ภาคผนวก ๑๙๗ ภาวนา คือ แผ่ไมตรีจิต คิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขท่ัวหน้า จตุรารักขกัมมัฏฐานเป็นสัพพัตถก กัมมัฏฐาน เพราะเป็นกัมมัฏฐานเบื้องต้นท่ีผู้ปฏิบัติ ควรกระทำเป็นอันดับแรก เพื่อเจริญคุณความดีที่ ย่งิ ๆ ขนึ้ ไปดว้ ยความไมป่ ระมาท หลักจตุรารักขกัมมัฏฐานในพระไตรปิฎก คือ การแยกจตุรารักขกัมมัฏฐานออกเป็นประเด็น ดังน้ีประเด็นที่ ๑ เร่ืองอสุภกัมมัฏฐาน และมรณานุสสติ อยู่ในหมวดสัญญา ๑๐ ประเด็นท่ี ๒ เร่ือง พุทธานุสสติ มรณานุสสติ และกายคตาสติ อยู่ในหมวดอนุสติ ๑๐ ส่วนเมตตากัมมัฏฐานนั้นพบใน พรหมวิหาร ๔ จะเห็นว่า มรณานุสสติจะไม่เกิด ในหมวดพรหมวิหาร แต่มรณานุสสติจะเกิดกับ กมั มัฏฐานทง้ั ๓ ยกเว้นหมวดพรหมวิหาร หลักจตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา คือ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค อสุภะ ๑๐ คือ สภาพอันไม่สวยงาม เป็นการพิจารณาซากศพโดยอาการต่างๆ เพื่อให้จิตคลายจากความยึดม่ันว่าเป็น ของสวยงาม มี ๑๐ ประการ อนุสติ ๑๐ คือ สติอันมีลักษณะให้ระลึกเนืองๆ ในพระพุทธคุณเป็นต้น มี ๑๐ อย่าง มรณานุสสติ คอื ระลึกถึงความตายมี ๓ ประการ คอื (๑) สมุจเฉทมรณะ ไดแ้ ก่ พระ อรหัตอันตัดเสียซึ่งวัฏฏทุกข์ กิจท่ีให้สำเร็จแก่พระอรหันต์ตัดทุกข์ให้สังสารวัฏได้ขาดนั้น (๒) ขณิ กมรณะ คือสังขารธรรมอันดับอันทำลายทุกๆ ภวังขณะ มี ๓ ขณะ มีอุปาทะ ฐิติ และภังคะ (๓) สมมุติมรณะ คือความตายอันสมมุติโลกโวหารร้องเรียกว่า ต้นไม้ตายเป็นต้น สมมุติมรณะ มรณะทั้ง ๓ ประการน้ี พระโยคาวจรอย่าได้ประสงค์เอาเป็นอารมณ์ ในกาลเม่ือเจริญมรณานุสสติ กัมมัฏฐาน ในท่ีอันน้ีมคี ำ ฎีกาอธบิ ายไว้วา่ สมจุ เฉทมรณะน้ันมีนอ้ ย ฝ่ายขณิกมรณะ คือความเกิด ดบั เนืองๆ และ สมมุติมรณะ คือทองแดงตาย เหล็กตายเป็นต้น ซ่ึงไม่ได้เป็นที่เกิดแห่งธรรมสังเวช ดังน้ัน มรณะท้ัง ๓ ประการจึงไม่ควรที่พระโยคาวจรจะเอาเป็นอารมณ์ เม่ือเจริญมรณานุสสติกัมมัฏฐาน เมตตา กัมมัฏฐาน พระพุทธองค์ตรัสสอนภิกษุท้ังหลายว่า เมตตาเจโตวิมุตติที่บุคคลเสพเจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้งแล้ว ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว พึงหวังได้อานิสงส์ ๘ ประการ ซ่ึงผู้มีสติตั้งม่ัน เจริญเมตตาแผ่ไปไม่มีประมาณ พิจารณาเห็นธรรมเป็นท่ีสิ้นอุปธิ (บรรลุ อรหตั ตผลอันเปน็ ท่สี ิ้นกเิ ลสตามแนวทางการเจริญวปิ ัสสนา ที่มีเมตตาเปน็ พนื้ ฐาน) หลักจตุรารักขกัมมัฏฐานในคัมภีร์อ่ืนๆ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) และธนิต อยู่ โพธ์ิ อธิบายตามแนวของ หลวงพ่อพุทธทาส ว่า จตุรารักขกัมมัฏฐาน เป็นสัพพัตถกกัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานท่ีพึงต้องการในที่ท้ังปวง หรือพึงใช้เป็นฐานของการเจริญภาวนาทุกอย่าง กัมมัฏฐานท่ีเป็น ประโยชน์ในทุกกรณี เมตตาภาวนาเปน็ บาทในการปฏิบัติวิปสั สนา ธรรมชาติของจิตน้ันมีแต่ความดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ถ้าหากว่าไม่มีกัมมัฏฐานมาเป็นอารมณ์ กิเลสก็จะจูงจิตไปในทางชั่วทางผิดได้ โดยงา่ ย แตถ่ ้าหากว่ามีกัมมัฏฐานมารักษาจิตเอาไว้ตามสมควร กัมมัฏฐานทร่ี ักษาจิตไว้นกี้ ็จะชว่ ยรกั ษา บุคคล ไม่ให้ตกไปสู่อำนาจของอารมณ์และกิเลสได้โดยง่าย ในสังคมปัจจุบัน อารมณ์และความกิเลส คือ ความโกรธซ่ึงนำไปสู่ความขัดแข้งในทุกระดับ อันเป็นผลมาจากยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากขัดแข้งอัน เกิดจากแย่งชิงทรัพยากรและผลประโยชน์แล้ว มนุษย์ในยุคปัจจุบัน อันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่ กระจายไปท่ัวโลกอย่างมหาศาล นำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิด การประยุคหลักเมตตาภาวนา คือ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงน่าจะเป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ฉะนั้น เพ่ืออบรมจิตดังกล่าวจา เป็น อย่างย่ิงต้องอาศัยกัมมัฏฐานที่เหมาะสม จตุรารักขกัมมัฏฐานจัดเป็นสัพพัตถกกัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานท่ีพึงต้องการในที่ท้ังปวง หรือพึงใช้เป็นฐานของการเจริญภาวนาทุกอย่าง กัมมัฏฐานท่ีเป็น
ภาคผนวก ๑๙๘ ประโยชน์ ในทกุ กรณี ใช้ไดก้ ับทุกจรติ และเป็นกัมมัฏฐานทีค่ รูบาอาจารย์ ผู้สอนกัมมัฏฐานมักจะพูด ถงึ กอ่ น ดงั นั้น ผูว้ ิจยั จึงสนใจในการศึกษาหลักธรรมในจตุรารักขกัมมฏั ฐาน ทปี่ รากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา เถรวาท โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาแต่ความสุขเกลียดความทุกข์ฉันใด สัตว์หมู่ อื่นก็ปรารถนาความสุขเกลียดในความทุกข์เหมือนกัน เมื่อเห็นดังน้ีแล้วจิตของโยคาวจรน้ัน ก็ ปรารถนาทจ่ี ะให้สตั วท์ ั้งหลายมีความสุขความเจริญ ดังน้ัน จึงให้พระโยคาวจรต้ังเมตตาในตนกอ่ น เมื่อ ตั้งเมตตาในตนแล้ว ลำดบั น้ันบุคคลผู้ใดเป็นท่ีรกั ท่ีชอบใจแห่งตนและเป็นทสี่ รรเสริญ คือ เป็นอาจารย์ ตนและคนเสมอกับอาจารยด์ ้วยศีลคณุ เปน็ ตน้ ก็ดี และอปุ ัชฌาย์แห่งตนและคนมีคณุ เสมอกับอุปัชฌาย์ ด้วยศีลคุณเป็นต้นก็ดี ให้พระโยคาวจรเจรญิ เมตตาไปในบุคคลผ้นู ้ัน ระลึกถึงคณุ ท่านท่ีเคยให้ปนั สงิ่ ของ แก่ตน เคยกล่าววาจาเปน็ ท่ีรักแก่ตนแตใ่ นกาลก่อน มิฉะน้ัน พึงระลึกซ่ึงคุณมีสภาวะเปน็ ที่เคารพเปน็ ท่ี สรรเสริญ มีศีลคุณและสุตคุณเป็นต้นแห่งบุคคลผู้นั้น เพ่ือจะให้เมตตาเป็นไปได้ง่าย พึงเจริญเมตตา พรหมวิหารไปในบุคคลผู้นั้นโดยนัยเป็นตน้ ว่า “เอส สปฺปุริโส สุขิโต โหตุ นิททฺ ุกฺโข” ความว่า ทา่ นผู้ เป็นสัตบุรุษน้ัน จงเป็นสุขปราศจากทุกข์ บริกรรมภาวนา เจริญไปเนือง ๆ เมื่อเจริญเมตตาไปใน อุปชั ฌายอ์ าจารย์ผู้สั่งสอนแล้ว ตอ่ ไปใหเ้ จริญเมตตาไปในบคุ คลอันเป็นที่รกั มีบดิ ามารดาเป็นต้น จงึ แผ่ เมตตาไปในบุคคลอันตนมิได้รักมิได้ชัง เป็นกลางๆ ลำดับน้ันจึงแผ่เมตตาไปในบุคคลผู้เป็นเวร เม่ือแผ่ เมตตาในบุคคลอันเป็นเวรน้ัน ถ้าจิตน้ันตั้งเมตตาลงไม่ได้ อาศัยว่า ความคิดแค้นอยู่ดว้ ยเหตุหนหลังคิด ข้ึนมาถึงความหลงั แล้ว มีความโกรธบังเกิดข้ึนมาไม่เมตตาลงได้ ก็พึงกลับระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก มี ครูอุปัชฌาย์อาจารย์เป็นต้น แล้ว ภายหลังจึงแผ่เมตตาไปในบุคคลอันเป็นเวรนั้น ถ้าจิตยังมีความโกรธ อยู่ ก็พึงให้โอวาทความส่ังสอนตนว่า“อเร กุชฺฌนปุริส” ความว่า แน่ะบุรุษผู้มักโกรธท่านไม่ได้ฟังพระ ธรรมเทศนาบ้างเลย หรือประการใด จึงมาเป็นเช่นนี้ นี่แน่ท่านเอ๋ย พระพุทธองค์ทรงพระมหากรุณา โปรดไว้ว่า มหาโจรอันร้ายกาจหยาบช้าตัดเสียซึ่งอวัยวะใหญ่น้อยของบุคคลผู้ใด ด้วยเลื่อยอันคมกล้า กระทำ ให้ลำบากเวทนาแทบปางตาย ถ้าผนู้ ้ันมีใจโกรธแก่โจรท้ังหลายอันทำร้ายแกต่ นแล้ว ผนู้ ั้นจะได้ ชื่อว่า กระทำตามคำสั่งสอนพระตถาคตหามิได้ ผู้ใดแลโกรธตอบแก่บุคคลผู้โกรธก่อนผู้น้ันช่ือว่า เลว กว่าบุคคลผโู้ กรธก่อน บุคคลผู้ใดเห็นเขาโกรธมิไดโ้ กรธตอบ อดทนอดกล้ันบรรเทาเสียได้ ผ้นู ้ันได้ชื่อว่า ชนะสงครามอันใหญ่หลวงยากท่ีผู้อ่ืนจะผจญได้ ความไม่ได้โกรธตอบน้ัน ชื่อว่า ประพฤติให้เป็น ประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ท่านอธบิ ายวา่ คนที่ไมโ่ กรธนน้ั ยอ่ มมีใจเย็นไม่เดอื ดร้อนพลุ่งพล่านระ ส่าระสาย ความสบายนั้นมีมาก เพราะ มีสันดานน้ันเย็นแล้ว จะเป็นท่ีสรรเสริญแห่งนักปราชญ์ผู้มี ปัญญา จะเป็นท่ีรกั ใคร่แห่งสรรพเทวดามนุษย์ถ้วนหน้า โรคาไข้เจ็บจะมีน้อย คนท่ีผูกพยาบาทอาฆาต จองเวรแก่ตนนน้ั จะมนี ้อย เมอื่ ดับจิตนนั้ ก็จะได้สติ ตายแล้วก็จะได้ไปบังเกดิ ในสวรรค์ บุคคลผู้มิได้โกรธ ตอบแก่คนท่ีโกรธก่อนนั้น จะเป็นประโยชน์ตน ที่ว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่ืนนั้น คือเขาโกรธตนๆ ไม่ โกรธ แล้วเขาจะโกรธไปได้ไม่นาน ความโกรธของเขาก็จะรางับไป เมื่อความโกรธของเขารางับไปแล้ว เขาจะไดร้ บั ความสบาย อย่างนช้ี ือ่ วา่ กระทา ใหเ้ ปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ูอ้ น่ื ดงั พรรณนามานี้ ถ้าความโกรธยังไม่ระงับลงพึงสอนตนด้วยนัยอ่ืนว่า พระศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาไว้ว่า “ฉวา ลาต อุภโตปทิตฺต” ความว่า ฟืนอันบุคคลเผาผีมีไฟติดท้ังข้างโน้นข้างน้ี มีกลางเปื้อนไปด้วยคูถน้ันไม่มี ใครหยิบใครตอ้ ง ไม่ได้สำเรจ็ กิจเป็นฟืนในบ้านในป่า จะต้องท้ิงอยู่เปลา่ หาประโยชน์มิได้ฉันใด ผใู้ ดเห็น เขาโกรธแล้วโกรธตอบ ผู้นั้นชื่อว่า กระทำตนให้หาคุณมิได้ มีอุปมัย ดังน้ัน เมื่อส่ังสอนตนอย่างนี้ ถ้า ความโกรธยังมิไดร้ ะงับ พึงพิจารณาเอาเย่ียงอยา่ งพระพุทธเจ้า เม่ือพระองคย์ ังเป็นพระบรมโพธิสตั ว์ผู้มี ขันติ ให้ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเม่ือเสวยพระชาติเป็นพระยาสิลวราชรักษาศีลบริสุทธิ์ อามาตย์ผู้หนึ่งใจ
ภาคผนวก ๑๙๙ บาปหยาบชา้ ประทษุ รา้ ยในพระราชเทวี จงึ ไปพาพระยาปัจจามิตรมาจับพระองคก์ บั อามาตยพ์ ันหน่ึงไป ฝังเสีย ในป่าช้าผีดิบประมาณเพียงพระคอประสงค์จะปลงพระชนม์ให้ส้ินสูญ พระองค์ก็มิได้มีใจ ประทุษร้ายต้ังขันติเป็นเบื้องหน้า คร้ันเวลากลางคืนสุนัขจ้ิงจอกมาสู่ป่าช้าจะกินซากอสุภะ เข้าไปใกล้ พระบรมโพธิสัตว์จะกินพระองค์ๆ เอาคางทับไว้สุนัขจ้ิงจอกคุ้ยดินลงไปจนพระองค์ข้ึนได้ ขดุ อา มาตย์ ข้ึนส้ินท้ังพันเทพยาดาก็พาพระองค์มาส่งถึงปราสาท พระองค์ก็มิได้ประทุษร้ายตั้งพระยาปัจจามิตรไว้ ในท่ีเป็นมิตร สำหรับในลำดับตอ่ ไปพระพทุ ธองค์สอนวิธีการฝึกแผ่เมตตาว่า ผูแ้ ผ่เมตตาจะยืน เดิน น่ัง หรือนอน ควรตั้งสติ (หมายถึง เมตตาฌานัสสติ คอื สตทิ ่ีประกอบด้วยเมตตาฌาน) น้ีไว้ ตลอดเวลาท่ี ยังไม่ง่วง นักปราชญ์เรียกการอยู่ด้วยเมตตานี้ว่า พรหมวิหาร จากใจความดังกล่าว หมายความว่า ผู้ เจริญวิปัสสนาภาวนาแบบสมถนำหน้าวิปัสสนาตามหลัง คือ ในขณะยืนก็เจริญเมตตาอยู่แล้วเจริญ วิปัสสนาต่อท้ายว่า ยืนหนอๆๆ เพ่ือเจริญวิปัสสนาขณิกสมาธิ น่ังก็เจริญเมตตาอยู่แล้วเจริญวิปัสสนา กำหนดรู้น่ังว่า น่ังหนอๆๆ เพ่ือเจริญวิปัสสนาขณิกสมาธิ เดินก็เจริญเมตตาอยู่แล้วเจริญวิปัสสนา กำหนดรู้อาการเดินวา่ ซา้ ยย่างหนอ ขวาย่างหนอเป็นตน้ เพ่ือเจริญวิปัสสนาขณกิ สมาธิ และนอนก็เจริญ เมตตาอย่แู ล้วเจริญวปิ ัสสนากาหนดร้รู ปู นอนว่า นอนหนอๆๆเพือ่ เจรญิ วปิ ัสสนาขณิกสมาธิ
ภาคผนวก ๒๐๐ รหัส ๔๗-๕๕ แบบบนั ทกึ ข้อมลู งานวทิ ยานิพนธ์ ช่ือวทิ ยานิพนธ์ การวิเคราะห์จรติ ๖ กับการปฏิบัตธิ รรม ในพระพทุ ธศาสนา ผู้วจิ ยั (An Analysis of the Six Temperaments And Dhamma Practice in Buddhism) ปริญญา พระศรศักดิ_ สงวฺ โร (แสงธง) ปี พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วัตถปุ ระสงค์ ๒๕๕๕ การทบทวน ๑. เพื่อศกึ ษาจริต ๖ ในพระพุทธศาสนา เอกสารและ ๒. เพอ่ื ศกึ ษาหลกั การปฏิบตั ธิ รรม ในพระพทุ ธศาสนา งานวจิ ัยที่ ๓. เพื่อศึกษาวเิ คราะห์ความสัมพนั ธข์ องจริต ๖ กับการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เกยี่ วข้อง ๑. จริต ๖ ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ความหมายของจริต ประเภทของจริต จริต ๖ ใน นิยามศัพท์ พระพุทธศาสนา ความเป็นมาของจรติ ๖ ลกั ษณะเฉพาะของจริต ๖ สาเหตุแห่งการเกิดจริต ๖ ความสำคัญของจรติ ๖ในพระพุทธศาสนา ๒. หลักการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ความหมายและความสำคัญของการปฏิบัติธรรม ความหมายของกรรมฐาน ประเภทของการปฏิบตั ิธรรม ความหมายของสมถกรรมฐาน อารมณ์ สมถกรรมฐาน วิธีปฏิบัติสมถกรรมฐาน ความหมายของวิปัสสนากรรมฐาน อารมณ์วิปัสสนา กรรมฐาน หลักวิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม อานิสงส์ของการ ปฏบิ ตั สิ มถกรรมฐาน อานสิ งสข์ องการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ๓. วิเคราะห์จริต ๖ กับการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ได้แก่ วิเคราะห์จริต ๖ กับการปฏิบัติ ธรรม วิเคราะห์ราคะจริต กับการปฏิบัติธรรม วิเคราะห์โทสจริต กับการปฏิบัติธรรม วเิ คราะห์โมหะจริต กับการปฏิบัติธรรม วิเคราะห์สัทธาจริต กับการปฏิบัติธรรม วิเคราะห์พุทธิ จริต กับการปฏิบัตธิ รรม วิเคราะห์วติ กจริต กับการปฏิบัติธรรม วิเคราะห์จริต ๖ กับการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน วิเคราะห์จริต ๖ กับการปฏิบัติธรรมจากข้อมูลการสัมภาษณ์ จริต ๖ ใน ทัศนะของพระวิปัสสนาจารย์และกลุ่มผู้เข้าปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมในทัศนะของพระ วิปัสสนาจารย์และผู้เข้าปฏิบัติธรรม วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของจริต ๖ กับการปฏิบัติธรรมใน ทัศนะของพระวปิ ัสสนาจารย์และผเู้ ข้าปฏิบัติธรรม ผลที5ได้จากการปฏิบัติธรรมที5เหมาะสมกับ จริต ๖ ๑. จริต ๖ หมายถงึ ความประพฤติปกติ, ความประพฤติซึ่งหนักไปทางใดทางหน่ึงอันเปน็ ปกตปิ ระจำ อยู่ในสันดาน พ้ืนเพของจิต อุปนิสัย พ้ืนนิสัย แบบหรือประเภทใหญ่ ๆแห่งพฤตกิ รรมของคน ตัว ความประพฤติเรียกว่า จริยา บุคคลผู้มีความประพฤติอย่างนั้นๆ เรียกว่าจริต มี ๖ คือ ๑) ราค จริต หมายถงึ ผู้มีราคะเป็นความประพฤตปิ กติ ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม ๒) โทสจริต หมายถึง ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ ประพฤติหนักไปทางใจร้อนหงุดหงิด ๓) โมหจริต หมายถึง ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางเขลาเหงาซึม งมงาย ๔) สัทธา จริต หมายถึง ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางมีจิตซาบช่ืนบาน น้อมใจ เล่ือมใสโดยง่าย ๕) พุทธิจริต หรือ ญาณจริต หมายถึง ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนกั ไปทางใช้ความคิดพิจารณา ๖) วิตกจรติ หมายถึง ผมู้ วี ิตกเป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนกั ไปทางนกึ คิด จบั จด ฟุง้ ซา่ น ๒. การปฏิบัติธรรม หมายถึง การอบรมเจริญปัญญา การทำให้เกิดมีข้ึน การฝึกอบรมจิตใจ การ
ภาคผนวก ๒๐๑ ประชากรและกลุ่ม ปฏิบตั ิธรรมในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คือ ๑) สมถกรรมฐาน คอื กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ตัวอย่าง ได้แก่การปฏิบัติธรรมด้วยการบริกรรม เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดยใช้สมาธิเป็นหลัก ไม่ เกี่ยวกับการใช้ปัญญาและ มุ่งให้จิตสงบ ระงับจากนิวรณ์ซึ่งเป็นตัวขัดขวางจิตไม่ให้บรรลุความดี วธิ ดี ำเนินงานวจิ ัย เป็นสำคญั (การฝึกอบรมจติ ใหเ้ กดิ ความสงบ, การฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตใจสงบให้มคี วามสขุ ให้จติ ใจ รวบรวมข้อมูล ดี) ๒) วิปัสสนากรรมฐาน คือ กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา กรรมฐานทำให้เกิดการรู้แจ้ง เห็นจริง หมายถึงการปฏิบัติธรรม ที่ใช้สติเป็นหลัก (การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตาม สรุปผลการวิจัย เป็นจริง การเจริญปัญญา มุ่งให้เห็นความจรงิ ของกาย ใจ วา่ กายน้ี ใจนี้ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มนั ไม่ใช่ตวั ตนทแี่ ทจ้ รงิ มใิ ช่ตวั เรา) ๓. กรรมฐาน หมายถงึ ที่ต้งั แหง่ การงาน อารมณอ์ ันเป็นทตี่ ัง้ ของใจ อุบายทางใจวธิ ฝี กึ อบรมจติ ๔. พระวิปัสสนาจารย์ หมายถึง พระภิกษุผู้สอนการปฏิบัติกรรมฐานตามหลักคำสอนของ พระพุทธศาสนา โดยที_พระวิปัสสนาจารย์ต้องมีคุณสมบัติ ๑.ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการ อบรมโดยผู้บังคับบัญชาระดับจังหวัด ๒ .ผ่านการอบรมหลักสูตรพระวปิ ัสสนาจารย์ จากกรมการ ศาสนา โดยในการวิจัยทั้งหมด ๒ รูป คือ ๑) พระธรรมมังคลาจารย์ (หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล) วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหารจังหวัดเชียงใหม่ ๒) พระครูภาวนาวิรัช (สุพันธ์ อาจิณฺณสีโล) วดั ร่ำเปิง (ตโปทาราม) จงั หวดั เชียงใหม่ ๕. ผู้ปฏิบตั ิธรรม หมายถึง ผทู้ ี่เขา้ ปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบตั ิธรรมสังกดั พระวปิ ัสสนาจารย์ ทผี่ ู้วจิ ัย จะทำการสัมภาษณ์ มีรายละเอียดดังนี้ ๑) ผู้เขา้ ปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรม วัดพระธาตุศรี จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่จำนวน ๑๐ รูป/คน ๒) ผู้เข้าปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรม วัดร่ำ เปงิ (ตโปทาราม) จงั หวดั เชยี งใหมจ่ ำนวน ๑๐ รูป/คน เป็นการสัมภาษณ์พระวิปัสสนาจารย์ในสำนักปฏิบัติธรรม ท่ีมีช่ือเสียงและเป็นท่ียอมรับใน พระพุทธศาสนาจำนวน ๒ ท่าน กลุ่มผู้เข้าปฏิบัติธรรมอีกกลุ่มละ ๑๐ รูป/คนจำนวน ๒ กลุ่ม ดังนี้ .๑ พระวิปัสสนาจารย์ ได้แก่ ๑) พระธรรมมังคลาจารย์ (ทอง สิริมงฺคโล) วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหารจังหวัดเชียงใหม่ ๒) พระครูภาวนาวิรัช (สุพันธ์ อาจิณฺณสีโล) วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) จังหวัด เชียงใหม่กลุ่มผู้เข้าปฏิบัติธรรม ได้แก่ ๑) ผู้เข้าปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรม วัดพระธาตุศรี จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑๐ รูป/คน ๒) ผู้เข้าปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรม วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) จังหวัดเชยี งใหมจ่ ำนวน ๑๐ รูป/คน การวจิ ยั เชงิ เอกสารและเชงิ คุณภาพ ก. ในการศึกษาภาคเอกสาร ผู้ศึกษาได้รวบรวมเนื้อหาที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา วิสุทธิมรรค เอกสารวิชาการ ตำราและเอกสาร อ่ืนๆ รวมท้ัง งานวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง แล้วนำมาเขียนเป็นแบบบรรยายเชงิ พรรณนา ข. ในการศกึ ษาภาคสนาม คือ ๑) เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์พระวิปัสสนาจารย์ จำนวน ๒ ท่าน และกลุ่มผู้เข้าปฏิบัตธิ รรมอีกกลุ่มละ ๑๐ รูป/คน จำนวน ๒ กลุ่ม โดยการจดบันทึกและใช้อุปกรณ์ในการบันทึกเสียงสัมภาษณ์และ บันทึกภาพถ่ายข้อมูลที_ได้อย่างละเอียดเก่ียวกับความสัมพันธ์ของจริต ๖ กับการปฏิบัติธรรม ๒) เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติธรรม แล้วบันทึกข้อมูลท่ีได้อย่างละเอียดเกี่ยวกับความ เปล่ียนแปลงทงั้ ก่อนและหลัง และผลท่ีไดจ้ ากการฝึกปฏบิ ัติธรรม จรติ ๖ ถือว่าเปน็ หลักพุทธธรรม ท่ีสำคัญหมวดหนึ่งในพระพุทธศาสนา และเปน็ ที่นิยมศึกษากันมากใน ปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถงึ เร่ืองของจริต ๖ หมายถึง ลักษณะพ้ืนเพนิสัยของมนุษย์ ทแ่ี ตกต่างกัน ไป ในทางพระพุทธศาสนา เม่ือได้ศึกษาและสำรวจจริตในตนเองก็จะหากิจกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนา
ภาคผนวก ๒๐๒ ปัญญา ซึ่งในเบื้องต้นของการกล่าวถึงจริต ๖ พบว่า มีจุดประสงค์ ที่มุ่งเน้นไปสู่การเตรียมตัวเพ่ือ พัฒนาปัญญาของบคุ คล ทม่ี ีจริตต่างกัน แลว้ เลอื กแนวทางการเจริญสมถกรรรมฐาน ๔๐ ประการ เป็น หลักใหญ่ โดยอ้างอิงหลักฐานที่พบในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาแต่ผู้วิจัยมีความเห็นว่าเนื่องด้วย ปัจจุบัน แนวทางของการเจริญสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ ไม่เป็นท่ีนิยมในการปฏิบัติจริง มีแต่ เพียงเป็นส่วนของการศึกษาในพระไตรปิฎก ที่อ้างถึงเท่า น้ัน ส่วนการเจริญวิปัสสนาน้ัน เป็นท่ี แพร่หลายและเป็นที่นิยมมากตามสำนักปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญ วิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางของสติปัฏฐาน ๔ :ซึ่งสติปัฏฐาน เป็นทั้งสมถะ และวิปัสสนา โดยสติ ปัฏฐานในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มักมีแนวโน้มเป็นท้ังสมถะและวิปัสสนาในตัว คือเม่ือ ปฏิบัตแิ ล้วมักนำไปสู่ความสงบ แต่ขณะเดียวกนั ก็สามารถทำให้ผู้ภาวนาเห็นสภาวธรรมตามความเป็น จริงได้ จงึ สามารถสรปุ ไดว้ ่า สติปัฏฐานรวมท้ังการปฏบิ ัติแบบสมถะและวิปสั สนาไว้ด้วยกัน บุคคลท่ีจะ บรรลุธรรมได้อาจใช้แนวทางเจริญสมถะนำหน้า วิปัสนานำหน้า หรือควบคู่กันก็ได้ สติปัฏฐาน เป็น ธรรมหมวดท่ีรวบรวมแนวทางการปฏิบัติสำหรบั ทุกๆคน ทุก ๆ จริต เอาไว้ในที_เดียวกันโดยร้อยเรยี ง กันเป็น ๔ หมวดใหญ่ ๒๑ หมวดย่อย ให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของแต่ละคน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ น้ันก็มีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับจริตอีกประเภทหน่ึงในพระพุทธศาสนา คือ แนวทางของจรติ ๒ ปรากฏในคัมภีร์เนติปกรณ์และอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร ซ่ึงถอื ว่ามีตน้ กำเนิด มาในสมัยพุทธกาลเหมือนกันและเก่าแก่พอ ๆ กับเรื่องของจริต ๖ อีก เม่ือศึกษาคุณลักษณะเฉพาะ ของแต่ละจริตแล้วมีความสอดคล้องกันและสามารถสังเคราะห์เข้ากลุ่มเดียวกันเพื่อเลือกแนวทางใน การเจริญกรรมฐานได้อีกทางหน่ึงคือไม่เฉพาะแต่การกล่าวถึงจริต ๖ เพ่ือเลือกแนวทางในการเจริญสม ถกรรมฐานเท่านนั้ แต่ยังสมารถเช่ือมโยงและสมั พันธ์กับการเลือกแนวทางวิปัสสนากรรมฐานได้อีกด้วย ข้อมูลจากการสัมภาษณ์พระวิปัสสนาจารย์กับกลุ่มผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวนทั้งหมด๒๒ รูป/คน สามารถช้ีให้เห็นได้ว่าในปัจจุบันการที่เราจะมาปฏิบัติธรรมแต่ละคนอาจจะมีปัญหา ความทุกข์ ความเครียดวิตก มาก่อน แล้วเข้ามาปฏิบัติธรรม เพื่อต้องการจะแก้หรือดับความทุกเหล่านั้น ให้หมด สิ้นไป ในปัจจุบันน้ี การท่ีจะเข้ามาปฏิบัติธรรมแทบจะไม่ต้องเน้นเลยว่าคนไหนมีจริตแบบใด เพราะ หากคนทุกคนมีความตั้งใจ และมีความศรัทธาไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรมในรูปแบบใดก็ย่อบังเกิดผล บรรลุตามจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ ประโยชน์หรอื ผลท่ีได้รับตามมานั้นก็คอื การได้ยึดหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพ่ือให้เกิดความสุข ความสบายใจ การอยู่ร่วมกันใน สังคมอย่างสงบสุข และเกิดสันติภาพ ด้วยเหตุผลดัง ท่ีกล่าวมาในข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้พยายาม รวบรวมประมวลความรู้จากการศึกษาใน จริต ๖ และองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรื่องการปฏิบัติ ธรรมในพระพุทธศาสนามาวเิ คราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจริต ๖ กับการปฏบิ ัติธรรม เพ่ือมุ่งหวังให้ พุทธศาสนิกชนและมนุษย์ทุกคนผู้ใฝใ่ นการศึกษาและปฏิบัติ นำไปใช้ในการดำเนินชีวติ ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม อันเป็นไป เพ่ือการพัฒนาปัญญา และศักยภาพของตนเอง สอดคล้องกับการดำเนิน ชวี ติ ในปัจจบุ นั
ภาคผนวก ๒๐๓ รหสั ๔๘-๕๕ แบบบันทกึ ขอ้ มลู งานวิทยานิพนธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ การศึกษาการเจรญิ เวทนานปุ ัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ผวู้ ิจยั (VEDANĀNUPASSANĀ IN THERAVĀDA BUDDHISM) ปรญิ ญา พระอนชุ าอนุชาโต (นามจนั ทร)์ ปี พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาพระพุทธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วตั ถุประสงค์ ๒๕๕๕ การทบทวน ๑. เพื่อศกึ ษาเวทนานุปัสสนาในคมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท เอกสารและ ๒. เพ่อื ศึกษาหลักธรรมทเี่ ก่ียวขอ้ งและสนบั สนุนการเจริญเวทนานุปสั สนา งานวิจัยท่ี ๓. เพื่อศกึ ษาการเจริญเวทนานปุ ัสสนาเพอ่ื พัฒนาชีวิต เกี่ยวข้อง ๑. เวทนานุปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่ ความหมายของเวทนานุปัสสนา ความสำคัญของ นยิ ามศัพท์ เวทนานปุ สั สนา วธิ เี จริญเวทนานปุ ัสสนา ๒. หลักธรรมที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนการเจริญเวทนานุปัสสนา ได้แก่ หลักธรรมท่ีเก่ียวข้องกับเวทนา วิธดี ำเนนิ งาน วจิ ยั นุปัสสนา (กายานุปัสสนา จิตตานุปัสนา ธรรมานุปัสสนา อาตาปี สัมปชาโน สติมา ) หลักธรรมที่ รวบรวมขอ้ มูล สนับสนุนการเจรญิ เวทนานุปัสสา (สัมมปั ปาน ๔ อิทธิบาท ๔ อนิ ทรยี ์ ๕ โพฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ) ๓. การเจริญเวทนานุปัสสนาเพื่อพัฒนาชีวิต ได้แก่ การเจริญเวทนุปัสสนาเพ่ือพัฒนาชีวิตของบรรพชิต สรปุ ผลการวจิ ัย (ด้านการศึกษาพระธรรม ด้านการพัฒนาจิตใจ) การปฏิบัติเวทนานุปัสสนาเพ่ือพัฒนาชีวิตของคฤหัสถ์ (ด้านการพัฒนาตน ด้านการพัฒนาจิต ด้านการพัฒนาประกอบอาชีพ ด้านการรู้เท่าทันใน ชีวติ ประจำวนั ) ๑. เวทนานปุ ัสสนา หมายถงึ การกำหนดรู้ในเม่ือสุขหรือทุกขก์ ำลังเกดิ ขึ้นวา่ สุขหรอื ทกุ ข์อย่างไร หรอื เม่อื รสู้ ึกวา่ ไม่สุขไม่ทกุ ข์กร็ ู้ชัดแก่ใจ หรอื สุขหรอื ทุกขเ์ กดิ ข้ึนจากอะไรเป็นมลู เหตุ เช่น เกิดจากเห็นรปู หรือ ไดย้ ินเสยี ง หรอื ไดก้ ลิ่น หรอื ไดล้ ม้ิ รส หรอื ได้สมั ผสั กร็ ูช้ ัดแจ้ง หรอื เม่อื รู้สึกเจบ็ หรือปวดหรอื เม่อื ย หรือ เสียใจ แค้นใจ อมิ่ ใจ ฯลฯ ก็มสี ตริ ู้กำหนดรชู้ ัดว่า กำลงั รสู้ ึกเชน่ นัน้ ๒. การปฏบิ ัติเวทนานุปสั สนา หมายถึง การต้ังสตกิ ำหนดพิจารณาเวทนา การมีสติกำกับดรู ู้เท่าทันเวทนา การใช้สติกำหนดรู้อาการของเวทนาโดยการใช้การพิจารณาลมหายใจเขา้ ออกจำแนกการปฏิบัติเวทนา ๓ ประการ คือ ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ และ ความรู้สึกไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ เพ่ือเป็นฐานแห่งการ ปฏิบัติการรู้กายรู้เวทนา เพ่ือให้เกิดปัญญาเข้าถึงฌาน ออกจากฌานแล้ว ก็ใช้จติ ผู้รู้ไปดูกายดูเวทนาใน มุมท่เี ป็นไตรลักษณต์ ่อไป ๓. หลกั ธรรม หมายถงึ เฉพาะหลักธรรมที่สนับสนุนและส่งเสรมิ การเจริญเวทนานุปัสสนา คอื สัมมัปปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมอี งค์ ๘ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงเอกสาร ค้นคว้ารวบรวมการเจริญเวทนานุปัสสนาในเอกสาร ปฐมภูมิ และ ทุติยภูมิ ขั้นตอนดังต่อไปนี้ (๑) รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจากพระไตรปิฎก และอรรถกถา ปกรณ์วิเสส และเอกสารที่ เกยี่ วขอ้ ง (๒) ศึกษาและทำความเข้าใจเรอื่ งการเจริญเวทนานปุ ัสสนาในคมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) มุ่งเน้นศึกษาการเจริญ เวทนานุปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทจากพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พุทธศักราช ๒๕๓๙ และ รวบรวม ขอ้ มลู จากเอกสารทตุ ิยภมู ิ (Secondary Sources) เช่น อรรถกถา ฏกี า รวมทั้งงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง สรุปผลการวจิ ัย เวทนาในคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท ตามความหมายของเวทนานุปสั สนามปี รากฏ
ภาคผนวก ๒๐๔ อยู่หลายแห่ง ใน ๓ แห่งใหญ่ๆ คือ (๑) ความหมายในพระสุตตันตปิฏก กล่าวคือ เวทนานุปัสสนาท่ี ปรากฏในพระสุตตันตปิฎกมีหลายลักษณะ และในพระสูตรต่างๆ ได้แก่ (๑) เวทนาสูตร คือ พระสูตรว่าด้วย การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพ่ือกำหนดรู้เวทนา ใจความสำคัญของพระสูตร คือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุ ทั้งหลายท่ีกำลังสนทนาธรรมกันว่า สนทนาเรื่องอะไร เม่ือภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า สนทนาเร่ืองเวทนา ๓ ทรงตรัสไว้ว่า เม่ือภิกษุเจริญให้มากแล้ว จะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก (๒) เวทนาปริคคหสูตร กล่าวคือ พระ สตู รวา่ ดว้ ยการเกดิ ขึน้ ของเวทนาอยา่ งปรมตั ถ์กลา่ วแสดง ความรสู้ ึกสุข ความรสู้ ึกทุกข์ และอทกุ ขมสขุ เวทนา อันไม่สุขไม่ทุกข์วา่ ล้วนเกิดขึ้นแต่มีเหตุเป็นปัจจัยปรุงแต่งขึน้ ท้ังส้ินจึงยอ่ มล้วนเป็นสงั ขารจึงย่อมมีความเส่ือม ไป คลายไป สิ้นไป ดับไปเป็นธรรมดาสภาวธรรมของสังขารทั้งปวงจึงย่อมเนื่องถึงเวทนาทั้ง ๓จึงย่อมอยู่ ภายใต้อำนาจพระไตรลักษณ์หรือธรรมนิยามหรืออนิจจัง ทุกขังอนัตตา จึงย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่าย ตายเกิดในกองทกุ ข์หรือสงั สารวฏั เพราะการแสวงหาและยึดมน่ั ในสุขทุกข์(เวทนา)อยา่ งไมร่ ูจ้ ักจบอยา่ งไมร่ จู้ ัก สิ้น (๓) เวทนาในหลักธรรมต่างๆ ไดแ้ ก่ เวทนาในขันธ์ ๕ คอื “เวทนาขันธ์” ได้แก่ หมวดแห่งธรรมชาติอัน เสวยอารมณ์ เม่ืออารมณ์เป็นที่พึงใจมาปรากฏในทวาร ก็เสวยความพึงพอใจ เม่ืออารมณ์ไม่เป็นที่พึงใจมา ปรากฏ ก็เสวยความไม่พงึ ใจ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต) ได้ กล่าวถงึ เวทนาในขนั ธ์ ๕ แบ่งออกเป็น ๓ คือ สุข (สขุ ทางกายหรอื ทางใจก็ตาม) ทุกข์ (ทุกข์ทาง กายหรือทางใจก็ตาม) อทุกขมสุขเวทนา (ไมส่ ุขไมท่ ุกข์ คือ เฉยๆ บางทีเรียกว่า อุเบกขาเวทนา), อีกอย่างหนึ่ง แบ่งเป็นเวทนา ๕ คือ สุข (ทางกาย) ทุกข์ (ทางกาย) โสมนัส (ดีใจ) โทมนัส (เสียใจ) อุเบกขา (เฉยๆ), แบ่งตามท่ีเกิดเป็น ๖ คือ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจักขุ ทางโสตะ ทางฆานะ ทาง ชิวหา ทางกาย และทางมโน ดังน้ันเวทนาในขันธ์ ๕ คือ การเสวยอารมณ์ หรือ การเสพรสของ อารมณ์ ที่เกิดขึ้น ความรู้สกึ ต่อสิ่งที่ถูกรับรู้ซึง่ จะเกิดขึ้นทุกคร้ังท่ีมีการรับรู้ เป็นความรู้สึกสุข สบาย ถูกใจ ช่ืนใจ หรือ ทุกข์ บีบค้ัน เจ็บปวด หรือไม่ก็เฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อที่ควรทาความเข้าใจ อย่างหน่ึงเก่ียวกับเวทนา (๔) เวทนาในปฏิจจสมุปปบาท เพราะตามธรรมดา คนเรานั้นมีทวารไว้เป็น ประจำตน สำหรับรู้อารมณ์ภายนอกละ ๖ ทวาร เหมอื นกันทง้ั โลก เรียกว่า ตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจ และ อารมณ์ท้ัง ๖ ชนิด คือ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ย่อมจะเข้ามาปรากฏ แก่คนท้ังหลายได้ เสมอ โดยผ่านทางทวาร ๖ เหล่าน้ี ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ละวังรักษาสติให้ดี อารมณ์ ภายนอกท้ังหลายก็ไหลพร่ังพรู เข้ามารบกวนชวนให้หมนุ ไปเป็นวงจรของ ปฏิจจสมุปบาท อยา่ งไม่ มีทสี่ นิ้ สุด ๒. ความหมายในช้ันอรรถกถา กล่าวคือ นิยามและความหมายของเวทนานุปัสส นา รวมความ แล้วสำคัญอยู่ที่การมีสติรู้เท่าทันเวทนา เท่าทันขณะเกิดข้ึนบ้างเท่าทันขณะท่ีกาลัง แปรปรวนอยู่บ้าง หรือ ขณะดับไปบ้าง พร้อมท้งั รู้ว่าเป็น สุขเวทนาทุกขเวทนา เฉยๆหรอื อทุกขมสุข ก็ดี ท้งั ท่ีมีอามิสหรือไม่มอี ามิสก็ รู้ชัดตามท่ีเป็น เมื่อสติรู้เท่าทันเวทนา แลว้ จึงเป็นกลางอุเบกขา วางทีเฉยโดยไม่เอนเอียงไปคดิ ไปนึกปรงุ แต่ง ไปทง้ั ในทางดีหรอื ในทางไม่ดี ๓. ความหมายในเชิงวิชาการ กล่าวคือ เวทนานุปัสสนาในหนังสือธรรมะประทีป ๙ ได้ให้ ความหมายของเวทนานุปัสสนาว่า เวทนาเป็นผลที่เกดิ จากจิตกระทบกับอารมณ์และถ้าจิต ยึดถือเวทนานั้นๆ ไว้ ทุกข์ก็เกิดซ้อนข้นึ มาด้วย เพราะฉะนัน้ จติ ที่เข้ามาสัมผสั กบั อารมณ์ จึงมี ความรู้สึก (เวทนา) ควบคู่อยู่ด้วย เสมอไป เวทนาจึงเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อมีอารมณ์มา กระทบจิต หรืออีกนัยหน่ึง เป็นอาการท่ีจิตแสดง ออกมาในขณะนนั้ ดว้ ย จดั เปน็ นามในขันธ์ ๕ ๔. ความสำคัญของเวทนานุปัสสนา คอื การใช้สติเข้าไปรเู้ ห็นเวทนาท้ังหลายอย่างต่อเน่ืองลาพัง จติ เองน้นั ไม่ได้มีอะไร หรือไม่ได้เป็นอะไรทง้ั ส้ินและไม่ดี ไมใ่ ชช่ ่ัว ไมใ่ ชท่ ุกข์ และไม่ใช่สุขอกี ด้วยเมือ่ มีอารมณ์ เข้ามากระทบจิต เวทนาก็เกิดตามด้วยทันที ถ้ายังไม่มีอารมณ์มากระทบเวทนาก็ยังไม่เกิด ดังนั้น เวทนาจึง เป็นผลท่ีเกิดจากจิตกระทบกับอารมณ์และถ้าจิตยึดถือเวทนาน้ันๆ ไว้ ทุกข์ก็เกิดซ้อนขนึ้ มาด้วยเพราะฉะนั้น
ภาคผนวก ๒๐๕ จิตท่ีเข้ามาสัมผัสกับอารมณ์จึงมีความรู้สึก (เวทนา) ควบคู่อยู่ด้วยเสมอไป เวทนาจึงเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมอื่ มีอารมณ์มากระทบจิต หรืออกี นัยหน่ึงเป็นอาการท่ีจติ แสดงออกมาในขณะนั้นด้วย จดั เป็นนามในขนั ธ์ ๕ ถา้ จิตเข้าไปยดึ ถือเวทนาที่เกดิ ขน้ึ เนื่องด้วยอารมณ์ต่างๆ ไวจ้ ิตกย็ ่อมฟุ้งซ่านซัดสา่ ยตามเวทนาท่ีกำลังปรุงแต่ง ไปด้วย ส่วนจิตฟุ้งซ่านหว่ันไหวมากหรือน้อยเพียงใดนั้นย่อมแล้วแต่ความยินดี-เพลิดเพลิน ถ้ายึดถือมากก็ ทุกขม์ าก ถ้ายึดถอื น้อยก็ทกุ ขน์ อ้ ย ถ้าไมย่ ึดถอื เลยก็ไมม่ ีทกุ ข์ ๕. ประเภทของเวทนานุปัสสนา ได้แก่ เวทนา ๓ เวทนา ๕ เวทนา ๙ ประกอบด้วย ๓ ประการ หมายถึง จำแนกความรู้สึกในการเสวยอารมณ์ ๓ ทาง คือ (๑) ความรู้สึกสุข คือ ความรู้สึกทางกายและใจ (๒) ความรู้สึกทุกข์ คือ ความร้สู ึกทางกายและใจ (๓) ความรู้สึกไมใ่ ช่สขุ -ไมใ่ ชท่ กุ ข์ หรอื อุเบกขา ๖. วิธีเจริญเวทนานุปัสสนา กล่าวคือ การเจริญเวทนาหมายถึง การเจริญสติปัฏฐาน ๔ มี กาย เวทนา จติ ธรรม เมื่อย่อลงแล้ว เหลอื นามกับรูป คอื การกำหนดรูต้ ามสภาวธรรมท่เี กิดขึ้นกาย จัดเป็น “รปู ” ส่วน เวทนา จิต ธรรม จัดเป็น “นาม” ท่ีมีความ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ดังน้ัน การกำหนด สุข ทุกข์ อุเบกขาทเี่ กิดก็ คอื การร้รู ปู นาม ที่เกิดขนึ้ ทางกายและใจ เช่น เม่ือมีสุขเวทนาเกิดขึ้นก็กำหนดรู้เท่าทนั ตอ่ สุข เวทนาท่ีเกิดขึ้นว่า สุขหนอๆ เมื่อมีทุกข์เวทนาเกิดข้ึนก็มีสติรู้เท่าทันต่อทุกข์เวทนาว่า ทุกข์หนอๆ หรือเม่ือ อเุ บกขาเวทนาเกิดขนึ้ ก็มีสติรเู้ ท่าทันตอ่ อเุ บกขาเวทนาท่ีเกดิ ขึ้น หลกั ธรรมทเ่ี ก่ยี วข้องและสนับสนุนการเจรญิ เวทนานุปัสสนา มีอยู่ ๒ ประการ คอื (๑) หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับเวทนานุปัสสนา กล่าวคือ ธรรมท่ีสนับสนุนการเจริญกายานุปัสสนาจน เกิดสมาธินน้ั คอื สงิ่ ที่เปน็ ตัวช่วยในการปฏบิ ัตหิ รอื เป็นกาลังสนับสนุนในการปฏบิ ัติ เป็นตัวสำคัญในการสร้าง สมาธิ (๑) แบบกายานุปัสสนา คือ อิทธิบาท ๔ กล่าวคือ การปฏิบัติสมาธิแบบกายานุปัสสนาก็เช่นนี้ ผู้ ปฏิบัตจิ ะต้องปลูกฉันทะหรือศรทั ธา ให้มีอธั ยาศัยรักในสมาธิแล้วมีความขวนขวาย การมีใจจดจ่อ และการใช้ ปญั ญาไตร่ตรอง กจ็ ะตามมา ฉะนั้น การมอี ิทธิบาทในการปฏบิ ัตินนั้ ถอื ว่ามคี วามสำเรจ็ ในกจิ ทุกอยา่ งที่จะทำ ให้เกิดข้ึน (๒) จิตตานุปัสสนาจิตตานปุ ัสสนา คือ การมีสติมนั่ ในการพิจารณาเนืองๆ ซ่ึงจติ อันเป็นวิญญาณ ขันธ์ มี โลภจิต อโลภจิต โทสจิต อโทสจิต โมหจิต อโมหจิต เป็นต้น เป็นการพิจารณา คือ การกำหนด พจิ ารณาอาการต่างๆ ของจิต เช่น จิตมีราคะ มีสติรชู้ ัดว่า จิตมีราคะ เป็นต้น (๓) ธรรมานุปัสสนา คือ การมี สติมั่นในการพิจารณาเนืองๆ ซึ่งสภาพธรรมอันเป็นสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์โดยเป็นไปตามอาการของ สภาวธรรมแตล่ ะอยา่ งๆ ปราศจากความเปน็ ตัวตน เช่น สภาวธรรมของ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น (๔) อา ตาปี หมายถึง มีความเพียร ได้แกอ่ งค์มรรคข้อ ๖ คือสัมมาวายามะ หมายถงึ เพียรระวงั และละความชั่วกับ เพียรสร้างและรักษาความดี หรือปัคคาหะ ความเพียรเครื่องเผากิเลสอาตาปี สัมมัปปธาน หรือ สัมมาวายามะในพระสูตรนั้นได้แสดงความหมายเดียวกันความเพียรท่ีตั้งม่ันความหมั่นประกอบความไม่ ประมาทและอาศยั การใชค้ วามคิดทถี่ กู วธิ ีคาว่าวิรยิ ะหมายถึงความเพยี รความบากบ่ันความกลา้ วริ ิยะภาพเดช อำนาจกำลังอาจหาญพยายาม ปราศจากความครนั่ คร้ามไมถ่ อยหลงั พน้ ทุกข์บ่อแห่งไตรสกิ ขาบ่อบญุ อุตสาหะ การออกแรงอย่างเร่งรีบ (๕) สัมปชาโน หรือสัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ตัวท่ัวพร้อมความรู้ตะหนัก ความรู้ชัดเข้าใจชัดซ่ึงสิง่ ท่ีนึกได้ (๖) สติมา หมายถึง คือความระลึกได้ไม่ใจลอยไม่เผลอไม่ลืมกายไมล่ ืมใจไม่ มัวแต่คิดตัวสติน้ีจะระลึกที่ไหนก็ได้ท่ีลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ได้ท่ีกายท้ังกายในอาการใดอาการหนึ่งใน อาการเดินยืนนั่งนอนหรือในอิรยิ าบถยอ่ ยๆเคลื่อนไหวกระพริบตากลืนน้าลายอะไรพวกนี้ก็ได้แตว่ ่าระลกึ แล้ว ให้มคี วามรู้สกึ ตวั (๒) หลักธรรมท่ีสนับสนุนการเจริญเวทนานุปัสสนา (๑) สัมมัปปธาน ๔ เป็นองค์ธรรมที่ช่วย สง่ เสริมใหเ้ กิดญาณ เป็นเรื่องของความเพียร ๔ หรือสัมมาวายามะ ไดแ้ ก่ความพยายามในทางทีช่ อบ ซ่ึงเป็น การปฏิบัติในขั้นของจิตใจ คือในส่วนของจิตตสิกขา ประกอบด้วย ๔ อย่าง คือ สังวรปธาน ปหานปธาน
ภาคผนวก ๒๐๖ ภาวนาปธาน และ อนุรักขนาปธาน (๒) อิทธิบาท๔ อิทธิบาทเป็นธรรมท่ีเป็นเหตุให้ถึงความสำเร็จ ฌาน อภิญญา มรรค ผล มีความแตกต่างกับอธิบดี แม้อิทธิบาทลอธิบดีต่างก็มีองค์ธรรมเท่ากันและเหมือนกัน คือ ฉันทะ วิริยะ จิต และปัญญา (๓) อินทรีย์ ๕ คือ ความเปน็ ใหญ่เป็นผู้ปกครองในการงานของโยคาวจร ธรรม ทเ่ี ป็นใหญ่ในกิจของตน อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ๑) สทั ธินทรีย์ คือ ศรัทธาเป็นผู้ปกครองในความเลอ่ื มใส ต่อสิ่งที่ ควรเล่ือมใส ได้แก่ ความเล่ือมใสในสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา มีการปฏิบัติที่จะดำเนินไปสู่ความพ้น ทุกข์ ๒) วิริยินทรีย์ คือ วิริยะเป็นผู้ปกครองในความพยายามต่ออบรมในการเจริญสมถภาวานและวิปัสสนา อย่างแรงกลา้ ๓) สตินทรยี ์ คือ สติเป็นใหญเ่ ป็นผ้ปู กครองในการระลึกถึงอารมณก์ รรมฐาน อนั ได้แก่ รปู นาม ๔) สมาธินทรีย์ คือ สมาธิเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการกระทาจิตให้ต้ังม่ันในอารมณ์กรรมฐาน ๕) ปัญญินท รยี ์ คือ ปัญญาเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการรตู้ ามความเป็นจริงของอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ รูปนาม ขนั ธ์ ๕ เป็นต้น (๔) โพชฌงค์ ๗ หมายถึง เป็นองค์ประกอบของปัญญา ที่เป็นเหตุแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ หมายความว่า ธรรมอันเปน็ องค์ประกอบของธรรมหมวดท่ีเป็นเหตใุ ห้รอู้ ริยสัจ ๔ โพชฌงค์ ๗ คือ สติ ปัญญา วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ เอกัคคตา ตัตตรมัชฌัตตา เมื่อเจริญแล้วจะเห็นว่า สติเจตสิก ได้แก่ สติในสติปัฏฐาน เมื่อ เจริญขึ้นมีสภาพเป็น สตินทรีย์ สติพละ สัมมาสติ สติโพชฌงค์ ๗ ปัญญาเจตสิก เจริญข้ึนเป็นวิมังสิทธิบาท ปัญญินทรีย์ ปัญญา พละ สัมมาทิฐิ เรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ได้แก่ การเข้าถึงปัญญาวิสุทธิ คือ ความ บริสุทธ์ิแห่งปัญญา ๕ ประการ คือ ประการที่ ๑ ทิฐิวิสุทธิ ความบริสุทธแ์ิ ห่งปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องตาม ความเป็นจริงของสภาวธรรมเป็นต้น (๕) มรรคมีองค์ ๘ ข้อปฏิบัติที่ทาให้เข้าถึงพระนิพพาน คือ ธรรมที่ เป็นเคร่อื งดับทุกข์ ท่านเรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หมายความว่า เป็นข้อปฏิบัติที่จะทาให้เข้าถึงความ ดับทุกข์ มรรคมีองค์ ๘ หรือ อัฏฐังคิกมรรค เรียกเต็มว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า ทางมีองค์ ๘ ประการ อนั ประเสรฐิ มรรคมีองค์ ๘ นี้ได้ชอ่ื วา่ มชั ฌิมาปฏปิ ทา แปลวา่ ทางสายกลาง เพราะเป็นข้อปฏบิ ัตอิ ันพอดีท่ี จะนาไปสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ ดับทุกข์ ปลอดปัญหา ไม่ติดข้องในที่สุดทั้งสองทาง คือ กาม สุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยคได้แก่ สมั มาทิฏฐิสมั มาสังกัปปะสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ และสมั มาสมาธิ เมือ่ บรรลจุ ตตุ ถฌานไม่มที ุกข์ไม่มสี ขุ เพราะละสขุ และทุกขไ์ ด้ การเจริญเวทนานุปัสสนาเพ่ือพัฒนาชีวิต กล่าวคือ การศึกษาการเจริญเวทนานุปัสสนาเพื่อพัฒนา ชีวิตของบรรพชิต คือ (๑) การปฏิบัติเวทนานุปัสสนาของบรรพชิตและ (๒) ด้านคฤหัสถ์ คือ การปฏิบัติ เวทนานปุ สั สนาของคฤหสั ถ์ กล่าวคอื (๑) การปฏิบัติเวทนานุปัสสนาเพ่ือพัฒนาชีวิตบรรพชิต การศึกษาการเจริญเวทนานุปัสสนาเพ่ือ พัฒนาชีวิต โดยเฉพาะในด้านของการศึกษาพระธรรม และด้านการพัฒนาจิตใจ เพราะบรรพชิต หรือท่ี เรียกว่า พระสงฆ์ ผู้นาจิตวิญญาณที่ต้องศึกษาให้เกิดความเข้าใจท่ีส่งผลต่อการพัฒนาจติ ใจตนเองและเข้าใจ ถงึ หลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าซ่ึงผู้วิจัยแบ่งการศึกษาออกเป็น ๓ ประการ คือ (๑) ด้านการศกึ ษาพระ ธรรมของบรรพชิต (๒) ด้านการพัฒนาจิตใจของบรรพชิต (๓) ด้านการพัฒนาสังคม บรรพชิตหรือพระสงฆ์ ทง้ั หลายจะตอ้ งกาหนดรู้ในเม่ือสุขหรือทุกข์กาลังเกดิ ขึ้นว่า สุขหรือทุกข์อย่างไร หรือเมื่อรู้ว่าไม่สุข ไม่ทุกขก์ ็รู้ ชัดแก่ใจ หรือสุขหรือทุกข์เกิดข้ึนจากอะไรเป็นมูลเหตุ เช่น เกิดจากการเห็นรูปหรือได้ยินเสียง หรือได้ล้ิมรส หรือได้สัมผัสก็รู้ชัดแจ้งหรือเมื่อรู้สึกเจ็บหรือปวดหรือเม่ือย ก็รู้ชัดว่าด้วยสติ เพราะเม่ือมีการปฏิบัติ เวทนา นุปัสสนาก็จะทาให้ได้รับอานิสงส์ กล่าวคือ สามารถพัฒนาชีวิตของตนเองไปสู่พระธรรมคาสอนและพัฒนา จิตใจของตนเอง ซงึ่ บรรพชติ ปจั จุบันนไ้ี ด้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลอื สังคมทางด้านจติ ใจ เช่น การเทศนา ธรรม การนาปฏิบัติธรรม เป็นต้น จึงจะทาให้เข้าใจเวทนานุปัสสนาท่ีส่งผลต่อการดาเนินชีวิตในปัจจุบันได้ เปน็ อยา่ งดีที่สดุ หากมคี วามร้สู ึกเกดิ ข้ึนกต็ อ้ งรเู้ ทา่ ทันตามรูใ้ นความรู้สกึ เพ่ือความรู้เท่าทันอย่างตอ่ เนื่อง (๒) การปฏิบัติเวทนานุปัสสนาเพ่ือพัฒนาชีวิตของคฤหัสถ์ คือ การปฏิบัติเวทนานุปัสสนาของ
ภาคผนวก ๒๐๗ คฤหัสถ์ตามธรรมชาติของมนุษย์ จะต้องมีความรู้สึกอยากและไม่อยากติดตัวมาตั้งแต่เกดิ ความอยากและไม่ อยากจะผลักดันให้มนุษย์ดาเนินชีวิตอยู่ได้ยาวนานและปลอดภัย การฝึกเจริญเวทนานุปัสสนาเพื่อหยุด ความคิดที่ไม่ดี ที่ทาให้ทุกข์ กล่าวคือวัตถุประสงค์ของการฝึกเจริญเวทนานุปัสสนา คือ การฝึกสติอย่าง เข้มข้นเพื่อหยุดความรู้สึกทุกรูปแบบ การฝึกหยุดความคิดทุกแบบ โดยการมีสติอยู่กับกิจเล็กๆเพียงกิจเดียว ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกกำกับและควบคุมความคิดมิให้หลงไปกับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น และให้เข้าใจ สภาวะน้ันๆ ในการปฏิบัติสมาธิ ขณะที่มีสมาธิตั้งม่ันอยู่กับกิจท่ีกำหนดไว้ เช่น อยู่กับลมหายใจความรู้สึก ต่างๆ จะเกิดขึ้น ก็ให้หยุดการรับอารมณ์ต่างๆ และไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านเพราะความคิดฟุ้งซ่านอาจเป็น สาเหตุให้ เกิดความรูส้ ึกที่ไม่ดีตามมาและปล่อยวางไม่ได้ในที่สุด การเจริญสมาธิอย่างถูกต้องตามหลักการใน พระพุทธศาสนาคือการฝึกมีสติในการกากับและควบคุมความรู้สึกอย่างจริงจังถึงข้ันหยุดความคิดเพื่อให้ รา่ งกายและสมองได้พักผอ่ นเป็นอยา่ งดีเยีย่ มและอย่างมีสติในขณะท่ีไมไ่ ดน้ อนหลับประโยชน์ท่ีได้รับจากการ ฝึกสมาธิจนมีความชำนาญคือ จะสามารถหยุดความคิดต่าง ๆท่ีขัดแย้งกับหลักธรรมได้ในทันทีที่ต้องการ เพราะการกำหนดรู้เวทนาที่เกิดขึ้นจะทาให้เข้าใจสภาวะของธรรมชาติ ของสังขารในตัวเราได้เมื่อจะนาเอา หลกั การปฏบิ ตั เิ วทนานุปสั สนาท่ถี อื ว่าเป็นอานิสงส์เพอ่ื มาใช้ในการพัฒนาชีวิตของตนเองได้
ภาคผนวก ๒๐๘ รหสั ๔๙-๕๕ แบบบันทึกข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ ชื่อวิทยานิพนธ์ การศึกษาปฏจิ จสมปุ บาทกบั การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท ผ้วู ิจยั (A Study of Paticca-samuppada in attaining Enlightenment in the Theravada ปรญิ ญา Buddhism ) ปี พระครูสวุ รรณวิจติ ร วัตถปุ ระสงค์ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั การทบทวน ๒๕๕๕ เอกสารและ ๑. เพื่อศึกษาปฏจิ จสมุปบาทในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ๒. เพอื่ ศึกษาปฏจิ จสมุปบาทกบั หลกั ธรรมทเี่ กีย่ วขอ้ ง ๓. เพื่อศึกษาปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลธุ รรม นิยามศัพท์ ๑. ปฏิจจสมุปบาทที่ปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ นิยาม ความหมายของปฏิจจสมุปบาท ความสำคัญของปฏิจจสมุปบาท วัตถุประสงค์ของปฏิจจสมุปบาท ความหมายขององค์ธรรม ในปฏิจจสมุปบาท ประเภทของปฏิจจสมุปบาท การแสดงปฏิจจสมุปบาทของพระสมั มาสัมพุทธเจ้า การสืบตอ่ ของปฏิจจสมปุ บาท อานสิ งส์ของการศึกษาปฏจิ จสมปุ บาท ๒. ปฏิจจสมุปบาทกับหมวดธรรมทเี่ ก่ียวข้อง ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาทและขนั ธ์ ๕ (ความหมายของขันธ์ ๕ องค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทสงเคราะห์เข้ากับขันธ์ ๕ ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาท และขันธ์ ๕ การหมุนเวยี นของปฏิจจสมปุ บาทและขันธ์ ๕ การหมุนของปฎิจจสมุปบาทและขันธ์ ๕ ในปัจจุบันภพ การหมุนของปฎิจจสมุปบาทและขันธ์ ๕ ข้ามภพข้ามชาติ) ปฏิจจสมุปบาทและไตร ลักษณ์ (ความหมายของไตรลักษณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาทและไตรลักษณ์ ) ปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจ ๔ (ความหมายของอริยสัจ ๔ ความสัมพันธ์ระหว่างปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจ ๔) ปฏิจจสมุปบาทและอริยมรรคมีองค์ ๘ (ความหมายของอริยมรรคมีองค์ ๘ ความสัมพันธร์ ะหว่างปฏิจจสมุปบาทและอริยมรรคมีองค์ ๘ ) ๓. ปฏิจจสมุปบาทและการบรรลุธรรม ได้แก่ ความเบ้ืองต้นของการบรรลุธรรม (ความหมายของการ บรรลุธรรม ความสำคัญของการบรรลุธรรม ระดับการบรรลุธรรม บุคคลผู้เข้าถึงการบรรลุธรรม ลักษณะการแสดงปฏิจจสมุปบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญา สิกขา) ปฏิจจสมุปบาทและบรรลุธรรม (ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลม ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายปฏิโลม) ปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรม พระสารีบุตรกับการบรรลุธรรมโดยมีปฏิจจสมุปบาทเป็นอารมณ์ (ประวตั ิพระสารบี ุตร . ปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรมของพระสารีบุตร เหตุปัจจัยเก้ือกูลต่อการ บรรลุธรรม) ) ๑. ปฏจิ จสมุปบาท หมายถงึ ธรรมที่ให้ผลเกดิ ขน้ึ สมำ่ เสมอพร้อมกนั โดยอาศยั ความพรอ้ มเพรยี งแห่ง ปัจจยั ท่เี กีย่ วเน่ืองกบั เหตนุ ้ัน ๆ ๒. อรยิ สจั หมายถงึ ความจริงอันประเสริฐ หรอื ความจรงิ ท่ีทำให้มนุษย์เข้าถงึ ความเป็นพระอริยะ ๓. การปฏบิ ตั ิกรรมฐาน หมายถงึ อุบายวิธีเพือ่ ลดความซัดส่ายของจิตโดยหาสง่ิ ทไี่ ม่เป็นโทษให้จิตได้อิง อยู่ โดยอบรมจิตใหส้ งบจากนวิ รธรรม และเพื่อพัฒนาชีวิตใหเ้ ขา้ ถงึ สภาวะแห่งปญั ญาเพอ่ื ความสิ้นภพ ชาติ โดยจะไม่ไปเกิดในภพใหม่อีก ๔. วิปากวัฏฏ์ หมายถึง วงจรของวิบาก ซึง่ ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซง่ึ แสดงออกในรูปปรากฏ ทีเ่ รียกวา่ อุปตั ตภิ พ ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น
ภาคผนวก ๒๐๙ วิธีดำเนนิ งานวจิ ัย ๕. มลู หมายถงึ เปน็ ทีต่ งั้ หรอื เป็นต้นเหตุของวฏั ฏทกุ ข์ มลู มี ๒ อย่าง คอื อวชิ ชาและตณั หา สรุปผลการวจิ ยั ๖. ปญุ ญาภสิ ังขาร หมายถงึ ธรรมชาติทป่ี รงุ แต่งจติ ให้เป็นบญุ ๗. ไตรลกั ษณ์ หมายถึง ลักษณะท่ีเปน็ สามญั ท่ัวไป ๓ ประการ คอื ความไม่เท่ยี ง ความเป็นทุกข์ และ ความไม่มตี ัวตน ๘. พระอรยิ บคุ คล หมายถงึ บุคคลผู้บรรลุธรรมตั้งแตโ่ สดาปัตติมรรคขึ้นไป การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสารขั้นตอน .๑ ศึกษา ค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎก ภาษาบาลีและภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัยภาษาไทย.๒ ศึกษาค้นคว้าจากตำรา เอกสาร งานวิทยานิพนธ์ หรืองานวิจัยต่างๆ ของนักวิชาการทางพระพุทธศาสนา.๓ รวบรวมข้อมูลและ นำมาศึกษาประมวลผล ขอบเขตของการวิจัย มุ่งศึกษาปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรมในพุทธศาสนา เถรวาท (๑) ปฏจิ จสมปุ บาททปี่ รากฎในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยซึ่งกันและกันเกิดข้ึนโดยชอบโดยปฏิจจสมุปบาทจะอธิบายการเกิดข้ึนและการดับของสภาวธรรม ท้ังหลายในเชิงเหตุและผลปราศจากผู้สร้างบันดาล ตามท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกที่อธิบายการเกิดขึ้นและ การดบั ไปของสภาวธรรมทง้ั หลายว่า อวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร สงั ขารเป็นปัจจัยจึงมีวญิ ญาณ ฯลฯ เป็น ตน้ หรืออวิชชาดับสังขารจงึ ดับ สังขารดบั วิญญาณจึงดับ เป็นต้น องคป์ ระกอบของปฏจิ จสมุปบาทมี ๑๒ อยา่ ง แต่ละอยา่ งทำหน้าที่อุปการสภาวธรรมท่ียังไม่เกิดขึ้นใหเ้ กิดขึ้น และสภาวธรรมท้ังหลายที่เกดิ ขึ้นแล้ว จะอุปการให้มีความเจริญย่ิงขึ้น กล่าวคือ ๑) อวิชชา ความไม่รู้ความจริงในอริยสัจ ๔ ๒) สังขาร สภาวธรรมที่ปรุงแต่งจิต ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอาเนญชาภิสังขาร ๓) วิญญาณ ความรู้แจ้งในอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖ ๔)นามรูป คือ นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ รูป ๕)สฬายตนะ ส่ิงที่เชื่อมต่อกันก่อให้เกิดความรู้ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ ๖) ผัสสะ ความ กระทบ ได้แก่ สัมผัส ๖ ๗)เวทนา ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖ ๘)ตัณหา ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ (ตัณหาในรปู ในเสียง ในกล่ิน ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ์) ๙) อุปาทาน ความยึดม่นั ได้แก่ อุปาทาน ๔ ๑๐)ภพ ภาวะชีวติ ได้แก่ กรรมภพ (ภพคอื กรรม ได้แก่ อภิสังขาร ๓ และ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ ได้แก่ ภพ ๓) ๑๑)ชาติ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย หรือ การได้ซ่ึงอายตนะ ๑๒)ชรามรณะ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเส่ือมอายุ, ความหง่อมแห่ง อินทรีย์) และมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์) องค์ประกอบในปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อยา่ งเหลา่ นี้ เป็นปัจจัยตอ่ เนอื่ งกนั ไป หมุนเวียนเปน็ วงจร เพราะอาศยั กระบวนการเชอื่ มต่อของเหตปุ ัจจัย ท่ีเป็นไปในอัทธา ๓ สังเขป ๔ อาการ ๒๐ สนธิ ๔ วัฏฏ ๓ มลู ๒ และภวจักร ๒ ซ่ึงเป็นเหตุให้เหตุปจั จัย ทั้งหลายสืบต่อข้ามภพข้ามชาติหาท่ีสุดไม่ได้ การสืบทอดเหตุปัจจัยของปฏิจจสมุปบาทองค์ ๑๒ มี ๒ รูปแบบ คือ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลม (ฝ่ายเกิด) ซ่ึงเกิดจากมิจฉาปฏิปทา แนวทางการปฏิบัติผิด และปฏิจจสมุปบาทฝ่ายปฏิโลม (ฝ่าย ดับ หรือฝ่ายทวนกระแส) ซ่ึงเกิดจากสัมมาปฏิปทา แนวทางการ ปฏิบัติท่ีถูกต้อง หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ (ไตรสิกขา) การแสดงปฏิจจสมุปบาท มี ๔ รูปแบบ ได้แก่ ๑. เริ่มต้นจากต้นจนถึงปลาย ๒. จากกลางไปถึง ปลาย ๓. จากปลายจนถึงต้น ๔. จากกลางจนถึงต้นพระ อริยบุคคล คือ ผู้อบรมกาย วาจา จิต และปัญญาแล้ว สามารถรู้แจ้งความเป็นไปของเหตุปัจจัย ในปฏิจจสมุปบาทองค์ ๑๒ และสามารถรแู้ จ้งและละเหตุปัจจัยแต่ละอย่างตามกำลังของปัญญาของแต่ละ บุคคล (๒) ปฏิจจสมุปบาทและหมวดธรรมท่ีเกี่ยวข้อง ขันธ์ ๕ อริยสัจ ๔ ไตรลักษณ์ และอริยมรรคมี
ภาคผนวก ๒๑๐ องค์ ๘ หมวดธรรมเหล่าน้ีมีเกี่ยวข้อง กับปฏจิ จสมุปบาทหลายนัย กล่าวคือ ปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ ๕ และ อริยสัจ ๔ ถือว่า เป็นธรรมอย่าง เดียวกัน เพราะธรรมแต่ละหมวดเหล่าน้ีลว้ นอธิบายถึงเรื่องของชีวิตใน สังสารวัฏฏ์ และการออกจากสังสารวัฏฏ์ จะแตกต่างกันอยู่บ้าง คือ รูปแบบการอธิบายข้อธรรมแต่ละ อย่างเท่านั้น กล่าวคือ ปฏิจจสมุปบาทเป็นหมวดธรรมที่อธิบายถึง สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต หรือความเป็นไป ของรูปนาม โดยมุ่งเน้นการอธิบายเหตุปัจจัยท่ีอาศัยกันและกัน ผลธรรมจึงเกิดข้ึน หมายถึง สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา จึงเกิดข้ึนขันธ์ ๕ อธิบายถึง สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต (รูปและนาม) โดยมุ่งเน้นการอธิบาย องค์ประกอบ ๕ ส่วน ประกอบรวมกันเป็นชีวิต ท่ีเรียกว่า ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สงั ขารขันธ์ และวิญญาณขนั ธ์ โดยที่แตล่ ะขันธท์ ำหนา้ ท่ีแตกตา่ งกนั ไป แต่เปน็ เหตุปจั จัยซ่ึงกันและกัน จึง ทำให้ขันธ์ ๕ ประกอบรว่ มกันและสามารถดำรงอย่ไู ด้ และปรากฏเป็นอัตภาพชีวิต บุคคลเรา เขา อรยิ สัจ ๔ อธบิ ายถึง สิ่งมีชีวติ และไม่มีชวี ิต (รูปและนาม) โดยมงุ่ เน้นอธิบายการสรปุ สภาวธรรมท้ังหมดท่ีไดร้ ู้แจ้ง แทงตลอดแลว้ ดว้ ยปฏิจจสมุปบาท และจำแนกให้เปน็ หมวดหมู่ เขา้ ใจงา่ ย ชัดเจน ตลอดทง้ั ยงั อธิบายถึง วิธีปฏิบัติเพ่ือการบรรลุธรรม กล่าวคือ ๑. ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลม หรือฝ่ายเกิด หมายถึง ทุกขสมุท ยอริยสัจ (เหตุแห่งทกุ ข์) เป็นธรรมที่ควรละ ๒. ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนัสและอปุ ายาส หมายถึง ทุกขอริยสัจ เป็นธรรมท่ีควรกำหนดรู้ ๓. ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายปฏิโลม หรือฝ่ายดับ หมายถึง ทุกขนิโรธอริยสัจ หรือพระนิพพาน เป็นธรรมที่ ควรทำให้แจ้งตลอดท้ังช้ีแนะข้อปฏิบัติเพ่ือเข้าถึงความรู้ แจ้งแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาทว่า ควรปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ (ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทา) ซึ่ง เป็นทางเอกและเป็นสัมมาปฏิปทา ท่ีบุคคลควรทำให้เจริญไพบูลย์ไตรลักษณ์ หมายถึง ลักษณะของ สภาวธรรมที่เป็นสามัญเหมือนกันหมด ยกเว้นพระนิพพาน เพราะไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน ซ่ึง เหตุ ปัจจัยในปฏิจจสมุป บาทองค์ ๑๒ ขันธ์ ๕ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ และทุกขสมุทย ปฏิปทา คามินีอริยสัจ ต่างล้วน ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความไม่เท่ียง เป็นทุกข์และไม่มีตัวตน ไร้แก่นสารและหา ประโยชน์มิได้ (๓) ปฏิจจสมปุ บาทกับการบรรลุธรรม การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง การ รู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจ ๔ โดยปัญญาสามารถเข้าถึงมรรคญาณ ๔ ดังนั้น การ บรรลุธรรมจึงมี ๔ ระดับ ได้แก่ ๑)การบรรลุธรรมในระดับโสดาปัตติมรรคญาณ หมายถึง ปัญญาของ บุคคลท่ีได้รู้แจ้งสภาวธรรมท้ังหลายแล้ว สามารถละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้อย่าง เด็ดขาดบุคคลผู้เข้าถึงการบรรลุธรรมในระดับน้ี เรียกว่า พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลผู้มีคติแน่นอน เป็นผู้ไม่ตกต่ำอีกต่อไป และจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์และจะนิพพาน ๒) การบรรลุธรรมในระดับสกทาคามิมรรคญาณ หมายถึง ปัญญาบุคคลท่ีได้รู้แจ้งสภาวธรรมทั้งหลายแล้ว สามารถละราคะและโทสะส่วนหยาบ ๆ ให้เบาบางได้ บุคคลผู้เข้าถึงการบรรลุธรรมในระดบั นี้ เรียกวา่ พระ สกทาคามี เป็นพระอริยบุคคลผู้จะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้นแล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์และจะ นิพพาน ๓) การบรรลุธรรมในระดับอนาคามิมรรคญาณ คือ ปัญญาท่รี ู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรมแล้ว สามารถละราคะและโทสะส่วนละเอียดได้เด็ดขาด บุคคลผู้เข้าถึงการบรรลุธรรมระดับนี้ เรียกว่าพระ อนาคามี เป็นพระอริยบุคคลผู้จะไม่มาเกิดอีกต่อไป จะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วจะนิพพาน ๔) การ บรรลุธรรมในระดับอรหัตตมรรค คือ ปัญญาของบุคคลที่รู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรม แล้วสามารถละ ความยินดีพอใจในรูปฌาน อรูปฌาน มานะ อุทธัจจะ และอวชิ ชาไดเ้ ด็ดขาด บคุ คลผู้เข้าถึงการบรรลุธรรม ระดับนี้ เรียกว่า พระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลผู้หมดจรดจากกิเลสท้ังหลายจะนิพพานในชาติ น้ัน ๆ ปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรม หมายความว่า ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายปฏิโลมมีความสัมพันธ์กับสัมมา ปฏิปทา หรือมีความสัมพันธ์กับอริยมรรคมีองค์ ๘ (ไตรสิกขา) โดยที่ปฏจิ จสมุปบาทเป็นผลธรรมที่เกิดจาก
ภาคผนวก ๒๑๑ สัมมาปฏิปทา กล่าวคือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของบุคคลบริบูรณ์มากเพียงใด อวิชชาท้ังหลายที่เกิดจากกาย วาจา ใจ หรือรูปนามต่างๆก็จะค่อยๆ ดับไป โดยปัญญา หรือวิชชา จะมี ความบริบูรณ์ยิ่งข้ึนคล้อยไปตามความบริบูรณ์ของไตรสกิ ขา ความสัมพันธ์เหล่านี้เริ่มต้นเกิดขึ้นเม่ือ บุคคล ปรารถนาจะออกจาก วัฏฏสงสาร จงึ ส่ังสมกศุ ลธรรมท่เี กิดจากการศึกษาอธสิ ีลสกิ ขา อธิจิตตสิกขา และอธิ ปัญญาสิกขา กล่าวคือ ๑. อธิสีลสิกขา หมายถึง สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ หรือตาม ความหมายใน มหาสติปฏั ฐาน หมายถึง กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติเหล่าน้ีจะระมัดระวังศีล ของบุคคล มิให้วบิ ัติและสามารถเข้าถงึ ความหมดจรด และความบริสทุ ธ์จิ ากกเิ ลสท้ังหลายทางกายและวาจา ที่เรียกว่า สีลวิสุทธิ และเป็นความหมดจรดที่เกื้อกูลต่ออธิจิตตสิกขา ๒.อธิจิตตสิกขา หมายถึง สัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ และสัมมาสติ หรือตามความหมายในมหาสติปฏั ฐาน หมายถึง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่สติคอยประคับประคองจิตให้ต้ังมั่นอยู่ในฌานสมาธิ เป็นเหตุให้มิจฉาปฏิปทา ดับไป ฌานจึงข่มกิเลสทั้งหลายไว้มิให้กำเริบ เป็นเหตุให้จิตของบุคคลหมดจากกิเลสทั้งหลาย ที่เรียกว่า จติ ตวิสุทธิ ๓.อธิปัญญาสิกขา หมายถึง สัมมาทิฏฐิ และสมั มาสงั กัปปะ หรือตามความหมายในมหาสติปัฏ ฐาน หมายถึง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่ีสติระลึกรู้สภาวธรรมท่ีมาปรากฏเฉพาะหน้าเป็นเหตุให้อวิชชา และมจิ ฉาปฏิปทาท้ังหลายดับไป ส่งผลให้ปัญญาเข้าถงึ ความเจริญไพบูลย์ตามลำดับ ท่ีเรียกวา่ โสฬสญาณ นับตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ จนถึงปัจจเวกขณญาณ ซ่ึงปัญญาเหล่านี้เป็นเหตุให้บุคคลเข้าถึงความหมด จรดจากกิเลสตามลำดับนับตั้งแต่ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทา ญาณทัสสนวิสุทธิ และญาณทัสสนวิสทุ ธิ เปน็ ทส่ี ุด อน่ึงอาจกล่าวเป็นโวหารได้ว่า บุคคลสามารถเข้าถึงหมด จรดจากกิเลส โดยกเิ ลสจะไม่หวนกลับมากำเริบอกี เปน็ เหตุปัจจัยให้สังสารวฏั ฏ์อนั ยืดยาวดบั ลงอย่างถาวร ถึง ๔ ครั้ง ที่เรียกว่า การบรรลุธรรม ซ่ึงระดับความสุขที่บุคคลจะได้รับจากการหลุดพ้นจากกิเลส บางส่วน จนถึงหมดจดจากกิเลสทั้งหลายบุคคลเหล่านี้ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ อน่ึงปฏิจจสมุปบาทกับการบรรลุธรรมจะเริ่มทวนกระแส นับต้ังแต่บุคคลต้ังความ ปรารถนาเพื่อบรรลุพระนิพพาน โดยเริ่มต้นส่ังสมคุณธรรมตั้งแต่ระดับอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิ ปัญญาสิกขา ซึ่งระยะเวลาการเข้าถึงความบริบูรณ์ของไตรสิกขาน้ัน จะมากหรือน้อยย่อมแตกต่างกันไป ตามความปรารถนาของแต่ละบุคคล ตลอดทั้งเหตุปัจจัยท่ีมีเฉพาะแต่ละบุคคลตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร เป็นพระอริยบุคคลรูปหน่ึง ที่ส่ังสมเหตุปัจจัยความบริบูรณ์ของไตรสิกขามาต้ังแต่หนึ่งอสงไขยแสนกัปป์ โดยทา่ นต้ังความปรารถนาจะเป็นเลิศทางด้านปัญญา และจะเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา มาในพุทธกาลน้ี ทา่ นสามารถเห็นแจ้งแทงตลอดความเกิดและความดับของเหตุปัจจยั ทง้ั หลาย ด้วยการพิจารณาเวทนา โดย รู้แจ้งการสืบต่อของเวทนา ความเกิดและความดับของเวทนา ตณั หาท่ีเกิดจากเวทนาจึงไม่ปรากฏ สามารถ เข้าถึงการบรรลุธรรมสกทาคามิมรรคอนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค พร้อมกับปฏิสัมภิทา ๔ วงจรของ ชีวิตไม่มีการสืบต่อ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก ถือว่าเป็นชาติสุดท้าย การดับวงจรของชีวิตหรือ ดับปฏิจจสมปุ บาทได้ ถอื วา่ เปน็ การบรรลุธรรมชั้นสงู ในพระพทุ ธศาสนา
ภาคผนวก ๒๑๒ รหัส ๕๐-๕๕ แบบบนั ทกึ ข้อมูลงานวทิ ยานิพนธ์ ชื่อวิทยานิพนธ์ การสร้างตัวชี้วัดเพื่อวิเคราะห์อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน (The Construction of Indicators to Analyze the five Sense-Faculties (Indriya) Comparing ผู้วจิ ัย ปรญิ ญา with Solasa-ñāṇa in Insight Meditation Practitioners) ปี พระมหาบญุ เลศิ ธมฺมทสฺส/ี โอฐสู วัตถุประสงค์ พทุ ธศาสตรดุษฎีบัณฑติ สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๕๕ การทบทวน ๑. เพอ่ื วิเคราะห์ความหมายและความสำคัญของอนิ ทรยี ์๕ และญาณ ๑๖ เอกสารและ ๒. เพอ่ื ศึกษาวเิ คราะห์เปรียบเทียบระหว่างญาณ ๑๖ กบั อนิ ทรยี ์๕ งานวจิ ยั ที่ ๓. เพ่อื สรา้ งตัวช้ีวดั ของความเป็นอินทรีย์๕ เปรยี บเทยี บกับระดบั ญาณ ๑๖ เกย่ี วขอ้ ง ๑. ความหมายและความสำคัญของอินทรีย์ ๕ ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับอินทรีย์ ๕ ความหมายของ นิยามศัพท์ อินทรีย์๕ ประเภทของอินทรีย์ ๕ (สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์) ความสำคัญของอินทรีย์๕ (ความเป็นปัจจัยตอ่ เนื่องกนั การปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน) หลักธรรม อนื่ ท่ีเกย่ี วข้องกบั อนิ ทรีย์๕ ๒. เปรียบเทียบระหว่างอินทรีย์ ๕ กับญาณ ๑๖ ได้แก่ แนวคิดเก่ียวกับการเจริญสติปัฏฐาน ๔ แนวคิดเกี่ยวกับญาณ ๑๖ ความสัมพันธ์ระหว่างญาณ ๑๖ กับอินทรีย์๕ รูปแบบการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานที่เป็นปัจจัยให้เกิดญาณ ๑๖ กับ อินทรีย์ ๕ (รูปแบบเดินจงกรม รูปแบบ การนั่งสมาธิ รปู แบบการกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถยอ่ ย หลกั ธรรมเก้อื หนุนตอ่ วิปัสสนา กัมมัฏฐาน การปรับอินทรยี ์ ๕) ๓. การสร้างตัวชี้วัดเพ่ือกำหนดระดับของความเป็นอินทรีย์ ๕ ได้แก่ ตัวชี้วัดอินทรีย์๕ ด้วยญาณ ๑๖ (แนวคิดตัวช้ีวัดวิสุทธิ ๗ กับญาณ ๑๖ แนวคิดตัวชี้วัดอินทรีย์ ๕ ด้วยญาณ ๑๖) ระเบียบ วธิ ีการวิจัย การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) การวิจัยภาคสนาม (Field Research) (ก. แบบประเมินก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ข. แบบประเมินหลังการปฏิบัติวิปัสสนา กมั มัฏฐาน) ๑. สตปิ ัฏฐาน ๔ หมายถงึ ท่ีต้ังแห่งการเจรญิ สติ๔ ประการ ได้แก่ กายานุปัสสนา-สติปัฏฐาน เวทนา นุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันเป็นที่ตั้ง ท่ี ระลึกแหง่ การเรียนรู้จักตัวเองจนเข้าใจและการฝึกฝน อบรมจิตใจให้เกิดสติรตู้ ามเท่าทันลกั ษณะ ของไตรลักษณ์ คอื ไม่เท่ยี ง เปน็ ทุกข์ เปน็ อนตั ตาหรอื ไม่ใช่ตัวตน ๒. วิปัสสนากรรมฐาน หมายถงึ ระเบียบวิธกี ารปฏิบัติอย่างหน่ึงที่สามารถให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ในชีวิตว่า ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแล้วกำจัดกิเลสต่างๆ เช่น โลภ โกรธ หลงเป็นต้น ให้ลด น้อยลงจนถึงหมดสิ้นไป หรือเพื่อการบรรลุมรรค ผล นิพพาน โดยระเบียบวิธีการปฏิบัติมี ๓ รูปแบบ คือการเดินจงกรม การน่ังสมาธหิ รือกรรมฐาน และการกำหนดทางทวาร ๖ และอริ ยิ าบถ ย่อย ๓. ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หมายถึง นิสิตบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย ปีการศึกษา ๒๕๕๕ ที่สมัครเข้าปฏิบัติในโครงการวิปัสสนากรรมฐานของบัณฑิต วิทยาลัย ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน–๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลัย อ. วังน้อย จ. พระนครศรีอยุธยา รวมระยะเวลา ๒๐ วนั จำนวน ๒๐๐ รปู /คน
ภาคผนวก ๒๑๓ ประชากรและกล่มุ ๔. อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ หมายถึง การพิจารณาเทียบเคียงถึงความสัมพันธ์ให้เห็น ตัวอยา่ ง ลักษณะท่ีเกีย่ วข้องกันระหวา่ งอินทรยี ์ ๕ กับญาณ ๑๖ ในการปฏิบตั ิวปิ สั สนากรรมฐาน วิธีดำเนินงานวจิ ยั ๕. ญาณ ๑๖ หมายถึง ความหยงั่ รู้ เป็นความรบู้ ริสทุ ธ์ทิ ี่ผุดโพลงสวา่ งแจ้งขึ้นมองเหน็ ตามสภาวะของ สิ่งนั้นๆ หรือเร่ืองน้ันๆ ตามเป็นจริง ความหยั่งรู้น้ีจะเกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนาเป็น ๑๖ ขั้น โดย เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ใน ลำดับตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมาย คือมรรค ผล นิพพาน ซ่ึงเร่ิมจากนามรูปปริจเฉทญาณไปถึงปัจจ การวเิ คราะห์ เจกขณญาณ สรปุ ผลการวิจัย ๖. อินทรีย์๕ หมายถึง ธรรมท่ีเปน็ ใหญ่ในหน้าทขี่ องตน คือ สัทธนิ ทรีย์ วิรยิ ินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธิ นทรยี ์ และปญั ญินทรีย์ ๗. ตวั ชว้ี ัด หมายถึง ตวั บ่งชก้ี ารเกดิ ขน้ึ ของญาณ ๑๖ ทีส่ ามารถวัดไดจ้ ากการปรับอินทรีย๕์ ให้เสมอ กัน คือสัทธินทรียค์ ู่กับปัญญินทรยี ์วิริยินทรยี ์คู่กบั สมาธินทรีย์ สตินทรีย์เชอ่ื โยงระหวา่ งสัทธินทรีย์ กบั ปัญญินทรีย์ วิริยินทรยี ์กับสมาธินทรีย์ และสมาธินทรีย์คู่กับวิริยินทรีย์ โดยไปเปรียบเทียบกับ การเกดิ ขึ้นของญาณ ๑๖ ในงานวจิ ยั นี้ หมายถึง แบบประเมินอนิ ทรยี ์๕ การศึกษาด้านเอกสารและด้านภาคสนาม โดยศึกษาวิเคราะห์เรื่องอินทรีย์ ๕ และญาณ ๑๖ ภายใต้ รูปแบบการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้วนำมาสร้างเป็นแบบประเมินอินทรีย์ ๕ ก่อนและหลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาประกอบด้วยนิสิตระดับ ปริญญาโทและปริญญาเอก ที่สมัครเข้าปฏิบัติในโครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปีการศึกษา ๒๕๕๕ ซ่ึงจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน–๑๔ ธันวาคม จำนวน ๒๐๐ รูป/คน โดยใช้แบบประเมนิ อินทรยี ์ ๕ สร้างขึ้นจากการศึกษาด้านเอกสาร การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) โดยแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ การวจิ ัยด้าน เอกสาร (Documentary Research) และการวิจัยภาคสนาม(Field Research) ได้วางขอบเขต การศกึ ษาวจิ ัยดังนี้ (๑) การวิจัยด้านเอกสาร (Documentary Research) แบ่งออกเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ ศกึ ษาวเิ คราะห์เน้ือหาเรอื่ งอนิ ทรีย์๕ ได้แก่(๑) สทั ธา (ความเช่อื ) (๒) วริ ิยะ (ความเพียร) (๓) สติ(ความระลึกได้) (๔) สมาธิ(ความตั้งจิตม่ัน) (๕) ปัญญา (ความรู้ท่ัว) และญาณ ๑๖ ภายใต้รูปแบบ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากเอกสารทางวิชาการท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ปกรณวิเสส ฎีกา อภิธรรมสังคหะ และเอกสารทางวิชาการของ ผู้ทรงคุณวุฒิทางพระพุทธศาสนา วิทยานิพนธ์ งานวิจัย และผลงานตีพิมพ์ รวมทั้งจากส่ือ อเิ ล็กทรอนิกส์ต่างๆ ๒ ระยะท่ี (๒) ศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างญาณ ๑๖ กับอินทรีย์ ๕ แล้ว สร้างตวั ชว้ี ัดเพอ่ื ความเป็นอินทรีย์๕ เปรยี บเทียบกับระดับญาณ ๑๖ ข้นึ มา แบบประเมินก่อนและหลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานซึ่งประกอบด้วยความรู้ความเข้าใจการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน และการปรับอินทรีย์ ๕ ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๓ รูปแบบ คือ (๑) การ เดนิ จงกรม (๒) การน่ังกรรมฐานหรือนัง่ สมาธิและ (๓) การกำหนดทางทวาร ๖ และอริ ยิ าบถยอ่ ย การสร้างตัวช้ีวัดเพ่ือวิเคราะห์อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน เป็นการศึกษาวิจัยท่ีพยายามจะเสนอเคร่ืองมือสำหรับเป็นตัวช้ีวัดเพ่ือวิเคราะห์อินทรีย์ ๕ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมีเครื่องมือ วดั ผลอย่างเป็นระบบ และง่ายต่อการประเมินผล ได้ตั้งวัตถุประสงค์การวิจัยไว้ ๓ ประการ คือ (๑)เพ่ือ วิเคราะห์ความหมายและความสำคัญของอินทรีย์ ๕ และญาณ ๑๖ (๒)เพื่อศึกษาวิเคราะห์ เปรียบเทียบระหว่างอินทรีย์๕ กับ ญาณ ๑๖ และ (๓)เพ่ือสร้างตัวช้ีวัดของความเป็นอินทรีย์ ๕
ภาคผนวก ๒๑๔ เปรียบเทียบกับระดับญาณ ๑๖ พร้อมท้ังต้ังประเด็นการวิจัยว่า ความหมายและความสำคัญของ อินทรีย์ ๕ และญาณ ๑๖ เป็นอย่างไร ความเป็นอินทรีย์ ๕ กับระดับญาณ ๑๖ เปรียบเทียบกันได้ อย่างไร และตัวช้ีวัดเพื่อความเป็นอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับระดับญาณ ๑๖ เป็นอยา่ งไร การวิจัยใน คร้งั นี้ได้ใช้วิธกี ารวิจัยทางเอกสาร (Documentary Research) เพ่ือศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาเร่ืองอนิ ทรีย์ ๕ ได้แก่ ๑)สัทธา (ความเช่ือ) ๒)วิริยะ (ความเพียร) ๓) สติ(ความระลึกได้) ๔) สมาธิ(ความตั้ง จิตม่ัน) ๕) ปัญญา (ความรู้ท่ัว) และญาณ ๑๖ ภายใต้รูปแบบการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือการ ปฏิบตั ิวิปัสสนากมั มัฏฐาน จากเอกสารทางวิชาการทเ่ี ก่ยี วข้อง ไดแ้ ก่ คัมภรี ์พระไตรปิฎก อรรถกถา ปก รณวิเสส และเอกสารทางวิชาการของผู้ทรงคุณวุฒิทางพระพุทธศาสนาวิทยานิพนธ์ งานวิจัย และ ผลงานตีพิมพ์ท้ังภาษาไทยทั้งภาษาอังกฤษ รวมทั้งจากส่ืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แล้วมาสร้างเป็นแบบ ประเมินอินทรีย์๕ ก่อนและหลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในรูปแบบการปฏิบัติ ๓ อย่าง คือ ๑) การเดินจงกรม ๒)การนั่งกัมมัฏฐาน หรือน่ังสมาธิ และ ๓)การกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถ ย่อย และเปน็ การวิจยั ภาคสนาม (Field Research) ผลจากการศึกษาไดค้ ำตอบโดยสรปุ ได้ดังต่อไปน้ี ความหมายและความสำคัญของอินทรีย์ ๕ หมายถึง ความเป็นใหญ่ในอำนาจหรือหน้าที่ ของตน มีความสำคัญ ๕ ประการ คือ (๑) สัทธินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในความเชื่อในฐานะ ๕ ประการ ได้แก่ ๑) เช่ือมั่นคุณของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วย พระองค์เอง ๒)เช่ือมั่นคุณของพระธรรมว่า พระธรรมเป็นทางแห่งการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ๓) เช่ือม่ันของพระสงฆ์ว่า พระอริยสงฆ์เป็นผู้บรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา ๔)เชื่อม่ันว่า กรรมมีจริง ๕)เชอ่ื มั่นว่าผลกรรมมีจริง ไม่ให้เกิดความไม่เช่ือมั่นความไม่เลื่อมใส มลี ักษณะของความเช่ือม่ัน (๒) วิริยินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในความเพียร ๔ สถาน ได้แก่ ๑) เพียรเฝ้าระวังไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้น ๒) เพียรละอกุศลธรรมท่ีเกิดข้ึน ๓) เพียรทำกุศลธรรมให้เกิดขึ้น และ ๔) เพียรรักษากุศลธรรมที่ เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เส่ือมไป ไม่ให้เกิดความเกียจคร้าน มีลักษณะของหนักแน่น บากบ่ัน (๓) สตินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในฐานท่ีตั้ง ๔ ประการ ได้แก่ ๑) ฐานของกาย ๒) ฐานของเวทนา ๓) ฐานของจิต และ ๔) ฐานของธรรม ไม่ให้เกิดความหลงลมื มีลักษณะของแนบชิดในอารมณ์ (๔) สมาธนิ ทรยี ์ คือ สมาธิท่ีเป็นใหญ่ในความตั้งมั่น ๓ ประเภท คือ ๑) อุปจาระ สมาธิจวนจะแน่วแน่ ๒) อัปปนา สมาธิท่ี เปน็ ใหญ่ในอัปปนา แบง่ เป็น ๔ คือ ปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน จตตุ ถฌาน ไม่ให้เกิดความฟุ้งซา่ น มีลักษณะของความตั้งม่ันแห่งจิต ๓) วิปัสสนาขณิก สมาธิที่แก่กล้ามีกำลังมากคล้ายกับอัปปนาสมาธิ เพราะปราศจากกิเลสนิวรณ์และ ๕) ปัญญินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในความรู้แจ้ง ๔ ประการ ได้แก่ ๑) ทุกข์ ๒) สมุทัย ๓) นิโรธ ๔) มรรค ไม่ให้เกิดความหลงงมงาย มีลักษณะของการรู้เห็นหรือแทง ตลอดตามเป็นจริง อินทรีย์ ๕ นี้ เปรียบเหมอื นพระราชาซ่ึงเปน็ บุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ ใน สมัยก่อนทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระราชา อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะมีกำลัง มากในการประกอบกิจของตน เพราะความสำคัญของอินทรีย์ ๕ อยู่ท่ีจะต้องปรับให้สมดุลกัน เพื่อ เจริญสติปัฏฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดวิปัสสนาญาณ ตามลำดับจึงได้ช่ือว่าเป็นหลักธรรม บ่งชี้วัดความก้าวหน้าหรือตัวชี้วัดการเจริญสติปัฏฐาน ๔ และการเกิดขึ้นของญาณ ๑๖ นอกจากนี้ อินทรีย์ ๕ ยังมีหลักธรรมท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์๘ ซ่ึงเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ แนวคิดเร่ืองญาณ ๑๖ คือ ผลของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่ีมีการปรับอินทรีย์ท้ัง ๕ ให้สมดุลกัน ญาณ ๑๖ ย่อมเกิดขึ้น ตามลำดบั ญาณกำหนดรู้นามและรปู (๒) ปัจจยปริคคหญาณ ญาณกำหนดรูป้ ัจจัยของนามและรูป (๓) สัมมสนญาณ ญาณกำหนดร้โู ดยไตรลกั ษณ์ (๔) อทุ ยพั พยญาณ ญาณกำหนดรโู้ ดยความเกิดและ
ภาคผนวก ๒๑๕ ความดับของนามและรูป (๕) ภังคญาณ ญาณกำหนดรู้ความดับของนามและรูป (๖) ภยญาณ ญาณ กำหนดรู้โดยความน่ากลัว (๗) อาทีนวญาณ ญาณกำหนดรู้โทษของนามและรูป (๘) นิพพิทาญาณ ญาณกำหนดรู้ความเบ่ือหน่ายในนามและรูป (๙) มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยความ ปรารถนาที่จะพ้นไปเสีย (๑๐) ปฏิสังขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน (๑๑) สังขารุ เปกขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยความวางเฉยในสังขาร (๑๒)อนุโลมญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการ คล้อยตาม (๑๓) โคตรภูญาณ ญาณท่ีเช่ือมต่อระหว่างความเป็นปุถุชนกับพระอริยบุคคล (๑๔) มัคค ญาณ ในอริยมรรค ญาณท่ีให้สำเร็จภาวะอริยบุคคลแต่ละขั้น (๑๕) ผลญาณในอริยผล ญาณท่ีเป็น ผลสำเร็จของพระอริยบุคคลช้ันน้ันๆ (๑๖) ปัจจเวกขณญาณ ญาณท่ีกำหนดรู้ด้วยการทบทวน ความสัมพันธ์ระหว่างญาณ ๑๖ กับอินทร์ย์๕ คือ เม่ือสัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิและสติของผู้ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานท่ีเป็นวิปัสสนายานิกะ หรือผู้ที่เป็นสมถยานิกะเสมอกัน ย่อมเกิดปัญญาที่ เรียกว่า ญาณ ๑๖ ขนึ้ การเปรียบเทียบระหว่างญาณ ๑๖ กับอินทรีย์ ๕ การเปรียบเทียบระหว่างญาณ ๑๖ กับ อินทรีย์ ๕ ได้จากการศึกษาแนวคิดเก่ียวกับการเจริญสติปัฏฐาน ๔ แนวคิดเรื่องญาณ ๑๖ ความสัมพันธ์ระหว่างญาณ ๑๖ กับอินทรีย์ ๕ รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเช่ือมโยงกับ อนิ ทรยี ์ ๕ พบวา่ มหาสติปัฏฐานสตู รเปน็ แนวคิดของการเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ผลของการเจรญิ สติปัฏ ฐาน ๔ เป็นแนวคดิ เร่ืองญาณ ๑๖ และญาณ ๑๖ เกิดข้ึนได้เพราะอินทรีย์ทั้ง ๕ สมดุลหรือเสมอกัน คือ เมื่อสัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิ และสติของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่เป็นวิปัสสนายานิกะ หรือผู้ท่ีเป็นสมถยานิกะเสมอกัน ญาณ ๑๖ ก็เกิดข้ึนอินทรีย์ ๕ ก็ถึงความแก่รอบ ทั้ง ๒ ก็ต้องอาศัย รปู แบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานท่ีมีความต่อเนื่องเป็นปัจจัยให้เกิดข้ึน ได้แก่ การเดินจงกรม การ นั่งสมาธิ การกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถย่อยอนึ่ง การเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ได้แนวคิดมาจากมหา สติปัฏฐานสตู ร ซงึ่ มที ั้งหลกั การและวิธีการทพ่ี ระพุทธเจ้าไดต้ รสั ไว้สมบูรณ์แบบทสี่ ุด คือการตั้งสติไปไว้ ท่ีฐานของ กาย เวทนา จิต และธรรม จนเห็นพระไตรลักษณ์ หรือนำไปสู่การเกิดญาณ ๑๖ ขึ้นมา น่นั เอง การสร้างตัวชี้วัดเพ่ือความเป็นอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับระดับญาณ ๑๖ การสร้างตัวชี้วัด เพื่อความเป็นอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ คือ แนวคิดมาจากการเปรียบเทียบวิสุทธิ ๗ กับ ญาณ ๑๖ ได้แก่ สีลวิสุทธคิ วามบริสุทธข์ิ องศีล และจิตตวิสุทธิความบริสุทธิ์ของจิตทั้ง ๒ ประการน้ี เป็นรากเหง้าของวิปัสสนาญาณ ทิฏฐิวิสุทธิเปรียบเทียบกับนามรูปปริจเฉทญาณ กังขาวิตรณวิสุทธิ เปรียบเทียบกับปัจจยปริคคหญาณ มัคคามัคคญาณทัสสนาวิสุทธิเปรียบเทียบกับสัมมสนญาณและ ตรุณอุทยัพพยญาณ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเปรียบเทียบกับพลวอุทยัพพยญาณ ภังคญาณ ภย ญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณสังขารุเปกขาญาณ อนุโลม ญาณ และญาณทสั สนวสิ ทุ ธิเปรียบเทียบกับโคตรภญู าณ มรรคญาณ ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ในการสร้างตัวช้ีวัดครั้งนี้ ใช้ความสมดลุ ของอินทรีย์ ๕ ไปเปรยี บเทียบกับรูปแบบของการปฏบิ ัติ วปิ ัสสนากรรมฐาน คือ แบบท่ี ๑ เปรียบเทียบสัทธินทรีย์คู่กับปัญญินทรีย์ในรูปแบบของการปฏิบัติ วปิ ัสสนากรรมฐาน คือ การเดินจงกรม การนงั่ สมาธิ การกำหนดทางทวาร ๖ และอริ ิยาบถยอ่ ย แบบท่ี ๒ วริ ิยินทรีย์คูก่ ับสมาธินทรีย์ในรูปแบบของการเดินจงกรม แบบท่ี ๓ สตินทรีย์เป็นตัวกลางในการ เชื่อมโยงทั้ง ๒ คู่ให้สมดุลกันในรูปแบบการกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถย่อย และแบบท่ี ๔ สมาธินทรีย์คู่กับวิริยินทรีย์ในรูปแบบของการน่ังสมาธิ ซึ่งเม่ือเปรียบเทียบเทียบกันแล้ว ทำให้เกิด ญาณ ๑๖ คือ ตั้งแต่ญาณท่ี ๑ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ จนถึงญาณท่ี ๑๖ คือปัจเจกขณญาณ ผล
ภาคผนวก ๒๑๖ การวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือสร้างระดับอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานจำนวนทั้ง ๒๐๐ รูป/คน พบว่า นิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีความรู้และความเข้าใจ ก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการเดินจงกรม ได้แก่ การเดินจงกรม ๖ ระยะ มีขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เป็นตน้ ขณะท่ีเกิดความร้สู ึกเจ็บปวด หรอื สบาย หรือว่าเฉยๆ ท้งั ขณะที่จติ นึกรัก โกรธ หลง เป็นต้น และขณะท่ีจิตเกิดความยินดี พยาบาท งว่ ง ท้อแท้ เกียจคร้าน ฟงุ้ ซ่าน เบอื่ รำคาญ ลังเลสงสัย หรือเกดิ ความระลึกได้ พิจารณาธรรม เพียรพยายาม อ่ิมใจ สงบ ตั้งมั่น ปล่อยวางอย่างมีปัญญาแทรกในขณะเดินจงกรม อยู่ในระดับปานกลาง คือ ร้อยละ ๔๑.๐ ร้อยละ ๓๙.๕ ร้อยละ ๓๙.๐ และร้อยละ ๓๗.๕ นิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีความรู้และความ เข้าใจก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการน่ังสมาธิ คือ ในขณะน่ังสมาธิ จะสงั เกตอาการพอง-ยุบ ของท้อง ท้ังขณะที่เกิดความรู้สึกเจ็บปวด หรือสบายหรือ วา่ เฉยๆ ทั้งขณะทีจ่ ิตนึกรักโกรธ หลง เปน็ ต้น และขณะที่จติ เกิดความยินดี พยาบาท ง่วง ท้อแท้ เกยี จ คร้าน ฟุ้งซ่าน เบื่อรำคาญลังเลสงสัย หรือเกิดความระลึกได้ พิจารณาธรรม เพียรพยายาม อิ่มใจ สงบ ตั้งม่ัน และปล่อยวางอย่างมีปัญญา ซึ่งแทรกในขณะนั่งสมาธิ อยู่ในระดับปานกลาง คือร้อยละ ๓๘.๕ ร้อยละ ๔๕.๐ ร้อยละ ๔๔.๕ และร้อยละ ๔๗.๕ นิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีความรู้และความ เข้าใจก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการกำหนดทาง ทวาร ๖ (อายตนะภายในอายตนะภายนอก ๑๒) คือ ในขณะเห็น ดมกล่ิน ล้ิมรส กายถูกต้องสัมผัส และใจนึกคิด อยู่ในระดับปานกลาง คือ ขณะเห็น ร้อยละ ๕๑.๕ ขณะได้ยินเสียง ร้อยละ ๔๑.๕ ขณะดมกล่ิน ร้อยละ ๓๑.๕ ขณะลิ้มรส ร้อยละ ๓๖.๕ ขณะที่การถูกต้องสัมผัสเย็น ร้อน ฯลฯ ร้อย ละ ๔๐.๐ และขณะเกิดความนึกคิด ร้อยละ ๓๙.๐ นิสติ ผู้ปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานมีความรู้และความ เข้าใจก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการกำหนด อิริยาบถย่อย อยู่ในระดับปานกลางคือ ขณะตื่นนอน ร้อยละ ๓๖.๕ ขณะล้างหน้าแปรงฟัน ร้อยละ ๓๖.๕ ขณะอาบน้ำ ร้อยละ ๔๕.๐ ขณะนุ่งห่มจีวร หรือสวมใส่เส้ือผ้า ร้อยละ ๓๗.๕ ขณะฉันหรือ รับประทานอาหาร ร้อยละ ๓๐.๕ ขณะด่ืมน้ำร้อยละ ๓๑.๕ ขณะล้างบาตร ถ้วย ชาม ช้อน ร้อยละ ๓๗.๐ ขณะกม้ -เงย รอ้ ยละ ๔๖.๐ขณะแลซ้าย-แลขวา รอ้ ยละ ๔๒.๐ ขณะเปิด-ปิดประตูร้อยละ ๓๔.๕ ขณะกราบพระ ร้อยละ ๒๙.๕ ขณะเดินไปมา ร้อยละ ๓๙.๐ และขณะเข้านอน ร้อยละ ๔๔.๕ อินทรีย์๕ ได้แก่ สัทธินทรีย์(ศรัทธา) คู่กับ ปัญญินทรีย์(ปัญญา) ของนิสิตก่อนการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานท้ัง ๓ รูปแบบคือ การเดินจงกรม การนั่งสมาธิและการกำหนดอิริยาบถย่อย ส่วนมาก สัทธินทรีย์(ศรัทธา) คู่กับปัญญินทรีย์(ปัญญา) อยู่ในระดับมากท่ีสุด คือ การเดินจงกรมจะกำหนดตาม ระยะเวลาที่พระวิปัสสนาจารย์แนะนำให้เดิน ร้อยละ ๓๑.๐ และการนั่งสมาธิจะน่ังกำหนดตาม ระยะเวลาที่พระวิปัสสนาจารย์แนะนำให้น่ัง ร้อยละ ๓๐.๕ นอกจากน้ัน จัดอยู่ในระดับปานกลาง คือ การกำหนดอิริยาบถย่อย ร้อยละ ๓๖.๕ จะเกิดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ร้อยละ ๓๙.๐ จะเกิดเลื่อมใส ในพระธรรม ร้อยละ ๓๘.๐ และจะเกิดเล่ือมใสในพระอรยิ สงฆ์ ร้อยละ ๓๓.๕ อินทรีย์๕ คือ วิริยินท รีย์(วิริยะ) คู่กับ สมาธินทรีย์(สมาธิ) ของนิสิตก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในรูปแบบการเดิน จงกรม ส่วนมากวิริยินทรีย์(วิริยะ) อยใู่ นระดับปานกลาง น้อยและนอ้ ยที่สุด คอื ในระดับปานกลางน้ัน ได้แก่ในการเดินจงกรมจะกำหนดการแยกรูปแยกนามออกจากกันได้ ร้อยละ ๓๕.๐ กำหนดเห็น “ตัวรู้ ก่อน แล้วเทา้ จงึ เคล่อื นไปตาม” ร้อยละ ๓๙.๐ กำหนดเหน็ “อาการเบา อาการหนกั ของเทา้ มลี กั ษณะ เกิดข้ึนและดับไป” ร้อยละ ๔๑.๕ และกำหนดเห็น“อาการเบา อาการหนักของเท้าแล้วมีความอ่ิม เอมใจ เปน็ ตน้ ” ร้อยละ ๔๒.๐ ในระดบั น้อย ไดแ้ ก่กำหนดเห็น “แต่ความดับไป หรือหายไป หรอื จบไป
ภาคผนวก ๒๑๗ ของอาการเบาอาการหนักของเท้า” ร้อยละ ๓๘.๐ กำหนดเห็น “ความกลัวในรูปนาม” ร้อยละ ๔๑.๐ กำหนดเห็น “โทษภัยในการเวยี นว่ายตายเกิด” ร้อยละ ๓๘.๐ กำหนดเห็น “ความเบื่อหน่ายใน รูปนาม” ร้อยละ ๓๑.๕ กำหนดเห็น “ความอยากจะพ้นไปจากรูปนาม” ร้อยละ ๓๔.๕ กำหนดเห็น “ความไม่เที่ยง เปน็ ทุกข์ เป็นอนัตตา ของรปู นามอย่างชดั เจน” ระดับนอ้ ยร้อยละ ๓๑.๐ ในระดับน้อย ทส่ี ุด ได้แก่กำหนดเห็น “ความวางเฉยหรือใจท่ีสงบต่อรูปนามอย่างมีท่าที”ร้อยละ ๓๔.๕ กำหนด “ชว นะท้ัง ๗ ขณะ คือ บริกรรม อุปจารอนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๒ ขณะ อนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๓ ขณะรวมกัน” หรือกำหนด“ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะอนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๒ ขณะรวมกัน” ร้อยละ ๔๓.๐ กำหนด “นิพพานมาเป็นอารมณ์” ร้อยละ ๔๙.๐ กำหนด “ความดับไปทางอนิจจัง” หรือ “ความดบั ไปทางทกุ ขัง”หรือว่า “ความดบั ไปทางอนตั ตา” ร้อยละ ๔๑.๐ กำหนด “ความดบั เงยี บ ตอนสุดท้าย” ร้อยละ๔๐.๕ และกำหนด “การหวนกลบั พิจารณาถึงสภาวะทตี่ นเขา้ สู่ความดับ” ร้อยละ ๔๒.๐ สำหรับอินทรีย์๕ คือ สตินทรีย์(เร่ืองสติ) เป็นตัวกลางเช่ือมโยง สัทธากับปัญญา และวิริยะกับ สมาธิให้เสมอกันในรูปแบบการกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถย่อยของนิสิตก่อนปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ส่วนมากสตินทรีย์(สติ) อยู่ในระดับระดับปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด คือในระดับปาน กลาง ได้แก่ ในขณะเห็นรูปเป็นต้น จะสามารถกำหนดเห็น “ความวางเฉย เป็นต้น” ร้อยละ๓๐.๐ กำหนดเห็น “ความอยากจะพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด” ร้อยละ ๓๐.๕ ในระดับน้อยได้แก่ ในขณะเห็นรูปเป็นต้น จะสามารถกำหนดเห็น “รูปท่ีเห็น และนามท่ีรู้เห็นออกจากกัน” ร้อยละ๓๙.๐ กำหนดเห็น “รูปที่เห็น เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนามท่ีรู้” ร้อยละ ๓๕.๐ กำหนดเห็น “ความเกิด-ความ ดับ” ร้อยละ ๓๐.๐ กำหนดเห็น “ความดับไปอย่างเดียวของความวางเฉย เป็นต้น” ร้อยละ๓๕.๐ ใน ระดับน้อยที่สุด ได้แก่กำหนดเห็น “ความน่ากลัวในการเวียนว่ายตายเกิด” กำหนด ร้อยละ๓๓.๐ กำหนดเห็น “โทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด” ร้อยละ ๓๑.๐ กำหนดเห็น “ความเบื่อหน่ายในการ เวยี นว่ายตายเกิด” ร้อยละ ๒๙.๐ กำหนด “ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ บรกิ รรม อุปจารอนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๒ ขณะ อนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๓ ขณะรวมกัน” หรือกำหนด “ชวนะทั้ง ๗ ขณะ คือ อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะอนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๒ ขณะรวมกัน” ร้อยละ ๔๒.๐ กำหนด “นิพพานมาเป็นอารมณ์” ร้อยละ ๔๘.๐ กำหนด “ความดับไปทางอนิจจัง” หรือ “ความดับไปทางทุกขัง”หรือว่า “ความดับไปทาง อนัตตา” ร้อยละ ๔๓.๐ กำหนด “ความดับเงียบตอนสุดท้าย” ร้อยละ๔๒.๐ และกำหนด “การหวน กลับพจิ ารณาถึงสภาวะที่ตนเข้าสู่ความดับ” ร้อยละ ๓๙.๕ อินทรีย์๕ คือสมาธินทรีย์(สมาธิ) คกู่ ับวิ ริยินทรีย์(วิริยะ) ในรูปแบบของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ การน่ังสมาธิของนิสิตก่อนปฏิบัติ วปิ สั สนากัมมัฏฐาน อยใู่ นระดับปานกลางน้อย และน้อยที่สุด คือ ในระดบั ปานกลาง ได้แก่ ในขณะนั่ง สมาธิจะกำหนดเห็น “อาการพอง-ยุบเกิดขึ้นกอ่ น ใจจึงตามไปรู้ทีหลัง” ร้อยละ ๓๙.๕ กำหนดอยู่จะมี อาการคันเหมือนมีแมลงมาไต่ หรืออยากจะออกจากสังสารวัฏไม่อยากได้รูปนามอีก ร้อยละ ๓๒.๕ กำหนดอยูก่ ารกำหนดไม่ค่อยสะดวกบางทีตอ้ งพยายามจนเหนอ่ื ยและอ่อนเพลยี ถงึ จะพยายามก็ไมท่ ัน ปัจจุบัน ร้อยละ ๓๖.๐ กำหนดอยู่จะกำหนดได้คล่องแคล่ว ใจสงบเงียบ ไม่มีเวทนา ร้อยละ ๔๑.๕ กำหนดอยู่ เมื่อกำหนดไม่ทัน จะกำหนดรู้หนอ กำหนดช้าลงเป็นธรรมดาอีก จะมีอาการเร็วขึ้นๆ ร้อย ละ ๔๘.๐ กำหนดอยู่ บรกิ รรมอปุ จาร อนุโลมไดเ้ กิดขึ้น ดบั เงียบไปตอนแรกเป็นอารมณ์ ร้อยละ ๓๓.๕ ในระดบั นอ้ ย ได้แก่ ในขณะนง่ั สมาธิจะกำหนดเห็น “อาการพอง-ยุบ กับ ใจที่รูอ้ าการพอง-ยุบน้ันเป็น คนละอย่างกัน”ร้อยละ ๓๒.๐ กำหนดเห็น “พอง-ยุบเกิดดับเร็ว” หรือแสงสว่างมากมายเต็มไปหมด
ภาคผนวก ๒๑๘ หรือตัวเบา เป็นต้น” ร้อยละ ๒๙.๐ กำหนดเห็น “พอง-ยุบหายไปอย่างเดียว” ร้อยละ ๓๗.๐ กำหนด เห็นพอง-ยุบหายไปหมด “เกดิ ความกลัว” รอ้ ยละ ๔๐.๐ กำหนดเหน็ “แตข่ องไม่ดี หรือไมเ่ หน็ อะไร มี แต่หายไปๆเหน็ แต่รปู นามเป็นโทษ” รอ้ ยละ ๓๙.๕ กำหนดสังขารรูปนามได้เป็นอย่างดี“แต่รู้สกึ ใจแห้ง แล้ง หรอื รู้สึกเบื่อ ๆ” ร้อยละ ๔๑.๐ กำหนดอยู่ จะมีอาการคันเหมือนมีแมลงมาไต่ หรืออยากจะออก จากสังสารวัฏ ไม่อยากได้รูปนามอีก ร้อยละ ๓๒.๕ ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่ ย่อมเห็นรูปนามแสดง โดยความเป็นทุกข์แล้วเข้าสู่มรรค ดับเงียบตอนกลาง มีนิพพานเป็นอารมณ์ร้อยละ ๓๖.๐ ในระดับ นอ้ ยท่ีสุด คอื ในขณะน่ังสมาธิกำหนดอยู่ บริกรรม อุปจาร อนุโลมได้เกดิ ขึ้น ความดบั เงยี บไปตอนแรก เปน็ อารมณ์ร้อยละ ๒๙.๐ ในขณะนัง่ สมาธิกำหนดอยู่ ย่อมเห็นรูปนามแสดงโดยความเป็นทุกข์แล้วเข้า สู่มรรค ดับเงียบตอนกลาง มีนิพพานเป็นอารมณ์ร้อยละ ๓๕.๐ ในขณะน่ังสมาธิกำหนดอยู่ความดับ เงียบตอนสุดท้ายเป็นอารมณ์ ร้อยละ ๔๒.๕ ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่จะพิจารณาเห็นกิเลสท่ีละได้ แล้วและกิเลสท่ียังเหลืออยู่ร้อยละ ๔๐.๕ สรุปความรู้และความเข้าใจหลังการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการเดินจงกรมของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ส่วนมากมีความรู้และเข้าใจในการเดนิ จงกรม ๖ ระยะ มีขวายา่ งหนอ ซ้ายย่างหนอ เป็นต้น ขณะท่เี กดิ ความรสู้ ึกเจ็บปวด หรอื สบายหรอื ว่าเฉยๆ ท้ังขณะท่จี ิตนึกรกั โกรธ หลง เปน็ ต้น และขณะที่ จติ เกิดความยินดพี ยาบาท ง่วง ท้อแท้ เกยี จคร้าน ฟงุ้ ซ่าน เบ่ือรำคาญ ลังเลสงสัย หรือเกดิ ความระลึก ได้ พิจารณาธรรม เพียรพยายาม อิ่มใจ สงบ ตั้งมั่น ปล่อยวางอย่างมีปัญญาแทรกในขณะเดินจงกรม ยังอยู่ในระดับปานกลาง คือ ร้อยละ ๓๙.๕ ร้อยละ ๔๐.๐ ร้อยละ ๓๖.๕ และร้อยละ ๓๓.๕ ซึ่งมีการ พัฒนาไปสูระดบั มากขึ้น สรุปความรู้และความเข้าใจของนิสิต หลงั การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากัมมัฏฐานหรือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการน่ังสมาธิ ส่วนมากมีความรู้และเข้าใจกัมมัฏฐาน ในขณะนั่ง สมาธิสามารถสังเกตอาการพอง-ยุบ ของท้อง ทั้งขณะท่ีเกิดความรู้สึกเจ็บปวด หรือสบายหรือว่าเฉยๆ ทั้งขณะท่ีจิตนึกรัก โกรธ หลง เป็นต้น และขณะที่จิตเกิดความยินดี พยาบาท ง่วง ท้อแท้ เกียจคร้าน ฟุ้งซ่าน เบ่ือรำคาญ ลังเลสงสัย หรือเกิดความระลึกได้ พิจารณาธรรม เพียรพยายาม อ่ิมใจ สงบ ต้ังมั่น ปล่อยวางอย่างมีปัญญา ซึ่งแทรกในขณะน่ังสมาธิ อยู่ในระดับปานกลาง คือร้อยละ ๓๘.๕ ร้อยละ ๔๕.๐ ร้อยละ ๔๔.๕ และร้อยละ ๔๗.๕ แต่มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มมากข้ึนในการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานหรอื การเจริญสติปฏั ฐาน ๔ ในรูปแบบของการนั่งสมาธสิ ังเกตไดจ้ ากก่อนปฏิบตั ิที่ระดับร้อย ละ ๔.๕ หลังปฏิบัติเหลือร้อยละ ๑.๕ เป็นต้น สรุปความรู้และความเข้าใจของนิสิต หลังการปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการกำหนดทางทวาร ๖ (อายตนะ ภายในอายตนะภายนอก ๑๒)ส่วนมากมีความรู้และเข้าใจกัมมัฏฐาน เพิ่มขึ้นในขณะเห็น ดมกล่ิน ล้ิม รส กายถูกต้องสัมผัส และใจนึกคิด ถึงแม้จะจัดอยู่ในระดับปานกลาง คือ ขณะเห็น ร้อยละ (๕๑.๕) ๔๐.๐ ขณะไดย้ ินเสียง ร้อยละ (๔๑.๕) ๓๗.๐ ขณะดมกล่ิน ร้อยละ (๓๑.๕) ๓๕.๐ ขณะล้ิมรส ร้อยละ (๓๖.๕) ๓๕.๐ ขณะทกี่ ายถกู ต้องสมั ผัสเยน็ รอ้ น ฯลฯ ร้อยละ (๔๐.๐) ๔๕.๕ และขณะเกดิ ความนกึ คิด ร้อยละ (๓๙.๐)๓๓.๕๐ สรุปความรู้และความเข้าใจของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หลังการ ปฏบิ ตั วิ ิปสั สนากัมมัฏฐานหรอื การเจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ในรูปแบบของการกำหนดอิรยิ าบถย่อย สว่ นมาก มีความรู้และเข้าใจการกำหนดอิริยาบถย่อยเพ่ิมขึ้น แต่มีความแตกต่างกัน ยังคงจัดอยู่ในระดับปาน กลาง คือ ขณะต่ืนนอน ร้อยละ ๓๖.๕ ขณะล้างหน้าแปรงฟัน ร้อยละ ๓๙.๕ ขณะอาบน้ำร้อยละ ๔๕.๕ ขณะนุ่งห่มจีวร หรือสวมใส่เสื้อผ้า ร้อยละ ๓๗.๐ ขณะฉันหรือรับประทานอาหาร ร้อยละ (๓๐.๕) ๓๗.๕ ขณะดื่มน้ำ ร้อยละ (๓๑.๕) ๓๘.๕ ขณะล้างบาตร ถ้วย ชาม ช้อน ร้อยละ (๒๘.๐) ๓๗.๐ ขณะก้ม-เงย ร้อยละ (๔๖.๐) ๑๖.๐ ขณะแลซ้าย-แลขวา ร้อยละ (๔๒.๐) ๔๒.๐ ขณะเปิด-ปิด
ภาคผนวก ๒๑๙ ประตู ร้อยละ (๓๔.๕)๓๙.๕ ขณะกราบพระร้อยละ (๒๙.๐) ๓๓.๐ ขณะเดินไปมา ร้อยละ (๓๙.๐) ๓๖.๐ และขณะเข้านอนร้อยละ (๔๔.๕) ๓๖.๕ สรุป อินทรีย์๕ ได้แก่สัทธนิ ทรีย์(ศรัทธา) คู่กับ ปัญญิ นทรยี ์(ปญั ญา) หลงั การปฏิบัติวิปัสสนากมั มัฏฐานในรูปแบบทั้ง ๓ คือ การเดินจงกรม การนง่ั สมาธิและ การกำหนดอิริยาบถย่อยของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนมากสัทธินทรีย์(ศรัทธา) คู่กับ ปัญญิ นทรีย์(ปัญญา) อยู่ในระดับมาก คือ ในการเดินจงกรมจะกำหนดตามระยะเวลาท่ีพระวิปัสสนาจารย์ แนะนำให้เดิน อยู่ในระดับมากที่สุดร้อยละ (๓๑.๐) ๒๑.๕ ไปยู่ที่ระดับมากร้อยละ ๓๐.๐ ลดลงจาก ก่อนการปฏิบัติเน่ืองจากได้มีการปรับตัวศรัทธา สำหรับการนงั่ สมาธิได้นั่งกำหนดตามระยะเวลาที่พระ วิปัสสนาจารย์แนะนำให้น่ังในระดับมากที่สุดร้อยละ (๓๐.๕) ๒๓.๕ ไปยู่ที่ระดับมากร้อยละ ๓๐.๐ เช่นกนั นอกจากนั้น จัดอยู่ในระดับปานกลาง คือได้เกิดเล่ือมใสในพระพุทธเจ้า ร้อยละ (๓๙.๐) ๓๑.๐ เกิดเลื่อมใสในพระธรรมร้อยละ (๓๘.๐) ๓๖.๐ และจะเกิดเลื่อมใสในพระอริยสงฆ์ ร้อยละ (๓๓.๕) ๓๖.๐ แต่การกำหนดอิริยาบถย่อยอยู่ในระดับปานกลางลดลงคือร้อยละ (๓๖.๕) ๓๑.๐ ไปยู่ที่ระดับ นอ้ ยร้อยละ (๒๙.๐)๓๓.๕ สรปุ อนิ ทรยี ์๕ คอื วริ ิยนิ ทรยี ์(วริ ิยะ) คู่กับสมาธินทรีย์(สมาธิ) หลังการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานในรูปแบบการเดินจงกรมของนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนมากมีวิริยินท รีย์(วิริยะ)คู่กับสมาธินทรีย์(สมาธิ) อยู่ในระดับปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด ดังน้ี คือ ในระดับปาน กลาง ได้แก่ ในการเดินจงกรมสามารถกำหนดการแยกรูปแยกนามออกจากกันได้ ร้อยละ (๓๕.๐) ๓๔.๐กำหนดเห็น “ตัวรู้ก่อน แล้วเท้าจึงเคล่ือนไปตาม” ร้อยละ (๓๙.๐) ๓๕.๐ กำหนดเห็น “อาการ เบาอาการหนักของเท้า มีลักษณะเกิดข้ึนและดับไป” รอ้ ยละ (๔๑.๕) ๓๓.๐ และกำหนดเห็น “อาการ เบา อาการหนกั ของเท้าแล้วมีความอ่ิมเอมใจ เปน็ ต้น” ร้อยละ (๔๒.๐) ๓๕.๐ ในระดบั นอ้ ย ไดแ้ ก่ ใน การเดินจงกรมสามารถกำหนดเหน็ “แต่ความดับไป หรอื หายไป หรือจบไปของอาการเบาอาการหนัก ของเท้า” ร้อยละ (๓๘.๐) ๓๔.๕ กำหนดเห็น “ความกลัวในรูปนาม” ร้อยละ (๔๑.๐) ๔๓.๕กำหนด เห็น “โทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด” ร้อยละ (๓๘.๐) ๓๔.๐ กำหนดเห็น “ความเบ่ือหน่ายในรูป นาม” ร้อยละ (๓๑.๕) ๓๕.๕ กำหนดเห็น “ความอยากจะพ้นไปจากรูปนาม” ร้อยละ (๓๔.๕)๓๖.๐ กำหนดเห็น “ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของรปู นามอย่างชัดเจน” ร้อยละ (๓๑.๐)๕๗.๕ ใน ระดับน้อยที่สุด ได้แก่ ในการเดินจงกรมสามารถกำหนดเห็น “ความวางเฉยหรือใจท่ีสงบต่อรูปนาม อย่างมีท่าที”ร้อยละ (๓๔.๕) ๒๖.๐ กำหนด “ชวนะท้ัง ๗ ขณะ คือ บริกรรม อุปจารอนุโลม มรรค ญาณ และผลญาณ ๒ ขณะ อนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมทั้ง ๓ ขณะรวมกัน” หรือ กำหนด“ชวนะทั้ง ๗ ขณะ คือ อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะอนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมทั้ง ๒ ขณะรวมกัน” ร้อยละ (๔๓.๐) ๒๙.๐ กำหนด“นิพพานมาเป็น อารมณ์” ร้อยละ (๔๙.๐) ๒๕.๕ กำหนด “ความดับไปทางอนจิ จงั ” หรือ “ความดับไปทางทกุ ขัง” หรือ ว่า “ความดับไปทางอนัตตา” ร้อยละ (๔๑.๐) ๒๔.๕ กำหนด “ความดับเงียบตอนสุดท้าย” ร้อยละ (๔๐.๕) ๒๗.๕ และกำหนด “การหวนกลับพิจารณาถึงสภาวะท่ีตนเข้าสู่ความดับ”ร้อยละ (๔๒.๐) ๒๙.๕ (จากตารางท่ี ๕ (๒) หน้า ๒๐๔)สรุปอินทรีย์๕ คือ สตินทรีย์(เรื่องสติ) เป็นตัวกลางเช่ือมโยง สัทธากับปัญญา และวิริยะกับสมาธิให้เสมอกันในรูปแบบการกำหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถย่อย ของนิสติ หลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สว่ นมากยังคงมีสตินทรีย์(สติ) อยู่ในระดับระดับปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุดดังน้ี คือ ในระดับปานกลาง ได้แก่ ในขณะเห็นรูปเป็นต้น สามารถกำหนดเห็น “ความวางเฉยเป็นต้น” ร้อยละ (๓๐.๐) ๓๖.๕ กำหนดเห็น “ความอยากจะพ้นไปจากการเวียนว่าย ตายเกิด” ร้อยละ (๓๐.๕) ๒๗.๐ ในระดับน้อย ได้แก่ ในขณะเห็นรูปเปน็ ต้น สามารถกำหนดเห็น “รูป ท่ีเห็น และนามท่ีรู้เห็นออกจากกัน” ร้อยละ (๓๙.๐) ๓๗.๕ กำหนดเห็น “รูปที่เห็น เป็นเหตุปัจจัยให้
ภาคผนวก ๒๒๐ ขอ้ เสนอแนะ เกิดนามที่รู้” รอ้ ยละ (๓๕.๐) ๓๓.๐ กำหนดเห็น “ความเกิด-ความดับ” รอ้ ยละ (๓๐.๐) ๔๓.๕ กำหนด เหน็ “ความดับไปอย่างเดียวของความวางเฉย เปน็ ตน้ ” ร้อยละ (๓๕.๐) ๓๗.๕ ในระดับนอ้ ยทีส่ ุด ได้แก่ กำหนดเห็น “ความน่ากลัวในการเวียนว่ายตายเกิด” กำหนด ร้อยละ (๓๓.๐) ๒๐.๕ กำหนดเห็น“โทษ ภยั ในการเวียนว่ายตายเกดิ ” ร้อยละ (๓๑.๐) ๒๐.๕ กำหนดเห็น “ความเบ่อื หน่ายในการเวยี นว่ายตาย เกิด” รอ้ ยละ (๒๙.๐) ๒๐.๕ กำหนด “ชวนะทง้ั ๗ ขณะ คือ บริกรรม อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และ ผลญาณ ๒ ขณะ อนุโลมญาณ คือ บริกรรม อุปจาร และอนุโลมทั้ง ๓ ขณะรวมกัน” หรือกำหนด“ชว นะทัง้ ๗ ขณะ คือ อุปจาร อนุโลม มรรคญาณ และผลญาณ ๓ ขณะ อนุโลมญาณ คอื บริกรรม อุปจาร และอนุโลมท้ัง ๒ ขณะรวมกัน” ร้อยละ (๔๒.๐) ๒๕.๕ กำหนด “นิพพานมาเป็นอารมณ์” ร้อยละ (๔๘.๐) ๒๘.๐ กำหนด “ความดับไปทางอนิจจัง” หรือ “ความดับไปทางทุกขัง”หรือว่า “ความดับไป ทางอนัตตา” ร้อยละ (๔๓.๐) ๒๘.๐ กำหนด “ความดับเงียบตอนสุดท้าย” รอ้ ยละ (๔๒.๐) ๒๙.๐ และ กำหนด “การหวนกลับพิจารณาถงึ สภาวะทตี่ นเข้าสคู่ วามดับ” รอ้ ยละ (๓๙.๕)๒๖.๕ มขี ้อสงั เกต คือไม่ มีผู้ที่สามารถจะเข้าถึงญาณ ตั้งแต่ญาณท่ี ๑๒ – ญาณท่ี ๑๖ ได้เลย เพราะไม่มีคำตอบระดับมากที่สุด แม้แต่รายเดียว สรุปอินทรีย์๕ คือ สมาธินทรีย์(สมาธิ) คู่กับวิริยินทรีย์(วิริยะ) ในรูปแบบของการ ปฏิบัติวิปสั สนากัมมัฏฐานคือการน่ังสมาธิของนิสติ ผู้ปฏิบัติไดป้ รับอินทรีย์ให้สมดุลกันและเกิดญาณขึ้น ตามลำดับ ส่วนมากนิสิตผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีสมาธินทรีย์(สมาธิ) คู่กับวิริยินทรีย์(วิริยะ) หลัง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในระดับปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด ดังน้ี คือ ในระดับปานกลาง ได้แก่ ในขณะนั่งสมาธิ กำหนดเห็น “อาการพอง-ยุบเกิดขึ้นก่อน ใจจึงตามไปรู้ทีหลัง” ร้อยละ (๓๙.๕) ๓๑.๕ กำหนดอยู่มอี าการคันเหมือนมีแมลงมาไต่ หรอื อยากจะออกจากสังสารวัฏไมอ่ ยากไดร้ ูป นามอีก ร้อยละ (๓๒.๕) ๓๒.๐ กำหนดอยู่การกำหนดไม่ค่อยสะดวกบางทีต้องพยายามจนเหนื่อยและ อ่อนเพลีย ถึงจะพยายามก็ไม่ทันปัจจุบัน ร้อยละ (๓๖.๐) ๓๕.๐ กำหนดอยู่ จะกำหนดได้คล่องแคล่ว ใจสงบเงียบ ไมม่ ีเวทนา ร้อยละ (๔๑.๕) ๔๐.๐ กำหนดอยู่ เม่ือกำหนดไม่ทัน จะกำหนดรู้หนอ กำหนด ช้าลงเป็นธรรมดาอกี จะมีอาการเรว็ ขึ้นๆ รอ้ ยละ (๔๘.๐) ๔๑.๐ กำหนดอยู่ บริกรรมอุปจาร อนุโลมได้ เกิดขึ้น ดับเงียบไปตอนแรกเป็นอารมณ์ร้อยละ (๓๓.๕) ๓๘.๕ ในระดับน้อย ได้แก่ในขณะน่ังสมาธิจะ กำหนดเห็น “อาการพอง-ยุบ กับ ใจทรี่ ู้อาการพอง-ยุบน้ันเป็นคนละอย่างกนั ”รอ้ ยละ (๓๒.๐) ๓๖.๐ กำหนดเห็น “พอง-ยุบเกิดดับเร็ว” หรือแสงสว่างมากมายเต็มไปหมด หรือตัวเบา เป็นต้น” ร้อยละ (๒๙.๐) ๓๒.๐ กำหนดเห็น “พอง-ยบุ หายไปอย่างเดียว” ร้อยละ (๓๗.๐)กำหนดเห็นพอง-ยุบหายไป หมด “เกิดความกลัว” ร้อยละ ๔๐.๐ กำหนดเห็น “แตข่ องไม่ดี หรือไมเ่ หน็ อะไร มแี ต่หายไปๆ เห็นแต่ รูปนามเป็นโทษ” ร้อยละ ๓๙.๕ กำหนดสังขารรูปนามได้เป็นอย่างดี“แต่รู้สึกใจแห้งแล้งหรือรู้สึกเบื่อ ๆ” ร้อยละ ๔๑.๐ กำหนดอยู่ จะมีอาการคันเหมือนมีแมลงมาไต่หรืออยากจะออกจากสังสารวัฏ ไม่ อยากได้รูปนามอีก รอ้ ยละ ๓๒.๕ ในขณะน่ังสมาธิกำหนดอยู่ ย่อมเห็นรูปนามแสดงโดยความเป็นทุกข์ แล้วเข้าสูม่ รรค ดับเงียบตอนกลาง มีนพิ พานเป็นอารมณ์ รอ้ ยละ๓๖.๐ ในระดับน้อยที่สุด คอื ในขณะ นั่งสมาธิกำหนดอยู่ บริกรรม อุปจาร อนุโลมได้เกิดข้ึน ความดับเงียบไปตอนแรกเป็นอารมณ์ ร้อยละ ๒๙.๐ ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่ ย่อมเห็นรูปนามแสดงโดยความเป็นทุกข์แล้วเข้าสู่มรรค ดับเงียบ ตอนกลาง มีนิพพานเป็นอารมณ์ร้อยละ ๓๕.๐ ในขณะน่ังสมาธิกำหนดอยู่ความดับเงียบตอนสุดท้าย เป็นอารมณ์ ร้อยละ ๔๒.๕ ในขณะนั่งสมาธิกำหนดอยู่จะพิจารณาเห็นกิเลสที่ละได้แล้วและกิเลสที่ยัง เหลืออยู่ร้อยละ ๔๐.๕ มีข้อสังเกต คือไม่มีผู้ท่ีสามารถเข้าถึงญาณ ตั้งแต่ญาณที่ ๑๒ – ญาณที่ ๑๖ ได้ เลย เพราะไม่มีคำตอบระดบั มากทสี่ ุดแมแ้ ต่รายเดยี วสูงสดุ ถงึ ญาณที่ ๑๑ ระดับสงู สุดเพียงรอ้ ยละ ๑.๐ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ผู้วิจัยเห็นว่า การสร้างตัวช้ีวัดเพื่อวิเคราะห์อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับ
ภาคผนวก ๒๒๑ ญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากมั มัฏฐาน เป็นเคร่ืองมือการพัฒนาพฤติกรรมมนุษยท์ ี่เป็นรูปธรรมหรือ อาจกล่าวได้ว่าเป็นวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ที่ความสำคญั คืออยู่ที่สังคมน้ันๆ จะใชก้ ารสร้างตัวช้ีวัดเพื่อ วิเคราะหอ์ ินทรยี ๕์ เปรียบเทียบกบั ญาณ ๑๖ ในการพฒั นาพฤตกิ รรมมนุษย์หรอื ไม่แตใ่ นช่วงเวลาไมก่ ปี่ ี ท่ีผ่านมาน้ีมีท้ังนักปฏิบัติและสำนักปฏิบัติเกิดข้ึนมากมาย ควรท่ีจะมีการนำเอาแบบประเมินอินทรีย์๕ น้ีไปใช้อย่างเป็นระบบ เพราะเป็นเป็นมูลเชิงประจักษ์เพื่อให้เป็นท่ียอมรับในฐานะของวิธีการพัฒนา พฤติกรรมมนุษย์ที่เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์และควรมีท้ังนักวิจัยที่เป็นนักปฏิบัติ ด้วยท่ีกล้าหาญใน การพัฒนาเคร่ืองมือท่ีจะใช้วัดผู้ปฏิบัติอย่างละเอียดว่า มีสภาวธรรมสภาวญาณจริงในระดับใด อย่าง แรกควรจะพัฒนากระบวนการวินิจฉัย และแบบทดสอบที่มีมาตรฐาน มีความตรงและใช้ได้อย่างเป็น ระบบ ในการทำวิจัยครั้งต่อไป เน่ืองจากการสรา้ งตัวช้ีวัดเพ่ือวิเคราะห์อินทรีย์๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อน ถึงแม้จะได้พยายามทำการวิจัยให้ละเอียด แล้วกต็ ามแต่ก็ยังมีสิ่งทล่ี ะเอียดอ่อนกว่าท่ีจะตอ้ งทำการศึกษาวจิ ัยตอ่ ไปอีก เพราะผู้ท่ีจะมาวิจัยเรอื่ งนี้ ต่อไปได้ต้องมีประสบการณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างมาก และงานวิจัยในลักษณะนี้ถือว่า เป็นคู่มือหรือแนวแนะนำสำหรับวิปสั สนาจารยใ์ นการสอบอารมณโ์ ยคีหรือผู้ปฏิบัติ จะตอ้ งมกี ารใช้แบบ ประเมินในหลายๆ กลุ่ม และหลายสำนัก ควรมีการทำวิจัยในครั้งต่อไปดังนี้ ๑) ศึกษาการใช้การสร้าง ตัวช้ีวัดเพ่ือวิเคราะห์อินทรีย์๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน๒) การสร้าง ตัวช้ีวัดเพื่อการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์สู่ความเป็นเลิศในสังคมโลกปัจจุบัน๓) การเปรียบเทียบการใช้ การสร้างตัวชี้วัดอินทรีย์๕ กับการสรา้ งตัวช้ีวัดพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวคดิ ตะวันตก๔) การบูรณาการ การใช้การสร้างตัวช้ีวดั อนิ ทรยี ๕์ กับการใชก้ ารสรา้ งตวั ช้วี ัดพฤติ-กรรมมนุษย์แนวตะวันตก
ภาคผนวก ๒๒๒ รหสั ๕๑-๕๕ แบบบนั ทึกขอ้ มูลงานวิทยานิพนธ์ ชือ่ วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาการปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนากบั การบำบัดเยียวยารกั ษาโรค ผู้วิจยั (The Study of the Practice of Vipassanā to Cure the Disease) ปริญญา ทศพร เหลอื งขาบทอง ปี พทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิปสั สนาภาวนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วตั ถปุ ระสงค์ ๒๕๕๕ การทบทวน ๑. เพอื่ ศึกษาวิปสั สนาภาวนาในคมั ภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาท เอกสารและ ๒. เพอื่ ศึกษาการปฏบิ ัติวิปัสสนาในการบำบัดเยียวยารักษาโรค งานวจิ ยั ท่ี ๑. วิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ ความหมายของวิปัสสนาภาวนา การปฏิบัติ เกี่ยวขอ้ ง วปิ ัสสนาภาวนา (สมถยานิกะ วปิ สั สนายานกิ ะ) นยิ ามศัพท์ ๒. หลักคำสอนเกี่ยวกับโรคในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ ความหมายของโรคในคัมภีร์ วธิ ีดำเนนิ งาน พระพุทธศาสนา คำสอนเรอื่ งกรรมในคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท การบำบัดเยยี วยาโรค วิจัย ๓. หลักการปฏิบัติวิปัสสนากับการบำบัดโรค ได้แก่ หลักการปฏิบัติสมถยานิกสมาธิในทาง สรุปผลการวจิ ยั พระพุทธศาสนาเถรวาท ความสัมพันธ์ระหว่างสมถภาวนากับการบำบัดโรค ความสัมพันธ์ระหว่าง วปิ สั สนาภาวนากับการบำบดั โรค ตัวอย่างผู้ปฏบิ ัตวิ ิปัสสนากับการบำบัดโรค ๑. วิปัสสนากัมมัฏฐาน หมายถึง อุบายเรืองปัญญา มีอารมณ์เป็นปรมัตถ์ การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นการฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง มีอิสระไม่ถูกครอบงำ ด้วยกิเลสและความทุกข์ ได้แก่ การเห็นสังขาร รปู นาม โดยพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจะ ไม่เท่ียง ทุกขะ เปน็ ทกุ ข์ และอนัตตา ไม่มีตวั ตน ๒. สมถยานิก ได้แก่ ผู้ท่ีเจรญิ วิปัสสนาโดยอาศยั อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิคือ ผู้ดำเนินไปสู่มรรค ผล นพิ พานด้วยสมถยาน สมาธิท้ังสองอยา่ งน้จี ดั เปน็ จติ วิสุทธิซึ่งเป็นท่อี าศัยของสมถยานิก ๓. วิปัสสนายานิก ได้แก่ ผู้ท่ีเจริญวิปัสสนาอย่างเดียวโดยไม่อาศัยสมาธิท้ังสองน้ันคือ ผู้ดำเนินไปสู่มรรค ผล นพิ พาน ดว้ ยวปิ สั สนายานลว้ นๆ บคุ คลประเภทนี้ มขี ณกิ สมาธิอย่างเดียวเปน็ จิตวสิ ทุ ธิ ๔. โรค หมายถึง สภาวะทีผ่ ิดปกตขิ องรา่ งกายหรอื จิตใจ ซง่ึ ทำใหเ้ กดิ ความไม่สบายกายและไม่สบายใจ ๕. กรรม หมายความว่า การกระทำที่เกี่ยวด้วยกาย วาจา ใจ ท้ังทางดี และทางไม่ดีชื่อว่า กรรม หรือ ธรรมชาติท่ีทำให้สำเรจ็ การกระทำนั้นๆ ชอ่ื วา่ กรรม การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) ดำเนินการ (๑) รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ด้านคัมภีร์ทาง พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ไดแ้ ก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์วิเสส อนื่ ๆ ท่ีเก่ียวข้อง เช่น วิสุทธิ มรรค เป็นต้น (๒) นำข้อมูลมาศึกษา เรียบเรียงตรวจสอบโดยอาจารย์ท่ีปรึกษา โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ ทา่ น. (๓) นำข้อมูล มาปรับปรุงแก้ไขเรยี บเรียงบรรยายเชิงพรรณนา ด้านเนื้อหาศกึ ษา คอื วปิ ัสสนากับการ บำบัดเยียวยารักษาโรคที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี าปกรณว์ เิ สส และเอกสารงานวจิ ัยท่ีเกีย่ วข้อง. และนำผลการศึกษาที่ไดใ้ นคร้งั น้ีมาศึกษาว่า รักษา ได้จริง หาย หรอื รกั ษาไมไ่ ดจ้ ริงไมห่ าย จากการศึกษาพบว่า สมถภาวนา เป็นการทำจิตให้เกิดสมาธิเพ่งในอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึงเป็นอารมณ์เดียว เพ่ือที่จะเป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนาต่อไป แต่สมาธิท่ีเกิดจากการเจริญสมถภาวนานั้น สามารถใช้ บำบัดโรคได้ อย่างน้อยทำให้ผู้ปฏิบัติท่ีมีความกังวลอยู่ภายในจิตได้ทุเลาเบาบางหายจากอาการเครียดน้ันๆ ได้ และข่มเวทนาท่ีเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันผู้ศึกษาพบว่า ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทน้ัน
ภาคผนวก ๒๒๓ วิปัสสนาใชเ้ พื่อการดบั ทุกขเ์ ทา่ นัน้ ซงึ่ เป็นจดุ มงุ่ หมายของวปิ ัสสนาไมใ่ ช่เพื่อการรักษาโรค ถา้ จะใชว้ ิปสั สนา ไปรกั ษาโรคก็จะไมก่ ้าวหน้าในการปฏิบัติ ส่วนที่พบว่า โรคระงับหรือหายนัน้ มีสาเหตอุ ืน่ ๆ ประกอบอีกหลาย ประการด้วยกันเช่นเรื่องของอาหารการกิน สภาพของภูมิอากาศ การมีจิตใจท่ีดี และเร่ืองของกรรม เป็น ตน้ สัตว์ทั้งหลาย (ผู้ท่ียังข้องอยู่ในกาม) ล้วนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นเผา่ พันธ์ุ มี กรรมเป็นแดนเกิด มกี รรมเปน็ ผตู้ ิดตาม มีกรรมเปน็ ท่ีพ่ึงอาศัย กรรมยอ่ มจำแนกสัตว์ให้ประณีตเลวทราม ต่างกัน ทำดีได้ดีทำชั่วได้ช่ัว แม้แต่การให้ผลในปัจจุบันมีโรคต่างๆ เป็นต้นก็เกิดจากผลของกรรมท่ีเคยทำใน อดีตของบุคคลน้ันๆ ส่วนผู้มาเจริญวิปัสสนาภาวนาก็มีหน้าที่ตามดูตามรู้อาการทางกายมีโรคต่างๆ และ เวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร แล้วจิตของผู้ท่ีได้รับวิบากกรรมเก่านั้น มีการปรุงแต่งไปในทิศทาง ใดว่า สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ เม่ือพิจารณาเห็นเช่นน้ีแล้วย่อมรู้ชัดว่า เวทนาน้ันไม่มีตัวตน บุคคล เรา เขา บุรุษ สตรี โยคี นั้นย่อมข้ามพ้นสังขารฆนนิมติ และสัณฐานบัญญัติปราศจากความยึดมั่นสิ่งใดๆ ในโลกกล่าวคือ อุปาทานขันธ์สำหรับผูป้ ่วยท่ีผ่านการฝกึ ปฏบิ ัตวิ ิปัสสนาภาวนามาแล้ว ย่อมจะสามารถกำหนดรู้อาการของจิต ได้ว่า จิตของตนนั้นมีอาการสุขหรือทุกข์ หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง ก็มีสติกำหนดรู้อาการทางจิตในขณะนั้น ก็จะ เห็นการเกิดดับของจิตจากขณะจิตหน่ึงไปสู่ขณะจิตหน่ึง เห็นความไม่เที่ยงของจิตเป็นสภาพท่ีทนอยู่ไม่ได้ ถาวร ผู้ป่วยก็สามารถเข้าใจถึงความไม่มีตัวตนของจิต เป็นเพียงสภาวะที่เกิดข้ึนก็สามารถปล่อยวางในความ ยึดมั่นถือม่ันว่า สัตว์ บุคคล เรา เขา หญิง ชาย แต่เป็นเพียงสภาวะการรู้อารมณ์เท่าน้ันอย่างนี้เรียกว่าเป็น การเกิดข้ึนของสติอยา่ งแท้จรงิ เม่ือสตดิ ังกล่าวปรากฏขน้ึ โดยการเหน็ เปน็ เพียงจิตท่ีรูอ้ ารมณ์ โดยไม่เขา้ ไปยึด ความเป็นสังขารฆนนิมิต สัณฐานบัญญัติใดๆ ก็จะทำให้สติและญาณเกิดข้ึนหลังๆ สตินั้นมีความแก่กล้า พัฒนาไปตามลำดับ ความยึดมั่นถอื มัน่ ก็จะดับหายไป
ภาคผนวก ๒๒๔ รหสั ๕๒-๕๕ แบบบันทึกข้อมูลงานวิทยานพิ นธ์ ชอ่ื วทิ ยานิพนธ์ การศึกษาวเิ คราะห์สมาธกิ ับการบรรลุธรรมในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท (An Analytical Study of the Concentration (Samādhi) and the Attainment ผวู้ ิจัย of the Dhamma in Theravāda Buddhism) ปรญิ ญา อรภัคภา ทองกระจา่ งเนตร ปี พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วัตถุประสงค์ ๒๕๕๕ ๑. เพ่อื ศึกษาเร่ืองสมาธิในพระพุทธศาสนาเถรวาท การทบทวน ๒. เพื่อศกึ ษาเรอ่ื งการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท และ เอกสารและ ๓. เพ่อื ศึกษาวิเคราะห์สมาธกิ ับการบรรลธุ รรมในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท งานวิจยั ท่ี ๑. สมาธใิ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ไดแ้ ก่ นิยามและความหมายของสมาธิ (นิยามตามรูปศัพท์ นิยามตาม เกย่ี วข้อง ความหมาย) ประเภทของสมาธิ (ประเภทของสมาธิทจ่ี ำแนกโดยลักษณะ ประเภทของสมาธิทจ่ี ำแนก โดยหน้าท่ี ประเภทของสมาธิท่ีจำแนกโดยอาการท่ีปรากฏ ประเภทของสมาธิท่ีจำแนกโดยเหตุใกล้ ท่สี ุด) ระดบั ของสมาธิ สมาธิกับหมวดธรรมที่เก่ียวข้อง (นิวรณ์เป็นอุปสรรคของสมาธิ สมาธเิ ป็นส่วน หนง่ึ ของไตรสกิ ขา สมาธิกับโพธปิ กั ขยิ ธรรม อานิสงสจ์ ากการฝึกสมาธิ) ๒. การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ นิยาม และความหมายของการบรรลุธรรม ความสำคัญของการบรรลุธรรม วิธีการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงการบรรลุธรรม (วิปัสสนามีสมถะนำหน้า สมถะมีวิปัสสนานำหน้า สมถะและวิปัสสนาคู่กัน วิธีปฏิบัติเม่ือจิตถูกชักให้เขวด้วยธรรมุธัจจ์) หลัก ปฏิบัติเพ่ือการบรรลุธรรม ระดับของการบรรลุธรรม (เกณฑ์ท่ีใช้แบ่งระดับของการบรรลุธรรม (สังโยชน์) พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์) ความสามารถพิเศษหลังจากการ บรรลุธรรม (อิทธิวิธิ ทิพยโสต เจโตปริยญาณ. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขย ญาณ) ๓. สมาธิกับการบรรลุธรรม ได้แก่ สมาธิกับวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม (การฝึกให้เกิดสมาธิเป็นส่วนหนึ่ง ของวิธีปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรม วธิ ีปฏิบัติเพ่ือการบรรลุธรรมสามารถนำสมาธิมาเป็นอุปกรณ์) สมาธิ กบั หลกั ปฏบิ ตั ิเพ่อื การบรรลธุ รรม (หลักปฏิบัติเพื่อบรรลธุ รรมแบบสตปิ ัฏฐาน ๔ เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดสมาธิ หลักปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมแบบสัมมัปธาน ๔ อุดหนุนสมาธิ หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมแบบอิทธิบาท เป็นข้อปฏิบัตใิ ห้เกิดสมาธิ หลักปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมแบบอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ มีสมาธิเป็นส่วนหน่ึง หลักปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมแบบโพชฌงค์ ๗ มีสมาธิเป็นส่วนหน่ึง หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมแบบ อริยมรรคมีสมาธิเป็นส่วนหน่ึง) สมาธิเป็นองค์ธรรมขณะบรรลุธรรม สมาธิกับระดับของการบรรลุ ธรรม ความสามารถพิเศษหลังจากบรรลุธรรมเป็นผลพลอยได้จากสมาธิ กรณีศึกษาผู้บรรลุธรรมท่ี เกย่ี วขอ้ งกับฤทธ์ทิ ี่มีสมาธิปกป้อง กรณศี ึกษาพระนางสามาวดีในเรือ่ งฤทธทิ์ ่ีมสี มาธิปกป้อง กรณีศกึ ษา นางอุตตราอุบาสิกาในเรื่องฤทธิ์ที่มีสมาธิปกป้อง กรณีศึกษาพระสารีบุตรในเร่ืองฤทธิ์ที่มีสมาธิปกป้อง กรณีศึกษาเร่ืองความสามารถพิเศษหลังจากการบรรลุธรรมกับสมาธิ (กรณีศึกษาพระจูฬปันถกที่ แสดงให้เห็นถงึ เร่ืองอิทธิวิทธิกบั สมาธิ กรณีศึกษาธัมมิกอุบาสกที่แสดงให้เห็นถึงเร่ืองทิพยโสตกบั สมาธิ กรณีศกึ ษาพระอนุรุทธะที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องเจโตปริยญาณกับสมาธิ กรณีศึกษาพระสารีบุตรที่แสดง ให้เห็นถึงเรื่องปุพเพนิวาสานุสติญาณกับสมาธิ กรณีศึกษาพระโมคคัลลานะท่ีแสดงให้เห็นถึงเรื่อง จุตูปปาตญาณกบั สมาธิ กรณีศกึ ษาพระสารบี ุตรที่แสดงให้เหน็ ถงึ เรอ่ื งอาสวกั ขยญาณกบั สมาธิ)
ภาคผนวก ๒๒๕ นิยามศัพท์ ๑. สมาธิ หมายถงึ ความตงั้ มน่ั แหง่ จิต ภาวะท่ีจติ สงบนิ่งจับอยูท่ อี่ ารมณ์อันเดยี ว ๒. สมถะ หมายถงึ วิธีทำใจใหส้ งบ ข้อปฏบิ ตั ติ ่างๆ ในการฝึกอบรมจติ ใหเ้ กิดความสงบ จนตัง้ ม่ันเป็นสมาธิ วธิ ดี ำเนินงาน วจิ ัย ถงึ ข้นั ไดฌ้ านระดับตา่ งๆ ๓. การบรรลุธรรม หมายถึง การสำเรจ็ มรรคผลเปน็ พระอรยิ บุคคล ต้ังแต่พระโสดาบนั จนถึง พระอรหันต์ สรปุ ผลการวิจัย ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเถรวาท ๔. พระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง พระพทุ ธศาสนาฝ่ายใตซ้ ่ึงถอื ตามมติที่พระอรหนั ตพ์ ุทธสาวกได้วาง หลกั พระธรรมวินยั เป็นแบบแผนไว้ เมือ่ ครง้ั ปฐมสังคายนา การศึกษาวิจัยคุณภาพ โดยใช้ระเบียบวิธีการวจิ ัยเชงิ เอกสารดังนี้ ๑) ศึกษาค้นคว้า รวบรวม และเรียบเรียง เรื่องสมาธิจากข้อมูลปฐมภูมิ( Primary Source) ได้แก่ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยพุทธศักราช ๒๕๓๙ และจากข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Source) ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ปกรณวิเสส หนังสือวิทยานิพนธ์ และเอกสารวิชาการอื่นๆ ที่เก่ียวข้อง ๒) การศึกษาวเิ คราะห์เร่ืองสมาธิกับ การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท มุ่งสนใจในเร่ืองสมาธิในพระพุทธศาสนาเถรวาทเร่ืองการบรรลุ ธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท และเรื่องสมาธิกับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยอาศัย ขอ้ มลู จากคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎกี า และหนังสือสำคัญ การศึกษาเรื่องสมาธิในพระพุทธศาสนาเถรวาททำให้พบว่า คำว่า “สมาธิ” เมื่อพิจารณาตามรูป ศัพท์ หมายถึง ธรรมที่ข่มจิตอันฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ให้สงบลงแต่หากพิจารณาตามอรรถะจะ หมายถึง ภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง สมาธิมีมาก่อนสมัยพุทธกาลต้ังแต่สมัยก่อนพระเวท คือ ประมาณ สมัยอารยธรรมโมเฮนโจ-ดาโร และหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสร้แู ล้วได้มีการปฏิบัติสมาธิกัน มาโดยตลอด แม้ในปัจจบุ ันทพี่ ระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงเข้าปรินพิ พานไปนานแล้ว การฝึกสมาธกิ ็ยงั แพร่หลาย ทั้งประเทศตะวนั ตกและตะวันออก สมาธิจำแนกไดห้ ลายประเภท ซง่ึ มี ๔ นัยในการจำแนก คือ (๑) ลักษณะ (๒) หน้าที่ (๓) อาการท่ีปรากฏและ (๔) เหตุใกล้ที่สุด ในขณะที่คัมภีร์ช้ันอรรถกถา แยกสมาธิออกเป็น ระดับ ๓ ระดับ คือ (๑) ขณิกสมาธิ คือ สมาธชิ ่ัวขณะ (๒) อุปจารสมาธิ คือ สมาธจิ วนจะแน่วแน่ และ (๓) อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแน่วแน่ สมาธิมีหมวดธรรมท่ีเกี่ยวข้อง ซึ่งประเด็นที่งานวิจัย คือ (๑) นิวรณ์เป็น อุปสรรคของสมาธิ (๒) สมาธิเป็นส่วนหนึ่งของไตรสิกขา และ (๓) สมาธิกับโพธิปักขิยธรรม ซึ่งโพธิ ปักขิยธรรมประกอบไปด้วยหมวดธรรมย่อยอีกหลายหมวดธรรม เม่ือศึกษาเช่ือมโยงสมาธิเขา้ กับแตล่ ะหมวด ยอ่ ยน้ันจะสามารถทราบว่า (ก) สติปัฏฐาน ๔ เป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ (ข) สัมมัปปธาน ๔ เปน็ ธรรมอุดหนุน สมาธิ (ค) อิทธิบาท ๔ เป็นข้อปฏิบัติให้เกิดสมาธิ (ง) สมาธิเป็นส่วนหนึ่งของอินทรีย์ ๕ พละ ๕ (จ) สมาธิ เป็นส่วนหน่ึงของโพชฌงค์ ๗ และ (ฉ) สุดท้ายสมาธิเป็นองค์ของมรรค นอกจากน้ียังทำให้เข้าต่อไปอีกว่า การฝึกสมาธิมีอานิสงค์หลายประเภทคือ ทิฏฐธรรมสุข วิปัสสนา อภิญญา ภพอันวิเศษ นิโรธสมาบัติ ซึ่ง งานวิจัยฉบบั นมี้ งุ่ เน้นศกึ ษาเรื่องอภญิ ญา ประเด็นถัดมา คือ การศึกษาเรื่องการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า การบรรลุธรรม ในพระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง การได้ การเข้าถึง การสำเร็จ การทำให้แจง้ ธรรมในพระพุทธศาสนา เถรวาท การบรรลุธรรมมีความสำคัญเน่ืองจากการบรรลุธรรมเป็นการบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดใน พระพุทธศาสนา คอื พระนพิ พานโดยมีวธิ กี ารปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมอยู่ ๔ แนวทาง คือ (๑) วปิ สั สนามีสมถะ นำหน้า (๒) สมถะมีวิปัสสนานำหน้า (๓) สมถะและวิปัสสนาคู่กัน (๔) วิธีปฏิบัติเมื่อจิตถูกชักให้เขวด้วยธรร มุธัจจ์ ใน ๔ แนวทางนี้สามารถจัดเป็น ๒ แนวทางใหญ่ คือ วิปัสสนามีสมถะนำหน้า และสมถะมีวิปัสสนา นำหน้า ซ่ึงเป็นต้นแบบหรือเป็นที่มาของวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ๒ วิธี ในรุ่นอรรถกถาคือ สมถยาน และ วิปัสสนายาน ซึ่งต้องอาศัย หลักปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมคือ โพธิปักขิยธรรม นอกจากน้ีเกณฑ์ท่ีใช้แบ่ง
ภาคผนวก ๒๒๖ ระดบั ของการบรรลุธรรมที่เรียกวา่ สงั โยชน์ ๑๐ คือ สกั กายทิฏฐิ วิจิกจิ ฉา สลี ัพพตปรามาส กามราคะปฏิฆะ รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวชิ ชา โดยที่พระโสดาบันซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นที่ ๑ สามารถละ สังโยชน์ได้ ๓ ขอ้ คือ สักกายทิฏฐิ วจิ ิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ถัดมาพระสกทาคามี ซงึ่ เป็นผู้บรรลุธรรม ข้ันท่ี ๒ นอกจากสามารถละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้แล้ว ยังทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงด้วย ส่วนพระ อนาคามี ซ่ึงเป็นผูบ้ รรลุธรรมข้นั ท่ี ๓ สามารถละสงั โยชน์เบื้องตำ่ ได้ครบทั้ง ๕ ข้อสุดท้ายพระอรหันต์ ซง่ึ เป็น ผู้บรรลธุ รรมขัน้ สุดท้ายสามารถละสงั โยชน์ไดท้ ัง้ ๑๐ ข้อ ไม่เพียงเทา่ น้ัน หลังจากการบรรลุธรรมหากได้สมาธิในระดับหนึ่งจะสามารถมีความสามารถพิเศษซึ่งงานวิจั ยฉบับน้ี มุ่งสนใจเร่ืองอภิญญา ๖ คือ (๑) อิทธิวิธิ (๒) ทิพพโสต(๓) เจโตปริยญาณ (๔) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (๕) จุตูปปาตญาณ และ (๖) อาสวักขยญาณ ผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดทุกบุคคลจะสามารถมีความสามารถ พิเศษข้อสุดท้าย แต่ ๕ ข้อแรกข้ึนอยู่กับระดับสมาธิและความชำนาญในการทำสมาธินั้นๆ ของแต่ละบุคคล หลังจากเข้าใจทั้งเรื่องสมาธิ และเร่ืองการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทแล้วจึงสามารถนำเสนอทั้ง สองเร่ืองเข้าดว้ ยกัน ซ่ึงทำให้เกิดองค์ความร้ใู หม่เรื่องสมาธิกบั การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทโดย พบวา่ การฝึกสมาธิเป็นส่วนหนึ่งของวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมทุกวธิ ี ท้ังวิธีที่เรียกว่า สมถปุพพังคมวิปัสสนา (วปิ ัสสนามีสมถะนำหน้า) วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ(สมะมีวิปสั สนานำหน้า) ยคุ นัทธสมถวิปัสสนา (สมถะและ วปิ ัสสนาคู่กัน) และธมั มุทธัจจวิคคหิตมานัส(วิธีปฏิบัติเมื่อจิตถูกชักให้เขวด้วยธรรมุธจั จ์) นอกจากน้ีสมาธิยัง สามารถนำมาเป็นอุปกรณ์ของวิธปี ฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมไม่เพียงเท่านั้น สมาธิยังสามารถเช่ือมโยงเข้ากับหลัก ปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมซึ่งมีชื่อว่าโพธิปักขิยธรรม หากพิจารณาลงในรายละเอียดของ โพธิปักขิยธรรม จะ พบว่า หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมแบบสติปัฏฐาน ๔ เป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ หลักปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมแบบ สัมมัปธาน ๔ อุดหนุนสมาธิ หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมแบบอิทธิบาทเป็นข้อปฏิบัติให้เกิดสมาธิ หลักปฏิบัติ เพ่ือบรรลุธรรมแบบอนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และอริยมรรค มีสมาธิเป็นส่วนหนึ่ง หลงั จากน้ันหากการ พิจารณามุ่งสู่ขณะบรรลธุ รรมจะพบว่า สมาธิเป็นองคธ์ รรมขณะบรรลุธรรมคอื ในขณะบรรลุธรรมจะต้องมี สมาธเิ ปน็ องค์ธรรมหน่ึงทีป่ ฏิบัติการอยู่ สมาธิไม่เพียงเกี่ยวข้องกับเร่ืองการบรรลุธรรมในประเด็นข้างต้นเท่าน้ัน แต่สมาธิยังเกี่ยวข้องกับระดับ ของการบรรลุธรรมกล่าวคือ พระโสดาบันและพระสกทาคามี มีระดับสมาธิพอประมาณ ซึ่งท่านจะเข้าผล สมาบัติชั้นต่ำได้ ส่วนพระอนาคามีและพระอรหันต์ มีระดับสมาธิท่ีสมบูรณ์ ท่านท้ังสองสามารถเข้าผล สมาบัติชั้นสูง คือ นิโรธสมาบัติ ซ่ึงท่านต้องทำสมาบัติ ๘ ได้การเข้าสมาบัติ ๘ ได้ เป็นปฏิปทาของวิธีปฏิบัติ ของพระสมถยานิกยกเว้นพระอนาคามีกับพระอรหันต์ท้ังหลายที่เป็นสุกขวิปัสสกเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ซ่ึง เป็นปฏิปทาของวิธีปฏิบตั ขิ องพระวปิ สั สนายานิก สมาธิยังมีผลทำใหผ้ บู้ รรลุธรรมได้อภิญญา โดยอภิญญาท่ีได้ มีผลเก่ียวข้องกับระดับของสมาธิท่ีสะสมมา โดยท่ีพระอรหันต์ทุกประเภทจะมีอภิญญาข้อ ๖ คือ อาสวักขย ญาณแต่พระอรหันตจ์ ะไดอ้ ภญิ ญาท้ัง ๕ ข้อแตกต่างกนั ไป ขนึ้ กบั การฝกึ ฝนสมาธิที่มคี วามชำนาญต่างกนั งานวิจัยฉบับนีไ้ ดน้ ำเสนอกรณศี ึกษาผบู้ รรลุธรรมท่ีเกย่ี วข้องกบั ฤทธิ์ท่มี สี มาธิปกปอ้ ง โดยมี พระนางสา มาวดี นางอุตตราอุบาสิกา และพระสารีบุตรเป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า อำนาจของสมาธิสามารถคุ้มครอง ปกป้องร่างกายได้ ไม่เพียงเท่านี้ งานวิจัยฉบับน้ีได้นำเสนอกรณีศึกษาผู้บรรลุธรรมท่ีแสดงให้เห็นความ เช่ือมโยงของความสามารถพิเศษหลังการบรรลุธรรมเข้ากับสมาธิ โดยมีพระจูฬปันถกเป็นกรณีศึกษาที่แสดง ให้เห็นถึงเร่ืองอิทธิวธิ ิกับสมาธิธัมมิกอุบาสกเป็นกรณีศกึ ษาที่แสดงให้เหน็ ถึงเรือ่ งทิพพโสตกับสมาธิ พระอนุ รุทธะเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงเร่ืองเจโตปริยญาณกับสมาธิ พระสารีบุตรเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้ เห็นถึง เรื่องปุพเพนิวาสานุสติญาณกับสมาธิ และพระโมคคัลลานะเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงเร่ือง จุตูปปาตญาณกับสมาธิ และสุดท้ายพระสารีบุตรยังเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงเร่ืองอาสวักขยญาณกับ
ภาคผนวก ๒๒๗ สมาธิ
ภาคผนวก ๒๒๘ รหัส ๕๓-๕๕ - แบบบันทึกข้อมูลงานวทิ ยานพิ นธ์ ชื่อวทิ ยานิพนธ์ การพฒั นารปู แบบการจัดการความรสู้ ำหรับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย ผูว้ จิ ยั (The Development of the Knowledge Management Model for the Meditation Centers in ปรญิ ญา Thailand) ปี อทุ ัย สติมั่น วัตถปุ ระสงค์ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑติ สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั การทบทวน ๒๕๕๕ เอกสารและ ๑. เพื่อวิเคราะห์ข้ันตอนและองค์ประกอบของการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนา งานวจิ ัยที่ ๒. เพ่อื วเิ คราะห์สภาพการจัดการความร้ขู องสำนกั ปฏบิ ัติธรรมในประเทศไทย เก่ียวขอ้ ง ๓. เพอ่ื นำเสนอรปู แบบการจัดการความร้สู ำหรับสำนกั ปฏิบตั ธิ รรมในประเทศไทย ๑. แนวคิดการจัดการความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ ได้แก่ แนวคิดเก่ียวกับความรู้ (ความหมายของ นยิ ามศัพท์ ความรู้ ประเภทของความรู้ พัฒนาการของความรู้) แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (ความหมายของการจัดการความรู้ วิวัฒนาการของการจัดการความรู้ องค์ประกอบของการ จดั การความรู้ ขน้ั ตอนของการจดั การความรู้ เครอื่ งมือที่ใช้ในการจดั การความรู้ ผลลัพธ์ที่ได้จาก การจัดการความรู้) วิเคราะห์แนวคิดการจัดการความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ (ความหมายของ การจัดการความรู้ ข้ันตอนและองค์ประกอบของการจัดการความรู้ เป้าหมายของการจัดการ ความรู้ วิเคราะหป์ ัญหาและอปุ สรรคของการจัดการความรู้) ๒. แนวคิดการจัดการความร้ใู นพระพุทธศาสนา ได้แก่ แนวคิดเกีย่ วกับความรู้ในพระพุทธศาสนา (อายตนะ ๖ แดนรับรู้และเสพเสวยโลก ประเภทของความรู้) แนวคิดเก่ียวกับการจัดการความรู้ ในพระพุทธศาสนา (โครงสร้างการบริหารจัดการองค์กรสมัยพุทธกาล (เอตทัคคะใน พระพุทธศาสนาเถรวาท ความหมายของ “เอตทัคคะ” ประเภทของเอตทัคคะในพระพุทธศาสนา) เครื่องมือการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนา (หลักอปริหานิยธรรม หลักสาราณียธรรม หลักสัปปุริสธรรม หลักวุฒิ ธรรม หลักสัมมัปปธาน) กิจกรรมการจัดการความรู้ใน พระพุทธศาสนา (กิจจาธิกรณ์ : แนวคิดการจัดการความรู้ระดับองค์กร กิจวัตร : แนวคิดและ กิจกรรมเพ่ือการจัดการความรู้ (สังคายนา: ตัวอย่างการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนา) แนวคิดการจัดการความรู้กับการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ความหมายของ “วัด” (ใน สมัยพุทธกาล ความเป็นมาของวัดในพระพุทธศาสนา ลักษณะของวัดในสมัยพุทธกาล ความ เปน็ มาของวัดในประเทศไทย เป้าหมายของการจัดการความรใู้ นพระพทุ ธศาสนา) ๓. รูปแบบการจัดการความรขู้ องสำนักปฏบิ ัตธิ รรม ได้แก่ รปู แบบการจัดการความรู้ของสำนักปฏิบัติ ธรรมของวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) จังหวัดเชียงใหม่ วัดธารน้ำไหล(สวนโมกขพลาราม) .จังหวัดสุ ราษฎร์ธานี วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี วัดมเหยงค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดหลวง พ่อสดธรรมกายาราม จังหวัดราชบุรี วิเคราะห์รูปแบบการจัดการความรู้ของสำนักปฏิบัติธรรม ๕ สาย (ขอ้ มูลสภาพท่ัวไป วิเคราะห์ข้ันตอนการจดั การความรู้ วเิ คราะห์องค์ประกอบของการ จัดการความรู้ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค วิเคราะห์ความสามารถเชิง สมรรถนะ) การตรวจสอบร่างรูปแบบการจัดการความรู้สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมโดยการสนทนา กลมุ่ (Focus Group) ๑. การจัดการความรู้ หมายถึง การจดั การองคค์ วามรู้ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การบริหารจดั การสำนกั ปฏบิ ตั ิ
ภาคผนวก ๒๒๙ ประชากรและ ธรรมให้บรรลุตามวตั ถุประสงค์ท่กี ำหนดไว้ กลมุ่ ตัวอยา่ ง ๒. สำนักปฏิบตั ธิ รรม หมายถึง สถานที่ ๆ เหมาะแกก่ ารปฏิบัตธิ รรม มีคณุ สมบตั ติ รงตามหลกั สปั ปายะ วิธีดำเนนิ งาน ๗ ประการอันจะช่วยเกื้อหนุนในการเจริญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิ ต้ังมั่นในท่ีนี้ ได้แก่ วิจัย สำนักปฏิบัติธรรมท่ีได้รับการจัดต้ังขึ้นตามระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักปฏิบัติ ธรรมประจำจงั หวัด พ.ศ. ๒๕๔๓ เครอื่ งมอื ท่ีใช้ใน ๓. การพฒั นารปู แบบการจดั การความรสู้ ำหรับสำนกั ปฏิบตั ธิ รรม หมายถึง การดำเนินการศึกษา การวิเคราะห์ และปรับปรุงกระบวนการของการจัดการความรูใ้ หส้ อดคลอ้ งและเหมาะสมกับบรบิ ทของสำนัก ปฏิบัตธิ รรมในประเทศไทย ผ้วู ิจัยได้ดำเนินการลงพ้นื ท่ีเพื่อเก็บข้อมูลภาคสนามกลุ่มตวั อย่างท่ีเป็นสำนกั ปฏิบัติท่ีเป็นกรณศี ึกษา ทั้งน้ี โดยพิจารณาจาก ๓ มิติ คือ (๑) เป็นสำนักทเ่ี ป็นตัวแทนของรูปแบบการปฏิบตั ิธรรมในประเทศไทย ๕ สายหลัก ได้แก่ ๑) พองยุบ ๒) อานาปานสติ ๓) พุทโธ ๔) รูปนาม และ ๕) สัมมาอรหัง (๒) เป็น สำนักปฏิบัติธรรมจาก ๔ ภาคของประเทศไทย ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ (๓) เป็นสำนักที่เคยได้รับรางวัลดีเด่นและมีช่ือเสียงเป็นท่ียอมรับอีกท้ังเป็นสำนักที่มี รูปแบบการจัดการความรู้ในลักษณะต่างๆ กลุ่มตัวอย่าง วัดรํ่าเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ. เชียงใหม่ สายยุบ พอง ภาคเหนือ วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) ต.เสม็ด อ.ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี สายอานาปานสติ ภาคใต้ วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี สายพุทโธ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ วดั มเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.เมือง จ.พระนครศรอี ยุธยา สายรูปนาม ภาคกลาง วัด หลวงพ่อสดธรรมกายาราม ต.แพงพวย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี สายสัมมาอรหัง ภาคกลาง กลุ่ม ตัวอย่าง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง “แบบเจาะจง” (purposive) คำนึงเร่ืองความหลากหลายของประชากร เป็นหลกั จากสำนกั ปฏบิ ตั ิธรรม ๕ สาย ที่เกย่ี วข้องกบั การจัดการความรู้ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก(In-depth interview research) มีการศึกษา วิเคราะห์วิพากษ์แนวคิดการจดั การความรใู้ นวทิ ยาการสมัยใหม่ และวิเคราะห์ขอ้ มูลท่ีปรากฏอย่ใู นคมั ภรี ์ ทางพระพุทธศาสนา เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนและองค์ประกอบของการจัดการความรู้ ของสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทยโดยมีการดำเนินการตามลำดับ ขอบเขตด้านเนื้อหา ๑) แนวคิด การจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนา ใช้ศึกษาในงานวิจัยจากข้อมูลปฐมภูมิ (Primary sources) ได้แก่ พระไตรปิฎก และข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary sources) ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา หนังสือ ตำรา วิชาการ และเอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องต่างๆ ๒) กรอบเน้ือหาท่ีเกี่ยวกับองค์ความรู้ของสำนักปฏิบัติ ธรรมในประเทศไทยท่ีผู้วิจัยมุ่งศึกษาในครั้งนี้ ประกอบด้วยองค์ความรู้เกี่ยวกับสภาพทั่วไปของสำนัก ปฏิบัติ ๕ สำนัก ขั้นตอนของการจัดการความรู้ ๗ ข้ันตอน และองค์ประกอบของการจัดการความรู้ ๓ องคป์ ระกอบ รวมถึงองค์ความรดู้ ้านการบริหารจัดการสำนักปฏิบัติธรรม ระยะเวลา ลงพ้นื ที่ภาคสนาม เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกระหว่างเดือนมีนาคม – กันยายน ๒๕๕๕ โดยการสังเกต และการสัมภาษณ์ผู้ท่ี เก่ียวข้องกับสำนักปฏิบัติธรรมทเี่ ป็ นกลมุ่ ตวั อยา่ ง ดา้ นพ้ืนที่ เลอื กกลุ่มตัวอยา่ งท่ีเป็นสำนักปฏิบัตธิ รรม ในประเทศไทย ครอบคลมุ ๔ ภาค วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลเก็บจากขอ้ มูลภาคเอกสาร คือ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และเอกสารอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ท้ังในส่วนแนวคิดวิทยาการสมัยใหม่ และทางพระพุทธศาสนา โดยมีแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ ก. ข้อมูลปฐมภูมิ- พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ พ.ศ. ๒๕๐๐- พระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๙ ข. ข้อมูลทุติยภูมิ- หนังสือสำคัญอื่นๆ ทาง พระพุทธศาสนาที่เก่ียวข้องกับงานวิจัย นอกจากนอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้ลงพื้นที่ภาคสนามเพ่ือให้ได้ข้อมูล
ภาคผนวก ๒๓๐ การวิเคราะห์ โดยมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Observations Participant) การ สรุปผลการวิจยั สมั ภาษณ์ และการเข้าร่วมกิจกรรมในสำนกั ปฏบิ ัตธิ รรม การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ๑ ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลแนวคิดการจัดการความรู้ในวิทยาการ สมัยใหม่จากตำรา เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง ๒ ผูว้ ิจัยได้ใช้เครือ่ งมือคือการรวบรวมข้อมูลเอกสาร (Documentary search) โดยการรวบรวม จำแนกและจัดหมวดหมู่หลักการ ๓ นำผลท่ีได้จาก การศึกษาในขัน้ ตอนที่ ๑ - ๒ เป็นแนวทางในการสำรวจสภาพการจัดองค์ความรู้ของสำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัดเกี่ยวกับองค์ประกอบของการจัดการความรู้และขั้นตอนของการจัดการความรู้ของสำนัก ปฏิบัติธรรมโดยการสัมภาษณ์ เชิงลึก (indepth interview) และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) โดยออกแบบสัมภาษณ์โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบเครื่องมือ กำหนด ประเด็นในการศึกษาไว้ ๓ ประเด็นได้แก่ สภาพทั่วไปของสำนักปฏิบัติธรรม เพ่ือบันทึกข้อมูล พร้อมทำ การสัมภาษณ์เพิ่มเติม ในเรือ่ งของข้ันตอนการจดั การความรู้ ๗ ขนั้ ตอนและองค์ประกอบของการจดั การ ความรู้ ๓ องค์ประกอบของสำนักปฏิบัติธรรม ๕ สำนัก จากน้ันทำการสรุปองค์ความรู้เพ่ือนำเสนอให้ผู้ ทรงคุณรับรองรูปแบบโดยการจัดทำการสนทนากลุ่ม (Focus Group) โดยผู้เช่ียวชาญด้าน พระพุทธศาสนา และผู้เช่ียวชาญด้านการจัดการความรู้ ตลอดจนผู้มีส่วนในการกำหนดนโยบายที่ เก่ียวขอ้ งกับสำนักปฏิบตั ธิ รรม จำนวน ๖ รูป/คน (๑) ขั้นตอนและองค์ประกอบของการจัดการความรใู้ นพระพุทธศาสนา ความรู้ในพระพุทธศาสนา มกี ารสืบทอดต่อกันมาอยา่ งยาวนานจนถึงปัจจุบันนับได้ร่วม ๒,๖๐๐ ปี องค์กรพระพุทธศาสนาจึงถือได้ ว่าเปน็ องค์กรทเ่ี ก่าแกท่ ี่สดุ ในโลกองค์กรหนึง่ ที่เป็นเชน่ น้ัน ไดก้ ็เนือ่ งจากมีกระบวนการจัดการความรู้ที่มี ประสิทธภิ าพ ผลการศึกษาเก่ยี วกับข้ันตอนและองค์ประกอบของการจัดการความรูใ้ นพระพุทธศาสนา มี ดงั นี้ ๑. องคป์ ระกอบด้านคน คือ มีโครงสรา้ งการบริหารจัดการองค์กรสงฆท์ ี่ชดั เจน มีการยกย่องพระ สาวกท่ีโดดเด่นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เพ่ือให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ได้สะดวกและช่วยให้การบริหาร องค์กรสงฆ์เป็นไปโดยเรียบร้อย ๒. องค์ประกอบด้านส่วนเครื่องมือ พบว่า ในพระพุทธศาสนามี เคร่ืองมือในการจัดการความรู้ปรากฏในรูปแบบของหลักธรรมท่ีส่งเสริม ให้เกิดการจัดการความรู้ ได้แก่หลักอปริหานิยธรรม ๗ หลักสาราณยี ธรรม ๖ หลักสัปปุรสิ ธรรม ๗ หลกั วุฑฒิธรรม ๔ และหลัก สัมมัปปธาน ๔ เป็นต้น ๓. องค์ประกอบด้านกิจกรรม ในพระพุทธศาสนามีกิจกรรมการจัดการความรู้ โดยผ่านรูปแบบของกิจจาธิกรณ์ หมายถึง กิจอันจะพึงทำด้วยประชุมสงฆ์ ได้แก่ สังฆกรรมท้ัง ๔ คือ อปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติตติยกรรม และ หลักกิจวัตร ๑๐ ประการ ๑) บณิ ฑบาต ๒) กวาดวดั ๓)ปลงอาบัติ ๔) ทำวัตรพระสวดมนต์ ๕) ขวนขวายในปัจจเวกขณ์และภาวนา ๖) อุปัฏฐากอุปัชฌาย์อาจารย์ ๗) บริหารส่ิงของและร่างกาย ๘) ขวนขวายเรียนธรรมวินัย ๙) เอาใจใส่ของ สงฆ์และกจิ สงฆ์ ๑๐) การดำรงตนให้น่าไหว้ นอกจากนี้ยงั มรี ูปแบบการจัดการความรู้ในลกั ษณะของการ สงั คายนาอกี ด้วย (๒) สภาพการจัดการความรู้ของสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย ผลการการศึกษารปู แบบการ จัดการความรู้ของสำนักปฏิบัติธรรมวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) จ.เชียงใหม่ วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลา ราม) จ.สุราษฏร์ธานี วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา และวัดหลวง พ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี ท้ัง ๕ สำนักต่างมีความเหมือน ความต่างอันเป็นจุดเด่นแตกต่างกัน ออกไปดังนี้ ด้านความเหมือนสำนักปฏิบัติธรรม ๕ สำนักต่างมีสภาพทั่วไป ตลอดจนรูปแบบการ จัดการความรู้ที่เหมือนกัน คือ สถานท่ีเป็นสัปปายะโดยเฉพาะวัดหนองป่าพง กับสวนโมกข์จะมีความ เป็นวัดป่าใกล้เคียงกนั ส่วนวัดมเหยงคณ์ วดั รํ่าเปิง (ตโปทาราม) และวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ต่าง
ภาคผนวก ๒๓๑ เป็นวัดท่ีอยู่ใกล้เมืองจึงมีลักษณะก่ึงป่าก่ึงเมือง มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นอาคารถาวรวัตถุมาก แต่ก็มีต้นไม้ปก คลุมทำให้เกิดความร่มรื่นความเหมือนประการที่ ๒ คือทุกสำนักต่างก็มีสื่อส่ิงพิมพ์ต่างๆ มากมาย เช่น หนังสือCD VCD DVD เวปไซต์ ส่วนสถานีวิทยุและโทรทัศน์น้ันจะมีเหมือนกันบางสำนัก นอกจากน้ียัง พบว่า ทกุ สำนักต่างจัดตั้งมูลนิธิ ข้ีนมาสนับสนนุ การดำเนินงานของสำนักด้านการให้บรกิ ารผู้มาฝึกอบรม นนั้ ส่วนทุกสำนักจะเป็นสำนักเปดิ ที่พร้อมรองรับบุคคลทั่วไปให้มาศึกษาปฏิบัติ ยกเว้นสำนักวัดหลวงพ่อ สดธรรมกายาราม จะเน้นเฉพาะเป็นหมู่คณะ หากเป็นบุคคลท่ัวไปจะไม่เปิดรับเน่ืองจากจะมีปัญหาด้าน ความปลอดภัย ส่วนรูปแบบการจัดการความรู้โดยท่ัวไปจะดำเนินการตามแนวทางในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นอุดมการณ์ในเชิงการเผยแผ่ธรรมอยู่แล้ว การจัดการความรู้จึงสอดคล้องกับ แนวทางท่ีมีการปฏิบัติมาโดยตลอด ด้านความต่าง ๑. สำนักปฏิบัติธรรมวัดร่ําเปิง (ตโปทาราม) เรมิ่ มี การขยายสาขา แต่ไม่มีการเข้าไปควบคุมแบบเข้มงวด มีการจัดบวชพระทุกวันอาทิตย์ มุ่งอบรมท้ัง พระสงฆ์และฆราวาส การปฏิบัติควรเป็นยุบ –พองเท่านั้น ให้ความสำคัญที่ระบบการบริหาร ๒. สำนัก ปฏิบัติธรรมวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) มีส่ือท่ีหลากหลาย เช่น งานปูนปั้น โรงมมหรสพทาง วญิ ญาณ ฯลฯ จัดคอร์สฝึกอบรมพิเศษ ณ สวนโมกข์นานาชาติตลอดทงั้ ปแี ละมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก มี ธรรมภาคคี ือ สวนโมกข์รถไฟ ณ กรุงเทพฯ ซ่ึงเป็นสถานทจี่ ัดกจิ กรรมทหี่ ลากหลาย มุ่งอบรมฆราวาสทั้ง คนไทยและชาวต่างประเทศ ไม่ต้องการมีสำนักสาขา การปฏิบัติควรเป็นอานาปานสติเท่านั้น มุ่งรักษา สิง่ ท่ีเป็นธรรมเนียมที่ท่านพุทธทาสสรา้ งไว้ ๓. สำนักปฏิบัติธรรมวัดหนองป่าพง มสี าขา ๓๑๑สาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นที่มีความเป็นรูปธรรมสามารถสัมผัสได้ด้วยการปฏิบัติ มีพิพิธภัณฑ์ เพ่ือให้ความรู้มุ่งอบรมพระสงฆ์ ไม่จำกัดรูปแบบทัง้ ๕ สาย มุ่งเน้นธุดงค์วัตร มุ่งความเป็นสำนักปฏิบัติ แบบวัดป่าไม่ยึดติดตัวบุคคล ๔. สำนักปฏิบัติธรรมวัดมเหยงคณ์ เรม่ิ เปิดสำนักสาขา เน้นใช้เทคโนโลยี มาช่วยในการสอบอารมณ์ และการสอนกัมมัฏฐานมาก มีห้องสมุดให้ความรู้ผู้ปฏิบัติอย่างเป็นเวลา มุ่ง อบรมฆราวาส ไม่จำกัดสายแล้วแต่ถนัด สุดท้ายจะรวมท่ีรูป นาม ๕.สำนักปฏิบัติธรรมวัดหลวงพ่อสด ธรรมกายาราม มีฐานข้อมูลสำนักปฏิบัติธรรม (ศูนย์ศปท.) รับบุคคลเข้าปฏิบัติเฉพาะเป็นหมู่คณะมุ่ง ด้านการบริหารองค์กรท่เี ก่ียวขอ้ ง และมุ่งการบริหารจัดการภายในสำนักเนน้ สัมมาอรหงั เทา่ น้นั (๓) รูปแบบการจัดการความรู้สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย จากการศึกษาสามารถ กำหนดรูปแบบการจัดการความรู้ท่ีเกิดจากการบูรณาการท้ัง แนวคิดการจัดการความรใู้ นวทิ ยาการสมัย ร่วมกับแนวคิดการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนาและจากการศึกษากรณีตัวอย่างจาก ๕ สำนักได้ ข้อสรุปเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการความรู้ท่ีเหมาะสมกับสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศไทย ดังน้ี ๑) การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) กำหนดองค์ความรู้ ๒ ประเภท คือ องค์ความรู้ เก่ียวกับแนวปฏิบัติของแต่ละสาย หรือหลักสติปัฏฐาน ๔ และองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการ สำนักปฏิบัติ โดยควรมีการบ่งชี้ให้ชัดเจน ๒) การสรา้ งและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition) ควรมีการดำเนินการตามหลักคันธุระและวิปัสสนาธรุ ะควบค่กู ันโดยเป็นการพัฒนา ตามหลักปัญญา ๓ ( สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา) ๓) การจัดความรู้ให้เป็น ระบบ(Knowledge Organization) ในพระพุทธศาสนามีความรู้ท่ีเป็นระบบแล้ว คือ พระไตรปิฎก โดยการสังคายนา นอกจากน้ีควรมีการจัดความรู้คำสอนของครูบาอาจารย์เจ้าสำนักเกี่ยวกบั เทคนิคการ สอนไว้ให้เป็นระบบ ๔) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement)ดำเนินการโดยยึดถือแบบอย่างครูบาอาจารย์รวมถึงมีการสอบทานระหว่างปริยัติกับ ปฏิบัติ ๕) การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) สถานที่เป็นสัปปายะ มีสื่อต่างๆ เช่น หนังสือ CD VCD DVD เวปไซต์ รายการวิทยุและโทรทัศน์ การเข้าถึงนั้น นักจัดการความรู้จะต้องจัด
ภาคผนวก ๒๓๒ ขอ้ เสนอแนะ สภาพแวดล้อมภายนอกอันเป็น ปรโตโฆสะ ให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ ๖) การแบ่งปันแลกเปล่ียน (Knowledge Sharing) สำนักปฏิบัติธรรมควรจัดให้มีการประชุมภายหลังสวดปาติโมกข์ หรือทำวัตร เสร็จ หรือมีการสากัจฉา หรือการสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติ ๗) การเรียนรู้ (Learning) มีการพัฒนาองค์ ความรู้ด้านเทคนิคการปฏิบัติแตกต่างกันไป เช่น อานาปาสติ ก็พัฒนามาเป็น ยุบ-พองๆ ก็พัฒนามา เป็น รปู -นามๆ กพ็ ัฒนามาเป็นการดูจิต เป็นต้น จากนั้นยกระดับจิตให้สูงข้ึน จากปุถุชนให้เข้าสู่ความ เป็นอริยชน การเรียนรู้ในพระพุทธศาสนาควรยึดหลักโยนิโสมนสิการประกอบในการบริหารจัดการสำ นักปฏบิ ัติธรรมนัน้ จะต้องมีสมรรถนะหลัก (Core Competency) ท่ีสำคัญ อย่างน้อย ๔ สมรรถนะ คือ ๑. ความสามารถในการบรหิ ารจัดการสำนักปฏิบัติธรรมโดยการนำหลักการบรหิ ารจัดการสมัยใหม่มาใช้ ในการดำเนินการ ๒. มีการประสานงานที่ดีท้ังงานภายในและภายนอกสำนัก ๓. มีความรับผิดชอบ และดูแลบุคลากรและผู้ปฏิบัติอย่างดี ๔.บุคลากรในสำนักปฏิบัติธรรมมีการทำงานเป็นทีมสำนักปฏิบัติ ธรรมในปัจจุบันจะต้องมีการนำหลักการจัดการความรู้มาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการสำนักโดยมี การกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน มีการกำหนดสมรรถนะหลักแล้วพัฒนาสมรรถนะดังกล่าวให้เป็น จุดเด่นขององค์กรจากการศึกษาผู้วิจัยได้นำองค์ประกอบของการจัดการความรู้ในวิทยาการปัจจุบันมา บูรณาการร่วมกับองค์ประกอบของการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนาทำให้ได้องค์ประกอบของการ จดั การความรู้ ๕ ประการ คือ ๑. ด้านคน ต้องมีโครงสร้างท่ีเอื้อต่อความสำเร็จของการจัดการความรู้ ผูบ้ รหิ ารสูงสุดในองค์กรจะต้องเห็นคุณค่าในการจัดการความรู้ และดำเนินการผลักดันการจัดการความรู้ ที่สำคัญคนในองค์กรจะต้องมีความกระหายใคร่เรียนรู้ มีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ มีทัศนคติท่ีดีในการ ทำงาน ๒. ด้านเทคโนโลยี สำนักปฏิบัติธรรมจะต้องมีระบบ IT หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ เพราะจะช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างสะดวกและ รวดเร็ว เช่น สื่ออินเทอร์เนต็ เป็นต้น ๓.ด้านกระบวนการ สำนักปฏิบัติธรรมจะต้องมีกระบวนการทำที่ ชัดเจน เป็นระบบและมีประสิทธิผล ตัวอย่างของกระบวนการที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการราชการ เชน่ กระบวนการจัดการความรู้ตามแนวทางของ กพร. ๗ ข้ันตอน คือ (๑) การบ่งช้คี วามรู้ (๒) การสร้าง และแสวงหาความรู้ (๓) การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (๔) การประมวลและกล่ันกรองความรู้ (๕) การ เข้าถึงความรู้ (๖) การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (๗) การเรียนรู้ ดังกล่าวแล้วในตอนต้น ๔. ด้าน กิจกรรมที่เป็นวัฒนธรรมองค์กรและสภาพแวดล้อม กิจกรรมที่เป็นวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม (Culture & Environment) ที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ มีการส่งเสริมให้เกิดชุมชนแนวปฏิบัติ (CoP- Community of Practice) ตามหลกั กิจจาธิกรณ์ และหลกั กิจวัตร ๑๐ ประการ๕. ด้านเคร่ืองมอื หรือ หลักธรรมสนับสนุนเคร่ืองมือการจัดการความรู้ในพระพุทธศาสนาน้ัน ประกอบด้วยหลักอปริหานิย ธรรม ๗ หลักสาราณยี ธรรม ๖ หลักสัปปุรสิ ธรรม ๗ หลกั วุฒธิ รรม ๔ หลกั สมั มัปปธาน ๔ เปน็ ตน้ ข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาวิจัย ๑. ควรศึกษาถึงรูปแบบการจัดการความรู้ของคณะสงฆ์ไทยใน ปจั จุบัน ๒. ควรศึกษาในลกั ษณะถอดบทเรยี นท่ีเป็นองค์ความร้ขู องวัดต่างๆ โดยใช้เคร่ืองมือ คือแนวคิด การจัดการความรู้ ๓. ควรศึกษาวิเคราะห์ถึงองค์ความรู้บางอย่างของพระพุทธศาสนาท่ีอยู่ในภาวะใกล้ สูญหายแล้วรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ เช่น คัมภีร์ใบลานต่างๆ เป็นต้น ๔. ควรศึกษาวิจัยถึงตัวช้ีวัด เก่ียวกับสำนักปฏิบัติธรรมที่ดีเด่นเพ่ือนำมาเป็นต้นแบบสำนักปฏิบัติธรรมอ่ืนๆ ๕. ควรศึกษาถึงการนำ เทคนิคการจดั การความรู้ไปใช้ในการพัฒนาจิตใหเ้ ป็นความรู้ในระดับภาวนามยปญั ญา
ภาคผนวก ๒๓๓ รหัส ๕๔-๕๕ แบบบันทกึ ข้อมูลงานวทิ ยานิพนธ์ ช่ือวทิ ยานิพนธ์ สมถกมั มัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวปิ สั สนากัมมฏั ฐาน ผู้วจิ ยั (The Tranquillity Meditation as the base of Insight Meditatio ) ปริญญา เสฐยี ร ทัง่ ทองมะดนั ปี พทุ ธศาสตรดุษฎีบัณฑติ สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วตั ถุประสงค์ ๒๕๕๕ การทบทวน ๑. เพ่ือศกึ ษาสมถกัมมัฏฐานในคัมภรี ว์ ิสุทธมิ รรคและคมั ภรี ์วิมตุ ติมรรค เอกสารและ ๒. เพื่อศกึ ษาความเหมือนกันและความตา่ งกันของสมถกัมมฏั ฐานในคัมภรี ว์ ิสทุ ธิมรรคและคัมภีรว์ มิ ุตติ งานวิจยั ที่ เกี่ยวขอ้ ง มรรค ๓. เพ่อื ศกึ ษาวิเคราะหส์ มถกัมมัฏฐานในฐานะบาทฐานของวปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน นิยามศัพท์ ๑. สมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสทุ ธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรค ได้แก่ คัมภีร์วิสุทธิมรรค คมั ภีร์วมิ ุตติ วธิ ดี ำเนินงาน มรรค แนวคิดเกี่ยวกับกัมมัฏฐาน (ความหมายของกัมมัฏฐาน ประเภทของกัมมัฏฐาน จุดมุ่งหมายของกมั มฏั ฐาน) สมถกัมมัฏฐานในคัมภรี ์วิสทุ ธมิ รรค (บุพกิจเบ้ืองต้นในการเจรญิ สมถ กัมมัฏฐาน สมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรค (บัญญัติกัมมัฏฐาน ปรมัตถกัมมัฏฐาน) ) สมถ กัมมัฏฐานในคัมภีร์วิมุตติมรรค (บุพกิจเบ้ืองต้นในการเจริญสมถกัมมัฏฐาน สมถกัมมัฏฐานใน คัมภีร์วิมตุ ติมรรค (บญั ญัติกมั มัฏฐาน ปรมตั ถกัมมฏั ฐาน) ) ๒. ความเหมอื นกันและความต่างกันของสมถกมั มัฏฐานในคมั ภีรว์ ิสุทธิมรรคและคัมภีร์วมิ ุตติมรรค ได้แก่ ความเหมือนกันของบุพกจิ เบอ้ื งต้นก่อนการปฏิบตั ิสมถกัมมัฏฐาน (การแสวงหากัลยาณมิตร ผู้ให้กัมมัฏฐาน การเลือกสอนกัมมัฏฐานท่ีเหมาะกับจริตผู้ปฏิบัติ) ความเหมือนกันของบัญญัติ กัมมัฏฐาน (เน้ือหา การปฏิบัติ ผลการปฏิบัติ) ความเหมือนกันของปรมัตถกัมมัฏฐาน (เนื้อหา การปฏิบัติ ผลการปฏิบัติ) ความต่างกันของบุพกิจเบื้องต้นก่อนการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ความ ต่างกันของบัญญัติกัมมัฏฐาน (เน้ือหา การปฏิบัติ ผลการปฏิบัติ) ความต่างกันของปรมัตถ กัมมฏั ฐาน (เน้ือหา การปฏบิ ัติ ผลการปฏิบัติ) ๓. วิเคราะห์สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้แก่ วิเคราะห์สมถ กัมมัฏฐานในฐานะเป็นอารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน (การใช้องค์ฌานเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา กัมมัฏฐาน การใช้อารมณ์ของสมถะเป็นอารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน (ความสัมพันธ์ในแง่รูปแบบการปฏิบัติ ความสัมพันธ์ในแง่ของการบรรลุธรรม) บูรณาการสมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์ วิมุตติมรรคเพื่อเป็นแนวทางในการเจริญกัมมัฏฐาน (บรู ณาการด้านข้ันตอนการปฏิบัติ บูรณาการ ในด้านการปฏิบัต)ิ ๑. สมถกัมมัฏฐาน หมายถงึ กัมมัฏฐานเปน็ อุบายสงบใจ มีเปา้ หมายอยทู่ ีก่ ารทำใจใหส้ งบแนว่ แน่ จน เข้าถงึ ภาวะที่เรียกวา่ ฌาน คอื ภาวะของจิตท่สี งบ ประณีต ซ่ึงมีสมาธเิ ป็นองคธ์ รรม ๒. วปิ สั สนากัมมฏั ฐาน หมายถงึ กมั มฏั ฐานเป็นอุบายเรอื งปัญญา เป็นการฝึกอบรมปัญญาให้เกิด ความรูแ้ จง้ เห็นจรงิ โดยความเปน็ ไตรลักษณ์ ๓. สมถกมั มัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐาน หมายถงึ เป็นสิ่งท่ีช่วยสนับสนุน ส่งเสรมิ ใหก้ ารปฏบิ ตั ิ วิปัสสนากัมมฏั ฐานเจรญิ ก้าวหน้า เป็นฐานท่จี ะนำไปสู่ความรู้แจง้ เหน็ จรงิ ในกองสงั ขาร การวิจัยเอกสาร (Document Research) ขั้นตอน ๑) ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์วิสุทธิมรรคและ
ภาคผนวก ๒๓๔ วจิ ยั คัมภีร์วิมุตติมรรค ด้านเน้ือหาโครงสร้าง และรูปแบบการแต่ง ๒) ศึกษาข้อมูลด้านสมถกัมมัฏฐานใน คัมภีร์วิสทุ ธมิ รรค และคมั ภีร์วมิ ุตติมรรค ๓) ศึกษาความเหมือนและความแตกตา่ งของสมถกมั มฏั ฐานใน รวบรวมขอ้ มูล คัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรคในด้านเนื้อหา การปฏิบัติ และผลการปฏิบัติ ๔) วิเคราะห์เรื่อง สรปุ ผลการวิจยั สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยวิเคราะห์สมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็น อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในประเด็น ๑) การใช้องค์ฌานเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ๒) การใช้ อารมณ์ของสมถะเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสมถกัมมัฏฐานและ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ๕ บูรณาการสมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรคด้านเนื้อหา การปฏบิ ัติ และผลการปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทางการปฏิบตั ิ ศึกษาสมถกัมมัฏฐานที่ปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วมิ ุตติมรรค เนื้อหา การปฏิบัติและผลการ ปฏิบัติ ศึกษาความเหมือนกันและความแตกต่างกันของสมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์ วมิ ตุ ติมรรค รวมถึงศึกษาสมถกมั มัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน สรุปผลการวิจัย ผู้วิจัยมุ่งศึกษาสมถกัมมัฏฐานในฐานะเป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรค ความเหมือนกันและ ความต่างกันของสมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธมิ รรคและคัมภีร์วิมุตติมรรค ศึกษาสมถกัมมัฏฐานในฐานะ เป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน จากการศึกษาพบว่าคัมภีร์วิสุทธิมรรค เป็นคัมภีร์ปกรณ์วิเสส แต่ง โดย พระพุทธโฆสาจารย์ ซ่ึงเป็นพระอรรถกถาจารย์ชาวชมพูทวีป แต่งข้ึนในสมัยท่ีท่านเดินทางไปที่ศรี ลังกา เพ่ือแปลอรรถกถาจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ โดยก่อนท่ีท่านจะได้รับอนุญาตให้แปลอรรถ กถา ทางคณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหารได้มอบคาถา ๒ คาถา ให้ท่านแต่งอธิบายขยายความ เป็นคัมภีร์ท่ี กล่าวถึงแนวทางการปฏบิ ัติเพือ่ ไปถงึ นพิ พานเปน็ คัมภีร์คมู่ ือเพ่ือเขา้ ถึงนิพพาน คัมภรี ว์ ิสทุ ธิมรรค ยดึ หลัก ไตรสิกขา คือ ศลี สมาธิ และปญั ญา เป็นหลกั หรอื เปน็ หัวขอ้ ในการอธิบาย ตัวคัมภรี ์จึงแบง่ เป็น ๓ ภาค โดยแบง่ โครงสรา้ งออกเปน็ บท ที่เรยี กว่านเิ ทศ ไว้ ๒๓ นเิ ทศ มีสีลนเิ ทศเป็นต้น ลกั ษณะการแต่งเป็นแบบ วิมิสสะ หรือแบบผสม เพราะมีทั้งส่วนที่เป็นร้อยกรอง และร้อยแก้วผสมกันไปตลอดท้ังเล่ม เน้ือหาของ คัมภีร์วสิ ุทธิมรรคประกอบดว้ ยเรื่องศีล เรื่องธุดงค์ เรื่องการเจริญกัมมัฏฐาน อารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน ๔๐ อย่าง เร่ืองโลกิยอภิญญา๕ ประการ ซ่ึงเป็นผลมาจากการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน อารมณ์ของ วิปัสสนากัมมัฏฐาน อันประกอบด้วย ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท เร่ืองวิสุทธิ ๕ประการหลัง และอานิสงส์ท่ีเกิดจากการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน คัมภีร์วิมุตติมรรคเป็นคัมภีร์ปกรณ์วิเสส อธิบายไตรสิกขาอันเป็นทางแห่งความหลุดพ้น แต่งโดยพระ อุปติสสเถระ เดิมแต่งเป็นภาษาบาลี ตน้ ฉบับสูญหายไป เหลือแต่ฉบับทีแ่ ปลเป็นภาษาจีนต่อมาแปลเป็น ภาษาอังกฤษ และแปลเป็นภาษาไทย เป็นคัมภีร์สำคัญสำหรับการศึกษาและปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความหลุด พ้น รูปแบบการแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค เป็นแบบวิมิสสะ คือ ผสมกันระหว่างร้อยแก้วและร้อยกรอง ส่วนมากจะมรี ้อยแกว้ ร้อยกรองเป็นส่วนน้อย การดำเนินเรื่อง ดำเนินตามแบบการเขียนคัมภีร์อรรถกถา โดยท่ัวไป คือประกอบด้วยปณามพจน์ อุทเทศคาถา เนื้อหาสาระ และนิคมนคาถาสมถกัมมัฏฐานท่ี ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทั้ง ๒ ครอบคลุมรายละเอียดการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานในประเด็น บุพกิจเบื้องต้น กอ่ นการปฏิบัติ การเรียนกัมมัฏฐาน เนื้อหา การปฏิบัติ และผลการปฏิบตั ิ ในกมั มัฏฐานแต่ละข้อเนื้อหา ของสมถกัมมัฏฐาน ตามที่ปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิมรรค แบ่งออกเป็น ๗ หมวดคือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา และ จตุธาตุววัฏฐาน การอธิบาย เนื้อหาของสมถกัมมัฏฐานท้ัง ๔๐ น้ัน มีการอธิบายความไปตามหลักภาษา มีการนิยามความหมายทาง ไวยากรณ์ เช่น ทางด้านรูปวิเคราะห์ เพื่อให้เห็นความหมายตามรากศัพท์ที่ชัดเจน การอธิบายความไป
ภาคผนวก ๒๓๕ ตามหลักธรรม เช่น การอธิบายความโดยใช้หลักวิเสสลักษณะ ๔ ประการมาอธิบาย คือ ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน และ ปทัฏฐาน การอธิบายบางคร้ังมียกตัวอย่างจากพระไตรปิฎกมาอ้างอิงด้วยจากเน้ือหา อารมณ์สมกัมมัฏฐาน ๔๐ เราสามารถจัดเนื้อหาอารมณ์กัมมัฏฐาน ๔๐ ได้เป็นกลุ่มๆ ดังนี้กลุ่มท่ี ๑ ใช้ วัตถุที่เป็นรูปธรรมมาเป็นอารมณ์ในการกำหนด เช่น กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กลุ่มท่ี ๒ ใช้ส่ิงท่ีเป็น นามธรรมมาเป็นอารมณใ์ นการกำหนด โดยใชก้ ารกำหนดนึกและระลึกถงึ เช่น อนุสสติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ สมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์มุตติมรรค แบ่งออกเป็น ๓๘ ประการ ดังน้ี กสิณ ๑๐ ได้แก่ ปฐวีกสิณ อาโป กสิณ เตโชกสณิ วาโยกสิณ นีลกสิณ ปตี กสิณ โลหิตกสณิ โอทาตกสิณ อากาสกสิณ ปริจฉนิ นากาสกสิณ อสุภสัญญา ๑๐ คือ อุทธมาตกสัญญา วินีลกสัญญา วิปุพพกสัญญา วิกขิตตกสัญญา วิกขายิตก-สัญญา หตวิกขิตตกสัญญา วิจฉิททกสัญญา โลหิตกสัญญา ปุฬุวกสัญญา อัฏฐิกสัญญา อนุสสติ ๑๐ คือ พุทธา นุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณสติ กายคาตาสติ อานาปาน สติ อุปสามานุสสติ อัปปมัญญา ๔ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อเุ บกขาจตธุ าตุววัฏฐาน ๑ อาหาเรปฏกิ ูล สัญญา ๑ อากิญจัญญายตนะ ๑ เนวสัญญานา สัญญายตนะ ๑ กัมมัฏฐานท้ัง ๔๐ ประการ จำแนก โดยบญั ญัตกิ มั มัฏฐาน ๒๘ และปรมัตถกมั มฏั ฐาน ๑๒ ความเหมอื นกนั และความแตกตา่ งกนั ของ สมถกัมมัฏฐานในคัมภีร์วสิ ุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรค จากการศึกษาพบว่า ในด้านเน้ือหา ทั้งสองคัมภีร์กล่าวไว้สอดคล้องเป็นแนวเดียวกัน การแบ่งจำนวนสมถกัมมัฏฐาน ก็ยึดแนวเดียวกันคือ แบ่งออกเป็น กสณิ ๑๐ อุสภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหม วิหาร ๔ อรูปฌาน ๔ อาหาเรปฏิกุลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ รวมเป็น ๔๐ ประการ ในด้านการปฏิบัติทั้งสองคัมภีร์กล่าวไว้สอดคล้องเป็นไปใน แนวเดยี วกันเป็น วิธีการปฏิบัติบางเร่อื งกแ็ ตกตา่ งกนั บางเรอื่ งกใ็ กล้เคียงกนั ในด้านผลการปฏิบัติ ท้ังสอง คัมภีร์กล่าวไว้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกัน ซ่ึงสามารถสรปุ ประเด็นได้ ดังนี้ เมื่อปฏิบตั ิกัมมัฏฐานข้อ ใดข้อหนงึ่ อานิสงส์ทไี่ ด้คือ การรู้เทา่ ทนั ความเปน็ จริงของชีวิต มสี ติ ไม่ประมาท คลายความยึดมั่นถือ ม่ัน ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ เป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน กล่าวคือสมถกัมมัฏฐานบางข้อ เมื่อ เจริญแล้ว สามารให้บรรลุมรรคผลนิพพานหรือเป็นบาทฐานของการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เช่น กายคตาสติ อานาปานสติ จตุธาตุววัฏฐาน รวมถึง อาหาเรปฏิกูลสัญญา นำไปสู่สุคติ คือ จะไม่ตกไป อบาย เช่น การเจริญอนุสสติท้ัง ๑๐ หากยงั ไม่บรรลุคุณวิเศษในชาตนิ ้ี ก็จะมีสุคติเป็นที่ไปในภพหน้า ผล อีกด้านหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ การได้อภิญญาซ่ึงหมายเอาอภิญญา ๕ ซึ่งเป็นโลกิยอภิญญาสมถกัมมัฏฐาน ในฐานะเป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน เม่ือเจริญสมถกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหน่ึง ขณิกสมาธิซึ่ง เป็นสมาธิระดับต้น ยอ่ มเกิดข้ึน เม่อื ได้ฝึกจิตบ่อยๆ จิตก็จะตั้งม่ัน จนกระทั่งเป็นอปุ จารสมาธิแล้ว หม่ัน ประคองรักษาสมาธิท่ีได้นั้นไว้ จิตก็ย่อมถึงความสงบต้ังมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแนบแน่นเต็มท่ีเป็น อัปปนาสมาธิ เมื่อจิตอยู่ในระดับอัปปนาสมาธิแล้วองค์ฌานก็จะเกิดข้ึนก็ใช้องค์ฌานนั้นเป็นบาทฐาน ในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน และใช้อารมณ์สมถกัมมัฏฐานบางหมวด เพื่อเป็นบาทฐานเพื่อการ เจริญวิปัสสนาจนสามารถบรรลุอรหัตผลได้ เช่น การปฏิบัติในอสุภะ อนุสสติ จตุธาตุววัฏฐาน อาหาเร ปฏิกูลสัญญาสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีความสัมพันธ์กัน ๔ รูปแบบคือ ๑) การปฏิบัติ วิปัสสนาท่ีมีสมถะนำหน้าน้ัน เป็นลักษณะการปฏิบัติแบบสมถยานิกะ โดยผู้ปฏิบัติใช้อารมณ์ของสมถ กัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง จนเกิดอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิ เกิดองค์ฌาน จากนั้นจึงใช้ปัญญา พิจารณาสมาธิน้ัน รวมถึงธรรมท่ีเกิดพร้อมด้วยสมาธินั้น ให้เห็นแจ้งโดยลักษณะ ๓ ประการ คือ ไม่ เท่ียง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ๒) การปฏิบัติสมถะท่ีมีวิปัสสนานำหน้านั้น เป็นลักษณะการปฏิบัติ แบบวิปัสสนายานิกะ คือผู้เจริญวิปัสสนาล้วน ๆ ยังไม่ได้บำเพ็ญสมถะ โดยพิจารณาเบญจขันธ์โดย ความเป็นไตรลักษณ์ มีไม่เท่ียงเป็นต้น ผู้ปฏิบัติโดยวิธีน้ี จะไม่ได้ฌานมาก่อน เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว
ภาคผนวก ๒๓๖ ขอ้ เสนอแนะ อยากได้ฌาน จึงหันมาบำเพญ็ สมถะ ทำฌานให้เกิดขึ้น ในภายหลังจนกระท่งั ได้สมาบัติ ๘ ประการ ๓) การปฏิบัติแบบการเจริญสมถะวิปัสสนาควบคู่กัน มคี วามเก่ียวข้องกันระหว่างการเข้าสมาบตั ิและการ พิจารณาสังขาร คือ เข้าสมาบัติถึงไหนก็พิจารณาสังขารถึงนน่ั พจิ ารณาสังขารถึงไหนก็เข้าสมาบัติถึงน่ัน และ ๔) การปฏิบัติเมื่อจิตถูกทำให้ไขว้เขวด้วยธัมมุทธัจจ์ เป็นลักษณะการปฏิบัติที่เกิดขึ้นเม่ือกำลัง พิจารณาสังขารท้ังหลายโดยความเป็นไตรลักษณ์ แล้ววิปัสสนูปกิเลส คืออุปกิเลสแห่งวิปัสสนา ๑๐ อย่าง เกิดข้ึนแก่ผู้ได้วิปัสสนาญาณอ่อนๆ ทำให้ให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิดว่าตนได้บรรลุมรรคผลแล้ว ทำให้ คลาดออกนอกวิปัสสนาวิถีทิ้งกรรมฐานเดิมเสีย ให้พิจารณาวิปัสสนูปกิเลสโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา จนเมื่อสามารถกำจัดวิปัสสนูปกิเลสเหล่านั้นแล้ว จิตก็เข้าสู่วิถีแห่งมรรค ผลนอกจากน้ีแล้ว สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ยังมีความสัมพันธ์กันในแง่ของการบรรลุ ธรรม กล่าวคือ การปฏิบัติวิปัสสนาท่ีมีสมถะนำหน้า หรือการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน เรียกผู้ ปฏิบัติว่า สมถยานิก เม่ือบรรลุธรรมแล้วเป็นพระอริยบุคคล ประเภทอุภโตภาควิมุตติ มีวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ ส่วนการปฏิบัติสมถะที่มีวิปัสสนานำหน้า และการปฏิบัติเม่ือจิตถูกทำ ให้ไขว้เขวด้วยวิปัสสนูปกิเลส เรียกผู้ปฏิบัติว่า วิปัสสนายานิก เม่ือบรรลุธรรมแล้วเป็นพระอริยบุคคล ประเภทปัญญาวิมุตติ เป็นอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสก คัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์วิมุตติมรรคมี ลักษณะเด่นในการนำเสนอเรอื่ งสมถกัมมัฏฐานแตกต่างกัน คือคัมภีร์วสิ ุทธิมรรคนำเสนอเนื้อหาละเอียด ทุกแง่มุม เหมาะสำหรับผู้ที่เร่ิมศึกษาหรือผู้ที่ต้องการรายละเอียดต่างๆ ส่วนคัมภีร์วิมุตติมรรค นำเสนอ เน้อื หาส้ันกระชับตรงประเด็น เป็นลักษณะการถามตอบ เหมาะสำหรบั ผู้ที่ไม่ตอ้ งการรายละเอียดมากนัก ตอ้ งการหลักปฏิบัติล้วนๆ เมอ่ื บูรณาการเน้ือหาของทั้งสองคมั ภีร์เข้าด้วยกันแล้ว เห็นได้ว่าเนื้อหาเป็นไป ในแนวทางเดียวกัน สามารถนำมาเป็นหลกั ในการปฏบิ ตั ิสมถกัมมฏั ฐานได้ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีสอนการพัฒนาตั้งแต่ระดับเบ้ืองต้น คือ พัฒนากาย วาจา และใจกายกับ วาจา พัฒนาด้วยศลี ใจพัฒนาด้วยสมาธิ หรือการปฏิบัตกิ ัมมัฏฐาน จากงานวิจยั นี้ ศึกษาสมถกัมมัฏฐาน ในฐานะเป็นบาทฐานของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ศึกษาว่าสมถกัมมัฏฐานเป็นฐาน หรือช่วยส่งเสริม สนับสนุนวปิ ัสสนากัมมัฏฐานอย่างไร นอกเหนือจากประเด็นทศ่ี ึกษาน้ีแล้ว การปฏิบัติกมั มฏั ฐานสามารถ ปฏิบัติได้แม้จะไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ก็ตามแต่ก็สามารถปฏิบัติเพื่อ ความสงบของจิตใจ เพ่ือให้จิตใจเกิดความสุข มีพลัง มีศักยภาพในการดำเนินชีวิต รูปแบบการปฏิบัติมี ลักษณะสำคัญๆ คือ ปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน แล้วต่อเนื่องไปเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน หรือปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานโดยมีสมถกัมมัฏฐาน เป็นส่วนประกอบส่วนหน่ึงสามารถปฏิบัติได้ตามความเหมาะสม หรือ จริตของแต่ละคน นอกจากน้ีคมั ภีรว์ ิสุทธมิ รรคกับคัมภรี ว์ ิมุตตมิ รรคนบั ว่าเปน็ คู่มือการปฏิบัติกมั มฏั ฐานท่ี สมบูรณ์มากคัมภีร์หน่ึงหากได้ศึกษาอย่างจริงจัง เข้าใจจะเท่ากับว่ามีคู่มือการปฏิบัติที่ดีเยี่ยมคัมภีร์หน่ึง สามารถจะใช้เป็นมาตรฐานตรวจสอบหลักการปฏิบัติได้ดี ข้อเสนอแนะเพ่ือการวิจัยควรมีการศึกษา สมถกัมมัฏฐานในประเด็นอ่นื ๆ เช่น สมถกัมมฏั ฐานในฐานะเป็นบาทฐานแห่งอภิญญา สมถกัมมัฏฐานใน ฐานะเป็นเครอ่ื งมอื พัฒนาคุณภาพชีวติ หรือศึกษาวิปสั สนากัมมัฏฐานในคมั ภรี ์วิสทุ ธมิ รรคกบั คัมภีร์วิมุตติ มรรคจะศกึ ษาในเชงิ เปรียบเทียบ หรือศกึ ษาในเชิงวิเคราะห์ตัวคมั ภีร์โดยตรง
ภาคผนวก ๒๓๗ รหัส ๕๕-๕๕ แบบบนั ทึกข้อมูลงานวทิ ยานพิ นธ์ ชอ่ื วิทยานิพนธ์ รปู แบบผสมผสานการปฏิบตั วิ ปิ ัสสนากรรมฐานตามหลักสติปฏั ฐาน (A mixed model of Vipassana Meditation according to Satipatthana) ผู้วิจัย ภทั รนิธ์ิ วิสุทธิศกั ด์ิ ปริญญา พทุ ธศาสตรดษุ ฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปี ๒๕๕๕ วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพ่ือศึกษาแนวทางการปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาเถรวาท ๒. เพอ่ื วเิ คราะห์รูปแบบการปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐานท่ีนยิ มปฏิบตั ิกันในสงั คมไทยปัจจบุ นั การทบทวน ๓. เพ่ือสร้างรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานที่ผสมผสานวิธีการปฏิบัติ เอกสารและ งานวิจยั ท่ี วิปสั สนากรรมฐานจากรูปแบบตา่ งๆ ที่นยิ มปฏบิ ตั กิ นั ในสังคมไทยปจั จุบนั เกย่ี วขอ้ ง ๑. การศึกษาวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ได้แก่ ความหมายของวิปัสสนากรรมฐาน หลักการของการวิปัสสนาจากหลักฐานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติ ปฏั ฐานในคมั ภีร์ชั้นอรรถกถา การปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานในคัมภีร์อภธิ ัมมัตถ สังคหะ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานในคัมภีร์วิสุทธิมรรค) สาระสำคัญของ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (อารมณ์ของวปิ ัสสนากรรมฐาน ประเภทและขอบเขตของสมาธิท่ีใช้ในวิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานท่ีเหมาะแก่ประเภท ของบคุ คล อปุ สรรคในการปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐาน เปา้ หมายในการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐาน) ๒. การวิเคราะห์รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่นิยมปฏิบัติกันในสังคมไทยปัจจุบัน ได้แก่ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “พุท-โธ” (การเกิดข้ึนของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน รูปแบบ “พุท–โธ” แนวคิดของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “พุท-โธ” วิธีการของการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ “พุท – โธ วิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “พุท– โธ” สรุปการวิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “พุท – โธ”) การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานรูปแบบ “พองหนอ–ยุบหนอ” (การเกิดขึ้นของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “พองหนอ–ยุบหนอ” แนวคิดของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “พองหนอ–ยุบหนอ” วธิ ีการของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ “พองหนอ–ยุบหนอ” วิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานรูปแบบ “พองหนอ–ยุบหนอ” สรุปการวิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “พองหนอ –ยุบหนอ”) . การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “เจริญสติรู้การเคลื่อนไหว” (การเกิดขึ้นของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน รูปแบบ “เจริญสติรู้การเคลื่อนไหว” แนวคิดของ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน รูปแบบ “เจรญิ สติรูก้ ารเคล่ือนไหว” วิธีการของการปฏิบตั ิวิปสั สนา กรรมฐาน รูปแบบ “เจริญสติรู้การเคล่ือนไหว” วิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน รูปแบบ “เจริญสติรู้การเคล่ือนไหว” สรุปการวิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “เจริญสติรู้ การเคล่ือนไหว”) . การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานรปู แบบ “ปรมัตถภาวนา” (การเกิดข้ึนของการ ปฏิบัติวิปัสสากรรมฐานรูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” แนวคิดของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน รูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” วิธีการของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ “ปรมัตถภาวนา” วิเคราะห์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานรูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” สรุปการวิเคราะห์การปฏิบัติ วิปสั สนากรรมฐานรปู แบบ “ปรมตั ถภาวนา”)
ภาคผนวก ๒๓๘ นยิ ามศัพท์ ๓. การสร้างและทดลองรูปแบบผสมผสานวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐาน ได้แก่ การสร้างเคร่ืองมือทใี่ ช้ในการทดลอง (การสร้างรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ ผสมผสานรูปแบบ การปฏิบัติ หลายรูปแบบ สร้างแบบประเมินผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรฐาน แบบผสมผสาน) การทดลองใช้รูปแบบผสมผสานวิธกี ารปฏิบัติวิปสั สนากรรมฐาน ตามหลกั สติ ปัฏฐาน (ประชากรเปา้ หมาย การออกแบบการทดลอง การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การวิเคราะห์ผล ของการวจิ ยั การวัดผลการวิจยั ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู (สว่ นท่ี ๑ : ลักษณะทางประชากร ส่วนที่ ๒ : การเปรียบเทียบความเข้าใจท่ัวไป ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ก่อน และหลังการฝึกอบรม ส่วนท่ี ๓ : ความเข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนท่ี ๔ : ความ เข้าใจเรื่องรูป-นาม,ไตรลักษณ์ (ตามลำดับ ของวิปัสสนาญาณข้ันต้น “ตรุณวิปัสสนา”) สว่ นท่ี ๕ : เปรียบความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลกั สติปัฏฐานด้วยรูปแบบต่างๆ ที่นิยมใช้กัน ในสงั คมไทยในปจั จบุ ัน การวิเคราะหผ์ ลของการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานตามหลักสติปฏั ฐาน ด้วย รปู แบบผสมผสาน) ) ๑. รูปแบบ หมายถึง ส่ิงที่แสดงโครงสร้างของความเกี่ยวข้องระหว่างชุดของปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ หรือองค์ประกอบที่สำคัญในเชิงความสัมพันธ์หรอื เหตผุ ลซ่ึงกันและกัน เพ่ือช่วยให้เข้าใจขอ้ เท็จจริง หรอื ปรากฏการณ์ในเร่อื งในเรื่องหนงึ่ โดยเฉพาะ ๒ นอกจากน้ี รปู แบบ ยังหมายถึง ชุดของทฤษฎีท่ี ผ่านการทดสอบความแม่นตรง (Validity) และความน่าเชื่อถอื (Reliability) แล้ว สามารถระบแุ ละ พยากรณ์ระหว่างตัวแปร โดยวิธีการทางคณติ ศาสตร์หรือทางสถิติได้ด้วย ๒. รูปแบบผสมผสานวิธีกรปฏิบัติวิปัสสนกรรมฐน หมายถึง การผสมผสานวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานจากหลายรูปแบบ ทีมีอุบายเฉพาะในแบบของตน หรือมีวิธีการเพื่อเข้าถึงสติปัฏฐาน ๔ ต่างกนั ๓. การปฏบิ ตั ิวิปัสสนากรรมฐาน หมายถงึ การฝึกอบรมกรรมฐานทย่ี ึดหลักการของ สตปิ ัฏฐานใน คัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลักในการปฏิบัติ ๔. สตปิ ฏั ฐาน ๔ หมายถงึ ทต่ี ้ังแห่งการเจริญสติ มี ๔ ฐาน ได้แก่ กาย เวทนา จติ ธรรม อนั เป็นท่ตี ้ังที่ ระลกึ แห่งการฝกี ฝนอบรมจิตใจเกดิ สติ และ ปัญญา รูเ้ ทา่ ทันความเป็นจริงที่ปรากฏในปจั จุบนั ขณะ ๕. ปจั จบุ นั อารมณ์ หมายถงึ อารมณท์ ี่กระทบทางทวารทง้ั ๖ เป็นขณะๆ ในปัจจบุ ัน ๖. ลำดบั ขั้นวิปัสสนาญณเบอื้ งตน้ หมายถงึ ลำดบั ญาณอนั เป็นปัญญาเบ้อื งตน้ (ตรุณ- วิปัสสนา) ของ การเจริญวิปัสสนา ที่เกิดจากการปฏิบัติตามหลัก สติปัฏฐานอย่างถูกต้อง คือตั้งแต่ นามรูปปริเฉท ญาณ จนถงึ ตรณุ อทุ ัพพยญาณ ๗. ปจั จัตตลกั ษณะ หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะทเี่ กิดกบั รปู นามทั้งหลาย ตามสภาวะท่ีมีอยู่ จรงิ ซ่งึ เรียกวา่ ปรมตั ถธรรม ๘. ปรมัตถธรรม หมายถงึ ธรรมทเี่ ป็นปรมัตถ์ ธรรมทเ่ี ป็นประโยชน์สูงสดุ สภาวะทีม่ ีอยู่โดยปรมตั ถ์ สิ่ง ทเ่ี ป็นจริงโดยความหมายสงู สดุ ทางหลักอภธิ รรมวา่ ปรมัตถธรรม ๔ คอื จติ เจตสกิ รปู นิพพาน ๕ ๙. สามัญญลักษณะ หมายถึง ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง ลักษณะสามอาการที่เป็นเครื่อง กำหนดหมายให้รู้ถึงความจริงของสภาวธรรมท้ังหลาย ที่เป็นอย่างนั้นๆ ประการ ได้แก่ . อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง (ทุกขตา ความเป็นทุกข์ หรือความเป็นของทนอยู่ไม่ได้ . อนัตตา ความเป็น ของมิใช่ตวั ตน) ๑๐. ตรุณวิปัสสนา หรือ อุทัพพยญาณอย่างอ่อน หมายถึง ญาณท่ผี ู้ปฏิบัติตั้งอยู่โดยอาการอย่างนี้ว่า “สิ่งที่มีความ เส่ือมไปเป็นธรรมดานั่นแลย่อมเกิดขึ้น และส่ิงที่เกิดขึ้นแล้วย่อมถึง ความเสื่อมไป”
ภาคผนวก ๒๓๙ ประชากรและ เรียกว่า บรรลุวิปัสสนาญาณอย่างอ่อนๆ นับว่าเป็น ผู้ปรารภวิปัสสนาแล้ว คือได้ปฏิบัติวิปัสสนา กล่มุ ตัวอยา่ ง อย่างถูกตอ้ งแลว้ วิธดี ำเนนิ งาน จำนวนผู้เข้ารับการทดลอง ๒๐ คน แบ่งทดลอง ๒ คร้ัง ครั้งแรก ๘๐ คน ครั้งที่สอง ๔๐ คน สถานที่ วจิ ัย ทดลอง ๒ คร้งั คร้ังแรก ณ ตน้ บุญธรรมสถาน อำเภอหนองมน จังหวดั ชลบุรี คร้ังท่ี ๒ ณ อาศรมมาตา อำเภอ ปักธงชยั จังหวัดนครราชสมี า ระยะเวลาศึกษาและทดลอง ผวู้ ิจยั ศึกษาในเร่ืองเกย่ี วกับวิปัสสนา เครอื่ งมอื ที่ใช้ใน กรรมฐาน เพ่ือเป็นพ้ืนฐานในการทาวิจัยคร้ังนี้ นับแต่เริ่มต้นศึกษาในปีพุทธศักราช ๒๕๕๒–๒๕๕๔ การวิเคราะห์ ตลอดระยะเวลาศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติ รวม ๔ ปี และระยะเวลาท่ีใช้ในการทดลอง ๒ คร้ัง แบ่งเป็น การทดลองคร้ังแรก ใช้เวลา ๗ วัน (๘–๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔) และการทดลองคร้ังทส่ี อง ใชเ้ วลา ๕ วัน (๔–๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔) ผู้วิจัยจะนำข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาและวิเคราะห์มาดำเนินการ เพื่อสร้างรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานแบบผสมผสานฯ ดังนี้ ๑. สร้างรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนำกรรมฐำนตำมหลักสติปัฏฐาน แบบผสมผสาน ๔ รูปแบบที่ผู้วิจัยเลือกศึกษาวิเคราะห์ จากนั้นนำรูปแบบจำลองท่ีสร้างข้ึนไปให้ วิปัสสนาจารย์ท้ังพระภิกษุและฆราวาส ตรวจสอบคุณภาพและให้ได้ความถูกต้องของเนื้อหา ๒. สร้าง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย (แบบประเมินผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสาน) แบ่งเป็นแบบ ประเมินชุดท่ี . ประเมินผลท้ังก่อนปฏิบัติ (pre-test) และหลังปฏิบัติ (post-test) เพ่ือวัดความเข้าใจใน การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ซ่ึงจำแนกวัดความเข้าใจ ๔ ประการ ดังน้ี ๑) ความ เข้าใจทั่วไปในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๒) ความเข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ๓) ความเข้าใจเรื่องรูป นาม และไตรลักษณ์ (ลำดับของวิปัสสนาญาณขั้นต้น) ๔) ความ เขา้ ใจการปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบผสมผสานวิธีการต่างๆทน่ี ิยมใช้กันใน สังคมไทยในปัจจุบัน แบบประเมินชุดท่ี ๒ ประเมินผลเฉพาะหลังการปฏิบัติ (post-test) เพื่อวัดความ พึงพอใจในการปฏิบัติวิปสั สนากรรมฐานตามหลักสติปฏั ฐาน ดว้ ยรปู แบบผสมผสานวิธีการตา่ งๆที่นิยมใช้ กันในสังคมไทยในปัจจุบัน ๓. หาค่าความเชื่อม่ัน โดยนำไปทดลองใช้ (try-out เครื่องมือ) กับผู้ ปฏิบัติ ณ บ้านสวนรีสอร์ต อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จากนั้นจึงนำไปทดลองใช้กับ ผู้สมัครเข้ารับการอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จานวน ๒๐ คน โดยทดลองจัดการอบรม ๒ คร้ัง ดงั กล่าวข้างต้น ๔. ดำเนินการทดลอง โดยจัดอบรมวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ๒ คร้ังตามวัน และสถานทที่ ีก่ ำหนดไว้ จากน้นั นำผลการทดลองมาวเิ คราะห์ สรุป อภปิ รายผล ตวั แปรท่ีจะศึกษา ๑. ตัวแปรต้น ได้แก่ แบบจำลองการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏ ฐาน แบบผสมผสานรูปแบบต่างๆท่ีนิยมปฏิบัติกันในสังคมไทยปัจจุบัน ๒. ตัวแปรตาม ได้แก่ การเพิ่ม ความเข้าใจ และประสบผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน รวมท้ังการมี ความพึงพอใจในการปฏบิ ัติวิปัสสนา-กรรมฐานตามหลกั สตปิ ัฏฐาน ด้วยรูปแบบผสมผสานวิธกี ารต่างๆที่ นยิ มใชก้ นั ในสังคมไทย ในปัจจบุ ัน การศึกษาวิจัยที่ผสมผสานระหว่างระเบียบวิธีวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) และ วิธีการ วิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ขอบเขตการศึกษาดังน้ี ๑ ขอบเขตการวิจัยเชิงเอกสาร ๑. ศกึ ษาค้นควา้ เนือ้ หาเรอื่ งวิปัสสนากรรมฐานทยี่ ึดหลกั สตปิ ัฏฐาน ในคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท คือคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และเน้นเฉพาะคัมภีร์ที่ใช้เป็นพ้ืนฐานหลักในการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ได้แก่ คัมภีร์มหาสติปัฏฐานสูตร วิสุทธิมรรค และ อภิธัมมัตถสังคหะ ๒. ศึกษาค้นคว้าและ วิเคราะห์วิธีการสอนวิปัสสนกรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน เฉพาะ ในรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานท่ีได้รับความนิยมในประเทศไทยปัจจุบัน ๔ รูปแบบ ดังนี้ ๑) รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนา
ภาคผนวก ๒๔๐ การวิเคราะห์ กรรมฐานแบบ “พุท-โธ” ๒) รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบ “พอง-ยุบ” ๓) รูปแบบการ สรุปผลการวิจัย ปฏบิ ตั ิวิปัสสนากรรมฐานแบบ “เจรญิ สติรกู้ ารเคลอ่ื นไหว” ๔) รปู แบบการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานแบบ “ปรมตั ถภาวนา” ๑. รปู แบบที่ผสมผสานวิธีการปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถเพิม่ ความเข้าใจใน การปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐานตามหลักสตปิ ฏั ฐานไดด้ ยี ิ่งข้ึน ๒. รูปแบบท่ีผสมผสานวธิ ีการปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานจากหลายรปู แบบสามารถสร้างสมั ฤทธิ์ผลใน การปฏบิ ัตใิ หแ้ ก่ผเู้ ข้าอบรมได้ตามลาดบั แหง่ วปิ ัสสนาญาณเบ้อื งต้น ๓. รปู แบบท่ีผสมผสานวิธกี ารปฏบิ ตั ิวิปัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถสรา้ งความพึงพอใจ ในการปฏิบัตใิ หเ้ กิดแกผ่ ้เู ข้าอบรม ๑ สรปุ ผลการวิจัย การศึกษารูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสตปิ ัฏฐาน เป็นงานวิจัย ท้ังเชิงเอกสาร (Documentary Research) และท้ังเป็นงานวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาเถรวาท และเพ่ือ วิเคราะห์รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่นิยมปฏิบัติกันในสังคมไทยปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อสร้าง รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ที่ผสมผสานวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากรูปแบบต่างๆ ที่นิยมปฏิบัติกันในสังคมไทยปัจจุบัน โดยมีขอบเขตของการค้นคว้าเอกสารท่ีคัมภีร์ พระไตรปิฎก อรรถกถา และปกรณ์ โดยเฉพาะเน้นคัมภีร์ที่ใช้เป็นพ้ืนฐานหลักในการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ได้แก่ คัมภีร์มหาสติปัฏฐานสูตร วิสุทธิมรรค และ อภิธัมมัตถ สังคหะ และขอบเขตของ การศึกษาค้นคว้า และวิเคราะห์วิธีการสอนวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน เพื่อนำมาสร้าง รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานรูปแบบต่างๆ ท่ีได้รับความนิยมในประเทศไทย ปัจจุบัน ผลการศึกษามีดังนี้ ประเด็นแรก แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนา เถรวาท เริม่ ปรากฏในมหาสติปฏั ฐานสูตร ซ่ึงปรากฏอยู่ในคัมภีรท์ ีฆนิกาย มหาวรรค นับวา่ เป็น ทฤษฎี ต้นแบบท่ีเก่ียวกับการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน และพบหลักฐานในขุททกนิกาย มหานิทเทส กล่าวถึง วิปัสสนาว่าด้วยการพิจารณาด้วยปัญญา หรืออนุปัสสนา ๗ ประการ ต่อมาวิปัสสนากรรมฐานได้ถูก อรรถาธิบายในชั้นอรรถกถาลงมา คัมภีร์ท่ีมีชื่อเสียงและมักถูกใช้เป็นหลักในการนำมาประยุกต์ใช้ใน ปัจจุบัน คือ คัมภีร์วิสุทธิมรรค นี้มีเนื้อหาเน้นลำดับขั้นตอนของปัญญาคือความวิสุทธิของศีล สมาธิ และปัญญา และกล่าวถึงการตรวจสอบผลการปฏิบัติตาม ลำดับญาณ ต่อมาในคัมภีร์พระอภิธัมมัตถ สังคหะ ซึ่งกล่าวถึงสภาวธรรมล้วนๆ ไม่อ้างเร่ืองราว สัตว์ บุคคล อ้างแต่สภาวะปรมัตถ์ของ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ได้ถูกนามาใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยการให้การกำหนดรู้รูป รู้นาม ตาม สภาวะที่เป็นจริง หรือเรียกว่ากำหนดปรมัตถธรรมท่ีเกิดขึ้นในปัจจุบัน ประเด็นที่สอง การวิเคราะห์ รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานท่ีนิยมปฏิบัติกันในสังคมไทยปัจจุบัน ผู้วิจัยมุ่งศึกษาวิเคราะห์ รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๔ รูปแบบคือ รูปแบบ “พุท-โธ”, รูปแบบ “พอง-ยุบ”, รูปแบบ “เจริญสติรู้การเคล่ือนไหว” และ รูปแบบ “ปรมัตถ-ภาวนา” พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานใน ประเทศไทยในปัจจุบันกาลงั เปน็ ทนี่ ิยม มกี ารจดั อบรมปฏิบตั ธิ รรมกันอย่างกวา้ งขวาง จนเกิดเป็นรปู แบบ การปฏิบัติมากมาย ซ่ึงเกิดจากการคิดค้นวธิ ีการต่างๆ เพื่อเป็นอุบายในการฝกึ ปฏิบัติ ซ่ึงแต่ละรูปแบบ ก็มีหลักการ และวิธีการในการปฏิบัติแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ รูปแบบ“พุท-โธ”เป็นรูปแบบที่มี อบุ ายใหร้ ู้ลมหายใจท่ชี ่องจมูกเป็นหลกั ของกรรมฐานและใหบ้ ริกรรมว่า “พทุ -โธ”ไปดว้ ยเพื่อให้ ใจแนบ อยู่กับอารมณ์กรรมฐาน เป็นอารมณ์หลกั และกำหนดรู้อารมณ์ต่างๆ ท่ีเกิดแทรกทัง้ ๖ ทวาร หรือท้ัง ๔ ฐานแห่งสติปัฏฐาน โดยเฉพาะฐานจิตไปด้วย รูปแบบ“พอง-ยุบ”เป็นรูปแบบที่มีอบุ ายให้รู้ลมหายใจที่
ภาคผนวก ๒๔๑ ปรากฏเป็นหน้าทอ้ ง“พอง - ยุบ”เปน็ อารมณ์หลักของกรรมฐานและใหบ้ ริกรรมว่า “พอง-ยุบ” ไปดว้ ย เพ่ือให้ใจแนบอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน ในขณะเดียวกันก็ให้เจริญสติระลึกไปในสติปัฏฐานท้ัง ๔ ด้วย รูปแบบ “เจริญสติรู้การเคล่ือนไหว” เป็นรูปแบบที่มีอุบายให้รู้การเคลื่อนไหวในแบบที่สร้างขึ้นเป็น จงั หวะ ๑๕ จังหวะ เป็นหลักของการปฏิบัติ เพ่ือให้ใจน้อมไปรู้อิริยาบถย่อยต่างๆ อย่างต่อเน่ือง และ ทำให้กำหนดรู้ที่ฐานอ่ืนๆ แห่งสติปัฏฐาน ๔ ได้ชัดเจนรูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” เป็นรูปแบบที่มี อบุ ายให้รู้สภาวธรรมที่ปรากฏตามจรงิ “ปรมัตถธรรม” คือรูป–นามท่ีปรากฏในปัจจุบันเฉพาะหน้าใน ฐานทัง้ ๔ ของสติปัฏฐาน ทุกรปู แบบของการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานที่ผู้วจิ ัยเลือกศึกษาวิเคราะห์ ต่าง ก็ยึด สตปิ ฏั ฐานเปน็ หลกั ในการปฏบิ ัติ โดยมกี ารประยุกต์วิธีการจากบรรพตา่ งๆ กนั ดงั น้ี รูปแบบ “พุท-โธ” ยึดอานาปานสติต้นลม และจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นหลักในการ กำหนดรู้ รูปแบบ “พอง-ยุบ” ยึดอานาปานสติ ปลายลม อิริยาบถใหญ่ อิรยิ าบถย่อย และธาตุมนสกิ าร บรรพ เป็นหลักในการกาหนดรู้ รวมทั้งยึดวิปัสสนาญาณในคัมภีร์วิสุทธิมรรค เพ่ือตรวจสอบการปฏิบัต รูปแบบ “เจรญิ สติรู้การเคล่ือนไหว” ยดึ กายานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน สมั ปชญั ญะบรรพ เป็นหลกั ในการกา หนดสติ รูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” ยึดจิตตานุปัสสนาสติปัฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ คัมภีร์ อภิธัมมัตถสังคหะ ด้วยการนำ รูป–นามปรมัตถ์ ไตรลักษณ์ เป็นหลักในการกำหนดรู้จะเห็นได้ว่า ทุก รปู แบบข้างตน้ ล้วนมีวธิ ีการที่ให้เจริญสตริ ะลึกรไู้ ปใน รปู -นาม ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ทวาร ๖ ทง้ั สิ้น จงึ นับ ได้ว่าทุกรูปแบบอิงอยู่กับหลักสติปัฏฐาน ซึ่งในแต่ละแบบจะมี ข้อเด่น หรือข้อจำกัดที่ควรสังเกตและ ระวังต่างกัน และมีวิธีการสอนท่ีเน้นในจุดต่างกัน เช่น รูปแบบพุท-โธ เน้นอานาปานบรรพะ ในกายา นุปัสสนาเป็นหลัก โดยมอี ุบายให้ใจสงบก่อน (สมถะนา วิปสั สนาตาม) รูปแบบพอง-ยุบ เน้นตามดูกายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยให้ใช้คาบริกรรมในทุกการเคล่ือนไหว และรู้สึก รูปแบบเจริญสติรู้การ เคลื่อนไหวเน้นกายานุปัสสนา สติปัฏฐาน ในหมวดสัมปชัญญะบรรพ โดยไม่มีการให้นั่งสมาธิ ไม่มีองค์ บริกรรม (มีแต่การนับจงั หวะ ๑๕ จงั หวะของท่าทางท่ีสร้างขึ้น) รปู แบบปรมัตถภาวนา เน้นจิตตานุปสั ส นาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยเน้นการให้ความรู้ปริยัติธรรมในเร่ืองรูป-นามปรมัตถ์ ไตรลักษณ์ ให้เข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ เป็นต้น รูปแบบต่างๆที่กล่าวมาน้ี แม้จะยึดสติปัฏฐาน ๔ ในบาง หมวดเป็นแม่บท หรอื เป็นอารมณ์หลักเท่านั้น แตก่ ็มักใช้เป็นอุบายให้น้อมรู้ในฐานอ่ืนๆ เป็นอารมณ์รอง ตามมาด้วยในที่สุด พบว่า ทุกรูปแบบใช้กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอารมณ์หลัก ด้วยเหตุผล เดียวกัน คือ เป็นอารมณ์หยาบ กำหนดรู้ได้ชัดเจน สามารถรู้หรือเห็นต่อเนื่อง เมื่อเห็นอารมณ์ทาง กายไดช้ ดั ก็จะน้อมไปรู้ เวทนา จิต ธรรมไปดว้ ย เรียกได้ว่า เจริญสติครบท้ัง ๔ ฐานโดยแท้ ประเด็นท่ีสาม เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยได้ดาเนินการโดยสร้างเคร่ืองมือท่ีใช้ในการ ทดลอง คือ รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานรูปแบบการปฏิบัติหลายรูปแบบที่ ผู้วิจัยเลือกศกึ ษาวิเคราะห์ และสร้างแบบประเมินผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ท้ังน้ี รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ และแบบประเมินผลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้ผ่านการ ตรวจหาความถูกต้องของเนื้อหาจากวิปัสสนาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญท้ังด้านภาษาและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการ จดั การอบรมวิปัสสนากรรมฐาน รวมทั้งได้หาค่าความเชอ่ื ม่ันของเคร่ืองมือ โดยนำไปทดลองใช้เครอ่ื งมือ (try–out) กับผู้สนใจเข้าปฏิบัติธรรม จานวน ๓๐ คน ณ บ้านสวนรีสอร์ต อำเภอเมืองฯ จังหวัด อบุ ลราชธานี ก่อนนาไปใช้ทดลองจริง การวิจัยเชิงทดลอง ประชากร คือ ผู้สนใจเข้าอบรมท่ีสมัคร เข้าร่วมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จำนวน ๑๒๐ คน โดยจัดแบ่งการอบรมปฏิบัติเป็น ๒ กลุ่มดังนี้ กลุ่มท่ี ๑ จำนวน ๘๐ คน เข้าปฏิบัติธรรม ณ ต้นบุญธรรมสถาน อำเภอหนองมน จังหวัดชลบุรี กลุ่มท่ี ๒ จานวน ๔๐ คน เข้าปฏิบัติธรรม ณ อาศรมมาตา อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา การ
ภาคผนวก ๒๔๒ ดำเนินการทดลองเริ่มท่ีผู้วิจัยช้ีแจงเรื่องการทดลองปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ เพื่อทำ การวิจัยพร้อมทั้งขอความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสอบถามก่อนการวิจัย ด้วยแบบประเมินผลก่อน การฝึกอบรม (pre–test) จากน้ันทำการอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ด้วย รูปแบบผสมผสานการปฏิบัติหลายรูปแบบ คือ “พุท–โธ” “พองหนอ–ยุบหนอ” “เจริญสติรู้กาย เคลื่อนไหว” และ “ปรมัตถภาวนา” สุดท้ายจึงทำการการทดสอบหลังการอบรมด้วยแบบประเมินผล หลังการฝึกอบรม (post–test) เพ่ือวัดความเข้าใจ และวัดความพึงพอใจในการปฏิบัติด้วยรูปแบบการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ทั้งน้ีใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเพ่ือการวิจัยทาง สังคมศาสตร์ในการวิเคราะห์ผลของการวิจัยโดยใช้สถิติ Frequency Statistics ในการวิเคราะห์ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ และใช้สถิติ T- test ในการวิเคราะห์ผลความแตกต่างระหว่างก่อน และหลังการเข้าปฏิบตั ธิ รรม ว่ามีการเปลยี่ นแปลงอย่าง มนี ยั สำคัญหรือไมท่ ้ังนี้เพ่ือวัดความเข้าใจและวัด ความพึงพอใจในการปฏิบัติด้วยรูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ในประเด็นต่างๆ คือ ๑.วัดความเข้าใจ ๔ ด้าน ดังนี้ ๑) วัดความเข้าใจท่ัวไปในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลัก สติปัฏฐาน ๒) วัดความเข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๓) วัดความเข้าใจเรื่องรูป นาม และ ไตรลักษณ์ (ลำดับของวิปัสสนาญาณข้ันต้น) ๔) วัดความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลัก สติปัฏฐานด้วยรูปแบบ ต่างๆที่นิยมใช้กันในสังคมไทยในปัจจุบัน ๒. วัดความพึงพอใจในการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบต่างๆที่นิยมใช้กันในสังคมไทยในปัจจุบัน ผลการ ทดลองมดี งั นี้ ๑ การเพิ่มความเข้าใจ ผลการทดลองได้ตอบ สมมติฐานท่ี ๑ คือ รูปแบบที่ผสมผสานวิธีการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบ สามารถเพิ่มความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลัก สติปัฏฐานได้ดียิ่งขึ้น ดังนี้ (๑) ความเข้าใจท่ัวไปในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลัก สติปัฏฐาน ผลการทดลองพบว่า ผู้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานตามรูปแบบ ผสมผสานมีความเข้าใจทั่วไปในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานฯ เพ่ิมขึ้นจากเดิม คือ ก่อนการอบรมมี คะแนนเฉล่ียรวมได้ ๐.๔๕ และหลังการอบรมเพ่ิมเป็น ๐.๖๓ และได้คา่ P Value เท่ากบั ๐.๐๐ แสดง วา่ ความเข้าใจทั่วไปในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลกั สติปัฏฐานของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและ หลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (๒) ความเข้าใจวิธีการปฏิบัตวิ ิปัสสนา กรรมฐาน ผลการทดลองพบวา่ ผเู้ ข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานตามรูปแบบผสมผสาน มีคะแนนเฉลี่ยภาพรวมของความเข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ดังน้ี ๑) ขณะเดินจงกรม ได้ คะแนนเฉล่ียเพ่ิมขึ้น (จาก ๐.๖๒ เป็น ๐.๗๕) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจ ท่วั ไปในการปฏิบตั วิ ิปสั สนากรรมฐานตามหลกั สตปิ ัฏฐานขณะเดนิ จงกรมของผ้เู ข้ารับการอบรมก่อนและ หลังการฝึกอบรมมคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ๒) ขณะน่ังสมาธิ ได้คะแนนเฉล่ียเพ่ิมขึ้น (จาก ๐.๖๓ เป็น ๐.๗๙) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจวิธีการการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานขณะนั่งสมาธิของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกัน อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิ ๓) ขณะกำหนดอิริยาบถย่อย ได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น (จาก ๐.๕๘ เปน็ ๐.๗๒) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขณะกาหนด อิริยาบถย่อยของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทาง สถติ ิ (๓) ความเข้าใจการปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสตปิ ัฏฐานด้วยรปู แบบต่างๆ ท่ีนิยมใช้ กนั ในสงั คมไทยในปัจจุบัน ผลการทดลองพบว่าความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติ
ภาคผนวก ๒๔๓ ปัฏฐานด้วยรูปแบบต่างๆ เพ่ิมข้ึน ดังน้ี ๑) ความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยรูปแบบ “พุท–โธ” ผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ “พุท– โธ” มากขึ้น (ได้คะแนนเฉล่ียเพ่ิมจาก ๒.๙๓ เป็น ๓.๔๐) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่า ความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ “พุท – โธ” ของผู้เข้ารับการ อบรมก่อนและหลังการฝกึ อบรมมีความแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ ๒) ความเขา้ ใจการปฏบิ ัติ วิปัสสนากรรมฐานด้วยรูปแบบ “พอง – ยุบ” ผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสตปิ ัฏฐานดว้ ยรูปแบบ “พอง – ยุบ” มากข้นึ (ได้คะแนนเฉล่ียเพิ่มจาก ๒.๘๘ เป็น ๓.๑๓) และ ได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วย รูปแบบ “พอง – ยุบ” ของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัย สาคัญทางสถิติ ๓) ความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยรูปแบบ “เจริญสติรู้การ- เคลื่อนไหว” ผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ “เจริญสติรู้การเคล่ือนไหว” มากข้ึน (ได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มจาก ๒.๖๕ เป็น ๓.๔๘) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ “เจริญ สติรู้การเคล่ือนไหว” ของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกันอย่างมี นยั สำคญั ทางสถิติ ๔) ความเข้าใจการปฏบิ ัติวปิ ัสสนากรรมฐานด้วยรูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” ผู้เข้า อบรมมีความเข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” มาก ขึ้น (ได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มจาก ๒.๖๒ เป็น ๓.๕๑) และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ “ปรมัตถ-ภาวนา” ของผู้เข้ารับการอบรม ก่อนและหลงั การฝกึ อบรมมคี วามแตกต่างกันอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ การเพิ่มผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานซึ่งเจริญตามลาดับของ วิปัสสนาญาณขั้นต้น ผลการทดลองได้ตอบสมมติฐานที่ ๒ คือ รูปแบบที่ผสมผสานวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิในการปฏิบัติให้แก่ผู้เข้าอบรมได้ตามล ำดับ แห่งวิปัสสนาญาณเบ้ืองต้น ดังนี้ ผู้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานตามรูปแบบ ผสมผสานมีคะแนนเฉลี่ยภาพรวมของความเข้าใจเร่ืองรูป-นาม ,ไตรลักษณ์ (ตามลำดับของวิปัสสนา ญาณขั้นต้น “ตรุณวิปัสสนา”) ได้คะแนนเพ่ิมข้ึนจาก ๐.๗๑ เป็น ๐.๗๘ และได้ค่า P Value เท่ากับ ๐.๐๐ แสดงว่าความเข้าใจเร่ืองรูป-นาม, ไตรลักษณ์ (ตามลำดับของวิปัสสนาญาณข้ันต้น “ตรุณ วิปัสสนา”) ของผู้เข้ารับการอบรมก่อนและหลังการฝึกอบรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ การสร้างความพึงพอใจในการปฏิบตั ิวิปสั สนากรรมฐานตามหลกั สติปัฏฐานด้วยรูปแบบต่างๆ ที่นิยมใช้กันในสังคมไทยในปัจจุบัน ผลการทดลองได้ตอบสมมติฐานท่ี ๓ คือ รูปแบบการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบสามารถสร้าง ความพึงพอใจในการปฏิบัติให้เกิดกับผู้เข้าอบรม ดังนี้ ความพึงพอใจในการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐาน รูปแบบผสมผสานของผู้เข้าฝึกอบรมอยูใ่ นระดับมาก คือมีคา่ เฉลี่ย ๔. ๑๘ นอกจากน้ี ผลการวเิ คราะห์ ยังพบจากแบบสอบถามปลายเปิด ว่า รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสาน เป็น รปู แบบท่ีสร้างความพึงพอใจให้ผู้เขา้ อบรมปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐานฯ ท้ังในด้าน ๑)การฟังธรรมจากองค์ บรรยาย ที่อธิบายได้ดี ละเอียด เข้าใจง่าย พูดเรื่องยากให้เข้าใจได้ชัดเจน ๒)การแนะนาการปฏิบัติของ วิทยากร อธิบายการปฏิบัติใน รูปแบบต่างๆได้ดี ทำให้เข้าใจวิธีปฏิบัติหลายรูปแบบ และทาให้การ สำรวมกาย วาจา ใจ และฝึกให้รู้ตัวอยู่เสมอ ๓) การสอบอารมณ์ของวิปัสสนาจารย์ ทำให้ได้ซักถาม เรื่องที่ยังไม่เข้าใจให้เข้าใจถูกต้องขึ้น ทำให้เพ่ิมศรัทธาและวิริยะ ๔) ประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติ
ภาคผนวก ๒๔๔ วิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานหลายรูปแบบ ทำให้รู้จักตนเอง และได้รู้ว่าหลักสำคัญท่ีสุดคือการ กำหนดรู้ด้วยสติเหมือนกัน ทุกวิธีสามารถนาไปเจริญสติได้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล แต่ละ โอกาส ทำให้รู้จักเลือกว่าแบบไหนเหมาะกับจริตของตน นับว่าทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของการปฏิบัติทุก รปู แบบ ที่สามารถนาไปประยกุ ต์ใชไ้ ด้ในทุกสานักปฏิบัติธรรม และทกุ ท่ี ๕) ความไม่พอใจ หรืออุปสรรค ในการปฏิบัติวิปสั สนากรรมฐานแบบผสมผสานหลายรูปแบบเข้าดว้ ยกัน ส่วนใหญ่มีแต่ความพอใจในการ ปฏิบัติ มีบางท่านที่บอกว่าตอนแรกๆ ยังสับสน เพราะรวมกันหลายแบบ แต่เมื่อเข้าใจก็ทำให้สามารถ เลือกได้วา่ ตนเหมาะสมกับรูปแบบใด ผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้น สามารถอภิปรายผลได้ว่า การที่ผู้ตอบแบบสอบถาม หรือผู้เข้ารับการ อบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานมีความเข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลกั สติ ปัฏฐานเพิ่มขึ้น และประสบผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานฯ ตามลาดับญาณเบื้องต้น (ตรุณ วิปัสสนา) รวมท้ังมีความพึงพอใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานด้วยรูปแบบ ผสมผสานวิธกี ารต่างๆที่นิยมใช้กันในสงั คมไทยในปัจจบุ ัน น่าจะประกอบดว้ ยเหตุผลดังต่อไปนี้ ๑ การ เพ่ิมความเข้าใจ เกิดขึ้นเพราะกระบวนการจัดอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ท่ีผู้วิจัย จดั ใหม้ ีการอธิบายปริยัติธรรมทจี่ าเป็นและเก่ียวขอ้ งกับการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ทัง้ ๔ ฐาน จากองค์บรรยายที่มากดว้ ยความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม ในทุก รูปแบบท่ีผู้วิจัยเลือกนามาผสมผสาน เม่ือผู้เข้าอบรมได้รับสัปปายะท้ังปวง โดยเฉพาะธรรมสัปปายะ บุคคลสัปปายะ จึงทาให้เอื้อต่อความเข้าใจ และนามาสู่ภาคปฏิบัติได้ด้วยความเข้าใจ ดังจะเห็นได้ว่า ความเข้าใจท่ัวไปเกือบทุกข้อ อาทิ ความเข้าใจความหมายของรูป-นาม การสารวมอินทรีย์ ทวาร ๖ อารมณ์ ๖ มีค่าเฉลี่ยเพ่ิมข้ึนในทุกข้อ ยกเว้น ความเข้าใจเรื่องการกำหนดทันปัจจุบัน ท่ีมีค่าเฉล่ียลดลง เพียง ๐.๐๑ เพราะการกาหนดให้ทันปัจจุบันเป็นเรอ่ื งความต้ังใจกาหนดรู้ของผู้ปฏิบัติเอง และเป็นข้อที่ ทาได้ยากย่ิง และอาจมีอุปสรรคท่เี กิดจากประสบการณ์เดมิ ในการปฏิบัติของผู้เข้าอบรมท่เี คยปฏิบัติโดย มีองค์บริกรรมแบบต่างๆ มาก่อน เมื่อมาปฏิบัติในรูปแบบผสมผสาน ทำใหก้ ารกำหนดรู้ให้ทันปัจจุบัน ในรปู แบบที่ไมเ่ คยทำมากอ่ น ทำได้ยาก สำหรับความเข้าใจเก่ยี วกับการเดินจงกรม และการนัง่ สมาธิ ทุก ขอ้ มคี ่าเฉลี่ยของคะแนนเพิ่มข้ึน ยกเว้นการกำหนดอิริยาบถย่อย มีข้อเดียวที่ได้คะแนนความเข้าใจลดลง เพียง ๐.๐๒ คือ ความเข้าใจสภาวะของ “รูป” ในขณะกำหนดอิริยาบถย่อย ท้ังน้ีเป็นเพราะในขณะ กำหนดอิริยาบถย่อย จะมีสภาวะของรูปปรากฏมากมายตลอดเวลา จึงยากยิ่งท่ีจะกำหนดรู้ได้ต่อเน่ือง ซ่ึงก่อนการปฏิบัติอาจเข้าใจผิด หรือไม่มีความรู้เรื่อง “สภาวรูป” ท่ีพึงเห็นได้ ว่ามีเพียงวิสยรูป ๗ หรือ โคจรรูป ๗ มาก่อน จึงคิดว่าเคยกำหนดรู้ได้ดี (เคยบริกรรมได้ว่า ยก จับ ไป ถึง ลง ถูก...เป็นตน้ ) เม่ือมา ปฏิบัติหลายรูปแบบโดยให้ระลึกรู้สภาวะของรูปท่ีปรากฏจริงในทุกสัมปชัญญะ จึงเกิดความไม่แน่ใจว่า ทำได้ถูกต้องมาก-น้อยประการใด ผลของคะแนนจึงออกมาลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าค่าของคะแนนท่ีได้ เป็นคะแนนที่ได้จากความเข้าใจของผู้ปฏิบัติจริงๆ เพราะมีเหตุปัจจัยท่ีหนุนเนื่อง เป็นเหตุเป็นผลอย่าง แท้จริง ส่วนการเพ่ิมความเข้าใจในการปฏิบัติด้วยรูปแบบต่างๆ ท่ีนิยมใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน ปรากฏว่าทุกรูปแบบ คือ รูปแบบ “พุท–โธ” รูปแบบ “พอง– ยุบ”รูปแบบ “เจริญสติรู้กาย เคล่ือนไหว” และรูปแบบ “ปรมัตถภาวนา” ที่พบว่าผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจในการปฏิบัติ ได้คะแนน เฉล่ียเพิ่มขึ้นในทุกข้อของทุกรูปแบบ แสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้ปฏิบัติได้เข้าใจถ่องแท้ถึงหลักการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน คือรู้จักค่าที่เป็นจริงของอารมณ์กรรมฐาน ที่แทรกอยู่ในทุก รูปแบบของการปฏบิ ัติแล้ว ทาให้เกิดความเข้าใจมากขน้ึ จึงไม่ยึดติดท่รี ูปแบบ แตย่ ึดหลักการแห่งสติปัฏ
ภาคผนวก ๒๔๕ ฐาน เม่อื หลักยึดถกู ตอ้ ง ยอ่ มปฏบิ ัตไิ ดด้ ีในทุกรปู แบบ ผลของคะแนนจึงเพม่ิ ขน้ึ ในทุกขอ้ การเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิ หลังการอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ผู้เข้าอบรมเกิด สัมฤทธิผลตามลำดับญาณเบื้องต้น (ตรุณวิปัสสนา) เพราะสืบเน่ืองจากความเข้าใจปริยัติอย่างชัดเจน ถ่องแท้ ดังกล่าวข้างต้น ทำให้นำมาปฏิบัติได้อย่างถูกต้องนับแต่เริ่มต้นปฏิบัติ ไม่ว่าจะมีพื้นฐาน การศึกษาในระดับใด หรือมีประสบการณ์การปฏิบัติมาก่อนหรือไม่ก็ตาม เมื่อได้เร่ืองหลักการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามหลกั สติปัฏฐาน เรม่ิ จาก ลักษณะเฉพาะของรปู –นาม และ สามัญญลกั ษณะที่พึง กำหนดรู้มีอะไรบ้าง กำหนดรู้อย่างไร (กำหนดรู้ตามหลักสติปัฏฐาน) อีกทั้งการนำปฏิบัติของวิทยากร สอดคล้องกับธรรมบรรยายเป็นลำดับไป ตัวอย่างเช่น เม่ือผู้ปฏิบัติฟังธรรมเร่ืองลักษณะเฉพาะของรูป– นาม วิทยากรก็เนน้ การปฏิบัติโดยให้กำหนดรู้ลักษณะเฉพาะของรปู –นาม ในขณะที่นำปฏิบัติในรูปแบบ ตา่ งๆ นับเป็นการเชื่อมโยงหัวใจของการปฏิบัตสิ ู่รูปแบบต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำใหเ้ พมิ่ ผลสัมฤทธ์ิ ในการปฏบิ ัตวิ ิปัสสนากรรมฐานฯ ตามลำดับญาณเบอื้ งต้น อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติ แตก่ ารเพิ่มผลสมั ฤทธ์ิในการปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐาน ซ่ึงตรวจสอบโดยความเขา้ ใจการปฏิบัติ ตามลาดับญาณเบื้องต้นนี้ มีบางข้อท่ีได้คะแนนเฉล่ียลดลง เช่น การเคลื่อนไหวของกายคือ “รูป” ได้ ค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนอบรม และ หลังอบรมเท่ากัน และ การรู้กลิ่นเป็น “นาม” ได้ค่าเฉลี่ยของ คะแนนลดลง ท้ังนเ้ี ป็นเพราะเหตุผลท่ีผู้วิจัยได้แสดงไว้ข้างต้นแลว้ วา่ สภาวะของรูป และนาม เป็นเรื่อง ยาก และประสบการณ์การปฏิบัติเดิมอาจเคยเข้าใจผิดมาก่อนว่าเคยกำหนดรู้ได้ทันปัจจุบัน (เพราะเคย บริกรรมได้ทัน) เมื่อมาเข้าใจความจริงของการกำหนดรู้สภาวของรูป และ นาม ท่ีปรากฏในปัจจุบัน เฉพาะหน้าจริงๆ ผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติจึงปรากฏคะแนนออกมา อย่างสอดคล้องกับคะแนนความ เข้าใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นับเป็นเป็นคะแนนที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ ของการปฏิบตั ิที่เกิดจากความเข้าใจปริยัตอิ ย่างถ่องแท้ของผู้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสาน ฯ ซ่ึงแสดงให้เหน็ ว่า ผู้เข้าอบรมต้ังใจและให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามทั้งก่อน และ หลังการ ปฏิบตั ิวปิ สั สนากรรมฐานแบบผสมผสานอยา่ งแท้จริง ด้านความพึงพอใจ รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานวิธีการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานจากหลายรูปแบบ สามารถสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติให้เกิดแก่ ผู้เข้าอบรมใน ระดับมาก คือมีคา่ เฉลี่ยถึง ๔.๑๘ แสดงให้เห็นได้วา่ สตปิ ัฏฐาน ๔ คือ หัวใจของวิปัสสนากรรมฐานที่ อยู่ในทุกรูปแบบ เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจหลักการแห่งสติปัฏฐาน กำหนดรู้ได้ถูกต้องตรงทาง ทำให้เจริญ ปญั ญา เป็นผรู้ ู้แจ้งในธรรมะของพระพุทธองค์ ยังความสำเร็จในการปฏิบัติตามลาดับญาณให้ผู้ปฏิบัติได้ เห็นจรงิ เป็น ปัจจักขญาณ ผู้ปฏิบัติย่อมเกิดความพอใจท่ีได้เข้าอบรมปฏิบัติหลากหลายรูปแบบ เหมือน ได้ชิมแกงหลายถ้วย โดยทราบถึงคุณค่าของสารอาหารที่แท้จริงที่อยู่ในแกงแต่ละถ้วยซึ่งก็มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ ที่มีคุณค่าเฉพาะตัวของมัน เสมือนกับการปฏิบัติในรูปแบบผสมผสาน ด้วยความเข้าใจ ไม่ว่าปฏิบัติด้วยรูปแบบใด ก็มีการกำหนดรู้รูป–นามท่ีมีลักษณะเฉพาะตนเหมือนกัน เป็นต้น ทำให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างไม่น่าเบื่อไม่ถูกบังคับ อีกท้ังการได้สังเกตตนเองว่ามีอัธยาศัย หรือ จริตส่ังสมในการปฏิบัติแบบใด ย่ิงสังเกตตนเองมาก ความตั้งใจก็เพิ่ม ผลสัมฤทธ์ิของการปฏิบัติก็เพ่ิม และยังเห็นประโยชน์ว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในการปฏิบัติทุกรูปแบบ ทุกท่ี ทุกเวลา และที่สำคัญ สามารถปฏบิ ัติสติปัฏฐานในชีวติ ประจำวันได้ ทำใหค้ ะแนนเฉลย่ี ของความพึงพอใจในการปฏบิ ัติวปิ ัสสนา กรรมฐานแบบผสมผสานมีผลของคะแนนเพิ่มขึ้นทุกข้อทีเดียว ผลของการวจิ ัยทก่ี ล่าวมาทั้งหมดข้างต้น นี้ สอดคล้องกับที่พระพุทธโฆสาจารย์กล่าวไว้ในอรรถกถาพระวินัยปิฎก ปาราชิกกัณฑ์ ที่ว่าปริยัติท่ี บคุ คลเรียนดี เป็นไปเพ่ือประโยชน์ เพื่อความสขุ สิน้ กาลนาน คือหวังความบริบรู ณ์แห่งศีลขนั ธ์เป็นต้น ช่ือ
ภาคผนวก ๒๔๖ ข้อเสนอแนะ ว่า นิตถรณปริยัติ๑ กล่าวคือ เม่ือผู้เข้าอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้รับปริยัติที่เก่ียวเนื่องกับการ ปฏิบัตใิ นทกุ รูปแบบอย่างเข้าใจถอ่ งแท้ ทาให้เกดิ ประโยชนอ์ ันเป็นไปเพอ่ื ความสิ้นทกุ ข์อย่างถาวร นอกจากน้ี ผลการวิจัยยังสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ วริยา ชินวรรโณ และคณะ ซ่ึง ศึกษาวิจัยเรื่อง วิวัฒนาการการตีความคำสอนเร่ืองสมาธิในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย พบว่า การตีความคำสอนเรื่องสมาธิ ตลอดจนการนำมาเป็นแนวทางในการสอนปฏิบัติ จะมีความ แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของสิ่งท่ีนำมาใช้พิจารณา แต่ละสำนักล้วนมีแนวทางการปฏิบัติแตกต่าง กันออกไป ซึ่งโดยสรุปแล้วอาจกล่าวได้ว่า ทุกสำนักต่างให้ความสำคัญแก้การฝึกอบรมสมาธิว่าเป็นการ ปฏิบัติใน ๒ ลักษณะ คือ ในทางหลักการและในทางวิธีการ ทางหลักการ คือ เป็นการอบรมเพ่ือเข้าถึง ธรรม ส่วนวิธีการ คือ การคิดค้นเทคนิคและวิธีปฏิบัติต่างๆ เพื่อผู้ปฏิบัติสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ การกำจัดกเิ ลสและความช่ัวตา่ งๆ ให้หมดไป๒ แสดงว่า ไม่ว่าจะสอนการ ปฏิบัตดิ ว้ ยรปู แบบใดๆ กต็ าม หากคงหลกั การปฏิบตั ิเพ่ือเข้าถึงธรรมอย่างถกู ตอ้ งแลว้ ย่อมไปสู่จุดหมาย เดียวกัน ได้ผลสัมฤทธิเ์ หมือนกัน คือ ได้ผลตาม ลำดับญาณ ไปสู่การบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้ในท่ีสุด เหมือนกัน รวมท้ังผลการวิจัยคร้ังนี้ยังสอดคล้องกับ จุฑามาศ วารีแสงทิพย์ ท่ีได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การศึกษาพัฒนาการของวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทย ซึ่งศึกษาวิธีการของสานักต่างๆ ๕ แบบ คือ แบบพองหนอ ยุบหนอ ของพระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) แบบอานาปานสติของท่าน พุทธทาส ภิกขุ แบบอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ แบบหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และแบบท่าน โกเอ็นก้า พบว่า วิธีการสอนวิปัสสนากรรมฐานของทั้ง ๕ สำนัก ใช้หลักการในการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ แต่ เน่ืองจากประสบการณ์ของการปฏิบัติธรรมของท่านเจ้าสำนักต่างกัน จึงมีวิธีการปฏิบัติที่ต่างกัน ผู้ ปฏิบตั ิสามารถเลอื กวธิ ีการท่ีเหมาะสมกับจริตของตนเองเพอ่ื ให้บรรลเุ ปา้ หมายทีส่ ูงสดุ จงึ เป็นการตอก ย้ำว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น “รูปแบบไม่สำคัญเท่าเน้ือหา (แห่งสติปัฏฐาน)” ท่ีผู้สอนต้อง ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจถ่องแท้ จึงจะเกิดผลสัมฤทธ์ิ ซ่ึงเม่ือผู้ปฏิบัติได้มีโอกาสเลือกปฏิบัติในวิธีที่ตนถนัด หรือเป็นไปตามจรติ กย็ ่งิ ทาให้ไดร้ บั ผลดี เจรญิ กา้ วหน้าในการปฏบิ ัตไิ ปสูค่ วามดับทกุ ขไ์ ด้จริง ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการจัดอบรมวิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ เป็นทางเลือกอย่าง หนึ่ง ท่ีผู้สนใจวิปัสสนากรรมฐานสามารถเลือกปฏิบัติได้ ซ่ึงจะทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องในการ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน เพราะเข้าถึงเน้ือหาท่ีเป็นจริงอนั เป็นแกน่ หรือเน้ือแท้ของกรรมฐานทแี่ ทรก อยู่ในทุกรูปแบบได้อย่างชัดเจน โดยไม่เปรียบเทียบหรือปฏิเสธการปฏิบัติในรูปแบบใดใดที่ยึดหลักการ ปฏิบัติแห่งสติปัฏฐานอยู่ เพียงแต่นาวิธีการเด่นในแต่ละรูปแบบเหล่าน้ัน มาผสมผสานกันให้เป็นเรื่อง เดียวกันได้อย่างลงตัวทั้งน้ี มีข้อควรสังเกตว่า ผู้ท่ีสามารถเป็นวิปัสสนาจารย์ หรือผู้จัดการอบรม วิปัสสนากรรมฐานแบบผสมผสานฯ ได้น้ัน จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ปริยัติธรรมโดยเฉพาะด้าน อภิธรรม และได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปฏั ฐาน จนเข้าถึงอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน ได้อย่างถ่องแท้และมีวิปัสสนาญาณปรากฏ จึงจะทาการสอนหรือจัดอบรมวิปัสสนากรรมฐานแบบ ผสมผสานฯ ไดป้ ระสบผลสาเร็จ ผู้สนใจปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐานควรทาความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อน ว่า การปฏิบัตทิ ี่เรียกว่าวิปัสสนาโดย แท้จริงนั้นเป็นไปเพื่อปัญญาดับทุกข์ มิได้เป็นไปเพ่ือได้สิ่งต่างๆ หรือเป็นปาฏิหาริย์แต่อย่างใด การ ปฏิบัติต้องในกรอบแห่งสติปัฏฐาน ๔ และ ควรตรวจสอบหรือประเมินผลการปฏิบัติ ว่าเป็นไปตามลา ดับแหง่ วิสุทธิ ๗ หรอื วิปัสสนาญาณ ๑๖ หรอื ไม่ เพ่ือกนั ความพลง้ั เผลอปฏิบัตหิ ลงทาง ในด้านวิธกี าร สอนหรืออุบายวิธีการต่างๆนั้น ควรตรวจสอบว่า วิธีการใดสามารถทำให้ผู้ปฏิบัติระลึกรู้ รูป-นามตาม ความจริง และเข้าถึงไตรลักษณ์ได้หรือไม่ หากไม่เร่ิมต้นที่รู้จักรูป-นาม ก็ไม่ใช่วิปัสสนา (เพราะญาณที่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 552
Pages: