Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๙๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ จากนนั้ เสดจ็ ออกจากเมอื งเวรญั ชา จาริกผ่านเมอื งโสเรยยะ ผ่านเมอื งท่า ปยาคะ เสด็จออกจากเมอื งโสเรย ยะ ผ่านเมอื งท่าปยายาคะ เสด็จขา้ มแมน่ าํ้ คงคา ท่ที ่าเมอื งปยาคะ แลว้ เสด็จไปยงั เมอื งพาราณสี จากนนั้ เสด็จจาริก ไปนครเวสาลี เขา้ ประทบั ท่กี ฏุ บิ ตั ิ สาํ หรบั พระภกิ ษุเป็นประถม กาํ หนดเป็นปฐมบญั ญตั ิ จดั เขา้ ในอุเทศแห่งพระปาฏิ โมกขใ์ นพระพทุ ธศาสนา ออกพรรษา - เสด็จเมอื งเวสาลโี ดยไม่แวะพกั ท่ใี ด เพราะทรงเห็นว่าพระสงฆล์ า้ จากการฉนั ขา้ วแดง ตลอดพรรษา ขณะ ผ่านเมอื งพาราณสขี า้ มแมน่ าํ้ คงคาท่ที ่านาํ้ ปยาคะ เกิดเร่อื งเอรกปตั ตนาคราช ซ่งึ เคยเกิดเป็นพระภกิ ษุ ไม่แสดงคืน อาบตั ใิ นชาตกิ ่อน - พระนางปชาบดเี ถรี ทูลลานิพพาน ประชมุ เพลงิ - ทรงอนุญาตการอุปสมบท ๘ วธิ ี พรรษาท่ี ๑๓ (ปีระกา) ประทบั จาพรรษา ที่ จาลยิ บรรพต เมอื งจาลยิ า พระชนมายุ ๔๗ พรรษา - เร่อื งพระเมฆยิ ะ ซง่ึ ขณะนน้ั เป็นพทุ ธอุปฏั ฐาก หนีจากพระพทุ ธเจา้ แมพ้ ระพทุ ธเจา้ ตรสั หา้ มกไ็ มเ่ ชอ่ื ฟงั ออกพรรษา - แสดงมงคลสูตร ๓๘ ประการ - แสดงกรณียเมตตาสูตร - เร่อื ง พระพาหยิ ะทารุจริ ยิ ะ - พระอญั ญาโกณฑญั ญะทูลลานิพพาน พรรษาท่ี ๑๔ (ปีจอ) ประทบั จาพรรษา ทวี่ ดั เชตะวนั พระนครสาวตั ถี พระชนมายุ ๔๘ พรรษา - สามเณรราหุลอปุ สมบท - ตรสั ภทั เทกรตั ตคาถา - แสดงนิธิกณั ฑสูตร ออกพรรษา -บญั ญตั วิ ธิ ีกรานกฐนิ -อนุญาตสงฆ์ รบั การปวารณาปจั จยั เภสชั เป็นนิตย์ ในพรรษาน้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั ท่พี ระเชตะวนั มหาวหิ าร เป็นพรรษาแรก มหาวหิ ารแห่งน้ีอนาถบณิ ฑิก เศรษฐี ผูเ้ป็นมหาอบุ าสกคนสาํ คญั สรา้ งถวาย เป็นมหาวหิ ารทใ่ี หญ่โตยงั ความสะดวกและความสงบไดย้ ่งิ กว่าวหิ ารใด ในชมพูทวีป พระพุทธเจา้ ทรงประทบั พรรษาอยู่ ณ มหาวหิ ารแห่งน้ีถงึ ๑๙ ฤดูฝน พระธรรมส่วนใหญ่แสดงทม่ี หา วหิ ารแห่งน้ี พรรษาท่ี ๑๕ (ปี กนุ ) ประทบั จาพรรษา ณ นิโครธาราม นครกบลิ พสั ดุ์ พระชนมายุ ๔๙ ปี

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๙๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง - เจา้ ศากายะถวายสณั ฐาคาร - แสดงสปั ปรุ สิ ธรรม ๗ ประการ - เรอ่ื งพระเจา้ สุปปพทุ ธะขวางทางพระพทุ ธเจา้ ถกู ธรณีสูบลงนรกอเวจอี อกพรรษา ไมป่ รากฏหลกั ฐาน ในพรรษาท่ี ๑๕ น้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาทน่ี ิโครธารามอาราม ท่พี ระญาติสรา้ งถวายอยู่ใกลน้ รก บลิ พสั ดุ์ เมอื งหลวงของแควน้ สกั กะหรอื ศากยะ ทไ่ี ดว้ ่า \"กบลิ พสั ดุ\"์ เพราะเดิมเป็นท่อี ยู่ของกบลิ ดาบส ซ่งึ เดิมอยู่ใน ดงไมส้ กั กะ หมิ พานตป์ ระเทศ พระราชบุตรและพระราชบุตรี ของพระเจา้ โอกการาชพากนั ไปสรา้ งพระนครใหมใ่ นท่ี อยู่ของกบลิ ดาบส จงึ ขนานนามวา่ \"กบลิ พสั ดุ\"์ แปลว่า ทอ่ี ยู่หรอื ทด่ี นิ ของกบลิ ดาบส พรรษาท่ี ๑๖ (ปี ชวด) ประทบั จาพรรษา ณ อคั คาฬวเจดียว์ หิ าร เมอื งอาฬวี ในพรรษาท่ี ๑๖ น้ี พระพทุ ธเจา้ พระชนมายุ ๕๐ พรรษา เสด็จมายงั เมอื งอาฬวี ทรงแสดงพทุ ธอทิ ธานุภาพ ปราบฤทธ์เิ ดชของอาฬวกยกั ษ์ ทรงพยากรณแ์ กป้ ญั หาทอ่ี าฬวกยกั ษท์ ูลถาม ทาํ ใหอ้ าฬวกเกดิ ปญั ญาเหน็ แจง้ ในธรรม ส้ินความโหดรา้ ย ตง้ั อยู่ในภูมิโสดาปตั ติผลมอบตนลงเป็นทาสพระรตั นตรยั ตง้ั มนั่ อยู่ในอริยธรรม ทรงช่วยให้ ประชากรชาวเมอื งอาฬวตี งั้ อยู่ในกลั ยาณธรรมใหเ้ป็นสมาบตั ิปลุกใหเ้กิดความเมตตาปรานีกนั ทวั่ หนา้ พรรษาท่ี ๑๗ (ปีฉล)ู ประทบั จาพรรษา ณ พระเวฬวุ นั วหิ าร พระนครราชคฤห์ ในพรรษาท่ี ๑๗ น้ี พระพทุ ธเจา้ มี พระชนมายุ ๕๑ ปี เสด็จกลบั ไปประทบั จาํ พรรษา ณ พระเวฬุวนั วหิ าร พระนครราชคฤห์ อนั เป็นสงั ฆารามแห่งแรกในพระพทุ ธศาสนาอีกครง้ั หน่ึง๖๘ - โปรดอภยั กมุ าร พระทพั พมลั ลบตุ ร ทูลลานิพพาน ออกพรรษา - พระวกั กลิ ถกู พระพทุ ธเจา้ ตาํ หนิอยา่ งแรง จงึ หนีจะไปโดดเขาตายทเ่ี หวโจรปปาตะ (เหวท้งิ โจร) พรรษาท่ี ๑๘-๑๙ (ปี ขาล-เถาะ) ประทบั จาํ พรรษา ทจ่ี าลกิ บรรพตเมอื งจาลกิ า โปรดชาวเมอื งจาลกิ า ในพรรษาท่ี ๑๘ และพรรษาท่ี ๑๙ น้ี พระพทุ ธเจา้ มพี ระชนมายุ ๕๒ ปี ทรงเสด็จกลบั ไปประทบั จาํ พรรษา ณ จาลติ บรรพต ซง่ึ พระบรมศาสดาเคยประทบั จาํ พรรษามาแลว้ ในพรรษาท่ี ๑๓ ออกพรรษา - เสดจ็ เมอื งอาฬาวี ครงั้ ท่ี ๒ - โปรดธดิ าช่างหูก ใหบ้ รรลุโสดาปตั ตผิ ล - ช่างหูกผูเ้ป็นบดิ าขอบวชสาํ เรจ็ เป็นอรหนั ต์ - ตรสั อรยิ ทรพั ย์ ๗ ประการ ๖๘ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๕๙/๗๑-๗๒.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๙๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พรรษาท่ี ๑๙ จาํ พรรษาทจ่ี าลกิ บรรพต เขตเมอื งจาลกิ า อายุ ๕๓ ปี - โปรดชาวเมอื งจาลกิ า ออกพรรษา - เรอ่ื งสนั ตตมิ หาอาํ มาตยบ์ รรลอุ รหตั ตผลแลว้ นิพพาน พรรษาท่ี ๒๐ (ปีมะโรง) ประทบั จาพรรษา ณ พระเวฬวุ นั วหิ าร พระนครราชคฤห์ ในพรรษาน่ีพระพทุ ธเจา้ มพี ระชนมายุ ๕๔ พรรษา ทรงเสดจ็ กลบั มาประทบั จาํ พรรษา ณ สงั ฆารามแห่ง แรกน้ีเป็นการประทบั จาํ พรรษาสุดทา้ ยของพระพทุ ธเจา้ ณ พระเวฬวุ นั วหิ าร พระบรมศาสดาทรงโปรดองคุลมิ าลโจร ใหก้ ลบั ใจไดข้ อบวชและต่อมากไ็ ดส้ าํ เรจ็ พระอรหตั ในลาํ ดบั กาลพรรษาน้ี พระอานนทไ์ ดร้ บั หนา้ ทเ่ี ป็นพทุ ธอปุ ฏั ฐาก ประจาํ พระองคพ์ ระพทุ ธเจา้ - โปรดมหาโจรองคลุ มิ าล - พระอานนทไ์ ดร้ บั หนา้ ทเี่ ป็นพทุ ธอปุ ฏั ฐากประจา - พระอานนทท์ ูลขอพร ๘ ประการ ประวตั ิพระองคุลมี าลเถระ๖๙ กาํ เนิดอหงิ สกกมุ าร๗๐ สมยั หน่ึง พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถี สมยั นนั้ แล ในแควน้ ของพระเจา้ ปเสนทโิ กศล มโี จรช่ือองคุลมิ าล เป็นคนหยาบชา้ มฝี ่ามอื เป้ือนเลอื ด ชอบฆ่าคน ไม่มี ความกรุณาในสตั วท์ ง้ั หลาย โจรองคุลมิ าลนนั้ ก่อกวนชาวบา้ นบา้ ง ชาวนิคมบา้ ง ชาวชนบทบา้ งใหเ้ ดือดรอ้ นไปทวั่ เขาเขน่ ฆ่ามนุษยแ์ ลว้ ตดั เอาน้ิวมอื รอ้ ยเป็นพวงมาลยั สวม (คอ) ไว้ ครนั้ เวลาเชา้ พระผูม้ พี ระภาคทรงครองอนั ตรวาสกถอื บาตรและจีวร เสด็จเขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั กรุงสาวตั ถี ทรงเท่ียวบณิ ฑบาตในกรุงสาวตั ถีแลว้ เสด็จกลบั จากบณิ ฑบาตภายหลงั เสวยพระกระยาหารเสร็จแลว้ ทรงเก็บงาํ เสนาสนะ ถอื บาตรและจีวรเสด็จไปตามทางท่โี จรองคุลมิ าลซุ่มอยู่ พวกคนเล้ยี งโค พวกคนเล้ยี งสตั ว์ พวกชาวนาท่ี เดนิ มาพบพระผูม้ พี ระภาคผูเ้สด็จไปตามทางท่โี จรองคุลมิ าลซุ่มอยู่ จึงกราบทูลพระผูม้ พี ระภาคว่า ๐ขา้ แต่พระสมณะ อย่าเสดจ็ ไปทางนน้ั ในทางนน้ั มโี จรช่อื องคุลมิ าล เป็นคนหยาบชา้ มฝี ่ามอื เป้ือนเลอื ด ชอบฆ่าคน ไมม่ คี วามกรุณาใน สตั วท์ งั้ หลาย โจรองคุลมิ าลนน้ั ก่อกวนชาวบา้ นบา้ ง ชาวนิคมบา้ ง ชาวชนบทบา้ ง ใหเ้ดอื ดรอ้ นไปทวั่ เขาเข่นฆ่ามนุษย์ แลว้ ตดั เอาน้ิวมอื รอ้ ยเป็นพวงมาลยั สวมไว้ ขา้ แต่พระสมณะ คนท่จี ะเดินทางน้ีตอ้ งรวมพวกกนั ใหไ้ ด้ ๑๐ คนบา้ ง ๒๐ คน บา้ ง ๓๐ คนบา้ ง ๔๐ คนบา้ ง ๕๐ คนบา้ ง แมก้ ระนนั้ กย็ งั ตกอยูใ่ นเง้อื มมอื ของโจรองคุลมิ าลจนได๑้ เมอ่ื คนพวกนนั้ กราบทูลอย่างน้ีแลว้ พระผูม้ พี ระภาคทรงน่ิงเฉย เสดจ็ ต่อไป แมค้ รงั้ ท่ี ๒ ....แมค้ รงั้ ท่ี ๓ .... ๖๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๔๗/๔๒๑. ๗๐ ข.ุ ธ.(บาล)ี ๖/๓๗.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๙๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ครงั้ นน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงน่ิงเฉยเสดจ็ ต่อไป โจรองคุลมิ าลไดเ้หน็ พระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ มาแต่ไกล ไดค้ ิด วา่ “น่าอศั จรรยจ์ ริง ไมเ่ คยปรากฏ คนทเี่ ดินมาทางน้ี จะตอ้ งรวมพวกกนั ใหไ้ ด้ ๑๐ คนบา้ ง ๒๐ คนบา้ ง ๓๐ คนบา้ ง ๔๐ คนบา้ ง ๕๐ คนบา้ ง แมก้ ระนนั้ ก็ยงั ตกอยู่ในเง้อื มมอื ของเรา แต่ทาไม สมณะน้ีเพียงรูปเดียว ไม่มเี พอื่ นสกั คน ชะรอยจะมาข่มเรา ทางทีด่ ี เราพงึ ฆ่าสมณะรูปน้ีเสยี ” ลาํ ดบั นนั้ โจรองคุลมิ าลถอื ดาบและโล่ผูกสอดแลง่ ธนูไวพ้ รอ้ ม ติดตามพระผูม้ พี ระภาคไปทางเบ้อื งพระปฤษฎางค์ พระผูม้ พี ระภาคทรงบนั ดาลอิทธาภสิ งั ขาร๗๑ โดยวิธีท่โี จรองคุ ลมิ าลจะว่ิงจนสุดกาํ ลงั ก็ไม่สามารถจะตามทนั พระผูม้ พี ระภาคผูเ้ สด็จไปตามปกติได้ ครงั้ นนั้ โจรองคุลมิ าลไดม้ ี ความคิดวา่ ๐น่าอศั จรรยจ์ รงิ ไมเ่ คยปรากฏ เมอ่ื ก่อนแมช้ า้ งทก่ี าํ ลงั วง่ิ มา้ ทก่ี าํ ลงั วง่ิ รถทก่ี าํ ลงั แล่น เน้ือทก่ี าํ ลงั วง่ิ เราก็ ยงั ว่งิ ตามทนั จบั ได้ แต่เราว่งิ จนสุดกาํ ลงั ยงั ไม่ทนั สมณะรูปน้ีซ่งึ เดินตามปกติได๑้ จึงหยุดยืนกล่าวกบั พระผูม้ พี ระ ภาคว่า ‚หยุดก่อน สมณะ หยุดก่อนสมณะ‛ พระผูม้ ีพระภาคตรสั ว่า ‚เราหยุดแลว้ องคุลิมาล ท่านต่างหากจง หยุด‛๗๒ จากนนั้ โจรองคุลมิ าลคิดว่า ๐สมณะเหล่าน้ีเป็นศากยบุตรมกั เป็นคนพูดจรงิ มปี ฏิญญาจริง แต่สมณะรูปน้ี เดนิ ไปอยูแ่ ท้ ๆ กลบั พดู วา่ ๎เราหยุดแลว้ องคุลมิ าล ท่านต่างหากจงหยุด๏ ทางทด่ี ี เราควรจะถามสมณะรูปน้ีดู๑ องคุลมิ าลละพยศ ลาํ ดบั นน้ั โจรองคุลมิ าล ไดถ้ ามพระผูม้ พี ระภาค ดว้ ยคาถาวา่ ๐สมณะ ท่านกาํ ลงั เดนิ ไป ยงั กล่าวว่า ๎เราหยุดแลว้ ท่านต่างหากยงั ไม่หยุด๏ กลบั กลา่ วหาขา้ พเจา้ ผูห้ ยุดแลว้ วา่ ยงั ไมห่ ยุด สมณะ ขา้ พเจา้ ขอถามเน้ือความน้ีกบั ท่าน ทา่ นหยุดอยา่ งไร ขา้ พเจา้ ไมห่ ยุดอยา่ งไร๑ พระผูม้ พี ระภาค ตรสั ตอบว่า ๐องคุลมิ าล เราวางอาชญาในสรรพสตั วไ์ ดแ้ ลว้ จึงช่ือว่าหยุดแลว้ ตลอดกาล ส่วนท่านไมส่ าํ รวมในสตั วท์ ง้ั หลายเพราะฉะนนั้ เราจงึ ชอ่ื ว่าหยุดแลว้ ส่วนทา่ นสชิ ่อื ว่ายงั ไมห่ ยุด๑ โจรองคลุ มิ าลกล่าวว่า ๐สมณะ นานจรงิ หนอ ท่านผูท้ เ่ี ทวดา และมนุษยบ์ ูชาแลว้ ผูแ้ สวงหาคุณอนั ย่งิ ใหญ่ เสด็จมาถงึ ป่าใหญ่เพ่อื อนุเคราะหข์ า้ พระองค์ ขา้ พระองคน์ นั้ จกั ละการทาํ บาป เพราะฟงั คาถาอนั ประกอบดว้ ยธรรม ของพระองค๑์ โจรองคลุ มิ าล ไดก้ ลา่ วอยา่ งน้ีแลว้ ท้งิ ดาบและอาวุธลงในเหวลกึ มหี นา้ ผาชนั ๗๑ ดูรายละเอยี ดใน ม.ม.อ.(บาล)ี ๓/๓๗๔. (ปปญั จสูททน)ี อทิ ธาภสิ งั ขาร ในทน่ี ้หี มายถงึ ทรงบนั ดาลฤทธ์ิโดยประการต่างๆ เช่น ย่อหนทาง ใหส้ น้ั เพอ่ื ทรงดาํ เนนิ ไดเ้ร็ว บนั ดาลใหม้ หาปฐพเี ป็นลูกคลน่ื ใหญ่ ขวางองคลุ มิ าลไมใ่ หต้ ามพระองคท์ นั หรือบนั ดาลใหม้ เี ถาวลั ยก์ น้ั พระองคไ์ ว้ เป็นตน้ .... (อทิ ฺธาภสิ งฺขารํ อภสิ งฺขาเรสตี ิ มหาปฐวึ อมุ มฺ โิ ย อฏุ ฐฺ าเปนฺโต วยิ สงฺหริตฺวา อปรภาเค อกฺกมติ ฯ โอรภาเค วลโิ ย นิกขฺ มนฺติ ฯ องฺคุลมิ าโล สรกฺเขปมตฺตํ มํุ ฺจติ ฺวา คจฺฉติ ฯ ภควา ปุรโต มหนฺตํ องฺคณํ ทสฺเสตฺวา สยํ มชฺเฌ โหติ โจโร อนฺเต ฯ โส อิทานิ นํ ปาปุณิตฺวา คณฺหสิ ฺสามตี ิ สพฺพถาเมน ธาวติ ฯ ภควา องฺคณสฺส ปาริมนฺเต โหติ โจโร มชเฺ ฌ ฯ โส เอตฺถ นํ ปาปณุ ิตฺวา คณฺหสิ ฺสามตี ิ เวเคน ธาวติ ฯ ภควา ตสฺส ปรุ โต มาตกิ ํ วา ถลํ วา ทสฺเสติ ฯ เอเต นุปาเยน ตณี ิ โยชนานิ คเหตวฺ า อคมาสิ ฯ โจโร กลิ มิ ฯ มเุ ข เขโฬ สสุ ฺสิ ฯ กจฺเฉหิ เสทา มจุ จฺ สึ ุ ฯ อถสฺส อจฉฺ ริยํ วต โภติ เอตทโหสิ ฯ ๗๒ ฐโิ ต ว ภควนฺตํ เอตทโวจ ๐ตฏิ ฺฐ สมณ ติฏฺฐ สมณาติ ฯ ๐ฐโิ ต อหํ องฺคุลมิ าล ตฺวํฺจ ติฏฺฐาติ ฯ อา้ งใน ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๒๔/๔๗๙. สฺ ยามรฏฐฺ เตปิฏก.ํ

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๙๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ โจรองคุลมิ าล ไดถ้ วายอภิวาทพระบาททง้ั สองของพระสุคตแลว้ ทูลขอบรรพชากบั พระสุคต ณ ท่นี น้ั เอง พระพทุ ธเจา้ ทรงประกอบดว้ ยพระกรุณาคุณ ทรงแสวงหาคุณอนั ย่งิ ใหญ่ เป็นศาสดาของโลกพรอ้ มทง้ั เทวโลก ได้ ตรสั กบั โจรองคุลมิ าลในเวลานน้ั ว่า ๐เธอจงเป็นภกิ ษุมาเถดิ ๑ น้ีแลเป็นภกิ ษุภาวะของโจรองคุลมิ าลนนั้ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลเขา้ เฝ้ า ครงั้ นน้ั พระผูม้ พี ระภาคมที ่านพระองคุลมิ าล เป็นปจั ฉาสมณะเสดจ็ หลกี จาริกไปทางกรุงสาวตั ถี ทรงเทย่ี ว จาริกไปโดยลาํ ดบั เสดจ็ ถึงกรุงสาวตั ถแี ลว้ ไดย้ นิ ว่า ณ ทน่ี นั้ พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของ อนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถี สมยั นน้ั หมชู่ นจาํ นวนมากประชุมกนั อยู่ท่ปี ระตูพระราชวงั ของพระเจา้ ปเสนทิ โกศล ส่งเสยี งดงั อ้อื องึ ว่า ๐ขา้ แต่สมมติเทพ ในแควน้ ของพระองคม์ โี จรช่อื องคุลมิ าล เป็นคนหยาบชา้ มฝี ่ามอื เป้ือน เลอื ด ชอบฆ่าคน ไมม่ คี วามกรุณาในสตั วท์ งั้ หลาย โจรองคุลมิ าลนนั้ ก่อกวนชาวบา้ นบา้ ง ชาวนิคมบา้ ง ชาวชนบท บา้ งใหเ้ดอื ดรอ้ นไปทวั่ เขาเข่นฆ่า พวกมนุษยแ์ ลว้ ตดั เอาน้ิวมอื รอ้ ยเป็นพวงมาลยั สวมไว้ ขอสมมตเิ ทพจงทรงกาํ จดั มนั เสยี เถดิ ๑ ต่อมา พระเจา้ ปเสนทโิ กศล เสดจ็ ออกจากกรุงสาวตั ถี ดว้ ยขบวนมา้ ประมาณ ๕๐๐ ตวั เสดจ็ เขา้ ไปทางพระ อารามแต่ยงั วนั ทเี ดยี ว เสดจ็ ไปจนสุดทางทย่ี านพาหนะจะไปไดแ้ ลว้ ลงจากยาน เสด็จพระราชดาํ เนินดว้ ยพระบาทเขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ถวายอภวิ าทพระผูม้ พี ระภาคแลว้ ประทบั นงั่ ณ ทส่ี มควร พระผูม้ พี ระภาคตรสั ถามพระเจา้ ปเสนทโิ กศลว่า ๐มหาบพติ ร เจา้ แผ่นดินมคธจอมเสนา ทรงพระนามว่าพมิ พสิ าร ทรงทาํ ใหพ้ ระองคท์ รงขดั เคือง เจา้ ลจิ ฉวี เมอื งเวสาลหี รือพระราชาผูเ้ป็นปฏปิ กั ษเ์ หลา่ อ่นื ทรงทาํ ใหพ้ ระองคข์ ดั เคอื งหรอื ๑ พระเจา้ ปเสนทิโกศล กราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ เจา้ แผ่นดินมคธจอมเสนา ทรงพระนามว่าพิม พิสาร มิไดท้ รงทาํ ใหห้ ม่อมฉันขดั เคือง แมเ้ จา้ ลิจฉวี ผูค้ รองกรุงเวสาลี ก็มิไดท้ รงทาํ ใหห้ ม่อมฉนั ขดั เคือง แม้ พระราชาทเ่ี ป็นปฏปิ กั ษเ์ หลา่ อ่นื ก็มไิ ดท้ รงทาํ ใหห้ ม่อมฉนั ขดั เคืองเช่นกนั ในแควน้ ของหมอ่ มฉนั มโี จรช่อื องคุลมิ าล เป็นคนหยาบชา้ มฝี ่ามอื เป้ือนเลอื ด ชอบฆ่าคน ไม่มคี วามกรุณาในสตั วท์ งั้ หลาย โจรองคุลมิ าลนนั้ ก่อกวนชาวบา้ น บา้ ง ชาวนิคมบา้ ง ชาวชนบทบา้ งใหเ้ดอื ดรอ้ นไปทวั่ เขาเข่นฆ่าพวกมนุษยแ์ ลว้ ตดั เอาน้ิวมอื รอ้ ยเป็นพวงมาลยั สวมไว้ หมอ่ มฉนั จกั ไปกาํ จดั มนั เสยี ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐มหาบพติ ร ถา้ พระองคจ์ ะพงึ พบองคุลมิ าลผูโ้ กนผม และหนวดนุ่งห่มผา้ กาสาว พสั ตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชติ เวน้ จากการฆ่าสตั ว์ เวน้ จากการลกั ทรพั ย์ เวน้ จากการพดู เท็จ ฉนั ภตั ตาหาร ม้อื เดยี ว เป็นพรหมจารี มศี ีล มกี ลั ยาณธรรม พระองคส์ มควรจะจดั การกบั เขาเช่นไร๑ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลกราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ หมอ่ มฉนั ควรกราบไหว้ ลุกรบั นิมนตใ์ หน้ งั่ หรือ เจาะจงนิมนตท์ ่านดว้ ยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะและคิลานปจั จยั เภสชั บริขาร หรือควรจดั การอารกั ขาคุม้ ครอง ป้องกนั ตามความเหมาะสม ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ แต่โจรองคุลมิ าลนนั้ เป็นคนทศุ ีล มบี าปธรรม จกั มคี วามสาํ รวมดว้ ยศีลเหน็ ปานน้ีได้ ทไ่ี หน๑

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๙๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ สมยั นนั้ ท่านพระองคุลมิ าลนงั่ อยูใ่ นทไ่ี มไ่ กลจากพระผูม้ พี ระภาค พระผูม้ พี ระภาคจึงทรงยกพระหตั ถเ์ บ้อื ง ขวาข้นึ ช้ตี รสั บอกพระเจา้ ปเสนทโิ กศลว่า ๐มหาบพติ ร นนั่ คือองคุลมิ าล๑ ทนั ใดนนั้ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลทรงมคี วาม กลวั มคี วามหวาดหวนั่ มพี ระโลมชาตชิ ูชนั (มขี นพองสยองเกลา้ ) พระผูม้ พี ระภาคทรงทราบว่า พระเจา้ ปเสนทโิ กศล ทรงกลวั ทรงหวาดหวนั่ มพี ระโลมชาตชิ ชู นั จงึ ตรสั กบั พระเจา้ ปเสนทโิ กศลว่า ๐อย่าทรงกลวั เลย มหาบพติ ร อย่าทรง กลวั เลย มหาบพติ ร องคุลมิ าลน้ีไมม่ อี นั ตรายต่อพระองค๑์ จากนน้ั พระเจา้ ปเสนทโิ กศลทรงระงบั ความกลวั ความหวาดหวนั่ หรือพระ-โลมชาติท่ชี ูชนั ไดแ้ ลว้ จึงเสด็จ เขา้ ไปหาทา่ นพระองคุลมิ าลถงึ ทอ่ี ยู่ แลว้ ไดต้ รสั ถามท่านพระองคุลมิ าลว่า ๐พระคุณเจา้ ช่อื ว่าองคุลมิ าล ใช่ไหม๑ ท่าน พระองคุลมิ าลถวายพระพรว่า ๐ใช่ มหาบพติ ร๑ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลตรสั ถามว่า ๐บดิ าของพระคุณเจา้ มโี คตรอย่างไร มารดา ของพระคุณเจา้ มโี คตรอย่างไร๑ ท่านพระองคุลมิ าลถวายพระพรว่า ๐มหาบพติ ร บดิ าช่อื คคั คะ มารดาช่อื มนั ตานี๑ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลตรสั ว่า ๐ขอพระคุณเจา้ คคั คมนั ตานีบุตรจงอภริ มยเ์ ถิดโยมจกั ทาํ ความขวนขวายเพ่อื ถวายจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจั จยั เภสชั บริขารแด่พระคุณเจา้ คคั คมนั ตานีบุตรเอง๑ สมยั นน้ั ท่านพระ องคุลมิ าลถอื การอยู่ป่าเป็นวตั ร ถอื การเท่ยี วบณิ ฑบาตเป็นวตั ร ถอื ผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร ถอื ไตรจวี รเป็นวตั ร ครง้ั นนั้ ท่านพระองคุลมิ าลจึงถวายพระพรพระเจา้ ปเสนทิโกศลว่า ๐อย่าเลย มหาบพิตร ไตรจวี รของอาตมภาพมคี รบแลว้ ๑ ครงั้ นนั้ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลเสดจ็ เขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ถวายอภวิ าทแลว้ จึงประทบั นงั่ ณ ท่สี มควร ไดก้ ราบทลู พระผูม้ พี ระภาควา่ ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ น่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่เคยปรากฏ พระผูม้ พี ระภาคทรงฝึกบุคคล ทใ่ี ครๆ ฝึกไม่ได้ ทรงทาํ บุคคลทใ่ี ครๆ ทาํ ใหส้ งบไม่ไดใ้ หส้ งบได้ ทรงทาํ บุคคลท่ใี ครๆ ดบั ไม่ไดใ้ หด้ บั ได้ เพราะว่า หมอ่ มฉนั ทงั้ ทม่ี อี าชญา มศี สั ตราอยู่พรอ้ มกไ็ มส่ ามารถจะฝึกผูใ้ ดได้ แต่พระผูม้ พี ระภาคไมม่ อี าชญา ไมม่ ศี สั ตราเลย ยงั ฝึกผูน้ นั้ ได้ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ ถา้ เช่นนนั้ บดั น้ี หม่อมฉนั ขอทูลลากลบั เพราะมกี ิจมีหนา้ ท่ที ่ีจะตอ้ งทาํ อีก มาก๑๗๓ พระผูม้ ีพระภาคตรสั ว่า ๐ขอมหาบพติ รจงกาํ หนดเวลาท่สี มควร ณ บดั น้ีเถิด๑ ลาํ ดบั นน้ั พระเจา้ ปเสนทิ โกศลทรงลุกจากทป่ี ระทบั ถวายอภวิ าทพระผูม้ พี ระภาคกระทาํ ประทกั ษณิ แลว้ เสดจ็ จากไป พระองคุลมิ าลโปรดหญิงมีครรภ์ ครนั้ เวลาเชา้ ท่านพระองคุลมิ าลครองอนั ตรวาสกถือบาตรและจีวรเขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั กรุงสาวตั ถี กาํ ลงั เทย่ี วบณิ ฑบาตไปตามลาํ ดบั ตรอกอยู่ในกรุงสาวตั ถไี ดเ้หน็ สตรคี นหน่ึงมคี รรภแ์ ก่ใกลค้ ลอด จงึ คิดว่า ๐สตั วท์ งั้ หลาย ย่อมเศรา้ หมองหนอ สตั วท์ งั้ หลายย่อมเศรา้ หมองหนอ๑ จากนน้ั ท่านพระองคุลมิ าลกเ็ ท่ยี วบณิ ฑบาตในกรุงสาวตั ถี กลบั จากบณิ ฑบาตภายหลงั ฉนั ภตั ตาหารเสรจ็ แลว้ เขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ท่ปี ระทบั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ท่ี สมควร ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาควา่ ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ขอประทานวโรกาส เชา้ วนั น้ี ขา้ พระองคค์ รองอนั ตรวา สกถอื บาตรและจีวรเขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั กรุงสาวตั ถี กาํ ลงั เท่ยี วบณิ ฑบาตไปตามลาํ ดบั ตรอกอยู่ในกรุงสาวตั ถี ไดเ้หน็ ๗๓ ราชา ปเสนทิ โกสโล ภควนฺตํ เอตทโวจ อจฉฺ รยิ ํ ภนฺเต อพภฺ ูตํ ภนฺเต ยาวํฺจทิ ํ ภนฺเต ภควา อทนฺตานํ ทเมตา อสเมนฺตานํ สเมตา อปฺปริ นพิ พฺ ตุ านํ ปรนิ พิ พฺ าเปตา ยํ หิ มยํ ภนฺเต นาสกฺขมิ หฺ า ทณฺเฑนปิ สตเฺ ถนปิ ทเมตุํ โส ภควตา อทณฺเฑน อสตเฺ ถน ทนฺโต หนฺททานิ มยํ ภนฺเต คจฺฉาม พหุ กจิ จฺ า มยํ พหุกรณียาติ ฯ ยสฺสทานิ มหาราช กาลํ มํฺญสตี ิ อา้ งถงึ ใน ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๒๙/๔๘๔. สฺยามรฏฐฺ เตปิฏก.ํ

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๙๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง สตรีมคี รรภแ์ ก่ใกลค้ ลอดคนหน่ึง จึงคิดว่า ๎สตั วท์ ง้ั หลายย่อมเศรา้ หมองหนอ สตั วท์ ง้ั หลายย่อมเศรา้ หมองหนอ๏ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐องคุลมิ าล ถา้ เช่นนน้ั เธอจงเขา้ ไปหาสตรีนนั้ ถงึ ท่อี ยู่แลว้ กล่าวอย่างน้ีว่า ‚ยโตห ภคนิ ิ ชาโต นาภชิ านามิ สญฺจจิ ฺจ ปาณ ชีวติ า โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตถฺ ิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺสาติ‛ ๎นอ้ งหญิง ตงั้ แต่อาตมภาพเกดิ มา ไม่เคยรูว้ ่าจงใจปลงชีวติ สตั วเ์ ลย ดว้ ยสจั จวาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมแี ก่เธอ ขอความสวสั ดี จงมแี ก่ทารกในครรภข์ องเธอเถดิ ๑ ทา่ นพระองคุลมิ าลกราบทูลว่า ๐กก็ ารพดู เช่นนนั้ จกั เป็นอนั ว่าขา้ พระองคก์ ล่าวเทจ็ ทงั้ ทร่ี ูเ้ป็นแน่ เพราะขา้ พระองคเ์ คยจงใจปลงชวี ติ สตั วเ์ สยี มากต่อมากพระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐องคุลมิ าล ถา้ เช่นนน้ั เธอจงเขา้ ไปหาสตรีนนั้ ถึงท่อี ยู่แลว้ กล่าวอย่างน้ีว่า ๎นอ้ ง หญงิ ตงั้ แต่อาตมภาพเกิดมาโดยอริยชาติ ไมเ่ คยรูว้ ่า จงใจปลงชวี ติ สตั วเ์ ลย ดว้ ยสจั จวาจาน้ี ขอความสวสั ดีจงมแี ก่ เธอ ขอความสวสั ดี จงมแี ก่ทารกในครรภข์ องเธอเถดิ ๑ ทา่ นพระองคุลมี าลทูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ เขา้ ไปหาหญงิ นนั้ ถงึ ท่อี ยู่แลว้ ไดก้ ล่าวว่า ๐นอ้ งหญงิ ตงั้ แต่อา ตมภาพเกิดมาโดยอริยชาติ ไม่เคยรูว้ ่าจงใจปลงชีวิตสตั วเ์ ลย ดว้ ยสจั จวาจาน้ี ขอความสวสั ดีจงมแี ก่เธอ ขอความ สวสั ดีจงมแี ก่ทารก ในครรภข์ องเธอเถดิ ๑ ทนั ใดนน้ั ความสวสั ดีไดม้ แี ก่สตรีนน้ั ความสวสั ดไี ดม้ แี ก่ทารกในครรภ์ ของสตรนี นั้ แลว้ พระองคลุ มิ าลบรรลอุ รหตั ตผล ต่อมา ท่านพระองคุลมิ าล หลกี ออกไปอยู่รูปเดียว ไมป่ ระมาท มคี วามเพยี รอุทศิ กายและใจอยู่ ไมน่ านนกั ก็ทาํ ใหแ้ จง้ ซง่ึ ประโยชนย์ อดเย่ยี มอนั เป็นท่สี ุดแห่งพรหมจรรย์ ท่เี หล่ากุลบตุ รผูอ้ อกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิตโดย ชอบตอ้ งการ ดว้ ยปญั ญาอนั ย่งิ เองเขา้ ถงึ อยู่ในปจั จุบนั รูช้ ดั ว่า “ชาติส้นิ แลว้ อยู่จบพรหมจรรยแ์ ลว้ ทากิจทคี่ วรทา เสร็จแลว้ ไม่มีกิจอืน่ เพือ่ ความเป็นอย่างน้ีอีกต่อไป” ท่านพระองคุลิมาล ไดเ้ ป็นพระอรหนั ตอ์ งคห์ น่ึงบรรดาพระ อรหนั ตท์ งั้ หลาย ครนั้ เวลาเชา้ ท่านพระองคุลมิ าลครองอนั ตรวาสกถอื บาตรและจวี รเขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั กรุงสาวตั ถี สมยั นนั้ กอ้ นดนิ ทบ่ี ุคคลทงั้ หลายขวา้ งไปทางอ่นื กม็ าตกลงท่กี ายของท่านพระองคุลมิ าล ท่อนไมท้ ่บี ุคคลทง้ั หลายขวา้ งไปทาง อ่นื กม็ าตกลงทก่ี ายของทา่ นพระองคุลมิ าล กอ้ นกรวดทบ่ี คุ คลทงั้ หลายขวา้ งไปทางอ่นื ก็มาตกลงท่กี ายของท่านพระอง คุลมิ าล ท่านพระองคุลมิ าลมีศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผา้ สงั ฆาฏิก็ขาด เขา้ ไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคถึงท่ี ประทบั พระผูม้ พี ระภาคไดท้ อดพระเนตรเหน็ ท่านพระองคุลมิ าล กาํ ลงั เดนิ มาแต่ไกล ไดต้ รสั กบั ท่านพระองคุลมิ าล ว่า ๐อายสฺมนฺตํ องฺคุลมิ าลํ เอตทโวจ อธวิ าเสหิ ตฺวํ พฺราหฺมณ อธิวาเสหิ ตฺวํ พรฺ าหฺมณ ยสฺส โข ตฺวํ กมมฺ สฺส วิปา เกน พหูนิ วสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตานิพหูนิ วสฺสสหสฺสานิ นิรเย ปเจยยฺ าสิ ตสฺส ตวฺ ํ พราหฺมณกมมฺ สฺส วปิ ากํ ทิฏฺ เฐว ธมเฺ ม ปฏสิ เํ วเทสตี ิ ฯ ๐เธอจงอดกลน้ั ไวเ้ถิด พราหมณ์ เธอจงอดกลน้ั ไวเ้ถดิ พราหมณ์ เธอไดเ้สวยวบิ ากกรรม ซง่ึ เป็นเหตใุ หเ้ธอหมกไหมอ้ ยู่ในนรกหลายปี หลายรอ้ ยปี หลายพนั ปีในปจั จบุ นั น้ีแลว้ ๑๗๔ ๗๔ พระดาํ รสั น้ี พระผูม้ พี ระภาคตรสั หมายถงึ ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม (กรรมทใ่ี หผ้ ลในปจั จบุ นั คอื ภพน้ี) เพราะเจตนาในปฐมชวนจิต ทเ่ี ป็น กศุ ลหรอื อกศุ ลในจติ ๗ ดวง ช่อื วา่ ทฏิ ฐเวทนียกรรมซง่ึ ใหผ้ ลในอตั ภาพน้ี อา้ งใน ม.ม.อ.(บาล)ี ๓/๓๗๗. (ปปญั จสูทน)ี

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๙๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พระองคุลมิ าลเปล่งอทุ าน ครงั้ นนั้ แล ท่านพระองคุลมิ าลอยูใ่ นทส่ี งดั หลกี เรน้ อยู่ เสวยวมิ ตุ ตสิ ุขแลว้ ไดเ้ปลง่ อทุ านน้ีในเวลานนั้ วา่ ๐โย จ ปพุ เฺ พ ปมชฺชิตวฺ า ปจฉฺ า โส นปปฺ มชชฺ ติ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ ามตุ ฺโตว จนฺทมิ า ยสฺส ปาปํ กตํ กมมฺ ํ กสุ เลน ปิถยี ติ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ ามตุ โฺ ตว จนฺทมิ า โย หเว ทหโร ภกิ ฺขุ ยุํฺชติ พทุ ฺธสาสเน โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ ามตุ โฺ ตว จนฺทมิ า๑ ๐คนท่ปี ระมาทมาก่อน ต่อมาภายหลงั ไมป่ ระมาท เขาย่อมทาํ โลกน้ีใหส้ ว่างไสวได้ ประดุจดวงจนั ทรท์ ่พี น้ จากเมฆ ฉะนน้ั คนท่ที าํ บาปกรรมแลว้ ปิดไวไ้ ดด้ ว้ ยกุศล ย่อมจะทาํ โลกน้ีใหส้ ว่างไสวได้ ประดุจดวงจนั ทรท์ ่พี น้ จาก เมฆ ฉะนนั้ เช่นเดียวกนั แล ภิกษุท่ียงั หนุ่มแน่น ขวนขวายอยู่ในพระพุทธศาสนาก็ย่อมทาํ โลกน้ีใหส้ ว่างไสวได้ ประดุจดวงจนั ทรท์ พ่ี น้ แลว้ จากเมฆ ฉะนน้ั ๑ ๐ทสิ า หิ เม ธมมฺ กถํ สุณนฺตุ ทสิ า หิ เม ยุํฺชนฺตุ พทุ ธฺ สาสเน ทสิ า หิ เม เต มนุชา ภชนฺตุ เย ธมมฺ เมวาทปยนฺติ สนฺโต๑ ๐ขอศตั รูทง้ั หลายของเรา พงึ ฟงั ธรรมกถาเถดิ ขอศตั รูทงั้ หลายของเรา จงขวนขวายในพระพทุ ธศาสนาเถดิ ขอมนุษยท์ ง้ั หลาย ทเ่ี ป็นศตั รูของเรา จงคบสตั บรุ ุษผูช้ วนใหย้ ดึ ถอื ธรรมเถดิ ๑ ๐ทสิ า หิ เม ขนฺตโิ วทานํ อวโิ รธปปฺ สสํ นํ สุณนฺตุ ธมมฺ ํ กาเลน ตํฺจ อนุวธิ ยิ นฺตุ น หิ ชาตุ โส มมํ หเึ ส อํฺญํ วา ปน กํฺจิ นํ ปปปฺ ยุ ฺย ปรมํ สนฺตึ รกเฺ ขยยฺ ตสถาวเร๑ ฯ ๐ขอศตั รูทง้ั หลายของเรา จงไดร้ บั ความผ่องแผว้ คือขนั ติ และสรรเสริญความไม่โกรธเถดิ ขอจงฟงั ธรรม ตามกาล และจงปฏบิ ตั ิตามธรรมนนั้ เถดิ ผูท้ เ่ี ป็นศตั รูนนั้ ไมค่ วรเบยี ดเบยี นเราหรือใครๆ อ่นื เลย ขอใหบ้ รรลุความ สงบอยา่ งยง่ิ แลว้ รกั ษาคุม้ ครองผูม้ ตี ณั หาและปราศจากตณั หา๑ ๐อทุ กํฺหิ นยนฺติ เนตตฺ ิกา อสุ ุการา นมยนฺติ เตชนํ ทารุํ นมยนฺติ ตจฺฉกา อตตฺ านํ ทมยนฺติ ปณฺฑติ า๑ ฯ แปลความว่า ๐คนทดนาํ้ ย่อมชกั นาํ้ ไปได้ ช่างศรย่อมดดั ศรใหต้ รงได้ ช่างถากย่อมถากไมไ้ ด้ ฉนั ใด บณั ฑติ ทง้ั หลาย ยอ่ มฝึกตนได้ ฉนั นน้ั ๑ ฯ

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๙๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ๐ทณฺเฑเนเก ทมยนฺติ องกฺ เุ สภิ กสาหิ จ อทณฺเฑน อสตเฺ ถน อหํ ทณฺโฑมหฺ ิ ตาทนิ า อหสึ โกติ เม นามํ หสึ กสฺส ปเุ ร สโต อชฺชาหํ สจจฺ นาโมมหฺ ิ น นํ หสึ ามิ กํฺจิ น๑ํ แปลความว่า ๐คนบางพวกย่อมฝึกสตั ว์ ดว้ ยอาชญาบา้ ง ดว้ ยขอบา้ ง ดว้ ยแสบ้ า้ ง เราเป็นผูท้ ่พี ระผูม้ พี ระ ภาคผูค้ งท่ี ผูไ้ มม่ อี าชญา ไมม่ ศี สั ตรา ฝึกแลว้ เมอ่ื ก่อนเรามชี อ่ื วา่ อหงิ สกะ แต่ยงั เบยี ดเบยี น(ผูอ้ ่นื ) อยู่ วนั น้ีเรา มชี ่อื ตรงความจรงิ เราไมเ่ บยี ดเบยี นใครๆ แลว้ ๑ ๐โจโร อหํ ปเุ ร อาสึ องคฺ ุลมิ าโลติ วสิ ฺสุโต วุยหฺ มาโน มโหเฆน พทุ ธฺ ํ สรณมาคมํ โลหติ ปาณี ปเุ ร อาสึ องฺคุลมิ าโลติ วสิ ฺสุโต สรณคมนปํ สฺส ภวเนตตฺ ิ สมหู ตา ตาทสิ ํ กมมฺ ํ กตวฺ าน พหุํ ทคุ ฺคตคิ ามนิ ํ ผุฏโฺ ฐ กมมฺ วปิ าเกน อนโณ ภํุ ฺชามิ โภชน๑ํ ฯ ๐เมอ่ื ก่อน เราเป็นโจรปรากฏช่อื องคุลมิ าล เรานนั้ เมอ่ื ถกู กเิ ลสดุจหว้ งนาํ้ ใหญ่พดั ไปมา จงึ ไดถ้ งึ พระพทุ ธเจา้ เป็นสรณะ เมอ่ื ก่อนเรามมี อื เป้ือนเลอื ด ปรากฏชอ่ื ว่าองคุลมิ าล ท่านจงดูการท่เี ราถงึ พระพทุ ธเจา้ ว่า เป็นสรณะ เราถอนตณั หา อนั จะนาํ ไปสู่ภพไดแ้ ลว้ หลงั จากทาํ กรรม อนั เป็นเหตใุ หถ้ งึ ทุคติเช่นนนั้ ไวม้ ากแลว้ เราผูไ้ ดร้ บั วบิ ากกรรมนน้ั แลว้ จงึ เป็นผูไ้ มม่ หี น้ีบรโิ ภค๑ ๐ปมาทมนุยุํฺชนฺติ พาลา ทมุ เฺ มธโิ น ชนา อปปฺ มาทํฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฐฺ วํ รกขฺ ติ มา ปมาทมนุยุํฺเชถ มา กามรตสิ นฺถวํ อปปฺ มตโฺ ต หิ ฌายนฺโต ปปโฺ ปติ วปิ ุลํ สุขํ สฺวาคตํ นาปคตํ นยทิ ํ ทมุ มฺ นฺติ ตํ มม๑ ฯ แปลความว่า ๐พวกชนพาล ปญั ญาทราม มวั แต่ประมาท ส่วน ปราชญท์ ง้ั หลาย รกั ษาความไม่ประมาท เหมอื นรกั ษาทรพั ย์ อนั ประเสริฐ ฉะนน้ั พวกท่านจงอย่าประมาท อย่าคลุกคลใี นกาม เพราะว่าผูไ้ ม่ประมาทเพ่งอยู่ เป็นนิจ ย่อมประสบสุขอนั ไพบูลย์ การทเ่ี รามาสูพ่ ระพทุ ธศาสนาน้ีนน้ั มาถกู ทางแลว้ ไมไ่ รป้ ระโยชน์ คดิ ไมผ่ ดิ แลว้ ๑ ๐สุวภิ ตเฺ ตสุ ธมเฺ มสุ ยํ เสฏฐฺ ํ ตทุปาคมํ สฺวาคตํ นาปคตํ นยทิ ํ ทมุ มฺ นฺติ ตํ มม ตสิ ฺโส วชิ ฺชา อนุปปฺ ตตฺ า กตํ พทุ ธฺ สฺส สาสนนฺติ ฯ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๐๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ แปลความวา่ ๐ในบรรดาธรรม ท่พี ระผูม้ พี ระภาคทรงจาํ แนกไวด้ แี ลว้ เราไดเ้ขา้ ถงึ ธรรมอนั ประเสรฐิ สุดแลว้ การทเ่ี ราไดเ้ขา้ ถงึ ธรรมอนั ประเสรฐิ สุดน้ีนนั้ เขา้ ถงึ อย่างถกู ตอ้ ง ไมไ่ รป้ ระโยชน์ คิดไมผ่ ดิ แลว้ วชิ ชา ๓๒ เรากบ็ รรลุ แลว้ คาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ เรากท็ าํ ตามแลว้ ๑ ดงั น้ีแล๗๕ พระอานนทท์ ลู ขอพร ๘ ประการ ไดร้ บั เลือกเป็ นพุทธอุปัฎฐาก : ในช่วงปฐมโพธิกาลหลงั จากตรสั รูแ้ ลว้ ๒๐ พรรษานน้ั ยงั ไม่มพี ระภกิ ษุใด ปฏิบตั ิรบั ใชพ้ ระพทุ ธองคเ์ ป็นประจาํ มแี ต่พระภิกษุผลดั เปล่ยี นวาระกนั ปฏิบตั ิ เช่น พระนาคสมาละ พระนาคิตะ พระอุปวาณะ พระสาคตะ และ พระเมฆิยะ เป็นตน้ บางคราวการผลดั เปล่ยี นบกพร่อง องคท์ ่ปี ฏบิ ตั อิ ยู่ออกไป แต่ องคใ์ หม่ยงั ไม่มาแทน ทาํ ใหพ้ ระพทุ ธองคต์ อ้ งประทบั อยู่ตามลาํ พงั ขาดผูป้ ฏบิ ตั ิ บางครง้ั พระภกิ ษุผูป้ ฏิบตั ิ ก็ด้อื ดึง ขดั รบั สงั่ ของพระพทุ ธองค์ เช่น ครงั้ หน่ึง เป็นวาระของพระนาคสมาลเถระ ท่านไดต้ ามเสด็จพระพทุ ธองคไ์ ปทางไกล พอถงึ ทาง ๒ แพร่ง พระเถระทราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระผูม้ พี ระภาค ขอพระองคเ์ สดจ็ ไปทางน้ีเถดิ พระเจา้ ขา้ ๑ ๐อย่าเลย นาคสมาละ ไปอีกทางหน่ึงจะดีกว่า๑ พระนาคสมาละ ไม่ยอมเช่อื ฟงั พระดาํ รสั ขอแยกทางกบั พระพทุ ธองค์ ทาํ ท่าจะ วางบาตรและจีวรของพระผูม้ พี ระภาคท่พี ้นื ดิน พระพทุ ธองคจ์ ึงตรสั ว่า ๐นาคสมาละ เธอจงส่งบาตรและจีวรมาให้ ตถาคตเถดิ ๑ พระนาคสมาละ ถวายบาตรและจวี รแด่พระพทุ ธองคแ์ ลว้ แยกทางเดินไปตามท่ตี นตอ้ งการ ไปไดไ้ ม่ไกล นกั กถ็ กู พวกโจรทาํ รา้ ยจนศีรษะแตกแลว้ แยง่ ชงิ เอาบาตรและจวี รไป ทง้ั ท่เี ลอื ดอาบหนา้ รีบกลบั มาเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลเล่าเร่อื งใหท้ รงทราบ พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั ว่า ๐อย่าเสยี ใจไปเลย นาคสมาละ ตถาคตหา้ มเธอกเ็ พราะเหตนุ ้ี๑ พระพทุ ธองค์ ไดร้ บั ความลาํ บากพระวรกายเพราะถกู ปล่อยใหป้ ระทบั อยู่ตามลาํ พงั หลายครง้ั จึงมพี ระดาํ รสั รบั สงั่ ให้ ภกิ ษุสงฆเ์ ลอื กสรรภิกษุทาํ หนา้ ทป่ี ฏบิ ตั พิ ระองคเ์ ป็นประจาํ ภกิ ษุทง้ั หลายมฉี นั ทามติมอบหมายใหพ้ ระอานนทเ์ ถระ รบั หนา้ ท่เี ป็นพทุ ธอุปฏั ฐากตลอดกาลเป็นนิตย์ ดว้ ยเห็นว่าท่านเป็นผูม้ สี ติปญั ญา ขยนั อดทน รอบคอบ และเป็น พระญาตใิ กลช้ ดิ ย่อมจะทราบพระอธั ยาศยั เป็นอยา่ งดี พระอานนทเ์ ม่อื ไดฟ้ งั โอวาทของพระปุณณมนั ตานีบุตรแลว้ ก็ไดบ้ รรลุโสดาปตั ติผล วนั หน่ึงพระศาสดา ตรสั ขอใหส้ งฆเ์ ลอื กหาภิกษุผูจ้ ะเป็นอุปฏั ฐากประจาํ ของพระองค์ ดว้ ยว่าในกาลก่อนแต่กาลน้ีภิกษุผูเ้ ป็นอุปฏั ฐาก ประจาํ ของพระองคไ์ มม่ ี คงผลดั เปลย่ี นกนั เป็นครง้ั คราว บางครง้ั ตอ้ งเสด็จอยู่พระองคเ์ ดียว ไดร้ บั ความลาํ บาก สงฆ์ จงึ เลอื กพระอานนทถ์ วาย พระอานนทก์ ่อนทจ่ี ะรบั ตาํ แหน่งพทุ ธอปุ ฏั ฐาน จงึ ทลู ขอพร ๘ ประการ พระอานนทเ์ ดมิ เป็นพระโอรสของพระเจา้ สุกโกทนะ ผูเ้ป็นพระอนุชาของพระเจา้ สุทโธทนะ เมอ่ื นบั เช้ือสายแลว้ จึงเป็นพระอนุชาหรือลูกผูน้ อ้ งของพระพุทธเจา้ ท่านออกบวชพรอ้ มกบั ราชกุมารฝ่ ายศากยวงศ์ ๔ พระองค์ คือ อนุรุทธะ ภคั คุ กมิ พลิ ะ ภทั ทิยะ ฝ่ายโกลยิ วงศ์ ๑ พระองค์ คือ เทวทตั และนายภูษามาลา มหี นา้ ท่ี เป็นช่างกลั บก (ช่างตดั ผม) ๑ คน คือ อบุ าลี รวมทงั้ ส้นิ ๗ ท่าน ในจาํ นวนน้ีมชี ่อื เสยี งปรากฏและเป็นท่กี ล่าวถงึ อยู่ ๔ ท่าน คือ (๑) พระอานนท์ เป็นพทุ ธอุปฏั ฐาก มคี วามทรงจาํ พระพุทธวจนะไดม้ าก (๒) พระอนุรุทธะ ชาํ นาญใน ทพิ ยจกั ษุ (มตี าทพิ ย)์ (๓) พระอุบาลี มคี วามทรงจาํ พระวนิ ยั ไดม้ าก (๔) พระเทวทตั เป็นผูท้ าํ สงั ฆเภทคือก่อความ แตกแยกในหมู่สงฆ์ เป็นผูท้ าํ พระโลหิตใหห้ อ้ (โลหิตุปบาท) คือทาํ รา้ ยพระพุทธเจา้ จนหอ้ พระโลหิต สุดทา้ ยถูก ๗๕ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๔๗-๓๕๓/๔๒๑-๔๓๓.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๐๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง แผน่ ดนิ สูบจนถงึ แก่มรณภาพกลา่ วถงึ เฉพาะพระอานนท์ เป็นผูท้ าํ หนา้ ท่พี ทุ ธอปุ ฏั ฐากคือรบั ใชพ้ ระพทุ ธเจา้ ก่อนทจ่ี ะ รบั หนา้ ทน่ี ้ี ทา่ นไดข้ อพร ๘ ประการจากพระพทุ ธเจา้ เหตกุ ารณ์ในพระพทุ ธศาสนาเกย่ี วกบั พระอานนท์ พระอานนท์ กราบทูลขอพร ๘ ประการ หากพระองคท์ รงประทานพร ๘ ประการน้ี ท่านจึงจะรบั ตาํ แหน่ง พทุ ธุปฏั ฐาก ความว่า (๑) ถา้ จกั ไม่ประทานจวี รอนั ประณีตทพ่ี ระองคไ์ ดแ้ ลว้ แก่ขา้ พระองค์ (๒) ถา้ จกั ไมป่ ระทานบณิ ฑบาตอนั ประณีตทพ่ี ระองคไ์ ดแ้ ลว้ แก่ขา้ พระองค์ (๓) ถา้ จกั ไมโ่ ปรดใหข้ า้ พระองคอ์ ยู่ในทป่ี ระทบั ของพระองค์ (๔) ถา้ จกั ไมท่ รงพาขา้ พระองคไ์ ปในทท่ี ท่ี รงรบั นิมนตไ์ ว้ (๕) ถา้ พระองคจ์ กั ไปสู่ทน่ี ิมนตท์ ข่ี า้ พระองคร์ บั ไว้ (๖) ถา้ ขา้ พระองคจ์ ะพาบรษิ ทั ซง่ึ มาแต่ทไ่ี กลเพอ่ื เฝ้าพระองคไ์ ดใ้ นขณะทม่ี าแลว้ (๗) ถา้ ความสงสยั ของขา้ พระองคเ์ กดิ ข้นึ เมอ่ื ใด ขอใหไ้ ดเ้ขา้ เฝ้าทูลถามเมอ่ื นน้ั (๘) ถา้ พระองคท์ รงแสดงธรรมเทศนาอนั ใดในท่ลี บั หลงั ขา้ พระองค์ เมอ่ื เสด็จกลบั มาขอจงตรสั บอกพระ ธรรมเทศนานนั้ แก่ขา้ พระองคอ์ กี เมอ่ื ขา้ พระองคไ์ ดร้ บั พร ๘ ประการน้ี แหละจงึ จกั เป็นพทุ ธุปฏั ฐากของพระองค์ พระผูม้ พี ระภาคไดต้ รสั ถามถงึ โทษและอานิสงสท์ ่ที ูลขอพร ๘ ประการน้ี ท่านไดก้ ราบทูลว่า ถา้ ท่านไมท่ ูล ขอพรขอ้ ๑-๔ กจ็ กั มคี นพูดไดว้ ่า ท่านรบั ตาํ แหน่งพทุ ธุปฏั ฐาก เพ่อื หวงั ลาภสกั การะอย่างนน้ั ๆ เพอ่ื ป้องกนั ปรมั ปวา ทะอยา่ งนนั้ ท่านจงึ ไดท้ ูลขอพร ๔ ขอ้ น้ี ถา้ ท่านไมท่ ูลขอพรขอ้ ๕-๗ กจ็ กั มคี นพูดไดว้ ่า พระอานนทบ์ าํ รุงพระศาสดา ไปทาํ ไม เพราะกจิ เทา่ น้ีพระองคก์ ย็ งั ไมท่ รงสงเคราะหเ์ สยี แลว้ และหากท่านไมท่ ูลขอพรขอ้ ๘ เมอ่ื มคี นมาถามท่านลบั หลงั พระพทุ ธองคว์ ่า คาถาน้ี สูตรน้ี ชาดกน้ี พระผูม้ พี ระภาคตรสั ท่ไี หน? ถา้ ท่านตอบเขาไม่ได้ เขาก็จะพูดไดว้ ่า พระอานนทเ์ ฝ้าตดิ ตามพระผูม้ พี ระภาคเหมอื นเงาของพระองคอ์ ยู่เป็นเวลานาน ทาํ ไมเรอ่ื งเทา่ น้ียงั ไมร่ ู้ ครนั้ ทา่ นไดท้ ูลช้แี จงแสดงโทษในขอ้ ทไ่ี มค่ วรได้ และอานิสงสใ์ นขอ้ ท่คี วรไดอ้ ย่างน้ีแลว้ พระผูม้ พี ระภาคจึง ทรงประทานพรตามท่พี ระอานนทก์ ราบทูลขอทุกประการ ท่านพระอานนทจ์ ึงไดร้ บั ตาํ แหน่งพุทธอุปัฏฐาก และได้ อุปฏั ฐากพระพทุ ธองคต์ งั้ แต่บดั นน้ั เป็นตน้ มาจนถึงวนั เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานของพระผูม้ พี ระภาค เป็นเวลา ๒๕ พรรษา เฉพาะพรขอ้ ท่ี ๘ เป็นอุปการะแก่การท่จี ะรวบรวมพระพทุ ธวจนะใหเ้ ป็นหมวดหมู่อย่างย่ิงเพราะเม่อื พระพุทธเจา้ ปรินิพพานแลว้ พระอานนท์ไดร้ บั หนา้ ท่ีตอบคาํ ถามเก่ียวกบั พระสูตรและพระอภิธรรม ในคราวทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ หลงั พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานแลว้ ๓ เดอื น คณุ สมบตั พิ ระอานนทเ์ ถระ ไดร้ บั ยกย่องวา่ เป็นผูท้ รงจาดี ท่านไดร้ บั ตาแหน่งเอตทคั คะ ๕ ประการ กลา่ วคอื ๑. เป็นพหูสูต (พหุสฺสุโต) คือเป็นผูไ้ ดย้ นิ ไดฟ้ งั มามาก ไดแ้ ก่ทรงจาํ พระพทุ ธวจนะไดม้ ากทส่ี ุด ๒. เป็นผูม้ สี ติ (สตมิ า) คอื มคี วามระลกึ นึกถงึ ก่อนทจ่ี ะทาํ พดู คิด อยู่เสมอ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๐๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๓. เป็นผูม้ คี ติ (คตมิ า) คอื มแี นวในการจาํ พระพทุ ธวจนะ ๔. เป็นผูม้ ธี ติ ิ (ธิตมิ า) คอื มคี วามเพยี ร ๕. เป็นพทุ ธอปุ ฏั ฐาก (พทุ ธฺ ุปฏฺฐาโก) คือผูด้ ูแลรบั ใชพ้ ระพทุ ธเจา้ จากการท่ที ่านไดร้ บั ยกย่องว่ามเี อตทคั คะถงึ ๕ อย่างดงั กล่าวน้ี เป็นปจั จยั สาํ คญั ท่ที าํ ใหท้ ่านสามารถจดจาํ พระไตรปิฎกโดยเฉพาะพระสุตตนั ตปิฎกและพระอภธิ รรมไดอ้ ย่างแมน่ ยาํ ในดา้ นพระสุตตนั ตปิฎกนน้ั ทุกพระสูตรจะมี คาํ ข้นึ ตน้ (นิทานวจนะ) ว่า ๐เอวมเฺ ม สุต๑ํ แปลว่า ขา้ พเจา้ ไดฟ้ งั มาแลว้ อย่างน้ี ซ่งึ คาํ ว่า ๐เม๑ หมายถึงพระอานนท์ นนั่ เอง ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ ไดก้ ล่าวยกย่องท่านพระอานนทไ์ วว้ ่าท่านขยนั ในการอุปฏั ฐากมาก ในบรรดา พระภกิ ษุผูเ้คยอุปฏั ฐากพระพุทธเจา้ มาแลว้ ไม่มใี ครทาํ ไดเ้ หมอื นท่าน เพราะพระภิกษุเหล่านน้ั ไม่รูพ้ ระทยั ของพระ พทุ ธองคด์ ี แต่พระอานนทท์ ่านรูพ้ ระทยั ชองพระบรมศาสดาดี จงึ อุปฏั ฐากไดน้ าน ดว้ ยเหตุน้ีในคราวทพ่ี ระพทุ ธองคจ์ ะ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานพระองคไ์ ดต้ รสั กบั ท่านว่า \"อานนท์ เธอไดอ้ ปุ ฏั ฐากตถาคตดว้ ยกายธรรม วจีกรรมมโนกรรม อนั ประกอบดว้ ยเมตตา ซงึ่ เป็นประโยชนเ์ ก้อื กูล เป็นความสุข ไมม่ สี อง หากประมาณมไิ ดม้ าชา้ นานแลว้ เธอไดท้ าบุญ ไวม้ ากแลว้ อานนท์ เธอจงประกอบความเพยี รเถดิ จกั เป็นผูไ้ มม่ อี าสวะโดยฉบั พลนั \" แลว้ ตรสั ประกาศเกยี รติคุณของ พระอานนทใ์ หป้ รากฏแก่ภกิ ษุทงั้ หลายวา่ “ภิกษุทงั้ หลาย พระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ทงั้ หลายเหล่าใด ทีม่ มี าแลว้ ในอดีตกาลภิกษุผูเ้ ป็นอุปฏั ฐาก ของพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เหลา่ นนั้ อย่างยงิ่ กเ็ หมอื นกบั อานนทข์ องเราเท่านนั้ พระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ทงั้ หลายเหล่าใดทีจ่ กั มอี นาคตกาล ภิกษุผูเ้ ป็นอุปฏั ฐากของพระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ เหล่านนั้ อย่างยงิ่ ก็เพียง อานนทข์ องเราเท่านนั้ อานนทเ์ ป็นบณั ฑติ ยอ่ มรูว้ า่ นีเ่ ป็นกาลเพอื่ จะเขา้ เฝ้าพระตถาคตนีเ่ ป็นกาลของพวกภกิ ษุ นีเ่ ป็น กาลของพวกภกิ ษุณี นีเ่ ป็นกาลของพวกอุบาสก นีเ่ ป็นกาลของพวกอุบาสิกา นีเ่ ป็นกาลของพระราชา นีเ่ ป็นกาลของ พวกอามาตยร์ าชเสวก นีเ่ ป็นกาลของพวกเดียรถยี ์ นีเ่ ป็นกาลของพวกสาวกของพวกเดียรถยี ”์ กจิ ในหนา้ ทข่ี องพทุ ธอปุ ฏั ฐาก ท่านพระอานนทไ์ ดร้ บั ตาํ แหน่ง ท่านก็ไดอ้ ุปฏั ฐากพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ดว้ ยดี กิจท่ีท่านทาํ เป็นประจาํ แก่ พระพทุ ธเจา้ คือ (๑) ถวายนาํ้ ๒ อย่าง คอื นาํ้ เยน็ และนาํ้ รอ้ น (๒) ถวายไมส้ ฟี นั ๓ ขนาด (๓) นวดพระหตั ถแ์ ละพระ บาท (๔) นวดพระปฤษฏางค์ (๕) ปดั กวาดพระคนั ธกฏุ ี และบรเิ วณพระคนั ธกฏุ ี ความภกั ดีของพระอานนทท์ ่มี ตี ่อสมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พทุ ธประวตั ิตอนโปรดชา้ งนาฬาคีรี๗๖ พระอานนทน์ นั้ เป็นผูม้ คี วามจงรกั ภกั ดีต่อสมเด็จพระสมั มาสมั พุทธ เจา้ เป็นอย่างยง่ิ ทา่ นยอมสละชพี ของท่านเพอ่ื สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ได้ อย่างเช่นเมอ่ื พระเทวทตั ไดว้ างอบุ ายจะ ปลงพระชนมส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ โดยมอมเหลา้ ชา้ งนาฬาคิรี ซ่งึ กาํ ลงั ตกมนั แลว้ ปล่อยออกไปในขณะท่ี สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสดจ็ ออกบณิ ฑบาตโดยมพี ระอานนทเ์ ป็นปจั ฉาสมณะ เมอ่ื ชา้ งนาฬาคิรวี ่งิ เขา้ มาทางพระ ๗๖ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๔๒/๑๙๕-๑๙๗.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๐๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พทุ ธองค์ พระอานนทจ์ ึงไดเ้ดนิ ลาํ้ มาเบ้อื งหนา้ พระศาสดา ดว้ ยคิดหมายจะเอาองคป์ ้องกนั สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ไดม้ พี ระพุทธดาํ รสั ใหพ้ ระอานนทห์ ลกี ไป อย่าป้องกนั พระองคเ์ ลย แต่พระ อานนทไ์ ดก้ ราบทลู ว่า “ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ ชีวติ ของพระองคม์ คี ่ายงิ่ นกั พระองคอ์ ยู่เพอื่ เป็นประโยชนแ์ ก่โลก เป็น ดวงประทีปของโลก เป็นทีพ่ ่ึงของโลก ของพระองคอ์ ย่าเสยี่ งกบั อนั ตรายครงั้ น้ีเลย ชีวติ ของขา้ พระองคม์ คี ่านอ้ ย ขอใหข้ า้ พระองคไ์ ดส้ ละสงิ่ ซงึ่ มคี ่านอ้ ยเพอื่ รกั ษาสงิ่ ทมี่ คี ่ามาก เหมอื นสละกระเบ้อื ง เพอื่ รกั ษาซงึ่ แกว้ มณีเถดิ พระเจา้ ขา้ ฯ” สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ว่า ๐อย่าเลยอานนท์ บารมเี ราไดส้ รา้ งมาดีแลว้ ไม่มใี ครสามารถปลงชีวติ ของตถาคตได้ ไม่ว่าสตั วด์ ิรจั ฉานหรือมนุษยห์ รือเทวดามารพรหมใดๆ๑ ในขณะนนั้ ชา้ งนาฬาคิรีว่ิงมาจนจะถึง พระองคข์ องสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แลว้ พระองคจ์ งึ ไดแ้ ผ่พระเมตตาจากพระหฤทยั ซง่ึ ไปกระทบกบั ใจอนั คลุก อยู่ดว้ ยความมนึ เมาของชา้ งนาฬาคิรไี ด้ ชา้ งใหญ่หยุดชะงกั ใจสงบลงและหมอบลงแทบพระบาท พระพทุ ธองคท์ รง ใชพ้ ระหตั ถล์ ูบทศ่ี ีรษะพญาชา้ ง พรอ้ มกบั ตรสั ว่า ๐นาฬาคิรเี อย๋ เธอกาํ เนิดเป็นดิรจั ฉานในชาตนิ ้ี เพราะกรรมอนั ไมด่ ี ของเธอในชาติก่อนแต่งให้ เธออย่าประกอบกรรมหนกั คือทาํ รา้ ยพระพทุ ธเจา้ เช่นเราอีกเลย เพราะจะมผี ลเป็นทกุ ข์ แก่เธอตลอดกาลนาน๑ มีพุทธพจน์ แสดงรบั รองไวว้ ่า “คนฝึกชา้ งและคนฝึ กมา้ บางพวกมีท่อนไม้ ขอและแสจ้ ึงจะฝึกได้ พระพทุ ธเจา้ ผูป้ ระสบพระคณุ ยงิ่ ใหญ่ ไมต่ อ้ งใชท้ ่อนไม้ ไมต่ อ้ งใชศ้ สั ตราทรงฝึกชา้ งไดเ้ ลย”๗๗ ชา้ งนาฬาคิรี นาํ้ ตาไหลพราก นอ้ มรบั ฟงั พระพุทธดาํ รสั ดว้ ยอาการดุษฎี (ในคมั ภรี อ์ นาคตวงศก์ ลา่ วว่า ใน อนาคตกาลนบั จากพระศรีอริยเมตไตรยพทุ ธเจา้ ไป จะมพี ระพทุ ธเจา้ มาตรสั รูอ้ ีกหลายพระองค์ และชา้ งนาฬาคิรี จะ ไดต้ รสั รูเ้ป็นพระพทุ ธเจา้ องคห์ น่ึง ทรงพระนามว่าพระตสิ สะพทุ ธเจา้ พระอานนทเ์ ป็นผูอ้ อกแบบจวี ร เกียรติคุณอีกอย่างหน่ึงท่ที ่านไดร้ บั ยกย่องจากพระพทุ ธองค์ คือมฝี ีมอื ทางช่าง สาเหตุท่ที รงชมเชย มวี ่า ครง้ั หน่ึง พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ จากนครราชคฤหไ์ ปสู่ทกั ษณิ าคิรชี นบท ไดท้ อดพระเนตรเหน็ คนั นาของชาวมคธเป็นรูป สเ่ี หลย่ี ม มคี นั นาสน้ั ๆ คนั่ ในระหว่าง แลว้ ตรสั ถามท่านพระอานนทว์ ่า จะเยบ็ จวี รอย่างนน้ั ไดไ้ หม? ท่านทูลรบั ว่าเยบ็ ได้ และต่อมาท่านเย็บจีวรใหพ้ ระหลายรูปแลว้ นาํ ไปถวายใหท้ อดพระเนตร พระพุทธองคท์ อดพระเนตรแลว้ ตรสั ชมเชยในท่ามกลางสงฆ์ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย อานนทเ์ ป็นบณั ฑิต ภิกษุทงั้ หลาย อานนทม์ ีปญั ญามาก ทีเ่ ขา้ ใจ ความหมายทเี่ รากลา่ วย่อๆ ไดอ้ ยา่ งพสิ ดาร เธอทาผา้ กสุ บิ า้ งทาผา้ อฑั ฒกสุ ิ บา้ ง ทาผา้ มณฑล บา้ ง ทาผา้ อฑั ฒมณฑล บา้ ง ทาผา้ ววิ ฏั ฏะบา้ งทาผา้ อนุววิ ฏั ฏะ บา้ ง ทาผา้ คีเวยยกะ บา้ ง ทาผา้ ชงั เฆยยกะ บา้ ง ทาผา้ พาหนั ตะ บา้ ง จีวรเป็น ผา้ ทตี่ อ้ งตดั เศรา้ หมองเพราะศสั ตรา เหมาะแก่สมณะ และพวกโจรไม่ตอ้ งการ ภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนุญาตสงั ฆาฏติ ดั อตุ ตราสงคต์ ดั และอนั ตรวาสกตดั ”๗๘ ฯลฯ ๗๗ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๔๒/๑๙๗. ๗๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๔.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๐๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ พระอานนทเ์ ป็นนักประหยดั นกั สง่ เสริมเศรษฐแบบพอเพยี ง นอกจากน้ี พระอานนทเ์ ถระ ยงั เป็นผูท้ ่ปี ระหยดั และฉลาดในการใชส้ อยสง่ิ ทใ่ี ชแ้ ลว้ นาํ้ กลบั มาใชใ้ หม่ (Recycle) ดงั เหตกุ ารณ์ทพ่ี ระมเหสขี องพระเจา้ อเุ ทน แหง่ นครโกสมั พี เสอ่ื มใสในการแสดงธรรมของพระอานนท์ จงึ ไดผ้ า้ อตุ ตรราสงค์ จาํ นวน ๕๐๐ ผนื แด่พระอานนท์ เมอ่ื พระเจา้ อเุ ทนทราบ จงึ ตาํ หนิพระอานนทว์ ่า รบั จวี รไป จาํ นวนมาก เมอ่ื ไดโ้ อกาสจงึ นมสั การถามวา่ ๐พระคุณทา่ น จะเอาจวี รไปทาํ อะไร๑ พระเจา้ อุเทน ทราบว่า พระมเหสี ถวายจีวรพระคุณเจา้ ๕๐๐ ผืน เพ่ือเป็นธรรมบูชา จึงไดต้ รสั ถามว่า ๐พระคุณเจา้ รบั ผา้ เป็นอนั มากไวท้ งั้ หมดหรอื ๑ (นนุ ภนฺเต อตพิ หู วตถฺ านิ คหติ านิ)๗๙ ๐ขอถวายพระพร อาตมาภาพรบั ไวท้ ง้ั หมด๑ (อาม คหติ า อตฺราสงฺคา) ๐พระคุณเจา้ รบั ไวท้ าํ ไมมากมายนกั ๑ (เอตตฺ เกหิ กึ กรสิ ฺสถ) ๐เพ่อื แบ่งถวาย แก่พระภกิ ษุผูม้ จี ีวรเก่า คราํ่ คร่า๑ (อมหฺ ากํ ปโหนกานิ คณฺหติ ฺวา เสสานิ ชิณฺณจีวรากานํ ทสิ ฺสามิ มหาราช) ๐จะเอาจวี รเก่าคราํ่ คร่า ไปทาํ อะไร๑ (เต อตฺตโน ปุราณจวี รานิ กึ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐เอาไปใหแ้ ก่พระผูม้ จี วี รเก่าและคราํ่ คร่ากวา่ ๑ (ชณิ ฺณตรจวี รกานํ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐จวี รเก่าและคราํ่ คร่ากว่า จะเอาไปทาํ อะไร๑ (เต อตฺตโน ชณิ ฺณจวี รานิ กึ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐เอาไปทาํ ผา้ ปูทน่ี อน๑ (ปจจฺ ตถฺ รณานิ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐จะเอาผา้ ปูทน่ี อนเก่า ไปทาํ อะไร๑ (ปรุ าณปจจฺ ตฺถรณานิ กึ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐เอาไปทาํ ผา้ ปูพ้นื ๑ (ภมุ มฺ ตถฺ รณานิ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐จะเอาผา้ ปูพ้นื เก่าไปทาํ อะไร๑ (ปุราณภมุ มฺ ตถฺ รณานิ กึ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐เอาไปทาํ ผา้ เชด็ เทา้ ๑ (ปาทปํุ ฺฉนานิ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐จะเอาผา้ เชด็ เทา้ เก่าไปทาํ อะไร๑ (ปรุ าณปาทปํุ ฺฉนานิ กึ กรสิ ฺสนฺต)ิ ๐ทาํ ใหเ้ป็นช้นิ เลก็ ละเอยี ดแลว้ เอาไปโขลกขยาํ กบั ดนิ โคลน แลว้ จงึ นาํ ไปฉาบทาฝา๑ (ขณฺฑาขณฺฑกิ ํ โกฏฺเฏตฺ วา มตตฺ กิ าย มททฺ ติ วฺ า ภติ ตฺ ึ วลิ มุ ปฺ ิสฺสนฺต)ิ ๘๐ พระเจา้ อุเทนทรงเลอ่ื มใสว่า พระสมณบตุ รเป็นผูป้ ระหยดั จึงถวายผา้ จีวรเพม่ิ เตมิ อกี จาํ นวน ๕๐๐ ผนื แด่ พระอานนท์ ฯลฯ พระอานนท์ ผูเ้ ป็นปฐมเหตใุ หเ้ กดิ ภกิ ษุณีในพระพทุ ธศาสนา ภายหลงั จากท่สี มเดจ็ พระเจา้ สุทโทนมหาราช ผูเ้ป็นพระพทุ ธบดิ าไดส้ ้นิ พระชนมแ์ ลว้ พระนางมหาปชาบดี ผูเ้ป็นพระอคั รมเหสี และพระมาตุจฉาของสมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดม้ ศี รทั ธาปสาทะ ท่จี ะออกบวชเป็นภกิ ษุณี จงึ เสด็จพรอ้ มดว้ ยเหล่าศากยกมุ ารหี ลายพระองค์ ไดไ้ ปเขา้ เฝ้ าสมเด็จพระผูม้ ีพระภาคเจา้ เพ่อื ทูลขอออกบวช แต่ พระพทุ ธองคท์ รงหา้ มเสยี แมพ้ ระนางเจา้ จะไดก้ ราบทูลขอถึง ๓ ครงั้ แต่พระพุทธองคก์ ็ไม่ทรงประทานพระพทุ ธา นุญาต ทาํ ใหพ้ ระนางเสยี พระทยั มาก จงึ กรรแสงอยู่หนา้ ประตูป่ามหาวนั เมอ่ื พระอานนทท์ ราบเขา้ จงึ มมี หากรุณาจติ ๗๙ ข.ธ.อ. (บาล)ี ๒/๕๕., ดูรายละเอยี ดใน สามาวตวี ตฺถุ ๘๐ ข.ธ.อ. (บาล)ี ๒/๕๕-๕๖.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๐๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ คิดจะช่วยเหลอื พระนางใหส้ าํ เรจ็ ดงั ประสงค์ จึงไดไ้ ปกราบทูลขอสมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ โดยอา้ งเหตผุ ลต่างๆ ทาํ ใหส้ มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ประทานพระพทุ ธานุญาต โดยมเี งอ่ื นไขว่าสตรีนนั้ จะตอ้ งรบั ครุธรรม ๘ ประการ ก่อน ถงึ จะอุปสมบทได้ เสรจ็ แลว้ สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงครุธรรม ๘ ประการแก่พระอานนท์ และ พระอานนทก์ ็จาํ ครุธรรม ๘ ประการนนั้ ไปเฝ้ าพระนางมหาปชาบดี ซ่ึงพระนางก็ทรงยอมรบั ครุธรรมนนั้ และได้ อปุ สมบทเป็นภกิ ษุณีรูปแรกของพระพทุ ธศาสนา๘๑ ครุธรรม ๘ ประการกบั สทิ ธิมนุษยชนในพระพทุ ธศาสนา ๑. ภกิ ษุณีถงึ จะบวชได้ ๑๐๐ พรรษา กต็ อ้ งทาํ การกราบไหว้ ตอ้ นรบั ทาํ อญั ชลกี รรม ทาํ สามจี กิ รรมแก่ภกิ ษุ ผูบ้ วชแมใ้ นวนั นนั้ ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๒. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จาํ พรรษาในอาวาสท่ีไม่มภี ิกษุทงั้ หลาย ธรรมขอ้ น้ีภิกษุณีพึงสกั การะ เคารพ นบั ถือ บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๓. ภิกษุณีพึงหวงั ธรรม ๒ อย่าง คือ ถามอุโบสถและไปรบั โอวาทจากภิกษุสงฆท์ ุกก่ึงเดือน ธรรมขอ้ น้ี ภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๔. ภกิ ษุณีจาํ พรรษาแลว้ พงึ ปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย โดยสถาน ๓ คือไดเ้หน็ ไดฟ้ งั หรอื ไดน้ ึกสงสยั ธรรม ขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพนบั ถอื บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๕. ภกิ ษุณีตอ้ งครุธรรมแลว้ พงึ ประพฤตปิ กั ขมานตั ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๖. ภกิ ษุณีพึงแสวงหาการอุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่ ายใหแ้ ก่สิกขมานาท่ีศึกษาธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปีแลว้ ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะเคารพ นบั ถอื บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๗. ภกิ ษุณีไมพ่ งึ ด่า ไมพ่ งึ บรภิ าษภกิ ษุ ไมว่ ่ากรณีใดๆ ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา ไม่ พงึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๘. ตงั้ แต่วนั น้ีเป็นตน้ ไป หา้ มภิกษุณีสงั่ สอนภิกษุ แต่ไม่หา้ มภิกษุสงั่ สอนภิกษุณี ธรรมขอ้ น้ีภิกษุณีพึง สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชาไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๘๒ พระนางมหาปชาบดี โคตรมี ถา้ พระองคร์ บั ครุธรรม ๘ น้ี (การรบั ครุธรรม) นน้ั แหละจะเป็นการอุปสมบท ของพระองค๑์ พระนางมหาปชาบดโี คตรมี กลา่ ววา่ ๐ท่านอานนท์ ดิฉนั ยอมรบั ครุธรรม ๘ ขอ้ น้ีปฏบิ ตั ิไม่ละเมดิ ไปจน ตลอดชีวติ ทีเดยี ว เปรียบเหมอื นหญงิ สาวหรอื ชายหนุ่มผูช้ อบแต่งกาย เมอ่ื สรงนาํ้ ดาํ เกลา้ แลว้ ไดพ้ วงอุบล พวงมะลิ หรอื พวงลาํ ดวน ก็ใชม้ อื ทง้ั สองประคองรบั ไวเ้หนือศีรษะฉะนนั้ ๑ต่อมา ท่านพระอานนทเ์ ขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาค ณ ทป่ี ระทบั ครน้ั แลว้ ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ทส่ี มควร ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐พระนางมหาปชาบดโี คตมี ยอมรบั ครุธรรม ๘ ขอ้ แลว้ พระมาตุจฉาของพระองคอ์ ุปสมบทแลว้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐อานนท์ ถา้ มาตคุ ามจะไมอ่ อกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ท่ตี ถาคตประกาศไวแ้ ลว้ พรหมจรรยจ์ ะดาํ รงอยู่ไดน้ าน ๘๑ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๐๒/๓๑๓-๓๑๙. ๘๒ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๐๒/๓๑๘-๓๑๙.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๐๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ สทั ธรรมจะดาํ รงอยู่ถงึ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคต ประกาศ ไวแ้ ลว้ บดั น้ีพรหมจรรยจ์ ะดาํ รงอยู่ไดไ้ มน่ าน สทั ธรรมจะตง้ั อยู่ไดเ้พยี ง ๕๐๐ ปีเท่านนั้ พระอานนทบ์ รรลอุ รหตั ผลไม่เหมือนพระรูปใดในอริ ิยาบถทง้ั ส่ี ภายหลงั จากพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแลว้ พระมหากสั สปเถระเจา้ ไดด้ าํ ริจะใหม้ ีการทาํ ปฐม สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั พระมหาเถระไดร้ บั อนุมตั ิจากสงฆใ์ หเ้ ลอื กพระภกิ ษุผูเ้ช่ียวชาญในพระธรรมวินยั จาํ นวน ๕๐๐ รูป เพอ่ื ทาํ ปฐมสงั คายนา ท่านพระมหากสั สปเถระเลอื กได้ ๔๙๙ รูปอีกรูปหน่ึงท่านไม่ยอมเลอื ก ความจริงท่าน ตอ้ งการจะเลือกเอาท่านพระอานนท์ แต่ขณะนน้ั ท่านพระอานนทย์ งั ไม่ไดเ้ ป็นพระอรหนั ต์ ครนั้ จะเลอื กท่านพระ อานนทก์ ็เกรงจะถูกครหาว่า \"เหน็ แก่หนา้ \" (มโุ ขโลกน)ํ เพราะท่านรกั พระอานนทม์ าก แต่ครนั้ จะเลอื กภกิ ษุอ่นื ไม่ เลอื กท่านพระอานนท์ ก็เกรงว่าการทาํ สงั คายนาครง้ั น้ีจกั ไม่สาํ เร็จผลดว้ ยดี เพราะท่านพระอานนทไ์ ดร้ บั ยกย่องจาก พระพทุ ธองคว์ ่าเป็นพหุสูตเป็นธรรมภณั ฑาคาริก จึงไดร้ ะบุช่ือพระเถระอ่นื ๆ ๔๙๙ รูป แลว้ น่ิงเสยี ต่อพระสงฆล์ ง มติว่าท่านพระอานนทค์ วรจะเขา้ ร่วมทาํ สงั คายนาครง้ั น้ีดว้ ย ท่านจึงไดร้ บั เขา้ เป็ นคณะสงฆผ์ ูจ้ ะทาํ สงั คายนา ครบ จาํ นวน ๕๐๐ รูป เมอ่ื ไดร้ บั คดั เลอื กแลว้ ท่านไดเ้ ดินทางจากนครกุสินารากลบั ไปยงั นครสาวตั ถีอีก ในระหว่างทางท่านได้ แสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนจาํ นวนมากทเ่ี ศรา้ โศกเสยี ใจ เพราะการปรินิพพานของพระพทุ ธองค์ เมอ่ื ถงึ พระเช ตวนั มหาวหิ าร ท่านกไ็ ดป้ ฏบิ ตั ปิ ดั กวาดพระคนั ธกฏุ เี สมอื นเมอ่ื พระพทุ ธองคย์ งั ทรงพระชนมอ์ ยู่ นอกจากปฏบิ ตั ิพระ คนั ธกฏุ ีแลว้ ท่านไดใ้ ชเ้ วลาส่วนมากใหห้ มดไปดว้ ยการยนื และนงั่ ไม่ค่อยจะไดจ้ าํ วดั ดว้ ยเหตนุ ้ีเองจงึ ทาํ ใหท้ ่านไม่ สบาย ตอ้ งฉนั ยาระบายเพ่ือใหก้ ายเบา ครนั้ ใหป้ ฏิสงั ขรณ์เสนาสนะท่ีชาํ รุดในพระเชตวนั สาํ เร็จแลว้ พอใกลว้ นั เขา้ พรรษาจึงไดอ้ อกเดินทางไปสู่กรุงราชคฤห์ เพ่ือร่วมทาํ สงั คายนา เม่อื ถึงแลว้ ท่านไดท้ าํ ความเพียรอย่างหนกั เพอ่ื ใหส้ าํ เรจ็ อรหตั ตก์ ่อน การทาํ สงั คายนาแต่ก็ยงั ไมส่ าํ เร็จ เพ่อื นๆ ไดต้ กั เตือนท่านว่า ในวนั รุ่งข้นึ ท่านจะตอ้ งเขา้ ไป นงั่ ในสงั ฆสนั นิบาตแลว้ ท่านเองเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ขอใหท้ าํ ความเพียร อย่าประมาท ในคืนนน้ั ท่านไดเ้ ดิน จงกรม กาํ หนดกายคตาสติ จนจวบปจั จุสมยั ใกลร้ ุ่ง จงึ ลงจากทจ่ี งกรม หมายใจจะหยุดนอนพกั ผ่อนในวหิ ารสกั ครู่ ก่อน แต่พอเอนกายลงนอน ศีรษะยงั ไม่ทนั ถงึ หมอนและเทา้ ทงั้ สองยงั ไม่พน้ จากพ้ืน ก็ไดส้ าํ เร็จเป็นพระอรหนั ต์ (เทวฺ ปาทา ภมู โิ ต มตุ ตฺ า อสมปฺ ตตฺ ํฺจ สสี ํ พมิ โฺ พหนํ เอตสฺมึ อนฺตเร อนุปาทาย อาสเวหิ จติ ตฺ ํ วมิ จจฺ )ิ ๘๓ ครนั้ ถึงเวลาประชุมทาํ สงั คายนา พระมหาเถระรูปอ่ืนๆ ก็พากนั ไปยงั ธรรมสภา ณ ถาํ้ สตั ตบรรณคูหากนั อย่างพรอ้ มเพรยี ง และต่างรูปต่างก็นงั่ อยู่ ณ อาสนะแห่งตนๆ แต่อาสนะของท่านพระอานนทย์ งั ว่างอยู่ เพราะท่าน พระอานนทค์ ิดใคร่จะประกาศใหพ้ ระมหาเถระทงั้ หลายไดท้ ราบว่า ท่านไดส้ าํ เร็จเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ จึงไม่ไดไ้ ป พรอ้ มกบั พระเถระอ่นื ๆ เมอ่ื กาํ หนดกาลเวลาพอเหมาะแลว้ ท่านจึงแทรกดินลงไป และผุดข้นึ ณ อาสนะแห่งตน แต่ บางทา่ นกลา่ ววา่ ทา่ นเหาะไปทางอากาศตกลงบนอาสนะของทา่ น๘๔ ๘๓ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๓๗/๓๗๗-๓๗๘. ๘๔ ว.ิ ม.อ. (บาล)ี ๑/๑๑-๑๒

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๐๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พระอานนทผ์ ูอ้ อ่ นนอ้ มถอ่ มตน (ผิดแลว้ ยอมรบั ผิด) ก่อนการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั จะเรม่ิ พระมหากสั สปเถระตงั้ ตงั้ ปญั หาหลายประการ แก่พระอานนท์ อาทิ การใชเ้ทา้ หนีบผา้ ของพระศาสดาในขณะปะหรอื ชุนผา้ การไม่อาราธนาใหส้ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ดาํ รงพระชนม์ อยู่ แมจ้ ะไดท้ รงแสดงนิมติ โอภาสหลายครง้ั ก่อนทพ่ี ระองคจ์ ะปลงสงั ขาร การเป็นผูข้ วนขวายใหส้ ตรีเขา้ มาบวชใน พทุ ธศาสนา การไม่กราบทูลถามเร่ืองสิกขาบทเลก็ นอ้ ย ท่พี ระพุทธองคต์ รสั ใหส้ งฆถ์ อนไดว้ ่าคือสกิ ขาบทอะไรบา้ ง และการจดั สตรใี หเ้ขา้ ไปถวายบงั คมพระพุทธสรีระก่อนบุรุษภายหลงั ปรินิพพาน ทาํ ใหน้ าํ้ ตาของสตรีเหล่านนั้ เป้ือน พระพทุ ธสรรี ะ ถึงแมพ้ ระอานนทเ์ ถระจะอา้ งเหตุผลมากลา่ วแก่ท่ปี ระชุมสงฆ์ แต่เมอ่ื ทป่ี ระชมุ สงฆเ์ หน็ ว่าเป็นอาบตั ิ ท่านกแ็ สดงอาบตั ติ ่อสงฆ์ หรอื แสดงการยอมรบั ผดิ ๘๕ การแสดงอาบตั ิของพระอานนทน์ นั้ เป็นกสุ โลบายของพระมหากสั สปเถระท่ตี อ้ งการจะวาง ระเบยี บวธิ ีการ ปกครองคณะสงฆใ์ หท้ ่ีประชุมเห็นว่า อาํ นาจของสงฆน์ น้ั ย่ิงใหญ่เพียงใด คาํ พิพากษาวินิจฉยั ของสงฆถ์ ือเป็นคาํ เด็ดขาด แมจ้ ะเหน็ ว่าตนไมผ่ ดิ แต่เมอ่ื สงฆเ์ หน็ ว่าผดิ ผูน้ นั้ ก็ตอ้ งยอม เป็นตวั อย่างทภ่ี กิ ษุสงฆร์ ุ่นหลงั จะไดย้ อมทาํ ตาม นอกจากน้ียงั เป็นการเสรมิ เกยี รตคิ ุณของพระอานนทเ์ ถระ ใหเ้ป็นตวั อย่างของผูว้ ่างา่ ย เคารพยาํ เกรงผูใ้ หญ่ เป็นปฏปิ ทาทใ่ี ครๆ พากนั อา้ งถงึ ดว้ ยความนิยมชมชอบในการต่อมา พระอานนทน์ ิพพาน ภายหลงั สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ พระอานนทไ์ ดเ้ท่ยี วจาริกสงั่ สอนเวไนย สตั วแ์ ทนองคพ์ ระศาสดา จนชนมายุของท่านลว่ งเขา้ ๑๒๐ ปี (พ.ศ. ๔๐) ท่านจงึ ไดพ้ ิจารณาอายุสงั ขารของท่านพบว่า อายุสงั ขารของทา่ นนนั้ ยงั อกี ๗ วนั กจ็ ะสูญส้นิ เขา้ สู่พระนิพพาน ทา่ นจงึ พจิ ารณาว่าท่านจะเขา้ นิพพาน ณ ทใ่ี ด ก็เหน็ ว่า ทา่ นจะเขา้ นิพพานทป่ี ลายแมน่ าํ้ โรหณิ ี ซ่งึ ตง้ั อยู่ระหว่างเมอื งกบลิ พสั ดุ์ กบั เมอื งเทวทหะ ซง่ึ มพี ระประยูรญาตอิ ยู่ทงั้ ๒ ฝ่าย จากนน้ั ท่านจึงไดล้ าภิกษุสงฆ์ และชนทง้ั หลาย จนครบ ๗ วนั แลว้ ท่านจึงไดแ้ สดงอิทธิปาฏหิ ารยิ น์ านาประการ แลว้ ตง้ั จิตอธษิ ฐานใหก้ ายของท่านแตกออกเป็น ๒ ภาค ภาคหน่ึงใหต้ กทฝ่ี งั่ กรุงกบลิ พสั ดุ์ อีกภาคหน่ึงตกท่เี ทวทหะ แลว้ ท่านไดเ้จริญเตโชกสณิ ทาํ ใหเ้ปลวเพลงิ บงั เกิดในร่างกาย เผาผลาญมงั สะและโลหติ ใหส้ ูญส้นิ ยงั เหลอื แต่พระอฐั ิ ธาตสุ ขี าวดงั สเี งนิ พระอฐั ธิ าตทุ เ่ี หลอื จึงแตกออกเป็น ๒ ภาค ดว้ ยกาํ ลงั อธิษฐานของท่านท่ที ่านอธษิ ฐานไวท้ ุกประการ บรรดาพระประยูรญาติและชนทม่ี าชมุ นุมกนั ณ ท่นี นั้ ต่างก็รองรบั พระธาตุไว้ แลว้ สรา้ งพระเจดียบ์ รรจุไวท้ งั้ ๒ ฟาก ของแมน่ าํ้ โรหณิ ี ทา่ นไดช้ ่อื วา่ เป็นพทุ ธสาวกทไ่ี ดบ้ รรลกุ เิ ลสนิพพาน และขนั ธ นิพพานแปลกกวา่ พระสาวกรูปอ่นื ๆ คณุ ธรรมท่คี วรถอื เป็นแบบอย่าง ๑. เป็นผูใ้ ฝ่รูใ้ ฝ่ศึกษาอยา่ งยง่ิ จนกลายเป็นพระหูสูตและไดร้ บั สมญานามวา่ ๐ภณั ฑา คารกิ ๑ (ขนุ คลงั ) หมายถงึ ขนุ คลงั แหง่ ความรูท้ างธรรมะ ๘๕ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๑-๔๔๓/๓๘๒-๓๘๔.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๐๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๒. มคี ุณธรรมในดา้ นต่างๆ ทท่ี าํ ใหท้ ่านไดร้ บั ยกย่องใหเ้ป็น ๐เอตทคั คะ๑เช่น มสี ติ สมั ปชญั ญะตลอดเวลา ไม่เผลอเรอ มีหลกั ในการจดจาํ พุทธวจนะจากการแสดงธรรมของพระพุทธองคเ์ ป็นอย่างดี และมีความเพียร พยายามในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทพ่ี ทุ ธสาวกอยา่ งเขม้ แขง็ เป็นตน้ ๓. เป็นผูร้ ูจ้ กั กาลเทศะอย่างดีย่ิง ในฐานะท่ีทาํ หนา้ ท่ีเป็น ๐พุทธอุปฏั ฐาก๑ เป็นผูค้ อยปรนนิบตั ิรบั ใช้ พระพทุ ธเจา้ เหมอื นกบั เลขานุการในปจั จุบนั พระอานนทจ์ ะรูเ้ วลาไหนควรทาํ อะไร เร่ืองนน้ั จะทาํ เมอ่ื ไร ใชส้ ถานท่ี ไหน และจะปฏบิ ตั ติ ่อบคุ คลต่างๆ อยา่ งไร เป็นตน้ ๔. เป็นผูม้ คี วามจงรกั ภกั ดีต่อพระพทุ ธเจา้ อย่างยง่ิ พระอานนทเ์ ป็นผูท้ ่มุ เทสละเวลาของตนเพ่อื ปรนนิบตั ิ รบั ใชพ้ ระพทุ ธเจา้ อย่างดียง่ิ แมจ้ ะเส่ยี งชีวติ เพอ่ื ปกป้องพระพทุ ธองคก์ ็กลา้ ทาํ ได้ ดงั ตวั อย่างเม่อื ครงั้ พระเจา้ อชาต ศตั รูหลงเช่อื คาํ ยุยงของพระเทวทตั จึงปลอ่ ยพญาชา้ งใหม้ าทาํ รา้ ยพระพทุ ธองคข์ ณะกาํ ลงั เสด็จออกบณิ ฑบาต พระ อานนทก์ ลา้ ออกมายนื ขวางพญาชา้ งไม่ใหท้ าํ รา้ ยพระพทุ ธองค์ เป็นตน้ ๕. เป็นผูม้ คี วามเมตตากรุณา ดงั ตวั อย่างเมอ่ื ครงั้ พระนางมหาปชาบดีโคตรมี (ผูเ้ป็นนา้ ของพระพทุ ธเจา้ ) ปรารถนาจะขอบวชเป็นพระภกิ ษุณีแต่พระพทุ ธเจา้ ทรงปฏเิ สธทกุ ครงั้ พระอานนทเ์ กิดความสงสารจึงกราบทูลออ้ น วอนขอ จนในทส่ี ุดพระพทุ ธเจา้ ทรงประทานอนุญาตใหบ้ วชได้ เป็นตน้ ๖. เป็นผูม้ องการณไ์ กล พระอานนท์ เป็นผูก้ ราบทูลถามพระพทุ ธเจา้ ในขอ้ ปฏบิ ตั ิเก่ยี วกบั การแสดงความ เคารพและการระลกึ ถงึ พระพุทธองคภ์ ายหลงั เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ซ่งึ พระพุทธองคต์ รสั ว่าใหพ้ ทุ ธบริษทั ทงั้ ๔ กราบไหวบ้ ูชา ๐สงั เวชนียสถานสต่ี าํ บล๑ คือสถานทป่ี ระสูติ ตรสั รู้ แสดงปฐมเทศนาและปรินิพพาน พรรษาท่ี ๒๑ - พรรษาท่ี ๔๔ ประทบั จาํ พรรษาสลบั ไปมาระหวา่ งวดั พระเชตวนั กบั วดั บพุ พาราม กรุงสาวตั ถี แควน้ โกศล จากพรรษาท่ี ๒๑ ถึงพรรษาท่ี ๔๔ พระพุทธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษา ณ พระนครสาวตั ถี เป็นระยะเวลา นานทส่ี ุด พระบรมศาสดาทรงประทบั จาํ พรรษา ณ พระเชตวนั มหาวหิ าร ๑๙ ฤดูฝน (ในพรรษาท่ี ๑๔ ทรงประทบั จาํ พรรษาทพ่ี ระเชตวนั มาแลว้ ๑ พรรษา) อกี ๖ ฤดูฝนเปลย่ี นไปประทบั ณ วหิ ารบพุ พาราม ท่นี างวสิ าขา มคิ ารมารดา มหาอุบาสิกาสาํ คญั สรา้ งถวายอยู่ในบริเวณใกลเ้คียงกบั มหาเชตวนั โดยประทบั สลบั ไปมา แต่มคี าํ อธบิ ายอีกนยั หน่ึง วา่ เวลากลางวนั ประทบั ณ วหิ ารแห่งหน่ึง และกลางคืนเสด็จไปแสดงธรรม ณ วหิ ารอีกแห่งหน่ึงเป็นสถานท่ปี ระทบั อนั นบั เน่ืองดว้ ยชวี ติ การประกาศธรรมของพระพทุ ธเจา้ ตลอด ๒๔ ฤดูฝน ระหวา่ งพระชนมายุ ๕๕–๗๙ ปี ออกพรรษา เสดจ็ จารกิ ไปตามตาํ บลต่างๆ เพอ่ื โปรด เวไนยสตั ว์ ซง่ึ เกดิ เหตุการณ์ทส่ี าํ คญั ดงั น้ี -ในระหว่างพรรษาท่ี ๒๑ จาํ พรรษาทว่ี ดั บพุ พาราม เมอื งสาวตั ถี พระพทุ ธองคโ์ ปรดใหแ้ สดงปาฏโิ มกข์ ในท่ี ประชมุ สงฆท์ กุ ก่งึ เดือน ครง้ั แรก เกิดทาํ เนียมพระสงฆส์ วดปาฏโิ มกขท์ ุก ๑๕ วนั ถงึ ปจั จบุ นั ประมาณพรรษาท่ี ๒๖ พระราหุลนิพพาน -ช่วงพรรษาท่ี ๓๗ พระเทวทตั คิดปกครองสงฆ์ จึงคิดการณ์ใหญ่วางแผนปลงพระชนมพ์ ระศาสดา วางแผนใหพ้ ระเจา้ อชาตศตั รู ทาํ ปิตฆุ าตปลงพระ ชนมพ์ ระเจา้ พมิ พสิ าร

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๐๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ -พระเทวทตั ถกู ธรณีสูบ -ช่วงพรรษาท่ี ๓๘ ทรงแสดงสามญั ญผลสูตร แก่พระเจา้ อชาตศตั รู พระเจา้ อชาตศตั รูสาํ นึกผดิ แสดงตน เป็นพทุ ธมามกะ -ท่กี รุงสาวตั ถี แควน้ โกศล เกดิ เหตุสะเทอื นใจ อาํ มาตยก์ ่อการขบถ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลหนีไปพง่ึ พระเจา้ อชาตศตั รู ผูเ้ ป็นหลาน ทแ่ี ควน้ มคธ แต่ส้นิ พระชนมร์ ะหว่างทางก่อนเขา้ พระนคร พระเจา้ วิฑูฑภะครองราชสมบตั ิ แควน้ โกศล นึกถงึ ความแคน้ ในหนหลงั กรธี าทพั บกุ กรุงกบลิ พสั ดุ์ แควน้ สกั กะ ฆ่าลา้ งวงศศ์ ากยราชไมเ่ วน้ แมเ้ดก็ -พระเจา้ วิฑูฑภะส้ินพระชนมพ์ รอ้ มกองทพั เพราะถูกคล่ืนซดั ขณะพกั กองทพั ริมฝงั่ แม่นาํ้ ในระหว่าง เดนิ ทพั กลบั จากฆ่าลา้ งศากยวงศ์ ช่วงพรรษาท่ี ๔๓ พระยโสธราเถรนี ิพพาน ออกพรรษา - พระสารบี ุตรทูลลานิพพาน - พระสารบี ตุ รกลบั นาลนั ทคาม บา้ นเกดิ โปรดมารดาจนบรรลุโสดาปตั ตผิ ล พระสารีบตุ รนิพพาน ณ หอ้ ง ทท่ี ่านเกดิ - พระโมคคลั ลานะถูกโจรทเ่ี ดยี รถยี จ์ า้ งมาทาํ รา้ ย ทุบจนกระดูกแหลกละเอยี ด - พระโมคคลั ลานะนิพพาน - นางอมั พปาลถี วายวดั อมั พปาลกิ ารามอาราม นางอมั พปาลบี รรลธุ รรม พรรษาท่ี ๔๕ (ปี มะเสง็ ) พรรษาท่ี ๔๕ พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ประทบั จาํ พรรษาสุดทา้ ยแห่งการดาํ เนินพทุ ธกจิ ประทบั จาํ พรรษาท่ี เวฬวุ คาม ใกลน้ ครเวสาลี แควน้ วชั ชี - โปรดใหพ้ ระภกิ ษุสงฆจ์ าํ พรรษารอบกรุงเวสาลี - ตรสั อานุภาพอทิ ธิบาท ๔ - ทรงปลงอายุสงั ขาร ตรสั โพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ - นายจุนทะถวายสุกรมทั ทวะ ทรงอาพาธอย่างแรงดว้ ยอาการลงพระโลหติ - ตรสั ถงึ สงั เวชนียสถาน ๔ แหง่ - ตรสั วธิ ปี ฏบิ ตั ติ ่อพระพทุ ธสรรี ะ ตรสั ปจั ฉิมโอวาท อนั เป็นโอวาทครง้ั สุดทา้ ยแก่ภกิ ษุสงฆ์ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน รวมการดาํ เนินพทุ ธกจิ ตง้ั แต่ตรสั รูไ้ ด้ ๔๕ พรรษา ในพรรษาสุดทา้ ยน้ี พระพุทธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาอยู่ท่ีตาํ บล เวฬุวคาม ใกลน้ ครเวสาลี แควน้ วชั ชี พระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ นิมติ ตโ์ อภาสแก่พระอานนทเ์ ป็นครง้ั สุดทา้ ยและทรงปลงอายุสงั ขาร ในวนั เพ็ญ เดือน ๓ ณ ปา วาลเจดยี ์ วา่ พระตถาคตจกั ปรนิ ิพพานแต่น้ีไปอกี ๓ เดอื น ในการต่อมา พระบรมศาสดาทรงพาพระภกิ ษุสงฆ์ ๕๐๐ เสดจ็ ไปในครเวสาลี เสดจ็ ประทบั อยู่ท่กี ูฏาคารใน ป่ามหาวนั ทรงพระกรุณาประทานพระธรรมเทศนาโปดมวลกษตั รยิ ล์ จิ ฉวที งั้ หลาย จากนน้ั ทรงพาพระภกิ ษุสงฆเ์ สดจ็ ออกจากพระนคร เสด็จประทบั ยืนอยู่หนา้ เมืองเวสาลี เย้อื งพระกายผินพระพกั ตร์ มาทอดพระเนตรเมืองเวสาลี

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๑๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ประหน่ึงว่าทรงอาลยั เมอื งเวสาลเี ป็นท่สี ุด พรอ้ มกบั รบั สงั่ กบั พระอานนทผ์ ูซ้ ่งึ เป็นพระอุปฏั ฐากประจาํ พระองคข์ อง พระพุทธเจา้ ความว่า “อานนท์ การเหน็ เมอื งเวสาลขี องตถาคตครงั้ น้ี เป็นปจั ฉิมทศั นา” คือเป็นการเหน็ ครง้ั สุดทา้ ย แลว้ พระบรมศาสดาเสดจ็ กลบั ไปประทบั ยงั กูฏาคารในป่ามหาวนั สถานท่เี สด็จประทบั ยืนทอดพระนครโดยพระอาการท่ีแปลกจากเดิมพรอ้ มทงั้ รบั สงั่ เป็นนิมติ เช่นนน้ั เป็น เจดียส์ ถานอนั สาํ คญั เรียกว่า ๐นาคาวโลกเจดีย๑์ นาคาวโลกคือ การเหลยี วมองอย่างพญาชา้ ง มองอย่างขา้ งเหลยี ว หลงั คือเหลยี วดูโดยหนั กายกลบั มาทง้ั หมด ซง่ึ เป็นอาการทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ เป็นครงั้ แรกและครงั้ เดยี ว ในลาํ ดบั กาลต่อมา พระบรมศาสดาทรงเสด็จพาพระภิกษุสงฆอ์ อกจากกูฏาคาร เสดจ็ ไปยงั บา้ นภณั ฑคุ าม บา้ นหตั ถีคาม บา้ นอมั พะคาม บา้ นชมั พูคาม และโภคนครโดยลาํ ดบั ภายหลงั จากแสดงธรรมโปรดพุทธบริษทั ชาวเมอื งโภคนครและ พระพทุ ธเจา้ ทรงเสดจ็ ไปยงั เมอื งปาวานคร เสด็จเขา้ ประทบั พาํ นกั อยู่ท่อี มั พวนั สวนมะม่วงของ นายจนุ กมั มารบตุ รซง่ึ อยูใ่ กลเ้มอื งปาวานนั้ เร่อื งนายจุนทกมั มารบตุ ร (บุตรช่างทอง)๘๖ ครนั้ นายจุนทะ ไดท้ ราบข่าว รีบเขา้ เฝ้ าพระบรมศาสดาฟงั พระธรรมเทศนาโปรด นายจุนทะไดก้ ราบทูล นิมนตพ์ ระพทุ ธเจา้ กบั ทง้ั พระภกิ ษุสงฆ์ ใหเ้ขา้ ไปรบั อาหารบณิ ฑบาตยงั นิเวศนข์ องตน ครน้ั รุ่งเชา้ เมอ่ื ไดเ้สด็จไปยงั นิเวศนข์ องนายจนุ ทะ พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั แก่นายจนุ ทะ วา่ ๐จนุ ทะ ท่านจงประเคนสูกรมทั ทวะ๘๗ ทเ่ี ตรียมไวแ้ ก่ตถาคตผูเ้ดยี ว ประเคนของขบฉนั อย่างอ่นื ทเ่ี ตรยี มไว้ แก่ภกิ ษุสงฆ์ เรายงั ไม่เหน็ ใครในโลก พรอ้ มเทวโลก มารโลกพรหมโลก และหม่สู ตั วพ์ รอ้ มทงั้ สมณพราหมณ์ เทวดา หรอื มนุษย์ ทบ่ี รโิ ภคสูกรมทั ทวะนน้ั แลว้ จะยอ่ ยไดด้ ว้ ยดี นอกจากตถาคต๑ นายจนุ ทกมั มารบตุ รทูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ฝงั สูกรมทั ทวะท่เี หลอื ลงในหลุมแลว้ เขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระ ภาคถึงท่ปี ระทบั ถวายอภวิ าทนงั่ ณ ท่สี มควรพระผูม้ พี ระภาคทรงช้ีแจงใหน้ ายจุนทกมั มารบุตรเหน็ ชดั ชวนใจให้ อยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่นื ร่าเรงิ ดว้ ยธรรมกี ถาแลว้ ทรงลุกจากพทุ ธ อาสนเ์ สด็จจากไป หลงั จากพระผูม้ พี ระภาคเสวยพระกระยาหารของนายจุนทกมั มารบุตรไดเ้ กดิ อาการพระประชวร ๘๖ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๘๙-๑๙๐/๑๓๗-๑๓๙. ๘๗ ที.ม.อ.(บาล)ี ๕/๒๘๑-๒๘๒. (สุมงฺคลวลิ าสินี ๒/๒๘๑-๒๘๒.) ‚สูกรมทฺทวนฺติ ๎นาติตรุณสฺส นาติชิณฺณสฺส เอกเชฏฺฐกสูกรสฺส ปวตฺตมสํ ํ ฯ ตํ กิร มทุ ุํฺเจว สนิ ิทฺธํฺจ โหติ ฯ ๎ตํ ปฏิยาทาเปตฺวา สาธุกํ ปจาเปตฺวาติ อตฺโถ ฯ เอเก ภณนฺติ ๎สูกรมทฺทวนฺติ ปน มทุ ุโอทนสฺส ปํฺจโครสยูสปาจนวธิ านสฺส นาเมตํ ฯ ยถา ควปานํ นาม ปากนามนฺติ ฯ เกจิ ภณนฺติ สูกรมทฺทวํ นาม รสายนวธิ ิฯ ตํ ปน รสายนสตฺเถ อาคจฺฉติ ฯ ตํ จุนฺเทน ภควโต ปรินิพฺพานํ น ภเวยฺยาติ รสายนํ ปฏิยตฺตนฺติ ฯ ตตฺถ ปน ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เทวตา โอชํ ปฏิกฺขปิ ึ สุ ฯ คาํ ว่า ‚สูกรมทั ทวะ‛ ความหมายตามมตขิ องเกจิอาจารย์ ๓ พวก คือ (๑) หมายถงึ ปวตั ตมงั สะ เน้ือสุกรหนุ่มท่เี กดิ ก่อนตวั อน่ื ไม่เลก็ เกนิ ไป ไมแ่ ก่เกินไป มี เน้อื นุ่ม เน้อื เนยี นละเอยี ด (๒) หมายถงึ ขา้ วสกุ ออ่ น ทป่ี รุงดว้ ยนมสด นมสม้ เนยใส เปรียง เนยแขง็ และถวั่ (๓) หมายถงึ วิธีปรุงอาหารชนิดหน่ึง อา้ ง ใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๑๘๙/๑๗๒., ข.ุ อ.ุ อ.(บาล)ี ๗๕/๔๒๗. พทุ ธทาสภกิ ขุ ไดอ้ ธิบายวา่ ‚สูกรมทั ทวะ‛ คือขนมทป่ี รงดว้ ยโทนกมุ มาส และเบญจโครส ส่วน นกั ปราชญต์ ะวนั ตกมที ศั นะวา่ สูกรมทั ทวะ เป็นเหด็ ชนดิ หน่งึ อา้ งใน พทุ ธทาสภกิ ข,ุ พระพทุ ธประวตั ิสาหรบั นักศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : แพร่พทิ ยา, ๒๕๑๔), หนา้ ๒๘๔-๒๘๘.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๑๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง อย่างรุนแรง ลงพระบงั คนหนกั เป็นโลหติ ๘๘ ทรงมที กุ ขเวทนาอย่างแสนสาหสั จวนเจียนจะปรินิพพาน พระองคท์ รงมี สตสิ มั ปชญั ญะ ทรงอดกลน้ั ทุกขเวทนาเหลา่ นน้ั ไวไ้ มพ่ รนั่ พรงึ รบั สงั่ เรียกท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า \"อานนท์ มาเรา จะไปเมอื งกสุ นิ ารา\" พระอานนทร์ บั พระบญั ชาแลว้ จงึ รบี แจง้ ใหพ้ ระสงฆท์ งั้ หลายเตรยี มตามเสดจ็ ไวพ้ รอ้ ม รบั สงั่ ขอน้าด่ืม๘๙ ต่อมา พระผูม้ พี ระภาคทรงแวะลงขา้ งทาง เสด็จเขา้ ไปยงั ควงไมต้ น้ หน่ึงรบั สงั่ เรยี กท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า ๐อานนท์ เธอช่วยปสู งั ฆาฏซิ อ้ นกนั ๔ ชนั้ เราเหน็ดเหน่ือยจะนงั่ พกั ๑ ท่านพระอานนทท์ ูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ปู สงั ฆาฏซิ อ้ นกนั ๔ ชนั้ พระผูม้ พี ระภาคประทบั บนอาสนะทท่ี า่ นพระอานนทป์ ูลาดถวายไว้ รบั สงั่ เรียกท่านพระอานนท์ มาตรสั ว่า ๐อานนท์ เธอช่วยไปนาํ นาํ้ ด่มื มา เรากระหายจะด่มื นาํ้ ๑ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ อย่างน้ี ท่านพระอานนท์ ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ เกวยี นประมาณ ๕๐๐ เล่ม เพ่งิ ขา้ มไป เม่อื ก้นี ้ี นาํ้ นนั้ มี นอ้ ย ถกู ลอ้ เกวยี นยาํ่ จนข่นุ เป็นตม ไหลไป ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ แม่นาํ้ กกุธา อยู่ไม่ไกลแค่น้ีเอง มนี าํ้ ใส จืดสนิท เยน็ สะอาด มที ่าเทยี บน่าร่นื รมย์ ขอพระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ ไปทรงด่มื และสรงสนานพระวรกายในแมน่ าํ้ กกุธาน้ีเถดิ ๑ แมค้ รงั้ ท่ี ๒ พระผูม้ ีพระภาครบั สงั่ เรียกท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า ๐อานนท์ เธอช่วยไปนาํ นาํ้ ด่ืมมา เรา กระหายจะด่มื นาํ้ ๑ แมค้ รง้ั ท่ี ๒ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ เกวยี น ประมาณ ๕๐๐ เล่มเพ่งิ ขา้ มไป เม่อื ก้ีน้ี นาํ้ นนั้ มนี อ้ ย ถูกลอ้ เกวียนยาํ่ จนขุ่นเป็นตมไหลไป ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ แมน่ า้ กกธุ า อยูไ่ มไ่ กล แค่น้ีเอง มนี าํ้ ใส จดื สนิท เยน็ สะอาดมที ่าเทยี บน่าร่นื รมย์ ขอพระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ ไปทรงด่มื และสรงสนานพระวรกายในแมน่ าํ้ กกธุ าน้ีเถดิ ๑ แมค้ รง้ั ท่ี ๓ พระผูม้ พี ระภาคก็รบั สงั่ เรียกท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า ๐อานนทเ์ ธอช่วยไปนาํ นาํ้ ด่ืมมา เรา กระหายจะดม่ื นาํ้ ๑ ท่านพระอานนทจ์ ึงทูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ถอื บาตรเดนิ เขา้ ไปยงั ลาํ ธารนนั้ ขณะนน้ั ลาํ ธารนนั้ มนี าํ้ นอ้ ยถกู ลอ้ เกวยี นยาํ่ จนข่นุ เป็นตมไหลไป แต่เมอ่ื ท่านพระอานนทเ์ ขา้ ไปใกลก้ ็กลบั ใสสะอาดไม่ขนุ่ ไหลไป ท่าน พระอานนทจ์ ึงคิดว่า ๐น่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่เคยปรากฏ พระตถาคตทรงมฤี ทธ์ิมาก มอี านุภาพมาก ลาํ ธารน้ี มนี าํ้ นอ้ ย ถูกลอ้ เกวียนยาํ่ ขนุ่ เป็นตมไหลไป เมอื่ เราเขา้ มาใกล้ กก็ ลบั ใสสะอาด ไม่ขนุ่ ไหลไป จึงใชบ้ าตรตกั นา้ แลว้ เขา้ ไปเฝ้ า พระผูม้ พี ระภาคถงึ ท่ปี ระทบั แลว้ กราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองค์ ผูเ้จริญ น่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่เคย ปรากฏ พระตถาคตทรงมฤี ทธ์ิมาก มอี านุภาพมากเดยี๋ วน้ีเอง ลาํ ธารนนั้ มนี าํ้ นอ้ ย ถกู ลอ้ เกวยี นยาํ่ จนข่นุ เป็นตมไหล ไป เมอ่ื ขา้ พระองคเ์ ดนิ เขา้ ไปใกล้ กก็ ลบั ใสสะ๙๐ พระพทุ ธเจา้ ทรงเสด็จพระพุทธดาํ เนินผ่านขา้ มแม่นาํ้ กกุธานทนุ ี พระอานนทท์ ูลเชิญใหเ้สวยและสรงชาํ ระ พระกายทต่ี รากตราํ มาในระยะทาง แลว้ เสด็จข้นึ มาประทบั ยงั ร่มไมแ้ ละเสดจ็ บรรทม ลาํ ดบั ต่อมาพระบรมศาสดาทรง ๘๘ สุมงฺคลวลิ าสนิ ี.(บาล)ี ๒/๒๘๒. ‚วิเรจมาโนติ อภณิ ฺหํ ปวตฺตโลหติ วเิ รจมาโนว สมาโน ฯ มพี ระโลหติ ไหลออกตลอดเวลา ฯ สุมงฺคล วลิ าสนิ .ี (บาล)ี ๒/๒๕๑. โลหติ ปกฺขนฺทกิ า มรณนฺตกิ า เวทนา วตฺตนฺติ ฯ แปลจากคาํ วา่ โลหติ ปกขฺ นฺทกิ า ในอรรถกถาอธิบายว่า เป็นอาการของโรคท่ถี ่าย เป็นเลอื ดตลอดเวลา อา้ งใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๑๙๐/๑๗๓. ประชวรพระโรคโลหติ ปกั ขนั ทกิ าพาธ คอื โรคทอ้ งร่วงเป็นโลหติ ๘๙ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๑/๑๓๙. ๙๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๑/๑๓๙-๑๔๐.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๑๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง เสด็จพระพทุ ธดาํ เนินต่อพรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษุสงฆท์ รงเสด็จดาํ เนินขา้ มแม่นาํ้ หิรญั วดี อนั เป็นแม่นาํ้ สายสุดทา้ ยท่ี พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ขา้ ม มงุ่ สู่สาลวโนทยานของมลั ลกษตั รยิ ท์ ต่ี งั้ อยู่รมิ ฝงั่ แมน่ าํ้ เร่อื งปกุ กสุ ะ มลั ลบตุ ร กส็ มยั นนั้ โอรสเจา้ มลั ละพระนามวา่ ปุกกสุ ะ๙๑ เป็นสาวกของอาฬารดาบส กาลามโคตร เดินทางไกลจากกรุง กุสินาราไปกรุงปาวา เห็นพระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ท่คี วงไมต้ น้ หน่ึง ครนั้ แลว้ จึงเขา้ ไปเฝ้ าพระผูม้ พี ระภาคถึงท่ี ประทบั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ทส่ี มควร ไดก้ ราบทลู พระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีวา่ ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ น่าอศั จรรยจ์ รงิ ไมเ่ คยปรากฏ บรรพชติ ทงั้ หลายย่อมอยู่ดว้ ยธรรมเป็นเคร่ืองอยู่อนั สงบอย่างยง่ิ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ เร่อื งมอี ยู่ว่า อาฬารดาบสกาลามโคตร เดนิ ทางไกลแวะลงขา้ งทางท่คี วงไมต้ น้ หน่ึงในทไ่ี ม่ไกล เวลานนั้ เกวยี นตงั้ ๕๐๐ เล่มไดผ้ ่าน ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร ติดๆ กนั ไปขณะนน้ั บุรุษคนหน่ึงกาํ ลงั เดินตามหลงั หมเู่ กวียนมาเขา้ ไปหาท่านอาฬา รดาบสกาลามโคตรถงึ ทอ่ี ยูแ่ ลว้ ไดถ้ ามท่านอาฬารดาบสดงั น้ีว่า ๎ขา้ แต่ท่านผูเ้จรญิ ท่านเหน็ เกวยี น ๕๐๐ เล่ม ผ่านไป บา้ งหรอื ไม๏่ ท่านอาฬารดาบสตอบวา่ ๎เราไมเ่ หน็ เลย ผูม้ อี ายุ๏ ๎ท่านไดย้ นิ เสยี งหรอื ไม๏่ ๎เราไมไ่ ดย้ นิ ผูม้ อี ายุ๏ ๎ทา่ นคงหลบั กระมงั ๏ ๎เราไมไ่ ดห้ ลบั ผูม้ อี ายุ’ ๎ท่านยงั มสี ญั ญา อยู่หรือ๏ ๎เรายงั มอี ยู่ ผูม้ ีอายุ๏ ๎ท่านยงั มสี ญั ญาต่ืนอยู่ (แต่) ไม่ไดเ้ ห็นเกวียนตงั้ ๕๐๐ เล่ม ท่ีผ่านติดๆ กนั ไป ทง้ั ไมไ่ ดย้ นิ เสยี ง กผ็ า้ ทาบของท่านเปรอะเป้ือนฝุ่นธุลบี า้ งไหม๏ ๎เป็นอยา่ งนน้ั ผูม้ อี ายุ๏ บรุ ุษนนั้ มคี วามคดิ ดงั น้ีวา่ ๎ทา่ นผูเ้จรญิ น่าอศั จรรยจ์ ริง ไมเ่ คยปรากฏ บรรพชติ ทงั้ หลายย่อมอยู่ดว้ ยธรรม เป็นเคร่ืองอยู่อนั สงบอย่างย่งิ ดงั ทท่ี ่านอาฬารดาบส ผูย้ งั มสี ญั ญาต่ืนอยู่ (แต่) ไม่เห็นเกวียนตงั้ ๕๐๐ เล่ม ท่ผี ่าน ตดิ ๆ กนั ไป ทงั้ ไมไ่ ดย้ นิ เสยี ง๏ เขาประกาศความเลอ่ื มใสอย่างยง่ิ ในทา่ นอาฬารดาบส กาลามโคตร แลว้ จากไป๑ พระผูม้ ีพระภาคตรสั ถามปุกกุสะว่า ๐ปุกกุสะ เธอเขา้ ใจเร่ืองนนั้ ว่า อย่างไร อย่างไหนทาํ ไดย้ ากกว่ากนั เกดิ ข้นึ ไดย้ ากกว่ากนั (ระหวา่ ง) ผูย้ งั มสี ญั ญา ตน่ื อยู่ ไมเ่ หน็ เกวยี นตง้ั ๕๐๐ เลม่ ทผ่ี ่านติดๆ กนั ไป ทงั้ ไม่ไดย้ นิ เสยี ง กบั ผูท้ ่ยี งั มสี ญั ญาต่นื อยู่ เม่อื ฝนกาํ ลงั ตก ตกอย่างหนกั ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าอยู่ ก็ไมไ่ ดเ้ หน็ และไม่ไดย้ นิ เสยี ง๑ ปุกกสุ ะ ทูลตอบว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ เกวยี น ๕๐๐ เล่ม ๖๐๐ เล่ม ๗๐๐ เลม่ ๘๐๐ เล่ม ๙๐๐ เลม่ ๑,๐๐๐ เล่ม ฯลฯ เกวยี น ๑๐๐,๐๐๐ เล่ม จะเปรียบกนั ไดอ้ ย่างไร แทจ้ ริง ผูท้ ่ยี งั มสี ญั ญาต่ืนอยู่ เม่อื ฝนกาํ ลงั ตก ตกอย่างหนกั ฟ้า แลบ ฟ้าผ่าอยู่ ก็ไม่ไดเ้ ห็นและไม่ไดย้ นิ เสยี ง อย่างน้ีแหละทาํ ไดย้ ากกว่าและ เกิดข้นึ ไดย้ ากกว่า๑ พระผูม้ พี ระภาค ตรสั ว่า ๐ปุกกุสะ คราวหน่ึง เราพกั อยู่ท่ีโรงกระเด่ือง เขตกรุงอาตุมา เวลานน้ั ฝนกาํ ลงั ตก ตกอย่างหนกั ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าอยู่ ชาวนา ๒ คนพน่ี อ้ งและโคงาน ๔ ตวั ถูกฟ้าผ่าใกลโ้ รงกระเด่อื ง ขณะนน้ั หม่มู หาชนในกรุงอาตมุ าออกไป มงุ ดูชาวนา ๒ คนพน่ี อ้ งและโคงาน ๔ ตวั ท่ถี ูกฟ้าผ่า เราออกจากโรงกระเด่อื ง จงกรมอยู่ท่กี ลางแจง้ ใกลป้ ระตูโรง กระเด่อื ง บุรุษคนหน่ึงออกมาจากหมู่ มหาชนเขา้ มาหาเราถงึ ท่อี ยู่ไดไ้ หวเ้รา ยนื ณ ท่สี มควร เราไดถ้ ามบรุ ุษนนั้ ดงั น้ี วา่ ๎ผูม้ อี ายุ หมมู่ หาชนนนั่ ชมุ นุมกนั ทาํ ไม๏ บรุ ุษนนั้ ตอบว่า ๎ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ เดยี๋ วน้ีเอง ขณะทฝ่ี นกาํ ลงั ตก ตก อยา่ งหนกั ฟ้าแลบ ฟ้าผา่ อยู่ ชาวนา ๒ คนพน่ี อ้ งและโคงาน ๔ ตวั ถกู ฟ้าผ่า หม่มู หาชนชุมนุมกนั เพราะเหตุน้ี ท่านไป อยู่เสยี ทไ่ี หนเลา่ ๏ เราตอบว่า ๎เรากอ็ ยู่ท่นี ้ีแหละ๏ บรุ ุษนน้ั ถามว่า ๎ท่านเหน็ หรือไม่๏ เราตอบว่า ๎เราไม่เหน็ เลย ผูม้ อี ายุ๏ ๙๑ ขณะนน้ั เจา้ ปกุ กสุ ะ ประกอบอาชพี เป็นพ่อคา้ เพชรพลอย ซง่ึ ถอื เป็นประเพณีอยา่ งหน่ึงของพวกเจา้ มลั ละทม่ี กี ารผลดั เปลย่ี นกนั ครองราชย์ ตามวาระ สว่ นผูท้ ย่ี งั ไมถ่ งึ วาระจะประกอบอาชพี ทางการคา้ อา้ งใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๒๘๓.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๑๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ บุรุษนน้ั ถามว่า ๎ท่านไดย้ ินเสยี งหรือไม่๏ เราตอบว่า ๎เราไม่ไดย้ นิ ผูม้ อี ายุ๏ บุรุษนน้ั ถามว่า ๎ท่านคงหลบั กระมงั ๏ เรา ตอบว่า ๎เราไมไ่ ดห้ ลบั ผูม้ อี ายุ๏ บรุ ุษนนั้ ถามว่า ๎ท่านยงั มสี ญั ญาอยู่หรอื ๏ เราตอบว่า ๎เรายงั มอี ยู่ ผูม้ อี ายุ๏ บรุ ุษนน้ั ถามว่า ๎ท่านยงั มสี ญั ญา ต่นื อยู่ ขณะฝนกาํ ลงั ตก ตกอย่างหนกั ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าอยู่ ไม่ไดเ้หน็ และไมไ่ ดย้ นิ เสยี งเลยหรอื ๏ เราตอบว่า ๎เป็นอย่าง นนั้ ผูม้ อี ายุ๏ บุรุษนนั้ มคี วามคิดดงั น้ีว่า ๎ท่านผูเ้ จริญ น่าอศั จรรยจ์ รงิ ไมเ่ คยปรากฏบรรพชิตทง้ั หลายย่อมอยู่ดว้ ย ธรรมเป็นเครอ่ื งอยูอ่ นั สงบอยา่ งยง่ิ ดงั ทท่ี ่านสมณะผูย้ งั มสี ญั ญาต่นื อยู่ เมอ่ื ฝนกาํ ลงั ตก ตกอย่างหนกั ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า อยูก่ ไ็ มเ่ หน็ และไมไ่ ดย้ นิ เสยี งเลย ๎เขาประกาศความเลอ่ื มใสอย่างยง่ิ ในเรา กระทาํ ประทกั ษณิ แลว้ จากไป๑ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างน้ี ปุกกุสะ มลั ลบุตรไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาค ดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ู้ เจริญ ขา้ พระองคข์ อโปรยความเล่อื มใสท่มี ีในอาฬารดาบส กาลามโคตร ไปตามกระแสลมท่ีพดั แรง หรือลอยใน แมน่ าํ้ กระแสเชย่ี ว พระภาษติ ของพระผูม้ พี ระภาคชดั เจนไพเราะยง่ิ นกั พระภาษติ ของพระผูม้ พี ระภาคชดั เจนไพเราะ ย่งิ นกั พระผูม้ พี ระภาคทรงประกาศธรรมแจ่มแจง้ โดยประการต่างๆ เปรยี บเหมอื นบุคคลหงายของทค่ี วาํ่ เปิดของท่ี ปิด บอกทางแก่ผูห้ ลงทาง หรือตามประทปี ในท่มี ดื โดยตง้ั ใจว่า ๎คนมตี าดีจกั เห็นรูปได๏้ ขา้ พระองคน์ ้ีขอถงึ พระผูม้ ี พระภาคพรอ้ มกบั พระธรรมและพระสงฆเ์ ป็นสรณะ ขอพระผูม้ พี ระภาคจงทรงจาํ ขา้ พระองคว์ ่าเป็นอุบาสกผูถ้ งึ สรณะ ตง้ั แต่วนั น้ีเป็นตน้ ไปจนตลอดชวี ติ ๑ ลาํ ดบั นนั้ ปกุ กสุ ะมลั ลบตุ ร รบั สงั่ เรยี กบรุ ุษคนหน่ึงมาตรสั วา่ ๐พนาย เธอช่วยนาํ ผา้ เน้ือละเอยี ดสที องน่าใช้ คู่หน่ึง (๒ ผนื ) ของเรามา๑ บุรุษนนั้ รบั คาํ แลว้ นาํ คู่ผา้ เน้ือละเอียดสที องน่าใชค้ ู่นนั้ มาให้ จากนน้ั ปุกกุสะ มลั ลบตุ ร ไดน้ อ้ มคู่ผา้ เน้ือละเอยี ดสที องน่าใชค้ ู่นนั้ เขา้ ไปถวายพระผูม้ พี ระภาคพรอ้ มกบั กราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ขอ พระผูม้ พี ระภาคโปรดรบั คู่ผา้ เน้ือละเอียดสที องน่าใชค้ ู่น้ี เพอ่ื อนุเคราะหข์ า้ พระองคด์ ว้ ยเถดิ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั วา่ ๐ปกุ กสุ ะ ถา้ อย่างนนั้ เธอจงใหเ้ราครองผนื หน่ึงอกี ผนื หน่ึงใหอ้ านนทค์ รอง๑ ปุกกุสะ มลั ลบตุ ร ทลู รบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ถวายใหพ้ ระผูม้ พี ระภาคทรงครองผนื หน่ึง ถวายใหท้ ่านพระอานนทค์ รองอกี ผนื หน่ึง พระผูม้ พี ระภาคทรงช้แี จงใหป้ กุ กสุ ะ มลั ลบุตร เหน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่นื ร่าเรงิ ดว้ ยธรรมกี ถา ลาํ ดบั นน้ั ปุกกุสะ มลั ลบตุ ร ผูอ้ นั พระผูม้ พี ระภาคทรงช้แี จงใหเ้หน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่ืนร่าเริงดว้ ยธรรมกี ถา ลุกจากท่ีนงั่ ถวายอภิวาทพระผูม้ ีพระภาค กระทาํ ประทกั ษณิ แลว้ จากไป เมอ่ื ปกุ กสุ ะ มลั ลบตุ รจากไปไม่นาน ท่านพระอานนทไ์ ดน้ อ้ มคู่ผา้ เน้ือละเอียดสที องน่า ใชค้ ู่นนั้ เขา้ ไปคลุมพระวรกายของพระผูม้ พี ระภาค พอท่านพระอานนทน์ อ้ มเขา้ ไปคลุมพระวรกายของพระผูม้ พี ระ ภาค ผา้ นนั้ ปรากฏสเี ปลง่ ปลงั่ เหมอื นถ่านไฟท่ปี ราศจากเปลว ครง้ั นน้ั ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ น่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่ เคยปรากฏ พระฉววี รรณของพระตถาคตบรสิ ุทธ์ผิ ุดผ่องย่งิ นกั คู่ผา้ เน้ือละเอียดสที องน่าใชค้ ู่น้ี พอขา้ พระองคน์ อ้ ม เขา้ ไปคลมุ พระวรกายของพระผูม้ พี ระภาค ปรากฏสเี ปลง่ ปลงั่ เหมอื นถ่านไฟทป่ี ราศจากเปลว๑ พระผูม้ ีพระภาคตรสั ว่า ๐อานนท์ ขอ้ น้ีเป็นอย่างนนั้ อานนท์ ขอ้ น้ีเป็นอย่างนนั้ กายของตถาคตย่อม บริสุทธ์ิ ผวิ พรรณผุดผ่องอย่างย่งิ อยู่ใน ๒ คราว กายของตถาคตย่อมบริสุทธ์ิ ผวิ พรรณผุดผ่องอย่างย่งิ อยู่ใน ๒

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๑๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ คราว อะไรบา้ ง คือ ๑. ในราตรีทีต่ ถาคตตรสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ ๒. ในราตรีทีต่ ถาคตปรินิพพานดว้ ยอนุ ปาทเิ สสนิพพานธาต๙ุ ๒ อานนท์ กายของตถาคตย่อมบรสิ ุทธ์ิ ผวิ พรรณผุดผ่องอย่างยง่ิ อยูใ่ น ๒ คราวน้ีแล ในปจั ฉิมยามแห่งราตรีวนั น้ี ตถาคตจะปรินิพพานในระหว่างไมส้ าละทง้ั คู่ ในสาลวนั ของมลั ละ อนั เป็น ทางเขา้ (ดา้ นทิศใต)้ กรุงกุสนิ ารา มาเถิด อานนท์ เราจะเขา้ ไปยงั แมน่ าํ้ กกุธากนั ๑ ท่านพระอานนทท์ ูลรบั สนองพระ ดาํ รสั แลว้ ปุกกุสะนอ้ มถวายผา้ สีทองเน้ือละเอียดคู่หน่ึงพอพระศาสดาทรงครองผา้ คู่นนั้ มีพระฉวีวรรณดงั่ ทอง งดงามนกั ต่อมา พระผูม้ พี ระภาคพรอ้ มดว้ ยภกิ ษุสงฆห์ มใู่ หญ่ เสด็จเขา้ ไปยงั แมน่ าํ้ กกธุ า เสด็จลงสรงในแม่นาํ้ กกธุ า ทรงด่มื แลว้ เสดจ็ ข้นึ ไปยงั อมั พวนั รบั สงั่ เรยี กทา่ นพระจนุ ทกะมาตรสั ว่า ๐จนุ ทกะ เธอช่วยปูสงั ฆาฏซิ อ้ นกนั ๔ ชนั้ เรา เหน็ดเหน่ือยจะนอนพกั ๑ ท่านพระจุนทกะทูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ปูสงั ฆาฏิซอ้ นกนั ๔ ชน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงสาํ เร็จสหี ไสยา๙๓ โดยพระปรศั วเ์ บ้อื งขวา ทรงซอ้ นพระบาทเหลอ่ื มพระบาท ทรงมสี ติ สมั ปชญั ญะ ทรงกาํ หนดพระทยั พรอ้ มจะเสด็จลุก ข้นึ ส่วนท่านพระจุนทกะนงั่ เฝ้ าอยู่เบ้อื งพระพกั ตรข์ องพระผูม้ พี ระภาคในท่นี นั้ พระพุทธเจา้ ผูเ้ป็นพระศาสดาผูท้ รง เขา้ ถึงสภาวะตามความเป็นจริงหาผูใ้ ดในโลกเสมอเหมอื นมไิ ดเ้สด็จถงึ แม่นาํ้ กกุธา ท่มี นี าํ้ ใส จืดสนิท สะอาด ลงสรง แลว้ จงึ ทรงคลายเหน็ดเหน่ือยพระบรมศาสดาผูท้ รงพราํ่ สอนแจกแจงธรรมในพระศาสนาน้ี เป็นผูแ้ สวงหาคุณใหญ่ครนั้ สรงสนานและทรงด่มื นาํ้ แลว้ กเ็ สดจ็ นาํ หนา้ หมภู่ กิ ษุไปยงั อมั พวนั รบั สงั่ ภกิ ษุช่อื จนุ ทกะมาตรสั ว่า 'เธอช่วยปูสงั ฆาฏซิ อ้ น กนั ๔ ชนั้ ใหเ้ป็นท่นี อนพกั แก่เรา' ท่านพระจนุ ทกะรูปนน้ั ผูไ้ ดร้ บั การฝึกมาดีแลว้ พอไดร้ บั คาํ สงั่ ก็รีบปูสงั ฆาฏซิ อ้ นกนั ๔ ชน้ั พระศาสดาบรรทมแลว้ ทรงหายเหน็ดเหน่ือยฝ่ายท่านพระจนุ ทกะ กน็ งั่ เฝ้าเฉพาะพระพกั ตรอ์ ยู่ในทน่ี น้ั ครง้ั นนั้ พระผูม้ ีพระภาครบั สงั่ เรียกท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า \"อานนท์ อาจมใี ครทาํ ใหน้ ายจุนทกมั มาร บตุ รรอ้ นใจวา่ 'จนุ ทะ การทพ่ี ระตถาคตเสวยบณิ ฑบาตของท่านเป็นม้อื สุดทา้ ยแลว้ ปรนิ ิพพาน ท่านจะไม่ไดอ้ านิสงส์ ความดงี ามกจ็ ะไดโ้ ดยยาก' อานนท์ เธอพงึ ช่วยบรรเทาความรอ้ นใจของนายจุนทกมั มารบตุ รอย่างน้ีว่า 'ผูม้ อี ายุจุน ทะ การทพ่ี ระตถาคตเสวยบณิ ฑบาตของท่านเป็นม้อื สุดทา้ ยแลว้ ปรนิ ิพพาน ท่านจะไดร้ บั อานิสงส์ ความดีงามก็จะได้ โดยงา่ ย เร่อื งน้ีเราไดส้ ดบั รบั มาเฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผูม้ พี ระภาค และจาํ ไดว้ ่า 'บณิ ฑบาต ๒ คราว มผี ลเสมอกนั มี วบิ ากเสมอกนั มผี ลมากกวา่ มอี านิสงสม์ ากกว่า ยงิ่ กวา่ บณิ ฑบาตอนื่ ๆ บิณฑบาต ๒ คราว คือ ๑. บิณฑบาต ทีพ่ ระตถาคตเสวยแลว้ ตรสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ ๒. บณิ ฑบาต ทพี่ ระตถาคตเสวยแลว้ ปรินิพพานดว้ ยอนุปาทิเสสนิพพานธาต๙ุ ๔ ๙๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๕/๑๔๕. ๙๓ ดูรายลเอยี ดใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๒๙๓-๒๙๔. การนอนมี ๔ แบบ คือ นอนแบบคนบริโภคกาม นอนแบบเปรต นอนแบบราชสีห์ นอน แบบพระตถาคต ฯ (๐สหี เสยฺยนฺติ เอตฺถ กามโภคิเสยฺยา เปตเสยฺยา สหี เสยฺยา ตถาคตเสยฺยาติ จตสฺโส เสยฺยา) อา้ งใน ท.ี ม.อ. (สุมงฺคลวลิ าสินี) ๒/ ๒๙๒. คาํ วา่ ‚สหี ไสยา‛ หมายถงึ นอนอย่างราชสหี ์ นอนตะแคงขวา ซอ้ นเทา้ เหลอ่ื มเทา้ มสี ตสิ มั ปชญั ญะ กาํ หนดใจถงึ การลุกข้นึ ท.ี ม.ฏกี า (บาล)ี ๑๙๘/ ๒๑๖. ๙๔ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๗/๑๔๗.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๑๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง บณิ ฑบาต ๒ คราวน้ีมผี ลเสมอกนั มวี ิบากเสมอกนั มีผลมากกว่า มอี านิสงสม์ ากกว่า ย่ิงกว่าบณิ ฑบาต อ่นื ๆ๏ กรรมท่จี ุนทกมั มารบุตรสงั่ สมไวเ้ป็นไปเพอ่ื อายุ เป็นไปเพ่อื วรรณะ เป็นไปเพ่อื สุขะเป็นไปเพ่อื ยศ เป็นไปเพ่อื เกดิ ในสวรรค์ เป็นไปเพอ่ื ความเป็นใหญ่๏ อานนท์ เธอพึงช่วยบรรเทาความรอ้ นใจของจุนทกมั มารบุตรอย่างน้ี๑ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคทรงทราบความ นน้ั แลว้ ทรงเปลง่ อทุ านในเวลานนั้ วา่ ๐ททโต ปุํฺญํ ปวฑฒฺ ติ สยํ มโต เวรํ น วยี ติ กสุ โล ว ชหาติ ปาปกํ ราคโทสโมหกขฺ ยา นิพพฺ โุ ตติ แปลความว่า ๐ผูใ้ ห้ ยอ่ มเพม่ิ พนู บญุ ผูส้ าํ รวม ยอ่ มไมก่ ่อเวร ส่วนผูฉ้ ลาด ย่อมละกรรมชวั่ ได้ ผูน้ นั้ ดบั ได้ แลว้ เพราะส้นิ ราคะ โทสะ และโมหะ๑ เสดจ็ ไปยงั ควงไมส้ าละทง้ั คู่๙๕ ครงั้ นน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียกท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า ๐มาเถดิ อานนท์ เราจะขา้ มไปยงั ฝงั่ โนน้ แห่ง แมน่ าํ้ หริ ญั ญวดี ตรงสาลวนั ของพวก เจา้ มลั ละอนั เป็นทางเขา้ กรุงกสุ นิ ารากนั ๑ ท่านพระอานนทท์ ูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ พระผูม้ พี ระภาคพรอ้ มดว้ ยภิกษุสงฆห์ ม่ใู หญ่ เสด็จไปยงั ฝงั่ โนน้ แห่งแม่นาํ้ หริ ญั ญวดีตรงสาลวนั ของพวกเจา้ มลั ละ อนั เป็นทางเขา้ กรุงกสุ ินารา แลว้ รบั สงั่ เรียกท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า ๐อานนท์ เธอช่วยตงั้ เตียง ระหว่างตน้ สาละทงั้ คู่หนั ดา้ นศีรษะไปทางทศิ เหนือ เราเหน็ดเหน่ือยจะนอนพกั ๑ ท่านพระอานนทท์ ูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ตงั้ เตียงระหว่างตน้ สาละทงั้ คู่หนั ดา้ นพระเศียรไปทางทิศเหนือ ครงั้ นนั้ พระผูม้ ีพระภาคทรงสาํ เร็จสีหไสยาโดยพระ ปรศั วเ์ บ้อื งขวา ทรงซอ้ น พระบาทเหลอ่ื มพระบาท ทรงมสี ติสมั ปชญั ญะ เวลานนั้ ตน้ สาละทงั้ คู่ผลดิ อกนอกฤดูกาล บานสะพรงั่ เต็มตน้ ดอกสาละ เหล่านนั้ ร่วงหล่นโปรยปรายตกตอ้ งพระสรีระของพระตถาคตเพ่อื บูชาพระตถาคต ดอกมณฑารพอนั เป็นทิพยก์ ็ร่วงหล่นจากอากาศโปรยปรายตกตอ้ งพระสรีระของพระตถาคตเพือ่ บูชาพระตถาคต จุรณแห่งจนั ทนอ์ นั เป็นทพิ ยก์ ร็ ่วงหลน่ จากอากาศ โปรยปรายตกตอ้ งพระสรีระของพระตถาคตเพ่อื บูชาพระตถาคต ดนตรที พิ ยก์ บ็ รรเลง ในอากาศเพอ่ื บชู าพระตถาคต ทงั้ สงั คตี ทพิ ยก์ บ็ รรเลงในอากาศเพอ่ื บูชาพระตถาคต ครง้ั นน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรยี กท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า ๐อานนท์ ตน้ สาละทงั้ คู่ผลดิ อกนอกฤดูกาล บานสะพรงั่ เต็มตน้ ดอกสาละเหล่านน้ั ร่วงหลน่ โปรยปรายตกตอ้ งสรีระของตถาคตเพอ่ื บูชาตถาคต ดอกมณฑารพ อนั เป็นทพิ ยก์ ร็ ่วงหลน่ จากอากาศโปรยปรายตกตอ้ งสรรี ะของตถาคตเพอ่ื บูชาตถาคต จรุ ณแห่งจนั ทนอ์ นั เป็นทพิ ยก์ ็ ร่วงหล่นจากอากาศโปรยปรายตกตอ้ งสรีระของตถาคตเพ่ือบูชาตถาคต ดนตรีทิพยก์ ็บรรเลงในอากาศเพ่ือบูชา ตถาคต ทงั้ สงั คตี ทพิ ยก์ บ็ รรเลงในอากาศเพอ่ื บชู าตถาคต ตถาคตจะช่อื ว่าอนั บริษทั สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา นอบ นอ้ ม ดว้ ยเคร่ืองสกั การะเพยี งเท่าน้ีก็หาไม่ ผูใ้ ดไม่ว่าจะเป็นภกิ ษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา เป็นผูป้ ฏบิ ตั ิธรรม ๙๕ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๙๘-๑๙๙/๑๔๗-๑๔๘.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๑๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง สมควรแก่ธรรม๙๖ ปฏบิ ตั ิชอบ ปฏบิ ตั ิตามธรรมอยู่ ผูน้ น้ั ช่ือว่าสกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา นอบนอ้ ม ดว้ ยการบูชา อย่าง ยอดเยย่ี ม ฉะนนั้ อานนท์ เธอทงั้ หลายพงึ สาํ เหนียกอย่างน้ีว่า ๎เราจะเป็นผูป้ ฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม ปฏบิ ตั ิ ชอบ ปฏบิ ตั ติ ามธรรมอยู่๏ อานนท์ เธอทงั้ หลายพงึ สาํ เหนียกอย่างน้ีแล๑ เรอ่ื งพระอปุ วาณเถระ๙๗ เวลานน้ั ท่านพระอปุ วาณะยนื ถวายงานพดั พระผูม้ พี ระภาคอยู่ตรงพระพกั ตร์ ขณะนน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ ท่านพระอปุ วาณะใหถ้ อยไปดว้ ยพระดาํ รสั ว่า ๐ภกิ ษุ เธอจงหลบไป อย่ายนื ตรงหนา้ เรา๑ ท่านพระอานนทม์ คี วาม ดาํ รดิ งั น้ีวา่ ๐ท่านพระอปุ วาณะน้ีเคย เป็นอปุ ฏั ฐากเฝ้าใกลช้ ิดพระผูม้ พี ระภาคมานาน ถงึ กระนนั้ ในปจั ฉิมกาลพระผู้ มพี ระภาคตรสั สงั่ ใหท้ ่านพระอุปวาณะถอยไปดว้ ยพระดาํ รสั วา่ ๎ภกิ ษุ เธอจงหลบไป อย่ายนื ตรงหนา้ เรา๏ อะไรหนอแลเป็นเหตุ อะไรเป็นปจั จยั ใหพ้ ระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ ใหท้ ่านพระอปุ วาณะถอยไปดว้ ยพระดาํ รสั ว่า ๎ภิกษุ เธอจงหลบไป อย่ายืนตรงหนา้ เรา๑ ลาํ ดบั นน้ั ท่านพระอานนทไ์ ดท้ ูลถามพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่ พระองคผ์ ูเ้ จริญ ท่านพระอุปวาณะน้ี เคยเป็นอุปฏั ฐากเฝ้ าใกลช้ ิดพระผูม้ พี ระภาคมานานถึงกระนน้ั ในปจั ฉิมกาล พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ ใหท้ ่านพระอุปวาณะถอยไปดว้ ยพระดาํ รสั ว่า ๎ภกิ ษุ เธอจงหลบไป อย่ายนื ตรงหนา้ เรา๏ อะไร หนอแลเป็นเหตุ อะไร เป็นปจั จยั ใหพ้ ระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ ใหท้ ่านอุปวาณะถอยไปดว้ ยพระดาํ รสั ว่า ๎ภกิ ษุเธอจงหลบ ไป อยา่ ยนื ตรงหนา้ เรา๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐อานนท์ เทพโดยมากใน ๑๐ โลกธาตมุ าประชมุ กนั เพ่อื จะเยย่ี มตถาคต สวน สาลวนั ของพวกเจา้ มลั ละอนั เป็นทางเขา้ กรุงกุสนิ าราน้ี มเี น้ือท่ี ๑๒ โยชนโ์ ดยรอบท่ีท่ีพวกเทพผูม้ ศี กั ด์ิใหญ่ ไม่ได้ เบยี ดเสยี ดกนั อยู่แมเ้ท่าปลายขนเน้ือทรายจดลงไดก้ ็ไมม่ ี พวกเทพจะโทษว่า พวกเรามาไกลก็เพ่อื จะเหน็ พระตถาคต มเี พียงครงั้ คราวท่ีพระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะเสด็จอุบตั ิข้นึ ในโลก ในปจั ฉิมยามแห่งราตรีวนั น้ี พระ ตถาคตจะปรนิ ิพพาน ภกิ ษุผูม้ ศี กั ด์ใิ หญ่รูปน้ี ยนื บงั อยูเ่ บ้อื งหนา้ พระพกั ตรพ์ ระผูม้ พี ระภาค (ทาํ ให)้ พวกเราไมไ่ ดเ้ฝ้า พระตถาคตในปจั ฉิมกาล๑ ท่านพระอานนทท์ ูลถามว่า ๐พวกเทวดาเป็นอย่างไร คิดกนั อย่างไรพระพุทธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐อานนท์ มเี ทวดาบางพวก เป็นผูก้ าํ หนดแผ่นดิน ข้นึ บนอากาศ สยายผมประคองแขนรอ้ งไหค้ ราํ่ ครวญ ลม้ กล้งิ เกลอื กไปมา เหมอื นคนเทา้ ขาด เพอ้ ราํ พนั ว่า ๎พระผูม้ พี ระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคต ด่วนปรินิพพานเสีย จกั ษุของโลกจกั ด่วนอนั ตรธานไปแลว้ ๏ มเี ทวดาบางพวกเป็นผูก้ าํ หนดแผ่นดินข้นึ บนแผ่นดนิ สยายผมประคองแขน รอ้ งไหค้ ราํ่ ครวญ ลม้ กล้งิ เกลอื กไปมา เหมอื นคนเทา้ ขาด เพอ้ ราํ พนั ว่า ๎พระผูม้ พี ระภาคด่วนปรนิ ิพพาน พระสุคต ด่วนปรนิ ิพพานเสยี จกั ษุของโลกจกั ด่วนอนั ตรธานไปแลว้ ๏ ส่วนพวกเทวดาท่ไี มม่ รี าคะ มสี ติสมั ปชญั ญะกอ็ ดกลน้ั ได้ ว่า สงั ขารทง้ั หลาย ไมเ่ ทย่ี ง เหลา่ สตั วจ์ ะพงึ หาไดอ้ ะไรจากทไ่ี หนในสงั ขารน้ี๑ ๙๖ ตตฺถ ‚ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโนติ นววธิ สฺส โลกุตฺตรธมฺมสฺส อนุธมมฺ ํ ปพุ ฺพภาคปฏปิ ทํ ปฏปิ นฺโน ฯ สาเยว ปน ปฏปิ ทา ฯ อนุจฺฉวกิ ตฺตา ๎สามจี ตี ิ วจุ ฺจติ ฯ ตํ สามจี ึ ปฏปิ นฺโนติ สามจี ปิ ฏปิ นฺโน ฯ ตเมว ปพุ พฺ ภาคปฏปิ ทาสงฺขาตํ อนุธมมฺ ํ จรติ ปูเรตตี ิ อนุธมมฺ จารี ฯ ๐ปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแก่ ธรรม‛ หมายถงึ การปฏบิ ตั หิ ลกั เบ้อื งตน้ มศี ีล เป็นตน้ ใหส้ อดคลอ้ งกบั โลกตุ ตรธรรมปฏบิ ตั ชิ อบ หมายถงึ ปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแก่ธรรมนนั้ เอง ปฏิบตั ิ ตามธรรม หมายถงึ การประพฤตหิ ลกั เบ้อื งตน้ ใหส้ มบูรณ์ อา้ งใน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๐๐. (สมุ งฺคลวลิ าสนิ )ี ๙๗ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๐-๒๐๑/๑๔๙-๑๕๐.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๑๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง สงั เวชนียสถาน ๔ ตาบล๙๘ ทา่ นพระอานนทก์ ราบทลู วา่ ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ เมอ่ื ก่อนภกิ ษุทง้ั หลายผูจ้ าํ พรรษาในทศิ ทง้ั หลายมาเฝ้า พระตถาคต ขา้ พระองคท์ งั้ หลายย่อมไดพ้ บ ไดใ้ กลช้ ดิ ภกิ ษุทงั้ หลายผูเ้ป็นทเ่ี จรญิ ใจ กเ็ มอ่ื พระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ ลว่ งลบั ไป ขา้ พระองคท์ ง้ั หลายจะไม่ไดพ้ บ ไมไ่ ดใ้ กลช้ ดิ ภกิ ษุทงั้ หลายผูเ้ป็นทเ่ี จรญิ ใจ (อกี )๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั วา่ ๐อานนท์ สงั เวชนียสถาน ๔ แหง่ น้ีเป็นสถานท่ี (เป็นศูนยร์ วม) ท่กี ุลบตุ รผูม้ ศี รทั ธาควรไปดู สงั เวชนียสถาน ๔ แห่ง คอื ๑. สงั เวชนียสถาน ทก่ี ุลบตุ รผูม้ ศี รทั ธาควรไปดู ดว้ ยระลกึ ว่า ๎ตถาคต ประสูตใิ นทน่ี ้ี๏ ๒. สงั เวชนียสถาน ท่กี ลุ บตุ รผูม้ ศี รทั ธาควรไปดู ดว้ ยระลกึ วา่ ๎ตถาคต ไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิ ญาณในทน่ี ้ี๏ ๓. สงั เวชนียสถาน ทก่ี ลุ บตุ รผูม้ ศี รทั ธาควรไปดู ดว้ ยระลกึ ว่า ๎ตถาคตทรงประกาศธรรมจกั รอนั ยอดเยย่ี ม ในทน่ี ้ี๏ ๔. สงั เวชนียสถาน ท่กี ลุ บุตรผูม้ ศี รทั ธาควรไปดู ดว้ ยระลกึ ว่า ๎ตถาคตไดเ้สด็จดบั ขนั ธ ปรนิ ิพพานดว้ ย อนุปาทเิ สสนิพพานธาตุ ในทน่ี ้ี๏ อานนท์ สงั เวชนียสถาน ๔ แห่งน้ีเป็นสถานทท่ี ่กี ลุ บุตรผูม้ ศี รทั ธาควรไปดู ภิกษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อุบาสกิ า ผูม้ ศี รทั ธาจะมาดู ดว้ ยระลกึ ว่า ๎ตถาคต ประสูติ ในท่นี ้ี๏ ... ว่า ๎ตถาคตไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มสมั โพธิญาณในทน่ี ้ี๏ ... ว่า ๎ตถาคต ประกาศธรรมจกั รอนั ยอดเย่ยี มในท่นี ้ี๏ ... ว่า ๎ตถาคตไดเ้ สด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ดว้ ยอนุปาทิเสสนิ พพานธาตใุ นทน่ี ้ี๏ อานนท์ ชนเหล่าใดเหล่าหน่ึงจาริกไปยงั เจดยี จ์ กั มจี ิตเล่อื มใสตายไป ชนเหล่านน้ั ทง้ั หมดหลงั จากตายแลว้ จะไปเกดิ ในสุคตโิ ลกสวรรค์ เรอ่ื งคาถามพระอานนท์ ท่านพระอานนทท์ ูลถามว่า ๐พวกขา้ พระองค์ จะปฏบิ ตั ิต่อสตรีอย่างไร พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐อย่าดู๑ ๐เม่อื จาํ ตอ้ งดู จะปฏบิ ตั ิอย่างไร พระพุทธเจา้ ขา้ ๑ ๐อย่าพูดดว้ ย๑ ๐เมอ่ื จาํ ตอ้ งพูด จะปฏิบตั ิอย่างไร พระพุทธเจา้ ขา้ ๑ ๐ตอ้ งตง้ั สติ ไว๑้ ๙๙ ( ๎กถํ มยํ ภนฺเต มาตคุ าเม ปฏปิ ชฺชามาติ ฯ ๎อทสฺสนํ อานนฺทาติ ฯ ๎ทสฺสเน ภควา สติ กถํ ปฏปิ ชฺชิตพฺพนฺติ ฯ ๎อนาลาโป อานนฺทาติ ฯ ๎อาลปนฺเต ภนฺเต กถํ ปฏปิ ชฺชิตพพฺ นฺติ ฯ ๎สติ อานนฺท อุปฏฺฐา เปตพพฺ าติ ฯ) ท่านพระอานนทท์ ูลถามว่า ๐พวกขา้ พระองคจ์ ะปฏบิ ตั ติ ่อพระสรีระของพระตถาคตอย่างไร พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาค ตรสั ตอบว่า ๐พวกเธออย่ากงั วลเพอ่ื บชู าสรรี ะของตถาคต จงพยายาม ขวนขวายทาํ หนา้ ท่ขี องตนเอง ๙๘ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๒-๒๐๖/๑๔๙-๑๕๑. ๙๙ คาํ ว่า ‚ตง้ั สติ‛ ในท่นี ้ีหมายถึง การควบคุมจิตใหค้ ิดต่อสตรีในทางท่ดี งี าม เช่น รูส้ กึ ว่าเป็นแม่ ในสตรีท่อี ยู่ในวยั แม่รูส้ กึ ว่าเป็นพ่สี าว นอ้ งสาว ในสตรีทอ่ี ยูใ่ นวยั พส่ี าวนอ้ งสาว รูส้ กึ วา่ เป็นลูกสาวในสตรที อ่ี ยูใ่ นวยั สาว อา้ งใน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๑๐. สุมงฺคลวลิ าสนิ ี. อถ ภควา เอถ ตุเมหฺ ภกิ ฺขเว มาตมุ ตฺตสี ุ มาตุจติ ฺตํ อปุ ฏฺฐเปถ ฯ ภคินีมตฺตีสุ ภคินีจิตฺตํ อุปฏฺฐเปถ ฯ ธีตุมตฺตีสุ ธีตุจิตฺตํ อฏุ ฺฐเปถาติ อทิ ํ โอวาทํ สนฺธาย สติ อานนฺท อุปฏฺฐ เปตพพฺ าติ (๓)อาห ฯ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๑๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ เถดิ อยา่ ประมาทในหนา้ ทข่ี องตน มคี วามเพยี ร อทุ ศิ กายและใจอยู่เถดิ กษตั รยิ ผ์ ูเ้ป็นบณั ฑติ พราหมณผ์ ูเ้ป็นบณั ฑติ คหบดผี ูเ้ป็นบณั ฑติ ผูเ้ลอ่ื มใสในตถาคต จะทาํ การบูชาสรรี ะของตถาคตเอง๑ ทา่ นพระอานนทท์ ลู ถามวา่ ๐พวกเขาพงึ ปฏบิ ตั ติ ่อพระสรีระของพระ ตถาคตอย่างไร พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐พงึ ปฏบิ ตั ิต่อสรีระของตถาคต เหมอื นอย่างทพ่ี วกเขาปฏบิ ตั ติ ่อพระบรมศพ ของพระเจา้ จกั รพรรดนิ นั่ แหละ๑ ท่านพระอานนทท์ ลู ถามว่า ๐พวกเขาปฏบิ ตั ติ ่อพระบรมศพของพระเจา้ จกั รพรรดอิ ย่างไร พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐พวกเขาใชผ้ า้ ใหม่ห่อพระบรมศพของพระเจา้ จกั รพรรดิเสรจ็ แลว้ จงึ ห่อดว้ ย สาํ ลบี ริสุทธ์ิ แลว้ จงึ ห่อดว้ ยผา้ ใหมอ่ ีกชนั้ หน่ึง ทาํ โดยวธิ ีน้ีจนห่อพระบรมศพของพระเจา้ จกั พรรดดิ ว้ ยผา้ และสาํ ลไี ด้ ๑,๐๐๐ ชนั้ แลว้ อญั เชิญพระบรมศพลงในรางเหลก็ เต็มดว้ ยนาํ้ มนั ใชร้ างเหลก็ อีกอนั หน่ึงครอบแลว้ ทาํ จิตกาธาน ดว้ ยไมห้ อมลว้ น แลว้ ถวายพระเพลงิ พระบรมศพพระเจา้ จกั รพรรดิ สรา้ งสถปู ของพระเจา้ จกั รพรรดิไวท้ ่ที างใหญ่ส่ี แพร่ง อานนท์ พวกเขาปฏบิ ตั ติ ่อพระบรมศพของพระเจา้ จกั รพรรดิ อย่างน้ีแลพวกเขาพงึ ปฏบิ ตั ิต่อสรรี ะของตถาคต เหมอื นอยา่ งทพ่ี วกเขาปฏบิ ตั ติ ่อพระบรมศพพระเจา้ จกั รพรรดิ พงึ สรา้ งสถปู ของตถาคตไวท้ ท่ี างใหญ่ส่ีแพร่ง ชนเหล่า ใดจกั ยกระเบยี บดอกไม้ ของหอม หรอื จรุ ณ จกั อภวิ าท หรือจกั ทาํ จติ ใหเ้ลอ่ื มใสในสถปู นน้ั การกระทาํ นน้ั จกั เป็นไป เพอ่ื เก้อื กูล เพอ่ื สุขแก่ชนเหลา่ นน้ั ตลอดกาลนาน๑๐๐ ถปู ารหบุคคล๑๐๑ อานนท์ ถปู ารหบคุ คล (ผูค้ วรสรา้ งสถปู ถวาย) ๔ จาํ พวกน้ี คือ ๑. พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นถปู ารหบคุ คล ๒. พระปจั เจกสมั พทุ ธเจา้ เป็นถปู ารหบคุ คล ๓. พระสาวกของพระตถาคต เป็นถปู ารหบคุ คล ๔. พระเจา้ จกั รพรรดิ เป็นถปู ารหบคุ คล พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นถูปารหบุคคล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชน์ อะไรคือ ชนเป็นอนั มากทาํ จติ ใหเ้ลอ่ื มใสดว้ ยคิดว่า ๎น้ีเป็นสถปู ของพระผูม้ พี ระภาค อรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ พระองคน์ น้ั ๏ พวกเขาทาํ จิต ใหเ้ลอ่ื มใสในสถูปนน้ั หลงั จากตายแลว้ จะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ เป็นถูปารห บคุ คล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชนข์ อ้ น้ีแล พระปจั เจกสมั พุทธเจา้ เป็นถูปารหบุคคล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชน์ อะไรคือ ชนเป็นอนั มากทาํ จิตให้ เลอ่ื มใสดว้ ยคิดว่า ๎น้ีเป็นสถปู ของพระปจั เจกสมั พทุ ธเจา้ พระองคน์ น้ั พวกเขาทาํ จิตใหเ้ลอ่ื มใสในสถูปนน้ั หลงั จาก ตายแลว้ จะไปเกดิ ในสุคติโลกสวรรค์ พระปจั เจกสมั พทุ ธเจา้ เป็นถปู ารหบคุ คล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชนข์ อ้ น้ีแล พระสาวกของพระตถาคตเป็นถูปารหบุคคล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชนอ์ ะไรคือ ชนเป็นอนั มากทาํ จิตให้ เลอ่ื มใสดว้ ยคิดว่าน้ีเป็นสถูปของพระสาวกของพระผูม้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคน์ นั้ พวกเขาทาํ จิตให้ ๑๐๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๓-๒๐๕/๑๕๑-๑๕๒. ๑๐๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๖/๑๕๒-๑๕๔.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๑๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง เล่อื มใสในสถูปนนั้ หลงั จากตายแลว้ จะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ พระสาวกของพระตถาคตนนั้ เป็นถูปารหบุคคล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชนข์ อ้ น้ีแล พระเจา้ จกั รพรรดเิ ป็นถปู ารหบุคคล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชน์ อะไรคือ ชนเป็นอนั มากทาํ จติ ใหเ้ลอ่ื มใส ดว้ ยคิดว่า น้ีเป็นพระสถูปของพระธรรมราชาผูท้ รงธรรมพระองค์นนั้ พวกเขาทาํ จิตใหเ้ ล่ือมใสในพระสถูปนน้ั หลงั จากตายแลว้ จะไปเกดิ ในสุคตโิ ลกสวรรค์ พระเจา้ จกั รพรรดเิ ป็นถูปารหบุคคล เพราะอาศยั อาํ นาจประโยชนข์ อ้ น้ี แล อานนท์ ถปู ารหบคุ คล ๔ จาํ พวกน้ีแล๑ เรอ่ื งความเป็ นอจั ฉรยิ ะของพระอานนท๑์ ๐๒ เวลานนั้ ท่านพระอานนทเ์ ขา้ ไปสูพ่ ระวหิ าร ยนื เหน่ียวไมส้ ลกั เพชร รอ้ งไหอ้ ยู่ว่า ๐เรายงั เป็นเสขบคุ คล มกี ิจ ท่จี ะตอ้ งทาํ แต่พระศาสดาผูท้ รงอนุเคราะห์ เราจะปรินิพพานเสียแลว้ ๑ ครงั้ นน้ั พระผูม้ ีพระภาครบั สงั่ เรียกภกิ ษุ ทง้ั หลายมาตรสั ถามว่า ๐อานนทไ์ ปไหน๑ พวกภกิ ษุกราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ท่านพระอานนทเ์ ขา้ ไปยงั พระ วหิ าร ยนื เหน่ียวไมส้ ลกั เพชรรอ้ งไหอ้ ยู่ว่า ๎เรายงั เป็นเสขบุคคล มกี จิ ท่จี ะตอ้ งทาํ แต่พระศาสดาผูท้ รงอนุเคราะหเ์ รา จะปรินิพพานเสยี แลว้ ๑ ลาํ ดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียกภิกษุรูปหน่ึงมาตรสั ว่า ๐ภิกษุ เธอจงไป บอกอานนท์ ตามคาํ เราวา่ ๎ท่านอานนท์ พระศาสดารบั สงั่ หาท่าน๑ ภกิ ษุรูปนน้ั ทูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ เขา้ ไปหาท่านพระอานนท์ ถงึ ท่ีอยู่บอกว่า ๐ท่านอานนท์ พระศาสดารบั สงั่ หาท่าน๑ ท่านพระอานนทร์ บั คาํ แลว้ เขา้ ไปเฝ้ าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ท่ี ประทบั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ทส่ี มควร พระผูม้ พี ระภาคไดต้ รสั กบั พระอานนทด์ งั น้ีว่า ๐อย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศรา้ โศก อย่าคราํ่ ครวญเลย เรา บอกไวก้ ่อนแลว้ มใิ ช่หรือว่า ๎ความพลดั พราก ความทอดท้งิ ความแปรเปลย่ี นเป็นอย่างอ่ืนจากของรกั ของชอบใจทุก อย่างจะตอ้ งมี ฉะนนั้ จะพงึ หาไดอ้ ะไรจากท่ไี หนในสงั ขารน้ี ส่งิ ท่เี กิดข้นึ มขี ้นึ ถูกปจั จยั ปรุงแต่ง ลว้ นแตกสลายเป็น ธรรมดา เป็นไปไม่ไดท้ ่จี ะปรารถนาว่า ๎ขอส่งิ นนั้ อย่าเส่ือมสลาย ไปเลย๏ เธออุปฏั ฐากตถาคตมาชา้ นาน ดว้ ยเมตตา กายกรรม อนั เก้อื กูล ใหเ้กดิ สุขเสมอตน้ เสมอปลาย ไมม่ ปี ระมาณ ดว้ ยเมตตาวจีกรรม อนั เก้อื กูล ใหเ้กดิ สุข เสมอตน้ เสมอปลาย ไมม่ ปี ระมาณ ดว้ ยเมตตามโนกรรม อนั เก้อื กูล ใหเ้กดิ สุข เสมอตน้ เสมอปลาย ไมม่ ปี ระมาณ อานนท์ เธอ ไดท้ าํ บญุ ไวแ้ ลว้ จงประกอบ ความเพยี รเขา้ เถดิ เธอจะเป็นผูส้ ้นิ อาสวะโดยเรว็ ๑ จากนน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรยี กภกิ ษุทง้ั หลายมาตรสั ว่า ๐ภกิ ษุทงั้ หลาย ภกิ ษุผูอ้ ุปฏั ฐากของพระผูม้ พี ระ ภาคอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ทง้ั หลายในอดีตกาล ท่จี ดั ว่าเป็นผูอ้ ุปฏั ฐากผูย้ อดเย่ยี มก็เหมอื นอานนทข์ องเราน้ีเอง ภิกษุผูอ้ ุปฏั ฐากของพระผูม้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ทง้ั หลายใน อนาคตกาล ท่จี ดั ว่าเป็นอุปฏั ฐากผูย้ อด เยย่ี มกเ็ หมอื นอานนทข์ องเราน้ีเอง อานนทเ์ ป็นบณั ฑติ อานนทม์ ปี ญั ญาหลกั แหลม ย่อมรูว้ ่า ๎น้ีเป็นเวลาของภิกษุท่ี จะเขา้ เฝ้าพระตถาคต น้ีเป็นเวลาของภิกษุณี น้ีเป็นเวลาของอุบาสก น้ีเป็นเวลาของอุบาสกิ า น้ีเป็นเวลาของพระราชา น้ีเป็นเวลาของราชมหาอาํ มาตย์ น้ีเป็นเวลาของเดยี รถยี ์ น้ีเป็นเวลาของสาวกเดยี รถยี ๏์ ภิกษุทงั้ หลาย ความเป็นอจั ฉริยะ ไม่เคยปรากฏ ๔ ประการน้ี มอี ยู่ในอานนทค์ วามเป็นอจั ฉริยะไม่เคย ปรากฏ ๔ ประการคอื ๑๐๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๗-๒๐๙/๑๕๔-๑๕๗.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๒๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑. ถา้ ภกิ ษุบรษิ ทั เขา้ พบอานนท์ แมเ้พยี งไดพ้ บกม็ ใี จยนิ ดี ถา้ อานนทแ์ สดงธรรมในภกิ ษุบรษิ ทั นน้ั แมเ้พยี ง แสดงธรรมกม็ ใี จยนิ ดี ภกิ ษุบรษิ ทั ยงั ไมเ่ ตม็ อม่ิ เมอ่ื อานนทห์ ยุดแสดง ๒. ถา้ ภกิ ษุณีบรษิ ทั เขา้ พบอานนท์ แมเ้พยี งไดพ้ บกม็ ใี จยนิ ดี ถา้ อานนทแ์ สดงธรรมในภกิ ษุณีบริษทั นน้ั แม้ เพยี งแสดงธรรมกม็ ใี จยนิ ดี ภกิ ษุณีบรษิ ทั ยงั ไมเ่ ตม็ อม่ิ เมอ่ื อานนทห์ ยุดแสดง ๓. ถา้ อบุ าสกบรษิ ทั เขา้ พบอานนท์ แมเ้พยี งไดพ้ บกม็ ใี จยนิ ดี ถา้ อานนท์ แสดงธรรมในอุบาสกบรษิ ทั นน้ั แม้ เพยี งแสดงธรรมกม็ ใี จยนิ ดี อบุ าสกบรษิ ทั ยงั ไมเ่ ตม็ อ่มิ เมอ่ื อานนทห์ ยุดแสดง ๔. ถา้ อุบาสกิ าบริษทั เขา้ พบอานนท์ แมเ้พยี งไดพ้ บก็มใี จยนิ ดี ถา้ อานนทแ์ สดงธรรมในอุบาสิกาบริษทั นน้ั แมเ้พยี งแสดงธรรม กม็ ใี จยนิ ดี อุบาสกิ าบริษทั ยงั ไม่เตม็ อ่มิ เมอ่ื อานนทห์ ยุดแสดงภกิ ษุทง้ั หลาย ความเป็นอจั ฉริยะ ไมเ่ คยปรากฏ ๔ ประการน้ีแล มอี ยู่ในอานนท๑์ ภกิ ษุทงั้ หลาย ความเป็นอจั ฉริยะไม่เคยปรากฏ ๔ ประการน้ีมอี ยู่ในพระเจา้ จกั รพรรดิ ความเป็นอจั ฉริยะ ไมเ่ คยปรากฏ ๔ ประการคอื ๑. ถา้ ขตั ติยบริษทั เขา้ เฝ้ าพระเจา้ จกั รพรรดิ แมเ้พียงไดเ้ ขา้ เฝ้าก็มใี จยนิ ดี ถา้ พระเจา้ จกั รพรรดิมพี ระราช ปฏิสนั ถารในขตั ติยบริษทั นน้ั แมเ้ พียงมีพระราชปฏิสนั ถารก็มีใจยินดี ขตั ติยบริษทั ยงั ไม่เต็มอ่ิม เม่ือพระเจา้ จกั รพรรดทิ รงน่ิง ๒. ถา้ พราหมณบริษทั เขา้ เฝ้ าพระเจา้ จกั รพรรดิ แมเ้พียงไดเ้ ขา้ เฝ้าก็ มใี จยนิ ดี ถา้ พระเจา้ จกั รพรรดิมพี ระ ราชปฏสิ นั ถารในพราหมณบรษิ ทั นน้ั แมเ้พยี งมพี ระราชปฏสิ นั ถารก็มใี จยนิ ดี พราหมณบริษทั ยงั ไม่เตม็ อ่ิม เมอ่ื พระ เจา้ จกั รพรรดทิ รงน่ิง ๓. ถา้ คหบดบี ริษทั เขา้ เฝ้าพระเจา้ จกั รพรรดิ แมเ้พยี งไดเ้ ขา้ เฝ้ าก็มใี จยนิ ดี ถา้ พระเจา้ จกั รพรรดิมพี ระราช ปฏิสนั ถารในคหบดีบริษทั นน้ั แมเ้ พียงมีพระราชปฏิสนั ถารก็มีใจยินดี คหบดีบริษทั ยงั ไม่เต็มอ่ิม เม่ือพระเจา้ จกั รพรรดทิ รงน่ิง ๔. ถา้ สมณบริษทั เขา้ เฝ้ าพระเจา้ จกั รพรรดิ แมเ้พียงไดเ้ ขา้ เฝ้ าก็มใี จยนิ ดี ถา้ พระเจา้ จกั รพรรดิมพี ระราช ปฏสิ นั ถารในสมณบรษิ ทั นน้ั แมเ้พยี งมพี ระราชปฏสิ นั ถารกม็ ใี จยนิ ดี สมณบริษทั ยงั ไมเ่ ตม็ อ่มิ เมอ่ื พระเจา้ จกั รพรรดิ ทรงน่ิง ฉนั ใด ภิกษุทงั้ หลาย ความเป็นอจั ฉริยะไม่เคยปรากฏ ๔ ประการน้ีแล มอี ยู่ในพระเจา้ จกั รพรรดิ ภิกษุ ทง้ั หลาย ความเป็นอจั ฉรยิ ะไมเ่ คยปรากฏ ๔ ประการ กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั มอี ยูใ่ นอานนท๑์ ๐๓ ทรงแสดงมหาสุทสั สนสูตร เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างน้ีแลว้ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ู้ เจรญิ พระผูม้ พี ระภาคอยา่ ไดป้ รนิ ิพพานในเมอื งเลก็ เมอื งดอน เมอื งก่งิ เช่นน้ี เมอื งใหญ่เหลา่ อ่นื ยงั มอี ยู่ เช่น กรุงจมั ปา กรุงราชคฤห์ กรุงสาวตั ถี เมอื งสาเกต กรุงโกสมั พี กรุงพาราณสี ขอพระผูม้ ี พระภาคโปรดปรินิพพานในเมอื ง ๑๐๓ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๗-๒๐๙/๑๕๔-๑๕๗.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๒๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ เหลา่ น้ีเถดิ ขตั ตยิ มหาศาล๑๐๔ พราหมณมหาศาล คหบดีมหาศาล ผูเ้ลอ่ื มใสอย่างยง่ิ ในพระตถาคต มอี ยู่มากในเมอื ง เหลา่ นนั้ ทา่ นเหลา่ นนั้ จะทาํ การบชู าพระสรรี ะของพระตถาคต๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐อานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนนั้ อย่าพูดอย่างนน้ั ว่า ๎กุสนิ าราเป็นเมอื งเลก็ เมอื ง ดอน เมอื งกง่ิ ๏ อานนท์ เร่อื งเคยมมี าแลว้ ไดม้ พี ระเจา้ จกั รพรรดพิ ระนามวา่ มหาสุทสั สนะ ผูท้ รงธรรม ครองราชยโ์ ดย ธรรม ทรงเป็นใหญ่ในแผ่นดนิ มมี หาสมทุ รทง้ั ส่เี ป็นขอบเขต ทรงไดร้ บั ชยั ชนะ มพี ระราชอาณาจกั รมนั่ คง สมบูรณ์ ดว้ ยรตั นะ ๗ ประการ กรุงกุสินาราน้ีมนี ามว่ากรุงกุสาวดี ไดเ้ ป็นราชธานีของพระเจา้ มหาสุทสั สนะ ดา้ นทิศตะวนั ออกและทิศ ตะวนั ตกยาว ๑๒ โยชน์ ดา้ นทศิ เหนือและทศิ ใตก้ วา้ ง ๗ โยชน์ กรุงกสุ าวดเี ป็นราชธานีทเ่ี จริญรุ่งเรือง มีประชากร มาก มีพลเมืองหนาแน่น เศรษฐกิจดีเหมือนกบั กรุงอาฬกมนั ทา ซ่ึงเป็นราชธานีของทวยเทพท่ีเจริญรุ่งเรือง มี ประชากรมากมยี กั ษห์ นาแน่น เศรษฐกิจดี อานนท์ กรุงกุสาวดีเป็นราชธานีท่อี ึกทกึ ครึกโครมเพราะเสยี ง ๑๐ ชนิด ทงั้ วนั ทง้ั คืน ไดแ้ ก่ เสยี งชา้ ง เสยี งมา้ เสียงรถ เสยี งกลอง เสยี งตะโพน เสยี งพณิ เสยี งขบั รอ้ ง เสยี งกงั สดาล เสยี ง ประโคมดนตรี และเสยี งวา่ ๎ทา่ นทง้ั หลายโปรดบรโิ ภค ดม่ื เค้ยี วกนิ ๏ ไปเถดิ อานนท์ เธอจงเขา้ ไปกรุงกุสนิ าราแจง้ แก่ เจา้ มลั ละทงั้ หลายผูค้ รองกรุงกุสนิ าราว่า ๎วาเสฏฐะทง้ั หลาย พระตถาคตจะปรินิพพานในปจั ฉิมยามแห่งราตรี วนั น้ี ท่านทง้ั หลายจงรีบออกไป จงรีบออกไป จะไดไ้ ม่เสยี ใจในภายหลงั ว่า ๎พระตถาคตปรินิพพานในเขตบา้ นเมอื งของ พวกเรา พวกเรา (กลบั ) ไม่ไดเ้ ฝ้ าพระตถาคตเป็นครง้ั สุดทา้ ย๑ ท่านพระอานนทท์ ูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ครอง อนั ตรวาสกถอื บาตรและจวี รเขา้ ไปยงั กรุงกุสนิ าราเพยี งผูเ้ดยี ว การถวายอภวิ าทของเจา้ มลั ละ ขณะนนั้ พวกเจา้ มลั ละผูค้ รองกรุงกสุ ินารา กาํ ลงั ประชมุ กนั อยู่ท่สี ณั ฐาคารดว้ ยราชกจิ บางอย่าง ท่านพระ อานนทเ์ ขา้ ไปทส่ี ณั ฐาคารของพวกเจา้ มลั ละถวายพระพรว่า ๐วาเสฏฐะทง้ั หลาย พระตถาคตจะปรินิพพานในปจั ฉิม ยามแห่งราตรีวนั น้ี ท่านทง้ั หลายจงรีบออกไป จงรีบออกไป จะไดไ้ ม่เสียพระทยั ในภายหลงั ว่า ๎พระตถาคต ปรินิพพานในเขตบา้ นเมอื งของพวกเรา พวกเรา(กลบั ) ไม่ไดเ้ ฝ้ าพระตถาคตเป็นครง้ั สุดทา้ ย๏ พวกเจา้ มลั ละ โอรส สุณิสา และปชาบดขี องพวกเจา้ มลั ละพอสดบั คาํ ของท่านพระอานนท์ ทรงเศรา้ เสยี พระทยั เป่ียมไปดว้ ยโทมนสั บาง พวกสยายพระเกศาทรงประคองพระพาหา กนั แสงคราํ่ ครวญ ลม้ กล้งิ เกลอื กไปมา เหมอื นคนเทา้ ขาดทรงเพอ้ ราํ พนั วา่ ๐พระผูม้ พี ระภาคด่วนปรนิ ิพพาน พระสุคตด่วนปรนิ ิพพานเสยี จกั ษุของโลกจกั ด่วนอนั ตรธานไป๏ จากนน้ั พวกเจา้ มลั ละ โอรส สุณิสา และปชาบดีของพวกเจา้ มลั ละ ทรงเศรา้ เสียพระทยั เป่ียมไปดว้ ย โทมนสั ต่างพากนั เขา้ ไปหาท่านพระอานนทท์ ่สี าลวนั ซ่งึ เป็นทางเขา้ กรุงกุสนิ าราของพวกเจา้ มลั ละ ครง้ั นน้ั ท่านพระ อานนทค์ ดิ ดงั น้ีวา่ ๐ถา้ เราจะใหเ้จา้ มลั ละทงั้ หลายผูค้ รองกรุงกสุ นิ าราถวายอภวิ าทพระผูม้ พี ระภาคทลี ะองคๆ์ จะถวาย อภิวาทไม่ทวั่ กนั ราตรีจะสว่างก่อน ทางท่ีดี เราควรใหไ้ ดถ้ วายอภิวาทตามลาํ ดบั ตระกูล โดยกราบทูลว่า ๎ขา้ แต่ พระองคผ์ ูเ้จรญิ เจา้ มลั ละมชี อ่ื น้ีพรอ้ มโอรส ชายา บรษิ ทั และอาํ มาตยข์ อถวายอภวิ าทพระยุคลบาทของพระผูม้ พี ระ ภาคดว้ ยพระเศียร๑ แลว้ จงึ จดั ใหเ้จา้ มลั ละทงั้ หลายผูค้ รองกรุงกสุ นิ าราถวายอภวิ าทตามลาํ ดบั ตระกูล โดยกราบทูลว่า ๑๐๔ มหาศาล หมายถงึ ผูม้ ที รพั ยม์ าก ขตั ตยิ มหาศาลมพี ระราชทรพั ย์ ๑๐๐-๑,๐๐๐ โกฏิ พราหมณมหาศาลมที รพั ย์ ๘๐ โกฏิ คหบดมี หาศาล มที รพั ย์ ๔๐ โกฏิ อา้ งใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๓๑๖. สุมงฺคลวลิ าสนิ .ี เตสุ ขตฺตยิ มหาสาลา นาม เยสํ โกฏสิ ตปํ ิ โกฏสิ หสฺสปํ ิ ธนํ นิกขฺ ณิตวฺ า ฐปิตํ ฯ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๒๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ เจา้ มลั ละมชี อ่ื น้ีพรอ้ มโอรส ชายา บริษทั และอาํ มาตยข์ อถวายอภวิ าทพระยุคลบาทของพระผู้ มพี ระภาคดว้ ยพระเศียร๑ ดว้ ยวธิ นี ้ี ท่านพระอานนทส์ ามารถจดั ใหเ้จา้ มลั ละทงั้ หลายถวายอภวิ าทพระผูม้ พี ระภาคได้ เสรจ็ ชวั่ เวลาปฐมยามเท่านนั้ ๑๐๕ เรอ่ื งสภุ ทั ทปรพิ าชก สมยั นน้ั สุภทั ทปรพิ าชกอาศยั อยู่ในกรุงกสุ นิ ารา ไดท้ ราบว่า ๐พระสมณโคดมจะปรินิพพานในปจั ฉิมยาม แห่งราตรวี นั น้ี๑ เขาคิดดงั น้ีว่า ๐เราไดฟ้ งั คาํ ของพวกปริพาชกผูแ้ ก่ ผูเ้ฒ่า ผูเ้ป็นอาจารย์ และผูเ้ป็นปาจารยพ์ ดู กนั ว่า ๎พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะทรงอุบตั ิข้นึ ในโลกเป็นครงั้ คราว๏ พระสมณโคดมจะปรินิพพานในปจั ฉิม ยามแห่งราตรวี นั น้ี ก็เรายงั มคี วามสงสยั อยู่ เราเลอ่ื มใสท่านพระสมณโคดมอย่างน้ีว่า ๎พระสมณโคดมจะแสดงธรรม ใหเ้ราละความสงสยั น้ีได๏้ จึงเขา้ ไปหาท่านพระอานนทท์ ่สี าลวนั ซ่งึ เป็นทางเขา้ กรุงกุสนิ าราของพวกเจา้ มลั ละไดก้ ลา่ ว กบั ท่านพระอานนทด์ งั น้ีว่า ๐ท่านอานนท์ ขา้ พเจา้ ไดฟ้ งั คาํ ของพวกปริพาชกผูแ้ ก่ ผูเ้ ฒ่า ผูเ้ ป็นอาจารย์ และผูเ้ ป็น ปาจารยพ์ ูดกนั ว่า ๎พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ จะทรงอุบตั ิข้นึ ในโลกเป็นครง้ั คราว๏ พระสมณโคดมจะ ปรินิพพานในปจั ฉิมยามแห่งราตรีวนั น้ี ขา้ พเจา้ ยงั มคี วามสงสยั อยู่ ขา้ พเจา้ เลอ่ื มใสพระสมณโคดมอย่างน้ีว่า ๎พระ สมณโคดมจะแสดงธรรมใหข้ า้ พเจา้ ละความสงสยั น้ีได๏้ ขอโอกาสใหข้ า้ พเจา้ ไดเ้ฝ้าพระสมณโคดมเถดิ ๑ เม่อื สุภทั ทปริพาชกกล่าวอย่างน้ี ท่านพระอานนทต์ อบว่า ๐อย่าเลย สุภทั ทะ ผูม้ อี ายุ ท่านอย่ารบกวนพระ ตถาคตเลย พระผูม้ พี ระภาคทรงเหน็ดเหน่ือย๑ แมค้ รง้ั ท่ี ๒ สุภทั ทปรพิ าชกก็กล่าวกบั ท่านพระอานนทด์ งั น้ีว่า ฯลฯ แมค้ รง้ั ท่ี ๓ สุภทั ทปรพิ าชกกก็ ลา่ วกบั ทา่ นพระอานนทด์ งั น้ีว่า ๐ท่านอานนทข์ า้ พเจา้ ไดฟ้ งั คาํ ของพวกปรพิ าชกผูแ้ ก่ ผู้ เฒ่า ผูเ้ป็นอาจารย์ และผูเ้ป็นปาจารยพ์ ดู กนั ว่า ๎พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะทรงอบุ ตั ขิ ้นึ ในโลกเป็นครงั้ คราว๏ พระสมณโคดมจะปรนิ ิพพานในปจั ฉิมยามแหง่ ราตรวี นั น้ี พระผูม้ พี ระภาคทรงไดย้ ินถอ้ ยคาํ ของท่านพระอานนทเ์ จรจากบั สุภทั ทปริพาชก จึงรบั สงั่ เรียกท่านพระ อานนทม์ าตรสั วา่ ๐อย่าหา้ ม สุภทั ทะเลย อานนท์ ใหส้ ุภทั ทะเขา้ มาหาตถาคต เขาจะถามปญั หาบางอย่างกบั เรา เขาจะ ถามเพอ่ื หวงั ความรูเ้ทา่ นน้ั ไมห่ วงั รบกวนเรา อน่ึง เมอ่ื เราตอบสง่ิ ทถ่ี าม เขาจะรูไ้ ดท้ นั ที๑ ลาํ ดบั นนั้ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ล่าวกบั สุภทั ทปริพาชกดงั น้ีว่า ๐ไปเถิดสุภทั ทะผูม้ ีอายุ พระผูม้ พี ระภาค ประทานโอกาสแก่ท่าน๑ สุภทั ทปรพิ าชกจงึ เขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ไดส้ นทนาปราศรยั พอเป็นท่บี นั เทงิ ใจ พอเป็นท่รี ะลกึ ถงึ กนั แลว้ นงั่ ณ ทส่ี มควร ไดท้ ูลถามพระผูม้ พี ระภาคว่า ๐ขา้ แต่พระโคดมผูเ้จรญิ สมณพราหมณ์ ทเ่ี ป็นเจา้ หม่เู จา้ คณะเป็นอาจารย์ มชี ่ือเสยี งเกียรติยศ เป็นเจา้ ลทั ธิ ประชาชนยกย่องกนั ว่าเป็นคนดี ไดแ้ ก่ ปูรณะ กสั สปะ มกั ขลิ โคศาล อชิตะ เกสกมั พล ปกุธะ กจั จายนะ สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร นิครนถ์ นาฏบุตร เจา้ ลทั ธิเหล่านน้ั ทงั้ หมดรูต้ ามทต่ี นกลา่ วอา้ ง หรอื ไม่ไดร้ ูต้ ามท่ตี นกลา่ วอา้ ง หรอื บางพวกรู้ บางพวกไมร่ ู๑้ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐สุภทั ทะ อย่าเลย เร่อื งท่เี ธอถามว่า ๎เจา้ ลทั ธิเหลา่ นนั้ ทงั้ หมดรูต้ ามทต่ี นกลา่ ว อา้ ง หรอื ไมร่ ูต้ ามทต่ี นกลา่ วอา้ ง หรอื บางพวกรู้ บางพวกไมร่ ู๏้ อย่าไดส้ นใจเลย เราจะแสดงธรรมแก่เธอ เธอจงฟงั จง ใส่ใจใหด้ ี เราจะกลา่ ว๑๑๐๖ ๑๐๕ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๑/๑๕๙-๑๖๐. ๑๐๖ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๒-๒๑๓/๑๖๐-๑๖๑.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๒๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สุภทั ทปรพิ าชกทลู รบั สนองพระดารสั แลว้ พระผูม้ ีพระภาคจึงไดต้ รสั ดงั น้ีว่า ๐สุภทั ทะ ในธรรมวินยั ท่ีไม่มอี ริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมไม่มสี มณะท่ี ๑ ย่อมไมม่ สี มณะท่ี ๒ ย่อมไม่มสี มณะท่ี ๓ ย่อมไม่มสี มณะท่ี ๔ ในธรรมวนิ ยั ท่มี อี รยิ มรรคมอี งค์ ๘ ย่อมมสี มณะท่ี ๑ ยอ่ มมสี มณะท่ี ๒ ยอ่ มมสี มณะท่ี ๓ ยอ่ มมสี มณะท่ี ๔ สุภทั ทะ ในธรรมวนิ ยั น้ีมอี รยิ มรรคมอี งค์ ๘ สมณะท่ี ๑ มี อยู่ในธรรมวินยั น้ีเท่านนั้ สมณะท่ี ๒ มอี ยู่ในธรรมวนิ ยั น้ีเท่านน้ั สมณะท่ี ๓ มอี ยู่ในธรรมวนิ ยั น้ีเท่านน้ั สมณะท่ี ๔ กม็ อี ยูใ่ นธรรมวนิ ยั น้ีเท่านนั้ ลทั ธอิ ่นื วา่ งจากสมณะทง้ั หลาย๑๐๗ ผูร้ ูท้ วั่ ถงึ สุภทั ทะ ถา้ ภกิ ษุเหลา่ น้ีเป็นอยู่โดยชอบ โลก จะไมพ่ งึ ว่างจากพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย สุภทั ทะ เราบวชขณะอายุ ๒๙ ปี แสวงหาว่าอะไร คือกุศล เราบวชมาได้ ๕๐ ปีกว่า ยงั ไมม่ แี มส้ มณะท่ี ๑ ภายนอกธรรมวนิ ยั น้ี ผูอ้ าจแสดงธรรมเป็นเคร่อื งนาํ ออกจากทุกขไ์ ด้ ไม่มสี มณะท่ี ๒ ไมม่ สี มณะท่ี ๓ ไมม่ สี มณะท่ี ๔ ลทั ธอิ ่นื ว่างจากสมณะทง้ั หลายผูร้ ูท้ วั่ ถงึ สุภทั ทะ ถา้ ภกิ ษุเหล่าน้ีเป็นอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พงึ ว่างจากพระอรหนั ต์ ทงั้ หลาย๑ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างน้ี สุภทั ทปรพิ าชกไดก้ ราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ พระภาษติ ของพระ ผูม้ พี ระภาคชดั เจนไพเราะยง่ิ นกั ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ พระภาษติ ของพระผูม้ พี ระภาคชดั เจนไพเราะย่งิ นกั พระผูม้ ี พระภาคทรงประกาศธรรมแจ่มแจง้ โดยประการต่างๆ เปรียบเหมอื นบุคคลหงายของทค่ี วาํ่ เปิดของท่ปี ิด บอกทางแก่ ผูห้ ลงทาง หรอื ตามประทปี ในทม่ี ดื ดว้ ยตงั้ ใจวา่ ๎คนมตี าดจี กั เหน็ รูปได๏้ ขา้ พระองคน์ ้ีขอถงึ พระผูม้ พี ระภาค พรอ้ มทง้ั พระธรรมและพระสงฆเ์ ป็นสรณะ และขา้ พระองคพ์ ึงไดก้ ารบรรพชา พงึ ไดก้ ารอุปสมบทในสาํ นกั ของพระผูม้ พี ระ ภาค๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐สุภทั ทะ ผูเ้คยเป็นอญั เดยี รถยี ์ ประสงคจ์ ะบรรพชาประสงคจ์ ะอุปสมบทในธรรม วนิ ยั น้ี ตอ้ งอยู่ปริวาส ๔ เดอื น หลงั จาก ๔ เดอื นล่วงไปเม่อื ภกิ ษุพอใจก็จะใหบ้ รรพชา จะใหอ้ ุปสมบทเป็นภิกษุได้ อน่ึง ในเร่อื งน้ีเราคาํ นึงถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลดว้ ย๑ สุภทั ทปริพาชกกราบทูลว่า ๐หากผูท้ ่เี คยเป็นอญั เดียรถยี ป์ ระสงคจ์ ะบรรพชาประสงคจ์ ะอุปสมบทในพระ ธรรมวนิ ยั น้ีจะตอ้ งอยู่ปริวาส ๔ เดอื น หลงั จาก ๔ เดอื นล่วงไป เมอ่ื ภกิ ษุพอใจก็จะใหบ้ รรพชา จะใหอ้ ุปสมบทเป็น ภกิ ษุได้ ขา้ พระองคจ์ กั ขออยู่ปริวาส ๔ ปี หลงั จาก ๔ ปีลว่ งไป เมอ่ื ภกิ ษุพอใจ ก็จงใหบ้ รรพชา จงใหอ้ ปุ สมบทเป็น ภกิ ษุเถดิ ๑ ลาํ ดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรยี กท่านพระอานนทม์ าตรสั ว่า ๐อานนทถ์ า้ เช่นนนั้ เธอจงใหส้ ุภทั ทะบวช๑ ทา่ นพระอานนทท์ ูลรบั สนองพระดาํ รสั แลว้ ในขณะนนั้ สุภทั ทปริพาชกจงึ กล่าวกบั ท่านพระอานนทด์ งั น้ีว่า ๐ท่านพระ อานนท์ เป็นลาภของทา่ น ท่านไดด้ แี ลว้ ทพ่ี ระศาสดาทรงแต่งตง้ั ท่านโดยมอบหมายใหบ้ รรพชาอนั เตวาสกิ ในท่เี ฉพาะ พระพกั ตร๑์ พระปจั ฉิมสาวกของพระพทุ ธเจา้ สุภทั ทปริพาชก ไดก้ ารบรรพชาไดก้ ารอุปสมบทในสาํ นกั ของพระผูม้ พี ระภาคแลว้ แล เมอ่ื ท่านสุภทั ทะได้ บรรพชาอุปสมบทแลว้ ไมน่ าน หลกี ออกไปอยู่ผูเ้ดียวไม่ประมาทมคี วามเพยี ร อุทศิ กายและใจอยู่ ไม่นานนกั ก็ทาํ ให้ แจง้ ซ่ึงประโยชนย์ อดเย่ียมอนั เป็นท่ีสุดแห่งพรหมจรรยท์ ่ีเหล่ากุลบุตรผูอ้ อกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ๑๐๗ สมณะท่ี ๑ สมณะท่ี ๒ สมณะท่ี ๓ และสมณะท่ี ๔ ในทน่ี ้ไี ดแ้ ก่ พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ ตามลาํ ดบั (ท.ี ม.อ. ๒๑๔/๑๙๖) และดูเทยี บ อภ.ิ ก. ๓๗/๘๗๕/๔๙๗-๔๙๘

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๒๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตอ้ งการดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง เขา้ ถงึ อยู่ในปจั จุบนั รูช้ ดั ว่า ๎ชาติส้นิ แลว้ อยู่จบพรหมจรรยแ์ ลว้ ทาํ กิจทค่ี วรทาํ เสร็จ แลว้ ไม่มกี ิจอ่นื เพ่อื ความเป็นอย่างน้ีอกี ต่อไป๏ จงึ เป็นอนั ว่าท่านสุภทั ทะ ไดเ้ ป็นพระอรหนั ตอ์ งคห์ น่ึงในบรรดาพระ อรหนั ตท์ ง้ั หลายท่านไดเ้ป็นสกั ขสิ าวก องคส์ ุดทา้ ยของพระผูม้ พี ระภาค๑๐๘ หา้ มเรยี กขาน สหธมั มิกวา่ อาวโุ ส และทรงอนุญาตใหถ้ อนสกิ ขาบท๑๐๙ ต่อมา พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรยี กทา่ นพระอานนทม์ าตรสั วา่ ๐อานนท์ บางทพี วกเธอ อาจจะคดิ ว่า ‘ปาพจน์ มพี ระศาสดาล่วงลบั ไปแลว้ พวกเรา ไม่มพี ระศาสดา’ ขอ้ น้ีพวกเธอไม่พงึ เหน็ อย่างนน้ั ‘ธรรมและวินัย ท่เี ราแสดง แลว้ บญั ญตั แิ ลว้ แกเ่ ธอทง้ั หลาย หลงั จากเราล่วงลบั ไป กจ็ ะเป็ นศาสดาของเธอทง้ั หลาย อานนท์ เม่ือเราล่วงลบั ไป’ ภกิ ษุไม่ควรเรียกกนั และกนั ดว้ ยวาทะว่า ‘อาวุโส’ เหมอื นดงั ท่เี รยี กกนั ตอนน้ี ภิกษุผูแ้ ก่กว่าพงึ เรียกภกิ ษุผูอ้ ่อนกว่า โดยช่อื หรอื ตระกูล โดยวาทะว่า ‘อาวุโส’ กไ็ ด้ ภกิ ษุผูอ้ ่อนกว่าพงึ เรยี กภกิ ษุผูแ้ ก่กว่าว่า ‘ภนั เต’ หรอื ‘อายสั มา’ ก็ได้ ‘อานนทเ์ มอ่ื เราล่วงลบั ไป ถา้ สงฆป์ รารถนาจะถอนสกิ ขาบทเล็กนอ้ ย เสยี บา้ งกถ็ อนได๑้ ๑๐ อานนท์ เมอื่ เราล่วงลบั ไป สงฆพ์ ึงลงพรหมทณั ฑแ์ ก่ภกิ ษุฉนั นะ”๑๑๑ ทา่ นพระอานนทท์ ูลถามวา่ ๐พรหมทณั ฑ์ เป็นอย่างไร พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐อานนท์ ภกิ ษุฉนั นะพงึ พดู ไดต้ ามตอ้ งการ แต่ภกิ ษุไมพ่ งึ ว่ากลา่ วตกั เตอื นพราํ่ สอนเธอ๑ ลาํ ดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียก ภกิ ษุทง้ั หลายมาตรสั ว่า ๐ภกิ ษุทง้ั หลาย ถา้ ภกิ ษุแมเ้พยี งรูปเดยี วพงึ มคี วามสงสยั หรอื ความเคลอื บแคลงในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏปิ ทา (ขอ้ ปฏิบตั ิ) เธอทง้ั หลายจงถามเถิดจะไดไ้ ม่เสียใจในภายหลงั ว่า ๎พระ ๑๐๘ สกั ขิสาวก แปลว่า พระสาวกทท่ี นั เหน็ องคพ์ ระพทุ ธเจา้ มี ๓ พวก คือ (๑) ผูบ้ รรพชาอุปสมบท เรียนกมั มฏั ฐาน บรรลอุ รหตั ตผลเม่อื พระผูม้ พี ระภาคยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ (๒) ผูไ้ ดบ้ รรพชาอปุ สมบท เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ต่อมาไดเ้รียนกมั มฏั ฐานและบรรลอุ รหตั ตผล (๓) ผู ้ ไดเ้รยี นกมั มฏั ฐาน เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ พระสภุ ทั ทะจดั อยู่ในพวกท่ี ๑ อา้ งใน สุมงฺคลวลิ าสนิ ี. ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๓๑๘-๓๒๓. ดูเทยี บ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๔๐๕/๑๗๔., ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๒๒๒/๑๙๕-๑๙๖., ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๖/๒๘๑. ๑๐๙ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖ /๑๖๔-๑๖๕. ๑๑๐ ดูรายละเอยี ดใน ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๑/๓๘๒., สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี ท.ี ม.อ. ๒/๓๒๖-๓๒๗. คาํ วา่ ‚สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย‛ พระสงั คีติกาจารยใ์ นท่ี ประชมุ สงั คายนาครงั้ แรก มคี วามเหน็ ต่างกนั แบ่งออกเป็น ๕ พวก คอื พวกท่ี ๑ เหน็ วา่ นอกจากปาราชกิ ๔ สกิ ขาบทอน่ื จดั เป็นสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย พวกท่ี ๒ เหน็ วา่ นอกจากปาราชกิ ๔ สงั ฆาทเิ สส ๑๓ อนิยต ๒ สกิ ขาบทอน่ื จดั เป็นสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย พวกท่ี ๓ เหน็ วา่ นอกจากปาราชกิ ๔ สงั ฆาทเิ สส ๑๓ อนยิ ต ๒ นิสสคั คยี ปาจติ ตยี ์ ๓๐ สกิ ขาบทอน่ื จดั เป็นสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย พวกท่ี ๔ เหน็ วา่ นอกจากปาราชกิ ๔ สงั ฆาทเิ สส ๑๓ อนยิ ต ๒ นสิ สคั คยี ปาจติ ตยี ์ ๓๐ ปาจติ ตยี ์ ๙๒สกิ ขาบทอน่ื จดั เป็นสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย พวกท่ี ๕ เหน็ วา่ นอกจากปาราชกิ ๔ สงั ฆาทเิ สส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสคั คยี ปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏเิ ทสนียะ ๔ สกิ ขาบทอน่ื จดั เป็น สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย ในบรรดาความเหน็ เหลา่ น้ี ไมม่ คี วามเหน็ ใดไดร้ บั การยอมรบั เป็นเอกฉนั ท์ ฉะนนั้ ทป่ี ระชมุ จงึ มมี ติ ไมใ่ หถ้ อน ๑๑๑ ที.ม.(บาล)ี ๑๐/๑๔๑/๑๗๘. (สฺยามรฏฺฐเตปิฏก)ํ ฯ อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ สยิ า โข ปนานนฺท ตมุ ฺหากํ เอวมสฺส อตตี สตถฺ กุ ํ ปาวจนํ นตฺถิ โน สตถฺ าติ น โข ปเนตํ อานนฺท เอวํ ทฏฐฺ พพฺ ํ โย โว อานนฺท มยา ธมโฺ ม จ วนิ โย จ เทสโิ ต ปํฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา ยถา โข ปนานนฺท เอตรหิ ภกิ ฺขู อํฺญมํฺญํ อาวโุ สวาเทน สมทุ าจรนฺติ น เต มมจจฺ เยน เอวํ สมทุ าจริตพพฺ ํ เถรตเรน อานนฺท ภกิ ฺขนุ า นวกตโร ภกิ ฺขุ นา เมน วา โคตฺเตน วา อาวโุ สวาเทน วา สมทุ าจริตพโฺ พ นวกตเรน ภกิ ฺขนุ า เถรตโร ภกิ ขฺ ุ ๎ภนฺเตติ วา ๎อายสฺมาติ วา ๎สมทุ าจริตพโฺ พ อากงฺขมาโน อานนฺท สงฺโฆ มมจฺจเยน ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สกิ ฺขาปทานิ สมูหนตุ ฉนฺนสฺส อานนฺท ภกิ ฺขโุ น มมจฺจเยน พรฺ หฺมทณฺโฑ ทาตพโฺ พติ ฯ

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๒๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ศาสดายงั อยู่ต่อหนา้ เราไม่กลา้ ทูลถามในท่เี ฉพาะพระพกั ตร์๑ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างน้ี ภกิ ษุเหล่านนั้ ไดน้ ่ิง เงยี บ แมค้ รง้ั ท่ี ๒ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรยี กภกิ ษุทง้ั หลายตรสั ว่า ฯลฯ แมค้ รงั้ ท่ี ๓ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียกภิกษุทงั้ หลายมาตรสั ว่า ๐ภิกษุทงั้ หลาย ถา้ ภกิ ษุแมเ้พียงรูปเดียว พงึ มคี วามสงสยั หรือความเคลอื บแคลงในพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา เธอทง้ั หลายจงถาม เถดิ จะไดไ้ มเ่ สยี ใจในภายหลงั ว่าพระศาสดายงั อยู่ต่อหนา้ เราไม่กลา้ ทูลถามในท่เี ฉพาะพระพกั ตร๑์ ภกิ ษุเหลา่ นนั้ ได้ น่ิงเงียบ ลาํ ดบั นนั้ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียกภิกษุทง้ั หลายมาตรสั ว่า ๐ภิกษุทง้ั หลายถา้ เธอทงั้ หลายไม่กลา้ ถาม เพราะความเคารพในศาสดา ก็ขอใหภ้ กิ ษุผูเ้ป็นเพอ่ื นบอก (ความสงสยั ) แก่ภกิ ษุผูเ้ป็นเพอ่ื นให้ (ถาม) ก็ได้ เมอ่ื พระ ผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างน้ี ภกิ ษุเหล่านน้ั ไดน้ ่ิงเงยี บ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ น่าอศั จรรย์ จริง ไม่เคยปรากฏ ขา้ พระองคเ์ ล่อื มใสในภิกษุสงฆอ์ ย่างน้ีว่า แมภ้ ิกษุเพียงรูปเดียวก็ไม่มคี วามสงสยั หรือความ เคลอื บแคลงในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรอื ในปฏปิ ทา๑ พระปจั ฉิมวาจาของพระตถาคต๑๑๒ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐อานนท์ เธอกล่าวเพราะความเลอ่ื มใส แต่ ตถาคตมญี าณหยงั่ รูใ้ นเรอ่ื งน้ีดวี า่ ในภกิ ษุสงฆน์ นั้ แมภ้ กิ ษุเพยี งรูปเดียวก็ไมม่ คี วามสงสยั หรอื ความเคลอื บแคลงใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทาในจาํ นวนภิกษุ ๕๐๐ รูป ภกิ ษุผูม้ คี ุณธรรมขน้ั ตาํ่ สุด เป็นพระ โสดาบนั ๑๑๓ ไม่มที างตกตาํ่ มคี วามแน่นอนท่จี ะสาํ เร็จสมั โพธิในวนั ขา้ งหนา้ ลาํ ดบั นนั้ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียก ภกิ ษุทง้ั หลายมาตรสั ว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย บดั น้ีเราขอเตือนเธอทงั้ หลาย สงั ขารทงั้ หลายมคี วามเสอื่ มไปเป็นธรรมดาเธอ ทงั้ หลายจงทาหนา้ ทใี่ หส้ าเร็จดว้ ยความไม่ประมาทเถดิ ๑๑๔” น้ีเป็นพระปจั ฉิมวาจาของพระตถาคต๑๑๕ เร่อื งพทุ ธปรนิ ิพพาน๑๑๖ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ตรสั พระโอวาทประทาน เป็นวาระสุดทา้ ยเพยี งเทา่ น้ีแลว้ ก็หยุด มไิ ดต้ รสั อะไรอีกเลย ทรงทาํ ปรนิ ิพพานบริกรรมดว้ ยอนุปพุ พวหิ ารสมาบตั ทิ ง้ั ๙ โดยอนุโลมลาํ ดบั จนกระทงั่ ทรงเขา้ สญั ญาเวทยติ นิโรธสมาบตั ทิ ่ี ๙ มบี นั ทกึ ไวใ้ นมหาปรนิ ิพพานสูตรว่า ต่อจากนน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงเขา้ ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานทรงเขา้ ทตุ ิยฌาน ออกจากทตุ ิยฌาน ทรงเขา้ ตติยฌาน ออกจากตติยฌาน ทรงเขา้ จตุตถฌาน ออกจากจตตุ ถฌาน ทรงเขา้ อากาสานญั จายตนสมาบตั ิ ออกจากอา กาสานัญจายตนสมาบตั ิ ทรงเขา้ วิญญาณัญจายตนสมาบตั ิ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบตั ิ ทรงเขา้ อา ๑๑๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๘๕/๑๓๑. ๑๑๓ พระโสดาบนั ในทน่ี ้ที รงหมายถงึ ทา่ นพระอานนท์ อา้ งใน สุมงฺคลวลิ าสนิ ี ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๓๒๘. ๎โยปจฺฉิมโกติ โย คุณวเสน ปจฺฉิมโก ฯ อานนฺทตเฺ ถรเํ ยว สนฺธายาห ฯ ๑๑๔ พระพทุ ธพจนบ์ ทน้ี แสดงใหเ้หน็ วา่ ทรงยอ่ พระพทุ โธวาททท่ี รงประกาศตลอดเวลา ๔๕ ปี ลงในบทวา่ ความไมป่ ระมาทเพยี งบทเดยี ว อา้ ง ใน สมุ งฺคลวลิ าสนิ .ี ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๓๒๘. อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถาติ สตอิ วปิ ปฺ วาเสน สพพฺ กจิ ฺจานิ สมปฺ าเทยฺยาถ ฯ อติ ิ ภควา ปรนิ พิ พฺ านมํฺเจ นิปนฺโน ปํฺจจตตฺ าลสี วสฺสานิ ทนิ ฺนํ โอวาทํ สพพฺ ํ เอกสฺมึ อปปฺ มาทปเทเยว ปกขฺ ปิ ิตฺวา อทาสิ ฯ อยํ ตถาตตสฺส ปจฺฉิมา วาจาติ อทิ ํ ปน สงฺคตี ิการกานํ วจนํ ฯ ๑๑๕ ท.ี ม.(บาล)ี ๑๐/๑๔๓/๑๘๐. สฺยามรฏฐฺ เตปิฏก.ํ : อถโข ภควา ภกิ ฺขู อามนฺเตสิ หนฺททานิ ภกิ ฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมมฺ า สงฺขารา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถาติ ฯ อยํ ตถาคตสฺส ปจฺฉิมา วาจา ฯ ๑๑๖ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๙/๑๖๗., ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๖/๒๕๙-๒๖๒.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๒๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง กิญจญั ญายตนสมาบตั ิ ออกจากอากิญจญั ญายตนสมาบตั ิ ทรงเขา้ เนวสญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ ออกจากเนว สญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ทิ รงเขา้ สญั ญาเวทยติ นิโรธ ขณะนน้ั ท่านพระอานนทเ์ รียนถามท่านพระอนุรุทธะดงั น้ีว่า ๐ท่านอนุรุทธะ ผูเ้ จริญ พระผูม้ ีพระภาค ปรนิ ิพพานแลว้ หรอื ๑ ทา่ นพระอนุรุทธะตอบวา่ ๐ท่านอานนทผ์ ูม้ อี ายุ พระผูม้ พี ระภาคยงั ไม่ปรินิพพาน ทรงเขา้ สญั ญา เวทยติ นิโรธอยู่๑ ต่อจากนน้ั พระผูม้ พี ระภาคออกจากสญั ญาเวทยิตนิโรธสมาบตั ิ ทรงเขา้ เนวสญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ ออกจากเนวสญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ ทรงเขา้ อากิญจญั ญายตนสมาบตั ิ ออกจากอากญิ จญั ญายตนสมาบตั ิ ทรง เขา้ วญิ ญาณญั จายตนสมาบตั ิ ออกจากวญิ ญาณญั จายตนสมาบตั ิ ทรงเขา้ อากาสานญั จายตน-สมาบตั ิ ออกจากอา กาสานญั จายตนสมาบตั ิ ทรงเขา้ จตตุ ถฌาน ออกจากจตุตถฌาน ทรงเขา้ ตติยฌาน ออกจากตติยฌาน ทรงเขา้ ทุติย ฌาน ออกจากทตุ ยิ ฌาน ทรงเขา้ ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน ทรงเขา้ ทตุ ิยฌาน ออกจากทุตยิ ฌาน ทรงเขา้ ตตยิ ฌาน ออกจากตตยิ ฌาน ทรงเขา้ จตตุ ถฌาน ออกจากจตตุ ถฌานแลว้ ไดเ้สดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานในลาํ ดบั ถดั มา๑๑๗ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ กเ็ สดจ็ ปรนิ ิพาน ณ ปจั ฉิมยามแห่งราตรี สาขปรุณมี เพญ็ เดอื น ๖ มหามงคลสมยั ๑๑๘ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ไดเ้ กิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงน่ากลวั ขนพองสยองเกลา้ ทงั้ กลอง ทพิ ยก์ ด็ งั กกึ กอ้ งข้นึ พรอ้ มกบั การเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน เม่อื พระผูม้ ีพระภาคเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ทา้ วสหมั บดีพรหมกล่าวคาถาน้ีข้นึ พรอ้ มกบั การเสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพานว่า ๎สพเฺ พ ว นิกขฺ ปิ ิสฺสนฺติ ภตู า โลเก สมสุ ฺสยํ ยตฺถ เอตาทโิ ส สตถฺ า โลเก อปปฺ ฏปิ คุ คฺ โล ตถาคโต พลปปฺ ตโฺ ต สมพฺ ทุ โฺ ธ ปรินิพพฺ โุ ตติ ฯ แปลความว่า ๐สรรพสตั ว์ จะตอ้ งทอดท้งิ ร่างกายไวใ้ นโลก พระศาสดา ผูห้ าใครเปรียบ เทยี บไมไ่ ดใ้ นโลก ผู้ เขา้ ถงึ สภาวะตามความเป็นจรงิ ผูบ้ รรลพุ ลธรรม ผูต้ รสั รูเ้องโดยชอบเช่นน้ี กย็ งั ปรนิ ิพพาน๑๑๑๙ เม่อื พระผูม้ พี ระภาคเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ทา้ วสกั กะจอมเทพ กล่าวคาถาน้ีข้นึ พรอ้ มกบั การเสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพานว่า อนิจจฺ า วต สงขฺ ารา อปุ ปฺ าทวยธมมฺ โิ น อปุ ปฺ ชฺชติ วฺ า นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโขติ ฯ แปลความว่า ๐สงั ขารทงั้ หลาย ไมเ่ ท่ยี งหนอ มคี วามเกิดข้นึ และความเส่อื มไปเป็นธรรมดาเกิดข้นึ แลว้ ย่อม ดบั ไป ความสงบแหง่ สงั ขารเหลา่ นน้ั เป็นความสุข๑๑๒๐ ๑๑๗ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๙/๑๖๗. ๑๑๘ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๘๕/๑๓๑. ๑๑๙ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๒๐/๑๖๗-๑๖๘. ๑๒๐ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๒๑/๑๖๘.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๒๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เม่อื พระผูม้ พี ระภาคเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ท่านพระอนุรุทธะ กล่าวคาถาเหล่าน้ีข้นึ พรอ้ มกบั การ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานวา่ ๎นาหุ อสฺสาสปสฺสาโส ฐติ จติ ตฺ สฺส ตาทโิ น อเนชฺโช สนฺตมิ ารพภฺ ยํ กาลมกรี มนุ ิ ฯ อสลลฺ เี นน จติ ฺเตน เวทนํ อชฺฌวาสยิ ปชฺโชตสฺเสว นิพพฺ านํ วโิ มกฺโข เจตโส อหูติ ฯ แปลความว่า ๐ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกของพระผูม้ พี ระภาคผูม้ พี ระทยั มนั่ คง ผูค้ งท่ี ไม่มแี ลว้ พระมนุ ี ผูไ้ ม่หวนั่ ไหว ทรงม่งุ ใฝ่สนั ติ ปรินิพพานเสยี แลว้ พระองคผ์ ูม้ พี ระทยั ไม่หดหู่ ทรงอดกลน้ั เวทนาได้ มพี ระทยั หลุด พน้ แลว้ ดุจดวงประทปี ทเ่ี คยโชตชิ ่วงดบั ไปฉะนน้ั ๑๑๒๑ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ ท่านพระอานนทก์ ล่าวคาถาน้ีข้นึ พรอ้ มกบั การเสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน วา่ ๎ตทาสิ ยํ ภสึ นกํ ตทาสิ โลมหสํ นํ สพพฺ าการวรูเปเต สมพฺ ทุ ฺเธ ปรนิ ิพพฺ เุ ตติ ฯ แปลความว่า ๐เม่อื พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ผูม้ ีพระอาการอนั ลาํ้ เลิศทุกอย่างปรินิพพานแลว้ ไดเ้ กิดเหตุ อศั จรรยน์ ่ากลวั ขนพองสยองเกลา้ ๑๒๒ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ บรรดาภกิ ษุเหล่านนั้ พวกท่ยี งั มรี าคะ พากนั ประคองแขน คราํ่ ครวญ ลม้ กล้งิ เกลอื กไปมา เหมอื นคน เทา้ ขาด เพอ้ ราํ พนั ว่า ๐พระผูม้ พี ระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วน ปรนิ ิพพานเสยี จกั ษุของโลกด่วนอนั ตรธานไปแลว้ ๑ ส่วนภกิ ษุผูไ้ ม่มรี าคะ มสี ตสิ มั ปชญั ญะ ก็อดกลนั้ ไดว้ ่า ๐สงั ขาร ทงั้ หลายไมเ่ ทย่ี งหนอ เหลา่ สตั วจ์ ะพงึ หาไดอ้ ะไรจากทไ่ี หนในสงั ขารน้ี๑ ครง้ั นนั้ ท่านพระอนุรุทธะ เตอื นภกิ ษุทงั้ หลายว่า ๐อย่าเลย ผูม้ อี ายุทงั้ หลาย ท่านทงั้ หลายอย่าเศรา้ โศก อย่า คราํ่ ครวญเลย เร่ืองน้ีพระผูม้ ีพระภาคเคย ตรสั สอนไวม้ ิใช่หรือว่าความพลดั พราก ความทอดท้ิง ความแปร เปล่ยี นเป็นอย่างอ่ืนจากของรกั ของชอบใจทุกอย่างจะตอ้ งมี ฉะนน้ั จะพึงหาไดอ้ ะไร จากท่ีไหนในสงั ขารน้ี ส่ิงท่ี เกดิ ข้นึ มขี ้นึ ถกู ปจั จยั ปรุงแต่งลว้ นแตกสลายเป็นธรรมดา เป็นไปไม่ไดท้ จ่ี ะปรารถนาว่า ๎ขอส่งิ นน้ั อย่าเสอ่ื มสลายไป เลย๏ ท่านผูม้ อี ายุทงั้ หลาย พวกเทวดากาํ ลงั ตาํ หนิอยู่๑ ท่านพระอานนทถ์ ามว่า ๐ท่านอนุรุทธะ พวกเทวดาเป็นอยา่ งไร ทาํ ใจไดห้ รือ๑ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า ๐ท่าน อานนท์ มเี ทวดาบางพวก เป็นผูก้ าํ หนดแผ่นดิน ข้นึ บนอากาศ สยายผม ประคองแขน รอ้ งไหค้ ราํ่ ครวญ ลม้ กล้งิ เกลอื กไปมา เหมอื นคนเทา้ ขาด เพอ้ ราํ พนั ว่า ๐พระผูม้ พี ระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคต ด่วนปรนิ ิพพานเสยี จกั ษุ ของโลกด่วนอนั ตรธานไปแลว้ ๑ มเี ทวดาบางพวกเป็นผูก้ าํ หนดแผ่นดนิ ข้นึ บนแผ่นดนิ สยายผม ประคองแขน รอ้ งไห้ คราํ่ ครวญ ลม้ กล้งิ เกลอื กไปมาเหมอื นคนเทา้ ขาด ฯลฯ๑ ๑๒๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๒๒/๑๖๘. ๑๒๒ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๒๓/๑๖๙.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๒๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ส่วนเทวดาทไ่ี มม่ รี าคะ มสี ตสิ มั ปชญั ญะกอ็ ดกลน้ั ไดว้ ่า ๐สงั ขารทงั้ หลาย ไม่เท่ยี งหนอ เหลา่ สตั วจ์ ะพงึ หาได้ อะไรจากทไ่ี หนในสงั ขารน้ี๑ ทา่ นพระอนุรุทธะ กบั ท่านพระอานนท์ ใหเ้วลาผ่านไปดว้ ยการแสดงธรรมกี ถา ตลอดคนื ยนั รุ่ง๑๒๓ ๔.๔ พระวหิ ารท่ปี ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ ในระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบาํ เพญ็ พทุ ธกจิ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้สด็จไปประทบั จาํ พรรษา ณ พระวหิ ารต่างๆ ซง่ึ พอจะประมวลไวไ้ ดด้ งั น้ี ๑. กูฏาคาร เป็นพระอารามทป่ี ระทบั ในป่ามหาวนั เป็นป่าใหญ่ใกลเ้มอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี ในพรรษาท่ี ๕ ภายหลงั จากตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษา ณ กฏู าคารในป่ามหาวนั นครเวสาลี ๒. โฆสติ าราม เป็นช่อื วดั สาํ คญั ในกรุงโกสมั พี แควน้ วงั สะ ในพรรษาท่ี ๙ ภายหลงั จากตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษา ณ พระอารามแห่งน้ี ในบางคมั ภรี ร์ ะบุว่าเมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั ท่กี รุงโกสมั พที รงพาํ นกั ทโ่ี ฆสการาม อนั เป็นอารามทโ่ี ฆสกเศรษฐสี รา้ งถวาย ๓. จนั ทนศาลา เป็นศาลาไมจ้ นั ทนแ์ ดง ในมกุฬการาม แควน้ สุนาปรนั ตะ พระมหาสาวกปณุ ณสุนาปรนั ตะ ซง่ึ จาํ พรรษาทว่ี ดั มกฬุ การาม ไดแ้ นะนาํ ใหน้ อ้ งชายของท่านและพ่อคา้ รวม ๕๐๐ คน แบ่งไมจ้ นั ทรแ์ ดงทม่ี คี ่าสูงสรา้ ง ถวายพระพทุ ธเจา้ แลว้ ทลู อาราธนาเสดจ็ มายงั แควน้ สุนาปรนั ตะ พระพทุ ธเจา้ ไดป้ ระทบั รอยพระบาทไวท้ ร่ี มิ ฝงั แม่นาํ้ นมั มทาและทภ่ี เู ขาสจั จพนั ธ์ อนั นบั ว่าเป็นการเกดิ ข้นึ ของรอยพระพทุ ธบาท ๔. ชีวกมั พวนั หมอชีวกโกมารภจั จ์ แพทยป์ ระจาํ ประองคพ์ ระพุทธเจา้ และประจาํ พระภิกษุสงฆ์ อนั มี พระพุทธเจา้ เป็นประมุขหมอชีวกโกมารภจั จเ์ ป็นมหาอุบาสกสาํ คญั ไดร้ บั ยกย่องเป็นเอตทคั คะในบรรดาอุบาสกผู้ เล่อื มใสในบคุ คล หมอชวี กไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั และดว้ ยศรทั ธาในพระพทุ ธเจา้ ปรารถนาจะไปเฝ้าวนั ละ ๒-๓ ครง้ั ในกาลนน้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษา ณ พระเวฬุวนั วหิ ารพระนครราชคฤห์ หมอชวี กเหน็ ว่าพระ เวฬวุ นั ไกลเกนิ ไป จงึ สรา้ งวดั ถวายในอมั พวนั คือสวนมะม่วงของตน เรยี กกนั ว่า ชีวกมั พวนั (อมั พวนั ของหมอชีวก) อยู่ในกรุง ราชคฤห์ แควน้ มคธ ๕. เชตวนั มหาวหิ าร เป็นมหาวหิ ารทป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ และพระภกิ ษุสงฆ์ ตงั้ อยู่ทางใตข้ องนครสาวตั ถี เมอื งหลวงของแควน้ โกศลเป็นสถานท่ซี ่งึ พระพทุ ธเจา้ ประทบั จาํ พรรษานานท่สี ุดในระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการ บาํ เพญ็ พทุ ธกิจ ช่อื เชตวนั ไดจ้ ากพระนามของเจา้ ชายเชตะ ซง่ึ เป็นพระญาตสิ นิทของของพระพุทธเจา้ เสนทริ าชาผู้ ครองแควน้ โกศล สาํ หรบั ประวตั ขิ องมหาวหิ ารเชตวนั มดี งั น้ี มหาเศรษฐแี หง่ นครสาวจั ถี ตระกูลสุทตั ตะ นามอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เป็นพ่อคา้ เดนิ ทางไปมาระหว่างนคร ราชคฤหก์ บั นครสาวตั ถีคราวหน่ึงไดฟ้ งั ธรรมของพระพุทธเจา้ ท่ีนครราชคฤห์ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ทูล อาราธนาพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ประทบั ณ นครสาวตั ถี ๑๒๓ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๒๔-๒๒๕/๑๖๙-๑๗๐.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๒๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐกี ลบั นครสาวตั ถแี สวงหาทด่ี นิ แปลงใหญ่ไดแ้ ปลงหน่ึง ใกลต้ วั เมอื งเป็นท่เี หมาะแก่การ โคจร และเป็นท่ตี งั้ แห่งความสงบได้ โดยทราบว่าเป็นสมบตั ขิ องเจา้ ชายเชตะจึงขอซ้อื เจา้ ชายอา้ งว่าจะสงวนไวเ้ป็นท่ี เทย่ี วเลน่ ไมย่ อมขาย เศรษฐี เฝ้าออ้ นวอนแลว้ ออ้ นวอนเลา่ เจา้ ชายราํ คาญแสรง้ วา่ ตอ้ งเอาเหรยี ญทองมาเกลย่ี เรยี งให้ เตม็ แปลงกจ็ ะขายให้ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐยี อมตามดว้ ยความเลอ่ื มใสในพระพทุ ธเจา้ สงั่ คนใชใ้ หข้ นเหรียญทองคาํ มาปูจเตม็ แปลง เจา้ ชายเชตะกลบั เหน็ ใจรบั สงั่ ว่า ขอร่วมศรทั ธาในพระพทุ ธเจา้ ดว้ ย จึงขอลดราคาลงไปเพยี งคร่งึ เดียว ใหเ้ศรษฐนี าํ เห รญี ทองคาํ กลบั ไปเสยี คร่งึ หน่ึง ขอร่วมบญุ ดว้ ยอกี คร่งึ หน่ึง อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี กบั เจา้ ชายเชตะร่วมกนั บญั ชางาน ใหห้ กั รา้ งถางท่ที าํ เป็นอทุ ยานใหญ่จนเป็นทร่ี ่นื รมย์ แลว้ ใหส้ รา้ งมหาวหิ าร ๗ ชน้ั มกี าํ แพงและคูเป็นขอบเขต ภายในบริเวณปนั เป็นส่วนสดั มคี นั ธกฎุ ี (แปลว่า กุฎอี บก ลม่ิ หอม เป็นชอ่ื เรยี กพระกฏุ ที ป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ ) มที ่จี าํ พรรษาของพระภกิ ษุสงฆ์ มที ่เี จริญธรรม ทแ่ี สดงธรรม ท่จี งกรมท่ีอาบ ท่ฉี นั ครบถว้ นควรแก่สมณบริโภค อนาถนิณฑิกเศรษฐีส้นิ ทรพั ยไ์ ปในการณ์น้ี ๓๖ โกฎกิ หาปณะ (โกฏิ = สบิ ลา้ น กหาปณะ = ๔ บาท) จากจดหมายเหตขุ องหลวงจนี ฟาเหยี น สมณทตู จนี เลา่ เร่อื งซากปรกั พงั ของมหาวหิ ารเชตวนั เมอ่ื ประมาณ พทุ ธศกั ราช ๙๔๒ ไวด้ งั น้ี ๐ออกจากบริเวณเมอื งสาวตั ถีไปทางประตูทศิ ใต้ เดินไปประมาณ ๒,๐๐๐ กา้ ว สู่ทางตะวนั ออกของถนน ใหญ่ พบวหิ ารหนั หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ออก ซากท่ยี งั เหลืออยู่คือ ฐานปะราํ ๓ ฐาน หลกั ๒ หลกั ท่ีหลกั มสี ลดั รูป ธรรมจกั รดา้ นหน่ึงและรูปโคอกี ดา้ นหน่ึง มที ่ขี งั นาํ้ ใชน้ าํ้ ฉนั ของพระภกิ ษุยงั เหลอื อยู่ ในท่เี ก็บนาํ้ ยงั มนี าํ้ ใสสะอาดเตม็ เป่ียม มไี มเ่ ป็นพ่มุ เป็นกอ แต่ละพ่มุ แต่ละกอมดี อกออกใบเขยี วสดข้นึ อยู่โดยรอย ท่ใี กลว้ หิ ารหลงั น้ี มซี ากวิหารอีก หลงั หน่ึง เรยี กวา่ วหิ ารตถาคต๑ ๐วหิ ารคถาคต มองจากซากกร็ ูว้ ่า แต่เดิมมามี ๗ ชน้ั บรรดาราชาอนุราชา และประชาชน พากนั มากกราบ ไหว้ ทาํ การสกั การะตลอดกลางคนื กลางวนั ๑ ๐ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือขอวหิ ารคถาคต ไกลออกไป ๖-๗ สพ่ี บวหิ ารอกี หลงั หน่ึง (บุพพาราม) ซง่ึ มหา อุบาสิกาวิสาขามิคารมารดาสรา้ งถวายพระพุทธเจา้ เมืองสาวตั ถีน้ีมีประตูใหญ่เพียง ๒ ประตูคือประตูทางทิศ ตะวนั ออกและประตูทางเหนือ มอี ุทยานใหญ่แห่ง หน่ึงกวา้ งขวาง อนาถบณิ ฑิกเศรษฐีเป็นผูส้ ละทรัพยส์ รา้ งถาย พระพทุ ธเจา้ มวี ิหารใหญ่ตง้ั อยู่ตรงกลาง ณ สถานท่นี ้ีเองเป็นท่ปี ระทบั ถาวรของพระพุทธเจา้ เพอ่ื ทรงแสดงธรรม ยงั สรรพสตั วท์ งั้ หลายใหพ้ น้ ภยั ณ สถานท่ีใดอนั เป็นท่ีเคยประทบั ของพระพุทธเจา้ ก็ดี เคยเป็นทีแสดงธรรมของ พระพทุ ธเจา้ กด็ ี สถานท่นี น้ั มเี คร่อื งหมายไวใ้ หเ้ หน็ หมด แมส้ ถานทข่ี องนางจิญจมาณวกิ า (รบั ใชพ้ ระเทวทตั มากล่าว ต่พู ระพทุ ธเจา้ ) กม็ เี ครอ่ื งหมายแสดงไวเ้หมอื นกนั ๑ ท่านเทวปริยวาลสิ งิ หะ เลขาธิการสมาคมมหาโพธิอา้ งหนงั สอื ช่ือ ปูชาสลั ลยิ ะ อนั เป็นวรรณคดีของลงั กา เขยี นเลา่ วา่

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๓๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๐แมพ้ ระมหาวหิ ารเชตวนั จะเป็นท่ยี งั ความสะดวกและความสงบใหเ้กิดได้ ยง่ิ กว่าสถานท่ใี ดในชมพูทวปี ก็ ตาม แต่พระพทุ ธเจา้ หาไดป้ ระทบั จาํ พรรษาตลอดปีไม่ แต่ละปีพระพุทธเจา้ ประทบั เพยี งปีละ ๓ เดือนในฤดูพรรษา สว่ นอกี ๙ เดอื นนอกพรรษา พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ จารกิ ออกไปแสดงธรรมในคามนิคมอ่ืน๑ พระมหาวหิ ารเชตวนั มชี ่ือมากในตาํ นานพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ ประทบั จาํ พรรษาอยู่ ณ มหาวิหารแห่งน้ี ถึง ๒๔ ฤดูฝน พระธรรมส่วนใหญ่ทรงแสดงท่ีมหาวิหารแห่งน้ี คมั ภีรพ์ ุทธวงศ์ และเอกนิบาต องั คุตรนิกาย บรรยายวา่ พระพทุ ธเจา้ ประทบั จาํ พรรษา ท่มี หาวหิ ารแห่งน้ี เพยี ง ๑๙ ฤดูฝน เวลาทเ่ี หลอื จากนน้ั เปลย่ี นไปประทบั ณ วหิ ารบุพพามหาวหิ ารเชตวนั มอี ธบิ ายอีกในหน่ึงว่า เวลากลางวนั ประทบั ณ วหิ ารแห่งหน่ึง และกลางคืนเสดจ็ ไป แสดงธรรม ณ วิหารอีกแห่งหน่ึง นบั เป็นสถานท่ีประทบั อนั นบั เน่ืองดว้ ยชีวิตการประกาศธรรมของพระพุทธเจา้ ตลอด ๒๔ ฤดูฝน ๖. นิโครธาราม เป็นพระอารามท่พี ระญาติสรา้ งถวายพระพทุ ธเจา้ อยู่ใกลก้ รุงกบิลพสั ดุ์ นครหลวงของ แควน้ สกั กะ ในพรรษาท่ี ๑๕ หลงั จากตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาทน่ี ิโครธาราม ๗. บุพพาราม เป็นพระวิหารท่ีอยู่ใกลเ้ คียงกบั มหาวหิ ารเชตวนั ทางใตข้ องนครสาวตั ถี เมอื งหลวงของ แควน้ โกศล นางวสิ าขามคิ ารมารดา มหาอุบาสกิ าผูเ้ป็นเอตทคั คะในบรรดาทายิกาทง้ั ปวงเป็นผูส้ รา้ งถวาย โดยขาย เคร่อื งประดบั ประจาํ ตวั ตงั้ แต่แต่งงาน เรียกช่ือว่ามหาลดาปสาธน์ เป็นเคร่อื งอาภรณ์งามวิจิตประกอบดว้ ยรตั นะ ๗ ประการมคี ่ามากถงึ ๙๐ ลา้ นกหาปนะ และไดร้ บั ยกย่องว่าเป็นของสาํ หรบั ผูม้ บี ญุ ในสมยั พทุ ธกาลมเี พยี ง ๓ คือ ของ นางวิสาขา ๑ ของเศรษฐีธิดา ภรรยาท่านเทวทานิยสาระ ๑ และของนางวิสาขานาํ มาสรา้ งวดั ถวายพระพทุ ธเจา้ และ พระภกิ ษุสงฆ์ คือ มคิ ารมาตุปราสาท วดั บพุ พาราม ณ พระนครสาวตั ถี โดยพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบหมายใหพ้ ระมหา โมคคลั ลานะ อคั รสาวก เบ้อื งซา้ ยเป็นนวกมั มาธฏฐายี คอื เป็นผูอ้ าํ นวนการก่อสรา้ งวหิ ารบพุ พาราม ๘. พระเวฬุวนั เป็นป่าไผ่ สวนท่ีประพาสพกั ผ่อนของพระเจา้ พมิ พิสารอยู่ไม่ใกลไ้ ม่ไกลจากพระนครรา ชคฤหน์ ครหลวงของแควน้ มคธเป็นสถานท่รี ่มร่นื สงบเงยี บ มที างไปมาสะดวก พระเจา้ พมิ พิสารถวายเป็นสงั ฆาราม นบั เป็นวดั แรกในพระพทุ ธศาสนา พระพุทธเจา้ ทรงประจาํ พรรษาท่ี ๒-๓-๔ และพรรษท่ี ๑๗ กบั ๒๐ ภายหลงั จาก ตรสั รูพ้ ระเวฬวุ นั วหิ ารนบั เป็นอารามในระยะกาลประดษิ ฐานพระศาสนาระยะแรกเร่มิ ๙. อคั คาฬวเจดียว์ ิหาร อยู่ในเมอื งอาฬวี ในพรรษาท่ี ๑๖ ภายหลงั ตรสั รูร้ ะหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการ บาํ เพญ็ พทุ ธเจา้ ไดเ้สดจ็ ไปประทบั จาํ พรรษา ณ วหิ ารแห่งน้ี ๔.๕ สงั เวชนียสถาน ๔ ตาบล ในวนั เพญ็ เดอื น ๖ ณ กาลนน้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงมพี ระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระบรมศาสดาทรงตรสั แก่พระ อานนทว์ ่า ๐อานนท์ ในยามท่ีสุดแห่งราตรีวนั น้ีแหละ ตถาคตจะปรินิพพาน ณ ระหว่างไมส้ าละทงั้ คู่ ณ สาลวนั แห่งมลั ลกษตั รยิ ์ ใกลเ้มอื งกสุ นิ ารา๑ ครน้ั พระพุทธเจา้ พรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษุสงฆไ์ ดเ้ สด็จพระพทุ ธดาํ เนินขา้ มแม่นาํ้ หริ ญั ญวดี ไปเมอื งกุสินารา โปรดใหพ้ ระอานนทป์ ูลาดเตียงท่บี รรทม ณ ระหว่าไมส้ าละทง้ั คู่ และเสร็จข้นึ บรรทมสีหไสยา (เป็นการนอนอย่าง ราชสีห์ คือนอนตะแคงขวา ซอ้ นเทา้ เหล่อื มเทา้ มอื ซา้ ยพาดไปตามลาํ ตวั มอื ขวาชอ้ นศีรษะไม่พลกิ กลบั ไปมา มี

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๓๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ สติสมั ปชญั ญะกาํ หนดใจถงึ การลุกข้นึ ไว)้ แต่พระบรมศาสดามไิ ดม้ อี ุฏฐานสญั ญา มนสิการ คือไมค่ ิดจะลุกข้นึ อีก แลว้ เพราะเหตเุ ป็นไสยาอวสาน คือการนอนครงั้ สุดทา้ ย (หรอื อนุฏฐานไสยาคอื นอนไมล่ ุก) ลาํ ดบั ต่อมา พระอานนทเ์ ถระเจา้ ไดก้ ราบทูลวา่ ๐ในกาลก่อนเมอ่ื ออกพรรษาแลว้ บรรดาพทุ ธบรษิ ทั ทงั้ หลาย ในทิศต่างๆ เจริญในครนั้ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ไดเ้ ขา้ ใกลส้ นทนาปราศยั ไดค้ วามเจริญใจ ครนั้ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ เสด็จปรนิ ิพพานแลว้ ขา้ พระองคท์ งั้ หลายจกั ไม่ไดโ้ อกาสอนั ดเี ช่นนนั้ เหมอื นกบั เมอ่ื พระองคย์ งั ทรงพระชนมอ์ ยู่อีก ต่อไป๑ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า \"อานนท์ สงั เวชนียสถาน ๔ ตาบลน้ีคอื ๑. สถานท่พี ระตถาคตเจา้ บงั เกิดแลว้ คือท่ปี ระสูติจากพระครรภ์ (คือ อุทยานลุมพินี ก่ึงกลางระว่างกรุง กบลิ พสั ดุแ์ ละกรุงเทวทหะ กรุงกบลิ พสั ดุเ์ ป็นเมอื งหลวงของแควน้ สกั กะ กรุงเทวทหะเป็นเมอื งหลวงของแควน้ โกลิ ยะ ปจั จบุ นั อยู่ในเขตประเทศเนปาลห่างชายแดนภาคเหนือของประเทศอนิ เดีย ๖ กโิ ลเมตรคร่ึง บดั น้ีเรียกว่า รุมมเิ น เด) ๒. สถานท่พี ระตถาคตเจา้ ตรสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ (คือใตร้ ่มไม่ศรีมหาโพธ์ิ ภายในป่าสาละ ใกล้ แมน่ าํ้ เนรญั ชรา ตาํ บลอรุ ุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ปจั จบุ นั คือ ควงโพธ์ิ ทต่ี าํ บลพทุ ธคยา รฐั พหิ ารประเทศอนิ เดีย) ๓. สถานท่ีพระตถาคตเจา้ แสดงธรรมจกั ร (คือสถานท่ีซ่ึงพระพุทธเจา้ แสดงธรรมปฐมเทศนาโปรดปจั จ วคั คีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวนั ทางทิศเหนือของเมอื งพาราณสี แควน้ กาสี ปจั จุบนั น้ีเรียกว่า สารนาถพาราณสี บดั น้ีเรยี กวา่ วาราณส)ี ๔. สถานท่พี ระตถาคตเจา้ ปรนิ ิพพาน (คือท่สี าลวโนยาน เมอื งกุสนิ ารา แควน้ มลั ละ ปจั จุบนั ้ีเรยี กเมอื งกา เซยี จงั หวดั โครกั ขปรุ ะ) สถานท่ที งั้ ๔ ตาํ บลน้ีแล ควรท่พี ทุ ธบรษิ ทั คือภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อุบาสกิ า มคี วามเช่อื ความเลอ่ื มใสใน พระตถาคตเจา้ จะดูจะเหน็ และควรจะใหเ้กดิ ความสงั เวชทวั่ กนั \" \"อานนท์ ชนทง้ั หลายเหล่าใดเหล่าหน่ึงไดเ้ ท่ียวไปยงั เจดียส์ งั เวชนียสถานเหล่าน้ีดว้ ยความเล่อื มใส ชน เหลา่ นนั้ ครนั้ ทาํ กาลกริ ยิ าลงจกั เขา้ ถงึ สุดคติโลกสวรรค\"์ ๑๒๔ อน่ึง สงั เวชนียสถาน มคี วามหมายถงึ สถานเป็นท่ตี งั้ แห่งความสงั เวช แต่คาํ ว่าสงั เวชในทางธรรมนนั้ มี ความหมายลกึ ซ้งึ กว่าความหมายของคาํ วา่ สงั เวชทพ่ี บเหน็ กนั ทวั่ ๆ ไป กล่าวคือ ในทางธรรมหมายถงึ ความรูส้ กึ สลด ใจท่ที าํ ใหค้ ิดได้ ทาํ ใหจ้ ิตใจหนั มานึกถงึ ส่งิ ทด่ี ีงามเกดิ ความไม่ประมาท เพียรพยายามทาํ สง่ิ ท่เี ป็นกุศลต่อไป จึงจะ เรยี กว่า สงั เวช ความสลดในและหงอยหรอื หดหู่เสยี ไมเ่ รยี กว่าเป็นความสงั เวช ๘ พทุ ธสถานทส่ี าคญั ในสมยั พทุ ธกาล ในการเดินทางไปไหวพ้ ระพทุ ธเจา้ ณ ดินแดนพทุ ธภมู นิ น้ั ถา้ ไดเ้ดนิ ทางไปครบหมดทงั้ ๘ เมอื งท่นี ิยมกนั และถอื ว่ามคี วามสาํ คญั มากทางพระพทุ ธศาสนา ก็ถอื ว่าไปครบตามท่นี กั ปราชญท์ างพระพุทธศาสนากาํ หนดกนั ไว้ คอื ๑๒๔ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๐๒/๑๕๐-๑๕๑.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๓๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๑. ลุมพนิ ีวนั สถานทป่ี ระสูตใิ นประเทศเนปาล ๒. เมอื งเวสาลี เมอื งทภ่ี กิ ษุสงฆเ์ กดิ ข้นึ ครงั้ แรก และเป็นสถานท่ที าํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ในประเทศอนิ เดีย ๓. เมอื งราชคฤห์ เมอื งทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงประดษิ ฐพระพทุ ธศาสนาเป็นครงั้ แรก ๔. พทุ ธคยา สถานทต่ี รสั รูแ้ ละทรงเสวยวมิ ตุ ติสุขเป็นเวลา ๗ สปั ดาหแ์ รกภายหลงั ทรงตรสั รู้ ๕. เมอื งพาราณสี เมอื งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปจั จวคั คีย์ เมอื งท่กี าํ เนิดพระรตั นตรยั คือ พระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆ์ ครบถว้ นสมบรู ณ์ ๖. เมอื งกสุ นิ ารา เมอื งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ๗. เมอื งสาวตั ถี เมอื งท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษานานทส่ี ุดถงึ ๒๔ พรรษา พระธรรมส่วนใหญ่ของ พระบรมศาสดาทรงแสดงทว่ี หิ ารในเมอื งแห่งน้ี ๘. เมอื งสงั กะสะ เมืองท่ีพระพทุ ธเจา้ เสด็จลงจากสวรรคช์ นั้ ดาวดึงส์ หลงั จากท่ีทรงแสดงพระอภิธรรม โปรดพระพทุ ธมารดาแลว้ ๔.๖ ๑๖ ตาบล ทรงแสดงนิมติ ตโ์ อภาส นิมติ ตโ์ อภาส มคี วามหมายว่า การท่พี ระพุทธเจา้ ทรงตรสั ขอ้ ความเป็นเชิงเปิดโอกาสใหอ้ าราธนาเพ่อื ดาํ รง พระชนมอ์ ยู่ต่อไป ซง่ึ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงนิมติ ตโ์ อภาส ณ ๑๖ ตาํ บล แก่พระอานนท์ พระมหาสาวกผูเ้ ป็นพระ อปุ ฏั ฐากประจาํ พระองค์ แต่พระอานนทก์ ไ็ มร่ ู้ จงึ ไม่อารธนาไมว่ งิ วอน ใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ดาํ รงพระชนมอ์ ยู่ต่อไป ดงั นนั้ พระบรมศาสดาทรงกาํ หนดพระทยั ทรงปลงพระชนมายุสงั ขาร ณ ปาวาลเจดียใ์ นวนั มาฆปรุ มี เพญ็ เดือน ๓ จกั เสด็จ ดบั ขธั ป์ รนิ ิพานในกาล ๓ เดอื นขา้ งหนา้ ในวนั เพญ็ เดอื น ๖ ขณะมพี ระชนมายุ ๘๐ พรรษา สาํ หรบั ๑๖ ตาํ บลท่พี ระพุทธเจา้ ทรงแสดงนิมติ ตโ์ อภาสแก่พระอานนทน์ นั้ ทรงแสดงท่เี มอื งราชคฤห์ ๑๐ ตาํ บล และทเ่ี มอื งเวสาลี ๖ ตาํ บล ดงั น้ี ๑. ทภ่ี เู ขาคิชฌกฏุ อนั เป็นภเู ขาลูกหน่ึงในหา้ ลูกท่เี รยี กว่า เบญจคีรี ลอ้ มพระนครราช คฤห์ ๒. ทโ่ี คตมนิโครธ เป็นตาํ บลแห่งหน่ึงในพระนครราชคฤห์ ๓. ทเ่ี หวสาํ หรบั ท้งิ โจร บนภเู ขาคิชณกูฏ ภเู ขาลูกน่ึงในเบญจคีรซี ง่ึ ลอ้ มรอบพระนครราชคฤห์ ๔. ทถ่ี าํ้ สตั ตบรรณคูหา ขา้ งภเู ขาภารบรรพต หน่ึงใน ๕ ของเบญจคีรี ทล่ี อ้ มรอบพระนครราชคฤห์ และถา้ สตั ตบรรณคูหายงั ไมเ่ ป็นทส่ี งั คายนาครงั้ แรกอกี ดว้ ย ๕. ทก่ี าฬสลิ า ขา้ งภูเขาอสิ คิ ิลบิ รรพต หน่ึงใน ๕ ของภูเขาเบญจคีรี ทล่ี อ้ มรอบพระนครราชคฤห์ และกาฬ สลิ ายงั เป็นทท่ี พ่ี ระมหาโมคคลั ลานะ อคั รมหาสาวกเบ้อื งซา้ ยถกู คนรา้ ยซง่ึ รบั จา้ งพวกเดียรถยี ไ์ ปลอบฆ่าดว้ ยการทบุ ตี จนร่างแหลก ๖. ทส่ี ปั ปิโสณฑกิ า ณ สตี วนั เป็นเง้อื มเขาแห่งหน่ึงอยู่ทส่ี ตี วนั ใกลก้ รุงราชคฤห์ ๗. ตโปทาน สวนแหง่ หน่ึงอยูใ่ กลบ้ อ่ นาํ้ พรุ อ้ นช่อื ตโปทาใกลก้ รุงราชคฤห์

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๓๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๘. ท่ีเวฬุวนั พระวหิ ารในป่าไผ่ซ่ึงอยู่ไม่ไกลจากพระนครราชคฤห์ พระเจ้าพมิ พิสารถวายเป็นสงั ฆาราม นบั เป็นวดั แรกในพระพทุ ธศาสนา ๙. ท่ีชีวกมั พวนาราม เป็นวิหารในสวนมะม่วงซ่ึงชีวกโกมารภจั จแ์ พทยป์ ระจาํ พระองคพ์ ระพุทธเจา้ สรา้ ง ถวาย อยู่ในกรุงราชคฤห์ ๑๐. ทม่ี ทั ทกจุ ฉิมคิ ทายวนั ป่าเป็นทใ่ี หอ้ ภยั แก่เน้ือช่อื มทั ทกจุ ฉิอยู่ทพ่ี ระนครราชคฤห์ ๑๑. ทอ่ี ทุ เทนเจดยี ์ เจดยี ส์ ถานแห่งหน่ึงอยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของเมอื งเวลาลี นครหลวงของแควน้ วชั ชี ๑๒. ทโ่ี คตมกเจดยี ์ เจดยี ส์ ถานแห่งหน่ึงอยู่ทางทศิ ใตข้ องนครเวสาลี ๑๓. ท่สี ตั ตมั พเจดยี ์ เจดยี ส์ ถานแห่งหน่ึงทน่ี ครเวสาลี ๑๔. ทพ่ี หุปตุ ตเจดยี ์ เจดยี ส์ ถานแหง่ หน่ึงอยู่ทางเหนือของนครเวสาลี ๑๕. ทส่ี ารนั ทเจดยี ์ เจดยี ส์ ถานแห่งหน่ึงทน่ี ครเวสาลี ๑๖. ท่ปี าวาลเจดยี ์ เจดยี ส์ ถานแห่งหน่ึงท่นี ครเวสาลพี ระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ นิมติ ตโ์ อภาสครง้ั สุดทา้ ยและทรง ปรงพระชนมายุสงั ขาร ณ ปาวาลเจดยี ก์ ่อนปรนิ ิพพาน ๓ เดอื น ๔.๗ เจดีย์ และสถปู ท่สี าคญั เกย่ี วกบั พระพทุ ธเจา้ เจดีย์ มคี วามหมายว่า ท่เี คารพนบั ถอื บุคคล สถานท่ี หรือวตั ถทุ ค่ี วรเคารพบูชา เจดียเ์ ก่ยี วกบั เจดีย์ และ สถปู สาํ คญั มี ๔ อยา่ งคอื ๑. ธาตเุ จดีย์ บรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ ๒. บรโิ ภคเจดีย์ คอื สง่ิ หรอื สถานทท่ี เ่ี จดยี ์ พระพทุ ธเจา้ เคยทรงใชส้ อย ๓. ธรรมเจดยี ์ บรรจพุ ระธรรมคือ พทุ ธพจน์ ๔. อทุ เทสกิ เจดีย์ คอื พระพทุ ธรูป ในทน่ี ้ีจะกลา่ วถงึ บรโิ ภคเจดยี ์ นอกเหนือไปจากสงั เวชนียสถานทง้ั ๔ และกุฏวิ หิ ารทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงเคยใช้ สอย ซง่ึ ไดก้ ลา่ วถงึ ไปแลว้ สว่ น สถปู มคี วามหายว่าสง่ิ ก่อสรา้ งซง่ึ ก่อไวส้ าํ หรบั บรรจขุ องควรบูชา เป็นอนุสรณ์ท่เี ตือนใจใหเ้กิดปสาทะ และกศุ ลธรรมอน่ื ๆ ในทน่ี ้ีจะกลา่ วถงึ พระสถปู ท่มี คี วามเก่ยี วขอ้ งกบั บรโิ ภคเจดยี ์ ส่วนสถปู บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุ หรอื ธาตเุ จดยี น์ นั้ ไดแ้ ยกไปกลา่ วถงึ ในหมวดท่ี ๘ หวั ขอ้ พระสถปู เจดยี ์ บรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุแลว้ สาํ หรบั เจดยี แ์ ละสถูปสาํ คญั อนั นบั เน่ืองอยู่ในบริโภคเจดยี ์ เทา่ ทน่ี าํ มาประมวลไว้ ณ ทน่ี ้ี มดี งั น้ี ๑. จุฬามณีเจดยี ์ ตงั้ อยู่ ณ สวรรคชน้ั ๒ คอื ดาวดงึ สเทวโลกเป็นพระเจดยี ท์ บ่ี รรจุพระจฬุ าโมลี (มวยผม) ของพระสทิ ธตั ถะ เมอ่ื ครงั้ เสดจ็ ออกบรรพชา ครงั้ เสด็จขา้ มแมน่ าํ้ อโนมาแลว้ จะอธิฐานเพศบรรชิต ทรงตดั มวยพระ เกศาขวา้ งไปในอากาศ พระอนิ ทรน์ าํ ผอบแกว้ มารองรบั นาํ ไปประดษิ ฐานในพระจุฬามณี

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๓๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ต่อมาเมอ่ื พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพานแลว้ ในขณะแจกพระบรมสารรี กิ ธาตุ พระอินทรไ์ ดน้ าํ เอาพระ ทาฐธาตุคือพระเข้ยี วแกว้ เบ้อื งบนขวาทโ่ี ทณพราหมณ์ซ่อนไวใ้ นผา้ โพกศีรษะ ใส่ผอบทองนาํ ไปบรรจุในจฬุ ามณีดว้ ย นอกจากนน้ั พระรากขวญั (กระดูกไหปลารา้ )เบ้อื งขวากป็ ระดิษฐานอยู่ในพระจฬุ ามณีเจดยี ส์ ถานเช่นกนั ๒. โคตมกเจดีย์ เจดียส์ ถานอยู่ทางทิศใตข้ องนครเวสาลีนครหลวงของแควน้ วชั ชี เป็นสถานท่ีซ่ึง พระพทุ ธเจา้ เคยเสดจ็ ประทบั หลายครงั้ และเคยทรงทาํ นิมติ ตโ์ อภาสแก่พระอานนท์ ๓. ทุสสเจดีย์ เจดียสถาน ณ พรหมโลก ซ่งึ ฆฏกิ ารพรหมหรือพระพรหมผูน้ าํ สมณบรขิ ารมบี าตรและจีวร เป็นตน้ มาถวายแด่พระโพธสิ ตั วเ์ ม่อื คราวออกบรรพชา และนาํ พระภูษาเคร่อื งทรงในฆาราวาสท่พี ระโพธิสตั ว์ สละ ออกเปลย่ี นมาทรงจวี ร นาํ ไปประดษิ ฐานอยูใ่ นทสุ สเจดยี ์ ครน้ั พระพทุ ธเจา้ ดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ พระรากขวญั เบ้อื ง ซา้ ยกบั พระอุณหิส (มงกุฎจากเคร่ืองอาภรณ์มหาลดาปสาธน์ท่นี างมลั ลกิ าทูลอญั เชิญสวมพระพุทธสรีระศพ) ถูก นาํ ไปประดษิ ฐานอยูใ่ นทสุ สเจดีย์ ณ พรหมโลก ๔. ปาวาลเจดีย์ เจดียส์ ถานอยู่ท่เี มอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี พระพุทธเจา้ ทรงทาํ นิมติ ตโ์ อภาสแก่พระอานนท์ พระมหาสาวกอปุ ฏั ฐากประจาํ พระองค์ เป็นครงั้ ท่ี ๑๖ และครงั้ สุดทา้ ยจากนน้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงปลงพระชนมายุสงั ขาร ณ ปาวาลเจดยี ์ ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ ก่อนปรนิ ิพพาน ๓ เดอื น ๕. ปาสาณเจดีย์ เจดียส์ ถานในแควน้ มคธซง่ึ มาณพ ๑๖ คน ผูเ้ป็นศิษยข์ องพราหมณพ์ าวรี ผูเ้ป็นอาจารย์ ใหญ่ตง้ั อาศรมสอนไตรเพท แก่ศิษยอ์ ยู่ท่ฝี งั่ แม่นาํ้ โคธารรี ณ สุดเขตแดนแควน้ อสั สกะ พราหมณ์พาวรีไดส้ ่งศิษย์ ทง้ั ๑๖ คนไปถามปญั หาพระบรมศาสดา เพอ่ื จะทดสอบว่าพระพทุ ธองคเ์ ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จริงหรือไม่ ณ ปา วาลเจดียแ์ ห่งน้ี ภายหลงั ไดร้ บั คาํ ตอบ พราหมณ์พาวรีบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามสี ่วนศิษย์ ทงั้ ๑๖ ไดบ้ รรลุพระ อรหตั และถกู จดั เป็นพระมหาสาวกผูใ้ หญ่ ๘๐ องค์ ทกุ องคด์ ว้ ยกนั ๖. พหุปุตตเจดีย์ เจดียส์ ถานอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเวสาลีนครหลวงของแควน้ วชั ชี เป็นสถานท่ีซ่ึง พระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ นิมติ ตโ์ อภาสแก่พระอานนท์ ๗. เจดียพ์ ทุ ธคยา เจดยี ส์ ถานอยู่ใกลแ้ มน่ าํ้ เนรญั ชรา ตาํ บลอรุ ุเวลาเสนานิคม ในแควน้ มคธสมยั พทุ ธกาล พระพทุ ธองคไ์ ดเ้ สดจ็ มาประทบั ท่ใี ตต้ น้ โพธ์ิ และไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณท่ีน่ี พระวหิ ารเจดียพ์ ทุ ธคยาสูง ๑๖๐ ฟุต สรา้ งเป็นหอสูงรูปส่เี หล่ยี มพรี ะมดิ ปลายยอดตดั รองรบั พระสถูปท่ีดา้ นบนยอดสุด องคพ์ ระเจดียส์ รา้ ง ตง้ั แต่หลงั สมยั พทุ ธกาล ปจั จบุ นั เป็นตาํ บลพทุ ธคยา รฐั พหิ าร ๘. มกฏุ พนั ธนเจดีย์ สถานท่ถี วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระ อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของนครกุสนิ ารา แควน้ มลั ละ มกฏุ พนั ธนเจดยี อ์ ยูห่ า่ งจากสาลวโนทยาน สถานทเ่ี สดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานประมาณ ๑ กโิ ลเมตร ๙. รตั นฆรเจดยี ์ เจดยี เ์ รอื นแกว้ อยูท่ างทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ณ ท่นี ้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั พจิ ารณาพระอภธิ รรมปิฎกเป็นเวลา ๗ วนั เป็นสปั ดาหท์ ่ี ๔ แหง่ การเสวยวมิ ตุ ตสิ ุขถายหลงั จากตรสั รู้ ๑๐. รตั นจงกรมเจดีย์ เจดียท์ ่จี งกรมแกว้ อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ระหว่าง กลางแห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ระหว่างกลางแห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิกบั อนิมสิ เจดีย์ ณ ท่ีน้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงเสด็จจง กลมตลอด ๗ วนั นบั เป็นสปั ดาหท์ ่ี ๓ แห่งการเสวยวมิ ตุ ตสิ ุขภายหลงั จากตรสั รู้

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๓๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ๑๑. สตั ตมั พเจดีย์ เจดียส์ ถานท่นี ครเวสาลี นครหลวงแควน้ วชั ชี ณ ท่นี ้ีพระพุทธเจา้ ทรงทาํ นิมติ ตโ์ อภาส แก่พระอานนท์ ๑๒. สารนั ทเจดีย์ เจดียส์ ถานท่ีนครเวสาลี นครหลวงของแควน้ วชั ชี ณ ท่ีน้ีพระพุทธเจา้ ทรงทาํ นิมิตต์ โอภาสแก่พระอานนท์ ๑๓. อนิมิสเจดยี ์ สถานทซ่ี ง่ึ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ยนื จอ้ งดูตน้ พระศรมี หาโพธิโดยมไิ ดก้ ระพรบิ พระเนตรตลอด ๗ วนั อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของตน้ พระศรีมหาโพธิ นบั เป็นสปั ดาหท์ ่ี ๒ แห่งการเสวยวมิ ตุ ติสุขทง้ั หมด รวม ๗ สปั ดาห์ ภายหลงั จากทรงตรสั รู้ ๑๔. อคั คาฬวเจดยี ์ อยู่ใกลอ้ าฬวนี คร หลงั จากทรงทรมาณอาฬวยกั ษใ์ หส้ ้นิ พยศและตง้ั มนั่ อยู่ในอริยธรรม ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดชาวเมอื งอาฬวีใหต้ ง้ั อยู่ในกลั ยาณธรรมแลว้ พระพุทธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๑๖ ภายหลงั จากตรสั รู้ ณ สถานทแ่ี ห่งน้ี ๑๕. อานนั ทเจดยี ์ เจดยี สถานในเขตโภคนคร ระหว่างทางจากเมอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี ไปสู่เมอื งปาวา แควน้ มลั ละ ณ ทน่ี ้ี พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ทรงประทบั แสดงธรรมโปรดพทุ ธบรษิ ทั ชาวเมอื งโภค นคร พระพทุ ธเจา้ ตรสั มหาปเทศ ๔ ฝ่ายพระสูตร(หลกั อา้ งอิงสาํ หรบั เทียบเคียง ๔) จากนน้ั พระบรมศาสดาเสด็ด ต่อไปยงั ปาวานคร แลว้ เสดจ็ ไปยงั สาลวโนทยาน ใกลเ้มอื งกสุ นิ ารา ทรงดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ในสว่ นของพระสถปู ทม่ี คี วามเก่ยี วพนั ถงึ บรโิ ภคเจดยี ์ ไดป้ ระมวลนาํ มาไว้ ณ ทน่ี ้ี ๔ พระสถปู ดว้ ยกนั ดงั น้ี ๑. เจาคนั ธสี ถปู สถปู แหง่ น้ีพระเจา้ อโศกมหาราชทรงสรา้ งเป็นท่รี ะลกึ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงพบปญั จวคั คียเ์ ป็น ครง้ั แรก ภายหลงั จากทรงตรสั รู้ สรา้ งข้นึ ภายหลงั พทุ ธปรนิ ิพพานแลว้ กว่า ๒๐๐ ปี ณ ป่าอิสปิ ตนมคิ ทายวนั เมอื ง พาราณสี แควน้ กาสี ๒. ธมั เมกขสถูป อยู่ใกลเ้ คียงกบั เจาคนั ธีสถูป เป็นสถานท่รี ะลกึ ถึงในกาลท่พี ระพุทธเจา้ ทรงแสดงปฐม เทศนาโปรดปญั จวคั คยี ์ ในวนั เพญ็ เดอื น ๘ พระรตั นตรยั เกดิ ข้นึ ครบบรบิ ูรณค์ รง้ั แรกในโลก ณ ท่ี แห่งน้ี ๓. ตุมพสถูป พระตมุ พเจดยี อ์ ยู่ท่เี มอื งกุสนิ ารา แควน้ มลั ละ พระสถปู แห่งน้ีบรรจุทะนานทองทใ่ี ชต้ วงแบง่ พระบรมสารีริกธาตุ เพ่ือแบ่งปนั ใหก้ ษตั ริยท์ งั้ ปวง โดยโทณพราหมณ์ เป็นผูต้ กั ตวงพระบรมธาตุ แบ่งปนั ถวาย กษตั รยิ ท์ งั้ หลาย และขอประทานทะนานทองตวงพระบรมธาตอุ ญั เชญิ ไปสรา้ งตมุ พสถปู เจดยี ์ ๔. องั คารสถูป พระองั คารสถูปเจดียอ์ ยู่ท่ีเมืองปิปผลวิ นั โดยโมริยกษตั ริยผ์ ูค้ รองเมือง ไดท้ ราบข่าว พระพุทธเจา้ เสด็จปรินิพพานจึงส่งราชทูตใหม้ าทูลขอพระบรมสารีริกธาตุ ณ นครกุสินารา ทงั้ ยกพลหยุหเสนา ตามมาภายหลงั ครน้ั กษตั รยิ ม์ ลั ลราชแห่งกสุ นิ าราแจง้ ว่าพระบรมสารรี ิกธาตนุ นั้ กษตั รยิ ท์ งั้ ๘ พระนครไดไ้ ปประชุม แบง่ ปนั กนั หมดส้นิ แลว้ ยงั อยูแ่ ต่พระองั คาร (ถ่านเถา้ ทถ่ี วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ) ขอใหเ้ชิญพระองั คารไปทาํ การ สกั การบูชาเถดิ โมรยิ กษตั รยิ ์ จงึ อญั เชญิ พระองั คารมาประดษิ ฐาน ณ พระองั คารสถปู เจดยี ์ เมอื งปิปผลวิ นั สาํ หรบั พระบรขิ ารพทุ ธบรโิ ภค (เคร่อื งใชส้ อยของพระพทุ ธเจา้ ) ทงั้ หลายนน้ั ไดร้ บั อญั เชิญไปบรรจุไวใ้ นสถูป ๑๑ แห่งตามนครต่าง ๆ ดงั น้ี ๑. พระกายพนั ธ์ (ประคตเอว,สายรดั เอว) สถติ อยู่ทเ่ี มอื งปาฏลบี ตุ ร ๒. พระอุทมสาฎก (ผา้ คลุมอาบนาํ้ ) สถติ อยู่ทเ่ี มอื งปญั จาลราฐ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๓๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๓. พระจมั มขนั ธ์ (เคร่อื งหนงั ต่างๆ) สถติ อยูท่ ่เี มอื งโกสลราฐ ๔. ไมส้ ฟี นั สถติ อยู่ทเ่ี มอื งมถิ ลิ า ๕. พระธมกรก (กระบอกกรองนาํ้ ) สถติ อยู่ท่เี มอื งวเิ ทหราฐ ๖. มดี กบั กลอ่ งเขม็ สถติ อยู่ทเ่ี มอื งอนิ ทปตั ถ์ ๗. ฉลองพระบาทและถลกบาต (รองเทา้ และถงุ บาตรทม่ี สี ายคลอ้ งบา่ ) สถติ อยู่ทเ่ี มอื งอสุ ริ พราหมณคาม ๘. เครอ่ื งลาด (เคร่อื งปูนงั่ นอน) สถติ อยู่ทเ่ี มอื งมกฏุ นคร ๙. ไตรจวี ร (ผา้ สามผนื ทพ่ี ระวนิ ยั อนุญาตใหภ้ กิ ษุมไี วใ้ ชป้ ระจาํ ตวั คือ ผา้ ทาบ, ผา้ ห่ม(จวี ร),ผา้ นุ่งสบง) สถติ อยูท่ เ่ี มอื ง ภทั ทาราฐ ๑๐. บาตร เดมิ สถติ อยู่ทเ่ี มอื งปาฏลบี ตุ ร ภายหลงั ไปอยู่ทเ่ี มอื งลงั กาทวปี ๑๑. นิสที นะสนั ถตั (ผา้ ปูนงั่ ,ผา้ รองนงั่ ) สถติ อยู่ท่เี มอื งกรุ ุราฐ ๔.๘ ตน้ ไม้ สวน และป่า ท่เี กย่ี วกบั พระพทุ ธเจา้ ตน้ ไม้ สวนและป่า ในสมยั พทุ ธกาลทม่ี คี วามเก่ยี วพนั กบั พทุ ธประวตั ซิ ง่ึ นาํ มาประมวลไว้ ณ ทน่ี ้ีดงั น้ี หมวด ว่าดว้ ยตน้ ไม้ ๑. ปารฉิ ตั ตก์ คือตน้ ทองหลาง เป็นชอ่ื ตน้ ไมป้ ระจาํ สวรรคช์ นั้ ท่ี ๒ คือ ชน้ั ดาวดึงส์ อยู่ในสวนนนั ทวนั ของ พระอนิ ทรห์ รอื ทา้ วสกั ะจอมเทพแห่งสวรรคช์ น้ั ดาวดึงส์ ในพรรษาท่ี ๗ ภายหลงั ตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ ทรงเสด็จประทบั ภายใตร้ ่มไมป้ ารฉิ ตั ตก์ (หรอื ปารฉิ ตั ร, ปารชิ าต) ณ ดาวดงึ สเทวโลก ทรงแสดงธรรมโปรดพระพทุ ธมารดาตลอดสาม เดือนพระพทุ ธมารดาไดท้ รงบรรลุพระโสดาปตั ติผล ส่วนเทพยดาในโลกธาตุท่มี าประชุมฟงั ธรรมบรรลุผลสุดท่จี ะ ประมาณ ๒. พหปุ ตุ ตนิโครธ ตน้ ไทรทอ่ี ยู่ระหว่างกรุงราชคฤหก์ บั เมอื งนาลนั ทา ปิปผลมิ าณพไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ และ ขอบวชทพ่ี หุปุตตนิโครธน้ีครน้ั บวชลว่ งไปแลว้ ๗ วนั ก็ไดบ้ รรลุพระอรหตั พระมหาสาวกมหากสั สปะ (เดมิ ช่อื ปิป ผลมิ าณพ) ไดร้ บั ยกย่องวา่ เป็นเอตทคั คะในทางถอื ธุดงค์ ๓. ตน้ พระศรมี หาโพธิ ตน้ โพธิ ตน้ โพธทิ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ประทบั ภายใตร้ ่มเงาของตน้ พระศรีมหาโพธิ ณ ริมฝงั่ แมน่ าํ้ เนรญั ชรา ตาํ บลอุรุเวลา เสนานิคม แควน้ มคธ ในวนั เพญ็ เดือน ๖ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี พระพทุ ธเจา้ ทรง ตรสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ ณ ภายใตร้ ่มเงาของตน้ พระศรีมหาโพธิแห่งน้ี นับเป็นตน้ ไมท้ ่ีตรสั รูข้ องะ พระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั ในรชั สมยั รชั การท่ี ๕ แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ประเทศไทยไดพ้ นั ธุต์ น้ มหาโพธ์ิจากตน้ โพธ์ิตรสั รู้ ณ ร่ิมฝงั่ แมน่ าํ้ เนรญั ชรา ซง่ึ ดนิ แดน ณ ทน่ี นั้ ไดเ้ปลย่ี นช่อื มาเรียกว่า ตาํ บลพทุ ธคยา รฐั พหิ าร นบั เป็นการไดพ้ นั ธุต์ น้ มหาโพธ์ิ ตรสั รูโ้ ดยตรงครง้ั แรก นาํ มาปลูกไว้ ณ วดั เบญจมบพติ รและวดั อษั ฏางนิมติ ร ๔. ตน้ มจุ จลนิ ทร์ หรอื ตน้ จิก ภายหลงั จากพระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั รูแ้ ลว้ ถงึ สปั ดาหท์ ่ี ๖ ทรงประทบั ภายใตร้ ่ม เงาของตน้ ไมจ้ กิ อนั มชี ่ือว่า มจุ จลนิ ทร์ ตง้ั อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ใกล้ ๆ กบั ตน้ พระศรีมหาโพธิพระพุทธเจา้ ประทบั นงั่ เสวยวมิ ตุ ติสุขอยู่ใตต้ น้ มจุ จลนิ ทรเ์ ป็นเวลา ๗ วนั โดยมพี ญามจุ จลนิ ทรน์ าคราชมาวางขนดแผ่พงั พาน

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๓๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ปกป้ องพระองค์ จากสายลมและสายฝน พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานแสดง ความสุขท่ีแท้ อนั เกิดจาการไม่ เบยี ดเบยี นกนั ๕. ตน้ ราชยตนะ หรือตน้ ไมเ้ กต ภายหลงั จากพระพุทธเจา้ ทรงตรสั รูแ้ ลว้ ถึง สปั ดาหท์ ่ี ๗ ทรงประทบั ภายใตร้ ่มเงาของตน้ ไมเ้กตอนั มชี ่อื ว่า ราชายตนะ ตงั้ อยู่ทางทศิ ใต้ ใกลๆ้ กบั ตน้ ศรมี หาโพธ์ิ พระพทุ ธเจา้ ประทบั นงั่ เสวยสทิ ุตติสุขเป็นเวลา ๗ วนั นบั เป็นสปั ดาหส์ ุดทา้ ยแห่งการเสวยวมิ ตุ ติสุข ณ ท่นี ้ีมพี ่อคา้ ๒ คนนาํ กองเกวยี นค่า ขายจากแดนไกล คืออกุ กลชนบท ไดถ้ วายเสบยี งเดนิ ทาง สตั ตุผง สตั ตกุ อ้ นแด่พระพทุ ธเจา้ พ่อคา้ ทง้ั สองคือ ตปุส สะ และภลั ลกิ ะ ไดแ้ สดงตนเป็นปฐมอบุ าสกถงึ สรณะ ๒ คอื ถงึ พระพทุ ธและพระธรรม ๖. ตน้ สาละ เป็นไมย้ ืนตน้ ชนิดหน่ึงในดินแดนชมพูทวี มไิ ดเ้ ป็นชนิดเดียวกบั ตน้ รงั หรือตน้ สาละลงั กาท่ี ปลูกหรอื พบในประเทศไทยแต่อย่างใด ตน้ สาละเป็นตน้ ไมท้ ่เี ก่ยี วขอ้ งกบั พระสมั มาสมั พทุ ธเขา้ ตงั้ แต่ประสูติ จนถึง ปรนิ ิพพาน พระพทุ ธองคท์ รงประสูตภิ ายใตต้ น้ สาละใหญ่ ณ อทุ ยานลุมพนิ ีซง่ึ ตง้ั อยู่ระหว่างกรุงกบลิ พสั ดุ์ แควน้ สกั กะ กบั กรุงเทวทหะ แควน้ โกลยิ ะ ยามนนั้ แดดอ่อนดวงตะวนั ยงั ไมข่ ้นึ ตรงศรีษะเป็นวนั เพญ็ เดือน ๖ ก่อนพุทธศกั ราช ๘๐ ปี ยามนน้ั อากาศโปร่ง ตน้ ไมใ้ นป่าสาละอทุ ยานลุมพนิ ีกาํ ลงั ผลติ ดอกออกในอ่อน ดอกไมน้ านาพรรณ กาํ ลงั เบง่ บาน สง่ กลน่ิ เป็นทจ่ี าํ เรญิ ใจ ครน้ั ยามสามของวนั เพญ็ เดอื น ๖ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี พระพทุ ธองคท์ รงบาํ เพญ็ เพยี รจนตรสั รูอ้ นุตตร สมั มาสมั โพธิญาณ ภายใตร้ ่มเงาพระศรีมหาโพธิ ภายในป่า สาละ ใกลแ้ ม่นาํ้ เนรญั ชรา ณ ตาํ บลอุรุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ครน้ั วนั เพญ็ เดือน ๘ สองเดือนภายหลงั จากพระพุทธเจา้ ทรงตรสั รูพ้ ระพทุ ธองคเ์ สด็จมาถึงบริเวณป่า สาละอนั ร่มร่ืน ณ อุทยานมฤคทายวนั หรืออิสปิ ตนมฤคทายวนั ทางทิศเหนือใกลเ้มอื งพาราณสี แควน้ กาสี ณ ท่นี ้ี พระพุทธเจา้ ทรงแสดงธรรมเทศนากณั ฑแ์ รก คือ ธมั มจกั กปั ปวนั สุตร โปรดปญั จวคั คีย์ พระรตั นตรยั เกิดครบ บรบิ ูรณค์ รงั้ แรกในโลกน้ี คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ มพี ระชนมายุ ครบ ๘๐ พรรษาไดเ้สด็จถงึ สาลวโนทยานหรือสวนป่าไมส้ าละของมลั ลกษตั ริย์ ใกลเ้ มืองกุสินารา แควน้ มลั ละ เป็นเวลาใกลค้ าํ้ ของวนั เพ็ญ เดือน ๖ วนั สุดทา้ ยก่อนการกาํ เนิดพุทธศกั ราช พระพทุ ธเจา้ ทรงรบั สงั่ ใหพ้ ระอานนทป์ ูลาดท่บี รรทมระหว่างตน้ สาละใหญ่ ๒ ตน้ ทรงเอนพระวรกายลงโดยหนั พระ เศียรไปทางทศิ เหนือ ประทบั ไสยาสนแ์ บบสหี ไสยาเป็นอนุฏฐานไสยาคอื เป็นการนอนครง้ั สุดทา้ ยจนกระทงั่ สงั ขารดบั ๗. อปชาลนิโครธ ตน้ ไทรท่พี ระพุทธเจา้ ทรงประทบั นงั่ เสวยวิมตุ ติสุขในสปั ดาหท์ ่ี ๕ ภายหลงั ทรงตรสั รู้ พระพทุ ธองคป์ ระทบั นงั่ ภายใตร้ ่มเงาของอปชาลนิโครธเป็นเวลา ๗ วนั ตน้ อปชาลนิโครธอยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของตน้ ศรมี หาโพธ์ิ ๘. อสั สตั ถพฤกษ์ คือตน้ พระศรมี หาโพธิ ณ ริมฝงั่ แม่นาํ้ เนรญั ชรา ตาํ บลอุรุเวลาเสนานิคม อนั เป็นสถานท่ี ซง่ึ พระมหาบรุ ุษไดต้ รสั รูพ้ ระอนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๓๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๙. อานันทมหาโพธิ เป็นตน้ โพธ์ิตรสั รูท้ ่เี ป็นหน่อของตน้ เดิมท่พี ระพทุ ธเจา้ ประทบั นงั่ ใตร้ ่มเงาไดต้ รสั รู้ ได้ นาํ เมลด็ ไปปลูกเป็นตน้ แรกในสมยั พทุ ธกาล โดยพระอานนทเ์ ป็นผูด้ าํ เนินการปลูกท่ปี ระตูวดั พระเชตวนั มหาวหิ าร พระนครสาวตั ถี แควน้ โกศล ตน้ โพธ์นิ น้ั เรยี กวา่ อานนั ทมหาโพธ์ิ ทกุ วนั น้ียงั ปรากฏอยู่ ทง้ั น้ีในยามท่พี ระพุทธเจา้ ประทบั จาํ พรรษาท่พี ระเชตวนั มหาวิหารนนั้ แต่ละปี พระพทุ ธเจา้ ประทบั เพยี งปี ละ ๓ เดือนในฤดูพรรษาส่วนอกี ๙ เดอื นนอกพรรษา พระพทุ ธเจา้ ตอ้ งเสด็จไปสู่ทอ่ี ่นื เสยี ปีละ ๙ เดือน ชาวนครสา วตั ถีก็เกิดวปิ ฏสิ ารรอ้ นใจ ใคร่ทูลใหป้ ระทบั อยู่ตลอดปี พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบความทุกขข์ องชาวเมอื ง จงึ รบั สงั่ ให้ พระอานนทน์ าํ เมลด็ จากตน้ ศรมี หาโพธิ มาปลูกไวห้ นา้ ประตูมหาวหิ ารเชตวนั เพ่อื เป็นเคร่อื งหมายแทนพระองค์ เพ่อื วา่ สมยั ใดทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไมป่ ระทบั พกั อยู่ มหาชนจะไดบ้ ูชาตน้ โพธ์นิ นั้ แทนองคพ์ ระพทุ ธเจา้ หมวดวา่ ดว้ ย สวนและป่า ๑. ชีวกมั พวนั คือ สวนมะมว่ งของหมอชีวกโกมารภจั จ์ ไดถ้ วายเป็นสงั ฆาราม ดว้ ยศรทั ธาในพระพทุ ธเจา้ และปรารถนาจะเขา้ เฝ้ าวนั ละ ๒-๓ ครง้ั หมอชีวกโกมารภจั จซ่งึ บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั และเป็นแพทยป์ ระจาํ ประองคพ์ ระพทุ ธเจา้ ไดส้ รา้ งวดั ถวายในสวนมะมว่ งแห่งน้ีชวี กมั พวนั อยู่ในพระนครราชคฤห์ แควน้ มคธ ๒. ตโปทาราม สวนซ่ึงอยู่ใกลบ้ ่อนาํ้ พุรอ้ น ช่ือตโปทาอยู่ใกลภ้ ูเขาเวภารบรรพต ใกลพ้ ระนครราชคฤห์ แควน้ มคธ สถานทแ่ี หง่ น้ีพระพทุ ธเจา้ เคยทาํ นิมติ ตโ์ อภาสแก่พระอานนท์ ๓. ปาจนี วงั สทายวนั ป่าปาจนี วงั สทายวนั อยู่ในแควน้ เจตี เป็นท่ตี ง้ั สาํ นกั ของพระสารบี ตุ ร พระอคั รสาวก เบ้อื งขวาของพระพทุ ธเจา้ พระอนุรุทธะ พระมหาสาวกองคห์ น่ึงซ่งึ เป็นเจา้ ชายในศากยวงศ์ เรียนกรรมฐานไดบ้ รรลุ พระอรหตั ณ ทน่ี ้ี ๔. ปาวารกิ มั พวนั เป็นสวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี อยู่ในเมอื งนาลนั ทา ซ่งึ เป็นเมอื งเลก็ ๆ เมอื งหน่ึงใน แควน้ มคธ อยู่หา่ งจากพระนครราชคฤห์ ประมาณ ๑๖ กโิ ลเมตร ณ ทน่ี ้ีพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาประทบั แรมหลายครงั้ ๕. เภสกลาวนั เป็นป่าไมส้ เี สยี ด ใกลเ้มอื งสุงมารครี นี ครหลวงของแควน้ ภคั คะ ในพรรษาท่ี ๘ ภายหลงั จาก ทรงตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ประทบั จาํ พรรษาอยูท่ ่เี ภสกลาวนั ๖. ป่ ามหาวนั กรุงกบิลพสั ดุ์ เป็นป่าใหญ่ใกลน้ ครกบิลพสั ดุ์ แควน้ สกั กะ พระพุทธเจา้ เคยเสด็จไปทรง พกั ผ่อนระหว่างประทบั อยู่ท่นี ิโครธารามซ่งึ เป็นอารามท่พี ระญาติสรา้ งถวายพระพทุ ธเจา้ ใกลก้ รุงกบลิ พสั ดุเ์ ช่นกนั พระพทุ ธเจา้ ประทบั จาํ พรรษาท่ี ๑๕ ภายหลงั จากทรงตรสั รูท้ ่นี ิโครธาราม ๗. ป่ ามหาวนั นครเวสาลี เป็นป่าใหญ่ ใกลเ้มอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี ในพรรษาท่ี ๕ ภายหลงั จากทรงตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ ประทบั จาํ พรรษาอยู่ทก่ี ูฏาคารในป่ามหาวนั นครเวลาลี ณ ท่นี ้ี พระบรมศาสดาทรงอนุญาตใหม้ ภี กิ ษุณี สงฆข์ ้นึ เป็นครงั้ แรก ๘. มทั ทกจุ ฉิมิคทายวนั มคี วามหมายถงึ ป่าเป็นทอ่ี ภยั แก่เน้ือช่อื มทั ทกุจฉิ อยู่ทพ่ี ระนครราชคฤห์ แควน้ มคธ ณ ทน่ี ้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ นิมติ ตโ์ อภาสแก่พระอานนท์ ๙. มิคจิรวนั ป่ารกั ขิตวนั อยู่ในแดนบา้ นปาริเลยยกะ ใกลเ้ มืองโกสมั พี แควน้ วงั สะ ในพรรษาท่ี ๑๐ ภายหลงั จากทรงตรสั รูพ้ ระพทุ ธเจา้ เสด็จเขา้ ไปอาศยั อยู่ในป่ารกั ขติ วนั ดว้ ยทรงปลกี พระองคจ์ ากพระสงฆผ์ ูแ้ ตกกนั ณ โฆสติ าราม กรุงโกสมั พี พญาชา้ งปารเิ ลยกะคอยเฝ้าปรนนิบตั ริ บั ใชพ้ ระพทุ ธองค์ ในป่ารกั ขติ วนั

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๓๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ๑๑. ไร่ฝ้ าย ขณะพระพุทธเจา้ เสด็จแวะเขา้ ไปประทบั พกั อยู่ท่ีไร่ฝ้ ายแห่งหน่ึง คณะสหาย๓๐ คน ช่ือ คณะภทั ทวคั คียไ์ ดพ้ ากนั เขา้ มาท่ไี ร่ฝ้ ายแห่งน้ี เพ่อื เท่ยี วตามหาหญิงแพศยาผูล้ กั ห่อเคร่อื งประดบั หนีไปเมอ่ื ไดพ้ บ พระพทุ ธเจา้ และไดฟ้ งั เทศนาอนุปุพพิกถา (เทศนาท่แี สดงไปโดยลาํ ดบั เพ่อื ฟอกอัธยาศยั ของสตั วใ์ หห้ มดจดเป็น ชนั้ ๆ จากงา่ ยไปหายาก เพอ่ื เตรยี มจติ ของผูฟ้ งั ใหพ้ รอ้ มทจ่ี ะรบั ฟงั อรยิ สจั ) จากนน้ั พระพทุ ธองคท์ รงเทศนาอรยิ สจั ๔ (คือความจริงอย่างประเสริฐมี ๔ อย่างคือ ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค) คณะภทั ทวคั คีย์ ทง้ั ๓๐ คนไดด้ วงตาเห็น ธรรมแลว้ ขออปุ สมบท ๑๒. ลฏั ฐวิ นั สวนตาลหนุ่ม อยูท่ างทศิ ตะวนั ตกเฉียงใตข้ องพระนครราชคฤห์ เชิงภเู ขาปพั ภาระ แควน้ มคธ ณ กาลนน้ั เป็นตอนปลายของพรรษาท่ี ๑ ภายหลงั จากทรงตรสั รู้ พระเจา้ พมิ พสิ ารราชาผูค้ รองแควน้ มคธพรอ้ มดว้ ย ราชบรพิ าร ๑๑ นหตุ (๑ นหุต = ๑๐,๐๐๐ จงึ เป็นจาํ นวนหน่ึงแสนหน่ึงหมน่ื คน) เสด็จตอ้ งรบั พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ย หมู่ภิกษุสาวกซ่ึงเสด็จถึงพระนคร ราชคฤห์ ประทบั อยู่ ณ ลฏั ฐิวนั บรรดาราชบริพารเหล่าน้ียงั ไม่รูจ้ กั พระพทุ ธศาสนา จงึ แสดงอาการกรยิ าต่าง ๆกนั บางพวกถวายบงั คม บางพวกประนมมอื บางพวกกล่าววาจาปราศรยั บางพวกประกาศช่ือและโคตรของตน บางพวกน่ิงอยู่พระพุทธเจา้ จึงตรสั ถามนําพระอุรุเวลากสั สปะ ผูเ้ คยเป็น คณาจารยใ์ หญ่หวั หนา้ ชฏลิ สามพน่ี อ้ ง เป็นผูท้ ่ชี าวนครราชคฤหน์ บั ถอื มากพระพทุ ธองคท์ รงถามว่า ทาํ ไมจึงเลกิ บูชา ไฟ พระอรุ ุเวลกสั สปะกราบทูลประกาศความไมม่ แี ก่นสารแห่งลทั ธเิ ดิม บรรดาราชบริพารทราบแลว้ ก็เช่อื ถอื จึงตง้ั ใจ ฟงั พระธรรมเทศนาท่ีพระองคแ์ สดงพระเจา้ พิมพิสาร และราชบริพารจาํ นวนมาก เม่อื สดบั พระธรรมเทศนาได้ ธรรมจกั ษุ พระเจา้ พมิ พสิ ารประกาศพระองคเ์ ป็นอุบาสก ณ ทน่ี ้ี ๑๓. ลมุ พินีวนั เป็นสวนท่ปี ระสูตขิ องพระพทุ ธเจา้ ภายใตต้ น้ สาละใหญ่ ในเวลาใกลเ้ทย่ี ง เมอื วนั เพญ็ เดอื น ๖ วนั ศุกร์ ปีจอ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๘๐ ปี เป็นสงั เวชนียสถาน ๑ ใน ๔ แห่ง ตงั้ อยู่ระหว่างกรุงกบลิ พสั ดุ์ แควน้ สกั กะ และกรุงเทวทหะ แควน้ โกลยิ ะ (ปจั จบุ นั น้ี อยู่ในตาํ บล ลุมมนิ เด แขวงเปชวาร์ ในเขตประเทศเนปาล ห่างจากเขต แดนประเทศอินเดีย ไปทางเหนือประมาณ ๖ กโิ ลเมตร คร่งึ บดั น้ีเปลย่ี นชอ่ื ใหมเ่ ป็นสทิ ธารถนคร ๑๔. เวฬวุ นั เป็นป่าไผ่ สวนทป่ี ระพาสพกั ผ่อนของพระเจา้ พมิ พสิ ารราชาผูค้ รองแควน้ มคธ อยู่ไมใ่ กลไ้ ม่ ไกลจากพระนครราชคฤห์ เป็นทร่ี ่มร่นื สงบเงยี บ มที างไปมาสะดวก ภายหลงั จากพระเจา้ พมิ พสิ ารทรงสดบั พระธรรม เทศนาของพระพทุ ธเจา้ ไดธ้ รรมจกั ษุประกาศพระองคเ์ ป็นอบุ าสก ณ ลฏั ฐวิ นั พระเจา้ พมิ พสิ ารจึงทรงพระราชดาํ ริหา ทป่ี ระทบั ใหพ้ ระพุทธเจา้ ทรงเห็นว่าพระราชอทุ ยานเวฬุวนั สวนไม่ไผ่เหมาะสม จึงถวายเป็นสงั ฆาราม พระพุทธเจา้ ทรงรบั และประทานพทุ ธานุญาตใหภ้ กิ ษุรบั อารามท่ที ายกถวายได้ การถวายอารมเกดิ ข้นึ เป็นครงั้ แรก ณ ทน่ี ้ี นบั เป็น วดั แรกในพระพทุ ธศาสนา ๑๕. สกั กะ เป็นดงไมท้ อ่ี ยูใ่ นชมพทู วปี ตอนเหนือ แถบเทอื กเขาหมิ าลยั ในเขตป่าหมิ พานต์ ๑๖.สาลวโนทยาน สวนป่าไมส้ าละของมลั ลกษตั ริย์ ราชาผูค้ รองแควน้ มลั ละ ตงั้ อยู่ใกลเ้ มืองกุสินารา พระพทุ ธเจา้ ทรงดบั ขนั ธปรนิ ิพพานภายใตร้ ่มไมต้ น้ สาละใหญ่ ๒ ตน้ ในสาลวโนยาน ในยามคาํ้ ของวนั เพญ็ เดือน ๖ ปี มะเสง็ วนั สุดทา้ ยก่อนเรม่ิ พทุ ธศกั ราช ๑๗. หิมพานต์ ป่าหมิ พานตเ์ ป็นป่าใหญ่เชิงเขาหิมพานต์ ซ่งึ เป็นภูเขาสูงใหญ่ทางตอนเหนือของชมพูทวปี พระนาลกะ หน่ึงในพระมหาสาวก หลานชายของอสติ ดาบสออกบวชตามคาํ แนะนาํ ของลุง และไปบาํ เพญ็ สมณธรรม

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๔๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ รอการตรสั รูข้ องพระพุทธเจา้ ณ ป่าหมิ พานต์ ครนั้ พระพุทธเจา้ ตรสั รูแ้ ลว้ ไดม้ าทูลถามเร่ืองโมไนยปฏปทา (ขอ้ ปฏบิ ตั ธิ รรมทท่ี าํ ใหเ้ป็นปราชญ)์ และกลบั ไปบาํ เพญ็ สมณธรรมในป่าหมิ พานต์ ไดบ้ รรลุพระอรหตั แลว้ ดาํ รงอายุอยู่ อกี ๗ เดอื น กป็ รนิ ิพานในป่าแหง่ น้ี ๑๘. อนุปิ ยอมั พวนั สวนป้าไมม้ ะม่วง อนุปิยอมั พวนั อยู่ในเขตอนุปิยนิคม แขวง มลั ลชนบท พระมหา บุรุษเสด็จพกั แรม ณ ท่นี ้ี ๗ วนั ครง้ั วนั ท่ี ๘ จึงเสด็จดาํ เนินจากอนุปิยอมั พวนั เขา้ ไปบณิ ฑบาตในกรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ โดยกริ ยิ าสงบอยูใ่ นอาการสงั วร สมควรแก่ภาวะของสมณะเป็นทต่ี ง้ั แห่งความเลอ่ื มใสของทุกคนท่ไี ดเ้หน็ พวกราชบุรุษนาํ ความท่ีไดพ้ บเหน็ ไปกราบทูลพระเจา้ พิมพสิ าร มรี บั สงั่ ใหส้ ะกดรอยติดตามเพ่อื ทราบความเทจ็ จริง ของพรรพชติ เศษรูปน้ี ครน้ั ทรงสดบั ความจรงิ แลว้ พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงพระประสงค์ จะไดพ้ บกบั พระมหาบรุ ุษ ต่อมาเจา้ ชายศากยวงศ์ทงั้ ๖ คือพระภทั ทิยะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระภคั คุ พระกิมพิละ พระ เทวทตั และมอี ุบาลอี าํ มาตย์ ช่างกลั บก รวมเป็น ๗ พรอ้ มใจออกบรรพชา ไดอ้ อกบวช ณ สวนป่าไม้ มะม่วงอนุปิย อมั พวนั แหง่ น้ี ๑๙. อมั พปาลีวนั สวนทห่ี ญงิ แพศยาช่อื อมั พปาลี ถวายเป็นสงั ฆาราม ไมน่ านก่อนพทุ ธปรินิพพาน อยู่ใน เขตเมอื เวสาลี แควน้ วชั ชี (แพศยา หมายถงึ หญงิ หาเงนิ ในทางร่วมประเวณี หรอื โสเภณีในปจั จบุ นั ) ๒๐. อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั คือป่าทใ่ี หอ้ ภยั แก่เน้ือช่อื อิสปิ ตนะอยู่ใกลเ้มอื งพาราณสี แควน้ กาสี ณ ป่าแห่งน้ี พระพุทธเจา้ ไดท้ รงประกาศพระธมั มจกั กปั ปวตั นสูตร (พระสูตรว่าดว้ ยการยงั ธรรมจกั รใหเ้ ป็นไป)ประทานปฐม เทศนาแก่ปญั จวคั คีย์ ทงั้ ๕ รูป ในวนั เพญ็ เดือน ๘ พระรตั นตรยั คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไดเ้ กิดข้นึ บรบิ ูรณใ์ นกาลนน้ั ณ ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั หมวดว่าดว้ ย แม่น้า แมน่ าํ้ สายต่างๆ ในชมพูทวปี ในสมยั พทุ ธกาล ทม่ี คี วามเก่ยี วขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ และถกู บนั ทกึ ลงในพระ พทุ ธประวตั ิ ทน่ี าํ มาประมวลไว้ ณ ทน่ี ้ีมดี งั น้ี ๑. กิมิกาฬา พระมหาสาวกเมฆิยะ ผูเ้ คยเป็นพระอุปฏั ฐากของพระพุทธเจา้ คราวหน่ึงไดเ้ ห็นส่วน มะมว่ มริมฝงั่ แมน่ าํ้ กิมกิ าฬน่าร่นื รมยจ์ ึงขอลาพระพทุ ธเจา้ ไปบาํ เพญ็ เพียร ณ ท่นี นั้ พระพทุ ธเจา้ หา้ มไมฟ่ งั พระเมฆิ ยะไปบาํ เพญ็ เพยี รถกู อกศุ ลวติ กต่างๆ รบกวน ในท่สี ุดตอ้ งกลบั มาเฝ้าพระพทุ ธเจา้ ไดฟ้ งั พระธรรมเทศนาเร่อื งธรรม ๕ ประการสาํ หรบั บ่มเจโตวิมตุ ิ (การหลุดพน้ จากกิเลสดว้ ยอาํ นาจการฝึกจิตหรือดว้ ยกาํ ลงั สมาธิ) จึงไดส้ าํ เร็จพระ อรหตั ๒. กกุธานที ไหลผ่านดินแดนระหว่างเมอื งปาวากบั เมอื งกุสินาราแควน้ มลั ละ พระอานนทท์ ูลเชิญเสด็จ พระพุทธเจา้ เสด็จลงเสวยและชาํ ระพระกายท่ีตรากตราํ มาในระยะทางจากเมืองปาวาไปเมืองกุสินาราในวนั ท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ๓. คงคา เป็นแมน่ าํ้ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ เกิดท่ภี ูเขาหมิ พานต์ มคี วามยาวถงึ ประมาณ ๒,๕๐๐ กิโลเมตร ณ บรเิ วณ ลุ่มแม่นํา้ คงคากบั ยมุนาบรรจบกนั เป็นอาณาบริเวณท่ีอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งท่ีตง้ั ของนครและแว่นแควน้ ท่ีมี ความสาํ คญั ๕ สายทเ่ี รยี กว่า ปญั จมหานที บรรดาแควน้ ในมหาชนบท ๑๖ ทอ่ี ยูบ่ รเิ วณลมุ่ แมน่ าํ้ คงคามดี งั น้ี แควน้ องั คะ ตงั้ อยู่ปลายแมน่ าํ้ คงคา