บทท่ี ๒ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารศึกษาประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. วเิ คราะหอ์ ารยธรรมสงั คมอนิ เดยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. อธบิ ายอนิ เดยี ในฐานะอ่อู ารยธรรมของโลกไดถ้ กู ตอ้ ง ๓. อธบิ ายสภาพการณป์ จั จบุ นั ของอนิ เดยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ขอบข่ายเน้ือหา ความนาํ อารยธรรมสงั คมอนิ เดยี อนิ เดยี ในฐานะอ่อู ารยธรรมของโลก อนิ เดยี ปจั จบุ นั
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๙๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๒ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๒ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอินเดยี เป็นการกล่าวถงึ อารยธรรมสงั คมอินเดีย อนิ เดยี ในฐานะอู่ อารยธรรมของโลกและอนิ เดยี ปจั จบุ นั อารยธรรมอนิ เดียยุคโบราณสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น ๒ ยุค คือ ยุคอารยธรรม สมยั สนิ ธุ และยุคอารยธรรมสมยั อารยนั อารยธรรมสมยั สนิ ธุ เป็นอารยธรรมเก่าแก่ทส่ี ุด อินเดยี เป็นแหล่งกาํ เนิด ลทั ธิและแนวคิดความเช่ือท่ีมากมายหลากหลายจึงไม่แปลกใจว่า ทาํ ไมจึงเป็นจุดกาํ เนิดอารยธรรมของโลก นอกจากนน้ั อินเดียยงั เป็นแหล่งกาํ เนิดศาสนาต่างๆ เช่น พราหมณ์-ฮินดู พุทธ เชน หรือ นิครนถ์ และ ซิกข์ ปจั จุบนั อินเดียปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยระบบรฐั สภา แยกศาสนาออกจากการเมอื ง แบ่งอาํ นาจการ ปกครองเป็นสาธารณรฐั (Secular Democratic Republic with a parliamentary system) มปี ระธานาธิบดี เป็นประมขุ ของประเทศ และกระจายอาํ นาจการปกครองในลกั ษณะสหพนั ธรฐั อย่างไรก็ตาม อารยธรรมของ อนิ เดยี มกี ารเปลย่ี นแปลงไปตง้ั แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั เน่ืองจาก บริบท ความเช่อื ของสงั คมเปลย่ี นไปการทจ่ี ะทราบ และเขา้ ใจประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี จะตอ้ งศึกษาสาระสาํ คญั ดงั น้ี ๑. อารยธรรมสงั คมอนิ เดยี ๒. อนิ เดยี ในฐานะอ่อู ารยธรรมของโลก ๓. อนิ เดยี ปจั จบุ นั ๔. สรุปประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายและวเิ คราะหอ์ ารยธรรมสงั คมอนิ เดยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายอนิ เดยี ในฐานะอ่อู ารยธรรมของโลกไดถ้ ูกตอ้ ง ๓. ศึกษาสามารถอธบิ ายสภาพการณป์ จั จุบนั ของอนิ เดยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ๔. ศึกษาสามารถอธบิ ายความสมั พนั ธข์ องอารยธรรมอนิ เดยี ตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ได้ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๒ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาํ แบบฝึกหดั ในชน้ั เรยี น ๓. ศึกษาคน้ ควา้ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ดว้ ยตนเอง ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชน้ั เรยี น เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Power point หนา้ ชน้ั เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครง้ั
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๙๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๗. ทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรียนและนําผลท่ีไดม้ าวิเคราะหพ์ ้ืนฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสิตอนั นาํ ไปสู่การพฒั นาและปรบั ปรุงการเรยี นรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอน ประจาํ บทท่ี ๒ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. คาํ ถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาํ ถามประจาํ บทท่ี ๒ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาความรูป้ ระวตั ิความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนา ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ คร่อื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมินผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ว่ นร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคดิ เหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตงั้ ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาํ ถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาํ ภาคเรยี น ๖. การทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๙๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๒.๑ ความนา พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาอเทวนิยม (Atheism) เกดิ ข้นึ มาในท่ามกลางศาสนาเทวนิยม(Theism) ทงั้ หลายของอนิ เดียสมยั โบราณคือศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเชน และลทั ธอิ ่นื ๆ ซ่งึ ไดป้ ระกาศคาํ สอนและลทั ธขิ อง ตนทวั่ ดินแดนชมพทู วปี ตอนเหนือและตอนกลาง หรอื ทร่ี ูจ้ กั ในนามของอู่อารยธรรมลุ่มแมน่ าํ้ สนิ ธุและคงคา ซ่งึ มี อาณาเขตกวา้ งใหญ่ครอบคลุมถงึ อฟั กานิสถาน ปากีสถาน ลงั กา เมยี นมาร์ ไทย ลาว กมั บูชา อนิ โดนีเซยี ฟิลปิ ปินส์ และมอี ายุกว่า ๔,๐๐๐ ปี๑ ณ อาณาบริเวณท่กี วา้ งใหญ่ไพศาลน้ี บรรดาศาสดาและเจา้ ลทั ธิของอนิ เดยี โบราณต่างกม็ แี นวคิดและความเช่อื ในเร่อื งพระผูเ้ป็นเจา้ ซ่งึ เป็นผูส้ รา้ งโลกและจกั รวาล มนุษยแ์ ละสรรพสตั วล์ ว้ น เป็นไปตามลขิ ติ ของพระองคม์ หี นา้ ทจ่ี งรกั ษภ์ กั ดีและทาํ พธิ ีกรรม จึงจะไดร้ บั การโปรดปรานประทานพร พธิ ีกรรม ท่ตี อ้ งประกอบคือการบูชายญั บวงสรวงดว้ ยสง่ิ ของต่างๆ โดยเฉพาะการบวงสรวงดว้ ยพธิ ีนาํ สตั วม์ าบูชายญั บาง ลทั ธิเนน้ การทรมานร่างกายอย่างแสนสาหสั โดยภาพรวมแลว้ ศาสนาทงั้ หลายในอินเดียโบราณมี ๒ ลกั ษณะคือ ศาสนาทเี่ นน้ ดา้ นกามสุข (the extreme of sensual indulgence ; extreme hedonism) บาํ รุงบาํ เรอตนใหม้ ี ความสุขในชาติปจั จุบนั และในภพหนา้ และศาสนาทเ่ี นน้ การทรมานร่างกายอย่างสุดโต่ง๒ (the extreme of self- self-mortification ; extreme asceticism) สาํ หรบั พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาเดียวทป่ี ระกาศคาํ สอนตรงขา้ มกบั ศาสนาเหลา่ นน้ั โดยผูท้ รงก่อตงั้ คือ พระพทุ ธเจา้ ซง่ึ มพี ระนามเดมิ ว่าสทิ ธตั ถะ๓ เป็นเจา้ ชายแหง่ ศากยตระกลู เมอ่ื พระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา พระองคไ์ ด้ ออกผนวชเพอ่ื แสวงหาโมกษะ ตามคตินิยมทางศาสนาในสมยั นน้ั เมอ่ื พระองคท์ รงกระทาํ ตามคตินิยมเช่นนนั้ แลว้ ทรงพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่วิธีการท่ีถูกตอ้ ง จากนนั้ พระองคท์ รงดาํ เนินตามวิธีการของพระองคค์ ือปฏิบตั ิตามหลกั มชั ฌมิ าปฏิปทาคือปฏบิ ตั ิตามทางสายกลางท่ไี ม่เอนเอียงไปดา้ นสุดโต่ง ๒ อย่างนน้ั ๔ เม่อื ประสบความสาํ เรจ็ ในการ แสวงหาและบรรลุอนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณแลว้ พระองคท์ รงประกาศคาํ สอนใหแ้ พร่หลาย และคาํ สอนของพระองค์ ไดส้ วนทางคาํ สอนของศาสนาเหล่านนั้ อย่างส้นิ เชงิ คือปฏิเสธอาํ นาจของพระผูเ้ป็นเจา้ มนุษยต์ ่างหากคือผูส้ ามารถ ลขิ ติ ชีวติ ของตนคือพฒั นาตนใหพ้ น้ จากทุกขไ์ ด้ สรรพส่งิ ตกอยู่ในกฎไตรลกั ษณค์ ืออนิจจงั ทกุ ขงั และอนตั ตา ไม่มี ส่งิ ใดยืนโรงเท่ยี งแทถ้ าวร ดว้ ยลกั ษณะท่โี ดดเด่นเป็นเอกลกั ษณ์น้ี จึงทาํ ใหพ้ ระพุทธศาสนามคี าํ สอนท่สี ุขมุ คมั ภีร ภาพ หลากหลายดว้ ยอรรถรสท่จี ะนาํ เวไนยสตั วเ์ ขา้ ถงึ สนั ตสิ ุขอย่างยงั่ ยนื ศาสนประวตั ขิ องพระพทุ ธศาสนาอนั เป็นมรดกลาํ้ ค่าของชาวโลก รวมถงึ บริบทแวดลอ้ มของสงั คมอนิ เดยี สมยั โบราณทเ่ี ป็นจดุ กาํ เนิดของพระพทุ ธศาสนา เป็นส่งิ ท่นี ิสติ นกั ศึกษาและผูส้ นใจพงึ ศึกษาใหล้ ะเอยี ดลุม่ ลกึ เพราะ ถอื วา่ เป็นองคค์ วามรูท้ จ่ี าํ เป็นสาํ หรบั ศึกษาวเิ คราะหอ์ ารยธรรมอนิ เดยี ต่อไป ซง่ึ ผูเ้ขยี นจะไดน้ าํ เสนอต่อไป ๑ เสถยี ร โพธินนั ทะ, ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕), หนา้ ๒. ๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๓/๒๐. พระไตรปิฎก มจร. ๒๕๓๙. ๓ ข.ุ พทุ ฺธ.(ไทย) ๓๓/๖/๖๗๑. ๔ จาํ นงค์ ทองประเสรฐิ (ผูแ้ ปล), บอ่ เกดิ ลทั ธิประเพณีอนิ เดีย เลม่ ๑ ภาค ๑-๔, (กรุงเทพมหานคร : ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๔๐), หนา้ ๖๗.
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๙๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒.๒ อารยธรรมสงั คมอนิ เดีย อารยธรรมกอ่ นสมยั พทุ ธกาล เหตทุ ผ่ี ูเ้ขยี นตอ้ งเรม่ิ การอธบิ ายสงั คมอนิ เดยี สมยั พทุ ธกาลจากอารยธรรมยุค โบราณก่อนสมยั พทุ ธกาลก็ เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ่านไดเ้ขา้ ใจสภาพทางการเมอื ง เศรษฐกิจ สงั คมและความเช่อื ของคนอินเดยี ในสมยั พุทธกาลไดอ้ ย่างถ่อง แทแ้ ละจะทาํ ใหเ้ขา้ ใจพระพุทธศาสนาทบ่ี งั เกดิ ข้นึ ในสงั คมอินเดียสมยั นนั้ ในฐานะท่เี ป็น “ปรากฏการณ์ทางสงั คม” (Social Phenomenon) ท่มี กี ารเกิดข้นึ และมพี ฒั นาการสมั พนั ธอ์ ยู่กบั สภาพสงั คมในยุคนน้ั อารยธรรมอนิ เดยี ยุค โบราณสามารถแบง่ ไดเ้ป็น ๒ ยุคคอื อารยธรรมสมยั สนิ ธุ และ อารยธรรมสมยั อารยนั อารยธรรมสมยั สินธุ เป็นอารยธรรมเก่าแก่ท่ีสุดเท่าท่ปี จั จุบนั มกี ารคน้ พบในบริเวณอนุทวีปอินเดีย วิธี การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั อารยธรรมสมยั สนิ ธุตงั้ แต่อดีต คือตงั้ แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒๐ ไดอ้ าศยั การศึกษาทาง โบราณคดีเป็นสาํ คญั เน่ืองจากในระยะนนั้ ยงั เป็นช่วงท่ีองั กฤษปกครองอินเดียในฐานะอาณานิคมอยู่ ดงั นนั้ นกั โบราณคดที ม่ี บี ทบาทสาํ คญั จงึ เป็นนกั โบราณคดอี งั กฤษ ช่อื ‚เซอรจ์ อหน์ มารแ์ ชล‛ (Sir John Marshell) เช่อื กนั ว่า อารยธรรมสมยั สนิ ธุเป็นอารยธรรมของคนพ้นื เมอื งเดิมก่อนการรุกราน ของพวกอารยนั จากภายนอก มคี วามเจริญ อยู่ระหว่าง ๒,๕๐๐–๑,๕๐๐ ปีก่อนคริสตก์ าล โดยมีระยะเวลาใกลเ้ คียงกบั อารยธรรมอียิปตแ์ ละเมโสโปเตเมีย อย่างไรก็ตาม เน่ืองดว้ ยการศึกษาอารยธรรมสมยั สินธุมขี อ้ จาํ กดั ประการสาํ คญั คือ ยงั ไม่สามารถอ่านตวั อกั ษรท่ี คน้ พบได้ จงึ ทาํ ใหอ้ งคค์ วามรูต้ ่างๆ เก่ยี วกบั อารยธรรมสมยั น้ีมอี ยู่อย่างจาํ กดั ตอ้ งอาศยั การตีความและสนั นิษฐาน ประกอบเป็นอยา่ งมาก๕ ท่ตี ง้ั อารยธรรม สมยั สนิ ธุไดช้ ่อื ตามแหลง่ ท่มี กี ารขดุ คน้ ความเจริญครง้ั แรกบริเวณลุม่ แม่นาํ้ สนิ ธุ ส่วน ใหญ่ของเขตความเจริญของอารยธรรมน้ีจึงอยู่ในประเทศปากีสถานในปจั จุบนั เมอื งสาํ คญั ท่ไี ดม้ กี ารขดุ คน้ ในรุ่น แรกๆ คือ ฮารปั ปา (Harappa) ซ่ึงอยู่ในแควน้ ปญั จาบ (Panjab) และโมเฮนโจดาโร (Mohenjo-Daro) ซ่ึงอยู่ใน แควน้ ซนิ ด์ (Sind)๖ ต่อมาไดพ้ บร่องรอยความเจริญในรุ่นราวคราวเดียวกนั ทางตะวนั ตกเฉียงเหนือของ อนิ เดยี ดว้ ย เช่น เมอื งกลบิ งั คนั (Kalibangan) ในรฐั ราชสถาน และเมอื งโลธลั (Lothal) ในรฐั คุชราตของอนิ เดีย๗ ดว้ ยเหตุน้ีทาํ ใหใ้ นเวลาต่อมาไดม้ ขี อ้ เสนอว่าขอบเขตความเจรญิ ของอารยธรรมสมยั สนิ ธุกวา้ งขวางกว่าเฉพาะแค่ลุ่มนาํ้ สนิ ธุดงั ท่ี เคยเช่ือกนั มาแต่ตน้ ดงั นนั้ ในท่ีน้ีจึงไดเ้ รียกอารยธรรมอนั เก่าแก่ท่สี ุดในอารยธรรมอินเดียน้ี ว่า ‚อารยธรรมสมยั สนิ ธุ‛ แทน ‚อารยธรรมลุ่มนาํ้ สนิ ธุ‛ เพ่อื ใหค้ วามสาํ คญั แก่ ‚อายุ‛ ของอารยธรรมในรุ่นราวคราวเดยี วกนั มากกว่า ‚ทต่ี ง้ั ‛๘ ๕ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , อารยธรรม, (กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าประวตั ิศาสตร์ คณะอกั ษร ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕), หนา้ ๓๓. ๖ เร่อื งเดยี วกนั . ๗ ธิตมิ า พทิ กั ษไ์ พรวนั , ประวตั ิศาสตรย์ คุ โบราณ, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๒๒), หนา้ ๗๑. ๘ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , อารยธรรม, หนา้ ๓๓.
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๙๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ความเจรญิ ของอารยธรรมสมยั สนิ ธุ ในหวั ขอ้ น้ีจะศึกษาถงึ ความรูเ้ก่ยี วกบั อารยธรรมสมยั สนิ ธุซ่งึ มคี วาม สบื เน่ืองมาจากการขดุ คน้ ทางโบราณคดีตง้ั แต่ตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒๐ โดยการวางรากฐานของนกั โบราณคดีชาว องั กฤษ โดยมปี ระเดน็ ทน่ี ่าสนใจดงั น้ี (๑) ความเป็นอารยธรรมเมอื งและมกี ารวางผงั เมอื ง จากการขดุ คน้ เมอื งสาํ คญั ทง้ั โมเฮนโจดาโร ฮารปั ปา และเมอื งอ่ืนๆ ต่างก็พบลกั ษณะความเจรญิ ในระดบั อารยธรรมเมอื ง มกี ารวางผงั เมอื งท่เี ป็นระบบ โดยเฉพาะอย่าง ย่งิ ฮารปั ปาและโมเฮนโจดาโร พบกว่ามกี ารตดั ถนนเป็นตาราง ถนนสายสาํ คญั วดั ความกวา้ งไดถ้ งึ ๓๓ ฟตุ มอี าคาร บา้ นเรือนอยู่ ๒ ฟาก โดยอาคารเหล่าน้ีมขี นาดเลก็ ใหญ่แตกต่างกนั ไปซง่ึ น่าจะข้นึ อยู่กบั ฐานะของผู้ เป็นเจา้ ของ ริม ถนนมที างระบายนาํ้ เช่อื มต่อออกมาจากอาคารบา้ นเรือน มสี ระนาํ้ ขนาดใหญ่ก่อดว้ ยอฐิ ขนาด ๓๙ r ๒๓ ฟุต และ ซากสง่ิ ก่อสรา้ งซง่ึ สนั นิษฐานวา่ เป็นยุง้ ขา้ วใหญ่โต๙ (๒) พธิ ีกรรมและความเช่อื เก่ียวกบั เทพเจา้ สมยั สนิ ธุเช่อื ว่ามคี วามคิดเก่ียวกบั การบูชาเทพเจา้ และการ ทาํ พิธกี รรมต่างๆ ซ่งึ น่าจะมอี ิทธพิ ลต่อเน่ืองมาสู่อารยนั ในเวลาต่อมาดว้ ย หลกั ฐานท่แี สดงถงึ ความเช่ือและการทาํ พธิ กี รรมน้ีมหี ลายประการทส่ี าํ คญั คือการพบดวงตราท่มี ลี กั ษณะเป็นชาย ๓ หนา้ ๓ ตา นงั่ ขดั สมาธิบนบลั ลงั ก์ ราย รอบดว้ ยสตั วต์ ่างๆ ซง่ึ สนั นิษฐานว่าเป็นตน้ กาํ เนิดของเทพเจา้ องคส์ าํ คญั ของฮนิ ดูในเวลาต่อมา คือพระศิวะในปางท่ี เรยี กว่า ปศบุ ดี ผูเ้ป็นเทพเจา้ แห่งสตั วท์ งั้ หลายและเป็นเทพเจา้ แห่งความอุดมสมบูรณ์ ยง่ิ ไปกว่านน้ั ยงั เช่อื ว่าน่าจะมี การโยงความคิดความเช่อื ในทางพธิ กี รรมเขา้ กบั การปกครองดว้ ย เพราะมกี ารพบประติมากรรมรูปชายมเี คราใบหนา้ สงบน่ิงและห่มผา้ เฉียงบ่า ประติมากรรมในลกั ษณะท่คี ลา้ ยคลงึ กนั น้ีไดพ้ บในอารยธรรมเมโสโปเตเมยี ซ่งึ สามารถ อ่านตวั อกั ษรไดแ้ ลว้ ดว้ ย โดยมคี วามหมายถงึ ผูป้ กครองทเ่ี ป็นกษตั ริยน์ กั บวช เมอ่ื เป็นทย่ี อมรบั ว่าเมโสโปเตเมยี และ อินเดียในสมยั สินธุน้ีมีการติดต่อกนั ดงั นนั้ การพบประติมากรรมในลกั ษณะน้ีท่ีอารยธรรมสมยั สินธุก็น่าจะมี ความหมาย ทาํ นองเดยี วกนั ในส่วนของโบราณสถานนน้ั ท่สี าํ คญั คือในบรเิ วณซากเมอื งโมเฮนโจดาโร เขา้ ใจว่ามสี ่วน ท่ีเป็นศาสนสถานอยู่ดว้ ย โดยมีลกั ษณะเหมือนสระนาํ้ ขนาดใหญ่ซ่ึงน่าจะเป็นท่ีชาํ ระร่างกายใหบ้ ริสุทธ์ิ ก่อนทาํ พธิ ีกรรม เพราะความเช่อื เช่นน้ียงั คงพบไดใ้ นอารยธรรมอนิ เดียในสมยั ต่อมาอนั อาจจะ เน่ืองจากไดร้ บั อิทธิพลสบื เน่ืองจากสมยั น้ีกเ็ ป็นได๑้ ๐ (๓) การเป็นอารยธรรมของพวกดราวิเดียน พิจารณาจากหลกั ฐานท่ีคน้ พบในสมยั สินธุพบว่ามีความ แตกต่างจากอารยธรรมสมยั อารยนั อย่างเหน็ ไดเ้ช่น เช่นการคน้ พบประตมิ ากรรมรูปคนซ่งึ มหี นา้ ตาแตกต่างจากพวก อารยนั พวกอารยนั สมยั พระเวทดาํ เนินชีวิตความเป็นอยู่ตามแบบสงั คมชนบท ส่วนลกั ษณะอารยธรรมสมยั สนิ ธุ เจรญิ ข้นึ ตามแบบสงั คมเมอื งใหญ่ ลกั ษณะเคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ อาวุธก็ผดิ กนั พวกอารยนั ในสมยั พระเวทรูจ้ กั การใช้ เหลก็ อย่างแพร่หลาย นาํ เหลก็ มาประดษิ ฐเ์ ป็นเกราะและโล่ ซง่ึ ไมเ่ คยปรากฏในอารยธรรมสมยั สนิ ธุ พวกอารยนั ใชม้ า้ เป็นพาหนะอย่างกวา้ งขวาง แต่ไม่ปรากฏในอารยธรรมสมยั สินธุ นอกจากน้ีอารยธรรมสมยั สินธุก็มคี วามเก่าแก่ มากกว่าอารยธรรมอารยนั จงึ สรุปกนั วา่ ผูส้ รา้ งอารยธรรมสมยั สนิ ธุน้ีเป็นคนพ้นื เมอื งดงั้ เดมิ ก่อนท่ี พวกอารยนั จะเขา้ ๙ ธติ มิ า พทิ กั ษไ์ พรวนั , ประวตั ศิ าสตรย์ คุ โบราณ, หนา้ ๗๐ และภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , อารย ธรรม, หนา้ ๓๔. ๑๐ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , อารยธรรม, หนา้ ๓๔–๓๕.
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๙๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ มารุกราน คนเหลา่ น้ีคอื พวกดราวเิ ดยี น ซง่ึ สนั นิษฐานว่าเป็นชนเผ่านิโกรเผ่าหน่ึง มรี ูปร่างเต้ยี ผวิ ดาํ จมกู แบนกวา้ ง ริมฝีปากหนา มคี วามแตกต่างจากพวกอารยนั อย่างชดั เจน เม่อื พวกอารยนั เขา้ ไปในอินเดยี ไดร้ ุกรานพวกดราวเิ ดีย นจากทางทศิ ตะวนั ตกเฉียง เหนือและขบั ไล่พวกดราวเิ ดยี นถอยร่นไปทางทศิ ตะวนั ออกแถบลุม่ นาํ้ คงคา บางกลุ่มได้ ปะปนสายโลหติ กบั พวกดราวเิ ดยี นเกดิ เป็นชนกลมุ่ ใหม่เรยี กว่า พวกฮนิ ดู๑๑ อย่างไรก็ตาม ผลจากการศึกษาของนกั วิชาการชาวอินเดียตง้ั แต่ทศวรรษท่ี ๑๙๘๐ เป็นตน้ มา ไดม้ ี ขอ้ เสนอใหมๆ่ หลายประเดน็ เช่น ขอบเขตความเจรญิ น่าจะกวา้ งขวางกว่าลุ่มนาํ้ สนิ ธุ (ดงั กล่าวแลว้ ) ระยะเวลาความ เจรญิ น่าจะเก่าแก่ไปถงึ ๕,๐๐๐ ปีก่อนคริสตก์ าล และประเดน็ สาํ คญั ซง่ึ เป็นทน่ี ่าสนใจและถกเถยี งกนั มากคือผูส้ รา้ ง อารยธรรมอาจจะเป็นดราวิเดียนก็ได้ หรืออารยนั ก็ได้ ทง้ั น้ีโดยมีการใชห้ ลกั ฐานใหม่ๆ เพ่ิมเติมนอกเหนือจาก หลกั ฐานทางโบราณคดี เช่นการศึกษาเทยี บเคยี งลกั ษณะตวั อกั ษรในสมยั ต่างๆ การตคี วามจากขอ้ ความในคมั ภรี พ์ ระ เวท ซ่ึงนกั วชิ าการต่างชาติอาจจะไม่สามารถเขา้ ใจไดอ้ ย่างลกึ ซ้งึ เป็นตน้ ประเด็นเร่ืองผูส้ รา้ งอารยธรรมสินธุน้ี มี ความสาํ คญั ต่อประวตั ิศาสตร์ และอารยธรรมอนิ เดียมาก เพราะถา้ เช่ือว่าเป็นพวกอารยนั แลว้ จะทาํ ใหท้ ฤษฎีท่วี ่า อารยนั คือผูร้ ุกรานจากภายนอกตอ้ งเปลย่ี นแปลงไปดว้ ย อย่างไรก็ตาม ขอ้ เสนอเหล่าน้ียงั ไมไ่ ดเ้ ป็นขอ้ สรุป ดงั นนั้ ในทน่ี ้ีจงึ ยงั คงอธบิ ายตามแนวคิดของนกั วชิ าการตะวนั ตกเป็นสาํ คญั ๑๒ ๑.๒ อารยธรรมอารยนั ในขณะท่ียงั ไม่ไดข้ อ้ สรุปซ่ึงเป็นท่ียอมรบั กนั โดยทวั่ ไปว่าอารยนั คือกลุ่มคน พ้นื เมอื งดงั้ เดิมกลุ่มหน่ึงในอินเดียตงั้ แต่สมยั สนิ ธุนนั้ ในท่นี ้ีจึงอธบิ ายสมยั อารยนั ในฐานท่เี ป็นสมยั ของการรุกราน จากภายนอกและก่อ ใหเ้กิดความเปลย่ี นแปลงทางอารยธรรมครง้ั ท่สี าํ คญั อนั เป็นพ้ืนฐานของอารยธรรม อินเดียใน เวลาต่อมา ๑.๒.๑ ภูมหิ ลงั ของอารยนั ภูมหิ ลงั ของอารยนั คือ ราว ๒,๐๐๐ ปีก่อนครสิ ตก์ าลมชี นชาตทิ ่พี ดู ภาษาอิน โด-ยุโรเปียน (Indo-European) อยู่บริเวณรอบๆ ทะเลสาปแคสเปียน ต่อมาชนบางกลุ่มในกลุ่มน้ีไดอ้ พยพกระจดั กระจายไปในหลายๆ บริเวณ กลุ่มหน่ึงไปทางทิศตะวนั ตกและกระจายไปเป็นพลเมอื งของประเทศต่างๆ ในทวีป ยุโรปปจั จบุ นั เรยี กว่า “ยูโรเปียน-อารยนั ” (European-Aryan) พวกทส่ี องไปทางตะวนั ตกเฉียงใตผ้ ่านหุบเขาออกซสั (Oxus vallry) เขา้ ไปในอฟั กานิสถานปจั จุบนั หลงั จากตงั้ หลกั แหล่งอยู่ระยะหน่ึง พวกน้ีก็ขยบั ขยายไปทางทิศ ตะวนั ตกเขา้ ไปยงั เปอรเ์ ซยี พวกน้ีเรียกว่า ‚เปอรเ์ ซยี น‛ (Persian) หรือ ‚อเิ รเนียน‛ (Iranian) ซ่งึ มาจากคาํ ว่า “อารฺ ยาณามฺ” แปลว่า ดินแดนของชาวอารยะ พวกท่สี ามไปทางตะวนั ออกผ่านช่องเขาไคเบอรเ์ ขา้ ไปในอินเดีย เรียกว่า ‚อนิ โด-อารยนั ‛ (Indo-Aryan) ซง่ึ เขา้ มารุกรานอนิ เดยี เมอ่ื ประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อนครสิ ตก์ าล๑๓ ชาวอินโดอารยนั เป็นพวกก่ึงเร่ร่อน ผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ ดาํ รงชีพดว้ ยการเล้ยี งสตั ว์ เป็นสงั คมเผ่า นกั รบ มคี วามสามารถในการใชม้ า้ และรถเทียมมา้ ท่เี คล่อื นท่ไี ดร้ วดเร็ว การเขา้ มาในอินเดียของอารยนั นน้ั เร่ิมเมอ่ื ๑๑ ธิติมา พิทกั ษไ์ พรวนั , ประวตั ิศาสตรย์ ุคโบราณ, หนา้ ๗๑ –๗๓., และภาควชิ าประวตั ิศาสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , อารยธรรม, หนา้ ๓๔. ๑๒ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , อารยธรรม, หนา้ ๓๔. ๑๓ กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม, ศาสนาสรา้ งสนั ติ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั ส่งสนิ คา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.), ๒๕๔๙), หนา้ ๑๓๔.
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๙๘ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อนคริสตก์ าล และเช่อื ว่าไม่ไดเ้ป็นการรุกรานเขา้ มาในคราวเดียวหรอื โดยคนกลุม่ เดียว แต่เป็น การรุกรานในเวลาหลายศตวรรษ และเป็นคนหลายกลุ่มซ่งึ อาจจะผ่าน ประสบการณ์และผ่านเสน้ ทางการอพยพท่ี แตกต่างกนั ดงั นน้ั ถึงแมว้ ่าจะเป็นคนเช้ือสายอารยนั ดว้ ยกนั แต่คนเหล่าน้ีก็มคี วามแตกต่างกนั ในดา้ นภาษาและ วฒั นธรรม ลกั ษณะความหลากหลายดงั กลา่ วน้ีจงึ ยงั คงปรากฏอยู่ในอนิ เดยี เวลาต่อมา๑๔ ชาวอารยนั เป็นพวกก่งึ เร่ร่อนเล้ยี งสตั ว์ ดาํ รงชวี ติ อยู่กบั การเล้ยี งปศุสตั ว์ แม่ววั เป็นสมบตั ิหรอื ทรพั ยส์ นิ ท่ี มคี ่ามาก และอาจเป็นดว้ ยเหตนุ ้ีเองทท่ี าํ ใหแ้ มว่ วั เป็นสตั วท์ เ่ี คารพบูชา มกี ารหา้ มบริโภคเน้ือววั ยกเวน้ ในบางโอกาสซ่งึ ถอื เป็นเทศกาลพเิ ศษ คุณค่าในทางเศรษฐกิจของววั ทาํ ใหค้ ่าควรเคารพดูสูงข้นึ และน่าจะเป็นตน้ เคา้ ของ ทศั นะของ คนฮนิ ดูทถ่ี อื ว่าววั เป็นสตั วศ์ กั ด์สิ ทิ ธ์ิ นอกจากน้ีพวกอารยนั ใชม้ า้ สาํ หรบั ข่ี และในการรบพ่งุ ใชม้ า้ เทยี มรถรบ เมอ่ื เขา้ มาในอินเดีย สตั วป์ ่าพวกแรกท่พี วกอินโดอารยนั รูจ้ กั คือ สงิ โต เสอื และชา้ งตามลาํ ดบั ชา้ งเป็นสตั วป์ ระหลาดใน สายตาของพวกอนิ โดอารยนั จงึ เรยี กชา้ งว่ามฤคหสั ดนิ ซง่ึ แปลว่าสตั วป์ ่าท่มี มี อื อนั หมายถงึ งวงชา้ ง งูเป็นสตั วร์ า้ ย แต่ แฝงไวด้ ว้ ยพลงั และอาํ นาจ ความหมายน้ีอาจมาจากการทพ่ี วกอนิ โดอารยนั ไดเ้กดิ ขดั แยง้ กบั ชนเผา่ นาคาซง่ึ นบั ถอื งู๑๕ ๑.๒.๒ การขยายตวั และตง้ั ถ่นิ ฐานของอารยนั พวกอารยนั ไดเ้ ร่ิมเขา้ มาอินเดียทางดา้ นตะวนั ตกเฉียง เหนือซง่ึ เสน้ ทางน้ีต่อ ไปจะเป็นเสน้ ทางสาํ คญั ท่อี นิ เดยี จะถูกรุกรานจากภายนอกอีกหลายระยะต่อมา จากนน้ั อารยนั ก็ไดข้ ยายตวั จากทางตะวนั ตกเขา้ ไปทางตะวนั ออก โดยมีการรบพุ่งระหว่างอารยนั ดว้ ยกนั เองดว้ ย เพ่ือแย่งชิง ดนิ แดนอนั อุดมสมบูรณ์ การขยายตวั ของอารยนั ในระยะแรกน้ีจะขยายเขา้ ไปสู่บริเวณลุม่ แม่นาํ้ คงคาและต่อ ไปทาง ตะวนั ออกถงึ แถบ เบงกอลเป็นสาํ คญั ๑๖ เมอ่ื ตง้ั รกรากในอนิ เดียแลว้ พวกอินโดอารยนั กเ็ ร่มิ ประกอบอาชีพต่างๆ กนั ออกไป มกี ารเปลย่ี นแปลง จากปศุสตั วม์ าเป็นกสกิ รรม ทง้ั น้ีเมอ่ื พวกอารยนั รูจ้ กั การใชเ้ หลก็ แลว้ เคร่อื งมอื เคร่อื งใชก้ ็ดีกว่าเก่า การหกั รา้ งถาง พงก็สะดวกง่ายดายข้นึ เก้ือกูลต่อการอยู่เป็นท่เี ป็นทางและทาํ มาหากินดว้ ยการทาํ ไร่ไถนา ในชนั้ ตน้ ถอื กนั ว่าท่ดี ิน เป็นสมบตั ริ ่วมของในหมู่ แต่เมอ่ื สภาพหมเู่ ร่มิ หมดไปมกี ารแบง่ ทด่ี ินใหแ้ ก่ครอบครวั กลายเป็นสมบตั สิ ่วนตวั จึงเกิด ปญั หาตามมา เช่น สทิ ธใิ นการครอบครอง การววิ าทกนั ในสทิ ธดิ งั กล่าว ตลอดจนการรบั ช่วงมรดกท่ดี ิน เป็นตน้ เมอ่ื สงั คมกลายมาเป็นสงั คมเกษตรกรรมแลว้ อาชีพอ่ืนๆ ก็ตามมา ท่ีสาํ คญั เช่นอาชพี ช่างไมป้ ระกอบรถมา้ (chariot) ช่างทาํ คนั ไถ ช่างโลหะ ช่างปน้ั หมอ้ ช่างเคร่ืองหนงั จากนนั้ ไดเ้ กิดการคา้ เม่อื มกี ารหกั รา้ งถางพงในดินแดนทาง ตะวนั ออกเขตลมุ่ นาํ้ คงคาแลว้ กไ็ ดอ้ าศยั แมน่ าํ้ คงคาเป็นเสน้ ทางคมนาคมเพ่อื การคา้ มชี มุ นุมชนใหม่ๆ เกดิ ข้นึ บนฝงั่ แม่นาํ้ กลายเป็นตลาดการคา้ พวกเจา้ ของท่ดี นิ ท่มี เี งนิ ก็มกั จะจา้ งคนอ่ืนทาํ งานในท่ดี ินของตนแลว้ ตวั เอง หนั มาจบั อาชพี การคา้ เพราะมเี วลาว่างและมเี งนิ ทนุ จงึ เกดิ เป็นชมุ ชนคา้ ขายข้นึ การคา้ ในชนั้ ตน้ เป็นเร่อื งเฉพาะในทอ้ งถน่ิ การ แลกเปลย่ี นสนิ คา้ (barter) ปฏบิ ตั ิกนั ทวั่ ๆ ไป ยกเวน้ ในกรณีท่เี ป็นการคา้ รายใหญ่จะใชแ้ ม่ววั เป็นหน่วยในการบอก ราคา๑๗ ๑๔ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , อารยธรรม, หนา้ ๓๕. ๑๕ ธติ มิ า พทิ กั ษไ์ พรวนั , ประวตั ิศาสตรย์ คุ โบราณ, หนา้ ๗๔. ๑๖ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , อารยธรรม, หนา้ ๓๕. ๑๗ ธติ มิ า พทิ กั ษไ์ พรวนั , ประวตั ิศาสตรย์ คุ โบราณ, หนา้ ๗๔–๗๕.
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๙๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ กลา่ วโดยสรุป อารยธรรมยุคโบราณของอินเดยี มจี ดุ เร่มิ ตน้ จากอารยธรรมสมยั สนิ ธุซง่ึ เช่อื กนั ว่าเป็นของ ชนเผ่าดราวิเดียน ต่อมาชนเผ่าดราวเิ ดยี น ไดถ้ ูกชนเผ่าอารยนั กลุ่มหน่ึงเขา้ รุกรานจนบางส่วนถอย ร่นไปอยู่ปลาย แดน อีกส่วนหน่ึงถูกจบั ลงเป็นทาสรบั ใช้ ตน้ เคา้ ของคติความเช่ือต่างๆ ของสงั คมอินเดียไม่ว่าจะเป็นศาสนา พราหมณ์และระบบวรรณะลว้ นถือกาํ เนิดข้ึนใน ยุคพระเวทของอารยธรรมอารยนั ท่ีพวกอารยนั เขา้ มายึดครอง ดนิ แดนแถบน้ี ชมพูทวปี ชมพูทวีป (Jambul Dwipa) หมายถึงดินแดนอินเดียโบราณ และในปจั จุบนั หมายถึง ดินแดนของ ประเทศในเอเชยี ใต้ หรืออนุทวปี อนิ เดีย มาจาก “ชมพ”ุ ซ่งึ แปลว่า ตน้ หวา้ ชมพูทวปี จงึ หมายถงึ ทวปี ท่กี าํ หนดหมาย ดว้ ยตน้ หวา้ คือมตี น้ หวา้ เป็นเคร่ืองหมาย หรอื เป็นทวีปท่มี ตี น้ หวา้ ใหญ่ (มหาชมพู) เป็นประธาน ตามคติโบราณว่ามี สณั ฐานเหมอื นเกวียน ชมพูทวปี เป็นช่อื ทใ่ี ชเ้รียกดนิ แดนซ่งึ เป็นปจั จุบนั ประกอบดว้ ยสาธารณรฐั อินเดีย สาธารณรฐั อิสลามปากีสถาน สาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศ สาธารณรฐั อิสลามอฟั กานิสถาน สหพนั ธส์ าธารณรฐั เนปาลและ ราชอาณาจกั รภูฏาน พ้นื ท่ีของชมพูทวีป ท่นี กั ภูมศิ าสตรม์ กั เรียกว่า “อนุทวีปอินเดีย” ซ่งึ เป็นเสมอื ทวปี เลก็ ซอ้ นอยู่ในทวีป ใหญ่ เน่ืองจากความหลากหลายดงั กล่าวขา้ งตน้ นน้ั สามารถแบ่งพ้ืนท่ีตามลกั ษณะภูมปิ ระเทศออกเป็น ๓ ภาค ไดแ้ ก่ ฮนิ ดูสถาน เดคคาน และทมฬิ ๑) ฮินดูสถาน (Hindustan) ไดแ้ ก่ อินเดียตอนเหนือตง้ั แต่ตอนล่างของเทือกเขาหิมาลยั ลงมาจรด แมน่ าํ้ นารบ์ ดั (Narbada) เทอื กเขาวนิ ธยั (Vindhyas) และสตั ปรุ ะ เป็นพ้นื ทร่ี าบกวา้ งใหญ่อนั อุดมสมบูรณ์ ทส่ี าํ คญั คือลุ่มนาํ้ คงคาและยมนุ า เรียกว่า “Doab” อนั มคี วามหมายว่า ‚แม่นาํ้ สองสาย‛ ถือเป็นแหล่งกาํ เนิดอารยธรรม กระแสหลกั ของอนิ เดยี และในปจั จุบนั ยงั เป็นเขตท่มี ปี ระชากรอาศยั อยู่หนาแน่นทส่ี ุดและเป็นศูนยก์ ลางของประเทศ ในทกุ ๆ ดา้ นอกี ดว้ ย ๒) เดคคาน (Deccan) ไดแ้ ก่ท่ีราบสูงตอนกลางของประเทศซ่ึงขนาบดว้ ยเทือกเขาคาธตะวนั ตก (Western Ghats) และคาธตะวนั ออก (Eastern Ghats) ซง่ึ ขนานไปกบั ชายฝงั่ ทะเล เทอื กเขาคาธตะวนั ตกสูงกว่า ตะวนั ออกทาํ ใหแ้ มน่ าํ้ ส่วนใหญ่ไหลจากฝงั่ ตะวนั ตกไป ลงทะเลดา้ นตะวนั ออก ๓) ทมิฬ (Tamil) ไดแ้ ก่ บรเิ วณปลายคาบสมทุ ร ตอนใตข้ องแมน่ าํ้ กฤษณา ไปจรดปลายแดน เป็นถ่นิ ของชาวพ้นื เมอื งดราวเิ ดยี นและทมฬิ ๑๘ ในชมพทู วปี มชี นเผา่ ทอ่ี าศยั อยู่ ๒ กลุ่มใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ ชนชาติดราวิเดีย (Dravidian) หรือทราวิฑ หรือมลิ กั ขะ เป็นชนพ้นื เมอื งเจา้ ถน่ิ เดมิ อาศยั อยู่ก่อน มี ผวิ ดาํ รูปร่างเต้ีย จมูกกวา้ ง ริมฝีปากหนา เช่ือว่าเป็นเจา้ ของอารยธรรมสมยั สนิ ธุ ต่อมาพ่ายแพต้ ่อผูร้ ุกรานชาว อารยนั จงึ ถกู นาํ ลงเป็นทาส ท่ใี นภาษาสนั สกฤตเรียกว่า “ทสั ย”ุ (Dasyus) เป็นทด่ี ูถูกในหมอู่ ารยนั ว่ามรี ูปร่างหนา้ ตา น่าเกลยี ด หยาบคายและป่าเถอ่ื น ๑๘ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๗๐.
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๐๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ชนชาติอารยนั (Aryan) หรืออรยิ กะ เป็นพวกอนิ โด-ยุโรเป้ียน ผวิ ขาว รูปร่างสูงใหญ่ จมกู โด่ง ชาํ นาญ การขม่ี า้ ยงิ ธนู ไดย้ กขา้ มเทอื กเขาหมิ าลยั คาราโครมั และฮนิ ดูกูชมารุกไลเ่ จา้ ของถน่ิ เดิม จนร่นถอยไปอยู่ปลายแดน แถบคาบสมทุ รเดคคานและเขตทมฬิ แลว้ ตนเองเขา้ ยดึ ครองดนิ แดนตอนกลางไวแ้ ทน ชมพูทวีปเป็นดนิ แดนแหล่งกาํ เนิดพระพุทธศาสนา ในยุคก่อนและสมยั พทุ ธกาลถกู จดั แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือมฌั ชมิ ชนบท หรือมธั ยมประเทศ หมายถึงเขตใจกลางอนั เป็นแหลง่ อุดมสมบูรณ์ (ตรงกบั เขตฮินดู สถานในทางภูมศิ าสตร)์ และปจั จนั ตชนบท หรือปจั จนั ตประเทศ หมายถึงส่วนรอบนอก หรือชายแดน ตงั้ อยู่ทาง ภาคใตข้ องอินเดีย ขา้ มพน้ เทอื กเขาวนิ ธยั ลงไปทางใตแ้ ถบคาบสมทุ รเดคคาน (ตรงกบั เขตเดคคานและทมฬิ ในทาง ภมู ศิ าสตร)์ แผน่ ดนิ ทจ่ี ดั วา่ เป็นมชั ฌมิ ประเทศ มอี าณาเขตคอื ในมงั คลตั ถทีปนี พระสิริมงั คลาจารย์ อธิบายไวว้ ่า ชนบททีม่ ีชือ่ ว่ามชั ฌิมประเทศ ทีท่ ่านกาํ หนดไว้ ในจมั มขนั ธกะ อย่างน้ี -ในทศิ บรู พา มนี ิคมชอ่ื กชงั คละ ต่อจากนนั้ มนี ครช่อื มหาศาล ต่อจากมหาสาลนครนน้ั ไปเป็น ปจั จนั ต ชนบท ร่วมในเป็นมชั ฌมิ ชนบท -ในทิศอาคเนย์ มีแม่นาํ้ ช่ือสลั ลวดี ต่อจากแม่นาํ้ สลั ลวดีนน้ั ไป เป็นปจั จนั ตชนบท ร่วมในเป็นมชั ฌิม ชนบท -ในทิศทกั ษิณ มีนิคมช่ือเสตกณั ณิกะ ต่อจากเสตกณั ณิกนิคมนนั้ ไป เป็นปจั จนั ตชนบท ร่วมในเป็น มชั ฌมิ ชนบท -ในทศิ ปจั จมิ มบี า้ นพราหมณ์ ชอ่ื ถนู ะ ต่อจากบา้ นพราหมณน์ น้ั ไป เป็นปจั จนั ตชนบท ร่วมในเป็นมชั ฌมิ ชนบท -ในทิศอุดร มีภูเขาช่ืออุสีรธชะ ต่อจากภูเขานน้ั ไป เป็นปจั จนั ตชนบท ร่วมในเป็นมชั ฌิมชนบท ช่ือว่า “ปฏริ ูปเทส”๑๙ แมใ้ นอรรถกถาเอกนิบาตองั คตุ ตรนิกาย ท่านแสดงบาลไี วว้ า่ ก็ชนบทน้ี มสี ณั ฐานดงั คะโพน (วดั ) โดยตรง บางแห่งวดั ได้ ๘๐ โยชน์ (๘๐๐ ไมล)์ บางแห่งได้ ๑๐๐ โยชน์ (๑,๐๐๐ ไมล)์ บางแห่งวดั ได้ ๒๐๐ โยชน์ (๒,๐๐๐ ไมล)์ แต่ศูนยก์ ลาง มี ๓๐๐ โยชน์ (๓,๐๐๐ ไมล)์ วดั โดยรอบได้ ๙๐๐ โยชน์ (๙,๐๐๐ ไมล)์ ๒๐ นอกจากน้ีในคมั ภีรม์ โนรถปูรณี ยงั กล่าวอีกว่าพระพทุ ธเจา้ พระปจั เจก พทุ ธเจา้ พระโมคคลั ลานะ พระสารีบุตรเป็นตน้ พทุ ธอุปฏั ฐาน พทุ ธมารดา พทุ ธบดิ า และพระเจา้ จกั รพรรดิ ย่อม เกดิ ข้นึ ในมชั ฌมิ ประเทศนน้ั ฯลฯ ๑๙ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๙๐/๖๙-๗๐. ๒๐ อ.ํ เอกก.อ.(บาล)ี ๑๓/๖๕๙. (มโนรถปูรณี ๑) “อยํ หิ ชนปโท มทุ งิ ฺคสณฺฐาโน อชุ ุเกน กตฺถจิ อสตี ิโยชโน โหติ กตฺถจิ โยชนสติโก มชฺเฌ ปน ตโิ ยชนสตโิ ก ปรยิ นตปริกฺเขเปน นวมตฺตโยชนสตโิ ก โหต”ิ ฯ เอตตฺ เก ฐาเน พทุ ฺธปจฺเจกพทุ ธฺ พทุ ฺธุปฏฐฺ ากพทุ ฺธสาวกา พทุ ฺธมาตา พทุ ฺธปิตา จกฺกวตฺติ ราชาติ อเิ ม สตฺตา นิพพฺ ตตฺ นฺติ ฯ อปิจ อปุ าทายาปิ มชฌฺ มิ ปปฺ เทเส ลพภฺ ติ ฯ สกโลปิ หชิ มพฺ ูทโี ป มชฺฌิมปปฺ เทโส นาม เสสทปี า ปจฺจนฺติมา ชนปทา ฯ ตามพฺ ปณฺณิทเี ป อนุราธปรุ ํ มชฌฺ มิ ปปฺ เทโส นาม เสโส ปจจฺ นฺโตติ เอวํ นโย เวทติ พโฺ พ ฯ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๐๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ แควน้ หม่บู า้ น และเมอื งท่สี าคญั ในชมพทู วีป ชมพทู วปี สมยั พทุ ธกาล มบี า้ นเมอื งท่รี วมกนั เป็นแว่นแควน้ นอ้ ยใหญ่ แบ่งออกเป็น ๑๖ แควน้ ใหญ่ และ ๗ แควน้ เล็กท่ีถูกกล่าวถึงในพระไตรปิ ฎก โดยมีผูป้ กครองประจําแควน้ เหล่าน้ีปกครองระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ คอื มพี ระราชามอี าํ นาจเดด็ ขาด เช่นแควน้ มคธ แควน้ โกศล กบั ท่ปี กครองดว้ ยระบอบสามคั คี ธรรม คือมสี ภาเป็นผูบ้ ริหารบา้ นเมอื ง เช่นแควน้ มลั ละ แควน้ วชั ชี ผูป้ กครองแผ่นดินเมอ่ื ก่อนนนั้ เรียกว่า ‚ราชา‛ (Raja) ในสมยั ก่อนพทุ ธกาล การปกครองยงั อยู่ในรูปของเผ่า จนมาถงึ สมยั พทุ ธกาลจึงมกี ารแบ่งเขตเป็นแควน้ ต่างๆ ชดั เจน การปกครองโดยแบง่ เป็นแควน้ มมี หาราชาเป็นผูป้ กครองน้ีไดม้ สี บื เน่ืองมาจนถงึ อนิ เดยี ไดร้ บั เอกราช พ.ศ. ๒๔๙๐ เมอ่ื ร่างรฐั ธรรมนูญแลว้ จงึ ยกเลกิ ระบบเจา้ ครองนคร สมยั นนั้ ความสาํ นึกว่าเป็น ‚ชาติอินเดยี ‛ ยงั ไม่เกิด ยงั คงเป็นความสมั พนั ธแ์ บบบา้ นเมอื งในสมยั โบราณหรือท่นี กั ประวตั ิศาสตรบ์ าง ท่านเรียกว่า “รฐั จารีต” นนั่ เอง สาํ หรบั แควน้ ใหญ่ ๑๖ แควน้ และเลก็ ๗ แควน้ ตามท่ปี รากฏในอุบาลี อุโปสถสูตร ตกิ นิบาตองั คุตตรนิกายมคือ๒๑ “องั คะ มคธะ กาสี โกสละ วชั ชี มลั ละ เจตี วงั สะ กรุ ุ ปญั จาละ มจั ฉะ สุรเสนะ อสั สกะ อวนั ตี คนั ธาระ กมั โพชะ”๒๒ มหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล หมายถึงแควน้ ขนาดใหญ่ หรือรฐั ๑๖ รฐั ตามท่ปี รากฏในคมั ภีรท์ าง พระพทุ ธศาสนา ดงั น้ี ๑. แควน้ องั คะ มเี มอื งหลวงชอ่ื จมั ปา ๒. แควน้ มคธ มเี มอื งหลวงช่อื ราชคฤห์ ๓. แควน้ กาสี มเี มอื งหลวงชอ่ื พาราณสี ๔. แควน้ โกศล มเี มอื งหลวงช่อื สาวตั ถี ๕. แควน้ วชั ชี มเี มอื งหลวงช่อื เวสาลี (ไพศาล)ี ๖. แควน้ มลั ะ มเี มอื งหลวงชอ่ื กสุ าวดี (แต่ภายหลงั แยกเป็นกสุ นิ าราและปาวา) ๗. แควน้ เจตี มเี มอื งหลวงชอ่ื โสตถวิ ดี ๘. แควน้ วงั สะ มเี มอื งหลวงชอ่ื โกสมั พี ๙. แควน้ กรุ ุ มเี มอื งหลวงชอ่ื อนิ ทปถั ะ ๑๐. แควน้ ปญั จาละ มเี มอื งหลวงช่อื กมั ปิลละ ๑๑. แควน้ มจั ฉะ มเี มอื งหลวงช่อื วริ าฎ ๑๒. แควน้ สุระเสนะ มเี มอื งหลวงชอ่ื มถรุ า ๑๓. แควน้ อสั สกะ มเี มอื งหลวงช่อื โปตลิ (โปตละ) ๑๔. แควน้ อวนั ตี มเี มอื งหลวงชอ่ื อชุ เชนี ๑๕. แควน้ คนั ธาระ มเี มอื งหลวงช่อื ตกั ศิลา ๑๖. แควน้ กมั โพชะ มเี มอื งหลวงช่อื ทวารกะ ๒๑ องฺ.ตกิ .(บาล)ี ๒๐/๕๐๐/๒๗๓. (สฺยามรสฺส เตปิฏก)ํ ๒๒ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๘. (มจร. ๒๕๓๙)
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๐๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง นอกจากมหาชนบทหรืออาณาจกั ร ๑๖ น้ีแลว้ ยงั มแี ควน้ อืน่ ๆ ทีป่ รากฏในคมั ภรี ท์ างพระพุทธศาสนา ที่ พอจะประมวลมาไดด้ งั น้ี ๑. แควน้ โกลยิ ะ มเี มอื งหลวงชอ่ื เทวทหะ (รามคาม) ๒. แควน้ ภคั คะ มเี มอื งหลวงชอ่ื สุงสุมารคีระ ๓. แควน้ มทั ทะ มเี มอื งหลวงชอ่ื สาคละ ๔. แควน้ วเิ ทหะ มเี มอื งหลวงช่อื มถิ ลิ า ๕. แควน้ สกั กะ มเี มอื งหลวงช่อื กบลิ พสั ดุ์ ๖. แควน้ สุนาปรนั ตะ มเี มอื งหลวงช่อื สุปปารกะ ๗. แควน้ องั คุตตราปะ เมอื งหลวงเป็นเพยี งนิคมชอ่ื อาปณะ มหาชนบท หรืออาณาจกั ร ๑๖ ในสมยั พุทธกาล เท่าท่ีคน้ พบหลกั ฐานในปจั จุบนั ไดแ้ ก่อาณาเขตและ เมอื งดงั ต่อไปน้ี ๑. แควน้ กมั โพชะ ตง้ั อยู่เหนือแควน้ คนั ธาระ ตงั้ อยู่เหนือสุดของชมพูทวีป มเี มอื งหลวงช่ือทวารกะ (ปจั จบุ นั อยู่ในเขตประเทศอฟั กานิสถาน) ๒. แควน้ กาสี ตงั้ อยู่ตอนบรรจบของแม่นาํ้ คงคาและยมนุ า นครหลวงช่ือพาราณสี อยู่เหนือแควน้ มคธ อยู่ทางตะวนั ตกเฉียงใต้ ของแควน้ โกศล มแี ควน้ วชั ชีและแควน้ วิเทหะอยู่ทางตะวนั ออก มีแควน้ วงั สะอยู่ทาง ตะวนั ตก ในสมยั พทุ ธกาลแควน้ กาสถี กู รวมเขา้ เป็นส่วนหน่ึงของแควน้ โกศล (ปจั จบุ นั เรยี กว่า วาราณสี) ๓. แควน้ กรุ ุ ตงั้ อยู่บนลุ่มแม่นาํ้ ยมนุ า ตอนบนอยู่เหนือแควน้ มจั ฉะ สุรเสนะ และปญั จาละ มเี มอื งหลวง ช่อื อนิ ทปตั ถะ (ปจั จบุ นั เป็นดนิ แดนราวแควน้ ปญั จาบ และเมอื งเดลนี ครหลวงของประเทศอนิ เดยี ) ๔. แควน้ โกศล ตง้ั อยูร่ ะหว่างเทอื กเขาหมิ าลยั กบั แมน่ าํ้ คงคาตอนกลาง ทศิ เหนือจดภูเขาหมิ าลยั ตะวนั ตก ทศิ ใตจ้ ดแมน่ าํ้ คงคา ทศิ ตะวนั ออกจดแควน้ กาสตี ่อกบั แควน้ มคธ นครหลวงช่อื สาวถั ี (ปจั จบุ นั เป็นดนิ แดนราวเมอื งอโยธยา หรือ โอธะ บดั น้ีเรียกว่า สะเหต-มะเหต ตง้ั อยู่บนฝงั่ ลาํ นาํ้ อจิรวดีหรือรบั ดิ ห่างจากเมอื งโอธไปทางทิศ เหนือราว ๘๐ กิโลเมตร และอยู่ทางทิศใตห้ ่างจากเขตแดนประเทศเนปาลราว ๕๐ กิโลเมตรแควน้ โกศลคือ อุตร ประเทศในปจั จบุ นั ) ๕. แควน้ คนั ธาระ ตง้ั อยู่ทางลุ่มแมน่ าํ้ สนิ ธุตอนบน อยู่ทางเหนือสุดของชมพทู วปี มเี พยี งแควน้ กมั โพชะ อยู่เหนือข้นึ ไป นครหลวงช่ือตกั ศิลา (ปจั จุบนั เป็นดินแดนน้ีอยู่ราวพรมแดนทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือของประเทศ อนิ เดยี ตรงกบั แควา้ นปญั จาบภาคเหนือ อยูต่ ดิ กบั แควน้ กษั มรี ะ หรอื แคชเมยี ร์ นครหลวงช่อื ตกั สสิ า อยู่ในดินแดน ประเทศปากสี ถาน) ๖. แควน้ เจตี ตง้ั อยู่ลุ่มแม่นํา้ คงคา ติดต่อกบั แควน้ วงั สะทางทิศตะวนั ออก มีแควน้ วนั ตีอยู่ทางทิศ ตะวนั ตก นครหลวงชอ่ื โสตถวิ ดี ๗. แควน้ ปญั จาละ ตงั้ อยู่ลุ่มแมน่ าํ้ คงคาตอนบน มแี ม่นาํ้ ภาคีรถซี ่งึ เป็นแควหน่ึงของแมน่ าํ้ คงคาตอนบน ไหลผา่ น มแี ควน้ โกศลอยู่ทางทศิ ตะวนั ออก มแี ควน้ กรุ ุอยู่ทางทศิ ตะวนั ตก ภูเขาหมิ าลยั อยู่ทางทศิ เหนือแมน่ าํ้ คงคา อยู่ทางทศิ ใต้ เมอื งหลวงของแควน้ น้ีเดิมช่อื หสั ดินาปุระ หรือหสั ดินต่อมาจึงแยกไปตงั้ นครหลวงใหม่ คือกมั ปิลละ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๐๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตง้ั อยู่เหนือแม่นาํ้ คงคา ถดั ลงมาถงึ เมอื งสงั กสั สะ และถึงเมอื งกนั ยากพุ ชะ (บดั น้ีเรียกว่ากะเนาซ์ ปจั จุบนั ดินแดน แห่งน้ี อยูร่ าวเมอื งอคั ราของประเทศอนิ เดยี ) ๘. แควน้ มคธ ตงั้ อยูใ่ ตแ้ มน่ าํ้ คงคาตอนกลาง มแี ม่นาํ้ คงคาอยู่ห่างทศิ เหนือ และมภี ูเขาวนิ ธยั อยู่ทางทศิ ใตแ้ ละทิศตะวนั ตก ตงั้ อยู่ระหว่างแม่นํา้ โสนกบั แควน้ องั คะ นครหลวงช่ือ ราชคฤห์ ตงั้ อยู่ในเขตภูเขา ๕ ลูก ลอ้ มรอบคือ ภูเขาคชิ ณกูฏ อิสคิ ิสิ ปัพภาระ เวภาระ และ เวปุลละ เรียกว่า “เบญจคีรี” ต่อมาพระเจา้ อุทายพี ระราช นดั ดาของพระเจา้ อชาตศตั รู ไดย้ า้ ยนครหลวงไปท่ีเมืองปาฏลบี ุตร บนฝงั่ แม่นาํ้ คงคาเหนือเมืองราชคฤหข์ ้ึนไป (ปจั จุบนั ดนิ แดนแห่งน้ีคือแควน้ พหิ ารของประเทศอินเดยี นครราชคฤห์ บดั น้ีเรียกว่า ราชคีร์ ตงั้ อยู่ห่างจากเมอื งปตั นะ เมืองหลวงปจั จุบนั ของแควน้ พิหารไปทางทิศตะวนั ตกเฉียงใตป้ ระมาณ ๖๕ กิโลเมตร นครปาฏลบี ุตร บดั น้ี เรยี กวา่ ปตั นะ) ๙. แควน้ มจั ฉะ ตง้ั อยู่ริมแมน่ าํ้ สนิ ธุกบั ยมนุ าตอนบนมแี ควน้ โกศลอยู่ทางทศิ ตะวนั ออก มแี ควน้ กุรุอยู่ ทางทศิ เหนือ มแี ควน้ สุรเสนะ อยู่ทางทศิ ใต้ นครหลวงชอ่ื วริ าฏ ๑๐. แควน้ มลั ละ ตง้ั อยู่ถดั จากแควน้ โกศลไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ อยู่ทางเหนือของแควน้ วชั ชี และทางทศิ ตะวนั ออกของแควน้ สกั กะ นครหลวงช่อื กสุ าวดี แต่ภายหลงั แยกเป็นนครกสุ นิ าราและนครปาวา นครกสุ ิ นารา ตง้ั อยูใ่ นจดุ บรรจบของแมน่ าํ้ รบั ดิและคนั ธกะ ส่วนนครปาวาอยู่ระหว่างนครกสุ นิ ารากบั นครเวสาลี เมอื งหลวง ของแควน้ วชั ชี (ปจั จบุ นั เมอื งกสุ นิ าราอยูใ่ นเขตประเทศอนิ เดยี เหนือประเทศเนปาล เมอื งกสุ นิ าราบดั น้ีเรียกว่าเมอื งกา เซยี ส่วนนครปาวา บดั น้ีเรยี กว่า เมอื งปทั ระโอนะ) ๑๑. แควน้ วงั สะ ตง้ั อยู่ทางทศิ ใตข้ องลาํ นาํ้ ยมนุ า ทศิ ใตข้ องแควน้ โกศล และทางทศิ ตะวนั ตกของแควน้ กาสี นครหลวงชอ่ื โกสมั พี ตง้ั อยูเ่ หนือฝงั่ แมน่ าํ้ ยมนุ า (ปจั จบุ นั นครโกสมั พี เป็นหมบู่ า้ นเลก็ ๆ ช่อื ว่าโกสมั พอี ยู่ทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงใตข้ องเมอื งอลั ลาฮาบดั ) ๑๒. แควน้ วชั ชี ตงั้ อยูบ่ นฝงั่ ทศิ ตะวนั ออกของแมน่ าํ้ คนั ธกะอยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของแควน้ มลั ละ ทางทศิ เหนือของแควน้ มคธ นครหลวงช่อื เวสาลี หรือไพศาลี (ปจั จุบนั นครเวสาลบี ดั น้ีเรียกว่า เบสาหอ์ ยู่ห่างจากเมอื งปตั นะ ไปทางทศิ เหนือราว ๔๕ กโิ ลเมตร) ๑๓. แควน้ สุรเสนะ ตงั้ อยู่ระหว่างลาํ นาํ้ สนิ ธุกบั ยมนุ าตอนลา่ ง ตง้ั อยู่ทางใตข้ องแควน้ กรุ ุ แควน้ ปญั จาละ อยู่ทางทิศตะวนั ออก นครหลวงช่ือมถุรา (ปจั จุบนั ดินแดนแห่งน้ีอยู่ราวแควน้ ราชสถานของประเทศอินเดีย และ นครมถรุ า อยูร่ าวเมอื งมตั ตรา) ๑๔. แควน้ อวนั ตี หรือแควน้ มาลวะ ตง้ั อยู่เหนือภูเขาวนิ ธยั ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียง เหนือของแควน้ อสั ส กะ ทางตะวนั ตกเฉียงใตข้ องแควน้ วงั สะ นครหลวงช่อื อชุ เชนี (บดั น้ี คอื เมอื งอเุ ทนในประเทศอินเดยี ) ๑๕. แควน้ องั คะ ตง้ั อยู่ปลายแมน่ าํ้ คงคา ทางทศิ ตะวนั ออกของแควน้ มคธมแี ม่นาํ้ จมั ปากนั้ แดน มนี คร หลวงช่ือจมั ปา ตงั้ อยู่เหนือฝงั่ แม่นาํ้ คงคา ดา้ นขวา (ปจั จุบนั ดินแดนแห่งน้ี อยู่ราวรฐั เบงคอลของประเทศอินเดีย นครจมั ปา บดั น้ีเรยี กวา่ ภคลั ปูร)์ ๑๖. แควน้ อสั สกะ ตงั้ อยู่ลุ่มแม่นาํ้ โคธาวรี ทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือของแควน้ อวนั ตี อยู่ติดแนวของ ดนิ แดนทกั ขณิ าบถคือเมอื งแถบใต้ มนี ครหลวงชอ่ื โปตลหิ รอื โปตละ
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๐๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง หม่บู า้ น ตาบล และเมอื งทส่ี าคญั ชมพูทวีปในสมยั พุทธกาลมีหมู่บา้ น ตาํ บลเมือง และแควน้ ต่างๆ ท่ีมีความสมั พนั ธเ์ ก่ียวขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ และพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ พอจะประมวลนาํ มาบนั ทกึ ไว้ ณ ทน่ี ้ีไดด้ งั ต่อไปน้ี ๑. หม่บู า้ น กลั ลวาลมุตตคาม เป็นหม่บู า้ นอยู่ในแควน้ มคธ เม่อื คราวประโมคคลั ลานะ อุปสมบทได้ ๗ วนั ไปทาํ ความเพียรจนอ่อนใจนงั่ สปั หงกโงกง่วงอยู่ พระพุทธเจา้ เสด็จไปเทศนาโปรด จนไดส้ าํ เร็จพระอรหตั ท่ีกลั ลวาล มาตคุ ามน้ี โกลิตคาม เป็ นหมู่บา้ นเกิดของ \"โกลิตะ\" บุตรของตระกูลหัวหนา้ หมู่บา้ น ภายหลงั บวชใน พระพุทธศาสนามีนามว่า พระโมคคลั ลานะ เป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองซา้ ยของพระพุทธเจา้ ไดร้ บั ยกย่องว่าเป็น เอตทคั คะในทางมฤี ทธ์มิ าก โกลติ คามตงั้ อยู่ใกลพ้ ระนครราชคฤห์ แควน้ มคธ ถนู คาม เป็นเขตแดนบา้ นท่กี น้ั ถ่นิ กลาง หรอื มชั ฌิมประเทศกบั เมอื งชายแดนนอก หรือปจั จนั ตประเทศ ถนู คามเป็นทก่ี าํ หนดเขตสุดแดนทางทศิ ตะวนั ตก นบั แต่ถกู คามเขา้ มาคือมชั ฌมิ ประเทศ นาลนั ถคาม อยู่ตดิ กบั โกลติ คาม เป็นหม่บู า้ นเกิดของ \"อุปติสสะ\" บตุ รของตระกูลหวั หนา้ หม่บู า้ น เป็น เพ่ือนสนิทของโกลิตะ ภายหลงั บวชในพระพุทธศาสนามนี ามว่า พระสารีบุตร เป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวาของ พระพทุ ธเจา้ ไดร้ บั ยกย่องว่าเป็นเอตทคั คะในทางมปี ญั ญามาก พระสารีบตุ รเป็นกาํ ลงั สาํ คญั ของพระพทุ ธเจา้ ในการ ประกาศพระศาสนาและไดร้ บั ยกย่องว่าเป็นพระธรรมเสนาบดี นาลนั ถคามยงั เป็นบา้ นเกิดของนอ้ งชาย ๓ นอ้ งหญิง ๓ ของพระสารีบุตร ซง่ึ ต่อมาบวชในพระธรรมวนิ ยั ทงั้ หมดและนอ้ งชายทง้ั ๓ เป็นพระสาวกผูใ้ หญ่จาํ นวน ๘๐ องค์ ทกุ คน นาลนั ถคาม ตงั้ อยู่ใกลพ้ ระนครราชคฤห์ แควน้ มคธ ปาริเลยยกะ ในพรรษาท่ี ๑๐ ระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบาํ เพ็ญพทุ ธกิจของพระพุทธเจา้ พระบรม ศาสดาทรงจาํ พรรษาอยู่ท่แี ดนบา้ นปาริเลยยกะ ใกลเ้มอื งโกสมั พี แควน้ วงั สะ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ เขา้ ไปอาศยั อยู่ในป่า รกั ขติ วนั ดว้ ยทรงปลกี พระองคจ์ ากพระสงฆท์ แ่ี ตกกนั ในกรุงโกสมั พี ตลอดระยะเวลาท่จี าํ พรรษาอยู่ในป่ารกั ขติ วนั นน้ั มพี ญาชา้ งปารเิ ลยยกะ คอยปฏบิ ตั ดิ ูและพระพทุ ธเจา้ ปิลนิ ทวจั ฉคาม เป็นหมบู่ า้ นของคนงานวดั จาํ นวน ๕๐๐ ทพ่ี ระเจา้ พมิ พสิ าร พระราชทานใหเ้ป็นผูช้ ่วยทาํ ทอ่ี ยู่ของประปิสนิ ทวจั ฉะ พระมหาสาวกผูเ้ป็นเอตทคั คะ ใหท้ างเป็นทร่ี กั ของเหลา่ เทวดาทง้ั หลาย ปิลนิ ทวจั ฉ คาม อยู่ทพ่ี ระนครราชคฤห์ แควน้ มคธ เสนานิคม เป็นหม่บู า้ นในตาํ บลอรุ ุเวลา ในแควน้ มคธ นางสุชาดาผูถ้ วายขา้ วปายาสแด่พระมหาบุรุษใน เวลาเชา้ วนั เพ็ญ เดือน ๖ วนั ท่จี ะตรสั รูอ้ ยู่ท่ีหม่บู า้ นเสนานิคมน้ี ภายหลงั นางสุชาดาไดเ้ ป็นปฐมอุบาสิกาพรอ้ มกบั ภรรยาเก่าของยสะ บตุ รชายของนาง อนั ธกวนิ ทะ เป็นหมบู่ า้ นอยูต่ ดิ กบั กรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ เอกนาลา หมบู่ า้ นพราหมณ์ ซ่งึ พระพุทธเจา้ เสด็จประทบั จาํ พรรษาในพรรษาท่ี ๑๑ ระหว่างเวลา ๔๕ ปี แหง่ การบาํ เพญ็ พทุ ธกจิ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๐๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในกาลท่พี ระพุทธเจา้ ทรงปลงอายุสงั ขาร ณ ปาวาลเจดีย์ พระนครไพศาลี (เวสาล)ี ในวนั เพ็ญเดือน ๓ พรรษาท่ี ๔๕ ภายหลงั ตรสั รูพ้ ระบรมศาสดาตรสั ว่า แต่น้ีไปอีก ๓ เดือน พระตถาคตก็จกั ปรนิ ิพพานกาลต่อมาพระ บรมศาสดาพรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปไดเ้ ดินทางออกจากพระนครไพศาลี เพ่ือม่งุ หนา้ ไปยงั สาลวโนทยาน ในกรุงกุสินารา แควน้ มลั ละ สถานท่ซี ่ึงพะพุทธองคม์ ปี ระสงคจ์ กั ปรินิพพาน ในระหว่างพุทธดาํ เนินจากพระนคร ไพศาลี ไปกรุงกสุ นิ าราทรงเสดจ็ ผ่านหม่บู า้ นต่างๆ ดงั น้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงพาพระภกิ ษุสงฆเ์ สดจ็ ไปยงั บา้ น ภณั ฑคุ าม แสดงธรรมโปรดพทุ ธบริษทั ต่อจากนนั้ เสด็จ ไปบา้ น หตั ถีคาม อมั พุคามชมั พุคาม และโภคนคร โดยลาํ ดบั ประทบั อยู่ท่ีโภคนครแสดงธรรมโปรดพุทธบริษทั ชาวเมอื งนน้ั ต่อจากนน้ั จงึ เสด็จไปยงั เมอื งปาวานครเสดจ็ เขา้ ประทบั อาศยั อยู่ท่อี มั พวนั สวนมะม่วงของจุนทกมั มาร บุตรซ่งึ อยู่ใกลเ้มอื งนน้ั เสด็จจากปาวานครพรอ้ มกบั ทรงประชวรพระโรค \"โลหิตปกั ขณั ทกิ าพาธ\" (โรคทอ้ งร่วงถงึ พระโลหติ ) เสด็จพระพทุ ธดาํ เนินขา้ มแม่นาํ้ หิรญั ญวดี (หิรญั ญยวดะ) ในเมอื งกุสินารา แลว้ เสดจ็ เขา้ ไปยงั สาลวโน ทยาน ของมลั ลกษตั รยิ ใ์ กลเ้มอื งกสุ นิ ารา ๒. ตาบล กาฬศิลา ตาํ บลในชนบทสาํ คญั แห่งหน่ึงในแควน้ มคธ อยู่ขา้ งภูเขาอิสคิ ิลพิ ระนคร ราชคฤห์ ณ ท่ีน้ี พระพุทธเจา้ เคยทาํ นิมิตตโ์ อภาสแก่คนรา้ ยซ่ึงรบั จา้ งจากพวกเดียรถียไ์ ปลอบฆ่าดว้ ยการทุบตีจนร่างแหลก พระพทุ ธเจา้ โปรดใหก้ ่อสถูปบรรจอุ ฏั ฐธิ าตขุ องท่านไวใ้ กลซ้ มุ้ ประตวู ดั เวฬวุ นั ในเขตเมอื งราชคฤห์ คยาสสี ะ เป็นตาํ บลเนินเขาแหง่ หน่ึง รมิ แมน่ าํ้ เนรญั ชรา แควน้ มคธ เป็นสถานท่ซี ่งึ คยากสั สปนอ้ งชายคน เลก็ ของนกั บวชชฏลิ แห่งกสั สปโคตร ตงั้ อาศรมอยู่พรอ้ มบรวิ าร ๒๐๐ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมเทศนาอาทติ ตย ปริยายสูตร (พระสูตรว่าดว้ ย อายตนะทงั้ ๖ ทร่ี อ้ นติดไฟลุกทวั่ ดว้ ยไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ตลอดจนรอ้ น ดว้ ยทุกขม์ ี ชาติ ชรา มรณะ) ใหค้ ณาจารยช์ ฏิลสามพ่นี อ้ งและบริวาร ๑๐๐๐ ซ่งึ พรรพชาเป็นพระภกิ ษุสงฆ์ แลว้ ทงั้ หมดเคยเป็นชฏลิ บูชาไฟมาก่อนหลงั จากทรงแสดงธรรมเทศนาพระสูตรน้ี ทาํ ใหภ้ กิ ษุเหลา่ นน้ั บรรลุอรหตั ตผล โคตมนิโครธ ตาํ บลแห่งหน่ึงในพระนครราชคฤห์ นครหลวงของแควน้ มคธ ท่ตี าํ บลน้ีพระพทุ ธเจา้ เคย นิมติ ตโ์ ภาสแก่พระอานนท์ ปาริเลยยกะ ตาํ บลแหง่ หน่ึงใกลก้ รุงโกสมั พี นครหลวงของแควน้ วงั สะ เป็นทต่ี งั้ ของป่ารกั ขติ วนั และแดน บา้ นปารเิ ลยยกะ เวฬุวคาม ตาํ บลหน่ึงใกลแ้ ควน้ นครเวสาลี (ไพศาล)ี แควน้ วชั ชีพระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๔๕ นบั แต่ไดต้ รสั รูท้ เ่ี วฬคุ ามแห่งน้ีเป็นพรรษาสุดทา้ ยทจ่ี ะเสดจ็ ปรนิ ิพพาน เสตกณั ณิกนิคม นิคมท่ีกน้ั อาณาเขตมชั ฌิมชนบท (ถ่ินกลางของอาณาเขต เป็นศูนยร์ วมของความ เจริญรุ่งเรืองนานาประการ) กบั ปจั จนั ตชนบทหรือปจั จนั ตประเทศ (หวั เมอื งชนั้ นอก ถน่ิ ทย่ี งั ไม่เจริญ)ทางทศิ ใตน้ บั จากเสตกณั ณิกนิคมเขา้ มาถอื เป็นมชั ฌมิ ชนบท อุกกลชนบท เป็นตาํ บลชนบทแดนไกลท่ี ๒ พ่อค่าคือ ตปุสสะ กบั ภลั ลกิ ะ นาํ กองเกวียนบรรทุกสนิ คา้ เดนิ ทางเขา้ มาพบพระพทุ ธเจา้ ขณะประทบั อยู่ ณ ภายใตต้ น้ ราชาตนะ (ไมเ้กต) ภายหลงั พระบรมศาสดาทรงตรสั รูไ้ ด้ ๗ สปั ดาห์ และเพง่ิ เสร็จส้นิ จากเสวยวมิ ตุ ติสุข ๒ พ่อคา้ จากอุกกลชนบทไดถ้ วายเสบยี งเดนิ ทางคือขา้ วสตั ตุผง ขา้ ว
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๐๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ สตั ตุกอ้ น แลว้ เสดงตนเป็นอุบาสก ถงึ พระพุทธเจา้ กบั พระธรรมเป็น ๒ สรณะ นบั เป็นปฐมอุบาสกผูถ้ ึงสรณะ ๒ เรยี กว่า \"เทววาจิก\" อุรุเวลา เป็นตาํ บลใหญ่แห่งหน่ึง ในแควน้ มคธ ตง้ั อยู่ ณ ลุ่มแม่นํา้ เนรญั ชรา เป็นภูมสิ ถานท่ีสงบน่า ร่ืนรมย์ พระมหาบุรุษทรงเลือกตาํ บลอุรุเวลาเป็นท่ีบาํ เพ็ญเพียร ทรงประทบั อยู่ท่ีตาํ บลแห่งน้ีนานถึง ๖ ปี จาก พระชนมายุ ๒๙ พรรษา ถึง ๓๕ พรรษา ทรงบาํ เพ็ญเพียร และจากการบาํ เพ็ญทุกรกริยาเปล่ยี นมาทรงดาํ เนิน ในมชั ฌมาปฏปิ ทา (ทางสายกลาง) จนไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ ในวนั เพญ็ เดือน ๖ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปีภายใตร้ ่มพระศรมี หาโพธ์ภิ ายในปาสาละ ณ รมิ ฝงั่ แมน่ าํ้ เนรญั ชรา ในตาํ บลแหง่ น้ี ๓. เมอื ง กบลิ พสั ดุ์ เมอื งหลวงของแควน้ สกั กะ พระพระพทุ ธบดิ าคือ \"พระเจา้ สุทโธนะ\" เป็นกษตั ริย์ ครองนคร กบลิ พสั ดุ์ (บดั น้ีอยูใ่ นเขตประเทศเนปาล) กมั ปิ ลละ นครหลวงแห่งแควน้ ปญั จาละ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล เมอื งกมั ปิลละตงั้ อยู่ เหนือแมน่ าํ้ คงคาตอนบน กุกกุฏวดี อยู่ในปจั จนั ตประเทศ หรอื หวั เมอื งชน้ั นอกอนั เป็นถ่นิ ท่ยี งั ไม่เจริญ กษตั รยิ ผ์ ูค้ รองนครกุกกุฏ วดีไดท้ ราบข่าวการอุบตั ิของพระพุทธเจา้ แลว้ บงั เกิดปีติศรทั ธาสละราชสมบตั ิทรงมา้ เดินทางไกล ๓๐๐ โยชน์ (ประมาณ ๔,๘๐๐ กิโลเมตร) มาเฝ้ าพระพุทธเจา้ สดบั ธรรมกถาบรรลุประอรหตั แลว้ ไดร้ ับอุปสมบท เป็นพระ มหาสาวกนามว่า “มหากปั ปินะ” ไดร้ บั ยกย่องว่าเป็นเอตทคั คะในทางใหโ้ อวาทแก่ภิกษุส่วนพระอคั รมเหสชี ่ืออโนชา ทรงรถเสด็จมาเฝ้าพระบรมศาสดาเช่นกนั ฟงั ธรรมบรรลุโสดาปตั ติผลแลว้ รบั พรรพชาจากพระอคั รสาวกิ าฝ่ายซา้ ย อบุ ลวรรณาเถรี กุสนิ ารา เมอื งหลวงแหง่ หน่ึงของแควน้ มลั ละ เดมิ ช่อื กุสาวดภี ายหลงั แยกเป็นกุสนิ ารา และ ปาวา ทง้ั สอง นครเป็นเมอื งหลวงของแควน้ มลั ละ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล กสุ นิ าราเป็นเมอื งเลก็ ๆ ซ่งึ พระพทุ ธเจา้ ทรงเลอื กเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานทเ่ี มอื งแห่งน้ี กสุ นิ าราตง้ั อยูใ่ นทบ่ี รรจบของแมน่ าํ้ รบั ดิ และแมน่ าํ้ คนั ธกะ โกสมั พี นครหลวงของแควน้ วงั สะ ตง้ั อยู่เหนือฝงั่ ตอนใตข้ องแมน่ าํ้ ยมนุ า พระพทุ ธเจา้ ทรงจาํ พรรษาท่ี ๙ ทว่ี ดั โฆสติ ารามในกรุงโกสมั พี และทรงจาํ พรรษาท่ี ๑๐ ทป่ี ่ารกั ขติ วนั ตาํ บลปารเิ ลยยกะ ใกลก้ รุงโกสมั พี จมั ปา นครหลวงของแควน้ องั คะ ตงั้ อยู่บนฝงั่ แม่นาํ้ จมั ปา ซ่งึ บรรจบกบั ปลายแม่นาํ้ คงคา แควน้ องั คะ เป็นหน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล ตกั ศิลา นครหลวงแห่งแควน้ คนั ธาระ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ใน สมยั พทุ ธกาล ตกั ศิลาเป็นราชธานีทม่ี งั่ คงั่ รุ่งเรอื งสบื ต่อกนั มาหลายศตวรรษตงั้ แต่ก่อนพทุ ธกาล รุ่งโรจนด์ ว้ ยศิลปวทิ ยาต่างๆ เป็นสถานท่มี ชี ่อื เสยี งท่สี ุดใน การศึกษายุคโบราณ เป็นศูนยก์ ลางการศึกษา มีสาํ นกั อาจารยท์ ิศาปาโมกข์ สงั่ สอนศิลปวิทยาต่างๆ แก่ศิษยท์ ่ี เดนิ ทางมาเลา่ เรยี นจากทกุ ถน่ิ ในชมพทู วปี บคุ คลสาํ คญั และมชี ่อื เสยี งหลายท่านในสมยั พทุ ธกาลสาํ เรจ็ การศึกษาจาก นครตกั ศิลา เช่น พระเจา้ ปเสนทโิ กศ (พระเจา้ แผน่ ดินแควน้ โกศลครองราชสมบตั ิอยู่ท่พี ระนครสาวตั ถ)ี เจา้ มหาลลิ จิ ฉวี พนั ธุลเสนาบดี หมอชวี กโกมาภจั (แพทยป์ ระจาํ ประองคข์ องพระพทุ ธเจา้ ) และองคุลมิ าล (มหาโจรผูก้ ลบั ใจเป็น พระอรหนั ตม์ หาสาวก)
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๐๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ เทวทหะ หรือรามคาม นครของแควน้ โกลยิ ะ มกี ษตั ริยโ์ กลยิ วงศป์ กครอง พระนางสริ มิ มหามายาพทุ ธ มารดา เป็นเจา้ หญิงแห่งเทวทหนคร เป็นพระราชบุตรีของพระเจา้ อญั ชนะ นครเทวทหะ หรือรามคามเป็นท่ี ประดษิ ฐานสถปู บรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตแุ หง่ หน่ึง บดั น้ีอยูใ่ นเขตประเทศเนปาล นาลนั ทา เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหน่ึงในแควน้ มคธ อยู่ห่างจากพระนครราชคฤหป์ ระมาณ ๑ โยชน์ (ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) ณ เมือง น้ีสวนมะม่วงช่ือ \"ปาวาริกกมั พวนั \" หรือสวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐีซ่ึง พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาประทบั แรมหลายครง้ั ปาฐา เป็นเมอื งหน่ึงในมธั ยมประเทศ ภกิ ษุชาวเมอื งน้ีคณะหน่ึงเป็นเหตปุ รารภใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาต การกรานกฐนิ ปาวา นครหลวงของแควน้ มลั ละ เดมิ ชอ่ื กสุ าวดี ภายหลงั แยกเป็นปาวาและกุสนิ ารา ทง้ั สองนครเป็นเมอื ง หลวงของแควน้ มลั ละหน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล ปิ ปผลิวนั มีโมริกยกษตั ริย์ เป็นกษตั ริย์ ผูค้ รอบเมือง พระองค์ส่งทูตมาไม่ทนั เวลาแจกพระบรม สารีรกิ ธาตุของพระพทุ ธเจา้ จึงไดแ้ ต่พระองั คาร (ถ่านเถา้ ทถ่ี วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระ) ไปบรรจุไวใ้ นพระสถูปใน เมอื งปิปผลวิ นั อนั มนี ามว่า \"องั คารสตปู \" พาราณสี เมอื งหลวงของแควน้ กาสี ตง้ั อยู่ริมแม่นาํ้ คงคาพระพุทธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปจั จ วคั คีย์ ทป่ี ่าอสั ปตนมฤคทายวนั ใกลเ้มอื งพาราณสี ณ สถานทแ่ี ห่งน้ีเป็นทก่ี ่อใหเ้กิดพระรตั นตรยั ครบถว้ นสมบูรณ์ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระพุทธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๑ ภายหลงั ตรสั รู้ ณ ป่าอิสปตน มฤคทายวนั ใกลเ้มอื งพาราณสี โภคนคร เป็นเมอื งท่ีพระพุทธเจา้ พรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปทรงประทบั แสดงธรรมโปรดพทุ ธ บรษิ ทั ชาวเมอื งกสุ นิ าราทรงดบั ขนั ธปรินิพาน มหาศาลนคร เป็นนครทก่ี น้ั ถน่ิ กลาง หรอื มชั ฌมิ ประเทศกบั เมอื งชายแดน หรอื ปจั จนั ตประเทศ มหาศาล นครเป็นทก่ี าํ หนดเขตสุดแดนทางทศิ ตะวนั ออก นบั จากมหาศาลนครเขา้ มาคือ มชั ฌมิ ประเทศ มถิ ิลา เป็นนครหลวงของแควน้ วเิ ทหะ ราชคฤห์ นครหลวงของแควน้ มคธ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล เป็นนครท่มี คี วามเจรญิ รุ่งเรือง เต็มไปดว้ ยคณาจารยเ์ จา้ ลกั ธิพระพุทธเจา้ ทรงเลอื กพระนครราชคฤหเ์ ป็นภูมทิ ่ปี ระดิษฐานพระพทุ ธศาสนาเป็นปฐม พระเจา้ พมิ พสิ ารราชาแห่งแควน้ มคธ ครองราชสมบตั ิ ณ ราชธานีแห่งน้ี พระองคท์ รงถวายพระราชอุทยานเวฬวุ นั เป็น สงั ฆาราม นบั เป็นวดั แรกในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๒-๓-๔-๑๗ และ ๒๐ ในระว่างเวลา ๔๕ แห่งการบาํ เพญ็ พทุ ธกจิ ทพ่ี ระเวฬวุ นั พระนครราชคฤห์ วริ าฏ นครหลวงแห่งแควน้ มจั ฉะ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล เวรญั ชา พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๑๒ ภายหลงั ตรสั รูท้ เ่ี มอื งน้ี เวสาลี หรือไพศาลี นครหลวงของแควน้ วชั ชี หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล ตง้ั อยู่บนฝงั่ ทิศ ตะวนั ออกของแม่นาํ้ คนั ธกะพระพุทธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๕ ณ กูฎาคารในป่ามหาวนั นครเวสาลี และใน พรรษาสุดทา้ ย คอื พรรษาท่ี ๔๕ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาทเ่ี วฬคุ ามใกลน้ ครเวสาลี
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๐๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สงั กสั สะ ตงั้ อยู่ในแควน้ ปญั จาละอนั มเี มอื งหลวงช่ือ \"กมั ปิลละ\" เป็นหน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล ในพรรษาท่ี ๗ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาทด่ี าวดึงสเทวโลก ทรงแสดงพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธ มารดานานสามเดือน และเสด็จลงจากดาวดึงสเทวโลกท่ีนครสงั กะสะแห่งน้ี นครสงั กะสะอยู่ทางตอนใตข้ อง นครกมั ปิลละ มแี ควน้ กรุ ุอยูท่ างทศิ ตะวนั ตก มแี ควน้ โศลอยู่ทางทศิ ตะวนั ออก สาเกต เป็นมหานครแห่งหน่ึง อยู่ในแควน้ โกศลอนั มีนครสาเกตอยู่ห่างจากพระนครสาวตั ถี ๗ โยชน์ (ประมาณ ๑๑๒ กโิ ลเมตร) ธนญั ชยั เศรษฐบี ดิ าของนางวสิ าขา มหาอุบาสกิ าผูส้ รา้ งวดั บพุ พาราม ณ พระนครสาวตั ถี เคียงคู่ใกลก้ บั พระเชตวนั มหาวหิ ารถวายพระพทุ ธเจา้ สาคละ นครหลวงของแควน้ มทั ทะ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาลตง้ั อยู่รมิ แมน่ าํ้ สนิ ธุกบั ยมนุ า ตอนบน สาวตั ถี นครหลวงของแควน้ โกศล หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พุทธกาล เป็นศูนยก์ ลางการเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาครงั้ สมยั พทุ ธกาลเป็นท่ที พ่ี ระพทุ ธเจา้ ประทบั จาํ พรรษามากทส่ี ุดถงึ ๒๕ พรรษา ณ เชตวนั มหาวหิ าร และบุพพาราม พระเจา้ ปเสนทโิ กศล พระเจา้ แผ่นดนิ แควน้ โกศลซ่งึ ครองราชสมบตั ิอยู่ท่พี ระนครสาวตั ถีเล่อื มใสใน พระพทุ ธศาสนา ตงั้ มนั่ อยู่ในพระไตรสรณคมณ์ สองมหาอบุ าสก อบุ าสกิ า คืออนาถบณิ ทกิ เศรษฐี และนางวสิ าขา มิ คารมารดา กพ็ าํ นกั อยู่ ณ พระนครแหง่ น้ี สุงสุมารครี ะ นครหลวงของแควน้ ภคั คะ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๘ ภายหลงั ตรสั รู้ ทเ่ี ภสกลา วนั ในป่าไมส่ เี สยี ดใกลเ้มอื งสุงสุมารครี ะ แควน้ ภคั คะ โสตถวิ ดี นครหลวงแหง่ แควน้ เจตี หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล อาฬวี ในพรรษาท่ี ๑๖ ระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบาํ เพ็ญพทุ ธกิจ พระพุทธเจา้ ไดเ้ สด็จไปประทบั จาํ พรรษา ณ เมอื งอาฬวี ทรงทรมานอาฬวกยกั ษ์ สยบฤทธ์เิ ดชใหย้ นิ ดใี นอรยิ ธรรม ทรงช่วยใหช้ าวนครอาฬวตี ง้ั อยู่ใน กลั ยาณธรรม ประทานธรรมใหเ้ป็นสมาบตั ิ ปลกุ ใหเ้กดิ ความปรานีกนั ทวั่ หนา้ อินทปัตถ์ นครหลวงของแควน้ กรุ ุ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล ตงั้ อยู่บรเิ วณลุม่ แมน่ าํ้ ยมนุ า ตอนบน อุชเชนี นครหลวงแห่งแควน้ อวนั ตี หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พุทธกาล, พระเจา้ จณั ฑปชั โชตเป็น ราชาผูค้ รองแควน้ อนั ตคี รองราชสมบตั ิอยูท่ ่กี รุงอชุ เชนี กมั โพชะ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พุทธกาลมนี ครหลวงช่ือทวารกะ แควน้ กมั โพชะอยู่ทาง ตอนเหนือสุดของทวปี (บดั น้ีดนิ แดนแห่งน้ีอยูใ่ นเขตประเทศอฟั กานิสถาน) กาสี แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล นครหลวงช่อื พาราณสี ในสมยั พทุ ธกาลแควน้ กาสถี กู รวมเขา้ เป็นสว่ นหน่ึงของแควน้ โกศล กุรุ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล นครหลวงช่ืออินทปตั ต์ พระเจา้ โกรพั ยะ เป็นราชาผู้ ครองแควน้ กรุ ุ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๐๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ โกลยิ ะ แควน้ โกลยิ ะหรือดนิ แดนของกษตั ริยโ์ กลยิ วงค์ มนี ครหลวงช่ือเทวทหะ หรือรามคาม พระนางสิ รมิ มหามายาพทุ ธมารดา เป็นเจา้ หญิงแห่งโกลยิ วงศ์ เป็นพระราชบุตรขี องพระเจา้ อญั ชนะผูค้ รองนครเทวทหะ (บดั น้ี ดนิ แดนแห่งน้ีอยู่ในเขตประเทศเนปาล) โกศล แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงช่อื สาวตั ถี แควน้ โกศลเป็นแควน้ ใหญ่ และมอี าํ นาจมาก พระเจา้ ปเสนทโิ กศลเป็นราชาผูค้ รองแควน้ และเป็นผูเ้ลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา ยง่ิ นครสาวตั ถเี ป็น ศูนยก์ ลางการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในสมยั พทุ ธกาล คนั ธระ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พุทธกาลมีนครหลวงช่ือตกั ศิลา เป็นนครท่ีรุ่งเรืองดว้ ย ศิลปวทิ ยาต่างๆ เป็นศูนยก์ ลางทางการศึกษา พระเจา้ ปกุ กุสาตเิ ป็นพระราชาผูค้ รองแควน้ (บดั น้ีดนิ แดนของนครตกั ศิลา อยู่ในเขตประเทศปากสี ถาน) เจตี แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงโสตถวิ ดี พระสารบี ุตรอคั รสาวกเบ้อื งขวา ของพระพทุ ธเจา้ ทรงตงั้ สาํ นกั ทป่ี ่าปาจนี วงั สทายวนั ในแควน้ เจตี ปัญจาละ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงช่อื กมั ปิลละ ภคั คะ แควน้ คั คะมนี ครหลวงช่อสุงสุมารคีระซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ประทบั จาํ พรรษาท่ี ๘ ภายหลงั ตรสั รู้ มคธ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงช่อื ราชคฤห์ พระเจา้ พมิ พสิ ารเป็นราชาผู้ ครองแควน้ แต่ในตอนปลายพทุ ธกาลถกู ประราชโอรสช่อื อชาตศตั รู ปลงพระชนมแ์ ละข้นึ ครองราชยส์ บื แทน แควน้ มคธเป็นแควน้ ท่มี อี าํ นาจมากแข่งกบั แควน้ โกศล และเป็นท่ซี ่งึ พระพทุ ธเจา้ ทรงประดิษฐานพระพทุ ธศาสนา ในสมยั พทุ ธกาล มจั ฉะ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงชอ่ื วริ ฏ มทั ทะ แควน้ มทั ทะมนี ครหลวงช่อื สาคละ นครทก่ี าํ เนิดของพระมหาสาวกิ า ภทั ทกาปิลานี มลั ละ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาลมนี ครหลวงช่อื กุสาวดี แต่ภายหลงั แยกเป็น ๒ นคร หลวงคือนครกุสินารากบั นครปาวาแควน้ มลั ละมีการปกครองแบบสามคั คีธรรม โดยมีพวกมลั ลกษตั ริย์ เป็น ผูป้ กครอง ภายหลงั แยกเป็น ๒ นครหลวง คณะกษตั ริยแ์ บ่งเป็นพวกหน่ึงปกครองท่ีนครกุสินารา อีกพวกหน่ึง ปกครองทน่ี ครปาวา วงั สะ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พุทธกาลมนี ครหลวงช่ือโกสมั พี มพี ระเจา้ อเุ ทน เป็นราชาผู้ ครองแควน้ แควน้ วงั สะเป็นแควน้ ทเ่ี จรญิ รุ่งเรอื ง และมอี าํ นาจมากแควน้ หน่ึง วชั ชี แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงช่อื เวสาลี (ไพศาล)ี แควน้ วชั ชีปกครอง ดว้ ยระบอบสามคั คีธรรม พวกกษตั รยิ ท์ ่ปี กครองเรยี กว่า กษตั ริยล์ จิ ฉวี แควน้ วชั ชีเจรญิ รุ่งเรืองเขม้ แขง็ และมอี าํ นาจ มากตลอดปลายพทุ ธกาลไดก้ ลายเป็นคู่แขง่ กบั แควน้ มคธ แต่ภายหลงั พทุ ธกาลไมน่ านกเ็ สยี อาํ นาจแก่แควน้ มคธ วเิ ทหะ แควน้ วเิ ทหะ มนี ครหลวงช่อื มถิ ลิ า เป็นดนิ แดนพวกวชั ชีอีกถน่ิ หน่ึง ตงั้ อยู่บยฝงั่ แม่นาํ้ คงคาตรง ขา้ มกบั แควน้ มคธมกี ารปกครองดว้ ยระบอบสามคั คธี รรมเช่นเดยี วกบั แควน้ วชั ชี สกั กะ แคว้ นหน่ึงในชมพูทวปี ตอนเหนือ มนี ครหลวง ช่ือกบลิ พสั ดุม์ กี ารปกครองโดยสามคั คีธรรม พระ เจา้ สุทโธทนะพระพทุ ธบดิ าทรงครองราชสมบตั ทิ น่ี ครกบลิ พสั ดุ์ (บดั น้ี ดนิ แดนแหง่ น้ีอยู่ในเขตประเทศเนปาล)
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๑๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง สุนาปรนั ตะ แควน้ สุนาปรนั ตะอยูใ่ นแดนไกล ทางตะวนั ตกเฉียงใตข้ องมชั ฌมิ ประเทศ มเี มอื งท่าใหญ่ช่อื สุปปารกะ อยู่ริมทะเล ชาวสุนาปรนั ตะช่ือว่าดุรา้ ย พระมหาสาวกปุณณสุนาปรนั ตะเกิดท่ีเมืองท่าในแควน้ น้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั รอยพระบาทไวท้ ่รี มิ ฝงั่ แม่นาํ้ นนั มทา และท่ภี เู ขาสจั จพนั ธ์ ในกาลทเ่ี สดจ็ มาแสดงธรรมโปรด ชาวแควน้ สุนปรนั ตะ ตามคาํ อาราธนาของพระมหาปณุ ณะ นบั วา่ เป็นประวตั กิ ารเกดิ ข้นึ ของรอยพระพทุ ธบาท สุรเสนะ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาลมนี ครหลวงช่อื มถรุ า อวนั ตี แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงช่อื อชุ เชนี พระเจา้ จณั ฑปชั โชตเป็นราชา ผูค้ รองแควน้ องั คะ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาล มนี ครหลวงช่อื จมั ปา ในสมยั พทุ ธกาล แควน้ องั คะ ถกู รวมเขา้ เป็นสว่ นหน่ึงของแควน้ มคธ แคว้ นองั คะตงั้ อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของแควน้ มคธ มแี มน่ าํ้ จมั ปากน้ั แดน องั คุตตราปะ แควน้ เลก็ แควน้ หน่ึงในชมพทู วปี ครง้ั พทุ ธกาล เมอื งหลวงเป็นเพยี งนิคม ช่อื อาปณะ อสั สกะ แควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ในสมยั พทุ ธกาลมนี ครหลวงช่อื โปตลหิ รอื โปตนะ อาฬกะ แควน้ อาฬกะ ตงั้ อยูล่ มุ่ แมน่ าํ้ โคธาวรี ตรงขา้ รมกบั แควน้ อสั สะ ๒.๓ อนิ เดียในฐานะออู่ ารยธรรมของโลก อารยธรรมอนิ เดีย อินเดีย เป็นตน้ สายธารทางวฒั นธรรมของชาติตะวนั ออก (ชนชาติในทวปี เอเชีย) หลายชาติ เป็นแหล่ง อารยธรรมทเ่ี ก่าแก่แห่งหน่ึงของโลก บางทเี รียกว่า “แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้าสนิ ธุ” (Indus Civilization) อาจแบ่ง ยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตรข์ องอนิ เดยี ไดด้ งั น้ี ๑. สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ยุคโลหะของอินเดียเร่ิมเม่อื ผูค้ นรูจ้ กั ใชท้ องแดงและสาํ ริด เม่อื ประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช และรูจ้ กั ใชเ้ หลก็ ในเวลาต่อมา พบหลกั ฐานเป็นซากเมอื งโบราณ ๒ แห่ง ในบริเวณท่ี ราบลมุ่ แมน่ าํ้ สนิ ธุ คือ (๑) เมอื งโมเฮนโจ ดาโร (Mohenjo Daro) ทางตอนใตข้ องประเทศปากีสถาน
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๑๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ (๒) เมอื งฮารบั ปา (Harappa) ในแควน้ ปนั จาป ประเทศปากสี ถานในปจั จบุ นั ๒. สมยั ประวตั ิศาสตร์ อินเดียเขา้ สู่ ‚สมยั ประวตั ิศาสตร‛์ เมอ่ื มกี ารประดิษฐต์ วั อกั ษรข้นึ ใชป้ ระมาณ ๗๐๐ ปี ก่อนครสิ ตศ์ กั ราช โดยชนเผา่ อนิ โด – อารยนั (Indo – Aryan) ซง่ึ ตง้ั ถน่ิ ฐานในบรเิ วณลุ่มแมน่ าํ้ คงคา สมยั ประวตั ศิ าสตรข์ องอนิ เดียแบ่งเป็น ๓ ยคุ ดงั น้ี (๑) ประวตั ิศาสตรส์ มยั โบราณ เร่ิมตง้ั แต่การถอื กาํ เนิดตวั อกั ษรอินเดียโบราณท่เี รียกว่า ‚บรามิ ลปิ ิ‛ (Brahmi lipi) เมอ่ื ประมาณ ๗๐๐ ปีก่อนครสิ ตศ์ กั ราช และส้นิ สุดในราวครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๖ ซง่ึ ตรงกบั สมยั ราชวงศ์ คุปตะ (Gupta) เป็นยุคสมยั ทศ่ี าสนาพราหมณ์ ฮนิ ดู และพระพทุ ธศาสนาไดถ้ อื กาํ เนิดข้นึ แลว้ อกั ษร บรามิ ลปิ ิ (๒) ประวตั ศิ าสตรส์ มยั กลาง เร่มิ ตง้ั แต่เมอ่ื ราชวงศค์ ุปะส้นิ สุดลง ประมาณครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๖ จนถงึ ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๖ เมอ่ื กษตั รยิ ม์ สุ ลมิ สถาปนาราชวงศโ์ มกลุ (Mughul) และเขา้ ปกครองอนิ เดยี (๓) ประวตั ิศาสตรส์ มยั ใหม่ เร่ิมตง้ั แต่ตน้ ราชวงศโ์ มกุล ในราวคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๖ จนถึงการ ไดร้ บั เอกราชจากองั กฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๗
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๑๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง อารยธรรมอนิ เดีย มคี วามเจริญรุ่งเรืองและมอี ายเุ ก่าแก่ ไมแ่ พอ้ ารยธรรมแหล่งอืน่ ๆ ทกี่ ล่าวมาแลว้ สรุป สาระสาํ คญั ไดด้ งั น้ี ๑. สมยั อารยธรรมล่มุ แม่น้าสนิ ธุ (ประมาณ ๒,๕๐๐-๑,๕๐๐ ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช) ถอื ว่าเป็นสมยั อารย ธรรม ‚กง่ึ ก่อนประวตั ศิ าสตร‛์ เพราะมกี ารคน้ พบหลกั ฐานจารกึ เป็นตวั อกั ษรโบราณแลว้ แต่ยงั ไม่มผี ูใ้ ดอ่านออก และ ไมแ่ น่ใจวา่ เป็นตวั อกั ษรหรอื ภาษาเขยี นจรงิ หรอื ไม่ ศูนยก์ ลางความเจริญอยู่ท่เี มอื งโมเฮนโจ–ดาโร และเมอื งฮารปั ปา ริมฝงั่ แม่นาํ้ สินธุประเทศปากีสถานใน ปจั จบุ นั สนั นิษฐานวา่ เป็นอารยธรรมของชนพ้นื เมอื งเดมิ ทเ่ี รยี กวา่ “ทราวฑิ ” หรอื พวกดราวเิ ดยี น (Dravidian) เผา่ ดราวเิ ดียน กลมุ่ ชาตพิ นั ธุด์ งั้ เดมิ ในอนิ เดยี เชอ่ื วา่ เป็นมนุษยอ์ อสตราลอยด์ เนกริโต ฯ ท่อี พยพเขา้ มาจนเกิดเป็นชาวฑ ราวทิ หรือ มลิ กั ขะ หรือดราวิเดียน ท่มี ผี วิ ดาํ ตวั เต้ยี ผมหยกิ จมกู แบน ใชภ้ าษาตระกูล ฑราวทิ ไดแ้ ก่ภาษาทมฬิ เทเลกู มะละยา ลมั คานารีส จนกระทงั่ เม่อื ประมาณ ๑,๕๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล เมอ่ื ชนเผ่ากลุม่ อินโด-อารยนั จาก เอเซยี กลาง มรี ่างกายสูง ผวิ ขาว ผมหยกั ศก จมกู โด่ง อพยพเขา้ มาทางตะวนั ออกเฉียงเหนือ กลุ่มอารยนั น้ี ใชภ้ าษา ตระกูลอารยนั ซ่งึ แบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่คือ สนั สกฤต และ ปรากฤต๒๓ โดยภาษาบาลี และมคธ อยู่ในกลุ่มภาษา ปรากฤต ในขณะเดยี วกนั ยงั มชี นกลมุ่ เลก็ กลมุ่ นอ้ ยอกี มากมายทแ่ี ตกต่างทางชาตพิ นั ธุ์ ภาษาตลอดจนประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมา เช่น ชนชาวมสุ ลมิ ท่นี ิยมใชภ้ าษาอูรดู รวมทงั้ คนไทอาหมในแควน้ อสั สมั ท่ใี ชภ้ าษาไต โดยในทุกวนั น้ี หากถามชาวอนิ เดยี ว่าเป็นคนชาติภาษาใด คาํ ตอบท่ไี ดค้ ือ เป็นคนอสั สมั เบงกอล ปญั จาบ ทมฬิ คุชราช แคชเมยี ร์ ไทนอ้ ยคนท่จี ะตอบว่าเป็นคนอินเดยี ใชภ้ าษาอนิ เดยี สาํ หรบั ช่ือเรียกดินแดน คนอินเดยี นิยมเรียกประเทศว่า ภารต วรรษ เรยี กตนเองเป็นชาวภารตะ ผูส้ บื เช้อื สายมาจากทา้ วภรต กษตั รยิ ใ์ นมหากาพยภ์ ารตะ ในทส่ี ุด ๒. สมยั พระเวท (ประมาณ ๑,๕๐๐-๖๐๐ ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช) เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอนิ โด-อารยนั (Indo-Aryan) ซง่ึ อพยพมาจากเอเชียกลาง เขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานในบรเิ วณท่รี าบลุม่ แม่นาํ้ สนิ ธุและคงคาโดยขบั ไลช่ นพ้นื เมอื งทราวฑิ ใหถ้ อยร่นลงไปทางตอนใตข้ องอินเดีย ๒๓ ภาษาปรากฤต หมายถงึ ซง่ึ เกดิ จากธรรมชาติ คอื ภาษาทวั่ ไปทช่ี าวบา้ นพูดกนั อนั ไดค้ ลค่ี ลายมาจากภาษาสนั สกฤตสมยั พระเวท มหี ลาย ภาษา อาทิ ภาษามาคธี ภาษาอวนั ตี ภาษามหาราษฏรี เป็นตน้ พวกพราหมณ์เหยยี ดภาษาจาํ พวกปรากฤตว่าเป็นภาษาตาํ่ ตอ้ ย ต่อมาพระพทุ ธเจา้ ทรงใช้ ภาษามาคธใี นการเผยแผพ่ ระศาสนา ภาษาน้ี จงึ มคี วามสาํ คญั ข้นึ และภายหลงั บญั ญตั เิ รียกวา่ ภาษาบาลี แปลวา่ ภาษาทม่ี แี บบแผน ศาสนาเชนซง่ึ ร่วมสมยั กบั พทุ ธศาสนากใ็ ชภ้ าษาปรากฤตแขนงหน่งึ ชอ่ื วา่ อรธมาคธี บนั ทกึ คาํ สอน
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๑๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ สมยั พระเวทแสดงถงึ ความเจรญิ รุ่งเรอื งของศาสนาพราหมณ์ หลกั ฐานท่ที าํ ใหท้ ราบเร่อื งราวของยุคสมยั น้ี คือ ‚คมั ภรี พ์ ระเวท‛ ซ่งึ เป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากน้ียงั มบี ทประพนั ธม์ หากาพยท์ ย่ี ่งิ ใหญ่อีก ๒ เร่อื ง คือ มหากาพยร์ ามายณะ และมหาภารตะ บางทจี งึ เรยี กวา่ เป็นยุคมหากาพย์ เผ่าอนิ โด-อารยนั ชนชาวอารยนั หรอื อรยิ กะ เป็นเผ่าเร่ร่อนเล้ยี งสตั วท์ างตอนใตข้ องรสั เซยี เคลอ่ื นยา้ ยลงใตส้ ู่ยุโรป เมโส โปเตเมยี และ ลมุ่ แมน่ าํ้ สนิ ธุ แมจ้ ะยงั ไมเ่ จรญิ เท่า แต่มเี คร่อื งใชแ้ ละอาวุธท่กี า้ วหนา้ พรอ้ มกบั รูจ้ กั ใชม้ า้ ในการรบ จึง เขา้ ยดึ ครองลมุ่ นาํ้ สนิ ธุ พรอ้ มกบั ลดทอนชาวทราวฑิ ลงเป็นทาส หรอื ทสั ยุ หรอื ไม่กอ็ พยพลงใต้ ดงั ปรากฏในคมั ภรี ์ และมหากาพยโ์ บราณ ทงั้ ฤคเวท สามเวท ยชรุ เวท อาถรรพเวท มหาภารตะ และ รามายณะ คมั ภรี ฤ์ คเวท กลา่ ววา่ ชาวอารยนั รุกเขา้ มาเป็นระลอกจนครอบครองลุ่มนาํ้ สนิ ธุไวไ้ ดก้ ่อนท่จี ะขยายถงึ แมน่ าํ้ ยมนุ าและคงคา หลายหลกั ฐานช้ใี หเ้หน็ ว่าผูค้ นนิยมอยู่เป็นเผ่า เรยี กหวั หนา้ ผูเ้ป็นนกั รบและนาํ ความปลอดภยั และพงึ พอใจมาใหห้ มู่คณะว่า ‚ราชา‛ ตามความหมายของคาํ ก่อนท่ีจะพฒั นาเป็นระบบกษตั ริยท์ ีละเล็กละนอ้ ยมี สภา (Sabha) และ สมริ ติ (Smirti) เป็นทช่ี ุมนุมของผูเ้ฒ่า และราษฎรเป็นหน่วยช่วยในการปกครอง โดยมนี กั บวชเป็นคน กลางในการติดต่อส่ือสารกบั เทพเจา้ ท่ีอยู่เหนือการรบั รูจ้ นพฒั นาเป็นความสมั พนั ธแ์ นบแน่นของราชากบั นกั บวช ยกระดบั เป็นสมมตเิ ทพ เกดิ พธิ กี รรม อาํ นาจและรูปแบบการปกครอง ตลอดจนกลไกต่างๆ รวมทง้ั ปโุ รหติ และเสนานี (แมท่ พั ) โดยสภา และสมริ ติ ถกู ลดบทบาทลงตามลาํ ดบั ประมาณ ๙๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ชาวอินโด-อารยนั ไดเ้ ขา้ มาถึงบริเวณท่ีราบสูงเดคคาน เร่ิมตงั้ เป็น อาณาจกั ร ความเช่ือทางศาสนาจากยุคพระเวทพฒั นาเกิดเป็นเทพต่างๆ หลายพระองค์ ตามดว้ ยระบบวรรณะตาม บทบาทหนา้ ท่ี กลุ่มทหารและผูป้ กครองเรยี กว่ากษตั ริย์ กลุ่มนกั บวชและครู เรียกว่าพราหมณ์ กลุ่มพ่อคา้ สามญั ชน เรยี กวา่ แพศย์ มกี ารสูร้ บทงั้ กนั เองและกบั ทราวฑิ หลายครงั้ ดงั ปรากฏในมหาภารตะและรามายณะ เกิดการเนน้ ความ บรสิ ุทธ์ขิ องสายเลอื ด การแบ่งชน้ั วรรณะ จนกลุ่มไดส้ รา้ งแบบแผนทางสงั คม เพ่อื รกั ษาและสบื ทอดสถานะเป็นระบบ วรรณะมาถงึ ปจั จบุ นั ประมาณ ๖๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ในปลายสมยั พระเวท ชาวอารยนั ในอนิ เดยี สามารถรวมตวั เป็นอาณาจกั ร ได้ ๑๖ อาณาจกั ร เรียกแต่ละอาณาจกั รว่ามหาชนบทตามลุ่มแมน่ าํ้ คงคา-สนิ ธุ มกี ารปกครองแตกต่างกนั ทง้ั กษตั ริย์ สภาเมอื ง และสาธารณรฐั ประกอบดว้ ย กมั โพช (ทวารกาเป็นเมอื งหลวง) คนั ธาระ (ตกั สลิ า) กุรุ (อนิ ทรปตั ถ)์ ปญั จา ละ (อธฉิ ตั รา) โกศล (สาวตั ถ)ี มลั ละ (กสุ นิ ารา) กาสี (พาราณส)ี มคธ (ราชคฤห)์ วชั ชี(มถิ ลิ า) องั คะ (จามปา) สุรเสนา
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๑๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง (มถุรา) มจั ฉะ (สาคละ) อวนั ตี (อุชเชนี) วงั สะ (โกสมั พ)ี เจติ (โสตถิตถวดี) และ อสั สกะ (โปตนะ) ภาษาท่ใี ชใ้ นหมู่ อารยนั ชนชน้ั สูงคือภาษาสนั สกฤต ขณะท่ชี าวบา้ นทวั่ ไปใชภ้ าษาปรากฤต นิครนถบ์ ุตร หรอื ศาสดามหาวรี ะแห่งศาสนา เชน เป็นโอรสของกษตั ริยผ์ ูค้ รองเมอื งไวสาลี แควน้ วชั ชี เจา้ ชายสิตธตั ถะ เป็นโอรสแห่งราชวงศส์ กั กะ-ศากยะแห่ง กบลิ พสั ดุแ์ ละเทวทหะ แถบเชงิ เขาหมิ าลยั ทง้ั ๒ พระองคท์ รงละโลกออกบาํ เพญ็ เพยี รแลว้ ใชภ้ าษาปรากฤตในการสอน จงึ เขา้ ถงึ ผูค้ นไดม้ าก ๓. สมยั พทุ ธกาล หรอื สมยั ก่อนราชวงศเ์ มารยะ (Maurya) ประมาณ ๖๐๐-๓๐๐ ปีก่อนครสิ ตศ์ กั ราช) เป็น ช่วงทอ่ี นิ เดยี ถอื กาํ เนิดศาสนาทส่ี าํ คญั ๒ ศาสนา คอื ศาสนาพทุ ธ และศาสนาเชน ๔. สมยั จกั รวรรดิเมารยะ (Maurya) ประมาณ ๓๒๑-๑๘๔ ปี ก่อนครสิ ตศ์ กั ราช พระเจา้ จนั ทรคุปตป์ ฐม กษตั รยิ ร์ าชวงศเ์ มารยะไดร้ วบรวมแว่นแควน้ ในดินแดนชมพู ทวปี ใหเ้ป็นปึกแผ่นภายใตจ้ กั รวรรดิท่ยี ง่ิ ใหญ่เป็นครง้ั แรกของอนิ เดยี ในช่วง ๖ ศตวรรษก่อนครสิ ตกาลในสมยั พระเวทและมหาชนบทนน้ั พระเจา้ ไซรสั แห่งราชวงศอ์ ารค์ ีเมนิด ของเปอรเ์ ซยี แผ่อทิ ธพิ ลเขา้ มาในลมุ่ แมน่ าํ้ สนิ ธุ ถงึ ปญั จาบและคนั ธาระ ต่อมาพระเจา้ ดารอิ ุสไดผ้ นวกเขา้ เป็นมณฑล ท่ี ๒๐ ของจกั รวรรด์เิ ปอรเ์ ซยี ก่อนทจ่ี ะคลายอิทธิพลในสมยั พระเจา้ เซอรเ์ ชส ครน้ั ๔ ศตวรรษก่อนคริสตกาล เมอ่ื พระเจา้ อเลก็ ซานเดอรม์ หาราชแห่งมาซโิ ดเนีย ขยายอาํ นาจทางตะวนั ออก รุกรานเปอรเ์ ซยี แลว้ ขา้ มเขาฮินดูกูชมาถึง แควน้ สนิ ธุ์ ปญั จาบ คนั ธาระ กศั มรี ะ และกมั โพชะแลว้ ยกกลบั เมอ่ื แมท่ พั ทง้ั หลายปฏเิ สธการเดินทางทาํ ศึกต่อ โดย ตง้ั ขา้ หลวงไวป้ กครอง เกิดเป็นอารยธรรมอินโด-กรีก พระพทุ ธรูปเกิดข้นึ ครงั้ แรกในศิลปะคนั ธาระในสมยั ต่อมา รวมทงั้ ลทั ธบิ ูชาไฟในศาสนาโซโรแอสเตอรข์ องเปอรเ์ ซยี และการใชอ้ กั ษรอารามกิ ในอินเดยี ขณะนน้ั หลงั พทุ ธกาลมอี าณาจกั รมคธของราชวงศห์ ารยงั คะเป็นอาณาจกั รสาํ าคญั โดยต่อจาก พระเจา้ พมิ พสิ าร และพระเจา้ อชาตศตั รู ผูย้ า้ ยนครหลวง จากราชคฤหม์ ายงั เมอื งปาฏลบี ตุ ร แลว้ มกี ารกระทาํ ปิตุฆาต อย่างต่อเน่ืองอกี ๔ รชั กาลเกดิ เป็นจลาจลจนหม่อู าํ มาตยเ์ ขา้ ยดึ อาํ นาจตงั้ ราชวงศไ์ สสุนาคครองได้ ๒ รชั กาลถูกมหา โจรซง่ึ เป็นพระญาตวิ งศ์ ชอ่ื มหานนั ทะเขา้ ยดึ อาํ นาจตง้ั ราชวงศน์ นั ทะครองราชยต์ ่อเน่ืองได้ ๑๐ รชั กาล เป็นเวลา ๓๘ ปี เม่อื พระเจา้ อเล็กซานเดอรม์ หาราชถอยทพั นนั้ จนั ทรคุปต์ บา้ งว่าเป็นบุตรของเจา้ ชายแห่งเมอื งไพศาลี แควน้ ลิจฉวี บา้ งว่าสืบวงศ์ศากยะ เม่อื ครง้ั หนีพระเจา้ วิฑูฑภะแห่งแควน้ โกศลฆ่าลา้ งเผ่าพนั ธุ์ ไดเ้ ล่าเรียนผ่าน การศึกษาในวยั เยาวท์ ่ตี กั สลิ าแลว้ มารบั ราชการในราชสาํ นกั ของราชวงศน์ นั ทะอยู่ท่ปี าฏลบี ตุ รไดร้ ่วมกบั พราหมณจ์ าณกั ยะ หรือ เกาฏิลยะ ผูแ้ ต่งคมั ภีรอ์ รรถศาสตรว์ ่า ดว้ ยการเมอื งการปกครองเล่มสาํ คญั ของอินเดยี คบคิดแย่งชิงเมอื ง เคยเขา้ พบพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์ เพอ่ื แสวงหาความร่วมมอื โจมตีแควน้ มคธ หลงั พระเจา้ อเลก็ ซานเดอรถ์ อยทพั ไดใ้ ช้ โอกาสปลุกกระแสรกั ชาติเขา้ ขบั ไล่แลว้ รวมตวั เขา้ บุกนครหลวงปาฏลบี ุตรสาํ เร็จจนขยายจกั รวรรดิครง้ั ใหญ่ในนาม ราชวงศโ์ มริยะถึงดินแดนแควน้ สนิ ธุท์ ่ีกษตั ริยก์ รีก เซเลอูคุส นิเคเตอร์ (Seleucus Nicator)ในราชวงศ์เซเลอูซิด (Seleucid Dynasty) ขอเจรจาเจริญสมั พนั ธไมตรีดว้ ยการส่งราชธิดามาเป็นชายา และส่งราชทูตช่ือเมกสั เทนิส (Megasthenes) มาประจาํ ทป่ี าฏลบี ุตรในปี พ.ศ.๒๔๐ โดยพระเจา้ จนั ทรคุปตน์ น้ั เดิมนบั ถอื พราหมณ์ก่อนท่จี ะศรทั ธา ในศาสนาเชนถงึ ขน้ั สละราชสมบตั ิออกบวช
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๑๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ราชวงศ์โมริยะมี ๙ รชั กาล ระยะเวลา ๑๓๗ ปี (๓๒๒-๑๘๕ ปี ก่อนคริสตกาล) รุ่งเรืองสูงสุดของ ประวตั ศิ าสตรอ์ นิ เดยี ในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช โอรสองคส์ าํ ในจาํ นวน ๑๐๑ องค์ ของพระเจา้ พนิ ทสุ าร ราชโอรส ของพระเจา้ จนั ทรคุปต์ มฝี ีมอื ความสามารถสูง เป็นท่กี ลวั เกรงของพระประยูรญาติ ถกู ส่งไปครองอชุ เชนี ปราบตัก สลิ าสาํ เรจ็ เมอ่ื พระเจา้ พนิ ทสุ ารส้นิ พระชนม์ เจา้ ชายอโศกไดป้ ระกาศการสบื ทอดราชสมบตั ิใน พ.ศ. ๒๗๑ พรอ้ มกบั จบั กมุ พน่ี อ้ งประหารทงั้ หมด เวน้ ไวแ้ ต่พระอนุชาร่วมมารดา จนไดร้ บั การขนานนามว่า จณั ฑาโศกราช หมายถงึ อโศก ผูป้ ่าเถ่ือน ทรงขยายอาณาเขตอย่างกวา้ งขวาง ครงั้ สาํ คญั ท่ีสุดเม่อื รุกแควน้ กลงิ คะจนขา้ ศึกและไพร่พลลม้ ตาย มากมายจนเกิดสงั เวชพระทยั ประกอบกบั พระนางเวทสิ า มหาเทวีพระชายาองคแ์ รกผูเ้ป็นพทุ ธบรษิ ทั เมอ่ื ไปครองอุ ชเชนีไดเ้ ตือนพระองค์ อีกทงั้ ไดพ้ บ สามเณรนิโครธ นยั ว่าเป็นโอรสของเจา้ ชายสุมนะหรือสุสิมะพระเชษฐาท่ีทรง ประหาร ไดแ้ สดงธรรมโปรดใหต้ ง้ั อยู่ในพระพทุ ธศาสนาละท้งิ พระอุปนิสยั อนั ดุรา้ ยเสยี จากนนั้ ทรงหนั มาสนพระทยั พระธรรมคาํ สอนจนถึงกบั เล่อื มใส กลบั ทรงทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาเป็นการใหญ่ มีการสรา้ งวดั อโศการาม จด จารึกเสาอโศก สงั คายนาพระไตรปิฎก ส่งพระธรรมทูตไปประกาศพระศาสนา จนไดส้ มญั ญา ว่า “ธรรมาโศกราช” (ธมฺมาโสโก นาม ราชา)๒๔ หมายถงึ พระเจา้ อโศกผูท้ รงธรรม สมยั ราชวงศเ์ มารยะ พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การอุปถมั ภใ์ หเ้จริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมยั พระเจา้ อโศก มหาราช (Asoka) ได้ เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยงั ดินแดนทงั้ ใกลแ้ ละไกล รวมทง้ั ดินแดนในภูมิภาคเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ ซง่ึ เผยแพร่เขา้ สู่แผน่ ดนิ ไทยในยุคสมยั ทย่ี งั เป็นอาณาจกั รทวารวดี ยุคสมยั สุงคะ กณั วะ อานธระ/สาตวาหนะ (อมราวดี) สมยั สุงคะ เป็นยุคฟ้ืนฟูศาสนาพราหมณ์หลงั จาก กษตั รยิ แ์ ละประชาชนจาํ นวนมากในยุคโมริยะหนั ไปส่งเสรมิ และนบั ถือศาสนาพทุ ธและเชน โดยนายพลปษุ ยมติ รสุง คะ ไดเ้ ขา้ ยดึ อาํ จากราชวงศโ์ มริยะ แลว้ ฟ้ืนฟูศาสนาฮนิ ดู มกี ารประกอบพิธีอศั วเมธ ยกทพั ไปรบกบั ทหารกรีกของ พระเจา้ เมนนั เดอร์ (Menander) หรือ พญามลิ นิ ทแ์ ห่งดินแดนอินโด-กรีก พุทธศาสนาถดถอยไปตอนใตแ้ ละทาง ตะวนั ตกเฉียงเหนือ มรี ่องรอยหลกั ฐานสาํ คญั ทงั้ ทม่ี หาสถปู ภารหุต สาญจี อชนั ตาและ เอลโลร่า หลงั จากนน้ั เป็นช่วงสน้ั ๆ ของสมยั กณั วะ ท่มี ที งั้ พทุ ธและฮินดู โดยทางตอนใตแ้ ถบลุ่มแม่นาํ้ กฤษณา และโคทาวรี เกิดราชวงศ์อานธระ หรือสาตวาหนะท่ีปลดแอกจากราชวงศส์ ุงคะ เปิดกวา้ งทางศาสนากษตั ริยท์ รง สง่ เสรมิ ฮนิ ดูทง้ั ไศวะและไวษณพและสนบั สนุนพทุ ธศาสนา มกี ารสรา้ งวดั เกดิ ศิลปะแบบอมราวดจี าํ นวนมาก ๕. สมยั ราชวงศก์ ษุ าณะ (ประมาณ ๒๐๐ ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช–ค.ศ.๓๒๐) พวกกุษาณะ (Kushana) เป็น ชนต่างชาติทเ่ี ขา้ มารุกรานและตง้ั อาณาจกั รปกครองอินเดยี ทางตอนเหนือ กษตั ริยท์ ย่ี ่งิ ใหญ่ คือพระเจา้ กนิษกะ รชั สมยั ของพระองคอ์ นิ เดยี มคี วามเจริญรุ่งเรอื งทางดา้ นศิลปวทิ ยาการแขนงต่างๆ โดยเฉพาะดา้ นการแพทย์ อาณาจกั รกรกี -โรมนั และ กษุ าณะ หลงั ยุคโมริยะ ชนชาวกรีก หรือโยนก (Ionia) ทางตะวนั ตกเฉียงเหนือไดข้ ยายอิทธิพลเขา้ มาในเขต อทิ ธพิ ลเดมิ ของมคธเกดิ เป็นอาณาจกั รอินโด-กรกี ประกอบกบั การอพยพของชาวพทุ ธและศาสนาอ่นื ทม่ี ใิ ช่ฮนิ ดูออก จากเขตของราชวงศส์ ุงคะ พทุ ธศาสนาจงึ แพร่หลายจนเกดิ การสรา้ งรูปเคารพและพระพทุ ธรูปตามแบบกรกี ข้นึ ๒๔ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๓๔.
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๑๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ในสมยั น้ีท่ีเรียกว่าศิลปะคนั ธาระ พระเจา้ เมนนั เดอร์ (หรือพระเจา้ มลิ นิ ท)์ เป็นกษตั ริยท์ ่ีสนใจศึกษา ปรชั ญาของทุกศาสนา ชอบวสิ าสะกบั นานานกั บวชจนนกั บวชทไ่ี ม่ปราดเปร่อื งพอพากนั หวนั่ เกรง ชาวพทุ ธทเ่ี มอื งสา คละอนั เป็นนครหลวงถงึ กบั ขาดพระจนตอ้ งขอคณะสงฆใ์ หช้ ่วยจดั หา ไดพ้ ระนาคเสนซ่งึ สามารถวิสชั นาอย่างลกึ ซ้งึ ถงึ แก่นธรรมจนพระเจา้ มลิ นิ ทเ์ ลอ่ื มใส รบั นบั ถอื พทุ ธ เกดิ เป็นคมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หาทแ่ี พร่หลาย หลงั สมยั พญามลิ นิ ท์ แมพ้ ทุ ธศาสนาจะหยงั่ รากลกึ แต่การหลงั่ ไหลเขา้ มาชนเผ่าสกะ (Saka) เช้อื ชาติมอง โกล-เตอรก์ จากเอเซยี กลางแถบเตอรก์ ีสถานกบั ซนิ เกียงของจีน จีนเรียกพวก เยว่จือ (Yuezhi) เป็นพวกเช่ยี วชาญ การรบบกุ เขา้ ยดึ ครองอาณาจกั รกรกี -โรมนั แลว้ ขยายลงลมุ่ นาํ้ ยมนุ า-คงคา สถาปนาเป็นอาณาจกั ร กุษาณะ (Kusana) หรือ คูชาน (Kushan) ประชิดแควน้ มคธ ในปี พ.ศ.๕๔๒ มกี ษตั ริยอ์ งคท์ ่ี ๕ พระ เจา้ กณิษกะท่ี ๑ (Kanishka ๑) เล่ือมใสในพระพทุ ธศาสนามากจนไดส้ มญั ญาว่าเป็นพระเจา้ อโศกท่ี ๒ มกี าร สงั คายนาพระไตรปิฎกทก่ี ษั มรี ะ (แคชเมยี ร)์ แลว้ สง่ สมณทตู ไปเอเซยี กลางและทเิ บต พทุ ธศาสนามหายานแพร่หลาย อย่างมากจนส้ินยุคหลงั ถูกราชวงศ์ซาสสนิด (Sassanid) จากอาณาจกั รเปอร์เซียรุกรานจนอ่อนแอ และเกิด อาณาจกั รราชวงศค์ ุปตะข้นึ ทางตอนกลาง นอกจากนนั้ ยงั ทรงอุปถมั ภพ์ ระพุทธศาสนา (นิกายมหายาน) ใหเ้ จริญรุ่งเรือง โดยจดั ส่งสมณทูตไป เผยแพร่พระศาสนายงั จีนและทเิ บต มกี ารสรา้ งพระพทุ ธรูปทม่ี ศี ิลปะงดงาม และสรา้ งเจดยี ใ์ หญ่ท่เี มอื งเปชะวาร์ เจดยี ใ์ หญ่ท่เี มอื งเปชะวาร์ ๖. สมยั จกั รวรรดิคุปตะ (Gupta) ประมาณ ค.ศ. ๓๒๐-๕๕๐ พระเจา้ จนั ทรคุปตท์ ่ี ๑ ตน้ ราชวงศค์ ุปตะ ไดท้ รงรวบรวมอนิ เดยี ใหเ้ป็นจกั รวรรดอิ กี ครงั้ หน่ึง ไดช้ อ่ื วา่ เป็นยุคทองของอนิ เดีย มคี วามเจริญรุ่งเรอื งในทกุ ๆ ดา้ น ทง้ั ดา้ นศิลปวฒั นธรรม การเมอื ง การปกครอง ปรชั ญาและศาสนา ตลอดจนการคา้ ขายกบั ต่างประเทศ ยคุ ราชวงศค์ ปุ ตะ - เกาฑะ - หรรษะ – จาลกุ ยะ (ยคุ แรก) หลงั ยุครุ่งเรอื งของอาณาจกั รอานธระและกษุ าณะ ราชวงศค์ ุปตะทางตอนกลาง นาํ โดยพระเจา้ จนั ทรคุปต์ ท่ี ๑ ไดเ้ ขา้ บกุ ลุ่มแม่นาํ้ คงคาแลว้ เขา้ ยดึ นครปาฏลบี ุตรจากราชวงศก์ ษุ าณะ ทาํ การฟ้ืนฟูขยายอาณาจกั รมคธไดท้ ุก ทศิ ทางพรอ้ มกบั การเจริญสมั พนั ธไมตรแี ละส่งเสรมิ ทกุ ศาสนาแมจ้ ะทรงนบั ถือฮินดู จนพทุ ธศาสนาและเชน กลบั มา รุ่งเรืองอีกครงั้ นบั เป็นยุคทองแห่งอารยธรรมอินเดีย คมั ภีรก์ ามสูตรทีแ่ พร่หลายเกิดในสมยั น้ี พระองคไ์ ดร้ บั การ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๑๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ขนานนามวา่ เป็นพระมหาราชาธริ าช มกี ารเดนิ ทางคา้ ขายเผยแผ่ศาสนาอย่างกวา้ งไกลทวั่ เอเซยี ใต้ ตะวนั ออกเฉียงใต้ จนถงึ จนี พระเจา้ สมทุ รคุปตผ์ ูส้ บื ราชบลั ลงั ก์ นอกจากการขยายอาณาเขตและส่งเสริมทุกศาสนาแลว้ ยงั มกี ารก่อตง้ั มหาวิทยาลยั พุทธศาสนาถึง ๗ แห่งคือ ท่ีนาลนั ทา วลภี วิกรมศิลา โอทนั ตบุรี ชคทั ทละ โสมบุรี และ ตกั สิลา หลงั จากนนั้ ในสมยั พระเจา้ สมทุ รคุปตท์ ่ี ๒ ระหว่างปี พ.ศ. ๙๔๒- ๙๕๕ พระภกิ ษุจีนช่อื ฟาเหยี น (ตรงกบั สมยั ราชวงศ์ จ้นิ ตะวนั ออกของจีน) ไดเ้ดินทางมาเชิญพระไตรปิฎกถึงอินเดีย ก่อนท่อี าณาจกั รคุปตะจะเสอ่ื มถอย มชี นเผ่าเร่ร่อน ชาวหูนะ (Huna) หรอื ฮนั่ ขาว จากเอเซยี กลางรุกเขา้ มาพรอ้ มกบั ทแ่ี ควน้ อ่นื ๆ ก็แยกตวั ออกเป็นอสิ ระจากมคธ จนส้นิ ราชวงศค์ ุปตะในปี พ.ศ. ๑๐๙๓ โดยก่อนหนา้ นน้ั ในปี พ.ศ. ๑๐๖๓ พระโพธิธรรม อดีตเจา้ ชายแควน้ กาญจีปรุ มั ได้ เดนิ ทางไปเผยแผ่พทุ ธศาสนาในจนี (ยุคราชวงศเ์ หนือ-ใต้ ของจนี ) ไดฉ้ ายาว่าตก๊ั มอ๊ ผูก้ ่อตงั้ วดั เสา้ หลนิ ท่มี ชี ่อื เสยี งถงึ ปจั จบุ นั ในอนิ เดยี ชาวหูนะนบั ถอื ศาสนาฮนิ ดู สงั่ ใหท้ าํ ลายวดั สถูป เจดยี ์ วหิ าร และทาํ รา้ ยผูน้ บั ถอื พทุ ธศาสนา อยา่ งขนานใหญ่ ส่วนอาณาจกั รมคธทแ่ี ตกสลายเป็นแควน้ นอ้ ยใหญ่ไดเ้กิด ๓ อาณาจกั รมบี ทบาทสาํ คญั ข้นึ คือ ใน ปี พ.ศ. ๑๑๕๐ พระเจา้ ศศางกะ แห่งแควน้ เกาฑะ บริเวณอ่าวเบงกอล มงุ่ เข่นฆ่ากษตั ริยผ์ ูน้ บั ถือพุทธ รวมทงั้ โค่น พระศรีมหาโพธพิ์ ทุ ธคยา สงั่ นาํ พระพทุ ธรูปออกแลว้ นาํ ศิวลงึ คเ์ ขา้ ไวแ้ ทน แมก้ ระทงั่ เหรยี ญตราของพระองคย์ งั ถงึ กบั ใหส้ ลกั ไวว้ ่า ‚ผูป้ ราบปรามพทุ ธศาสนา‛ ร่วมสมยั กนั ท่บี รเิ วณราชาสถานและอุตตรประเทศ ใน พ.ศ. ๑๑๔๙ พระเจา้ หรรษะวรรธนะ ผูน้ บั ถอื ศาสนาพุทธข้นึ ครองราชยแ์ ทนพระเชษฐาท่ถี ูกพระเจา้ ศศางกะ ปลงพระชนมท์ รงโจมตีและ ปลงพระชนมพ์ ระเจา้ ศศางกะ ไดแ้ ลว้ ยงั ขบั ไล่ชาวฮนั่ ขาวออกไดด้ ว้ ย ทรงตามรอยพระเจา้ อโศกมหาราชในการฟ้ืนฟู พทุ ธศาสนา พระภกิ ษุเสวยี นจา้ ง หรอื พระถงั ซมั จงั๋ กบั พระภกิ ษุอ้จี งิ จากจนี เดนิ ทางถงึ อินเดยี ในรชั สมยั น้ี ส่วนทาง ใตเ้ป็นอาณาจกั รจาลุกยะ (Chalukya) ๗. สมยั หลงั ราชวงศค์ ุปตะ หรือยุคกลางของอินเดีย (ค.ศ. ๕๕๐–๑๒๐๖) เป็นยุคท่จี กั รวรรดิแตกแยก เป็นแควน้ หรอื อาณาจกั รจาํ นวนมาก ต่างมรี าชวงศแ์ ยกปกครองกนั เอง ยุคราชวงศป์ าละ - เสนะ พระเจา้ หรรษวรรธนะทรงไม่มรี ชั ทายาท หลงั ส้นิ พระชนมอ์ าณาจกั รหรรษะ กแ็ ยกสลาย ทอ่ี ่าวเบงกอล เกิดราชวงศ์ปาละ (Pala) ค่อยๆ ขยายจนครอบคลุมไดเ้ กือบทง้ั อินเดียแลว้ สานต่อการส่งเสริมพระพุทธศาสนา มหายานทง้ั ภายในและภายนอกรวมทงั้ ท่มี หาโพธิเจดยี ์ พุทธคยา ก่อนท่จี ะเสอ่ื มลงหลงั กษตั ริย์ ๑๘ พระองค์ รวม ระยะเวลา ๔๒๔ ปี โดยมรี าชวงศเ์ สนะเกิดข้นึ แถบอ่าวเบงกอล และราชวงศโ์ สลงั กี (Solanki) แถบคุชราช มาแทน รวมทง้ั การบกุ โจมตขี องสุลต่านคูลดิ จากเปอรเ์ ซยี (Ghurid Sultan) เขา้ ยดึ ครองเขตลุม่ แม่นาํ้ สนิ ธุ ตงั้ เป็นอาณาจกั ร สุลต่านคูลดิ ร่วมสมยั กบั ราชวงศป์ าละพราหมณ์ช่ือว่าศงั กราจารย์ (Sankaracharya) สงั กดั นิกายไศวะ เกิดทเ่ี กรา ลา (Kerala) ตอนใตข้ องอินเดียเป็นคนแรกท่ไี ดป้ ระยุกตค์ าํ สอนของพทุ ธศาสนานิกายมาธยมิกะมาใชก้ บั ปรชั ญา ฮนิ ดู วธิ ีการของศงั กราจารยใ์ นการกาํ จดั พระพทุ ธศาสนา ท่สี าํ คญั คือ เขาเท่ยี วถกเถยี งโตว้ าทะไปทวั่ ทุกถ่นิ เฉพาะ นอกเมอื ง โดยไมย่ อมสอนคนในเมอื งเลย เพราะเวลานน้ั พทุ ธศาสนาแมจ้ ะกาํ ลงั เสอ่ื มแต่ยงั เขม้ แขง็ ในเมอื ง พรอ้ ม กนั นนั้ จดั ตง้ั คณะนกั บวชฮินดูข้นึ เลยี นแบบสงั ฆะในพระพทุ ธศาสนา โดยตงั้ วดั ใหญ่ข้นึ มาใน ๔ ทศิ เรยี กว่า ‚มฐั ‛
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๑๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ตามอย่างวดั ในพทุ ธศาสนา และทส่ี าํ คญั ยงั ไดแ้ ต่ง คมั ภรี ป์ ุราณะข้นึ โดยอา้ งว่าพระพทุ ธองคเ์ ป็นอวตารท่ี ๙ ของพระ วษิ ณุเพอ่ื หวงั กลนื พทุ ธศาสนา เขตภาคใต้ ปาณฑยะ-โจฬะ-ปลั ลวะ-จาลกุ ยะ (ยคุ หลงั ) -ฮอยซาลา-วชิ ยั นครา เขตภาคใตข้ องชมพูทวปี หรือ อนุทวปี อินเดีย ท่เี ป็นสาธารณรฐั อินเดยี ทกุ วนั น้ีทเ่ี ป็นฐานการถอยร่นไปตงั้ มนั่ ของชาวฑราวทิ หรือ ดราวเิ ดียน มาตงั้ แต่สมยั การรุกเขา้ มาของอารยนั แมใ้ นสมยั โมริยะทแ่ี ผ่อาณาเขตอิทธิพลได้ กวา้ งขวางท่ีสุด ก็ยงั ไม่เคยครอบคลุมไดท้ งั้ หมดมหี ลกั ฐานการก่อตวั เป็นอาณาจกั รปาณฑยะ (Pandya) เม่อื ร่วม ๒,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาลในฐานะเมอื งท่าคา้ ขายสาํ คญั ตดิ ต่อกบั โรมนั ทางตะวนั ตกและเอเซยี อาคเนยท์ างตะวนั ออก จนไดช้ ่ือว่า คือเมอื งไข่มกุ จนถงึ ยุคสมยั ศรีวิชยั ในเอเซยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ เม่อื ราชวงศโ์ จฬะ (Chola) นาํ โดยพระเจา้ ราชาราชะโจฬะท่ี ๑ และพระเจา้ ราเชนทระโจฬะท่ี ๑ ไดแ้ ผ่ขยายอาณาเขตครอบคลุมจนทวั่ ถึง เกาะลงั กาและเอเซียอาคเนย์ จนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ โดยอาณาจกั รปาณฑยะ กลบั ฟ้ืนคืนบทบาทไดอ้ ีกบางช่วง ร่วมกบั อาณาจกั รอ่นื ๆ คือ เจระ (Chera) กาลาบราส (Kalabhras) และ กทมั พะ (Kadamba) ตอนกลางอนุทวปี ท่ชี ายแดนดา้ นเหนือของโจฬะ เมอ่ื อาณาจกั รอานธระ ผูส้ รา้ งสรรคศ์ ิลปสกุลอมราวดี อ่อนกาํ ลงั ลง ไดเ้ กิดอาณาจกั รปลั ลวะ (Pallava) รุ่งเรืองเป็นฐานการคา้ ขายสู่ตะวนั ออกเฉียงใตส้ าํ คญั ในพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๐-๑๓ ก่อนทจ่ี ะถูกอาณาจกั รโจฬะ และ จาลุกยะเขา้ กลนื จนหาย ก่อนท่จี ะมอี กี ๒ อาณาจกั รทร่ี ุ่งเรือง ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ - ๑๙ คือ ฮอยซาลา (Hoysala) และ วชิ ยั นคร (Vijaynagara) โดยอาณาจกั รจาลุกยะนน้ั ล่ม สลายในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ เขตแดนภาคใตน้ ้ีถือเป็นเขตฐานท่ีมนั่ สาํ คญั ของผูน้ บั ถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อย่างต่อเน่ืองจนถึง ปจั จบุ นั เฉพาะในช่วงสมยั ปลั ลวะ เคยเป็นหน่ึงในศูนยก์ ลางพทุ ธศาสนา พระเสวยี นจงั หรอื พระถงั ซาํ จงั๋ ไดเ้ดินทาง มาถงึ ดินแดนกาญจปี ุรมั (Kancheepuram) รวมทง้ั พระโพธิธรรม หรือตกั๊ มอ๊ กเ็ ป็นชาวกาญจีปุรมั เช่นกนั ปจั จุบนั เมอื งกาญจิปุรมั หรือมหาพลปี ุรมั (Mahabalipuram) ตง้ั อยู่ทางตอนใตข้ องเมอื งเชนไน ของรฐั ทมฬิ นาฑู (Tamil Nadu) ๘. สมยั สลุ ตา่ นแหง่ เดลฮี (Delhi) หรอื อาณาจกั รเดลฮี (ค.ศ. ๑๒๐๖-๑๕๒๖) เป็นยุคท่พี วกมสุ ลมิ เขา้ มาปกครองอนิ เดยี มสี ุลต่านเป็นผูป้ กครองทเ่ี มอื งเดลฮี ยคุ ราชวงศส์ ลุ ต่านแหง่ เดลี – มกู อล (โมกลุ ) หลงั ศาสดานบีมุฮมั มดั เกิดความรูแ้ จง้ ในธรรมเร่ิมประกาศศาสนาอิสลามในปี พ.ศ.๑๑๕๓ แลว้ ส้นิ พระชนมใ์ นปี พ.ศ. ๑๑๗๕ มกี ารสานต่อโดยเคาะลฟี ะอแ์ หง่ ราชวงศโ์ อมยั ยตั ถงึ พ.ศ.๑๒๙๒ ต่อดว้ ยราชวงศอ์ บั บาสดิ ทด่ี ามสั กสั ถงึ พ.ศ.๑๗๙๙ ก่อนทจ่ี ะยา้ ยมายงั นครแบกแดด แลว้ ถกู ทพั มองโกลบกุ รุก ในปี พ.ศ. ๒๐๙๙ นน้ั เคาะลฟี ะอ์ แหง่ ดามสั กสั ไดส้ ่งทพั และผูน้ บั ถอื ศาสนาอิสลามเขา้ สู่ดนิ แดนอินเดยี ทางแควน้ สนิ ธุ์ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๑๒๕๔ โดยอกี ๒ ศตวรรษต่อมาชาวมสุ ลมิ เช้อื สายเตอรก์ ไดเ้ ขา้ ครองเขตกซั นีในอฟั กานิสถาน ตง้ั ตวั เป็นสุลต่านแห่งกซั นี (Sultan of Gazni) ก่อนทจ่ี ะคืบคลานเขา้ เขตแควน้ สนิ ธุ์ คนั ธาระ ปญั จาบ จนถงึ เขตลุ่มนาํ้ ยมนุ าและคงคา ก่อนท่ี สุลต่านแหง่ ราชวงศค์ ูรดิ (Ghurid Dynasty) จะสง่ นกั รบมมั ลุค (Mamluk) เขา้ ยดึ เมอื งเดลไี ดใ้ น พ.ศ.๑๗๒๔ แลว้
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๑๙ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ใชเ้ป็นฐานการขยายอาณาเขต แลว้ ตงั้ ตวั เองเป็นสุลต่านแห่งเดลี และสถาปนาราชวงศม์ มั ลุค ครองอินเดียถึงพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๒๐ โดยในช่วงน้ีทผ่ี ูน้ บั ถอื ศาสนาอ่นื ไดร้ บั ผลกระทบมากนน้ั ในราวปี พ.ศ.๒๐๑๒ ทป่ี ญั จาบ ศาสดาคุรุนานคั ไดป้ ระยุกตห์ ลกั ศรทั ธาเพ่อื การสมานฉนั ทค์ วามขดั แยง้ ระหว่างฮนิ ดูและอสิ ลาม ก่อเกดิ เป็นศาสนาซกิ ข์ (Sikh) ขณะเดยี วกนั วาสโก ดากามา นกั เดนิ เรอื ชาวโปรตเุ กส ไดเ้ดินทางมาถงึ อนิ เดยี ในช่วงน้ี เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๐๔๑ สุลต่านแห่งเดลี มที ง้ั ส้นิ ๕ ราชวงศ์ จากต่างตระกูลและชาติพนั ธุท์ ่ผี ลดั เปล่ยี นกนั ครองอาํ นาจ จนปี พ.ศ. ๒๐๖๙ ชาวมสุ ลมิ เช้ือสายบาบูร์ (Babur) จากเอเซยี กลางท่มี เี ลอื ดผสมตมิ ูร์ มองโกล และเตอรก์ ของเจงกิส ขา่ น ไดบ้ กุ เขา้ ยดึ ครองตงั้ ราชวงศม์ ูกอล หรอื โมกลุ (Mughal) มพี ระเจา้ หุมายุน (Humayun) เป็นสุลต่านคนท่ี ๓ ต่อจาก พระเจา้ บาบูร์ และ เซอรข์ ่าน (Sir Khan) พระเจา้ อคั บาร์ (Akbar) โอรสของพระเจา้ หมุ ายนุ ครองราชย์ ลาํ ดบั ท่ี ๔ ในปี พ.ศ.๒๐๙๙ ขยายอาณาเขตกวา้ งขวางและเปิดกวา้ งการนบั ถอื ศาสนา สมยั ของพระโอรสคือ พระเจา้ ชาฮงั กีร์ (Jahangir) มีการลงนามสญั ญาการก่อตงั้ บริษทั อินเดีย ตะวนั ออก (East India Company) กบั องั กฤษ ปี พ.ศ.๒๑๗๐ พระเจา้ ชาห์ ชาฮนั (Shah Jahan) ข้นึ ครองราชย์ หลงั ศึกสายเลอื ดครง้ั ใหญ่ มพี ระปรชี าสามารถมาก เมอ่ื เสยี พระชายาชาวเปอรเ์ ซยี อนั เป็นท่รี กั ยง่ิ คือพระนางมมุ ตสั มาฮาล (Mumtaz mahal) ทรงโศกเศรา้ ไม่ทาํ การใดๆ ท่มุ เทแต่การสรา้ งอนุสรณส์ ุสานสถาน เกิดการแตกแยกครงั้ ใหญ่ในหม่โู อรสจนพระเจา้ ออรงั เซบ (Aurangzeb) เอาชนะข้นึ ครองราชยใ์ นปี พ.ศ. ๒๒๐๑ ใหจ้ บั พระบดิ ากุมขงั ไว้ ในป้อมอคั รา (Agra Fort) จนส้ินพระชนมโ์ ดยหลงั จากนนั้ มีการแทรกแซงจากนานาชาติตะวนั ตก ทงั้ องั กฤษ โปรตเุ กส ฮอลนั ดา ฝรงั่ เศส รวมทง้ั การจบั มอื กนั ของแควน้ ต่างๆ ประกาศตนเป็นอสิ ระ เมอ่ื พระเจา้ ออรงั เซบส้นิ พระ ชนมใ์ นปี พ.ศ.๒๒๕๐ กค็ ่อยๆ อ่อนแอจนล่มสลายลงพรอ้ มกบั การกลบั คืนของผูน้ บั ถอื ศาสนาฮินดู โดยศาสนาเชน ยงั คงมีอย่างประปราย ศาสนาพุทธเหลือแต่ในเขตแนวเทือกเขาหิมาลยั และเกาะลงั กา ศาสนาซิกข์ มีฐานท่ี รฐั ปญั จาบ๒๕ ๙. สมยั จกั รวรรดิโมกลุ (Mughul) ประมาณ ค.ศ. ๑๕๒๖–๑๘๕๘ พระเจา้ บาบูร์ ผูก้ ่อตงั้ ราชวงศโ์ มกุล ไดร้ วบรวมอินเดียใหเ้ป็นปึกแผ่นอีกครงั้ หน่ึง ไดช้ ่อื ว่าเป็นจกั รวรรดิอิสลามและเป็นราชวงศส์ ุดทา้ ยของอินเดยี โดย อนิ เดยี ตกเป็นอาณานิคมขององั กฤษในปี ค.ศ. ๑๘๕๘ กษตั ริยร์ าชวงศ์โมกุลท่ีย่ิงใหญ่ คือพระเจา้ อกั บารม์ หาราช (Akbar) ทรงทะนุบาํ รุงอินเดียใหม้ ีความ เจริญรุ่งเรืองในทกุ ๆ ดา้ น และในสมยั ของชาห์ เจฮนั (Shah Jahan) ทรงสรา้ ง ‚ทชั มาฮลั ‛ (Taj Mahal) ซง่ึ เป็น อนุสรณแ์ หง่ ความรกั เป็นงานสถาปตั ยกรรมทผ่ี สมผสานศิลปะอนิ เดยี และเปอรเ์ ซยี ท่มี คี วามงดงามยง่ิ ๒๕ ปญั จาบ (Punjab) คอื รฐั หน่ึงทางเหนอื ของอนิ เดยี มเี มอื งหลวงช่ือ จณั ฑคี รห์ มคี นอยู่ประมาณ ๒๔ ลา้ นคน และรฐั น้ีเป็นศูนยก์ ลางของ ชาวซกิ ข์ โดยมสี ถานทส่ี าํ คญั คอื สุวรรณวหิ าร หรือวดั ทอง สถานทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธ์ิของชาวสกิ ข์ ระบบแผนผงั เมอื งน้ี มกี ารจดั โซนท่เี รียกกนั วา่ เซกเตอร์ มกี าร แยกเป็นเขตทอ่ี ยูอ่ าศยั เขตอตุ สาหกรรม เขตธุรกิจท่ีชดั เจน แต่และส่วนจะไมม่ กี ารปะปนกนั มหี า้ งสรรพสนิ คา้ มรี า้ นขายของ มรี า้ นมนิ ิมารท์ มสี นิ คา้ บางอยา่ งทน่ี าํ เขา้ มาจากเมอื งไทย แต่ราคาแพงมาก เป็นเมอื งทน่ี ่าอยู่ และน่ามาศกึ ษาเลา่ เรียน ค่าครองชพี สูง เมอื งมกี ารออกแบบทส่ี วยมาก ถอื ไดว้ ่าเป็น เมอื งทส่ี วยอกี เมอื งหน่งึ ในอนิ เดยี โดยมที มี งานนกั ออกแบบผงั เมอื งโดยชาวต่างชาตคิ อื เลอ คอรบ์ สุ ซเิ ออรส์ ถาปนิกชาวสวสิ เซอรแ์ ลนด์ แมททวิ โนวคิ คี สถาปนกิ ชาวโปแลนด์ และคนสุดทา้ ย อลั เบริ ต์ เมเยอร์ นกั ผงั เมอื งชาวอเมริกา
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๒๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พระเจา้ อกั บารม์ หาราช -พระเจา้ บาบรู ์ ผูก้ ่อตง้ั ราชวงศโ์ มกลุ นบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม เป็นราชวงศส์ ุดทา้ ยของอนิ เดีย พระเจา้ อกั บาร์ มหาราช ทรงทะนุบาํ รุงอนิ เดยี ใหม้ คี วามเจรญิ รุ่งเรอื งทกุ ดา้ น และทรงใหเ้สรีภาพในการนบั ถอื ศาสนา สรา้ งสามคั คีให้ เกดิ ข้นึ ในชาติ พระเจา้ ซาร์ เจฮนั ทรงเป็นมสุ ลมิ ทเ่ี คร่งครดั และศรทั ธาในศาสนาอสิ ลามเป็นผูส้ รา้ งทชั มาฮาล ท่มี คี วาม งดงามยง่ิ ๑๐) สมยั อาณานิคมองั กฤษ หรอื ยุคบรติ ิชราช - สาธารณรฐั อนิ เดยี หลงั การมาถึงของชาติตะวนั ตกและยุคแห่งการคา้ และล่าอาณานิคม นาํ โดยบริษทั อีสต์ อินเดีย ของ องั กฤษ จนเกดิ การต่อตา้ นจากนานาแควน้ จนเป็นสงครามตงั้ แต่ พ.ศ.๒๓๐๐ จนองั กฤษใชก้ าํ ลงั อาวุธท่เี หนือกว่าเขา้ ปราบจนราบคาบ ในปี พ.ศ.๒๔๐๐ แลว้ เรยี กค่าชดใชจ้ ากราชวงศม์ กู อล ซง่ึ สุลต่านไดห้ นีไปอยู่ในพมา่ องั กฤษจึงจบั เช้อื พระ วงศป์ ระหารแลว้ เขา้ ยดึ อาํ นาจพรอ้ มกบั การถ่ายโอนผลประโยชนเ์ หนืออินเดียของบรษิ ทั แก่รฐั บาลองั กฤษ มอี าํ นาจ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๒๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เหนือโดยสมบรู ณ์ แต่งตง้ั ขา้ หลวงอุปราชเขา้ ปกครองในฐานะเขตปกครองขององั กฤษ หรือ บรติ ชิ ราช (British Raj) ในปี พ.ศ. ๒๔๐๑ โดยแบ่งรฐั ต่างๆ ออกเป็นเขตๆ เรียกว่ารฐั เจา้ ครองนคร (Princely State) ข้นึ ตรงกบั รฐั บาล กลางทม่ี สี มเด็จพระนางเจา้ วคิ ตอเรียแห่งองั กฤษเป็นประมขุ จนหลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ ใน พ.ศ.๒๔๙๐ หลงั จาก การพยายามเรยี กรอ้ งอสิ รภาพดว้ ยหลกั การขนั ติ และอหงิ สา ภายใตก้ ารนาํ ของมหาตมะ คานธี ตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๘ อินเดียจึงไดร้ บั อิสรภาพจดั ตง้ั เป็น ๒ รฐั อธิปไตย คือสหภาพอินเดีย ต่อมา เปลย่ี นเป็น สาธารณรฐั อินเดีย และเขตปกครองแห่งปากีสถาน ต่อมาแบ่งเป็น ๒ ประเทศคือสาธารณรฐั อิสลาม ปากสี ถาน และ สาธารณรฐั ประชาชนบงั กลาเทศ ปลายสมยั อาณาจกั รโมกุล กษตั ริยท์ รงใชจ้ ่ายฟุ่มเฟือย ตอ้ งเพ่มิ ภาษีและเพ่มิ การเกณฑแ์ รงงานทาํ ให้ ราษฎรอดอยาก และยงั กดขท่ี าํ ลายลา้ งศาสนาฮนิ ดูและชาวฮนิ ดูอย่างรุนแรง เกดิ ความแตกแยกภายในชาติ เป็นเหตใุ หอ้ งั กฤษค่อยๆเขา้ แทรกแซงและครอบครองอนิ เดยี ทลี ะเลก็ ละนอ้ ย ในท่สี ุด องั กฤษลม้ ราชวงศโ์ มกลุ และครอบครองอนิ เดียในฐานะอาณานิคมองั กฤษ สง่ิ ท่อี งั กฤษวางไวใ้ หก้ บั อนิ เดยี คอื - รากฐานการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย แบบรฐั สภา - การศาล การศึกษา - ยกเลกิ ประเพณีบางอยา่ ง เช่น พธิ สี ตี (การเผาตวั ตายของหญงิ ฮนิ ดูทส่ี ามตี าย) ๑๑) สมยั เอกราช หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ขบวนการชาตินิยมอินเดยี นาํ โดย มหาตมะ คานธี และ เยาวราลห์ เนหร์ ู เป็น ผูน้ าํ เรยี กรอ้ งเอกราช มหาตมะ คานธี ใชห้ ลกั อหิงสา (ความไม่เบยี ดเบียน ความสงบ) ในการเรียกรอ้ งเอกราชจนประสบ ความสาํ เรจ็ หลงั จากไดร้ บั เอกราชอินเดยี ปกครองดว้ ยระบอบประชาธิปไตย แต่จากความแตกแยกทางเช้อื ชาตแิ ละ ศาสนา ทาํ ใหอ้ ินเดียตอ้ งแตกแยกเป็นอีก ๒ ประเทศคือ ปากีสถาน (เดิมคือปากีสถานตะวนั ตก) และบงั คลาเทศ (ปากสี ถานตะวนั ออก) ศลิ ปกรรมอนิ เดีย มกั เกย่ี วขอ้ งกบั ความเช่ือทางศาสนา ดา้ นสถาปตั ยกรรม ซากเมอื งฮารบั ปาและโมเฮนโจดาโร ทาํ ใหเ้หน็ ว่ามกี ารวางผงั เมอื งอย่างดี มสี าธารณูประโภคอาํ นวยความ สะดวกหลายอยา่ ง เช่น ถนน บอ่ นาํ้ ประปา ซง่ึ เนน้ ประโยชนใ์ ชส้ อยมากกว่าความสวยงาม ซากพระราชวงั ทเ่ี มอื งปาฏลบี ตุ รและตกั ศิลา สถูปและเสาแปดเหลย่ี ม ท่สี าํ คญั คือ สถปู เมอื งสาญจี (สมยั ราชวงศโ์ มรยิ ะ) สุสานทชั มาฮาล สรา้ งดว้ ยหนิ อ่อน เป็นการผสมระหว่างศิลปะอินเดยี และเปอรเ์ ชยี ดา้ นประตมิ ากรรม เกย่ี วขอ้ งกบั ศาสนา พระพทุ ธรูปแบบคนั ธาระ พระพทุ ธรูปแบบมถรุ า
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๒๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พระพทุ ธรูปแบบอมราวดี ภาพสลกั นูนทม่ี หาพลปิ ลุ มั ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ มหศั จรรย์ ดา้ นจติ รกรรม สมยั คุปตะ และหลงั สมยั คุปตะ เป็นสมยั ท่รี ุ่งเรืองท่สี ุดของอินเดีย พบงานจิตรกรรม ท่ปี รากฏในผนงั ถา้ อชนั ตะ๒๖ เป็นภาพเขยี นในพระพทุ ธศาสนาแสดงถงึ ชาดกต่างๆ ทง่ี ดงามมาก ความสามารถในการวาดเสน้ และการ อาศยั เงามดื บรเิ วณขอบภาพทาํ ใหภ้ าพแลดูเคลอ่ื นไหว ใหค้ วามรูส้ กึ สมจรงิ ดา้ นนาฏศลิ ป์ เก่ยี วกบั การฟ้อนราํ เป็นสว่ นหน่ึงของพธิ กี รรมเพอ่ื บูชาเทพเจา้ ตามคมั ภรี พ์ ระเวท ดา้ นสงั คตี ศลิ ป์ บทสวดสรรเสริญเทพเจา้ ทง้ั หลาย ถือเป็นแบบแผนการรอ้ งท่ีเก่าแก่ท่ีสุดใน สงั คีตศิลป์ของอินเดีย แบง่ เป็นดนตรศี าสนา ดนตรใี นราชสาํ นกั และดนตรที อ้ งถ่นิ เคร่อื งดนตรสี าํ คญั คือ วณี า หรอื พณิ ใชส้ าํ หรบั ดดี เวณุ หรอื ขลยุ่ และกลอง การแพรข่ ยายและการถา่ ยทอดอารยธรรมอนิ เดีย อารยธรรมอินเดีย แพร่ขยายออกไปสู่ภูมภิ าคต่างๆ ทวั่ ทวปี เอเชยี โดยผ่านทางการคา้ ศาสนา การเมอื ง การทหาร และไดผ้ สมผสานเขา้ กบั อารยธรรมของแต่ละประเทศจนกลายเป็นสว่ นหน่ึงของอารยธรรมสงั คมนน้ั ๆ ในเอเชยี ตะวนั ออก พระพทุ ธศาสนามหายานของอนิ เดียมอี ิทธพิ ลอย่างลกึ ซ้งึ ต่อชาวจีนทง้ั ในฐานะศาสนา สาํ คญั และในฐานะทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการสรา้ งสรรคศ์ ิลปะของจนี ภูมภิ าคเอเชยี กลาง อารยธรรมอนิ เดียท่ถี ่ายทอดใหเ้ร่มิ ตงั้ แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๗ เมอ่ื พวกมสุ ลมิ อาหรบั ซง่ึ มอี าํ นาจในตะวนั ออกกลางนาํ วทิ ยาการหลายอย่างของอินเดียไปใช้ ไดแ้ ก่ การแพทย์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ เป็นตน้ ขณะเดียวกนั อินเดียก็รบั อารยธรรมบางอย่าง ทง้ั ของเปอรเ์ ชียและกรีก โดยเฉพาะดา้ นศิลปกรรม ประติมากรรม เช่น พระพทุ ธรูปศิลปะคนั ธาระ ซง่ึ เป็นอิทธิพลจากกรีก ส่วนอทิ ธพิ ลของเปอรเ์ ชีย ปรากฏในรูปการ ปกครอง สถาปตั ยกรรม เช่น พระราชวงั การเจาะภเู ขาเป็นถาํ้ เพอ่ื สรา้ งศาสนสถาน ภูมภิ าคท่ปี รากฏอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียมากทส่ี ุดคือ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ พ่อคา้ พราหมณ์ และภกิ ษุสงฆช์ าวอนิ เดยี เดนิ ทางมาและนาํ อารยธรรมมาเผยแพร่ อารยธรรมทป่ี รากฏอยู่มแี ทบทุกดา้ น โดยเฉพาะใน ดา้ นศาสนา ความเช่อื การปกครอง ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพทุ ธ ไดห้ ลอ่ หลอมจนกลายเป็นรากฐานสาํ คญั ทส่ี ุด ของประเทศต่างๆ ในภมู ภิ าคน้ี ศกั ราชสาคญั ๆ ในประวตั ิศาสตรอ์ นิ เดียโบราณ ยุคกอ่ นครสิ ตศกั ราช (B.C.) ๒๖ ถา้ อชนั ตา (Ajanta Caves) เมอื งออรงั กาบาด รฐั มหาราษฎร์ ประเทศอนิ เดยี ไดช้ ่อื วา่ เป็น วดั ถาํ้ ในพทุ ธศาสนาทง่ี ดงามและเก่าแก่ท่สี ุดใน โลก สรา้ งเมอ่ื พ.ศ.๓๕๐ โดยพระภกิ ษุในสมยั นน้ั ไดค้ น้ พบสถานท่แี ห่งน้ี เห็นว่าเป็นสถานท่เี หมาะสาํ หรบั การปฏบิ ตั ธิ รรมกรรมฐานเป็นอย่างยง่ิ จงึ ไดเ้จาะ ภูเขาเพอ่ื สรา้ งเป็นกุฏิ โบสถ์ วหิ าร ฯลฯ เพ่อื อาศยั อยู่อย่างสนั โดษ เน่ืองจากเป็นสถานท่หี ่างไกลผูค้ น ทาํ ใหป้ ระวตั ศิ าสตรห์ นา้ ต่อมาของ ศาสนาพทุ ธใน อนิ เดยี ไดป้ รากฏข้นึ ในหมถู่ าํ้ บรเิ วณฝงั่ ตะวนั ตกของทร่ี าบสูงเดกกนั เมอื งออรงั กาบาด รฐั มหาราษฎร์ แหง่ น้ี ฯลฯ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๒๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ - C ๒๕๐๐ อารยธรรมลมุ่ แมน่ าํ้ สนิ ธุ๒๗ - C. ๑๕๐๐ \"อารยนั \" อพยพเขา้ สู่อนุทวปี อนิ เดยี - C. ๘๐๐ วฒั นธรรมอารยนั ขยายตวั ในอนุทวปี การใชเ้หลก็ ในอนุทวปี - C. ๖๐๐ การสถาปนาอาํ นาจของแควน้ มคธ - C. ๕๑๙ ไซรสั แห่งเปอรเ์ ซยี ยดึ ครองดนิ แดนตะวนั ตกเฉียงเหนือของอนุทวปี - ๔๙๓ พระเจา้ อชาตศตั รู เสวยราชยค์ รองแควน้ มคธ - ๔๘๖ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ปรนิ ิพพาน - C. ๔๖๘ พระมหาวรี ะนิพพาน - ๓๒๗-๕ พระเจา้ อเลกซานเดอรแ์ หง่ มาซดี อนรุกรานอนุทวปี อนิ เดยี - ๓๒๑ พระเจา้ จนั ทรคุปตะ ตน้ ราชวงศเ์ มารยะข้นึ ครองราชย์ - ๒๖๘-๓๑ รชั สมยั ของพระเจา้ อโศกแห่งอาณาจกั รเมารยะ - ๑๘๕ ราชวงศเ์ มารยะเสอ่ื ม - ๑๘๐-๓๐ กรกี ยดึ ครองดนิ แดนตะวนั ตกเฉียงเหนือ ยุคครสิ ตศกั ราช (A.D.) - C. ๗๘ พระเจา้ กนิษกะแหง่ ราชวงศก์ ุษานะ ครองดนิ แดนตะวนั ตกเฉียงเหนือ - ๓๑๙-๒๐ การสถาปนาราชวงศค์ ุปตะ - ๖๐๖-๔๗ สมยั ของพระเจา้ หรรษาวรรธนะ - ๗๑๒ อาหรบั ยดึ ครองแควน้ ซดิ ์ - C. ๘๐๐ สมยั ของศงั กราจารย์ นกั ปรชั ญาฮนิ ดู (ศงั กระหรอื ศงั กราจารย์ คอื คนเดยี วกนั ) - ๙๙๗-๑๐๓๐ การรุกรานของมาหมดุ แห่งฆษั นี - C. ๑๐๕๐ สมยั ของรามานุชา นกั ปรชั ญาฮนิ ดู - ๑๒๐๖ การสถาปนาอาํ นาจ ราชวงศท์ าส (Slave Dynasty) - ๑๕๒๖ การสถาปนาราชวงศโ์ มกลุ - C = Circa (ประมาณ) ๒.๔ อนิ เดียปจั จุบนั ผนื แผ่นอนุทวปี อนิ เดีย (Indian Tectonic Plate) เป็นสะเก็ดเปลอื กโลกท่เี ดมิ เคยเป็นเกาะอยู่ไม่ห่าง จากผนื แผ่นทวปี ออสเตรเลยี แลว้ เลอ่ื นข้นึ มาทางตะวนั ออกเฉียงเหนือเมอ่ื ประมาณ ๒๐๐ ลา้ นปีก่อน กระทงั่ ชนเขา้ กบั ผืนแผ่นทวีปใหญ่ยูเรเซีย (Eurasia Landmass) ท่ีบริเวณรอยย่นใหญ่เมอ่ื ประมาณ ๔๐-๕๐ ลา้ นปีก่อนจน ๒๗ C=Circa (ประมาณ). Thapar Romila, A History of India, Vol. I Penguin Books, Middlesex, 1972.
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๒๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ กลายเป็นหลงั คาของโลก เทอื กเขาหมิ าลยั และท่รี าบสูงทเิ บตโดยทกุ วนั น้ียงั มแี รงชนต่อเน่ือง ส่งผลใหย้ อดเขาเอเวอ เรสต์ ยงั ยกตวั สูงข้นึ ประมาณปีละ ๔-๕ มลิ ลเิ มตร อารยธรรมลุ่มแม่นาํ้ สนิ ธุ ไดร้ บั การศึกษาคน้ ควา้ ว่าเป็นอารยธรรมของชาวฑราวทิ ตงั้ แต่ ๒,๕๐๐ ปี ก่อน คริสตกาล รุ่งเรืองอยู่ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ก่อนท่ชี าวอารยนั เขา้ สรา้ งสรรคต์ ่ออีก ๒,๐๐๐ ปี ตง้ั แต่ ๑,๕๐๐ ปีก่อน คริสตกาลถึงคริสตวรรษท่ี ๖ จนถือเป็นแบบแผนทางอารยธรรมอินเดียปจั จุบนั มอี าณาบริเวณครอบคลุมทาง ตะวนั ตกเฉียงเหนือของอนิ เดยี - ปากสี ถาน - อฟั กานิสถาน - และหลายรฐั ในอดีตสหภาพโซเวยี ต จากตะวนั ออกถงึ ตะวนั ตกถงึ ๑,๖๐๐ กโิ ลเมตร จากเหนือลงใตถ้ งึ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร มี ๒ เมอื งใหญ่ทไ่ี ดร้ บั การศึกษาขดุ คน้ แลว้ คือ ฮารปั ปา(Harappa) และ โมเฮนโช-ฑะโร (Mohenjo-Daro) ซ่ึงร่วมสมยั กบั อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ กล่าวคือมกี ารก่อสรา้ งเป็นชุมชนขนาดเมอื งใหญ่มหานครดว้ ยอิฐอย่างเป็นระเบยี บ อาคารหลายชน้ั มผี งั เมอื งเป็น สดั ส่วนทง้ั ท่ีอยู่อาศยั อาคารสาธารณประโยชน์ อาคารทางศาสนาพิธกี รรม พรอ้ มระบบสญั จร ถนน ทางเดิน และ ระบายนาํ้ มที อ่ี าบนาํ้ ถนนกวา้ งถงึ ๑๑ เมตร การประกอบอาชีพการเกษตร เพาะปลูก ล่าสตั ว์ มเี คร่อื งใชป้ นั้ ดว้ ยดิน เผา ทองแดงและสมั ฤทธ์ิ มกี ารทอผา้ ใชเ้คร่ืองประดบั ไม่พบป้อมปราการและอาวุธในระยะแรก สนั นิษฐานว่าน่าจะ เป็นศูนยก์ ลางการคา้ สาํ คญั ก่อนจะมกี ารสรา้ งป้อมปราการแขง็ แรงในยุคหลงั สนั นิษฐานว่าเป็น อาคารศาสนาและ การเมอื งทเ่ี ช่อื วา่ ผูป้ กครองอาจเป็นนกั บวช พบมีการทาํ ดวงตราแกะสลกั หินจํานวนมากหลายพนั ช้ิน เป็นภาพสตั วแ์ ละ คลา้ ยตวั อกั ษรภาพ (pictograph) คลา้ ยอกั ษรสุเมเรียน ยงั ไม่สามารถอ่านไดส้ นั นิษฐานว่าเป็นตราประจาํ เคร่ืองหมายการคา้ หรือรูป เคารพ มบี างรูปคลา้ ยตน้ โพธ์คิ ลา้ ยเทพเจา้ แหง่ ความอดุ มสมบูรณ์ ปศุบดี พระแมธ่ รณี ลงึ ค์ และ โยนี ปจั จบุ นั อนิ เดยี เป็นประเทศทป่ี กครองแบบสาธารณรฐั มพี ้นื ท่ี ๓,๒๘๗,๒๖๓ ใหญ่เป็นอนั ดบั ๗ ของโลก รองจากรสั เซยี แคนาดา จีน อเมริกา บราซิลและออสเตรเลยี มปี ระชากร ๑,๐๐๐ ลา้ นคน มากเป็นอนั ดบั ๒ ของ โลกไดร้ บั เอกราชในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ.๑๙๔๗) มที ง้ั หมด ๒๘ รฐั มภี าษาพูดมากถงึ ๑,๖๕๒ ภาษา ภาษาราชการ ๑๘ ภาษา แต่ภาษาทน่ี ิยมใชม้ ากท่สี ุดคือภาษาฮินดี และภาษาองั กฤษ๒๘ สภาพดนิ ฟ้าอากาศของอนิ เดียมี ๓ ฤดูคือ ฤดูหนาว ฤดูรอ้ น และฤดูมรสุม หากดูจากแผนท่โี ลก อนิ เดียจะมลี กั ษณะแหลมขนาดใหญ่ย่นื ออกไปทะเล มที ะเล ลอ้ มรอบสามดา้ น จะตง้ั อยู่ทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของประเทศไทยหรือทิศพายพั เวลาในอินเดียจะชา้ กว่าใน เมอื งไทย ๑ ชวั่ โมง ๓๐ นาที อนิ เดยี ถอื วา่ เป็นประเทศทเ่ี ป็นอู่อารยธรรมโบราณของโลกทม่ี อี ายุเก่าแก่ถงึ ๔,๐๐๐ ปีมาแลว้ และเป็นอู่ อารยธรรมท่สี าํ คญั แห่งหน่ึงในบรรดาอู่อารยธรรมทงั้ ๔ แห่งของโลกคืออู่อารยธรรมแมน่ าํ้ ไนล์ แถบประเทศอยี ปิ ต์ อู่อารยธรรมลมุ่ นาํ้ ไตกรสิ แถบเอเชยี ไมเนอร์ และอู่อารยธรรมลุม่ นาํ้ เหลอื ง แถบประเทศจีน และเพราะเป็นประเทศ ท่มี พี ้นื ท่กี วา้ งใหญ่อินเดียจึงมีสภาพทางภูมิศาสตรห์ ลากหลาย มที งั้ ภูเขาสูงอากาศหนาวจดั และรอ้ นจดั ซ่งึ ไดแ้ ก่ เทอื กเขาหิมาลยั และแถบทะเลทรายและมพี ้นื ท่รี าบลุ่มอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตรมากมาย ซ่งึ ไดแ้ ก่บริเวณ แม่นาํ้ สนิ ธุและคงคากบั ทางภาคใตข้ องอินเดยี ทาํ ใหด้ นิ แดนแถบน้ีอดุ มไปดว้ ยผูค้ นหลายเผ่าหลายตระกูล มภี าษา ๒๘ รศ.ดร.สาํ เนยี ง เลอ่ื มใส, ตามรอยจารกิ อนิ เดีย เนปาล, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), หนา้ ๘- ๙.
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๒๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ติดต่อส่อื สารกนั มากมาย และมนี กั คิดทางปรชั ญาและศาสนามากมายปจั จุบนั นกั ประวตั ิศาสตรไ์ ดแ้ บ่งคนอินเดีย ออกเป็นกลมุ่ ใหญ่ๆ คอื กลมุ่ ฮนิ ดู กลมุ่ เบง็ คาลี กลมุ่ มหาราษฎร์ กลมุ่ ซกิ ส๒์ ๙ ตามหลกั ฐานทางโบราณคดี เร่ิมมมี นุษยเ์ ขา้ มาอยู่อาศยั บริเวณดินแดนน้ีเม่อื ราวลา้ นปีเศษมาแลว้ คือ มนุษยย์ ุคหนิ มนุษยย์ ุคทองแดง ต่อมาประมาณ ๔,๐๐๐ ปี ก่อนพทุ ธศกั ราชไดม้ มี นุษยเ์ ผ่านิกรโิ ต มลี กั ษณะผวิ ดาํ ผมหยกิ เขา้ มาอยู่ ต่อมาเมอ่ื ราว ๒,๐๐๐ ปี หรอื ๓,๐๐๐ ปีก่อนพทุ ธศกั ราช มมี นุษย์ ๒ เผ่า อพยพเขา้ มาอาศยั อยู่ ในอินเดีย โดยเผ่าแรกคือมนุษยเ์ ผ่าทราวฑิ หรือ ดราวเิ ดยี น ทสั ยุ ก็เรียก ทางบาลเี รียกว่า มลิ กั ขะ เผ่าน้ีเขา้ มาอยู่ ก่อนจงึ เป็นชาวพ้นื เมอื งหรอื เป็นเจา้ ของถ่นิ เดมิ พวกเขาเคารพบูชาเทพเจา้ โลกธาตุและธรรมชาติ คือ ดนิ นาํ้ ไฟ ลม โลกธาตุไดแ้ ก่ ไฟ ลม และนํา้ ธรรมชาติไดแ้ ก่ ดิน ถือว่าทุกอย่างมีชีวิตจิตใจ และมีตวั ตน๓๐ ซ่ึงต่อมาได้ ววิ ฒั นาการมาเป็นเทพอคั นี (ไฟ) วารุต (ลม) วรุณ (ฝน) เป็นตน้ มเี ทพเจา้ สูงสุดคือพระนารายณ์ มพี าหนะคือนาค แมส้ มยั พทุ ธกาลกลุม่ ท่ถี อื ไฟกย็ งั เหลอื อยู่ เช่น ชฎลิ ๓ พ่นี อ้ ง พระพทุ ธเจา้ กเ็ สด็จไปทรมานพญานาค มนุษยเ์ ผ่าน้ี ชอบอาศยั อยู่ตามลุ่มนาํ้ มกั ถูกมองว่าเป็นพวกท่ดี อ้ ยพฒั นา แต่หลกั ฐานทางโบราณคดีท่ี เซอร์ จอหน์ มารแ์ ชล คน้ พบปรากฏว่าเป็นกลมุ่ ทม่ี คี วามรูค้ วามเจรญิ ยง่ิ กว่าอียปิ ตโ์ บราณและยง่ิ กวา่ ชนชาตใิ ดในเมโสโปเตเมยี ๓๑ อกี เผา่ หน่ึงคอื มนุษยเ์ ผา่ อารยนั อพยพเขา้ มาภายหลงั พวกแรก เป็นพวกฉลาดกว่า นบั ถอื เทพเจา้ ทอ่ี ยู่บน ท่สี ูงคือภูเขาและบนฟ้า โดยเฉพาะเทพแห่งไฟและแสงสว่างคือพระอาทิตย์ ท่เี รียกว่าสาวติ รีเทพ หรืออาทิตยเทพ เป็นเทพทม่ี พี ลงั อาํ นาจมาก พาหนะของเทพองคน์ ้ีเป็นสง่ิ ทบ่ี นิ ไดค้ อื ครุฑ ทางบาลเี รยี กสุบรรณ พวกอารยนั เป็นพวก ท่มี คี วามเจริญทางวฒั นธรรมประเพณี รูจ้ กั ประดิษฐส์ ่งิ ของนาํ มาใชใ้ นการดาํ เนินชีวิต และท่ถี ือว่าโดดเด่นกว่าเผ่า แรกคอื พวกเขารูจ้ กั ทาํ รถรบในการทาํ การยุทธ๓๒ จนในทส่ี ุดสามารถเป็นผูค้ รอบครองพ้นื ท่ไี ดม้ ากกว่าและขบั ไลพ่ วก เจา้ ของถน่ิ เดมิ ใหถ้ อยไปทางตอนใตข้ องอนิ เดีย และต่อมาชนสองเผ่าน้ีไดผ้ สมผสานวฒั นธรรมซ่งึ กนั และกนั จนเกดิ ความหลากหลายทางดา้ นชาติพนั ธุแ์ ละภาษา เกิดระบบสงั คม และเป็นบ่อเกิดแห่งศาสนาและปรชั ญาจนกลายเป็น แหลง่ อารยธรรมทส่ี าํ คญั ของโลกแห่งหน่ึงกระทงั่ ปจั จุบนั สภาพทางสงั คมและความเช่ือ สง่ิ ทแ่ี สดงความโดดเด่นทางสงั คมวฒั นธรรมของอารยนั คือความเช่อื ว่ามเี ทพเจา้ ผูส้ รา้ งโลกและจกั รวาล จงึ นาํ ไปสูก่ ารเคารพนบั ถอื บชู าเทพเจา้ ในลกั ษณะต่างๆ โดยชาวอารยนั ไดม้ คี วามเช่อื ว่าพวกเขาเกดิ จากเทพเจา้ สูงสุด ท่มี สี ภาพไมใ่ ช่มนุษยแ์ ละสตั ว์ ไม่สามารถมองดว้ ยตาเปลา่ แต่เทพน้ีสามารถดลบนั ดาลสง่ิ ดีและโทษแก่เหล่ามนุษย์ และสรรพสตั วไ์ ด้ สภาพทางสงั คมอินเดียมคี วามเก่ียวขอ้ งกบั เทพเจา้ ตงั้ แต่เกดิ ถงึ ตาย ยง่ิ ไปกว่านน้ั ยงั ไดน้ าํ ความ เช่ือน้ีมาเช่ือมโยงกบั เร่ืองวรรณะ โดยพวกเขาแบ่งระบบสงั คมของมนุษยอ์ อกเป็นวรรณะ ๔ คือวรรณะกษตั ริย์ มี หนา้ ท่ใี นการรบ และรกั ษาบา้ นเมอื ง วรรณะพราหมณ์ มหี นา้ ท่ใี นการศึกษาและพธิ ีกรรม วรรณะแพศย์ มหี นา้ ท่ใี น การคา้ ขาย ดูแลเศรษฐกจิ และวรรณะศูทร มหี นา้ ทท่ี าํ งาน รบั จา้ ง โดยการแบ่งวรรณะน้ีมพี ้นื ฐานมาจากความเช่อื ว่า ๒๙เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑, หนา้ ๒-๓. ๓๐หลวงวจิ ติ รวาทการ, ศาสนาสากล เลม่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : ลูก ส.ธรรมภกั ด,ี ๒๕๒๓), หนา้ ๒๓๘. ๓๑เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๒๓๖. ๓๒เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๒๓๗.
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๒๖ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ พระผูเ้ ป็นเจา้ ทรงสรา้ งโลก จกั รวาลและมวลมนุษยชาติ คือทรงสรา้ งวรรณะกษตั ริยจ์ ากพระโอษฐ์ สรา้ งวรรณะ พราหมณจ์ ากพระพาหา สรา้ งวรรณะแพศยจ์ ากพระอุทรและสรา้ งวรรณะศูทรจากพระบาท การแบง่ ประเภทวรรณะ อย่างน้ีในเบ้อื งตน้ น่าจะเป็นการจดั ระบบหนา้ ท่คี วามรบั ผดิ ชอบทางสงั คม ต่อมาวรรณะกษตั รยิ แ์ ละวรรณะพราหมณ์ มอี าํ นาจมากข้นึ จงึ เป็นการแบง่ ลาํ ดบั ชน้ั ทางสงั คมเป็นไปในดา้ นความเหลอ่ื มลาํ้ ทางสงั คมและเกดิ การดูหมน่ิ ในระบบ วรรณะทด่ี อ้ ยกว่า คือวรรณะศูทร ย่งิ ไปกว่านนั้ มกี ารสรา้ งกฎเกณฑบ์ งั คบั เร่อื งสขี องเคร่อื งแต่งกายดว้ ย คือกษตั ริย์ ใหแ้ ต่งสแี ดง พราหมณใ์ หแ้ ต่งสีขาว แพศยใ์ หแ้ ต่งสีเหลอื ง ศูทรใหแ้ ต่งสดี าํ วรรณะสูงกบั วรรณะตาํ่ จะสมาคมกนั ไมไ่ ด้ หากสมาคมกนั หรอื แต่งงานกนั ลูกทเ่ี กิดมาเรยี กว่า “จณั ฑาล” ซง่ึ ถอื วา่ ตาํ่ กว่าวรรณะทงั้ ปวง เร่อื งวรรณะของพราหมณน์ ้ีมกี ารถอื กนั อย่างไมเ่ ปลย่ี นแปลง เป็นปญั หาของสงั คมอนิ เดียอย่างหน่ึงท่มี ี มานานก่อนพทุ ธกาล แมว้ า่ พระพทุ ธเจา้ จะทรงพยายามกาํ จดั ทาํ ลายดว้ ยวธิ กี ารหลากหลาย มกี ารบรรพชาอปุ สมบท เป็นตน้ ตลอดพระชนมช์ ีพของพระองคก์ ็ตาม ก็ยงั ไมส่ ามารถกาํ แพงวรรณะน้ีใหห้ ายไปไดเ้ลย หลวงวจิ ติ รวาทการ ไดก้ ลา่ วไวต้ รงน้ีว่า “ลทั ธิศาสนาพราหมณจ์ ะเปลย่ี นรูปไปอย่างไรกต็ ามที เร่ืองวรรณะเป็นเร่อื งเปลย่ี นไม่ได้ เราจะ เหน็ ไดใ้ นตอนทก่ี ลา่ วถงึ พระพทุ ธศาสนาว่า พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงทาํ ความพยายามอย่างย่ิงยวดท่จี ะปฏวิ ตั ิสงั คมอนิ เดยี ดว้ ยวธิ เี ลกิ วรรณะและเป็นงานอนั เดยี วทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ ไมส่ าํ เรจ็ ”๓๓ อย่างไรก็ตาม แมว้ ่าจะเป็นงานท่ถี ูกมองว่าไม่สาํ เร็จ แต่ส่งิ ท่พี ระองคท์ รงทาํ สาํ เร็จและทาํ ไดต้ ามท่ที รง ประสงคค์ ือการประกาศอสิ รภาพแหง่ ความเป็นมนุษยค์ อื มนุษยส์ ามารถพฒั นาตนเองไดจ้ นกระทงั่ สามารถเป็นครูของ เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย ความสาํ เรจ็ น้ีนบั ว่ายง่ิ ใหญ่กวา่ การยกเลกิ ระบบวรรณะอย่างแทจ้ รงิ ๒.๕ การเมืองการปกครองของอนิ เดียปจั จบุ นั การปกครองของอนิ เดียเป็นระบอบประชาธปิ ไตยระบบรฐั สภา แยกศาสนาออกจากการเมอื ง แบง่ อาํ นาจ การปกครองเป็นสาธารณรฐั (Secular Democratic Republic with a parliamentary system) แบง่ เป็น ๒๘ รฐั และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก ๗ เขต การปกครองของอินเดียมีรฐั ธรรมนูญเป็นแม่บท มี ประธานาธบิ ดเี ป็นประมขุ ของรฐั และประมขุ ของฝ่ายบรหิ ารตามบทบญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนูญ แต่อาํ นาจในการบริหารท่ี แทจ้ ริงอยู่ท่นี ายกรฐั มนตรี ประธานาธิบดีคนปจั จุบนั คือ นายประนาบ มกุ เคอรจ์ ี (Pranab Mukherjee) เขา้ รบั ตาํ แหน่งเมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในฐานะประธานาธบิ ดคี นท่ี ๑๓ ส่วนนายกรฐั มนตรคี นปจั จบุ นั คือนายมาน โมฮนั ซงิ ห์ (Manmohan Singh) ซง่ึ ดาํ รงตาํ แหน่งนายกรฐั มนตรมี า ตง้ั แต่วนั ท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เป็นสมยั ท่ี ๒) อนิ เดียมคี วามภาคภูมใิ จในความเป็นประเทศประชาธิปไตยระบบรฐั สภาท่มี ขี นาดใหญ่ท่สี ุดในโลกดว้ ย จาํ นวนประชากรกว่า ๑.๒๒ พนั ลา้ นคน โดยมผี ูม้ สี ทิ ธิลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ ทวั่ ไปครงั้ ล่าสุดเม่อื เดือนเมษายน- พฤษภาคม ๒๕๕๑ ถงึ ๗๐๐ ลา้ นคน ซง่ึ ถอื เป็นรากฐานท่สี าํ คญั ของการเมอื งการปกครองของอนิ เดยี นบั ตง้ั แต่ไดร้ บั เอกราชมาจนถงึ ปจั จบุ นั ๓๓ หลวงวจิ ติ รวาทการ, ศาสนาสากล เลม่ ๑, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑, (กรุงเทพมหานคร : สรา้ งสรรคบ์ คุ๊ , ๒๕๔๖), หนา้ ๒๖๗-๒๖๘.
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๒๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ การปกครองของสว่ นกลาง ฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิหรือรฐั สภา (Parliament) อินเดีย เป็นระบบสภาคู่ (Bicameral) ประกอบดว้ ยราชยสภา (Rajya Sabha) หรือวุฒสิ ภา รฐั ธรรมนูญบญั ญตั ิใหร้ าชยสภามสี มาชิก ไม่เกนิ ๒๕๐ คน ปจั จุบนั มสี มาชิก ๒๔๕ คน โดย ๑๒ คน เป็นผูท้ รงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ท่ไี ดร้ บั การแต่งตง้ั จากประธานาธบิ ดีทุกๆ ๒ ปี และอกี ๒๓๓ คน มาจากการเลอื กตง้ั ทางออ้ มโดยสภานิติบญั ญตั แิ ห่งรฐั (Legislative Assembly) หรือวธิ านสภา เป็นผูเ้ลอื ก ถอื เป็น ผูแ้ ทนของรฐั และดินแดนสหภาพ สมาชิกราชยสภามวี าระการทาํ งาน ๖ ปี โดยทกุ สองปีจะมกี ารเลอื กตงั้ และแต่งตงั้ สมาชกิ ราชยสภา จาํ นวน ๑ ใน ๓ ใหม่ มรี องประธานาธบิ ดอี นิ เดยี เป็นประธานราชยสภา โลกสภา (Lok Sabha) หรอื สภาผูแ้ ทนราษฎร โลกสภามสี มาชกิ ไดไ้ มเ่ กิน ๕๕๐ คน โดย ๕๔๓ คน มา จากการเลอื กตงั้ โดยตรง (๕๓๐ คน มาจากแต่ละรฐั ๑๓ คน มาจากดินแดนสหภาพ) และอกี ไม่เกิน ๒ คน มาจาก การคดั เลอื กของประธานาธิบดจี ากชุมชนชาวผวิ ขาว (Anglo-Community) ในประเทศ สมาชกิ โลกสภามวี าระคราว ละ ๕ ปี เวน้ เสยี แต่จะมกี ารยุบสภา สมาชกิ โลกสภามวี าระการทาํ งาน ๕ ปี ปจั จบุ นั นาง Meira Kumar จากพรรคคองเกรส ดาํ รงตาํ แหน่งประธานสภาผูแ้ ทนราษฎร ซง่ึ เป็นประธาน ผูห้ ญงิ คนแรก ดาํ รงตาํ แหน่งตง้ั แต่วนั ท่ี ๓ มถิ นุ ายน ๒๕๕๒ สาํ หรบั การตรากฎหมายต่างๆ จะตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากทงั้ สองสภา ระบบการเลอื กตง้ั การเลอื กตง้ั สมาชกิ ราชยสภามที ง้ั แบบมผี ูแ้ ทนไดห้ ลายคนและแบบทเ่ี ขตเลอื กตง้ั มผี ูแ้ ทนไดค้ นเดียว เป็น การเลอื กตง้ั ทางออ้ มโดยสภานิตบิ ญั ญตั แิ หง่ รฐั และดนิ แดนสหภาพ โดยใชห้ ลกั การตวั แทนตามสดั ส่วน หรือคะแนน สูงสุดหน่ึงเดยี วแลว้ แต่กรณี อนิ เดยี มกี ารเลอื กตง้ั สมาชกิ โลกสภาครงั้ แรก ภายหลงั ไดร้ บั เอกราช เมอ่ื ปี ๒๔๙๕ และมกี ารประชุมโลก สภาครง้ั แรก เม่อื วนั ท่ี ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๙๕ การเลอื กตง้ั สมาชิกโลกสภาเป็นการเลือกตงั้ ทางตรงโดยใชเ้ กณฑ์ เสียงขา้ งมากปกติ มีการแบ่งเขตเลือกตง้ั ทงั้ หมด ๕๔๓ เขต โดยมีคณะกรรมการการเลือกตงั้ ของอินเดียเป็น หน่วยงานทด่ี ูแลเร่อื งการจดั การเลอื กตง้ั ทวั่ ประเทศ ซ่งึ เป็นหน่วยงานทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั นบั ถอื ว่าเป็นองคก์ รอสิ ระท่ี ดาํ เนินงานดว้ ยความเป็นกลาง และสามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ทโ่ี ดยปราศจากการแทรกแซงของรฐั การเลอื กตง้ั สมาชกิ โลก สภาค เม่อื เดือน เม.ย.-พ.ค. ๒๕๕๑ ซ่ึงถือเป็นการจดั การเลือกตงั้ ท่ีประสบความสาํ เร็จ เน่ืองจากมผี ูม้ าใชส้ ิทธิ เลอื กตง้ั สูงถงึ รอ้ ยละ ๖๐ และมวี ธิ ีจดั การเลอื กตงั้ ท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ โดยมกี ารใชท้ ะเบยี นรายช่อื ผูม้ สี ทิ ธิเลอื กตง้ั ซง่ึ มี รูปถ่ายประกอบ ทวั่ ทง้ั ประเทศเป็นครงั้ แรก ใน ๕๒๒ เขตเลอื กตง้ั (จากทง้ั หมด ๕๔๓ เขต โดยยกเวน้ บางเขตใน รฐั อสั สมั นาคาแลนด์ ชมั มูร์ และแคชเมียร)์ เพ่ือเป็นการป้ องกนั การทุจริตในการปลอมแปลงบุคคลท่ีมีสิทธิ ลงคะแนนเสยี ง นอกจากนน้ั มกี ารใชเ้คร่อื งลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ (electronic voting machine) ทวั่ ประเทศ จาํ นวน ๑.๑ ลา้ นเคร่อื ง ทาํ ใหส้ ามารถทราบผลการเลอื กตงั้ ทวั่ ประเทศไดภ้ ายใน ๒๔ ชวั่ โมง และใชก้ าํ ลงั เจา้ หนา้ ทพ่ี ลเรอื นทงั้ หมด ๔ ลา้ นคน เจา้ หนา้ ทต่ี าํ รวจ ๒.๑ ลา้ นคน เพอ่ื ดูแลรกั ษาความเรยี บรอ้ ยในการเลอื กตง้ั
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๒๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง วาระการประชมุ โลกสภา แบง่ เป็น ๑) การประชมุ พจิ ารณา พ.ร.บ. งบประมาณ (Budget Session) ระหว่าง เดือน กุมภาพนั ธ-์ พฤษภาคม ๒) การประชุมวาระฤดูฝน (Moon Soon Session) ระหว่างเดือน กรกฎาคม-สงิ หาคม ๓) การประชุมวาระฤดูหนาว (Winter Session) ระหว่างเดอื น พฤศจกิ ายน-ธนั วาคม อานาจหนา้ ทข่ี องรฐั สภา มอี าํ นาจหนา้ ทใ่ี นการบญั ญตั กิ ฎหมาย กาํ กบั ดูแลการบรหิ ารประเทศของฝ่ายบริหาร ผ่านร่างงบประมาณ อภิปรายประเด็นปญั หาต่างๆ ท่ีเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ หรือมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ แผนการพฒั นา นโยบายแห่งชาติ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ อาํ นาจหนา้ ทท่ี ่แี ตกต่างระหว่างโลกสภาและราชยสภา คือโลกสภา กาํ กบั ดูแลการบรหิ ารประเทศของคณะรฐั มนตรี และมอี าํ นาจในการบญั ญตั กิ ฎหมายเก่ยี วกบั การเงนิ และงบประมาณ ในขณะทร่ี าชยสภาไมม่ อี าํ นาจในการบญั ญตั กิ ฎหมายเก่ยี วกบั เร่อื งการเงนิ แต่มอี าํ นาจในการพจิ ารณากฎหมายอ่นื ๆ โลกสภาและราชยสภามคี ณะกรรมาธกิ ารต่างๆ อยู่ภายใต้ โดยแบง่ คณะกรรมาธิการเป็นสองประเภทคือ Standing Committee และ Ad Hoc Committee คณะกรรมาธกิ ารทถ่ี อื ว่ามคี วามสาํ คญั คือ Committee on Public Accounts มหี นา้ ท่ตี รวจสอบการใชจ้ ่ายงบประมาณของรฐั บาลใหเ้ป็นไปตาม ขอ้ ตกลงของรฐั สภา (เป็นคณะกรรมาธกิ ารของราชยสภา) Committee on Public Undertakings มหี นา้ ทต่ี รวจสอบรายงานของผูต้ รวจงบประมาณแผ่นดิน (เป็น คณะกรรมาธกิ ารของราชยสภา) Committee on Estimates มหี นา้ ท่ตี รวจสอบการบริหารงานใหเ้ป็นไปตามนโยบายของรฐั บาล (เป็น คณะกรรมาธกิ ารของโลกสภา) อน่ึง ประธานาธิบดีเป็นผูม้ อี าํ นาจเรียกประชุมสภา เล่อื นการประชมุ กล่าวอภปิ รายต่อสภา ยุบโลกสภา และประกาศกฎหมายไดท้ ุกเวลา ยกเวน้ ในระหว่างสมยั การประชุมของรฐั สภา และตามรฐั ธรรมนู ญ ผูท้ ่ีดาํ รง ตาํ แหน่งรฐั มนตรสี ามารถเป็นสมาชกิ ของโลกสภาหรือราชยสภากไ็ ด้ ฝ่ ายบรหิ าร ประธานาธบิ ดี เป็นประมขุ ของรฐั และเป็นหวั หนา้ คณะผูบ้ ริหาร (Head of Executives of the Union) ซ่งึ ประกอบดว้ ยรองประธานาธบิ ดี นายกรฐั มนตรี และคณะรฐั บาล (Council of Ministers) ประธานาธบิ ดีไดร้ บั การเลอื กตงั้ ทางออ้ มจากผูแ้ ทนของทงั้ สองสภา รวมทงั้ สภานิติบญั ญตั ิของแต่ละรฐั ดาํ รงตาํ แหน่งคราวละ ๕ ปี และ สามารถลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั เป็นวาระท่สี องได้ คุณสมบตั ิของผูท้ ่จี ะดาํ รงตาํ แหน่งประธานาธิบดีไดค้ ือตอ้ งมสี ญั ชาติ อนิ เดยี มอี ายุไมต่ าํ่ กว่า ๓๕ ปี และเป็นสมาชกิ โลกสภา รองประธานาธบิ ดี ไดร้ บั การเลอื กตง้ั ทางออ้ มจากผูแ้ ทนของทงั้ สองสภา ดาํ รงตาํ แหน่งคราวละ ๕ ปี และ เป็นประธานราชยสภาโดยตาํ แหน่ง นายกรฐั มนตรี เป็นผูท้ ่มี อี าํ นาจในการบริหารอย่างแทจ้ ริง ดาํ รงตาํ แหน่งคราวละ ๕ ปี ไดร้ บั การแต่งตงั้ โดยตรงจากประธานาธบิ ดี เป็นหวั หนา้ คณะรฐั มนตรี (Council of Ministers) ซง่ึ ไดร้ บั การแต่งตงั้ โดยประธานาธิบดี โดยการเสนอแนะของนายกรฐั มนตรี คณะรฐั มนตรีประกอบดว้ ย รฐั มนตรี (Ministers) รฐั มนตรีท่ีข้ึนตรงต่อ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๒๙ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ นายกรฐั มนตรี (Ministers of State - Independent Charge) และรฐั มนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) คณะรฐั มนตรรี ายงานโดยตรงต่อโลกสภา รฐั บาลอินเดียชุดปจั จุบนั มรี ฐั มนตรีว่าการ (Cabinet Ministers) ๓๓ คน รฐั มนตรีประจาํ สาํ นกั นายกรฐั มนตรี (Ministers of State with Independent Charge) ๗ คน และรฐั มนตรชี ่วยว่าการ (Ministers of State) ๓๘ คน รวม ๗๘ คน ฝ่ ายตลุ าการ อาํ นาจตุลาการเป็นอาํ นาจอิสระ ไม่ข้นึ กบั ฝ่ายบริหาร มหี นา้ ท่ปี กป้องและตีความรฐั ธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผูพ้ พิ ากษาประจาํ ศาลฎกี า มจี าํ นวนไม่เกิน ๒๕ คน แต่งตง้ั โดย ประธานาธิบดี ในระดบั รฐั มศี าลสูง (High Court) ของตนเองเป็นศาลสูงสุดของแต่ละรฐั รองลงมาเป็นศาลย่อย (Subordinate Courts) ซ่งึ แตกต่างกนั ไปในแต่ละรฐั อย่างไรกต็ าม อาํ นาจตุลาการของรฐั อยู่ภายใตศ้ าลฎีกาซง่ึ มี อาํ นาจสูงสุด การปกครองระดบั รฐั รฐั ธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอาํ นาจระหว่างรฐั บาลกลาง (Government of India) และรฐั บาลมลรฐั (State Government) อย่างชดั เจน รฐั บาลมลรฐั มอี าํ นาจในการรกั ษาความสงบเรียบรอ้ ยและรกั ษากฎหมาย การ พฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรมของมลรฐั โครงสรา้ งของฝ่ ายบรหิ ารในแตล่ ะมลรฐั ประกอบดว้ ย ผูว้ า่ การรฐั (Governor) เป็นประมขุ ของรฐั ไดร้ บั การแต่งตงั้ โดยตรงจากประธานาธิบดี (ตามขอ้ เสนอแนะ ของพรรคการเมอื งท่เี ป็นพรรครฐั บาล) มอี าํ นาจหนา้ ทใ่ี นการแต่งตง้ั ถอดถอนมขุ มนตรีและคณะรฐั มนตรีประจาํ รฐั แต่งตงั้ อยั การประจาํ รฐั เรยี กประชมุ และยุบสภานิตบิ ญั ญตั แิ ห่งรฐั ใหค้ วามเหน็ ชอบและยบั ยง้ั ร่างกฎหมายของรฐั มี อาํ นาจลดโทษและใหอ้ ภยั โทษ รฐั บาลแห่งรฐั (State Government) ประกอบดว้ ยมขุ มนตรี (Chief Minister) เป็นหวั หนา้ และเป็นผูใ้ ช้ อาํ นาจบรหิ ารภายในรฐั และคณะรฐั มนตรีประจาํ รฐั (State Ministers) ทงั้ น้ี รฐั บาลแห่งรฐั จะมาจากพรรคการเมอื ง ทส่ี ามารถจดั ตงั้ รฐั บาลภายหลงั การเลอื กตง้ั ภายในรฐั หรอื ไดร้ บั การแต่งตงั้ จากสภานิตบิ ญั ญตั แิ หง่ รฐั สภานิตบิ ญั ญตั ิแห่งรฐั ในรฐั พหิ าร จมั มรู แ์ คชเมยี ร์ กรณาฏกะ มหาราษฏระ และอุตรประเทศ มสี องสภา คือ Legislative Council และ Legislative Assembly ในรฐั อ่นื ๆ ท่เี หลอื มเี พยี งสภาเดยี วคือ Legislative Assembly Legislative Council (ทาํ หนา้ ท่คี ลา้ ยราชยสภา) มสี มาชิกไม่มากกว่าหน่ึงในสามของจาํ นวนสมาชิก Legislative Assembly และไม่นอ้ ยกว่า ๔๐ คน สมาชิกหน่ึงในสามไดร้ บั เลอื กตง้ั โดยสมาชิก Legislative Assembly หน่ึงในสามมาจากผูด้ าํ รงตาํ แหน่งในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นทอ้ งถ่นิ หน่ึงในสบิ สองเป็นอาจารยผ์ ูท้ รงคุณวุฒิ ในสถานศึกษาของรฐั ทเ่ี หลอื เป็นผูท้ รงคุณวุฒิในดา้ นต่างๆ ทไ่ี ดร้ บั การแต่งตง้ั จากผูว้ า่ การรฐั Legislative Assembly (ทาํ หนา้ ทค่ี ลา้ ยโลกสภา) มสี มาชิกไดไ้ มเ่ กนิ ๕๐๐ คน และไม่นอ้ ยกว่า ๖๐ คน ไดร้ บั การเลอื กตง้ั โดยตรงจากประชาชนตามการแบง่ เขตการเลอื กตง้ั
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๓๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ อาคารรฐั สภาอนิ เดีย ตึกอาคารรฐั สภาอินเดีย ถอื เป็นสถานท่สี าํ คญั ของกรุงนิวเดลี ออกแบบโดยสถาปนิกท่มี ชี ่ือเสียง คือ Sir Edwin Lutyens และ Sir Herbert Baker ซ่งึ เป็นผูอ้ อกแบบและวางผงั เมอื งกรุงนิวเดลี มพี ธิ ีวางศิลาฤกษ์ การก่อสรา้ งอาคารรฐั สภาเมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๔๖๔ ใชร้ ะยะเวลาก่อสรา้ ง ๖ ปี และมพี ธิ เี ปิดอาคาร เมอ่ื วนั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๔๗๐ ส่วนสาํ คญั ของอาคารรฐั สภา คือ อาคารสภาผูแ้ ทนราษฎร อาคารวุฒิสภา พพิ ิธภณั ฑร์ ฐั สภา และหอประชมุ กลาง (Central Hall) อาคารหอประชมุ กลางเป็นสถานท่ที ่มี คี วามสาํ คญั ทางประวตั ิศาสตร์ เน่ืองจากเป็นสถานท่ที อ่ี งั กฤษถ่าย โอนอาํ นาจใหแ้ ก่อนิ เดยี เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ สงิ หาคม ๒๔๙๐ และมกี ารนาํ รฐั ธรรมนูญของอนิ เดียใส่กรอบประดบั ผนงั หอ้ ง ของอาคารแหง่ น้ี ปจั จุบนั อาคารหอประชุมกลางใชเ้ ป็นทป่ี ระชุมสภาร่วม การประชุมครงั้ แรกภายหลงั การเลอื กตงั้ ทวั่ ไป และการเปิดประชมุ สมยั แรกของทกุ ปี จะกระทาํ ทอ่ี าคารน้ี โดยประธานาธิบดจี ะกลา่ วสุนทรพจนต์ ่อสภาทง้ั สอง ๒.๖ พฒั นาการของการกา้ วไปสูค่ วามเป็นมหาอานาจของอนิ เดีย หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ ระบบการเมอื ง การทหาร ความมนั่ คง และระบบเศรษฐกิจของ โลกแบ่งเป็น ๒ ค่าย คือค่ายสงั คมนิยม มสี หภาพโซเวยี ตเป็นผูน้ าํ และค่ายเสรีนิยมมสี หรฐั อเมริกา เป็นผูน้ าํ ในช่วงแรก ภายหลงั จากทอ่ี นิ เดยี ไดร้ บั เอกราชจากองั กฤษ รฐั บาลอินเดยี ภายใตก้ ารนาํ ของนาย เยาวหราล เนรูห์ นายกรฐั มนตรคี นแรก ของอินเดีย (ค.ศ.๑๙๔๗-๑๙๖๔) ดาํ เนินนโยบายต่างประเทศแบบไม่ฝกั ใฝ่ฝ่ายใด เน่ืองจากไม่ตอ้ งการเขา้ กบั ขว้ั อาํ นาจใดอาํ นาจหน่ึง และเป็นผูน้ ําในการก่อตง้ั กลุ่มความร่วมมือของกลุ่มประเทศท่ีไม่ฝกั ใฝ่ ฝ่ ายใด (Non-
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๓๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ Alignment Movement) ซง่ึ มสี มาชกิ ส่วนใหญ่เป็นประเทศสงั คมนิยมและประเทศกาํ ลงั พฒั นาจากทกุ ทวปี อย่างไร ก็ดี ในยุคของรฐั บาลภายใตก้ ารนาํ ของนางอินทิรา คานธี นายกรฐั มนตรี อินเดียเร่ิมเปล่ยี นทศิ ทางในการดาํ เนิน นโยบายต่างประเทศ โดยมปี จั จยั ท่สี าํ คัญคือ สหรฐั ฯ โดยการนาํ ของ ประธานาธิบดี Nixon ในขณะนน้ั ดาํ เนิน นโยบายเสริมสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั จีนโดยมปี ากีสถานเป็นผูส้ นบั สนุน เพ่อื คานอาํ นาจและอิทธิพลของสหภาพโซ เวียต จึงทาํ ใหอ้ ินเดียซ่งึ มขี อ้ ขดั แยง้ กบั จีนและปากีสถานจาํ เป็นตอ้ งหนั มามคี วามสมั พนั ธท์ ่ใี กลช้ ิดกบั สหภาพ โซ เวยี ต ทงั้ ดา้ นการเมอื ง ความมนั่ คง เศรษฐกิจ และสงั คม เป็นการสรา้ งขว้ั อาํ นาจอีกขวั้ หน่ึง โดยในปี ค.ศ. ๑๙๗๑ อินเดียและโซเวยี ต ลงนามใน Treaty of Friendship and Cooperation ทาํ ใหอ้ นิ เดยี ไดร้ บั ความช่วยเหลอื และ นาํ เขา้ อาวุธยุทธภณั ฑจ์ ากสหภาพโซเวยี ตเป็นหลกั ซ่ึงถือเป็นจุดเร่ิมตน้ ของความเป็นพนั ธมิตรทางทหารระหว่าง อนิ เดยี และสหภาพโซเวยี ต ซง่ึ เพม่ิ ความแขง็ แกร่งและแสนยานุภาพทางทหารใหแ้ ก่อนิ เดีย ภายหลงั ส้นิ สุดสงครามเยน็ และการล่มสลายของสหภาพโซเวยี ต ขวั้ อาํ นาจของโลก เปลย่ี นไป อินเดยี ท่ี เคยเป็นพนั ธมติ รใกลช้ ิดกบั สหภาพโซเวียตและประเทศในกลุม่ สงั คมนิยมทง้ั ดา้ นการเมอื ง การทหาร ความมนั่ คง เศรษฐกิจ และสงั คม จาํ เป็นตอ้ งปรบั ทศิ ทางการดาํ เนินนโยบายต่างประเทศ ประกอบกบั ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑ อินเดีย ประสบภาวะวกิ ฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จงึ จาํ เป็นตอ้ งปฏิรูประบบเศรษฐกิจจากระบบสงั คมนิยมแบบโซเวยี ตเป็น ระบบเศรษฐกิจการตลาด และเร่ิมเปิดเสรีการคา้ การลงทุนกบั ต่างประเทศมากข้นึ และไดป้ รบั เปล่ยี นนโยบาย ต่างประเทศใหเ้ ป็นแบบ ‘multidirectional diplomacy’ เพ่ือตอบสนองต่อทงั้ การเปล่ียนแปลงขวั้ อาํ นาจทาง การเมอื ง ความมนั่ คงและผลประโยชนท์ างเศรษฐกิจของตน อนิ เดียเร่ิมมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั โลกตะวนั ตกมากข้นึ ทง้ั สหรฐั ฯ แคนาดา ฝรงั่ เศส เยอรมนี รวมทงั้ อิสราเอล ซง่ึ กลายเป็นแหล่งนาํ เขา้ อาวุธอนั ดบั สองของอินเดียรองจากรสั เซยี ประเทศตะวนั ตก โดยเฉพาะสหรฐั ฯ เองก็เร่ิม สนใจอินเดียในฐานะตลาดใหม่ขนาดใหญ่ และในทางภูมริ ฐั ศาสตรก์ ็เร่ิมเห็นความสาํ คญั ในการผูกมติ รกบั อินเดีย เพอ่ื ถ่วงดุลอาํ นาจของจีนในเอเชยี อย่างไรกด็ ี ในระยะแรก ความสมั พนั ธอ์ นิ เดีย-สหรฐั ฯ พฒั นาแบบค่อยเป็นค่อย ไป ความสมั พนั ธส์ องฝ่ายพฒั นาใกลช้ ิดมากข้นึ ในยุคหลงั เกิดเหตุการณ์ ๙/๑๑ เน่ืองจากสหรฐั ฯ ตอ้ งการพนั ธมติ ร ในการทาํ สงครามต่อตา้ นการ ก่อการรา้ ย และความสมั พนั ธพ์ ฒั นาไปอกี ขนั้ ในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ เมอ่ื อนิ เดยี และสหรฐั ฯ ประกาศดาํ เนินความสมั พนั ธใ์ นกรอบ Next Step Strategic Partnership โดยมปี ระเดน็ ความร่วมมอื ดา้ น ยุทธศาสตร์ ทส่ี าํ คญั ๓ ประการคือ civilian nuclear activities, civilian space programmes และ high technology trade และต่อมา ในปี ค.ศ. ๒๐๐๕ เมอ่ื นาย Manmohan Singh นายกรฐั มนตรีอนิ เดยี เดนิ ทางเยอื น สหรฐั ฯ ไดม้ ขี อ้ ตกลงดา้ นนิวเคลยี รพ์ ลเรือนกบั สหรฐั ฯ ซง่ึ นาํ ไปสู่การผ่อนปรนกฎระเบยี บการคา้ วสั ดุนิวเคลยี รแ์ ก่ อนิ เดยี ของกลุ่มประเทศ Nuclear Supplier Group (NSG) และการลงนามในความตกลงดา้ นนิวเคลยี รพ์ ลเรอื น กบั สหรฐั ฯ ในปี ค.ศ. ๒๐๐๑ ซง่ึ ถอื เป็นการยุติการท่อี ินเดยี ถูกโดดเด่ยี วจากการมคี วามร่วมมอื ทางนิวเคลยี ร์ ทาํ ให้ อินเดียสามารถเขา้ ถึงเทคโนโลยีขนั้ สูงทางนิวเคลยี ร์ สามารถสรา้ งโรงงานผลิตพลงั งานนิวเคลียรไ์ ดเ้ พ่ิมข้ึน มี เช้อื เพลงิ นิวเคลยี รอ์ ย่างเพยี งพอ ซ่งึ ลว้ นเป็นประโยชนใ์ นดา้ นความมนั่ คงทางพลงั งานของอินเดีย และทาํ ใหอ้ ินเดีย เป็นมหาอาํ นาจทางนิวเคลยี รอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๓๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ นอกเหนือจากความร่วมมือดา้ นนิวเคลียรแ์ ลว้ อินเดียยงั มีความร่วมมือท่ีใกลช้ ิดกบั สหรฐั ฯ ในดา้ น การทหารมากย่ิงข้นึ ในอดีตอินเดียซ้อื อาวุธยุทโธปกรณ์จากรสั เซยี เป็นหลกั แต่ในปจั จุบนั โดยทอ่ี ินเดียมกี ารเติบโต ทางเศรษฐกจิ มากข้นึ จึงสามารถทุ่มเทงบประมาณในดา้ นการทหารมากข้นึ อินเดียจงึ เร่มิ สนใจท่จี ะซ้อื อาวุธจากสหรฐั ฯ และประเทศยุโรปอ่นื ๆ อาทิ ฝรงั่ เศสและสวเี ดน เน่ืองจากเหน็ ว่าประเทศตะวนั ตกเหลา่ น้ี มเี ทคโนโลยดี า้ นการทหารท่ี ทนั สมยั กว่ารสั เซีย เพ่ือม่งุ ท่จี ะพฒั นาแสนยานุภาพของกองทพั ของตน นอกจากน้ี อินเดียยงั มกี ารฝึกซอ้ มกาํ ลงั รบ ร่วมกบั กองทพั สหรฐั ฯ ทงั้ ทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ทง้ั หมดน้ีกเ็ พอ่ื คานอาํ นาจของจีนทเ่ี ร่มิ จะแผ่ขยายอิทธิพล เขา้ มาในมหาสมทุ รอนิ เดยี กบั ทง้ั เพอ่ื รบั มอื กบั ภยั คุกคามของการก่อการรา้ ยจากประเทศเพอ่ื นบา้ น และการก่อการรา้ ย ภายในประเทศ ปจั จุบนั อินเดยี ถอื เป็นประเทศมหาอาํ นาจทางทหารท่สี าํ คญั ประเทศหน่ึงในโลก มี กองทพั เรอื ทใ่ี หญ่เป็น อนั ดบั ๔ ของโลก สามารถผลติ เรือดาํ นาํ้ พลงั งานนิวเคลยี รไ์ ดเ้อง มเี รือบรรทุกเคร่ืองบนิ เรอื พิฆาต เรือสงครามทุ่น ระเบดิ ฯลฯ มอี าวุธยุทโธปกรณข์ องกองทพั บกท่มี อี าํ นาจการทาํ ลายลา้ งสูง อาทิ อาวุธท่ใี ชก้ บั หน่วยกองพลยานเกราะ ต่างๆ อาวุธนาํ วิถแี ละขปี นาวุธ ซ่งึ ส่วนใหญ่เป็นอาวุธท่อี นิ เดียพฒั นาและผลติ เอง อาทิ อาวุธปล่อยนาํ วิถี พ้นื สู่พ้นื BrahMos อาวุธปล่อยนาํ วิถีพ้นื สู่อากาศ Akash ขปี นาวุธต่อตา้ นขปี นาวุธในชน้ั บรรยากาศโลก ศกั ยภาพดา้ น การทหารของอินเดียพฒั นาไปสู่ขน้ั การพฒั นาเทคโนโลยีดว้ ยตวั เอง โดยเนน้ การพฒั นาอาวุธทางยุทธศาสตร์ (ดาวเทยี ม ขปี นาวุธ นิวเคลยี ร)์ และในอนาคตมเี ป้าหมายทจ่ี ะพฒั นาไปถงึ ขนั้ การเป็นประเทศผูผ้ ลติ อาวุธ (Design – Develop –Produce) ทงั้ น้ี ความสมั พนั ธอ์ ินเดีย-สหรฐั ฯ ในยุคประธานาธิบดีโอบามา ถูกมองว่า ลดระดบั ความสาํ คญั ลง เน่ืองจากนโยบายบางประการของประธานาธิบดีโอบามามีผลกระทบต่อความสมั พนั ธก์ บั อินเดีย อาทิ การส่งเสริม ความสมั พนั ธก์ บั จนี ปากีสถาน นโยบายเร่อื งแคชเมยี ร์ Nuclaer Non-prolifeartion และนโยบายดา้ นเศรษฐกิจท่ี ต่อตา้ นการดาํ เนินธุรกจิ ในลกั ษณะ outsourcing อย่างไรก็ดี อินเดียยงั จาํ เป็นจะตอ้ งสานต่อความสมั พนั ธก์ บั สหรฐั ฯ เพราะยงั มผี ลประโยชนท์ ่สี าํ คญั ท่ี อนิ เดยี ตอ้ งการหลายประการ คือความร่วมมอื ดา้ นนิวเคลยี รโ์ ดยเฉพาะตอ้ งการผลกั ดนั การจดั ทาํ ขอ้ ตกลง เก่ยี วกบั เร่อื งการนาํ เช้อื เพลงิ นิวเคลยี รก์ ลบั มาใชใ้ หม่ (arrangements on reprocessing of spent nuclear fuel) การคา้ เทคโนโลยขี น้ั สูง (High Technology Trade) ความร่วมมอื ในเร่อื งพลงั งานสะอาดและพลงั งานท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพสูง การเกษตร และการศึกษา โดยเฉพาะในเร่ืองการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซ่ึงมคี วามสาํ คญั ต่อเร่ืองความมนั่ คงทาง พลงั งานและความมนั่ คงทางอาหารของอินเดีย และความร่วมมอื ดา้ นการต่อตา้ นการก่อการรา้ ย ในขณะท่ดี า้ นหน่ึงอินเดียสานต่อความร่วมมอื กบั สหรฐั ฯ ในประเด็นท่อี ินเดียมีผลประโยชน์ แต่โดยท่ี รฐั บาลปจั จบุ นั ของสหรฐั ฯ เปลย่ี นทศิ ทางการดาํ เนินนโยบายต่ออินเดียโดยลดความสาํ คญั ของอินเดยี ลง และโดยท่ี สหรฐั ฯ มที า่ ทใี นบางเรอ่ื งทข่ี ดั ต่อผลประโยชนข์ องอินเดยี และประเทศกาํ ลงั พฒั นา อาทิ เร่อื งการเปลย่ี นแปลงสภาพ ภมู อิ ากาศ ปจั จยั เหลา่ น้ีจงึ เป็นการผลกั ใหอ้ นิ เดยี หนั กลบั มาส่งเสรมิ ความร่วมมอื กบั รสั เซยี และจนี ดว้ ยเช่นกนั อินเดียและรสั เซียร้ือฟ้ืนความสมั พนั ธใ์ หใ้ กลช้ ิดอีกครง้ั ในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ ซ่ึงสองฝ่าย ประกาศการเป็น หุน้ ส่วนทางยุทธศาสตรร์ ะหว่างกนั โดยมคี วามร่วมมือท่ีใกลช้ ิดและเป็นรูปธรรมในดา้ นพลงั งานนิวเคลยี ร์ อวกาศ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๓๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เทคโนโลยีทางทหาร ความร่วมมอื ในการวิจยั และเทคโนโลยีขน้ั สูง สาเหตุท่ี อินเดีย-รสั เซยี ยงั จาํ เป็นตอ้ งดาํ เนิน ความสมั พนั ธใ์ นลกั ษณะหุน้ ส่วนทางยุทธศาสตร์ ก็เพ่อื สรา้ งความสมดุลระหว่างความสมั พนั ธ์ สหรฐั ฯ-จีน สหรฐั ฯ- ปากสี ถาน และ จนี -ปากีสถาน อย่างไรกด็ ี ทศิ ทางการดาํ เนินความสมั พนั ธท์ างการทหารของอนิ เดยี กบั รสั เซยี ซ่งึ เป็น มติ สิ าํ คญั ของความร่วมมอื ไดเ้ปลย่ี นไปเพอ่ื ตอบสนองผลประโยชนแ์ ห่งชาตขิ องอนิ เดียมากข้นึ คืออนิ เดยี พยายามลด การพ่ึงพาการนําเขา้ อาวุธจากรสั เซียเพียงอย่างเดียว และมุ่งเนน้ การร่วมผลิต การคน้ ควา้ วิจยั ทางดา้ นอวกาศ นิวเคลยี ร์ วทิ ยาศาสตร์ และพลงั งานมากข้นึ เพอ่ื การถ่ายโอนเทคโนโลยเี พ่อื เพ่มิ ขดี ความสามารถในการผลติ อาวุธของ อินเดียเองล่าสุด ในระหว่างการเยอื นรสั เซยี ของ นายกรฐั มนตรีอินเดยี เมอ่ื ตน้ เดอื นธนั วาคม ๒๐๐๙ สองฝ่ายไดร้ ่วม ลงนามในความตกลงทางนิวเคลยี ร์ ซ่งึ เป็นความตกลงท่ใี หป้ ระโยชนแ์ ก่อินเดียมากย่งิ กว่าความตกลงท่อี ินเดียมกี บั สหรฐั ฯ ในประเดน็ ทอ่ี นุญาตใหม้ กี ารถ่ายทอด reprocessing technology ได้ และรสั เซยี ใหห้ ลกั ประกนั เร่อื งการส่ง เช้อื เพลงิ ใหอ้ นิ เดยี โดยปราศจากเงอ่ื นไข แมว้ ่าอนิ เดยี จะทาํ การทดลองอาวุธนิวเคลยี รอ์ กี ครง้ั กต็ าม ความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และอวกาศ จากท่อี ินเดียเป็นพนั ธมติ รท่ใี กลช้ ิดกบั สหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น จึงมคี วามสมั พนั ธแ์ ละความ ร่วมมอื ทางดา้ นการเมือง การทหาร การศึกษาทางดา้ นวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยีท่ใี กลช้ ิดกบั สหภาพโซเวียต ซ่ึงเป็น พ้นื ฐานสาํ คญั ท่ที าํ ใหอ้ นิ เดียมคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทางดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี โดยเฉพาะดา้ นเทคโนโลยดี า้ น อวกาศ เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology – IT) นิวเคลยี ร์ อตุ สาหกรรมยา และแพทยศาสตร์ ในช่วง ๑๐ ปี ทผ่ี า่ นมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยสี ารสนเทศเจริญเตบิ โตอย่างรวดเร็ว สรา้ งรายไดจ้ าก ๑๕๐ ลา้ นดอลลารส์ หรฐั ในปี ๒๕๓๔ เป็น ๑๗.๖ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั ในปี ๒๕๔๕ และในปี ๒๕๔๙-๒๕๕๐ การส่งออก ซอฟตแ์ วรแ์ ละบริการมมี ลู ค่า ๓๓.๗ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั ทง้ั น้ีเพราะอินเดียมปี ระชากรรอ้ ยละ (ท่มี คี วามเป็นอยู่ และการศึกษาดีในระดบั นานาชาติ และมสี ถาบนั การศึกษาคุณภาพสูงท่เี นน้ การผลติ บุคลากรดา้ นวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี นอกจากน้ี อินเดียยงั เหน็ ว่าอุตสาหกรรมซอฟตแ์ วรเ์ ป็นอตุ สาหกรรมสะอาดปราศจากมลพษิ เป็นการสรา้ ง ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา ซง่ึ มกี ารลงทนุ ตาํ่ และมมี ลู ค่าเพม่ิ ในการส่งออกสูงมาก ประกอบกบั การสนบั สนุนอย่างจรงิ จงั ของ ภาครฐั ทงั้ ในระดบั รฐั บาลกลางและรฐั บาลทอ้ งถ่ิน มกี ารจดั ตงั้ องคก์ รเฉพาะของภาครฐั ท่ีทาํ หนา้ ท่ีสนบั สนุนการ พฒั นาการส่งออกซอฟตแ์ วร์ คอื Software Technology Parks of India (STPI) รฐั กรณาฏกะ (Karnataka) เป็นรฐั ท่ีมีศกั ยภาพดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศสูงท่ีสุดของประเทศ โดย เฉพาะท่เี มอื งบงั คาลอรซ์ ่งึ เป็นเมอื งหลวง โดยมบี ริษทั ชนั้ นาํ กว่า ๓๐ บริษทั ไดช้ ่ือว่าเป็น Silicon Valley แห่ง อนิ เดีย ซ่งึ เป็นศูนยร์ วมแห่งอุตสาหกรรมซอฟตแ์ วรท์ ่ใี หญ่เป็นอนั ดบั ๔ ของโลก และเป็นเมอื งท่ดี ีทส่ี ุดสาํ หรบั การ เป็นศูนยบ์ รกิ ารลูกคา้ ทางโทรศพั ท์ (Call Centre) เป็นศูนยร์ วมสาํ นกั งานสาขานอกประเทศ (offshore office) และ ศูนยว์ จิ ยั และพฒั นาของบรษิ ทั ใหญ่ๆ หลายบรษิ ทั อาทิ General Electric, Intel และ General Motors ในขณะเดยี วกนั การเตบิ โตดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศไดข้ ยายตวั อย่างรวดเรว็ ไปยงั เมอื ง อ่นื ๆ ดว้ ย เช่น เมอื งเจนไนในรฐั ทมฬิ นาฑู และเมอื งกลั กตั ตาในรฐั เบงกอลตะวนั ตก รวมทง้ั ไฮเดอราบดั และปูเน่ เป็นตน้ โดยรฐั เหลา่ น้ีมกี าํ ลงั คนทม่ี คี วามสามารถในดา้ นเทคโนโลยสี ูง กอรปกบั รฐั บาลของรฐั ต่างๆ ไดท้ ่มุ เทในการพฒั นาโครงสรา้ ง พ้นื ฐานรองรบั ความเตบิ โตดา้ นน้ีอยา่ งเอาจรงิ เอาจงั ดว้ ย
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๓๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง นอกจากนนั้ ความเจรญิ ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ และธุรกจิ เก่ยี วเน่ืองท่เี รียกว่า ITes หรือ IT enabled services ยงั เป็นปจั จยั สาํ คญั ใหเ้กดิ การขยายตวั ในธุรกจิ อสงั หาริมทรพั ยข์ องอนิ เดียทก่ี าํ ลงั เติบโตในเมอื งใหญ่ต่างๆ ทก่ี ลา่ วมาแลว้ อย่างมนี ยั สาํ คญั โดยในช่วง ๖-๘ ปีทผี ่านมา ตลาดอสงั หาริมทรพั ยท์ ่โี ตเฉลย่ี ปีละรอ้ ยละ ๓๕ พบว่า รอ้ ยละ ๗๐ ในส่วนทเ่ี ป็นการขยายตวั ของอาคารสาํ นกั งานนนั้ เป็นการเช่า/ซ้อื ของบริษทั IT และ ITes ทงั้ ของอนิ เดีย และต่างชาติ ศกั ยภาพดา้ นอวกาศของอินเดยี เป็นอีกสาขาท่นี บั ไดว้ ่าทดั เทยี มกบั มหาอาํ นาจอ่นื ความสาํ เรจ็ ในการส่ง ยานอวกาศ \"จนั ทรายาน\" ข้นึ ไปในอวกาศนบั เป็นกา้ วย่างทส่ี าํ คญั ของอนิ เดีย โดยภารกจิ สาํ คญั คือการสาํ รวจและทาํ แผนทด่ี วงจนั ทร์ พรอ้ มทง้ั คน้ หาแร่ธาตตุ ่างๆ บนดวงจนั ทร์ นอกเหนือจากโลกตะวนั ตกแลว้ ในยุคหลงั สงครามเยน็ ตงั้ แต่ตน้ ทศวรรษ ๑๙๙๐ เป็นตน้ มา อนิ เดียหนั มาใหค้ วามสาํ คญั กบั การสรา้ งพนั ธมติ รในภมู ภิ าคเอเชยี เช่นกนั โดยรฐั บาลของนาย P.V. Narasimha Rao ไดร้ เิ ร่มิ ดาํ เนินนโยบาย Look East เพอ่ื ขยายความสมั พนั ธแ์ ละความร่วมมอื ดา้ นการเมอื ง ความมนั่ คง เศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรมกบั ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกและเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตม้ ากข้นึ โดยมคี วามร่วมมือใน กรอบต่างๆ คือ อาเซยี น-อนิ เดีย BIMSTEC, ARF, EAS และแมโ่ ขง-คงคา ซง่ึ เป็นความพยายามของอินเดียท่ี ตอ้ งการจะกา้ วใหท้ นั จนี ในการเพม่ิ บทบาทต่อภมู ภิ าคน้ี ความสมั พนั ธร์ ะหว่างอินเดียกบั จีน ในปจั จุบนั เป็นไปในลกั ษณะเป็นคู่แขง่ ในดา้ นการทหาร ความมนั่ คง และพนั ธมติ รในดา้ นเศรษฐกิจ กล่าวคือ อินเดียและจีนต่างมคี วามหวาดระแวงซ่งึ กนั และกนั ในเร่ืองการแผ่ขยาย อทิ ธพิ ลทางการเมอื งและการทหารของอกี ฝ่ายหน่ึง โดยเฉพาะอย่างย่ิงปญั หาขอ้ ขดั แยง้ สาํ คญั ระหว่างสองประเทศคือ เร่ืองเขตแดน ในรฐั จมั มูรแ์ คชเมียร์ รฐั อรุณาจลั ประเทศ และรฐั สิกขิม ทง้ั จีนและอินเดียจึงพยายามพฒั นา แสนยานุภาพทางกองทพั ของตนเพอ่ื เป็นการคานอาํ นาจกนั และกนั อย่างไรกด็ ี โดยทข่ี วั้ อาํ นาจทางเศรษฐกจิ ของโลก เปลย่ี นแปลงไป สองฝ่ายจึงตระหนกั ว่า ย่อมหลกี เลย่ี งไม่ไดท้ ่ตี ่างฝ่ายจะมีความร่วมมอื กนั ในดา้ นเศรษฐกิจ เพ่ือ สรา้ งพลงั ใหเ้อเชยี เขม้ แขง็ และปจั จบุ นั จนี ถอื เป็นประเทศคู่คา้ อนั ดบั หน่ึงของอนิ เดยี นอกเหนือจากความสมั พนั ธท์ วิภาคี อินเดีย-รสั เซีย และอินเดีย-จีนแลว้ ทง้ั สามประเทศยงั มีความ ร่วมมอื ในกรอบสามฝ่ าย รสั เซีย-อินเดีย-จีน เพ่ือสนบั สนุนซ่ึงกนั และกนั ในเวทรี ะหว่างประเทศในประเด็นท่เี ป็น ผลประโยชนร์ ่วมกนั ของประเทศกาํ ลงั พฒั นา อาทิ เร่ืองการเปล่ยี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ และความร่วมมอื ในเวที WTO และเพ่อื คานอาํ นาจสหรฐั ฯ ในการเป็นผูช้ ้นี าํ ทศิ ทางความเป็นไปของโลกโดยการดาํ เนินนโยบายฝ่ายเดียว (unilateral) ซง่ึ เป็นการสรา้ งเสรมิ ความแขง็ แกร่งของ Multi polar System นอกจากความร่วมมอื สามฝ่าย รสั เซยี -อนิ เดีย-จีน แลว้ ยงั มกี ารรวมตวั ของประเทศ เศรษฐกิจเกิดใหม่ ทง้ั ส่ี คือบราซลิ รสั เซยี จนี และอินเดยี (BRIC) ซ่งึ มแี นวโนม้ ทจ่ี ะเป็นพลงั ขบั เคลอ่ื นและตวั แปรท่สี าํ คญั ของระบบ เศรษฐกิจโลก เมอ่ื คาํ นึงถงึ จาํ นวนประชากรซง่ึ มถี งึ รอ้ ยละ ๔๐ ของจาํ นวนประชากรโลก ขนาดของตลาดและอตั รา การขยายตวั ทางเศรษฐกจิ ของประเทศทงั้ ส่ี ซง่ึ นบั ว่ามศี กั ยภาพทางเศรษฐกจิ สูงยง่ิ นอกจากนน้ั ยงั มกี ารรวมตวั ของ อนิ เดีย บราซลิ แอฟรกิ าใต้ (IBSA) ซง่ึ เป็นประเทศท่มี ี บทบาทนาํ ใน กลมุ่ ประเทศกาํ ลงั พฒั นาของสามภมู ภิ าค และเป็นเวทสี าํ หรบั การประสานท่าทรี ่วมกนั ในเร่ืองต่างๆ ท่มี ผี ลประโยชน์
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๓๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ร่วมกนั ในเวทรี ะหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเร่อื งเศรษฐกจิ การปฏริ ูปองคก์ ารสหประชาชาติ การเจรจาการคา้ พหุภาคี รอบโดฮา และการจดั การเกย่ี วกบั ผลกระทบของการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ นอกเหนือจากการขยายความสมั พนั ธข์ องอินเดียกบั ประเทศมหาอาํ นาจต่างๆ แลว้ ภายหลงั การปฏริ ูป ระบบเศรษฐกจิ และการเปิดเสรีการคา้ การลงทุนกบั ต่างประเทศ และการประกาศนโยบายมองตะวนั ออกเพ่อื ส่งเสริม ความสมั พนั ธแ์ ละความร่วมมือดา้ นการคา้ การลงทุนกบั ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออก ซ่ึงทาํ ใหอ้ ินเดียมี ความกา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ อยา่ งรวดเรว็ นน้ั ทาํ ใหอ้ นิ เดียสามารถเปลย่ี นสถานะจากประเทศผูร้ บั ความช่วยเหลอื จาก ประเทศพฒั นาแลว้ เป็นประเทศผูใ้ ห้ โดยอินเดียเร่ิมใหค้ วามช่วยเหลือแก่ประเทศยากจนในแอฟริกา ทง้ั ในดา้ น เศรษฐกิจและการพฒั นา ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของแอฟริกามากกว่าความช่วยเหลอื จากประเทศตะวนั ตก เป็นผลใหอ้ นิ เดียไดร้ บั การสนบั สนุนในเวทรี ะหว่างประเทศ ทง้ั องคก์ ารสหประชาชาติ และเวทรี ะหว่างประเทศอ่นื ๆ จากประเทศแอฟริกาซ่ึงมีจาํ นวนประเทศมากถึง ๕๓ ประเทศ ซ่ึงเป็นอีกปจั จยั หน่ึงท่ีทาํ ใหอ้ ินเดียมีบทบาทและ อาํ นาจต่อรองมากข้นึ ในเวทรี ะหวา่ งประเทศ กล่าวไดว้ ่า การดาํ เนินนโยบายต่างประเทศของอินเดียเป็นไปอย่างอิสระ เพ่ือส่งเสริม ผลประโยชน์ แห่งชาติเป็นหลกั ไม่ไดด้ าํ เนินนโยบายโดยตกอยู่ภายใตอ้ ิทธิพลหรือการกดดนั จากประเทศใดหรือขวั้ ใดขว้ั หน่ึง อนิ เดยี พรอ้ มทจ่ี ะมคี วามร่วมมอื กบั ประเทศหน่ึงในเร่อื งทเ่ี ป็นผลประโยชนข์ องตน แต่ก็กลา้ ทจ่ี ะขดั แยง้ และยนื หยดั จดุ ยนื ของตนเพอ่ื ผลประโยชนแ์ หง่ ชาตใิ นอกี เร่อื งหน่ึงเช่นกนั ซง่ึ แสดงใหเ้หน็ ถงึ บทบาทและพลงั ต่อรองของอินเดยี ท่ี มมี ากข้นึ ในเวทโี ลก อย่างไรก็ดี ปญั หาสาํ คญั ท่อี าจเป็นอุปสรรคต่อการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมของอินเดีย ในศตวรรษท่ี ๒๑ กค็ ือปญั หาดา้ นความมนั่ คง เน่ืองจากอนิ เดยี มปี ญั หาความขดั แยง้ ภายในประเทศอนั มสี าเหตมุ าจากการท่อี นิ เดีย เป็นสงั คมท่ีมีความแตกต่างหลากหลาย ทงั้ ดา้ นเช้ือชาติ ชนชน้ั วรรณะ และศาสนา กบั ทงั้ ยงั มปี ญั หาขดั แยง้ กบั ประเทศเพ่ือนบา้ นในเอเชียใตใ้ นเร่ืองพรมแดน ปญั หาดา้ นการเมอื งความมนั่ คง ปญั หาการเขา้ เมอื งผิดกฎหมาย อาชญากรรมต่างๆ รวมทงั้ ปญั หาการก่อการรา้ ยอนั เน่ืองมาจากศาสนาและดินแดน ภยั คกุ คามดา้ นการกอ่ การรา้ ยภายในประเทศของอนิ เดยี ในปจั จุบนั ไดแ้ ก่ ๑) การก่อการ รา้ ยของกลุ่มนิยมลทั ธิเหมา (Maoists/ Naxalite) ซ่ึงปจั จุบนั มอี ิทธิพลอยู่ในรฐั พิหาร ฌาขณั ฑ์ เบงกอลตะวนั ตก โอรสิ สา ฉตั ตสิ ครห์ และอานธรประเทศ หรอื ท่เี รียกว่าเขต Red Belt ซง่ึ ในปีท่ผี ่านมาได้ ก่อการอยา่ งอกุ อาจมากข้นึ รฐั บาลถอื วา่ ภยั คุกคามจากกลมุ่ นิยมลทั ธเิ หมาเป็นปญั หาระดบั ชาตทิ ่รี า้ ยแรงท่สี ุด ๒) การก่อการรา้ ยจากกลุ่มแบง่ แยกดนิ แดนในรฐั จมั มรู ์ แคชเมยี ร๓์ ๔ และ ๓) ในภูมิภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ โดยรฐั ท่ียงั มีปญั หา คือรฐั อสั สมั มณีปุระ และนากาแลนด์ นอกจากนนั้ ยงั มกี ารก่อการรา้ ยขา้ มพรมแดนจากปากีสถาน ซ่งึ ก่อนหนา้ น้ีผูก้ ่อการใชร้ ฐั จมั มรู แ์ คชเมยี ร์ เป็นฐาน ปฏบิ ตั กิ าร แต่ในปจั จบุ นั มแี นวโนม้ ว่าจะขยายขอบเขตการปฏบิ ตั กิ ารออกนอกพ้นื ท่ใี หค้ รอบคลมุ ทวั่ ประเทศ ๓๔ แคชเมียร์ หรอื จมั มูแคชเมียร์ (JAMMU AND KASHMIA) เป็น ๑ ใน ๒๘ รฐั ตามการปกครองของประเทศอนิ เดยี ท่อี ยู่ทางทศิ เหนือ สุดของประเทศอนิ เดยี มเี ขตแดนตดิ ต่อกบั ประเทศปากสี ถานทางดา้ นตะวนั ตก และทางเหนือของทร่ี าบทเิ บต มเี มอื งศรีนาคาร์ เป็นเมอื งหลวงโดย รฐั แคชเมยี ร์ แบ่งเป็น ๓ เขต คอื ลาดดั จมั มู และ ศรนี าคา
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๓๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง รฐั บาลมมี าตรการแกไ้ ขปญั หาความมนั่ คงภายในประเทศโดยการจดั ตงั้ หน่วยรกั ษาความ มนั่ คงแห่งชาติ ประจาํ ภมู ภิ าค ๔ แห่ง ท่เี มอื งมมุ ไบ กลั กตั ตา เจนไน และไฮเดอราบดั การจดั ตง้ั หน่วยสอบสวนกลางแห่งชาติ การ จดั ตงั้ Quick Response Team / Special Intervention Unit ประจาํ รฐั เพอ่ื ใหเ้ป็นหน่วยตอบโตก้ ารก่อการรา้ ย อย่างทนั ท่วงที ตลอดจนการจดั ตง้ั กลไกการประสานงานดา้ นการข่าวระหว่างรฐั บาลกลางกบั รฐั บาลแห่งรฐั สาํ หรบั มาตรการต่อกลุ่มนิยมลทั ธเิ หมานน้ั รฐั บาลเร่งแกไ้ ขปญั หาจากสาเหตุรากเหงา้ คือการพฒั นาดา้ นการพฒั นาในพ้นื ท่ี เขตอิทธิพลของกลุ่มนิยมลทั ธิเหมา และการแกไ้ ขระบบการประสานงานของหน่วยงานความมนั่ คงระหว่างรฐั บาล กลางและรฐั บาลของรฐั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอนิ เดยี และปากสี ถานนบั ไดว้ ่าอยู่ในสถานะตึงเครียด หลงั จากเกิด เหตกุ ่อการรา้ ยท่ี เมืองมมุ ไบเม่อื เดือนพฤศจิกายน ๒๐๐๘ และต่อมาเกิดเหตุลอบวางระเบิดสถานเอกอคั รราชทูตอินเดีย ณ กรุง คาบูลเมอ่ื เดอื นตลุ าคม ๒๐๐๙ ซง่ึ อินเดียเช่อื ว่า หน่วยขา่ วกรองปากีสถาน (ISI) มสี ่วนร่วมในเหตุการณค์ รง้ั น้ี ทงั้ น้ี อินเดียมที ่าทีท่ีแข็งกรา้ วต่อปากีสถานและมจี ุดยนื ชดั เจนท่จี ะไม่ ร้ือฟ้ืนการเจรจา composite dialogue กบั ปากีสถาน เวน้ เสยี แต่ปากีสถานจะแสดงใหเ้ หน็ ว่ามกี ารดาํ เนินการจบั กุมตวั ผูอ้ ยู่เบ้ืองหลงั เหตุการณ์ก่อการรา้ ยท่ี มมุ ไบมาดาํ เนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม และกวาดลา้ งค่ายผูก้ ่อการรา้ ยในปากีสถานอย่างจริงจงั โดยปจั จุบนั อินเดียพยายามดาํ เนินการทางการทูตทง้ั ในระดบั ทวภิ าคีและเวทรี ะหว่างประเทศเพ่อื ชกั จูงใหม้ ติ รประเทศร่วมกนั กดดนั ปากสี ถานในเร่อื งการกวาดลา้ งการก่อการรา้ ย หากอินเดียสามารถขจดั ปญั หาความมนั่ คงภายในประเทศและพฒั นาความสมั พนั ธก์ บั ปากีสถานให้ กลบั คืนสู่ปกติได้ ซง่ึ จะส่งผลดีต่อสนั ตภิ าพและเสถยี รภาพของภมู ภิ าคเอเชยี ใต้ กจ็ ะย่งิ ทาํ ใหอ้ นิ เดียมโี อกาสพฒั นา ประเทศในดา้ นอน่ื ๆ เพอ่ื กา้ วไปสู่ความเป็นมหาอาํ นาจในศตวรรษท่ี ๒๑ ทงั้ น้ี เป้าหมายสูงสุดของอินเดียในการยกสถานะและบทบาทของตนในเวทโี ลกก็คือการเป็น สมาชิกถาวร ของคณะมนตรคี วามมนั่ คงองคก์ ารสหประชาชาติ และเพอ่ื บรรลุเป้าหมายดงั กล่าว อินเดยี ไดม้ สี ่วนร่วมอย่างสาํ คญั ในเวทีสหประชาชาติโดยการส่งกองกาํ ลงั รกั ษาสนั ติภาพไปปฏิบตั ิภารกิจในประเทศท่ปี ระสบปญั หาอย่างต่อเน่ือง และโดยการผลกั ดนั การปฏริ ูปโครงสรา้ งของสหประชาชาติ โดยเฉพาะคณะมนตรคี วามมนั่ คง ปจั จยั ทส่ี าํ คญั ประการหน่ึงทส่ี ่งเสริมความรุ่งเรืองของอินเดยี คือ ความเป็นประชาธปิ ไตยท่เี ขม้ แขง็ ซง่ึ เป็น คุณลกั ษณะเด่นและจดุ แขง็ ทท่ี าํ ใหอ้ นิ เดยี ดาํ เนินนโยบายในการพฒั นาประเทศไดอ้ ย่างต่อเน่ืองโดยความร่วมมอื ของ ทกุ ภาคส่วนในสงั คม ดา้ นเศรษฐกจิ เศรษฐกจิ อนิ เดียหลงั การประกาศเอกราช นโยบายเศรษฐกิจของอินเดียหลงั การประกาศเอกราช (ค.ศ.๑๙๔๗) ไดร้ บั อิทธิพลจาก ประสบการณ์ยุค อาณานิคม ซ่งึ ผูน้ าํ อินเดียในยุคนนั้ (โดยเฉพาะท่าน เยาวหราล เนรูห์ และนาง อนิ ทิรา คานธี ซ่งึ มพี ้นื ฐานความคิด แบบสงั คมนิยม) เหน็ ว่าเป็นการปกครองท่เี อารดั เอาเปรียบประชากรทอ้ งถ่นิ ดงั นนั้ ผูน้ าํ อินเดยี ในช่วงเวลานน้ั จงึ วาง นโยบายเศรษฐกิจท่ที าํ ใหอ้ ินเดียสามารถอยู่รอดไดด้ ว้ ยตนเองและมีความเป็นเอกราช โดยเนน้ นโยบายการปกป้อง ตลาดจากการนาํ เขา้ และการทดแทนสนิ คา้ นาํ เขา้ ดว้ ยสนิ คา้ ท่ผี ลติ เองภายในประเทศ การเร่งรดั พฒั นาอุตสาหกรรม
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๓๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ การแทรกแซงกลไกทางตลาดโดยรฐั การวางระบบกฎหมายควบคุมกิจการของภาคเอกชนอย่างเขม้ งวด และการ วางแผนจากส่วนกลาง อนิ เดยี มแี ผนพฒั นาเศรษฐกิจหา้ ปีท่คี ลา้ ยกบั แผนของสหภาพโซเวยี ต ภายในทศวรรษ ๑๙๕๐ รฐั บาลอนิ เดยี ไดเ้ขา้ ครอบครองอตุ สาหกรรมเหลก็ เหมอื งแร่ ไฟฟ้า ประปา การสอ่ื สาร และการประกนั ภยั นอกจากน้ี รฐั บาลไดส้ รา้ งกฎระเบยี บอนั ซบั ซอ้ น ซ่งึ กาํ หนดใหบ้ ริษทั เอกชนย่นื ของใบอนุญาตประกอบธุรกิจในเกือบทกุ ขน้ั ตอน อนั เป็นการสรา้ งความลาํ บากและถ่วงการพฒั นาของรฐั กบั ภาคเอกชน การปฏริ ูป ในช่วงยุค ๑๙๘๐ รฐั บาลอินเดียภายใตก้ ารนําของนายราจีฟ คานธี นายกรฐั มนตรี เร่ิม ผ่อนคลาย กฎระเบยี บทเ่ี ขม้ งวด ยกเลกิ การควบคุมราคาสนิ คา้ และลดภาษบี ริษทั เอกชน อย่างไรกต็ าม นโยบายดงั กล่าวส่งผลให้ งบประมาณรฐั และบญั ชีเดินสะพดั ขาดดุลอย่างสูง ซ่งึ เมอ่ื รวมกบั การล่มสลายของสหภาพโซเวยี ตซ่งึ เป็นประเทศคู่คา้ สาํ คญั ของอินเดีย และสงครามอ่าวเปอร์เซียครงั้ ท่ีหน่ึงซ่ึงส่ง ผลกระทบต่อราคานํ้ามนั ส่งผลใหเ้ กิดวิกฤติ ดุลการชาํ ระเงนิ ทาํ ใหอ้ ินเดียไม่สามารถชาํ ระหน้ีสนิ และตอ้ งกูเ้ งนิ จากกองทุนการเงนิ ระหว่างประเทศ (IMF) ซ่ึงได้ บงั คบั ใหอ้ นิ เดยี ดาํ เนินการปฏริ ูปทางเศรษฐกจิ อยา่ งจรงิ จงั ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑ ซ่งึ ถือเป็นจุดเปล่ยี นท่ีสาํ คญั ท่ีเปล่ยี นบทบาทและสถานะของอินเดียในเวทีโลก นาย P.V.Narasimha Rao นายกรฐั มนตรีและนาย Manmohan Singh รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงการคลงั ในขณะนนั้ ได้ ริเร่มิ มาตรการปฏริ ูปเศรษฐกิจโดยการยกเลกิ ระบบการออกใบอนุญาตควบคุมการลงทนุ การนาํ เขา้ และอตุ สาหกรรม รวมถึงธุรกิจผูกขาดต่างๆ ของรฐั บาลและนบั แต่นน้ั มา นโยบายเศรษฐกิจของอินเดียก็ดาํ เนินไปในทิศทางของระบบ เศรษฐกจิ การตลาดแบบเสรนี ิยม ไมว่ า่ พรรคใดจะเขา้ มาเป็นรฐั บาล ความสาํ เร็จในการปฏริ ูประบบเศรษฐกิจของอนิ เดยี นาํ ไปสู่การเตบิ โตทางเศรษฐกิจ และการพฒั นาของ อินเดีย ภายหลงั ปี ค.ศ. ๒๐๐๔ เศรษฐกิจอินเดียเติบโตสูงสุด เฉล่ียอยู่ในระดบั รอ้ ยละ ๘-๙ และแมป้ จั จุบนั นานาชาติต่างไดร้ บั ผลกระทบจากวกิ ฤตเศรษฐกิจโลกอย่างกวา้ งขวาง แต่อินเดียก็ยงั คงสามารถรกั ษาสถานะทาง เศรษฐกจิ ของตนไวไ้ ดใ้ นระดบั ดี โดยในปี ๒๐๐๘-๒๐๐๙ มอี ตั ราการเตบิ โตของ GDP ในระดบั รอ้ ยละ ๖.๗ และ ขณะน้ีมสี ญั ญาณบง่ บอกถงึ การฟ้ืนตวั ทางเศรษฐกจิ แลว้ ปจั จยั ในการส่งเสรมิ และขบั เคลอ่ื นเศรษฐกจิ ของอินเดียไดแ้ ก่ จาํ นวนประชากรท่มี มี ากถงึ ๑.๑ พนั ลา้ นคน มากเป็นอนั ดบั สองของโลก การเตบิ โตของชนชน้ั กลางซง่ึ มปี ระมาณ ๔๐๐ ลา้ นคนในขณะน้ี ประชากรวยั ทาํ งานทม่ี มี าก ถงึ รอ้ ยละ ๔๐ ขอ้ ไดเ้ ปรียบในเร่ืองทกั ษะการใชภ้ าษาองั กฤษ การเติบโตของภาคบริการซ่ึงเป็นภาคธุรกิจหลักของ อินเดีย ศกั ยภาพดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ ประกอบกบั การขยายตวั ของสถาบนั การศึกษาและสถาบนั วชิ าการท่ที าํ ให้ อินเดียสามารถผลิตบุคลากรท่ีมีคุณภาพไดเ้ พ่ิมมากข้ึนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นอกจากนนั้ ชาวอนิ เดยี โพน้ ทะเล ซง่ึ มมี ากถงึ ๒๕ ลา้ นคนทวั่ โลก ซ่งึ มบี ทบาทและประสบ ความสาํ เรจ็ ทางดา้ นธุรกจิ ในประเทศต่างๆ ทวั่ โลกซ่งึ มจี าํ นวนไม่นอ้ ยท่เี ป็นกาํ ลงั สาํ คญั ในการนาํ รายไดส้ ่วนหน่ึงกลบั สู่ ประเทศ ดว้ ยปจั จยั พ้ืนฐานทางดา้ นเศรษฐกิจหลายประการของอินเดียดงั กล่าว ทาํ ใหอ้ ินเดียมีการ ลงทุนจาก ต่างประเทศเพม่ิ มากข้นึ ในช่วงทศวรรษท่ผี ่านมา โดยมรี ายงานของ UNCTAD ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๓๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ (Foreign Direct Investment) ของอินเดยี ในปี ๒๕๕๑ มมี ลู ค่า ๔๖.๕ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั โดยเพ่มิ ข้นึ รอ้ ยละ ๘๕ จากปี ๒๕๕๐ (๒๕.๑ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั ) ซง่ึ เป็นอตั ราการเพ่ิมข้นึ สูงท่สี ุดในโลก แมว้ ่าการเคลอ่ื นไหวเงนิ ทุน FDI ทงั้ หมดของโลกจะลดลงถงึ รอ้ ยละ ๑๐.๕ กต็ าม (จาก ๑.๙ ลา้ นลา้ นดอลลารส์ หรฐั ในปี ๒๕๕๐ เป็น ๑.๗ ลา้ น ลา้ นดอลลารส์ หรฐั ในปี ๒๕๕๑) สาํ หรบั การลงทนุ ของอินเดียในต่างประเทศ ในปี ๒๕๕๐-๒๕๕๑ มลู ค่าการลงทุน ของอินเดียในต่างประเทศ ไดเ้ พ่มิ ข้นึ เป็น ๑๗.๔ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั (เพ่มิ ข้นึ รอ้ ยละ ๒๙.๖ จากปีก่อน) โดย สว่ นมากเป็นการซ้อื กจิ การของบรษิ ทั ต่างชาติ (acquisitions) อนิ เดียมปี รมิ าณเงนิ สาํ รองต่างประเทศอยู่ท่ี ๒๘๖.๗ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั (พฤศจิกายน ๒๕๕๒) และ ล่าสุด ธนาคารกลางของอินเดีย (Reserve Bank of India - RBI) ไดซ้ ้อื ทองคาํ จากสถาบนั เงนิ ทุนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) จาํ นวน ๒๐๐ ตนั ซง่ึ เป็นจาํ นวนเกือบคร่ึงหน่ึงท่ี IMF ตอ้ งการขาย ทาํ ใหจ้ าํ นวนทองคาํ สาํ รองของอินเดียเพ่ิมข้นึ เป็น ๑๗.๕ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั นอกจากน้ี มีอตั ราการออมทรพั ย์ ภายในทส่ี ูง โดยในปี ๒๕๕๐-๒๕๕๑ อยูท่ ร่ี อ้ ยละ ๓๗.๗ เพม่ิ จากรอ้ ยละ ๒๙.๘ ในปี ๒๕๔๖-๒๕๔๗ อย่างไรก็ดี อินเดียยงั คงประสบกบั ปญั หา/อุปสรรคในการพฒั นาเศรษฐกิจ อาทิ โครงสรา้ งพ้ืนฐาน ทางดา้ นการคมนาคมขนส่งทงั้ ทางบก เรือ อากาศ ท่ีไม่ดีนกั ซ่ึงรวมถึงถนน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ไฟฟ้ า และ สาธารณูปโภคอ่นื ๆ การขาดแคลนพลงั งาน และตอ้ งพง่ึ พาการนาํ เขา้ พลงั งาน โดยเฉพาะนาํ้ มนั ดิบจากต่างประเทศ เป็นจาํ นวนมากเพ่อื ใชใ้ นการพฒั นาเศรษฐกิจ ความลา่ ชา้ ในการผ่อนคลายกฎระเบยี บการคา้ การลงทนุ และผลผลติ ภาคเกษตรทต่ี าํ่ เพ่ือรบั มือกบั ผลกระทบของวิกฤตทางการเงนิ และวิกฤตเศรษฐกิจโลก ตงั้ แต่เดือนธนั วาคม ๒๕๕๑ รฐั บาลและธนาคารกลางของอินเดียไดอ้ อกมาตรการต่างๆ โดยรฐั บาลอินเดียไดอ้ อกมาตรการกระตุน้ เศรษฐกิจ ๓ ครงั้ และไดจ้ ดั สรรงบประมาณเพ่ิมเติมใหแ้ ก่โครงการทางสงั คม (social sector schemes) ในการแถลง งบประมาณเมอ่ื กรกฎาคม ๒๕๕๒ อีกทง้ั ธนาคารกลางอินเดยี ไดอ้ อกมาตรการการเงนิ ต่างๆ รวมทงั้ การลดอตั ราเงนิ สดสาํ รอง การลดอตั ราดอกเบ้ยี ทธ่ี นาคารกลางอนิ เดยี ใหธ้ นาคารพาณิชยก์ ูย้ มื และท่ธี นาคารกลางอินเดยี ดึงเงนิ สภาพ คลอ่ งจากระบบการเงนิ เป็นตน้ นอกจากความเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศแลว้ อินเดียในฐานะประเทศท่กี าํ ลงั กา้ ว สู่การเป็น มหาอาํ นาจ ใหค้ วามสาํ คญั ต่อกรอบความร่วมมือระดบั ภูมิภาค และกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ซ่ึงมี ผลประโยชนใ์ นเชงิ เศรษฐกจิ และภมู ริ ฐั ศาสตร์ โดยสามารถสรุปกรอบความร่วมมอื ท่นี ่าสนใจได้ ดงั น้ี บทบาทของอนิ เดยี ในกรอบความร่วมมอื ระดบั ภมู ิภาค Bay of Bengal Initiative Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation (BIMSTEC) : เป็นกรอบความร่วมมือดา้ นเศรษฐกิจและวิชาการสาขาต่างๆ ทง้ั ดา้ นการคา้ การลงทุน การท่องเท่ียว การเกษตร ประมง พลงั งานและการพฒั นา ซ่งึ เกิดข้นึ จากนโยบายมองตะวนั ออก (Look East) ของอินเดียและนโยบายมอง ตะวนั ตก (Look West) ของไทย ปจั จบุ นั มสี มาชกิ ๗ ประเทศคือ บงั คลาเทศ ศรลี งั กา อนิ เดยี ไทย เมยี นมา่ ร์ เนปาล และภฎู าน ทง้ั น้ี BIMSTEC มคี วามสาํ คญั ต่ออินเดียเน่ืองจากเป็นกรอบความร่วมมอื ท่เี ช่อื มโยงอนิ เดยี และเอเชียใต้ เขา้ กบั เอเชียตะวนั ออกและเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยมภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนือของอินเดียเป็นสะพานเช่ือม
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๓๙ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ภูมิภาคเอเชียใตเ้ ขา้ กบั ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละอาเซียน โดยมีถนนสายเอเชียจากอินเดียผ่านพม่าไป ประเทศไทยและไปเช่ือมกบั ถนนสาย North-South และ East-West Economic Corridor ซ่งึ เป็นเสน้ ทางการ คมนาคมทางบก เช่อื มโยงประเทศจีนและเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ความสาํ เรจ็ ของ BIMSTEC ในดา้ นการรวมตวั และ การพฒั นาทางเศรษฐกจิ (BIMSTEC FTA) ความเช่อื มโยงดา้ นการคมนาคมขนส่งทงั้ ทางบก เรือ อากาศ จะส่งผลต่อ การพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของอนิ เดีย ซง่ึ มปี ญั หาดา้ นความมนั่ คง ใหเ้ป็นประตูและ สะพานเช่ือมกบั ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ซ่ึงจะทาํ ใหอ้ ินเดียมคี วามใกลช้ ิดทางดา้ นการเมอื ง ความมนั่ คง เศรษฐกจิ สงั คม และความสมั พนั ธร์ ะดบั ประชาชน และมบี ทบาทในภมู ภิ าคดงั กลา่ วมากยง่ิ ข้นึ South Asian Association for Regional Cooperation (SAARC): เป็นองคก์ รความร่วมมอื ของ ประเทศในภูมภิ าคเอเชียใตท้ ่มี ปี ระชากรรวมกนั กว่า ๑.๕ พนั ลา้ นคน มเี ขตการคา้ เสรี (SAFTA) ซ่งึ มผี ลบงั คบั ใช้ ตง้ั แต่ปี ๒๕๔๙ ซ่งึ เป็นกา้ วสาํ คญั ในการดาํ เนินการรวมตวั ทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ในภูมภิ าคเอเชียใต้ (South Asia Economic Union) อย่างไรก็ตาม การปฏบิ ตั ิตามขอ้ ตกลง SAFTA ยงั ประสบปญั หามาตรการกีดกนั ทไ่ี ม่ใช่ ภาษี (non-tariff barriers) และขน้ั ตอนศุลกากร/กฎระเบยี บราชการท่ีซบั ซอ้ น รวมถึงการขาดแคลนโครงสรา้ ง พ้นื ฐานการคมนาคมทไ่ี มส่ ะดวก ภยั คุกคามจากการก่อการรา้ ย และการขดั แยง้ ระหว่างอินเดยี และปากีสถาน ส่งผล ใหก้ ารคา้ การลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก SAFTA ยงั อยู่ในระดบั ตาํ่ อย่างไรก็ตามอินเดียตอ้ งการผลกั ดนั ให้ SAARC มคี วามเขม้ แขง็ มากข้นึ Mekong-Ganga Cooperation (MGC): เป็นกรอบความร่วมมอื ทางเศรษฐกจิ และวฒั นธรรม ระหว่าง อนิ เดยี กบั ประเทศลมุ่ แมน่ าํ้ โขงหา้ ประเทศ ไดแ้ ก่ พมา่ ไทย ลาว กมั พชู าและ เวยี ดนาม ท่เี ปิดโอกาสใหอ้ ินเดียใชอ้ ารย ธรรมขยายความสมั พนั ธแ์ ละความร่วมมือกบั ประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ผ่านความร่วมมือทางดา้ นการ ท่องเท่ยี ว วฒั นธรรม การศึกษา และความเช่อื มโยงทางคมนาคม ทงั้ น้ี ภายใตก้ รอบความร่วมมอื MGC อนิ เดียให้ ทุนการศึกษาดา้ นวฒั นธรรม ประวตั ิศาสตร์ ศาสนาพทุ ธ โบราณคดี ภาษาบาลสี นั สกฤต ปีละ ๑๐ ทุน แก่ประเทศ สมาชกิ MGC ในดา้ นเศรษฐกิจอินเดีย โดยการสนับสนุนจากสถาบนั Entrepreneurship Development Institute(EDI) ไดจ้ ดั ตงั้ สถาบนั India-Cambodia, India-Laos และ India-Vietnam Entrepreneurship Development Centers ซง่ึ ช่วยกระชบั ความสมั พนั ธท์ างเศรษฐกจิ ระหวา่ งอนิ เดยี และประเทศดงั กล่าว ในดา้ นความเชอ่ื มโยง อินเดียมงุ่ หวงั ว่าจะสามารถเขา้ ถงึ ตลาดของประเทศลุม่ แมน่ าํ้ โขงไดส้ ะดวกข้นึ จงึ ได้ เสนอใหส้ รา้ งเสน้ ทางรถไฟเช่ือมโยงกรุงนิวเดลี-กรุงฮานอย และสนับสนุนการสรา้ งเสน้ ทางหลวง East-West Economic Corridor ซ่ึงจะทาํ ใหผ้ ูข้ บั ข่ยี านยนตส์ ามารถเดินทางจากอินเดียไปถงึ เมอื งดานัง ประเทศเวียดนาม นอกจากน้ี ไดเ้สนอใหข้ ยายเสน้ ทาง BIMSTEC ไปถงึ ลาวและกมั พชู าดว้ ย อาเซียน-อินเดีย : หลงั จากท่ีอินเดียไดเ้ ร่ิมดาํ เนินนโยบายมองตะวนั ออก ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การดาํ เนิน นโยบายมองตะวนั ตกของไทย อินเดียไดส้ ถาปนาความสมั พนั ธก์ บั อาเซียนในฐานะคู่เจรจาเฉพาะด้าน (Sectoral Dialogue Partner) เม่อื ปี ๒๕๓๕ (ค.ศ.๑๙๙๒) ต่อมา อินเดียไดร้ บั การยกสถานะข้นึ เป็นประเทศคู่เจรจาอย่าง สมบูรณ์ (Dialogue Partner) เม่อื ปี ๒๕๓๘ (ค.ศ. ๑๙๙๕) โดย อินเดียไดเ้ ขา้ ร่วมการประชุมในกรอบอาเซยี น-
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๔๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง อนิ เดยี ทง้ั ในระดบั รฐั มนตรแี ละผูน้ าํ มาโดยตลอด ล่าสุดนาย Manmohan Singh นายกรฐั มนตรีอนิ เดยี ไดเ้ดนิ ทาง ไปเขา้ ร่วมการประชุมอาเซยี น-อนิ เดียในระดบั ผูน้ าํ ทจ่ี งั หวดั ภเู กต็ เมอ่ื เดอื นตุลาคม ๒๕๕๒ ในดา้ นเศรษฐกจิ อนิ เดยี และอาเซยี นไดล้ งนามในกรอบการเจรจาทางดา้ นเศรษฐกจิ อาทิ การเปิดเสรีดา้ น การคา้ การลงทุน การจดั ทาํ ความตกลงเขตการคา้ เสรีระหว่างกนั โดยสองฝ่ายไดเ้จรจาจดั ทาํ ความตกลงดา้ นการคา้ สินคา้ เสร็จส้นิ แลว้ และไดล้ งนามความตกลงดงั กล่าวเม่อื เดือนสงิ หาคม ๒๕๕๒ และคาดว่าจะสามารถลงนามใน ความตกลงวา่ ดว้ ยการคา้ บริการและการลงทุนไดภ้ ายในเดือนมนี าคม ๒๕๕๔ เวทรี ะหว่างประเทศ G-๒๐ : อนิ เดยี ใชเ้วทนี ้ีส่งเสรมิ บทบาทของตนในการจดั การระบบเศรษฐกจิ ระหว่างประเทศ โดยทาํ หนา้ ท่ี เป็นตวั แทนของประเทศกาํ ลงั พฒั นา โดยเฉพาะในประเด็นเร่ืองการผลกั ดนั การปฏริ ูปกฎระเบียบการเงนิ ระหว่าง ประเทศใหเ้ อ้ือต่อผลประโยชนข์ องประเทศกาํ ลงั พฒั นา รวมถึงการต่อตา้ นกระแส protectionism ทง้ั ทางดา้ น การคา้ และการลงทนุ ในช่วงวกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ โลกปจั จบุ นั WTO : อนิ เดยี เป็นเจา้ ภาพจดั การประชุม WTO Ministerial Meeting on Re-energizing Doha: a Commitment to Development เมอ่ื เดอื นกนั ยายน ๒๕๕๒ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ผลกั ดนั ใหก้ ระบวนการเจรจา รอบโดฮาเร่ิมข้นึ อีกครง้ั ท่นี ครเจนีวา ซ่งึ อินเดียกป็ ระสบความสาํ เร็จในการมบี ทบาทรวบรวมฉนั ทามติจากประเทศ ต่างๆ ใหก้ ลบั สู่เวทีเจรจาท่ีชะงกั งนั มานบั ตง้ั แต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๑ ทง้ั น้ี การประชุมดงั กล่าวเป็นการเปิดตวั อนิ เดยี ในฐานะประเทศทก่ี าํ ลงั กา้ วสูก่ ารเป็นมหาอาํ นาจทางการคา้ และเป็นการดึงอาํ นาจการตดั สนิ ใจในเร่ืองการเปิด เสรที างการคา้ ระดบั พหภุ าคีจากกลมุ่ ประเทศพฒั นาแลว้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ จาก traditional players เช่น G-8 BRIC : เป็นการรวมกลมุ่ ระหว่าง อนิ เดยี -รสั เซยี -จนี -บราซลิ ซง่ึ เป็นการแสดงใหเ้หน็ ถงึ การประสานท่าที และความร่วมมอื ของประเทศมหาอาํ นาจโลกท่ี ๓ ซ่ึงถือเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (leading emerging economies) เพอ่ื เพม่ิ อาํ นาจการต่อรองในเรอ่ื งท่เี ป็นผลประโยชนร์ ่วมกนั กบั ชาติตะวนั ตก อินเดียมที ่าทแี ละจุดยนื ต่อประเด็นปญั หาของโลก (Global Issue) ซ่งึ อินเดียเหน็ ว่าเป็น ผลประโยชน์ ของอนิ เดยี และประเทศกาํ ลงั พฒั นา ดงั น้ี WTO : อนิ เดยี ตอ้ งการเหน็ การเจรจารอบโดฮา Doha Development Round ประสบความสาํ เร็จ ภายใตเ้ ง่อื นไขท่ีผลการเจรจาจะตอ้ งเก้ือกูลต่อการพฒั นา และอยู่บนพ้ืนฐานของระบบการคา้ ท่ีมีกฎเกณฑแ์ ละ โปร่งใส โดยประเดน็ ทอ่ี นิ เดยี ใหค้ วามสาํ คญั คอื เร่อื งการเกษตร เงอ่ื นไขท่อี ินเดียจะยอมรบั ไดค้ ือ ประเทศพฒั นาแลว้ จะตอ้ งลดการอดุ หนุนการส่งออกสนิ คา้ เกษตร ขอ้ ตกลงต่างๆ จะตอ้ งมสี ่วนเก้อื กูลต่อการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ความ มนั่ คงทางอาหาร และการพฒั นาชนบทของประเทศกาํ ลงั พฒั นา และการเขา้ ถึงตลาดสินคา้ ท่ีไม่ใช่สินคา้ เ กษตร อินเดียมบี ทบาทสาํ คญั ในการเจรจาการคา้ พหุภาคี โดยเฉพาะการต่อสูเ้ พ่ือรกั ษาสิทธิประโยชนข์ องประเทศกาํ ลงั พฒั นา และไดจ้ ดั การประชมุ ระดบั รฐั มนตรขี อง WTO ทก่ี รุงนิวเดลี เมอ่ื เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ เพอ่ื ผลกั ดนั ใหม้ ี การเจรจาการคา้ รอบโดฮาต่อไป ปญั หาเร่อื งการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ : อนิ เดยี เหน็ วา่ พนั ธกรณีของอินเดยี ในการดาํ เนินมาตรการ แกไ้ ขปญั หาการเปลย่ี นแปลงสภาพอากาศทม่ี คี วามชดั เจนและเป็นธรรม คือการลดการปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกโดยใช้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 661
Pages: