Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๙๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พระพทุ ธศาสนาของพระองค์ การสงั คายนาพระธรรมและวนิ ยั มขี ้นึ หลายครง้ั และจาํ นวนการนบั การสงั คายนาก็ แตกต่างกนั ไปในแต่ละประเทศท่ีนบั ถือพระพุทธศาสนา การสงั คายนาท่ีทุกฝ่ ายยอมรบั ตรงกนั ไดแ้ ก่การ สงั คายนา ๓ ครงั้ แรกในประเทศอนิ เดยี และในการสงั คายนา ๓ ครง้ั นน้ั การสงั คายนาครงั้ นน้ั เร่มิ มตี ง้ั แต่พระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ดงั ในปรากฏปาสาทิกสูตร ทรงเคย ปรารภกบั พระจุนทะ ก่อนพทุ ธปรนิ ิพพาน พระสารบี ุตรเถระไดท้ าํ สงั คายนาเป็นตวั อย่างได้ ดงั ปรากฏในสงั คีติ สูตร ซ่ึงท่านแสดงวิธีการสงั คายนา โดยประมวลหลกั ธรรมทง้ั หลายท่ีมีจาํ นวนขอ้ เท่ากนั รวมไวเ้ ป็นหมวด เดยี วกนั การสงั คายนาพระธรรมและวนิ ยั ไดม้ กี ารริเร่มิ และดาํ เนินการจดั ทาํ อย่างจริงจงั หลงั พทุ ธปรนิ ิพพาน ๓ เดอื น โดยมพี ระมหากสั สปเถระเป็นประธานดาํ เนินการ พระไตรปิฎกยุคจารึกเป็นลายลกั ษณ์ ถือเป็นหลกั ของชาติ จึงคงอยู่ไดด้ ว้ ยดี ส่วนการสวดสาธยาย พระไตรปิฎกกเ็ หลอื อยู่แค่สวดมนต์ คนกจ็ าํ พทุ ธพจนไ์ ดน้ อ้ ยลงๆ เหลอื นอ้ ยลงไปทุกที จึงมคี วามจาํ เป็นตอ้ งมี การคดั ลอกเป็นลายลกั ษณ์ ในระดบั ทเ่ี ป็นทางการใหญ่ของคณะสงฆท์ งั้ หมด หรอื เป็นระดบั ของประเทศชาติ ซง่ึ เราจะเห็นไดว้ ่า ประเทศพุทธศาสนาทุกประเทศ จะถอื เร่ืองน้ีเป็นสาํ คญั จะตอ้ งมพี ระไตรปิฎกฉบบั หลวงเป็น ของราชการ เป็นของแผ่นดนิ เป็นของประเทศชาติ รกั ษาไวเ้ ป็นหลกั ของกลาง แลว้ มาคดั ลอกต่อๆ กนั ไป ความ บริสุทธ์ิบริบูรณ์ของพระไตรปิฎกเป็นเร่ืองสาํ คญั สูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะน้ีคือองค์แทนท่ีแทข้ อง พระพทุ ธเจา้ ท่เี ป็นพระศาสดาและเป็นตวั พระพุทธศาสนา จะเห็นว่า ประเทศพทุ ธศาสนาทุกประเทศถอื เร่ือง พระไตรปิฎกเป็นหลกั สาํ คญั ยง่ิ เวลานาํ พระพทุ ธศาสนาไปประเทศต่างๆ กค็ ือจะตอ้ งนาํ พระไตรปิฎกไป คมั ภรี ท์ น่ี ิพนธแ์ มห้ ลงั พทุ ธกาลกม็ บี า้ ง อย่างในสมยั สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ สมยั พระเจา้ อโศกมหาราช พระโมคคลั ลีบุตรติสสเถระ ประธานสงั คายนา ท่านไดเ้ หน็ ว่าพระในสมยั นนั้ บางพวกมคี วามเช่ือถือวปิ ริตผิด แผกแตกออกไป ก็มกี ารเรียบเรียงคมั ภรี ข์ ้นึ มาเล่มหน่ึง เพ่อื วนิ ิจฉยั ความเช่ือถือ หรือการสงั่ สอนท่ผี ิดพลาด เหลา่ นน้ั แต่การวนิ ิจฉยั นน้ั ก็เป็นเพยี งว่าท่านมาเช่อื มโยง โดยยกเอาคาํ สอนคาํ ตรสั ของพระพทุ ธเจา้ มารวมกนั ไว้ เป็นหลกั ฐานอา้ งองิ เพอ่ื แสดงใหเ้หน็ ว่าเร่อื งนน้ั พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่าอย่างไร เพ่อื จะวนิ ิจฉยั ความเช่อื หรือคาํ สอน ของผูท้ เ่ี ชอ่ื ผดิ พลาดไปนนั้ การสงั คายนาในพระพุทธศาสนาเป็นการรกั ษาคาํ สอนเดิมของพระพทุ ธเจา้ ไวใ้ หแ้ ม่นยาํ ท่สี ุด ไม่ให้ ใครมาเท่ยี วแกไ้ ขใหค้ ลาดเคลอ่ื นหรือตดั แต่งต่อเติม จะมาทาํ ใหต้ กหล่นก็ไมไ่ ด้ ต่อเติมก็ไม่ได้ ตอ้ งรกั ษาไวใ้ ห้ แมน่ ยาํ ท่สี ุด เราเพียงมาตรวจเช็ค มาซกั ซอ้ ม ทบทวนกนั ใครท่เี ช่ือถอื หรือสงั่ สอนคลาดเคลอ่ื น หรือผิดแผกไป ก็มาปรบั ใหต้ รงตามของเดิม พระพทุ ธศาสนาเถรวาทจึงมคี วามภูมใิ จโดยชอบธรรมว่ารกั ษาพระพทุ ธศาสนาไวไ้ ด้ เป็นแบบเดมิ แท้ ซ่งึ ต่างจากพระพทุ ธศาสนาแบบมหายานซ่งึ เป็นของท่แี ต่งข้ึนภายหลงั ไม่รกั ษาคาํ สอนเดิมแทๆ้ ไว้ จึงทาํ ใหค้ ลาดเคล่อื นหรือหาย คาํ สอนเดิมแทข้ องพระพุทธเจา้ ท่ีจะหาไดค้ รบสมบูรณ์ท่ีสุด ก็ตอ้ งมาดูใน พระไตรปิฎกบาลขี องพระพทุ ธศาสนาเถรวาท เมอ่ื กลา่ วโดยสรุปแลว้ บาลเี ป็นภาษาของแควน้ มคธแน่นอน เพราะพระพทุ ธเจา้ พระองคท์ รงวางรากฐาน พระพุทธศาสนาทแ่ี ควน้ มคธ ภาษาทพ่ี ระองคท์ รงใชส้ ่อื สารคือ ภาษามาคธี หรือมาคธีโวหาร เดิมทเี ป็นเพยี งตวั

บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๙๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ปิฎก หรือตวั คมั ภรี เ์ ท่านน้ั ภาษาใดท่จี ารึกในพระไตรปิฎกของเถรวาทเราถือว่า ภาษานนั้ เป็นภาษาบาลี ภาษา มาคธี ก็คือภาษามคธ ภาษามคธ ก็คือ ภาษาบาลีนนั่ เอง ดงั คาํ วิเคราะหข์ องฝ่ายเถรวาท เก่ียวกบั ภาษาบาลวี ่า “พุทฺธวจน ปาเลตีติ ปาลี” (ภาษา) แปลว่า ภาษาใด รกั ษาไวซ้ ่ึงพทุ ธพจน์ (ปาพจน์ คือ พระธรรม พระวินัย หรอื ปรยิ ตั ิ ) ภาษาน้ันช่ือวา่ บาลี จากวเิ คราะหภ์ าษาบาลดี งั กลา่ วเชอ่ื วา่ ภาษาบาลี เป็นภาษาหน่ึง ซ่งึ เป็นท่ยี อมรบั ของมวลชน ตอ้ งเป็น ภาษาทเ่ี ป็นสอ่ื กลางในการสอ่ื สารแน่นอนและเป็นภาษาท่พี ระพทุ ธองคท์ รงใชใ้ นการสงั่ สอน หรอื แสดงธรรมโปรด พุทธบริษทั ตง้ั แต่พระพุทธองค์ทรงตรสั รู้ พระองค์เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๔๙ วนั หลงั จากนน้ั พระองค์ก็ทรง ตงั้ เป้าหมายท่จี ะเผยแผ่คาํ สอนของพระองคจ์ ุดแรกท่ีแควน้ มคธ เพราะพระองคท์ รงเคยสญั ญากบั พระเจา้ พิม พสิ ารไวว้ ่าถา้ หากไดต้ รสั รูธ้ รรมจะเสด็จมาโปรด ประกอบกบั แควน้ มคธเป็นศูนยก์ ลางของความเจริญจะทาํ ให้ หลกั ธรรมของพระองคแ์ ผ่ไปอย่างไพศาล

บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๙๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ คาถามทา้ ยบท คาช้ีแจง : คาถามมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นยั ใหผ้ ูศ้ ึกษาตอบคาถามทง้ั หมดดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. จงวเิ คราะหร์ ูปศพั ทแ์ ละอธิบายกาํ เนิดภาษาบาลี หรอื มาคธภี าสา ๒. จงอธบิ ายกาํ เนิดภาษาสนั สกฤต ๓. จงอธบิ ายพฒั นาการทางดา้ นภาษาในประเทศอนิ เดยี ๔. จงอธบิ ายทรรศนะต่างๆ ของนกั วชิ าการเกย่ี วกบั ภาษาบาลี ๕. จงอธบิ ายวตั ถปุ ระสงคข์ องการใชภ้ าษาในการจารกึ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทในอนิ เดยี ๖. จงอธิบายรูปแบบการถ่ายทอดพระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบมขุ ปาฐะลายลกั ษณ์ ศิลปะการแสดง จิตกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม และอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ๗. จงอธบิ ายสาระสาํ คญั ของรูปแบบการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๘. จงอธบิ ายภาษาอนิ เดยี อารยนั สมยั กลาง ๙. จงอธบิ ายภาษาอนิ เดยี อารยนั สมยั ใหม่ ๑๐. จงอธบิ ายวธิ กี ารรกั ษาและสบื ทอดพระไตรปิฎก

บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๙๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง เอกสารอา้ งองิ ประจาบท กรุณา–เรอื งอไุ ร กศุ ลาสยั . อโศกมหาราชและขอ้ เขียนคนละเรอ่ื งเดยี วกนั . กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พส์ ศยาม, ๒๕๔๕. ไกรวุฒิ มโนรตั น.์ วรรณคดีบาล.ี กรุงเทพมหานคร : จรญั สนิทวงศก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๔๙. คณาจารย,์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . วรรณคดีบาล.ี พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓. ชาญณรงค์ บญุ หนุน. การสงั คายนาในมมุ มองใหม่ : หนทางสูก่ ารแกป้ ญั หาของคณะสงฆไ์ ทย ปจั จุบนั . ในรายงานฉบบั สมบรู ณ์โครงการพฒั นานักวิจยั ทางปรชั ญาตะวนั ออกรุน่ ใหม่. กรุงเทพมหานคร : สนบั สนุนโดยสาํ นกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) ๒๕๔๗. ประมวล เพง็ จนั ทร์ และคณะ. ระบบการศึกษาระดบั อดุ มศึกษาของอนิ เดยี . เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๔๗. พระมหาเทยี บ สริ ญิ าโณ. บาลคี อื อะไร ในเพชรจากคมั ภรี พ์ ระไตรปิ ฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๔๒. พระมหาสมปอง มทุ โิ ต. ปทรูปสทิ ธแิ ปล สทั ทตั ถนัย และโวหารตั ถนยั . กรุงเทพมหานคร : มหาบาลวี ชิ ชาลยั วดั โมลโี ลกยาราม. ม.ปพ. พระมหาเสถยี รพงษ์ ปณุ ฺณวณฺโณ. โครงการตาราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ศิลปกร, ๒๕๑๔. พระเทพเมธาจารย์ (เชา้ ฐติ ปญุ ฺโญ). แบบเรยี นวรรณคดีบาลปี ระเภทคมั ภรี บ์ าลไี วยากรณ์. กรุงเทพมหานคร : ๒๕๐๕. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต). พระไตรปิฎก : สง่ิ ท่ชี าวพทุ ธควรรู.้ กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั เอส. อาร.์ พร้นิ ต้งิ แมสโปรดกั ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๗. พระนนั ทปญั ญาจารย.์ จูฬคนั ถวงศ.์ กรุงเทพมหานคร : ธนาเพรส แอนด์ กราฟฟิค, ๒๕๔๖. พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐติ ญาโณ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคาํ ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอนิ เดยี . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๓๔. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. มหาบาลวี ชิ ชาลยั . ปทรูปสทิ ธฺ ิ ฉบบั เรง่ ด่วน. กรุงเทพมหานคร : มหาบาลวี ชิ ชาลยั วดั โมลโี ยกยา รามราชวรวหิ าร พมิ พเ์ ป็นธรรมทาน, ๒๕๕๘. มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎก : ประวตั แิ ละความสาคญั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓.

บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๙๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ลขิ ติ ลชิ ติ านนท.์ วรรณกรรมพระพทุ ธศาสนาเถรวาท. เชยี งใหม่ : ภาควชิ าภาษาไทย คณะ มนุษยศาสตร์ ม.เชยี งใหม,่ ๒๕๓๔. เสถยี รพงษ์ วรรณปก. คาบรรยายพระไตรปิ ฎก. กรุงเทพมหานคร : หอรตั นชยั การพมิ พ,์ ๒๕๔๐. เสฐยี รพงษ์ วรรณปก. วธิ ีศึกษาคน้ ควา้ พระไตรปิฎก ในเกบ็ เพชรจากคมั ภรี พ์ ระไตรปิ ฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ เลม่ ๑. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๗. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๒. สุชพี ปญุ ญานุภาพ. พระไตรปิฎกสาหรบั ประชาชน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๖. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. อารยี ์ สหชาตโิ กสยี .์ วรรณคดเี กย่ี วกบั พทุ ธศาสนาสโุ ขทยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ งเคราะห์ หญงิ ปากเกรด็ ๒๕๒๒. Law, B. C. A history of Pali Literature. Indica Books, Varanasi, India, 2000. Wilhem Geiger. Pali Literature and Language. 3rd Reprinted. Oriental Books Reprint Corporation. New Delhi : India, 1978.

บทท่ี ๗ การจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ดร. ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายหลกั การเบ้อื งตน้ ในการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ ูกตอ้ ง ๒. อธบิ ายวตั ถปุ ระสงคใ์ นการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ กู ตอ้ ง ๓. อธบิ ายประโยชนใ์ นการจดั ลาดบั ชนั้ ในการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ กู ตอ้ ง ๔. อธบิ ายเกณฑท์ ใ่ี ชใ้ นการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ กู ตอ้ ง ขอบเขตเน้ือหา  ความนา  ลาดบั ชนั้ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท  การจดั ลาดบั ชนั้ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท  เกณฑก์ ารจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๔๙๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๗ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๗ การจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทเป็นการกล่าวถงึ พฒั นาการลาดบั คาสอนสาคญั ในพระพุทธศาสนาเถรวาท การจดั ลาดบั คมั ภีรใ์ นพระพุทธศาสนาเถรวาทและเกณฑใ์ นการจดั ลาดบั คมั ภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาท ในช่วงยุคสมยั พุทธกาลยงั ไม่มีการจดั ลาดบั คมั ภีร์ คาสอนของพระพุทธเจา้ ยังไม่มี พฒั นาการหรือการตีความมาก สมยั แรกๆ คาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ นนั้ เรียกว่า “พรหมจรรย”์ บา้ ง “สาสน์” บา้ ง “นวงั คสตั ถสาสน”์ บา้ ง “ปาพจน”์ บา้ ง หรือ “พระธรรมวนิ ยั ” บา้ ง ส่วนคาว่า “ไตรปิฎก” ยงั ไม่มปี รากฏใน ยุคสมยั พุทธกาล ครนั้ มาถึงการทาสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ มกี ารแยกเป็นปิฎกทง้ั ๓ อย่างสมบูรณ์คือ พระวนิ ยั ปิฎก พระสุตนั ตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกโดยเฉพาะไดบ้ รรจุคมั ภีรก์ ถาวตั ถเุ ขา้ ไวใ้ นพระอภิธรรมดว้ ย แต่ยงั มไิ ด้ เขียนเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรเพียงแต่จดจากนั ดว้ ยมุขปาฐะ หรือปากเปล่าต่อๆ กนั มา หลกั จากท่ีพระพุทธเจา้ ปรินิพพานคาสอนมีการตีความมีพฒั นาการมาตามลาดบั จนมีคัมภีร์ต่าง ๆ เกิดข้ึนมากมาย เช่น คัมภีร์ พระไตรปิฎก ฎกี า อนุฎกี า ปกรณว์ เิ สส เป็นตน้ การท่จี ะทราบและเขา้ ใจการจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถร วาทจะตอ้ งศึกษาสาระสาคญั ดงั น้ี ๑. ความนาการจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. พฒั นาการลาดบั คาสอนสาคญั ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๓. การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔. เกณฑใ์ นการจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายหลกั การเบ้อื งตน้ ในการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายวตั ถปุ ระสงคใ์ นการจดั ลาดบั ชนั้ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ กู ตอ้ ง ๓. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายประโยชนใ์ นการจดั ลาดบั ชนั้ ในการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ไดถ้ กู ตอ้ ง ๔. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายเกณฑท์ ใ่ี ชใ้ นการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ กู ตอ้ ง ๕. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายพฒั นาการคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาตงั้ แต่อดตี จนถึงปจั จบุ นั ได้ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารคาสอนบทท่ี ๗ ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาแบบฝึกหดั ในชนั้ เรียน ๓. ศึกษาคน้ ควา้ การจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชนั้ เรยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๔๙๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Power point หนา้ ชน้ั เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครงั้ ๗. ทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรียนและนาผลท่ไี ดม้ าวเิ คราะหพ์ ้ืนฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสิตอนั นาไปสู่การพฒั นาและปรบั ปรุงการเรยี นรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอนประจาบทท่ี ๗ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. คาถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาถามประจาบทท่ี ๗ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาความรูก้ ารจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ ครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ่วนร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคดิ เหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตง้ั ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาภาคเรียน ๖. การทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบท

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๔๙๙ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๗.๑ ความนา หลงั จากทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานได๓้ เดอื น พระอรหนั ตสาวกผูไ้ ดเ้คยสดบั ฟงั คาสงั่ สอนของ พระองคจ์ านวน ๕๐๐ รูป ประชมุ ทาสงั คายนากนั ณ ถา้ สตั บรรณคูหา ใกลเ้มอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ สอบทานกนั อยู่ ๗ เดอื นจงึ ตกลงประมวลคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ไดส้ าเรจ็ เป็นครงั้ แรกน่ีคือบอ่ เกดิ ของคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกต่อมาเมอ่ื มปี ญั หาขดั แยง้ พระเถระผูใ้ หญ่รุ่นต่อมาจะจดั ประชุมขจดั ขอ้ ขดั แยง้ กนั เป็นสงั คายนาต่อมาอีกหลายครง้ั จนได้ พระไตรปิฎกของฝ่ ายเถรวาทดงั ท่ีเรารูจ้ กั กนั ทุกวนั น้ี ซ่ึงถือกนั ว่าเป็นคาสอนโดยตรงของพระพุทธเจา้ ท่ีนบั ว่า ใกลเ้คียงทส่ี ุด ภาษามคธทใ่ี ชบ้ นั ทกึ คาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ นน้ั เป็นภาษาท่มี รี ะเบยี บแบบแผนเมอ่ื กาลเวลาลว่ งเลย ไปก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษาใชเ้ ฉพาะกลุ่มยากท่ีจะเขา้ ใจไดท้ นั ทีสาหรบั นกั ศึกษารุ่นหลงั ๆจึงไดม้ ีนกั ปราชญท์ าง พระพทุ ธศาสนาผูเ้ชย่ี วชาญนิพนธช์ ้แี จงความหมาย เรยี กวา่ อรรถกถาเมอ่ื นกั ศึกษารูส้ กึ ว่าอรรถกถายงั ไม่ชดั เจน จะมี ผูเ้ ช่ียวชาญนิพนธฎ์ กี าข้นึ ช้ีแจงความหมายและมอี นุฎีกาสาหรบั ช้ีแจงความหมายของฎีกาอีกต่อหน่ึงผูเ้ ช่ียวชาญ เฉพาะปญั หาก็นิพนธช์ ้ีแจงเฉพาะปญั หาข้นึ เรียกว่าปกรณ์เหล่าน้ีถือว่าเป็นคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนาทงั้ ส้ินแต่ทว่ามี นา้ หนกั นอ้ ยกว่าพระไตรปิฎก เพราะถอื ว่าเป็นความเหน็ ส่วนตวั ของผูอ้ ธิบายขยายความนกั ศึกษาอาจจะเหน็ กบั บาง คมั ภรี ์ และไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั บางคมั ภรี ก์ ็ไดไ้ มถ่ อื วา่ มคี วามเป็นพทุ ธศาสนิกมากนอ้ ยกวา่ กนั เพราะเร่อื งน้ี คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาเถรวาท มอี ยู่หลายชน้ั ดว้ ยกนั ดงั ท่ไี ดก้ ล่าวมาโดยย่อแลว้ คมั ภรี ต์ ่างๆเหลา่ นนั้ แตก ตวั ออกมาจากคมั ภรี ห์ ลกั คือคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกเพราะคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกนนั้ ถอื ไดว้ ่าเป็นคมั ภรี ท์ เ่ี ก่าแก่ท่สี ุดในบรรดา คมั ภีรท์ ง้ั หลายท่ีมอี ยู่ในเวลาน้ีและเป็นคมั ภีรห์ ลกั ท่พี ุทธศาสนิกชนยึดถือว่า ตวั คมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกน้ีเป็นตวั แทน พระพทุ ธเจา้ ดงั มบี นั ทกึ ในทฆี นิกาย มหาวรรค ว่า ‚อานนทบ์ างทีพวกเธออาจจะคิดว่า ‘ปาพจน์ มพี ระศาสดาลว่ งลบั ไปแลว้ พวกเราไม่มพี ระศาสดา’ ขอ้ น้ีพวกเธอไม่พึงเหน็ อย่างนนั้ ธรรมและวินยั ทีเ่ ราแสดงแลว้ บญั ญตั ิแลว้ แก่เธอ ทงั้ หลาย หลงั จากเราลว่ งลบั ไป ก็จะเป็นศาสดาของเธอทงั้ หลาย‛๑ หลงั จากท่พี ระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานพระอรหนั ตส์ าวก และพระสาวกทง้ั หลายไดร้ กั ษามรดกคาสอนของพระพทุ ธเจา้ บรรจลุ งในพระไตรปิฎก สบื ทอดกนั มาเป็นเวลาสองพนั หา้ รอ้ ยกว่าปีแลว้ จากยุคของคนรุ่นหน่ึงสู่ยุคของคนอีกรุ่นหน่ึงตามกฎธรรมชาติการเปล่ยี นแปลงของภาษาคาพูดนนั้ เป็นเหตุปจั จยั สาคญั ทท่ี าใหเ้กิดคมั ภีรย์ ุคหลงั ๆข้นึ มา เพราะพระอรรถกถารุ่นหลงั ๆท่านมคี วามปรารถนาท่จี ะนิพนธ์ คมั ภรี ข์ ้นึ มา เพ่อื อธิบายขยายความหลกั ธรรมคาสอนจากพระไตรปิฎกออกมาโดยมจี ดุ ม่งุ หมายเพ่อื จะสอ่ื ภาษาธรรมะ ใหค้ นร่วมยุคร่วมสมยั เกิดความเขา้ ใจหลกั คาสอนง่ายย่งิ ข้นึ และมคี วามลกึ ซ้งึ ในหลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ คมั ภีรท์ ่ีเกิดข้ึนในยุคหลงั ๆน้ีจึงนบั ว่าเป็นประโยชน์มากสาหรบั พุทธศาสนิกชนผูท้ ่ีตอ้ งการศึกษาพระพุทธศาสนา เบ้อื งตน้ เป็นการปูพ้นื ฐานความรูข้ องตนเองก่อนท่จี ะศึกษาคน้ ควา้ หลกั ธรรมคาสอนจากพระไตรปิฎกโดยตรงอนั จะทา ใหน้ กั ศึกษาเขา้ ใจหลกั ธรรมคาสอนไดด้ แี ละถกู ตอ้ ง ดงั นนั้ ความนาเบ้อื งตน้ ก่อนทจ่ี ะรูจ้ กั คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา ในรายละเอียดมากข้นึ จงึ ขอนาเขา้ สูห่ ลกั การเบ้อื งตน้ ท่เี ป็นพฒั นาการของคมั ภรี ม์ าจนถงึ ปจั จบุ นั ๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔.พระไตรปิฎกฉบบั ภาษาไทย มจร. ๒๕๓๙.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๗.๒ พฒั นาการลาดบั คาสอนสาคญั ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท พระอรหนั ตสาวกทงั้ หลายผูท้ าหนา้ ท่ถี ่ายทอดและสืบทอดพระพทุ ธวจนะ อนั เป็นหลกั ธรรมคาสงั่ สอนของ พระพุทธเจา้ เช่นพระมหากสั สปเถระไดป้ ระชุมพระสงฆร์ วบรวมรอ้ ยกรองพระธรรมวินยั ใหเ้ ป็นหมวดหมู่เรียกว่า สงั คายนาแลว้ จดจาสืบต่อกนั มาแบบปากเปล่า (มุขปาฐะ) สมยั แรก ๆ คาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ นนั้ เรียกว่า “พรหมจรรย”์ ๒บา้ ง “สาสน์”๓บา้ ง “นวงั คสตั ถุสาสน์”๔บา้ ง “ปาพจน์”๕บา้ ง หรือ “พระธรรมวินัย”๖ บา้ งส่วนคาว่า “ไตรปิ ฎก” ยงั ไม่มปี รากฏในยุคสมยั พุทธกาล ครนั้ มาถงึ การทาสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ มกี ารแยกเป็นปิฎกทง้ั ๓อย่าง สมบูรณ์คือพระวินยั ปิฎกพระสุตนั ตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกโดยเฉพาะไดบ้ รรจุคมั ภีรก์ ถาวตั ถุเขา้ ไวใ้ นพระ อภธิ รรมดว้ ยแต่ยงั มไิ ดเ้ขยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรเพยี งแต่จดจากนั ดว้ ยมขุ ปาฐะหรอื ปากเปลา่ ต่อๆกนั มา การจดั ลาดบั การเรยี กช่ือคาสอนในพทุ ธศาสนาแทนพระไตรปิ ฎก ในครงั้ พุทธกาลตามคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา ไมป่ รากฏคาว่า ไตรปิฎก (เตปิฏก) (ติปิฎก หรือ ติวธิ ปิฎก) แต่มคี าท่พี ระพุทธเจา้ เรียกว่า พรหมจรรย๗์ พุทธสาสน๘์ ธรรมวนิ ยั ๙พุทธพจน๑์ ๐สุตะปาพจน์ และ นวงั คสตั ถศุ าสน์ ฉะนนั้ คาว่าอภธิ รรมปิฎกในสมยั พุทธกาลจึงไม่ปรากฏโดยปริยาย (โดยตรง) แต่คาว่า “อภิธรรม” มปี รากฏหลาย แห่ง บางครง้ั เรียกว่าอภธิ รรม โดดๆ บา้ ง บางครง้ั เรยี กคู่กนั ว่า “อภธิ รรม อภวิ ินยั ‛ บา้ ง และต่อไปน้ีจะยกเอาบาง ขอ้ ความในพระไตรปิฎกทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั คาเรยี กพระพทุ ธธรรมขา้ งตน้ มากลา่ วไวเ้พอ่ื ศึกษาพจิ ารณาต่อไป ดงั น้ี ๑) ยุคพรหมจรรยใ์ นช่วงปฐมโพธิกาล พระพทุ ธเจา้ ทรงเรียกคาสอนในพระพทุ ธศาสนาคาว่า พรหมจรรย์ คือทางดาเนินชีวิตอย่างประเสริฐ หรือเจริญอริยมรรคมอี งค์ ๘ เช่น พุทธพจน์ในสมยั ส่งพระสาวก ๖๐ รูป ไป ประกาศพระศาสนา ความว่า ‚ภิกษุทงั้ หลาย พวกเธอจงเทีย่ วไป เพือ่ ประโยชนเ์ ก้ือกูลแก่ชนเป็นอนั มาก เพือ่ อนุเคราะหช์ าวโลก เพอื่ ประโยชนเ์ ก้ือกูล เพอื่ ความสุขแก่เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอจงแสดง ธรรมอนั งามในเบ้อื งตน้ งามในท่ามกลาง งามในทสี่ ดุ จงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทงั้ อรรถและพยญั ชนะอนั บริสุทธิ์ บริบูรณส์ ้นิ เชงิ ‛๑๑ ๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๓ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๘๓-๑๘๕/๔๙-๕๐. ๔ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/[๙], ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๒๖. ๕ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. ๖ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. ๗“ เธอทงั้ หลายจงจาริกไป เพอ่ื ประกาศพรหมจรรย์ ประเสริฐ อนั บริสุทธ์ิ บริสุทธ์ิส้นิ เชิง อนั งามในเบ้อื งตน้ งามในท่ามกลาง และงามใน ทส่ี ดุ ” อา้ งใน ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๘ “การไมท่ าบาปทง้ั ปวง ๑ การทากศุ ลใหถ้ งึ พรอ้ ม ๑ การทาใหจ้ ิตใหบ้ ริสุทธ์ิ ๑ คาสอน ๓ ประการน้ีเรียกว่า เป็ นพุทธสาสน์” อา้ งใน ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๙๐. ๙ “ธรรมวนิ ยั ใด ทเ่ี ราบญั ญตั แิ ละแสดงแลว้ แก่เธอทง้ั หลาย ธรรมวนิ ยั นน้ั จกั เป็นครูของเธอทงั้ หลาย เมอ่ื เราตถาคตลว่ งลบั ไป” อา้ งใน ท.ี ม. (ไทย)๑๐/๒๑๖/๑๖๔. ๑๐ ท.ี ม. (ไทย)๑๐/๒๑๖/๑๖๔. ปาพจน์ คือวจนะอนั เป็นประธาน, พทุ ธพจนห์ ลกั , คาสอนหลกั ใหญ่ : (fundamental text; fundamental teaching) ไดแ้ ก่ ๑) ธรรม (the Doctrine) คาสอนแสดงหลกั ความจริงท่คี วรรู้ และแนะนาหลกั ความดที ่คี วรประพฤติ ๒) วินัย (the Discipline) คอื ขอ้ บญั ญตั ทิ ว่ี างไวเ้ป็นหลกั กากบั ความประพฤตใิ หเ้ป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยเสมอกนั : ๑๑ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๑ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ นอกจากน้ี ยงั มีพุทธพจน์ท่ีตรสั ถึงจุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรยว์ ่า‚ภิกษุทงั้ หลาย ตถาคต ประพฤตพิ รหมจรรยน์ ้ี มใิ ช่เพอื่ จะลวงคน มใิ ช่เพอื่ เกล้ยี กลอ่ มคน มใิ ช่เพอื่ อานิสงสค์ ือลาภสกั การะและชือ่ เสยี ง มใิ ช่ เพือ่ อานิสงสค์ ือการอวดอา้ งวาทะ มใิ ช่เพือ่ ใหค้ นรูว้ ่า ‘คนทงั้ หลาย จงรูจ้ กั เราดว้ ยอาการอย่างน้ี’ แทจ้ ริง ตถาคต ประพฤตพิ รหมจรรยน์ ้ี เพอื่ สารวมระวงั เพอื่ ละ เพอื่ คลายกาหนดั เพอื่ ดบั ทกุ ข‛์ ๑๒ คาว่า “พรหมจรรย”์ ท่เี รียกว่ารูปแบบของการประพฤติท่ปี ระเสริฐ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ประทานอุปสมบท (เอหิภิกขุอุปสมั ปทา) แก่พระอญั ญาโกณฑญั ญะว่า “เธอจงเป็นภิกษุ มาเถิด ธรรมะอนั เรากล่าวดีแลว้ เธอจง ประพฤตพิ รหมจรรย์ เพอ่ื ทาทส่ี ุดแห่งทกุ ข์ โดยชอบเถดิ ”๑๓ ๒) ยุคสาสน์ คอื คาสอน เช่นในวนั ทท่ี รงประทานโอวาทปาฏโิ มกขแ์ ก่ภกิ ษุ ๒,๕๐๐ รูป ว่า “สพพฺ ปาปสฺส อกรณ กสุ ลสฺสูปสมปฺ ทา สจติ ตฺ ปรโิ ยทปน เอต พทุ ธฺ าน สาสน” แปลความว่า “การไม่ทาบาปทงั้ ปวง การทากุศลใหถ้ งึ พรอ้ ม การทาจิตของตนใหผ้ ่องแผว้ น้ีคือคาสอน ของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย”๑๔ ๓) ยุคนวงั คสตั ถศุ าสน์ หรอื สุตะ “พหุโข ภิกฺขเว มยา ธมฺมา เทสิตา สุตฺต เคยฺย เวยฺยากรณ คาถา อุทาน อิติวุตฺตก ชาตก อพฺภูตธมฺม เวทลฺลนฺต๑ิ ๕แปลความวา่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย ธรรมทงั้ หลายมากแลอนั เราแสดงแลว้ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อติ วิ ุตตกะ ชาตกะ อพั ภตู ธรรม เวทลั ละ”๑๖ ในบางโอกาสทรงใช้ คาว่าสุตะ ดงั มพี ทุ ธพจนใ์ นองั คุตตรนิกาย จตกุ กนิบาตว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย บคุ คล ๔ จาพวกน้ีมปี รากฏอยูใ่ นโลกบคุ คล ๔ จาพวก๑๗คอื ๑. บคุ คลผูม้ สี ุตะนอ้ ยทงั้ ไมเ่ ขา้ ถงึ สุตะ ๒. บคุ คลผูม้ สี ุตะนอ้ ย แต่เขา้ ถงึ สุตะ ๓. บคุ คลผูม้ สี ุตะมาก แต่ไมเ่ ขา้ ถงึ สุตะ ๔. บคุ คลผูม้ สี ุตะมากทง้ั เขา้ ถงึ สุตะ ๑) บคุ คลผูม้ สี ุตะนอ้ ยทงั้ ไมเ่ ขา้ ถงึ สุตะ เป็นอยา่ งไรคอื บคุ คลบางคนในโลกน้ีมสี ุตะ คือ สุตตะ เคยยะ เวย ยากรณะ คาถา อทุ านอติ วิ ตุ ตกะ ชาตกะ อพั ภตู ธรรม เวทลั ละ๑๘นอ้ ย ทง้ั เขาก็หารูอ้ รรถ๑๙รูธ้ รรม๒๐แห่งสุตะนอ้ ยนนั้ แลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรมไม่ บคุ คลผูม้ สี ุตะนอ้ ยทงั้ ไม่เขา้ ถงึ สุตะเป็นอยา่ งน้ีแล ๑๒ องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๒๕/๔๑. ๑๓ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘/๒๕. ๑๔ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐. ๑๕ องฺ.จตกุ ฺก.(บาล)ี ๒๑/๖/๘. ๑๖ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๖/๙-๑๐๐. ๑๗อภ.ิ ป.ุ (ไทย) ๓๖/๑๘๙/๒๑๖-๒๑๗. ๑๘ นวงั คสตั ถสุ าสน์ คาสอนของพระศาสดามอี งค์ ๙ คือ (๑)สตุ ตะ ไดแ้ ก่ อุภโตวภิ งั ค์ นิทเทส ขนั ธกะปริวาร พระสูตรในสุตตนิบาต และ พทุ ธวจนะอน่ื ๆ ทม่ี ชี ่อื วา่ สตุ ตะ หรอื สุตตนั ตะ (๒) เคยยะ ไดแ้ ก่ความทม่ี รี อ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรองผสมกนั หมายถงึ พระสูตรทม่ี คี าถาทงั้ หมด โดยเฉพาะส

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒) บุคคลผูม้ สี ุตะนอ้ ย แต่เขา้ ถงึ สุตะ เป็นอย่างไรคือบคุ คลบางคนในโลกน้ีมสี ุตะ คือสุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทลั ละนอ้ ย แต่เขารูอ้ รรถรูธ้ รรมแห่งสุตะนอ้ ยนน้ั แลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม บคุ คลผูม้ สี ุตะนอ้ ย แต่เขา้ ถงึ สุ ตะ เป็นอยา่ งน้ีแล ๓) บคุ คลผูม้ สี ุตะมาก แต่ไมเ่ ขา้ ถงึ สุตะ เป็นอย่างไรคือบคุ คลบางคนในโลกน้ีมสี ุตะ คือสุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทลั ละมากแต่เขาหารูอ้ รรถรูธ้ รรมแห่งสุตะมากนนั้ แลว้ ปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ บุคคลผูม้ สี ุตะมาก แต่ไม่ เขา้ ถงึ สุตะ เป็นอยา่ งน้ีแล ๔) บุคคลผูม้ สี ุตะมากทง้ั เขา้ ถงึ สุตะ เป็นอย่างไรคือบุคคลบางคนในโลกน้ีมสี ุตะ คือ สุตตะ เคยยะ เวย ยากรณะ คาถา อุทานอิติวุตตกะ ชาตกะ อพั ภูตธรรม เวทลั ละมาก ทง้ั เขาก็รูอ้ รรถรูธ้ รรมแห่งสุตะมากนนั้ แลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม บคุ คลผูม้ สี ุตะมากทง้ั เขา้ ถงึ สุตะ เป็นอยา่ งน้ีแล ภกิ ษุทงั้ หลาย บุคคล ๔ จาพวกน้ีแลมปี รากฏอยู่ในโลก “ถา้ บุคคลมสี ุตะนอ้ ย ทงั้ ไม่ตงั้ มนั่ ในศีลบณั ฑิต ทงั้ หลายย่อมติเตียนเขาทงั้ ในดา้ นศีลและสุตะถา้ บุคคลแมม้ ีสุตะนอ้ ย แต่ตง้ั มนั่ ดีในศีลบณั ฑิตทงั้ หลายย่อม สรรเสริญเขาในดา้ นศีลแต่สุตะของเขาไม่สมบูรณถ์ า้ บุคคลแมม้ สี ุตะมาก แต่ไม่ตง้ั มนั่ ในศีลบณั ฑติ ทงั้ หลายย่อมติ เตยี นเขาในดา้ นศีลแต่สุตะของเขาสมบูรณ์ถา้ บุคคลมสี ุตะมาก ทง้ั ตงั้ มนั่ ดใี นศีลบณั ฑติ ทง้ั หลายย่อมสรรเสริญเขาทงั้ ในดา้ นศีลและสุตะใครเลา่ จะสามารถตเิ ตยี นเขาผูม้ สี ุตะมากทรงธรรม มปี ญั ญา เป็นพทุ ธสาวกผูเ้ ป็นเหมอื นแท่งทอง ชมพนู ุท๒๑แมเ้ทวดาและมนุษยก์ ็สรรเสรญิ เขาถงึ พรหมก็สรรเสรญิ เขา”๒๒ คาว่า สุตะ[สุต] ในท่นี ้ีเป็นช่ือรวมทใ่ี ชเ้รียกพุทธวจนะ ๙ ประการ คือ “สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อิติวุตตกะ ชาตกะ อพั ภตู ธมั ม์ และเวทลั ละ”๒๓ ในนวงั คสตั ถศุ าสน์ ดงั กล่าวน้ี พระอภธิ รรมปิ ฎก จดั เป็น เวยยากรณะ [ไวยยากรณะ] คาว่า สุตะ ถา้ กล่าวโดยสรุปมคี รบทง้ั พระวนิ ยั พระสูตร และพระอภธิ รรม ดงั ขอ้ ความในขทุ ทกนิกาย อป ทาน อุปาลเี ถรวตั ถุ๒๔ ว่า “พระองคม์ พี ระวินยั พระสูตร พระอภธิ รรม และพทุ ธวจนะมอี งค์ ๙ แมท้ งั้ มวลน้ีเป็น ธรรมสภา” คาถวรรคในสงั ยตุ ตนิกาย (๓)เวยยากรณะ ไดแ้ ก่ ความรอ้ ยแกว้ ลว้ น หมายเอาอภธิ รรมปิฎกทง้ั หมด พระสูตรทไ่ี มม่ คี าถา และพทุ ธพจนอ์ น่ื ใดท่ไี ม่จดั เขา้ ในองค์ ๘ ขอ้ ทเ่ี หลอื (๔)คาถาไดแ้ ก่ ความรอ้ ยกรองลว้ นหมายเอาธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาลว้ นในสุตตนิบาตทไ่ี ม่มชี ่อื วา่ เป็นสูตร (๕) อทุ านไดแ้ ก่ พระคาถาท่ที รงเปลง่ ดว้ ยพระทยั อนั สหรคตดว้ ยโสมนสั สมั ปยุตดว้ ยญาณ พรอ้ มทง้ั ขอ้ ความอนั ประกอบอยู่ดว้ ย รวมเป็นพระสูตร ๘๒ สูตร (๖)อติ วิ ตุ ตกะไดแ้ ก่ พระสูตร ๑๑๐ สูตรทต่ี รสั โดยนยั วา่ “วุตตฺ เหต ภควตา” (๗)ชาตกะ ไดแ้ ก่ ชาดก ๕๕๐ เร่ือง มอี ปณั ณกชาดก เป็นตน้ (๘)อพั ภูตธรรม ไดแ้ ก่ พระสูตรทว่ี า่ ดว้ ยเหตอุ ศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏทกุ สูตร เช่น ทต่ี รสั วา่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย ความเป็นอจั ฉริยะไมเ่ คยปรากฏ ๔ ประการน้ีมอี ยู่ใน อานนท”์ ดงั น้เี ป็นตน้ (๙)เวทลั ละ ไดแ้ ก่พระสูตรแบบถามตอบซง่ึ ผูถ้ ามไดท้ ง้ั ความรูแ้ ละความพอใจ ถามต่อ ๆ ไป เช่น จูฬเวทลั ลสูตร มหาเวทลั ลสูตร สมั มาทฏิ ฐสิ ูตร สกั กปญั หสูตร สงั ขารภาชนยิ สูตร และมหาปณุ ณมสูตร อา้ งใน องฺ.จตกุ ฺก.อ.(บาล)ี ๒/๖/๒๘๒, ว.ิ อ.(บาลปี ๑/๒๖. ๑๙อรรถ ในทน่ี ้หี มายถงึ อรรถกถา อา้ งใน องฺ.จตกุ ฺก.อ.(บาล)ี ๒/๖/๒๘๒. ๒๐ธรรม ในทน่ี ้หี มายถงึ บาลี อา้ งใน องฺ.จตกุ ฺก.อ.(บาล)ี ๒/๖/๒๘๒. ๒๑ทองชมพูนุท หมายถงึ ทองคาบริสทุ ธ์ิ อา้ งใน องฺ.จตกุ กฺ .อ.(บาล)ี ๒/๖/๒๘๓. ๒๒ องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๖/๙-๑๑. ๒๓ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๙/๑๑. ๒๔ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๒/๕๓๗/๘๑.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๔) ยุคปาพจน์ คือ พระพทุ ธองคต์ รสั คาน้ีในวนั ทจ่ี ะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานว่า “อานนท์ บางที เธออาจจะ คิดว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงลบั ไปแลว้ พวกเราไม่มีศาสดา”๒๕(สยิ า โข ปนานนฺท ตุมหฺ าก เอวมสฺส อตีตสตถฺ กุ ปาวจน นตถฺ ิ โน สตถฺ า) ๕) ยุคธรรมวนิ ยั ในยุคต่อมาเรียกคาสอนว่า“พระธรรมวนิ ัย”เช่น พทุ ธพจนท์ ต่ี รสั กบั พระอานนท์ ตอนใกล้ ปรินิพพาน“ธรรมและวินัย ท่ีเราตถาคตแสดงแลว้ และบญั ญตั ิแลว้ แก่เธอทงั้ หลาย หลงั จากเราล่วงลบั ไป ธรรม วนิ ัยนนั้ กจ็ ะเป็ นศาสดาของเธอทงั้ หลาย”๒๖คาว่า “ธรรมวนิ ยั ” (ธมมฺ +วนิ ย) คือธรรมและวนิ ยั คาว่าธรรม หมายถึง คาสอนท่ที รงมงุ่ แสดงเน้ือหาสาระ หรอื สภาวะของธรรมะลว้ นๆ ไมม่ บี ญั ญตั ิ บุคคล เวลา สถานท่ี และทอ้ งเร่อื งเขา้ มาเกย่ี วขอ้ งอยู่ในธรรมะนน้ั ซง่ึ รุ่นหลงั ต่อมาเรยี กว่า อภธิ รรม และช่วงหลงั เมอ่ื จดั เป็นปิฎก เรยี กว่า อภธิ รรมปิฎก นอกจากน้ีคาว่า ธรรม (ธมโฺ ม จ วนิ โย จ เทสโิ ต ปญฺญตฺโต ฯลฯ) ยงั รวมเอาพระสุตตนั ปิฎก (พระสูตร) เขา้ ไวด้ ว้ ย คาว่า พระสูตร[สุตฺต] ม่งุ หมายถึงองคป์ ระกอบของการสอนทป่ี รารภถงึ เง่อื นไขสาคญั คือ “เหตุการณ์ บคุ คล เวลา สถานท่ี ทอ้ งเร่อื ง ส่งิ แวดลอ้ ม ประเพณี วฒั นธรรม และหลกั ธรรมทท่ี รงสอนในพระสูตรนน้ั ” ส่วนคา ว่า วินัย[วนิ โย]คือคาสอนในส่วนท่เี ป็นบทบญั ญตั แิ ละขนบธรรมเนียมเพ่อื บรหิ ารหม่คู ณะของสงั คมท่อี ยู่ร่วมกนั ให้ เป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยดงี าม มคี วามเป็นเอกภาพ ไดแ้ ก่ อุภโตวนิ ยั (ยุคต่อมาเรียกว่า อภุ โตวภิ งั ค์ = ภกิ ขวุ ภิ งั ค์ และ ภกิ ขณุ ีวภิ งั ค)์ แปลว่า วนิ ยั ๒ ฝ่ายคอื วนิ ยั ของภกิ ษุและวนิ ยั ของภกิ ษุณี คาว่า นวงั คสตั ถสุ าสนน์ ้ี เป็นคาท่ปี รากฏในหลายคมั ภีร์ เช่น คมั ภีรอ์ ปทาน พุทธวงศ์ และอรรถกถา ทงั้ หลาย บางทเี รยี กว่า ชินสาสน์ บา้ ง พทุ ธวจนะ บา้ ง ส่วนในบาลที ่มี าทงั้ หลาย เรยี กว่า ธรรมะ บา้ ง เรยี กว่า สุตะ บา้ ง แต่เมอ่ื ยอมรบั กนั มาว่าคมั ภรี ต์ ่างๆ ทแ่ี ต่งดว้ ยภาษาบาลหี รือภาษามคธเรียกว่าวรรณคดีบาลแี ลว้ วรรณคดีบาลี จงึ สามารถแยกประเภทไดอ้ กี ๒ ประเภท คือ๑) ประเภทเป็นพระไตรปิ ฎก ๒) ประเภททไ่ี ม่เป็นพระไตรปิ ฎก ซง่ึ แต่ละประเภทน้ีจะไดก้ ลา่ วถงึ ในบทต่อๆ ไป อภธิ รรมน้ันมี แตย่ งั ไม่มีอภธิ รรมปิ ฎก ภาษติ ของทา่ นพระอบุ าลเี ถระ แสดงใหเ้หน็ ว่าพทุ ธพจนท์ เ่ี คยเรียกว่า ธรรมวนิ ยั ไดก้ ระจายออกไปเป็น ๙ องคป์ ระกอบ (นวงฺค สตถฺ สุ าสน /นวงฺคสตฺถสาสน) การแบง่ พทุ ธพจนเ์ ป็น “นวงฺค” อาจเป็นการจดั พทุ ธพจนใ์ น รูปแบบทเ่ี ก่าแก่ท่สี ุดก็เป็นได้ ต่อมาในชนั้ อรรถกถาเรียกว่า “นวงั คสตั ถสุ าสน์” และในอุปาลเี ถรวตั ถุ น้ีกไ็ ดร้ ะบุถึง พระสูตร พระอภธิ รรม และพระวินยั ไวด้ ว้ ย แสดงว่ายุคน้ีมกี ารแบ่งพทุ ธวจนะในลกั ษณะน้ีกนั แลว้ เพยี งแต่ยงั ไม่ แยกเป็นปิฎกอย่างชดั เจนเหมอื นยุคต่อมา แสดงว่ายุคหลงั คงเลยี นแบบจากยุคก่อน แต่พอมาถงึ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ จงึ ใชค้ าวา่ พระไตรปิฎกอยา่ งชดั เจน ดงั บาลที ป่ี รากฏในคราวสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ ว่า “เตปิ ฏก พทุ ธฺ วจน นาม พทุ ฺธสฺส ภควโต ธมฺมวินยสฺส สโมธาน โหติ” พระพทุ ธพจนค์ ือพระไตรปิฎก เป็นท่รี วมแห่งพระธรรมวนิ ยั ของพระผูม้ พี ระ ภาคเจา้ ” ๒๕ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. ๒๖ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ในช่วงมชั ฌิมโพธิกาลและสมยั ต่อมาพระพุทธเจา้ ทรงใชค้ าว่า‚อภิธรรม อภิวินยั ‛ บางครงั้ ทรงใชค้ าว่า “อภธิ รรม, อภวิ นิ ยั (อภธิ มมฺ , อภวิ นิ ย) ” ดงั พทุ ธพจนต์ ่อไปน้ีวา “ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยั น้ี เป็นผูใ้ คร่ธรรม เป็นผูฟ้ งั และผูแ้ สดงธรรมอนั เป็นทพ่ี อใจ มคี วามปราโมทยอ์ ยา่ งยง่ิ ในพระอภธิ รรม ในพระอภวิ นิ ยั แมก้ ารท่ภี กิ ษุเป็นผูใ้ คร่ใน ธรรม เป็นผูฟ้ งั และเป็นผูแ้ สดงธรรมอนั เป็นท่พี อใจ มคี วามปราโมทยอ์ ย่างย่งิ ในพระอภิธรรม ในพระอภวิ นิ ยั น้ีก็ เป็นนาถกรณธรรม”๒๗ คาว่าอภิธรรม อภวิ ินยั ในคมั ภรี อ์ รรถกถาขยายความว่า “อภธิ มเฺ ม อภวิ นิ เยติ อภธิ มมฺ ปิฏเก เจว วนิ ยปิฏ เก จ ปาลวิ เสน เจว อฏฺฐกถาวเสน จ โยโค กรณีโย” แปลว่า “ควรทาโยคะ (ความเพยี รเพ่อื เรียนรู)้ ในอภธิ รรม ใน อภวิ นิ ยั กลา่ วคือในอภธิ รรมปิฎกดว้ ย ในวนิ ยั ปิฎกดว้ ย โดยทางพระบาลดี ว้ ย โดยทางอรรถกถาดว้ ย อภธิ รรมกบั ถอ้ ยคาอน่ื ๆเช่นเรยี กวา่ ‚อภธิ รรมกถา และ เวทลั ลกถา‛ บางครง้ั ทรงใชค้ าว่า “อภธิ รรมกถา” คู่ กบั “เวทลั ลกถา” ดงั พทุ ธพจนต์ ่อไปน้ี “ในอนาคต หมภู่ กิ ษุจกั ไม่เจรญิ กาย ไมเ่ จรญิ ศีล ไมเ่ จริญจติ ไม่เจรญิ ปญั ญา เมอ่ื ไม่เจริญกาย ไม่เจริญศีล ไม่เจรญิ จิต ไมเ่ จริญปญั ญา แสดงอภธิ มั มกถา เวทลั ลกถา ถลาลงสู่ธรรมดาก็จกั ไม่ รูต้ วั โดยนยั น้ีแล เพราะธรรมะเลอะเลอื น วนิ ยั จงึ เลอะเลอื น เพราะวนิ ยั เลอะเลอื น ธรรมจงึ เลอะเลอื น”๒๘ อภธิ รรม ก็ดี เวทลั ละ ก็ดี ถา้ ถือตามพุทธพจนท์ ่รี ะบุไวด้ งั ขอ้ ความท่กี ล่าวมาขา้ งบน ก็แสดงว่า การแบ่ง พทุ ธวจนะในรูปของพระอภธิ รรมและพระสูตรไดท้ ากนั แลว้ ณ ครงั้ พทุ ธกาล แต่ สุตะจะครบทง้ั ๙ องคห์ รือไม่เท่า นน้ั เอง แต่ท่ีแน่ๆ คือ เวทลั ละ๒๙ ซ่ึงเป็น ๑ ในองค์ ๙ เป็นพุทธวจนะจากพระโอษฐข์ องพุทธองคเ์ อง จะเห็นว่า รูปแบบของคาสอนท่ยี กมาอา้ งไวข้ า้ งตน้ ทงั้ หมด ๕ ตวั อย่างนนั้ จดั เป็นพทุ ธพจนท์ งั้ ส้นิ เพราะเป็นสานวนพระดารสั ของพทุ ธองคเ์ อง มใิ ช่เป็นคาบอกเลา่ คาอา้ ง หรอื รายงาน ของท่านผูอ้ น่ื ในยุคต่อมาทรงใชค้ าว่า “ธรรม” เรียกรวมหมายถงึ ทง้ั สุตตนั ตปิฎก และอภธิ รรมปิฎก คาว่า ธรรม ในท่นี ้ี มงุ่ หมายถงึ หลกั ธรรมคาสอนทง้ั หมด (นวงั คสตั ถศาสน)์ ครบทง้ั กระบวนการคอื ปริยตั ิ ปฏบิ ตั ิ และปฏเิ วธ (พหสุ ฺสุโต สุตธโร สุตสนฺนิจโย)๓๐ จงึ เรยี กว่า “ธมั มวิหารี” (มปี กติอยู่ดว้ ยธรรม) ไดแ้ ก่ เรียนธรรมะ (สุต) แสดงธรรมะ (ธมฺม เทสน) สาธยายธรรม (ธมมฺ สชฺฌายน) ตรึกตาม ตรองตาม เพ่งพนิ ิจตามซ่งึ ธรรมดว้ ยใจ (มนสานุเปกฺขิโต) เรียน ศึกษาสุตะครบถว้ นแลว้ นาไปปฏบิ ตั ิ ไมป่ ลอ่ ยใหว้ นั เวลาผ่านไปเปลา่ ๓๑ ๒๗ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖๐/๔๒๘. ๒๘ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๗๙/๑๔๕. ๒๙เวทลั ละ ไดแ้ ก่ พระสูตรแบบถามตอบ ซง่ึ ผูถ้ ามไดท้ งั้ ความรูแ้ ละความพอใจ ฯลฯ ๓๐ มงฺคลทปี น.ี (ไทย) ๑/๑๑๖/๑๓๕. คาวา่ “พหสุ ตุ ตะ” คอื เรียกเอาทง้ั เบ้อื งตน้ เบ้อื งตน้ ของนวงั คสตั ถศุ าสน์ ฯ “สุตธระ” คือทรงจา รองรบั นวงั คสตั ถศุ าสนไ์ วไ้ ด้ เหมอื นนา้ ทเ่ี ก็บไวใ้ นหมอ้ อนั แขง็ แรง ไมร่ วั่ ไหล พจนพจนใ์ ดทต่ี นเรียนเอาไว้ ก็เป็นดงั เช่นนนั้ ตลอดไป แมไ้ ม่ไดส้ าธยาย ๕ ปี ๑๐ ปี ก็ไมล่ มื หาย เป็นผูม้ คี วามสามารถบอก กลา่ วไดส้ บายๆ ฯ “สตุ สนั นิจยะ” คอื สงั่ สมสตุ ทเ่ี รยี นมาไดเ้ป็นอยา่ งดี เก็บขอ้ มลู ทง้ั หมดไวใ้ จหบี คอื ทหยั ดารง มนั่ อยูเ่ หมอื นรอยขดี ทข่ี ดี ไวใ้ นศิลาแทง่ ทบึ เหมอื นนา้ มนั เหลวราชสหี ท์ เ่ี กบ็ ไวใ้ นหมอ้ ทองคา ฉะนน้ั ฯ ๓๑ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๗๓/๑๒๓-๑๒๔.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๕ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ในมหาโคสิงคสูตร๓๒ มคี าสนทนาในเชิงถามตอบระหว่างพระสารีบุตรกบั พระโมคคลั ลานะ โดยพระสารี บุตรถามพระโมคคลั ลานะว่า ป่าสิงควนั น้ีจะงดงามดว้ ยภกิ ษุเช่นไร? พระโมคคลั ลานะ ตอบว่า “ถา้ มีภกิ ษุ ๒ รูป ทา การสนทนาพระอภธิ รรมกนั และกนั ป่ าสงิ ควนั กจ็ ะงดงามดว้ ยภกิ ษุ ท่มี กี ริ ิยาอาการอย่างน้ี” จากขอ้ ความดงั กลา่ วขา้ งตน้ แสดงใหเ้หน็ ว่า พระอภธิ รรมมแี ลว้ ในสมยั อคั รสาวก และสอดคลอ้ งกบั ทอ่ี รรถ กถาระบวุ ่า “ตอนทพ่ี ทุ ธองคเ์ ทศนาพระอภธิ รรมโปรดพทุ ธมารดา บนดาวดึงส์ เมอ่ื พระวรกายตอ้ งการอาหาร ไดท้ รง นิรมติ พทุ ธนิมติ ใหแ้ สดงธรรมแทนพระองคข์ ้นึ มาอีกองคห์ น่ึง แลว้ เสด็จไปบณิ ฑบาต ณ อตุ รกรุ ุทวปี แลว้ เสดจ็ มา เสวยอาหารบิณฑบาตนน้ั ทีส่ ระอโนดาต ใกลภ้ ูเขาหิมาลยั ทุกครงั้ หลงั ภตั ตกิจ (หลงั ส้ินสุดการเสวยอาหาร บณิ ฑบาต) พระสารบี ตุ รจะเขา้ ไปเฝ้า พระองคก์ ็จะทรงเทศนาพระอภธิ รรม ท่ที รงแสดงบนเทวโลกชน้ั ดาวดึงสใ์ หพ้ ระ สารบี ตุ รฟงั หลงั จากนนั้ ท่านพระสารบี ุตร ก็ไดน้ าพระอภธิ รรมไปแสดงใหภ้ กิ ษุ ๕๐๐ รูป ซง่ึ เป็นศิษยข์ องท่านไดฟ้ งั อกี ต่อหน่ึง และช่วยกนั ทรงจา บอกเลา่ กนั โดยวธิ ีการปากต่อปาก (มขุ ปาฐะ) การสบื ต่อสายพระอภิธรรม จึงมพี ระ สารบี ตุ รเถระ เป็นหวั หนา้ สาย ๗.๓ การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ลาดบั คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา ๑. คมั ภรี ด์ ง้ั เดิมคอื บาลี เดิมพระพทุ ธพจนอ์ ยู่ในลกั ษณะการจาแลว้ บอกกนั ต่อๆ มา เมอ่ื มกี ารจารกึ ลงใน ใบลานจงึ เกดิ คมั ภรี ข์ ้นึ เป็นครง้ั แรก เรยี กว่ากนั ว่าบาลพี ระไตรปิฎกซง่ึ เรยี กว่าคมั ภรี ด์ ง้ั เดิม (Original Pali) หรอื บาง ทเี รยี กวา่ บาลพี ทุ ธวจนะ (Canon) ๒. อรรถกถา หรื วรรณนา (Commentaries) เป็นคมั ภรี อ์ ธบิ ายหรือขยายความพระไตรปิฎก เป็นหลกั ฐาน ชน้ั ๒ ซ่งึ มที งั้ อรรถกถาพระวนิ ยั ปิฎก อรรถกถาพระสุตตนั ตปิฎก และอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก อรรถกถาพระ สุตตนั ตปิฎก และอรรถกถาพระอภธิ รรมปิฎก ทอ่ี ธบิ ายต่อเน่ืองกนั จนตลอดกม็ ี ทอ่ี ธบิ ายเฉพาะคมั ภรี ๆ์ กม็ เี ช่น สมนั ตปาสาทกิ า อรรถกถา พระวนิ ยั สุมงั คลวลิ าสนิ ี ” ทฆี นิกาย ปปญั จสูทนี ” มชั ฌมิ นิกาย สารตั ถปกาสนิ ี ” สยุตตนิกาย มโนรถปรู ณี ” องั คุตตรนิกาย ปรมตั ถโชตกิ า ” ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทฏั ฐกถา ” ขทุ ทกนิกาย ปรมตั ถทปี นี ” ขทุ ทกนิกาย ชาตกฏั ฐกถา ” ขทุ ทกนิกาย สทั ธมั มปชั โชตกิ า ” ขทุ ทกนิกาย ๓๒ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๓๗/๓๖๙.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง สทั ธมั มปกาสนิ ี ” ขทุ ทกนิกาย วสิ ุทธชนวลิ าสนิ ี ” ขทุ ทกนิกาย มธุรตั ถวลิ าสนิ ี ” ขทุ ทกนิกาย ฏฐสาลนิ ี ” ธมั มสงั คณี สมั โมหวโิ นทนี ” วภิ งั ค์ ปญั จปกรณฏั ฐกถาหรอื ปรมตั ถทปี นี “ ธาตกุ ถาปฏั ฐาน ๓. ฎีกา (Sub-commentaries) เป็นคมั ภีร์อธิบายเพ่ิมเติมอรรถกถาอีกชน้ั หน่ึง เป็นหลกั ฐานชนั้ ๓ ตวั อย่างเช่นอธิบายสมนั ตปาสาทกิ า เรยี กว่าฎีกาสารตั ถทปี นี ฎกี าอธบิ าย พระอภธิ รรม เรียกว่าอภธิ มั มตั ถวภิ า วนิ ี ๔. อนุฎกี า (Sub-sub-commentaries) เป็นคมั ภรี อ์ ธบิ ายเพม่ิ เตมิ ฎกี า เรยี กว่าเป็นหลกั ฐานชน้ั ๔ เช่น อนุ ฎกี าวมิ ตวิ โิ นทนี ของพระวนิ ยั เป็นตน้ ๕. สทั ทาวเิ สส เป็นยงั มคี มั ภรี ท์ ่แี ต่งข้นึ ว่าดว้ ยกฎเกณฑท์ างไวยากรณบ์ าลี อธบิ ายศพั ทต์ ่างๆ เป็นช่อื ทเ่ี รยี ก กนั ในวงการนกั ปราชญบ์ าลฝี ่ายไทย ดงั ปรากฏในพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาว่า เมอ่ื ทาสงั คายนาในรชั กาลท่ี ๑ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๓๑ เพ่อื ชาระพระไตรปิฎกนน้ั ไดม้ กี ารชาระคมั ภรี ส์ ทั ทาวเิ สสต่างๆ ดว้ ย โดยมพี ระพฒุ า จารย์ เป็นแมก่ อง เช่นมลู กจั จายนปกรณ์ รูปสทิ ธธิ าตุปทปี ิกา อภธิ านปั ปทปี ิกา และสูจิ เป็นตน้ แมพ้ ระไตรปิฎกจะเป็นหลกั ฐานชน้ั ๑ เม่อื พิจารณาตามหลกั พุทธภาษิตในกาลามสูตร ท่านก็ไม่ใหต้ ิด จนเกินไป ดงั คาว่า “มา ปิ ฏกสมฺปทาเนน” อย่าถือโดยอา้ งตารา เพราะอาจผิดพลาดตกหล่น หรือบางตอนอาจ เพม่ิ เติมข้นึ แสดงว่าพระพทุ ธศาสนาสอนใหใ้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาเหตุผล สอบสวนดูใหเ้หน็ ประจกั ษแ์ ก่ใจตนเอง เป็น การสอนอย่างมนี า้ ใจกวา้ งขวางและใหเ้สรภี าพแก่ผูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาอย่างเต็มท่ี นอกจากนน้ั ยงั เป็นการยนื ยนั ใหน้ าไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เพอ่ื ไดป้ ระจกั ษผ์ ลนนั้ ๆ ดว้ ยตนเอง แมจ้ ะมพี ระพทุ ธภาษติ เตือนไว้ มใิ หต้ ิดตาราจนเกนิ ไป แต่ก็จาเป็นตอ้ งรกั ษาตาราไว้ เพ่ือเป็นแนวทางแห่งการศึกษา เพราะถา้ ไม่มีตาราเลยจะย่ิงซา้ รา้ ย เพราะจะไม่มี แนวทางใหร้ ูจ้ กั พระพทุ ธศาสนาเลย ฉะนน้ั การศึกษาใหร้ ูแ้ ละเขา้ ใจในพระไตรปิฎก จึงเป็นลาดบั แรก เรยี กว่า ปริยตั ิ การลงมอื ทาตามโดยควรแก่จิตอธั ยาศยั เรียกว่าปฏิบตั ิ การไดร้ บั ผลแห่งการปฏบิ ตั ินนั้ ๆ เรียกว่า ปฏิเวธ๓๓ ครนั้ มาถึงสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ เม่อื พ.ศ. ๔๓๓ ท่ีอาโลกเลณสถานมตเลชนบทประเทศศรีลงั กาครงั้ น้ีไดจ้ ารึกพระพุทธ วจนะหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ลงในใบลานเพราะกลวั ว่าจะจดจาคลาดเคลอ่ื นจากนน้ั ไดม้ กี ารชาระสืบต่อ กนั มาตามยุคตามสมยั จนถงึ ปจั จุบนั น้ีซง่ึ ถอื ไดว้ ่าเป็นยุคทเ่ี อกสารต่างๆทางพระพทุ ธศาสนาเจริญมาก พระพรหมคณุ าภรณ์ (ประยทุ ธป์ ยุตฺโต) กล่าวไวว้ ่าพระไตรปิฎกเป็นแหลง่ ทบ่ี รรจพุ ระพทุ ธดารสั ตรสั สอนท่ี เราตอ้ งการและเป็นทย่ี อมรบั กนั รวมทงั้ นกั ปราชญพ์ ทุ ธศาสนามหายานว่าพระไตรปิฎกบาลขี องเถรวาทน้ีเป็นหลกั ฐาน แสดงพทุ ธวจนะท่ี - ดง้ั เดมิ แทเ้ก่าแก่ทส่ี ุด ๓๓สุชพี ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปิ ฎกสาหรบั ประชาชน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๔), หนา้ ๒๔.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง - รกั ษาคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ไวไ้ ดแ้ มน่ ยาทส่ี ุด - ครบถว้ นสมบูรณท์ ส่ี ุด ทว่ี ่าน้ีมใิ ช่หมายความวา่ พระไตรปิฎกบาลจี ะมพี ทุ ธดารสั ครบถว้ นทกุ ถอ้ ยคาของพระพทุ ธเจา้ หรอื ทกุ ถอ้ ยคา ในพระไตรปิฎกเป็นพุทธดารสั แต่หมายความว่าพุทธพจน์เท่าท่ีบนั ทึกไวไ้ ดแ้ ละมีมาถึงเราอยู่ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนนั้ เรยี กไดว้ ่าเป็นแหลง่ เดยี วท่เี ราจะหาคาสอนทแ่ี ทข้ องพระพทุ ธเจา้ ได้ เมอ่ื เรานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาและปฏบิ ตั ิตามคาสอนในพระพทุ ธศาสนาก็คือเรายอมรบั และตอ้ งการปฏบิ ตั ิ ตามท่ีพระพุทธเจา้ ตรสั สอนซ่ึงหมายความว่าเราจะตอ้ งไปเฝ้ าและไปฟงั พระพุทธเจา้ ตรสั เองถึงจะมีใคร เช่น ครู อาจารยช์ ่วยเล่าต่อใหฟ้ งั ก็ไม่เท่าไดไ้ ปฟงั พระองคต์ รสั เอง เพราะฉะนนั้ แมแ้ ต่ในสมยั พทุ ธกาลคนทอ่ี ยู่เมอื งไกลได้ ฟงั คาสอนของพระพทุ ธเจา้ ผูเ้ป็นอาจารยแ์ ลว้ นาเขา้ สู่พระพทุ ธศาสนาต่อมาในทส่ี ุดกพ็ ยายามเดินทางบุกป่าฝ่าดงแสน ไกลมาเฝ้ าพระพุทธเจา้ บดั น้ี เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานแลว้ เราจึงไมม่ ที างเล่ยี งท่จี ะตอ้ งไปหาและไปนาเอาคาสอน จากพระองคจ์ งึ ไดใ้ ชค้ าตรสั สอนของพระองคท์ ่ปี รากฏในพระไตรปิฎกนนั้ เป็นเกณฑต์ ดั สินว่าส่งิ ท่ใี ครก็ตามเช่ือถอื หรอื ปฏบิ ตั อิ ยูเ่ ป็นพระพทุ ธศาสนาหรอื ไม่๓๔ เม่อื สงสยั ความใดแมแ้ ต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่จาเป็นตอ้ งเช่ือทนั ทีอย่างผูกขาดแต่สามารถตรวจสอบก่อน ดงั ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงวางหลกั ทวั่ ไปไวแ้ ลว้ ซ่งึ สาหรบั พวกเราบดั น้ีก็คือการใชค้ าสงั่ สอนในพระไตรปิฎกตรวจสอบ แมแ้ ต่คาสงั่ สอนในพระไตรปิฎกดว้ ยกนั เองกล่าวคือ หลกั มหาปเทส ๔ ไดแ้ ก่ท่อี า้ งอิงใหญ่หรือหลกั ใหญ่สาหรบั ใช้ อา้ งเพอ่ื สอบสวนเทยี บเคียงเร่มิ แต่หมวดแรกทเ่ี ป็นชุดใหญ่ซง่ึ แยกเป็น ๑. พทุ ธาปเทส (ยกเอาพระพทุ ธเจา้ ข้นึ อา้ ง) ๒. สงั ฆาปเทส (ยกเอาสงฆท์ งั้ หมขู่ ้นึ อา้ ง) ๓. สมั พหลุ ตั เถราปเทส (ยกเอาพระเถระจานวนมากข้นึ อา้ ง) ๔. เอกเถราปเทส (ยกเอาพระเถระรูปหน่ึงข้นึ อา้ ง) เม่อื พิจารณากวา้ งออกไปโดยครอบคลุมถึงคาสอนรุ่นหลงั ๆหรือลาดบั รองลงมาท่านก็มหี ลกั เกณฑท์ ่ีจะ ตดั สนิ ใหค้ วามสาคญั ในการวนิ ิจฉยั ลดหลนั่ กนั ลงมาโดยมเี กณฑว์ นิ ิจฉยั คาสอน ความเช่อื และการปฏบิ ตั เิ ป็น ๔ ขน้ั คอื ๓๕ ๑. สุตตะ ไดแ้ ก่ พระไตรปิฎก ๒. สุตตานุโลม ไดแ้ ก่ มหาปเทส (ยอมรบั อรรถกถาดว้ ย) ๓. อาจรยิ วาท ไดแ้ ก่ อรรถกถา (พ่วงฎกี าอนุฎกี าดว้ ย) ๔. อตั ตโนมติ ไดแ้ ก่ มตบิ คุ คลทน่ี อกจากสามขอ้ ตน้ “สุตตะ” คือพทุ ธพจนท์ ม่ี าในพระไตรปิฎกนน้ั ท่านถอื เป็นมาตรฐานใหญ่หรอื เกณฑส์ ูงสุดดงั คาทว่ี ่า ๓๔ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), กรณีธรรมกายเอกสารเพ่อื พระธรรมวินัย, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมกิ , ๒๕๔๒), หนา้ ๒๘-๒๙ ๓๕ท.ี อ. (บาล)ี ๒/๑๗๒/, วนิ ย.อ.(บาล)ี ๑/๒๗๑, วนิ ย.ฎกี า. (บาล)ี ๓/๓๕๒.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ “แทจ้ ริงสุตตะเป็นของกลบั คืนไม่ไดม้ คี ่าเท่ากบั การกสงฆ์ (ท่ปี ระชุมอรหนั ตส์ าวก ๕๐๐ รูปผูท้ าสงั คายนา ครงั้ ท่ี ๑) เป็นเหมอื นครงั้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายยงั สถติ อยู่”๓๖ “เพราะว่าเม่ือคา้ นสตุ ตะกค็ อื คา้ นพระพทุ ธเจา้ ”๓๗ พาหิรกสูตร (สูตรภายนอกคือสูตรท่ีไม่ไดข้ ้นึ สู่สงั คายนาทงั้ ๓ ครงั้ ใหญ่) ตลอดถึงพระสูตรของนิกาย มหาสงั ฆิกะ (นิกายใหญ่ท่ีจดั เป็นหีนยานท่ีสืบต่อมาจากภิกษุวชั ชีบุตรและต่อมาพฒั นาเป็นมหายาน) ท่านก็จดั เขา้ เกณฑไ์ วแ้ ลว้ ว่า “...ไม่พงึ ยดึ ถอื ควรตงั้ อยู่ในอตั ตโนมตนิ นั่ แหละหมายความว่าอตั ตโนมติในนิกายของตน (เถร วาท) ยงั สาคญั กว่าสูตรท่นี ามาจากนิกายอ่นื ”๓๘ น้ีเป็นตวั อย่างหลกั เกณฑต์ ่างๆทพ่ี ระเถระในอดีตไดถ้ อื ปฏบิ ตั ใิ นการ ดารงรกั ษาพระธรรมวนิ ยั สบื กนั มาซ่งึ แสดงใหเ้ หน็ ทง้ั ประสบการณ์ในการทางานและจิตใจท่ใี หค้ วามสาคญั แก่พระ ธรรมวนิ ยั นน้ั อย่างมนั่ คงย่งิ ในหลกั การท่านจึงรกั ษาพระพุทธศาสนาใหค้ งอยู่ยนื นานมาถงึ เราได๓้ ๙ ดงั นนั้ ความรู้ เบ้อื งตน้ เก่ียวกบั การจดั ลาดบั ชน้ั ความสาคญั ตามลาดบั คือคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎกี า หรือ เรยี กอกี อยา่ งหน่ึงว่า พระสูตร สุตตานุโลม อาจริยวาทและอตั โนมติ จึงเป็นท่ีรวบรวมประมวลพระธรรมวินยั รวมทงั้ ผลงานท่ีเป็นของพระสาวกท่ี สาคญั ๆ ซง่ึ ถอื กนั ว่าไมข่ ดั กบั พระธรรมวนิ ยั เดมิ ไว้ นอกจากนนั้ ในคมั ภรี ย์ งั มนี ยั สาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ ภูมศิ าสตร์ สงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์ ดว้ ย ฉะนน้ั พระพทุ ธศาสนาเถรวาทจึงถือว่าคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกเป็นตวั แทนของพระบรมศาสดา เพราะเป็นทจ่ี ารกึ รกั ษา พระธรรมวินยั ท่พี ระบรมศาสดามอบหมายไวใ้ หเ้ ป็นตวั แทนของพระองค์ เม่อื ครงั้ ก่อนจะเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน และใชเ้ ป็นมาตรฐาน เป็นเกณฑต์ ดั สินการศึกษา ความเช่ือและการประพฤติปฏิบตั ิเป็นท่ีมาและเป็นแหล่งรกั ษา หลกั การของพระพุทธศาสนาตามท่ีไดน้ ามาเรียบเรียงพอเป็นหลกั การอนั เป็นเบ้อื งตน้ ในการจดั ลาดบั ชนั้ คมั ภีร์ พระพทุ ธศาสนาเถรวาท วตั ถปุ ระสงคใ์ นการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท หลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ ท่ีตรสั แสดงไวล้ ว้ นมีลกั ษณะท่สี าคญั ๒ ประการ คือ ๑. เนยยตั ถะ หมายถงึ ขอ้ ความทค่ี วรอธบิ ายขยายความ ๒. นีตตั ถะ หมายถงึ ขอ้ ความทแ่ี สดงไวช้ ดั เจนแลว้ มเี น้ือความทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั แสดงใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะคาสอนดงั กลา่ วว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย คน ๒ จาพวกน้ี ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จาพวกเป็นไฉน คือ คนท่ีแสดงพระสุตตนั ตะท่ีมีอรรถจะพึงนาไป (เนยยตั ถะ) ว่าพระ สุตตนั ตะมอี รรถนาไปแลว้ (นีตตั ถะ) ๑ คนท่แี สดงพระสุตตนั ตะทม่ี อี รรถอนั นาไปแลว้ ว่าพระสุตตนั ตะมอี รรถท่จี ะ พงึ นาไป ๑ ภกิ ษุทงั้ หลายคน ๒ จาพวกน้ีแล ยอ่ มกลา่ วต่ตู ถาคต ดูก่อนภกิ ษุทงั้ หลาย คน ๒ จาพวกน้ี ย่อมไมก่ ลา่ ว ตู่ตถาคต ๒จาพวกเป็นไฉน คือ คนท่แี สดงพระสุตตนั ตะท่มี อี รรถจะพงึ นาไป ว่าพระสุตตนั ตะมอี รรถท่ีจะพงึ นาไป ๓๖วนิ ย.อ. (บาล)ี ๑/๒๗๒. ๓๗วนิ ย. ฎกี า. (บาล)ี ๒/๗๑. ๓๘วนิ ย. ฎกี า. (บาล)ี ๒/๗๒. ๓๙ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), กรณีธรรมกายเอกสารเพ่อื พระธรรมวินยั , หนา้ ๓๒-๓๔.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๐๙ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๑ คนท่แี สดงพระสุตตนั ตะท่มี อี รรถอนั นาไปแลว้ ว่าพระสุตตนั ตะมอี รรถอนั นาไปแลว้ ๑ดูก่อนภกิ ษุทงั้ หลายคน ๒ จาพวกน้ีแล ย่อมไมก่ ลา่ วต่ตู ถาคต”๔๐ โดยสรุปลกั ษณะคาสอนทเ่ี ป็นเนยยตั ถะนน้ั คือคาสอนทต่ี อ้ งอธบิ ายช้แี นะเพ่มิ เติมเพอ่ื ไมใ่ หเ้กดิ ความเขา้ ใจ ผดิ เพราะคาสอนลกั ษณะน้ีเป็นการสอนตามโลกสมมติ เป็นการใชภ้ าษาทใ่ี ชก้ นั อยู่ในการสอน เป็นคาสอนท่แี สดงโดย บุคลาธิษฐานหรือเป็นสมมติกถา ดงั นนั้ จึงเป็นส่ิงท่ีตอ้ งทาความเขา้ ใจเพ่ือไม่ใหย้ ึดติดในสมมติบญั ญตั ินั้น ส่วน ลกั ษณะคาสอนท่เี ป็นนีตตั ถะนน้ั คือคาสอนท่กี ล่าวถงึ ความจริงโดยปรมตั ถต์ รงตามสภาวะ เป็นคาสอนท่แี สดงโดย ธรรมาธษิ ฐานหรอื เป็นปรมตั ถกถา หมายความว่าในพระสูตรบางสูตรไมจ่ าเป็นตอ้ งอธบิ ายความหมายอีก เพราะทรงใช้ ภาษาทแ่ี สดงถงึ ความจรงิ มคี วามชดั เจนวา่ หมายถงึ อะไรเช่น ตรสั ถงึ ขนั ธ์ ๕ ถอื ว่าทรงกล่าวถงึ ความจริงเก่ยี วกบั มนุษย์ แลว้ ดว้ ยภาษาท่ีใกลเ้ คียงความจริงมากท่ีสุด ขอ้ ความดงั กล่าวขา้ งตน้ ไม่เพียงแต่แสดงถึงลกั ษณะคาสอนในทาง พระพทุ ธศาสนาว่ามลี กั ษณะ ๒ ประการเท่านน้ั ยงั บ่งช้ถี งึ ว่าในพระพทุ ธศาสนาไดม้ นี ยั แห่งการอธบิ ายความหมายเป็น การเปิดช่องใหม้ กี ารอธบิ ายความหมายของคาสอนได้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ คาสอนท่มี ลี กั ษณะเป็นเนยยตั ถะดงั กลา่ ว ถงึ กระนน้ั กต็ าม เพอ่ื ป้องกนั ไม่ใหเ้กดิ การอธบิ ายความหมายออกไปแตกต่างกนั โดยไม่มกี รอบหรือแนวทางในการอธบิ าย พระองคจ์ ึงไดว้ างหลกั การอธิบายความไวอ้ ย่างกวา้ งๆ ว่าควรอธิบายความหมายของพระสูตรท่คี วรอธิบาย ไม่ควร อธิบายความหมายพระสูตรท่มี คี วามหมายชดั เจนแลว้ และควรอธิบายความหมายใหถ้ ูกประเภทของคาสอนไม่ควร สบั สนระหว่างลกั ษณะคาสอนทงั้ สองประการนั้น การอธิบายความหมายจึงมีความจาเป็นในการศึกษาทาง พระพุทธศาสนาทงั้ ในการศึกษาความหมายศัพทแ์ ละความหมายของธรรม ขอ้ ความดงั กล่าวน้ีเป็นการยา้ ใหเ้ ห็น สถานการณข์ องพระพทุ ธศาสนาในสมยั พทุ ธกาลวา่ ไดม้ ปี ญั หาเก่ยี วกบั การอธิบายความหมายของคาสอนหรอื พระสูตร ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวแ้ ลว้ เช่นกนั ดงั ทพ่ี ระองคต์ รสั แสดงลกั ษณะการอธิบายความหมายท่ไี ม่ถูกตอ้ งสองลกั ษณะของ บุคคลไวแ้ ละถือว่าการอธิบายความหมายเช่นนนั้ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจา้ เป็นการกล่าวอา้ งท่ีไม่ตรงกบั ท่ี พระพุทธเจา้ ตรสั สอนเอาไว้ หรือไม่ตรงตามพุทธประสงค์ ดงั นน้ั การนิพนธค์ มั ภีรช์ นั้ ต่อๆ มาของนกั ปราชญท์ าง พระพทุ ธศาสนา มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื อธบิ ายขยายความพระสูตรท่ีเป็นจาพวกเนยยตั ถะ ทจ่ี ะตอ้ งไขความเพม่ิ เติม ดงั ท่ี พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต) ไดก้ ล่าวเก่ียวกบั คมั ภีรอ์ รรถกถาว่า “ลกั ษณะสาคญั ของอรรถกถา คือเป็นคมั ภีรท์ ่ี อธิบายความในพระไตรปิฎกโดยตรง หมายความว่า พระไตรปิฎกแต่ละสูตร แต่ละส่วน แต่ละเร่ือง จะมอี รรถกถา อธิบายจาเพาะสูตร จาเพาะส่วน จาเพาะตอน หรือจาเพาะเร่ืองนน้ั ๆ และอธิบายความตามลาดบั ไป โดยอธิบายทงั้ คาศพั ทห์ รือถอ้ ยคา อธิบายขอ้ ความ ช้ีแจงความหมาย ขยายความหลกั ธรรม หลกั วนิ ยั เล่าเร่ืองประกอบ ตลอดจน แสดงเหตุปจั จยั แวดลอ้ มหรือความเป็นมาของเหตุการณ์ท่พี ระพุทธเจา้ จะตรสั พุทธพจนน์ นั้ ๆ หรือเกิดเร่ืองราวนนั้ ๆ ข้นึ พรอ้ มทงั้ เช่ือมโยง ประมวลความเป็นมาเป็นไปต่างๆ ท่ีจะช่วยใหเ้ ขา้ ใจพุทธพจน์หรือเร่ืองราวในพระไตรปิฎก ชดั เจนข้นึ ”๔๑ คมั ภรี ช์ น้ั อ่ืนๆ ท่เี กดิ ข้นึ ภายหลงั ลว้ นยดึ การอธบิ ายขยายความแบบอรรถกถามาเป็นตน้ แบบในการแต่ง คมั ภีรอ์ ธิบายชน้ั ต่อๆ มา อนั เป็นวตั ถุประสงคข์ องการจดั ลาดบั คมั ภีรท์ ่จี าเป็นตอ้ งมที ่านผูร้ ู้ เช่ียวชาญ ชานาญการ ๔๐องฺ.เอกก. (บาล)ี ๒๐/๒๗๐/๗๖, องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๗๐/๖๘. ๔๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), รูจ้ กั พระไตรปิ ฎกเพ่อื เป็ นชาวพทุ ธท่ีแท,้ หนา้ ๙๓-๙๔

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ดา้ นหลกั คาสอนของพระพทุ ธเจา้ เพ่อื อธบิ ายใหต้ รงตามพทุ ธประสงคด์ งั กล่าวแลว้ คมั ภรี อ์ ธบิ ายขยายความคาสอนใน พระพทุ ธศาสนาจงึ เกดิ ข้นึ ตามมาเป็นลาดบั ชนั้ ประโยชน์ในการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท สมยั พทุ ธกาล การศึกษาและเผยแผ่คาสอนของพระพทุ ธเจา้ ยงั ใชร้ ะบบมขุ ปาฐะ (Oral tradition) คือการ ท่องจา ทรงจา การสาธยาย เพราะยงั ไมม่ กี ารเขยี นจารกึ คาสอนเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรเช่นปจั จุบนั การทาความเขา้ ใจ คาสอนของพระพทุ ธเจา้ จึงกระทาไดโ้ ดยผ่านทางภาษาพูดหรือภาษาเสียงเป็นส่วนใหญ่ พระพุทธเจา้ ทรงใชว้ ิธีส่ือ ความหมายทางวาจาเป็นสว่ นมาก เพอ่ื ถ่ายทอดสงั่ สอนพระธรรมวนิ ยั ท่พี ระองคไ์ ดต้ รสั รูแ้ ก่เวไนยสตั วท์ ง้ั หลายใหไ้ ด้ รบั รูแ้ ละเขา้ ใจจนบรรลุธรรมชน้ั สูงข้นึ ตามลาดบั การใชภ้ าษาเรยี ก “สง่ิ ทต่ี รสั รู”้ นน้ั ก่อนทจ่ี ะมกี ารใชค้ าว่า “ธรรมวนิ ัย” นนั้ ไดม้ กี ารใชค้ าอ่นื ๆ เรียกส่งิ ทต่ี รสั รูห้ ลายคาตามหลกั ฐานทพ่ี บสามารถแบง่ พฒั นาการการใชภ้ าษาออกเป็น๒ ช่วงคือช่วงแรก นบั ตง้ั แต่ตรสั รูเ้ป็นตน้ มา จนกระทงั่ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน และช่วงทส่ี องหลงั จากทพ่ี ระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานแลว้ จนถงึ ปจั จบุ นั คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก และคมั ภีรอ์ รรถกถาคาแรกท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงนามาใชเ้ พ่อื ตรสั ถึงส่งิ ท่ตี รสั รูค้ ือคาว่า “วิชชา” ไดแ้ ก่วชิ ชา๓ท่ที รงบรรลุตามลาดบั ในคืนวนั เพญ็ เดือน ๖ หรอื เดือนวสิ าขะ ในปฐมยามทรงบรรลุวชิ ชาท่ี ๑ คือปพุ เพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลกึ ชาตปิ างหลงั ของพระองคไ์ ดเ้ป็นอเนกชาติ ในมชั ฌมิ ยามทรงบรรลุวชิ ชาท่ี ๒ คือจุตูปปาตญาณสามารถหยงั่ รูก้ ารตาย (จตุ )ิ และการเกดิ (อุบตั )ิ ของสรรพสตั วด์ ว้ ยทพิ ยจกั ษุ ทรงทราบชดั ถงึ หมสู่ ตั วท์ เ่ี ป็นไปตามกรรมของตน และในปจั ฉิมยามทรงบรรลุวชิ ชาท่ี ๓ คืออาสวกั ขยญาณ ทรงรูช้ ดั ตามความเป็น จริงว่าอะไรคือความทุกข์ อะไรเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ อะไรคือความดบั แห่งความทุกข์ และอะไรคือแนวทางสู่ ความดบั แห่งความทุกข์ และอะไรคืออาสวะ อะไรคือสาเหตุแห่งอาสวะ อะไรคือความดบั แห่งอาสวะ อะไรคือ แนวทางสูค่ วามดบั แหง่ อาสวะ เป็นความหยงั่ รูท้ ่สี ามารถขจดั อาสวะใหห้ มดส้นิ ไปจากจติ ได้ ดงั ขอ้ ความในพระบาลที ่ี ยนื ยนั ถงึ ขอ้ น้ีไดว้ ่า “…น้ีเป็นวชิ ชาทห่ี น่ึง…วชิ ชาทส่ี อง…วชิ ชาท่สี าม…ทเ่ี ราไดบ้ รรลุแลว้ ในปฐมยาม…ในมชั ฌมิ ยาม… ในปจั ฉิมยามแหง่ ราตรี [ตามลาดบั ] อวชิ ชาถกู กาจดั แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ ”๔๒ ในประวตั ศิ าสตรแ์ ห่งพระพทุ ธศาสนาคาว่า “วชิ ชา” เป็นคาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงใชเ้รียกส่งิ ท่ที รงบรรลุหรอื ตรสั รูเ้ พ่ือส่ือใหเ้ ขา้ ใจถึงส่ิงท่ีตรสั รูน้ นั้ ในช่วงตน้ ๆ โดยเฉพาะวิชชาขอ้ ท่ี ๓ นนั้ ท่ีมีเน้ือหาบ่งบอกถึงอริยสจั ๔ และ ขอ้ ความในธมั มจกั กปั ปวตั นสูตร๔๓ดูจะเป็นส่ิงยืนยนั และยา้ เนน้ ว่าส่ิงท่ีตรสั รูน้ นั้ คืออริยสจั ๔ นกั ปราชญท์ าง พระพทุ ธศาสนาจงึ อาศยั ความขอ้ น้ีสรุปตรงกนั ว่าสง่ิ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รูค้ ือ “อริยสจั ๔” การสรุปความเช่นน้ี แมจ้ ะ ไมผ่ ดิ แต่กไ็ ม่ตรงทเี ดยี วนกั กบั พระดารสั ท่พี ระองคต์ รสั เล่าไวใ้ นคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกดงั กลา่ ว เน่ืองจากพระดารสั อนั เป็นขอ้ ความในพระไตรปิฎกดงั กลา่ วนนั้ บง่ ช้ถี งึ สง่ิ ท่พี ระองคต์ รสั มมี ากกว่าอริยสจั ๔ ดว้ ยเหตทุ ่อี รยิ สจั ๔ เป็นเพยี ง ส่วนหน่ึงของวิชชาท่ี๓เท่านนั้ ยงั มวี ชิ ชาอกี สองขอ้ ขา้ งตน้ ท่พี ระองคต์ รสั รูด้ ว้ ย ถา้ หากมงุ่ โดยภาพรวมแห่งความเป็น เหตุและผลของกระบวนการท่จี ะทาใหเ้กิดการตรสั รูช้ นั้ สูงแลว้ ถือว่าอริยสจั ๔ เป็นองคธ์ รรมท่คี รอบคลุมความเป็น ๔๒ ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๐๖–๕๐๘/๔๖๐-๔๖๑, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๐๖-๕๐๘/๓๔๖. อย โข เม รตฺติยา ปฐเม ยาเม ปฐมาวชิ ฺชา อธิคตา วชิ ชฺ า อปุ ปฺ นฺนา..ทตุ เิ ย ยาเม ทตุ ยิ าวชิ ชฺ า..ตตเิ ย ยาเม ตตยิ าวชิ ฺชา อธิคตา วชิ ชฺ า อปุ ปฺ นฺนา... ๔๓ ศึกษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ใน ว.ิ ม.(บาล)ี ๔/๑๓–๑๖/๑๗–๒๑, ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓-๑๖/๑๕-๑๘.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๑ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ เหตุและผลทง้ั หมดทง้ั ฝ่ายดีและไม่ดี ขยายความออกเป็นหลกั คาสอนทงั้ หลายตามมาอีกคาหน่ึงทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ ส่งิ ท่ตี รสั รูล้ าดบั ต่อมาคือคาว่า “ธรรม” จะพบคาน้ีในขอ้ ความท่ตี รสั เล่าความคิดท่เี กิดข้นึ แก่พระองคเ์ ม่อื ตรสั รู้ ใหม่ๆ ว่าธรรมท่ีเราบรรลุแลว้ น้ีเป็นธรรมลกึ ซ้งึ ยากท่จี ะเห็นได้ สตั วอ์ ่ืนจะตรสั รูต้ ามไดย้ าก เป็นธรรมสงบระงบั ประณีต ไม่เป็นวสิ ยั ท่จี ะหยงั่ ลงไดด้ ว้ ยความคิด เป็นธรรมละเอยี ดอนั บณั ฑิตจะพงึ รูแ้ จง้ ได…้ ….การท่หี มสู่ ตั วย์ งั มี ความอาลยั ยนิ ดใี นความอาลยั อยู่…..จะเหน็ ฐานะน้ีไดย้ าก คือสภาพท่อี าศยั กนั และกนั เกดิ ข้นึ เพราะความมสี ่งิ น้ีเป็น ปจั จยั แมฐ้ านะน้ีเห็นไดย้ ากเช่นกนั คือสภาพเป็นท่รี ะงบั ไปแห่งสงั ขารทง้ั ปวง ความสละคืนอุปธิทง้ั ปวง ความส้ิน ตณั หา ความปราศจากความกาหนดั ความดบั โดยไมเ่ หลอื นิพพาน๔๔ จะเห็นว่าคาว่า “ธรรม” เมอ่ื วเิ คราะหต์ ามขอ้ ความท่พี ระพทุ ธเจา้ ตรสั เล่าไวใ้ นโพธิราชกุมารสูตรเป็นอีกคา หน่ึงท่ีทรงใชเ้ รียก “ส่ิง” ท่ีพระองค์ตรสั รู้ คาว่า “ธรรม” ในท่ีน้ีมีความหมายจาเพาะเจาะจงถึงอิทปั ปจั จยตา ปฏจิ จสมปุ บาท และนิพพานถอื ว่าเป็นธรรมทล่ี กึ ซ้งึ ธรรมทงั้ สองยงั อยู่ในขอบข่ายของอรยิ สจั ๔ ท่ที รงใชเ้ รียกเพ่อื ช้ีใหเ้ ห็นถึงกระบวนการเกิดและดบั แห่งความทุกขอ์ ย่างเป็นระบบ และเม่อื ตรสั ถึงส่ิงทงั้ ปวงท่ีมีอยู่ ทรงใชค้ าว่า “ธรรม” เช่นกนั เช่นขอ้ ความในธรรมนิยามสูตรท่วี ่า “สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา” ธรรมทงั้ ปวงเป็นอนตั ตา๔๕ คาว่าธรรมท่ี พระองคท์ รงใชน้ นั้ มคี วามหมายหลากหลาย คมั ภีรอ์ รรถกถาสุมงั คลวิลาสินีไดจ้ าแนกความหมายของธรรมไว้ ๔ ความหมายคือ (๑) คณุ (๒) เทศนา (๓) ปรยิ ตั ิ (๔) นิสสตั ตะ๔๖ศาสตราจารยก์ าลุปาหนะ (David J. Kalupahana) ไดอ้ า้ งถึงขอ้ ความในคมั ภีรอ์ รรถกถาสุมงั คลวิลาสินีดงั กล่าว จาแนกความหมายของธรรมน้ีว่ามกี ารใชค้ าน้ีใน ๕ ความหมายคือ (๑) หมายถงึ คุณ ไดแ้ ก่คุณสมบตั ิธรรมชาติ (๒) หมายถงึ เหตุ ไดแ้ ก่สาเหตเุ งอ่ื นไข (๓) หมายถงึ นิส สตั ตะ ไดแ้ ก่ความจรงิ ความไมม่ แี ก่นสารทจ่ี รงิ (๔) หมายถงึ เทศนา ไดแ้ ก่การแสดง การบรรยาย ปาฐกถา และ (๕) หมายถงึ ปรยิ ตั ิ ไดแ้ ก่คมั ภรี ต์ ่างๆ รวมคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกดว้ ย๔๗ จะเหน็ ว่าส่วนท่ตี ่างกนั คือในฉบบั ท่ีศาสตราจารยก์ าลุปาหนะอา้ งนน้ั มคี วามหมายว่า “เหตุ” เพ่มิ เขา้ มาอีก ความหมายหน่ึง ส่วนความหมายท่เี หลอื ตรงกนั ความหมายแต่ละความหมายนน้ั ไม่ไดใ้ ชใ้ นท่แี ห่งเดียวกนั หรือใน เหตกุ ารณห์ รอื ในสถานการณเ์ ดยี วกนั หากแต่ใชใ้ นแต่ละเหตกุ ารณ์หรือแต่ละสถานการณ์บรบิ ทของการแสดงท่ตี ่างกนั จะทาใหค้ วามหมายของ ธรรมจากดั อยู่ในความหมายใดความหมายหน่ึง ในบรรดาความหมายทง้ั หมดของธรรมขอ้ น้ี สะทอ้ นใหเ้หน็ ทศั นะทางพระพทุ ธศาสนาเก่ยี วกบั ภาษาอย่างชดั เจนว่า ภาษาหรอื ถอ้ ยคานนั้ มคี วามหมายหลายนยั และ การพูดถึงส่ิงใดส่ิงหน่ึงอาจมคี าใชเ้ รียกหลายคาดว้ ยเช่นกนั ยงั มีคาอ่ืนๆ ท่ีทรงใชต้ รสั เรียกส่ิงท่ีตรสั รูค้ ื อ ‚อมต ธรรม‛๔๘ ‚พรหมจรรย‛์ ๔๙ ‚สทั ธรรม‛๕๐ ‚นวงั คสตั ถุสาสน‛์ ๕๑ ท่ที รงใชส้ ลบั กนั ตลอดเวลาทท่ี รงประกาศศาสนาของ ๔๔ ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๐๙/๔๖๑, ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๐๙/๓๔๗. ๔๕ ว.ิ ม.(บาล)ี ๔/๒๐-๒๓/๒๔-๒๘, ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๒๐-๒๓/๒๐-๒๔ ๔๖ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑/๒๘/๙๒. ๔๗ David J. Kalupahana, A history of Buddhist Philosophy :Continuities and Discontinuities, (Delhi : MotilalBanarsidass Publishers Private limited, 1994), p.60. ๔๘ ว.ิ ม.(บาล)ี ๔/๑๒/๑๖, ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๒/๑๔. โอทหถภกิ ขฺ เวโสต อมตมธิคต อหมนุสาสามิ ๔๙ ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ใน ว.ิ ม.(บาล)ี ๔/๑๘/๒๓., ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘/๑๙. ๕๐ ว.ิ มหา.(บาล)ี ๑/๒๐/๓๗., ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๒๐/๒๗.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พระองคใ์ นตอนตน้ พทุ ธกาลทรงใชค้ าว่า “ธรรม” มากกว่าคาอ่นื ๆ เช่นครง้ั ท่ที รงตดั สนิ พระทยั ทจ่ี ะแสดงธรรมสงั่ สอน แก่ผูอ้ ่นื แลว้ ทรงใชค้ าว่าธรรมเป็นสอ่ื ถงึ ส่งิ ทต่ี รสั รู้ และตอ้ งการแนะนาสงั่ สอนความหมายครอบคลุมส่งิ ท่ตี รสั รูท้ ง้ั หมด จะเหน็ ไดใ้ นขอ้ ความท่วี ่า “เราพงึ แสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอใครจกั รูท้ วั่ ถงึ ธรรมน้ีไดฉ้ บั พลนั ”๕๒จึงทรงระลกึ ถงึ อาฬา รดาบสและตดั สนิ พระทยั แสดงธรรมแก่ท่านก่อนวา่ “เราพงึ แสดงธรรมแก่อาฬารดาบสกาลามโคตรก่อน ท่านจกั รูท้ วั่ ถงึ ธรรมน้ีโดยฉบั พลนั …”๕๓แต่เมอ่ื ทรงทราบว่าอาฬารดาบสเสยี ชวี ติ ๗ วนั ล่วงแลว้ ทรงเหน็ ว่า “อาฬารดาบสกาลามโคตร เป็นผูเ้สอ่ื มใหญ่แลว้ ถา้ เธอพงึ ไดฟ้ งั ธรรมน้ีพงึ รูท้ วั่ ถงึ ไดฉ้ บั พลนั ทเี ดยี ว”๕๔หลงั จากนน้ั ทรงระลกึ ถงึ คนอ่นื ๆ เช่น อทุ ก ดาบส ปญั จวคั คียเ์ ป็นตน้ เพอ่ื ปรารภจะแสดงธรรมแก่พวกเขา ทรงใชค้ าว่า “ธรรม” เช่นกนั ๕๕และคาว่า “พรหมจรรย”์ ทท่ี รงใชค้ ู่กนั กบั คาว่า “ธรรม” เป็นส่วนมาก เพ่อื วตั ถปุ ระสงคใ์ นโอกาสและเหตุการณ์เฉพาะกรณี เช่นพระดารสั ทเ่ี ป็น วธิ อี ปุ สมบท๕๖และพระดารสั ทต่ี รสั เมอ่ื ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา๕๗เป็นตน้ ในช่วงระหว่างตน้ พทุ ธกาลกบั ปลายพทุ ธกาล พระพทุ ธเจา้ ทรงใชค้ าว่า “ธรรม” กบั คาว่า“พรหมจรรย”์ ใน การเรยี กสงั่ สอนและเผยแผ่คาสอนของพระองค์ จนกระทงั่ ใกลเ้สดจ็ ดบั ขนั ธ ปรนิ ิพพาน ก่อนทพ่ี ระองคจ์ ะทรงปลง อายุสงั ขารตามคาขอของมารนนั้ ทรงมเี งอ่ื นไขในการปลงอายุสงั ขารคือการรูธ้ รรม การปฏบิ ตั ิธรรม การสงั่ สอนธรรม การเผยแผ่ธรรมของพทุ ธบรษิ ทั ๔ (คือภกิ ษุภกิ ษุณีอุบาสกและอุบาสกิ า) หากว่าพทุ ธบริษทั ๔ ยงั ไมส่ ามารถรูธ้ รรม ปฏบิ ตั แิ ละสงั่ สอนธรรม ไมส่ ามารถแกข้ อ้ กลา่ วหาได้ จะยงั ไม่ปรนิ ิพพานตราบนนั้ ในการน้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงใชค้ าว่า ธรรมกบั พรหมจรรยเ์ ช่นกนั ๕๘จนกระทงั่ ถงึ ปลายพทุ ธกาลในวาระสุดทา้ ยแห่งพระชนมช์ ีพของพระองคท์ รงใชค้ าว่า “ปาพจนแ์ ละธรรมวนิ ยั ” แทนส่งิ ทต่ี รสั รูแ้ ละสงั่ สอน จะเหน็ ความขอ้ น้ีไดเ้มอ่ื พระอานนทไ์ ดท้ ูลถามตวั แทนพระองค์ เพ่ือเป็นประมุขปกครองสงฆ์ หลงั จากท่ีพระพุทธเจา้ ปรินิพพานไปแลว้ ว่าจะตงั้ ใครเป็นตวั แทนเป็นศาสดาแทน พระองค์ พระพทุ ธเจา้ มไิ ดท้ รงแต่งตงั้ ใครเป็นผูร้ บั ผดิ ชอบองคก์ รสงฆแ์ ทนพระองค์ ทงั้ ทใ่ี นชุมนุมสงฆใ์ นขณะนนั้ มี พระเถระผูใ้ หญ่ท่มี คี ุณสมบตั ิสามารถปกครองสงฆส์ ืบต่อพระองคไ์ ดห้ ลายรูปก็ตาม แต่พระพทุ ธเจา้ ทรงแต่งตง้ั ให้ หลกั การเป็นตวั แทนพระองคค์ ือทรงถอื เอาพระธรรมวินยั ท่พี ระองคท์ รงแสดงไวแ้ ละบญั ญตั ิไวต้ ลอดพระชนมช์ ีพ ของพระองคเ์ ป็นศาสดาแทนสืบไป ดงั ขอ้ ความในมหาปรินิพพานสูตรว่า “อานนท์ บางทพี วกเธอพงึ มคี วามคิดว่า ปาพจน๕์ ๙มพี ระศาสดาลว่ งลบั ไปแลว้ พระศาสดาของพวกเราไม่มขี อ้ น้ีพวกเธอไม่ควรเหน็ อย่างนนั้ ธรรมและวนิ ยั ทเ่ี รา แสดงแลว้ บญั ญตั ิ ไวแ้ ลว้ จกั เป็นศาสดาของพวกเธอเมอ่ื เราลว่ งลบั ไปแลว้ ”๖๐ ๕๑ องฺ.ปญฺจก-ฉกกฺ . (บาล)ี ๒๒/๗๓/๙๙, องฺ.ปญฺจก-ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๗๓/๘๘ ๕๒ ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๑๒/๔๖๔, ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๑๒/๓๔๙. ๕๓ ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๑๒๔๖๔, ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๑๒/๓๔๙. ๕๔ ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๑๒/๔๖๕, ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๑๒/๓๕๐. ๕๕ ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๑๒/๔๖๕, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๑๒/๓๕๐. ๕๖ ว.ิ ม.(บาล)ี ๔/๑๘/๒๓, ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘/๑๙. ๕๗ ว.ิ ม.(บาล)ี ๔/๓๒/๓๙, (ไทย) ๔/๓๒/๓๒. ๕๘ ท.ี ม.(บาล)ี ๑๐/๑๐๒/๑๓๑-๑๓๔, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๐๒/๑๑๒-๑๑๔. ๕๙ ปาพจนน์ ้ี รวมทงั้ ธรรมและวนิ ยั ว่าวนิ ยั คอื กองอาบตั ิทงั้ ๗คอื อาบตั ิเบา อาบตั ิหนกั อาบตั ทิ ่แี กไ้ ขได้ อาบตั ทิ ่แี กไ้ ขไมไ่ ด้ ในวนิ ยั ปิฎก ทงั้ ส้นิ ธรรม คอื สติปฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมอี งค์ ๘ พระสุตตนั ตปิฎกทงั้ หมดและขนั ธ์ ๕

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๓ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ช่วงท่สี องหลงั พทุ ธปรินิพพานจนถงึ ปจั จุบนั จะเหน็ ว่าในตน้ พทุ ธกาลจนถงึ ปลายพทุ ธกาลนนั้ การสบื ทอด คาสอนของพระพทุ ธเจา้ เป็นระบบมขุ ปาฐะ (Oral tradition) คือการถ่ายทอดดว้ ยการท่องจาทรงจาดว้ ยการสวดการ สาธยายจากอาจารยส์ ู่ศิษยจ์ ากรุ่นสู่รุ่นโดยการแบง่ หนา้ ท่ใี นการทรงจาเป็นกลุม่ ผูท้ ่ที าหนา้ ทท่ี รงจาพระธรรมเรยี กว่า ธมั มธโร กลุ่มผูท้ าหนา้ ท่ที รงจาพระวนิ ยั เรยี กว่า วนิ ยธโร ผูท้ ท่ี รงจาดา้ นอภิธรรมเรียกว่า มาติกาธโร หรืออาจเป็น ภกิ ษุรูปเดียวท่สี ามารถทรงจาไดท้ ง้ั พระธรรมพระวนิ ยั และพระอภธิ รรม๖๑ภายหลงั เมอ่ื มกี ารจาแนกรวบรวมคาสอน เป็นนิกายในช่วงประมาณ ๑๐๐ ปีหลงั พุทธปรินิพพาน๖๒ฉะนน้ั กลุ่มพระสาวกรุ่นหลงั จึงแบ่งหนา้ ท่ที รงจากนั เป็น นิกายและจะมชี ่อื เรยี กตามนิกาย๖๓นน้ั ๆ ไดแ้ ก่ทฆี ภาณกา๖๔ผูท้ รงจานาสบื ทอดทฆี นิกาย มชั ฌิมภาณกา๖๕ผูท้ รงจานา สบื ทอดมชั ฌิมนิกาย สงั ยุตตภาณกา๖๖ผูท้ รงจานาสืบทอดสงั ยุตนิกาย องั คุตตรภาณกา๖๗ผูท้ รงจานาสบื ทอดองั คุตตรนิกาย ส่วนผูท้ รงจานาสบื ทอดขุททกนิกายน่าจะเรียกว่า ขุททกภาณกายงั ไม่พบในคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกและ อรรถกถา สรุปใจความไดว้ ่าหลงั พทุ ธกาล การทางานสานต่อหนา้ ท่ใี นการเผยแผ่พระธรรมวินยั ของเหล่าพระสาวกสืบ ต่อมา ผ่านกระบวนการทาสงั คายนาหลายครง้ั ไดก้ าหนดถอ้ ยคาทไ่ี ดร้ อ้ ยเรยี งข้นึ มาเพอ่ื ใชส้ ่อื ใหเ้หน็ และใหเ้ขา้ ใจถงึ สง่ิ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั รู้ และทรงสงั่ สอนสบื มาผสมผสานไปกบั คาท่ใี ชก้ นั มาแต่เดิมพรอ้ มกบั แสดงถงึ เหตุการณต์ ่างๆ ท่ี เกิดข้นึ ทง้ั ทเ่ี ก่ยี วกบั พระพทุ ธเจา้ และเหล่าพระสาวก ถอ้ ยคาท่กี าหนดข้นึ มาใชเ้ช่นคาว่า “ไตรปิฎก” หรือ “ติปิฎกะ”๖๘ พุทธวจนะหรือพุทธพจน์ นิกาย ธมั มขนั ธ์๖๙พุทธธรรม๗๐เป็นตน้ การศึกษาพฒั นาการการใชถ้ อ้ ยคาเรียกส่ิงท่ี พระพุทธเจา้ ตรสั รูน้ ้ีทาใหเ้ ห็นขอ้ เท็จจริง อย่างหน่ึงว่าการจะใชค้ าไหนเรียกนน้ั มที ่ีมาท่ีไปโดยเฉพาะอย่างย่ิงท่ีมี ความสมั พนั ธอ์ ย่างใกลช้ ิดกบั บริบทสงั คมในขณะนนั้ ๆ ว่านิยมใชค้ าไหนส่อื ถงึ กนั ย่งิ ไปกว่านนั้ ยงั สะทอ้ นใหเ้ห็นถึง การศึกษาวเิ คราะหว์ ิจยั พทุ ธธรรมของนกั ปราชญท์ างพระพทุ ธศาสนาในยุคหลงั พทุ ธกาลสบื มา อย่างไม่ขาดสาย ใน ท่สี ุดจึงไดม้ กี ารจารึกคาสอนในช่ือเรียกต่างๆ เหล่านน้ั ตลอดถึงคมั ภรี ช์ น้ั ต่างๆ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เพราะเหตุน้ี คมั ภรี ต์ ่างๆ จงึ มปี ระโยชนต์ ่อการศึกษาหลกั ธรรมคาสอนในพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างมาก ดว้ ยขอ้ มลู จากคมั ภรี ต์ ่างๆ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สจั จะ ๔ อนิ ทรีย์ ๒๒ เหตุ ๙ อาหาร ๔ ผสั สะ ๗ เวทนา ๗ สญั ญา ๗ สญั เจตนา ๙ จติ ต์ ๗ จิตท่เี ป็นกามาวจร รูปาวจร อรู ปาวจร ธรรมเน่อื งกนั ธรรมไมเ่ น่อื งกนั เป็นโลกยิ ะ เป็นโลกตุ ระ สมนั ตปฏั ฐาน ๒๔ อภธิ รรมปิฎกทงั้ ส้นิ อา้ งใน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๒๔–๓๒๕. ๖๐ ที.ม.(บาล)ี ๑๐/๑๔๑/๑๗๘, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๔๑/๑๔๖. “สิยา โข ปนานนฺท ตุมหฺ าก เอว มสฺส อตีตสตฺถุก ปาวจน นตฺถิ โน สตถฺ าติ น โข ปเนต อานนฺท เอว ทฏฐฺ พพฺ โย โว อานนฺท มยา ธมโฺ ม จ วนิ โย จ เทสโิ ต ปญฺญตโฺ ต โส โว มมจฺจเยน สตถฺ า” ๖๑ศกึ ษารายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ในว.ิ มหา. (บาล)ี ๑/๑๘๐/๒๓๓, ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๑๘๐/๑๙๓, ท.ี ม.(บาล)ี ๑๐/๑๑๖/๑๔๖, ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๑๖/ ๑๒๓, องฺ.จตกุ ฺก.(บาล)ี ๒๑/๑๘๑/๒๓๐, องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๘๑/๑๙๖ ๖๒ David J. Kalupahana, Buddhist Philosophy : A Historical Analysis, (Honoluu : The University Press of Hawaii), p. 94. ๖๓ นกิ ายในความหมายน้ีคอื กลมุ่ หรอื หมวดของพระธรรมวนิ ยั ไมใ่ ช่นิกายในความหมายวา่ กลมุ่ สาวกทแ่ี ยกเป็นคณะหน่ึงในพระพทุ ธศาสนา ๖๔ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๔๙๖, ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๑/๒๓ ๖๕ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๖๒๙, ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๑/๒๓ ๖๖ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๖๐๙, ข.ุ ส.ุ อ. (บาล)ี ๒/๑๕๑, ข.ุ ปฏ.ิ อ. ๒/๑๐๐ ๖๗ ว.ิ อ. (บาล)ี ๒/๓๖๙, องฺ.ตกิ .อ. ๒/๑๖๒ ๖๘ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๔๐,๔๓,๔๙,๖๒ ๖๙ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๙. เป็นตน้ ๗๐พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๑, (กรุงเทพฯ : สหธรรมมกิ , ๒๕๔๙), หนา้ ๑.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ท่นี กั ปราชญย์ ุคหลงั ไดร้ วบรวมและนิพนธข์ ้นึ มา จากขอ้ มูลท่กี ล่าวมาขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ ่าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท มี พฒั นาการการใชค้ าเรียกคาสอนของพระพทุ ธเจา้ มาตามลาดบั เร่มิ ตงั้ แต่คมั ภรี ช์ น้ั เดิมและพฒั นามาถงึ คมั ภีรร์ ุ่นหลงั ๆ อนั เป็นประโยชนใ์ นการจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๗.๔ เกณฑใ์ นการจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท เกณฑก์ ารจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเรยี งตามลาดบั ความสาคญั ดงั น้ี พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า อนุฎกี า คนั ถนั ตระ และ ปกรณว์ เิ สส ดงั มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๗.๔.๑ ลาดบั คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา ๑. คมั ภรี ด์ ง้ั เดิมคอื บาลี เดมิ พระพทุ ธพจนอ์ ยู่ในลกั ษณะการจาแลว้ บอกกนั ต่อๆ มา เมอ่ื มกี ารจารึกลงใน ใบลานจงึ เกดิ คมั ภรี ข์ ้นึ เป็นครง้ั แรก เรยี กว่ากนั ว่าบาลพี ระไตรปิฎกซ่งึ เรียกว่าคมั ภรี ด์ ง้ั เดิม (Original Pali) หรือบาง ทเี รยี กว่า บาลพี ทุ ธวจนะ (Canon) ๒. อรรถกถา หรอื วรรณนา (Commentaries) เป็นคมั ภรอ์ ธิบายหรอื ขยายความพระไตรปิฎก เป็น หลกั ฐานชน้ั ๒ ซง่ึ มที งั้ อรรถกถาพระวนิ ยั ปิฎก อรรถกถาพระสุตตนั ตปิฎก และอรรถกถาพระอภธิ รรมปิฎก อรรถ กถาพระสุตตนั ตปิฎก และอรรถกถาพระอภธิ รรมปิฎก ทอ่ี ธบิ ายต่อเน่ืองกนั จนตลอดกม็ ี ทอ่ี ธบิ ายเฉพาะคมั ภรี ๆ์ กม็ ี เช่น สมนั ตปาสาทกิ า อรรถกถา พระวนิ ยั สุมงั คลวลิ าสนิ ี ” ทฆี นิกาย ปปญั จสูทนี ” มชั ฌิมนิกาย สารตั ถปกาสนิ ี ” สยุตตนิกาย มโนรถปูรณี ” องั คุตตรนิกาย ปรมตั ถโชตกิ า ” ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทฏั ฐกถา ” ขทุ ทกนิกาย ปรมตั ถทปี นี ” ขทุ ทกนิกาย ชาตกฏั ฐกถา ” ขทุ ทกนิกาย สทั ธมั มปชั โชตกิ า ” ขทุ ทกนิกาย สทั ธมั มปกาสนิ ี ” ขทุ ทกนิกาย วสิ ุทธชนวลิ าสนิ ี ” ขทุ ทกนิกาย มธุรตั ถวลิ าสนิ ี ” ขทุ ทกนิกาย อฏั ฐสาลนิ ี ” ธมั มสงั คณี สมั โมหวโิ นทนี ” วภิ งั ค์ ปญั จปกรณฏั ฐกถา หรอื ปรมตั ถ ” ธาตกุ ถาปฏั ฐาน

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ทปี นี ๓. ฎกี า (Sub-commentaries) เป็นคมั ภรอี ธบิ ายเพม่ิ เตมิ อรรถกถาอีกชนั้ หน่ึง เป็นหลกั ฐานชนั้ ๓ ตวั อยา่ งเช่น อธบิ ายสมนั ตปาสาทกิ า เรยี กว่า ฎกี าสารตั ถทปี นี ฎกี าอธิบาย พระอภธิ รรม เรียกว่า อภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ี ๔. อนุฎกี า (Sub-sub-commentaries) เป็นคมั ภรี อ์ ธิบายเพม่ิ เตมิ ฎกี า เรยี กว่า เป็นหลกั ฐานชนั้ ๔ เช่น อนุฎกี าวมิ ตวิ โิ นทนี ของพระวนิ ยั เป็นตน้ ๕. สทั ทาวิเสส เป็นยงั มีคมั ภีรท์ ่แี ต่งข้นึ ว่าดว้ ยกฎเกณฑท์ างไวยากรณ์บาลี อธิบายศพั ทต์ ่างๆ เป็นช่ือท่ี เรียกกนั ในวงการนกั ปราชญบ์ าลฝี ่ ายไทย ดงั ปรากฏในพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาว่า เมอ่ื ทาสงั คายนาใน รชั กาลท่ี ๑ กรุงรตั นโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๓๑ เพ่อื ชาระพระไตรปิฎกนนั้ ไดม้ กี ารชาระคมั ภรี ก์ ลุ่ม สทั ทาวิเสส ต่างๆ ดว้ ย โดยมพี ระพฒุ าจารย์ เป็นแม่กอง เช่นมลู กจั จายนปกรณ์ รูปสทิ ธธิ าตปุ ทปี ิกา อภธิ านปั ปทปี ิกา และสูจิ เป็นตน้ การจดั ลาดบั ชนั้ ของคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา ยดึ กาลเวลาเป็นเกณฑ์ เช่น บาลคี ือพระไตรปิฎก เป็นส่งิ ท่มี ี มาก่อน คือมมี าตงั้ แต่ครง้ั พทุ ธกาล จึงจดั เป็นหลกั ฐานสาคญั ชน้ั ทห่ี น่ึง อรรถกถา คือคมั ภรี อ์ ธบิ ายบาลหี รืออธบิ าย ความในพระไตรปิฎก ซ่งึ มามขี ้นึ อย่างเป็นรูปธรรมเมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๙๕๖ จึงนบั เป็นหลกั ฐานสาคญั ชน้ั ทส่ี อง ฎกี า คือคมั ภีรอ์ ธิบายอรรถกถาหรือขยายความต่อจากอรรถกถา ไดเ้ กิดข้นึ มาเม่อื ประมาณ พ.ศ. ๑๕๘๗ จึงนบั เป็น หลกั ฐานสาคญั ชน้ั ท่สี าม และอนุฎกี า เป็นคมั ภรี อ์ ธิบายขยายความของฎกี าอีกทอดหน่ึง จงึ นบั เป็นหลกั ฐานสาคญั เป็นลาดบั ทส่ี ๗่ี ๑ อาจารยส์ ุชีพ ปุญญานุภาพไดต้ งั้ ขอ้ สงั เกตไวว้ ่า “แมพ้ ระไตรปิฎกจะเป็นหลกั ฐานชน้ั ๑ เม่อื พิจารณาตาม หลกั พทุ ธภาษติ ในกาลามสูตร ท่านไมใ่ หต้ ิดจนเกินไป ดงั คาว่า “มาปิ ฎกสมปฺ ทาเนน” อย่าถอื โดยอา้ งตาราเพราะอาจ ผดิ พลาดตกหล่นหรือบางตอนอาจเพ่มิ เติมข้นึ แสดงว่า พระพทุ ธศาสนาสอนใหใ้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาเหตผุ ลสอบสวนดู ใหเ้ ห็นประจกั ษแ์ ก่ใจตนเอง เป็นการสอนอย่างมนี า้ ใจกวา้ งขวางและใหเ้ สรีภาพแก่ผูน้ บั ถอื พระพุทธศาสนาอย่าง เต็มท่นี อกจากนนั้ ยงั เป็นการยนื ยนั ใหน้ าไปประพฤติปฏิบตั ิ เพ่อื ไดป้ ระจกั ษผ์ ลนนั้ ๆดว้ ยตนเองแมจ้ ะมพี ระพทุ ธ ภาษติ เตอื นไวม้ ใิ หต้ ดิ ตาราจนเกนิ ไปแต่จาเป็นตอ้ งรกั ษาตาราไว้ เพอ่ื เป็นแนวทางแห่งการศึกษาเพราะถา้ ไม่มตี าราเลย จะยง่ิ ซา้ รา้ ย ดว้ ยไมม่ แี นวทางใหร้ ูจ้ กั พระพทุ ธศาสนาเลยฉะนน้ั การศึกษาใหร้ ูแ้ ละเขา้ ใจในพระไตรปิฎกจึงเป็นลาดบั แรก เรียกว่า ปริยตั ิการลงมอื ทาตามโดยควรแก่จิตอธั ยาศยั เรียกว่า ปฏิบตั ิการไดร้ บั ผลแห่งการปฏิบัตินนั้ ๆ เรยี กวา่ ปฏเิ วธ” ๗.๔.๒ เกณฑก์ ารจดั ลาดบั ตามความสาคญั การจดั ความสาคญั เป็นเกณฑท์ ่มี อี ยู่ ๔ ประการ๗๒คอื (๑) สูตร (๒) สุตตานุโลม (๓) อาจริยวาท และ (๔) อตั โนมตั ิ อรรถกถาพระวนิ ยั ปิฎกคอื สมนั ตปาสาทกิ าอธบิ ายความหมายเกณฑด์ งั กลา่ วไวด้ งั น้ี๗๓ ๗๑ สุชพี ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปิ ฎกฉบบั สาหรบั ประชาชน, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓), หนา้ ๑. ๗๒ ดูรายละเอยี ดใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๒๗๑-๒๗๖. สมนฺตปาสาทกิ า นาม วนิ ยฏฐฺ กถา (ปฐโม ภาโค) ๗๓ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๒๗๑-๒๗๒

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑) สูตร หมายถึงพระบาลตี ามท่ปี รากฏในพระไตรปิฎกทงั้ หมดท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิและแสดงไวห้ รือ ธรรมวนิ ยั ท่รี วบรวมไวใ้ นการทาสงั คายนา ๓ ครง้ั แรก๗๔ฉะนน้ั หากมกี ารอธิบายความเก่ียวกบั พระธรรมวินยั และ เป็นเร่ืองทอ่ี ยู่ในขอบข่ายบาลที ป่ี รากฏในพระไตรปิฎกใหพ้ ิจารณาวนิ ิจฉยั ตามเน้ือหาบาลใี นคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกเป็น หลกั ในประเด็นน้ี จึงจาเป็นตอ้ งอาศยั ความซ่อื ตรงต่อคมั ภรี เ์ ป็นประการสาคญั “สูตร” น้ีถอื ว่าเป็นเกณฑห์ ลกั ท่ี สาคญั กว่าขอ้ อ่นื ๆ ในการตรวจสอบความถกู ตอ้ งหากขอ้ อ่ืนๆ มคี วามขดั แยง้ กบั สูตรน้ี ถอื ว่าใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรถอื เอา เป็นประมาณและใหถ้ อื ว่าไม่ใช่ธรรมวนิ ยั ทถ่ี กู ตอ้ งในพระพทุ ธศาสนา ๒) สุตตานุโลม หมายถงึ หลกั มหาปเทส๔สาหรบั ใชเ้ป็นขอ้ อา้ งหรือเกณฑใ์ นการวนิ ิจฉยั เร่อื งราวทเ่ี กดิ ข้นึ ซง่ึ อยูน่ อกเหนือจากสูตรหรอื พระบาลใี นพระไตรปิฎกทงั้ หมดคือ (๑) ส่ิงใดท่ีมไิ ดท้ รงหา้ มไวว้ ่า “ไม่ควร” หากเขา้ กนั ไดก้ บั ส่ิงท่ีไม่ควร (อกปั ปิยะ) ขดั กนั กบั ส่ิงท่ีควร (กปั ปิยะ) สง่ิ นนั้ “ไมค่ วร” (๒) สง่ิ ใดทม่ี ไิ ดท้ รงหา้ มไวว้ ่า “ไมค่ วร” หากเขา้ กนั ไดก้ บั สง่ิ ทค่ี วร ขดั กนั กบั สง่ิ ทไ่ี มค่ วร สง่ิ นนั้ “ควร” (๓) สง่ิ ใดทม่ี ไิ ดท้ รงอนุญาตไวว้ า่ “ควร” หากเขา้ กนั ไดก้ บั สง่ิ ทไ่ี มค่ วร ขดั กนั กบั สง่ิ ทค่ี วร สง่ิ นนั้ “ไมค่ วร” (๔) สง่ิ ใดทม่ี ไิ ดท้ รงอนุญาตไวว้ ่า “ควร” หากเขา้ กนั ไดก้ บั สง่ิ ทค่ี วร ขดั กนั กบั สง่ิ ทไ่ี มค่ วร สง่ิ นนั้ “ควร”๗๕ ๓) อาจริยวาท หมายถงึ แบบอรรถกถาเรยี บเรียงข้นึ เป็นเคร่อื งมอื ช่วยวนิ ิจฉยั เร่อื งราวท่มี านอกพระบาลี โดยเฉพาะคมั ภรี ท์ พ่ี ระอรหนั ต์ ๕๐๐ องคอ์ นั มพี ระมหากสั สปเถระเป็นตน้ เป็นประธาน รวบรวมข้นึ ในสงั คายนาครง้ั ทห่ี น่ึง ๔) อตั โนมตั ิ หมายถงึ ความเหน็ นอกเหนือจากสูตร สุตตานุโลม และอาจริยวาท เป็นแนวทางอธิบายดว้ ย การอนุมาน ตามความรูค้ วามเขา้ ใจของผูร้ ูแ้ ต่ละคน จะดว้ ยการมงุ่ เอานยั สาคญั หรอื มงุ่ เอาแต่ใจความกต็ าม พระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดว้ างหลกั การอธบิ ายความพระธรรมวนิ ยั เป็นชน้ั ๆ ตามลาดบั ความ สาคญั ของแต่ ละหมวดแต่ละสกิ ขาบทดงั กลา่ ว ขอ้ น้ีช้ใี หเ้หน็ ว่าในพระพทุ ธศาสนาไดม้ กี ารอธิบายความพระธรรมวนิ ยั มาโดยตลอด แสดงใหเ้ ห็นถึงแนวทางหลกั เกณฑแ์ ละหลกั การอธิบายความท่ีจะใหน้ า้ หนกั ความถูกตอ้ งและความน่าเช่ือถือไม่ เท่ากนั ในทน่ี ้ีถือว่า “สูตร” คือกรอบใหญ่สุดในการวนิ ิจฉยั การอธยิ ายความดา้ นพระธรรมวนิ ยั ทงั้ หมด ทง้ั น้ี ดว้ ย พระปรชี าญาณของพระพทุ ธเจา้ ทรงเลง็ เหน็ เหตกุ ารณใ์ นอนาคตว่าจะมเี หตุการณ์อยู่นอกเหนือจากท่พี ระองคบ์ ญั ญตั ิ และแสดงไวท้ งั้ ท่ีเป็นขอ้ หา้ มและขอ้ อนุญาตดงั นน้ั จึงทรงไดม้ ีพุทธานุญาตหลกั การอธิบายความเพ่ือเป็นเกณฑ์ วินิจฉยั เอาไวเ้ ป็นท่รี ูจ้ กั กนั ดีในช่ือว่ามหาปเทส ๔ หรือสุตตานุโลมหลกั มหาปเทสดงั กล่าว จึงกลายเป็นเคร่ืองมอื สาคญั ในการตรวจสอบการอธบิ ายความพระธรรมวนิ ยั สบื มา หากมกี รณีท่นี อกเหนือจากพระธรรมวนิ ยั บญั ญตั ิ อีก ทงั้ ยงั ใชเ้ป็นเกณฑต์ รวจสอบอรรถกถาหรอื อาจรยิ วาท และอตั โนมตั ิอีกชน้ั หน่ึง แมจ้ ะมหี ลกั มหาปเทสน้ี เป็นเคร่อื ง วนิ ิจฉยั แลว้ ก็ตาม ยงั คงตอ้ งตรวจสอบกบั สูตรหรือพระไตรปิฎกทงั้ หมดเป็นขน้ั ตอนสุดทา้ ยหากการอธิบายความ พระธรรมวนิ ยั ตามหลกั การทง้ั ๔ นน้ั ขดั แยง้ กนั ใหถ้ อื เอาตามสูตรเป็นหลกั ถอื ว่าขอ้ ความตามท่ปี รากฏในสูตรเป็น ๗๔ ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๒๘๐ ๗๕ ว.ิ ม.(บาล)ี ๕/๙๒/๑๓๑-๑๓๒, ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๙๒/๑๐๔.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ความถูกตอ้ งท่สี ุด๗๖ การจาแนกแนวทางหลกั เกณฑแ์ ละหลกั การอธิบายความพระธรรมวนิ ยั ออกเป็น ๔ ประการ ดงั กล่าวแสดงใหเ้ ห็นว่าพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นมนุษยนิยมเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ๑๒๒ เปิดโอกาสใหม้ ีการ อธบิ ายความอย่างอสิ ระอย่างมเี หตุผล แต่ใหอ้ ยู่ภายใตเ้ง่อื นไขดงั กล่าววธิ ีการอธบิ ายความอาจมไี ดห้ ลากหลาย แต่ ประเด็นสาคญั ท่ีสุดอยู่ท่ีเน้ือความตอ้ งมีสาระตรงกนั เป็นความจริง ความถูกตอ้ ง และความดีงาม และให้ คุณประโยชน์แก่ผูเ้ ก่ียวขอ้ งทุกฝ่ าย ดงั นน้ั การอธิบายความ ลกั ษณะน้ีมีปญั หาเกิดข้ึนอยู่บา้ ง คือคมั ภีรท์ าง พระพทุ ธศาสนามจี านวนมากประกอบกบั ผูร้ ูค้ มั ภีรอ์ ย่างชา่ ชองมนี อ้ ย จึงยากท่จี ะตรวจสอบความถูกตอ้ งของการ อธบิ ายความแบบอาจรยิ วาทหรอื อตั โนมตั ิ เพราะแมจ้ ะใหต้ รวจสอบไดก้ บั มหาปเทศ ๔ ทเ่ี ปิดกวา้ งสาหรบั การอธิบาย ความและเป็นเกณฑก์ ารตรวจ สอบไปในตวั ดว้ ยกต็ าม แต่ทา้ ยท่สี ุดแลว้ ตอ้ งตรวจสอบกบั สูตรหรือตวั พระไตรปิฎก ทง้ั หมดโดยเฉพาะอย่างย่ิง การอา้ งถงึ หลกั มหาปเทส ท่เี ป็นเพยี งแต่อา้ งหลกั ใหญ่ใจความเท่านน้ั แต่ไม่ไดใ้ ชเ้ ป็น กรอบในการอธิบายความ เพราะส่งิ ท่คี วรหรือไม่ควรนนั้ มีความสมั พนั ธก์ บั สู ตรหรือพระไตรปิฎกทง้ั หมด ฉะนน้ั ความยากจึงข้นึ อยู่กบั จานวนของคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาดว้ ย ทง้ั ยงั ตอ้ งอาศยั ผูร้ ูท้ ่แี ตกฉานคมั ภรี อ์ ีกดว้ ย และ เมอ่ื คมั ภรี ม์ จี านวนมากเช่นน้ี จงึ จาเป็นตอ้ งใชเ้วลามากในการศึกษาคน้ ควา้ เพอ่ื ตรวจสอบ โดยสรุปแลว้ จะเห็นว่าหลกั การตรวจสอบสอบสวนท่ีเรียกว่ามหาปเทสดงั กล่าวนนั้ เป็นทง้ั รูปแบบการ อธิบายความและเป็นทง้ั เกณฑว์ ินิจฉยั การอธิบายความไปในตวั มสี าระสาคญั คืออย่าเพ่งิ ยดึ มนั่ ในสง่ิ ท่แี สดงนน้ั ว่า “ถูกตอ้ ง” โดยท่ียงั ไม่ไดต้ รวจสอบตามหลกั มหาปเทสตามลาดบั ก่อน เร่ิมจากอตั โนมตั ิ ซ่งึ ถือว่ามีนา้ หนกั ความ น่าเช่อื ถอื นอ้ ยทส่ี ุด ใหต้ รวจสอบอตั โนมตั ิน้ีกบั อา จรยิ วาท ถา้ ไม่ขดั กนั ถอื ว่าควรรบั ฟงั และเช่อื ถอื ได้ อาจริยวาท เองนน้ั ควรตรวจสอบดูกบั สุตตานุโลม หากตรงกนั จงึ ควรรบั ฟงั และเช่อื ถอื ได้ หากขดั แยง้ กนั ใหย้ ดึ ถอื เอาสุตตานุโลม เป็นเกณฑ์ และทา้ ยท่สี ุดแมส้ ุตตานุโลมตอ้ งตรวจ สอบดูกบั สูตรดว้ ยเช่นกนั และใหถ้ อื ความถูกตอ้ งโดยยดึ เอาสูตร เป็นเกณฑ์ เพราะเช่อื กนั ว่า สูตรนนั้ เปรียบเหมอื นเวลาท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงพระชนมอ์ ยู่และเหมอื นสงฆผ์ ูท้ าสงั คายนา พระธรรมวนิ ยั จงึ คดั คา้ นไมไ่ ด้ หากคดั คา้ นสูตรดงั กลา่ วถอื วา่ เป็นการคดั คา้ นพระพทุ ธเจา้ ดว้ ย๗๗ ๗.๔.๓ เกณฑก์ ารจดั ลาดบั ตามเน้ือหา คมั ภีร์หรือตาราในพระพุทธศาสนาเถรวาท มีเป็นจานวนมาก จึงมีการจดั ลาดบั เน้ือหาตามยุคและ ความสาคญั ของคมั ภรี ต์ ามทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ โดยไดจ้ ดั เน้ือหาเป็นลาดบั ดงั น้ี คมั ภรี พ์ ระไตรปิ ฎก พระไตรปิฎกของดงั่ เดิมนนั้ เป็นภาษาบาลเี รยี กว่าเป็นฉบบั เถรวาทเพราะสบื ต่อกนั มา ตงั้ แต่พระสาวกทท่ี นั เหน็ ทนั ฟงั พระพทุ ธเจา้ จานวน ๕๐๐ องคป์ ระชมุ กนั รวบรวมพระธรรมวนิ ยั เรยี กว่าสงั คายนาพระ ธรรมวนิ ยั ๗๘ พระไตรปิฎกแบง่ เป็น ๓ หมวดมคี วามหมายดงั น้ี ๑. พระวนิ ัยปิฎก หมายถงึ ปาตโิ มกข๒์ คอื ภกิ ขุปาตโิ มกขแ์ ละภกิ ขุนีปาติโมกขว์ ่าดว้ ยเร่อื งศีลของภกิ ษุและ ภกิ ษุณี๗๙ ในหมวดน้ีมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ*์ ๗๖ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๒๗๒-๒๗๓. ๗๗ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๒๗๒-๒๗๕., ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๘๘/๑๗๒ ๗๘พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), ภยั แหง่ พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ หธรรมมกิ , ๒๕๔๕), หนา้ ๖๓.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๒. พระสุตตนั ตปิ ฎก หมายถึงพระธรรมเทศนาคาบรรยายหรืออธิบายธรรมต่างๆท่ีตรสั ใหเ้ หมาะสมกบั บุคคลและโอกาสตลอดจนบทประพนั ธเ์ ร่ืองเล่าและเร่ืองราวทง้ั หลาย ท่เี ป็นชน้ั เดิมในพระพุทธศาสนา๘๐หมวดน้ีมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ๓. พระอภธิ รรมปิ ฎก หมายถงึ ธรรมอนั ย่งิ และวเิ ศษเมอ่ื ว่าโดยองคธ์ รรมปรมตั ถแ์ ลว้ เป็นเร่อื งท่วี ่าดว้ ยจติ เจตสกิ รูปนิพพานหมวดน้ีมี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ๘์ ๑ รวมทงั้ ส้นิ เป็นจานวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธป์ ิฎกทง้ั ๓น้ีไดจ้ ารึกอกั ษรแลว้ คดั ลอกถ่ายทอดต่อๆกนั มา เป็นอกั ษรของแต่ละประเทศแต่ละขอ้ ความก็เป็นภาษาบาลพี ระไตรปิฎกฉบบั ภาษาไทยเป็นคมั ภรี ์ ๔๕ เลม่ โดยถอื คติ ตรงกบั พระพทุ ธเจา้ บาเพญ็ พทุ ธกจิ ๔๕ ปีเป็นนิมติ หมายเพ่อื ระลกึ ถงึ พระคุณทงั้ ๓ ของพระพทุ ธเจา้ ในหนงั สอื ๔๕ เลม่ น้ีแบง่ ตามปิฎกดงั น้ี - เลม่ ท่ี ๑ ถงึ เลม่ ท่ี ๘ รวม ๘ เลม่ เป็นพระวนิ ยั ปิฎก - เลม่ ท่ี ๙ ถงึ เลม่ ท่ี ๓๓ รวม ๒๕ เลม่ เป็นพระสุตตนั ตปิฎก - เลม่ ท่ี ๓๔ ถงึ เลม่ ท่ี ๔๕ รวม ๑๒ เลม่ เป็นพระอภธิ รรมปิฎก๘๒ พระวนิ ยั ปิฎกคอื ๘๓ ๑. ภกิ ขุวิภงั ค์ ว่าดว้ ยตน้ บญั ญตั ิสิกขาบทใหญ่นอ้ ยซ่งึ พระพทุ ธองคบ์ ญั ญตั ิแก่คณะภกิ ษุสงฆส์ ิกขาบทว่า ดว้ ยเรอ่ื งปาราชกิ เป็นตน้ มจี านวน ๒ เลม่ ๒. ภกิ ขุนีวภิ งั ค์ วา่ ดว้ ยวนิ ยั ของภกิ ษุณี ๓๑๑ ขอ้ ม๑ี เลม่ ๓. มหาวรรค ว่าดว้ ยขนั ธกะต่างๆเช่นมหาขนั ธกะเป็นตน้ มี ๑๐ขั นธกะแบง่ เป็น๒เลม่ ๔. จุลลวรรค วา่ ดว้ ยขนั ธกะต่างๆตงั้ แต่ขนั ธกะท่ี ๑๑-๑๒ ว่าดว้ ยวตั รและขนั ธกะมี ๒เลม่ ๕. ปรวิ าร วา่ ดว้ ยคาถามและคาตอบพระวนิ ยั โดยยอ่ ๆ ทกุ วภิ งั คแ์ ละขนั ธกวภิ งั คม์ ี ๑เลม่ พระสุตตนั ตปิฎก ๑. ทีฆนิกาย รวบรวมพระสูตรซ่งึ มขี อ้ ความยืดยาว ๓๔ สูตรแบ่ง ๓ วรรคคือ สีลขนั ธวรรค มหาวรรค ปาฏกิ วรรคมี ๓ เลม่ ๗๙ ดูรายละเอยี ดใน คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระวนิ ยั ปิ ฎก, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๑๐-๑๑ *ธรรมขนั ธ์ หมายถงึ กองธรรม, หมวดธรรม, กาหนดหมวดธรรมในพระไตรปิฎกวา่ มี ๘๔,๐๐๐พระธรรมขนั ธ์ ; วธิ คี านวณนบั พระธรรมขนั ธ์ มปี รากฏอยู่ในปฐมสมนั ตปาสาทกิ าในหนงั สอื มมุ สวา่ งของพนั เอกป่ินมทุ ุกนั ตส์ าแดงความวา่ คาวา่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธเ์ ป็นเพยี ง Idiom ทางภาษา เหมอื นอย่างคาวา่ โจรหา้ รอ้ ยเป็นตน้ ๘๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต),พระไตรปิ ฎกส่งิ ท่ชี าวพทุ ธตอ้ งรู,้ (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๕๐), หนา้ ๓๖. ๘๑ พระอภธิ รรมปิฎก , คณาจารยม์ หาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๑๗-๑๘. ๘๒ เสนาะผดงุ ฉตั ร, ความรูเ้ บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั วรรณคดี, (กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒), หนา้ ๒๘-๒๙ ๘๓ พระสธุ วี รญาณ (ณรงค์ จติ ฺตโสภโณ), พทุ ธศาสตรปริทรรศน์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑), หนา้ ๖๖-๖๗

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๑๙ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๒. มชั ฌิมนิกาย รวบรวมพระสูตรซ่งึ มขี อ้ ความปานกลางไมย่ าวจนเกินไปนกั จานวน๑๕๒ สูตรแบง่ เป็น ๓ ปณั ณาสกค์ อื มลู ปณั ณาสกม์ ชั ฌมิ ปณั ณาสกอ์ ปุ รปิ ณั ณาสกม์ ี ๓ เลม่ ๓. สงั ยตุ ตนิกาย รวบรวมพระสูตรและขอ้ ธรรมทส่ี าคญั เป็นหมวดหมมู่ เี น้ือความสนั้ ๆ จานวน ๗,๗๖๒ สูตรแบง่ เป็น ๕ วรรคคือ สคาถวรรคนิทานวรรค ขนั ธวารวรรค สฬายตนวรรค มหาวรรคมี ๕ เลม่ ๔. องั คุตตรนิกาย รวบรวมขอ้ ธรรมท่เี ป็นจานวน ๑ ถงึ ๑๑ หมวดคือ เอกนิบาต ทุกนิบาต ติกนิบาต จตุ กกนิบาต ปญั จกนิบาต ฉกั กนิบาต สตั ตกนิบาต อฏั ฐกนิบาต นวกนิบาต ทสกนิบาต เอกทสนิบาต มพี ระสูตรถึ ง๙ ,๕๕๗ สูตรมี ๕ เลม่ ๕. ขุททกนิกาย รวบรวมพระสูตรเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ยาวบา้ งสน้ั บา้ งและกล่าวดว้ ยเร่อื งราวต่างๆของพระพทุ ธเจา้ พระสาวกฯลฯน่าอ่านน่าศึกษามอี รรถรสไพเราะและบางแห่งก็มธี รรมะลกึ ซ้งึ ว่าดว้ ยหลกั ปรมตั ถแ์ บ่งเป็น ๑๕ คมั ภรี ์ คือขุททกปาฐะธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต วิมานวตั ถุ เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาตกะ นิทเทส ปฏสิ มั ภทิ ามรร คอปทานพทุ ธวงั สะจริยาปิฎกมี ๙ เลม่ พระอภธิ รรมปิฎก ๑. สงั คณี วา่ ดว้ ยเร่อื งกศุ ลธรรม อกศุ ลธรรม อพั ยากตธรรมและจิตในภมู ติ ่างๆ โดยพสิ ดารมี ๑ เลม่ ๒. วภิ งั ค์ วา่ ดว้ ยเร่อื ง ขนั ธ์ ธาตุ อายตนะ อรยิ สจั จอ์ นิ ทรยี ์ ปฏจิ จสมทุ ปปาท สติปฎั ฐาน สมั มปั ปธานฯลฯ ธรรมหทยั รวม ๑๘ วภิ งั คม์ ี ๑ เลม่ ๓. ธาตกุ ถา ว่าดว้ ยธรรมท่สี งเคราะหก์ นั ไดแ้ ละสงเคราะหก์ นั ไมไ่ ดธ้ รรมท่สี มั ปโยคและธรรมท่วี ปิ โยคฯลฯ มคี ร่งึ เลม่ ๔. ปุคคลบญั ญตั ิ ว่าดว้ ยบญั ญตั ิประเภทแห่งธรรมมี ขนั ธ์ บญั ญตั ิ อายตนะ บญั ญตั ิเป็นตน้ และว่าดว้ ย บญั ญตั ิประเภทแห่งบุคคลเช่นสมยวมิ ตุ ตบุคคล อสมยวิมตุ ตบุคคลฯลฯสมสีสบี ุคคล ฐิตกปั ปิบคุ คลเป็นตน้ มคี ร่ึง เลม่ ๕. กถาวตั ถุ ว่าดว้ ยเร่อื งขอ้ โตแ้ ยง้ บคุ คลวสิ ชั นาระหว่างนิกายต่างๆ กบั ฝ่ายเถรวาทรวม ๒๓๐ กถาเร่มิ ดว้ ย ปคุ คลกถาของนิกายวชั ชีบุตรและนิกายสมติ ยิ ะเป็นตน้ มี ๑ เลม่ ๖. ยมก ว่าดว้ ยธรรมทเ่ี ป็นคู่มี ๑๐ ยมกคือมลู ยมกขนั ธยมก อายตนยมก ธาตยุ มก สจั จยมก สงั ขารยมก อนุ สัยยมก จิตตยมก อินทรียมก แต่ งเป็ นรู ปปุจฉาวิสัจชนาเช่ นในมูลยมกปุจฉา ว่ า “เยเกจิ กสุ ลาธมมฺ า สพฺเพ เต กสุ ลมลู า” บรรดาธรรมทง้ั หลายเหลา่ ใดเหลา่ หน่ึงท่เี ป็นกศุ ลธรรม ธรรมทงั้ หลายเหล่านนั้ ทงั้ ปวงเป็นมูลรากแห่งกุศลทง้ั ส้ินทุกส่ิงหรือ? วิสชั นาว่า “ตีเณว กุสลามูลานิ” มูลรากแห่งกุศล ๓ อย่าง คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เท่านนั้ เป็นกุศลมลู “อวเสสา กุสลา ธมฺมา” ธรรมท่เี หลอื ทง้ั หลายมผี สั สะเป็นตน้ เป็นแต่ กศุ ลธรรม เพราะเกดิ ดว้ ยกศุ ลจติ ธรรมทงั้ หลายมผี สั สะเป็นตน้ นน้ั เป็นแต่กศุ ลธรรมไมเ่ ป็นมลู แหง่ กุศลฯมี ๒ เลม่ ปจุ ฉาว่า“เยวาปน กสุ ลมลู า สพฺเพ เต ธมฺมา กสุ ลา”อน่ึงธรรมทงั้ หลายเลา่ ใดท่เี ป็นกุศลมลู ธรรมทง้ั หลาย เหลา่ นนั้ เป็นกุศลทง้ั ส้นิ หรือ? วสิ ชั นาว่า “อามนฺตา” ถกู แลว้ ธรรมเหลา่ ใดท่เี ป็นกุศลมลู ธรรมเหลา่ นนั้ เป็นกุศลทงั้ ส้นิ ขา้ พเจา้ อยากกลา่ ววา่ ยมกปกรณน์ ้ีเป็นตรรกวทิ ยาโดยตรงทเี ดยี ว

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๗. ปฏั ฐาน ว่าดว้ ยปจั จยั ๒๔ ประการคือเหตุปจั จยั อารมั มณปจั จยั อธปิ ติปจั จยั อนนั ตรปจั จยั สมนั ตร ปัจจัย สหชาตปัจจั อัญญมญั ญปัจจัย นิสสยปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาเสวนปจั จยั กมั มปจั จยั วิปากปจั จยั อาหารปจั จยั อินทรีปจั จยั ฌานปจั จยั มคั คปจั จยั สมั ปยุตตปจั จยั วปิ ปยุตตปจั จยั อตั ถปิ จั จยั นตั ถปิ จั จยั วคิ ตปจั จยั อวคิ ตปจั จยั ม๖ี เลม่ ทง้ั ยมกและปฏั ฐาน ๒ ปกรณน์ ้ีมอี รรถอนั ล้ลี บั ลกึ ซ้งึ ยากท่จี ะเขา้ ใจยากท่จี ะศึกษาผูศ้ ึกษาตอ้ งใชค้ วามเพยี ร มากจงึ จะเขา้ ถงึ อรรถรสอนั วจิ ติ รพสิ ดารของปกรณท์ งั้ สองได้ พระอภธิ รรมปิฎกน้ีกลา่ วกนั วา่ พระอนุรุทธาจารยใ์ นสงิ หลทวปี รวบรวมใจความทงั้ หมดลงเป็น๔อย่างคือจติ เจตสกิ รูปนิพพานซง่ึ เรยี กว่า “จ.ิ เจ. รุ. นิ.” และใหช้ ่อื คมั ภรี น์ น้ั วา่ อภธิ มั มตั ถสงั คหะ๘๔ คมั ภรี บ์ าลอี รรถกถา ตอนน้ีจะกล่าวถึงหนงั สือบาลีอรรถกถาวนิ ยั ปิฎกบาลอี รรถกถาสุตตนั ตปิฎกและบาลีอรรถกถาอภิธรรม ปิฎกซง่ึ ถอื วา่ เป็นคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาชน้ั ทส่ี อง คมั ภรี บ์ าลอี รรถกถาวนิ ัยปิฎก ๑. อรรถกถาวนิ ยั ปิฎกภาษาสงิ หฬสมยั โบราณตน้ ฉบบั อนั ตรธานแลว้ ๒. อรรถกถาวนิ ยั ปิฎกภาษาบาลสี มยั พระพทุ ธโฆษะและอรรถกถาอ่นื ๆ ๑. อรรถกถาวนิ ยั ปิฎกภาษาสงิ หลสมยั โบราณตน้ ฉบบั อนั ตรธานแลว้ มี ๖ คมั ภรี ค์ อื ๑) มหาอรรถกถา หรือมลู อรรถกถา (Mahaatthakatha or Mulaatthakatha) อรรถกถาคมั ภรี น์ ้ีเป็นของ พระสงฆค์ ณะมหาวหิ ารเมอื งอนุราธปุระประเทศศรลี งั กา ๒) มหาปจั จรอี รรถกถาคืออรรถกถาแพใหญ่ (Mahapaccariatthakatha) อรรถกถาคมั ภรี น์ ้ีแต่งบนแผน ทใ่ี ดทห่ี น่ึงในประเทศศรลี งั กา ๓) กรุ ุนทอี รรถกา (Kurundiatthakatha) อรรถกถาคมั ภรี น์ ้ีแต่งทก่ี รุงกรุ ุนทเี วฬวุ หิ ารในประเทศศรลี งั กา ๔) อนั ธกฏั ฐกถา (Andhakatthaktha) อรรถกถาภาษาอนั ธกะอรรถกถาคมั ภรี น์ ้ีท่านเขยี นไวใ้ นภาษาอนั ธ กะนาสบื ๆกนั มาทเ่ี มอื งกญั จปิ รุ ะหรอื ดอนเจวารามในอนิ เดยี ภาคใต้ ๕) สงั เขปปฏั ฐกถา (Samkhepatthaktha) อรรถกถายอ่ สนั นิษฐานว่าแต่งในอนิ เดยี ภาคใต้ ๖) วนิ ยั ฏฐกถา (Vinayatthakatha) ๒. อรรถกถาวนิ ยั ปิฎกภาษาบาลี สมยั พระพทุ ธโฆษะและพระอรรถกถาจารยอ์ ่นื ๆมอี ยูด่ ว้ ยกนั ๓ คมั ภรี ค์ อื ๑) สมนั ตปาสาทิกา (Samantapasadika) เรียกสนั้ ๆว่าสามนตแ์ กว้ ินยั ปิฎกทง้ั ๕คมั ภีรเ์ ป็นคมั ภีร์ท่ี ประมวลไวซ้ ่ึงประวตั ิศาสตรท์ างการเมืองทางศีลธรรมทางศาสนาและปรชั ญาของอินเดียโบราณพระพุทธโฆษะ (Buddhaghosa) แต่งทเ่ี มอื งอนุราธปรุ ะประเทศศรลี งั กาก่อนแต่งอรรถกถาพระสุตตนั ตปิฎก ๘๔ พระอมรมนุ ี (จบั ฐติ ธมโฺ ม ป.ธ. ๙), นาเท่ยี วพระไตรปิ ฎก, (กรุงเทพมหานคร : สภาการศกึ ษามหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๗), หนา้ ๙๖.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๑ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง คมั ภรี ส์ มนั ตปาสาทกิ าแต่งเมอ่ื ประมาณพ.ศ. ๙๒๗-๙๗๓ ในรชั สมยั พระเจา้ สริ นิ ิวาสะคือ พระเจา้ มหานาม ซง่ึ มพี ระนามอ่ืนอีกว่าพระเจา้ สริ กิ ูฏหรือพระสริ กิ ุฑฑะใชเ้ วลาแต่ง๑ปีจึงจบบริบูรณ์โดยคาอาราธนาของพระพทุ ธสริ ิ พระสงั ฆภณั ฑแ์ ปลเป็นภาษาจีนเมอ่ื พ.ศ. ๑๐๓๒ ๒) กงั ขาวติ รณีหรือมาตกิ ฏั ฐกถา (Kankhavitarani or Matikatthakatha) อรรถกถาปาติโมกขพ์ ระพทุ ธ โฆษะแต่งทศ่ี รลี งั กา ๓) วนิ ยั สงั คหฏั ฐกถาหรอื ปาลมิ ตุ ตกวนิ ยวนิ ิจฉยสงั คหะแกว้ นิ ยั ปิฎกโดยเอกเทศพระสารบี ุตรชาวลงั กาแต่ง ท่ีศรีลงั กาในรชั สมยั ของพระเจา้ ปรกั กมพาหุหรือปรากรมพาหุ ซ่ึงแปลว่าผูม้ ีแขนทรงอานาจใหญ่โตกวา้ งขวาง (Mighty Arm) (ปรากรมพาหอุ ่านวา่ ปะ–รา–กระ–มะ–พาห)ุ คมั ภรี บ์ าลอี รรถกถาสตุ ตนั ตปิฎก อรรถกถาสุตตนั ตปิฎกมี ๒ สมยั คือ ๑. อรรถกถาสุตตนั ตปิฎกภาษาสงิ หฬสมยั โบราณตน้ ฉบบั อนั ตรธานแลว้ ๒. อรรถกถาสุตตนั ตปิฎกภาษาบาลสี มยั พระพทุ ธโฆษะและพระอรรถกถาจารยอ์ ่นื ๆ ๑. อรรถกถาสตุ ตนั ตปิ ฎกภาษาสงิ หฬสมยั โบราณตน้ ฉบบั อนั ตรธานแลว้ ม๗ี คมั ภรี ค์ อื ๑) มหาอรรถกถาหรอื มลู อรรถกถา (Mahaatthakatha or Muiaatthakatha) ๒) สุตตนั ตฏั ฐกถาหรอื อรรถกถาพระสูตร (Suttantatthakatha) ๓) อาคมฏั ฐกถาอรรถกถานิกาย (Agamatthakatha) ๔) ทฆี ฏั ฐกถาอรรถกถาทฆี นิกาย (Dighatthakatha) ๕) มชั ฌมิ ฏั ฐกถาอรรถกถามชั ฌมิ นิกาย (Majjhimatthakatha) ๖) สงั ยุตตฏั ฐกถาอรรถกถาสงั ยุตตนิกาย (Samyuttatthakatha) ๗) องั คุตตรฏั ฐกถาอรรถกถาองั คุตตรนิกาย (Agguttaratthakatha) ๒. อรรถกถาสตุ ตนั ตปิ ฎกภาษาบาลี สมยั พระพทุ ธโฆษะและพระอรรถกถาจารยอ์ น่ื ๆ มี ๒๔ คมั ภรี ค์ ือ ๑) สุมงั คลวลิ าสนิ ีอรรถกถาทฆี นิกาย พระพทุ ธโฆษะ ผูแ้ ต่ง ๒) ปปญั จสูทนีอรรถกถามชั ฌมิ นิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๓) สารตั ถทปี นีอรรถกถาสงั ยุตตนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๔) มโนรถปูรณีอรรถกถาองั คุตตรนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๕) ปรมตั ถโชตกิ าอรรถกถาขทุ ทกปาฐะนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๖) ธมั มปทฏั ฐกถาอรรถกถาธรรมบทขทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๗) ปรมตั ถทปี นีอรรถกถาอุทานขทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๘) ปรมตั ถทปี นีอรรถกถาอติ วิ ุตตกะขทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๙) ปรมตั ถโชตกิ าอรรถกถาสุตตนิบาตขทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๑๐) ปรมตั ถทปี นีอรรถกถาวมิ านวตั ถขุ ทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๑๑) ปรมตั ถทปี นีอรรถกถาเปตวตั ถขุ ทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๑๒) ปรมตั ถทปี นีอรรถกถาเถรคาถาขทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๑๓) ปรมตั ถทปี นีอรรถกถาเถรคี าถาขทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๑๔) ชาตกฏั ฐกถาอรรถกถาชาดกขทุ ทกนิกาย ” ผูแ้ ต่ง ๑๕) สทั ธมั มโชตกิ าอรรถกถามหานิเทสและจูลนิเทสพระอปุ เสนาผูแ้ ต่ง ๑๖) สทั ธมั มปกาสนิ ีอรรถกถาปฏสิ มั ภิทามรรคขทุ ทกนิกายพระมหานามะผูแ้ ต่ง ๑๗) วสิ ุทธชนวลิ าสนิ ีอรรถกถาอปทานขทุ ทกนิกายไมท่ ราบนามผูแ้ ต่ง ๑๘) มธุรตั ถวลิ าสนิ ีอรรถกถาพทุ ธวงั สาขทุ ทกนิกายพระธรรมปาละผูแ้ ต่ง ๑๙) ปรมตั ถทปี นีอรรถกถาจรยิ าปิฎกขทุ ทกนิกายพระธรรมปาละผูแ้ ต่ง ๒๐) วสิ ุทธิมรรคปกรณ์วิเสสหรือวสิ ุทธิมรรคอรรถกถาเป็นอรรถกถาโดยปรยิ ายพระพุทธโฆษะเป็นผู้ แต่งท่ลี งั กาคมั ภรี ว์ สิ ุทธิมรรคเป็นหนงั สอื สารานุกรมแห่งคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาอุปมาเหมอื นจกั รวาลจาลอง เพราะสารตั ถะทบ่ี รรจไุ วใ้ นหนงั สอื นนั้ มขี อบเขตกวา้ งขวางเหมอื นจกั รวาล ๒๑) มงั คลตั ถทีปนี หรือมงั คลทีปนีนวฏั ฐกถามงั คลสูตรคือ อรรถกถามงั คลสูตร คมั ภีรใ์ หม่แก้ เฉพาะมงั คลสูตรพระสริ มิ งั คลาจารยพ์ ระมหาเถระชาวลา้ นนาเป็นผูแ้ ต่งท่เี ชยี งใหม่ ประเทศไทย ๒๒) เวสสนั ตรทีปนีหรอื เวสสนั ตรทปี นีนวฏั ฐกถาเวสสนั ตรชาดกแกเ้ ฉพาะเวสสนั ดรชาดกพระสิรมิ งั คลาจารยเ์ ป็นผูแ้ ต่งทเ่ี ชียงใหมป่ ระเทศไทย ๒๓) ญาโณทยั พระพทุ ธโฆษะเป็นผูแ้ ต่งตน้ ฉบบั อนั ตรธานแลว้ ๒๔) ปริตตฏั ฐกถาอรรถกถาพระไตรปิฎกฉบบั กะทดั รดั พระพุทธโฆษะเป็นผูแ้ ต่งตน้ ฉบบั อนั ตรธาน แลว้ คมั ภรี อ์ รรถกถาอภธิ รรมปิฎก อรรถกถาอภธิ รรมปิ ฎกมี ๒ สมยั คอื ๑. อรรถกถาอภธิ รรมปิฎกภาษาสงิ หล สมยั โบราณตน้ ฉบบั อนั ตรธานแลว้ ๒. อรรถกถาอภธิ รรมปิฎกภาษาบาลี สมยั พระพทุ ธโฆษะและพระอรรถกถาจารยอ์ ่นื ๆ ๑. อรรถกถาอภธิ รรมปิ ฎกภาษาสงิ หฬสมยั โบราณ ตน้ ฉบบั อนั ตรธานแลว้ ม๒ี คมั ภรี ์ คือ ๑) มหา อรรถกถาหรอื มลู อรรถกถาแกค้ รบทงั้ ๓ ปิฎก ๒) อภธิ มั มฏั ฐกถาอรรถกถาอภธิ รรม ๒. อรรถกถาอภธิ รรมปิ ฎกภาษาบาลี สมยั พทุ ธโฆษะและพระอรรถกถาจารยอ์ น่ื ๆ มี ๔ คมั ภรี ค์ ือ ๑) อฏั ฐสาลนิ ี หรอื อรรถกถาสงั คิณีปกรณ์ พระพทุ ธโฆษะเป็นผูแ้ ต่งทอ่ี นิ เดยี ก่อนไปอยู่ทศ่ี รลี งั กา ๒) สมั โมหวโิ นทนีอรรถกถา วภิ งั คปกรณ์ พระพทุ ธโฆษะเป็นผูแ้ ต่งทศ่ี รลี งั กา ๓) ปรมตั ถทปี นี หรอื ปญั จปกรณฏั ฐกถาอรรถกถาปกรณ์ ทงั้ ๕ คือธาตกุ ถา ปุคคลบญั ญตั ิ กถาวตั ถุ ยมกและปฏั ฐาน พระพทุ ธโฆษะเป็นผูแ้ ต่งทศ่ี รลี งั กา

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๔) อภธิ มั มฏั ฐสงั คหะอรรถกถาน้ิวกอ้ ยเป็นอรรถกถาโดยปริยายเป็นหนงั สอื ย่อชน้ั แบบฉบบั (Classic) เป็นเอกสารทางประวตั ิศาสตรข์ องโลกทม่ี รี ะดบั สูงมากพระอนุรุทธาจารย์ พระมหาเถระชาวอินเดยี เป็นผูแ้ ต่งท่ลี งั กา ประมาณพ.ศ. ๔๔๓ (คมั ภรี อ์ ภธิ มั มตั ถสงั คหะมอี ายุแก่กว่าครสิ ตศกั ราชประมาณ ๑๐๐ ปี) หมายเหต:ุ บญั ชรี ายช่อื อรรถกถาบาลนี ้ีแสดงใหเ้หน็ ว่ากว่าคร่งึ หน่ึงของคมั ภรี ด์ งั กลา่ วพระพทุ ธโฆษะเป็นผู้ แต่ง คมั ภรี บ์ าลฎี กี า หนงั สอื บาลฎี กี าไดแ้ ก่หนงั สอื บาลฎี กี าพระวนิ ยั บาลฎี กี าพระสูตรและบาลฎี กี าพระอภธิ รรม คมั ภรี บ์ าลฎี กี าพระวนิ ัย ๑. สารตั ถทปี นีฎกี าพระวนิ ยั เป็นฎกี าของสมนั ตปาสาทกิ า พระสารบี ตุ รชาวศรลี งั กาเป็นผูแ้ ต่ง ๒. วมิ ติวิโนทนีหรอื วมิ ตวิ โิ นทนีฎกี าฎกี าพระวนิ ยั อธิบายศพั ท์ [สทฺทาธปิ ฺปาโย] และประโยคในสมนั ตปา สาทกิ า พระมหากสั สปะแหง่ อุทมุ คีรวี หิ ารประเทศศรลี งั กาเป็นผูแ้ ต่ง ๓. วชิรพทุ ธิหรือวชิรพุทธิฎีกาฎกี าพระวนิ ยั เป็นฎกี าท่ีอธิบายศพั ทแ์ ละประโยคในสมนั ตปาสาทิกาพ ระวชริ พทุ ธเิ ป็นผูแ้ ต่ง ๔. วนิ ยตั ถมญั ชสุ าฎกี าปาตโิ มกข์ พระพทุ ธนาคาเป็นผูแ้ ต่ง ๕. สุมงั คลปกาสนิ ีฎกี าขทุ กสกิ ขา ๖. วนิ ยตั ถสารทปี นีฎกี าวนิ ยวนิ ิจฉยั สงั คหะ ๗. สนี ตั ถปกาสนาฎกี าอตุ รวนิ ยวนิ ิจฉยั พระเรวตะเป็นผูแ้ ต่งทเ่ี มอื งปะกนั ๘. วนิ ยวมิ ตจิ เฉทนีนวฎกี ามลู สกิ ขา ๙. อนุตตานทปี นีฎกี าปาลมิ ตุ ตวนิ ยวนิ ิจฉยั สงั คหะ ๑๐. วนิ ยาลงั การฎกี าปาลมิ ตุ ตกวนิ ยวนิ ิจฉยั สงั คหะพระตปิ ิฎกลงั การเถระเป็นผูแ้ ต่งท่ปี ระเทศพมา่ คมั ภรี บ์ าลฎี กี าพระสูตร ๑. ลนี ตั ถปกาสนาฎกี าทฆี นิกายพระธรรมปาละเป็นผูแ้ ต่ง ๒. ลนี ตั ถปกาสนิ ีฎกี ามชั ฌมิ นิกาย พระธรรมปาละเป็นผูแ้ ต่ง ๓. ลนี ตั ถปกาสนาฎกี าสงั ยุตนิกาย พระธรรมปาละเป็นผูแ้ ต่ง ๔. ลนี ตั ถปกาสนาฎกี านิบาตชาดก พระธรรมปาละเป็นผูแ้ ต่ง ๕. ปรมตั ถมญั ชูสามหาฎกี าวสิ ุทธิมรรค พระธรรมปาละเป็นผูแ้ ต่ง ๖. สงั เขปตั ถโชตนีจฬู ฎกี าวสิ ุทธมิ รรค พระธรรมปาละเป็นผูแ้ ต่ง ๗. ฎกี าสจั จสงั เขป ทา่ นอาจารยว์ าจสิ สระแต่งท่ศี รลี งั กา คมั ภรี บ์ าลฎี กี าพระอภธิ รรม ๑. ลนี ตั ถปกาสนิ ีมลู ฎกี าธรรมสงั คิณี พระอานนั ทาจารยแ์ ต่งทศ่ี รลี งั กา

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๒. ลนี ตั ปกาสนิ ีอนุฎกี าธรรมสงั คิณี ๓. สนี ตั ถโชตนามลู ฎกี าวภิ งั ค์ พระอานนั ทาจารยแ์ ต่งทศ่ี รลี งั กา ๔. สนี ตั ถปกาสนิ ีอนุฎกี าวภิ งั ค์ ๕. สนี ตั ถมลู โชตนามลู ฎกี าธาตกุ ถา พระอานนั ทาจารยแ์ ต่งทศ่ี รลี งั กา ๖. สนี ตั ถปกาสนิ ีอนุฎกี าธาตุกถา ๗. สนี ตั ถโชตนามลู ฎกี าปคุ คลบญั ญตั ิ พระอานนั ทาจารยแ์ ต่งทล่ี งั กา ๘. สนี ตั ถปกาสนิ ีอนุฎกี าปคุ คลบญั ญตั ิ ๙. ลนี ตั ถโชตนามลู ฎกี ากถาวตั ถุ พระอานนั ทาจายแ์ ต่งทล่ี งั กา ๑๐. ลนี ตั ถปกาสนิ ีอนุฎกี ากถาวตั ถุ ๑๑.ลนี ตั ถโชตนามลู ฎกี ายมก พระอานนั ทาจารยแ์ ต่งทล่ี งั กา ๑๒. ลนี ตั ถปกาสนิ ีอนุฎกี ายมก ๑๓. ลนี ตั ถโชตนามลู ฎกี าปฏั ฐาน พระอานนั ทาจารยแ์ ต่งทล่ี งั กา ๑๔. ลนี ตั ถปกาสนิ ีอนุฏกี าปฏั ฐาน ๑๕. มธุสารตั ถปกาสินีฎกี าการอธบิ ายความแห่งมลู ฎกี า พระอานนั ทเถระชาวพมา่ เป็นผูแ้ ต่งท่เี มอื งหง สาวดปี ระเทศพมา่ ๑๖. โปราณฎกี าอภธิ มั มาวตาร ๑๗. อภธิ มั มตั ถวกิ าสนิ ีฎกี าอภธิ มั มาวดาร พระสุมงั คละเป็นผูแ้ ต่ง ๑๘. อภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ีฎกี าอภธิ มั มตั ถสงั คหะเป็นวรรณกรรมสมยั กลางรุ่นหลงั คมั ภรี น์ ้ีไทยเรยี กสน้ั ๆ ว่าฎกี าสงั คหะพม่าเรียกเป็นคาบาลสี นั้ ๆว่าวภิ าวนิ ีและเรยี กอีกช่อื หน่ึงว่าฎกี า – จอ (Tika-gyaw) แปลวา่ ฎกี าเรอื งนามฎกี าชอ่ื ดงั (the famous t ika) พระสุมงั คละหรอื พระสุมงั คลาจารยพ์ ระเถระชาว ลงั กาเป็นผูแ้ ต่งท่ีเมอื งปุลตั ถินครคือเมืองโปโลนารุวะประเทศลงั กาใชเ้ วลาแต่ง ๒๔ วนั จบคณะสงฆไ์ ทยใชเ้ ป็น แบบเรียนบาลปี ระโยคป.ธ. ๙ พระภิกษุสามเณรผูเ้ป็นนกั เรยี นตอ้ งเรียนคมั ภรี น์ ้ีและผูท้ ส่ี อบเปรยี ญธรรม๙ประโยค ไดน้ บั ตงั้ แต่ ใชค้ มั ภรี น์ ้ีเป็นทางการจนถงึ พ.ศ. ๒๕๓๒ มจี านวนประมาณ ๔๖๐ รูป ๑๙. ปรมตั ถมญั ชสู าอนุฎกี าอภธิ มั มตั ถสงั คหะ ๒๐. มณิสารมญั ชูสานวฎกี าอภธิ มั มตั ถสงั คหะคมั ภรี น์ ้ีเป็นกุญแจหรือหวั ใจของพระอภธิ มั มตั ถภาวินี พระอรยิ วงั สะเมอื งสกายประเทศพมา่ ภาคเหนือเป็นผูแ้ ต่ง ๒๑. สงั เขปวณั ณนาฎกี าอภธิ มั มตั ถสงั คหะ พระโชติปาละ หรือสทั ธมั มโชตปิ าละผูแ้ ต่งวสิ ุทธมิ รรคคนั ธี เป็นผูแ้ ต่ง ๒๒. อเปคคุสารตั ถทปี นีจฬู ฎกี าอภธิ มั มตั ถสงั คหะ พระมหาสุวณั ณประทปี เถระแต่งท่ปี ระเทศพมา่ ๒๓. มขุ มตั ตกถาโปราณฎกี าปรมตั ถวนิ ิจฉยั ๒๔. ฎกี าปรมตั ถวนิ ิจฉยั ๒๕. ฎกี าเขมปกรณพ์ ระเขมกะเป็นผูแ้ ต่ง

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒๖. ลนี ตั ถปกาสนิ ีโปราณฎกี านามรูปปรจิ เฉท ๒๗. ปรมตั ถทปี นฎกี าเป็นคมั ภรี อ์ ภธิ มั มตั ถสงั คหะและอภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ีเป็นวรรณกรรมภาษาบาลรี ุ่น ปจั จุบนั ดา้ นความความเห็นในอภิธมั มตั ถวิภาวนิ ีทุกปริเฉทและไดร้ ะบุช่ืออภิธมั มตั ถวิภาวินีไดร้ วม๑๗๔ครง้ั ท่าน อาจารยเ์ ลดคี ืออูญาณะหรือญาณธชะพม่าเหนือเป็นผูแ้ ต่ง คมั ภรี บ์ าลโี ยชนา หนงั สอื บาลโี ยชนาไดแ้ ก่หนงั สอื บาลโี ยชนาวนิ ยั บาลโี ยชนาพระสูตรและบาลโี ยชนาพระ อภธิ รรม คมั ภรี บ์ าลโี ยชนาพระวนิ ัย ๑. โยชนาวนิ ยั แกศ้ พั ทว์ นิ ยั ทงั้ ๕ คมั ภรี พ์ ระญาณกิตติพระเถระชาวลา้ นนาเป็นผูแ้ ต่งทเ่ี ชยี งใหมค่ ณะสงฆ์ ไทยใชเ้ป็นแบบเรยี นประกอบบาลปี ระโยคป.ธ. ๕ และป.ธ. ๗ ๒. โยชนาขทุ ทกสกิ ขา ๓. โยชนาวนิ ยั วนิ ิจฉยั สงั คหะพระมหาราชครูแต่งท่ปี ระเทศพมา่ คมั ภรี บ์ าลโี ยชนาพระสูตร หนงั สือโยชนาพระสูตรเท่าท่พี บเวลาน้ีมี๑คมั ภรี ค์ ือธมั มปทฏั ฐกถาโยชนาแกเ้ ฉพาะอนั ตรธานในอรรถ กถาธรรมบทพระสริ สิ ุมงั คลเถระแต่งท่ปี ระเทศพมา่ คมั ภรี บ์ าลโี ยชนาพระอภธิ รรม หนงั สอื โยชนาพระอภธิ รรม มจี านวน ๙ คมั ภรี ค์ ือ- ๑. โยชนาอฏั ฐสาลนิ ี พระญาณกติ ตเิ ถระเป็นผูแ้ ต่งทเ่ี ชยี งใหม่ ๒. โยชนาสมั โมหวโิ นทนี พระญาณกติ ตเิ ถระเป็นผูแ้ ต่ง ๓. โยชนาธาตกุ ถา พระญาณกติ ตเิ ถระเป็นผูแ้ ต่ง ๔. โยชนาปคุ คลบญั ญตั ิ พระญาณกติ ตเิ ถระเป็นผูแ้ ต่ง ๕. โยชนากถาวตั ถุ พระญาณกติ ตเิ ถระเป็นผูแ้ ต่ง ๖. โยชนายมก พระญาณกติ ตเิ ถระเป็นผูแ้ ต่ง ๗. โยชนาปฏั ฐาน พระญาณกติ ตเิ ถระเป็นผูแ้ ต่ง ๘. โยชนาอภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ีหรอื โยชนาฎกี าอภธิ มั มตั ถสงั คหะ พระญาณกติ ติเถระเป็นผูแ้ ต่งท่เี ชยี งใหม่ คณะสงฆไ์ ทยใชเ้ป็นแบบเรยี นประกอบบาลปี ระโยคป.ธ. ๙ ในปจั จบุ นั ๙. โยชนาบาลอี ภธิ มั มตั ถสงั คหะ คมั ภรี ป์ กรณ์วเิ สส คมั ภรี ป์ กรณ์วิเสส หมายถงึ คมั ภรี ท์ างพทุ ธศาสนาท่แี ต่งข้นึ ภายหลงั คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกและเป็นคมั ภรี ท์ ่ี แต่งข้นึ เพ่อื อธิบายหลกั ธรรมในพทุ ธศาสนาไม่ไดอ้ ธิบายเพ่มิ เติมคมั ภีรใ์ ดคมั ภรี ห์ น่ึงโดยเฉพาะดงั เช่นคมั ภีรอ์ รรถ กถาอธบิ ายขยายความในพระไตรปิฎกคมั ภรี ฎ์ กี าอธบิ ายคมั ภรี อ์ รรถกถาและคมั ภรี อ์ นุฎกี าอธิบายความในคมั ภรี ฎ์ กี า คมั ภรี ป์ กรณว์ เิ สสมกั เกดิ ข้นึ ต่างยุคต่างสมยั เพราะผูแ้ ต่งคมั ภรี ป์ กรณว์ เิ สสนนั้ มอี ยู่ในยุคต่างกนั เช่น

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๑. พระนาคเสนไดแ้ ต่งคมั ภีรป์ กรณ์วิเสสคือ คมั ภีรม์ ิลินทปญั หาประมาณพ.ศ. ๕๕๐ท่ีประเทศอินเดีย ตน้ ฉบบั เป็นภาษาสนั สกฤตหรอื ประกฤตแต่ตน้ ฉบบั ไดห้ ายสาบสูญไปจงึ เหลอื แต่ฉบบั ท่เี ป็นภาษาบาลแี ละภาษาจีน๘๕ ๒. พระพทุ ธโฆษาจารยไ์ ดแ้ ต่งคมั ภรี ป์ กรณว์ เิ สสคือ คมั ภรี ว์ สิ ุทธิมรรคฉบบั บาลปี ระมาณพ.ศ. ๙๕๖๘๖ท่าน ไดแ้ ต่งข้นึ ขณะอาศยั อยูใ่ นประเทศศรีลงั กา ๓. พระสริ ิมงั คลาจารยไ์ ดแ้ ต่งคมั ภรี ป์ กรณ์วิเสสฉบบั บาลจี ารึกไวใ้ นภาษาลา้ นนาประมาณพ.ศ. ๒๐๖๐ ถงึ ๒๐๖๗ ดงั มรี ายช่อื ดงั น้ีเวสสนั ตรทปี นี, จกั วาลทปี นี, ฎกี าสงั ขยาปกรณแ์ ละมงั คลตั ถทปี นี๘๗ ๔. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ไดแ้ ต่งคมั ภรี ป์ กรณ์วเิ สสพทุ ธธรรมเป็นภาษาไทยเมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ สงิ หาคม ๒๕๑๔๘๘ นอกจากน้ียงั มนี กั ปราชญท์ างพระพุทธศาสนาอีกมายมายไดแ้ ต่งคมั ภรี ป์ กรณ์วิเสสไวเ้ป็นจานวน มากแต่ ต่างยุคต่างสมยั กนั วตั ถปุ ระสงคก์ เ็ พอ่ื เผยแผ่หลกั ธรรมคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาใหเ้ป็นท่เี ขา้ ใจและนาไปปฏบิ ตั ใิ น การดาเนินชวี ติ เพอ่ื ใหเ้กดิ ความสุขความเจริญรุ่งเรอื งต่อตนและสงั คม คมั ภรี ค์ นั ถนั ตระ (คมั ภรี ส์ ทั ทาวเิ สส) คมั ภีรค์ นั ถนั ตระ คือ ประเภทสทั ทศาสตร์ นบั เป็นคมั ภีรม์ ูลรากของพระปริยตั ิธรรมมี๔คือ ๑. คมั ภีร์ ไวยากรณ์ ๒. คมั ภรี พ์ จนานุกรม ๓. คมั ภรี ฉ์ นั ท์ ๔. คมั ภรี อ์ ลงั การะ ๑. คมั ภรี ไ์ วยากรณ์ คมั ภรี ไ์ วยากรณเ์ ป็นคมั ภรี ท์ แ่ี สดงกฎของภาษาบาลไี ดอ้ ย่างเป็นระบบนกั ปราชญจ์ ดั คมั ภรี เ์ หลา่ นน้ั โดยแบ่ง ออกเป็น๓กลมุ่ คือ ๑. กลมุ่ คมั ภรี ก์ จั จายนะ ๒. กลมุ่ คมั ภรี โ์ มคคลั ลานะ ๓. กลมุ่ คมั ภรี ส์ ทั ทนีติ ๑.๑ กล่มุ คมั ภรี ก์ จั จายนะ คมั ภรี ไ์ วยากรณบ์ าลที เ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดเท่าทม่ี สี บื มาถงึ ปจั จบุ นั คือคมั ภรี ก์ จั จายนะ คมั ภรี ก์ จั จายนะมคี มั ภรี อ์ รรถาธิบายโดยละเอียดหรอื แต่งสรุปเน้ือหานบั รอ้ ยฉบบั ส่วนใหญ่ยงั มไิ ดพ้ มิ พ์ เผยแพร่ในทน่ี ้ีจะนารายชอ่ื คมั ภรี ท์ ่แี ต่งในอนิ เดยี ลงั กาและพมา่ มาแสดงไวพ้ อสมควรมปี ระวตั โิ ดยย่อดงั น้ี ๑) นยาสะ (นยาส) หรือมขุ มตั ตทีปนี (มขุ มตฺตทีปนี) ผลงานของพระวชิรพทุ ธิแห่งลงั กาแต่งในช่วงพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๕ อธิบายสูตรคมั ภรี ก์ จั จายนะโดยเนน้ การบอกลกั ษณะของสูตรและแสดงวธิ ีการประกอบศพั ทต์ ามกฎ ทก่ี ลา่ วไวใ้ นสูตรนนั้ ๆ ๒) ปทรูปสทิ ธิ (ปทรูปสทิ ฺธ)ิ ผลงานของพระพทุ ธปั ปิยะชาวทมฬิ แต่งในช่วงปลายพทุ ธ-ศตวรรษท่ี ๑๕ ถงึ ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ ณ แควน้ โจฬะทางตอนใตข้ องอินเดียคมั ภีรน์ ้ีนาสูตรของคมั ภรี ก์ จั จายนะมาจดั ลาดบั ใหม่ เพอ่ื ใหเ้น้ือหาสาระเป็นหมวดหมชู่ ดั เจนยง่ิ ข้นึ ๓) ปทรูปสทิ ธิฎกี า (ปทรูปสทิ ฺธฎิ กี า) เป็นงานอธิบายขยายความสาระในคมั ภรี ป์ ทรูปสทิ ธิพระพทุ ธปั ปิยะ เป็นผูแ้ ต่งเอง ๘๕ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ,มิลนิ ทปญั หา ฉบบั แปล, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙), หนา้ ๒๑. ๘๖ ผศ.ดร.อภญิ วฒั น์ โพธ์ิสาน, ชีวติ และผลงานของปราชญพ์ ทุ ธ, (ขอนแก่น: โรงพมิ พธ์ รรมขนั ธ,์ ๒๕๔๓), หนา้ ๙๓. ๘๗ พระราชปริยตั ิ (สฤษด์ิ สริ ิธโร),งานวจิ ยั และวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๘), หนา้ ๓๐. ๘๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต),พทุ ธธรรม, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมมกิ , ๒๕๔๙), หนา้ ๙๒๕.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๔) พาลาวตาร (พาลาวตาร) ผลงานของพระธรรมกิตติท่านเป็นพระนิกายมหาวหิ ารพานกั อยู่ทว่ี ดั คฑลาเทนิ ใกลเ้มอื งเสขณั ฑเสละมณฑลมายาแถบภาคกลางของประเทศลงั กาท่านเป็นพระสงั ฆราชปกครองคณะสงฆล์ งั กาในรชั สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๗๗๙-๑๘๑๑) บางตารากล่าวว่าท่านเป็นพระสงั ฆราชในรชั สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖-๑๗๒๙) ในคมั ภรี ป์ ิฏกตั ต่อตะมายกลา่ ววา่ ท่านเป็นศิษยข์ องพระสารบี ุตรเถระผูแ้ ต่ง คมั ภรี ส์ ารตั ถทปี นีเป็นตน้ ในรชั สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุท่ี ๑ ๕) พาลาวตารนวฎกี า (พาลาวตารนวฎกี า) หรือสุโพธกิ า (สุโพธกิ า) ผลงานของพระสุมงั คละผูอ้ ยู่ในสยาม นิกาย (นิกายน้ีเป็นนิกายทพ่ี ระภกิ ษุชาวไทยไปสบื พระศาสนาท่ปี ระเทศศรีลงั กา) ท่านเกิดวนั ท่ี ๒๐ มกราคมพ.ศ. ๒๓๔๐ ณ หม่บู า้ นหกิ กทั ทุมณฑลคาลมรณภาพวนั ท่ี ๒๙เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ท่านพานกั อยู่ท่วี ดั วชิ โชทยั เมอื ง โคลมั โบ ๖) อตั ถพยาขยาย (อตฺถพยฺ าขยาย) ผลงานของพระจูฬพทุ ธะชาวสงิ หลแต่งในพุทธศตวรรษท่ี๑๙อธิบาย ขยายความคมั ภรี ก์ จั จายนะโดยละเอยี ด ๗) กจั จายนธาตมุ ญั ชูสา (กจจฺ ายนธาตมุ ญฺชสู า) ผลงานของพระสลี วงศช์ าวสงิ หลแต่งในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ ประมวลธาตใุ นคมั ภรี ก์ จั จายนะมาจดั เป็นหมวดหมู่ ๘) อกั ขรมาลา (อกฺขรมาลา) ผลงานของพระนาคเสนชาวสงิ หลแต่งในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี๒๓กล่าวถึง อกั ขระบาลแี ละสงิ หลประพนั ธเ์ ป็นคาถาภาษาบาลี ๙) นิรุตตสิ ารมญั ชูสา (นิรุตตฺ สิ ารมญฺชูสา) ผลงานของพระทาฐานาคะท่านพานกั อยู่ท่วี ดั โภงตาตลุ ดจงั หวดั สะไกยแต่งจบในพุทธศกั ราช ๒๑๙๒ ท่านเป็นพระราชครูของพระเจา้ ตาลวนท่ที รงพระนามว่าสริ ินนั ทธรรมราชปว ราธบิ ดผี ูท้ รงครองราชยณ์ กรุงองั วะในพทุ ธศกั ราช ๒๑๗๒ ๑๐) กจั จายนวณั ณนา (กจจฺ ายนวณฺณนา) ผลงานของพระมหาวชิ ติ าวใี นสมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ ๑๑) กจั จายนสุตตนิเทส (กจจฺ ายนสุตตฺ นิเทส) ผลงานของพระสทั ธมั มโชติปาลเถระในสมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ ๑.๒ กลมุ่ คมั ภรี โ์ มคคลั ลานะ คมั ภรี น์ ้ีเป็นผลงานของพระโมคคลั ลานะพระเถระชาวสงิ หลในรชั สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖-๑๗๒๙) คมั ภรี ไ์ วยากรณ์บาลสี ายโมคคลั ลานะตามหลกั ฐานท่พี บในปจั จุบนั มี ๑๐ ฉบบั คอื ๑) โมคคลั ลานปญั จิกา (โมคฺคลฺลานปญฺจิกา) ผลงานของพระโมคคลั ลานะเป็นคมั ภรี ฎ์ กี าท่อี ธิบายความ ของคมั ภรี โ์ มคคลั ลานะ ๒) สารตั ถวิลาสินี (สารตฺถวลิ าสินี) หรือ โมคคลั ลานปญั จิกาฎีกา (โมคคลฺลานปญฺจิกาฏีกา) ผลงานของ พระสงั ฆรกั ขติ ะคมั ภรี น์ ้ีเป็นฎกี าของคมั ภรี โ์ มคคลั ลานปญั จกิ า ๓) โมคคลั ลานปญั จกิ าปทปี ะ (โมคคฺ ลลฺ านปญฺจกิ าปทปี ) ผลงานพระราหุลผูเ้ป็นพระสงั ฆราชในรชั สมยั พระ เจา้ ปรากรมพาหุท่ี ๖ (พ.ศ. ๑๙๕๕-๒๐๐๗) เป็นฎกี าของคมั ภรี โ์ มคคลั ลานปญั จกิ าฎกี าส่วนหน่ึงเป็นภาษาสงิ หล

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๔) ปทสาธนะ (ปทสาธน) ผลงานของพระปิยทสั สศี ิษยข์ องพระโมคคลั ลานะเป็นงานร่วมสมยั หรอื ภายหลงั คมั ภีรโ์ มคคลั ลานะไม่นานคมั ภรี น์ ้ีแต่งประมวลเน้ือหาสาระในคมั ภีรโ์ มคคลั ลานะอย่างกระชบั สนั้ ง่ายโดยนาสูตรมา เรยี งลาดบั ใหมต่ ามอทุ าหรณเ์ พอ่ื ใหป้ ระกอบรูปศพั ทไ์ ดง้ า่ ยคลา้ ยกบั คมั ภรี พ์ าลาวตารทก่ี ล่าวสรุปเน้ือหาของคมั ภรี ก์ จั จายนะ ๕) ปทสาธนฎกี า (ปทสาธนฎีกา) ผลงานพระราหุลผูเ้ ป็นพระสงั ฆราชในรชั สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุท่ี ๖ (พ.ศ. ๑๙๕๕-๒๐๐๗) ๖) ปโยคสิทธิ (ปโยคสิทฺธิ) ผลงานของพระสงั ฆรกั ขิตะไดน้ าเน้ือหาสาระในคมั ภีรโ์ มคคลั ลานะมาจดั หมวดหมใู่ หมใ่ หช้ ดั เจนยง่ิ ข้นึ รวมทงั้ ไดอ้ ธิบายขยายความและแสดงอทุ าหรณ์เพม่ิ เหมอื นกบั คมั ภรี ป์ ทรูปสทิ ธิทข่ี ยาย ความคมั ภรี ก์ จั จายนะ ๗) สุสทั ทสทิ ธ(ิ สุทฺทสทิ ฺธ)ิ ผลงานของพระสงั ฆรกั ขติ ะคมั ภรี น์ ้ีมพี บในรายช่อื คมั ภรี ท์ ่พี ระสงั ฆรกั ขติ ะแต่ง ไวใ้ นคาลงทา้ ยของคมั ภรี ส์ มั พนั ธจนิ ตาแต่ยงั ไมม่ กี ารตพี มิ พเ์ ผยแพร่เป็นพมา่ หรอื ไทยจงึ ไมอ่ าจทราบรายละเอยี ด ๘) สมั พนั ธจินตา (สมพฺ นฺธจินฺตา) ผลงานของพระสงั ฆรกั ขติ ะเป็นผลงานร่วมสมยั กบั ปโยคสทิ ธิคมั ภรี น์ ้ี แต่งอธบิ ายวาจก ๔ และการก ๖ โดยพสิ ดารตามแนวคาอธบิ ายของคมั ภรี โ์ มคคลั ลานะ ๙) สมั พนั ธจินตาฎกี า(สมพฺ นฺธจินฺตาฎกี า) ผลงานของพระสงิ หลรูปหน่ึงผูไ้ มป่ รากฏนามแต่งอธบิ ายสมั พนั ธจนิ ตาโดยยอ่ ๑๐) นิรุตตทิ ปี นี(นิรุตตฺ ทิ ปี นี) ผลงานของพระญาณธชะซง่ึ ชาวพม่าเรยี กว่าแลดสี ยาดอตามช่อื วดั แต่งจบใน พุทธศกั ราช ๒๔๔๖ คมั ภีรน์ ้ีนาโมคคลั ลานไวยากรณ์มาลาดบั สูตรใหม่และเขยี นอธิบายใหเ้ ขา้ ใจง่ายรวมทั้งนา อทุ าหรณจ์ ากพระไตรปิฎกมาแสดงไวเ้ป็นสาธกของกฎไวยากรณใ์ นสูตรนนั้ ๆ พระญาณธชะยงั แต่งคมั ภรี แ์ ปลนิรุตติ ทปี นีซง่ึ แปลเฉพาะศพั ทย์ ากเท่านน้ั ชอ่ื ว่านิรุตติ-ทปี นีนิสสยั ในพทุ ธศกั ราช ๒๔๔๘ ๑.๓ กล่มุ คมั ภรี ส์ ทั ทนีติ ในนิคมคาถาตอนทา้ ยของคมั ภรี ส์ ทั ทนีตสิ ุตตมาลาท่านผูแ้ ต่งกลา่ วว่าคมั ภรี น์ ้ีเป็น ผลงานของพระอคั ควงศ์พระเถระชาวพม่าในสมยั พุกามท่เี รียกว่าอริมทั ทนะ (เมืองยา่ ยีศตั รู) เป็นบุตรของภคินี (พส่ี าวหรอื นอ้ งสาว) ของทา่ นอคั คบณั ฑติ ผูซ้ ง่ึ เป็นศิษยใ์ นสานกั ของท่านมหาอคั คบณั ฑติ ท่านผูแ้ ต่งมชี ีวิตอยู่ในรชั สมยั พระเจา้ จะสวา (พ.ศ. ๑๗๗๗-๑๗๙๓) คมั ภีรน์ ้ีอาศยั ไวยากรณ์สนั สกฤต หลายคมั ภรี อ์ าทเิ ช่นปาณินิ, มหาภาษยะและกาตนั ตระรวมทงั้ ยงั องิ อาศยั แนวคดิ ของฝ่ายสนั สกฤตไวอ้ กี ดว้ ย คมั ภีรส์ ทั ทนีตมิ ี๓ภาคคือปทมาลา, สุตตมาลาและธาตมุ าลาท่านผูแ้ ต่งไดแ้ ต่งคลา้ ยคลงึ กบั ภาค๓ภาคใน คมั ภรี ป์ าณินิคือสุตตปาฐะ, ธาตุปาฐะและคณปาฐะแมค้ มั ภรี น์ ้ีจะอาศยั ไวยากรณส์ นั สกฤตจานวนมากแต่คนั ถรจนา จารยไ์ ดเ้ ลอื กแสดงกฎไวยากรณ์สนั สกฤตท่สี อดคลอ้ งกบั พระพทุ ธพจนเ์ ท่านนั้ คมั ภีรน์ ้ีเป็นไวยากรณ์ท่หี ลกั เกณฑ์ ครอบคลุมพระไตรปิฎกและอรรถกถารวมทง้ั มติของนกั ไวยากรณ์บาลีและสนั สกฤต ไดร้ บั การชมเชยว่าเป็น ไวยากรณบ์ าลที ย่ี ง่ิ ใหญ่ท่สี ุดในวรรณกรรมบาลตี งั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ๑) สทั ทนีติ ปทมาลา คมั ภรี ว์ า่ ดว้ ยหลกั การใชศ้ พั ท,์ อรรถและแบบแจกบทต่างๆ ลกั ษณะพเิ ศษของคมั ภรี ์ น้ี คือ มกี ารวเิ คราะห,์ วจิ ารณแ์ ละวนิ ิจฉยั บทต่างๆ เช่น บทนาม บทอาขยาต บททม่ี กั ก่อใหเ้กดิ ความสบั สนในการใช้ ฯลฯ

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๒๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒) สทั ทนีติ ธาตมุ าลา คมั ภรี ว์ ่าดว้ ยระเบยี บวธิ ีการใชธ้ าตอุ นั เป็นมลู รากของศพั ทน์ ามและศพั ทก์ ิริยา ท่าน ไดแ้ สดงขอ้ วนิ ิจฉยั การใชธ้ าตแุ ต่ละตวั อย่างพสิ ดาร ทงั้ ยงั ไดจ้ าแนกคณะธาตแุ ละอรรถของธาตอุ ย่างลกึ ซ้งึ ฯลฯ ๓) สทั ทนีติ สุตตมาลา คมั ภีรว์ ่าดว้ ยกฎระเบยี บขอ้ บงั คบั ในการสรา้ งคาศพั ท์ คือตวั สูตรท่เี ป็นกฎในการ เปลย่ี นแปลงรูปคาในภาษาบาลี ทง้ั น้ี ท่านไดย้ กอุทาหรณ์มาอา้ งเป็นหลกั ฐานจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฏีกาและ คนั ถนั ตระต่างๆ ฯลฯ ๒. คมั ภรี พ์ จนานุกรม คมั ภรี พ์ จนานุกรมคอื คมั ภรี ท์ ร่ี วบรวมศพั ทแ์ สงและความหมายของธาตใุ นภาษาบาลี ดงั น้ี ๑) อภธิ านปั ปทปี ิกา พระมหาโมคคลั ลานเถระ (ชาวลงั กา) ๒) อภธิ านปั ปทปี ิกาฎกี า สริ จิ ตรุ งั คพลมหาอามาตย์ ๓) อภธิ านปั ปทปี ิกาสูจิ พระสุภตู เิ ถระ ๔) ธาตวุ ตั ถสงั คหะ พระวสิ ุทธาจารเถระ ๕) ธาตมุ ญั ชูสา พระสลี วงั สเถระ ๖) ธาตปุ ปจั จยทปี นี พระวรสมั โพธเิ ถระ ๗) ธาตปุ ปาฐะ พระเถระผูไ้ มป่ รากฏนาม ๘) ธาตสุ มจุ จยะ ” ๙) ธาตอุ กั ขระ ” ๑๐) เอกกั ขรโกสะ ” ๑๑)เอกกั ขรโกสฎกี า ” ๑๒) เอกกั ขรโกสอภนิ วฎกี า พระชาคราภวิ งั สเถระ ๑๓) วภิ ตั ตมิ าล าพระเถระผูไ้ มป่ รากฏนาม ๑๔) ธาตวตั ถทปี นีฎกี า พระปณั ฑวงั สาภธิ ชธปิ ตวิ รมหาธมั มราชาธริ าชคุรุมหาเถระ ๑๕) ปญั ญตั ตตถาวลิ ” ๑๖) ธาตวตั ถทปี กะ พระอคั คธมั มาลงั การกวธิ ชมหาธมั มราชาธริ าชคุรุมหาเถระ ๑๗) วภิ ตั ตกิ ถา พระเถระผูไ้ มป่ รากฏนาม ๑๘) วภิ ตั ตกิ ถาฎกี า ” ๑๙ ) ลงิ คอภธิ าน พระอนิลลาภวิ รอตลุ ธปิ ตสิ ริ ปิ วร มหาธมั มราชาธริ าชคุรุมหาเถระ ๒๐) ปาฬธิ าตอุ ภธิ าน พระปาฬปิ าโมกขฉราญาณเถระ ๒๑) อปุ สารอภธิ านชอ่ื อปุ สคั ควภิ าวนิ ี พระปาฬปิ าโมกขฉราญาณเถระ ๒๒) อาขยาตปทอภธิ านช่อื อาขยาตปทวภิ าวนิ ี พระเถระชาวพมา่ ๒๓) นิปาตทปี นี พระเถระผูไ้ มป่ รากฏนาม

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๓๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๓. คมั ภรี ฉ์ นั ท์ คมั ภรี ฉ์ นั ทค์ ือคมั ภรี ท์ ่แี สดงลกั ษณะฉนั ทใ์ นภาษาบาลที ก่ี าหนดบงั คบั บาทต่างๆดว้ ยมาตราเสียงหนกั -เบา และนบั จานวนพยางค์ ทเ่ี รยี กว่า มาตราพฤติ และวรรณพฤตมิ รี ายชอ่ื ดงั น้ี ๑) วุตโตทยั พระสงั ฆรกั ขติ มหาสามิ ๒) วุตโตทยั ปรุ าณฎกี า พระนววมิ ลพทุ ธิ (ชาวเมอื งพกุ าม) ๓) ฉนั โทสารตั ถวกิ าสนิ ีอภนิ วฎกี า พระสทั ธมั มญาณเถระ ๔) วจนตั ถโชตกิ อภนิ วฎกี า พระเวปลุ ลเถระ ๕) กวสิ ารอภนิ วฎกี า พระธมั มานนั ทเถระ ๖) สุททุ ทสวกิ าสนีอภนิ วฎกี า ปฐมเซกผวิ เถระ ๗) ฉปั ปจั จยทปี กอภนิ วฎกี า พระปญั ญาสหี เถระ ๘) กวสิ าระ ” ๙) ฉนั ทนิทาน พระธมั มพทุ ธเถระ ๑๐) วุตโตทยมาสนิ ี ” ๑๑) กาพยสฺรวลิ าสนิ ี ” ๑๒) กาพยสาลวลิ าสนิ ีวณั ณนา พระสารพทุ ธมิ ะ ๑๓) กาพยคนั ถะ ” ๑๔) กาพยคนั ถฎกี า ” ๑๕) กวกี ณั ฐาภรณะ ” ๑๖) ฉนั โทมญั ชรี วสิ ุทธาจารมหาเถระ ๑๗) ฉนั โทมญั ชรฎี กี าชอ่ื ฉนั โทสารตั ถมญั ชูสา ญาณินทนามเถระ ๑๘) วุตโตทยั วรรณนา ” ๑๙) วุตตพิ ยาขยาน ” ๒๐) อนุวุตตพิ ยาขยาน ” ๒๑) ฉนั ทวุตตปิ ทปี ะ ” ๒๒)ปรภิ าสชั ฌาสยะ ” ๔.คมั ภรี อ์ ลงั การะ คมั ภรี อ์ ลงั การะคือคมั ภรี ท์ ่แี สดงถงึ ความไพเราะ ความงดงามสละสลวยความสามารถในการนาบทบาลมี า แต่งฉนั ทม์ รี ายชอ่ื ดงั น้ี ๑) สุโพธาลงั การะ พระสงั ฆรกั ขติ มหาสามปิ าทเถระ ๒) สุโพธลิ งั การปรุ าณฎกี า ” ๓) สุโพธาลงั การอภนิ วฎกี า พระสริ ธิ มั มกติ ติรตนปชั โชตเถระ

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๓๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ สรปุ ทา้ ยบท ในบทน้ีเป็นการศึกษาโครงสรา้ งการจดั ลาดบั คมั ภรี ส์ าคญั ในพระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาททงั้ หมด เป็นเพยี ง บอกช่ือคมั ภีร์ต่างๆ ของแต่ละยุคเท่านนั้ มิไดล้ งไปถึงรายละเอียดในสาระของคมั ภีรแ์ ต่คมั ภีรท์ งั้ หมดในทาง พระพุทธศาสนานบั ว่าเป็นเอกสารท่สี าคญั อย่างย่ิงโดยเฉพาะคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก มไี วส้ าหรบั ศึกษาและตรวจสอบ เทยี บเคียงการประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องพทุ ธศาสนิกชนหากมคี วามสงสยั เก่ยี วเร่อื งปฏบิ ตั ขิ องตนว่าถูกหรอื ผดิ กย็ ดึ ถอื เอา พระไตรปิฎกเป็นเกณฑต์ ดั สนิ พรอ้ มกนั นน้ั พระไตรปิฎกยงั เปรียบเสมอื นแผนท่ที ่ชี าวพทุ ธจะตอ้ งศึกษาใหเ้ขา้ ใจใน หลกั คาสอนเพ่อื ทจ่ี ะนาพาชีวติ ของตนไปสู่ความถูกตอ้ งดงี ามและเพ่อื เขา้ ถงึ เป้าหมายอนั สูงสุดของพระพุทธศาสนา คือพน้ จากกิเลสเคร่ืองรอ้ ยรดั ทง้ั ปวงแมบ้ างยุคบางสมยั อาจจะมคี าสอนของสาวกเขา้ ไปแทรกปะปนอยู่ในคมั ภีร์ พระไตรปิฎกนนั้ บา้ งก็ตามแต่ก็ยงั ถอื ว่า เป็นหลกั คาสอนทม่ี าจากแหล่งของบุคคลคนเดียวกนั คือ พระพทุ ธเจา้ หรือ อาจเกิดความไม่แน่ใจในหลกั คาสอนท่มี อี ยู่ในพระไตรปิฎกทง้ั หมดนน้ั ว่า เป็นคาสอนของพระพุทธเจา้ จริง หรือไม่ พระพุทธองค์ทรงแนะนาหลกั ตรวจ สอบคาสอนไวใ้ หแ้ ลว้ นนั่ คือ หลกั ธรรมท่ีมีอยู่ในพระไตรปิฎกนนั่ เองเช่น หลกั ธรรมกาลามสูตร ๑๐ ขอ้ หลกั ธรรมตดั สนิ พระธรรมวนิ ยั ๘ ขอ้ และหลกั มหาปเทส ๔ เป็นตน้ เพยี งพอจะทาให้ ผูศ้ ึกษาตดั สินดว้ ยตนเองไดว้ ่าอนั ไหนเป็นพุทธวจนะ อนั ไหนไม่ใช่พุทธวจนะเม่อื เราศึกษาพระพุทธศาสนาดว้ ย สตปิ ญั ญาอย่างน้ีแลว้ จะทาใหเ้รามคี วามมนั่ ใจในพระปญั ญาของพระพทุ ธองคแ์ ละเขา้ ถงึ พทุ ธภาวะ เฉกเช่นพระพทุ ธ องคค์ ือเป็นผูร้ ูผ้ ูต้ ่นื ผูเ้บกิ บาน

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๓๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ คาถามทา้ ยบท คาช้ีแจง : คาถามมลี กั ษณะเป็นแบบอตั นยั ใหผ้ ูศ้ ึกษาตอบคาถามทง้ั หมดดงั ต่อไปน้ี ๑. จงอธบิ ายลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. จงอธบิ ายการจดั ลาดบั ชนั้ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๓. จงอธบิ ายเกณฑก์ ารจดั ลาดบั ชน้ั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท โดยจดั แบง่ เกณฑต์ ามน้ี -เกณฑก์ ารจดั ลาดบั ตามยุคสมยั -เกณฑก์ ารจดั ลาดบั ตามความสาคญั -เกณฑก์ ารจดั ลาดบั ตามเน้ือหา ๔. จงอธบิ ายกลมุ่ คมั ภรี ค์ นั ถนั ตระ ๕. จงอธบิ ายกลมุ่ คมั ภรี ไ์ วยากรณบ์ าลี สายโมคคลั ลานะ ๖. จงอธบิ ายการจดั กลมุ่ คมั ภรี ก์ ลุม่ สายกจั จายนะ ๗. จงอธบิ ายการจดั กลมุ่ คมั ภรี ก์ ลุม่ สายสทั ทนีติ ๘. จงอธบิ ายการจดั กลมุ่ คมั ภรี ก์ ลุ่มสายพจนานุกรม ๙. จงอธบิ ายการจดั กลมุ่ คมั ภรี ก์ ลมุ่ สายฉนั ทลกั ษณ์

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๓๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เอกสารอา้ งองิ ประจาบท มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบบั มหาจุฬาเตปิ ฏก ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. __________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าอฏฐฺ กถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐. คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระวนิ ัยปิฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑. __________.พระอภธิ รรมปิ ฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑. พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). ภยั แห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ หธรรมมกิ , ๒๕๔๕. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต). พระไตรปิฎกสง่ิ ทช่ี าวพทุ ธตอ้ งรู.้ กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๕๐. __________. พทุ ธธรรม. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๑. กรุงเทพมหานคร : สหธรรมมกิ , ๒๕๔๙. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). กรณีธรรมกายเอกสารเพอ่ื พระธรรมวนิ ยั . กรุงเทพมหานคร : สหธรรมกิ , ๒๕๔๒. มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั .มลิ นิ ทปญั หา ฉบบั แปล. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราช วทิ ยาลยั , ๒๕๔๙. พระสุธวี รญาณ (ณรงค์ จติ ตฺ โสภโณ). พทุ ธศาสตรปรทิ รรศน์. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑. เสนาะผดุงฉัตร. ความรูเ้ บ้ืองตน้ เก่ียวกบั วรรณคดี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒. สุชพี ปญุ ญานุภาพ. พระไตรปิฎกสาหรบั ประชาชน. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราช วทิ ยาลยั , ๒๕๒๔.

บทท่ี ๗ “การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท” ๕๓๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ __________. พระไตรปิฎกฉบบั สาหรบั ประชาชน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓. พระอมรมนุ ี (จบั ฐติ ธมโฺ ม ป.ธ. ๙). นาเทย่ี วพระไตรปิฎก. กรุงเทพมหานคร : สภาการศึกษามหามกฏุ ราช วทิ ยาลยั , ๒๕๒๗. อภญิ วฒั น์ โพธ์สิ าน.ชีวติ และผลงานของปราชญพ์ ทุ ธ. ขอนแก่น: โรงพมิ พธ์ รรมขนั ธ,์ ๒๕๔๓. พระราชปรยิ ตั ิ (สฤษด์ิ สริ ธิ โร).งานวจิ ยั และวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๘. David J. Kalupahana. A history of Buddhist Philosophy :Continuities and Discontinuities.Delhi :MotilalBanarsidass Publishers Private limited, 1994. David J. Kalupahana. Buddhist Philosophy : A Historical Analysis. Honoluu : The University Press of Hawaii.

บทท่ี ๘ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ อษุ าคเนย์ ดร. ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศศรลี งั กาไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศไทยไดถ้ กู ตอ้ ง ๓. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเมยี นมา่ รไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง ๔. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศลาวไดถ้ กู ตอ้ ง ๕. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศกมั พชู าไดถ้ กู ตอ้ ง ๖. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศเวยี ดนามไดถ้ กู ตอ้ ง ๗. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศมาเลเซยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ๘. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศอนิ โดนีเซยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ๙. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศสงิ คโปรไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง ขอบเขตเน้ือหา  ความนาํ  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศศรลี งั กา  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเมยี นมา่ ร์  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศลาว  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศกมั พชู า  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเวยี ดนาม  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศมาเลเซยี  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศอนิ โดนีเซยี  อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศสงิ คโปร์

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๓๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๙ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๘ อิทธิพลพระพุทธศาสนาเถรวาทในกลุ่มเอเชียตะวนั ออกเป็นการกล่าวถึง อิทธิพลของ พระพทุ ธศาสนา ๙ ประเทศไดแ้ ก่ ประเทศศรีลงั กา ประเทศเมยี นมา่ ร์ ประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศกมั พูชา ประเทศเวียดนาม ประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซียและประเทศสงิ คโปร์ พระพุทธศาสนาเถรวาทปจั จุบนั หลกั ธรรมคําสอนไดม้ ีการเผยแผ่และมีความเจริญในแถบกลุ่มเอเชียตะวนั ออกเป็นอย่างมากเพราะมี พุทธศาสนิกชนนบั ถือพระพุทธศาสนามากท่ีสุด ตลอดทงั้ มีการดําเนินชีวิตท่ีสอดคลอ้ งกบั หลกั ธรรมทาง พระพทุ ธศาสนา มพี ระสงฆเ์ ป็นผูน้ าํ ในการเผยแผ่และรกั ษาคาํ สอนจงึ ทาํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเร่ืองการทจ่ี ะ ทราบและเขา้ ใจอทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชยี ตะวนั ออกจะตอ้ งศึกษาสาระสาํ คญั ดงั น้ี ๑. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศศรลี งั กา ๒. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเมยี นมา่ ร์ ๓. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย ๔. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศลาว ๕. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศกมั พชู า ๖. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเวยี ดนาม ๗. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศมาเลเซยี ๘. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศอนิ โดนีเซยี ๙. อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศสงิ คโปร์ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศศรลี งั กาไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศไทยไดถ้ กู ตอ้ ง ๓. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเมยี นมา่ รไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง ๔. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศลาวไดถ้ กู ตอ้ ง ๕. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศกมั พชู าไดถ้ กู ตอ้ ง ๖. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศเวยี ดนามไดถ้ กู ตอ้ ง ๗. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศมาเลเซยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ๘. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศอนิ โดนีเซยี ไดถ้ ูกตอ้ ง ๙. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศสงิ คโปรไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง ๑๐. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชยี ตะวนั ออกตง้ั แต่อดีต จนถงึ ปจั จบุ นั ได้

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๓๗  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารคาํ สอนบทท่ี ๘ ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาํ แบบฝึกหดั ในชนั้ เรียน ๓. ศึกษาคน้ ควา้ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชนั้ เรยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Power point หนา้ ชนั้ เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครง้ั ๗. ทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรียนและนําผลท่ไี ดม้ าวิเคราะหพ์ ้ืนฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสิตอนั นาํ ไปสู่การพฒั นาและปรบั ปรุงการเรยี นรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอนประจาํ บทท่ี ๘ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. คาํ ถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาํ ถามประจาํ บทท่ี ๘ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาความรูอ้ ทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชยี ตะวนั ออก ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ คร่อื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ่วนร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคิดเหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตงั้ ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาํ ถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาํ ภาคเรียน ๖. การทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบท

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๓๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๘.๑ ความนา ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตน้ นั้ ไดช้ ่อื ว่าเป็นภูมภิ าคท่ไี ดร้ บั อิทธิพลจากอารยธรรมโพน้ ทะเลมากท่สี ุด แห่งหน่ึง แต่ในขณะเดียวกนั ก็ไดช้ ่ือว่า ผูค้ นในบริเวณน้ีผสมกลมกลืนวฒั นธรรมจากแดนไกลท่ีไดร้ บั มา ให้ กลายเป็นของทอ้ งถน่ิ ไดม้ ากทส่ี ุดแหง่ หน่ึงเหมอื นกนั ศาสนาพทุ ธกบั ศาสนาฮินดูในอินเดยี อาจแข่งขนั ชงิ ดกี นั แต่ในอุษาคเนย์ พทุ ธกบั ฮินดูกลบั ผสมกลมกลนื กนั จนแยกไมอ่ อก และต่างกเ็ ก้อื กูลกนั ใหส้ ามารถขยายไปยงั ผูค้ นไดก้ วา้ งขวาง เพราะยงั ยอมรบั ความเช่ือพ้นื เมอื งซ่งึ มใี นทอ้ งถน่ิ อีกดว้ ย ทง้ั อิสลามและคริสตศ์ าสนา เมอ่ื เป็นท่นี บั ถือของประชาชนในอษุ าคเนยแ์ ลว้ ก็ผนวกเอาความ เช่อื เดิม ทง้ั ฮินดู ทง้ั พทุ ธ และทงั้ ความเช่อื พ้นื เมอื งเขา้ ไปในศาสนา แสดงออกดว้ ยพธิ กี รรมและการปฏบิ ตั ิท่มี สุ ลมิ และครสิ ตใ์ นถน่ิ กาํ เนิดเดมิ ตอ้ งย่นหนา้ ว่านอกรีต อย่างไรก็ตาม เมอ่ื ย่างเขา้ สู่สมยั ใหม่ เสน้ เขตแดนท่ีชดั เจนก็เร่ิมเกิดกบั ศาสนาต่างๆ ในเอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ อะไรเป็นคริสต,์ อะไรเป็นอสิ ลาม, อะไรเป็นฮินดู และ อะไรเป็นพทุ ธเร่มิ ถกู นิยามใหช้ ดั โดยขจดั ส่งิ ทถ่ี อื ว่า ‚ไมใ่ ช่‛ ออกไป เหยยี ดว่าเป็นความป่าเถอ่ื น บา้ ง, เหยยี ดวา่ เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ บา้ ง อาํ นาจท่ีเขา้ มานิยามน้ีแตกต่างกนั ในแต่ละประเทศในเมืองไทยอาํ นาจดงั กล่าวซอ้ นทบั กบั อาํ นาจของ ผูบ้ รหิ ารรฐั หรอื พดู อกี อยา่ งหน่ึงก็คือผูเ้ป็นใหญ่ในเมอื งไทยนนั้ แหละ ท่เี ป็นผูข้ ดี เสน้ ว่าเป็นพทุ ธตอ้ งเป็นอย่างไร ท่ี อยู่นอกเสน้ นน้ั ออกไปก็ถูกขจดั หรอื อย่างนอ้ ยก็ไมส่ ่งเสริม แต่ในประเทศอ่นื ๆ ส่วนใหญ่ อาํ นาจดงั กล่าวน้ีไม่ไดเ้ป็น อาํ นาจของผูบ้ ริหารรฐั (ซ่งึ เป็นฝรงั่ ) แต่เป็นกลุ่มคนท่อี ยู่นอกอาํ นาจรฐั และในหลายกรณีต่อตา้ นผูถ้ ืออาํ นาจรฐั เสยี ดว้ ย การนิยามขอบเขตของศาสนากนั ใหม่ จนทาํ ใหเ้กิดความชดั เจนว่าแค่ไหนอย่างไรจงึ เป็นคริสต,์ เป็นอิสลาม, เป็นพทุ ธ และเป็นฮนิ ดู จึงทาํ ใหเ้กดิ ‚อาญาสทิ ธ‛ิ์ ทแ่ี ตกต่างจากผูถ้ อื อาํ นาจทางการเมอื งของรฐั ทงั้ ในสมยั ทย่ี งั เป็น อาณานิคม และเป็นเอกราชแลว้ บางครง้ั ก็ต่อตา้ นอาํ นาจรฐั เหมอื นเดมิ อย่างนอ้ ยกเ็ ป็น ‚อาญาสทิ ธ์‛ิ ทเ่ี ป็นอิสระจากรฐั และคานอาํ นาจรฐั ได้ ศาสนาและองคก์ รศาสนาจงึ ยงั มบี ทบาททง้ั ทางการเมอื งและสงั คมในประเทศเหล่านนั้ อยู่ แตกต่างจากพทุ ธ ศาสนาในเมอื งไทย ทบ่ี ทบาททางสงั คมก็เหลอื นอ้ ยลง ในขณะทไ่ี มม่ หี รอื ไมก่ ลา้ มบี ทบาททางการเมอื งเลย ศาสนาแมแ้ ต่ในรฐั สมยั ใหมย่ งั มพี ลงั ทางอุดมการณส์ ูงมาก พลงั ดงั กล่าวนนั้ อาจแบ่งออกไดเ้ป็นสองอย่าง หลกั ๆ อย่างแรกคือเป็นผูว้ างเป้าหมายของชวี ติ ซง่ึ ไปกาํ หนดพฤติกรรมและความนึกคิดของคนอยู่ไม่นอ้ ย อย่างท่ี สองคือศาสนามสี ว่ นอย่างสาํ คญั ในอตั ลกั ษณ์ทผ่ี ูค้ นยดึ ถอื คนไทยเคยชินกบั การทร่ี ฐั เป็นผูก้ าํ หนดทง้ั เป้าหมายของชวี ติ และอตั ลกั ษณ์ ลองคิดดูว่ามอี าํ นาจหรืออาญา สทิ ธ์ิอะไรทเ่ี ป็นอิสระจากรฐั เขา้ มาเป็นผูก้ าํ หนดแทน รฐั จะจอ๋ งลงไปแค่ไหน ฉะนน้ั การมอี าญาสทิ ธ์ิท่ีแยกต่างหาก จากอาญาสทิ ธ์ขิ องรฐั จงึ มนี ยั ยะสาํ คญั ทางการเมอื งอย่างมาก กค็ ิดดูถงึ กองทพั ธรรมของท่านโพธริ กั ษ,์ สงั ฆราชซนิ ผูต้ ่อตา้ นมารโ์ คส, กบฏผา้ เหลอื งในพม่า, มุสลมิ กลุ่มต่างๆ ท่ีต่อรองอาํ นาจกบั ประธานาธิบดีในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะหลงั การล่มสลายของระบอบซูฮารโ์ ต, พรรคปาสในมาเลเซยี กจ็ ะเขา้ ใจนยั ยะสาํ คญั ทางการเมอื งดงั กลา่ ว ไดด้ ี

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๓๙  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ในมมุ ทางศาสนายงั มสี ่ิงท่ีน่าสนใจอีกอย่างหน่ึงซ่ึงเกิดข้นึ ในช่วงประมาณ ๕๐ ปีท่ผี ่านมา หรือหลงั จาก ประเทศในภูมภิ าคน้ีไดอ้ ิสรภาพจากระบอบอาณานิคมแลว้ นนั่ คือการหลงั่ ไหลเขา้ มาของแนวคาํ สอนทางศาสนา ระลอกใหม่ อาจเป็นเพราะมชี าวอษุ าคเนยเ์ ดนิ ทางไปศึกษาในแหลง่ ศาสนาของโลกมากข้นึ เพราะฐานะเศรษฐกจิ ดีข้นึ หรอื แหลง่ ศาสนาในประเทศต่างๆ ทวั่ โลก มกี าํ ลงั ทจ่ี ะใหท้ นุ การศึกษาในรูปต่างๆ เพม่ิ ข้นึ กต็ าม ในบางกรณี ผูร้ ูท้ าง ศาสนาระลอกใหมอ่ าจกลบั มาสรา้ งความขดั แยง้ กบั ผูร้ ูท้ างศาสนารุ่นเก่า ซง่ึ อาจพบไดม้ ากในกรณีอิสลาม เพราะไม่มี องคก์ รนกั บวชอยา่ งเป็นทางการ ในขณะทก่ี ารปะทะกนั ทางความคิดในศาสนาคาทอลกิ ถูกสถานการณบ์ งั คบั ใหต้ อ้ ง ประนีประนอมกนั ในระดบั หน่ึง ก่อนทจ่ี ะเป็นจุดยนื สาธารณะขององคก์ รนกั บวช ขอ้ สงั เกตอย่างทส่ี องกค็ ือ คนทไ่ี ป เรียนศาสนาจนกลายเป็นผูร้ ูท้ างศาสนารุ่นใหม่ จาํ นวนมากไม่ไดเ้ ป็น “ทายาท” ของผูร้ ูร้ ุ่นเก่า แปลว่าความรูท้ าง ศาสนาระลอกใหมน่ ้ีกระจายไปยงั คนกวา้ งขวางกว่าเดมิ ความรูท้ างศาสนาระลอกใหม่น้ีจะกระจายสามารถกระจายไป ในสงั คมวงกวา้ งได้ โดยไม่จาํ เป็นตอ้ งผ่านองคก์ รศาสนาแบบเดิม หากผ่าน ‚ส่อื ‛ สมยั ใหม่อ่นื ๆ มากกว่าปอเนาะ, เซมมนิ าร,ี และโรงเรยี นนกั ธรรม ฉะนนั้ ไม่ว่าศาสนานน้ั ๆ จะมอี งคก์ รนกั บวชหรือไม่ก็ตาม คาํ สอนทางศาสนาในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออก เฉียงใต้ จะไมถ่ กู ‚ผูกขาด‛ โดยคนกลมุ่ ใดกลมุ่ หน่ึงอกี แลว้ เช่นศาสนาฮนิ ดูท่ใี นอนิ เดียนน้ั แตกต่างจากศาสนาฮนิ ดู ในบาหลอี ย่างมาก มคี นบาหลไี ปเรยี นกนั มากเพราะอินเดียเป็นแหล่งกาํ เนิดของศาสนาพราหมณ์ นอกจากน้ีอสิ ลาม ระลอกใหม่ เช่นการนบั เวลาส้นิ สุดเดอื นถอื ศีลอด กอ็ าจทาํ ใหศ้ าสนิกในหม่บู า้ นตอ้ งแยกกนั ออกเป็นสองพวก เพราะ ถอื เวลาไมต่ รงกนั อย่างนอ้ ยท่สี ุดก็สรา้ งอตั ลกั ษณ์ใหมใ่ หเ้กดิ ข้นึ แก่มสุ ลมิ จาํ นวนหน่ึง เช่น การสวมหญิ าบ หรือบุร กา หรือความเคร่งครดั ต่อคาํ สอนมากข้นึ จนไม่ยอมอนุโลมใหแ้ ก่พิธีกรรมและความเช่ือแบบเดิมซ่งึ ครงั้ หน่ึง เคย สอดแทรกอยู่ในชวี ติ ของมสุ ลมิ อษุ าคเนยเ์ ป็นปรกติ อย่างไรกต็ าม ในชวา อนิ โดนีเซยี นน้ั มคี วามแตกต่างอย่างชดั เจนระหว่างแนวทาง (aliran) ความเช่อื ทถ่ี อื ว่า ถูกหลกั อิสลาม กบั แนวทางความเช่อื ท่ผี สมปนเปกบั ฮินดูและความเช่อื พ้ืนเมอื ง (ซ่งึ เรียกว่า Kebatinan) และน่ีคือ ขอ้ สงั เกตประการท่สี ามนนั่ คือ การผสมกลมกลนื ทางศาสนาซ่งึ เคยเป็นลกั ษณะเด่นของอุษาคเนยอ์ าจกาํ ลงั ลดลง เพราะการขยายตวั ของศาสนาระลอกใหม่ กาํ ลงั ทาํ ใหม้ สุ ลมิ อษุ าคเนยไ์ ม่ต่างจากมสุ ลมิ ในตะวนั ออกกลาง, คาทอลกิ อษุ าคเนยไ์ ม่ต่างจากคาทอลกิ ยุโรป ไมท่ ราบสถานการณใ์ นเวยี ดนามพอจะบอกไดว้ ่า ‚สถาบนั ขงจือ๊ ‛ ของจนี มผี ล อย่างไรต่อปราชญเ์ วยี ดนามบา้ ง น่าประหลาดท่กี ลุ่มพทุ ธอุษาคเนยก์ ย็ งั ถนดั ในการดูดกลนื วฒั นธรรมทไ่ี หลเขา้ มาสู่ภมู ภิ าคเหมอื นเดิม แต่ ในขณะเดียวกนั ก็ยงั มคี วามพยายามจะนิยามขอบเขตท่ชี ดั เจนของพทุ ธศาสนาอยู่บา้ ง ในประเทศไทย น่าสนใจท่ผี ู้ นิยามไมใ่ ช่คนของรฐั อยา่ งทเ่ี คยเป็นมาอกี แลว้ แต่เป็นคนทอ่ี ยูช่ ายขอบขององคก์ รสงฆ์ หรอื มฉิ ะนนั้ กถ็ ูกอปั เปหอิ อก จากองคก์ รสงฆเ์ ลย แต่การนิยามใหมน่ ้ีไมเ่ ป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั เพราะไมไ่ ดม้ าจากรฐั และไม่ไดม้ าจากแหล่งกาํ เนิด ศาสนาในอนิ เดยี (ซง่ึ เลกิ นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาไปหลายรอ้ ยปีแลว้ ) ดงั นน้ั พทุ ธท่ี ‚ถูกตอ้ ง‛สาํ นวนเดียวจงึ ไมม่ ใี นสงั คมไทยอีกแลว้ ผูร้ ูต้ ่างสาํ นกั ต่างความคิดต่างนิยามความ ‚ถกู ตอ้ ง‛ ไม่เหมอื นกนั ในทรรศนะท่แี ตกต่างน้ีจะเรียกว่าสายเกินไปแลว้ ท่คี ณะสงฆแ์ ห่งรฐั จะสามารถช่วงชิงการ นิยามพทุ ธท่ี ‚ถกู ตอ้ ง‛ หรอื ‚แทจ้ ริง‛ แต่เพยี งผูเ้ดียวกลบั คืนมาไดอ้ ีกแลว้ แมม้ พี ระภกิ ษุในคณะสงฆท์ ่เี ป็นทางการ

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๔๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง บางรูป อาจมคี วามรูอ้ ย่างลุ่มลึก และพยายามนิยามอย่างนกั วิชาการ คือมหี ลกั ฐานคมั ภีรอ์ า้ งอิงไดท้ ุกบรรทดั ก็ เป็นไดแ้ ต่เพยี งอกี สาํ นวนหน่ึงของพทุ ธศาสนาท่คี นไทยบางกลุ่มใหค้ วามเชอ่ื ถอื เทา่ นน้ั พุทธศาสนาเชิงคมั ภีร์ (Scriptural Buddhism) ซ่ึงเคยเป็นกระแสหลกั ของการปฏิรูปศาสนานบั จาก รชั กาลท่ี ๔ และสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสเป็นตน้ มา กาํ ลงั เส่อื มอิทธิพลลงในพุทธศาสนาไทย และพทุ ธ ศาสนาเชิงประสบการณ์ (Experiential Buddhism) เช่น การจาริกแสวงบุญ, การทาํ กมั มฏั ฐาน, การฟงั เทศน์ มหาชาต,ิ การสรา้ งศาสนสถานและการสรา้ งศาสนวตั ถ,ุ การบรจิ าคทานแก่สงฆใ์ นรูปต่างๆ ฯลฯ อนั เป็นพทุ ธศาสนาท่ี เคยมแี ละปฏบิ ตั กิ นั มาในเมอื งไทยก่อนการปฏริ ูป กาํ ลงั กลบั มาใหม่ และกาํ ลงั กลายเป็นลกั ษณะเด่นของพทุ ธศาสนา ไทย โดยสรุปกค็ อื พระพทุ ธศาสนา (อย่างนอ้ ยในประเทศไทย) ก็ไมต่ ่างจากความเคลอ่ื นไหวทางศาสนาทเ่ี กิดใน ประเทศอ่นื ของอษุ าคเนย์ คือกาํ ลงั ถกู นิยามกนั ใหม่ เพยี งแต่ในกรณีของไทยกระบวนการนิยามไดห้ ลุดจากมอื ของ “ผูร้ ู”้ ทงั้ เก่าและใหมไ่ ปแลว้ และเช่นเดยี วกบั อกี ในหลายประเทศของอษุ าคเนย์ กค็ อื รฐั ไมม่ อี าํ นาจเขา้ มากาํ กบั การ นิยามศาสนาอกี แลว้ ๘.๒ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศศรลี งั กา ๘.๒.๑ ขอ้ มลู พ้นื ฐานของประเทศศรลี งั กา ขอ้ มูลพ้นื ฐานในประเทศศรีลงั กา เช่นขอ้ มูลท่เี ก่ยี วกบั ภูมศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ ประชากร ศาสนา สงั คม เศรษฐกิจ และการเมอื ง เป็นสง่ิ หน่ึงท่จี ะเป็นตวั บ่งช้ีใหเ้ ราทราบไดว้ ่าพระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดเ้ ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อ สงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื งของประเทศศรีลงั กาจรงิ หรอื ไม่ และถา้ มอี ทิ ธพิ ลจริงจะมอี ย่างไรบา้ ง ดงั นน้ั ในเบ้อื ตน้ จึงสมควรศึกษาขอ้ มูลเหล่าน้ีก่อนต่อจากนนั้ จึงนําเสนอเก่ียวกบั อิทธิพลพระพุทธศาสนาเถรวาทท่ีมีต่อ สงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง ในประเทศศรลี งั กาเป็นลาํ ดบั ต่อไป ดงั น้ี ๑) ภมู ิศาสตรข์ องศรลี งั กา ตง้ั อยู่บนเกาะในมหาสมทุ รอินเดยี ทศิ เหนือและทศิ ตะวนั ออกจรดอ่าวเบง็ กอล ทศิ ใตแ้ ละทิศตะวนั ตกจรดมหาสมทุ รอินเดียพ้นื ท่ที ง้ั หมดของประเทศ ๖๕,๖๑๐ ตารางกโิ ลเมตร เมอื งหลวงช่ือกรุง โคลมั โบ ๒) ประวตั ศิ าสตรข์ องศรลี งั กาคมั ภรี ม์ หาวงศซ์ ง่ึ เป็นพงศาวดารและตาํ นานพระพทุ ธศาสนาของศรีลงั กา เล่า ว่าเจา้ ชายวชิ ยั โอรสของพระเจา้ สหี พาหุ กษตั รยิ แ์ ห่งลาฬในชมพูทวปี (อยู่ในเขตแควน้ เบงกอล) ไดเ้สด็จโดยทางเรือ พรอ้ มดว้ ยบรวิ าร ๗๐๐ ข้นึ สู่เกาะลงั กา ซง่ึ ในสมยั นน้ั เรียกว่า “ตมั พปณั ณิ”๑ ในวนั เดยี วกนั กบั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เสด็จสู่ ปรินิพพานถอื ไดว้ ่าเป็นชนเผ่าสงิ หลกลุม่ แรกท่เี ขา้ มาสู่เกาะลงั กา และพระเจา้ วชิ ยั พระองคน์ ้ีไดเ้ป็นกษตั รยิ อ์ งคแ์ รก ในประเทศศรลี งั กา ๑ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๑. ธมมฺ ปทฏฺฐกถา ปฐโม ภาโค.