๓๖ ช่ือของสมถะและวิปัสสนา, ซ่ึงเป็นธรรมที่มีอุปการะมากแก่ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ และเป็น ทางที่ให้ถึง อสังขตธรรม เป็นธรรมท่ีเป็นฝ่ายวิชชา อันเป็นวิปัสสนาญาณ เพ่ือทำให้เห็นแจ้งใน ธรรม เพื่อปลดเปลื้องกเิ ลสเครื่องร้อนรัดท้ังปวง เพ่ือทำที่สุดแหง่ ทุกข์ให้ส้ินไป กล่าวคือ เพื่อบรรลุ ถึงนิพพานนั่นเอง ผลการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบภาคสนาม พบว่า หลักการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก กับแนวปฏิบัติกัมมัฏฐานวัดโพธิ์บ้านโนนทันน้ัน มีความ สอดคล้องกันเปน็ ส่วนมาก คือ เป็นการปฏิบัติตามแนวทางของมหาสติปัฏฐานสตู ร จะแตกต่างกัน แต่เพียง การเลือกเฟ้นนำหลักธรรมท่ีหลากหลายมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับยุคสมัยท่ี เปลี่ยนไป ก็เพ่ือน้อมศรัทธาให้ผู้ปฏิบัติมีกำลังใจ ตลอดถึงเทคนิควิธีการสอนและรูปแบบการ ปฏิบัติจะมีลักษณะแบบบูรณาการเป็นการประยุกต์ จากหลกั ฐานท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก ให้เข้า กับสถานการณ์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ถือได้ว่า แนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดโพธ์ิบ้านโนน ทัน ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ คือ ให้การศึกษาแก่พุทธบริษัทสี่ ในส่วนคันถธุระ และวิปัสสนาธรุ ะ ด้วยดตี ลอดมานบั ตั้งแตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบัน ๖ ๗) ฐิติรัตน์ รักษ์ใจตรง (๒๕๔๘) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาการใช้อานาปานสติ ภาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรมสถาน ผลการศึกษาพบว่า อานาปานสติภาวนา หรืออานาปานสติสมาธิ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสรญิ มากกว่าวิธีเจริญสมาธอิ ่ืนๆ อานาปานสตเิ มื่อ ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพ่ือ ความรู้ยิ่ง เพ่ือความตรัสรู้ เพ่ือนิพพาน ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านได้ขยายความ อานาปานสติ เป็นยอดแห่งกรรมฐาน เปน็ ภูมธิ รรมแห่งมนสิการของพระพุทธเจา้ พระปัจเจกพุทธเจา้ และพุทธ บุตรท่ีเป็นมหาบุรุษ เท่านั้น การศึกษาผู้ที่เข้าฝึกการใช้อานาปานสติภาวนาเพื่อพัฒนาชีวิตของ เสถียรธรรมสถานฝึกสอนโดยแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต การเปรียบเทียบคะแนนของพฤติกรรมก่อน และหลังการฝึกปฏิบัติอานาปานสติภาวนา เม่ือได้รับการฝึกอานาปานสติภาวนาจะสามารถ นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึนใน เกือบทุกด้าน เช่น คะแนนการดำเนินชีวิตภายใน ครอบครัวของผู้ปฏิบตั ิ ก่อน การปฏบิ ัติ เทา่ กบั ๔.๐๓ หลงั การปฏบิ ตั ิ เท่ากบั ๔.๕๖ คะแนนกลุ่ม พฤติกรรมการให้อภัยผู้อ่ืน ท่ีทำร้ายร่างกาย หรือด่าว่าเสียดสีทางวาจา ก่อนการปฏิบัติ เท่ากับ ๒.๘๐ หลังการ ปฏิบัติ เท่ากับ ๔.๐๘ เป็นต้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่า หลังจากได้รับการฝึกปฏิบัติ อานาปานสตภิ าวนา ผู้ปฏิบัติสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตดีข้ึน ผลงานวิจัยครั้งนี้ทำให้ทราบว่าใน ฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชน สมควรอย่างย่ิงท่ีจะต้องปฏิบัติตนตามท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ให้ ๖พระสมบัตร ฐิตญาโณ (สุขประเสริฐ), “ศึกษาเปรียบเทียบหลักวิปัสสนากัมมัฎฐานในพระไตรปิฎก และแนวปฏิบัตวิ ิปัสสนากัมมฎั ฐานวัดโพธบิ์ ้านโนนทัน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๘).
๓๗ ถึงพร้อมทั้งการศึกษาด้านปริยัติ ปฏิบัติ และรับผลจากการปฏิบัติเพ่ือการพัฒนาคุณภาพชีวิตอัน จะนำมาซง่ึ ความสุขต่อตนเอง ครอบครัว สงั คมและมวลมนษุ ยชาติ ๗ ๘) เสนาะ ผดุงฉัตร (๒๕๔๙) ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาเชิงวิเคราะห์อานา ปานัสสติกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ผลการศึกษาพบว่า วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาอานา ปานัสสติสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีพระสารีบุตรเถระอธิบายไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค และความสอดคล้องของอานาปานัสสติสมาธิที่พระสารีบุตรเถระอิบายกับที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อันมีปรากฏในพระไตรปิฎกและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัย พบว่า อานาปานัสสติที่ปรากฏใน พระสูตรต่างๆ ทั้งที่กล่าวไว้ เป็นการเฉพาะ และที่มารวมกับกรรมฐานอ่ืน ถือได้ว่าเป็นพระสูตร สำคัญท่ีบันทึกหลักการของการปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างสมบรูณ์ พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายได้ ร้อยกรองสังคายนา ทรงจำสืบกันมา และได้มีการจารึกเป็นอักษรจัดพมิ พ์เปน็ พระไตรปิฎก รักษา สืบมาจนถึงปัจจุบัน จึงกล่าวได้ว่าเป็นพระสตู รที่สำคัญต่อพระพุทธศาสนา ท้ังในด้านวิชาการด้าน การปฏิบัติกรรมฐานและหลักพทุ ธธรรม โดยพระสารบี ุตรเถระ ผู้ท่ีได้รบั การบกย่องจากพระพุทธ องค์ว่า เป็นผู้มีปัญญามาก ได้นำพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้มาอธิบายในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พระ ไตรปิฏกเล่มที่ ๓๑ ได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน นับเป็นคัมภีร์สำคัญที่บันทึกหลักการของการเจริญ อานาปานัสสติสมาธิ และได้รับการรักษาสืบทอดอย่างแพร่หลาย ทำให้ปฏิบัติกรรมฐานใน พระพุทธศาสนา มีความเจริญรุ่งเรืองมาตราบเท่าถึงทุกวันน้ี จากการศึกษาวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ ค้นพบหลักการของการเจริญอานาปานัสสติสมาธิ สรุปได้ดังนี้ (๑) ความหมายของลมหายใจ เข้า-ออก อรรถกถาพระวินัยกับอรรกถาพระสูตรอธิบายไว้ต่างกัน กล่าวคือ อสฺสาโส อรรถกถา พระวินัย หมายถึง ลมหายใจออก ปสฺสาโส หมายถึง ลมหายใจเข้า ส่วนในอรรถกถาพระสูตร อสฺ สาโส หมายถงึ ลมหายใจเข้า ปสสฺ าโส หมายถงึ ลมหายใจออก ฎีกา พระอภธิ รรมมนี ยั เชน่ เดียวกับ อรรกถาพระสูตร ในคำอธิบายดังกล่าวมาน้ี คำอธิบายตามนัยพระสูตรได้รับการยอมรับว่าถูกต้อง เพราะสอดคล้องกับท่ีพระสารีบุตรเถระอธิบายไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค (๒)บุคคลและ สถานท่ี รายละเอียดข้อง เช่น สถานที่ทรงแสดงอานาปานัสสติ สูตร ณ ท่ีกลางแจ้ง ใกล้ปราสาท ของนางวิสาขามคิ ารมาตาในบุพพาราม เขตเมอื งสาวตั ถี ในวนั เพ็ญขึ้น ๑๕ คำ่ ตรงกับวันปวารณา แก่ภิกษุท้ังหลาย มีทั้งภิกษุผู้บวชใหม่ และพระเถระผู้มีช่ือเสียง มี พระสารีบุตร พระมหาโมคคัล ลานะ พระมหากัสสปะเป็นต้น พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า เป็นกรรมฐานท่ีเป็นสัปปายะแก่ บุคคลทุกระดบั ชนั้ อำนวยผลใหเ้ กดิ ความสขุ สงบได้แท้จริง (๓) วธิ ีการปฏบิ ัติ วธิ กี ารเจริญอานา ๗ ฐิติรัตน์ รักษ์ใจตรง, “ศึกษาการใช้อานาปานสติภาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเสถียรธรรม สถาน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘).
๓๘ ปานัสสติสมาธิ เมื่อปฏิบัติต้องเว้นส่ิงที่เป็นข้อกังวลต่างๆ แสวงหาสิ่งท่ีเป็นสัปปายะ คือส่ิงท่ีเกื้อ หนมุ ต่อการปฏิบัติ เข้าไปหาครูอาจารยผ์ ู้สามารถบอกกรรมฐานแล้วสมาทานศลี และรับกรรมฐาน แล้วเริ่มปฏิบัติสืบไป (๔) หลักการปฏิบัติ หลักอานาปานัสสติสมาธิ ๑๖ ข้ันตอน ซ่ึงสอดคล้อง กับอานาปานัสสติท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง และที่พระสารบี ุตรเถระอธิบาย ซง่ึ เมื่อปฏบิ ัติแลว้ จะทำ ให้ชีวิตมีความสุขสงบ สามารถบรรลุนิพพานได้ (๕) อานานัสสติเก้ือกูลชีวิต ผู้เจริญอานา ปานัสสติอยู่เสมอ คือผู้ไม่เผลอมีสติตลอดเวลา ถือได้ว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในกิจการทั้งปวง เมื่อไม่ ประมาทก็จะมุ่งพัฒนาคนในหลักไตรสิขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้ตนอยู่อย่างมีความสุข ขั้นต้น คือ ข้ันโลกิยสุข อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติและขั้นโลกุตตรสุข คือการบรรลุอรหัตตผล อันเป็นผลจาการปฏิบัติจนหลุดพ้นจากกิเลสสาสวะทั้งหลาย ผุ้มีสติจะมีลักษณะรู้ตัวแหละ ตระหนักอยเู่ สมอในการสรา้ งสรรคส์ ่ิงท่ดี งี านแกต่ นและโลกอยา่ งแม้จรงิ ๘ ๙) พิชญรัชต์ บุญช่วย (๒๕๔๙) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษากระบวนการ สรา้ งภาวนา ๔ โดยใชห้ ลกั ไตรสิกขา ผลการศกึ ษาพบว่า ไตรสิกขาเปน็ ระบบการศึกษาที่เนน้ การ ฝึกอบรมตอนเองอย่างมีขั้นตอน เพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ ในภาคปฏิบัติ องค์ธรรมคือไตรสิกขาจะ ทำงานไปพร้อมๆ กันและประสานกันอย่างเป็นพ้ืนฐานให้แก่กัน ไตรสิกขายังมีลักษณะท่ีเป็น สหสัมพันธ์กับภาวนา ๔ โดยผู้ที่ผา่ นการอบรมตนเองตามหลักไตรสิกขา จะค่อยๆ ปรบั ปรุงแก้ไข ภาพลักษณ์ภายนอกของตนทงั้ ๔ ด้านคือ การสังคม อารมณ์ และปัญญา การพัฒนาดังกล่าวจะ ปรากฏให้เหน็ จากการเปลย่ี นแปลงวถิ ีชวี ิตไปในทางท่ีนา่ พอใจและเหมาสม และสามารถนำภาวนา ๔ มาประยุกต์ใช้เพื่อประเมินคุณภาพของไตรสิกขาได้ด้วย การศึกษาภาคสนามเป็นการเก็บ รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มคฤหัสถ์ผู้ให้ข้อมูลเพื่อแบ่งเป็น ๓ กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยท่ีเข้าอบรมกัมมัฏฐานหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ณ มหาจุฬาอาศรม อีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มผู้ปฏิบัติ ณ ทิพวรรณธรรมสถาน จังหวัดเพชรบูรณ์กลุ่มละ ๗ คน และสุดท้ายคือ การศกึ ษาจากตัวผวู้ ิจัยซึ่งเขา้ ไปมีสว่ นร่วมเป็นสมาชิกทั้ง ๒ กลุ่ม การวิจัย ภาคสนามใช้ระยะเวลานาน ๑๐ เดอื นในช่วงระหวา่ งธันวาคม ๒๕๔๘ ถึงกันยายน ๒๕๔๙ การ เก็บข้อมูลใช้แนวคิด ปรากฏการณ์วิทยาเป็นกระบวนทัศน์ในการวิจัย และใช้เครื่องมือตาม วิธีการสืบสวนแบบค้นพบด้วยตนเอง (Heuristic inquiry) ได้แก่ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การเสวนาภายในตนเอง และการสำรวจตรวจสอบตนเองเป็นหลัก ผลจากการศึกษาภาคสนามพบ ลักษณะสำคัญ ๒ ประการดังน้ี ประการแรก กระบวนการเจริญภาวนา ๔ โดยอาศัยหลัก ๘ เสนาะ ผดุงฉัตร, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์อานาปานัสสติกถาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค”, วิทยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรดุษฎีบัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙).
๓๙ ไตรสิกขาซ่ึงเป็นวิธีการประยุกต์แนวคิดและหลักการมาสู่การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยยึด สติปัฏฐาน ๔ เร่ิมจากการเจริญสติเพื่อสำรวมอินทรีย์ ซึ่งเป็นการฝึกขั้นตอน อธิจิตสิกขา จนกระทั่งจิตจดจ่อต้ังมุ่นอยู่แต่ในอารมณ์เดียวในขณะปัจจุบัน ซ่ึงเป็นการฝึกข้ันอธิจิตสิกขา จากน้ัน ผู้ปฏิบัติจึงสามารถมองเห็นส่ิงทั้งหลายตามความเป็นจริงและรู้เท่าทันสมมติบัญญัติว่า แท้จริงแล้วคือ สภาวะแห่งเหตุและผลรู้เหตุ และปัจจัยที่เชื่อมโยงอิงอาศัยกัน รู้สามัญลักษณะท่ี เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยจิตใจท่ีเป็นกลาง มีสติ ไม่หวน่ั ไหว ไม่ถูกชักจูงให้เขวออกไปตาม ความชอบใจ ไม่ชอบใจ ซ่ึงเป็นการฝึกขั้นอธิปัญญาสิกขา ประการท่ีสอง ภาวนา ๔ เป็นการ พัฒนาจากการปรับปรุงตนเองไปสู่สภาพการเปลี่ยนแปลงตนเอง เริ่มต้นด้วยการเข้มงวดกวดขัน พฤติกรรมของตนไปสู่การปฏิวัติตนเองอย่างยั่งยืน ผู้ปฏิบัติต่างเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าและจัดการ ปัญหาต่างๆในชีวิต ด้วยปัญญาท่ีรู้ตามความเป็นจริง ปราศจากอคติ ความทะเยอทะยานอยาก และความเห็นแก่ตัว ด้วยการอยู่อย่าง “โลกไม่ให้ช้ำ ธรรมไม่ให้เสีย” ณ จุดหนึ่ง ผู้ปฏิบัติย่อม ซาบซึง้ ในคุณคา่ ของการปฏบิ ัติตามหลกั ไตรสิกขาและผลท่ีตามมา จงึ เช่อื ม่นั ในการฝึกปฏิบัติตอ่ ไป จนกว่าจะพ้นทุกข์อย่างส้ินเชิงอัตลักษณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมจะกลายเป็นบทบาทหลักท่ี ครบงำ บทบาทอ่ืนๆ หรืออีกนัยหน่ึงคือ การมีหลักธรรมเป็นกรอบใหญ่ในการดำเนินชีวิตเป็นวิถีชีวิตที่ พอเพียง มีเหตุ มีผล มีกำลัง และมีความสมควรแก่ธรรม โดยสรุปแลว้ ผู้เข้ารับฟังฝึกอบรมต่างได้ เรียนรู้และฝึกฝน วิธีการเจริญสติปัฏฐาน ท้ังในกิจกรรมการดำเนินชีวิตและในช่ัวโมงแห่งการ ปฏิบัติ ผู้ประสบความสำเร็จในการฝึกอบรมซ่ึงสามารถรู้สภาวธรรมที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน มี แนวโน้มที่จะฝึกฝนต่อไปในการดำเนินชีวิตทำให้กระบวนการไตรสิกขาดำเนินไปอย่างต่อเน่ือง จนกว่าจะส่งผลให้ปล่อยวางความยึดม่ันถือมั่นในตัวตนและส่ิงอ่ืนๆได้โดยลำดับ และเป็นผู้มี ภาวนา ๔ เป็นคุณสมบัตปิ ระจำตัวอนั ประเสริฐ๙ ๑๐) อณิวัชร์ เพชรนรรัตน์ (๒๕๔๙) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง การศึกษาวิเคราะห์ ผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า วัตถุประสงค์ศึกษาวิจัยหลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานตามแนวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยศึกษา ๔ ประเด็นคือมี ขั้นตอนดำเนินงานเป็น ๒ ส่วน คือ การวิจัยเอกสาร และ การวิจัยภาคสนาม มีดังน้ี ๑.การวิจัย ทางเอกสารศึกษาใน ๒ ประเด็น ดังนี้ ก. เพ่ือศึกษาหลักการและวิธีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของพระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นหลักการเดียวกันกับหลักสติปัฏฐาน ๔ และหลักสติปัฏฐาน ๔ ยังเป็นหน่ึงในหลักของโพธิ ๙ พิชญรัชต์ บุญช่วย, “การศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้หลักไตรสิกขา”, วิทยานิพนธ์ พทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ , (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๙).
๔๐ ปักขิยธรรม ๓๗ ประการอีกดว้ ย ส่วนวธิ ีปฏิบัตวิ ิปัสสนากัมมฏั ฐานเป็นวธิ ีการปฏิบัติที่อ้างองิ และ อธิบายใน มหาสติปัฏฐานสูตร ๒๑ วธิ ี ซ่ึงเป็นวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากมั มัฏฐานทพ่ี ระพุทธองค์ทรง สอนโดยให้เร่ิมท่ีหลัก อานาปานสติก่อน แล้วจึงปฏิบัติตามหลัก สติปัฏฐาน ๔ เพ่ือให้ได้ โพชฌงค์ ๗ และบรรลุพระนิพพานในท่สี ุด ข.เพ่ือศกึ ษาหลกั การและวธิ ีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า หลักการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยึดหลักการเดียวกับ สติปัฏฐาน ๔ ส่วนวิธีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานที่ใช้เป็น วิธีการปฏิบัติเดียวกับใน มหาสติปัฏฐาน สูตร ๒๑ วิธี และได้อ้างอิงจากในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท้ังหมดเป็นหลัก โดยเฉพาะเร่ือง วิสุทธิ ๗ และ วิปสั สนาญาณ ๑๖ ทั้ง ๒ เรื่อง พระสารีบุตรอธิบายเพิ่มในมหาสติปัฏฐานสูตรของพระพุทธ องคใ์ ห้งา่ ยข้ึนต่อการเข้าใจ การวจิ ยั ภาคสนาม ศกึ ษา ๒ ประเดน็ ดังนี้ ก. เพ่ือศึกษาเปรียบเทยี บ ความรู้และความเข้าใจในวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ก่อนเริ่มกับหลังจบหลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐานภาคบังคับ ข. เพ่ือศึกษาวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ เรื่องพละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา)ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย หลังจบหลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐานภาคบังคับ ผลจากการศึกษาวิจัย ภาคสนาม สำหรับส่วนที่ ๒ มีรายละเอียดดังนี้ มปี ระชากร ๑๙๕ รูป/คน โดยใช้กลมุ่ ตัวอยา่ ง ๕๔ รูป/คน ด้วยแบบสอบถาม ๒ ชุด คือ ก่อนเร่ิมและหลังจบหลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐาน เครอื่ งมือ ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็น แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ และ แบบสอบถามที่มีคำตอบที่ถูกและผิด สถิติท่ีใช้ วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ยและค่าความเบ่ียงเบน มาตรฐาน งานวิจัยนี้มีการทดสอบสมมติฐานที่ต้ังไว้ ๗ ข้อ ด้วยแบบทดสอบสองทางสำหรบั ข้อที่ ๑ และ แบบทดสอบทางเดียวสำหรับข้อท่ี ๒–๗ จากการ คำนวณค่า Z เทียบกับในตารางค่า Z โดยใชร้ ะดับความเชื่อมั่น ๙๕ % เพื่อยอมรบั หรือ ปฏเิ สธสมมตฐิ าน จากการศึกษาตามสมมตฐิ าน ท่ีระบุไว้ในงานวิจัยสรุปได้ดังน้ี (๑) ความรู้และความเข้าใจในวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก่อนเร่ิมกับหลังจบ หลักสูตรวิปัสสนา กัมมัฏฐาน มีความแตกต่างกัน(ปฏิเสธ) (๒) นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ ได้รับการอบรมตามหลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ได้รับผลสัมฤทธิ์จากการปฏิบัติในเร่ือง ศรัทธา โดยมีค่าเฉล่ียมากกว่า ๗๐ % (ยอมรับ) (๓) นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั ที่ได้รบั การอบรมตามหลักสตู รวปิ ัสสนากมั มัฏฐานแล้ว ไดร้ ับผลสมั ฤทธิ์จากการปฏิบตั ิใน เร่ือง วิริยะ โดยมีค่าเฉลี่ยมากกว่า ๗๐ % (ปฏิเสธ) (๔) นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย ที่ไดร้ ับการอบรมตามหลักสูตรวิปัสสนากมั มัฏฐานแล้ว ไดร้ บั ผลสมั ฤทธิ์จากการปฏิบตั ิใน เรื่อง สติ โดยมีค่าเฉลี่ยมากกว่า ๗๐ % (ปฏิเสธ) (๕) นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยท่ีได้รับการอบรมตามหลักสตู รวปิ ัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ได้รับผลสัมฤทธ์ิจากการปฏิบัติใน
๔๑ เร่ือง สมาธิ โดยมีค่าเฉล่ียมากกว่า ๗๐ % (ยอมรับ) (๖) นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั ท่ีไดร้ ับการอบรมตามหลักสูตรวิปัสสนากมั มัฏฐานแล้ว ไดร้ บั ผลสมั ฤทธิ์จากการปฏิบัติใน เรื่อง ปัญญา โดยมีค่าเฉล่ียมากกว่า ๗๐ % (ปฏิเสธ) (๗) นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย ที่ไดร้ ับการอบรมตามหลกั สูตรวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ไดร้ ับผลสัมฤทธ์ิจากการปฏิบัตใิ น เรื่อง พละ ๕ มีค่าเฉลี่ยมากกว่า ๗๐ % (ปฏิเสธ) ข้อเสนอแนะหลังจากการทดสอบสมมติฐานมี ๒ ประเด็น ดังต่อไปนี้ (๑)โครงการอบรมหลักสูตรวิปัสสนากัมมัฏฐานควรมีการปรับปรุงแก้ไข อย่างเป็นขั้นตอนแบบบูรณาการ เช่น เป้าหมาย นโยบาย การเตรียมการสอนในหลักการและ วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาแก่นิสิต กิจกรรมประจำวันในหลักสูตร ๑๕ วัน สถานท่ีเอื้ออำนวยต่อ วิปัสสนากัมมัฏฐาน และพระวิปัสสนาจารย์ ผู้สอน แนะนำ เพ่ือพัฒนาการสอนปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานแก่นิสิตให้มีประสิทธิภาพ (๒)นิสิตควรศึกษาในหลักการและฝึกวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานให้เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการทำความเข้าใจเรื่องหลักปรัชญาของวิปัสสนา กัมมฏั ฐานกอ่ นเข้ารับการอบรมเพื่อใหไ้ ด้รบั ผลของการปฏบิ ตั อิ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธิผล เนื่องจากผลการเปรยี บเทยี บก่อนและ หลังจบหลักสูตรไม่ไดแ้ สดงความแตกตา่ งกัน ๑๐ ๑๑) ทัศนี วงศ์ยืน (๒๕๕๐) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาวิเคราะห์การปฏิบัติ กัมมัฏฐานตามแนวกายคตาสติในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า พระพทุ ธเจ้าทรงสอนกายคตาสตกิ ัมมัฏฐานทั้งแก่บรรพชิต และคฤหัสถ์ เพ่ือให้ปฏิบัติอบรมจิตให้ เป็นสมาธิ ด้วยการตั้งสติพิจารณาอาการ ๓๒ ให้เห็นความไม่งาม ความเป็นส่ิงปฏิกูล และความ แปรผันของสังขาร เกิดความเบ่ือหน่าย คลายกำหนัด ละความสำคัญว่างาม มีผู้ปฏิบัติได้บรรลุ มรรคผลจำนวนมาก การได้บรรลุมรรคผล ข้ึนอยู่กับอุปนิสัยที่ส่ังสมมา การปฏิบัติกายคตาสติ กมั มฏั ฐานนั้นเหมาะสมกับจรติ ของแตล่ ะบุคคลแนวทางการปฏิบตั ิกายคตาสติกัมมฏั ฐานที่ปรากฏ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ให้เร่ิมต้นจาก การดำรงตนอยู่ในศีล สำรวมในศีล มีความ ประพฤติเพียบพร้อมด้วยกุศลกรรมบถ เห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยเป็นภัย คุ้มครองทวารใน อินทรีย์ทั้งหลาย ตัดความห่วงกังวลท้ังหลาย เลือกสถานท่ีที่เหมาะกับการปฏิบัติกัมมัฏฐาน พบ อาจารย์ผู้กัลยาณมิตร แล้วรับเอากายคตาสติกัมมัฏฐานนั้นมาปฏิบัติด้วยหลักอิทธิบาท ๔ ให้มาก บ่อยๆ ในความดูแลของอาจารย์ผู้บอกกัมมัฏฐาน จนเกิดความชำนาญ และบรรลุเป้าหมายที่ ต้องการคฤหัสถ์ในปัจจุบันนี้ต้องมีสติตามทันสิ่งท่ีกำลังเกิดขึ้น ด้วยการฝึกปฏิบัติกายคตาสติการ สวดมนต์ (เชา้ –เย็น) เปน็ ประจำทกุ วนั เจรญิ อานาปานสติ สาธยาย และกำหนดพจิ ารณาส่วนของ ร่างกาย เฉพาะมูลกัมมัฏฐาน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยอนุโลมและปฏิโลม เพ่ือฝึกจิตให้มี ๑๐อณิวัชร์ เพชรนรรัตน์, “การศึกษาวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ” วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๙)
๔๒ สมาธิ ให้บรสิ ุทธ์ิ พ้นจากอุปกิเลส เคร่ืองเศร้าหมอง มีความสงบ จิตว่าง ปลอ่ ยวางไม่ยดึ ม่ันถือมั่น ในตน ท่ีสำคัญยิ่งก็คือ คฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติกายคตาสติกัมมัฏฐานต้องเป็นบุคคลที่ดำรงตนอยู่ในศีล มี ความประพฤติเพียบพร้อมด้วยกุศลกรรมบถ จึงจะบรรลุเป้าหมายและมีความสามารถพึ่งพา ตนเองไดใ้ นสังคมอยเู่ ยน็ เป็นสขุ ร่วมกนั ๑๑ ๑๒) พระแสนปราชญ์ ฐิตสทฺโธ (๒๕๕๑) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาเชิง วิเคราะห์สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัภิทามรรค ผลการศึกษาพบว่า สติปัฏฐานท่ีพระพุทธเจ้า ทรงแสดงในพระไตรปิฎกมีปรากฏหลายแห่ง ท้ังพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม โดยเฉพาะ พระสูตรท่ีแสดงเร่ืองการปฏิบัติกัมมัฏฐานในทางพระพุทธศาสนาน้ัน เป็นการแสดงสติปัฏฐาน ท้ังส้ิน เพียงแต่ต้ังชื่อพระสูตรไปตามเหตุการณ์และบุคคลเท่านั้น หลักการสำคัญของสติปัฏฐาน คือ การกำหนดสติไว้ที่ ๔ อย่างได้แก่ (๑) กาย คือ กำหนดท่ีร่างกายและพฤติกรรมของมัน (๒) เวทนา คือ กำหนดความรู้สึกสุขทุกข์ต่างๆ (๓) จิต คือ กำหนดภาวะจิตท่ีเป็นไปต่างๆ (๔) ธรรม คือ กำหนดความคิดนึกไตร่ตรอง อน่ึงสำหรับการศึกษาสติปัฏฐานท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงใน พระไตรปฎิ กโดยศึกษาในหลายด้านประกอบกันทุกแง่ทุกมุม พบว่ามีคำอธิบายท้ังในดา้ นหลกั การ และวธิ ีการปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างสมบูรณ์โดยเฉพาะในมหาสติปัฏฐานสูตร มีรายละเอียดสมบูรณ์ เตม็ รปู แบบ เพยี งพอต่อการนำไปปฏิบตั กิ ัมมฏั ฐานได้ด้วยตนเอง สติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบุตรแสดงในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยท่านอธิบายหลักการและวิธีการปฏิบัติสติปัฏฐานกถาแบบวิปัสสนาล้วน ซ่ึงเป็นแบบหนึ่งในส่ี แบบของวธิ ีปฏบิ ัติวิปัสสนาในทางพระพุทธศาสนา มีหลักการสำคญั ที่การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ตามความเป็นจริงคือ เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เม่ือพิจารณาเห็นตามความ เป็นจริงแล้วย่อมเกิดอาการเบ่ือหน่าย ไม่ยินดี คลายกำหนัด ไม่กำหนัด ทำราคะให้ดับ ไม่ให้เกิด สละคืน ไม่ยึดถือ และเมื่อพิจารณาหรือกำหนดในลักษณะนี้แล้วจะสามารถละความเห็นผิด ๗ อยา่ ง (๑) ละอนจิ จังสญั ญา คือ ความเห็นว่าเที่ยงได้ (๒) ละสขุ สัญญา คือ ความเหน็ วา่ สุขได้ (๓) ละอัตตสญั ญา คอื ความเห็นวา่ เปน็ ตวั ตนได้ (๔) ละนันทิคือความยนิ ดีได้ (๕) ละราคะ คอื ความ ยนิ ดีในกาม (๖) ละสมุทัย คือ ตัณหาได้ (๗) ละอาทานะ คือความยดึ มั่นได้ ดังนน้ั การศึกษาและ ปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนากัมมฎั ฐานตามแนวทางของสติปัฏฐานกถาท่ีพระสารีบตุ รแสดงจึงเปน็ แนวทางหน่ึง ทีส่ ามารถทำใหผ้ ็ศกึ ษาและปฏบิ ัตสิ ามารถพน้ จากทกุ ข์ได้ตามความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ๑๑ทัศนี วงศ์ยืน, “ศึกษาวิเคราะห์การปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวกายคตาสติในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เถรวาท” วิทยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๐).
๔๓ สตปิ ัฏฐานท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎก กับสติปัฏฐานกถาท่พี ระสารีบตุ ร แสดงในคัมภีร์ปฎิสัมภิทามรรค มีความสอดคล้องกันในด้านหลักการสำคัญ ส่วนในด้านวิธีการมี ความแตกต่างกนั บา้ งบางประเด็น เม่ือเปรียบเทยี บมหาสติปัฎฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับ สติปัฏฐานกถาที่พระสารีบุตรแสดงพบว่า บทอทุ เทสเป็นบทเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันบ้างใน บทนิทเทส ซึ่งเป็นการอธิบายรายละเอียดของวิธีการปฏิบัติ โดยพระพุทธเจ้าทางแสดงวิธีการ ปฏิบัติมีทั้งสมถะและวิปัสสนา ทรงใช้วิธีการแสดงตามแนวอภิธรรมและแบบอุปมาโวหาร เปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจน ส่วนวิธีการอธิบายของพระสารีบุตรจะแสดงในแนวอภิธรรม เชงิ วิชาการเพียงอยา่ งเดียว พระสารีบตุ รแสดงจำเพาะเจาะจงไปทว่ี ิธีการปฏิบตั ิแบบวปิ ัสสนาลว้ น โดยมุ่งท่ีเป้าหมายสูงสุดของสติปัฏฐานคือ วิปัสสนา หรือปัญญาเพื่อดับทุกข์ อนึ่งการท่ีจะศึกษา และปฏิบัติเร่ืองสติปัฏฐานให้ถูกต้องสมบูรณ์น้ัน ต้องยึดหลักการและวิธีการของพระพุทธเจ้ากับ ของพระสารบี ุตรเป็นหลัก เพราะเปน็ หลกั การและวิธกี ารปฏิบตั ทิ ถ่ี ูกต้องของพระพทุ ธศาสนา๑๒ ๑๓) แม่ชีระวีวรรณ ธมมฺจารินี (ง่านวิสุทธิพันธ์) (๒๕๕๑) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง การศึกษาสภาวญาณเบ้ืองต้นของผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ณ สำนัก วิปัสสนากรรมฐาน วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร ผลการศึกษาพบว่า หลักการปฏิบัติของ สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร มีความสอดคล้องตามคัมภีร์ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์ท่ีเก่ียวข้อง ซ่ึงผลจากการสังเกตและการถามตอบสอบ อารมณ์น้ัน สภาวะของผู้ปฏิบัติแต่ละคนเป็นไปไม่แน่นอน จำเป็นต้องดูสภาวะหลาย ๆ ด้าน ประกอบกัน ผู้ปฏิบัติบางคนมีสภาวะท่ีปรากฏให้สังเกตได้ยาก บางคนมีสภาวะท่ีปรากฏและ สังเกตได้งา่ ย โดยผลจากการวิจัยนี้เป็นอาการโดยย่อ เพื่อใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยผลการวิจัยยัง สามารถท่ีจะแสดงเป็นนัยได้ว่า การปฏิบัตวิ ปิ ัสสนากรรมฐานจะต้องพิจารณาท้งั สภาวธรรมภายใน และภายนอกพร้อมกัน พร้อมทั้งการพินิจถึงเหตุปัจจยั จากอดีตท่ีผ่านมาวา่ เคยทำเหตุปัจจัยน้ันมา ก่อนหรือไม่ ซึ่งสภาวธรรมและเหตุดังกล่าวมีผลต่อการปฏิบัติคือ บางคนปฏิบัติลำบากสำเร็จช้า บางคนปฏิบัติลำบากสำเร็จเร็วบางคนปฏิบัติง่ายสำเร็จช้าบางคนปฏิบัติง่ายแต่สำเร็จเร็ว นอกจากน้ีการกระทำในปัจจุบัน ความต้ังใจในการกำหนดรูปนาม ท้ังภายนอกและภายใน อย่าง ประณีตบรรจงจดจ่อต่อเนื่องในทุกๆ อิริยาบถต้ังแต่ต่ืนนอนจนถึงเข้านอน คำแนะนำของพระ วิปัสสนาจารย์ที่มีความเข้าใจและมีประสบการณ์ในการซักถามสภาวธรรมต่างๆ และการปรับ อินทรียข์ องผปู้ ฏิบตั ิให้เสมอกนั ก็เป็นอีกปัจจยั สำคัญในการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน เพ่อื ให้สภาว ญาณเบ้ืองต้น ของผู้ปฏิบัติเจริญก้าวหน้าข้ึนไปเป็นลำดับ ตั้งแต่สภาวญาณ ๑ ไปจนถึงมรรค ผล ๑๒พระแสนปราชญ์ ฐิตสทฺโธ. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์สติปัฏฐานกถาในคัมภีร์ปฏิสัภิทามรรค” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑติ , (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑)
๔๔ นิพพาน การศึกษาฉบับน้ี ยังมีประโยชน์ต่อผู้อ่านท่ัวไป ให้มีความเข้าใจในการฝึกปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน และสามารถทจ่ี ะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวนั ได้อกี ดว้ ย๑๓ ๑๔) พระปลัดพงค์ศักด์ิ ธมฺมวโร (อภัยโส) (๒๕๕๒) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษาสังขารุเปกขาญาณในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เฉพาะกรณีการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน ผลการศึกษาพบว่า หลักการ วิธีการ ปฏิบัติวิปัสสนา ที่ปรากฏใน คัมภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาท คอื การปฏิบัตติ ามหลักสติปัฏฐาน ๔ เพราะดังปรากฏในทีฆนิกาย อรรถกถากล่าวไว้ว่า “ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธมฺเมส ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ ตสฺ มา เตปิ อมิ ินาว มคเฺ คน โสกปริเทเว สมตกิ ฺกนตฺ าติ เวทิตพพฺ า” ขึ้นชอื่ วา่ ภาวนาทไี่ ม่เน่ืองด้วย กาย เวทนา จิต หรือสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่มี ดังน้ัน พึงทราบว่า แม้ท่านเหล่านั้นได้ล่วง พ้น ความโศก และความรำพันคร่ำครวญด้วยทางสายน้ีเอง ด้วยการเพียรเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ สติปัฏฐาน ๔ และทราบถึงสภาวะลักษณะของสังขารุเปกขาญาณท่ี ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ซ่ึงเป็นญาณลำดับท่ี ๑๑ มีสภาวะคือ ปัญญาท่ีเกิดจาก การที่จิตกำหนดรู้รูปนามเห็นรูปนามเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นของน่ากลัว เป็นเหยื่อของมารเกิด ความเบ่ือหน่าย อยากออก อยากหนี อยากหลุดพ้น หาอุบายในการหลุดพ้นแต่ยังไม่ถึงความหลุด พ้น จึงวางเฉยในรูปนามอยู่ในขณะเจริญวิปัสสนาภาวนา และในด้านการทดลองปฏิบัติพบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาตลอดการปฏิบัติ ๗ เดือนนั้นได้ประสบพบเห็นสภาวะต่างๆ ท่ีสอดคล้องกับ หลักปฏบิ ตั วิ ิปสั สนาตามหลกั สติปฏั ฐาน ๔ ทุกประการ เพราะทำให้ผู้ปฏิบัตสิ ามารถระลกึ รู้เท่าทัน ปัจจุบันธรรม เห็นความเปลี่ยนแปลงความบีบค้ัน ไม่อยู่ในอำนาจใครของรูปนาม ทำให้เห็นทุกข์ โทษของรูปนาม และอยากพ้นจากรูปนาม พร้อมท้ังทำให้มีความเช่ือความเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาเพ่ิมพนู ยง่ิ ข้ึน เห็นชัดวา่ สามารถแก้ปัญหา ดับความทุกข์ไดจ้ ริง และทำให้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า หลักการปฏิบัติใด วิธีการใดเป็นสมถะ เป็นวิปัสสนา ทำให้มีความ มั่นใจในการถ่ายทอดต่อไป รวมทั้งในการแก้ไขข้อข้องใจของผู้ท่ียังสับสนในหมู่ชาวพุทธ เกี่ยวกับ หลกั การ วธิ กี าร ปฏิบตั ิวิปสั สนายิง่ ข้นึ ไป๑๔ ๑๓แมช่ ีระวีวรรณ ธมมฺจารนิ ี (งา่ นวสิ ทุ ธพิ ันธ์), “การศกึ ษาสภาวญาณเบื้องตน้ ของผเู้ ขา้ ปฏบิ ัติวิปสั สนา ตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ ณ สำนกั วปิ สั สนากรรมฐาน วดั พระธาตุศรจี อมทอง วรวิหาร” ,วทิ ยานพิ นธ์พุทธศาสตร มหาบณั ฑติ , (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๑). ๑๔ พระปลดั พงค์ศกั ดิ์ ธมฺมวโร (อภยั โส), “ศึกษาสงั ขารุเปกขาญาณในการปฏบิ ัติวปิ สั สนาตามหลักสติ ปัฏฐาน ๔ เฉพาะกรณีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิต วิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๒).
๔๕ ๑๕) ภาวนีย์ บญุ วรรณ (๒๕๕๒) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง การศกึ ษาอาการวปิ ลาส ท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐาน ผลการศึกษาพบว่า วิปลาส หมายถึง ความสำคัญผิดและการ ยึดถือโดยความคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไปจากความจริง ในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึงวิปลาส โดยเฉพาะอยู่เพียง ๒ สูตร คือ วิปัลลาสสูตร และ วิปัลลาสกถา มีเนื้อหาเกี่ยวกับ วิปลาส ซึ่งเป็น อกุศลธรรมและนวิปลาสซ่ึงเป็นกุศลธรรม วิปลาสมีอยู่ ๓ ประเภท คอื สัญญาวิปลาส จติ ตวปิ ลาส และทิฎฐิวิปลาส ในวัตถุ ๔ ประการ ได้แก่ ไม่เที่ยงว่าเที่ยง (อนิจฺเจ นิจฺจํ) ทุกข์ว่าสุข (ทุกเข สุขํ) ไม่ใช่อัตตาว่าอัตตา (อนตฺตนิ อตฺตา) ไม่งามว่างาม (อสุเภ สุภํ) รวมกันเป็นวิปลาส ๑๒ ประการด้วยกัน ปุถุชนทุกคนมีความวิปลาสครบถ้วน พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ละวิปลาสไดบ้ างส่วน สว่ นพระอรหันตล์ ะวิปลาสไดห้ มด วิปลาสมีบทบาทและโทษท่ีไม่สามารถทำให้ทุกข์สิ้นไป และยังเพ่ิมความทุกข์มากขึ้น สาเหตุของวิปลาสมาจากกิเลส และวงจรของ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หมุนเวียนกันอย่างไม่จบ ส้ิน หลักการการละวิปลาสต้องตัดวงจรของกิเลสตั้งแต่ผัสสะ (การรับรู้) เม่ือมีการรับรู้แล้วต้อง กำหนดเวทนา เพื่อไม่ใหเ้ กิดตณั หา วธิ ีการและวปิ ลาสมีหลายวธิ ที ่ีปรากฏในคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนา เช่น วิธีการเจริญสติปัฏฐาน เป็นต้น วิปลาสในสังคมไทยทั่วไป หมายถึง ความคลาดเคล่ือนไป จากธรรมดาสามัญ ถ้าใช้กับคนก็หมายถึง ผิดปกติไปจากปุถุชน คือ คนมีพฤติกรรมทางกายวาจา ใจ (ความคิด) แปรปรวน ผิดเพี้ยน เรียกว่า บ้า หรือ วิกลจริต อธิบายได้ว่าเป็นวิปลาสในระดับ สมมุติสัจจะ คือ คลาดเคลื่อนจากความจริงระดับสมมุติ ส่วนวิปลาสตามความหมายเดิมในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเป็นวิปลาสระดับปรมัตถ์ คือคลาดเคลื่อนจากความจริงระดับปรมัตถ์ มี ความหมายลกึ ซึ้งและเป็นรากฐานของวปิ ลาสระดบั สมมติสัจจะ พระไตรปิฎกไม่ได้ระบุชัดเจนถึงอาการวิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐาน มีเพียงเร่ือง พระภิกษุที่สำคัญผิดว่าตนบรรลุธรรมโดยไม่เจตนา ส่วนในอรรถกถาระบุถึงวิปัสสนานูปกิเลสท่ี ขวางก้ันการเจริญวิปัสสนา เป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรม ส่วนครูอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานส่วน ใหญ่เห็นว่า วิปลาสท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐาน เพราะผู้ปฏิบัติมีสติไม่เท่าทันสภาวธรรม (นิมิต) ที่ตนประสบและหลงเพลิดเพลิน เกิดความเข้าใจผิด เชื่อถือนิมิต คล้อยตามนิมิตที่พบเห็น ทำให้มีพฤติกรรมผิดเพ้ียน แก้ไขได้ด้วยการมีสติรู้เท่าทันและพิจารณาหลักไตรลักษณ์ เพ่ือไม่ให้ หลงยึดตดิ ในวิถีตะวันตก รับรูปแบบการปฏิบัติของศาสนาทางตะวันออก ชาวตะวันตกเห็นว่า นมิ ิตที่ผู้ปฏิบัติกรรมฐานประสบในการปฏิบัติเปน็ อาการของโรคทางจติ ขณะท่ีชาวตะวันออกเห็น ว่านิมิตเป็นเร่ืองธรรมดาที่เกิดข้ึนได้ในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่การยึดถือนิมิตจะทำให้มีอาการ วิปลาส ชาวตะวันตกเองมีแนวโน้มเกิดอาการวิปลาสในการปฏิบัติกรรมฐานมากกว่าชาว ตะวันออก อันมีปัจจัยเสริมมาจากลักษณะเฉพาะในวิถีตะวันตกเองที่แตกต่างจากวิถีตะวันออก
๔๖ ตามหลักจิตเวชศาสตร์สากลเห็นว่าอาการวิปลาสที่เกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐานน้ัน เข้าข่าย อาการโรคจิตเฉียบพลันหรือโรคจิตระยะส้ัน โรคไบโพลาร์ โรคคล้ายโรคจิตเภท และโรคจิตเภท ข้ึนอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงของอาการและเมื่อมีอาการวิปลาสเกิดข้ึนในการปฏิบัติ กรรมฐานซ่ึงทางตะวันตกเรียกว่าเหตุฉุกเฉินทางจิตวิญญาณ ชาวตะวันตกมีรูปแบบการจัดการ อยา่ งเป็นระบบรูปธรรมให้ปฏบิ ัตติ ามขนั้ ตอนและเก่ยี วขอ้ งกบั หน่วยงานของรัฐด้วย กรณีศึกษาผู้มีอาการวิปลาสท่ีเกิดข้ึนในการปฏิบัติกรรมฐาน ๖ ราย ให้ข้อมูลไป ในทางเดียวกันว่า ต่างเป็นผู้ปฏิบัติกรรมฐานท่ีขยันอย่างเคร่งครัดจนเคร่งเครียด ซึ่งเป็นปัจจัย เสริมอันนำไปสู่สาเหตุหลัก คือการหลงยึดติดสภาวธรรมที่เกิดขึ้นอย่างไม่เท่าทัน ด้วยความไม่ เขา้ ใจและเชือ่ ถอื จนมพี ฤติกรรมคลอ้ ยตามสภาวธรรม จนมอี าการผิดเพี้ยนไป แต่ที่กลบั มาร้ตู ัวได้ เพราะเมื่อเกิดส่ิงที่ไม่เป็นไปตามนิมิต ทำให้ได้หยุดคิดพิจารณาไตร่ตรองและได้ใคร่ครวญในคำ ตกั เตือนพร่ำสอนของอาจารย์และกัลยาณมิตรทั้งหลาย จึงแก้ปญั หาวิปลาส ด้วยการมีสติรู้เทา่ ทัน แต่ทุกคนยังมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาและการปฏิบัติกรรมฐาน ส่ิงสำคัญที่สุดท่ีกรณีศึกษา แนะนำคือ ต้องมีครูอาจารย์ผู้ชำนาญในการปฏิบัติกรรมฐานและผู้ปฏิบัติกรรมฐานควรมีความรู้ พ้ืนฐานในการปฏิบัติกรรมฐานจึงจะไม่เกิดภาวะสะดุด เป็นวิปลาส หากพลัดหลงเป็นวิปลาส ก็ สามารถดึงกลบั มาได้ดังเดมิ ๑๕ ๑๖) รุจาภา ธงปล้ืมจิตร (๒๕๕๒) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษา อุทยัพพญาณในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ : เฉพาะกรณี การปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา ๗ เดือน ผลการศึกษาพบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ มีกาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา โดยสภาวธรรมที่กำลังปรากฏท่ีมีอยู่ในตน อันได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรยี ์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปทาบ ๑๒ เป็นองคป์ ระกอบแห่ง กองรูปธรรมและนามธรรม มี อาตาปี สมฺปชาโน มาเป็นหลักในการพิจารณาความเป็นธรรมชาติ ของสภาวธรรมต่างๆ ที่ปรากฏในฐานท้ังส่ี หลังจากที่เกิดปัญญาญาณในการหย่ังรู้ในไตรลักษณ์ สภาวธรรมทางกายและทางจิต รู้สึกเป็นสุขและยินดีในการกำหนดรู้สภาวธรรมทางกายและทาง จิตทีเ่ กดิ ขึน้ มีความพากเพยี รมัน่ คงแน่วแน่ ชว่ ยสติคมชดั กระฉับกระเฉงกำหนดรู้ได้ฉับไวทันทีเข้า ไปเห็นความเกิดดับของรูปนามความเป็นจริงอย่างกระจ่างชัดชื่อว่าได้บรรลุถึงวิปัสสนาญาณ คือ อุทยัพพยญาณ หลักการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ทำให้ บุคคลผูป้ ฏิบัตดิ ำเนนิ ตนไปสู่การบรรลธุ รรมเป็นทางตรง เป็นทางสายเดียวทมี่ ุง่ ตรงตอ่ พระนิพพาน ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส สามารถแก้ปัญหาด้วยปัญญาตามเหตุปัจจัยอย่างแท้จริง เป็น ๑๕ภาวนยี ์ บญุ วรรณ, “การศกึ ษาอาการวปิ ลาสที่เกดิ ข้นึ ในการปฏิบัตกิ รรมฐาน”, วิทยานพิ นธ์ พุทธศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒).
๔๗ ประโยชน์อันสูงสุด จากการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผู้ศึกษาทราบผลของการปฏิบัติวิปัสสนาตาม สมควรแก่การปฏิบตั ธิ รรมโดยเฉพาะในอุทยพั พยญาณ ซ่งึ สอดรับกบั วัตถปุ ระสงค์ของงานวจิ ัย๑๖ ๑๗) พระมหาสิงห์หน สิรินฺธโร (ฉิมพาลี) (๒๕๕๓) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษา วิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างหลักปฏิบัติสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตรกับวิธีการฝึก เจริญตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ผลการศึกษาพบว่า หลักปฏิบัติสัมปชัญญะในมหา สติปัฏฐานสูตร คือ การกำหนดอิรยิ าบถ ด้วยการทำความรู้สึกตัวในการการก้าวไป การถอยหลัง กลับ ในการดูแล การเหลยี วดู การคู้เข้าการเหยียดออก การครองสงั ฆาฎิ บาตร และจีวร ทำความ รู้สึกตัวในการฉัน การด่ืม การเค้ียว และการล้ิม การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ทำความรู้สึกตัวในการ เดิน การยืน การนั่ง การนอน การต่ืน การพูด และการน่ิง การปฏิบัติสัมปชัญญะในมหาสติปัฏ ฐานสูตร ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของอุปนิสัยและจริตของแต่ละบุคคล วิธีการฝึกเจริญสติตาม แนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เริ่มต้นท่านให้ทำความรู้สึกตัวด้วยการน่ังสร้างจังหวะยกมือ ๑๕ จังหวะ โดยพลิกขวา ตะแคงข้ึน เรื่อยไปจนมือซ้อนทับกัน ให้มีสติกำกับอยู่ทุกขณะ มิให้ขาด สาย และก็ให้รู้สึกตัวตลอดเวลาเม่ือมีอะไรเกิดข้ึน ไม่ว่าจะไหว ก็รู้สึก กะพริบตา ก็ให้รู้สึก หายใจ ก็รู้สึก กลืนน้ำลาย ก็รู้สึก เรียกวา่ ให้รูส้ ึกทุกอาการท่เี กิดข้ึนโดยไม่ลืมกายลืมใจลอยไปท่ี อื่นเผลอ ไปคิดเรื่องมือวา่ จะขยับอย่างไร และไม่เพ่งมือเพ่งกายทั้งกายด้วย ร้เู พียงว่ามันเป็นสภาวะที่จิตตื่น หลุดออกจากโลกของความคิดมาอยู่กับโลกของความจรงิ จึงพร้อมที่จะเห็นสภาวะและเข้าใจความ เป็นจริงของรูปนาม กายใจได้ และต้องรู้สกึ ให้ถูกต้องว่าสิ่งที่กำลังเคล่อื นไหวอยูน่ ้ีคอื อาการของรูป ตอ้ งรู้สึกให้ถงึ ความเป็นรูป ไมใ่ ช่รู้สึกเพียงว่ามือกำลังเคล่ือนไหว ตอ้ งรู้สึกจริงๆ ถึงอาการของรูปท่ี กำลงั เคล่ือนไหว วธิ ีการเจริญสติตามแนวของหลวงพอ่ เทียน จติ ฺตสุโภ มที ั้งความสอดคลอ้ งและ ความแตกตา่ งกนั อยู่บ้างจากหลักปฏิบัตสิ ัมปชญั ญะในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร หลักปฏบิ ัติสัมปชญั ญะ เน้นท่ีตัวสัมปชัญญะโดยตรง แต่วิธีการฝึกเจริญสติของหลวงพ่อเทียน เน้นไปที่สติระลึกรู้ลึก รู้สึกตัวอยู่ทุกขณะที่สร้างจังหวะต่างๆ โดยให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในเม่ือมีอาการเกิดข้ึน วิธีการ ฝึกสติตามแนวของหลวงพ่อเทียนเน้นตัวสติเป็นสำคัญ ซึ่งมีวิธีการแตกต่างจากสัมปชัญญะในมหา สติปัฏฐานสูตร แต่ก็สงเคราะห์และมีความสอดคล้องกับหลักปฏิบัติในสัมปชัญญะ เพราะตัวสติ ๑๖รจุ าภา ธงปลมื้ จิตร, “การศึกษาอุทยัพพญาณในการปฏิบตั วิ ิปสั สนาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ : เฉพาะ กรณีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๒).
๔๘ กับสัมปชัญญะ เป็นอุปการธรรมกัน เม่ือมีสติก็ต้องมีสัมปชัญญะแตกต่างกันในลักษณะรูปแบบ ของการนำเสนอเท่านน้ั ๑๗ ๑๘) พระทรัพย์ชู มหาวีโร (บุญพิฬา) (๒๕๕๓) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษา วิธีการเจริญสติในชีวิตประจำวันตามแนวทางของติช นัท ฮันท์ ผลการศึกษาพบว่า การเจริญ สตใิ นทางพระพทุ ธศาสนา คอื การฝกึ เจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ การมีสติพิจารณาในกาย เวทนา จิต และสภาวธรรม โดยเฉพาะการเจริญอานาปานสติ อนั เป็นหลกั ปฏบิ ตั ทิ ี่สง่ ผลให้ผ้ทู ่ีฝกึ ปฏิบตั ดิ ี แล้วไดร้ ับความสุขสงบทั้งทางรา่ งกายและจิตใจ จนเกดิ เปน็ สัมมาสมาธิ และปัญญา สามารถกำจัด ทุกข์ และบรรลุมรรคผลนิพพานได้อย่างแท้จริงในทัศนะของ ติช นัท ฮันห์ สติเป็นหัวใจแห่งคำ สอนในทางพระพุทธศาสนา หลักในการเจริญสติตามแนวทางของท่าน เน้นการฝึกเจริญอานา ปานสติควบคู่ไปกับการฝึกเจริญสติปัฏฐาน ๔ ตามกระบวนการของไตรสิกขา คือ ฝึกให้มีสติ ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันขณะอย่างต่อเน่ืองจนทำให้ผู้ฝึกปฏิบัติเกิดสมาธิ(สมถะ) และเกิดปัญญา (วิปัสสนา) ทำให้มองเห็นสรรพส่ิงตามความเป็นจริงและนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต นอกจากนั้นยังพบว่า ติช นัท ฮันห์ มีองค์ความรู้ในพุทธธรรมอย่างลุ่มลึกท้ังทางฝ่ายเถรวาท และมหายาน และเข้าใจอย่างลึกซ้ึงถึงการเปล่ียนแปลงทางสงั คม ทำให้ท่านมีแนวคดิ และคำสอน ท่โี ดดเด่นเขา้ กับยุคสมัย โดยเน้นที่การนำพระพุทธศาสนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในวิถีชีวติ ส่วนรปู แบบ และวิธีการเจริญสติมีทั้งการฝึกปฏิบัติในอิริยาบถหลัก และการฝึกปฏิบัติกับกิจกรรมต่างๆ ใน ชวี ิตประจำวัน โดยมีกุศโลบายท่ีหลากหลาย เพื่อช่วยให้การฝึกปฏิบัติเป็นไปอย่างผอ่ นคลาย เบิก บาน และทำให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะได้ง่ายขน้ึ ส่วนผลของการเจริญสติตามแนวทางของ ติช นัท ฮันห์ พบว่า ทำให้พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึนทั้งทางด้านร่างกาย วาจา และจิตใจ ทั้งยังเป็น ประโยชนแ์ ก่สงั คมอีกด้วย๑๘ ๑๙) พระสุวรรณ สุวณโฺ ณ (เรอื งเดช) (๒๕๕๓) ได้ศึกษาวทิ ยานิพนธ์เร่ือง ศึกษาผลการ เจริญตามแนวปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ : กรณีศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติ ธรรมมหาสติปัฏฐาน ๔ บ้านเหล่าโพนทอง ผลการศึกษาพบว่า การเจริญสติตามแนวทางมหา สติปัฏฐานสูตร พบว่า การเจริญสติในมหาสติปัฏฐานสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงมีวัตถุประสำคัญ ๑๗ พระมหาสงิ ห์หน สิรนิ ธฺ โร (ฉิมพาลี),“ศึกษาวเิ คราะหค์ วามสอดคลอ้ งระหวา่ งหลักปฏบิ ตั สิ มั ปชญั ญะ ในมหาสติปัฏฐานสูตรกับวิธีการฝึกเจริญตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖). ๑๘พระทรัพย์ชู มหาวีโร (บุญพิฬา), “การศึกษาวิธีการเจริญสติในชีวิตประจำวันตามแนวทางของติช นัท ฮันท์” วทิ ยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓).
๔๙ เพื่อให้พุทธบริษัท ๔ ได้ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนในส่วนท่ีเป็นวิปัสสนาธุระ หรือ งานของ จิต โดยมุ่งหวังผลของการเจริญสติ คือการหลุดพ้นจากเครื่องผูกพันธนาการของกิเลสและตัณหา เพราะวา่ มหาสติปัฏฐาน เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวที่จะนำเวไนยสัตว์ให้สามารถหลุดพ้น จากอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองของใจได้ ทั้งน้ี ผู้เจรญิ สติพึงมีสติกำหนดระลึกรู้อยู่ในกายานุปัสสนา (การพิจารณารู้กายในกาย) เวทนานุปัสสนา (การพิจารณารู้เวทนาในเวทนา) จิตตานุปัสสนา(การ พจิ ารณารู้จิตในจิต) และธรรมานปุ ัสสนา (การพิจารณารู้ธรรมทั้งหลายในธรรมท้ังหลาย มีอริยสัจ ๔เป็นต้น) การเจริญสติตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ พบว่า เน้นการสอนให้ผู้ปฏิบัติ เจริญสติในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐานหมวดอิริยาบถบรรพ คือ การยืน เดิน น่ัง นอน และ หมวดสัมปชัญญะมรณะ คือ การกำหนดอิริยาบถน้อยอ่ืนๆอีก เช่น ดื่ม พูด เหลียวหลัง ยกมือ วธิ ีการปฏิบัติต่อความคิด คอื จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการสอนให้ผู้ปฏิบัติรู้เท่าทันความคิด ท่ีเกิดขึ้นในขณะน้ันแต่ไม่ต้องปรุงแต่งไปตามความคิดไม่ว่าจะเป็นความคิดดีความคิดไม่ดีก็ตาม เพียงแต่กำหนดรู้สึกตัวเท่าน้ันก็พอเม่ือทำได้บ่อยๆแล้วปัญญาในการพิจารณาย่อมเกิด จะทำให้ผู้ ปฏิบัติไม่ตกเป็นเหยื่อของความคิดและไม่เป็นทุกข์เพราะความคิดที่เกิดข้ึนนั้น ส่วนการควบคุม อารมณ์และการตรวจสอบการเจริญสติ โดยปกติก็จะเป็นหน้าที่ของพระวิปัสสนาจารย์ผู้มีความ ชำนาญในรูปแบบการเจรญิ สติแบบเคลอ่ื นไหวตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตตฺ สโุ ภ เช่น พระ อาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ และพระอธิการกุสุม ผาสุโก (เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมมหาสติปัฏ ฐาน ๔) จากการศึกษายังพบวา่ สำนักปฏิบัติธรรมเจริญสติของสำนักปฏิบตั ิธรรมมหาสติปัฏฐาน ๔ บ้านเหลา่ โพนทอง ตำบลบ้านหวา้ อำเภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่น เป็นอกี สำนกั หนงึ่ ทไี่ ดน้ ำหลักการ และวธิ ีการต่างๆของหลวงพ่อเทยี น จิตฺตสโุ ภไปอบรมสัง่ สอนพระภกิ ษุสามเณรและพุทธศาสนิกชน ในพ้นื ท่ี โดยเป็นการอบรมของพระวปิ ัสสนาจารย์ทเ่ี คยร่วมปฏิบัติธรรมกบั หลวงพ่อเทียน จติ ตฺ สุโภ มาเป็นอย่างดีหรือเป็นผู้มีความชำนาญในการสอนตามแนวทางรปู แบบการเคลื่อนไหวนี้ ผลการ เจริญสติตามแนวปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ พบว่า ผู้ปฏิบัติสามารถควบคุมอารมณ์ของ ตนเองได้ดีกว่าเดิม มีสติระลึกรู้ในการทำงาน เข้าใจคนอ่ืนได้ดีปรับสภาวะทางจิตให้ยืดหยุ่นได้ มี ความต้ังใจม่ัน หรอื ทำให้มีสมาธิจิตทย่ี าวนานกวา่ เดิม ทำให้เกิดปัญญาในการแก้ไขปัญหาตา่ งๆ ใน ชีวิตประจำวันได้ เช่น เม่ือมีสติก็ไม่ก่อปัญหาอาชญากรรม ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ พดู เท็จ ไม่ดืม่ สรุ าและเมรยั ตลอดจนส่ิงเสพติดต่างๆ หลกี เว้นการก่อปัญหาทางสังคม ตรงกันข้าม ผู้ปฏิบัติธรรมกลับมีจิตใจที่เมตตาต่อคนอื่น โดยคอยให้การช่วยเหลืองานสังคมหรือชุมชนตาม กำลงั ของตน รูจ้ ักเสียสละบำเพ็ญประโยชน์เป็นสาธารณะหรือมีจิตสาธารณะอันจะยงั ประโยชน์สุข ให้เกิดข้ึนแกต่ นครอบครวั และบคุ คลที่เกย่ี วข้องได้ดียง่ิ ข้นึ ๑๙ ๑๙พระสุวรรณ สุวณฺโณ (เรืองเดช),“ศึกษาผลการเจริญตามแนวปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ : กรณีศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมมหาสติปัฏฐาน ๔ บ้านเหล่าโพนทอง”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร
๕๐ ๒๐) พระทนงศักด์ิ ปภาโต (ปิยะสุข) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษารูป นามตามที่ปรากฏในไตรลักษณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผลการศึกษาพบว่า ไตรลักษณ์ คือ สามัญลกั ษณ์ ว่าโดยความเป็น อนิจจัง ความไม่เท่ียง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความเป็น ของมิใช่ตัวตนไม่บังคับบัญชาได้ เป็นธรรมธาตุ เป็นภาวะที่ทรงตัวอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมฐิติ เรียกว่า ธรรมนิยม คือ กฎของธรรมชาติ วิปัสสนา คือ การปฏิบัติเพ่ือให้เกิด ปัญญารู้แจ้งในรูป นาม โดยความเป็นไตรลักษณ์องค์ธรรมของวิปัสสนาภาวนา คือ ปัญญาเจตสิกธรรม สามารถให้ เกิดขึ้นได้ โดยอารมณ์ของวิปัสสนา คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฎิจจสมุป บาท ๑๒ อริยสัจ ๔ กล่าวโดยสงเคราะห์ คือ รูป นาม สภาวะของรูป หมายถึง สภาวะที่ต้อง แตกสลาย เม่ือกระทบกับ วิโรธิปัจจัย ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ได้ ในขันธ์ ๕ รูปทั้งหมดจัดเป็นรูป สภาวะของนาม หมายถึงสภาวะท่ีเข้าไปรับรู้อารมณ์ ในขันธ์ ๕ คือ เวทนา สัญญา วิญญาณ จัดเป็นนาม ในการปฏิบัติวิปัสสนาโดยการปฏิบัติตามหลักสติปัฎฐาน ๔ เพื่อให้สติไปตั้งมั่นใน กาย เรียกว่า กายานุปัสสนา กายานุปัสสนา จัดเป็น รูป เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา จัดเป็น นาม ธรรมานปุ ัสสนา เปน็ ไดท้ ง้ั รูปและนาม๒๐ ๒๑) พระครูสังฆรักษ์ชีพ ธมมฺเตโช (คู่กระโทก) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง วิเคราะห์ศีลเพ่ือการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า ศีล เป็น หลกั การสำคญั ในพระพุทธศาสนา เปน็ กฎเกณฑใ์ นการควบคมุ กาย วาจา ให้เรยี บรอ้ ย ศีลมีหลาย ระดับนับตั้งแต่ จุลศีล และมนุษย์เองยังต้องการพัฒนากาย วาจา ใจ ให้สูงยิ่งข้ึน เช่น การปฏิบัติ ตามหลักจุลศีล ไปสู่ระดับมัชฌิมศีล และมหาศีล เพ่ือการอยู่ร่วมกันอย่างมีความผาสุขของสังคม สว่ นมัชฌมิ ศลี เป็นการฝกึ หดั ปฏิบตั ิตนเพ่ือให้ ลดละ กิเลส ทม่ี ีอยู่ภายในตนให้เบาบางลง และมหา ศีล เป็นข้อฝึกฝนตนให้มีความพร้อมกับการเข้าถึงธรรม ส่วนอานิสงส์ของศีล ได้แก่ เป็นผู้มีโภ ค ทรัพย์ มีชอ่ื เสียง มีความแกลว้ กล้า มีสติ หลังจากตายแล้วย่อมไปสู่สคุ ติโลกสวรรค์ วิธีปฏบิ ัติตาม ศีลในพระพุทธศาสนา น้ัน บุคคลสามารถปฏิบัติตามหลักจุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล ได้ตาม ความเหมาะสมของบคุ คล โดยจะต้องพิจารณาตามองค์ประกอบของศีลอันเน่ืองมาจากการปฏิบัติ ตามหลกั ปารสิ ุทธิศีล ๔ เช่น ปาติโมกขสงั วร อนิ ทรยี สังวร อาชีวปาริสุทธิ และปัจจยปัจจเวกขณะ เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้จิตบริสุทธ์ิ และปัญญาบริสุทธิ์โดยลำดับจนกระทั่งเป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสท้ัง ปวง เป็นไปเพ่ือทำที่สุดแห่งทุกข์ การวิเคราะห์ศีลเพื่อการบรรลุธรรม น้ันพบว่า ศีลเป็นปัจจัย มหาบัณฑติ , (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓). ๒๐พระทนงศักด์ิ ปภาโต (ปิยะสุข) ศึกษารูปนามตามที่ปรากฏในไตรลักษณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔), บทคดั ยอ่ .
๕๑ เบื้องต้นของการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาที่จะทำให้เกิดสมาธิ ปัญญา และการทำลาย สังโยชน์ โดยศีลจะทำให้บุคคลผู้ปฏิบัติมีความมั่นคงทางพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา เมื่อมีศีล บริสุทธิ์ย่อมจะทำให้สมาธิมีความม่ันคงและเกิดปัญญามีความเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ดังน้ัน บุคคลควรต้ังม่ันในศีล เพ่ือท่ีจะทำให้ข้อปฏิบัติน้ันมีความสมบูรณ์สามารถเข้าถึงธรรมท้ังในระดับ โลกิยะ คือ สุขของปุถุชน และ โลกุตตระ คือ สุขของอริยชน สุขท่ีทำลายสังโยชน์ ๑๐ ส่ิงท่ีผูก จติ ใจไว้ ให้ติดอยู่ในกิเลสในความทุกข์ในวัฏฏะให้สิ้นไป อริยบุคคลหรอื ผู้ที่ได้บรรลธุ รรมผู้ทำลาย สังโยชน์ตามระดับของผู้บรรลุธรรม การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนามี ๔ ประเภท อันได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ การปฏิบัติตามศีลท่ีเกี่ยวข้องกับการ บรรลุธรรม คือ ๑.พระโสดาบัน สามารถละสังโยชน์ได้ ๓ คือ ๑) สักกายทิฏฐิ ๒) วิจิกิจฉา ๓) สีลัพพตปรามาส ๒. สกทาคามีบุคคล คือ ละกิเลสได้เหมือนพระโสดาบันคือ สักกายทิฏฐิ วจิ ิกิจฉา สีลัพพตปรามาส แต่ทำ ราคะ โทสะ โมหะ เหลือเบาบางย่งิ ข้ึน ๓.อนาคามี บุคคลกำจัด สงั โยชน์เบื้องต่ำได้ ๕ ประการ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และละกิเลสได้เพิ่มขึ้นอีก ๒ อย่างคือ กามราคะ และปฏิฆะ ๔. พระอรหันต์ละสงั โยชน์ท้งั ๑๐ อย่าง ทง้ั ที่เป็นสังโยชน์เบื้อง สงู และสังโยชนท์ ี่เป็นกเิ ลสอยา่ งละเอยี ด ทรงละได้หมดทุกประการ๒๑ ๒๒) พระครูนิวิฐสาธุวัตร (ทองล่ำ ยโสธโร) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาการพฒั นาสติโดยใชห้ ลกั กายคตาสตใิ นคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า กายคตาสติ คอื หลักการฝกึ สติ โดยใช้อารมณ์ของกรรมฐานท่เี ปน็ ท้ังสมถะและวิปัสสนา มีปรากฏ อยใู่ นหลายๆ พระสูตร เช่น กายคตาสติสูตร เป็นพระสูตรวา่ ด้วย วธิ ีการเจริญสติ โดยพิจารณาลม หายใจเขา้ ออก และการพจิ ารณาอาการ ๓๒ มี ผม ขน เลบ็ ฟัน หนัง เป็นตน้ จัดเปน็ อารมณ์ของ สมถะ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ได้แสดงวิธีการกำหนดลมหายใจเข้าออก จัดอยู่ในหมวดอานาปา นบรรพะเป็นอารมณ์ท้ังสมถะและวิปัสสนา และแสดงวิธีการเจริญสติโดยการกำหนดพิจารณา อาการ ๓๒ โดยความเปน็ สิ่งปฏิกูล จัดอยู่ในหมวดปฏิกูลมนสิการบรรพะ จดั เป็นอารมณ์ทั้งสมถะ และวิปัสสนา สติเป็น หลักธรรมสำคัญในการเจริญปัญญา คือ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญารู้ แจ้งรูปนาม พระไตรลักษณ์ สตมิ ักจะเกิดร่วมกับวิรยิ ะ สมาธิ และปัญญา เรยี กวา่ สัมปยุตธรรม มี แนวทางในการพัฒนาสติ ๖ รปู แบบ ตามท่ีปรากฏในกายคตาสติสูตร ๑ รูปแบบ คือ อานาปานสติ ๒๑พระครสู ังฆรักษ์ชีพ ธมมฺเตโช(คู่กระโทก), “วิเคราะห์ศีลเพื่อการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถร วาท” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๕๒ และปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตรอีก ๕ รูปแบบ คือ ๑. อิริยาบถ ๒. สัมปชัญญะ ๓. ปฏิกูล มนสิการ ๔. ธาตมุ นสกิ าร ๕. นวสีวถกิ า ๒๒ ๒๓) พระชัยพร จนฺทวํโส (จันทวงษ์) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาศรัทธา ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ผลการศึกษาพบว่า ศรัทธาตามรูปศัพท์ หมายถึง ความเช่ือ ในทางพระพุทธศาสนาเป็นศรัทธาท่ีแตกต่างจากศรัทธาในความหมาย โดยท่ัวไป ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทได้แสดงศรัทธาไว้ ๒ ประการ คือ ศรัทธาที่ ประกอบด้วยปัญญา กับ ศรัทธาท่ีไม่ประกอบด้วยปัญญา ในการเจริญวิปัสสนาภาวนา ศรัทธา หมายถึง อธิโมกข์ ที่เป็นทางผ่านของผู้ได้เรม่ิ เข้าสู่ วปิ ัสสนาญาณ เมื่อเกิดปัญญาหย่ังรู้ ในรูปนามที่มีความแปลกประหลาดอัศจรรย์ เช่น แสงสว่าง ญาณรู้ มีสติคมชัด มีปีติ มีความเพียร เป็นพิเศษ มีความตั้งม่ัน ความสุข ความวางเฉย ความยินดี ในสภาวธรรมต่างๆ ก็ปักใจเชื่ออย่าง แรงกล้า เพราะไม่เคยพบเจอในสภาวะต่างๆ ดังกล่าว ความจริงศรัทธา กับ อธิโมกข์ ความ แตกต่างกันโดยองค์ธรรม คือ ตัวหนึ่งเป็นสัทธาเจตสิก อีกตัวหน่ึงเป็นอธิโมกข์ หมายความว่า ศรัทธา มีลักษณะผ่องใส ดังกล่าว เป็นสภาวะท่ีเช่ือมั่นในคุณงามความดีทุกอย่าง เพราะเป็น ศรัทธาท่ีอยู่ในกลุ่มของเจตสิกท่ีดีงาม คือ มีความเช่ือในศีล สมาธิ และปัญญา ความสำคัญของ ศรัทธา คือ การพัฒนาไปสู่ความพ้นทุกข์ ได้แก่ เป็นพระอริยะบุคคลระดับพระโสดาบัน ตัวอย่างเช่น ศรัทธานุสารีบุคคล ผู้แล่นไปตามศรัทธา และศรัทธาวิมุต ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา เพราะเข้าใจอริยสัจได้ถูกต้อง จึงเห็นว่าศรัทธาท้ังหมดล้วน มีปัญญาคอยประคับประคองเอาไว้ เพอ่ื ไมใ่ ห้หลุดออกไปนอกกรอบของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะศรัทธาในพระรตั นตรัย๒๓ ๒๔) พระอำนาจ ขนฺติโก (ภาคาหาญ) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษา อริยมรรคในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ผลการศึกษาพบว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางอันประเสริฐทางดำเนินของพระอรยิ ะ เพือ่ ความเข้าถึง มรรค ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑ เรียกว่า มรรคมีองค์ ๘ หรือ อัฎฐังคิกมรรค มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นหนทางสายกลางในอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นหลักธรรมท่ีสำคัญของแนวทางการปฏิบัติเพ่ือทำให้เกิดปัญญา ย่อมเป็นไปเพ่ือความสงบ กิเลส เพื่อความรู้ยง่ิ เพื่อความรู้แจ้ง เพ่ือทำความส้ินไปแห่งทุกข์ทั้งปวง มัชฌิมาปฏิปทา ได้ชื่อว่า ๒๒พระครูนิวิฐสาธุวัตร (ทองล่ำ ยโสธโร), “ศึกษาการพัฒนาสติโดยใช้หลักกายคตาสติในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔). ๒๓พระชัยพร จนฺทวํโส (จันทวงษ์), “ศึกษาศรัทธาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามแนวสติปัฏฐาน ๔” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๕๓ อริยมรรค คือ หนทางปฏิบัติของพระอริยบุคคล ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ โดยองค์ ธรรมคือ ตัวปัญญา จดั เป็นปญั ญาเจตสิกธรรม ส่วนมรรค ๗ ประการท่ีเหลือเป็นมรรคท่ีสนับสนุน ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การปฏิบัติใน หลักสัมมาสติคือ การใช้สติและปัญญาพิจารณาในฐานทั้ง ๔ อย่างต่อเน่ือง คอื กายานุปสั สนาสติ ปัฏฐาน คือ สติท่ีเข้าไปต้ังม่ันในกาย เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สติท่ีเข้าไปต้ังม่ันในเวทนา จติ ตานุปัสสนา สติปัฏฐาน คอื สติที่เข้าไปต้งั ม่ันในจิต ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สติท่เี ข้า ไปต้ังม่ันในธรรม การเจริญสติปัฏฐาน ต้องมี วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา หรือเจริญมรรคมี องค์ ๘ อันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง) เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมดำเนินไปตาม ทางสายกลาง แลว้ ต้ังสติระลกึ รู้สภาวธรรม (รปู นาม) ปัจจบุ ันท่ีปรากฏทางทวารท้ัง ๖ จะเหน็ ทุก สิ่งตามความเปน็ จริง เกดิ ญาณปัญญาทีร่ แู้ จง้ พระนิพพาน๒๔ ๒๕) พระมหาพิสตู น์ จนทฺ วโํ ส (พะนิรัมย์) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาท กับขันธ์ ๕ ในการเจริญวิปัสสนาภาวนา ผลการศึกษา พบว่า วิปัสสนาภาวนาในพระพุทธสาสนาเถรวาท คือ การเจริญปัญญาให้เห็นแจ้งในลกั ษณะมี อนิจจลกั ษณะเป็นต้น ตามหลกั มหาสติปัฏฐาน โดยการกำหนดรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม หรือ โดยย่อได้แก่ การกำหนดรู้รูปนาม ปฏิจจสมุปบาท และขันธ์ ๕ จัดเป็นอารมณ์ของวปิ ัสสนา เพื่อดับกองแห่งทุกข์และบรรลุธรรม กระทั่งทราบชัดตามความเป็นจริงแห่งส่ิงท้ังหลายในโลก ปฏิจจสมุปบาท กบั ขันธ์ ๕ มีความสัมพันธ์ คอื นำมาซ่ึงทุกข์อย่างเดียวกัน สงเคราะห์เข้ากัน ได้กับรูปนาม อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ โดยปิดบังขันธ์ ๕ ไว้ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และการกำหนดรู้ปฏิจจสมุปบาทแต่อย่างเดียว ก็เป็นอันกำหนดรู้ขันธ์ ๕ ใน ขณะเดยี วกนั ๒๕ ๒๖) พระครูพิสิฐสรภาณ (นิรันดร์ ศิริรัตน์) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์หลักการปฏิบัติธรรมในภัทเทกรัตตสูตร ผลการศึกษาพบว่า ความเป็นมา ความสำคัญ และเนื้อหาของภัทเทกรัตตสูตร เป็นพระสูตรท่ีมีเน้ือหาสาระเก่ียวกับวิธีปฏิบัติ ธรรมใหบ้ รรลุถึงความเป็นผู้เจริญในธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงกบั พระภิกษุกลุ่มหนง่ึ เพราะทรง เล็งเห็นอัชฌาสัยของภิกษุเหล่านั้นว่าพอที่จะตรัสรู้ได้ โดยมีพระประสงค์ให้เร่งปฏิบัติธรรมเพ่ือผล ๒๔พระอำนาจ ขนฺติโก (ภาคาหาญ), “ศึกษาอริยมรรคในการปฏิบัติวปิ ัสสนาตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔”, วิทยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ , (บัณฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔) . ๒๕พระมหาพิสูตน์ จนฺทวํโส (พะนิรัมย)์ , “การศกึ ษาความสมั พันธ์ระหว่างปฏจิ จสมุปบาท กับขันธ์ ๕ ในการเจริญวิปัสสนาภาวนา”, วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖).
๕๔ ในปัจจุบัน โดยท่ีรายละเอียดของเน้ือหาเป็นบาทฐานในการศึกษาหลักปฏิบัติตามพระสูตรนี้และ ความเก่ยี วข้องของพระสูตรนี้กับการบรรลธุ รรม หลกั การปฏบิ ัติทป่ี รากฏในภัทเทกรตั ตสตู ร คือ หลักการระลึกรู้อย่างชดั เข้าใจชดั เห็นแจ้งธรรมอยู่กับปจั จบุ ัน ธรรมปัจจุบนั นี้ หมายถึง ขันธ์ ๕ หลักการใช้ความเพียรเป็นเคร่ืองตื่นอยู่และหลักการระลึกถึงความตาย โดยเน้นไปท่ีหลักการ ระลึกรู้อย่างชัดเข้าใจชัดเห็นแจ้งธรรมอยู่กับปัจจุบัน ซ่ึงผู้ปฏิบัติจะสามารถเห็นแจ้งธรรม ปัจจุบันได้อย่างชัดเจนนั้น จะต้องประกอบไปด้วยหลักการย่อย ๓ หลักการ คือ (๑) การไม่ คำนึงถึงส่ิง (ขันธ์ ๕) ที่ล่วงไปแล้ว (๒) การไม่ควรหวังสิ่ง (ขันธ์ ๕) ที่ยังไม่มาถึง (๓) การ เห็นแจ้งธรรม (ขันธ์ ๕) ที่เป็นปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน คือหลักการมั่นคงในธรรม ปัจจุบัน หลักการมั่นคงอย่กู ับธรรมปัจจุบัน และหลกั การมีความเพียร เป็นหลกั ปฏิบตั ิในภทั เทก รัตตสูตร คือสติปัฏฐาน ๔ และสัมมัปปธาน ๔ ซ่ึงเป็นหัวข้อธรรมท่ีปรากฏในหลักปฏิบัติเพ่ือ บรรลุธรรม เม่ือปฏิบัติตามหลักปฏิบัติท่ีปรากฏในภัทเทกรัตตสูตรอย่างสมบูรณ์ย่อมครอบคลุม หลักการปฏิบัติทั้ง ๓๗ ประการ ซ่ึงสามารถจัดเป็น ๑๔ องค์ธรรม โดยมีสัมมัปปธาน ๔ เป็นตัว ขับเคลื่อนให้องค์ธรรมที่เหลือทำหน้าท่ีอย่างสมบูรณ์ และเกือบทั้งหมดจะปฏิบัติการพร้อมกัน ในขณะบรรลุธรรม หากปฏิบตั ิตามหลักธรรมในภัทเทกรตั ตสตู รจะสามารถเปน็ ผ้บู รรลุธรรมได๒้ ๖ ๒๗) พระทรงยศ ยสธโร (ต้งั จิตพิทักษ์กุล) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวทิ ยานพิ นธ์เร่อื ง ศกึ ษาการ ปฏิบัตเิ พื่อบรรลุมรรคผลในปุณโณวาทสูตร ผลการศึกษาพบว่า ปุณโณวาทสูตรเป็นโอวาทของ พระพุทธองค์ที่แสดงแก่ พระปุณณะมีเน้ือหาหลักธรรมสำคัญ คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ อริยสัจ ๔ วิชชา ๓ คำว่า มรรคผล ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง โลกุตตรมรรค อันได้แก่ โสดาปัตติ มรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ผลในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง โลกุตตร ผล ได้แก่ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล สำหรับการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรค ผลท่ีปรากฏในปุณโณวาทสูตรนั้น ท่านพระปุณณะ ท่านได้เจริญสมถะก่อนท่ีจะเจริญวิปัสสนา เรียกว่าสมถยานิก จนจิตเข้าถึงฌานได้บรรลุวิชชา ๓ โดยอาศัยสมถะเป็นบาทฐานในการเจริญ วิปัสสนาและได้กำหนดอายตนะเป็นอารมณ์ในการ เจริญวิปัสสนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เพราะ อายตนะเป็นภมู ิหนึ่งของวิปัสสนา พระพุทธองค์ได้ให้โอวาทพระปุณณะโดยการช้ีให้เห็นอรยิ สัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และได้ช้ีให้เห็นคุณและโทษของอายตนะ ในการปฏิบัติต้องมีสติเข้าไป ระลกึ รู้ ถึงผสั สะกบั อารมณ์ท่ีมากระทบจากภายในและภายนอก พิจารณาให้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าไม่สามารถท่ีจะไปบังคับบัญชาหรือให้คงสภาพได้ อายตนะ ๑๒ คือ ตา หู จมูก ๒๖พระครูพิสิฐสรภาณ (นิรันดร์ ศิริรัตน์) , “การศึกษาวิเคราะห์หลักการปฏิบัติธรรมในภัทเทกรัตต สูตร” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖).
๕๕ ลนิ้ กาย ใจ เปน็ อายตนะภายใน รปู เสยี ง กล่ิน รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นอายตนะภายนอก เป็น องค์ธรรมที่สำคญั เพื่อใหป้ ัญญารู้รูป นามเกดิ ขน้ึ เรียกว่า วิปสั สนาภูมิ เพราะการปฏิบัติวิปัสสนา คือ การรู้รูปนามโดยความเป็นพระไตรลักษณ์สามารถขจัดอวิชชา ทาภพชาติให้สิ้นสุดได้ โดย กำหนดอายตนะเปน็ อารมณ์๒๗ ๒๘) พระวรมน ขนตฺ ิโก(วัดถุมา) (๒๕๕๔) ได้ศกึ ษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาสัมมัปปธาน ๔ อันเป็นองค์แห่งการบรรลุธรรม ผลการศึกษาพบว่า การบรรลุธรรม หมายถึง การบรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ จัดเป็นโลกุตตระ ในสัมมัปปธาน ๔ ที่เก้ือหนุนต่อการบรรลุธรรม พบว่าเป็นหลักธรรมท่ีประกอบด้วยองค์ ๔ เรียกว่าความเพียร และหลักธรรมนี้ มีปรากฏใน หลักธรรมอ่ืนๆ แต่ที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ซึ่งเป็น หลักธรรมแห่งการตรัสรูแ้ ล้วพบว่า ในหลักธรรมแต่ละหมวดจะประกอบด้วยความเพียรทุกหมวด อาทิ ในสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นหลักธรรมหมวดแรกในโพธิปกั ขิยธรรม มีหลักธรรมอยู่ ๓ ประการท่ี น่าสนใจ กล่าวคือ อาตาปี(ความเพียร) สติมา(สติ) และสมฺปชาโน (สัมปชัญญะ) จะเห็นได้ ว่าหน่ึงในสามของหลักธรรมที่อ้างมานี้ก็คือ ความเพียร ซึ่งในท่ีน้ีนับเนื่องเข้าในความเพียร ๔ ของสัมมัปปธาน ๔ ต่อมาเปน็ อิทธิบาท ๔ ซึ่งเป็นหลักธรรมที่อ้างถึงความเพียรในสัมมัปปธาน ๔ ด้วยเช่นกัน จากนั้นก็เป็นอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ซึ่งเป็นความเพียรที่อ้างเอาความเพียรใน สมั มัปปธาน เก่ียวกับโพชฌงค์- ๗ น้ัน วิริยะสัมมโพชฌงค์ อ้างเอาวิริยะในสัมมัปปธาน ๔ ด้วย และสุดท้าย อริยะมรรคมีองค์ ๘ ในสัมมาวายามะน้ัน ก็ต้องอ้างเอาความเพียร ๔ ใน สัมมัปปธานด้วยเช่นกัน ดังนั้นความเพียรจึงมีความสำคัญในการบรรลุธรรม ถ้าผู้ปฏิบัติขาด ความเพยี รแลว้ จะไมบ่ รรลธุ รรม แต่อยา่ งไรก็ตามความเพยี รท่เี รียกว่า สัมมัปปธาน จะเจริญงอก งามได้ ย่อมต้องอาศัยความสัมพันธ์ใน หมวดธรรมต่างๆ ของโพธิปักขิยธรรม จึงจะสร้างความ เจริญงอกงามไพบูลย์ได้ และคณุ ธรรมที่สมบรู ณ์เหล่าน้มี ีความสำคญั ตอ่ การสรา้ งสรรค์ชวี ิตที่ดงี าม และการเข้าถงึ จุดหมายสงู สุดของพระพทุ ธศาสนา๒๘ ๒๙) พระจิตตพัฒน์ โสภณปญฺโ ญ (กิจจาณัฏฐ์) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาปรากฏการณ์ของโอภาสในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ผล การศึกษาพบว่า โอภาสน้ีอาศัยศรัทธาเป็นบ่อเกิดดุจดังเรื่องที่ได้ยกมาแสดงข้างต้นน้ัน ความจริง แสงสว่างหรือโอภาส เป็นสิ่งท่ีคนมักเข้าใจผิดทไ่ี ปพบเห็นกันในธรรมชาตวิ ่าเป็นของวเิ ศษหรือบาง ๒๗พระทรงยศ ยสธโร (ตั้งจิตพิทักษ์กุล),“ศึกษาการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลในปุณโณวาทสูตร”, วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔). ๒๘ พระวรมน ขนฺติโก(วัดถุมา), “ศึกษาสัมมัปปธาน ๔ อันเป็นองค์แห่งการบรรลุธรรม”, วิทยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔).
๕๖ คนนั่งสมาธิแล้วเห็นแสงต่างๆแล้วคิดว่าเป็นของดีของวิเศษคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษท่ีได้พบแสง สว่างดังกล่าว ซ่ึงเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนแต่เป็นส่ิงที่ไม่ใช่โอภาสในทางวิปัสสนา เพราะเป็นแสง สว่างที่เกิดจากความเช่ือที่งมงาย ไร้สาระ ไร้เหตุผล แต่แสงสว่างที่เป็นวิปัสสนาน้ันเกิดจากความ ศรัทธาในเหตผุ ล อีกอย่างหน่ึงแสงสว่างที่เรียกวา่ โอภาสน้ีต้องเกดิ จากความศรัทธาในการปฏิบัติ ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ อย่างจริงจัง ต้ังแต่ ๗ วัน ๗ เดอื น ๗ ปี ผลท่ีไดร้ ับในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หมวดธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในช่วงเกิดสภาวญาณทางปัญญาโดยเฉพาะญาณที่ ๔ อย่าง อ่อนหรือเรียกว่า ตรุณอุทยัพพยญาณ ช่วงนเ้ี รียกว่าอารัทธวิปัสสนา ผู้เร่ิมวิปัสสนา ซ่ึงในชว่ งน้ีจะ พบสภาวธรรมแปลกๆ ๑๐ ประการ มีแสงสว่างเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งปัญญาที่รู้แจ้งรูปนามโดย ความเป็นไตรลักษณ์อย่างช่ำชอง จึงทำให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกวางเฉยในรูปนามเรียกว่า วิปัสสนุ เปกขา ถ้าบุคคลใดมีความยินดีพอใจในแสงสว่างเป็นต้นจนถึงความวางเฉยดังกล่าว ช่ือว่า ทำให้ วิปัสสนาเศร้าหมอง ความสำคัญของโอภาสท่ีเกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนา คือ ช่วยให้ค้นพบ วิปัสสนาญาณที่จริงเมื่อผ่านพ้นโอภาสไปแล้ว ดังหลักฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า วิปัสสนูปกิเลส ย่อมไม่เกิดแก่พระอริยสาวกผู้ได้บรรลุมรรคผลแล้ว แก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิดทาง บุคคลผู้ทอดทิ้ง กัมมัฏฐาน และบุคคลผ้เู กยี จครา้ นย่อหย่อนในการปฏิบัติ แต่จะเกิดขนึ้ เฉพาะแกโ่ ยคีผู้ปฏิบัติอย่าง ยิ่งยวด จนได้ชื่อว่า อารัทธวิปัสสกะ เท่าน้ัน ในด้านการปฏิบัติวิปัสสนาน้ันโอภาส เกิดจากการ เจริญวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติที่เน้นสติเป็นใหญ่ในการกำหนดระลึกรู้รูปนาม ซึ่งเมื่อขยายออกไปแล้วได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมปุ บาท ๑๒ ธรรมเหล่าน้ีเรียกว่า วปิ ัสสนาภมู ิ หมายถึง อารมณข์ องวิปัสสนา ท่ีชื่อว่า วิปสั สนา หมายถึง สภาวะการรู้แจ้งในอารมณ์ดงั กลา่ วโดยความเป็นของไม่เท่ียง เปน็ ทุกข์ และ ไม่ สามารถบังคับบัญชาได้ เมื่อผู้ปฏิบัติกาหนดรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์ได้อย่างชัดเจนเช่น ขันธ์ ๕ โดยลักษณ์ ๕๐ อย่างตามหลักทางศาสนา ก็จะเกิดความเชื่อม่ันศรัทธาในแนวทางการ ปฏิบัติดังกล่าว โดยมีสติระลึกรู้อยู่ในรูปนามท่ีเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาภาวนา ความศรัทธาใน พระรัตนตรัยจึงจนพบสภาวะของโอภาส คือ แสงสว่างอันเกิดจากความศรัทธาในแนวทางการ ปฏบิ ตั ติ ามหลักสติปฏั ฐาน ๔ คอื กาย เวทนา จติ และสภาวธรรม๒๙ ๓๐) พระครูปริยัติกาญจนโชติ (มานิตย์ ธมฺมโชโต) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษาจิตตวิสุทธิในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผลการวิจัยพบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาเป็นหลัก สำคัญในการนำตนให้พ้นจากทุกข์อันเป็นทางสายเอกสายเดียวเทา่ นั้นอันมีสติปัฏฐาน ๔ คือกายา ๒๙พระจิตตพัฒน์ โสภณปญฺโ ญ (กิจจาณัฏฐ์), “ศึกษาปรากฏการณ์ของโอภาสในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔), บทคัดยอ่ .
๕๗ นุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา จิตตวิสุทธิ (ความบริสุทธ์ิแห่ง จิต) หมายถงึ การชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ สรุป ได้แก่ ความบริสุทธิ์ของสมาธิ องค์ธรรมของ จิตตวิสุทธิ ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ในมหากุศลจิต มหากิริยา มหัคคตกุศล และ มหัคคตกิริยา จิตตวิสุทธิ น้ี ย่อมเกิดแกพ่ ระโยคาวจร ท่เี ป็นผู้ฝักใฝใ่ นการเจรญิ สมถะ เรยี กว่า สมถยานิกะ และผู้ เจริญวปิ ัสสนาล้วน เรยี กว่า วิปัสสนายานิกะ จิตตวิสทุ ธิ หรอื สมาธิวสิ ุทธ์ิ หมายถึง สมาธิขณะน้ัน ปราศจากนิวรณ์ มีกามฉันทนิวรณ์ เป็นต้น ไม่อาจอาศัยสมาธินั้นเป็นอารมณ์ได้ ได้แก่ เอกัคคตา เจตสิก ที่ตั้งอยู่ในอารมณ์ของสติปัฏฐาน หรือ นามธรรม รปู ธรรม ท่ีเป็นปัจจุบันอารมณ์การเจริญ วิปัสสนาภาวนา โดยมีสมถะเป็นบาท หรือ สมถยานิกะ เป็นแนวทางเพื่อให้เกิดจิตตวิสุทธิ โดยวิ สุทธิมรรค อรรถกถาได้สงเคราะห์ สมาบัติ ๘ วา่ เป็น จิตตวิสุทธิ คือ ยกขึ้นสู่อารมณ์ของวิปัสสนา ได้ คอื เป็นบาทของวิปัสสนาได้๓๐ ๓๑) พระครูปลัดศุภชัย ปริชาโน (ฉัตรคู่) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง อธิโมกข์ ในการปฏิบัติวปิ ัสสนาภาวนาตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ ผลการศึกษาพบวา่ สติปัฏฐาน ๔ ได้รูป ๑ กบั นาม ๓ ซ่ึงการปฏิบัติตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ ช่ือว่า ภาวนา ดงั หลักฐานท่ีปรากฏในคัมภีรอ์ รรถ กถาทีฆนิกายว่า ชื่อว่าการไม่ถูกต้องธรรมบางอย่างในกาย เวทนา จิต และธรรมท้ังหลายแล้ว ภาวนาย่อมไม่มี ดังนั้น การเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือ การระลึกรู้ในอารมณ์ของรูป-นาม ช่ือว่า การกำหนดรู้สัจจะ ๓ อันเป็นญาณชั้นโลกิยะเท่านั้น คือ การกำหนดรู้ทุกขสัจจ์ด้วยการกำหนดรู้ นามและรูป กระทำมาก่อนแล้วในทิฏฐิวิสุทธิ การกำหนดรู้สมุทยสัจจ์ด้วยการกำหนดรู้ปัจจัย กระทำมาแล้วในกังขาวิตรณวิสุทธิ การกำหนดรู้มัคค-สัจจ์ด้วยการจำกัดแต่เพียงมรรคโดยชอบ กระทำแล้วในมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความรู้ว่าทางและมิใช่ทางนี้ ชื่อว่า ได้เกิดวิปัสสนา เพราะการรู้แจ้งเห็นจริงว่า รูปนาม เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง และเป็นอนัตตา อธิโมกข์ หมายถึง ความตดั สินใจเชื่อโดยอาศยั วปิ ัสสนาญาณที่ดำเนินไป พบ สภาวธรรมวิเศษ ๙ ในอุปกิเลส ๑๐ ในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานน้ันอธิโมกข์ปรากฏ ในหมวดธัมมานุปัสสนา ซ่ึงตรงกับ หลักฐานในคัมภีร์ขุททกนิกายปฏิสัมภิทามรรคเร่ืองธัมมุทธัจจะ หมายความว่า อธิโมกข์ชื่อว่า อุทธัจจะ ท่านให้เหตุผลว่า ผู้ท่ีหลงใหลในธรรมวิเศษท่ีเป็นปรากฏการณ์ในอุทยัพพยญาณอ่อนๆ ซ่ึงเป็นปัญญาที่ยังไม่แก่กล้า ด้วยอำนาจแห่งความยินดีพอใจในผลของการปฏิบัติที่เกิดข้ึนกับตน จนเป็นเหตุให้วิปัสสนาญาณเศร้าหมองไม่ผ่องใส ความหลงใหล ในอมัคคะว่าเป็นมัคคะ ท่าน เรียกว่า ความฟุ้งซ่านในทางธรรม ซึ่งต่างจากความฟุ้งของคนทั่วไป ความฟุ้งนี้เป็นธรรมท่ี ละเอยี ดประณีตเป็นสงิ่ ทีร่ ู้ไม่ไดด้ ว้ ยการนึกคดิ พิจารณาใดๆ วธิ ีการปฏบิ ตั ิตอ่ อธิโมกข์ควรกำหนดรู้ ๓๐พระครูปริยัติกาญจนโชติ (มานิตย์ ธมฺมโชโต), “ศึกษาจิตตวิสุทธิในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา”, วทิ ยานพิ นธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔.
๕๘ สภาวะลักษณะของอธิโมกข์ว่า อาการที่เกิดข้ึนน้ีมีเพียงรูปนามว่า เป็นสิ่งไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และไม่มตี ัวตน เมือ่ กำหนดรู้บอ่ ยๆ มากๆ ดว้ ยสติสัมปชัญญะในรปู นามทางในทวารทั้ง ๖ คือ (๑) เวลาเห็นกำหนดว่า เหน็ หนอ (๒) เวลาไดย้ นิ เสียงกำหนดว่า ไดย้ ินหนอ (๓) เวลาได้กล่ินกำหนดว่า กลิ่นหนอ (๔) เวลาลิ้มรสกำหนดว่า รสหนอ (๕) เวลาถูกต้องสัมผัสกำหนดว่า ถูกหนอ และ (๖) เวลาคิดกำหนดวา่ คดิ หนอ ก็จะขา้ มพน้ สภาวะแหง่ อธโิ มกขไ์ ปได้๓๑ ๓๒) พระพงษ์สิทธ์ พาหิโย (เทพอารีนันท์) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษา หลักธรรมในอนุปทสูตรกับการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผลการศึกษาพบว่า อนุปทสูตรเป็นพระ สูตรที่พระพุทธองค์กล่าวถึงการบรรลุธรรมไปตามลำดับบทของพระสารีบุตร โดยหลักธรรมที่ ปรากฏในอนุปทสูตร คือ สภาวธรรมท่ีปรากฏในรูปฌานและอรูปฌาน เม่ือสงเคราะห์ สภาวธรรมเหล่าน้ันเข้าในอารมณ์ของวิปัสสนา ก็คือขันธ์ ๕ หรือรูปนาม การปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาท่ีปรากฏตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในรูป นามตามความเป็นจริง ซ่ึงอารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนาคือ วิปัสสนาภูมิ ๖ หรือรูปนาม และ วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาก็ คือ การเจริญสติปัฏฐาน โดยเป็นการพิจารณาเห็นกายในกาย การ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา การพิจารณาเห็นจิตในจิต และการพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ซ่ึง การกาหนดรู้ในฐานท้ัง ๔ น้ีเป็นการกำหนดวิปัสสนาตามหลัก สติปัฏฐาน จากการศึกษาพบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวหลักธรรมในอนุปทสูตรนี้ เป็นการกำหนดรู้สภาวธรรมในองค์ฌาน คอื การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแบบสมถยานิกะ เป็นการยกจิตออกจากฌานแลว้ พจิ ารณาองค์ฌาน โดยความเป็นพระไตรลักษณ์ พิจารณาเห็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปน้ัน เป็นการ กำหนดวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน โดยสงเคราะห์เข้าในหมวดเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานและ หมวดธมั มานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน๓๒ ๓๓) พระมหาณัชพล พนฺธ ญาโณ (นราวงษ์) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาวิเคราะห์อุเบกขาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ผลการศึกษา พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ การปฏิบัติท่ีเป็นไปตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน คอื การพจิ ารณาเห็นกายในกาย เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน คอื การพิจารณา ๓๑พระครูปลัดศุภชัย ปริชาโน (ฉัตรคู่), “อธิโมกข์ ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔). ๓๒พระพงษ์สิทธ์ พาหิโย (เทพอารีนันท์), “ศึกษาหลักธรรมในอนุปทสูตรกับการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา” วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔).
๕๙ เห็นเวทนาในเวทนา จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การพิจารณาเห็นจิตในจิต ธัมมานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน คือ การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม แม้ในพระไตรปิฏกจะมีเรื่องกล่าวถึง ผู้ฟังธรรมแล้ว บรรลุธรรมเมื่อฟังจบ แต่ไม่มีใครบรรลุธรรมโดยมิได้เจริญสติปัฎฐาน ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง ความจริงแล้วทุกคนต้องบรรลุธรรมด้วยการเจริญสติปัฎฐานอันเป็นทางสายเดียวน้ี เพราะ วิปัสสนาญาณและมรรคญาณ เป็นปัญญาที่เกิดจากการอบรมจิต เม่ือจิตระลึกรู้สภาวธรรม ล้วนๆ และมีสมาธติ ้ังม่ันอยู่ในสภาวธรรม ปัญญาท่ีเกิดร่วมกับ สตแิ ละสมาธิย่อมจะพัฒนาแก่กล้า ขึ้นตามลำดับปัญญา เรียกว่า ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาเกิดจากการอบรมจิต ผู้วิจัยได้ศึกษา พบว่า อุเบกขามี ๑๐ ประการด้วยกัน แต่ศึกษาเฉพาะกรณีอุเบกขาสัมโพชฌงค์ พบว่า โพชฌงค์ ๗ ประการ มีอุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นที่สุดนี้ มีความเก่ียวเนื่องกันตรงตามหลักในมหา สติปัฏฐานสตู ร ทฆี นิกายมหาวรรค พระพุทธองค์ตรัสหลักการปฏิบัติในเรอื่ งนี้วา่ ให้การกำหนดรู้ ธรรมในธรรม หมายความวา่ เมอื่ เกดิ สติกำหนดร้กู าย และใจ ๓๓ ๓๔) พระมหาญาณทัสน์ ฉฬภิญฺโ ญ (วงศ์กำภู) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาสภาวะรูปนามในการปฏิบัติในหมวดสัมปชัญญะบรรพ ในสติปัฏฐานสูตร ผลการศึกษา พบว่า หลักในหมวดสัมปชญั ญะบรรพในสติปัฏฐานสตู ร คือ หลักการปฏบิ ตั วิ ิปัสสนาภาวนา ซ่ึง เป็นการฝึกให้มีสติกำหนดรู้ในอิริยาบถทุกๆอิริยาบถ มีการก้าวไป ถอยกลับ การแล การเหลียว การเหยียด การคู้ การนุ่งห่ม การฉัน การดื่ม การถ่ายอุจจาระและถ่ายปัสสาวะ การเดิน เป็นต้น การกำหนดในอิริยาบถเหล่านี้เป็นการฝึกให้เกิดสัมปชัญญะ รู้เท่าทันอิริยาบถตามสภาพความ เป็นจริงสภาวะรปู ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง สภาวะที่มีความแตกดบั ไปเมอ่ื กระทบกบั วิโรธิ และไม่สามารถรับร้อู ารมณ์ใดๆ ได้เลย ในขันธ์ ๕ รูป หมายถึง รูปขันธ์ สภาวะของนาม หมายถึง สภาวะของจิตท่ีนอ้ มเข้าไปสู่อารมณ์ สามารถรับรู้อารมณ์ได้ ในขันธ์ ๕ นั้น รูปเป็นรูปขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเปน็ นามขันธ์ ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามหมวดสัมปชัญญะบรรพ นั้น ในข้ันต้นแห่งการปฏิบัติน้ัน ผู้ปฏิบัติจะเป็นการฝึกให้เกิดสติสัมปชัญญะ คือ รู้ทันอิริยาบถ ตามสภาพความเป็นจริงเมื่อผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดได้จดจ่อ ต่อเนื่องอย่างเท่าทันโดยละเอียด สมบูรณ์ทุกๆ การเคล่ือนไหวในอิริยาบถต่างๆ การทางานของสติในการพิจารณารูปและนามก็ ปรากฏชัดตามลำดับของวิปัสสนาญาณซึ่งจะทาให้ผู้ปฏิบัติเห็นสภาวะที่เกิดข้ึนของรูปนามตาม สภาพความเป็นจริง ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงมีปัญญาเห็นรูปและนามนั้นล้วนตกอยู่ในอำนาจของไตร ลักษณ์มีความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความเกิดขึ้น ต้ังอยู่และเส่ือมสิ้นไป ผู้ปฏิบัติ ๓๓ พระมหาณัชพล พนฺธ ญาโณ (นราวงษ์), “ศึกษาวิเคราะห์อุเบกขาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ตามแนวสติปัฏฐาน ๔”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๖๐ สามารถเห็นประโยชน์เห็นโทษของการเคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆเมื่อผู้ปฏิบัติมีปัญญาพิจารณารูป และนามอย่างน้ีผู้ปฏิบัติจะมีจิตบริสุทธิ์เป็นขั้นๆ ไปจนถึงบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในท่ีสุด โดย สรุปแล้ว อาการที่ปรากฏทางกายทั้งหมด เช่น อาการคู้ เหยียด เป็นต้นจัดเป็นรูป สภาวะท่ีเข้าไป รบั รู้อาการน้ันๆ เรียกว่า นาม ทั้งรูปและนามนี้ ล้วนต้ังอยู่ในไตรลกั ษณ์ คือความไมเ่ ที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนตั ตา๓๔ ๓๕) พระมานัส โสภณจิตฺโต (ชอบมี) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษาการ กำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผลการศึกษาพบว่า รูป คือ ธรรมชาติที่แตกดับ เม่ือว่าโดย ลักขณาทิจตุกะ คือ มีการสลายแปรปรวน เป็นลักษณะ มีการ แตกแยกกันเป็นกิจ (กับจิต) ได้เป็นกิจ มีความเป็นอัพยากตธรรมเป็นผล มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้ ส่วนนามเป็นธรรมชาติที่น้อมไปหาอารมณ์ เมื่อว่าโดยลักขณาทิจตุกะ คือ มีการรู้อารมณ์เป็น ลักษณะ มีการเกิดก่อนและเป็นประธานในธรรมทั้งปวงเปน็ กิจ มีการเกิดขึน้ ต่อเนือ่ งกันไม่ขาดสาย เป็นผล มีนามรูปเป็นเหตุใกล้ให้เกิดรูปนามเป็นหลักธรรมสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ถือว่าเป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาภาวนา สรุปแล้วเป็นบ่อเกิดของ ปัญญารูปนาม พระพุทธ องค์ตรัส ตา มอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ เช่นตรัสเป็น ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสจั ๔ ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ ทัง้ หมดน้ี เป็นอารมณ์ของวปิ สั สนาทั้งสน้ิ วญิ ญาณ ๖ คือ ความรู้ อารมณ์ทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ซึ่งจัดเป็นอายตนะ ๖ เป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปสั สนาภาวนา ความสุข ความทุกข์ หรืออารมณ์ทั้งมวล ล้วนอาศัยตา หู จมูกล้ิน กาย ใจ เป็นบ่อเกิดท้ังสิ้น ใน การ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเป็นการกำหนดอารมณ์ปัจจุบันขณะคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่เกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนเป็นสภาวะรปู นามท้ังส้ิน เพราะฉะน้ัน ใน การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาโดยอาศัยอารมณ์ที่เกิดข้ึน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ การเห็นรูป นามทีเ่ ป็นปัจจุบันขณะโดยความเป็นพระไตรลักษณ์๓๕ ๓๖) พระครูปลัดสุนทร สุนฺทโร (แซ่เตียว) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษา หลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแบบพอง – ยุบตามแนวการปฏิบัติของพระโสภณมหาเถระ ผล การศึกษาพบว่า วิปัสสนาภาวนา คือการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ซ่ึงการฝึกสติท่ีเข้าไป ๓๔พระมหาญาณทัสน์ ฉฬภิญฺโ ญ (วงศ์กำภู), “ศึกษาสภาวะรูปนามในการปฏิบัติในหมวด สัมปชัญญะบรรพ ในสติปัฏฐานสูตร”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔). ๓๕พระมานัส โสภณจิตโฺ ต (ชอบมี), “ศกึ ษาการกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ในการปฏบิ ัตวิ ิปัสสนา ภาวนา” วิทยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๖๑ ตั้งมน่ั อยู่ในอารมณ์ของสติปัฏฐาน ๔ อารมณ์ คือกายานุปสั สนา เวทนานุปัสสนาจิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ ทั้ง ๔ นี้สามารถสงเคราะห์ในรูปและนามคือ กายานุปัสส นาจัดเป็นรูป เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนาจัดเป็นนาม ธัมมานุปัสสนาจัดเป็นท้ังรูปและนาม โดยอาศัยองค์ธรรมท่ีสำคัญ คือ อาตาปี ได้แก่ความเพียร สติมา มีสติระลึกรู้สัมปชาโน ประกอบด้วยสมั ปชญั ญะ การปฏิบัตวิ ปิ ัสสนาภาวนาแบบพอง–ยุบ เปน็ วิธีการปฏิบัติท่คี ิดคน้ แนว ทางการเจรญิ โดยพระโสภณมหาเถระ หรอื (มหาสี สยาดอ) โดยท่านคน้ พบวิธีเจริญวิปัสสนาแบบ พอง-ยุบ ตามหลักฐานที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร กายานุปัสสนา หมวดธาตุมนสิการปัพพะ วา่ ด้วย วาโยธาตุปัพพะ คือ การพิจารณาธาตุลม เป็นลมในท้องที่ดันลมให้พองออกและยุบลง โดยความเปน็ รปู และนาม พิจารณารูปนามโดยความเปน็ พระไตรลกั ษณ์๓๖ ๓๗) พระมหาสามารถ อธิจิตฺโต (มนัส) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษาการ บรรลุธรรมด้วยการเจริญอานาปานสติในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า การบรรลุธรรมในคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท คือ การบรรลุ โลกุตตรธรรม ๙ รแู้ จ้งแทงตลอด อริยสัจ ๔ ในขณะมรรคจิตตามกำลังของมรรค สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ โดยการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา เจริญสมถะ และวิปัสสนา ตามหลักการเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือ การกำหนดรรู้ ปู และนามให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ตามความเป็นจริง เมื่อวิปัสสนาญาณแก่กล้าดำเนินตามวิปัสสนาวิถี ผู้ปฏิบัติสามารถรู้แจ้งแทง ตลอดอริยสัจ ๔ สามารถละสังโยชน์และอนุสัยได้ตามกำลังของมรรค บรรลุมรรคผลนิพพาน สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคตรัสการเจริญอานาปานสติอย่าง พสิ ดารไว้ ๑๖ ข้ัน ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท อานาปานสติเป็นการเจริญวปิ ัสสนามีสมถะ เป็นพื้นฐานแบ่งเป็น ๔ จตุกกะ เม่อื เจรญิ ให้มากแล้วสตปิ ัฏฐาน ๔ ย่อมบริบูรณ์ไปพร้อม ๆ กัน สติปฏั ฐาน ๔ เจริญให้มากแล้วย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บรบิ ูรณ์ โพชฌงค์ ๗ เจริญให้มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ อานาปานสติเป็นวิถีทางการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ และโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เม่ือบรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะหลุดพ้นจากราคะด้วยเจโต วมิ ุตติและจากอวิชชาดว้ ยปัญญาวมิ ตุ ติ๓๗ ๓๖พระครูปลัดสุนทร สุนฺทโร (แซ่เตียว), “ศึกษาหลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแบบพอง – ยุบตามแนว การปฏิบัติของพระโสภณมหาเถระ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔). ๓๗พระมหาสามารถ อธิจิตฺโต (มนัส), “ศึกษาการบรรลุธรรมด้วยการเจริญอานาปานสติในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔).
๖๒ ๓๘) พระครูพิศิษฏ์ชัยโชติ (สำรวย โชติวโร) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษา วิริยะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผลการศึกษาพบว่า วิริยะ หมายถึง ความเพียร ๔ อย่าง ตรงกับบาลีว่า ปธาน หรือ เรียก สัมมัปปธาน ๔ คือ สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปใหม่ เกิดข้ึน ปหานปธาน เพียรละบาปเก่า ภาวนาปธาน เพียรเจริญให้กุศลเกิดข้ึน และอนุรักขนา ปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดข้ึนแล้ว วิริยะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ สัมมาวายามะ ความ เพียรชอบ อันได้แก่ สัมมัปปธาน ๔ เป็นเคร่ืองประกอบในการกำหนดสติพิจารณาในกาย เวทนา จิต และธรรม เพ่ือให้เกิดปัญญารู้แจ้งรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์ เป็นการเห็นด้วยอัตตปัจ จักขญาณ คือรู้ประจักษ์ตามความเป็นจริงจากการปฏิบัติของตนเอง การกำหนดสติพิจารณาน้ัน จะต้องประกอบด้วยองค์แห่งวิปัสสนา คือ ๑) อาตาปี ความเพียรเป็นเคร่ืองเผากิเลส ๒) สัมปชาโน มีปัญญาหยั่งเห็น ๓) สติมา มีสติ อยู่ทุกขณะ แห่งการกำหนดรู้อันจะทำให้กำจัด เสียได้ซ่ึงอภิชฌาและโทมนัส ในการใช้ความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ถ้าเคร่งตึงจนเกินไปก็ทำให้ใจฟุ้งซ่านหาสำเร็จกิจไม่ แต่ถ้าหย่อนเกินไปก็ เกียจคร้านง่วงนอน ด้วยเหตุน้ีจึงควรปรับอินทรีย์คือ วิริยะกับสมาธใิ ห้เสมอกัน เพราะว่า หาก วิริยะมากสมาธิอ่อน ผู้ปฏิบัติจะฟุ้งซ่าน แต่หากสมาธิมากความเพียรอ่อนผู้ปฏิบัติจะเกียจคร้าน ส่วนการปรับศรัทธากับปัญญาต้องให้เสมอกัน เพราะถ้าศรัทธามากปัญญานอ้ ยผู้ปฏิบัตจิ ะศรทั ธา อย่างเดียวไม่มีปัญญาพิจารณาพระไตรลักษณ์ แต่ถ้าปัญญามากศรัทธาอ่อนผู้ปฏิบัติมักจะไม่ อยากเชื่อครูอาจารย์ ดังน้ัน ผู้ปฏิบัติจึงต้องใช้วิริยะ คือ ความเพียรท่ีพอดี ไม่ตึงไม่หย่อน เกนิ ไป และปรบั อนิ ทรียใ์ ห้สมดลุ ย์กัน จงึ จะประสบผลสำเรจ็ ในการปฏิบัตวิ ปิ สั สนาภาวนา๓๘ ๓๙) พระครูสมุห์เกิด ปุญฺ กาโม (ดานขุนทด) (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาเวทนาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ผลการศึกษาพบว่า การ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ มีสติกำหนดพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งจะต้องมีธรรมประกอบด้วยกันในการกำหนดพิจารณา ๓ ประการ คือ ความเพียรเผากิเลส (อาตาปี) มีความรู้ตัว (สัมปชาโน) มีความระลึกในปัจจุบันอารมณ์ (สติ มา) เม่ือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างจดจ่อตอ่ เนื่อง ยอ่ มสามารถรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะรูปนาม ที่ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เวทนา คือ การเสวยอารมณ์หรือความรู้สึก ในสังยุตตนิกาย ขัน ธวารวรรค พระพุทธองค์ตรัสวา่ เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์บ้าง เพราะเสวย จึงเรียกว่า เวทนา ในการเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลายอยู่ ด้วยความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ย่อมกำจัดอภิชฌา ๓๘ พระครพู ิศิษฏ์ชัยโชติ (สำรวย โชติวโร), “ศึกษาวิริยะในการปฏิบัติวปิ สั สนาภาวนา”, วิทยานพิ นธ์ พุทธศาสตรมหาบณั ฑติ , (บณั ฑิตวทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๖๓ และโทมนัสในโลกเสียได้ กล่าวโดยการปฏิบัติ คือ มีสติระลึกรู้ เฝ้าสังเกตพิจารณาความรู้สึก ภายในกายและใจ ท่ีเป็นสุข เป็นทุกข์ และไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ตามท่ีปรากฏจริงโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา เพ่ือให้เห็นว่าเวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เม่ือพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายตามความจริงท่ีปรากฏ ย่อมสามารถถ่ายถอนความยึด มั่นถอื มัน่ ในอารมณท์ ั้งทีช่ อบใจและไมช่ อบใจได้๓๙ ๔๐) บุญเรือง ทิพพอาสน์ (๒๕๕๔) ไดศ้ ึกษาวทิ ยานิพนธ์เรอ่ื ง ศึกษาการสอนสตปิ ฏั ฐาน ๔ ตามแนวทางของโคเอ็นก้ากับพระไตรปิฎก ผลการศึกษาพบว่า การสอนสติปัฏฐาน ๔ ใน พระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นวิธีการเดียวเท่าน้ันที่จะยังบุคคลผู้ปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานให้สามารถไปสู่เป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาได้ คือ การดับทุกข์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพและโดยสิ้นเชิง แม้ว่าระยะเวลาในการปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันบ้างซึ่งก็ ข้ึนอยู่กับเหตุปัจจัยภายในตัวผู้ปฏิบัติและปัจจัยแวดล้อมภายนอก สรุป สติปัฏฐาน ๔ ประการ คือ (๑) กายานุปัสสนา การพิจารณากายในกาย (๒) เวทนานุปัสสนา การพิจารณาเวทนาใน เวทนา (๓) จิตตานุปัสสนาการพิจารณาจิตในจิต (๔) ธัมมานุปัสสนา การพิจารณาธรรมในธรรม โดยผู้พิจารณานั้นจะต้องมีองค์พิจารณาอยู่เนืองๆ ๓ ข้อ คือ จะต้องมีความเพียร (อาตาปี) มีสติ ระลึกรู้อยู่เสมอ (สติมา) และสัมปชัญญะ (สัมปชาโน ความร้สู ึกตัวทุกขณะ) คอยกำกับ ซ่ึงเป็น เคร่ืองมือสำคัญอย่างยิ่งยวด หากบุคคลปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว ผลท่ีได้ก็คือ สามารถที่จะ กำจดั หรือทำลายอภชิ ฌาและโทมนสั ทง้ั ปวงออกไปจากจติ ใจของตนเองได้ การสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทของโคเอ็นก้า พบว่า การ สอนวิปัสสนากรรมฐานในพระไตรปิฎก เบื้องต้นเป็นการกล่าวถึงเป้าหมายสูงสุดหรือผลสัมฤทธ์ิ ของการปฏิบัติว่าผู้ที่ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ พึงบรรลุถึงความหลุดพ้นแห่งทุกข์ทั้งปวงไปได้ ด้วยการพิจารณาในกาย เวทนา จิตและธรรม แต่ข้ันตอนในการสอนน้ัน ไม่ได้เรียงไว้ตามลำดับ บุคคลพงึ ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ หมวดใด หมวดหนึ่งกอ่ นหรือหลังกไ็ ด้ ท้ังนี้ กระบวนการถ่ายทอด วิปัสสนาของพระพุทธองค์จึงเป็นธรรมชาติมากท่ีสุดไม่ได้ปรุงแต่งหรือมีพิธีกรรมใดๆ มาเก่ียวข้อง ส่วนแนวทางการสอนวิปัสสนาของโคเอ็นพบว่า ไม่มีข้ันตอนท่ีซับซ้อนและไม่มีพิธีกรรมมา เก่ียวข้อง เพียงแต่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน พึงสำเหนียกกำหนดรู้ในสตปิ ัฏฐาน ๔ อย่างใดอยา่ ง หนึ่ง เช่น กำหนดรู้ในอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้าและออก แต่ไม่ต้องมีคำบริกรรม เม่ือผู้ปฏิบัติ จนชำนาญแล้ว ก็จะเกดิ ปฏิเวธธรรมขึ้นมาภายในเป็นเรื่องเฉพาะตน ระยะเวลาที่ใช้ฝึกวิปัสสนามี หลักสูตร ๓ วันและ๑๐ วันเหมาะแก่ทุกเพศทุกวัย แต่เม่ือพิจารณาจากเป้าหมายในการปฏิบัติ ๓๙พระครูสมุห์เกดิ ปุญฺ กาโม (ดานขุนทด), “ศึกษาเวทนาในการปฏิบัติวปิ ัสสนาภาวนาตามหลักสติ ปัฏฐาน ๔”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๔).
๖๔ วิปัสสนาแล้วเหมือนกันท้ังในพระไตรปิฎกและของโคเอ็นก้า คือ การแก้ปัญหาให้ตนเองได้และ สามารถทจี่ ะหลดุ พ้นจากทุกขท์ งั้ ปวงได้๔๐ ๔๑) พลกฤษณ์ โชติศิริรัตน์ (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์การ รักษาโรคด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิจธมฺโม) ผลการศึกษาพบว่า “โรค” มีความหมายตามคัมภีร์พระไตรปิฎกว่า “ความเสียดแทง”โดยมี สมุฏฐานในการเกิดโรค ๘ สมุฏฐาน ประกอบด้วย ธาตุสมุฏฐาน อุตุสมุฏฐาน อายุสมุฏฐาน สตั วสมุฏฐาน วิธีสมุฏฐาน อาหารสมุฏฐาน จิตสมุฏฐาน และกรรมสมุฏฐาน นับเป็นพื้นฐานใน การวิเคราะห์สาเหตุในการเกิดโรคในปัจจุบัน ทำให้สามารถรักษาโรคได้อย่างถูกต้อง วิธีการ รกั ษาโรคในคัมภีร์พระไตรปิฎก แบ่งออกเป็น ๔ วิธีการ ได้แก่ การรักษาโรคด้วยสมุนไพร ทั้งจาก พืช สัตว์ และแร่ธาตุ, การรักษาโรคด้วยเทคนิค ประกอบด้วยการดัดกาย การนวดการปล่อยอสุจิ การนัตถ์ุยา การทายา และการผ่าตัด, การรักษาโรคด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ และการรักษา โรคด้วยการบำเพ็ญเพียรทางจิตมหาสติปัฏฐานสูตร เปน็ วิธกี ารบำเพ็ญเพียรทางจิต เป็นการฝึก เจริญสติพิจารณาให้รู้เท่าทันและรู้แจ้งในทุกข์ เมื่อเจริญสติได้ถึงพร้อม จะเกิดปัญญาในการ พจิ ารณาเหน็ ความจริง จนเกดิ ความเข้าใจและยอมรบั ในสภาวะท่ีตนเป็นอยู่ เกดิ การปล่อยวาง ไม่ ยึดติดในความรู้สึกท่ีเกิดขึ้น ทำให้เกิดความสงบสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่งผลถึงสุขภาพของ ร่างกาย เมื่อทำการศึกษาผลทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตาม แนวทางของพระธรรมสิงหบุราจารย์ ซึ่งเป็นไปตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตรน้ัน มีผลลดอัตราการ เต้นของหัวใจและความดันโลหติ ช่วยเพ่ิมการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะตา่ งๆ สามารถควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยเพ่ิมปริมาณออกซิเจนในร่างกาย มีผลทำให้ความเครียดลดลง และ ช่วยเพิ่มระดับภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้มีส่วนสำคัญอย่างย่ิงในการร่วมรักษาโรคหัวใจและ หลอดเลอื ดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคทางจิตเภท นอกจากนยี้ งั มีผลปรับเปล่ียนทศั นคติของ ผู้ป่วย ทำให้มีสติและปัญญาพิจารณาในโรคท่ีตนเป็นอยู่ เกิดการยอมรับและเข้าใจจนเกิดความ สงบ มีความรูส้ กึ เปน็ สุขภายในจติ ใจ เป็นผลให้คุณภาพชวี ติ ผปู้ ่วยดขี ึ้นได้๔๑ ๔๒) สุเมธ โสฬศ (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาเคร่ืองมือจำแนก จริตท่ีเหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐาน ผลการศึกษาพบวา่ สติปัฏฐานเป็นธรรมะทีม่ ีความสำคัญ ๔๐ บุญเรือง ทิพพอาสน์, “ศึกษาการสอนสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางของโคเอน็ ก้ากับพระไตรปิฎก”, วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑติ , (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔) . ๔๑ พลกฤษณ์ โชติศิริรตั น์, “การศกึ ษาวเิ คราะหก์ ารรักษาโรคดว้ ยวิปสั สนากัมมัฏฐานตามแนวทางของ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิจธมฺโม)” ,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔).
๖๕ สูงสุดหมวดหนึ่งในพระพุทธศาสนาในฐานะทางเอกสายเดียวท่ีมุ่งตรงสู่นิพาน สติปัฏฐานมี๔ หมวดใหญ่ ๒๑ หมวดย่อย โดยได้รวบรวมแนวทางทั้งหมดในการเจรญิ สติท่เี หมาะกับทุกจริต แม้ สติปัฏฐานจะมีหลายหมวด แต่พบว่าการเจริญสติปัฏฐานเพียงหมวดเดียว หรอื หมวดย่อยเดียวก็ สามารถทำให้บรรลุธรรมได้เชน่ กัน จึงไมจ่ ำเป็นที่ต้องทำให้ครบทุกหมวด และพบว่า สติปัฏฐาน ๔ หมวด เหมาะสำหรับคน ๔ ประเภท (๑) คนประเภทตัณหาจริตมีปัญญาไม่แก่กล้า เหมาะกับ การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๒) คนประเภทตัณหาจริตมีปัญญาแก่กล้า เหมาะกับการ เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๓) คนประเภททิฏฐจิ ริตมปี ัญญาไม่แก่กล้า เหมาะกับการเจริญ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (๔) คนประเภททิฏฐิจริตมีปัญญาแก่กล้า เหมาะกับการเจริญ ธรรมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน การจำแนกคนเป็นประเภทตา่ งๆ ในพระพุทธศาสนานน้ั สามารถ จำแนกได้ ๓ แนวทางหลักคือ (๑) แนวทางจริต ๖ เป็นการจำแนกเพื่อการเจริญสมถกรรมฐาน (๒) แนวทางจริต ๒ เป็นการจำแนกเพื่อการเจริญสติปัฏฐาน และ (๓) แนวทางอื่นๆ ใช้เพื่อ ประโยชนใ์ นการวางแนวทางและวิธีสอนธรรมะ งานวจิ ัยพบว่ามีสาเหตมุ าจากความเคยชินในอดีต แต่สามารถปรับเปล่ียนโดยการฝึกฝนได้ กรรมฐานท่ีเหมาะกับจริตจะต้องทำให้เกิดความสบาย เป็นทพ่ี ึงพอใจของผ้ฝู ึก และเมือ่ ฝึกแล้วเกดิ ความสุข ซ่ึงเป็นเหตุให้จิตตั้งมน่ั เป็นสัมมาสมาธิได้ง่าย และเม่ือจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้เกิดปัญญารู้จังธรรมได้ในที่สุด ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ ความรู้จากเรือ่ งสตปิ ัฏฐานและเร่อื งจริตนำมาสร้างเคร่ืองมือจำแนกจรติ ที่เหมาะสมในการเจริญ สติปัฏฐาน โดยมีการสร้างเครื่องช้ีวัดขึ้น ๓ ชุดคือ (๑) เคร่ืองมือช้ีวัดจริต๒ (๒) เคร่ืองชี้วัดความ แก่กล้าของปัญญา (๓) เครื่องชี้วัดจริต ๖ พร้อมทั้งแบ่งจำลอง หลังจากน้ันได้วัดแนวความคิด ดังกล่าวไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคณุ วุฒิและนำมาปรับปรุงใหม่จนได้เครือ่ งมือจำแนกจริตที่เหมาะสมใน การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน พรอ้ มแบบสอบถาม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปฏบิ ัตหิ าแนวทางการเจริญสตปิ ัฏฐาน ท่ี เหมาะสมกับตนเองได้ ผู้วจิ ัยแนะนำให้ผู้ปฏิบัติ เลือกเจรญิ สติปัฏฐานในหมวดท่ีเหมาะสม กับจริต ๖ และความแก่กล้าของปัญญาตนท่ีวัดได้จากเคร่ืองมือจำแนกจริต และอาจเสริมด้วย การเจริญสมถกรรมฐานท่ีเหมาะสมกับจริต ๖ และนำสติปัฏฐานมาประยุกต์ใช้เจริญเนืองๆ ใน ชีวติ ประจำวนั เพื่อให้ได้ผลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพในท่สี ุด๔๒ ๔๓) กมั ปนาท พทุ ธปวรางกรู (๒๕๕๔) ไดศ้ ึกษาวทิ ยานิพนธ์เรือ่ ง ศึกษาธมั มนานุปัสสนา ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า ธมั มานุปัสสนาในพระพุทธศาสนา คือ การมีสติ พิจารณาเห็นธรรมตามความเป็นจรงิ ทัง้ หมด ๕ หมวด คือ (๑)นิวรณ (๒) ขันธ์ (๓) อายตนะ (๔) โพชฌงค์ (๕) สัจจะ ย่อหมวดธัมมานุปัสสนา ให้เหลือเพียงลักษณะของรูป-นาม หรือ ขันธ์ ๕ ก็ ๔๒ สุเมธ โสฬศ, “การศึกษาเครอื่ งมือจำแนกจริตที่เหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐาน”, วิทยานิพนธ์ พทุ ธศาสตรดุษฎีบณั ฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๖๖ เพ่ือให้เห็นตามความเป็นจริงของกฎไตรลักษณ์ เพ่ือจุดมุ่งหมายทำอาสวะ (กิเลส ตัณหา อุปทาน) ให้สิ้นไป และละวิปลาสท่ียึดถือว่าเป็นอัตตา หรือเพื่อกำจัดอภิชฌาและโทมนัสให้ส้ินไป วิธีการเจริญธัมมานุปัสสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาทก่อนลงมือเจริญในหมวดธัมมานุปัสสนา นั้น ควรเลือกสถานท่ีในการเจริญธัมมานุปัสสนาให้เหมาะสมตามหลักอิทธิบาท ๔ และควร หลีกเลี่ยงอุปสรรคท่ีขัดต่อองค์ความรู้ของหมวดธัมมานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นธรรม) และให้ เข้าใจวิธีการเจริญธัมมานุปัสสนาการพิจารณาให้เห็นธรรมในหมวดธรรมทั้ง ๕ ประการ (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ์) ให้เห็นสภาวธรรมตามเป็นจริงของหลักธรรมของธัมมานุปัสส นาก็เพอื่ ละ(ตณั หาและทิฎฐ)ิ และไมย่ ดึ ม่ันถือมน่ั ความสำคญั และผลการเจรญิ ธัมมานุปัสสนาเพ่ือ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้การพิจารณาองค์ธรรมของหมวดธัมมานุปัสสนา (นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจจ)์ ให้เข้าใจแล้ว นำไปประพฤติเพ่อื ใหเ้ กดิ สมถะเพื่อทำจติ ให้สงบ และ เจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อให้รู้แจ้ง รูช้ ัด รู้เหตุ รผู้ ล รู้ผิด รู้ถูก ดีหรือชั่ว รู้เห็นตามความเป็นจริง จึง นำไปใช้กับตน ครอบครวั และสงั คม๔๓ ๔๔) พยุง พุ่มพวง (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาปัญญาเจตสิกกับการ พัฒนาสัมปชัญญะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผลการศึกษาพบว่า ปัญญาเจตสิกธรรม คือ ธรรมชาติที่รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริงเม่ือว่าโดย ลักขณา ทิจตุกกะ คือ มีการรู้แจ้งซ่ึง สภาวธรรม เป็นลักษณะมีการกำจดั ความมืด (อโมหะ) เป็นกิจ มีความไม่หลง (ติดอยู่) เป็นผล มี สมาธิ เป็นเหตุใกล้ ปัญญามีประโยชน์ต่อการการบรรลุธรรมปัญญาทางพระพุทธศาสนาเป็น ปัญญาขั้นสูงสุด คือ ปัญญาระดับภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เข้าไปรู้ทุกข์หรือการกำหนดรู้ ทุกข์ การไม่รู้ทุกข์จัดเป็นอวิชชา เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง และทุกข์ ตามพุทธประสงค์ ได้แก่ ทุกขสัจหรือทุกขอริยสัจ การกำหนดรู้ทุกข์ เพ่ือละสมุทัย ทำนิโรธให้แจ้ง ทำมรรคใหเ้ กิดขนึ้ และบรรลอุ รยิ สจั แจง้ พระนพิ พานในทสี่ ุด สมั ปชัญญะตรงกับภาษาบาลีว่า “สมฺปชาโน” คอื ความรู้สกึ ตัว เปน็ ความรู้สกึ ตัวขณะ กำหนดรู้ชัดซึ่งอารมณ์รูปธรรมและนามธรรมที่เป็นปัจจุบัน ได้แก่ สัมปชัญญะ ๔ คือ (๑) สาตถกสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ชัดซึ่งอารมณ์ที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ (๒) สปั ปายสมั ปชัญญะ การกำหนดร้ชู ัดซ่ึงอารมณท์ ่เี ป็นสัปปายะ (๓) โคจรสมั ปชัญญะ การกำหนด รู้ชัดซ่ึงอารมณ์กรรมฐาน (๔) อสัมโมหะสัมปชัญญะ การกำหนดรู้ชัดซ่ึงอารมณ์ทุกขณะโดยไม่ หลงสัมปชัญญะมคี วามสำคัญมากตอ่ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เพราะความรู้สกึ ตัวของผู้ปฏิบตั ิมี มากยิ่งข้ึนเท่าไร ก็สามารถรับอารมณ์ปัจจุบันมากข้ึนเท่านั้น และประโยชน์ของปัจจุบันอารมณ์ ๔๓ กมั ปนาท พุทธปวรางกูร, “ศึกษาธมั มนานุปสั สนาในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท”, วิทยานพิ นธ์พุทธ ศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔).
๖๗ ได้แก่ การทำลายอภิชฌาและโทมนัส การเจริญสติปัฏฐานนั้น จุดประสงค์อันสำคัญเพ่ือทำลาย อภชิ าและโทมนัส ความสมั พันธ์ระหวา่ งปัญญาเจตสิกกบั การพัฒนาสัมปชัญญะในการเจริญวปิ ัสสนาภาวนา นั้น อาตาปี สัมปชาโน สติมา หรือ ความเพียร สัมปชัญญะ สติ ทำหน้าท่ีพิจารณาอารมณ์ กรรมฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม (รูป-นาม) สัมปชาโน หรือสัมปชัญญะ มีองค์ธรรม ได้แก่ ปัญญาเจตสิก หรือ เป็นปัญญาที่ในสัมปชัญญะ ๔ ทำหน้าที่เป็นปัญญา ธรรมทั้งสามเมื่อสรุปลง แล้วคือ ศีล สมาธิ ปัญญา จะเห็นได้ว่าสัมปชัญญะและปัญญาเจตสิกเป็นธรรมอันเดียวกัน ด้วย อำนาจปัจจัยแล้วสัมปชัญญะก็ คือ ปัญญาเจตสิกแต่ยังมีกำลังอ่อนอยู่ เม่ือพัฒนาหรือมีกำลังแก่ กล้าแล้ว จึงพัฒนามาเปน็ ปัญญา ดังน้นั สรปุ ไดว้ ่า สมั ปชัญญะ เป็นช่อื ของปญั ญา คอื ความรู้สึกตัว ท่ีเกิดขึ้นจากการกำหนดรู้รูปนามที่กำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเป็นอารมณ์ (อารมณ์ปัจจุบัน) ส่วน ปัญญา คือ ธรรมชาติท่ีเห็นแจ้งตามสภาวธรรมตามความเป็นจริง ธรรมทั้งสองทำกิจหน้าที่ เดียวกนั คือ คือ ร้ปู ัจจุบัน รู้รปู นาม รู้พระไตรลกั ษณ์ รู้มรรค ผล นิพพาน๔๔ ๔๕) พระวงศ์แก้ว วราโภ (เกสร) (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง การศึกษา เปรียบเทียบการปฏบิ ัตกิ รรมฐานของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) กับพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ผลการศึกษาพบว่า พระโพธิญาณเถรให้ความสำคัญต่อการรักษาศีลาจาร วตั รมาก เพราะศีลหรือพระวินยั เป็นวถิ ีสรา้ งชุมชนสงฆใ์ ห้เกิดความสงบเรยี บร้อย อีกท้ังยังส่งเสริมการ ปฏิบตั ิกรรมฐานดว้ ย ท่านปฏิบัติโดยการบริกรรมว่า “พุทโธ” มีลกั ษณะเป็นอานาปานสติ เพราะไมท่ ิ้ง สติในการปฏิบัติ ท่านปฏิบัติธรรมแบบไม่แบ่งแยกประเภทธรรม เป็นการปฏิบัติแบบเชื่อมโยงหรือ สัมพันธ์กัน หรืออาจกล่าวได้ว่า ใช้สติพัฒนาสมาธิให้ก้าวไปสู่ปัญญา ส่วนพระธรรมวิสุทธิมงคลมี ทศั นะตอ่ วนิ ัยว่า พระวนิ ัยเปรียบเหมือนรั้วกั้นไม่ให้ขา้ มเข้าไปขา้ งในได้ง่าย ส่วนพระธรรมเป็นทาง ปฏิบัติสายกลางในการปฏิบัติ เมื่อนำแนวคำสอนเกี่ยวกับการปฏิบัตมิ าเปรียบเทียบกนั จะเหน็ ว่า มีลักษณะใกล้เคียงกัน เพราะท่านทง้ั สองถอื ปฏิบัติตามสายหลวงปมู่ ั่น ภูริทตฺโต แม้การปฏิบตั ิตาม หลกั วิปัสสนากม็ ีลักษณะใกล้เคียงกนั วิธีการปฏิบัติในอิริยาบถยืนของหลวงพ่อชามีลักษณะเป็น อานาปานสติ คอื มสี ติกำหนดลมหายใจในอิรยิ าบถยนื สว่ นวธิ กี ารของหลวงตามหาบวั มีลกั ษณะ เหมือนกายคตาสติในอิริยาบถยืน วิธีการเดินจงกรมของท่านท่ีเหมือนกัน คือ กำหนดกาย คือ กิริยาเดินหรือกำหนดพิจารณาบทธรรมก็ได้ แต่วิธีของพระธรรมวิสุทธิมงคลมีความเป็นทางการ กว่าในเชิงธรรมเนียมปฏิบัติ คือ มีการประนมมือระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยและผู้มีพระคุณก่อน พระธรรมวิสุทธิมงคล มีการกล่าวถึงการปฏิบัติในอิริยาบถนอนด้วย แต่ไม่ได้ส่งเสริมการปฏิบัติใน ๔๔พยุง พุ่มพวง, “ศึกษาปัญญาเจตสิกกับการพัฒนาสัมปชัญญะในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔) .
๖๘ อิริยาบถน้ี เพราะเป็นเหตแุ ห่งความเกียจคร้าน ส่วนพระโพธิญาณเถร ห้ามปฏบิ ัติในอิรยิ าบถนอน ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาในการปฏิบัติ พบว่า พระโพธิญาณเถร ท่านสอนเก่ียวกับปัญหาการ ปฏิบัติในระดับพื้นฐานคือการกำหนดลมหายใจและความง่วง โดยเฉพาะความง่วงนั้นท่านสอนให้ แก้ไขด้วยการปรับอินทรีย์ส่วนพระธรรมวิสุทธิมงคล สอนถึงปัญหาและวิธีแก้ปัญหาท้ังใน ระดับพื้นฐานและระดับสูง เช่น วปิ ัสสนูปกเิ ลส เป็นตน้ ซ่ึงต้องแก้ไขด้วยการพจิ ารณาให้เห็นด้วย ปัญญาตามหลักไตรลักษณ์พระโพธิญาณเถร ปฏิบัติแบบเช่ือมโยงกันแห่งองค์ไตรสิกขา มี ลักษณะเป็นอานาปานสติในรูปแบบการบริกรรมว่า พุทโธ เพราะใช้สติกำหนดลมหายใจและ พิจารณาสภาวะเพ่ือยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ส่วนพระธรรมวิสุทธิมงคล มีจริตนิสัยไปในทางสมถะ ทา่ นฝึกสมาธิจนมั่นคงหนักแน่นและสามารถอยู่ในสมาธิไดน้ าน ท่านมคี วามสุขอย่างย่ิงจากที่จิตใจ ไม่ฟงุ้ ซ่านและติดอยู่ในสมาธนิ านถึง ๕ ปี ไม่ก้าวหนา้ สู่ขนั้ ปัญญาได้เลย จนกระท่ังได้รับการเตือน ใหล้ ะการติดสุขในสมาธจิ ากหลวงปู่ม่ัน ทา่ นจึงไดเ้ รมิ่ พิจารณาทางดา้ นปัญญาในทสี่ ดุ ๔๕ ๔๖) พระมหาอาคม สุมงฺคโล (คุณสถิต) (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง ศึกษา หลักการเจริญจตรุ ารักขกมั มัฏฐานในคมั ภีรพ์ ุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า กัมมัฏฐาน ๔ หมวด คือ ๑) พุทธานุสสติ การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ๒) อสุภกัมมัฏฐาน การพิจารณา รา่ งกายตนและผู้อื่น ว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม ๓) มรณานุสสติ นึกถึงความตายอันจะมแี กต่ นเป็น ธรรมดา ๔) การเจริญเมตตา การแผ่ไมตรจี ติ คดิ จะให้สัตว์ทงั้ ปวงเป็นสุขทวั่ หนา้ ได้ชื่อว่าจตรุ า รกั ขกัมมฏั ฐาน เพราะกัมมัฏฐานทั้ง ๔ หมวดน้ี เปน็ กัมมฏั ฐานท่ีเกื้อหนุนและสนับสนุนกัมมัฏฐาน หมวดอ่ืน ๆ ให้ปฏิบัติได้สะดวกได้ย่ิงข้ึน จตุรารักขกัมมัฏฐาน เรียกอีกอย่างว่า สัพพัตถก กัมมัฏฐาน เป็นกัมมัฏฐานที่ต้องการในที่ท้ังปวง คือ เหมาะท่ีจะใช้เป็นพ้ืนฐานของการเจริญ กัมมัฏฐานทุกอย่าง เป็นหลักปฏิบัติเบ้ืองต้น ที่ผู้เร่ิมปฏิบัติควรกระทำเป็นอันดับแรก เพ่ือเจริญ คณุ ความดีที่ย่ิง ๆ ขึน้ ไปดว้ ยความไม่ประมาท สำหรับเมตตาภาวนานั้น พบว่าเม่ือปฏบิ ัติจนเกิด อปุ จารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิแล้ว จากนั้นผู้ปฏิบัติกำหนดองค์ฌานที่ ๓ หมายถึง ปีติ ความอิ่ม ในอารมณ์ ปราบความพยาบาท ได้แก่ ความเมตตานั่นเอง เพราะเมตตาเป็นปฏิปักษ์ต่อความ โกรธ เม่ือเมตตาเกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติกำหนดองค์ธรรมดังกล่าวโดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดความรู้แจ้งในองค์ธรรม ซึ่งปัญญาน้ีเรียกว่าวิปัสสนาภาวนา การเจริญอย่างนี้ สมถะ เกิดก่อนแล้ววิปัสสนาเกิดตามมา ท่านจึงกล่าวว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนาโดยมีสมถะเป็นบาท ฐาน ดังน้ัน ผู้เจริญวิปัสสนาที่มีอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิเป็นบาท ช่ือว่า สมถยานิก ๔๕พระวงศ์แก้ว วราโภ (เกสร), “การศึกษาเปรียบเทียบการปฏิบัติกรรมฐานของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) กับพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิต วทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๖๙ หมายความว่า ผู้ปรารถนาจะบรรลุธรรม ควรพยายามเจริญฌานขั้นใดข้ันหนึ่งในฌาน ๔ ใน ปัจจุบันขณะ ให้เกิดความชำนาญเพื่อใช้เป็นบาทของวิปัสสนา ซ่ึงการปฏิบัติอย่างน้ีย่อมทำให้ มรรคผลเกดิ ขึ้นได้๔๖ ๔๗) พระศรศักด์ิ สงฺวโร (แสงธง) (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การวิเคราะห์จริต ๖ กับการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ผลการศึกษาพบว่า จริต ๖ เป็นหลักธรรมะหมวดหน่ึง ในพระพุทธศาสนา ที่มีความสำคัญในฐานะที่เป็นองค์ประกอบพ้ืนฐานของการปฏิบัติธรรมใน พระพุทธศาสนา บุคคลในแต่ละจริตย่อมมีพฤติกรรมเฉพาะ แตกต่างกันไปตามจริต ๖ ประเภท คือ (๑) ราคะจริต ผู้มีความประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม (๒)โทสะจริต ผู้มีความประพฤติ หนักไปทางใจร้อน หงดุ หงิด (๓) โมหะจรติ ผมู้ ีความประพฤติหนักไปทางเขลา เหงาซมึ งมงาย (๔) สัทธาจริต ผู้มีความประพฤติหนักไปทางมีจิตซาบซ้ึง น้อมใจเล่ือมใสโดยง่าย (๕) พุทธิจริตหรือ ญาณจริต ผู้มีความประพฤติหนักไปทางใช้ความคิดพิจารณา และ (๖) วิตกจริต ผู้มีความ ประพฤติหนักไปทางนึกคิดจับจดฟุ้งซ่าน สาเหตุของการมีจริต ๖ ที่แตกต่างกัน พบว่า มีสาเหตุ มากจากความเคยชินในอดีต หรือจากกรรมท่ีเคยทำไว้ในอดีตชาติ และเม่ือกล่าวถึงเร่ืองของจริต ๖ ในเบื้องต้น พบว่า จะมุ่งไปในเรื่องของแนวทางการเจริญสมถกรรมฐาน คือ หมวดกรรมฐาน ๔๐ ประการ เป็นหลักการศึกษาในเรื่องหลักการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา พบว่า การ ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คือ (๑) สมถกรรมฐาน และ (๒) วิปัสสนากรรมฐาน โดยสมถกรรมฐาน เป็นการฝึกให้เกิดสมาธสิ งบระงับจากนิวรณูปกิเลส หรือฝกึ จิตให้สงบเป็นสมาธิ ในการฝึกสมถกรรมฐานจะใช้จิตเพ่งที่ส่ิงใดส่ิงหนึ่ง อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ได้ในบรรดากรรมฐาน ๔๐ วิธี ซึ่งต้องข้ึนอยู่ที่ จริตของแต่ละคน และเพื่อยกจิตท่ีสงบ แล้วขึ้นสู่การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานต่อไป ส่วนวปิ ัสสนากรรมฐาน การฝึกฝนอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งในรูปนาม โดยความเป็นไตรลักษณ์หรือรู้แจ้งต่อสภาวะของรูปนามตามความเป็นจริง ส่ิงที่จะต้องใช้กำหนด (อารมณ์)ในการเจริญวิปัสสนา คือ รูปและนาม การท่ีจะรู้สึกถึง เกิดขึ้นกับรูปนาม จะต้องใช้สติ จดจ่ออยู่กบั ความเป็นไปของรูปนาม คือ การพินิจพิจารณา ทำให้คลายความยดึ มั่น ในรปู นามได้ ก็จะเห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตน ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงเป็นเสมือนระบบ ฝึกหัดขัดเกลาจิตให้รเู้ ท่าทันโลกและชีวิต กำจดั กิเลสตัณหาอวิชชาให้หมดไป เข้าสู่จุดหมายสูงสุด ของชีวิตคือ มรรค ผล และพระนิพพานผู้วิจัยได้ประมวลองค์ความรู้จากการศึกษาเร่ืองจริต ๖ และการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาแล้วนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์เพื่อเลือกหาแนวทางใน ๔๖พระมหาอาคม สุมงคฺ โล (คุณสถิต), “ศึกษาหลักการเจริญจตุรารกั ขกัมมฏั ฐานในคัมภรี ์พทุ ธศาสนา เถรวาท” วทิ ยานพิ นธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๕).
๗๐ การปฏิบัติธรรมหรือการเจริญกรรมฐานให้เหมาะสมกับจริตของแต่ละบุคคลดังนี้ :คือ (๑) คน ราคะจรติ เหมาะกบั การเจริญอสภุ และกายคตาสติ (๒) คนโทสจริต เหมาะกับการเจริญพรหมวิหาร ๔ หรืออัปปมัญญา ๔ และวณั ณกสณิ (๓) คนโมหจริต เม่ือศึกษาพระธรรมจนเกิดปัญญาแล้ว ให้ เจริญมรณสติ และจตุธาตุววฏั ฐาน (๔) คนสทั ธาจริต เหมาะกับการเจริญอนุสสติ ๖ (๕) คนพุทธิ จริต หรือญาณจริต เหมาะกับการเจริญกรรมฐาน ท่ีเป็นนิมิตแห่งวิปัสสนามีอาการไม่เที่ยง เป็น ทุกข์ เป็นอนัตตา และ (๖) คนวิตกจรติ เหมาะกับการเจริญอานาปานสติเป็นหลัก นอกจากน้ีเร่ือง ของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ พบว่า จริต ๒ ประเภท คือ ตัณหา จริตและทฏิ ฐิจริต มีความเชือ่ มโยงกบั การปฏิบตั ิสตปิ ัฏฐาน ๔ หมวด ซง่ึ เป็นกรรมฐานทเี่ หมาะกับ จริต ท้ัง ๒ ประเภท :ซึ่งจริต ๒ น้ี มีความหมายสัมพันธ์สอดคล้องกนั กบั ลักษณะของจริต ๖ ทำให้ ผู้วิจัยได้ทำการสังเคราะห์จริต ๖ ลงในจริต ๒ คือ ราคะจริต โมหะจริตและสัทธาจริต สังเคราะห์ ลงใน ตัณหาจริตมีปัญญาไม่แก่กล้าและมีปัญญาแก่กล้า กรรมฐานที่เหมาะสมคือ กายานุปัสสนา สติปัฏฐานและเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานส่วน โทสจริต พุทธจริตและวิตกจริต สังเคราะห์ลงใน ทิฏฐิจริตมีปัญญาไม่แก่กล้าและมีปัญญาแก่กล้า กรรมฐานท่ีเหมาะสมคือ จิตตานุปัสสนาสติปัฏ ฐานและธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สรุปได้ว่าการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เหมาะสมกับคนทุกจริต ทุกประเภทในการเลือกแนวทางในการปฏิบัติธรรม ผู้วิจัยแนะนำให้ผู้ ปฏิบัติเลือกปฏิบัติธรรมให้เหมาะสมกับจริตของตน และหมั่นปฏิบัติธรรมในหมวดน้ันๆ อยู่เสมอ จนสามารถนำการปฏิบัติมาบูรณาการให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เพ่ือให้เกิด ประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด๔๗ ๔๘) พระอนุชา อนุชาโต (นามจันทร)์ (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานพิ นธ์เรอ่ื ง การเจริญ เวทนานุปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า เวทนาในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า เวทนานุปัสสนาที่ปรากฏในพระสุตตันตปิฎกมีหลายลักษณะ และในพระสูตรต่างๆ เช่น เวทนาในขันธ์ ๕ เป็นต้น ความหมายเวทนาในอรรถกถา คือการมีสติ รู้เท่าทันเวทนา เท่าทันขณะเกิดข้ึนบ้างเท่าทันขณะท่ีกำลังแปรปรวนอยู่บ้าง หรือขณะดับไป บ้าง ดังน้ันเวทนาจึงเป็นความรู้สึกท่ีเกิดขึ้นเม่ือมีอารมณ์มากระทบจิต ความสำคัญของ เวทนานุปัสสนา คือ การใช้สติเข้าไปรู้เห็นเวทนาท้ังหลายอย่างต่อเน่ือง ประเภทของเวทนา นุปัสสนา จำแนกการเสวยอารมณ์ ๓ ทาง คือ (๑) ความรู้สึกสุข (๒) ความรู้สึกทุกข์ และ (๓) ความรู้สึกไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ มี กาย เวทนา จิต ธรรม เม่ือย่อลงแล้ว เหลือนามกับรูป คือ การกำหนดรู้ตามสภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนกาย จัดเป็น “รูป” ส่วน เวทนา จิต ๔๗พระศรศักดิ์ สงฺวโร (แสงธง), “การวิเคราะห์จริต ๖ กับการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา”, วทิ ยานพิ นธ์พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕) .
๗๑ ธรรม จัดเป็น “นาม” ท่ีมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หากมีการดำเนินตามหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา หลักธรรมท่ีเกี่ยวข้องและสนับสนุนการเจริญเวทนานุปัสสนาพบว่า มีอยู่ ๒ ประการ คือ (๑) หลักธรรมที่เก่ียวข้องกับเวทนานุปัสสนา คือ ส่ิงท่ีเป็นตัวช่วยในการปฏิบัติหรือ เปน็ กำลังสนับสนุนในการปฏิบตั ิ เป็นตัวสำคญั ในการสร้างสมาธไิ ด้แก่ การมสี ติมั่นในการพิจารณา เนือง มีความเพียรสัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ตัวทั่วพร้อมความรู้ตะหนักความรชู้ ัดเข้าใจชัดซ่ึง ส่ิงท่ีนึกได้ (๒)หลักธรรมที่สนับสนุนการเจริญเวทนานุปัสสนา องค์ธรรมท่ีช่วยส่งเสริมให้เกิด ญาณ ได้แก่ หลักโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ อันเป็นหลักธรรมที่จะช่วยให้เข้าใจในเวทนา นุปัสสนาได้ อานิสงส์การเจริญเวทนานุปัสสนาสำหรบั พฒั นาชวี ติ กลา่ วคือ ไม่วา่ จะเป็นฆราวาส หรือบรรพชิตก็ต้องมีการฝึกสติปัฏฐาน ๔ โดยเฉพาะในหมวดของเวทนานุปัสสนาจึงจะได้รับ อานิสงส์แห่งการปฏิบัติได้ เพราะอานิสงส์ย่อมทำให้เกิดต่อตนเองและพัฒนากายและจิตของคน อ่นื ด้วย การดำเนนิ ชีวติ ดว้ ยการพจิ ารณาแบบรูเ้ ท่าทันเวทนาท่ีเกิดข้นึ กบั กายและจิต เม่อื รูเ้ ท่าทัน ก็ลดปัญหาของเวทนาที่เกิดขึ้นกับกายและจิตของตนได้ อันเป็นหนทางในการดำเนินชีวิตอย่างมี ความสขุ และสามารถบรรลมุ รรค ผล นพิ พานได้ตอ่ ไป๔๘ ๔๙) พระครูสุวรรณ (สมจิตต์ คุ้มสมบัติ) (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษา ปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นแก่นแท้หรือหัวใจของพุทธศาสนาเป็นหลักแสดงถึงกระบวนการแห่งเหตุ ปัจจัยท่ีสืบต่อเชื่อมโยงกันท้ังในกระบวนการเกิด และความเป็นเหตุปัจจัยซ่ึงกันและกัน คือ อวชิ ชาเป็นจุดเริ่มต้น และชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข์ โทมนสั อุปายาส เปน็ จุดสุดท้าย ที่ยก อวิชชาขึ้นแสดงก่อน เปน็ เพียงการอาศัยอวิชชาเป็นจุดเรมิ่ ต้น เพ่ืออธิบายกระบวนของปฏิจจสมุป บาท หรืออาจเป็นได้ว่า อวิชชาเป็นกิเลส เป็นตัวเด่นในวัฏฏะ จึงยกข้ึนแสดงเป็นอันดับแรก ด้วย การพิจารณาเหตุปัจจัยในปฏิจจสมุปบาท การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยมีจุด เร่ิมท่ีแตกต่างกันนี้ ก็เป็นการแสดง ให้เหมาะสมกับเทศนาที่แสดงให้แต่ละบุคคล และเป็นไปเพื่อ ประโยชน์ในการกำจัดทุกข์ ตัดวงจร สังสารวัฏเช่นกัน อุปมาเหมือนการหาเถาวัลย์ของคนหนึ่ง เมื่อพบเถาวัลย์ตรงโคนเถาก่อนจึงตัดเถาวัลย์ตรงโคนเถานั้น แล้วจึงดึงออกมาท้ังเถานำไปใช้ตาม ต้องการ คนหน่ึงพบเถาวัลย์ ตรงกลางเถาก่อนจึงตัดตรงกลางเถา แล้วดึงเอาท่อนปลายนำไปใช้ ตามตอ้ งการ คนหน่ึงพบเถาวลั ย์ตรงปลายเถากอ่ น จงึ จับปลายเถาสาวเข้าไปหาโคน แล้วตัดที่โคน ดึงออกมา นำไปใช้ตามต้องการ คนหนึ่งพบเถาวัลย์ตรงกลางเถาก่อน จึงตัดทโี่ คน แลว้ ดึงเอาท่อน ต้นท้ังหมดนำไปใช้ตามต้องการ จากท่ีได้นำเสนอวิธีดับวงจรชีวิตหรือวิธีดับปฏิจจสมุปบาท จะ ๔๘พระอนุชา อนุชาโต (นามจันทร์), “การเจริญเวทนานุปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท”, วทิ ยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ , (บัณฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๕).
๗๒ พบว่า เป็นการเริม่ ต้นดับท่ีอวิชชาก่อน เม่ืออวิชชาดบั ไปแลว้ วชิ ชา (ความรู้แจง้ ) ก็เกิดข้ึนแทน วธิ ี ดับปฏิจจสมุปบาทหรือปัจจยาการน้ี เป็นวิธีเดียวกันกับการดับตัณหาในอริยสัจ ๔ เพราะเป็น ปัจจัยเกิดสืบเน่ืองมาตามลำดับ เม่ือสามารถดับอวิชชาได้ มีผลให้ดับตัณหาได้ด้วย การทำลาย อวิชชา โดยการทำความรู้แจ้งเห็นจริง (วิชชา) ให้เกิดขึ้น จะเป็นหนทางให้สามารถทำลายความ เข้าใจผิดหลงผิดนั้นได้ กระท่ังสามารถทำลายความทุกข์ได้ในที่สดุ เพ่ือจะทำให้เกดิ ความรู้แจ้งเห็น จริงบังเกิดขึ้น ก็จะต้องปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ในที่สุดก็จะพบความรู้แจ้งเห็นจริง คือ นิพพาน เม่ือดับได้อย่างนี้ วงจรของปฏิจจสมุปบาทที่มีการสืบต่อมานานก็ขาดตอนลง วงจรของ ชีวิตไม่มีการสืบต่อ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก การเกิดในชาติปัจจุบันน้ี ถือว่าเป็นชาติสุดท้าย การดับวงจรของชีวิตหรือดับปฏิจจสมุปบาทได้ ถือว่าเปน็ การบรรลุธรรมช้ันสูงในพระพุทธศาสนา กล่าวคอื ไดบ้ รรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบคุ คลชนั้ พระอรหนั ต์ จักไมก่ ลับมาเวยี นว่ายตายเกิดอีก๔๙ ๕๐) พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี (โอฐสู) (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การ สร้างตัวช้ีวัดเพอื่ วิเคราะห์อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏบิ ัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ผลการศึกษาพบว่า แนวคิดเร่ือง อินทรีย์ ๕ คือ ความเป็นใหญ่ในอำนาจหรือหน้าที่ของตน และมีความสำคัญ ๕ ประการ คือ (๑) สัทธินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในการเช่ือม่ันเลื่อมใส (๒) วิริ ยินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในความเพียรท่ีไม่ย่อท้อ (๓) สตินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในการยังจิตให้ รู้เท่าทัน (๔) สมาธินทรีย์ ความเป็นใหญ่ในการต้ังม่ัน (๕) ปัญญินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในการ หยั่งรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง และอินทรีย์ทั้ง ๕ เป็นหลักสำหรับปฏิบัติธรรม และเป็น หลักธรรมที่เป็นเคร่อื งวดั ความพร้อมและบ่งชี้วัดความก้าวหน้าของผ้ปู ฏิบัติวิปัสสนกรรมฐาน และ แนวคิดเร่ือง ญาณ ๑๖ คือผลของการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานท่ีมีการปรับอินทรีย์ท้ัง ๕ ให้ สมดุลกัน ญาณ ๑๖ ย่อมเกิดขึ้นตามลำดับ มีนามรูปปริจเฉทญาณ เป็นต้น ความสัมพันธ์ ระหวา่ งญาณ ๑๖ กับอินทรีย์ ๕ คือเมื่อสัทธากับปัญญา วริ ิยะกับสมาธิ และสติของผปู้ ฏิบัติที่เป็น วิปัสสนายานิกะ หรือผู้ที่เป็นสมถยานิกะเสมอกัน ย่อมเกิดปัญญาท่ีเรียกว่า ญาณ ๑๖ การสร้าง ตวั ชว้ี ัดเพ่อื ความเปน็ อนิ ทรยี ์ ๕ เปรียบเทยี บกับญาณ ๑๖ โดยได้แนวคิดมาจากการเปรยี บเทียบ วิสุทธิ ๗ กับญาณ ๑๖ ในการสร้างตัวช้ีวัดครั้งน้ี ใช้ความสมดุลของอินทรีย์ ๕ ไปเปรียบเทียบกับ รูปแบบของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ แบบท่ี ๑ เปรียบเทียบสัทธินทรีย์คู่กับปัญญินทรีย์ ในรูปแบบของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ การกำหนดทาง ทวาร ๖ และอิริยาบถย่อย แบบที่ ๒ วิริยินทรีย์คู่กับสมาธินทรีย์ในรูปแบบของการเดินจงกรม ๔๙พระครูสุวรรณ (สมจิตต์ คุ้มสมบัติ), “ศึกษาปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา เถรวาท” วทิ ยานพิ นธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕).
๗๓ แบบที่ ๓ มีสตินทรียเ์ ป็นตัวกลางในการเช่ือมโยงท้ัง ๒ คู่ให้สมดุลกันในรูปแบบการกำหนดทวาร ๖ และอิริยาบถย่อย และแบบที่ ๔ เปรียบเทียบสมาธินทรีย์คู่กับวิริยินทรีย์ในรูปแบบของการน่ัง สมาธิ จากการประเมินอนิ ทรยี ์ ๕ ก่อนและหลังการปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐาน พบว่าคา่ เฉลยี่ ของ ระดับคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชดั หลังการฝกึ อบรมวิปสั สนากรรมฐาน อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .๐.๕) ยกเว้นการมคี วามรู้และความเขา้ ใจในการกำหนดทางทวาร ๖ และอิรยิ าบถย่อย อย่ใู น ระดับปานกลาง ตวั ชว้ี ัดเพื่อความเปน็ อนิ ทรยี ์ ๕ เปรียบเทียบกบั ญาณ ๑๖ แบบที่ ๑ เพมิ่ ขนึ้ อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนแบบท่ี ๒ แบบที่ ๓ และแบบท่ี ๔ อยู่ในระดับปานกลาง สำหรบั ตัวช้ีวัด ท่ีสร้างข้ึนมาจากแบบประเมินอินทรีย์ ๕ มีประโยชน์ในการอธิบายระดับของอินทรีย์ ๕ ด้วยการ เกิดขึ้นของญาณที่ง่ายชัดเจนเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ตัวชี้วัดยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการ ประเมินผลผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในสถานท่ีอ่ืนๆ และใช้เป็น แนวทางในการสรา้ งเคร่ืองมือสำหรบั การประเมินผลธรรมหมวดอ่นื ๆ ไดด้ ้วย ๕๐ ๕๑) ทศพร เหลืองขาบทอง (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาการปฏิบัติ วิปัสสนากับการบำบัดเยียวยารักษาโรค ผลการศึกษาพบว่า การปฏิบัติวิปสั สนาภาวนา มีการ ปฏิบัติ ๒ แบบ คือ สมถยานิกะ ได้แก่ การปฏิบัติโดยอาศัยสมาธิในกรรมฐาน ๔๐ จนเกิดองค์ ฌาน แลว้ ยกจิตออกจากองคฌ์ าน พจิ ารณาองค์ฌานโดยความเป็นพระไตรลกั ษณ์ วิปัสสนายานิ กะ คือ การปฏิบัติวิปัสสนาล้วนๆ โดยอาศัยอารมณ์ของวิปัสสนาได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อริยสัจ ๔ โดยย่อสงเคราะห์เข้าใน รูป และนาม การปฏิบัติวิปัสสนายานิกะเป็นการปฏิบัติให้รู้แจ้งในรูป นาม โดยความเป็นพระไตรลักษณ์ โรค หมายถึง สภาวะที่ผิดปกติของร่างกายหรือจิตใจ ซ่ึงทำให้เกิดความไม่สบาย โรคในทาง พระพุทธศาสนาเกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร โรคบางอย่างที่เกิดจากกรรมสามารถชะลอการ ส่งผลได้ด้วยการบำเพ็ญกุศลโดยการให้ทาน รักษาศีล และการปฏิบัติวิปัสสนา พระพุทธองค์ตรัส เก่ียวกับโรคว่ามี ๒ ชนิด คือ โรคทางกายสามารถบำบัดได้ด้วยการเยียวยาตามอาการของโรค โรคทางใจ หมายถึง โรคท่ีทำใหเ้ กดิ ความเร่ารอ้ นทางใจ รักษาได้ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และ เจริญภาวนา จากการศึกษา วิปัสสนาภาวนาแบบสมถยานิกะ จนสามารถเกิดองค์ฌาน คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เมื่อทำฌานให้เกิดแล้ว ด้วยอำนาจของสมาธิสามารถระงับความ ๕๐พระมหาบุญเลศิ ธมฺมทสฺสี (โอฐส)ู , “การสร้างตัวช้ีวัดเพอื่ วิเคราะห์อนิ ทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกบั ญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕).
๗๔ เจ็บปวดท่ีข้ึนเกิดทางกายได้ ดังเช่นกรณีของพระสารีบุตร และพระอริยสาวกในขณะกำลัง เขา้ ฌานสมาบัตภิ ัยอันตรายต่างๆ ไม่สามารถทำรา้ ยทา่ นได้๕๑ ๕๒) อรภัคภา ทองกระจ่างเนตร (๒๕๕๕) ไดศ้ ึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง การศึกษาวิเคราะห์ สมาธิกับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา ผลการศึกษาพบว่า สมาธิ ตามรูปศัพท์ หมายถึง ธรรมที่ข่มจิตอันฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ให้สงบลง สมาธิตามอรรถะ หมายถึง ภาวะที่จิตมี อารมณ์เป็นหนึ่ง สมาธิสามารถจำแนกได้หลายประเภท คือ ตามลักษณะ ตามหน้าท่ี ตามอาการ ท่ีปรากฏ และตามปทัฏฐาน ในคัมภีร์ ชั้นอรรถกถา แยกสมาธิออกเป็นระดับ ๓ ระดับ คือ (๑) ขณิกสมาธิ (๒) อุปจารสมาธิ และ (๓)อัปปนาสมาธิ สมาธิมีหมวดธรรมที่เก่ียวข้อง คือ นิวรณ์ เป็นอุปสรรคของสมาธิ สมาธิเป็นส่วนหนึ่งของไตรสิกขา และสมาธิกับโพธิปักขิยธรรม นอกจากน้ีการฝึกสมาธิยังมีอานิสงส์หลายประการ ซ่ึงงานวิจัยน้ีมุ่งเน้นเรื่องอภิญญา การบรรลุ ธรรมในพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง การได้ การเข้าถึง การสำเร็จ การทำให้แจ้งธรรมใน พระพุทธศาสนาเถรวาท การบรรลุธรรมมีความสำคัญ เนื่องจากการบรรลุเป็นการบรรลุ จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ พระนิพพาน โดยมีวิธีการปฏิบัติอยู่ ๔ แนวทาง คือ (๑) วิปัสสนามีสมถะนำหน้า (๒) สมถะมีวปิ ัสสนานำหน้า (๓) สมถะและวิปัสสนาคู่กัน และ (๔) วิธี ปฏิบตั ิเม่ือจติ ถกู ชักใหเ้ ขวดว้ ยธรรมุธัจจ์ ท้ัง ๔ แนวทางน้ีเป็นต้นแบบของกัมมัฏฐาน ๒ วธิ ี คือ สมถยานและวิปัสสนายาน ซ่ึงต้องอาศัยหลักปฏิบัติเพ่ือการบรรลุธรรม คือ โพธิปักขิยธรรม นอกจากน้ีเกณฑ์ที่ใช้แบ่งระดับของการบรรลุธรรม เรียกว่าสังโยชน์ เป็นตัวแบ่งระดับของ พระ โสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ วิธีการบรรลุพระอรหันต์ หลังจากการ บรรลุธรรมหากได้สมาธิระดับหนึ่ง จะทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับความสามารถพิเศษหลังการบรรลุธรรม เร่ืองอภิญญา ๖ คือ (๑) อิทธิวิธิ (๒) ทิพพโสต (๓) เจโตปริยญาณ (๔) ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณ (๕) จุตูปปาตญาณ และ (๖) อาสวักขยญาณ การนำเสนอเรื่องสมาธิกบั การบรรลุธรรม พบว่า การฝึกสมาธิเป็นส่วนหน่ึงของวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมทุกวิธี ทั้งวิธีท่ีเรียก สมถปุพพังคม วิปัสสนา(วิปัสสนามีสมถะนำหน้า) วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ (สมถะมีวิปัสสนานำหน้า) ยุคนัทธ สมถวิปัสสนา(สมถะและวิปัสสนา คู่กัน) และธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส (วิธีปฏิบัติเมื่อจิตถูกชักให้ เขวด้วยธรรมุธัจจ์) นอกจากนี้สมาธิยังสามารถนำมาเป็นอุปกรณ์ของวิธีปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมไม่ เพียงเท่าน้ีสมาธิยังสามารถเชื่อมโยงเข้ากับหลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมซ่ึงมีช่ือว่า โพธิปักขิยธรรม หลังจากนน้ั หากการพิจารณาสมาธมิ ุ่งสูข่ ณะบรรลุธรรม จะพบว่า สมาธิเป็นองค์ธรรมขณะบรรลุ ธรรม กล่าวคือ ในขณะบรรลุธรรมจะต้องมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหน่ึงที่ปฏิบัติการอยู่ สมาธิยัง ๕๑ทศพร เหลอื งขาบทอง, “ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนากับการบำบัดเยียวยารักษาโรค”, วิทยานิพนธ์ พทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ , (บัณฑติ วทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕).
๗๕ เก่ียวข้องกับระดับของการบรรลุธรรม กล่าวคือ พระโสดาบันและพระสกทาคามี มีระดับสมาธิ พอประมาณ ส่วนพระอนาคามีและพระอรหันต์ มีระดับสมาธิท่ีสมบูรณ์ ท่านทั้งสองสามารถเข้า ผลสมาบัติชั้นสูงคือนิโรธสมาบัติได้ ซ่ึงเป็นปฏิปทาของวิธีปฏิบัติของพระสมถยานิก ยกเว้นพระ อนาคามีกับพระอรหันต์ที่เป็นสุขวิปัสสกเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ นอกจากนั้นสมาธิยังมีผลทำให้ผู้ บรรลุธรรมได้อภิญญา ๖ ซึ่งพระอรหันต์ทุกท่านต้องได้ ข้ออาสวักขยญาณ ส่วนข้ออื่น พระ อรหันต์จะได้แตกต่างกันออกไป ขึ้นกับการฝึกฝนสมาธทิ ี่ชำนาญต่างกัน โดยนำเสนอกรณีตวั อย่าง เช่น พระนางสามาวดี นางอุตตราอุบาสิกา พระสารีบุตร พระจูฬปันถก ธัมมิกอุบาสก พระอนุรทุ ธะ และพระโมคคัลลานะ๕๒ ๕๓) อุทัย สติม่ัน (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง การพัฒนารูปแบบการจัดการ ความรู้สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่า จากการศึกษาวิเคราะห์ ข้ันตอนและองค์ประกอบของการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนา พบว่าการจัดการความรู้ใน พระพุทธศาสนา ปรากฏในรปู แบบของโครงสร้างการบริหารจัดการองค์กรสงฆ์ท่ีชัดเจน มีการยก ย่องพระสาวกท่ีโดดเด่นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ส่วนเครื่องมือในการจัดการความรู้ปรากฏใน รปู แบบของหลักธรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการจัดการความรู้ ได้แก่ อปริหานิยธรรม หลักสาราณีย ธรรม หลักสัปปุริสธรรม หลักวุฒิธรรม และหลักสัมมัปธาน เป็นต้น นอกจากน้ี ยังมีกิจกรรมใน การจัดการความรู้ตามรูปแบบของกิจจาธิกรณ์ หลักกิจวัตร ๑๐ ประการ และการสังคายนา เป็น ต้น จากการศึกษาวิเคราะห์ สภาพการจัดการความรู้ของสำนักปฏิบัติธรรม พบว่า สภาพท่ัวไป ของสำนักปฏิบัตธิ รรมทัง้ ๕ สำนักต่างมคี วามพร้อมในเร่ืองของสัปปายะ ๗ ประการและมีรูปแบบ การจัดการความรู้ตามแนวทางในพระพุทธศาสนา ด้านลักษณะเด่นของแต่ละสำนัก พบว่า (๑) สำนักปฏิบตั ิธรรมวัดร่ําเปิง (ตโปทาราม) มีจุดเด่นคือการจดั บวชพระทกุ วันอาทติ ยแ์ บบเรยี บงา่ ย ให้การอบรมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (๒) สำนักปฏิบัติธรรมวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลา ราม) มีสื่อท่ีหลากหลาย เช่น งานปูนป้ัน โรงมมหรสพทางวิญญาณ และมีหลักสูตรการฝึกอบรม พิเศษ ณ สวนโมกข์นานาชาติตลอดทั้งปี (๓) สำนักปฏิบัติธรรมวัดหนองป่าพง มีความโดดเด่น คือ มีสำนักสาขาเป็นจำนวนมากถึง ๓๑๑ สาขาท้ังในประเทศไทยและต่างประเทศ มีพิพิธภัณฑ์ เพ่ือให้เรียนรู้ การฝึกปฏิบตั ิใช้หลักธุดงค์ ๑๓ และวัตร ๑๔ (๔) สำนักปฏิบัติธรรมวัดมเหยงคณ์ เป็นสำนักที่มีผู้เข้าปฏิบัติเป็นจำนวนมาก จึงมีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการสอนกมั มัฏฐาน (๕) สำนักปฏิบัติธรรมวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เป็นที่ตั้งของศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติ ธรรมแห่งประเทศไทย (ศปท.) มีการนำหลักการบริหารจัดการแบบวิทยาการสมัยใหม่มา ๕๒อรภัคภา ทองกระจ่างเนตร, “การศึกษาวิเคราะห์สมาธิกับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา” วิทยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๕).
๗๖ ประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการสำนัก จากการศึกษาเพื่อนำเสนอรูปแบบการจัดการความรู้ สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย พบว่า รูปแบบการจัดการความรู้ที่เหมาะสมสำหรับ สำนักปฏิบัติธรรมนั้น ควรประกอบไปด้วย (๑) ด้านคน คนในองค์กรมคี วามกระหายใคร่เรียนรู้ มี วัฒนธรรมในการเรียนรู้ มีทศั นคติท่ีดีในการทำงาน อีกท้ัง มโี ครงสรา้ งของการจัดการความรู้ท่ีเอ้ือ ตอ่ การจดั การความรู้ (๒) ด้านเทคโนโลยี ควรมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่หลากหลาย และมี ประสิทธิภาพ (๓) ด้านกระบวนการ ควรมีกระบวนการจัดการความรู้ที่ชัดเจน เป็นระบบและมี ประสิทธิผล (๔) ด้านเคร่ืองมือ ควรใช้หลักธรรมสนับสนุน คือ หลักอปริหานิยธรรม หลักสา ราณียธรรม หลักสัปปุริสธรรมหลักวุฒิธรรมและหลักสัมมัปธาน (๕)ด้านกิจกรรม ควรยึดหลัก กจิ จาธิกรณ์ และหลักกิจวัตร ๑๐ประการ อันเป็นเป็นวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ เรยี นรู้๕๓ ๕๔) เสถียร ทั่งทองมะดัน (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง สมถกัมมัฏฐานในฐานะ เปน็ บาทฐานของวปิ ัสสนากมั มัฏฐาน ผลการศึกษาพบวา่ เป็นการวจิ ยั เชิงเอกสาร โดยวิเคราะห์ สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นอารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ใน ๒ ประเด็น คือ ๑) การใช้องค์ ฌานเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา และ ๒) การใช้อารมณ์ของสมถกัมมัฏฐานเป็นอารมณ์ของ วิปัสสนากัมมัฏฐาน แล้วนำมาบูรณาการสมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์ วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติ มรรค เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏบิ ัติ ผลการวิจัยพบวา่ สมถกัมมฏั ฐานในคมั ภรี ว์ ิสทุ ธิมรรค แบ่ง ออกเป็น ๗ หมวดคือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ อาหาเร ปฏิกูลสัญญา และ จตุธาตุววัฏฐาน ในคัมภีร์วิมุตติมรรค แบ่งออกเป็น ๓๘ ประการคือ กสิณ ๑๐ อสุภสัญญา ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ จตุธาตุววัฏฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา อากญิ จัญญายตนะ เนว สัญญานาสัญญายตนะ ด้านเนอื้ หาด้านการปฏิบัติ และผลการปฏิบัติ ทั้งสองคัมภีร์กล่าวไว้สอดคล้องเป็นแนวเดียวกัน แต่วิธีการปฏิบัติบางเร่ืองก็แตกต่างกัน สรุป ประเด็นได้ ดังนี้ เม่ือปฏิบัติกัมมฏั ฐานข้อใดข้อหนึ่ง อานิสงส์ทไี่ ด้ คอื การรู้เท่าทันความเป็นจริง ของชีวิต มีสติ ไม่ประมาท คลายความยึดมั่นถือมั่น ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ เป็นบาทฐานของ วิปัสสนากัมมัฏฐาน กล่าวคือ สมถกัมมัฏฐานเม่ือเจริญแล้ว สามารถให้บรรลุมรรคผลนิพพาน หรือเป็นบาทฐานของการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เม่ือวิเคราะห์สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นบาท ฐานของวิปัสสนา จะเห็นได้ว่า เมื่อเจริญสมถกัมมัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง จิตตั้งม่ันเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธแิ ละอปั ปนาสมาธิ จากนัน้ องค์ฌานกจ็ ะเกิดขึน้ กใ็ ช้องคฌ์ านนัน้ เปน็ บาทฐานในการ ๕๓อุทัย สติม่ัน, “การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย”, วิทยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕) .
๗๗ เจรญิ วิปัสสนากมั มัฏฐาน หรอื ใชอ้ ารมณส์ มถ กัมมัฏฐานบางหมวด เพอ่ื เป็นบาทฐานเพื่อการเจริญ วปิ ัสสนา จนสามารถบรรลุอรหตั ผลได้๕๔ ๕๕) ภัทรนิธ์ิ วิสุทธ์ิศักด์ิ (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง รูปแบบผสมผสานการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ผลการศกึ ษาพบว่า เป็นการวิจัยทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงทดลอง วัตถปุ ระสงค์เพื่อศกึ ษา แนวทางการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ในพระพุทธศาสนาเถรวาทและเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐานทน่ี ิยมปฏิบตั ิกัน ในสังคมไทยปัจจุบัน รวมท้ังเพ่ือสร้างรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานที่ ผสมผสานวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากรูปแบบต่างๆที่ผู้วิจัยเลือกศึกษาวิเคราะห์ ได้แก่ รูปแบบ “พุท-โธ” “พองหนอ-ยุบหนอ” “เจริญสติ รู้การเคลื่อนไหว” และ“ปรมัตถภาวนา” จากการศกึ ษาพบว่า วิปัสสนากรรมฐานเป็นวิธีการฝกึ ให้เกิดปัญญารู้เท่าทันความจริงเพื่อความ ดับทุกข์ พระคัมภีร์ที่ให้แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ มหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวถึงการมีสติระลึกไปในกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งรูปแบบต่างๆ ท่ีนิยมปฏิบัติกันในปัจจุบัน แมจ้ ะมีอบุ ายในการสอนหรือมวี ธิ ีการสอนเพื่อเข้าถึงสติปัฏฐานไม่เหมือนกนั หรอื เน้นบรรพะในสติ ปัฏฐานท้ัง ๔ ต่างบรรพะกันก็ตามแต่สิ่งท่ีเหมือนกันซ่ึงสามารถนามาใช้ผสานการปฏิบัติให้มี เอกภาพได้ คือ การกำหนดสติระลึกรู้สภาวะความจริงของรูป–นาม และไตรลักษณ์ อันเป็น ความจรงิ แท้ที่ไม่ผันแปรไปตามสมมติบัญญัติ หรอื รูปแบบใดใด ดงั น้ัน ไม่ว่าจะปฏิบัติด้วยรปู แบบ ใดๆ ก็ตาม หากเป็นรูปแบบที่นาผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวะที่เป็นจริงทั้งสองนี้ ก็นับว่าได้ปฏิบัติ วปิ สั สนากรรมฐานอย่างถกู ต้อง เพราะเข้าถึงหัวใจของกรรมฐาน คอื คา่ ทเี่ ป็นจริงของอารมณไ์ ด้ เหมือนกัน ผู้วิจัยได้นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์ในเบ้ืองต้น มาสร้างรูปแบบการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ และสร้างแบบประเมินผลก่อนและหลังการฝึกอบรม จากน้ันได้ทำการวิจัยภาคสนาม โดยดาเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงทดลอง โดยเก็บข้อมูล จากกลุ่มประชากร คือ ผู้สมัครเข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ณ ต้นบุญธรรมสถาน จังหวัดชลบุรี และ อาศรม-มาตา จังหวัดนครราชสีมา รวมจำนวน ๑๒๐ คน วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม สำเร็จรูปทางสถิติ เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยมัชฌิมเลขคณิต และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลของ การวิจัยปรากฏว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และค่าเฉล่ีย ของคะแนนท่ีวัดผลสัมฤทธ์ิจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก่อนและหลังเข้าฝึกอบรมมีความ แตกต่างกัน คือหลังอบรมมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงวา่ รูปแบบการปฏิบตั วิ ิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสาน สามารถเพิ่มความเข้าใจใน ๕๔เสถียร ทั่งทองมะดัน, “สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวปิ ัสสนากัมมัฏฐาน”,วิทยานพิ นธ์ พทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕).
๗๘ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานแก่ผู้เข้าอบรมได้ดียิ่งขึ้น และสามารถสร้าง สัมฤทธิ์ผลในการปฏิบัติให้แก่ผู้เข้าอบรมได้ตามลาดับแห่งวิปัสสนาญาณเบ้ืองต้น ในด้านความ พึงพอใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ได้ผลของคะแนนเฉล่ียในระดับสูงมาก หมายความว่า ผู้เข้าอบรมมีความพึงพอใจอย่างยิ่งต่อรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ ผสมผสานฯ แสดงว่า สติปัฏฐานเป็นกุญแจสำคัญของการปฏิบัติในทุกรูปแบบ หากผู้ปฏิบัติได้ ศกึ ษาปรยิ ัติอยา่ งถกู ต้อง และนำสูก่ ารปฏิบตั ดิ ว้ ยความเข้าใจถ่องแท้ ไม่ว่าจะปฏบิ ตั ิดว้ ยรปู แบบ ใดหรือวิธีการใดก็ตาม กจ็ ะสามารถหย่ังเห็นรูป-นาม ไตรลักษณ์ตามความจริง จากปัญญาขั้นต้น สู่ปัญญาข้ันปลาย คือ เห็นอรยิ สัจ ๔ ก็สามารถบรรลเุ ป้าหมายสูงสุด คือ ทำลายกิเลสดับทุกข์ท้ัง ปวงถึงพระนิพพานในที่สุด ดังน้ัน รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสาน จึง น่าจะเป็นทางเลือกหน่ึงของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และเป็นทางออกในการสร้าง เอกภาพให้วงการปฏิบัติวปิ สั สนากรรมฐานในประเทศไทยต่อไป๕๕ จากการตอบวัตถุประสงค์ข้อ (๑) เป็นการรวบรวมและประมวลสาระความรู้เร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ จากงานวิทยานิพนธ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ได้ดำเนินการรวบรวมรายช่ือวิทยานิพนธ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ท้ังหมดจำนวน ๙๐ เล่มเท่าท่ีรวบรวมได้ จากน้ันเลือกเฉพาะเร่ืองท่ีมีความเหมาะสมจะสามารถ อธิบายความเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เพ่ือนำมาศึกษาสังเคราะห์ในงานวิทยานิพนธ์ จำนวน ๕๕ เลม่ นำมาศึกษางานลกั ษณะวิทยานิพนธ์ จะเห็นได้ว่าข้อค้นพบว่า เมื่อศึกษาเข้าไปในรายละเอียด แล้ว รายชื่อวิทยานิพนธ์มีความหลากหลาย โดยบางเรื่องมีความเก่ียวข้องกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยตรง แต่บางเรื่องวิทยานิพนธ์มีความเก่ียวข้องบางส่วนในบางประเด็นแต่ก็มีความสำคัญ และได้ระบุไว้ในเร่อื งมหาสติปัฏฐาน ๔ จึงทำให้ได้งานวิทยานิพนธ์ท่ีรวบรวมมีความหลากหลาย ทั้งแนวกว้างและแนวเฉพาะเจาะจงเชิงลึกในประเด็นเร่ือง ทำให้เห็นได้ในภาพรวมและไม่เห็น รายละเอียดส่วนย่อยๆประเด็นเรื่อง หรือเรื่องงานวิทยานิพนธ์บางเรื่องมีประเด็นเฉพาะเจาะจง ส่วนยอ่ ยแตจ่ ะไม่เห็นภาพรวม จงึ อาจทำใหง้ านสังเคราะห์ประเด็นเกี่ยวกบั ด้านองค์ความรมู้ ีความ หลากหลาย ท้ังในส่วนนามธรรมไปสู่รูปธรรมไม่เหมือนกัน ประกอบกับระดับการใช้ภาษาท่ีใช้ใน การอธิบายงานวิทยานิพนธ์แต่ละเรอ่ื งไม่เหมือนกัน บางเรอ่ื งเป็นการใช้ภาษาบาลจี ึงยากแก่ความ เข้าใจ บางเรือ่ งไดใ้ ช้ภาษาธรรมดาเรยี บงา่ ยจึงทำใหเ้ ข้าใจง่าย ขน้ึ อยู่ภมู ิหลงั ประวตั กิ ารศึกษาของ เจ้าของผลงานวิทยานิพนธ์ ประกอบการใช้ระเบียบวธิ ีการวิจัยแตกต่างกันในเชิงตรรกะทางภาษา งานวิทยานิพนธ์ ความเสมอกันของคุณภาพงานวิทยานิพนธ์ จึงเป็นความยากในการสังเคราะห์ ๕๕ภัทรนิธิ์ วิสุทธิ์ศักดิ์, “รูปแบบผสมผสานการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔”, วทิ ยานพิ นธ์พุทธศาสตรดษุ ฏีบัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๕) .
๗๙ สาระองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิทยานิพนธ์แต่ละเร่ืองเป็นอย่างมาก งานวิจัยสาขาพระพุทธศาสนา ไม่ได้เป็นงานเชิงปริมาณที่มีการศึกษาตัวแปร หรือ การหาค่าอิทธิพลตัวแปร ในลักษณะงานวิจัย เชิงปริมาณ ค่าสถิติท่ีนำมาสังเคราะห์ได้ จึงเป็นเร่ืองไม่ได้ง่ายในการอธิบายเชิงวิชาการตามระบบ การศึกษางานลักษณะสังเคราะห์ โดยเฉพาะเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นทั้งจุดเด่นจุดด้อยของ งานวิทยานพิ นธเ์ รื่องนี้ อย่างไรกต็ าม จากศกึ ษาจากการประมวลข้อมลู บทคัดย่อของงานวทิ ยานพิ นธ์โดยเรียง ตามปีการศึกษาของการเกิดขึ้นของงานวิทยานิพนธ์แต่ละเร่ือง จะเห็นพัฒนาการของงาน วทิ ยานิพนธ์ ทง้ั เหน็ ความหลายหลายและระดับภาษาการใชเ้ ขยี นงานวิทยานพิ นธ์แตกต่างกัน จาก การรวบรวมจำนวน ๕๕ เลม่ วิทยานิพนธ์ ผู้ศึกษาวิจัยได้คัดเลือกมาจากการเน้นคำสำคญั ท่ีมีความ สอดคล้องกับคำในพระไตรปิฎกเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักในการเลือกงานวิทยานิพนธ์ท่ี นำมาศึกษา กลา่ วได้ว่า งานวิทยานิพนธเ์ ร่ืองมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ มีหลายมมุ มองเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ขึ้นอยู่กับจุดยืนมุมมองของผู้เป็นเจ้าของงานวิทยานิพนธ์ต่อเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ในมุมหรือ จุดยืนการมองอยู่ท่ีใด ต่อเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ความแตกต่างหรือการสร้างความรู้จากงาน วิทยานิพนธ์ย่อมมีความแตกต่างกันไป ความรู้ความสามารถในการสร้างงานวิทยานิพนธ์มีความ ต่างกันออกไป ทำให้งานวิทยานิพนธ์เรื่องการสังเคราะห์ เป็นไปด้วยความยากท้ังแนวกว้างและ แนวแคบเฉพาะลึกซึ้ง ประกอบกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นเรื่องที่สำคัญย่ิงและมีคุณค่าทาง ปัญญาไมว่ ่าเป็นทางปรยิ ัติ คัมภีร์ ตำรา และทางปฏิบัติภาวนาตามแนวคำสอนครบู าอาจารย์สาย วิปัสสนาภาวนา และผลการศึกษาท่ีผู้วจิ ัยศกึ ษาค้นพบนำไปสู่ขอ้ สรุปของงานวทิ ยานิพนธ์ และผล จากการปฏิบัติตามหลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ จากกาย เวทนา จิต ธรรม ยิ่งทำให้เป็นงาน สังเคราะห์เป็นงานท่ียากที่จะสามารถทำความเข้าใจ เข้าถึง งานวิทยานิพนธ์แต่ละเรื่อง ภายใน เวลาของหลักสูตรการศึกษาระดับปริญญาโท เท่าน้ัน จำต้องมีการศึกษาอย่างต่อเน่ืองต่อไป ต้อง ใช้ระยะเวลายาวนาน งานเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นการศึกษาแนวทางปฏิบัติต้องมีความเข้าใจต่อการ ปฏิบัติ และผู้ศึกษาวิจัยต้องปฏิบัติไปพร้อมกับการศกึ ษาวิทยานิพนธ์เร่ืองน้ีด้วยจึงทำให้การศึกษา งานเรื่องนี้ใช้ระยะเวลานานพอสมควร สร้างความเข้าใจทั้งปริยัติและปฏิบัติเพื่อสู่ความรู้ความ เข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน ๔ การตรวจทานงานวิทยานิพนธ์ระหว่างปริยัติและปฏิบัติด้วยจึงทำให้ เข้าใจย่ิงขึ้นไป ปริยัติและปฏิบัติต้องควบคู่ไปด้วยกันจะทำให้ความเข้าใจ ความเข้าถึง ปัญญาทาง สายเอกได้อย่างแท้จรงิ
๘๐ บทที่ ๓ การวิเคราะหแ์ นวทางปฏบิ ัติด้านมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ เพ่ือเป็นการตอบวตั ถปุ ระสงคข์ อ้ (๒) เพอื่ วิเคราะหแ์ นวทางปฏบิ ัติมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ จาก งานวิทยานิพนธ์ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ โดยนำ งานวิทยานิพนธ์จำนวน ๕๕ เร่ือง นำข้อมูลทั้งหมดของแต่ละเล่มวิทยานิพนธ์ดำเนินการลงข้อมูล และใส่รหัสตามแบบบันทึกข้อมูลตามลักษณะข้อมูลเพื่อจำแนกคุณลักษณะของงานวิทยานิพนธ์ท่ี นำมาศกึ ษาวเิ คราะห์ ไดผ้ ลการศกึ ษา ดงั แสดงรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ ๓.๑ ขอ้ มลู ท่ัวไปของงานวิทยานพิ นธ์ การวิเคราะห์ลักษณะข้อมูลท่ัวไปของงานวิทยานิพนธ์ ได้แก่ ปีพุทธศักราชวิทยานิพนธ์ ด้านสถานภาพผู้ศึกษาวิจัย ด้านระดับปริญญางานวิทยานิพนธ์ และสาขาวิชางานวิทยานิพนธ์ ดงั แสดงรายละเอียดในตารางที่ ๓.๑ ถงึ ๓.๔ ตารางที่ ๓.๑ แสดงจำนวนและร้อยละปีพุทธศกั ราชของงานวิทยานิพนธเ์ รือ่ งมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ปีวทิ ยานิพนธ์ จำนวน (เลม่ ) ร้อยละ ๒๕๔๐ - - ๒๕๔๑ - - ๒๕๔๒ ๑ ๑.๘๑ ๒๕๔๓ - - ๒๕๔๔ ๑ ๑.๘๑ ๒๕๔๕ - - ๒๕๔๖ ๒ ๓.๖๔ ๒๕๔๗ ๑ ๑.๘๑ ๒๕๔๘ ๒ ๓.๖๔ ๒๕๔๙ ๓ ๕.๔๖ ๒๕๕๐ ๑ ๑.๘๑ ๒๕๕๑ ๒ ๓.๖๔ ๒๕๕๒ ๓ ๕.๔๖ ๒๕๕๓ ๓ ๕.๔๖ ๒๕๕๔ ๒๔ ๔๓.๖๓ ๒๕๕๕ ๑๒ ๒๑.๘๑ รวมท้งั สิน้ ๕๕ ๑๐๐.๐๐
๘๑ จากตารางท่ี ๓.๑ แสดงจำนวนและร้อยละปีพุทธศักราชของงานวิทยานิพนธ์เร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยระหว่างปี พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๕๕ ผลการศึกษาพบว่า งานวิทยานิพนธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มากท่ีสดุ จำนวน ๒๔ เรอ่ื ง ร้อยละ ๔๓.๖๓ รองลงมา งานวิทยานิพนธ์ ปี พ.ศ.๒๕๕๕ จำนวน ๑๒ เร่ือง ร้อยละ ๒๑.๘๑ ต่อมาเป็นงาน วิทยานิพนธ์ จำนวน ๓ เร่ือง ร้อยละ ๕.๔๖ เท่ากัน ได้แก่ งานวิทยานิพนธ์ ปี ๒๕๕๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ส่วนงานวิทยานิพนธ์ จำนวน ๒ เร่ือง ร้อยละ ๓.๖๔ เท่ากัน ได้แก่ งานวิทยานิพนธ์ ปี พ.ศ.๒๕๔๖ ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ และปี พ.ศ. ๒๕๕๑ งานวิทยานิพนธ์ จำนวน ๑ เร่ือง ร้อยละ ๑.๘๑ เท่ากัน ได้แก่ งานวิทยานิพนธ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ ปี พ.ศ.๒๕๔๔ ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ และปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ส่วนปี พ.ศ. ไม่มีงานวิทยานิพนธ์ ได้แก่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ และปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามลำดับ ตารางที่ ๓.๒ แสดงจำนวนและร้อยละดา้ นสถานภาพผู้ศึกษาวจิ ยั ในงานวทิ ยานิพนธ์ เรอ่ื งมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั สถานภาพผูศ้ ึกษาวิจยั จำนวน (รูป/คน) รอ้ ยละ ๑. พระภกิ ษุ ๓๔ ๖๑.๘๑ ๒. คฤหสั ถช์ าย ๑๑ ๒๐.๐๐ ๓. คฤหสั ถห์ ญงิ ๙ ๑๖.๓๖ ๔. แมช่ ี ๑ ๑.๘๑ รวมท้ังสน้ิ ๕๕ ๑๐๐.๐๐ จากตารางที่ ๓.๒ แสดงจำนวนและร้อยละด้านสถานภาพผู้ศึกษาวิจัยในงานวิทยานิพนธ์ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า พระภิกษุ จำนวน ๓๔ รูป ร้อยละ ๖๑.๘๑ คฤหัสถ์เพศชาย จำนวน ๑๑ คน ร้อยละ ๒๐.๐๐ คฤหัสถเ์ พศหญิง จำนวน ๙ คน รอ้ ยละ ๑๖.๓๖ แม่ชี จำนวน ๑ คน ร้อยละ ๑.๘๑ ตามลำดบั ตารางท่ี ๓.๓ แสดงจำนวนและร้อยละดา้ นระดบั ปริญญางานวิทยานิพนธ์เร่อื ง มหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ระดับปรญิ ญา จำนวน รอ้ ยละ ๑. ปริญญาโท ๔๘ ๘๗.๒๗ ๒. ปรญิ ญาเอก ๗ ๑๒.๗๒ รวมทัง้ ส้นิ ๕๕ ๑๐๐.๐๐
๘๒ จากตารางท่ี ๓.๓ แสดงจำนวนและรอ้ ยละด้านระดับปรญิ ญาในงานวิทยานิพนธ์เร่ืองมหา สติปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ผลการศึกษาพบวา่ ระดับปริญญาโท จำนวน ๔๘ เรื่อง รอ้ ยละ ๘๗.๒๗ ระดับปริญญาเอก จำนวน ๗ เร่ือง ร้อยละ ๑๒.๗๒ ตามลำดบั ตารางท่ี ๓.๔ แสดงจำนวนและร้อยละดา้ นสาขาวชิ าทจ่ี บการศึกษาของวิทยานพิ นธ์ เรอ่ื งมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั สาขาวิชาทจ่ี บ จำนวน (เล่ม) รอ้ ยละ ๑. สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ๒๙ ๕๒.๗๒ ๒. สาขาวิชาวปิ ัสสนาภาวนา ๒๖ ๔๗.๒๗ รวมท้ังสนิ้ ๕๕ ๑๐๐.๐๐ จากตารางท่ี ๓.๔ แสดงจำนวนและร้อยละด้านสาขาวิชาทจ่ี บการศกึ ษาในงานวิทยานิพนธ์ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จำนวน ๒๙ เร่ือง ร้อยละ ๕๒.๗๒ สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา จำนวน ๒๖ เร่อื ง รอ้ ยละ ๔๗.๒๗ ตามลำดับ ๓.๒ ข้อมูลดา้ นระเบยี บวธิ กี ารวิจยั การวิเคราะห์ลักษณ ะข้อมูลด้านระเบียบวิธีการวิจัย ของงานวิทยานิพนธ์เรื่อง มหาสติปฏั ฐาน ๔ ไดแ้ ก่ ดา้ นลักษณะวตั ถุประสงค์ ดา้ นคำจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ด้านคำจากสารบัญเน้ือหาการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ด้านคำจากเน้ือหาคำนิยามศัพท์ เฉพาะ ด้านลักษณะระเบียบวิธีวิจัยของงานวิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ดังแสดงรายละเอยี ดในตารางที่ ๓.๕ ถึง ๓.๑๐ ตารางท่ี ๓.๕ แสดงจำนวนและร้อยละดา้ นลกั ษณะวัตถุประสงคข์ องงานวทิ ยานิพนธ์ เรื่องมหาสติปฏั ฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ลักษณะวัตถปุ ระสงค์ จำนวน รอ้ ยละ (ข้อวัตถุประสงค)์ [๑] เพอ่ื ศึกษาทั่วไป ๗๘ ๕๑.๖๕ [๒] เพื่อศึกษาวิเคราะห์ ๑๕ ๙.๙๓ [๓] เพื่อศกึ ษาเน้นคมั ภรี ์ ๑๐ ๖.๖๒ [๔] เพ่อื ศึกษาประยุกต์ ๑๐ ๖.๖๒ [๕] เพือ่ ศึกษากรณีเฉพาะคำสอนครูบาอาจารย์ ๑๐ ๖.๖๒
๘๓ ตารางที่ ๓.๕ (ต่อ) ลกั ษณะวัตถปุ ระสงค์ จำนวน ร้อยละ (ขอ้ วัตถุประสงค)์ [๖] เพอ่ื ศึกษาความสัมพนั ธ์ ๙ ๕.๙๖ [๗] เพอื่ ศกึ ษาเปรียบเทียบ ๖ ๓.๙๗ [๘] เพื่อศึกษากรณีเฉพาะสำนกั ปฏบิ ตั ธิ รรม ๖ ๓.๙๗ [๙] เพอื่ ศกึ ษาสร้างและพัฒนา ๕ ๓.๓๑ [๑๐] เพอื่ ศึกษากรณีผวู้ จิ ัยศึกษา/การปฏิบตั ิธรรม ๗ เดอื น ๒ ๑.๓๒ รวมทง้ั สนิ้ ๑๕๑ ๑๐๐.๐๐ จากตารางท่ี ๓.๕ แสดงจำนวนและร้อยละด้านลักษณะวัตถุประสงค์ของงานวิทยานิพนธ์ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยงานวิทยานิพนธ์ในแต่ ละเร่ืองมีการตั้งวัตถุประสงค์ไว้ จำนวน ๒-๔ ข้อวัตถปุ ระสงค์ ในแต่ละเรื่องวิทยานิพนธ์จะมีการต้ัง วัตถุประสงค์ไว้เกิน ๑ ข้อวัตถุประสงค์แต่ไม่เกิน ๔ ข้อวัตถุประสงค์ ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะ วตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษาทั่วไป จำนวน ๗๘ ข้อ ร้อยละ ๕๑.๖๕ มากท่ีสุด วตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษา วิเคราะห์ จำนวน ๑๕ ข้อ ร้อยละ ๙.๙๓ และต่อมาเป็นจำนวนวัตถุประสงค์ ๑๐ ข้อ ร้อยละ ๖.๖๒ เท่ากันได้แก่ วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาเน้นคัมภีร์ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประยุกต์ วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษากรณีเฉพาะคำสอนครูบาอาจารย์ เป็นต้น ส่วนวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา ความสัมพันธ์ จำนวน ๙ ข้อ ร้อยละ ๕.๙๖ และต่อมาเป็นวัตถุประสงค์จำนวน ๖ ข้อ ร้อยละ ๓.๙๗ ได้แก่ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษากรณีเฉพาะสำนักปฏิบัติ ธรรม ต่อมาเป็นวตั ถุประสงคเ์ พื่อศกึ ษากรณีผู้วิจัยศึกษาและการปฏิบัติธรรม ๗ เดือน จำนวน ๒ ขอ้ ร้อยละ ๑.๓๒ ตามลำดบั ตารางที่ ๓.๖ แสดงจำนวนคำตามสติปักฐาน ๔ จากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ทเ่ี กย่ี วขอ้ งในงาน วทิ ยานพิ นธ์เรอ่ื งมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย คำว่า จำนวน (คำ) ร้อยละ “กาย” ๕๖ ๑๔.๐๘ “เวทนา” ๔๖ ๑๑.๕๕ “จติ ” ๖๐ ๑๕.๐๘ “ธรรม” ๒๓๖ ๕๙.๐๙ รวมทง้ั ส้ิน ๓๙๘ ๑๐๐.๐๐
๘๔ จากตารางท่ี ๓.๖ แสดงจำนวนและร้อยละด้านคำจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ท่ีเก่ียวข้องกับงานวิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า คำว่า“ธรรม” จำนวน ๒๓๖ คำ ร้อยละ ๕๙.๐๙ มากที่สุด คำว่า “จิต” จำนวน ๖๐ คำ ร้อยละ ๑๕.๐๘ คำว่า“กาย” จำนวน ๕๖ คำ ร้อยละ ๑๔.๐๘ คำว่า “เวทนา” จำนวน ๔๖ คำ รอ้ ยละ ๑๑.๕๕ ตามลำดบั ตารางที่ ๓.๗ แสดงจำนวนและร้อยละคำจากสารบัญเน้ือหาการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ดา้ น ทเี่ กยี่ วข้องในงานวทิ ยานพิ นธเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย คำว่า จำนวน (คำ) ร้อยละ ๑. ความหมาย ๑๖๕ ๑๙.๘๓ (๑) ๒. หลักการ ๖๓ ๗.๕๗ หลกั การ ๓. ความสำคัญ ๕๒ ๖.๒๕ ๔. แนวคดิ ๓๕ ๔.๒๑ ๕. นยิ าม ๒๑ ๒.๕๒ ๖. การปฏิบัติ ๒๔๘ ๒๙.๘๑ (๒) (๓) ๗. วิธีการ ๙๔ ๑๑.๓๐ วิธีการ ผล ๘. แนวทาง ๔๓ ๕.๑๗ ๙. แนวปฏิบัติ ๒๕ ๓.๐๐ ๑๐.วธิ ีปฏบิ ตั ิ ๑๗ ๒.๐๔ ๑๑.ผล ๖๙ ๘.๒๙ รวมทง้ั ส้นิ ๘๓๒ ๑๐๐.๐๐ จากตารางท่ี ๓.๗ แสดงจำนวนและร้อยละด้านคำจากสารบัญเนื้อหาการทบทวนเอกสาร และวรรณกรรมที่เก่ียวข้องในงานวิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณ ราชวิทยาลัย ผลการศึกษาพบว่า (๑) ด้านหลักการ โดยเนื้อหาจากการทบทวนเอกสารและ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มีจำนวนคำเก่ียวกับ “ความหมาย” จำนวน ๑๖๕ คำ ร้อยละ ๑๙.๘๓ มากท่ีสุด คำว่า“หลักการ” จำนวน ๖๓ คำ ร้อยละ ๗.๕๗ คำว่า “ความสำคญั ” จำนวน ๕๒ คำ ร้อยละ ๖.๒๕ คำว่า“แนวคิด” จำนวน ๓๕ ร้อยละ ๔.๒๑ คำว่า “นิยาม” จำนวน ๒๑ คำ ร้อยละ ๒.๕๒ ตามลำดับ (๒) ด้านวิธีการ โดยเน้ือหาจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ที่เกยี่ วข้อง มจี ำนวนคำเกี่ยวกับ “การปฏบิ ตั ิ” จำนวน ๒๔๘ คำ ร้อยละ ๒๙.๘๑ มากท่ีสดุ คำว่า “วิธีการ” จำนวน ๙๔ คำ ร้อยละ ๑๑.๓๐ คำว่า “แนวทาง”จำนวน ๔๓ คำ ร้อยละ ๕.๑๗
๘๕ คำว่า “แนวปฏิบัติ” จำนวน ๒๕ คำร้อยละ ๓.๐๐ คำว่า“วิธีปฏิบัติ” จำนวน ๑๗ คำ ร้อยละ ๒.๐๔ (๓) ด้านผล โดยเนื้อหาจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มจี ำนวนคำเก่ยี วกบั “ผล” จำนน ๖๙ คำ ร้อยละ ๘.๒๙ ตารางที่ ๓.๘ แสดงจำนวนและร้อยละดา้ นคำจากเนือ้ หาคำนยิ ามศัพท์เฉพาะในงานวทิ ยานิพนธ์ เรื่องมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คำว่า จำนวน (คำ) ร้อยละ “กาย” ๕๘ ๑๒.๔๐ “เวทนา” ๓๕ ๗.๔๘ “จิต” ๑๔๐ ๒๙.๙๑ “ธรรม” ๒๓๕ ๕๐.๒๑ รวมทง้ั สน้ิ ๔๖๘ ๑๐๐.๐๐ จากตารางที่ ๓.๘ แสดงจำนวนและร้อยละด้านคำจากลักษณะนิยามศัพท์ในงาน วิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผลการศึกษา พบว่า คำว่า“ธรรม”มีจำนวนคำมากท่ีสุด ๒๓๕ คำ ร้อยละ ๕๐.๒๑ คำว่า“จิต”มีจำนวน ๑๔๐ คำ ร้อยละ ๒๙.๙๑ คำว่า“กาย”มีจำนวน ๕๘ คำ ร้อยละ ๑๒.๔๐ คำว่า“เวทนา”มีจำนวน ๓๕ คำ ร้อยละ ๗.๔๘ ดังน้ันจะเห็นได้ว่า ในงานวิทยานิพนธ์จะเน้นศึกษาการนิยามศัพท์ท่ีเป็นเร่ือง เก่ียวกบั ดา้ นธรรม มากท่สี ุด รองลงมา เป็นเรอ่ื งเก่ียวกบั ดา้ นจติ และ ดา้ นกาย ดา้ นเวทนา ตารางท่ี ๓. ๙ แสดงจำนวนและรอ้ ยละด้านคำจากนยิ ามศัพท์เฉพาะในงานวทิ ยานิพนธ์ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั คำวา่ จำนวน (คำ) ร้อยละ ๑. “สติ” ๑๘๘ ๑๘.๒๙ ๒. “ปญั ญา” ๑๒๗ ๑๒.๓๕ ๓. “วิปัสสนา” ๑๒๕ ๑๒.๑๖ ๔. “รปู ” ๙๘ ๙.๕๓ ๕. “กำหนด” ๗๘ ๗.๕๙ ๖. “ญาณ” ๗๗ ๗.๔๙ ๗. “ภาวนา” ๕๖ ๕.๔๕ ๘. “อารมณ”์ ๕๕ ๕.๓๕ ๙. “สภาวะ” ๓๙ ๓.๗๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 552
Pages: