได้ยินได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์มาตีความให้มีความหมาย เป็นไปในแนวที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางกายและจิตที่เป็นไปในปัจจุบันโดยยึ ดประโยชน์ที่การสื่อ ธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจเป็นหลกั การใช้ภาษาของท่านจึงมีลักษณะเปน็ ภาษาพูดไม่เป็นระบบ ส่วนพุทธ ทาสภิกขุ นำหลักธรรมตามที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมาตีความหมายแยกเป็น ๒ ประเด็น คือ ภาษาคนและภาษาธรรมโดยยึดการนำไปใช้ปฏิบัติในปัจจุบันเป็นหลัก การใช้ภาษาของท่านพุทธ ทาสจึงมีแหล่งท่ีมาและเป็นระบบ ถึงแม้การใช้เทคนิคทางภาษาในการอธิบายธรรมของท่านทั้ง สองจะต่างกัน แต่เมื่อว่าโดยจุดหมายในการตีความและการใช้ภาษาล้วนมีจุดประสงค์ร่วมอย่าง ๑๗๔ อ้างแล้ว, พรรณราย รัตนไพฑรู ย,์ [รหสั แบบบันทึก ๒-๔๔]. ๑๗๕ อา้ งแล้ว, พระมหานิพนธ์ มหาธมมฺ รกขฺ ิโต (แสมแกว้ ), [รหัสแบบบนั ทกึ ๓/๔๖]
๒๒๒ เดียวกันคือมุ่งให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ดับทุกข์ในปัจจุบันได้ดังจะเห็นได้ จากการอธิบายตีความอริยสัจจ์ ๔ ของท่านหลวงพ่อเทียนและการตีความปฏิจจสมุปบาทของ ทา่ นพทุ ธทาสภกิ ขุ ๑๗๖ [๑๗๗] ความเคลือบแคลงใจในแนวปฏิบัติของแต่ละสำนักที่ไม่มีระบุในไตรปิฎก การ อธิบายหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาประสบปัญหาในการแปลคำศัพท์ภาษาบาลี เช่น สติ ศีล สมาธิ ภาวนามาเป็นถ้อยคำท่ีผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายเพราะศัพท์เหล่านี้มีความหลากหลายเฉพาะ มากมายให้สำนักปฏิบัติสายต่างๆท่ีสืบทอดวิธีปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรต่าง พัฒนาคำอธิบาย จนกลายเป็นภาษาของกลุ่มวัฒนธรรมย่อย(Argot) เช่น การกำหนด การดูจิต การระลึกรู้สึกใจ การหันกลับ การดูความคิดเป็นวิถีท่ีใช้และเข้าใจได้เฉพาะในกลุ่มผู้ปฏิบัติของแต่ละสำนัก แต่เม่ือ บุคคลอ่ืนได้ยินได้ฟังกลับต้ังข้อสงสัยว่า วิธีปฏิบัติเหล่านี้มีในพระไตรปิฎกหรือไม่ เป็นเร่ืองปกติที่ ทุกสำนักจะได้รับคำวิจารณ์ทั้งคำถามท้ังทางบวกและทางลบจากสังคมแต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ทำไมยงั มีผู้ศรัทธาไปเขา้ รบั การฝึกอบรมในสำนักปฏิบัตแิ ต่ละสายอยู่อย่างต่อเน่ือง๑๗๗ ๔.๔.๓ การขยายความจากผูศ้ กึ ษาวิจยั : ดา้ นธรรมานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน [๑๗๘] การวิเคราะห์รปู แบบการปฏิบตั วิ ิปสั สนากรรมฐานที่นิยมปฏบิ ตั ิกันในสังคมไทย ปัจจุบัน ผู้วิจัยมุ่งศึกษาวิเคราะห์รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๔ รูปแบบคือ รูปแบบ “พุท-โธ” รูปแบบ “พอง-ยุบ” รูปแบบ“เจริญสติรู้การเคลื่อนไหว” และ รูปแบบ “ปรมัตถ- ภาวนา” พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทยในปัจจุบันกาลังเป็นที่นิยม มีการจัด อบรมปฏิบัติธรรมกันอย่างกว้างขวางจนเกิดเป็นรูปแบบการปฏิบัติมากมาย เกิดจากการคิดค้น วิธีการต่างๆเพ่ือเป็นอุบายในการฝึกปฏิบัติ แต่ละรูปแบบมีหลักการและวิธีการในการปฏิบัติ แตกต่างกันออกไป คือ รูปแบบ“พุท-โธ”เป็นรูปแบบที่มีอุบายให้รู้ลมหายใจที่ช่องจมูกเป็นหลัก ของกรรมฐานและให้บริกรรมว่า“พุท-โธ”ไปด้วยเพื่อให้ ใจแนบอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน เป็น อารมณ์หลัก และกำหนดรู้อารมณ์ต่างๆที่เกิดแทรกทั้ง ๖ ทวาร ทั้ง ๔ ฐานแห่งสติปัฏฐาน โดยเฉพาะฐานจิตไปด้วย รูปแบบ“พอง-ยุบ”เป็นรูปแบบท่ีมีอุบายให้รู้ลมหายใจที่ปรากฏเป็น หนา้ ท้อง“พอง-ยุบ”เป็นอารมณ์หลกั ของกรรมฐานและให้บรกิ รรมวา่ “พอง-ยุบ”ไปด้วยเพ่ือให้ใจ แนบอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน ในขณะเดียวกันให้เจริญสติระลึกไปในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ด้วย รูปแบบ “เจริญสติรู้การเคลื่อนไหว”เป็นรูปแบบที่มีอุบายให้รู้การเคล่ือนไหวในแบบที่สร้างข้ึน เป็นจังหวะ ๑๕ จังหวะ เป็นหลักของการปฏิบัติ เพ่ือให้ใจน้อมไปรู้อิริยาบถย่อยต่างๆอย่าง ต่อเน่ือง และทำให้กำหนดรู้ท่ีฐานอ่ืนๆ แห่งสติปัฏฐาน ๔ ได้ชัดเจนรูปแบบ“ปรมัตถภาวนา” ๑๗๖ อ้างแล้ว, พระมหานพิ นธ์ มหาธมมฺ รกฺขิโต (แสมแกว้ ), [รหสั แบบบนั ทกึ ๓/๔๖] ๑๗๗ อ้างแลว้ , พิชญรชั ต์ บุญชว่ ย, [รหสั แบบบนั ทึก ๙ – ๔๙]
๒๒๓ เป็นรูปแบบที่มีอุบายให้รู้สภาวธรรมที่ปรากฏตามจริง “ปรมัตถธรรม”คือรูป–นามท่ีปรากฏใน ปัจจุบันเฉพาะหน้าในฐานท้ัง ๔ ของสติปัฏฐาน ทุกรูปแบบของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานท่ี ศึกษาวิเคราะห์ ต่างยึดสติปัฏฐานเป็นหลักในการปฏิบัติ โดยมีการประยุกต์วิธีการจากบรรพ ต่างๆ กันการดำเนินการทดลองปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯด้วยแบบประเมินผล ก่อนการฝึกอบรม(pre–test) จากทำการอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วย รปู แบบผสมผสานการปฏิบตั ิหลายรูปแบบ คือ “พุท–โธ” “พองหนอ–ยุบหนอ” “เจริญสติรู้กาย เคลื่อนไหว” และ“ปรมัตถภาวนา”สุดท้ายจึงทำการการทดสอบหลังการอบรมด้วยแบบ ประเมินผลหลังการฝึกอบรม (post–test) เพื่อวัดความเข้าใจและวัดความพึงพอใจในการปฏิบัติ ดว้ ยรูปแบบการปฏบิ ัติวิปสั สนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ การวิเคราะหผ์ ลความแตกต่างระหวา่ ง ก่อนและหลังการเข้าปฏิบัติธรรมว่ามีการเปล่ียนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่เพ่ือวัดความเข้าใจ และวัดความพึงพอใจในการปฏิบัติด้วยรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ประเด็นต่างๆ คือ ๑.วัดความเข้าใจ ๔ ด้าน ดังน้ี ๑)วัดความเข้าใจท่ัวไปในการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๒)วัดความเข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๓)วัดความ เข้าใจเรอื่ งรปู นาม และไตรลักษณ์(ลำดับของวปิ ัสสนาญาณขน้ั ต้น) ๔)วัดความเข้าใจการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ ๒. วัดความพึงพอใจในการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามหลักสตปิ ฏั ฐานด้วยรปู แบบตา่ งๆที่นิยมใชก้ ันในสังคมไทยในปัจจุบัน๑๗๘ [๑๗๙] การเพ่ิมความเข้าใจผลการทดลองได้ตอบสมมติฐาน ๑ คือรูปแบบทผ่ี สมผสาน วธิ ีการปฏิบัติวิปสั สนากรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถเพิ่มความเข้าใจในการปฏิบัตวิ ิปัสสนา กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานได้ดียิ่งขึ้นดังนี้ ๑)ความเข้าใจท่ัวไปในการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามหลักสตปิ ัฏฐาน ผลการทดลองพบว่า ผูเ้ ข้าอบรมวปิ ัสสนากรรมฐานตามหลกั สตปิ ัฏ ฐานตามรปู แบบผสมผสานมีความเขา้ ใจทัว่ ไปในการปฏบิ ตั วิ ิปัสสนากรรมฐานฯเพ่ิมขน้ึ จากเดิม คือ กอ่ นการอบรมมีคะแนนเฉล่ียรวมได้ ๐.๔๕ และหลังการอบรมเพิ่มเป็น ๐.๖๓ และได้คา่ P Value เทา่ กับ ๐.๐๐ แสดงวา่ ความเข้าใจทั่วไปในการปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลกั สตปิ ัฏฐานของผู้ เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝกึ อบรมมีความแตกต่างกันอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติ ๒)ความ เข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ผลการทดลองพบว่า ผู้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานตาม หลักสติปัฏฐานตามรูปแบบผสมผสานมีคะแนนเฉล่ียภาพรวมของความเข้าใจวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน ดังน้ี ๑)ขณะเดินจงกรม ได้คะแนนเฉล่ียเพิ่มขึ้น(จาก ๐.๖๒ เป็น ๐.๗๕)และ ได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงวา่ ความเข้าใจทั่วไปในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลัก สติปัฏฐานขณะเดินจงกรมของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกัน อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ิ ๒)ขณะนงั่ สมาธิ ได้คะแนนเฉลี่ยเพม่ิ ข้ึน(จาก ๐.๖๓ เป็น ๐.๗๙)และได้ ๑๗๘อา้ งแลว้ , ภัทรนธิ ์ิ วสิ ุทธศิ กั ด์ิ, [รหสั แบบบันทึก ๕๕-๕๕]
๒๒๔ ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจวิธกี ารการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานขณะนั่งสมาธิ ของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ๓) ขณะกำหนดอิริยาบถย่อย ได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มข้ึน(จาก ๐.๕๘ เป็น ๐.๗๒) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเขา้ ใจวธิ ีการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานขณะกาหนดอิริยาบถย่อยของผู้ เขา้ รับการอบรมกอ่ นและหลังการฝกึ อบรมมีความแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ๑๗๙ [๑๘๐] ความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ ต่างๆท่ีนิยมใช้กันในสังคมไทยในปัจจุบันผลการทดลองพบว่าความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบต่างๆเพ่ิมขึ้น ดังนี้ ๑)ความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานด้วยรูปแบบ “พุท–โธ”ผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลัก สติปัฏฐานด้วยรูปแบบ “พุท–โธ” มากข้ึน(ได้คะแนนเฉลี่ยเพ่ิมจาก ๒.๙๓ เป็น ๓.๔๐) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเขา้ ใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วย รูปแบบ “พุท–โธ”ของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัย สาคัญทางสถิติ ๒) ความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยรูปแบบ“พอง–ยุบ”ผู้เข้า อบรมมีความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ“พอง–ยุบ”มาก ขึ้น (ไดค้ ะแนนเฉลีย่ เพ่ิมจาก ๒.๘๘ เป็น ๓.๑๓) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความ เข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ“พอง–ยุบ”ของผู้เข้ารับการ อบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมคี วามแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ๓)ความเข้าใจการ ปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐานด้วยรูปแบบ “เจริญสติรูก้ าร-เคลอ่ื นไหว”ผ้เู ข้าอบรมมคี วามเขา้ ใจการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ“เจริญสติรู้การเคล่ือนไหว”มากขึ้น(ได้ คะแนนเฉลี่ยเพิ่มจาก ๒.๖๕ เป็น ๓.๔๘) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ“เจริญสติรู้การเคล่ือนไหว” ของผู้ เข้ารับการอบรมกอ่ นและหลงั การฝกึ อบรมมคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติ ๔) ความ เข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยรูปแบบ “ปรมัตถภาวนา”ผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจการ ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามหลกั สติปัฏฐานด้วยรูปแบบ“ปรมัตถภาวนา”มากขนึ้ (ไดค้ ะแนนเฉลี่ย เพิ่มจาก ๒.๖๒ เป็น ๓.๕๑) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ“ปรมัตถ-ภาวนา”ของผู้เข้ารับการอบรมก่อน และหลังการฝกึ อบรมมคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยสำคัญทางสถิต๑ิ ๘๐ ๑๗๙ อา้ งแลว้ , ภทั รนิธิ์ วสิ ุทธิศกั ด์ิ, [รหสั แบบบนั ทึก ๕๕-๕๕] ๑๘๐ อา้ งแลว้ , ภัทรนิธ์ิ วสิ ทุ ธิศกั ดิ์, รหสั แบบบนั ทึก ๕๕-๕๕
๒๒๕ [๑๘๑] การเพิ่มผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานเจริญ ตามลำดับของวิปสั สนาญาณขนั้ ต้นผลการทดลองได้ตอบสมมติฐานที่ ๒ คือรปู แบบที่ผสมผสาน วิธีการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติให้แก่ผู้เข้า อบรมได้ตามลำดับแห่งวิปัสสนาญาณเบ้ืองต้น ดังน้ี ผู้เขา้ อบรมวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏ ฐานตามรูปแบบผสมผสานมีคะแนนเฉลี่ยภาพรวมของความเข้าใจเรื่องรูป-นาม ไตรลักษณ์ (ตามลำดับของวิปัสสนาญาณข้ันต้น“ตรุณวิปัสสนา”)ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก ๐.๗๑ เป็น ๐.๗๘ และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจเรื่องรูป-นาม ไตรลักษณ์(ตามลำดับของ วิปัสสนาญาณขั้นต้น“ตรุณวิปัสสนา”)ของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบต่างๆที่นิยมใช้กันในสังคมไทยในปัจจุบันผลการทดลองได้ตอบ สมมติฐานท่ี ๓ คือ รปู แบบการปฏิบัติวิปสั สนากรรมฐานแบบผสมผสานวิธีการปฏิบตั ิวปิ สั สนา กรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติให้เกิดกับผู้เข้าอบรม ดังน้ี ความพึงพอใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบผสมผสานของผู้เข้าฝึกอบรมอยู่ใน ระดับมาก คือมีค่าเฉล่ีย ๔. ๑๘ ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามปลายเปิดว่ารูปแบบการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานเป็นรูปแบบที่สร้างความพึงพอใจให้ผู้เข้าอบรมปฏิบัตวิ ิปสั สนา กรรมฐานฯทั้งในด้าน ๑)การฟังธรรมจากองค์บรรยายท่ีอธิบายได้ดีละเอียดเข้าใจง่ายพูดเรื่องยาก ใหเ้ ขา้ ใจได้ชัดเจน ๒)การแนะนาการปฏิบตั ขิ องวิทยากร อธิบายการปฏบิ ตั ิในรูปแบบต่างๆได้ดี ทำ ให้เข้าใจวิธีปฏิบัติหลายรูปแบบและทำให้การสำรวมกาย วาจา ใจ และฝึกให้รู้ตัวอยู่เสมอ ๓)การ สอบอารมณ์ของวิปัสสนาจารย์ทำให้ได้ซักถามเรื่องที่ยังไม่เข้าใจให้เข้าใจถูกต้องขึ้นทำให้เพ่ิม ศรัทธาและวิริยะ ๔)ประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานหลาย รูปแบบทำให้รู้จักตนเองและได้รู้ว่าหลักสำคัญท่ีสุดคือการกำหนดรู้ด้วยสติเหมือนกันทุกวิธี สามารถนาไปเจรญิ สตไิ ดต้ ามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล แต่ละโอกาสทำให้รู้จักเลือกว่าแบบ ไหนเหมาะกับจริตของตน นับว่าทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของการปฏิบัติทุกรูปแบบท่ีสามารถนาไป ประยุกต์ใช้ได้ในทุกสำนักปฏิบัติธรรมและทุกท่ี ๕)ความไม่พอใจหรืออุปสรรคในการปฏิบัติ วปิ สั สนากรรมฐานแบบผสมผสานหลายรูปแบบเข้าดว้ ยกนั สว่ นใหญ่มีแต่ความพอใจในการปฏิบัติ มีบางท่านท่ีบอกวา่ ตอนแรกๆยังสับสนเพราะรวมกนั หลายแบบแต่เมื่อเขา้ ใจทำให้สามารถเลือกได้ ว่าตนเหมาะสมกับรูปแบบใด๑๘๑ [๑๘๒]ผลการวิจัยอภิปรายผลได้ว่าผู้เข้ารับการอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ ผสมผสานมีความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานเพิ่มข้ึนและประสบ ๑๘๑ อา้ งแล้ว, ภทั รนิธิ์ วสิ ทุ ธศิ กั ด์ิ, [รหัสแบบบันทกึ ๕๕-๕๕]
๒๒๖ ผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานฯ ตามลำดับญาณเบ้ืองต้น (ตรุณวิปัสสนา) รวมท้ังมี ความพึงพอใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบผสมผสานวิธีการ ต่างๆที่นิยมใช้กันในสังคมไทยในปัจจุบัน เหตุผลดังต่อไปน้ี ๑.การเพิ่มความเข้าใจเกิดขึ้นเพราะ กระบวนการจัดอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯจัดให้มีการอธิบายปริยัติธรรมท่ี จำเป็นและเก่ียวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานทั้ง ๔ ฐานจากองค์ บรรยายท่ีมากด้วยความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมในทุกรูปแบบ ทีเลือก นำมาผสมผสานเมื่อผู้เข้าอบรมได้รับสัปปายะทั้งปวงโดยเฉพาะธรรมสัปปายะ บุคคลสัปปายะจึง ทาให้เออ้ื ต่อความเข้าใจและนำมาสู่ภาคปฏิบัติได้ด้วยความเข้าใจเห็นได้วา่ ความเข้าใจทั่วไปเกือบ ทกุ ข้อ อาทิ ความเขา้ ใจความหมายของรปู -นาม การสำรวมอนิ ทรีย์ ทวาร ๖ อารมณ์ ๖ มคี า่ เฉล่ีย เพิ่มข้ึนในทุกข้อ ยกเว้นความเข้าใจเร่ืองการกำหนดทันปัจจุบัน ท่ีมีค่าเฉล่ียลดลง เพียง ๐.๐๑ เพราะการกำหนดให้ทันปัจจุบันเป็นเร่ืองความต้ังใจกำหนดรู้ของผู้ปฏิบัติเองและเป็นข้อท่ีทำได้ ยากย่ิงและมีอุปสรรคท่ีเกิดจากประสบการณ์เดิมในการปฏิบัติของผู้เข้าอบรมท่ีเคยปฏิบัติโดยมี องค์บริกรรมแบบต่างๆมาก่อน เม่ือมาปฏิบัติในรูปแบบผสมผสานทำให้การกำหนดรู้ให้ทัน ปัจจุบันในรูปแบบท่ีไม่เคยทำมาก่อนทำได้ยาก สำหรับความเข้าใจเก่ียวกับการเดินจงกรมและ การน่ังสมาธิ ทุกข้อมีค่าเฉลี่ยของคะแนนเพิ่มขึ้นยกเว้นการกำหนดอิริยาบถย่อยมีข้อเดียวท่ีได้ คะแนนความเข้าใจลดลงเพียง ๐.๐๒ คือ ความเข้าใจสภาวะของ“รูป”ในขณะกำหนดอิริยาบถ ย่อย เป็นเพราะในขณะกำหนดอิริยาบถย่อยจะมีสภาวะของรูปปรากฏมากมายตลอดเวลาจึงยาก ยิง่ ทจี่ ะกำหนดรไู้ ดต้ ่อเนื่องก่อนการปฏิบตั ิอาจเข้าใจผิดหรือไม่มคี วามรเู้ รื่อง“สภาวรปู ”ที่พึงเห็นได้ ว่ามีเพียงวิสยรูป ๗ หรือ โคจรรูป ๗ มาก่อน จึงคิดวา่ เคยกำหนดรู้ได้ดี (เคยบรกิ รรมได้วา่ ยก จับ ไป ถงึ ลง ถูก)เมื่อมาปฏบิ ัตหิ ลายรปู แบบโดยให้ระลกึ ร้สู ภาวะของรปู ปรากฏจริงในทกุ สัมปชญั ญะ จึงเกิดความไม่แน่ใจว่าทำได้ถูกต้องมาก-น้อยประการใด ผลของคะแนนจึงออกมาลดลงแสดงให้ เห็นว่าค่าของคะแนนท่ีได้เป็นคะแนนที่ได้จากความเข้าใจของผู้ปฏิบัติจริงๆเพราะมีเหตุ ปัจจัยท่ี หนนุ เน่ืองเป็นเหตุเปน็ ผลอยา่ งแท้จริง๑๘๒ [๑๘๓] การเพิ่มความเข้าใจในการปฏิบัติด้วยรูปแบบต่างๆนิยมใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน ปรากฏว่าทุกรูปแบบ คือรูปแบบ“พุท–โธ”รูปแบบ“พอง–ยุบ”รูปแบบ“เจริญสติรู้กาย เคลื่อนไหว”และรูปแบบ“ปรมัตถภาวนา”พบว่าผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจในการปฏิบัติได้คะแนน เฉล่ียเพิ่มขึ้นในทุกข้อของทุกรูปแบบแสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้ปฏิบัติได้เข้าใจถ่องแท้ถึงหลักการ ปฏิบตั ิวิปสั สนากรรมฐานตามหลกั สติปัฏฐาน คือ รู้จักค่าที่เป็นจริงของอารมณ์กรรมฐานท่ีแทรก ๑๘๒ อา้ งแล้ว, ภัทรนธิ ์ิ วิสุทธิศกั ดิ์, [รหัสแบบบันทกึ ๕๕-๕๕]
๒๒๗ อยู่ในทุกรูปแบบของการปฏิบัติแล้วทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นจึงไม่ยึดติดที่รูปแบบแต่ยึด หลักการแห่งสตปิ ฏั ฐานเมอื่ หลักยึดถูกต้องย่อมปฏิบตั ไิ ดด้ ีในทกุ รปู แบบ ๑๘๓ [๑๘๔] การเพ่ิมผลสัมฤทธิ์หลังการอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ผู้ เข้าอบรมเกิดสัมฤทธิผลตามลำดับญาณเบื้องต้น(ตรุณวิปัสสนา)เพราะสืบเนื่องจากความเข้าใจ ปรยิ ัตอิ ยา่ งชดั เจนถ่องแท้ ทำให้นำมาปฏิบัติไดอ้ ย่างถกู ต้องนบั แต่เรม่ิ ต้นปฏิบัติไม่ว่าจะมีพื้นฐาน การศึกษาในระดับใดหรือมีประสบการณ์การปฏิบัตมิ าก่อนหรือไม่ตาม เมื่อได้เร่ืองหลักการปฏิบัติ วปิ ัสสนากรรมฐานตามหลักสตปิ ัฏฐาน เริ่มจากลักษณะเฉพาะของรูป–นามและสามัญญลักษณะ ที่พึงกำหนดรู้มีอะไรบ้างกำหนดรู้อย่างไร(กำหนดรู้ตามหลักสติปัฏฐาน) อีกทั้งการนำปฏิบัติของ วิทยากรสอดคล้องกับธรรมบรรยายเปน็ ลำดับไป เช่น เมอ่ื ผู้ปฏบิ ัติฟังธรรมเรื่องลกั ษณะเฉพาะของ รูป–นาม วิทยากรเน้นการปฏิบัติโดยให้กำหนดรู้ลักษณะเฉพาะของรูป–นาม ในขณะท่ีนำปฏิบัติ ในรูปแบบต่างๆเป็นการเชื่อมโยงหัวใจของการปฏิบัติสู่รูปแบบต่างๆเป็นหนึ่งเดียวกันทำให้เพิ่ม ผลสัมฤทธิใ์ นการปฏิบตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานฯ ตามลำดบั ญาณเบอื้ งตน้ อย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติ๑๘๔ [๑๘๕] การเพิ่มผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตรวจสอบโดยความเขา้ ใจการ ปฏิบัติตามลำดับญาณเบื้องต้นมีบางข้อที่ได้คะแนนเฉล่ียลดลง เช่น การเคลื่อนไหวของกายคือ “รูป”ได้ค่าเฉล่ียของคะแนนก่อนอบรมและหลังอบรมเท่ากนั และการรู้กล่ินเป็น“นาม”ได้ค่าเฉล่ีย ของคะแนนลดลงทั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลได้แสดงไว้ข้างต้นแล้วว่าสภาวะของรูปและนามเป็นเรื่อง ยากและประสบการณ์การปฏิบัติเดิมอาจเคยเข้าใจผิดมาก่อนว่าเคยกำหนดรู้ได้ทันปัจจุบนั (เพราะ เคยบริกรรมได้ทัน) เมื่อมาเข้าใจความจริงของการกำหนดรู้สภาวของรูปและนามท่ีปรากฏใน ปัจจุบันเฉพาะหน้าจริงๆผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติจึงปรากฏคะแนนออกมาสอดคล้องกับคะแนน ความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นับเป็นเป็นคะแนนที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ผลสัมฤทธ์ิของการปฏิบัติท่ีเกิดจากความเข้าใจปริยัติอย่างถ่องแท้ของผู้เข้าอบรมวิปัสสนา กรรมฐานแบบผสมผสานฯ๑๘๕ [๑๘๖] ด้านความพึงพอใจรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานวิธีการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติให้เกิดแก่ ผู้ เข้าอบรมในระดับมาก คือมีค่าเฉล่ียถึง ๔.๑๘ แสดงให้เห็นได้ว่าสติปัฏฐาน ๔ คือ หัวใจของ วิปัสสนากรรมฐานที่อยู่ในทุกรูปแบบ เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจหลักการแห่งสติปัฏฐาน กำหนดรู้ได้ ถูกต้องตรงทาง ทำให้เจริญปัญญาเป็นผู้รู้แจ้งในธรรมะของพระพุทธองค์ยังความสำเร็จในการ ๑๘๓ อ้างแล้ว, ภทั รนธิ ์ิ วสิ ุทธศิ ักด์ิ, [รหสั แบบบนั ทกึ ๕๕-๕๕] ๑๘๔ อา้ งแลว้ , ภัทรนธิ ิ์ วสิ ุทธศิ กั ด์ิ, [รหสั แบบบันทกึ ๕๕-๕๕] ๑๘๕ อา้ งแลว้ , ภัทรนิธิ์ วสิ ุทธิศักดิ์, [รหัสแบบบันทกึ ๕๕-๕๕]
๒๒๘ ปฏิบตั ิตามลำดบั ญาณให้ผูป้ ฏิบัติได้เห็นจริงเป็น ปัจจักขญาณผู้ปฏิบัติย่อมเกิดความพอใจท่ีได้เข้า อบรมปฏิบัติหลากหลายรูปแบบ เหมือนได้ชิมแกงหลายถ้วยโดยทราบถึงคุณค่าของสารอาหารท่ี แท้จรงิ ที่อยู่ในแกงแต่ละถ้วยมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ ท่ีมีคุณค่าเฉพาะตัวของมัน เสมอื นกบั การปฏิบตั ิในรูปแบบผสมผสานดว้ ยความเขา้ ใจไม่ว่าปฏิบัติด้วยรูปแบบใดมีการกำหนด รูร้ ูป–นามทีม่ ีลักษณะเฉพาะตนเหมอื นกนั ทำให้การปฏบิ ัติเป็นไปอย่างไม่น่าเบอื่ ไมถ่ ูกบงั คับอีกทั้ง การได้สังเกตตนเองวา่ มีอธั ยาศัยหรอื จริตสงั่ สมในการปฏบิ ัติแบบใดยงิ่ สงั เกตตนเองมากความต้ังใจ เพม่ิ ผลสัมฤทธข์ิ องการปฏิบัติเพม่ิ และยงั เหน็ ประโยชน์วา่ สามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ได้ในการปฏิบตั ิ ทุกรูปแบบ ทุกท่ี ทกุ เวลา และที่สำคญั สามารถปฏิบัติสตปิ ฏั ฐานในชีวิตประจำวันได้ ทำให้คะแนน เฉล่ียของความพึงพอใจในการปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานมีผลของคะแนนเพ่ิมขน้ึ ทุก ข้อทีเดียว สอดคล้องกับที่พระพุทธโฆสาจารย์กล่าวไว้ในอรรถกถาพระวินัยปิฎกปาราชิกกัณฑ์ ที่ว่าปริยัติที่บุคคลเรียนดี เป็นไปเพ่ือประโยชน์เพ่ือความสุขส้ินกาลนานคือหวังความบริบูรณ์แห่ง ศีลขนั ธ์ ช่ือว่า นิตถรณปรยิ ัติ คือ เม่ือผู้เข้าอบรมปฏบิ ัติวปิ ัสสนากรรมฐานได้รับปริยัติที่เกี่ยวเนื่อง กบั การปฏิบตั ใิ นทุกรปู แบบอยา่ งเขา้ ใจถอ่ งแท้เกิดประโยชน์เพ่ือความส้นิ ทุกข์อยา่ งถาวร๑๘๖ [๑๘๗] การจดั อบรมวิปสั สนากรรมฐานแบบผสมผสานฯเปน็ ทางเลอื กท่ีผู้สนใจวิปสั สนา กรรมฐานสามารถเลือกปฏิบัติได้ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องในการปฏิบัติตามหลักสติปัฏ ฐานเพราะเข้าถงึ เน้ือหาเป็นจริงอันเป็นแก่นหรือเนื้อแท้ของกรรมฐานท่ีแทรกอยู่ในทุกรูปแบบได้ อย่างชัดเจนโดยไม่เปรียบเทียบหรือปฏิเสธการปฏิบัติในรูปแบบใดใดที่ยึดหลักการปฏิบัติแห่ง สติปฏั ฐานอยเู่ พยี งแต่นำวธิ กี ารเดน่ ในแตล่ ะรปู แบบมาผสมผสานกนั ใหเ้ ป็นเรอ่ื งเดียวกันได้อย่างลง ตวั มีข้อควรสังเกตว่าผู้ทส่ี ามารถเป็นวิปัสสนาจารย์หรือผู้จัดการอบรมวิปัสสนากรรมฐานแบบ ผสมผสานฯได้จะต้องเป็นผู้ทม่ี ีความรู้ปริยตั ิธรรมโดยเฉพาะด้านอภิธรรมและไดเ้ จริญวปิ ัสสนา กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานจนเข้าถึงอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐานได้ถ่องแท้และมีวิปัสสนา ญาณปรากฏจึงจะทำการสอนหรือจัดอบรมวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯได้ประสบ ผลสำเรจ็ ๑๘๗ [๑๘๘] ข้ันตอนและองค์ประกอบของการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนาความรู้ใน พระพุทธศาสนามีการสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันนับได้ร่วม ๒,๖๐๐ ปี องค์กร พระพุทธศาสนาจึงถือได้ว่าเป็นองค์กรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกองค์กรหนึ่งเช่น ได้เน่ืองจากมี กระบวนการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ ผลการศึกษาเกี่ยวกับข้ันตอนและองค์ประกอบของ การจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนา ดังน้ี ๑.องค์ประกอบด้านคน คือมีโครงสร้างการบริหาร ๑๘๖ อา้ งแล้ว, ภทั รนธิ ์ิ วิสุทธศิ กั ดิ์, [รหสั แบบบันทกึ ๕๕-๕๕] ๑๘๗ อ้างแลว้ , ภทั รนิธิ์ วิสทุ ธิศักด์ิ, [รหสั แบบบันทึก ๕๕-๕๕]
๒๒๙ จัดการองค์กรสงฆ์ที่ชัดเจนมีการยกย่องพระสาวกท่โี ดดเด่นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เพื่อให้มีการ แลกเปล่ียนความรู้ได้สะดวกและช่วยให้การบริหารองค์กรสงฆ์เป็นไปโดยเรียบร้อย ๒ . องค์ประกอบด้านส่วนเครื่องมือ พบวา่ ในพระพุทธศาสนามีเครอื่ งมือในการจัดการความรปู้ รากฏ ในรูปแบบของหลักธรรมท่ีส่งเสริมให้เกิดการจัดการความรู้ ได้แก่หลักอปริหานิยธรรม ๗ หลัก สาราณียธรรม ๖ หลักสัปปุริสธรรม ๗ หลักวุฑฒิธรรม ๔ และหลักสัมมัปปธาน ๔ ๓. องค์ประกอบด้านกิจกรรมในพระพุทธศาสนามีกิจกรรมการจัดการความรู้โดยผ่าน รูปแบบของ กิจจาธิกรณ์ หมายถึง กิจอันจะพึงทำด้วยประชุมสงฆ์ ได้แก่ สังฆกรรมท้ัง ๔ คือ อปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติตติยกรรม และ หลักกิจวัตร ๑๐ ประการ ๑)บิณฑบาต ๒) กวาดวัด ๓)ปลงอาบัติ ๔)ทำวัตรพระสวดมนต์ ๕)ขวนขวายในปัจจเวกขณ์และภาวนา ๖) อุปัฏฐากอุปัชฌาย์อาจารย์ ๗)บริหารส่ิงของและร่างกาย ๘)ขวนขวายเรียนธรรมวินัย ๙)เอาใจใส่ ของสงฆ์และกจิ สงฆ์ ๑๐)การดำรงตนใหน้ ่าไหว้ ๑๘๘ [๑๘๙] สภาพการจดั การความรู้ของสำนกั ปฏบิ ตั ิธรรมในประเทศไทย ผลการการศึกษา รูปแบบการจัดการความรู้ของสำนักปฏิบัติธรรมวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) เชียงใหม่ วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม)สุราษฏร์ธานี วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี วัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา และวัดหลวงพอ่ สดธรรมกายาราม ราชบุรี ทงั้ ๕ สำนกั ต่างมคี วามเหมือนความตา่ งอันเปน็ จดุ เด่น แตกต่างกันดังนี้ ด้านความเหมือนสำนักปฏิบัติธรรม ๕ สำนักต่างมีสภาพท่ัวไปตลอดจนรูปแบบ การจัดการความรู้ที่เหมือนกนั คือ สถานท่ีเป็นสัปปายะโดยเฉพาะวัดหนองป่าพงกับสวนโมกข์จะ มคี วามเป็นวดั ปา่ ใกลเ้ คียงกนั ส่วนวดั มเหยงคณ์ วัดรา่ํ เปิง(ตโปทาราม)และวัดหลวงพ่อสดธรรมกา ยารามต่างเป็นวัดที่อยู่ใกล้เมืองจึงมีลักษณะกึ่งป่าก่ึงเมืองมีส่ิงก่อสร้างที่เป็นอาคารถาวรวัตถุมาก แต่มีต้นไม้ปกคลุมทำให้เกิดความร่มร่ืนความเหมือนประการท่ี ๒ คือทุกสำนักต่างมีส่ือส่ิงพิมพ์ ต่างๆมากมาย เช่น หนงั สอื CD VCD DVD เวปไซต์ ส่วนสถานวี ิทยแุ ละโทรทัศนจ์ ะมีเหมือนกนั บาง สำนัก นอกจากน้ียังพบว่า ทุกสำนักต่างจัดต้ังมูลนิธิข้ีนมาสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักด้าน การให้บริการผู้มาฝึกอบรมส่วนทุกสำนักจะเป็นสำนักเปิดที่พร้อมรองรับบุคคลทั่วไปให้มาศึกษา ปฏิบัติ ยกเว้นสำนักวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามจะเน้นเฉพาะเป็นหมู่คณะ หากเป็นบุคคลท่ัวไป จะไม่เปิดรับเน่ืองจากจะมีปัญหาด้านความปลอดภัย ส่วนรูปแบบการจัดการความรู้โดยทั่วไปจะ ดำเนินการตามแนวทางในคัมภีรพ์ ระพทุ ธศาสนาเป็นอุดมการณ์ในเชิงการเผยแผธ่ รรมอย่แู ล้ว การ จดั การความรู้จึงสอดคล้องกับแนวทางท่มี ีการปฏิบัติมาโดยตลอด ด้านความต่าง ๑.สำนักปฏิบัติ ธรรมวัดร่ําเปิง (ตโปทาราม) เริ่มมีการขยายสาขาแต่ไม่มีการเข้าไปควบคุมแบบเข้มงวดมีการจัด บวชพระทุกวันอาทิตย์มุ่งอบรมทั้งพระสงฆ์และฆราวาสการปฏบิ ัตคิ วรเป็นยุบ–พองใหค้ วามสำคัญ ท่ีระบบการบริหาร ๒. สำนักปฏิบัติธรรมวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) มีส่ือท่ีหลากหลาย ๑๘๘ อา้ งอิง, อุทัย สตมิ ่ัน, [รหสั แบบบันทึก ๕๓-๕๕]
๒๓๐ เช่น งานปูนป้ัน โรงมมหรสพทางวิญญาณ จัดคอร์สฝึกอบรมพิเศษ ณ สวนโมกข์นานาชาติตลอด ทั้งปีและมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก มีธรรมภาคีคือ สวนโมกข์รถไฟ ณ กรุงเทพฯ เป็นสถานท่ีจัด กิจกรรมที่หลากหลาย มุ่งอบรมฆราวาสท้ังคนไทยและชาวต่างประเทศ ไม่ต้องการมีสำนักสาขา การปฏิบัติควรเป็นอานาปานสติมุ่งรักษาสิ่งท่ีเป็นธรรมเนียมที่ท่านพุทธทาสสร้างไว้ ๓.สำนัก ปฏิบัติธรรมวัดหนองป่าพง สาขา ๓๑๑ สาขาท้ังในประเทศและต่างประเทศเป็นท่ีมีความเป็น รูปธรรมสามารถสัมผัสได้ด้วยการปฏิบัติ มีพิพิธภัณฑ์เพ่ือให้ความรู้มุ่งอบรมพระสงฆ์ไม่จำกัด รูปแบบ ๕ สาย มุ่งเน้นธุดงค์วตั ร มุ่งความเป็นสำนักปฏิบัติแบบวัดป่าไม่ยดึ ติดตัวบุคคล ๔. สำนัก ปฏิบัติธรรมวัดมเหยงคณ์ เร่ิมเปิดสำนักสาขาเน้นใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการสอบอารมณ์ และ การสอนกัมมัฏฐานมาก มีหอ้ งสมดุ ให้ความรู้ผปู้ ฏิบตั ิอย่างเปน็ เวลา มงุ่ อบรมฆราวาส ไม่จำกัดสาย แล้วแต่ถนัดสุดท้ายจะรวมท่ีรูปนาม ๕.สำนักปฏิบัติธรรมวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามมี ฐานข้อมูลสำนักปฏิบัติธรรมรับบุคคลเข้าปฏิบัติเฉพาะเป็นหมู่คณะมุ่งด้านการบริหารองค์กรที่ เกยี่ วขอ้ งและม่งุ การบรหิ ารจดั การภายในสำนกั เน้นสัมมาอรหงั ๑๘๙ [๑๙๐]รูปแบบการจัดการความรู้สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทยจากกรณี ตวั อย่าง ๕ สำนัก ไดข้ ้อสรุปเก่ียวกับรูปแบบการจัดการความรู้ท่ีเหมาะสมกับสำนักปฏิบัติธรรมใน ประเทศไทยดังน้ี ๑)การบ่งชี้ความรู้(Knowledge Identification)กำหนดองค์ความรู้ ๒ ประเภท คือ องค์ความรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติของแต่ละสายหรือหลักสติปัฏฐาน ๔ และองค์ ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการสำนักปฏิบัติโดยควรมีการบ่งช้ีให้ชัดเจน ๒)การสร้างและ แสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition)ควรมีการดำเนินการตามหลักคัน ธุระและวิปัสสนาธุระควบคู่กันโดยเป็นการพัฒนาตามหลักปัญญา ๓ (สุตมยปัญญา จินตามย ปัญญา และภาวนามยปัญญา) ๓)การจัดความร้ใู ห้เป็นระบบ(Knowledge Organization) ใน พระพุทธศาสนามีความรู้ท่ีเป็นระบบแล้ว คือ พระไตรปิฎกโดยการสังคายนา ควรมีการจัดความรู้ คำสอนของครูบาอาจารย์เจ้าสำนักเก่ียวกับเทคนิคการสอนไว้ให้เป็นระบบ ๔)การประมวลและ กลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement) ดำเนินการโดยยึดถือ แบบอย่างครูบาอาจารย์รวมถึงมีการสอบทานระหว่างปริยัติกับปฏิบัติ ๕)การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) สถานท่ีเป็นสัปปายะ มีสื่อเช่น หนังสือ CD VCD DVD เวปไซต์ รายการ วิทยุและโทรทัศน์ การเข้าถึง นักจัดการความรู้จะต้องจัดสภาพแวดล้อมภายนอกเป็นปรโตโฆสะ ให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ ๖)การแบ่งปันแลกเปลี่ยน (Knowledge Sharing)สำนักปฏิบัติธรรมควร จัดให้มีการประชุมภายหลังสวดปาติโมกข์ หรือทำวัตรเสร็จ หรือมีการสากัจฉา หรือการสอบ อารมณผ์ ู้ปฏิบัติ ๗)การเรียนรู้ (Learning) มีการพัฒนาองคค์ วามรู้ดา้ นเทคนคิ การปฏิบัติแตกต่าง กันไป เช่น อานาปาสติ พัฒนามาเป็น ยุบ-พองๆ พัฒนามาเป็น รูป-นามๆพัฒนามาเป็นการ ๑๘๙อ้างองิ , อทุ ัย สติมน่ั , [รหัสแบบบันทึก ๕๓-๕๕]
๒๓๑ ดูจิต จากยกระดับจิตให้สูงขึ้นจากปุถุชนให้เข้าสู่ความเป็นอริยชน การเรียนรู้ในพระพุทธศาสนา ควรยึดหลักโยนิโสมนสิการประกอบในการบริหารจัดการสำนักปฏิบัติธรรมจะต้องมีสมรรถนะ หลัก (Core Competency)ทีส่ ำคญั อย่างน้อย ๔ สมรรถนะ คือ ๑.ความสามารถในการบริหาร จัดการสำนักปฏิบัติธรรมโดยการนำหลักการบริหารจัดการสมัยใหม่มาใช้ในการดำเนินการ ๒.มี การประสานงานที่ดที ้งั งานภายในและภายนอกสำนัก ๓.มีความรับผิดชอบและดแู ลบุคลากรและ ผู้ปฏิบัติอย่างดี ๔.บุคลากรในสำนักปฏิบัติธรรมมีการทำงานเป็นทีมสำนักปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน จะต้องมกี ารนำหลกั การจดั การความรมู้ าเป็นเครื่องมอื ในการบรหิ ารจัดการสำนกั โดยมีการกำหนด เป้าหมายอย่างชัดเจน มีการกำหนดสมรรถนะหลักแล้วพัฒนาสมรรถนะให้เป็นจุดเด่นขององค์กร ได้นำองค์ประกอบของการจัดการความรู้ในวิทยาการปัจจุบันมาบูรณาการร่วมกับองค์ประกอบ ของการจดั การความรใู้ นพระพุทธศาสนาทำให้ไดอ้ งคป์ ระกอบของการจดั การความรู้ ๕ ประการ คือ ๑. ด้านคน ต้องมีโครงสร้างท่ีเอื้อต่อความสำเร็จของการจัดการความรู้ผู้บริหารสูงสุดใน องค์กรจะต้องเห็นคณุ ค่าในการจัดการความรู้และดำเนินการผลักดันการจัดการความรู้ท่ีสำคัญคน ในองค์กรจะต้องมีความกระหายใคร่เรียนรู้ มีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ มีทัศนคติท่ีดีในการทำงาน ๒. ด้านเทคโนโลยี สำนักปฏิบัติธรรมจะต้องมีระบบ IT หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ท่ีหลากหลายและมปี ระสิทธภิ าพเพราะจะชว่ ยให้เกดิ กระบวนการเรยี นร้ไู ด้สะดวกรวดเรว็ เช่น ส่ือ อินเทอร์เน็ต ๓.ด้านกระบวนการ สำนักปฏิบัติธรรมจะต้องมีกระบวนการทำท่ีชัดเจนเป็นระบบ และมีประสิทธิผล ตัวอย่างของกระบวนการท่ีถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการราชการ เช่น กระบวนการจัดการความรู้ตามแนวทางของ กพร. ๗ ขั้นตอน คือ (๑)การบ่งชี้ความรู้ (๒)การ สร้างและแสวงหาความรู้ (๓)การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (๔)การประมวลและกล่ันกรองความรู้ (๕) การเขา้ ถงึ ความรู้ (๖)การแบ่งปันแลกเปลีย่ นความรู้ (๗)การเรยี นรู้ดังกล่าวแล้วในตอนตน้ ๔. ดา้ น กจิ กรรมทเ่ี ปน็ วัฒนธรรมองค์กรและสภาพแวดลอ้ มกิจกรรมที่เป็นวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม (Culture & Environment)เอ้ือต่อการเรียนรู้มีการส่งเสริมให้เกิดชุมชนแนวปฏิบัติ(CoP- Community of Practice) ามหลักกิจจาธิกรณ์และหลักกิจวัตร ๑๐ประการ ๕.ด้านเครอ่ื งมือ หรือหลักธรรมสนับสนุนเครื่องมือการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนา ประกอบหลักอปริหานิย ธรรม ๗ หลกั สาราณียธรรม ๖ หลกั สัปปรุ ิสธรรม ๗ หลักวุฒิธรรม ๔ หลกั สัมมปั ปธาน ๔ ๑๙๐ [๑๙๑] การสรา้ งตัวชี้วัดเพ่ือวิเคราะห์อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นการศึกษาวิจัยเสนอเคร่ืองมือเป็นตัวช้ีวัดเพ่ือวิเคราะห์อินทรีย์ ๕ ในผู้ปฏิบัตวิ ิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเป็นรูปธรรมเพอ่ื ให้การปฏบิ ัติวิปสั สนากัมมัฏฐานมีเคร่ืองมือ วดั ผลอย่างเปน็ ระบบและงา่ ยต่อการประเมินผล การวจิ ยั ๓ ประการ (๑)เพอื่ วิเคราะห์ความหมาย และความสำคัญของอินทรยี ์ ๕ และญาณ ๑๖ (๒)เพือ่ ศึกษาวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บระหว่างอินทรีย์ ๑๙๐ อา้ งแลว้ , อุทัย สติมนั่ , [รหสั แบบบันทกึ ๕๓-๕๕]
๒๓๒ ๕ กับ ญาณ ๑๖ (๓)เพ่ือสร้างตัวชี้วัดของความเป็นอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับระดับญาณ ๑๖ พร้อมทั้งตั้งประเด็นว่า ความหมายและความสำคัญของอินทรีย์ ๕ และญาณ ๑๖ เป็นอย่างไร ความเป็นอินทรีย์ ๕ กับระดับญาณ ๑๖ เปรียบเทียบกันได้อย่างไร และตัวช้ีวัดเพ่ือความเป็น อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับระดับญาณ ๑๖ เป็นอย่างไร ศึกษาวิเคราะห์เน้ือหาเร่ืองอินทรีย์๕ ได้แก่ ๑)สัทธา(ความเช่ือ) ๒)วิริยะ(ความเพียร) ๓) สติ(ความระลึกได้) ๔)สมาธิ(ความตั้ง จิตม่ัน) ๕) ปัญญา (ความร้ทู วั่ ) และญาณ ๑๖ ภายใต้รปู แบบการเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ หรือการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน สร้างเป็นแบบประเมินอินทรีย์๕ ก่อนและหลังการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานในรูปแบบการปฏิบัติ ๓ อย่าง คือ ๑)การเดินจงกรม ๒)การน่ังกัมมัฏฐาน หรือนั่ง สมาธิ และ ๓)การกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถยอ่ ย๑๙๑ [๑๙๒]เมตตาภาวนาเป็นบาทในการปฏิบัติวิปัสสนาธรรมชาติของจิตมีแต่ความด้ินรน กวัดแกว่ง รักษายากห้ามยาก ถ้าหากว่าไม่มีกัมมัฏฐานมาเป็นอารมณ์กิเลสจะจูงจิตไปในทางช่ัว ทางผิดได้โดยง่าย แต่ถ้าหากว่ามีกัมมัฏฐานมารักษาจิตเอาไว้ตามสมควร กัมมัฏฐานที่รักษาจิตไว้ จะช่วยรักษาบุคคลไม่ให้ตกไปสู่อำนาจของอารมณ์และกิเลสได้โดยง่ายในสังคมปัจจุบันอารมณ์ และความกิเลส คือ ความโกรธนำไปสู่ความขัดแข้งในทุกระดับอันเป็นผลมาจากยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากขัดแข้งอันเกิดจากแย่งชิงทรัพยากรและผลประโยชน์แล้ว มนุษย์ในยุคปัจจุบันอันเป็นยุค แห่งข้อมูลข่าวสารที่กระจายไปท่ัวโลกนำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิดการประยุกต์หลักเมตตา ภาวนา คือ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงเป็นทางออกอีกทางหนึ่งเพ่ืออบรมจิตดังกล่าวต้อง อาศัยกัมมัฏฐานท่ีเหมาะสมจตุรารักขกัมมัฏฐานเป็นสัพพัตถกกัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานที่พึง ต้องการในท่ีทั้งปวงหรือพึงใช้เป็นฐานของการเจริญภาวนาทุกอย่างกัมมัฏฐานที่เป็นประโยชน์ใน ทุกกรณีใชไ้ ดก้ ับทุกจริตและเป็นกัมมัฏฐานที่ครบู าอาจารย์ผูส้ อนกัมมฏั ฐานมกั จะพดู ถึงกอ่ น๑๙๒ [๑๙๓] การศึกษาหลักธรรมในจตุรารักขกัมมัฏฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาแต่ความสุขเกลียดความทุกข์ฉันใดสัตว์หมู่อื่น ปรารถนาความสุขเกลียดในความทุกข์เหมือนกันเม่ือเห็นแล้วจิตปรารถนาที่จะให้สัตว์ท้ังหลายมี ความสุขความเจริญจึงให้ต้ังเมตตาในตนก่อนเม่ือต้ังเมตตาในตนแล้วลำดับบุคคลผู้ใดเป็นที่รักที่ ชอบใจแห่งตนและเป็นที่สรรเสริญ คือ เป็นอาจารย์ตนและคนเสมอกับอาจารย์ด้วยศีลคุณและ อุปัชฌาย์แห่งตนและคนมีคุณ เสมอกับอุปัชฌาย์ด้วยศีลคุณ ให้เจริญเมตตาไปในบุคคลผู้ระลึกถึง คุณท่านท่ีเคยให้ปันส่ิงของแก่ตน เคยกล่าววาจาเป็นที่รักแก่ตนแต่ในกาลก่อน พึงระลึกคุณมี สภาวะเปน็ ท่ีเคารพเป็นที่สรรเสรญิ มีศีลคุณและสุตคุณเป็นต้นแห่งบุคคลผเู้ พ่ือจะให้เมตตาเป็นไป ได้ง่าย พึงเจริญเมตตาพรหมวิหารไปในบุคคลผู้โดยนัยว่า“เอส สปฺปุริโส สุขิโต โหตุ นิทฺทุกฺโข” ๑๙๑อ้างอิง, พระมหาบญุ เลศิ ธมมฺ ทสสฺ /ี โอฐสู, [รหสั แบบบนั ทึก ๕๐-๕๕] ๑๙๒อา้ งแลว้ , พระมหาอาคม สุมงคฺ โล (คณุ สถิต), [รหัสแบบบันทึก ๔๖-๕๕]
๒๓๓ ความว่า ท่านผู้เป็นสัตบุรุษ จงเป็นสุขปราศจากทุกข์ บริกรรมภาวนา เจริญไปเนืองๆ เมื่อเจริญ เมตตาไปในอุปัชฌาย์อาจารย์ผู้สั่งสอนแล้ว ต่อไปให้เจริญเมตตาไปในบุคคลอันเป็นที่รักมีบิดา มารดา จึงแผ่เมตตาไปในบุคคลอันตนมิได้รักมิได้ชัง เป็นกลางๆลำดับจึงแผ่เมตตาไปในบุคคลผู้ เป็นเวร เมื่อแผ่เมตตาในบุคคลอันเป็นเวร ถ้าจิตตั้งเมตตาลงไม่ได้ อาศัยว่าความคิดแค้นอยู่ด้วย เหตุหนหลังคิดข้ึนมาถึงความหลังแล้วมีความโกรธบังเกิดข้ึนมาไม่เมตตาลงได้ พึงกลับระลึกถึง บุคคลอนั เป็นทรี่ ัก มีครอู ปุ ัชฌาย์อาจารย์ แล้วภายหลังจึงแผเ่ มตตาไปในบคุ คลอันเป็นเวร ถ้าจิตยัง มีความโกรธอยู่ พึงให้โอวาทความส่ังสอนตนว่า“อเร กุชฺฌนปุริส” ความว่า แน่ะบุรุษผู้มักโกรธ ท่านไม่ได้ฟังพระธรรมเทศนาบ้างเลยหรือประการใด จึงมาเป็นเช่นนี้ นี่แน่ท่านเอ๋ย พระพุทธองค์ ทรงพระมหากรุณาโปรดไว้ว่า มหาโจรอันร้ายกาจหยาบช้าตัดเสียอวัยวะใหญ่น้อยของบุคคลผู้ใด ดว้ ยเล่ือยอันคมกล้ากระทำ ให้ลำบากเวทนาแทบปางตาย ถ้าผู้มใี จโกรธแกโ่ จรทั้งหลายอันทำร้าย แก่ตนแล้ว ผจู้ ะได้ชื่อว่ากระทำตามคำสั่งสอนพระตถาคตหามิได้ ผู้ใดแลโกรธตอบแกบ่ ุคคลผู้โกรธ กอ่ นผูช้ อ่ื ว่า เลวกว่าบุคคลผโู้ กรธกอ่ น บคุ คลผใู้ ดเหน็ เขาโกรธมิได้โกรธตอบ อดทนอดกล้นั บรรเทา เสียได้ ผู้ได้ช่ือว่าชนะสงครามอันใหญ่หลวงยากท่ีผู้อื่นจะผจญได้ ความไม่ได้โกรธตอบ ชื่อว่า ประพฤติให้เป็นประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ท่านอธิบายว่า คนท่ีไม่โกรธย่อมมีใจเย็นไม่ เดือดร้อนพลุ่งพล่านระส่าระสาย ความสบายมีมาก เพราะ มีสันดานเย็นแล้ว จะเป็นที่สรรเสริญ แหง่ นักปราชญ์ผ้มู ีปัญญา จะเปน็ ทีร่ ักใคร่แห่งสรรพเทวดามนุษย์ถ้วนหน้าโรคาไขเ้ จ็บจะมีนอ้ ย คน ท่ีผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรแก่ตนจะมีน้อย เม่ือดับจิตจะได้สติตายแล้วจะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ บุคคลผู้มิได้โกรธตอบแก่คนท่ีโกรธก่อน จะเป็นประโยชน์ตน ที่ว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นคือเขา โกรธตนๆไม่โกรธแล้วเขาจะโกรธไปไดไ้ ม่นาน ความโกรธของเขาจะรางับไป เม่ือความโกรธของเขา รางบั ไปแลว้ เขาจะไดร้ บั ความสบาย อย่างนช้ี ่อื ว่า กระทำให้เปน็ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ ื่น ๑๙๓ [๑๙๔] ถ้าความโกรธยังไม่ระงับลงพึงสอนตนด้วยนัยอื่นว่า พระศาสดาตรัสพระธรรม เทศนาไว้ว่า“ฉวาลาต อุภโตปทิตฺต” ความว่า ฟืนอันบุคคลเผาผีมีไฟติดทั้งข้างโน้นข้างนี้ มีกลาง เปื้อนไปด้วยคูถไม่มีใครหยิบใครต้อง ไม่ได้สำเร็จกิจเป็นฟืนในบ้านในป่า จะต้องท้ิงอยู่เปล่าหา ประโยชน์มิได้ฉันใด ผู้ใดเห็นเขาโกรธแล้วโกรธตอบ ผู้ชื่อว่า กระทำตนให้หาคุณมิได้ มีอุปมัย ดัง เม่ือสั่งสอนตนอย่างนี้ ถ้าความโกรธยังมิได้ระงับ พึงพิจารณาเอาเย่ียงอย่างพระพุทธเจ้า เม่ือ พระองค์ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์ผู้มีขันติ ให้ระลึกว่า ครั้งหน่ึงเมื่อเสวยพระชาติเป็นพระยา สิลวราช รักษาศีลบริสุทธิ์ ามาตย์ผู้หนึ่งใจบาปหยาบช้าประทุษร้ายในพระราชเทวี จึงไปพา พระยาปัจจามิตรมาจับพระองค์กับอามาตย์พันหนึ่งไปฝังเสีย ในป่าช้าผีดิบประมาณเพียงพระคอ ประสงค์จะปลงพระชนม์ให้สิ้นสูญ พระองค์มิได้มีใจประทุษร้ายต้ังขันติเป็นเบื้องหน้าครั้นเวลา ๑๙๓ อ้างแลว้ , พระมหาอาคม สุมงฺคโล (คณุ สถติ ), [รหสั แบบบันทึก ๔๖-๕๕]
๒๓๔ กลางคืนสุนัขจ้ิงจอกมาสู่ป่าช้าจะกินซากอสุภะ เข้าไปใกล้พระบรมโพธิสัตว์จะกินพระองค์ๆเอา คางทับไว้สุนัขจ้ิงจอกคุ้ยดินลงไปจนพระองค์ขึ้นได้ ขุดอามาตย์ขึ้นสิ้นท้ังพันเทพยาดาพาพระองค์ มาส่งถึงปราสาท พระองค์มิได้ประทุษร้ายตั้งพระยาปัจจามิตรไว้ในท่ีเป็นมิตร สำหรับลำดับต่อไป พระพุทธองค์สอนวิธีการฝึกแผ่เมตตาว่าผู้แผ่เมตตาจะยืน เดิน น่ัง นอน ควรตั้งสติ(หมายถึง เมตตาฌานัสสติ คือ สติท่ีประกอบด้วยเมตตาฌาน)ไว้ตลอดเวลาที่ยังไม่ง่วง นักปราชญ์เรียกการ อยู่ด้วยเมตตาว่า พรหมวิหาร หมายความว่าผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาแบบสมถนำหน้าวิปัสสนา ตามหลัง คือในขณะยืนเจริญเมตตาอยู่แล้วเจริญวิปัสสนาต่อท้ายว่ายืนหนอๆๆเพื่อเจริญ วิปัสสนาขณิกสมาธิ นั่งเจริญเมตตาอยู่แล้วเจริญวิปัสสนากำหนดรู้น่ังว่า นั่งหนอๆๆเพื่อเจริญ วิปัสสนาขณิกสมาธิ เดินเจริญเมตตาอยู่แล้วเจริญวิปัสสนากำหนดรู้อาการเดินว่า ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอเป็นต้นเพื่อเจริญวิปัสสนาขณิกสมาธิและนอนเจริญเมตตาอยู่แล้วเจริญวิปัสสนา กำหนดรูร้ ูปนอนวา่ นอนหนอๆๆเพอื่ เจริญวิปสั สนาขณกิ สมาธิ๑๙๔ [๑๙๕] ความสำคัญของปัญญาเจตสิกกับสัมปชัญญะการปฏิบัติวิปัสสนาปัญญาเป็นสิ่ง จากเป็นท่ีผู้ปฏิบัติ ต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักการและเหตุผลของวิปัสสนาภาวนาให้ถูกต้อง เสียก่อนมิฉะน้ันจะทำไปอย่างผิดๆเพราะอาจจะเกิดความหลงผิดได้เช่นเร่ืองสติสัมปชัญญะ สตสิ มั ปชัญญะ คือ ความร้สู ึกตัวของผู้ปฏบิ ัตใิ นขณะท่ีกำหนดรปู ธรรมนามธรรม เร่ืองความรู้สกึ ตัว มีหลักอยู่ว่า ในขณะผู้ปฏิบัติต้องมีตัวกรรมฐานคือ กาย เวทนาจิต ธรรม หรือ รูปกับนามเป็นตัว ถูกเพ่งและตัวเพ่ง คือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ความรู้สึกตัวในการพิจารณารูปธรรมนามธรรม มีความสำคัญย่ิงในการเจริญวิปัสสนาปัญญา ส่วนมากแล้วผู้ปฏิบัติมักนึกเอาเอง คิดเอาเอง แล้ว เข้าใจว่า การนึกเอา คิดเอา เป็นความรู้สึกตัว เมื่อความรู้สึกตัวไม่เกิดข้ึนวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้น ไม่ได้ เมื่อปัญญาเกิดข้ึนไม่ได้ไม่เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา ดังความรู้สึกตัวมีมากเท่าไหร่ได้อารมณ์ ปัจจุบันมากข้ึนเท่าด้วยเหตุน้ีสัมปชัญญะหรือความรู้สึกตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญของการเจริญวิปัสสนา ภาวนาเพอ่ื ใหป้ ัญญาเกดิ ๑๙๕ [๑๙๖] ธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท สรุปได้ดังน้ี (๑)ความหมายของ ธัมมานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นธรรมตามความเป็นจริง เช่น ให้ภิกษุพิจารณาเห็นธรรม ท้ังหลายทั้งกายนอกตน พิจารณากายภายในตนและพิจารณาทั้งภายนอกตนและกายภายในตน ถึงความเกิดข้ึนและดับไปอย่างชัดเจนมีท้ังหมด ๕ หมวด คือ (๑)นิวรณ์ (๒)ขันธ์ (๓)อายตนะ (๔) โพชฌงค์ (๕)สัจจะ เพ่ือละวิปลาสที่ยึดถือว่าเป็นอัตตาเพ่ือกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออก เสีย (๒)ลักษณะของธัมมานุปัสสนา ๕ ลักษณะคือ (๑) นิวรณ์ ๕ คือ เครื่องก้ัน ขัดขวางไม่ให้ บรรลุความดี (๒) ขันธ์ ๕ คือ ทรงสอนให้รู้จักขันธ์ ความเกิดข้ึนแห่งขันธ์ (๓)อายตนะ ๑๒ คือ ๑๙๔ อา้ งแล้ว, พระมหาอาคม สุมงฺคโล (คุณสถิต), [รหสั แบบบันทึก ๔๖-๕๕] ๑๙๕ อ้างแลว้ , พยงุ พมุ่ พวง, [รหัสแบบบันทกึ ๔๔–๕๔]
๒๓๕ การเชื่อมโยงระหว่างอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน (๔)โพชฌงค์ ๗ คือ องค์แห่งธรรมอัน เป็นปจั จัยอดุ หนนุ ให้ตรสั รู้หรือธรรมอันสงู สุด (๕)อรยิ สัจ ๔ คอื การเห็นแจ้งตามความเปน็ จริงวา่ น้ี ทุกข์ น้ีเหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ น้ีทางให้ถึงความทุกข์ (๓) จุดมุ่งหมาย ของการแสดง ธมั มานุปัสสนา คือ เพื่อการต้ังสตกิ ำหนดพิจารณาธรรมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เพื่อให้ เกิดปัญญารู้ตามความเป็นจริงมี ๓ วัตถุประสงค์คือ (๑)พิจารณาองค์หมวดธัมมานุปัสสนาให้ย่อ เพียง ๒ อย่าง คือ รูป-นาม หรือ ขันธ์ ๕ (๒) พิจารณาองค์หมวดธัมมานุปัสสนาให้เห็นเป็นไตร ลกั ษณ์ (๓) พิจารณาองค์พิจารณาองค์หมวดธัมมานปุ ัสสนาเพ่อื ทำอาสวะ (กเิ ลส ตัณหา อุปทาน) ให้ส้ินไป (๔) สติปัฏฐานท่ีมีความสัมพันธ์กับธัมมานุปัสสนา คือ การมีสติต้ังไว้ที่ ๔ อย่าง คือ กาย เวทนา จิตและธรรม มีความเพียร มีสัมปชัญญะในการพิจารณาเห็นธรรมของหมวดธัมมา นุปัสสนา คือ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ เพื่อกำจัดอภิชฌาและ โทมมนัสในโลกได้ สรุปรวมความหมายของ ธัมมานุปัสสนาในพุทธศาสนา คือ การมีสติ พิจารณาเห็นธรรมดาตามความเป็นจริง ทั้งหมด ๕ หมวด คือ (๑) นิวรณ (๒) ขันธ์ (๓) อายตนะ (๔) โพชฌงค์ (๕) สัจจะ ย่อหมวดธัมมานุปัสสนา ให้เหลือเพียงลักษณะ รูป-นาม หรือขันธ์ ๕ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงของกฎไตรลักษณ์เพื่อจุดมุ่งหมายเพ่ือทำอาสวะ(กิเลส ตัณหา อปุ ทาน) ใหส้ นิ้ ไปและละวปิ ลาสท่ยี ดึ ถอื วา่ เปน็ อตั ตาเพ่ือกำจัดอภชิ ฌาและโทมนสั ใหส้ ้ินไป๑๙๖ [๑๙๗] วิธีการเจริญธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนา สรุปดังนี้ (๑)การเตรียมตัวใน การเจรญิ ธัมมานุปสั สนา พบว่า ก่อนจะปฏบิ ัติเลือกสถานทีเ่ หมาะสม เช่น สถานท่ีปลอดโปร่ง ไม่ มเี สียงรบกวน และการปฏิบตั ิธรรมของหมวดธัมมานุปัสสนา ตั้งตัวตรง ดำรงสติมน่ั กำหนดหายใจ เข้า-ออก และพิจารณาตามหมวดของธัมมานุปัสสนา คือ ทั้ง ๕ หมวด คือ (๑) นีวรณ์ (๒) ขันธ์ (๓) อายตนะ (๔) โพชฌงค์ และ (๕) ทำอย่างนี้จนกว่าจิตสงบ แล้วจิตจะพัฒนาเห็นความจรงิ ตาม หมวดธรรมทั้ง ๕ หมวด ของธัมมานุปัสสนาตามความเป็นจริง หลังจากที่จิตมีความสงบจากให้แผ่ เมตตาให้ตนเองก่อนและแผ่นให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายจนคร้ันตอนในการเตรียมตัวในการ เจริญธัมมานุปัสสนา (๒)การเลือกสถานที่ในการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า เพื่อให้เกิดสภาวะรู้ แจ้งตามเป็นจริงขององค์ธรรมของธัมมานุปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นธรรมควรเลือกสถานท่ีท่ี ประกอบด้วยองค์คุณ ๕ ประการ และหลีกเว้นสถานที่อันไม่สมควรตามท่ีกล่าวแล้วข้างต้น (๓) วิธีการเจริญธัมมานุปัสสนา พบว่า การพิจารณาให้เห็นธรรมในหมวดธรรมทั้ง ๕ ประการ ดังน้ี คือ นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์ ว่าภายในของเรามอี ยหู่ รอื เมอ่ื (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ภายในไม่มีอยู่ รู้ชัดว่า (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ภายในของ เราไม่มีอยู่ การเกิดขึ้นแห่ง (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ท่ียังไม่เกิดข้ึนมีได้ด้วยเหตุ ๑๙๖ อา้ งองิ , กัปนาท พทุ ธปวรางกูร, [รหสั แบบบนั ทึก ๔๓–๕๔]
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 552
Pages: