Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๑๙๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ บรรลุมาตามลาดบั มรรค ทรงแทงตลอดพระพุทธคุณทงั้ ปวงดงั บนั ทกึ ท่ปี ราฏกในมชั ฌิมนิกาย มชั ฌิมปณั ณาสก์ โพธริ าชกมุ ารสูตร๗๗ ว่า ...หลงั จากเสวยอาหารหยาบใหร้ ่างกายมกี าลงั สงดั จากกามและอกุศลธรรมทงั้ หลายแลว้ บรรลุปฐมฌานท่ี มวี ติ ก วจิ าร ปีตแิ ละสุขอนั เกดิ จากวเิ วกอยู่ เพราะวติ กวจิ ารสงบระงบั ไป บรรลุทุติยฌานมคี วามผ่องใสในภายใน มี ภาวะทจ่ี ิตเป็นหน่ึงผุดข้นึ ไม่มวี ติ ก ไม่มวี จิ าร มแี ต่ปีติและสุขอนั เกิดจากสมาธอิ ยู่ เพราะปีติจางคลายไป มอี เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะเสวยสุขดว้ ยนามกาย บรรลตุ ตยิ ฌาน ทพ่ี ระอรยิ ะทงั้ หลายสรรเสรญิ ว่า ‘มอี ุเบกขา มสี ติ อยู่เป็นสุข’ เพราะละสุขและทกุ ขไ์ ด้ เพราะโสมนสั และโทมนสั ดบั ไปก่อนแลว้ บรรลุจตุตถฌาน ท่ไี ม่มที ุกขไ์ ม่มสี ุขมสี ตบิ รสิ ุทธ์ิ เพราะอเุ บกขาอยู่ เมอ่ื จติ เป็นสมาธิ บรสิ ุทธ์ิผุดผ่อง ไม่มกี ิเลสเพยี งดงั เนิน ปราศจากความเศรา้ หมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้ งาน ตงั้ มนั่ ไม่หวนั่ ไหวอย่างน้ี จึงนอ้ มจิตไปเพ่อื ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ญาณเป็นเหตุระลกึ ขนั ธท์ ีอ่ าศยั อยู่ใน ก่อนได,้ ระลกึ ชาตไิ ด้ : reminiscence of past lives) ระลกึ ชาติก่อนไดห้ ลายชาติ คือ ๑ ชาตบิ า้ ง ๒ ชาติบา้ ง ฯลฯ ระลกึ ชาตกิ ่อนไดห้ ลายชาตพิ รอ้ มทงั้ ลกั ษณะทวั่ ไปและชวี ประวตั ิอย่างน้ี ไดบ้ รรลุวชิ ชาท่ี ๑ น้ี ในปฐมยามแห่ง ราตรี๗๘ กาจดั อวชิ ชาไดแ้ ลว้ วชิ ชาก็เกิดข้นึ กาจดั ความมดื ไดแ้ ลว้ ความสว่างกเ็ กดิ ข้นึ เหมอื นบคุ คลผูไ้ ม่ประมาท มคี วามเพยี ร อทุ ศิ กายและใจอยู่ เมอ่ื จติ เป็นสมาธิ บรสิ ุทธ์ผิ ุดผ่อง ไมม่ กี ิเลสเพยี งดงั เนิน ปราศจากความเศรา้ หมอง อ่อน เหมาะแก่การใชง้ าน ตงั้ มนั่ ไมห่ วนั่ ไหวอย่างน้ี นอ้ มจติ ไปเพอ่ื จุตูปปาตญาณ (ญาณกาหนดรูจ้ ุติและอุบตั ิแห่ง สตั วท์ งั้ หลาย อนั เป็นไปตามกรรม, เหน็ การเวยี นว่ายตายเกดิ ของสตั วท์ งั้ หลาย เรียกอีกอย่างว่า ทพิ พจกั ขญุ าณ : knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance) เหน็ หมสู่ ตั วผ์ ูก้ าลงั จุติ กาลงั เกิด ทง้ั ชนั้ ตา่ และชน้ั สูงงามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไมด่ ี ดว้ ยตาทพิ ยอ์ นั บริสุทธ์เิ หนือมนุษย์ รูช้ ดั ถึงหม่สู ตั วผ์ ูเ้ป็นไปตามกรรม ฯลฯ ไดบ้ รรลุวชิ ชาท่ี ๒ น้ีในมชั ฌมิ ยามแห่งราตรี กาจดั อวชิ ชาไดแ้ ลว้ วชิ ชาก็เกิดข้นึ กาจดั ความมดื ไดแ้ ลว้ ความสว่างกเ็ กดิ ข้นึ เหมอื นบุคคลผูไ้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี ร อุทศิ กายและใจอยู่เมอ่ื จิตเป็นสมาธิ บรสิ ุทธ์ิผุดผ่อง ไมม่ กี เิ ลสเพยี งดงั เนิน ปราศจากความเศรา้ หมอง อ่อน เหมาะแก่การใชง้ าน ตง้ั มนั่ ไม่หวนั่ ไหวอย่างน้ี อาตมภาพนนั้ นอ้ มจิตไปเพ่อื อาสวกั ขยญาณ (ญาณหยงั่ รูใ้ น ๗๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๖/๔๐๕-๔๐๖. ๗๘ พระองคก์ ไ็ ดบ้ รรลญุ าณ ตามลาดบั แหง่ ราตรดี งั น้คี อื ๗๘ ๑. ปฐมยาม ยามแรก (เวลา ๑๘ - ๒๒ น.) ทรงบรรลบุ พุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณ คอื รูแ้ ละเขา้ ใจอดตี ชาตหิ นหลงั ของพระองคไ์ ดอ้ ย่างแจ่มแจง้ ๒. มชั ฌิมยาม ยามท่ีสอง (เวลา ๒๒ - ๐๒ น.) ทรงบรรลจุ ตุ ปู ปาตญาณ คอื ทรงรูแ้ ละเขา้ ใจเหตทุ ส่ี ตั วโ์ ลกตอ้ งเกดิ และตายมสี ภาพท่ี แตกต่างกนั ทงั้ รูแ้ จง้ การกาเนิดและเร่ืองของชวี ติ ๓. ปจั ฉิมยาม ยามท่ีสาม (เวลา ๐๒ - ๐๖ น.) ทรงบรรลอุ าสวกั ขยญาณ คอื ความรูค้ วามเขา้ ใจความส้นิ ไปของกิเลสอาสวะทง้ั หลาย คือ ทราบวา่ การทข่ี นั ธม์ าประชมุ กนั ข้นึ เป็นตวั เราตวั เขาน้ี กเ็ พราะความโงเ่ ขลา (อวชิ ชา) ความตอ้ งการ ความปรารถนาไมม่ ที ส่ี ้นิ สุด (ตณั หา) ความยดึ มนั่ ถอื มนั่ (อปุ าทาน) และการกระทาของเรา (กรรม) นนั่ เอง ทงั้ หมดน้ลี ว้ นแต่เป็นเหตแุ ละผลของกนั และกนั เหมอื นกบั สายโซ่ เรียกวา่ ปฏจิ จสมปุ บาท ทาให้ ถอนความหลงความเพลดิ เพลนิ ในเบญจขนั ธเ์ สยี ได้ และรูค้ วามจริงอนั ประเสริฐทพ่ี ระองคไ์ มเ่ คยไดท้ รงทราบมาจากเจา้ ลทั ธใิ ดมาก่อน เรยี กวา่ อรยิ สจั ๔ ประการ

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๙๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ธรรมเป็นทีส่ ้นิ ไปแห่งอาสวะทงั้ หลาย, ความรูท้ ีท่ าใหส้ ้นิ อาสวะ, ความตรสั รู ้ : knowledge of the destruction of mental intoxication) รูช้ ดั ตามความเป็นจรงิ ว่า ‘น้ีทกุ ข์ น้ีทกุ ขสมทุ ยั น้ีทุกขนิโรธ น้ีทุกขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา น้ีอา สวะ น้ีอาสวสมทุ ยั น้ีอาสวนิโรธ น้ีอาสวนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา’ เมอ่ื รูเ้หน็ อยู่อย่างน้ี จิตก็หลุดพน้ จากกามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ เมอ่ื จติ หลุดพน้ แลว้ กร็ ูว้ ่า ‘หลุดพน้ แลว้ ’ รูช้ ดั ว่า ‘ชาติส้นิ แลว้ อยู่จบพรหมจรรยแ์ ลว้ ทากจิ ท่คี วรทา เสรจ็ แลว้ ไมม่ กี จิ อ่นื เพอ่ื ความเป็นอยา่ งน้ีอกี ต่อไป’๗๙ บรรลวุ ชิ ชาท่ี ๓ น้ีในปัจฉิมยามแห่งราตรี กาจดั อวชิ ชาไดแ้ ลว้ วชิ ชาก็เกิดข้นึ กาจดั ความมดื ไดแ้ ลว้ ความสว่างก็เกดิ ข้นึ เหมอื นบคุ คลผูไ้ ม่ประมาท มคี วามเพยี ร อุทศิ กายและใจ อยู่ ๓.๓ การตรสั รูแ้ ละเหตกุ ารณ์หลงั ตรสั รู้ คาว่า ‚ตรสั รู‛้ (Enlightenment : to be enlightened ; attain enlightened) หรือ ‚โพธิญาณ‛ (Enlightenment ; Supreme Knowledge)๘๐ เป็นศพั ทท์ างพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ ‚การรูแ้ จง้ ‛ (รูอ้ ย่างแจ่มแจง้ รูอ้ ย่างชดั เจน) เป็นอาการของการเขา้ ถงึ ความจริง ใน ‚ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร‛ พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั อธิบายไวอ้ ย่าง ชดั เจนถงึ ความหมายและเงอ่ื นไขของ ‚การตรสั รูส้ มั มาสมั โพธญิ าณ‛ วา่ คอื การรูแ้ จง้ ซง่ึ ความจรงิ ทเ่ี รียกว่า ‚อรยิ สจั ‛ สิทธตั ถะโพธิสตั วไ์ ดต้ รสั รูเ้ ป็นอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ในเวลาท่ีแสงเงนิ แสงทองเร่ิมจบั ขอบฟ้ า รวม ระยะเวลาในการบาเพญ็ เพยี รตง้ั แต่ออกผนวชจนตรสั รูไ้ ด้ ๖ ปี ขณะทต่ี รสั รูพ้ ระองคม์ พี ระชนมายุ ๓๕ พรรษา หลงั ตรสั รู้ ไดเ้ปลง่ พทุ ธอทุ าน ดงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองคท์ รงปฏบิ ตั มิ าว่า “อเนกชาตสิ สาร สนฺธาวสิ ฺส อนิพพฺ สิ คหการ คเวสนฺโต ทกุ ขฺ า ชาติ ปนุ ปปฺ นุ คหการก ทฏิ โฺ ฐสิ ปนุ เคห น กาหสิ ิ สพพฺ า เต ผาสุกา ภคคฺ า คหกฏู วสิ งฺขต วสิ งฺขารคต จติ ต ตณฺหาน ขยมชฺฌคา” “เราแสวงหานายช่างผูส้ รา้ งเรือนคือตณั หา เมอ่ื ไมพ่ บ กต็ อ้ งท่องเทย่ี วไปตลอดชาตสิ งสารเป็นอนั มาก การเกดิ บอ่ ยๆ เป็นทกุ ข์ ดูก่อนนายช่างผูส้ รา้ งเรอื น คือตณั หา เราพบท่านแลว้ ทา่ นจกั สรา้ งเรือนแก่เรา อกี ไมไ่ ดแ้ ลว้ โครงสรา้ งเรอื นของทา่ น เรากห็ กั หมดแลว้ ๗๙ โส อทิ ทกุ ขฺ นฺติ ยถาภตู อพภฺ ญฺญาสึ ฯเปฯ อย ทกุ ฺขนโิ รธคามนิ ี ปฏปิ ทาติ ยถาภูต อพภฺ ญฺญาสึ อเิ ม อาสวาติ ยถาภูต อพภฺ ญฺญาสึ ฯเปฯ อย อาสวนิโรธคามนิ ี ปฏปิ ทาติ ยถาภูต อพภฺ ญฺญาสึ ฯ ตสฺส เม เอว ชานโต เอว ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺต วมิ จุ ฺจิตฺถ ภวาสวาปิ จิตฺต วมิ จุ ฺจติ ฺถ อวชิ ฺชา สวาปิ จิตฺต วมิ จุ ฺจิตฺถ วมิ ตุ ฺตสฺมึ วมิ ตุ ฺตมติ ิ ญาณ อโหสิ ขณี า ชาติ วุสติ พฺรหฺมจริย กต กรณีย นาปร อติ ฺถตฺตายาติ อพฺภญฺญาสึ ฯ อา้ งใน ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๐๘/๔๖๑. ๘๐ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓๖, (กรุงเทพมหานคร :สานกั พมิ พผ์ ธิ มั ม,์ ๒๕๕๙), หนา้ ๓๔๑.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๙๓ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ยอดเรอื นคืออวชิ ชา เรากร็ ้อื เสยี แลว้ จติ เราถงึ วสิ งั ขาร ปจั จยั ปรุงแต่งไมไ่ ด้ เพราะเราบรรลุธรรมท่ี ส้นิ ตณั หาแลว้ ” ทรงเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ หลงั จากตรสั รูอ้ นุตรสมั มาสมั โพธิญาณแลว้ พระองคป์ ระทบั เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข (วมิ ตุ ฺติสุขปฏสิ เวที คือการพบ สุขทเ่ี กดิ เพราะความหลุดพน้ จากกเิ ลส) อยู่ใตต้ น้ มหาโพธ์แิ ละบริเวณขา้ งๆ เป็นเวลา ๗ สปั ดาห์ อยู่ในท่ี ๗ แห่งๆ ละ ๗ วนั เรยี กวา่ “สตั ตมหาสถาน” คอื สถานทส่ี าคญั ๗ แห่งท่พี ระพทุ ธเจา้ เสด็จประทบั เสวยวมิ ตุ ติสุข หลงั จากไดต้ รสั รู้ ธรรมวเิ ศษแลว้ ดงั น้ี๘๑ สปั ดาหแ์ รก ประทบั นงั่ สมาธทิ ว่ี ชั รอาสนใ์ ตต้ น้ ศรมี หาโพธ์ิ ๗ วนั พระพทุ ธองคไ์ ดก้ าหนดนึกในใจ เพอ่ื พจิ ารณาทบทวน เรอ่ื งราว โดยตามลาดบั ตลอดปฐมยามแหง่ ราตรีนน้ั แลว้ ทรงเปลง่ อทุ านวา่ “ยทา หเว ปาตภุ วนฺติ ธมมฺ า อาตาปิโน ฌายโต พรฺ าหฺมณสฺส อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพพฺ า ยโต ปชานาติ สเหตธุ มมฺ นฺติ ฯ “ในการใดแล ธรรมทงั้ หลาย มาปรากฏแก่พราหมณ์ ผูม้ คี วามเพยี รเพ่งอยู่ ในกาลนนั้ ความสงสยั ทง้ั ปวง ของพราหมณผ์ ูน้ นั้ ย่อมส้นิ ไป เพราะมารูแ้ จง้ ธรรมพรอ้ มดว้ ยเหต”ุ ในเวลากลางคืน ทรงพจิ ารณาทบทวนปฏิจจสมปุ บาท แบบยอ้ นตามลาดบั คือพิจารณาจากปลายมาจุด เร่มิ แรกแลว้ มพี ทุ ธอุทานวา่ “ยทา หเว ปาตภุ วนฺติ ธมมฺ า อาตาปิโน ฌายโต พรฺ าหมฺ ณสฺส อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพพฺ า ยโต ขย ปจจฺ ยาน อเวทตี ิ ฯ “ในกาลใดแล ธรรมทงั้ หลายมาปรากฏแก่พราหมณผ์ ูม้ คี วามเพยี รเพ่งอยู่ ในกาลนน้ั ความสงสยั ทงั้ ปวงของ พราหมณย์ อ่ มส้นิ ไป เพราะไดร้ ูแ้ จง้ ความส้นิ ไปแห่งปจั จยั ทง้ั หลาย” ในปจั ฉิมยาม ทรงมนสกิ ารปฏจิ จสมปุ บาททง้ั ตามลาดบั และยอ้ นตามลาดบั แลว้ มพี ทุ ธอุทานข้นึ วา่ “ยทา หเว ปาตภุ วนฺติ ธมมฺ า อาตาปิโน ฌายโต พรฺ าหมฺ ณสฺส วธิ ูปย ตฏิ ฐฺ ติ มารเสน สุรโิ ยว โอภาสยมนฺตลกิ ขฺ นฺติ ฯ ๘๑ ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๔-๖/๘-๑๒., ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๑๙-๔๒๐.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๙๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง \"ในกาลใดแลธรรมทง้ั หลายมาปรากฏแก่พราหมณ์ผูม้ คี วามเพียรเพ่งอยู่ ในกาลนนั้ พราหมณ์ผูน้ นั้ ย่อม กาจดั มารและเสนามารเสยี ได้ ดุจพระอาทติ ยก์ าจดั มดื สอ่ งแสงสวา่ งอยู่ในอากาศ ฉะนนั้ \" ทรรศนะเร่อื งพราหมณ์ในพระพทุ ธศาสนา พราหมณ์ คอื ผูม้ ปี าปธรรมอนั ลอยท้งิ แลว้ (พาหติ ปาปธมมฺ ตตฺ า พรฺ หฺมโณ)๘๒ ในพระสุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต วาเสฏฐสูตร๘๓ อธบิ ายเกยี่ วกบั เรือ่ งพราหมณต์ ามแนวพทุ ธ ศาสนาเถรวาท ไวล้ ะเอยี ดว่า บคุ คลทเ่ี กดิ มาดที งั้ ๒ ฝ่าย คือทง้ั ฝ่ายมารดาและฝ่ายบดิ า ถอื ปฏสิ นธิบรสิ ุทธ์ดิ ีตลอดเจด็ ชวั่ บรรพบุรุษ ไม่ มใี ครจะคดั คา้ นตาหนิไดเ้ พราะอา้ งถึงชาติตระกูล เพราะเหตุดงั กล่าวมาน้ี บุคคลนนั้ จึงช่ือว่า พราหมณ์ (เป็น พราหมณโ์ ดยการเกดิ และตระกูล ตามคตศิ าสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู) บคุ คลเป็นผูม้ ศี ีล สมบูรณด์ ว้ ยวตั ร เพราะเหตดุ งั กลา่ วมาน้ีจงึ ชอ่ื วา่ พราหมณ์ ผูต้ ดั สงั โยชนไ์ ดห้ มดส้นิ ไมส่ ะดุง้ ผูล้ ว่ งพน้ กเิ ลสเคร่อื งขอ้ งได้ ผูป้ ราศจากโยคะ เราเรยี กวา่ พราหมณ์ ผูต้ ดั ชะเนาะ เชอื กหนงั และเงอ่ื นพรอ้ มทง้ั สายรดั ได้ ถอดลม่ิ สลกั เป็นผูต้ รสั รูแ้ ลว้ เราเรยี กวา่ พราหมณ์ ผูไ้ ม่ประทุษรา้ ย อดกลนั้ คาด่าการฆ่า และการจองจาไดม้ ขี นั ติเป็นพลงั มีขนั ติเป็นกาลงั พลเราเรียกว่า พราหมณ์ ผูไ้ ม่มกั โกรธ มีศีล มีวตั รไม่มตี ัณหาเคร่ืองฟูข้นึ ฝึกตนไดแ้ ลว้ มีสรีระเป็นร่างกายสุดทา้ ยเราเรียกว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดไม่ติดในกามทงั้ หลาย เหมอื นนา้ ไม่ติดอยู่บนใบบวั เหมอื นเมลด็ พนั ธุผ์ กั กาดไม่ตดิ อยู่บนปลายเหลก็ แหลม เราเรยี กผูน้ นั้ ว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดในธรรมวนิ ยั น้ี รูช้ ดั ความส้นิ ทกุ ขข์ องตน ปลงภาระไดแ้ ลว้ ปราศจากโยคะ เราเรยี กผูน้ นั้ ว่า พราหมณ์ ผูม้ ปี ญั ญาลกึ ซ้งึ เป็นนกั ปราชญ์ ฉลาดในทางและมใิ ช่ทางบรรลุประโยชนส์ ูงสุด เราเรยี กวา่ พราหมณ์ ผูไ้ ม่คลุกคลกี บั คน ๒ จาพวกคือ คฤหสั ถ์ และบรรพชิต ไม่มคี วามอาลยั เท่ยี วไป มคี วามปรารถนานอ้ ย เราเรยี กวา่ พราหมณ์ ผูใ้ ดละวางโทษทณั ฑใ์ นสตั วท์ งั้ หลาย ไมว่ ่าจะเป็นสตั วท์ ย่ี งั หวาดสะดุง้ และสตั วท์ ม่ี นั่ คง ไมฆ่ ่าเอง ไมใ่ ชใ้ หค้ นอ่นื ฆ่า เราเรยี กผูน้ นั้ วา่ พราหมณ์ ผูไ้ มม่ ่งุ รา้ ยในหม่คู นผูม้ งุ่ รา้ ย ผูส้ งบในหม่คู นผูช้ อบหาเร่อื งใส่ตน ผูไ้ ม่ถอื มนั่ ในหมคู่ นผูถ้ อื มนั่ เราเรียกว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดทาราคะ โทสะ โมหะ มานะ และมกั ขะใหต้ กไป เหมอื นเมลด็ พนั ธุผ์ กั กาดตกไปจากปลายเหลก็ แหลม เราเรยี กผูน้ นั้ ว่า พราหมณ์ ๘๒ ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๙. ๘๓ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๕๙๙-๖๖๑/๖๔๔-๖๕๔.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๑๙๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ผูก้ ลา่ วคาทไ่ี มห่ ยาบคาย สอ่ื ความหมายได้ เป็นคาจรงิ ไมเ่ ป็นเหตใุ หใ้ ครๆ ขดั เคือง เราเรยี กว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดในโลกน้ี ไมถ่ อื เอาส่งิ ของทเ่ี จา้ ของมไิ ดใ้ ห้ ไมว่ า่ ยาวหรอื สนั้ เลก็ หรอื ใหญ่ งามหรอื ไมง่ าม เราเรียกผูน้ นั้ วา่ พราหมณ์ ผูใ้ ดไมม่ คี วามหวงั ในโลกน้ีและโลกหนา้ ปราศจากความหวงั ปราศจากโยคะ เราเรยี กผูน้ น้ั ว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดไมม่ คี วามอาลยั หมดความสงสยั เพราะรูช้ ดั หยงั่ ลงสู่อมตะ บรรลแุ ลว้ เราเรยี กผูน้ นั้ ว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดในโลกน้ีละบญุ และบาปทงั้ สองได้ พน้ จากกิเลสเคร่อื งขอ้ งได้ ไมเ่ ศรา้ หมอง ปราศจากกิเลสดุจธุลี เป็น ผูบ้ รสิ ุทธ์ิ เราเรยี กผูน้ น้ั วา่ พราหมณ์ ผูบ้ รสิ ุทธ์ดิ ุจจนั ทรแ์ จ่ม มจี ติ ผ่องใส ไมข่ นุ่ มวั เป็นผูส้ ้นิ ความยนิ ดใี นภพ เราเรยี กว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดกา้ วพน้ ทางออ้ ม ทางหลม่ สงสาร และโมหะไดแ้ ลว้ ขา้ มไปถงึ ฝงั่ แลว้ เจรญิ ฌาน ไมห่ วนั่ ไหว หมดความสงสยั ดบั เยน็ เพราะไมถ่ อื มนั่ เราเรยี กผูน้ น้ั ว่า พราหมณ์ ผูใ้ ด ในโลกน้ีละกามไดแ้ ลว้ ออกบวชเป็นบรรพชิต เป็นผูส้ ้นิ กามและภพ เราเรยี กผูน้ น้ั ว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดในโลกน้ีละตณั หาไดเ้ดด็ ขาด ออกบวชเป็นบรรพชติ เป็นผูส้ ้นิ ตณั หาและภพ เราเรยี กผูน้ นั้ วา่ พราหมณ์ ผูล้ ะกิเลสเคร่ืองประกอบอนั เป็นของมนุษยไ์ ด้ ล่วงพน้ กิเลสเคร่ืองประกอบอนั เป็นทิพยไ์ ดแ้ ลว้ เป็นผู้ ปราศจากโยคะทงั้ ปวง เราเรยี กผูน้ นั้ วา่ พราหมณ์ ผูล้ ะทง้ั ความยนิ ดี และความไมย่ นิ ดี เป็นผูเ้ยอื กเยน็ หมดอปุ ธกิ เิ ลส ครอบงาโลกทง้ั หมด เป็นผูแ้ กลว้ กลา้ เราเรยี กผูน้ น้ั วา่ พราหมณ์ ผูใ้ ดรูก้ ารจตุ แิ ละการอุบตั ิ ของสตั วท์ งั้ หลายโดยประการทงั้ ปวง เราเรยี กผูน้ นั้ ซ่งึ เป็นผูไ้ มต่ ิดขอ้ ง ไปดีแลว้ และตรสั รูแ้ ลว้ วา่ พราหมณ์ ผูใ้ ดมคี ตทิ เ่ี ทวดา คนธรรพ์ และมนุษยก์ ร็ ูไ้ มไ่ ด้ เราเรยี กผูน้ นั้ ซง่ึ เป็นอรหนั ตขณี าสพว่า พราหมณ์ ผูใ้ ดไมม่ กี เิ ลสเคร่อื งกงั วลทงั้ ในอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต เราเรยี กผูน้ นั้ ซ่งึ เป็นผูไ้ มม่ กี เิ ลสเคร่อื งกงั วลหมด ความยดึ มนั่ ถอื มนั่ วา่ พราหมณ์ ผูอ้ งอาจ ผูป้ ระเสริฐ ผูแ้ กลว้ กลา้ ผูแ้ สวงหาคุณอนั ย่งิ ใหญ่ ผูช้ านะแลว้ ผูไ้ ม่หวนั่ ไหว ผูช้ าระแลว้ และผู้ ตรสั รูแ้ ลว้ เราเรยี กวา่ พราหมณ์ ผูใ้ ดระลกึ อดตี ชาตไิ ด้ เหน็ สวรรคแ์ ละอบาย บรรลุภาวะทส่ี ้นิ สุดการเกดิ เราเรยี กผูน้ นั้ ว่า พราหมณ์ อนั ท่ีจริง ช่ือและโคตรท่เี ขากาหนดใหก้ นั นั้น เป็นเพียงสมมติบญั ญตั ิในโลก ช่ือและโคตรปรากฏอยู่ได้ เพราะรูต้ ามกนั มา ญาตสิ าโลหติ กาหนดไวใ้ นการเกดิ นนั้ ๆ ช่อื และโคตรทก่ี าหนดเรียกกนั น้ี เป็นความเหน็ ท่ฝี งั แน่นอยู่ในใจมานานของคนผูไ้ มร่ ูค้ วามจรงิ เมอ่ื ไมร่ ูจ้ ึง กลา่ ววา่ บคุ คลเป็นพราหมณเ์ พราะชาตกิ าเนิด บคุ คลจะชอื่ วา่ เป็นพราหมณเ์ พราะชาตกิ าเนิดกห็ ามไิ ด้ จะชอื่ ว่ามใิ ช่พราหมณเ์ พราะชาติกาเกดิ ก็หามไิ ด้ แต่ ชอื่ วา่ เป็นพราหมณเ์ พราะกรรม ชอื่ ว่ามใิ ช่พราหมณเ์ พราะกรรม บคุ คลช่อื วา่ เป็นชาวนาเพราะกรรม ชอ่ื วา่ เป็นช่างศิลป์ เป็นพอ่ คา้ เป็นคนรบั ใช้ กเ็ พราะกรรม ชอ่ื วา่ เป็นโจร เป็นทหารอาชพี เป็นปโุ รหติ แมก้ ระทงั่ เป็นพระราชา กเ็ พราะกรรมทงั้ นน้ั

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๙๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ บณั ฑติ ผูม้ ปี กตเิ หน็ ปฏจิ จสมปุ บาท ฉลาดในกรรมและวบิ าก ย่อมเหน็ กรรมตามความเป็นจรงิ อย่างน้ี สตั วโ์ ลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สตั วเ์ ป็นไปตามกรรม สตั วท์ งั้ หลายมกี รรมเป็นเคร่ืองผูกพนั เปรียบ เหมอื นรถทแ่ี ลน่ ไปมหี มดุ เป็นเคร่อื งตรงึ ไว้ ฉะนนั้ บคุ คลจะเป็นพราหมณ์ กเ็ พราะกรรมอนั ประเสรฐิ น้ี คือ ตบะ พรหมจรรย์ สญั ญมะ ทมะ๘๔ สปั ดาหท์ ่สี อง อนิมสิ เจดีย-์ ทรงพระดาเนินไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ เมอ่ื ได้ ระยะพอควรกบั การทอดพระเนตร กท็ รงหนั กลบั พระพกั ตรม์ ายนื พจิ ารณาตน้ โพธ์ทิ ไ่ี ดต้ รสั รูน้ นั้ ทรงลมื พระเนตร โดยมไิ ดก้ ระพรบิ เลยตลอดสปั ดาห์ เพอ่ื ทบทวนความทรงจาต่อเหตกุ ารณ์ทผ่ี า่ นมาแลว้ โดยลาดบั ความหมนุ เวยี น ผนั แปรอนั เกดิ ข้นึ ตามอานาจของสงั ขารจกั รกม็ าหยุดลงแค่น้ี ตน้ มหาโพธ์ติ น้ น้ีเป็นทใ่ี หก้ าเนิดพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และพระสจั จธรรมอนั บริสุทธ์ิ สามารถชาระลา้ งกิเลสนานาชนิดของสตั วโ์ ลกไดอ้ ย่างศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ทรงพอพระทยั ในการ ตรสั รูน้ ้ีเป็นอยา่ งยง่ิ สถานท่นี ้ีจงึ เรยี กวา่ อนิมสิ เจดีย์ สปั ดาหท์ ส่ี าม เสดจ็ มาเดนิ จงกรมอยู่ ๗ วนั ตรงระหว่างกลางแห่งอนิมสิ เจดยี ก์ บั ตน้ ศรมี หาโพธ์ิ ทางดา้ น เหนือของวหิ าร ทต่ี รงนน้ั เขาก่อฐานปูนสูงข้นึ ประมาณ ๔ ฟตุ จากพ้นื ถนนแลว้ สลกั หนิ เป็นรูปดอกบวั โตพอประมาณ ๑๙ ดอก แสดงวา่ เป็นทางเดนิ จงกรมของพระพทุ ธองคเ์ รยี กว่า รตั นจงกรมเจดีย์ สปั ดาหท์ ่สี ่ี ประทบั อยูท่ างทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของตน้ โพธ์ิ เทวดาเนรมติ เรอื นแกว้ ข้นึ ทางทศิ เหนือของ ตน้ โพธ์ิ เสดจ็ นงั่ ขดั บลั ลงั กพ์ จิ ารณาพระอภธิ รรมตลอดเจด็ วนั สถานทน่ี ้ีเรยี กวา่ รตั นฆรเจดีย๘์ ๕ ในการพจิ ารณา อภธิ รรมนน้ั คือคมั ภรี แ์ รกช่อื ธมั มสงั คณี ต่อนนั้ กว็ ภิ งั ค์ ธาตกุ ถา บคุ คลบญั ญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก ต่อนน้ั พจิ ารณา อนนั ตนยสมนั ตปฏั ฐาน ซ่งึ ประเดน็ น้ีมขี อ้ ผดิ สงั เกตดงั ท่ปี รากฏในคมั ภรี ์ ปปญั จสูทนีอรรถกถา ปาสราสสิ ูตร๘๖ ตรงทขี่ ดี เสน้ ใตไ้ ว้ น่าจะเป็นไปไดว้ ่า ผดิ พลาดเลก็ นอ้ ย เพราะคมั ภรี ก์ ถาวตั ถปุ กรณ์ น้ีเกดิ ข้นึ ประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ ปีหลงั พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานไปแลว้ เป็นการรวบรวมลกั ษณะคาถามเก่ยี วกบั ความเห็นผดิ ต่างๆ และตอบแกโ้ ดยพระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สะเถระ ซง่ึ เป็นเหตุการณท์ ่เี กดิ ข้นึ ในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช จึงเป็นไปไมไ่ ดท้ ่พี ระพทุ ธเจา้ จะมาพจิ ารณาคมั ภรี น์ ้ี ตอนตรสั รูใ้ หม่ๆ ซง่ึ ความเขา้ ใจผดิ น่าจะเกิดจากการท่ผี ูร้ วบรวมเน้ือความในอรรถกถาปาสราสสิ ูตรน้ีซง่ึ เกดิ หลงั การ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ เขา้ ใจผดิ ว่า อภธิ รรมในพระสูตรหมายถงึ พระอภธิ รรมปิฎก ซง่ึ เป็นตารา ๗ เล่ม (คมั ภรี )์ ทเ่ี รยี บ ๘๔ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๕๙๙-๖๖๑/๖๔๔-๖๕๔. ๘๕ ตตฺถ ปลลฺ งฺเก นสิ ที ติ ฺวา อภธิ มมฺ ปิฏก วเิ สสโต เจตถฺ อนนฺตนย สมนฺตปฏฐฺ าน วจิ นิ นฺโต สตฺตาห วตี นิ าเมสิ ฯ อาภธิ มมฺ กิ า ปนาหุ รตน ฆรนฺนาม รตนมย เคห สตตฺ นฺน ปกรณาน สมมฺ สติ ฏฐฺ าน รตนฆรนฺติ ฯ ยสฺมา ปเนตฺถ อุโภเปเต ปริยายา ยุชฺชนฺติ ตสฺมา อภุ ยเมต คเหตพฺพเมว ฯ ตโต ปฏฺฐาย ปน ต ฐาน รตนฆรเจตยิ นฺนาม ชาตฯ อา้ งใน ข.ุ ชา.(บาล)ี ๒๘/๑๔๓. ๘๖ อถ ปลฺลงฺกสฺส ฐติ ฏฺฐานสฺส จ อนฺตรา ปรุ ตฺถมิ ปจฺฉิมโต อายเต รตนจงฺกเม จงฺกมนฺโต สตฺตาห วตี นิ าเมสิ ฯ ต ฐาน รตนจงฺกมเจติย นาม ชาต ตโต ปจฉฺ ิมทสิ าภาเค เทวตา รตนมยฆร มาปยสึ ุ ตตฺถ ปลลฺ งฺเกน นสิ ที ติ วฺ า อภธิ มมฺ ปิฏก วเิ สสโต เจตฺถ อนนฺตนยสมนฺตปฏฺฐาน วจิ ินนฺโต สตฺตาห วตี นิ าเมสิ ต ฐาน รตนฆรเจตยิ นาม ชาต ฯ เอว โพธิสมเี ปเยว จตฺตาริ สตตฺ าหานิ วตี ินาเมตฺวา ปญฺจเม สตฺตาเห โพธิรุกฺขมลู า เยน อชปาลนิโคฺรโธ เต นุปสงฺกมิ ฯ ตตรฺ าปิ ธมมฺ วจิ นิ นฺโตเยว วมิ ตุ ตฺ สิ ุขญฺจ ปฏสิ เวเทนฺโตนสิ ที ิ ธมมฺ วจิ นิ นฺโต เจตถฺ เอว อภธิ มมฺ นยมคฺค สมฺมสิ ปฐม ธมฺมสงฺคณีปกรณ นาม ฯ ตโต วภิ งฺคปปฺ กรณ ธาตกุ ถาปกรณ ปคุ ฺคลปญฺญตฺติปปฺ กรณ กถาวตฺถุ นาม ปกรณ ยมก นาม ปกรณ ตโต มหาปกรณ ปฏฺฐาน นามาติอา้ งใน ม.ม.ู อ (บาล)ี ๒/๓๐๙-๓๑๐. (มชฺฌมิ นกิ ายฏฐฺ กถา ปปญฺจสูทนี) สฺยามรฏฺฐเตปิฏก.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๑๙๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เรียงภายหลงั พุทธกาลแลว้ ไปขยายความว่า อภิธรรมท่พี ระพทุ ธเจา้ พิจารณาคือ ๗ คมั ภรี ์ โดยหารูไ้ ม่ว่าคมั ภีรก์ ถา วตั ถปุ กรณ์ เกิดหลงั พทุ ธกาล ซ่งึ ความจริงแลว้ คาว่าอภธิ รรมในพระสูตรนนั้ ไม่ไดห้ มายถึงพระอภธิ รรมปิฎกทเ่ี ป็น ตารา ๗ เล่ม แต่หมายถึงโพธิปกั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ หรือธรรมอนั เก้ือกูลใหเ้ กิดการตรสั รู๘้ ๗ ดงั มบี นั ทึกไวใ้ น มชั ฌิมนิกาย อุปริปณั ณาสก์ กนั ติสูตร๘๘ ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย เพราะเหตนุ น้ั ธรรมเหลา่ ใดท่เี ราแสดงแลว้ แก่เธอ ทงั้ หลายในท่ีน้ีดว้ ยความรูย้ ่ิง คือ สติปฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ เธอทง้ั หมดพงึ เป็นผูส้ ามคั คีกนั ร่วมใจกนั ไม่ววิ าทกนั ตงั้ ใจศึกษาในธรรมเหล่านน้ั แต่เมอ่ื เธอ ทงั้ หลายสามคั คีกนั ร่วมใจกนั ไม่ววิ าทกนั ศึกษาอยู่ จะพงึ มภี กิ ษุ ๒ พวกท่มี วี าทะต่างกนั ในอภธิ รรมบา้ ง ถา้ เธอ ทง้ั หลายมคี วามคิดในโพธปิ กั ขยิ ธรรม (ธรรมอนั เป็นฝกั ฝ่ายแห่งธรรมเคร่อื งตรสั รู)้ เหลา่ นนั้ อย่างน้ีว่า ‘ท่านเหล่าน้ีมี ความขดั แยง้ กนั โดยอรรถและมคี วามขดั แยง้ กนั โดยพยญั ชนะ‘ เธอทง้ั หลายพงึ เขา้ ใจบรรดาภกิ ษุเหลา่ นนั้ ว่า ภกิ ษุรูป ใดเป็นผูท้ ต่ี กั เตอื นไดง้ า่ ยกว่า ควรเขา้ ไปหาภกิ ษุรูปนนั้ แลว้ กล่าวอย่างน้ีว่า ‘ท่านทง้ั หลายมคี วามขดั แยง้ กนั โดยอรรถ และมคี วามขดั แยง้ กนั โดยพยญั ชนะ ขอทา่ นทง้ั หลายจงทราบความขดั แยง้ กนั น้ีนนั้ ว่า ‘เป็นความขดั แยง้ กนั โดยอรรถ และเป็นความขดั แยง้ กนั โดยพยญั ชนะ๘๙ ท่านทง้ั หลายอยา่ ถงึ กบั ววิ าทกนั เลย’ สปั ดาหท์ ่หี า้ เสดจ็ ขา้ มแมน่ า้ เนรญั ชราไปยงั ตน้ ไทรอชปาลนิโครธ ประทบั อยูเ่ จด็ วนั ขณะเสวยวมิ ตุ ตสิ ุขอยู่ ทรงราพงึ ถงึ บารมี ๑๐ ประการ (ทาน ศีล เนขมั มะ ปญั ญา วริ ยิ ะ ขนั ติ สจั จะ อธิษฐานะ เมตตา อเุ บกขา) มธี ดิ า พญามาร ๓ ตน คือ นางราคา นางอรตี และนางตณั หา ไดอ้ าสาพ่อเขา้ ไปประเลา้ ประโลมดว้ ยเสน่หก์ ามคุณต่างๆ นานา๙๐ พระองคก์ ลบั ไลไ่ ปเสยี แสดงถงึ บคุ ลกิ ลกั ษณะอนั ประเสรฐิ ของผูช้ นะตนไดแ้ ลว้ จะไมย่ อมกลบั เป็นผูแ้ พอ้ กี มบี นั ทกึ ในขทุ ทกนิกาย๙๑ธรรมบทวา่ “ยสฺส ชติ นาวชิยติ ชติ มสฺส โนยาติ โกจิ โลเก ๘๗ อภธิ รรม ในทน่ี ้ีหมายถงึ โพธิปกั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ “อภธิ มเฺ มติ อภวิ สิ ฏิ ฺเฐ ธมเฺ ม ฯ “อเิ มสุ สตฺตตึสโพธิปกฺขยิ ธมเฺ มสูติ อตฺโถ ฯ W ตตฺร เจติ อทิ มปฺ ิ โพธปิ กฺขยิ ธมเฺ มเสฺวว ภมุ มฺ ฯ อา้ งใน ม.อ.ุ อ. (บาล)ี ๙/๕๓๓. (ปปญฺจสูทนี ๓) สฺยามรฏฺฐอฏฺฐกถา. ๘๘ ดูรายละเอยี ดใน กนิ ตสิ ูตร ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๔-๓๕/๔๓-๔๕. ๘๙ ขดั แยง้ กนั โดยอรรถ หมายถงึ กลา่ วใหค้ วามหมายของคาต่างกนั เช่น สตปิ ฏั ฐาน หมายถงึ กาย สติปฏั ฐาน หมายถงึ เวทนา ส่วนขดั แยง้ กนั โดยพยญั ชนะ หมายถงึ กลา่ วคาศพั ทต์ ่างกนั เช่น สตปิ ฏฺฐาน สตปิ ฏฐฺ าโน สติปฏฺฐานา อา้ งถงึ (อตฺถโต เจว นาน พฺยญฺชนโต จ นานนฺติ เอตฺถ กาโยว สตปิ ฏฐฺ าน เวทนาว สตปิ ฏฐฺ านนฺติ วตุ ฺเต อตฺถโต นาน โหติ ฯ สตปิ ฏฺฐานาติ วุตฺเต ปน พยฺ ญฺชนโต นาน นาม โหติ ฯ) ใน ม.อุ.อ.(บาล)ี ๓/๕๓๓-๕๓๔. ปปญฺจสูทนี สฺยามรฏฐฺ อฏฺฐกถา. ๙๐ กริ ิยาอาการทธ่ี ดิ ามารแสดง เช่น เปล้อื งภูษาอาภรณ์ทรงออก แปลงร่างเป็นสาวรุ่นบา้ ง เป็นสาวใหญ่บา้ ง เป็นสตรีในวยั ต่างๆ บา้ ง แต่ พระพทุ ธเจา้ ผูท้ รงบริสทุ ธ์ิส้นิ เชงิ แลว้ ไมท่ รงแสดงพระอาการผดิ ปกติ แมแ้ ต่ลมื พระเนตรแลมอง เร่อื งธดิ าพระยามารประโลมพระพทุ ธเจา้ กเ็ ป็นปคุ คลาธิษฐาน ถอดความไดว้ า่ ทงั้ สามธิดาพระยามารนนั้ ลว้ นหมายถงึ กเิ ลสทงั้ นน้ั อยา่ งหน่ึง คอื ความยนิ ดี อกี อย่างหน่ึงคอื ความยนิ รา้ ยหรอื ความเกลยี ดชงั ความยนิ ดสี ่วนหน่ึงแยกออกเป็นตณั หาคือความอยากไดไ้ มม่ ที ่ีส้นิ สุด อกี ส่วนหน่ึงเป็น ราคาหรอื ราคะคอื ความใคร่หรอื กาหนดั ความเกลยี ดชงั หรือยนิ รา้ ยออกมาในรูปของอรดี อรดใี นท่นี ้ีคอื ความริษยา ความท่วี ่าพระพทุ ธเจา้ ไม่ทรงแสดง พระอาการผดิ ปกติ แมแ้ ต่ทรงลมื พระเนตรนน้ั ก็หมายถงึ ว่าพระพทุ ธเจา้ อยู่ห่างไกลจากกเิ ลสดงั กลา่ วมาโดยส้นิ เชงิ นนั่ เอง (ภควา เนว ตาส วจนมนสิ อกาสิ น อกขฺ นี ิ อมุ มฺ เิ ลตวฺ า โอโลเกสิ อปุ ธิสงฺขเย วมิ ตุ ตฺ มานโส วเิ วกสขุ ญฺ เจว อนุภวนฺโต นิสที )ิ อา้ งใน ข.ุ ชา.อ. ๒๘/๑๔๔-๑๔๕. ๙๑ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๙-๑๘๐/๘๙. คาวา่ “ร่องรอย” ในทน่ี ้หี มายถงึ กเิ ลสมรี าคะเป็นตน้ (ข.ุ ธ.อ. ๖/๖๐. คาวา่ “วสิ ตั ตกิ า” หมายถงึ ตณั หาท่ี ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ อา้ งใน ข.ุ ธ.อ. ๖/๖๐.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๙๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ต พทุ ธฺ มนนฺตโคจร อปท เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ ยสฺส ชาลนิ ี วสิ ตตฺ ิกา ตณฺหา นตถฺ ิ กหุ ญิ ฺจิ เนตเว ต พทุ ธฺ มนนฺตโคจร อปท เกน ปเทน เนสฺสถาติ๙๒ “กิเลสท่ีพระพุทธเจา้ พระองคใ์ ดทรงชนะแลว้ พระองคจ์ ะไม่ทรงกลบั แพอ้ ีก กิเลสสกั นอ้ ยหน่ึงในโลกไม่ ติดตามพระองคผ์ ูช้ นะไดแ้ ลว้ พวกท่านจกั นาพระพุทธเจา้ พระองคน์ น้ั ผูม้ พี ระญาณหาท่สี ุดมไิ ด้ ผูไ้ มม่ รี ่องรอย ไป ดว้ ยร่องรอยอะไรเลา่ ‛ ‚ตณั หาดุจตาขา่ ย ช่อื ว่า วสิ ตั ตกิ า ไมม่ แี ก่พระพทุ ธเจา้ พระองคใ์ ด เพอ่ื นาไปในภพไหนๆพวก ท่านจกั นาพระพทุ ธเจา้ พระองคน์ น้ั ผูม้ พี ระญาณหาทส่ี ุดมไิ ด้ ผูไ้ มม่ รี ่องรอย ไปดว้ ยร่องรอยอะไรเลา่ ‛ สปั ดาหท์ ห่ี ก ทรงเสดจ็ เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ทส่ี ระมจุ ลนิ ท์ (มจุ ลนิ ท๙์ ๓ เป็นชอ่ื ตน้ ไมช้ นิดหน่ึงคอื ไมจ้ กิ ปจั จบุ นั ทงั้ สระนา้ มจุ ลนิ ทแ์ ละตน้ มจุ ลนิ ทไ์ มม่ ใี หเ้หน็ แลว้ มแี ต่สระมจุ ลนิ ทจ์ าลองท่สี รา้ งไวใ้ กลๆ้ อาณาบริเวณวหิ ารเจดีย์ พทุ ธคยา ทงั้ น้ีเพอ่ื กนั ลมื สระดง้ั เดมิ ) และเพราะตน้ มจุ ลนิ ทข์ ้นึ อยู่รมิ สระแหง่ นน้ั จงึ มชี อ่ื วา่ สระมจุ ลนิ ท์ เมอ่ื พระองค์ ประทบั เสวยวมิ ตุ ตสิ ุขได้ ๗ วนั ทใ่ี ตต้ น้ อชปาลนิโครธแลว้ ไดเ้สดจ็ มาประทบั ทใ่ี ตต้ น้ จกิ รมิ สระน้ี ตอนนน้ั เกดิ ฝนตก หนกั เจอื ดว้ ยลมหนาว ฝนตกพราอยู่เจด็ วนั เจด็ คนื รอ้ นถงึ พญานาคซง่ึ อาศยั อยู่ในสระน้ี ข้นึ มาขดตวั เจด็ รอบแลแผ่ พงั พานเพอ่ื จะป้องกนั ฝนและลมมใิ หถ้ กู พระวรกาย (น้ีเป็นกาเนิดของพระพทุ ธรูปางนาคปรก) ครน้ั ลว่ งไป ๗ วนั พระผูม้ พี ระภาคทรงออกจากสมาธินนั้ พญานาคมจุ ลนิ ทร์ ูว้ ่าฝนหาย ปลอดเมฆแลว้ จึง คลายขนดออกจากพระวรกายของพระผูม้ พี ระภาคจาแลงร่างของตนเป็นมาณพ ยืนประนมมอื ถวายอภวิ าทอยู่ ณ เบ้อื งพระพกั ตรข์ องพระผูม้ พี ระภาค ลาดบั นนั้ พระผูม้ พี ระภาคทรงทราบเน้ือความนน้ั แลว้ จงึ ทรงเปล่งอทุ านน้ีใน เวลานนั้ ว่า สตุ ธมมฺ สสฺ ปสฺสโต “สโุ ข วิเวโก ตฏุ ฺ สฺส อพฺยาปชฌฺ ํ สุขํ โลเก ปาณภเู ตสุ สญฺญโม สขุ า วริ าคตา โลเก อสฺมิมานสฺส โย วินโย กามานํ สมตกิ ฺกโม เอตํ เว ปรมํ สุขนฺติ๙๔ ฯ “วเิ วก เป็นความสุขของผูส้ นั โดษ ผูม้ ธี รรมปรากฏแลว้ ผูเ้หน็ อยู่ ความไมเ่ บยี ดเบยี นคือความสารวมในสตั วท์ งั้ หลาย เป็นสุขในโลก ความเป็นผูป้ ราศจากราคะคือความลว่ งกามทงั้ หลายได้ เป็นสุขในโลก ความกาจดั อสั มมิ านะได้ เป็นสุขอย่างยง่ิ ‛๙๕ ๙๒ ข.ุ ธ.๒๕/๒๔/๓๙. ๙๓ มจุ ลินท์ เรียกอกี ช่อื หน่ึงวา่ นิจุละ คอื ตน้ จกิ นา(นีปะ) ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ ‚The Tree Barringtonai Acutangula‛ ตน้ มจุ ลนิ ทน์ ้ี เป็นเจา้ แห่งไมใ้ นป่า “ เกจิ ปน มจุ ฺจโลติ ตสฺส รุกฺขสฺส นาม ต วนเชฏฺฐกตาย ปน มจุ ฺจลนิ ฺโทติ วุตฺตนฺติ ฯ อา้ งใน ข.ุ อุ.อ.(บาล)ี ๑๙/๑๕๐. (ปรมตฺถทปี นี ๑/๑๕๐) ๙๔ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๕๑/๘๖., ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๖.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๑๙๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สปั ดาหท์ เ่ี จด็ ในสปั ดาหท์ ่ี ๗ สปั ดาหส์ ุดทา้ ยหลงั จากตรสั รูอ้ นุตรสมั มาสมั โพธญิ าณแลว้ พระพทุ ธองคท์ รง เสด็จประทบั เสวยวมิ ตุ ติสุข ณ ใตต้ น้ ราชายตนะ (ตน้ เกด๙๖ หรือตน้ ไมท้ ่อี ยู่แห่งพระราชา) ซง่ึ อยู่ทางทศิ ใตข้ องตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ เป็นเวลาอีก ๗ วนั แลว้ จงึ ทรงออกจากฌานสมาบตั หิ รอื สมาธิ ทา้ วสกั กเทวราช ทรงทราบว่านบั แต่ พระพุทธองคต์ รสั รูม้ า ๗ สปั ดาห์ รวม ๔๙ วนั ในระหว่างน้ี พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ไม่มีการบว้ นพระโอฐ ไม่มกี าร ปฏบิ ตั สิ รรี กจิ ไมม่ กี ารเสวยพระกระยาหาร ทรงยบั ยงั้ อยู่ดว้ ยสุขในผลอย่างเดียว จงึ นาไมส้ พี ระทนต์ ช่อื ‚นาคลดา‛ พรอ้ มนา้ จากสระอโนดาต และผลสมออนั เป็นทพิ ยโอสถจากเทวโลกมานอ้ มถวายในวนั ท่ี ๔๙ วนั สุดทา้ ยแห่ง ๗ สปั ดาห์ ประทบั นงั่ ณ โคนตน้ ราชายตนะ นนั้ นนั่ แล๙๗ในตอนเชา้ ของวนั ข้นึ ๖ คา่ เดอื น ๘ หรือเดือนอาสาฬหะ พระ พทุ ธองคไ์ ดท้ รงใชไ้ มส้ พี ระทนต์ บว้ นพระโอษฐ์ สรงพระพกั ตรด์ ว้ ยนา้ จากสระอโนดาตท่ที า้ วสกั กเทวราชนอ้ มถวาย รวมทงั้ ทรงเสวยผลสมอ เหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ระหว่างควงตน้ ราชายตนะ (ไมเ้ กต)ุ ในชาตกฏั ฐกถา เอกนิบาตวรรณนา สนั ติเกนิทาน๙๘ บนั ทึกไวว้ ่า ณ ท่รี าชายตนะน้ีเอง ไดม้ ีพ่อคา้ ๒ คน ช่อื ตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ พรอ้ มกองเกวยี น ๕๐๐ เดนิ ทางไกลจากอุกกลชนบทมาถงึ มชั ฌิมชนบททน่ี น้ั ขณะนนั้ เทวดา ผูเ้ป็นญาตริ ่วมสายโลหติ ของตปสุ สะและภลั ลกิ ะพ่อคา้ ทง้ั สอง ไดก้ ลา่ วว่า ‚ท่านผูน้ ิรทุกข์ พระผูม้ พี ระภาคพระองคน์ ้ี เม่อื แรกตรสั รูป้ ระทบั อยู่ ณ ควงตน้ ราชายตนะ ท่านทงั้ สองจงไปตอ้ นรบั พระองคด์ ว้ ยขา้ วตูผงและขา้ วตูกอ้ น ปรุง ดว้ ยนา้ ผ้งึ เถดิ การบูชาของทา่ นทงั้ สองจกั เป็นไปเพอ่ื ประโยชนส์ ุขส้นิ กาลนาน‛ ต่อมา ตปุสสะและภลั ลกิ ะ ไดถ้ ือขา้ วตูผงและขา้ วตูกอ้ น ปรุงดว้ ยนา้ ผ้งึ เขา้ ไปเฝ้ าพระผูม้ พี ระภาค ถวาย อภิวาทแลว้ ยืนอยู่ ณ ท่สี มควร กราบทูลว่า ‚พระองคผ์ ูเ้ จริญ ขอพระองคโ์ ปรดทรงรบั ขา้ วตูผลและขา้ วตูกอ้ นปรุง ดว้ ยนาผ้งึ ซง่ึ จะเป็นไปเพอ่ื ประโยชนส์ ุขส้นิ กาลนานแก่ขา้ พระองคท์ งั้ สองเถดิ ‛ ๙๕ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๑/๑๙๐. คาวา่ “วเิ วก” ในทน่ี ้หี มายถงึ นิพพานทส่ี งดั จากอปุ ธิกเิ ลส “สโุ ข วเิ วโกติ นพิ พฺ านสงฺขาโต อปุ ธิวเิ วโก สโุ ข ฯ คา วา่ “ผูส้ นั โดษ” ในทน่ี ้หี มายถงึ ผูส้ นั โดษในมคั คญาณ ๔ คอื โสดาปตั ตมิ คั คญาณ สกทาคามมิ คั คญาณ อนาคามมิ คั คญาณ อรหตั ตมคั คญาณ “ตุฏฺฐสฺสา ติ จตมุ คฺคญาณสนฺโตเสน ตฏุ ฺฐสฺส ฯ คาวา่ “ผูเ้ หน็ อยู่” คอื ผูเ้หน็ วเิ วกคอื นิพพานดว้ ยญาณจกั ษุ “ปสฺสโตติ ต วเิ วก ย วา กิญฺจิ ปสฺสติ พพฺ นาม ต สพพฺ อตตฺ โน วรี ยิ พลาธคิ เตน ญาณจกขฺ นุ า ปสฺสนฺตสฺส ฯ คาวา่ ‚ผูไ้ ม่เบยี ดเบยี น” คอื ผูม้ จี ติ ไมก่ าเรบิ เพราะอานาจเมตตา ‚อพยฺ าปชฺฌนฺติ อกปุ ปฺ นภาโว เอเตน เมตตฺ าปพุ พฺ ภาโค ทสฺสโิ ต ฯ คาวา่ “ผูส้ าเร็จในสตั วท์ ง้ั หลาย” คอื ผูส้ ารวมระวงั ดว้ ยการไม่เบยี ดเบยี นสตั ว์ ‘ปาณภูเตสุ สยโมติ สตฺเตสุ จ สยโม อวหิ สึ น ภาโว ฯ คาว่า “สุข” คือความกรุณาเจตสกิ ‚สุโขติ อตฺโถ เอเตน กรุณาปุพพฺ ภาโค ทสฺสโิ ต ฯ คาว่า ความลว่ งกามทงั้ หลายได้ หมายถงึ อนาคามมิ รรค ความกาจดั อสั มมิ านะ หมายถงึ อรหตั ต์ ‘กีทสิ ี กามาน สมตกิ ฺกโมติ ยา กามาน สมตกิ ฺกโมตวิ ุจฺจติ สา วคิ ตราคตาปิ สุขาติ อตฺโถ เอเตน อนาคามมิ คฺโค กถโิ ต) อา้ งใน ข.ุ อ.ุ อ.(บาล)ี ๑๙/๑๕๒. (ปรมตถฺ ทปี น.ี ๑/๑๕๒-๑๕๓) ๙๖ ราชายตนะ แปลกนั วา่ ตน้ เกด ช่อื ภาษาองั กฤษวา่ ‚Buchania Latifolia‛ และอธิบายเพม่ิ เติมวา่ เป็นตน้ ไมห้ ลวง เป็นทส่ี งิ สถติ ของเทพ แหง่ นางไมท้ งั้ หลาย ๙๗ ….ตตฺถาปิ สตฺตาห วมิ ตุ ฺติสุขปฏสิ เวทเี ยว นิสที ิ ฯ เอตฺตาวตา สตฺตาหานิ ปริปณุ ฺณานิ ฯ เอตฺถนฺตเร เนว มขุ โธวน น สรีรปฏชิ คฺคน น อาหารกจิ จฺ อโหสิ ฯ ฌานสเุ ขน มคฺคสเุ ขน ผลสุเขน จ วตี นิ าเมสิ ฯ อถสฺส ตสฺมึ สตตฺ สตฺตาหมตถฺ เก เอกูนปญฺญาสมทวิ เส ตตถฺ นสิ นิ ฺนสฺส มขุ โธวสิ ฺสามี ติ จติ ฺต อทุ ปาทิ ฯ สกโฺ ก เทวานมนิ ฺโท อตตฺ นา หรตี ก อาหรติ ฺวา อทาสิ ฯ สตฺถา ต ปริภญุ ฺชิ ฯ เตนสฺส สรรี วลญฺช อโหสิ ฯ อถสฺส สกฺโกเยว นาคลตาทนฺ ตกฏฐฺ ญฺเ จว มขุ โธวนอทุ กญฺ จ อทาสิ ฯ สตฺถา ทนฺตกฏฺฐ ขาทติ วฺ า อโนตตฺตทหอทุ เกน มขุ โธวติ ฺวา ตตฺเถว ราชายตนมูเล นิสที ิ ฯ อา้ งใน ข.ุ ชา.อ.(บาล)ี ๒๘/๑๔๖. ๙๘ ข.ุ ชา.อ.(บาล)ี ๒๘/๑๔๗-๑๔๘.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๐๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ขณะนนั้ พระผูม้ พี ระภาคไดท้ รงดารวิ ่า ‚พระตถาคตทง้ั หลาย ไมท่ รงรบั ภตั ตาหารดว้ ยพระหตั ถเ์ ลย เราจะ พงึ รบั ขา้ วตผู งและขา้ วตูกอ้ นปรุงดว้ ยนา้ ผ้งึ อย่างไรหนอ‛ ทนั ใดนน้ั ทา้ วมหาราชทงั้ ๔ ทราบความดารใิ นพระทยั ของ พระผูม้ พี ระภาคดว้ ยใจของตนๆ จงึ นาบาตรศิลา ๔ ใบมาจาก ๔ ทศิ เขา้ ไปถวายแลว้ ทูลว่า ‚ขอพระองคโ์ ปรดทรงรบั ขา้ วตผู งและขา้ วตกู อ้ นปรุงนา้ ผ้งึ ดว้ ยบาตรน้ีเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ พระผูม้ พี ระภาคทรงรบั ขา้ วตูผงและขา้ วตูกอ้ นปรุง ดว้ ยนา้ ผ้งึ ดว้ ยบาตรศิลาใหมเ่ อ่ยี มแลว้ เสวย ต่อมา ตปุสสะและภลั ลกิ ะ ไดก้ ราบทูลว่า ‚พระองคผ์ ูเ้ จริญ ขา้ พระองคท์ งั้ สองน้ี ขอถงึ พระผูม้ พี ระภาค พรอ้ มทงั้ พระธรรมเป็นสรณะ ขอพระองคโ์ ปรดทรงจาขา้ พระองคท์ ง้ั สองว่าเป็นอบุ าสกผูถ้ งึ สรณะตง้ั แต่วนั น้ีเป็นตน้ ไป จนตลอดชีวิต‛ ดงั นนั้ ตปุสสะและภลั ลกิ ะนนั้ ไดเ้ ป็นเทฺววาจิกอุบาสก (ผูก้ ล่าววาจาถงึ รตั นะ ๒ ว่าเป็นสรณะ) เป็นพวกแรกในโลกแล ในชาตกฏั ฐกถา เอกนิบาตวรรณนา สนั ติเกนิทาน๙๙ บนั ทึกว่าพระพุทธองคเ์ สวยขา้ วสตั ตุแลว้ ทรง อนุโมทนาในความศรทั ธาของสองพ่อคา้ พานิชคือตปุสสะกบั ภลั ลกิ ะ หลงั จากปฏญิ าณตนเป็นเทววาจิกาแลว้ พ่อคา้ ๒ คนนนั้ ไดท้ ูลขอส่ิงของท่ีระลกึ อย่างหน่ึงจากพระพุทธเจา้ เพ่ือทาเป็นสถานท่ีควรแก่การเคารพบารุงบูชา (ปริจา รติ พพฺ ฏฐฺ าน) พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงลูบพระเกศาองพระองคเ์ องดว้ ยพระหตั ถข์ วา แลว้ มอบเกศาธาตุใหพ้ ่อคา้ ทง้ั ๒ ไป เป็นการฉลองความศรทั ธาของเขา พอ่ คา้ ชาวเมอื งอกุ กลาชนบท (สนั นิษฐานว่าเป็นชาวเมยี นมาร)์ ไดน้ าพระเกศาธาตุ (๘ เสน้ ) กลบั ไปทบ่ี า้ นเกดิ ของตนเองและสรา้ งพระเจดยี ใ์ ส่เก็บไวข้ า้ งใน สนั นิษฐานกนั ว่า พ่อคา้ พานิช ๒ คน คือ ตปุสสะ กบั ภลั ลกิ ะ กลบั ไปเมืองย่างกุง้ พอถึงพม่าไดม้ ีพิธี สมโภชเสน้ พระเกศาน้ีหลายวนั หลายคนื และไดจ้ ดั สรา้ งพระเจดยี ช์ ะเวดากอง บรรจุพระเกศาธาตุ มาจนถงึ ตราบเท่า ทกุ วนั น้ี (ในทางประวตั ศิ าสตร์ พมา่ ไดไ้ ปมาคา้ ขายกบั อนิ เดยี มาชา้ นานแลว้ พอออกพรรษานา้ หยุดท่วมนอง ชาวพมา่ จะบรรทกุ ของใสเ่ กวยี นมาแลกสนิ คา้ กบั อนิ เดยี กลบั ไปกลบั มาอยู่เป็นประจา) ทรงมีความขวนขวายนอ้ ย๑๐๐ ลาดบั นนั้ พระศาสดาเสด็จไปตน้ อชปาลนิโครธอีกประทบั นงั่ ณ โคนตน้ นิโครธ พอประทบั นงั่ ณ ท่ีนน้ั เท่านนั้ ทรงพจิ ารณาว่า “ธรรมทีท่ รงบรรลุนนั้ ลุ่มลกึ ก็เกิดพระปริวติ กทีพ่ ระพุทธเจา้ ทุกพระองคท์ รงปฏบิ ตั ิมา ถงึ อาการคอื ความมพี ระพทุ ธประสงคจ์ ะไม่ทรงแสดงธรรมโปรดผูอ้ นื่ ” โดยมบี นั ทกึ วา่ ‚‘ธรรม ทีเ่ ราไดบ้ รรลุแลว้ น้ี ลกึ ซ้งึ เหน็ ไดย้ าก รูต้ ามไดย้ าก สงบ ประณีต ไม่เป็นวสิ ยั แห่งตรรกะ ละเอยี ด บณั ฑติ (เท่านนั้ ) จึงจะรูไ้ ด้ ส่วนหมูป่ ระชาผูร้ ืน่ รมยด์ ว้ ยอาลยั ยนิ ดีในอาลยั เพลดิ เพลนิ ในอาลยั ฐานะทหี่ มู่สตั วผ์ ู ้ รืน่ รมยด์ ว้ ยอาลยั ยนิ ดีในอาลยั เพลดิ เพลนิ ในอาลยั น้ีย่อมเป็นสงิ่ ทีเ่ หน็ ไดย้ าก กลา่ วคือหลกั อิทปั ปจั จยตา(ความที่ มสี งิ่ นนั้ สงิ่ น้ีเป็นปจั จยั ของสงิ่ น้ี) หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท (การทีส่ งิ่ ทงั้ หลายอาศยั กนั ๆ จงึ เกิดม)ี ถงึ แมฐ้ านะอนั น้ีกเ็ ป็น สิง่ ทีเ่ หน็ ไดย้ ากนกั กล่าวคือความสงบแห่งสงั ขารทงั้ ปวง ความสลดั ท้ิงอุปธิทงั้ ปวง ความส้นิ ตณั หา วริ าคะ นิโรธ ๙๙ ดูรายละเอยี ดใน ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๒๘/๑๔๗-๑๔๘. ภควา ตสฺมึ ปจจฺ กฺเข เสลมเย ปตฺเต อาหาร ปฏคิ ฺคณฺหติ วฺ า ปริภญุ ฺชติ วฺ า อนุโมทน อกา สิ ฯ เทฺว ภาตโร วาณิชา พทุ ฺธญฺจ ธมมฺ ญฺจ สรณ คนฺตฺวา เทฺววาจกิ า อุปาสกา อเหสุ ฯ อถ เนส ‘เอกนฺโน ภนฺเต ปริจาริตพฺพฏฺฐาน เทถาติ วทนฺตาน ทกฺขณิ หตเฺ ถน อตฺตโน สสี ปรามสติ ฺวา เกสธาตโุ ย อทาสิ ฯ เต อตฺตโน นคเร เกสธาตโุ ย อนฺโต ปกขฺ ปิ ิตวฺ า เจตยิ ปตฏิ ฺฐาเปสุ ฯ ๑๐๐ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๗/๔๐๗.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๒๐๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ นิพพาน กถ็ า้ เราจะพงึ แสดงธรรมและผูอ้ นื่ จะไมเ่ ขา้ ใจซ้งึ ต่อเรา ขอ้ นนั้ ก็จะพงึ เป็นความเหน็ดเหนือ่ ยเปล่าแก่เรา จะ พงึ เป็นความลาบากเปล่าแก่เรา’๑๐๑ อน่ึงเลา่ คาถาอนั น่าอศั จรรยเ์ หลา่ น้ีท่ไี มเ่ คยสดบั มาก่อน ไดป้ รากฏแก่เราว่า ‘บดั น้ี เรายงั ไมค่ วรประกาศธรรมทเี่ ราบรรลุ ดว้ ยความลาบาก เพราะธรรมน้ีไมใ่ ช่สงิ่ ทผี่ ูถ้ กู ราคะและโทสะครอบงา จะรูไ้ ดง้ ่าย แต่เป็นสงิ่ ทพี่ าทวนกระแส ละเอยี ด ลกึ ซ้งึ รูเ้หน็ ไดย้ าก ประณีต ผูก้ าหนดั ดว้ ยราคะ ถกู กองโมหะหมุ้ หอ่ ไว้ จกั รูเ้หน็ ไมไ่ ด’้ ราชกมุ าร เมอื่ อาตมภาพพจิ ารณาดงั น้ี จติ กน็ อ้ มไปเพอื่ ความขวนขวายนอ้ ย มไิ ดน้ อ้ มไป เพอื่ แสดงธรรม‛ สหมั บดีพรหมอาราธนาแสดงธรรม ครง้ั นนั้ สหมั บดีพรหมทราบความดาริในใจของอาตมภาพดว้ ยใจ (ของตน) จงึ ไดม้ คี วามราพงึ ว่า ‘ท่านผู ้ เจริญ โลกจะฉิบหายหนอ โลกจะพินาศหนอ เพราะพระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงนอ้ มพระทยั ไป เพือ่ ความขวนขวายนอ้ ย มไิ ดน้ อ้ มพระทยั ไปเพอื่ ทรงแสดงธรรม’ ลาดบั นนั้ สหมั บดีพรหมอนั ตรธานจากพรหมโลกมาปรากฏ ณ เบ้อื งหนา้ อาตมภาพ เปรียบเหมอื นคนท่ี แขง็ แรงเหยียดแขนออกหรือคูแ้ ขนเขา้ แลว้ ห่มอุตตราสงคเ์ ฉวียงบ่า ประนมมือมาทางทิศท่อี ยู่ ไดก้ ล่าวว่า ‘ขา้ แต่ พระองคผ์ ูเ้จริญ ขอพระผูม้ พี ระภาคไดโ้ ปรดแสดงธรรม ขอพระสุคตเจา้ ไดโ้ ปรดแสดงธรรม เพราะสตั วท์ งั้ หลายผูม้ ี ธุลใี นดวงตานอ้ ย มอี ยู่ สตั วเ์ หลา่ นน้ั จะเส่อื มเพราะไม่ไดส้ ดบั ธรรม สตั วเ์ หล่านน้ั จกั เป็นผูร้ ูท้ วั่ ถงึ ธรรม’ เมอ่ื สหมั บดี พรหมไดท้ ูลอาราธนาดงั น้ี แลว้ ไดท้ ูลเป็นคาถาประพนั ธต์ ่อไปว่า ‘ในกาลก่อน ธรรมทไ่ี มบ่ รสิ ุทธ์ิ อนั คนทม่ี มี ลทนิ คดิ คน้ ไว้ ปรากฏในแควน้ มคธ พระองค์ โปรดทรงเปิดประตูอมตธรรมนนั้ เถดิ ขอสตั วท์ ง้ั หลายจงฟงั ธรรมทพ่ี ระสมั พทุ ธเจา้ ผูป้ ราศจากมลทนิ ไดต้ รสั รูแ้ ลว้ ตามลาดบั ขา้ แต่พระองคผ์ ูม้ พี ระปญั ญาดี มพี ระสมนั ตจกั ษุ บรุ ุษผูย้ นื อยู่บนยอดเขาศิลาลว้ น พงึ เหน็ หมชู่ นไดโ้ ดยรอบ ฉนั ใด พระองคผ์ ูห้ มดความโศกแลว้ โปรดเสดจ็ ข้นึ สู่ปราสาทคือธรรม ๑๐๑ อธิคโต โข เม อย ธมโฺ ม คมฺภโี ร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปโุ ณ ปณฺฑติ เวทนีโย ฯ อาลยรามา โข ปนาย ปชา อาลยรตา อาลยสมมฺ ทุ ติ า ฯ อาลยรามาย โข ปน ปชาย อาลยรตาย อาลยสมมฺ ทุ ติ าย ททุ ฺทส อทิ ฐาน ยททิ อทิ ปปฺ จฺจยตา ปฏจิ ฺจสมปุ ปฺ าโท ฯ อทิ ปิ โข ฐาน ทุทฺทส ยทิท สพฺพสงฺขารสมโถ สพพฺ ูปธิ- ปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วริ าโค นิโรโธ นิพฺพาน ฯ อหญฺเจว โข ปน ธมฺม เทเสยฺย ปเร จ เม น อา ชาเนยยฺ ุ โส มมสฺส กลิ มโถ สา มมสฺส วเิ หสาติ ฯ อปิสฺสุม ราชกมุ าร อมิ า อนจฺฉรยิ า คาถา ปฏภิ สุ ปพุ เฺ พ อสฺสุตปุพฺพา กิจฺเฉน เม อธิคต หลนฺทานิ ปกา สติ ุ ราคโทสปเรเตหิ นาย ธมโฺ ม สสุ มพฺ โุ ธ ปฏโิ สตคามึ นปิ ณุ คมภฺ รี ททุ ฺทส อณณ ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ ตโมกฺขนฺเธน อาวุตาติ ฯ อติ ิห เม ราชกมุ าร ปฏสิ ญฺจกิ ขฺ โต อปโฺ ปสฺสุกฺกตาย จติ ฺต นมติ โน ธมมฺ เทสนาย ฯ อา้ งใน ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๐๙/๔๖๑-๔๖๒.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๐๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง จกั ไดเ้หน็ หมชู่ นผูต้ กอยู่ในความเศรา้ โศก และถกู ชาตชิ ราครอบงาไดช้ ดั เจน ฉนั นนั้ ขา้ แต่พระองคผ์ ูม้ คี วามเพยี ร ผูช้ นะสงคราม ผูน้ าหมู่ ผูไ้ มม่ หี น้ี ขอพระองคโ์ ปรดลกุ ข้นึ เสดจ็ จารกิ ไปในโลก ขา้ แต่พระผูม้ พี ระภาค ขอพระองคโ์ ปรดจงทรงแสดงธรรม เพราะสตั วท์ ง้ั หลายจกั เป็นผูร้ ูท้ วั่ ถงึ ธรรม‛๑๐๒ ๓.๔ ทรงดารจิ ะประกาศธรรม เมอ่ื พระองคไ์ ดต้ รสั รูเ้ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แลว้ ก็ทรงเสวยวมิ ตุ ติสุขตามสถานท่รี ่มไมต้ ่างๆ มรี ่มไมอ้ ช ปาลนิโครธ เป็นตน้ รวมแลว้ เป็นเวลา ๔๙ วนั (๗ สปั ดาห)์ พระองคไ์ ดท้ รงดาริว่า ธรรมท่พี ระองคไ์ ดต้ รสั รูน้ น้ั เป็น พระธรรมทล่ี กึ ซ้งึ ยากท่คี นธรรมดาจะรูแ้ ละเขา้ ใจปฏบิ ตั ิตามแบบพระองคไ์ ด้ ทรงมพี ระทยั ทอ้ แทไ้ มค่ ิดจะสอนผูอ้ ่นื อีกต่อไป เเต่เป็นเพราะพระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณ ท่มี อี ยู่ในพระทยั ของพระองคต์ ลอดเวลา ทรงพจิ ารณาเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลว่า สตั วท์ งั้ หลายนนั้ มรี ะดบั สติปญั ญาไม่เหมือนกนั และทรงเปรียบหมู่สตั วท์ ง้ั หลาย เหมอื นกบั ดอกบวั ๓ เหลา่ และบคุ คล ๔ ประเภท๑๐๓ เวไนยสตั วเ์ ปรียบดว้ ยดอกบวั ๑๐๔ เมอ่ื พระองคท์ รงรบั คาทูลอาราธนาของพรหม และเพราะอาศยั ความ กรุณาในสตั วท์ งั้ หลาย จึงตรวจดูโลกดว้ ยพุทธจกั ษุ เม่อื ตรวจดูโลกดว้ ยพุทธจกั ษุไดเ้ ห็นสตั วท์ ง้ั หลายผูม้ ีธุลีใน ดวงตานอ้ ย มธี ุลใี นดวงตามาก มอี ินทรียแ์ ก่กลา้ มอี ินทรียอ์ ่อน มอี าการดี มอี าการทราม สอนใหร้ ูไ้ ดง้ า่ ย สอนใหร้ ู้ ไดย้ าก บางพวกเหน็ ปรโลกและโทษว่าเป็นส่งิ น่ากลวั บางพวกเหน็ ปรโลกและโทษว่า เป็นส่งิ ไม่น่ากลัว ในกออุบล (บวั ขาบ) ในกอปทมุ (บวั หลวง) หรอื ในกอบณุ ฑรกิ (บวั ขาว) ดอกอุบล ดอกปทมุ ดอกบณุ ฑรกิ บางดอกท่เี กดิ ในนา้ เจริญในนา้ ยงั ไม่พน้ นา้ จมอยู่ใตน้ า้ และมนี า้ หล่อเล้ยี งไว้ ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกท่เี กิดในนา้ เจริญในนา้ อยู่เสมอนา้ ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบณุ ฑริก บางดอกท่เี กิดในนา้ เจริญในนา้ อยู่พน้ นา้ ไม่แตะนา้ แมฉ้ นั ใด เม่อื ตรวจดูโลกดว้ ยพทุ ธจกั ษุไดเ้ หน็ สตั วท์ ง้ั หลายผูม้ ธี ุลใี นดวงตานอ้ ย มธี ุลใี นดวงตามาก มอี ินทรยี แ์ ก่ กลา้ มอี นิ ทรยี อ์ ่อน มอี าการดี มอี าการทราม สอนใหร้ ูไ้ ดง้ า่ ย สอนใหร้ ูไ้ ดย้ าก บางพวก เหน็ ปรโลกและโทษว่าเป็นสง่ิ น่ากลวั บางพวกเหน็ ปรโลกและโทษวา่ เป็นสง่ิ ไมน่ ่ากลวั กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั ๑๐๕ ๑๐๒ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๘/๔๐๘-๔๐๙. ๑๐๓ อภ.ิ ป.(ไทย) ๓๖/๑๐/๓๗., องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๓๓/๒๐๒. ๑๐๔ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๙/๔๐๙๔๑๐. ดูเทยี บใน ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๖๙/๓๙-๔๐., ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๓/๓๐๗-๓๐๘, องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๓๓/๒๐๒, อภ.ิ ก.(ไทย) ๓๗/๘๕๖/๔๙๐. ๑๐๕ นอกจากบวั จมอยู่ในนา้ บวั อยู่เสมอนา้ บวั พน้ นา้ ๓ เหลา่ น้ี อรรถกถาไดก้ ลา่ วถงึ บวั เหลา่ ท่ี ๔ คอื บวั ท่มี โี รค ยงั ไม่พน้ นา้ เป็นอาหารของ ปลาและเต่า ซ่งึ มไิ ดย้ กข้นึ สู่บาลี แลว้ แบ่งบคุ คลเป็น ๔ เหล่า ตามท่ปี รากฏใน องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๓๓/๒๐๒., อภ.ิ ปุ. (ไทย) ๓๖/๑๐/๑๑๑,๑๔๘- ๑๕๑/๑๕๒. ไดแ้ ก่ (๑) อุคฆติ ญั ญู (๒) วปิ จติ ญั ญู (๓) เนยยะ (๔) ปทปรมะ แลว้ เปรียบอุคฆฏติ ญั ญู เป็นเหมอื นบวั พน้ นา้ ท่พี อตอ้ งแสงอาทติ ยแ์ ลว้ ก็ บานในวนั น้ี เปรียบวิปจิตญั ญู เป็นเหมอื นบวั อยู่เสมอนา้ ท่จี ะบานในวนั รุ่งข้นึ เปรียบเนยยะ เป็นเหมอื นบวั จมอยู่ในนา้ ท่จี ะข้นึ มาบานในวนั ท่ี ๓ สว่ นปทปรมะ เปรียบเหมอื นบวั ท่มี โี รคยงั ไมพ่ น้ นา้ ไมม่ โี อกาสข้นึ มาบาน เป็นอาหารของปลาและเต่า พระผูม้ พี ระภาคทรงตรวจดูหมน่ื โลกธาตุอนั เป็น

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๒๐๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ลาดบั นนั้ จงึ ไดก้ ลา่ วคาถาตอบทา้ วสหมั บดีพรหมว่า ‘พรหม สตั วเ์ หลา่ ใดมโี สตประสาท จงปลอ่ ยศรทั ธามา เถิด เรามไิ ดป้ ิดประตูอมตธรรม สาหรบั สตั วเ์ หล่านน้ั แต่เรารูส้ กึ ว่า เป็นการยากลาบาก จึงไม่คิดจะแสดงธรรมอนั ประณีต ทเ่ี ราคลอ่ งแคลว่ ในหมมู่ นุษย”์ นอกจากบวั จมอยู่ในนา้ บวั อยู่เสมอนา้ บวั พน้ นา้ ๓ เหล่าน้ีแลว้ ในคมั ภีร์อรรถกถาสุมงั คลวิลาสินี มหาวรรค๑๐๖ ไดก้ ล่าวถงึ บวั เหล่าท่ี ๔ คือ บวั ท่มี โี รค ยงั ไม่พน้ นา้ เป็นภกั ษาของปลาและเต่า ซ่ึงมไิ ดย้ กข้นึ สู่บาลี แลว้ แบ่งบุคคลเป็น ๔ เหล่า๑๐๗ คือ (๑) อุคฆฏิตญั ญู (๒) วิปจิตญั ญู (๓) เนยยะ (๔) ปทปรมะ แลว้ เปรียบ อคุ ฆฏติ ญั ญู เป็นเหมอื นบวั พน้ นา้ ทพ่ี อตอ้ งแสงอาทติ ยแ์ ลว้ กบ็ านในวนั น้ี เปรียบวปิ จติ ญั ญู เป็นเหมอื นบวั อยู่เสมอ นา้ ท่ีจะบานในวนั รุ่งข้นึ เปรียบเนยยะ เป็นเหมือนบวั จมอยู่ในนา้ ท่ีจะข้นึ มาบานในวนั ท่ี ๓ ส่วนปทปรมะเปรียบ เหมอื นบวั ท่มี โี รค ยงั ไม่พน้ นา้ ไม่มโี อกาสข้นึ มาบาน เป็นภกั ษาของปลาและเต่า พระผูม้ พี ระภาคทรงตรวจดูหม่นื โลกธาตอุ นั เป็นเหมอื นกออบุ ลเป็นตน้ ไดท้ รงเหน็ โดยอาการทงั้ ปวงว่า หม่ปู ระชาผูม้ ธี ุลใี นตานอ้ ยมปี ระมาณเท่าน้ี หมู่ ประชาผูม้ ธี ุลใี นตามากมปี ระมาณเท่าน้ี และในหมปู่ ระชาทง้ั ๒ นนั้ มปี ระมาณเทา่ น้ี บคุ คล ๔ ประเภทของบุคคล (four kinds of persons) ๑. อคุ ฆฏติ ญั ญู ผูท้ พ่ี อยกหวั ขอ้ กร็ ู,้ ผูร้ ูเ้ขา้ ใจไดฉ้ บั พลนั แต่พอทา่ นยกหวั ขอ้ ข้นึ แสดง ๒. วปิ จติ ญั ญ ผูร้ ูต้ ่อเมอ่ื ขยายความ, ผูร้ ูเ้ขา้ ใจได้ ต่อเมอ่ื ทา่ นอธบิ ายความพสิ ดารออกไป ๓. เนยยะ ผูท้ พ่ี อจะแนะนาได,้ ผูท้ พ่ี อจะค่อยช้แี จงแนะนาใหเ้ขา้ ใจได้ ดว้ ยวธิ กี ารฝึกสอนอบรมต่อ ๔. ปทปรมะ ผูม้ บี ทเป็นอย่างยง่ิ , ผูอ้ บั ปญั ญา สอนใหร้ ูไ้ ดแ้ ต่เพียงตวั บทคือพยญั ชนะหรือถอ้ ยคา ไมอ่ าจ เขา้ ใจอรรถคือความหมาย ในคมั ภีรอ์ รรถกถาสุมงั คลวิลาสนิ ี อธิบาย “ปทปรมะ” ไวว้ ่า ผูใ้ ด ท่ฟี งั ถอ้ ยคาแมม้ าก ไดย้ ินแมม้ าก ถือ เอาไวแ้ มม้ าก ทรงจาไวแ้ มม้ าก บอกไดแ้ มม้ าก แต่ไมส่ ามารถตรสั รูธ้ รรมได้ ในชาตินน้ั ได้ (บรรลุนิพพานในชาตินนั้ ) ผูน้ นั้ ชอ่ื ว่า ปทปรมบคุ คล๑๐๘ ทรงราพงึ ถงึ ผูค้ วรรบั ธรรมเทศนา เมอ่ื พระองคท์ รงรบั คาอาราธนาของทา้ วสหมั บดแี ลว้ ทรงดารวิ า่ ‘เราควร แสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจกั รูธ้ รรมน้ีไดฉ้ บั พลนั ’ แลว้ ดารติ ่อไปว่า ‘อาฬารดาบส กาลามโคตรน้ี เป็นบณั ฑติ ฉลาดเฉียบแหลม มปี ญั ญา มธี ุลใี นดวงตานอ้ ยมานาน ทางท่ดี ี เราควรแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส กาลามโคตรก่อน เธอจกั รูธ้ รรมน้ีไดฉ้ บั พลนั ’ แต่กท็ รงทราบข่าวจากเทวดาองคห์ น่ึงเขา้ มาหาแลว้ กลา่ วว่า ‘ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ อาฬา เหมอื นกออบุ ลเป็นตน้ ไดท้ รงเหน็ โดยอาการทงั้ ปวงวา่ หมปู่ ระชาผูม้ ธี ุลใี นดวงตานอ้ ยมปี ระมาณเท่าน้ี หมู่ประชาผูม้ ธี ุลใี นตามากมปี ระมาณเท่าน้ี และใน หมปู่ ระชาทง้ั ๒ นนั้ อคุ ฆฏติ ญั ญูบคุ คล มปี ระมาณเท่าน้ี อา้ งใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๖๙/๖๔-๖๕., สารตถฺ .ฏกี า.(บาล)ี ๓/๙/๑๙๒-๑๙๓. ๑๐๖ ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๕/๑๐๗. ยานิ อทุ กา อนุคตานิ อนฺโตนมิ คุ ฺคโปสนี ิ ฯ ตานิ ตตยิ ทวิ เส ปปุ ผฺ นกานฯิ อทุ กา ปน อนุคตานิ อญฺญานิปิ สโรคานิ อปุ ปฺ ลาทนี ิ นาม อตถฺ ิ ฯ ยานิ เนว ปปุ ผฺ สิ ฺสนฺติ ฯ มจฉฺ กจฺฉปภกขฺ าเนว ภวสิ ฺสนฺติ ฯ ตานิ ปาลึ อนารุฬหฺ านิ ฯ อาหริตฺวา ปน ทเี ปตพพฺ านิ สุทปี ิตานิ ฯ ยเถว หิ ตานิ จตพุ ฺพิธานิ ปปุ ผฺ านิ ฯ เอวเมว อคุ ฺฆฏิตญญฺ ู วปิ จติ ญญฺ ูเนยโฺ ย ปทปรโมติ จตฺตาโร ปุคฺคลา ฯ หมายความวา่ ในพระบาลี มดี อกบวั อยู่ ๓ เหลา่ แต่ในอรรถกถาทา่ นเพม่ิ เหลา่ ท่ี ๔ เขา้ มา กเ็ ลยเรียกวา่ ดอกไม้ ๔ เหลา่ เทยี บกบั บคุ คล ๔ ประเภท ๑๐๗ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๓๓/๒๐๒., อภ.ิ ป.ุ (ไทย) ๓๖/๑๐/๑๔๒,๑๔๘-๑๕๑/๑๘๖-๑๘๗. ๑๐๘ สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี.(บาล)ี ๒/๑๐๗. “ยสฺส ปคุ ฺคลสฺส พหุมปฺ ิ สุณโต พหุปิ โกณโตพหุมปฺ ิ คณฺหโต พหุมปฺ ิ ธารยโต พหุมปฺ ิ วาจยโต น ตาย ชาตยิ า ธมมฺ าภสิ มโย โหติ ฯ อย วุจจฺ ติ ปคุ ฺคโล ปทปรโม ฯ

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๐๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ รดาบส กาลามโคตร ทากาละได้ ๗ วนั แลว้ ’ จงึ ดารวิ ่า ‘อาฬารดาบส กาลามโคตร เป็นผูม้ คี วามเสอ่ื มจากคุณอนั ยง่ิ ใหญ่ แลว้ หนอ เพราะถา้ เธอไดฟ้ งั ธรรมน้ี กจ็ ะพงึ รูไ้ ดฉ้ บั พลนั ’ จากนน้ั ทรงดาริว่า ‘เราควรแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจกั รูท้ วั่ ถึงธรรมน้ีไดฉ้ บั พลนั ’ จึงดาริต่อไปว่า ‘อุทกดาบส รามบุตรน้ี เป็นบณั ฑติ ฉลาดเฉียบแหลมมปี ญั ญา มธี ุลใี นดวงตานอ้ ยมานาน ทางท่ดี ี เราควรแสดงธรรม แก่อทุ กดาบส รามบตุ รก่อน เธอจกั รูธ้ รรมน้ีไดฉ้ บั พลนั ’ ก็ไดท้ ราบข่าวจากเทวดาองคห์ น่ึงเขา้ มาหากลา่ วว่า ‘อทุ กดาบส รามบุตร ไดท้ ากาละเมอ่ื วานน้ี’ จึงดารวิ ่า ‘อุทกดาบส รามบตุ ร เป็นผูม้ คี วามเส่อื มจากคุณอนั ย่งิ ใหญ่แลว้ หนอ เพราะ ถา้ เธอไดฟ้ งั ธรรมน้ี กจ็ ะพงึ รูไ้ ดฉ้ บั พลนั ’ จากการศึกษาวเิ คราะหด์ ูแลว้ จะเหน็ ว่า เหตุท่พี ระองคท์ รงระลกึ ถงึ ดาบสทงั้ สองก่อนนน้ั มใิ ช่เพราะเคยมคี ุณ แก่พระองคม์ าก่อน แต่เพราะเหน็ ว่า เป็ นผูฉ้ ลาด จะเป็ นผูบ้ รรลุธรรมไดโ้ ดยฉับพลนั ๑๐๙ ถา้ จะมอบกลบั ไปทพ่ี จิ ารณา ถงึ ดอกบวั กบั ธุลคี อื กเิ ลสท่เี กดิ ในนยั นต์ านอ้ ยและมากของแต่ละบคุ คลกแ็ สดงใหเ้หน็ ว่า เป็นกลุม่ บุคคลท่คี วรจะแสดง ธรรมโปรดก่อน ซง่ึ จะตอ้ งเป็นประเภทดอกบวั พน้ นา้ กล่าวคืออคุ ฆฏติ ญั ญูบุคคล หรือ ตกิ ขบุคคล (อปุ ปฺ ลานิ วา ปทุ มานิ วา ปุณฺฑรกี านิ วา อุทเก ชาตานิ อจจฺ คุ ฺคมมฺ ฐติ านิ อชฺช ปปุ ผฺ นกานิ วยิ อคุ ฺฆฏติ ญฺญู.... ยสฺส ปคุ ฺคลสฺส สห อุ ทาหฏเวลาย ธมมฺ าภสิ มโย โหติ ฯ อย วุจฺจติ ปุคฺคโล อุคฺฆฏติ ญฺญู)๑๑๐ ฌานลาภบี ุคคลนนั้ แสดงใหเ้หน็ ว่า การเจริญ ฌานสมาบตั ิ จนไดบ้ รรลุอรูปฌาน ๔ ไม่ถอื ว่านอกทางพระพุทธศาสนาแต่ประการใด เพยี งแต่เป็นโลกิยฌานเท่านน้ั เพราะผูท้ ่ไี ดฌ้ านสมาบตั ิเป็นการบรรลุธรรมสูงสุดของโลกยธรรม และอยู่เขตตดิ ต่อกบั นิพพานในพระพทุ ธศาสนาเถร วาท ตามอภธิ รรมนยั ผูท้ ่จี ะบรรลุ รูปฌาน และอรูปฌาน นน้ั ตอ้ งมฐี านของปฏสิ นธจิ ิตท่เี กิดมาพรอ้ มกนั คือ เหตุ ๓ (อโลภเหตุ อโทเหตุ อโมหเหต)ุ เทา่ นน้ั แลว้ เจริญฌานไปตามลาดบั เป็นฐานจิตเดียวกบั ผูท้ จ่ี ะบรรลุนิพพาน เมอ่ื ว่าโดย สกิ ขา โลกิยฌานกไ็ ดถ้ งึ สลี สกิ ขาและจิตตสกิ ขา จติ ตสกิ ขาก็คือฌานจิต หรือสมาธภิ าวนา สง่ิ ท่อี าฬารดาบสสอนและ อทุ กดาบสสอนคือโยคภาวนา ซง่ึ ก็เป็นสมถกรรมฐานในพระพทุ ธศาสนานนั่ เอง แต่โยคะ หรอื สมถะ แต่การทาโยคะไม่ ทาใหส้ ามารถบรรลุถึงนิพพานอนั เป็นโลกุตระในพระพุทธศาสนา ตอ้ งต่อยอดใหถ้ ึงวิปสั สนากรรมฐานเท่านน้ั จาก เน้ือความทย่ี กมาน้ีแสดงใหเ้หน็ ว่า สมถะหรอื โยคะ มอี ยู่ก่อนแลว้ ในลทั ธศิ าสนาอ่นื ๆ ภายหลงั พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงใช้ สมถะมาเป็นบาทฐานในการเจรญิ วปิ สั สนาจนไดป้ ญั ญาตรสั รู้ ละสามารถละกเิ ลสไดโ้ ดยเดด็ ขาด ในขณะทอ่ี ยู่ในสานกั ของอุทกดาบสรามบุตรนน้ั พระองคเ์ รยี นรูแ้ ละบรรลุอรูปฌานจากอาจารยห์ มดส้นิ แต่เม่อื พจิ ารณาแลว้ เห็นว่า อรูป ฌานน้ีวา่ “ธรรมน้ี ไมเ่ ป็นไปเพอื่ ความเบอื่ หน่าย เพอื่ คลายกาหนดั เพอื่ ดบั เพอื่ สงบระงบั เพอื่ รูย้ งิ่ เพอื่ ตรสั รู ้ และเพอื่ นิพพาน เป็นไปเพยี งเพอื่ เขา้ ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ิเท่านนั้ ’ อาตมภาพไม่พอใจ เบอื่ หน่ายธรรมนนั้ จึงลา จากไป๑๑๑ (นาย ธมโฺ ม นิพพฺ ทิ าย น วริ าคาย น นิโรธาย น อปุ สมาย น อภญิ ฺญาย น สมโฺ พธาย น นิพพฺ านาย สวตฺตติ ยาวเทว เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปปตตฺ ยิ าติ โส โข อห ภารทฺวาช ต ธมมฺ อนลงฺกรติ วฺ า ตสฺมา ธมมฺ า นิพพฺ ชิ ฺช ปกกฺ าม)ึ ๑๐๙ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๕๑๒/๔๖๕.“อย โข อาฬาโร กาลาโม ปณฺฑโิ ต วยิ ตฺโต เมธาวี ทฆี รตฺต อปฺปรชกฺขชาตโิ ก ยนฺนูนาห อาฬารสฺส กาลามสฺส ปฐม ธมมฺ เทเสยฺย โส อมิ ธมมฺ ขปิ ปฺ เมว อาชานิสฺสตตี ิ ฯลฯ ๑๑๐ สมุ งฺคลวลิ าสนิ .ี (บาล)ี ๒/๑๐๖-๑๐๗. ๑๑๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๒๘/๓๙๘.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๒๐๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ อย่างไรกด็ ี ถงึ แมพ้ ระพทุ ธองคจ์ ะไดย้ กย่องอานิสงคข์ องผูไ้ ดฌ้ าน สมาบตั ิ กสณิ ฯลฯ ว่าเป็นเลศิ ในโลก แต่ก็ยงั ไม่อาจเทียบไดก้ บั การตรสั รูพ้ ระนิพพาน อนั เป็นธรรมอยู่เหนือโลก (โลกุตตรธรรม : supramundane states คือธรรมอนั มใิ ช่วสิ ยั ของโลก, สภาวะพน้ จากโลกอนั เป็นอปุ าทานหา้ ม ไดแ้ ก่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) ไม่ ขอ้ งในโลก ดงั นน้ั ผูห้ ลงอยู่ในฌาน หรืออานาจวเิ ศษในโลกต่างๆ ย่อมกลา่ วไดว้ ่า เส่อื มจากธรรมอนั ประเสริญย่งิ กว่า คือพระนิพพานธรรมนนั่ เอง แต่ถงึ กระนนั้ ก็มใิ ช่เหตแุ ก่บคุ คลทวั่ ไป ในการตาหนิธรรมเหล่าน้ี เน่ืองดว้ ย เป็น ธรรมท่ผี ูเ้ขา้ ถงึ อินทรียเ์ หล่าน้ีแลว้ จงึ จะเป็นผูว้ นิ ิจฉยั ได้ ดงั ท่พี ระพทุ ธองคท์ รงกล่าวไวว้ ่า วิสยั ของผูไ้ ดฌ้ าน เป็ น หน่ึงในอจนิ ไตย ๔ ดงั ตอนหน่ึงในพระสตุ ตนั ตปิฏก องั คตุ ตรนิกาย จตกุ กนิบาตวา่ “ภกิ ษุทงั้ หลาย อจนิ ไตย (เร่อื งไม่ควรคิด) ๔ ประการน้ี บคุ คลไมค่ วรคิด ใครคิด พงึ มสี ่วนแห่งความเป็น บา้ ความเดือดรอ้ น อจนิ ไตย ๔ คือ ๑. พทุ ธวสิ ยั ของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย ๒. ฌาน วสิ ยั ของผูไ้ ดฌ้ าน ๓. วบิ าก แห่งกรรม ๔. ความคิดเร่อื งโลก ภกิ ษุทงั้ หลาย อจินไตย ๔ ประการน้ีบุคคลไมค่ วรคิด ใครคิดพงึ มสี ่วนแห่งความ เป็นบา้ ความเดอื ดรอ้ น” ๑๑๒ เร่อื งอปุ กาชีวก จากนน้ั จงึ ทรงดารวิ า่ ‘ภกิ ษุปญั จวคั คียม์ อี ปุ การะแก่เรามาก ทไ่ี ดเ้ฝ้าปรนนิบตั เิ ราผูม้ งุ่ บาเพญ็ เพยี ร ทางทด่ี ี เราควรแสดงธรรมแก่ภกิ ษุปญั จวคั คียก์ ่อน’ แลว้ ดารติ ่อไปวา่ ‘บดั น้ี ภกิ ษุปญั จวคั คยี อ์ ยู่ทไ่ี หน หนอ’ กไ็ ดเ้หน็ ภกิ ษุปญั จวคั คยี อ์ ยูท่ ่ปี ่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เขตกรุงพาราณสี ดว้ ยตาทพิ ยอ์ นั บรสิ ุทธ์เิ หนือมนุษย์ จงึ ทรงเดนิ ทางจากตาบลอรุ ุเวลา จารกิ ไปทางกรุงพาราณสี ในระหวา่ งทาง ไดท้ รงพบกบั อาชีวกช่ืออุปกะ ผูก้ าลงั เดนิ ทางไกล ณ ระหวา่ งแมน่ า้ คยากบั ตน้ โพธพิ ฤกษ์ ไดถ้ ามเราว่า ‘อาวโุ ส อนิ ทรียข์ องท่านผ่องใสยงิ่ นกั ผวิ พรรณของ ท่านบริสทุ ธผิ์ ุดผ่อง ท่านบวชอุทศิ ใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร’ เมอ่ื อปุ กาชวี กถาม อย่างน้ีแลว้ จงึ ไดก้ ลา่ วคาถาตอบอปุ กาชวี กว่า ‘เราเป็นผูค้ รอบงาธรรมทงั้ ปวง๑๑๓ รูธ้ รรมทง้ั ปวง๑๑๔ มไิ ดแ้ ปดเป้ือนใน ธรรมทง้ั ปวง๑๑๕ ละธรรมทง้ั ปวง๑๑๖ ไดส้ ้นิ เชงิ ‛ หลุดพน้ เพราะส้นิ ตณั หา ตรสั รูย้ ง่ิ เอง แลว้ จะพงึ กลา่ วอา้ งใครเลา่ เรา ไมม่ อี าจารย๑์ ๑๗ เราไมม่ ผี ูเ้สมอเหมอื น เราไมม่ ผี ูท้ ดั เทยี มในโลกกบั ทงั้ เทวโลก เพราะเราเป็นอรหนั ต์ เป็นศาสดาผู้ ๑๑๒ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๗๗/๑๒๒. คาว่า “พทุ ธวิสยั ” หมายถงึ ความเป็นไปและอานุภาพแห่งพระพทุ ธคุณทง้ั หลาย มพี ระสพั พญั ญุตญาณ เป็นตน้ อา้ งใน องฺ.จตกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๗๗/๓๖๐. คาวา่ ความคิดเร่ืองโลก (โลกจินฺตา) หมายถงึ ความคดิ ว่า ใครสรา้ งดวงจนั ทรด์ วงอาทติ ย์ ใครสรา้ งมหา ปฐพี ใครสรา้ งมหาสมทุ ร ใครใหส้ ตั วเ์ กดิ ใครสรา้ งภเู ขา ใครสรา้ งตน้ มะมว่ ง ตน้ ตาล และตน้ มะพรา้ ว เป็นตน้ อา้ งใน องฺ.จตกุ กฺ .อ.(บาล)ี ๒/๗๗/๓๖๐. ๑๑๓ ‚สพฺพาภภิ ูติ สพพฺ เตภูมกิ ธมมฺ อภภิ วติ วฺ า ฐโิ ต ฯ คาวา่ ผูค้ รอบงาธรรมทง้ั ปวง ในทน่ี ้หี มายถงึ ธรรมอนั เป็นไปในภูมิ ๓ (กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูม)ิ อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๗. ๑๑๔ “สพฺพวิทูติ สพพฺ จตภุ ูมกิ ธมมฺ อเวทึ อญฺญาสึ ฯ คาวา่ รูธ้ รรมทง้ั ปวง ในทน่ี ้ีหมายถงึ ธรรมอนั เป็นไปในภูมิ ๔ (กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ โลกตุ ตรภูม)ิ อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๗. ๑๑๕ ‚สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนูปลติ โฺ ตติ สพเฺ พสุ เตภูมกิ ธมเฺ มสุ กเิ ลสเลปเนน อลติ ฺโต ฯ คาวา่ ไม่แปดเป้ื อนในธรรมทง้ั ปวง ในท่นี ้ีหมายถงึ ธรรม อนั เป็นไปในภมู ิ ๓ อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๗. ๑๑๖ ‚สพฺพญฺชโหติ สพพฺ เตภมู กิ ธมมฺ อปุ จฺฉินฺทติ ฺวา ฐโิ ต ฯ คาวา่ ละธรรมทง้ั ปวง ในทน่ี ้หี มายถงึ ธรรมอนั เป็นไปในภมู ิ ๓ ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๘. ๑๑๗ ‚เม อาจรโิ ย อตฺถตี ิ โลกตุ ฺตรธมเฺ ม มยหฺ อาจรโิ ย นาม นตถฺ ิ ฯ คาวา่ เราไม่มีอาจารย์ ในทน่ี ้หี มายถงึ ไมม่ อี าจารยใ์ นระดบั โลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๘.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๒๐๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ยอดเยย่ี ม เราผูเ้ดยี วเป็นผูต้ รสั รูเ้องโดยชอบ เป็นผูเ้ยอื กเยน็ ดบั กเิ ลสในโลกไดแ้ ลว้ ๑๑๘ เราจะไปเมอื งหลวงของชาว กาสี ประกาศธรรมจกั รตกี ลองอมตธรรม ไปในโลกอนั มคี วามมดื มน’๑๑๙ อปุ กาชวี กกลา่ ววา่ ‘อาวุโส ท่านสมควรเป็น พระอนนั ตชนิ ะ ตามทท่ี ่านประกาศ’ อาตมภาพจงึ กลา่ วตอบว่า ‘ชนเหลา่ ใด ไดถ้ งึ ความส้นิ อาสวะแลว้ ชนเหลา่ นนั้ ย่อมเป็นพระชนิ ะเช่นเรา อปุ กะ เราชนะความชวั่ ไดแ้ ลว้ เพราะฉะนน้ั เราจงึ ช่อื ว่าพระชนิ ะ’ เมอ่ื อาตมภาพกลา่ วอยา่ ง นนั้ แลว้ อปุ กาชวี กจงึ กลา่ ววา่ ‘อาวโุ ส ควรจะเป็นอย่างนนั้ ’ โคลงศีรษะแลบล้นิ แลว้ เดินสวนทางหลกี ไป๑๒๐ ปญั จวคั คียเ์ กดิ อาการไม่ยอมรบั ในเบ้ืองตน้ ต่อจากนน้ั พระพทุ ธองคไ์ ดจ้ าริกไปโดยลาดบั ถึงป่าอิสปิ ตน มฤคทายวนั เขตกรุงพาราณสี ไดเ้ขา้ ไปหาภกิ ษุปญั จวคั คียถ์ งึ ทอ่ี ยู่ ภกิ ษุปญั จวคั คียเ์ หน็ อาตมภาพเดินมาแต่ไกล จงึ นดั หมายกนั และกนั ว่า ‘อาวุโส พระสมณโคดมน้ีเป็นผูม้ กั มาก คลายความเพียร เวยี นมาเพอ่ื ความเป็นคนมกั มาก กาลงั เสด็จมา พวกเราไม่พึงกราบไหว้ ไม่พึงลุกรบั ไม่พึงรบั บาตรและจีวรของพระองค์ แต่จะจดั อาสนะไว้ ถา้ พระองคป์ รารถนาก็จกั ประทบั นงั่ ’ อาตมภาพเขา้ ไปหาภิกษุปญั จวคั คีย์ ภิกษุปญั จวคั คีย์ ก็ลมื ขอ้ นดั หมายของตน บางพวกตอ้ นรบั อาตมภาพแลว้ รบั บาตรและจวี ร บางพวกปูลาดอาสนะ บางพวกจดั หานา้ ลา้ งเทา้ แต่ภกิ ษุปญั จวคั คีย์ เรียกอาตมภาพโดยออกนามและใชค้ าว่า ‘อาวุโส’ เม่อื ภกิ ษุปญั จวคั คียก์ ล่าวอย่างนนั้ แลว้ อาตมภาพจึงหา้ มภกิ ษุ ปญั จวคั คียว์ ่า ‘ภกิ ษุทง้ั หลาย เธอทงั้ หลายอย่าเรียกตถาคตโดยออกช่ือและใชค้ าว่า ‘อาวุโส’๑๒๑ ตถาคตเป็นอรหนั ต์ ตรสั รูด้ ว้ ยตนเองโดยชอบ เธอทงั้ หลายจงเง่ยี โสตสดบั เราจะสงั่ สอนอมตธรรมท่เี ราไดบ้ รรลุแลว้ จะแสดงธรรม เธอ ทง้ั หลายเมอ่ื ปฏิบตั ิตามท่ีเราสงั่ สอน ไม่นานนกั ก็จกั ทาใหแ้ จง้ ซ่งึ ประโยชนย์ อดเย่ยี มอนั เป็นท่ีสุดแห่งพรหมจรรยท์ ่ี เหลา่ กลุ บตุ รผูอ้ อกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบตอ้ งการ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองเขา้ ถงึ อยู่ในปจั จบุ นั แน่แท’้ เมอ่ื อาตมภาพกลา่ วอย่างน้ีแลว้ ภกิ ษุปญั จวคั คียไ์ ดก้ ล่าวกบั อาตมภาพว่า ‘อาวุโส โคดม แมด้ ว้ ยจรยิ านน้ั ดว้ ยปฏปิ ทานนั้ ดว้ ยทกุ กรกิริยานนั้ พระองคก์ ็ยงั มไิ ดบ้ รรลุญาณทสั สนะทป่ี ระเสริฐอนั สามารถ วเิ ศษย่งิ กว่าธรรม ของมนุษย์ บดั น้ี พระองคเ์ ป็นผูม้ กั มาก คลายความเพยี ร เวยี นมาเพ่อื ความเป็นคนมกั มาก ไฉนจกั บรรลุญาณทสั สนะทป่ี ระเสรฐิ อนั สามารถวเิ ศษยง่ิ กว่าธรรมของมนุษยไ์ ดเ้ลา่ ’ เมอ่ื ภกิ ษุปญั จวคั คยี ก์ ลา่ วอย่างนน้ั แลว้ อาตมภาพจงึ ไดก้ ล่าวกบั ภกิ ษุปญั จวคั คียว์ ่า ‘ภกิ ษุทงั้ หลาย ตถาคต ไมไ่ ดเ้ป็นคนมกั มาก ไมไ่ ดค้ ลายความเพยี ร ไม่ไดเ้วยี นมาเพ่อื ความเป็นคนมกั มาก ตถาคตเป็นอรหนั ตต์ รสั รูเ้องโดย ชอบ เธอทง้ั หลายจงเงย่ี โสตสดบั เราจะสงั่ สอนอมตธรรมทเ่ี ราไดบ้ รรลุแลว้ จะแสดงธรรม เธอทง้ั หลายเมอ่ื ปฏบิ ตั ิ ๑๑๘ “สตี ภิ โู ตติ สพพฺ กเิ ลสคฺคนิ ิพพฺ าปเนน สตี ภิ ูโต ฯ “นิพฺพโุ ตติ กเิ ลสานเยว นพิ พฺ ตุ ตตฺ า นิพพฺ โุ ต ฯ คาวา่ เย็นสนิท ดว้ ยการดบั ไฟคือกเิ ลส ทงั้ ปวง ฯ คาวา่ ดบั เพราะความทแ่ี ห่งกเิ ลสหลายถกู ดบั สนิทแลว้ ฯ อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๘. ๑๑๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๘๕/๒๔๖., ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๓๔๑/๓๒๓., อภ.ิ ก.(บาล)ี ๓๗/๔๐๕/๒๔๕. ๑๒๐ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๑/๑๖-๑๗. เอว วุตฺเต อปุ โก อาชวี โก ‘หเุ วยยฺ าวโุ สติ วตวฺ า สสี ํ โอกมฺเปตฺวา อุมฺมคฺคํ คเหตฺวา ปกกฺ ามิ ฯ เร่ือง “ตีความ การสนั่ ศีรษะของอปุ กาชีวก” (อาชวี ก คอื นกั บวชนอกศาสนาพทุ ธนิกายหน่งึ ในสมยั นน้ั ) ๑๒๑ ในครงั้ พทุ ธกาล คาวา่ ‚อาวโุ ส‛ เป็นคาทค่ี นทวั่ ไปใชก้ ลา่ วนาทกั ทายรอ้ งเรยี กกนั ไมแ่ สดงความเคารพ เป็นพเิ ศษ ก่อนจะเสด็จดบั ขนั ธป รินพิ พาน พระผูม้ พี ระภาคพทุ ธเจา้ รบั สงั่ หา้ มพระผูน้ อ้ ยเรียกพระผูใ้ หญ่ โดยใชค้ าวา่ ‚อาวุโส‛ และหา้ มพูดกบั ผูใ้ หญ่โดยออกช่อื ท่านนนั้ ท่านน้ี แต่ควร เรียกพระผูใ้ หญ่โดยใชค้ าวา่ ‚ภนั เต‛ หรือ ‚อายสั มา‛ สว่ นพระผูใ้ หญ่ควรเรยี กพระผูน้ อ้ ยวา่ ‚อาวโุ ส‛ หรือโดยการระบชุ ่อื นนั้ ช่อื น้ี ดูรายละเอยี ดใน ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๒๑๖/๑๓๔.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๐๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตามท่เี ราสงั่ สอน ไม่นานนกั กจ็ กั ทาใหแ้ จง้ ประโยชนย์ อดเย่ยี ม อนั เป็นทีส่ ุดแห่งพรหมจรรย์ ทเ่ี หลา่ กุลบุตรผูอ้ อก จากเรอื นบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบตอ้ งการดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง เขา้ ถงึ อยู่ในปจั จบุ นั แน่แท’้ แมค้ รงั้ ท่ี ๒ ภิกษุปญั จวคั คียก์ ็ไดก้ ล่าวกบั อาตมภาพว่า ฯลฯ แมค้ รงั้ ท่ี ๓ ภิกษุปญั จวคั คียก์ ็ไดก้ ล่าว เช่นนนั้ อาตมภาพไดก้ ลา่ วกบั ภกิ ษุปญั จวคั คียว์ ่า ‘ภกิ ษุทง้ั หลาย เธอทงั้ หลายยงั จาไดห้ รือไม่ว่า ถอ้ ยคาเช่นน้ีเราได้ เคยกลา่ วในกาลก่อนแต่น้ี’ ภกิ ษุปญั จวคั คียก์ ลา่ วว่า ‘ถอ้ ยคาเช่นน้ีไม่เคยไดฟ้ งั มาก่อน พระพทุ ธเจา้ ขา้ ’ อาตมภาพจงึ กลา่ วว่า ‘ภกิ ษุทงั้ หลาย ตถาคตเป็นอรหนั ต์ ตรสั รูด้ ว้ ยตนเองโดยชอบ เธอทงั้ หลายจงเงย่ี โสตสดบั เราจะสงั่ สอนอมต ธรรมท่เี ราบรรลุแลว้ จะแสดงธรรม เธอทง้ั หลายเม่อื ปฏิบตั ิตามท่ีเราสงั่ สอน ไม่นานนกั ก็จกั ทาใหแ้ จง้ ซ่งึ ประโยชน์ ยอดเยย่ี มอนั เป็นทส่ี ุดแหง่ พรหมจรรย์ ทเ่ี หลา่ กลุ บุตรผูอ้ อกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบตอ้ งการ ดว้ ยปญั ญา อนั ยง่ิ เอง เขา้ ถงึ อยู่ในปจั จบุ นั แน่แท’้๑๒๒ ๓.๕ ปฐมเทศนา (The First Sermon) เมอ่ื ปญั จวคั คียต์ ง้ั อยู่ในอาการสงบเช่ือฟงั พรอ้ มจะฟงั ธรรม เงย่ี โสตสดบั ตง้ั จติ เพ่อื รูย้ ่งิ แลว้ พระพทุ ธเจา้ จงึ เรม่ิ แสดงพระธรรมจกั กปั ปวตั นสูตร อนั หมายถงึ การหมนุ กงลอ้ แห่งธรรมนาแสงสว่างส่องทางใหเ้พอ่ื นมนุษย์ เมอ่ื แสงธรรมส่องสว่างไสวกิเลสก็ค่อยๆ จางคลายหายไปเหมอื นแสงอาทิตยอ์ ุทยั ค่อยๆ ขบั ไล่ความมดื ใหห้ ายไปจน เหลอื แต่ความสวา่ งไสวแทนท่ี สาระสาคญั แห่งธรรมจกั กปั ปวตั นสูตร๑๒๓ พระผูม้ พี ระภาค ไดร้ บั สงั่ กบั ภกิ ษุปญั จวคั คียว์ ่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย ทส่ี ุด ๒ อย่างน้ี บรรพชิตไมพ่ งึ เสพ (เทวฺ เม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวติ พฺพา) กล่าวคือการดาเนินชวี ติ ท่สี ุดโตง้ เอยี งสุดไปในขา้ งทงั้ สอง (the two extremes) ๑. กามสุขลั ลิกานุโยค (การหมกม่นุ อยู่ดว้ ยกามสุขในกามทงั้ หลาย : the extreme of sensual indulgence ; extreme hedonism) เป็นธรรมอนั ทราม เป็นของชาวบา้ น เป็นของปถุ ชุ น ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ ประกอบดว้ ยประโยชน์ ๒. อตั ตกลิ มถานุโยค (การประกอบความลาบากเดอื ดรอ้ นแก่ตน : the extreme of self-mortification ; extreme asceticism) เป็นทกุ ข์ ไมใ่ ช่ของพระอรยิ ะ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน๑์ ๒๔ ภกิ ษุทง้ั หลาย มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ไมเ่ อยี งเขา้ ใกลท้ ่สี ุด ๒ อย่างนนั้ ตถาคตไดต้ รสั รูอ้ นั เป็นปฏปิ ทาก่อใหเ้กิด จกั ษุ (ปญั ญาจกั ษุ) ก่อใหเ้กดิ ญาณ เป็นไปเพ่อื ความสงบ เพอ่ื ความรูย้ ่งิ เพอ่ื ความตรสั รู้ เพ่อื พระนิพพาน ภกิ ษุ ๑๒๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๒/๑๘-๑๙. ๑๒๓ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๓-๑๙/๒๐-๒๗. ๑๒๔ ว.ิ ม.(บาล)ี ๑/๑๓/๑๘., ส.ม.(บาล)ี ๑๙/๑๖๖๔/๕๒๘.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๒๐๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ทงั้ หลาย กม็ ชั ฌิมาปฏปิ ทาทต่ี ถาคตไดต้ รสั รูแ้ ลว้ อนั เป็นปฏปิ ทาก่อให้ เกิดจกั ษุ ก่อใหเ้กดิ ญาณ เป็นไปเพอ่ื ความ สงบ เพอ่ื ความรูย้ ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู้ เพอ่ื พระนิพพานนนั้ เป็นไฉน มชั ฌมิ าปฏปิ ทานนั้ ไดแ้ ก่อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ น้ีแล มรรคมอี งคแ์ ปด หรืออฏั ฐงั คิกมรรค๑๒๕ (the noble Eightfold Path) เรยี กเตม็ ว่า อรยิ อฏั ฐงั คิกมรรค แปลว่าทางมอี งค์ ๘ ประการอนั ประเสรฐิ ‛ เป็นองค์ ๘ ของมรรค (มคั คงั คะ : factors or constituents of the Path) มดี งั น้ี ๑. สมั มาทิฏฐิ (Right View; Right Understanding) คือความเหน็ ชอบ ไดแ้ ก่ความรูอ้ ริยสจั จ์ ๔ หรือ เหน็ ไตรลกั ษณ์ หรอื รูอ้ กศุ ลและอกศุ ลมลู กบั กศุ ลและกุศลมลู หรอื เหน็ ปฏจิ จสมปุ บาท ๒. สมั มาสงั กปั ปะ คือความดาริชอบ ไดแ้ ก่ เนกขมั มสงั กปั ปะ อพยาบาทสงั กปั ปะ อวหิ งิ สาสงั กปั ปะ กุศล วติ ก ๓ ๓. สมั มาวาจา คือการเจรจาชอบ ไดแ้ ก่วจสี ุจริต ๔ พูดคาสตั ย์ พูดไม่ส่อเสยี ด พูดคาอ่อนหวาน พดู ส่งิ มี สาระ ๔. สมั มากมั มนั ตะ คือการกระทาชอบ ไดแ้ ก่กายสุจรติ ๓ ไม่เบยี ดเบยี นชีวติ สตั วท์ ง้ั หลาย ไม่ลกั ทรพั ย์ ไม่ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕. สมั มาอาชีวะ คือการเล้ยี งชพี ชอบ ไดแ้ ก่เวน้ มจิ ฉาชพี ประกอบสมั มาชพี ๖. สมั มาวายามะ คือพยายามชอบ ไดแ้ ก่ ปธาน หรือสมั มปั ปธาน ๔ กลา่ วคือ เพยี รระวงั ความชวั่ ไม่ให้ เกดิ ข้นึ เพยี รกาจดั ความชวั่ ทเ่ี กดิ ข้นึ แลว้ เพยี รทาความดใี หเ้กดิ เพยี รรกั ษาความดไี ว้ ๗. สมั มาสติ คือการระลกึ ชอบ ไดแ้ ก่ สติปฏั ฐาน ๔ กลา่ วคือ กายานุปสั สนา เวทนานุปสั สนา จิตตานุปสั ส นา ธมั มานุปสั สนา ๘. สมั มาสมาธิ คือการตงั้ จติ มนั่ ชอบ ไดแ้ ก่ ฌาน ๔ องค์ ๘ ของมรรค จดั เขา้ ในธรรมขนั ธ์ ๓ ขอ้ ตน้ คอื ขอ้ ๓-๔-๕ เป็นศีลสกิ ขา ขอ้ ๖-๗-๘ เป็น สมาธสิ กิ ขา หรอื จติ ตสกิ ขา ขอ้ ๑-๒ เป็น ปญั ญาสกิ ขา มรรคมอี งคแ์ ปดน้ี ไดช้ ่ือว่ามชั ฌมิ าปฏปิ ทา แปลว่าทางสายกลาง เพราะเป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิอนั พอดที ่จี ะนาไปสู่ จดุ หมายแห่งความหลุดพน้ เป็นอิสระ ดบั ทุกข์ ปลอดปญั หา ไม่ตดิ ขอ้ งในทส่ี ุดทง้ั สอง คือ กามสุขลั ลกิ านุโยค และ อตั ตกลิ มถานุโยค ความจรงิ ในอรยิ สจั ภกิ ษุทง้ั หลายน้ี คือมชั ฌิมาปฏิปทานนั้ ทต่ี ถาคตไดต้ รสั รูแ้ ลว้ อนั เป็นปฏิปทา ก่อใหเ้ กิดจกั ษุ ก่อใหเ้ กิด ญาณ เป็นไปเพอ่ื ความสงบ เพอ่ื ความรูย้ ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู้ เพอ่ื พระนิพพาน ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ น้ีเป็นทุกขอริยสจั คือแมค้ วามเกิดก็เป็นทุกขแ์ มค้ วามแก่กเ็ ป็นทุกข์ แมค้ วามเจ็บก็เป็น ทกุ ข์ แมค้ วามตายกเ็ ป็นทกุ ข์ ความประสบกบั ส่งิ อนั ไม่เป็นทร่ี กั กเ็ ป็นทุกข์ ความพลดั พรากจากส่งิ อนั เป็นทร่ี กั ก็เป็น ๑๒๕ ดูรายละเอยี ดใน ท.ี ม.(บาล)ี ๑๐/๒๙๙/๓๔๘‛., ม.ม.ู (บาล)ี ๑๒/๑๔๙/๑๒๓., ม.อ.ุ (บาล)ี ๑๔/๗๐๔/๔๕๓., อภ.ิ ว.ิ (บาล)ี ๓๕/๕๖๙/ ๓๐๗. (สฺยามรฏฐฺ เตปิฏก)

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๐๙ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ทกุ ข์ ความไมไ่ ดส้ ง่ิ ทป่ี รารถนากเ็ ป็นทกุ ข์ โดยยน่ ย่อ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ กเ็ ป็นทกุ ข์ ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ น้ีเป็นทุกขสมทุ ยอ รยิ สจั คือตณั หาอนั ทาใหเ้ กิดอีกประกอบดว้ ยความเพลิดเพลนิ และความกาหนดั มปี กติใหเ้พลดิ เพลนิ ในอารมณ์ นน้ั ๆ คือ กามตณั หา ภวตณั หา และ วภิ วตณั หา๑๒๖ ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอ้ น้ีเป็นทุกขนิโรธอรยิ สจั คือความดบั ตณั หาไมเ่ หลอื ดว้ ยวริ าคะ ความสละ ความสละท้งิ ความพน้ ความไมอ่ าลยั ในตณั หา… ภกิ ษุทง้ั หลาย ขอ้ น้ีเป็นทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทาอรยิ สจั คือ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกิดข้นึ แลว้ ในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนว่า น้ีทกุ ขอรยิ สจั ภกิ ษุทง้ั หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกิดข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกิดข้นึ แลว้ ในธรรมทงั้ หลายท่เี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนวา่ ทกุ ขอริยสจั น้ี ควรกาหนดรู ้ ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกิดข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายท่เี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนว่า ทกุ ขอริยสจั น้ี เราไดก้ าหนดรูแ้ ลว้ ภกิ ษุทง้ั หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกดิ ข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายทเ่ี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนวา่ น้ีทกุ ขสมทุ ยอรยิ สจั ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกิดข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายท่เี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนว่า ทกุ ขสมทุ ยอริยสจั น้ี ควรละเสยี ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกดิ ข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายท่เี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนวา่ ทกุ ขสมทุ ยอรยิ สจั น้ี เราละไดแ้ ลว้ ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกดิ ข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายทเ่ี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนวา่ น้ีทกุ ขนิโรธอรยิ สจั ภกิ ษุทง้ั หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกิดข้นึ แลว้ ในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนว่า ทกุ ขนิโรธอรยิ สจั น้ี ควรทาใหแ้ จง้ ภกิ ษุทง้ั หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกดิ ข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายท่เี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนว่า ทกุ ขนิโรธอรยิ สจั น้ี เราไดท้ าใหแ้ จง้ แลว้ ๑๒๖ ตณั หา (craving) คอื ความทะยานอยาก มี ๓ ประการคอื ๑. กามตณั หา คอื ความทะยานอยากในกาม, ความอยากไดก้ ามคุณ คือส่งิ สนองความตอ้ งการทางประสาททงั้ หา้ (craving for sensual pleasures; sensual craving) ๒. ภวตณั หา คอื ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตวั ตนทจ่ี ะไดจ้ ะเป็นอย่างใดอย่างหน่ึง อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป, ความใคร่อยากทป่ี ระกอบดว้ ยภวทฏิ ฐหิ รือสสั สตทฏิ ฐิ (craving for existence) ๓. วิภวตณั หา คือความทะยานอยากในวภิ พ, ความอยากในความพรากพน้ ไปแห่งตวั ตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหน่ึงอนั ไมป่ รารถนา อยากทาลาย อยากดบั สูญ, ความใคร่อยากท่ปี ระกอบดว้ ยวภิ วทฏิ ฐหิ รืออจุ เฉททฏิ ฐิ (craving for non-existence; craving for self-annihilation) อา้ งใน องฺ.ฉกฺก.(บาล)ี ๒๒/๓๗๗/๔๙๔. อภ.ิ ว.ิ (บาล)ี ๓๕/๙๓๓/๔๙๔.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๑๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกิดข้นึ แลว้ ในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนวา่ น้ีทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทาอริยสจั ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกดิ ข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายท่เี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนวา่ ทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทาอริยสจั น้ี ควรใหเ้จรญิ ภกิ ษุทงั้ หลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ญาณเกดิ ข้นึ แลว้ ปญั ญาเกดิ ข้นึ แลว้ วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว้ แสงสว่างเกดิ ข้นึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลายทเ่ี ราไมเ่ คยสดบั มาก่อนวา่ ทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทาอริยสจั น้ี เราไดใ้ หเ้จรญิ แลว้ ภกิ ษุทงั้ หลาย ญาณทสั สนะ๑๒๗ ตามเป็นจรงิ ของเราในอรยิ สจั ๔ เหลา่ น้ี มี ๓ รอบ ๑๒ อาการ๑๒๘ อย่างน้ี ยงั ไม่หมดจดดตี ราบใด เรากย็ งั ไม่ยืนยนั ว่า เป็นผูต้ รสั รูส้ มั มาสมั โพธิญาณอนั ยอดเยย่ี มในโลก กบั ทง้ั เทวโลก มาร โลก พรหมโลก ในหมสู่ ตั วพ์ รอ้ มทงั้ สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษยต์ ราบนนั้ ภกิ ษุทง้ั หลาย เมอ่ื ใด ความรูเ้หน็ ตามเป็นจรงิ ของเราในอริยสจั ๔ เหลา่ น้ี ๓ รอบ ๑๒ อาการอย่างน้ี หมด จดดีแลว้ เมอ่ื นน้ั เราจึงยืนยนั ไดว้ ่า เป็นผูต้ รสั รูส้ มั มาสมั โพธิญาณอนั ยอดเย่ียมในโลก กบั ทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู่ ตั วพ์ รอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ญาณทสั สนะเกดิ ข้นึ แก่เราว่า ‚ความหลุดพน้ ของเรา ไมก่ าเริบ ชาตนิ ้ีเป็นชาตสิ ดุ ทา้ ย บดั น้ี ภพใหมไ่ มม่ อี กี ‛ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรสั เวยยากรณ์๑๒๙ น้ีอยู่ ธรรมจกั ษุ๑๓๐ อนั ปราศจากธุลี ปราศจากมลทนิ ไดเ้กิดแก่ท่าน พระโกณฑญั ญะ ว่า ‚สงิ่ ใดสงิ่ หนึ่ง มคี วามเกิดข้นึ เป็นธรรมดา สงิ่ นนั้ ทงั้ ปวง มคี วามดบั ไปเป็นธรรมดา‛๑๓๑ (อมิ สฺ มญิ ฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภญฺญมาเน อายสฺมโต โกณฺฑญฺญสฺส วริ ช วตี มล ธมมฺ จกฺขุ อทุ ปาทิ ‘ยงฺกญิ ฺจิ สมทุ ยธมฺม สพฺพนฺต นิโรธธมฺมนฺต)ิ ครน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงประกาศพระธรรมจกั รใหเ้ ป็นไปแลว้ ทวยเทพชน้ั ภุมมะกระจายข่าวว่า ‚นนั่ พระ ธรรมจกั รอนั ยอดเย่ยี ม พระผูม้ พี ระภาคทรงใหเ้ป็นไปแลว้ ณ ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั เขตกรุงพาราณสี อนั สมณะ ๑๒๗ คาวา่ “ญาณทสั สนะ” หมายถงึ สจั จญาณ กจิ จญาณ กตญาณ ฯ “ตปิ รวิ ฏฏฺ นฺติ สจฺจญาณกจิ ฺจญาณกตญาณสงฺขาตาน ตณิ ฺณ ปรวิ ฏฺฏาน วเสน ตปิ รวิ ฏฏฺ ฯ อา้ งใน ส.ม.อ.(บาล)ี ๑๒/๔๘๗. (สารฺตถปกาสนิ ี ๓/๔๘๗.) ๑๒๘ ๓ รอบ (ตปิ รวิ ตฺต) ๑๒ อาการ (ทฺวาทสาการ) หมายถงึ สจั จญาณ กจิ จญาณ กตญาณ เกิดข้นึ เวยี นไปในอริยสจั ๔ ขอ้ ขอ้ ละ ๓ รอบ (๔ x ๓ = ๑๒) รวมเป็น ๑๒ รอบ ดงั น้ี ก. (๑) น้ที กุ ข์ (๒) ทกุ ขน์ ้คี วรกาหนดรู้ (๓) ทกุ ขน์ ้ี กาหนดรูแ้ ลว้ ข. (๑) น้สี มทุ ยั (๒) สมทุ ยั น้คี วรละ (๓) สมทุ ยั น้ลี ะแลว้ ค. (๑) น้นี โิ รธ (๒) นโิ รธน้คี วรทาใหแ้ จง้ (๓) นโิ รธน้ที าใหแ้ จง้ แลว้ ง. (๑) น้มี รรค (๒) มรรคน้คี วรทาใหเ้จรญิ (๓) มรรคน้ีทาใหเ้จริญแลว้ อา้ ง ใน สารตฺถทปี นี(บาล)ี ๓/๔๘๗-๔๘๘. ๑๒๙ เวยยากรณ์ (เวยฺยากรณ) ในทน่ี ้ีหมายถงึ พระสูตรท่ไี มม่ คี าถา ประกอบดว้ ยคาถามคาตอบ อา้ งใน สารตฺถ.ฏกี า. (บาล)ี ๓/๑๖/๒๒๐. เป็นองคอ์ นั หน่ึงในนวงั คสตั ถศุ าสน์ อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๓๓., ๑๔๕-๑๔๖. ๑๓๐ ธรรมจกั ษุ แปลวา่ ดวงตาเหน็ ธรรม คอื โสดาปตั ตมิ รรคญาณ ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๙. ส่วนคาว่า “ธมั มจกั ขุ” ท่ปี รากฏในท่อี น่ื ๆ มงุ่ หมายถงึ มรรคจติ และผลจติ เบ้อื งตน้ ๓ (โสดาบนั สกทาคามี อนาคามี ยกเวน้ อรหตั ต)์ เช่น “ธมมฺ จกขฺ ุ อทุ ปาทีติ เกสญฺจิ โสตาปตตฺ มิ คฺโค เกสญฺจิ สกทาคามมิ คฺ โค เกสญฺจิ อนาคามมิ คฺโค อทุ ปาทิ ตโยปิ หิ เอเต มคฺคา ธมมฺ จกขฺ นุ ฺติ วุจฺจนฺติ ฯ อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๒๗. “ธมฺมจกขฺ ุนฺติ อญฺญตฺถ ตโย มคฺคา ตีณิ จ ผลานิ ธมมฺ จกฺขุ นาม โหนฺติ อา้ งใน สารตฺถปากาสนิ ี (บาล)ี ๓/๔๘๘. ๑๓๑ เตสุ อญฺญาโกณฺฑญฺญตฺเถโร เทสนานุสาเรน ญาณ เปเสนฺโต สุตฺตปริโยสาเน อฏฺฐารสหิ พรฺ หฺมโกฏหี ิ สทฺธึ โสตาปตฺติผเล ปตฏิ ฺฐาสิ อา้ งใน ข.ุ ชา.อ.(บาล)ี ๒๘/๑๕๐. (ชาตกฏฺฐกถา. ๑๕๐.)

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๑๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พราหมณ์เทวดา มาร พรหม หรอื ใครๆ ในโลก ใหห้ มนุ กลบั ไม่ได‛้ ทวยเทพชน้ั จาตมุ หาราช สดบั เสยี งของทวยเทพ ชนั้ ภมุ มะแลว้ ไดก้ ระจายขา่ วต่อไป ฯลฯ ทวยเทพชน้ั ดาวดงึ สส์ ดบั เสยี งของทวยเทพชนั้ จาตมุ หาราชแลว้ ไดก้ ระจายขา่ วต่อไปฯลฯ ทวยเทพชน้ั ยามา... ทวยเทพชนั้ ดุสติ ... ทวยเทพชน้ั นิมมานรดี... ทวยเทพชนั้ ปรนิมมติ วสวตั ดี ... ทวยเทพทน่ี บั เน่ืองในหมพู่ รหม สดบั เสยี งของเหลา่ เทวดาชนั้ ปรนิมมติ วสวตั ดแี ลว้ กก็ ระจายขา่ วว่า ‚นนั่ พระ ธรรมจกั รอนั ยอดเย่ยี ม พระผูม้ พี ระภาคทรงประกาศแลว้ ณ ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั เขตกรุงพาราณสี อนั สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ใหห้ มนุ กลบั ไม่ได‛้ เพียงครู่เดียวเท่านน้ั เสียงป่าวประกาศได้ กระจายข้นึ ไปถงึ พรหมโลก ดว้ ยประการฉะน้ี ทง้ั หมน่ื โลกธาตนุ ้ี กส็ นั่ สะเทอื นเลอ่ื นลนั่ ทง้ั แสงสว่างอนั เจดิ จา้ หาประมาณมไิ ดก้ ป็ รากฏในโลก ลว่ งเทวานุ ภาพของเทวดาทงั้ หลาย ลาดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงเปล่งพระอทุ านน้ีว่า ‚ผูเ้จริญทงั้ หลาย โกณฑญั ญะไดร้ ูแ้ ลว้ หนอ ผูเ้จริญทงั้ หลาย โกณฑญั ญะไดร้ ูแ้ ลว้ หนอ‛ ดงั นนั้ คาว่า ‚อญั ญาโกณฑญั ญะ‛ น้ี จงึ ไดเ้ป็นช่อื ของท่านพระ โกณฑญั ญะนนั่ แล ภกิ ษุปญั จวคั คยี ท์ ลู ขอการบรรพชาอปุ สมบท เม่อื ท่านพระอญั ญาโกณฑญั ญะไดเ้ หน็ ธรรมแลว้ บรรลุธรรมแลว้ รูแ้ จง้ ธรรมแลว้ หยงั่ ลงสู่ธรรมแลว้ ขา้ ม ความสงสยั แลว้ ปราศจากความแคลงใจ ถงึ ความเป็นผูแ้ กลว้ กลา้ ไมต่ อ้ งเชือ่ ผูอ้ ืน่ ๑๓๒ ในคาสอนของพระศาสดา ได้ กราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ ขา้ พระองคพ์ งึ ไดก้ ารบรรพชา พึงไดก้ ารอุปสมบทในสานกั ของพระผูม้ พี ระภาค‛ พระผูม้ พี ระภาคไดต้ รสั ว่า ‚เธอจงมาเป็ นภกิ ษุเถิด‛ แลว้ ตรสั ต่อไปว่า ‚ธรรมอนั เรากล่าวดีแลว้ เธอจง ประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พื่อทาํ ทส่ี ุดทุกขโ์ ดยชอบเถิด‛ พระวาจานนั้ ไดเ้ ป็นการอปุ สมบทของท่านพระอญั ญาโกณฑญั ญะนน้ั ต่อมา พระผูม้ พี ระภาคทรงโอวาท นบั ไดว้ ่าเป็นภกิ ษุรูปแรกในพระพทุ ธศาสนา และเป็นปฐมสาวกของพระพทุ ธเจา้ ต่อจากนน้ั สงั่ สอนภกิ ษุทงั้ หลายทเ่ี หลอื ดว้ ยธรรมกี ถา เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคทรงโอวาท สงั่ สอนดว้ ยธรรมกี ถา ธรรมจกั ษุอนั ปราศจากธุลี ปราศจากมลทนิ ไดเ้กดิ ข้นึ แก่ทา่ นพระวปั ปะ และท่านพระภทั ทยิ ะว่า ‚ส่งิ ใดส่งิ หน่ึง มี ความเกดิ ข้นึ เป็นธรรมดา ส่งิ นนั้ ทงั้ ปวง มคี วามดบั ไปเป็นธรรมดา‛ ท่านทง้ั ๒ นนั้ ไดเ้ หน็ ธรรมแลว้ บรรลุธรรมแลว้ รูแ้ จง้ ธรรมแลว้ หยงั่ ลงสู่ธรรมแลว้ ขา้ มความสงสยั แลว้ ปราศจากความแคลงใจ ถงึ ความเป็นผูแ้ กลว้ กลา้ ไม่ตอ้ งเช่อื ผูอ้ ่นื ในคาสอนของพระศาสดา ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระ ๑๓๒ คาวา่ “ไม่ตอ้ งเช่ือผูอ้ น่ื ” (อปรปปฺ จฺจโย) หมายถงึ ไม่ตอ้ งอาศยั ผูอ้ ่นื คอยแนะนาพรา่ สอนในคาสอนของพระศาสดา ไมไ่ ดห้ มายถงึ ว่า ไม่ ตอ้ งเชอ่ื ใครเลย (อปรปปฺ จฺจโย-ไมม่ ใี ครอน่ื อกี เป็นปจั จยั ) อา้ งใน สารตฺถ.ฏกี า.(บาล)ี ๓/๑๘/๒๒๖.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๑๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ภาคดงั น้ีวา่ ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ขา้ พระองคท์ ง้ั ๒ พงึ ไดก้ ารบรรพชา พงึ ไดก้ ารอุปสมบทในสานกั ของพระผูม้ พี ระ ภาค‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚เธอทงั้ ๒ จงมาเป็นภกิ ษุเถดิ ‛ แลว้ ตรสั ต่อไปอกี ว่า ‚ธรรมอนั เรากล่าวดีแลว้ เธอทงั้ ๒ จงประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พอื่ ทาทสี่ ุดแหง่ ทกุ ขโ์ ดยชอบเถดิ ‛๑๓๓ พระวาจานนั้ แล ไดเ้ป็นการอปุ สมบทของทา่ นทง้ั ๒ นนั้ ต่อมาพระผูม้ พี ระภาคไดเ้สวยพระกระยาหารทท่ี ่าน ทง้ั สามนามาถวายแลว้ กท็ รงโอวาทสงั่ สอนภกิ ษุทงั้ หลายทเ่ี หลอื ดว้ ยธรรมี กถา ภกิ ษุ ๓ รูปเทย่ี วบณิ ฑบาตแลว้ นาส่งิ ใดมา ทง้ั ๖ รูป ก็ยงั อตั ภาพใหเ้ป็นไปดว้ ยสง่ิ นน้ั เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคทรงโอวาท สงั่ สอนดว้ ยธรรมกี ถา ธรรมจกั ษุ อนั ปราศจากธุลปี ราศจากมลทิน ไดเ้ กดิ แก่ท่านพระมหานามะและท่านพระอสั สชิ ว่า ‚สงิ่ ใดสงิ่ หนึ่ง มคี วามเกิดข้นึ เป็นธรรมดา สงิ่ นนั้ ทงั้ ปวง มคี วามดบั ไปเป็นธรรมดา‛ ท่านทง้ั ๒ นน้ั ไดเ้ หน็ ธรรมแลว้ บรรลุธรรมแลว้ รูแ้ จง้ ธรรมแลว้ หยงั่ ลงสู่ธรรมแลว้ ขา้ มความสงสยั แลว้ ปราศจากความแคลงใจ ถงึ ความเป็นผูแ้ กลว้ กลา้ ไม่ตอ้ งเช่อื ผูอ้ ่นื ในคาสอนของพระศาสดา ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระ ภาคดงั น้ีว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ขา้ พระองคท์ งั้ ๒ พงึ ไดก้ ารบรรพชา พงึ ไดก้ ารอปุ สมบทในสานกั ของพระองค์‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚เธอทงั้ ๒ จงมาเป็นภิกษุเถดิ ‛ แลว้ ตรสั ต่อไปว่า ‚ธรรมอนั เรากล่าวดีแลว้ เธอทงั้ ๒ จง ประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พอ่ื ทาทส่ี ุดทกุ ข์ โดยชอบเถดิ ‛ พระวาจานน้ั ไดเ้ป็นการอปุ สมบทของท่านทง้ั ๒ นน้ั การบวชครงั้ น้ีเรยี กวา่ “เอหภิ กิ ขุอปุ สมั ปทา”๑๓๔ พระอญั ญาโกณทญั ญะ จงึ เป็นปฐมสาวกหรอื พระสาวกองคแ์ รกของพระพทุ ธเจา้ เป็นพระสงฆอ์ งคแ์ รกของ พระพุทธศาสนา เป็นอนั ว่าพระรตั นตรยั คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆไ์ ดเ้ กดิ ข้นึ แลว้ บรบิ ูรณใ์ นกาลแต่บดั นน้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงจาพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวนั ทรงสงั่ สอนพรรพชติ ทง้ั ๔ รูปทเ่ี หลอื อยู่ ต่อมาท่านวปั ปะ กบั ท่านภทั ทยิ ะ ไดธ้ รรมจกั ษุดวงตาเหน็ ธรรม ทลู ขออปุ สมบทพระบรมศาสดาทรงประทานเอหภิ กิ ขอุ ปุ มั ปทาให้ และ ต่อมาท่านมหานามะกบั ท่านอสสั ชิ ไดธ้ รรมจกั ษุ ทูลขออุปสมบท และพระผูม้ ีประภาคเจา้ ทรงประทานเอหิภิขุ อุปสมั ปทาใหเ้ ช่นกนั ๑๓๕ ครน้ั พระภกิ ษุปญั จวคั คียต์ ง้ั อยู่ในท่พี ระสาวกและมอี ินทรีย์ มศี รทั ธา แก่กลา้ สมควรสดบั ธรรมจาเรญิ วปิ สั สนา เพอ่ื วมิ ตุ ตสิ ุขเบ้อื งสูงแลว้ ครนั้ ถงึ วนั แรม ๕ คา้ แห่งเดือนสาวนะ คือเดอื น ๙ พระบรมศาสดา จงึ ไดแ้ สดงพระธรรมสงั่ สอนพระภกิ ษุปญั จวคั คยี ด์ ว้ ย \"อนตั ตลกั ขณสูตร\"๑๓๖ คือพระสูตรท่แี สดงลกั ษณะแห่งเบญจ ขนั ธว์ ่าเป็นอนตั ตา (ไม่ใช่ตวั ใชต้ น) เพ่ือพระบรมศาสดาตรสั พระธรรมเทศนาแสดงอนตั ตลกั ขณสูตรอยู่ จิตของ พระภิกษุปญั จวคั คียผ์ ูพ้ ิจารณาภูมิธรรมตามกระแสเทศนานน้ั พน้ แลว้ จากอาสวะ (กิเลสท่ีหมกั หมมไวด้ องอยู่ใน สนั ดานไหลซมึ ซ่านไปยอ้ มจติ เมอ่ื ประสบอารมณต์ ่างๆ) ไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ดว้ ยอปุ าทาน สาเรจ็ เป็นพระอรหนั ตท์ ง้ั หมด ครงั้ นน้ั มพี ระอรหนั ตเ์ กิดข้นึ ในโลก ๖ องคแ์ ลว้ คือพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๑ กบั พระอริยสาวก ๕ คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๑ พระวปั ปะ ๑ พระภทั ทยิ ะ ๑ พระมหานามาะ ๑ พระอสั สชิ ๑ รวม เป็น ๖ รูป๑๓๗ ๑๓๓ ว.ิ ม.(บาล)ี ๔๑/๒๔. (สฺยามรฏฐฺ เตปิฏก) “เอถ ภกิ ขฺ โวติ ภควา อโวจ ‘สฺวากฺขาโต ธมโฺ ม จรถ พรฺ หฺมจรยิ สมมฺ า ทกุ ขฺ สฺส อนฺตกริ ิยายาติ ฯ ๑๓๔ บาลวี า่ “อาสาฬหฺ ปณุ ฺณมาย อฏฺฐารสหิ เทวตาโกฏหี ิ สทฺธึ โสตาปตฺติผเล ปติฏฺฐติ สฺส ‚เอหิ ภกิ ฺขูติ ภควโต วจเนน อภนิ ิปผฺ นฺนา สา ว ตสฺส อายสฺมโต เอหภิ กิ ขฺ อุ ปุ สมปฺ ทา อโหสิ ฯ อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๙. สมนฺตปาสาทกิ า. ๑๓๕ ข.ุ ชา.อ.(บาล)ี ๒๘/๑๕๐. หรือ ชาตกฏฺฐกถา เอกนิปาตวณฺณนา.(บาล)ี หนา้ ๑๕๐. ๑๓๖ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๒๐-๒๔/๒๗-๓๑. ๑๓๗ ว.ิ ม.(บาล)ี ๔/๒๐-๒๔/ ๔-๒๘., ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๑๙., ชาตกฏฺฐกถา เอกนปิ าตวณฺณนา.(บาล)ี หนา้ ๑๕๐.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๒๑๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ สาระสาคญั อนัตตลกั ษขณะสูตร อนตั ตลกั ขณสูตร แปลว่า พระสูตรทแ่ี สดงลกั ษณะคือเคร่อื งกาหนดหมายว่าเป็นอนตั ตา มใิ ช่อตั ตาตวั ตน พระสูตรน้ีมใี จความโดยย่อดงั ต่อไปน้ี พระศาสดาทรงเขา้ พรรษาอยู่ ณ ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เป็นพรรษาแรก ทรงสงั่ สอนปญั จวคั คียท์ เ่ี หลอื อีก ๔ ท่านดว้ ยพระธรรมเทศนาเบด็ เตลด็ เรียกว่า ‚ปกิณณกเทศนา‛ ยงั ผลใหไ้ ดบ้ รรลุพระโสดาปตั ตผิ ลไดด้ วงตาเหน็ ธรรมเช่นเดยี วกบั ท่านอญั ญาโกณฑญั ญะโดยลาดบั ท่านวปั ปะ บรรลุในวนั แรม ๑ คา่ เดือน ๘ ท่านภทั ทยิ า บรรลุ ในวนั แรม ๒ คา่ ท่านมหานามะ บรรลุในวนั แรม ๓ คา่ และท่านอสั สชิ บรรลุในวนั แรม ๔ คา่ และต่างไดร้ บั การ อปุ สมบทดว้ ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา ครนั้ ถึงวนั แรม ๕ คา่ เดือน ๘ พระบรมศาสดาไดท้ รงแสดงอนตั ตลกั ขณสูตร อนั มีใจความเก่ียวกบั “อนตั ตา” ความไม่ใช่ตวั ตนของรูป คือร่างกาย เวทนา คือความรูส้ กึ สุขทกุ ขห์ รอื เฉยๆ สญั ญา คือความจาไดห้ มายรู้ สงั ขาร คือความคิดหรือเจตนา วญิ ญาณ คือความรูอ้ ารมณ์ทางตา หู เป็นตน้ หรือเรียกอกี ประการหน่ึงว่า อายตนะ ทงั้ ๖ อนั ไดแ้ ก่สมั ผสั ทาง ตา หู จมกู ล้นิ กาย และใจ ฯลฯ ดงั บนั ทกึ ในวนิ ยั ปิฎก มหาวรรค อนตั ตลกั ขณสูตรว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย รูปเป็นอนตั ตา ภกิ ษุทง้ั หลาย ถา้ รูปน้ีจกั เป็นอตั ตา (ใช่ตวั ตน, มตี วั ตน หรือเป็นของตวั ตน อย่างแทจ้ ริง) แลว้ ไซร้ รูปน้ีไม่พงึ เป็นไปเพ่อื อาพาธ (ความเสอ่ื ม ความเจบ็ ไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้ (หมายถงึ เม่อื เป็นเราหรอื ของเราจรงิ ๆ ย่อมตอ้ งบงั คบั บญั ชาไดต้ ามปรารถนา) ในรูป ว่า ‚รูปของเราจงเป็นอย่างน้ี รูปของเราอย่าไดเ้ป็นอย่างนน้ั ‛ ภกิ ษุทงั้ หลาย ก็เพราะรูปเป็นอนตั ตา (ไมใ่ ช่ตวั ตน ไม่ใช่ของตวั ตน ตวั ตนหรือกายท่ี เหน็ หรอื ผสั สะไดด้ ว้ ยอายตนะใดๆ นน้ั เป็นเพยี งกลุม่ หรือกอ้ นหรอื ฆนะของเหล่าเหตุท่มี าเป็นปจั จยั ประชุมปรุงแต่ง กนั คอื ธาตุ ๔) ฉะนนั้ รูปจงึ เป็นไปเพอ่ื อาพาธ (แปรปรวนดว้ ยอนิจจงั จึงเจบ็ ป่วย) และบคุ คลย่อมไม่ได้ (หมายถงึ ย่อมบงั คบั บญั ชาไมไ่ ดต้ ามปรารถนาเพราะว่ารูปข้นึ อยู่กบั เหตคุ ือธาตุทง้ั ๔ ไมไ่ ดข้ ้นึ อยู่กบั เรา) ในรูปว่า ‚รูปของเรา จงเป็นอยา่ งน้ี รูปของเราอยา่ ไดเ้ป็น อยา่ งนน้ั ‛ ภกิ ษุทง้ั หลาย เวทนาเป็นอนตั ตา ภกิ ษุทงั้ หลาย ถา้ เวทนาน้ีจกั เป็นอตั ตาแลว้ ไซร้ เวทนาน้ีไมพ่ งึ เป็นไปเพ่อื อาพาธ และบคุ คลพงึ ไดใ้ นเวทนาวา่ ‚เวทนาของเราจงเป็นอยา่ งน้ี เวทนาของเราอย่าไดเ้ป็นอย่างนนั้ ‛ ภกิ ษุทงั้ หลาย ก็ เพราะเวทนาเป็นอนตั ตา ฉะนน้ั เวทนาจึงเป็นไปเพ่อื อาพาธ และบุคคลย่อมไม่ไดใ้ นเวทนาว่า ‚เวทนาของเราจงเป็น อยา่ งน้ี เวทนาของเราอย่าไดเ้ป็นอย่างนน้ั ‛ ภกิ ษุทง้ั หลาย สญั ญาเป็นอนตั ตา ภกิ ษุทง้ั หลาย ถา้ สญั ญาน้ีจกั เป็นอตั ตาแลว้ ไซร้ สญั ญาน้ีไม่พงึ เป็นไปเพอ่ื อาพาธ และบคุ คลพงึ ไดใ้ นสญั ญาว่า ‚สญั ญาของเราจงเป็นอย่างน้ี สญั ญาของเราอย่าไดเ้ป็นอย่างนนั้ ‛ ภกิ ษุทงั้ หลาย กเ็ พราะสญั ญาเป็นอนตั ตา ฉะนน้ั สญั ญาจึงเป็นไปเพ่อื อาพาธ และบุคคลย่อมไมไ่ ดใ้ นสญั ญาว่า ‚สญั ญาของเราจง เป็นอย่างน้ี สญั ญาของเราอย่าไดเ้ป็นอยา่ งนนั้ ‛ ภิกษุทงั้ หลาย สงั ขารทงั้ หลายเป็นอนตั ตา ภิกษุทง้ั หลาย ถา้ สงั ขารเหล่าน้ี จกั เป็นอตั ตาแลว้ ไซร้ สงั ขาร เหลา่ น้ีไม่พึงเป็นไปเพ่อื อาพาธ และบุคคลพึงไดใ้ นสงั ขาร ทง้ั หลายว่า ‚สงั ขารทงั้ หลายของเราจงเป็นอย่างน้ี สงั ขาร ทงั้ หลายของเราอย่าได้ เป็นอย่างนน้ั ‛ ภิกษุทงั้ หลาย ก็เพราะสงั ขารทง้ั หลายเป็นอนตั ตา ฉะนน้ั สงั ขารทงั้ หลายจึง

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๒๑๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง เป็นไปเพ่อื อาพาธ และบุคคลย่อมไม่ไดใ้ นสงั ขารทง้ั หลายว่า ‚สงั ขารทงั้ หลายของเราจงเป็นอย่างน้ี สงั ขารทง้ั หลาย ของเราอย่าไดเ้ป็นอยา่ งนนั้ ‛ ภิกษุทง้ั หลายวิญญาณเป็นอนตั ตา ภิกษุทง้ั หลาย ถา้ วิญญาณน้ีจกั เป็นอตั ตาแลว้ ไซร้ วิญญาณน้ีไม่พึง เป็นไปเพ่อื อาพาธ และบุคคลพงึ ไดใ้ นวญิ ญาณว่า ‚วญิ ญาณของเราจงเป็นอย่างน้ี วญิ ญาณของเราอย่าไดเ้ ป็นอย่าง นนั้ ‛ ภกิ ษุทงั้ หลาย ก็เพราะวญิ ญาณเป็นอนตั ตา ฉะนน้ั วิญญาณจึงเป็นไปเพ่ืออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ไดใ้ น วญิ ญาณว่า ‚วญิ ญาณของเราจงเป็นอยา่ งน้ี วญิ ญาณของเราอย่าไดเ้ป็นอย่างนน้ั ‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ถามว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอเขา้ ใจขอ้ นน้ั อย่างไร รูปเท่ยี งหรือ ไม่เท่ยี ง‛ ภิกษุปญั จ วคั คยี ท์ ลู ว่า ‚ไมเ่ ทย่ี ง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ นน้ั เป็นทกุ ขห์ รอื เป็นสุข‛ ‚เป็นทกุ ข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรผนั เป็นธรรมดา ควรหรอื ทจ่ี ะเหน็ ส่งิ นนั้ ว่า นนั่ ของเรา เราเป็นนนั่ นนั่ เป็นอตั ตาของเรา‛ ‚ขอ้ นน้ั ไมค่ วรเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚เวทนาเทย่ี งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง‛ ‚ไมเ่ ทย่ี ง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ นน้ั เป็นทกุ ขห์ รอื เป็นสุข‛ ‚เป็นทกุ ข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรผนั เป็นธรรมดา ควรหรอื ทจ่ี ะเหน็ สง่ิ นน้ั ว่า นนั่ ของเรา เราเป็นนนั่ นนั่ เป็นอตั ตาของเรา‛ ‚ขอ้ นน้ั ไมค่ วรเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚สญั ญาเทย่ี งหรอื ไมเ่ ท่ยี ง‛ ‚ไมเ่ ทย่ี ง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ นน้ั เป็นทกุ ขห์ รอื เป็นสุข‛ ‚เป็นทกุ ข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรผนั เป็นธรรมดา ควรหรอื ทจ่ี ะเหน็ ส่งิ นนั้ ว่า นนั่ ของเรา เราเป็นนนั่ นนั่ เป็นอตั ตาของเรา‛ ‚ขอ้ นน้ั ไมค่ วรเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚สงั ขารทง้ั หลายเทย่ี งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง‛ ‚ไมเ่ ทย่ี ง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไม่เทย่ี ง สง่ิ นนั้ เป็นทุกขห์ รอื เป็นสุข‛ ‚เป็นทกุ ข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ่งิ ใดไม่เท่ยี ง เป็นทุกข์ มคี วามแปรผนั เป็นธรรมดา ควรหรือท่จี ะเห็น สง่ิ นนั้ ว่า นั่นของเรา เราเป็นนนั่ นนั่ เป็นอตั ตาของเรา‛ ‚ขอ้ นน้ั ไมค่ วรเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚วญิ ญาณเทย่ี งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง‛ ‚ไมเ่ ทย่ี ง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ นน้ั เป็นทกุ ขห์ รอื เป็นสุข‛ ‚เป็นทกุ ข์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรผนั เป็นธรรมดา ควรหรอื ทจ่ี ะเหน็ ส่งิ นนั้ ว่า นนั่ ของเรา เราเป็นนนั่ นนั่ เป็นอตั ตาของเรา‛ ‚ขอ้ นนั้ ไมค่ วรเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚ภกิ ษุทง้ั หลาย เพราะฉะนนั้ รูปอย่างใด อย่างหน่ึงท่เี ป็นอดตี อนาคต และปจั จุบนั ภายในหรอื ภายนอก หยาบหรอื ละเอยี ด เลวหรือ ประณีต ไกลหรอื ใกล้ ทง้ั หมดนนั่ เธอทงั้ หลาย พงึ เหน็ ดว้ ยปญั ญา อนั ชอบตามเป็นจรงิ อย่างน้ีว่า นนั่ ไมใ่ ช่ของเรา เราไมเ่ ป็นนนั่ นนั่ ไมใ่ ช่อตั ตาของเรา

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๑๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ เวทนาอย่างใดอย่างหน่ึงท่เี ป็นอดีต อนาคต และปจั จุบนั ภายในหรือภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือ ประณีต ไกลหรอื ใกล้ ทง้ั หมดนนั่ เธอทงั้ หลายพงึ เหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบตามเป็นจรงิ อย่างน้ีว่า นนั่ ไมใ่ ช่ของเรา เรา ไมเ่ ป็นนนั่ นนั่ ไมใ่ ช่อตั ตาของเรา สญั ญาอย่างใดอย่างหน่ึงท่เี ป็นอดีต อนาคต และปจั จุบนั ภายในหรอื ภายนอกหยาบหรอื ละเอยี ด เลวหรือ ประณีต ไกลหรอื ใกล้ ทง้ั หมดนนั่ เธอทงั้ หลายพึงเหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบตามเป็นจรงิ อย่างน้ีว่า นนั่ ไม่ใช่ของเรา เรา ไมเ่ ป็นนนั่ นนั่ ไมใ่ ช่อตั ตาของเรา สงั ขารทง้ั หลายอย่างใดอย่างหน่ึงท่เี ป็นอดีต อนาคต และปจั จบุ นั ภายในหรอื ภายนอก หยาบหรอื ละเอียด เลวหรอื ประณีต ไกลหรอื ใกล้ ทงั้ หมดนนั่ เธอทง้ั หลายพงึ เหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบตามเป็นจริงอย่างน้ีว่า นนั่ ไมใ่ ช่ของ เรา เราไมเ่ ป็นนนั่ นนั่ ไมใ่ ช่อตั ตาของเรา วญิ ญาณอย่างใดอย่างหน่ึงท่เี ป็นอดีต อนาคต และปจั จบุ นั ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลว หรอื ประณีต ไกลหรอื ใกล้ ทงั้ หมดนนั่ เธอทง้ั หลายพงึ เหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบตามเป็นจริงอย่างน้ีว่า นนั่ ไม่ใช่ของเรา เราไมเ่ ป็นนนั่ นนั่ ไมใ่ ช่อตั ตาของเรา ภกิ ษุทง้ั หลาย อรยิ สาวกผูไ้ ดส้ ดบั เหน็ อยู่อย่างน้ี ย่อมเบอ่ื หน่ายแมใ้ นรูป ย่อมเบอ่ื หน่ายแมใ้ นเวทนา ย่อม เบอ่ื หน่ายแมใ้ นสญั ญา ย่อมเบอ่ื หน่ายแมใ้ นสงั ขารทงั้ หลาย ย่อมเบอ่ื หน่ายแมใ้ นวญิ ญาณ เมอ่ื เบ่ือหน่าย ย่อมคลาย กาหนดั เพราะคลายกาหนดั จติ ยอ่ มหลุดพน้ เมอ่ื จติ หลุดพน้ แลว้ ย่อมมญี าณว่าหลุดพน้ แลว้ อริยสาวกย่อมรูช้ ดั ว่า ‘ชาตสิ ้นิ แลว้ พรหมจรรยไ์ ดอ้ ยูจ่ บแลว้ กจิ ทคี่ วรทาไดท้ าเสร็จแลว้ กจิ อนื่ เพอื่ ความเป็นอย่างน้ีมไิ ดม้ ’ี๑๓๘ โปรดพระปญั จวคั คียภ์ กิ ษุทง้ั ๕ รูปนน้ั ใหบ้ รรลุพระอรหนั ตเ์ ป็นอเสขอริยบุคคล คือบคุ คลผูไ้ มต่ อ้ งศึกษา หรอื ผูจ้ บการศึกษา คือผูส้ าเรจ็ บรรลุแลว้ ในพระพทุ ธศาสนา ดงั นน้ั จึงไดม้ พี ระอรหนั ตบ์ งั เกิดข้นึ ในโลกรวม ๖ องค์ คอื พระบรมศาสดา และพระสาวกอกี ๕ องค์ สาหรบั พระอญั ญาโกณฑญั ญะนน้ั ต่อมาท่านไดร้ บั การยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็น เอตทคั คะ แปลว่า ผูเ้ ช่ียวชาญ หรือผูย้ อดเย่ียมในทางใดทางหน่ึง เป็นเลิศในดา้ นรตั ตญั ญู แปลว่าผูร้ ูร้ าตรี หรือผูม้ ี ประสบการณ์ผ่านชีวิตมามาก และท่านมนี อ้ งสาวคนหน่ึงช่อื นางมนั ตานีซง่ึ มบี ุตรช่ือปุณณมาณพ ต่อมาพระอญั ญา โกณฑะไดอ้ ุปสมบทใหแ้ ก่หลานของท่านอนั ปรากฏช่ือภายหลงั ว่า พระปุณณะ มนั ตานีบุตร ซ่งึ เป็นพทุ ธสาวกองค์ หน่ึงท่มี คี วามรูท้ างพระพทุ ธศาสนาแตกฉานมาก เพราะไดศ้ ึกษาจากท่านอญั ญาโกณฑญั ญะนนั่ เอง แมพ้ ระสารบี ตุ ร ยงั ปรารถนาจะสนทนาธรรมกบั พระปุณณะ มนั ตานีบุตรซ่ึงต่อมาไดร้ บั การยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเป็น เอตทคั คะเลศิ ในทางพระธรรมกถกึ คอื ผูแ้ สดงธรรม จดุ มงุ่ ของอนตั ตลกั ขณสูตรน้ี ตอ้ งการทจ่ี ะช้อี นตั ตา เพราะไดม้ คี วามเขา้ ใจในเร่ืองอตั ตาท่แี ปลกนั ว่า ตวั ตน และมคี วามเช่อื มนั่ กนั อยูห่ ลายแห่ง แต่เมอ่ื สรุปแลว้ ก็มกั จะมที ฏิ ฐิ คือความเหน็ , ความเหน็ ผดิ (view ; false view) มอี ยู่ ๒ อย่าง๑๓๙๑. สสั สตทิฏฐิ (eternalism) ความเหน็ ว่าเท่ยี ง, ความเหน็ ว่าอตั ตาและโลกเท่ยี งแทย้ งั่ ยืนคงอยู่ ๑๓๘ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๒๐-๒๔/๒๗-๓๑. ๑๓๙ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๘๑/๑๓๓-๑๓๔, ๑๗/๒๑๔/๒๙๕-๒๙๗.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๑๖ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ตลอดไป ๒. อจุ เฉททิฏฐิ (annihilationism) ความเหน็ ว่าขาดสูญ, ความเหน็ ว่าอตั ตาและโลกซง่ึ จกั พนิ าศขาดสูญ หมดส้นิ ไป๑๔๐ สสั สตทิฏฐิ ความเหน็ ว่าเทย่ี งนนั้ คือเห็นว่าในปจั จุบนั ชาตนิ ้ีกม็ อี ตั ตา คือตวั ตน เมอ่ื ส้นิ ชีวติ ไปแลว้ อตั ตา คือตวั ตนก็ยงั ไม่ส้ิน ยงั จะมีสืบภพชาติต่อไป มชี าติหนา้ เร่ือยไปไม่มีขาดสูญ แปลว่า มี อตั ตา คือตวั ตนยืนท่ี ตลอดไป น้ีเรยี กว่า สสั สตทฏิ ฐิ คือความเหน็ ว่าเทย่ี ง ส่วนทม่ี คี วามเหน็ ว่าขาดสูญอนั เรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ นน้ั คือเหน็ ว่ามอี ตั ตาตวั ตนอยู่ แต่ในปจั จุบนั ชาติน้ีเท่านน้ั เมอ่ื ส้นิ ชีวติ ไปแลว้ อตั ตาตวั ตนก็ส้นิ ไป ไม่มอี ะไรเหลอื อยู่ท่จี ะใหไ้ ป เกดิ ดงั่ ทเ่ี หน็ วา่ ตายสูญ น่ีเรยี กวา่ อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเหน็ ว่าขาดสูญ ในทางพระพทุ ธศาสนาแสดงว่า ความเหน็ ทงั้ ๒ น้ีเป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ คือความเหน็ ผดิ ทงั้ ๒ อย่าง คือเหน็ ว่า เทย่ี งกผ็ ดิ เหน็ ว่าขาดสูญกผ็ ดิ เพราะทางพระพทุ ธศาสนาไมย่ อมช้วี ่ามอี ะไรเป็นอตั ตาคือตวั ตน ท่ีจะใหเ้ป็นท่ตี งั้ ของ อปุ าทาน คือความยึดถอื อยู่ในส่งิ นนั้ เองยงั มอี ุปาทานคือความยดึ ถืออยู่ ก็ยงั ไม่ส้นิ กิเลสและส้นิ ทุกข์ เพราะความ ยดึ ถอื นน้ั เป็นตวั กิเลส แต่ว่าไดแ้ สดงเป็นหลกั เหตุผลในปฏิจจสมปุ บาท ยกมากล่าวเฉพาะท่เี ก่ียวขอ้ งว่า เม่อื ยงั มี อวชิ ชา เป็นตน้ กย็ งั ตอ้ งมชี าติคือความเกิด เมอ่ื ส้นิ อวชิ ชาเป็นตน้ ก็ส้นิ ชาติคือความเกิด ทางพระพทุ ธศาสนาแสดง เหตุผลดงั น้ี และไม่ช้ีดว้ ยว่า จะเป็นชาติอดีต ชาติอนาคต หรือชาติปจั จุบนั สุดแต่ว่าจะยงั มีเหตุมผี ลดงั่ กล่าวน้ี สมั พนั ธก์ นั อยู่อย่างไรเท่านนั้ กาลเมอ่ื ไรไมเ่ ป็นขอ้ สาคญั สาคญั อยู่แต่ว่า เมอ่ื ยงั มเี หตกุ ม็ ผี ล เมอ่ื ส้นิ เหตกุ ส็ ้นิ ผล คราวน้ีผูท้ ่ียงั มคี วามเหน็ ว่ามี อตั ตา คือมี ตวั ตน นนั้ จะเป็นอตั ตาคือตวั ตนเฉพาะในปจั จุบนั หรือจะสืบ ต่อไปในอนาคตก็ตาม ก็จะตอ้ งมคี วามเหน็ สบื ต่อไปว่าอะไรคืออตั ตาตวั ตน โดยมากนน้ั ย่อมมคี วามยดึ ถอื อยู่ในรูป บา้ ง ในเวทนาบา้ ง ในสญั ญาบา้ ง ในสงั ขารบา้ ง ในวญิ ญาณบา้ ง วา่ เป็นอตั ตาคอื ตวั ตน รูปนนั้ ก็ไดแ้ ก่รูปกายทงั้ หมด ท่ปี ระกอบดว้ ยอาการต่างๆ ทง้ั ภายนอกทงั้ ภายใน ดงั ท่เี รียกว่าอาการ ๓๑ หรอื ๓๒ หรือจะแยกใหล้ ะเอียดไปกว่านน้ั ในทางสรีรวทิ ยาก็ตาม หรอื ว่าจะกล่าวโดยสรุปก็ไดแ้ ก่ มหาภตู รูป รูปท่ี เป็นใหญ่ มงุ่ ถึงส่วนท่เี ป็นธาตทุ ง้ั ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ รูปอาศยั เช่นประสาทต่างๆ ท่อี าศยั อยู่กบั รูปใหญ่นน้ั ก็ ตาม ทงั้ หมดรวมเรียนกว่ารูป เพราะฉะน้ัน จึงเรียกว่า รูปขนั ธ์ แปลว่ากองรูป หรือหมวดรูป เพราะว่ามลี กั ษณะ อาการ มสี ่วนประกอบมากมายดว้ ยกนั ตามตาราศพั ทเ์ ล่าว่า ครง้ั เดิมทเี ดียว คนเราสงั เกตเอาว่าเมอ่ื หวั ใจยงั เตน้ อยู่ กย็ งั มชี วี ะหรอื ยงั มอี ตั ตาตวั ตนอยู่ เมอ่ื ดบั ลมหายใจเสยี แลว้ ก็ส้นิ ชีวะ อตั ตาตวั ตนกด็ บั จึงเรียกลมหายใจว่า อตั ตา ในสนั สกฤตเรียกว่า อามตนั บาลกี ็เป็น อตั ตา อาตมนั น้ีก็ไปตรงกบั ศพั ทก์ ิริยาในภาษาเยอรมนั แปลว่า หายใจ เหมอื นกนั แลว้ กเ็ ขยี นอ่านว่าเป็นอาตมนั เหมอื นอยา่ งสนั สกฤต น่ีแสดงว่าคนครงั้ ดงั้ เดมิ นน้ั เขา้ ใจว่าอตั รากอ็ ยู่ทล่ี ม หายใจน่ีแหละ ตง้ั ชอ่ื เรยี กว่า อาตมนั มาตรงกบั บาลวี า่ อตั ตา น่ีเขา้ ใจแต่รูปเทา่ น้ี อน่ึง กเ็ ขา้ ใจว่าอตั ตาอยูท่ เ่ี วทนา เวทนากไ็ ดแ้ ก่ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขบา้ ง เป็นทกุ ขบ์ า้ ง เป็นกลาง ๆ ไป ทกุ ขไ์ มส่ ุขบา้ ง ลาพงั รูปแมจ้ ะยงั หายใจอยู่ ถา้ ไม่มเี วทนากย็ งั ไม่รูส้ กึ ว่าเป็นทุกขเ์ ป็นสุขอย่างไร แต่ว่าเพราะมเี วทนาน่ี แหละ จึงจะรูส้ ึกว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ ฉะนน้ั จึงไดเ้ ล่ือนความเขา้ ใจว่า อตั ตาคือตวั ตนนนั้ ก็ไดแ้ ก่เว ทนาน่ีเอง ๑๔๐ ส.ข.(บาล)ี ๑๗/๑๗๙-๑๘๐/๑๒๐. สฺ

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๑๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เพราะว่าเป็นสภาพท่คี อยกินสุขกินทุกข์ และก็แปล อตั ตา ว่า ผูก้ นิ อนั หมายความว่า กินสุขกินทุกขก์ ็ไดแ้ ก่เวทนา น่ีเอง อน่ึง มีความเขา้ ใจเล่อื นไปถึงสญั ญา สญั ญาก็ไดแ้ ก่ความจาหมาย คือความจาไดห้ มายรูต้ ่างๆ มีมาก ดว้ ยกนั จึงเรียกว่า สญั ญาขนั ธ์ แปลว่า กองสญั ญา หรือว่า หมวดสญั ญา เหน็ ว่าลาดบั แก่กินสุขกินทกุ ข์ กินแลว้ ก็ ลมื จาอะไรไวไ้ มไ่ ดก้ ไ็ มย่ งั่ ยนื อะไร ความยงั่ ยนื มาอยู่ทค่ี วามจาไดห้ มายรู้ ฉะนนั้ สญั ญาคือความจาไดห้ มายรูจ้ งึ เป็น อตั ตาตวั ตน อน่ึง มคี วามคิดเลอ่ื นไปอกี ว่า สงั ขาร คือความคิดปรุงหรอื ปรุงคิด เป็นอตั ตาคือตวั ตน เพราะลาพงั สญั ญา คือความจาไดห้ มายรูน้ น้ั กส็ กั แต่วา่ จาๆ เทา่ นนั้ ถา้ จาแลว้ ไมเ่ อาไปคิดอ่านใหเ้ป็นเร่อื งเป็นราวอะไรต่อไป กไ็ มไ่ ดเ้ร่อื ง ไดร้ าวอะไรตดิ ต่อกนั แต่การทจ่ี ะเป็นเร่อื งเป็นราวอะไรตดิ ต่อกนั กต็ อ้ งมคี วามคิดปรุง หรือความปรุงคิด ตวั ตามคิด ปรุง หรือความปรุงคิดน้ี จึงเป็นอตั ตาตวั ตน และความคิดปรุง หรือความปรุงคิดน้ีก็มมี าก จึงเรียกว่า สงั ขารขนั ธ์ กองสงั ขาร หรอื หมวดสงั ขาร อน่ึง มคี วามคิดสบื เขา้ ไปอีกว่า วญิ ญาณ น่ีเป็นอตั ตาตวั ตน วญิ ญาณน้ี หมายถงึ ใจหรอื หมายถงึ สง่ิ ทจ่ี ะไป เวียนก็มี หมายเพียงความรูส้ ึกเห็นรูป รูส้ ึกไดย้ ินเสียง ในเวลาท่ีตาเห็นรูป หูไดย้ ินเสียง เป็นตน้ ก็มี ฝ่ ายท่ี มี ความเหน็ ว่าวิญญาณเป็นอตั ตานนั้ ก็ดว้ ยมคี วามเขา้ ใจว่า วิญญาณก็คือใจท่เี ป็น (ไม่ตาย) ล่องลอยไปไหนก็ไปได้ เหมอื นอย่างเราอยู่ท่นี ้ี แต่ว่าใจลอ่ งลอยไปอยู่ท่โี นน้ ท่นี ้ี ไปไกลเท่าไรก็ได้ และไปไดอ้ ย่างรวดเร็ว และถา้ ยง่ิ มคี วาม เขา้ ใจวา่ เมอ่ื ตายไปแลว้ วญิ ญาณเป็นตวั ไปเกดิ ก็ย่งิ จะมคี วามเหน็ กระชบั ลงไปว่า น่ีเองเป็นอตั ตาตวั ตน และความ เขา้ ใจของคนโดยมากก็เขา้ ใจดงั่ น้ี คือเมอ่ื เรียกว่าวญิ ญาณกเ็ ขา้ ใจว่าไดแ้ ก่ใจท่ลี ่องลอยไปไหนก็ได้ หรอื ว่าเป็นตวั ท่ี จะไปเกดิ ต่อไป ในคนเรากม็ สี ่งิ ทงั้ หา้ น้ี คือ มรี ูป ไดแ้ ก่รูปกายหรือรูปขนั ธ์ กองรูป มเี วทนาขนั ธ์ กองเวทนา มสี ญั ญาขนั ธ์ กองสญั ญา มสี งั ขารขนั ธ์ กองสงั ขาร มวี ญิ ญาณขนั ธ์ กองวญิ ญาณ มอี ยู่ดว้ ยกนั ทงั้ หา้ และทเ่ี ขา้ ใจกนั ว่าเป็นตวั เป็น ตน กเ็ ขา้ ใจกนั อยู่ทส่ี ง่ิ ทงั้ หา้ น้ี ในเวลาทส่ี ง่ิ ทงั้ หา้ น้ียงั มอี ยู่บรบิ ูรณ์ กเ็ ขา้ ใจว่ามตี วั ตนบริบูรณ์ ถา้ พกิ ารก็เขา้ ใจว่าอตั ตา พกิ าร เช่น ถา้ รูปขนั ธพ์ กิ ารเสยี อย่างเช่น ตาบอด หูหนวก จมกู ไม่ไดก้ ลน่ิ ล้นิ ไมไ่ ดร้ ส กายเป็นอมั พาต ก็หมดเร่อื ง กนั เท่านนั้ ถา้ ยง่ิ สลบไสลไปดว้ ยเสยี อกี กย็ ง่ิ ไมร่ ูอ้ ะไร ฉะนน้ั เพยี งแต่รูปขนั ธอ์ ย่างเดยี วเท่านน้ั ก็เป็นขอ้ สาคญั เมอ่ื ยงั มอี ยูบ่ รบิ ูรณ์ ทกุ ๆ คนจงึ มคี วามสกึ อะไรต่อมอิ ะไร คิดอะไรต่อมอิ ะไรอยู่ได้ อีก ๔ อย่างนน้ั ก็เหมอื นกนั เพราะมี เวทนาอยู่ จงึ มคี วามสุขทุกขห์ รอื ไมส่ ุขไม่ทกุ ขอ์ ะไรต่างๆ มวี ญิ ญาณอยู่ จึงมคี วามรูส้ กึ ต่างๆ ถา้ อาการเหล่าน้ีเสยี ไป อย่างใดอย่างหน่ึงก็เป็นความบกพร่อง ถา้ ขาดไปเสยี ทงั้ หมดก็เลยเป็นผูม้ ีความไม่รูส้ ึกอะไรเลย เพราะฉะนนั้ ท่ี บคุ คลยงั มคี วามสกึ เป็นตวั ตนอยู่ มชี วี ะอยู่อย่างบริบูรณ์ ก็เพราะมอี าการทง้ั ๕ น้ี ประกอบกนั อยู่อย่างสมบูรณ์ และ เป็นไปโดยสะดวกไม่ขดั ขอ้ ง ฉะนน้ั จึงยดึ ถอื อาการทงั้ ๕ เหล่าน้ีน่ีเองว่าเป็นอตั ตาตวั ตน ถา้ หากว่าส้นิ อาการทงั้ ๕ เหล่าน้ี ก็ไมม่ อี ะไรใหย้ ดึ ถอื และไมม่ อี ะไรทจ่ี ะใหม้ คี วามคิดในการทจ่ี ะใหย้ ดึ ถอื ในสมยั พทุ ธกาลหรือสมยั ไหนๆ ก็ คงเป็นเช่นน้ี ในปจั จุบนั ก็เป็นเช่นน้ี และพระปญั จวคั คียน์ น้ั ก็ย่อมมคี วามยึดถืออยู่เช่นน้ีอย่างมนั่ คง เพราะฉะนน้ั เมอ่ื ฟงั ธรรมจกั ร ทา่ นพระอญั ญาโกณฑญั ญะจงึ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมเพยี งรูปเดียว เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงธรรม อบรมอกี จึงไดด้ วงตาเหน็ ธรรมจนครบทง้ั ๕ รูป แต่กไ็ ดเ้พียงดวงตาเหน็ ธรรม เท่ากบั ว่าเหน็ ทุกขสจั ความจรงิ คือ

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๑๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ทกุ ขข์ ้นึ เท่านนั้ พระพทุ ธเจา้ จงึ ไดท้ รงแสดงพระสูตรท่ี ๒ ช้ลี กั ษณะของอาการทง้ั ๕ เหล่าน้ีว่าเป็น อนตั ตา คือไม่ใช่ ตวั ตนโดยชดั เจน เบญจขนั ธ์ ไดเ้ลา่ ถงึ เร่อื งพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงแสดง อนตั ตลกั ขณสูตร ไดย้ ่อความของพระสูตรนน้ั และไดอ้ ธบิ าย เร่ือง รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ว่าแต่ละอย่างมลี กั ษณะอย่างไร จึงขอสรุปความในตอนนั้นว่า ส่งิ ทงั้ หา้ เหลา่ นน้ั แต่ละส่งิ มมี ากดว้ ยกนั ฉะนนั้ จึงเรียกว่า ขนั ธ์ ท่แี ปลว่า กอง หรือ หม่หู มวด คือเรียกว่า รูปขนั ธ์ กองรูป เวทนาขนั ธ์ กองเวทนา สญั ญาขนั ธ์ กองสญั ญา สงั ขารขนั ธ์ กองสงั ขาร วิญญาณขนั ธ์ กองวิญญาณ รวมเรียกว่า ปญั จขนั ธ์ แปลวา่ ในกองทงั้ หา้ หรือเรยี กว่าเป็นไทยว่า เบญจขนั ธ์ คาน้ีจะไดพ้ บในหนงั สอื ทางพระพทุ ธศาสนาหรอื ใน เทศนาเป็นอนั มาก เพราะฉะนนั้ ก็ควรท่ีจะกาหนดช่ือไวแ้ ละทาความเขา้ ใจทุกๆ คน เม่ือกล่าวถึงอตั ตาตวั ตน โดยปรกติก็จะตอ้ งม่งุ ไปทป่ี ญั จขนั ธน์ ้ี เพราะเวน้ จากปญั จขนั ธน์ ้ีแลว้ ก็ไม่มใี นอะไรท่จี ะสมมตบิ ญั ญตั ิว่าเป็นอตั ตา ตวั ตน ฉะนนั้ ความเขา้ ใจว่าอะไรเป็นอตั ตาตวั ตน จึงเขา้ ใจกนั ทป่ี ญั จขนั ธน์ ้ี และกย็ ดึ กนั ท่ปี ญั จขนั ธน์ ้ีว่า เป็นอตั ตา ตวั ตน ฉะนน้ั จงึ มคี าเรียกอกี คาหน่ึงว่า ปญั จอุปาทานขนั ธ์ ปญั จะ ก็แปลว่า ๕ อปุ าทาน ก็แปลว่าเป็นท่ยี ดึ ถอื ขนั ธ์ กแ็ ปลวา่ ขนั ธ์ แปลรวมกนั ว่า ขนั ธเ์ ป็นทย่ี ดึ ถอื ๕ ประการ คือเป็นท่ยี ดึ ถอื ว่าเป็นอตั ตาตวั ตนดงั่ กลา่ ว ในพระสูตรน้ี พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงยกเอาปญั จขนั ธน์ ้ีข้นึ ช้ีว่า เป็นอนตั ตา ไม่ใช่ตวั ตน เป็นการคา้ นการยดึ ถอื ของภิกษุปญั จวคั คีย์ และของคนทวั่ ไป ไดท้ รงแสดงเหตผุ ลในขอ้ น้ีไวว้ ่า ถา้ ปญั จขนั ธจ์ ะพงึ เป็นอตั ตาตวั ตนไซร้ ปญั จขนั ธก์ ็จะไม่พงึ เป็นไป เพ่อื อาพาธ และใครๆ ก็จะพึงไดใ้ นปญั จขนั ว์ ่าขอใหเ้ ป็นอย่างน้ี ขออย่าใหเ้ ป็นอย่างนน้ั แต่เพราะเหตุท่ีปญั จขนั ธ์ เป็นไปเพ่อื อาพาธ และใครๆ ก็ไม่ไดใ้ นปญั จขนั ธว์ ่า ขอใหป้ ญั จขนั ธเ์ ป็นอย่างน้ี อย่าเป็นอย่างนนั้ ฉะนน้ั จึงเป็น อนตั ตาไมใ่ ช่ตวั ตนน้ีเป็นเหตผุ ลทท่ี รงช้ใี นพระสูตรน้ี คาว่า เป็นไปเพ่อื อาพาธ โดยทวั่ ไปหมายความว่า เป็นไปเพอ่ื ความเจ็บไข้ เหราะอาพาธใชใ้ นความหมายว่า เจ็บไข้ แต่คาว่า อาพาธ อาจอธิบายใหเ้หน็ ความหมายกวา้ งไปกว่านนั้ คือ คาว่า อาพาธ แปลว่า เป็นท่ถี ูกเบยี ดเบยี น เป็นท่ถี ูกทาลายใหห้ มดส้นิ เมอ่ื ใหค้ าแปลอย่างน้ีก็อาจอธิบายกวา้ งออกไปอีกว่า ปญั จขนั ธเ์ ม่อื เกิดข้นึ ก็จะตอ้ งถูก ความแก่เบยี ดเบยี น ถกู พยาธคิ อื ความป่วยไขเ้บยี ดเบยี น ตลอดจนถงึ ถกู ความตายเบยี ดเบยี น รวมความว่า เมอ่ื เกดิ ข้นึ มากต็ อ้ งมแี ปรปรวนเปลย่ี นแปลงไปจนถงึ ดบั ในทส่ี ุด ฉะนน้ั จงึ ตอ้ งถกู ความแปรปรวนเปลย่ี นแปลงและถกู ความ ดบั เบยี ดเบยี นทาลายลา้ งใหห้ มดส้นิ จะพงึ เหน็ ไดว้ ่ารูปขนั ธ์ กองรูป ก็เปลย่ี นแปลงไปอยู่เสมอ ตง้ั แต่เกดิ มาจนบดั น้ีก็เปลย่ี นแปลงเร่อื ยมา แต่ อาศยั บุคลลบริโภคอาหารเขา้ ไปทานุบารุง คอยซ่อมส่วนท่ีสึกหรออยู่เสมอ จึงรูส้ ึกมีความสืบต่อเร่ือยมา แมแ้ ต่ ในทางการแพทยป์ จั จุบนั ก็รบั รองว่า แมส้ ่วนท่แี ขง็ ท่สี ุดในร่างกาย เช่น กระดูก ก็เปลย่ี นไปอยู่ กระดูกเมอ่ื เกิดกบั กระดูกในบดั น้ีก็เป็นคนละส่วนแลว้ ส่วนท่อี ่อนกว่านน้ั เช่น เน้ือหนงั ก็ย่งิ จะเปล่ยี นไปไดเ้ ร็ว ฉะนนั้ รูปขนั ธก์ ็มี ความเกิดดบั อยู่เร่อื ย แต่อาศยั ท่มี ี สนั ตติ คือความสืบต่อ เพราะชีวิตยงั ดารงอยู่ จงึ ยงั เป็นไปได้ เวทนาขนั ธ์ กอง เวทนา ปรากฏเกิดดบั เห็นไดช้ ดั อย่างเช่นความสุขเกิดข้นึ แลว้ หายไป ความทุกขเ์ กิดข้นึ แลว้ ก็หายไป ความเป็น กลางๆ เกดิ ข้นึ แลว้ กห็ ายไป เปลย่ี นกนั ไปอยู่เสมอ สญั ญาขนั ธ์ กองสญั ญา ความจาหมาย กเ็ กิดดบั อยู่เสมอ สงั ขาร

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๑๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ขนั ธ์ คือความคิดปรุง หรือคามปรุงคิด เป็นเร่ืองต่างๆ ก็กดั ดบั อยู่เสมอ วญิ ญาณขนั ธ์ กองวิญญาณก็เกิดดบั อยู่ เสมอ คราวน้ี ควรจะทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั คาว่า “วิญญาณ” ในอฏั ฐสาลินีอรรถกถา๑๔๑ บนั ทึกว่า (อารมมฺ ณ วชิ านนลกขฺ ณ) หรอื ธรรมชาตทิ ร่ี ูแ้ จง้ อารมณ์ “อารมมฺ ณ วชิ านาตตี ิ วญิ ญฺ าณ. จิต คือธรรมชาติชนิดหน่ึงซ่ึง รูอ้ ารมณ์ จิตเป็นตวั รูส้ ่ิงท่ีจิตรูน้ นั้ เป็นอารมณ์ จิตรูส้ ่ิงใด ส่ิงนนั้ แหละคือ อารมณอ์ กี นยั หน่ึงแสดงวา่ จติ คือธรรมชาตชิ นิดหน่ึงท่ี รบั จาํ คดิ รูซ้ ง่ึ อารมณ์ จติ ตอ้ งมีอารมณ์อยู่เสมอ และตอ้ งรบั อารมณ์จงึ จะรูแ้ ละจา แลว้ กค็ ิดต่อไป สมตามนยั ขยายความตามบาลวี ่า ‘ลกขฺ ณโต ปน วชิ านนลกฺขณ จิตตฺ ’ : ว่าโดย ลกั ษณะ จติ มกี ารรูอ้ ารมณเ์ ป็นลกั ษณะ ปุพพฺ งฺคมรส : เป็นสภาพถงึ ก่อนธรรมทง้ั ปวง เป็นรส (เป็นประธานในธรรมทง้ั ปวงเป็นกจิ ) สนฺธานปจจฺ ปุ ฏฺฐาน : การมตี ่อเน่ืองกนั เป็นธรรมไม่ขาดสายเป็นอาการปรากฏ นามรูปปทฏฺฐาน : มรี ูป และนามเป็นเหตุใกลใ้ หเ้กิด หมายถงึ ความรูแ้ จง้ ในการเหน็ รูป ไดย้ นิ เสยี ง เป็นตน้ ท่หี มายถงึ ใจหรือหมายถงึ สภาพท่ี จะเวยี นเกดิ ต่อไปนนั้ เป็นความหมายทเ่ี ขา้ ใจกนั อยู่ ทใ่ี ชก้ นั อยู่โดยทวั่ ไป แมใ้ นเร่อื งทางพระพทุ ธศาสนาเองท่เี ป็นเร่อื ง เล่า เม่อื เล่าถึงส่ิงท่ีจะไปเวียนเกิดใชค้ าว่า วิญญาณ ก็มี แต่ความหมายในปญั จขนั ธน์ ้ี ไม่ใช่หมายความถึงสภาพ เช่นนน้ั แต่หมายถงึ ความรูส้ กึ เหน็ รูป ในเร่ืองตากบั รูปกระทบกนั อนั เรียกว่า จกั ขวุ ญิ ญาณ ความรูส้ กึ ไดย้ นิ เสยี ง ใน เวลาท่หี ูกบั เสยี งกระทบั กนั เรียกว่า โสตวิญญาณ ความรูส้ กึ ไดก้ ลน่ิ ในเม่อื ฆานะกบั กล่นิ กระทบกนั เรียกว่า ฆาน วญิ ญาณ ความรูส้ กึ ในรส ในเมอ่ื ล้นิ กบั รสกระทบกนั เรยี กวา่ ชวิ หาวญิ ญาณ ความรูส้ กึ ถูกตอ้ งทก่ี ายถูกตอ้ ง ในเวลาท่ี กายกบั ส่ิงท่ีถูกตอ้ งกายกระทบกนั เรียกว่า กายวิญญาณ ความรูส้ ึกในเร่ืองท่มี โนหรือมนะรู้ ในเวลาท่มี นะกบั เร่ือง กระทบกนั เรยี กวา่ มโนวญิ ญาณ วญิ ญาณในปญั จขนั ธ์ หมายถงึ วญิ ญาณ ๖ คือความรูส้ กึ ทเ่ี กดิ ข้นึ ทางอายตนะทง้ั ๖ ดงั กลา่ วแลว้ ฉะนน้ั ความรูส้ กึ ดงั กลา่ วน้ีจงึ มมี าก เมอ่ื ตาเหน็ รูป เกดิ ความรูส้ กึ เหน็ รูป น้ีก็เป็นจกั ขวุ ญิ ญาณ ครนั้ หูได้ ยนิ เสียง ก็เกดิ ความรูส้ ึกไดย้ นิ เสียงข้นึ กเ็ ป็นโสตวญิ ญาณเป็นตน้ เพราะฉะนนั้ จึงมใิ ช่มหี น่ึง แต่ว่ามมี าก จึงเรียน กวา่ เป็นวญิ ญาณขนั ธ์ ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ วญิ ญาณขนั ธท์ ม่ี อี ธบิ ายอย่างน้ี กเ็ ป็นสง่ิ ท่ีเกดิ ดบั อยูเ่ สมอ ฉะนน้ั ปญั จขนั ธ์ จงึ เป็นไปเพอ่ื อาพาธ คือตอ้ งถูกเบยี ดเบยี น คือตอ้ งถกู ทาลายลา้ งใหส้ ้นิ ไป ดว้ ยอานาจของ ความแก่ เจ็บ ตาย หรือว่า เกิด ดบั อยู่เสมอ ใครๆ จะบงั คบั ใหเ้ป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ คือบงั คบั ใหเ้ป็นอย่างน้ี อย่าใหเ้ป็นอย่างนน้ั กบ็ งั คบั ไม่ได้ อย่างเช่น รูปขนั ธ์ จะบงั คบั ว่าจะตอ้ งใหค้ งอยู่อย่างนนั้ อย่าใหเ้ปลย่ี นแปลงไปเป็น อย่างอ่ืนก็ไม่ได้ ดงั ท่ีจะพึงเห็นไดว้ ่า เม่ือเกิดข้ึนมาก็เปล่ียนแปลงมาจนถึงท่ีสุด ใครจะชอบใจในระยะไหนและ ปรารถนาจะใหค้ งอยู่ระยะนน้ั ก็ปรารถนาไมไ่ ด้ กองเวทนาก็เหมอื นกนั ก็ย่อมปรารถนาสุข แต่จะบงั คบั ใหเ้ป็นสุขอยู่ เสมอไม่ได้ ทุกขก์ ็เหมอื นกนั เม่อื ทุกขเ์ กิดขนั้ โดยปรกตกิ ็ไม่ชอบ แต่ทุกขน์ นั้ ก็ตอ้ งถูกเบยี ดเบยี นเหมอื นกนั คือว่า เมอ่ื เกดิ ข้นึ แลว้ ก็ตอ้ งหายไป แลว้ เกิดอย่างอ่นื ข้นึ แทน กองสญั ญาก็เหมอื นกนั จะบงั คบั ใหจ้ าไดห้ มายรูอ้ ยู่ตลอดไปก็ ไม่ไดเ้ หมอื นกนั กองสงั ขารคือความคิดปรุงหรือความปรุงคิด ก็ไม่ไดเ้ หมอื นกนั และกองวิญญาณคือความรูท้ าง อายตนะดงั กล่าวมานนั้ ก็เหมอื นกนั บงั คบั ใหเ้ ป็นไปตามความปรารถนาไม่ได้ เพราะเหตุท่ีบงั คบั ไม่ไดด้ งั กล่าวมาน้ี ปญั จขนั ธต์ อ้ งเป็นไปเพ่อื อาพาธ ตอ้ งเป็นไปตามคตธิ รรมดา ฉะนน้ั จงึ เป็นอนตั ตา ไมใ่ ช่อตั ตาตวั ตน ๑๔๑ อภ.ิ ส.(บาล)ี ๔๖/๒๔๗.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๒๒๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ตามลกั ษณะน้ีพงึ เหน็ วา่ สง่ิ ทจ่ี ะเป็นอตั ตาตวั ตนนนั้ กค็ วรจะเป็นสง่ิ ท่ไี มเ่ ป็นไปเพ่อื อาพาธ เป็นสง่ิ ท่บี งั คบั ให้ เป็นไปตามปรารถนาได้ ถา้ ไม่เป็นเช่นนนั้ กไ็ ม่ช่อื ว่าอตั ตา ดงั เช่นปญั จขนั ธ์ ซ่งึ เป็นทย่ี ดึ ถอื ว่าเป็นอตั ตา เมอ่ื พจิ ารณา แลว้ กจ็ ะพงึ เหน็ ว่าไมใ่ ช่ แต่เป็นอนตั ตาไมใ่ ช่ตวั ตน ดว้ ยเหตผุ ลดงั ทก่ี ลา่ วมาน้ี ในอฏั ฐสาลนิ ีอรรถกถา๑๔๒ และในอภธิ รรมตั ถวภิ าวนี๑๔๓ บนั ทกึ ไวว้ ่า “จินฺเตตีติ จติ ฺต ฯ “อารมฺมณ วชิ านา ตีติ อตฺโถ ฯ ยถาห “วิสยวิชานนลกฺขณ จิตฺตนฺติ ฯ แปลว่า ธรรมชาตใดย่อมคิด เหตุนนั้ ธรรมชาตินนั้ ชือ่ ว่าจิต อธบิ ายว่า ยอ่ มรูแ้ จง้ อารมณ์ สมดงั คาทที่ ่านกลา่ วไวว้ ่า จติ มกี ารรูแ้ จง้ อารมณเ์ ป็นลกั ษณะ ในคมั ภรี ว์ สิ ุทธมิ รรค พระพทุ ธโฆสาจารย์ อธิบายว่า “จิตอย่างใดอย่างหน่ึง มกี ารรูแ้ จง้ อารมณเ์ ป็นลกั ษณะ มคี ากลา่ วอธบิ ายไวว้ ่า จติ นนั้ ทงั้ หมด ว่าโดยอย่างเดียวพงึ ทราบว่าเป็นวญิ ญาณขนั ธ์ (จติ ๘๙ หรือ ๑๒๑) วญิ ญาณ มกี ารรูแ้ จง้ อารมณอ์ ย่างใดอย่างหน่ึง สมดงั คาทีท่ ่านกล่าวไวว้ ่า ผูม้ อี ายุ ธรรมชาติใด ย่อมรูแ้ จง้ ย่อมรูแ้ จง้ วิเศษ เพราะเหตุนนั้ ท่านจึงเรียกว่า “วิญญาณ” โดยใจความ คาว่า “วญิ ญาณ จิต มโน” เป็นสิง่ เดียวกนั คาว่า จิตนนั่ นนั้ เอง เมอื่ กล่าวโดยสภาวะมอี ย่างเดียวคือการรูแ้ จง้ อารมณเ์ ป็นลกั ษณะ กลา่ วโดยชาตมิ สี าม คือ กุศลชาติ อกศุ ล ชาติ อพั ยากตชาต”ิ ๑๔๔ จติ ในอภธิ รรม มชี ่อื สาหรบั เรียกขานเป็นไวพจนแ์ ทนกนั ได้ ถงึ ๑๐ ช่ือ ดงั น้ีคือ จิต, มโน, หทยั , มนสั , ปณั ฑระ, มนายตนะ, มนินทรยี ,์ วญิ ญาณ, วญิ ญาณขนั ธ,์ มโนวญิ ญาณธาตุ๑๔๕ ความหมายของจติ แต่ละคาเหลา่ น้ี สามารถใชแ้ ทนกนั และมใี ชก้ นั อยูใ่ นภาษาธรรมะโดยทวั่ ไป ดงั นนั้ จากเง่อื นไขของคาอธิบาย ในคมั ภีรพ์ ระอภิธรรมท่ียกมาทง้ั หมดน้ี ท่ีว่ามจี ิตจะตอ้ งมอี ารมณ์ และ จะตอ้ งรบั อารมณด์ ว้ ยเสมอนนั้ ย่อมแสดงความหมายชดั เจนอยู่ในตวั แลว้ ว่าช่อื จติ ท่ใี ชเ้รยี กแทนกนั ทง้ั ๑๐ ช่อื เหลา่ น้ี เป็นจติ ทถ่ี กู อารมณเ์ ขา้ ผสมปรุงแต่ง จนผดิ ไปจากสภาพเดมิ แลว้ ไม่ใช่ธาตุแท้ จงึ เป็น จิตสงั ขาร เมอ่ื เป็นจติ สงั ขาร ก็ ย่อมมกี ารเกดิ ข้นึ และดบั สลายไปเป็นธรรมดา หมายความว่าไม่สามารถรบั รูเ้ร่ืองใดเร่ืองหน่ึงไว้ อย่างถาวรตลอดกาล ได้ เม่อื เร่ืองหน่ึงดบั ไปจากการรบั รูแ้ ลว้ ก็ย่อมมเี ร่ืองอ่ืน ทยอยกนั เขา้ มาสู่จิต ต่อไปอีกตามลาดบั เพราะฉะนนั้ จิต สงั ขารในคมั ภรี พ์ ระอภธิ รรม ทเ่ี รยี กกนั ในนามว่า ‚จิต‛ น้ี จงึ เป็นวบิ ากจิต (ผลของการรบั รูอ้ ารมณ์แต่ละอย่าง) เท่านนั้ ไมใ่ ช่ฐานรองรบั บญุ และกรรมใดๆ เกดิ ข้นึ แลว้ กย็ ่อมดบั ไปตามอารมณ์ เป็นธรรมดา ผูป้ ฏบิ ตั ิธรรมย่อมรูอ้ ยู่เสมอ ไม่ ว่าจติ ชนิดใดเกดิ ข้นึ หรอื ดบั ไปกต็ าม จากตวั อยา่ งทย่ี กมาแสดงน้ี จะเหน็ ไดว้ า่ จติ ในพระอภธิ รรมซ่งึ เกดิ ข้นึ แลว้ ดบั ไปเป็นจติ สงั ขาร ส่วนจติ ของผู้ ปฏบิ ตั นิ นั้ ดารงสภาพรูข้ องตนเองอยู่ตลอดทุกกาลสมยั ไมไ่ ดด้ บั ตามจติ สงั ขารไปดว้ ยแต่ประการใดทงั้ ส้นิ ลกั ขณาทจิ ตกุ กของจติ -ลกฺขณโต ปน วชิ านนลกฺขณํ จิตฺตํ : วา่ โดยลกั ษณะ จติ มกี ารรูอ้ ารมณเ์ ป็นลกั ษณะ ๑๔๒ อภ.ิ ส.(บาล)ี ๔๖/๒๔๗. ๑๔๓ อภ.ิ วภิ าวนิ ี. (บาล)ี หนา้ ๖๖. ๑๔๔ ยงฺกญิ ฺจิ วชิ านนลกฺขณ สพพฺ นฺต เอกโต กตฺวา วญิ ฺญาณกฺขนฺโธ เวทติ พโฺ พติ หิ วุตฺต ฯ กญิ ฺจิ วชิ านนลกฺขณ วญิ ฺญาณ ฯ ขนฺธนิทฺเทโส ยถาห ฯ วชิ านาติ วชิ านาตตี ิ โข อาวุโส ตสฺมา วญิ ฺญาณนฺติ วุจฺจตีติ ฯ วญิ ฺญาณ จิตฺต มโนติ อตฺถโต เอก ฯ ตเทต วชิ านนลกฺขเณน สภาวโต เอก วธิ มปฺ ิ ชาตวิ เสน ตวิ ธิ กสุ ล อกสุ ล อพยฺ ากตญฺจ ฯ อา้ งใน วสิ ุทฺธ.ิ (บาล)ี ๒๒-๒๓. ๑๔๕ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๔/๑๑๔/๑๔๒.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๒๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ -ปุพฺพงฺคมรสํ : เป็นสภาพถงึ ก่อนธรรมทงั้ ปวง เป็นรส (เป็นประธานในธรรมทงั้ ปวงเป็นกจิ ) -สนฺธานปจฺจุปฏฺฐานํ : การมตี ่อเนือ่ งกนั เป็นธรรมไมข่ าดสายเป็นอาการปรากฏ -นามรูปปทฏฺฐานํ : มรี ูปและนามเป็นเหตใุ กลใ้ หเ้กดิ ๑๔๖ คาว่า รูแ้ จง้ เฉพาะทางอย่างใดอย่างหน่ึง หมายถงึ ความรูแ้ จง้ ในการเหน็ รูป รูแ้ จง้ ในไดย้ นิ เสียง เป็นตน้ อาทิ เม่อื จาแนกจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ โดยธาตุแลว้ ไดว้ ิญญาณธาตุมี ๗ ไดแ้ ก่ จกั ขวุ ิญญาณ ๑ โสตวิญญาณ ๑ ฆาน วญิ ญาณ ๑ ชวิ หาวญิ ญาณ ๑ กายวญิ ญาณ ๑ มโนธาตุ ๑ และมโนวญิ ญาณธาตุ ๑ กลา่ วคอื จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุ ไดแ้ ก่ จกั ขวุ ญิ ญาณจิต ๒ โสตวญิ ญาณธาตุ ไดแ้ ก่ โสตวญิ ญาณจติ ๒ ฆานวญิ ญาณธาตุ ไดแ้ ก่ ฆานวญิ ญาณจิต ๒ ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ ไดแ้ ก่ ชวิ หาวญิ ญาณจติ ๒ กายวญิ ญาณธาตุ ไดแ้ ก่ กายวญิ ญาณจติ ๒ มโนธาตุ ไดแ้ ก่ ปญั จทวาราวชั ชนจิต ๑ และ สมั ปฏจิ ฉนั นจิต ๒ มโนวญิ ญาณธาตุ ไดแ้ ก่จติ ๗๖ ดวง (เวน้ ทวปิ ญั จวญิ ญาณ ๑๐ มโนธาตุ ๓) หมายความว่า ความรูส้ กึ เหน็ รูป ในเวลาตากบั รูปกระทบกนั อนั เรียกว่า จกั ขวุ ญิ ญาณ ความรูส้ กึ ไดย้ ิน เสียง ในเวลาท่ีหูกบั เสียงกระทบั กนั เรียกว่า โสตวิญญาณ ความรูส้ ึกไดก้ ล่ิน ในเม่ือฆานะกบั กล่ินกระทบกนั เรียกว่า ฆานวญิ ญาณ ความรูส้ กึ ในรส ในเมอ่ื ล้นิ กบั รสกระทบกนั เรียกว่า ชวิ หาวญิ ญาณ ความรูส้ กึ ถูกตอ้ งท่กี าย ถกู ตอ้ ง ในเวลาทก่ี ายกบั สง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งกายกระทบกนั เรยี กวา่ กายวญิ ญาณ ความรูส้ กึ ในเร่อื งท่มี โนหรือมนะรู้ ในเวลา ทม่ี นะกบั เร่อื งกระทบกนั เรยี กวา่ มโนวญิ ญาณ วิญญาณในปญั จขนั ธ์ หมายถึงวิญญาณ ๖ (วิญญาณธาตุ ๗) คือความรูส้ ึกท่ีเกิดข้นึ ทางอายตนะทง้ั ๖ ดงั กลา่ วแลว้ ฉะนนั้ ความรูส้ กึ ดงั่ กลา่ วน้ีจงึ มมี าก เมอ่ื ตาเหน็ รูป เกดิ ความรูส้ กึ เหน็ รูป น้ีกเ็ ป็นจกั ขวุ ญิ ญาณ ครน้ั หู ไดย้ ินเสยี ง ก็เกิดความรูส้ กึ ไดย้ นิ เสียงข้นึ ก็เป็นโสตวญิ ญาณเป็นตน้ เพราะฉะนนั้ จึงมใิ ช่มหี น่ึง แต่ว่ามมี าก จึง เรยี นกวา่ เป็นวญิ ญาณขนั ธ์ ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ วญิ ญาณขนั ธท์ ม่ี อี ธิบายอยา่ งน้ี กเ็ ป็นสง่ิ ทเ่ี กดิ ดบั อยูเ่ สมอ ฉะนนั้ ปัญจขนั ธ์ จงึ เป็นไปเพ่อื อาพาธ คือตอ้ งถูกเบยี ดเบยี น คือตอ้ งถูกทาลายลา้ งใหส้ ้นิ ไป ดว้ ยอานาจ ของความแก่ เจบ็ ตาย หรอื ว่า เกดิ ดบั อยูเ่ สมอ ใครๆ จะบงั คบั ใหเ้ป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ คือบงั คบั ใหเ้ป็นอย่าง น้ี อย่าใหเ้ป็นอย่างนน้ั กบ็ งั คบั ไมไ่ ด้ อย่างเช่น รูปขนั ธ์ จะบงั คบั ว่าจะตอ้ งใหค้ งอยู่อย่างนน้ั อย่าใหเ้ปลย่ี นแปลงไป เป็นอย่างอ่นื กไ็ ม่ได้ ดงั ท่จี ะพงึ เหน็ ไดว้ ่า เมอ่ื เกดิ ข้นึ มาก็เปล่ยี นแปลงมาจนถงึ ท่สี ุด ใครจะชอบใจในระยะไหนและ ปรารถนาจะใหค้ งอยู่ระยะนน้ั ก็ปรารถนาไมไ่ ด้ กองเวทนากเ็ หมอื นกนั ก็ย่อมปรารถนาสุข แต่จะบงั คบั ใหเ้ป็นสุขอยู่ เสมอไม่ได้ ทุกขก์ ็เหมอื นกนั เมอ่ื ทุกขเ์ กิดขน้ั โดยปรกติก็ไม่ชอบ แต่ทุกขน์ น้ั ก็ตอ้ งถกู เบยี ดเบยี นเหมอื นกนั คือว่า เมอ่ื เกดิ ข้นึ แลว้ กต็ อ้ งหายไป แลว้ เกดิ อย่างอ่นื ข้นึ แทน กองสญั ญากเ็ หมอื นกนั จะบงั คบั ใหจ้ าไดห้ มายรูอ้ ยู่ตลอดไปก็ ไม่ไดเ้ หมอื นกนั กองสงั ขาร คือความคิดปรุงหรือความปรุงคิด ก็ไม่ไดเ้ หมอื นกนั และกองวญิ ญาณคือความรูท้ าง ๑๔๖ อภ.ิ ส.(บาล)ี ๔๖/๒๔๗.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๒๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ อายตนะ ดงั กลา่ วมานนั้ กเ็ หมอื นกนั บงั คบั ใหเ้ป็นไปตามความปรารถนาไม่ได้ เพราะเหตทุ ่บี งั คบั ไมไ่ ดด้ งั กล่าวมาน้ี ปญั จขนั ธต์ อ้ งเป็นไปเพอ่ื อาพาธ ตอ้ งเป็นไปตามคตธิ รรมดา ฉะนนั้ จงึ เป็นอนตั ตา ไมใ่ ช่ อตั ตาตวั ตน ตามลกั ษณะน้ีพงึ เหน็ ว่า สง่ิ ท่จี ะเป็นอตั ตาตวั ตนนนั้ ก็ควรจะเป็นสง่ิ ท่ไี ม่เป็นไปเพ่อื อาพาธ เป็นสง่ิ ท่บี งั คบั ใหเ้ ป็นไปตามปรารถนาได้ ถา้ ไม่เป็นเช่นนน้ั ก็ไม่ช่ือว่าอตั ตา ดงั เช่นปญั จขนั ธ์ ซ่ึงเป็นท่ียึดถือว่าเป็นอตั ตา เม่ือ พจิ ารณาแลว้ กจ็ ะพงึ เหน็ ว่าไม่ใช่ แต่เป็นอนตั ตาไมใ่ ช่ตวั ตน ดว้ ยเหตผุ ลดงั่ ทกี ลา่ วมาน้ี ๓.๖ อนตั ตลกั ขณสูตร สาระสาคญั ของกฏไตรลกั ษณ์ในอนัตตลกั ขณสูตร พระไตรลกั ษณ์๑๔๗ คือลกั ษณะ ๓ ประการแห่งสงั ขารธรรมทงั้ หลาย (the Three Characteristics) ๑. อนิจจตา ความเป็นของไมเ่ ทย่ี ง (impermanence; transiency) ๒. ทกุ ขตา ความเป็นทกุ ข์ (state of suffering or being oppressed) ๓. อนัตตตา ความเป็นของไมใ่ ช่ตน (soullessness; not-self) เดมิ ทนี น้ั แมแ้ ต่ในพระไตรปิฎกกเ็ รยี กกนั โดยทวั่ ไปว่าธรรมนิยาม (ธมมฺ นิยามตา) ทแ่ี ปลว่า นิยามของธรรม (หรอื ธรรมชาต)ิ ทม่ี คี วามหมายว่า ขอ้ กาหนดหรอื ความกาหนดท่แี น่นอนแห่งธรรม หรือก็คือธรรมชาตินนั่ เอง ส่วน คาว่าพระไตรลกั ษณ์ และคาว่าสามญั ลกั ษณะหรือสามญั ญลกั ษณะ ทม่ี ีความหมายเดยี วกนั กบั ธรรมนิยามนน้ั เป็น คาทเ่ี กดิ ข้นึ ในภายหลงั ในยุคอรรถกถา พระไตรลกั ษณห์ รอื ธรรมนิยามเป็นขอ้ ธรรมทแ่ี สดงถงึ ลกั ษณะ หรือกฏ หรอื ขอ้ กาหนดของธรรม หรือก็คือ ธรรมชาตอิ นั ยง่ิ ใหญ่และล้ลี บั แต่ดว้ ยพระปรีชาญาณขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ธรรมของพระองคท์ ่าน ไดห้ งายของท่คี วา่ อยู่ เปิดของท่ปี ิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทปี ไวใ้ นท่มี ดื ดว้ ยพระประสงคว์ ่าผูม้ ี จกั ษุคือปญั ญาจะไดแ้ ลเหน็ กล่าวคือทรงแสดงสภาวธรรม (ธรรมชาต)ิ อนั ล้ลี บั ท่ไี ม่มผี ูใ้ ดล่วงรูอ้ ย่างถูกตอ้ ง อย่าง แจ่มแจง้ อย่างแทจ้ ริงมาก่อน นบั เน่ืองมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะพระองคท์ ่าน ทรงสอนแต่ในเร่อื งธรรมชาตขิ อง ความทุกข์ ท่ีหมายถึงเนน้ สอนในเร่ืองสภาวธรรมหรือธรรมชาติของการเกิดข้ึนแห่งทุกขเ์ ป็นสาคญั ซ่ึงก็เพ่ือยงั ประโยชนอ์ นั ย่งิ ใหญ่โดยการนาเอาความรูค้ วามเขา้ ใจอนั ย่งิ ใหญ่เก่ยี วกบั ความทุกขน์ นั้ ไปใชใ้ นการเพ่ือการดบั ทกุ ข์ อนั เป็นสุขยง่ิ เป็นทส่ี ุดนนั่ เอง อนั เกิดข้นึ และเป็นไป ดงั พระดารสั ท่ตี รสั ไวต้ อนหน่ึงว่า ‚ปพุ เฺ พ จาห ภกิ ขฺ เว เอตรหิ จ ทุกขฺ ญฺเจว ปญฺญาเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธ‛๑๔๘ ในกาลก่อนน้ี กด็ ี ในบดั น้ี กด็ ี เราตถาคต ย่อมบญั ญตั ิเฉพาะเรือ่ งทุกข์ และการดบั สนิทไมเ่ หลอื ของทุกขเ์ท่านนั้ ๑๔๙ พระองคท์ ่านทรงเปิดหงายของทค่ี วา่ อยู่ อนั ยากยง่ิ ต่อการหยงั่ รูไ้ ดอ้ ย่างแจ่มแจง้ แทจ้ รงิ ทรงแสดงแจกแจง แก่เวไนยสตั วด์ ว้ ยพระกรุณาคุณ ทรงแสดงพระไตรลกั ษณ์หรือธรรมนิยาม อนั เป็นสภาวะแห่งธรรมหรือธรรมชาติ ๑๔๗ ส.สฬ. (ไทย) ๑๘/๑-๑๒/๑-๙., ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๗๗-๒๗๙/๑๑๘. ๑๔๘ ม.ม.ู (บาล)ี ๑๒/๒๘๖/๒๗๖. ๑๔๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๔๖/๒๖๔.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๒๒๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ของเหลา่ สงั ขารและธรรมทงั้ ปวงว่า สงั ขารทงั้ หลายทง้ั ปวงลว้ นส้นิ กล่าวคือไม่มขี อ้ ยกเวน้ ใดๆ ลว้ นเกิดมาแต่การท่มี ี เหตมุ าเป็นปจั จยั กนั ทง้ั ส้นิ ทงั้ ปวง จึงทาใหต้ ่างกล็ ว้ นตอ้ งอยู่ภายใตอ้ านาจของ อนิจจงั , ทกุ ขงั และธรรมทงั้ ปวงลว้ น เป็นอนตั ตา เป็นธรรมคาสอนเพอ่ื ใหเ้กดิ นิพพทิ าญาณ คือเกดิ ความหน่ายจากการไปรูค้ วามจรงิ เมอ่ื หน่ายจึงเกดิ การ คลายกาหนดั คือตณั หาความอยาก จงึ วางความยดึ มนั่ หรอื อปุ าทาน (ซง่ึ เป็นไปตามปฏจิ จสมปุ บาทธรรม นนั่ เอง) การเจรญิ วปิ สั สนาในพระไตรลกั ษณใ์ หแ้ จ่มแจง้ จงึ เป็นการนาออกและละเสยี ซ่งึ เหลา่ ตณั หาอปุ าทานในขน้ั ปญั ญาหรือวปิ สั สนา ดงั มพี ุทธพจนต์ รสั สอนเก่ียวกบั ธรรมนิยามหรือพระไตรลกั ษณ์ ดงั พทุ ธพจนใ์ นพระสุตตตั นต ปิฎก องั คุตตรนิกาย ตกิ นิบาต อปุ ปาทาสูตร๑๕๐ ไวด้ งั น้ี สพเฺ พ สงฺขารา อนิจจฺ า : สงั ขารทง้ั ปวง ไมเ่ ทย่ี ง (อนิจจงั - อนิจจตา) สพเฺ พ สงฺขารา ทกุ ขฺ า : สงั ขารทง้ั ปวงคงทนอยู่ไมไ่ ด้ (ทกุ ขงั - ทกุ ขตา) สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า : ธรรมทง้ั ปวง ไมเ่ ป็นตวั ตน (อนตั ตา- อนตั ตตา) ในขทุ ทกนิกาย ธรรมบท๑๕๑ ทรงตรสั ไวว้ ่า อนิจจลกั ษณะ ‚สพเฺ พ สงฺขารา อนิจจฺ าติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพพฺ นิ ฺทติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ุทธฺ ยิ าติ. แปลความว่า “เมอ่ื ใด อรยิ สาวกพจิ ารณาเหน็ ดว้ ยปญั ญา ว่า สงั ขารทงั้ หลาย ทงั้ ปวงไม่เทย่ี ง เมอ่ื นน้ั ย่อม หน่ายในทกุ ขน์ นั่ เป็นทางแห่งความบรสิ ุทธ์”ิ ทกุ ขลกั ษณะ “สพเฺ พ สงฺขารา อนิจจฺ าติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพพฺ นิ ฺทติ ทกุ เฺ ข เอส มคฺโค วสิ ุทธฺ ยิ าติ แปลความวา่ “เมอ่ื ใด อรยิ สาวกพจิ ารณาเหน็ ดว้ ยปญั ญา วา่ สงั ขารทงั้ หลายทง้ั ปวง เป็นทกุ ข์ เมอ่ื นน้ั ย่อม หน่ายในทุกขน์ นั่ เป็นทางแห่งความบรสิ ุทธ์ิ” อนตั ตลกั ษณะ ‚สพเฺ พ ธมมฺ า อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพพฺ นิ ฺทติ ทกุ ฺเข, เอส มคฺโค วสิ ุทธฺ ิยาติ. แปลความวา่ “เมอ่ื ใด อรยิ สาวก พจิ ารณาเหน็ ดว้ ยปญั ญาวา่ ธรรมทง้ั หลาย ทงั้ ปวงเป็นอนตั ตา เมอ่ื นน้ั ยอ่ มหน่ายในทกุ ขน์ นั่ เป็นทางแหง่ ความบรสิ ุทธ์”ิ ๑๕๐ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕. ๑๕๑ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๗๗-๒๗๙/๑๑๘. คาว่า “เหน็ ดว้ ยปญั ญา” หมายถงึ การเหน็ ทเ่ี กดิ จากวปิ ัสสนาปญั ญา ฯ ตตฺถ ‘สพเฺ พ สงฺขาราติ: \"กามภวาทสี ุ อุปฺปนฺนา ขนฺธา ตตฺถ ตตฺเถว นิรุชฺฌนโต อนิจฺจาติ ยทา วปิ สฺสนาปญฺญาย ปสฺสติ, อถ อมิ สฺมึ ขนฺธปริหรณทกุ ฺเข นิพฺพนิ ฺทติ, นพิ พฺ นิ ฺทนฺโต ทกุ ขฺ ปริชานนาทวิ เสน สจจฺ านิ ปฏวิ ชิ ฌฺ ต.ิ เอส มคฺโค วสิ ทุ ธฺ ิยาติ : วสิ ทุ ฺธตฺถาย โวทานตฺถาย เอส มคฺโคติ อตโฺ ถ. อา้ งใน ข.ุ ธ.อ. ๗/๖๑.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๒๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ธรรมนิยาม ๓ (Natural Law) ในธรรมบท พระพุทธเจา้ ตรสั ถึงกฎธรรมชาติเก่ียวกบั อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา๑๕๒ เรียกว่า ธรรมนิยาม (orderliness of nature; natural law) หมายถงึ ความเป็นไปอนั แน่นอนโดยธรรมดาตามกฎธรรมชาติ มี ๓ คอื ๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา : สงั ขารทงั้ หลายคือ สงั ขตธรรมทงั้ ปวงไม่เทย่ี ง (all conditioned states are impermanent) ๒. สพฺเพ สงฺขารา ทกุ ขฺ า : สงั ขารทงั้ หลายคือสงั ขตธรรมทงั้ ปวงเป็นทุกข์ (all conditioned states are subject to oppression, conflict or suffering) ๓. สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา : ธรรมทงั้ หลายทงั้ ปวงคือ สงั ขตธรรมและอสงั ขตธรรม หรือสงั ขารและ วสิ งั ขาร ทง้ั ปวงไมใ่ ช่ตน (all states are not-self or soulless) หลกั ความจริงน้ี แสดงใหเ้ ห็นลกั ษณะ ๓ อย่าง ท่ีเรียกว่า ‚ไตรลกั ษณ์‛ ของสภาวธรรมทง้ั หลาย แม้ พระพุทธเจา้ จะอุบตั ิหรือไม่ก็ตาม หลกั ทงั้ สามน้ีกย็ งั คงมอี ยู่เป็นธรรมดา พระพุทธเจา้ เป็นแต่ทรงคน้ พบ และนามา เปิดเผยแสดงแก่เวไนยสตั วท์ ง้ั หลาย ดงั พทุ ธพจนใ์ นพระสุตตตั นตปิฎก องั คุตตรนิกาย ตกิ นิบาต อปุ ปาทาสูตร๑๕๓ “ภกิ ษุทงั้ หลาย ตถาคตเกดิ ข้นึ กต็ าม ไมเ่ กดิ ข้นึ กต็ าม ธาตนุ นั้ คือความ ตงั้ อยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตาม ธรรมดาก็คงตงั้ อยู่อย่างนนั้ ตถาคตรู ้ บรรลุธาตุ นนั้ ว่า ‚สงั ขารทงั้ ปวงไม่เทีย่ ง‛ ครนั้ รู ้ บรรลุแลว้ จึงบอก แสดง บญั ญตั ิ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาใหง้ ่ายวา่ ‚สงั ขารทงั้ ปวงไมเ่ ทยี่ ง‛ ตถาคตเกิดข้นึ กต็ าม ไม่เกิดข้นึ ก็ตาม ธาตนุ นั้ คอื ความตงั้ อยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตงั้ อยู่ อย่างนนั้ ตถาคตรู ้ บรรลุธาตนุ นั้ ว่า ‚สงั ขารทงั้ ปวง เป็นทุกข‛์ ครนั้ รู ้ บรรลุแลว้ จึงบอก แสดง บญั ญตั ิ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาใหง้ ่ายว่า ‚สงั ขารทงั้ ปวงเป็นทกุ ข‛์ ตถาคตเกดิ ข้นึ ก็ตาม ไม่เกดิ ข้นึ ก็ตาม ธาตนุ นั้ คือความตงั้ อยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตงั้ อยู่อย่าง นนั้ ตถาคตรู ้ บรรลุธาตนุ นั้ ว่า ‚ธรรมทงั้ ปวงเป็นอนตั ตา‛ ครนั้ รู ้ บรรลุแลว้ จึงบอก แสดง บญั ญตั ิ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาใหง้ ่ายวา่ ‚ธรรมทงั้ ปวง เป็นอนตั ตา‛ ‚ไตรลกั ษณ์‛ ถอื เป็นความเช่อื ทย่ี ดึ ถอื ‚สภาวโลก‛ ท่เี ป็นไปตามธรรมชาติ ส่งิ ทป่ี รากฏไมไ่ ดถ้ กู สรา้ งข้นึ จาก อานาจเหนือธรรมชาติ (Supernatural Power) ซง่ึ ตอ้ งอธบิ ายดว้ ยกฎทางวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ จดั อยู่ใน ‚ปรชั ญาสจั จนิยม‛ (Realism) คือ ส่งิ ท่ปี รากฏนน้ั เป็นการปรากฏข้นึ ทางวตั ถทุ เ่ี ป็นจรงิ เท่านน้ั สามารถจบั ตอ้ งได้ ไม่เก่ยี วขอ้ งกบั จิตตาม แนว ‚ปรชั ญาธรรมชาตนิ ิยม‛ (Naturalism) คือส่งิ ท่ปี รากฏทงั้ หลายเป็นไปตามสภาพทเ่ี ป็นจรงิ ไมม่ ผี ูใ้ ดเสกสรรข้นึ มา แนวคิดน้ีตรงกบั พทุ ธศาสนาในส่วนทเ่ี ป็น ‚รูปขนั ธ‛์ (Corporeality) ตามแนว ‚ปรชั ญาจติ นิยม‛ (Idealism) คือทกุ ส่งิ เป็นเร่อื งมายา เป็น ‚ภาพลวงตา‛ (Illusion) สง่ิ ปรากฏท่เี ห็นเป็นเร่อื งจติ ซ่งึ ตรงกบั แนวคิดทางปรชั ญาพทุ ธศาสนาใน ส่วนท่เี ป็น‚นามขนั ธ‛์ ๑๕๔ (อรูปิโน ธมมฺ า : Incoporeality) คุณสมบตั ิพเิ ศษอย่างหน่ึงของพทุ ธศาสนา คือความเป็น หลกั ศาสนา (Religionism or Religious Zeal) คือความเช่อื ความศรทั ธา ในหลกั ปฏบิ ตั จิ รยิ าหรือ ‚ความเป็นหลกั ปรชั ญา‛ (Philosophy) คอื หลกั ความเชอ่ื ทศ่ี ึกษาธรรมชาตดิ ว้ ยเหตผุ ลหรือตรรกะ (Logic) ๑๕๒ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๗๒/๒๗๔. ๑๕๓ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕. ๑๕๔ อภ.ิ ส. (ไทย) ๓๔/๑๑/๗. รูปีทกุ ะ ฯ รูปิ โน ธมมฺ า. สภาวธรรมทเ่ี ป็นรูป ฯ อรูปิ โน ธมฺมา สภาวธรรมทไ่ี มเ่ ป็นรูป ฯ

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๒๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ธรรมนิยาม ๓ นนั้ เป็นเร่อื งธรรมดาสามญั ทวั่ ไป ผูค้ นส่วนใหญ่จะมองขา้ มไปกลายเป็นเร่อื งไรส้ าระท่คี วรจะ นามาครุ่นคิดถงึ มลู เหตุ (มูลการณ์) ท่อี ยู่เบ้อื งหลงั ของการอบุ ตั ิข้นึ ของปรากฏการณแ์ ห่งสภาวธรรมนน้ั การไม่สงั เกต เหตุการณ์ท่กี ลายเป็นอุปนิสยั น้ี เรียกว่า ‚ดาเนินชีวิตดว้ ยความประมาณอย่างแทจ้ ริง‛ ไม่เกิดความวิตกสงสยั ใน สภาพแวดลอ้ ม (Environment) ทป่ี รากฏอยู่รอบลอ้ มตนเอง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใน ‚โลกแห่งวตั ถสุ สาร‛ หรือ ‚โลก แห่งจิตวิญญาณ‛ ท่ีเป็น ‚ปรมตั ถสจั จธรรม‛ (Absolute Truth) ก็ตาม ความไม่ใส่ใจท่ีจะรบั รู้ (Loss of Consciousness) ความปล่อยปละละเลย (Overlooking) ความหลงลมื ตวั (Unclear Comprehension) หรือ ความเหน็ ผดิ แห่งทฏิ ฐิ (Speculative Opinion) ทาใหม้ องขา้ มความละเอยี ดอ่อนในความเป็นจริงตามธรรมชาติ มอง ไม่เหน็ สามญั ลกั ษณะท่ปี รากฏอยู่จริง มองไม่เหน็ ความจริง คือ ‚การหลอกตวั เอง‛ (Self–Deception) ดว้ ยเหตุผล ดงั กล่าวน้ี บุคคลนน้ั จึงมองไมล่ กั ษณะท่เี ป็นสามญั แห่งไตรลกั ษณ์ โดยมี ‚อวิชชา‛ กบั ‚วปิ ลาส‛ เป็นมลู การณ์แห่ง ความทุกขท์ ่จี ะตามมา กลายเป็นอุปสรรคหรือปญั หาในการดาเนินชีวติ รวมทง้ั ลดโอกาสในการปฏิบตั ธิ รรมเพ่อื ความ หลดุ พน้ กเิ ลสและกองทุกขท์ ง้ั ปวง (อปุ าทานขนั ธ์ ๕) นนั่ เอง ดงั นนั้ ควรเลกิ นิสยั หรอื อุปนิสยั นนั้ เสยี หลกั ไตรลกั ษณ์ คือกฎธรรมชาติท่ีอธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนในธรรมชาติตามท่ีเป็นจริง หมายถึง ‚ปรมตั ถสจั จธรรม‛ นนั่ เอง ไมว่ ่าส่งิ ทเ่ี กดิ ข้นึ จะเป็นเหตุการณ์ท่เี ป็น ‚รูปธรรม‛ (สภาวะทเ่ี ก่ยี วกบั ดา้ นกายภาค) หรือ ‚นามธรรม‛ (สภาวะท่เี ก่ียวกบั ดา้ นจิตใจ) ก็ตาม ซ่งึ ทง้ั สองเหตุการณ์ดงั กล่าวนน้ั ก็มคี วามเป็นวิทยาศาสตร์ ท่ี สามารถพสิ ูจนไ์ ดด้ ว้ ยตนเองเป็นสาคญั โดยเฉพาะผูเ้ป็นพทุ ธศาสนิกชน ไม่สมควรอย่างย่งิ ท่จี ะปลงใจเช่ือขอ้ สรุป อะไรอย่างง่ายๆ อย่างขาดเหตุผล ดงั หลกั ธรรม ‚กาลามสูตรกงั ขานิยฐาน ๑๐‛ หมายถงึ วิธีปฏบิ ตั ิในเร่อื งท่คี วร สงสยั หรอื หลกั ความเชอ่ื ทอ่ี งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงตรสั ไวใ้ น ‚กาลามสูตร‛ (เกสปตุ ติสูตร) เพ่อื สอนชน ชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแควน้ โกศล ไม่ใหเ้ช่ืองมงายไรเ้ หตผุ ลตามหลกั การ ๑๐ ประการ ไดแ้ ก่ (๑) อย่า ปลงใจเช่ือ ดว้ ยการฟงั ตามกนั มา (๒) อย่าปลงใจเช่ือ ดว้ ยการถือสืบๆ กนั มา (๓) อย่าปลงใจเช่ือ ดว้ ยการเล่าลอื (๔) อย่าปลงใจเช่ือ ดว้ ยการอา้ งตาราหรือคมั ภีร์ (๕) อย่าปลงใจเช่ือ เพราะตรรกะ (๖) อย่าปลงใจเช่ือ เพราะการ อนุมาน (๗) อย่าปลงใจเช่อื ดว้ ยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (๘) อย่าปลงใจเช่ือ เพราะเขา้ ไดก้ บั ทฤษฎีทพ่ี นิ ิจไว้ แลว้ (๙) อย่าปลงใจเช่อื เพราะมองเหน็ รูปลกั ษณะน่าจะเป็นไปได้ (๑๐) อย่าปลงใจเช่อื เพราะนบั ถอื ว่า ท่านสมณะ น้ีเป็นครูของเรา๑๕๕ ดงั นน้ั การจะเหน็ ผลสมั ฤทธ์ไิ ดต้ ามหลกั ธรรมพุทธศาสนานน้ั จะตอ้ งพิสูจนด์ ว้ ยตนเอง ทาเอง รูเ้ อง เห็น เองเท่านน้ั ดงั ในธรรมคุณ๑๕๖ ขอ้ ท่ี ๒ และขอ้ ท่ี ๖ แสดงนยั ไวว้ ่า สนฺทิฏฺฐโิ ก (to be seen for oneself) หมายถงึ อนั ผูป้ ฏบิ ตั จิ ะพงึ เหน็ ชดั ดว้ ยตนเอง คือ ผูใ้ ดปฏบิ ตั ิ ผูใ้ ด บรรลุ ผูน้ น้ั ย่อมเหน็ ประจกั ษด์ ว้ ยตนเอง ไม่ตอ้ งเช่ือตามคาของผูอ้ ่ืน ผูใ้ ดไม่ปฏิบตั ิ ไม่บรรลุ ผูอ้ ่ืนจะบอกก็เห็น ไมไ่ ด‛้ ๑๕๕ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๖๖/๒๕๗. ๑๕๖ องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๒๗๙/๓๐๑.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๒๒๖ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ปจฺจตฺต เวทติ พฺโพ วิญฺญูหิ (directly experienceable by the wise) หมายถงึ ‚อนั วญิ ญูชนพงึ รูเ้ฉพาะ ตน คือเป็นวสิ ยั ของวญิ ญูชนจะพงึ รูไ้ ด้ เป็นของจาเพาะตน ตอ้ งทาจึงเสวยไดเ้ ฉพาะตวั ทาใหก้ นั ไม่ได้ เอาจากกนั ไมไ่ ด้ และรูไ้ ดป้ ระจกั ษท์ ่ใี นใจของตนน่ีเอง‛ เพราะส่งิ ทก่ี าลงั ศึกษานนั้ เป็น ‚อริยสจั จธรรม‛ (Noble Truth) นนั่ คือ ‚ความจริงอนั ประเสรฐิ ‛ หรือ ‚ความรูอ้ นั สูงสุด‛ (Absolute Knowledge) ซง่ึ หมายถงึ ‚ปรมตั ถสจั จธรรม‛ ไม่ใช่ธรรมแห่งความวบิ ตั ิ ในประเดน็ น้ี เป็นปรศิ นาธรรมทผ่ี ูป้ ฏบิ ตั ธิ รรมและผูใ้ ฝ่ในธรรมตอ้ งตคี วามใหแ้ ตกในความหมายท่แี ฝงอยู่เบ้อื งหลงั (Implication) ระหวา่ งหลกั ธรรมกบั สภาวธรรมตามความเป็นจริง ผลลพั ธ์ คือความเขา้ ใจอย่างถูกตอ้ งซ่งึ จะกลายเป็นปญั ญาต่อไป ลองพจิ ารณา ‚บทพจิ ารณาสงั ขาร‛ และ ‚คาภาวนาทอดผา้ บงั สุกุล‛ ซ่งึ มเี น้ือหาเก่ยี วขอ้ งกบั หลกั ธรรม ‚ไตรลกั ษณ์‛ โดยตรงซง่ึ แสดงนยั สาคญั ใหเ้หน็ ‚สามญั ลกั ษณะ‛ ของสรรพส่งิ ทไ่ี มค่ วรยดึ มนั่ ถอื มนั่ ใน ‚อุปาทานขนั ธ์ ๕‛ พงึ เร่ง ปฏบิ ตั ิธรรม อนั เป็นพทุ ธกจิ ทต่ี อ้ งกระทาดว้ ยความไม่ประมาท ‚อปั ปมาทะ‛ หลกั ธรรมเหล่าน้ี ดูเหมอื นไมซ่ บั ซอ้ น อะไรมากนกั แต่แฝงนยั สาคญั แห่งหลกั การอย่างลกึ ซ้งึ ดงั น้ี บทพจิ ารณาสงั ขาร (Body Consideration) สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา : สงั ขาร คือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทงั้ หมดทง้ั ส้นิ มนั ไม่เท่ยี ง เกดิ ข้นึ แลว้ ดบั ไปแลว้ มแี ลว้ หายไป สพฺเพ สงฺขารา ทุกขฺ า : สงั ขาร คือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทงั้ หมดทงั้ ส้นิ มนั เป็นทุกข์ ทน ยาก เพราะเกดิ ข้นึ แลว้ แก่ เจบ็ ตายไป สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา : ส่งิ ทงั้ หลายทง้ั ปวง ทง้ั ทเ่ี ป็นสงั ขาร แลมใิ ช่สงั ขาร ทง้ั หมดทง้ั ส้นิ ไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตน ไมค่ วรถอื วา่ เรา วา่ ของเรา วา่ ตวั วา่ ตนของเรา อธุว ชีวติ ธุว มรณ : ชวี ติ เป็นของไมย่ งั่ ยนื ความตายเป็นของยงั่ ยนื อวสส มยา มริตพฺพ มรณปริโยสาน เม ชีวิต : อนั เราจะพงึ ตายเป็นแท้ ชีวติ ของเรามคี วามตายเป็นท่สี ุด รอบ ชีวติ เม อนิยต มรณ เม นิยต วต : ชวี ติ ของเราเป็นของไมเ่ ทย่ี ง ความตายของเราเป็นของเทย่ี ง ควรทจ่ี ะ สงั เวช อจริ วต อย กาโย ปฐวึ อธเิ สสฺสติ : ร่างกายน้ี มไิ ดต้ งั้ อยูน่ าน จกั นอนทบั ซง่ึ แผ่นดนิ ฉุฑโฺ ฑ อเปตวญิ ฺญาโณ นิรตถ ว กลิงฺคร : ครนั้ ปราศจากวญิ ญาณ อนั เขาท้งิ เสยี แลว้ ประดุจดงั ว่าท่อนไม้ และทอ่ นฟืน หาประโยชนม์ ไิ ด้ อนิจจา วต สงฺขารา อปุ ปฺ าทวยธมมฺ ิโน : สงั ขารทงั้ ไม่เทย่ี งหนอ มคี วามเกดิ ข้นึ แลว้ มคี วามเสอ่ื มไปเป็น ธรรมดา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตส วูปสโม สุโข : ครนั้ เกิดข้นึ แลว้ ย่อมดบั ไป ความเขา้ ไปสงบระงบั สงั ขาร ทงั้ หลายเป็นสุขอย่างยง่ิ สพฺเพ สตตฺ า มรนฺติ จ มรงิ สุ จ มรสิ ฺสเร : สตั วท์ ง้ั หลายทงั้ ส้นิ ตายอยู่ดว้ ย สตั วท์ งั้ หลาย ตายแลว้ ดว้ ย สตั วท์ งั้ หลาย จกั ตายดว้ ย

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๒๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตเถวาห มรสิ สฺ ามิ นตถฺ ิ เม เอตถฺ สงฺสโย : ตวั เราจกั ตายอย่างนน้ั นนั่ เทยี ว ความสงสยั ในเร่อื งตายน้ี ไมม่ ี แก่เรา ดงั น้ี นอกจากน้ีความเชือ่ ของชาวพุทธไทย นิยมนาไปใชเ้ กีย่ วกบั คาภาวนาในเวลาทอดผา้ บงั สุกุลว่า “นามรูป อนิจฺจ นามรูป ทกุ ขฺ นามรูป อนตตฺ า” แปลว่า นามรูป ไมเ่ ทย่ี ง นามรูป เป็นทกุ ข์ นามรูป ไมใ่ ช่ตวั ตน ส่ิงท่ีตอ้ งพิจาณาทาใหเ้ ห็นจริงแจง้ ชดั ในหลกั ธรรมท่ีสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงตรสั รูเ้ ห็นพระสจั จธรรมอนั ส้นิ สุดแห่งความสงสยั น้ีคอื ‚การเจรญิ ปญั ญาญาณแห่งการหยงั่ รูใ้ นสภาวธรรมท่ปี รากฏจรงิ ตามธรรมชาติ‛ ท่เี รยี กว่า ‚ยถาภตู ธรรม‛ หมายถงึ สภาวะทป่ี รากฏเป็นเช่นนน้ั ดว้ ยตวั ของมนั เองคือ‚ตถตา‛ (Objectivity–ภาวะทส่ี ่งิ ทงั้ หลาย ทง้ั ปวงเป็นของมนั อย่างนน้ั เอง ซง่ึ เป็นไปตามเหตุปจั จยั เป็นอกี ช่อื หน่ึงของ ‚ปฏจิ จสมปุ บาท‛ หรือ ‚อิทปั ปจั จยตา‛) ไม่มลี กั ษณะเป็นอย่างอ่นื คือ ‚อนญั ญตา‛ (Impartiality) ไมใ่ ช่สงั ขารท่จี ิตปรุงแต่งข้นึ มา หรอื สง่ิ ท่ปี รุงแต่งข้นึ คือ ‚สงั ขตสงั ขาร‛ (Formation) ตามเหตุปจั จยั ปรุงแต่งตามหลกั ธรรม ‚ปฏิจจสมปุ บาท‛ ท่เี รียกว่า ‚สงั ขตธรรม‛ หมายถึง สภาพทป่ี รุงแต่งแลว้ ท่มี คี วามแปรปรวนเกิดดบั อยู่ตลอดเวลา (สงั ขารธรรม–สภาพทป่ี รุงแต่ง) คือ ‚ขนั ธ์ ๕‛ ทงั้ หมด หรือ ‚สงั ขาร‛ (ส่งิ ทป่ี จั จยั ปรุงแต่งข้นึ สงั ขารทกุ อย่างทม่ี กี ารปรุงแต่งข้นึ จากหลายๆ สง่ิ รวมกนั เรยี กว่า ‚สงั ขตะ‛ หมายถงึ ทกุ ส่งิ ทุกอย่างนอกจาก ‚นิพพาน‛ สาหรบั ‚นิพพาน‛ นน้ั เป็น ‚อสงั ขตะ‛ หรือ ‚วสิ งั ขาร‛ คือไม่มี อะไรปรุงแต่ง) ดงั นน้ั ‚ลกั ษณะแห่งสงั ขตธรรม‛ คือสง่ิ ทป่ี จั จยั ปรุงแต่งข้นึ ถา้ ยกเอาหลกั ธรรมนิยามท่แี สดงไตรลกั ษณ์ หรอื สามญั ลกั ษณ์ ๓ อย่าง มาตงั้ เป็นหวั ขอ้ อีกครง้ั หน่ึงเพ่อื อธบิ ายใหล้ กึ ซ้งึ ยง่ิ ข้นึ ไป ตามแนวหลกั วชิ าทม่ี หี ลกั ฐานอยูใ่ นคมั ภรี ต์ ่างๆ ดงั น้ี ก. สงั ขารทงั้ หลายทง้ั ปวง ไมเ่ ทย่ี ง (สพเฺ พ สงฺขารา อนิจจฺ า) ข. สงั ขารทง้ั หลายทง้ั ปวง เป็นทกุ ข์ (สพเฺ พ สงขฺ ารา ทกุ ขฺ า) ค. ธรรมทงั้ หลายทงั้ ปวง เป็นอนตั ตา (สพเฺ พ ธมมฺ า ทกุ ขฺ า) สงั ขารทงั้ ปวง ไม่เท่ยี ง (สพเฺ พ สงฺขารา อนิจจา) ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ ๕ ท่เี กิดในกามภพ รูปภพ หรอื ขนั ธ์ ๔ ทเ่ี กิด ในอรูปภพ ชอ่ื ว่าเป็นอนิจจา เพราะมสี ภาวะทด่ี บั ไปในภพนน้ั ๆ (สพเฺ พ สงฺขาราติ: ‚กามภวาทสี ุ อปุ ปฺ นฺนา ขนฺธา ตตฺถ ตตเฺ ถว นิรุชฌฺ นโต อนิจจฺ าต)ิ สงั ขารทงั้ ปวง ช่อื ว่าเป็นทกุ ข์ เพราะอรรถว่าบบี คน้ั เฉพาะ (ทกุ ขฺ าติ: ปฏปิ ีฬนตเฺ ถน ทกุ ขฺ า) ธรรมทงั้ ปวง เป็นอนตั ตา เพราะไม่อยู่ในอานาจโดยการบงั คบั บญั ชาได้ ว่าอย่าแก่ อย่าตาย เป็นส่งิ ว่าง สุญญตา เป็นส่งิ หาเจา้ ของมไิ ด้ ไมม่ คี วามเป็นอิสระหรือไม่มคี วามเป็นใหญ่ในตน (‚สพฺเพ ธมมฺ าติ : ปญฺจกขฺ นฺธา เอว อธิปเฺ ปตา. อนตฺตาติ : ‚มา ชรี นฺตุ มา มยี นฺตูติ วเส วตเฺ ตตุí น สกกฺ าติ อวสวตฺตนตฺเถน อนตตฺ า สุญฺญา อสฺสามกิ า อนิสฺสราติ อตโฺ ถ)๑๕๗ ๑๕๗ ข.ุ ธ.(บาล)ี ๗/๖๑-๖๒.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๒๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง อรรถของอนิจจงั คมั ภีรว์ สิ ุทธิมรรค๑๕๘ พระพุทธโฆสาจารยอ์ ธิบายว่า อนิจฺจ ไดแ้ ก่ช่ือว่าไม่เท่ยี ง โดยอาการท่มี แี ลว้ ก็ไม่มี อกี นยั หน่ึง ช่อื ว่าไมเ่ ทย่ี งดว้ ยเหตแุ มเ้หล่าน้ี คอื -มอี รรถวา่ เป็นแลว้ กลบั ไม่เป็น (อปุ ปฺ าทวยปปฺ วตฺตโิ ต) -มอี รรถว่า โดยอาการท่มี แี ลว้ กไ็ ม่มี (หตุ วฺ า อภาวโต) -เพราะมีความเกดิ ข้นึ และความเสอ่ื มไป (อปุ ปฺ าทวยโต) -เพราะเป็นของเป็นไปอยู่ชวั่ คราว อยูไ่ ดช้ วั่ ขณะ (ตาวกาลกิ โต) -เพราะมคี วามแปรปรวนเป็นท่สี ุด (วปิ รณิ ามโต) -เพราะปฏเิ สธความเทย่ี ง (นิจฺจปฏกิ เฺ ขปโต) อนิจจะ กบั อนิจจลกั ษณะ ไม่เหมือนกนั อนิจจงั (อนิจจฺ ) แปลวา่ ไม่เทย่ี ง ไม่ยงั่ ยนื ไม่มนั่ คง ไม่แน่นอน หรือตงั้ อยู่ในสภาวะเดิมไดย้ าก โดยทวั่ ไป หมายถึง สงั ขารธรรม อนั ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ ๕ คาน้ีจดั เป็นหน่ึงในช่อื เรียกท่เี ป็นคาไวพจนข์ องขนั ธซ์ ่งึ ถูกใชเ้ ป็นอย่างมาก ในพระไตรปิฎก จะมาคู่กบั คาไวพจนข์ องขนั ธอ์ ีก ๒ คาคอื ทกุ ขงั กบั อนตั ตา นนั่ เอง อนิจจะ กบั อนิจจลกั ษณะ ไมเ่ หมอื นกนั อนิจจะ กบั อนิจจลกั ษณะ เป็นคนละอย่างกนั เพราะเป็น ลกั ขณ วนั ตะ และ ลกั ขณะ ของกนั และกนั ดงั น้ี :- อนิจจงั (อนิจจฺ ) หมายถงึ ขนั ธ์ ๕ ทงั้ หมด เป็นปรมตั ถ์ เป็นสภาวะธรรม มอี ยู่จริง คาว่า\"อนิจจงั \"เป็นคา ไวพจนช์ ่อื หน่ึงของขนั ธ์ ๕ อนิจจลกั ษณะ (อนิจจฺ ตา, อนิจจฺ ลกขฺ ณ) หมายถงึ เครอ่ื งกาหนดขนั ธ์ ๕ ทงั้ หมดซง่ึ เป็นตวั อนิจจงั อนิจจลกั ษณะ ทาใหเ้ ราทราบไดว้ ่าขนั ธ์ ๕ เป็นของไม่เท่ียง ไม่คงท่ี ไม่ยงั่ ยืน ซ่ึงไดแ้ ก่อาการความ เปลย่ี นแปลงไปของขนั ธ์ ๕ เช่น อาการทข่ี นั ธ์ ๕ เคยเกดิ ข้นึ แลว้ เสอ่ื มส้นิ ไปเป็นขนั ธ์ ๕ อนั ใหม่, อาการทข่ี นั ธ์ ๕ เคย มขี ้นึ แลว้ กไ็ มม่ อี กี ครงั้ เป็นตน้ ในวิสุทธิมรรค ท่านไดย้ กอนิจจลกั ษณะ จากปฏิสมั ภิทามรรค๑๕๙ มาแสดงไวถ้ ึง ๔๐ แบบ เรียกว่า “โต ๔๐”๑๖๐ และในพระไตรปิฎกยงั มีการแสดงอนิจจลกั ษณะไวใ้ นแบบอ่ืนๆ อีกมากมาย แต่คมั ภรี ท์ ่ีรวบรวมไวเ้ ป็น เบ้อื งตน้ เหมาะสาหรบั เป็นคู่มอื สาหรบั ปฏิบตั ธิ รรมไดแ้ ก่ คมั ภรี ป์ ฏสิ มั ภทิ ามรรค เพราะสามารถจะจาคาท่คี นโบราณ ใชก้ าหนดกนั จากคมั ภรี น์ ้ีแลว้ นาไปใชไ้ ดท้ นั ที ดงั ท่ที ่านแสดงไวเ้ป็นตน้ ว่า “จกฺขุ อหุตวฺ า สมภฺ ูต หุตวฺ า น ภวสิ ฺสตีติ ๑๕๘ วสิ ุทฺธิ. (บาล)ี ๓/๒๔๖., อภ.ิ ว.ิ อ. (บาล)ี ๖๒., วสิ ุทฺธิ.ฏกี า. (บาล)ี ๓/๔๗๙. ๑๕๙ ดูรายละเอยี ดใน อนิจจานุปสั สนา ข.ุ ปฏ.ิ (ไทย) ๒๓/๙/๑๖. ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ๑๖๐ ดูรายละเอยี ดใน วสิ ุทฺธิ. (บาล)ี ๓/๒๓๖-๒๓๗. “ อนิจฺจโต ทกุ ฺขโต โรคโต คณฺฑโต สลลโตฺ อฆโต อาพาธโต ปรโต ปโลกโต อตี โิ ต อปุ ททฺ วโต ภยโต อปุ สคฺคโต จลโต ปภงฺคโุ ต อทธฺ ุวโต อตาณโต อเลณโต อสรณโตริตตฺ โต ตจุ ฺฉโต สโต อนตฺตโต อาทนี วโต วปิ ริณามธมมฺ โต อสารกโต อฆมลู โต วธกโต วภิ วโต สาสวโต สงฺขตโต มารามสิ โต ชาตธิ มมฺ โตชราธมมฺ โต พยฺ าธธิ มมฺ โต มรณธมมโตฺ โสกธมมฺ โต ปริเทวธมมฺ โต อุปายาสธมมฺ โต สงฺ กเิ ลสกิ ธมมฺ โตติ จตตฺ าฬสี าย อากาเรหิ ปญฺจกฺขนฺเธ อนิจฺจโต ปสฺสนฺโต ฯลฯ

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๒๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ววตเฺ ถติ ฯ โยคบี คุ คล ยอ่ มกาหนดวา่ “จกั ขปุ สาททย่ี งั ไมเ่ กดิ กเ็ กดิ มขี ้นึ พอมขี ้ึนแลว้ ต่อไป ก็จะกลายเป็นไมม่ ไี ปอีก” เป็นตน้ (ใหเ้พ่งเลง็ ถงึ ลกั ษณะอาการทเ่ี ปลย่ี นไป จะเป็นการกาหนดอนิจจลกั ษณะ) แต่โดยทวั่ ไป ตามพระคมั ภรี จ์ ะเร่ิมตน้ ท่อี นิจจลกั ษณะ คือลกั ษณะแห่งความไม่เท่ยี งของส่งิ ทงั้ หลายทงั้ ท่ี เป็นรูปธรรมและนามธรรม เมอ่ื เหน็ ความไมเ่ ทย่ี งของรูปธรรมนามธรรมแลว้ ก็จะรูต้ ่อไปว่าความเท่ยี งของรูปธรรมนน้ั เป็นความทกุ ขข์ องรูปธรรมอกี ดว้ ย ซ่งึ กห็ มายถงึ การมองเห็นทุกขลกั ษณะ พรอ้ มไปกบั อนิจจลกั ษณะดว้ ย ดงั พระ บาลวี า่ ‚ยทนิจฺจ ต ทกุ ฺข”๑๖๑ อนิจจงั ๒ แบบ ๑) อนิจจงั โดย “สมมติ” เช่นการเกดิ ข้นึ ของจกั รวาลและสลายลง การทบ่ี คุ คลเกิดข้นึ และตาย ส้นิ ชวี ติ ลง การทบ่ี คุ คลมยี ศ และเสอ่ื มยศ ลงไป เป็นตน้ ๒) อนิจจงั โดย “สภาวะ” คือการเกิดดบั ของรูปนามท่เี ป็นไปอย่างรวดเรว็ ในแต่ละเส้ยี วขณะเวลา เป็นสง่ิ ท่ี เป็นการประกาศของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในสมยั ทม่ี พี ระพทุ ธศาสนาจะรูเ้ หน็ โดยการกาหนดรูร้ ูปนามขนั ธ์ ๕ มกี าร ปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน ดงั นนั้ ในศาสนาอ่ืน จะมกี ารประกาศ ไดเ้ พยี ง อนิจจงั (เทยี ม) ทุกขงั (เทยี ม) คือยงั เป็นโดยสมมติ ไม่ใช่ โดยสภาวะแท้ ส่วน พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เท่านนั้ ท่จี ะเป็นผูป้ ระกาศคาสอนเร่อื งอนิจจงั (แท)้ ทุงขงั (แท)้ คือโดย สภาวะ เป็นการเกิดดบั แตกสลายลงไปอย่างรวดเร็วของรูปนาม ในแต่ละขณะ และอนตั ตาอนั เป็นส่ิงท่ีมีแต่ใน พระพทุ ธศาสนาเท่านน้ั ในคมั ภีรส์ มั โมหวิโนทนี อรรถกถาท่อี ธิบายคมั ภีรว์ ภิ งั ค์๑๖๒ ไดข้ ยายความแสดงเก่ียวกบั อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ว่าสามารถเกดิ ข้นึ ไดใ้ นยุคสมยั ใดและไมส่ ามารถเกดิ ไดใ้ นเวลาใด ความวา่ ๑. อนิจจฺ ทกุ ขฺ ลกขฺ ณานิ อปุ ปฺ าทา วา ตถาคตาน อนุปปฺ าทา วา ปญฺญายนฺติ ฯ ๒. อนตตฺ ลกขฺ ณ วนิ า พทุ ธฺ ุปปฺ าทา น ปญฺญายติ พทุ ธฺ ุปปฺ าเทเยว ปญฺญายติ ฯ ๓. มหทิ ธฺ กิ า หิ มหานุภาวา ตาปสปรพิ พฺ าชกา สรภงฺคสตถฺ าราทโยปิ อนิจจฺ ทุกขฺ นฺติ วตฺตุí สกฺโกนฺติ อนตตฺ า ติ วตตฺ íุ น สกโฺ กนฺติ ฯ ๔. สเจปิ เต สมปฺ ตตฺ ปรสิ าย อนตตฺ าติ วตตฺ สกกฺ เุ ณยยฺ สมปฺ ตตฺ ปรสิ าย มคคฺ ผลปฏเิ วโธ ภเวยยฺ ฯ ๕. อนตตฺ ลกขฺ ณปญฺญาปน หิ อญฺญสฺส กสฺสจิ อวสิ โย สพพฺ ญฺญาพทุ ธฺ านเมว วสิ โยฯ ๖. เอวเมต อนตตฺ ลกขฺ ณ อปากฏ ฯ ๗. ตสฺมา สตถฺ า อนตตฺ ลกขฺ ณ ทสฺเสนฺโต อนิจเฺ จน วา ทสฺเสติ ทกุ เฺ ขน วา อนิจจฺ ทกุ เฺ ขหิ วา๑๖๓ ฯ แปลวา่ ๑. สมยั ท่ีมีพระพุทธเจา้ อุบตั ิข้นึ ก็ตาม ไม่ไดอ้ ุบตั ิข้นึ ก็ตาม อนิจจลกั ขณะ ทุกขลกั ขณะ ทงั้ ๒ น้ี ย่อม ปรากฏมอี ยู่เสมอ ๑๖๑ ส.ข. (บาล)ี ๑๗/๑๕/๑๙., ๑๘/๑๑. ๑๖๒ อภ.ิ ว.ิ อ. (บาล)ี หนา้ ๗๙-๘๐. ๑๖๓ อภ.ิ ว.ิ อ. (บาล)ี หนา้ ๗๙-๘๐.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๒๓๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ๒. ยกเวน้ สมยั ทม่ี พี ระพทุ ธเจา้ อบุ ตั ขิ ้นึ เสยี แลว้ อนตั ตลกั ขณะย่อมไม่ปรากฏ จกั ปรากฏกเ็ ฉพาะแต่ในสมยั ทม่ี พี ระพทุ ธเจา้ อบุ ตั ิข้นึ เทา่ นนั้ ๓. ดาบสและปริพพาชกทง้ั หลาย มโี พธิสตั ว์ ศาสดาจารยส์ รภงั คะ เป็นตน้ ผูม้ ฤี ทธ์ิมาก มอี านุภาพมาก เหล่าน้ี ย่อมสามารถแสดงไดเ้พยี งแต่ความเป็นอนิจจงั ทุกขงั ๒ ประการน้ีเท่านน้ั ไมส่ ามารถแสดงความเป็นอนตั ตา ไดเ้ ลย ๔. ความจรงิ เป็นดงั นน้ั ถา้ หากว่าท่านเหลา่ นน้ั สามารถแสดงความเป็นไปแห่งรูปนาม ขนั ธ์ ๕ โดยความ เป็นอนตั ตา ใหแ้ ก่บรษิ ทั ทม่ี าสู่ตนไดแ้ ลว้ บรษิ ทั เหลา่ นนั้ กอ็ าจสดบั ฟงั รูค้ วาม และบรรลุมรรคผลไดบ้ า้ ง ๕. แทจ้ รงิ การปรากฏแห่งอนตั ตลกั ขณะน้ี หาใช่เป็นวสิ ยั ของผูใ้ ดอ่นื นอกจากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไม่ แต่ เป็นวสิ ยั ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จาพวกเดยี วเท่านน้ั ๖. อนตั ตลกั ขณะ ไมป่ รากฏในสมยั ท่ไี มม่ พี ระศาสนา ดงั น้ีแล ๗. เพราะฉะนน้ั พระศาสดาเอกของชาวโลก เมอ่ื จะทรงแสดงอนตั ตลกั ขณะนน้ั ย่อมแสดงดว้ ยสภาพความ เป็นอนิจจงั บา้ ง ทกุ ขงั บา้ ง และทงั้ อนิจจงั ทกุ ขงั ทง้ั ๒ บา้ ง ตามหลกั ฐานน้ี ท่านอรรถกถาจารยก์ ล่าวว่าการแสดงอนตั ตลกั ขณะของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ บางครงั้ ก็ ทรงยกความเป็นอนิจจงั ข้นึ มาเปรียบเทยี บ บางครง้ั ก็ทรงยกความเป็นทกุ ขงั ข้นึ มาเปรยี บเทียบและบางครงั้ ก็ทรงยก ความเป็นอนิจจงั และทกุ ขงั ทงั้ ๒ ข้นึ มาเปรยี บเทยี บ เพอ่ื จะใหเ้หน็ ความเป็นอนตั ตา เมอ่ื เป็นเช่นน้ีกท็ าใหเ้กดิ ความ สงสยั ข้นึ ว่า กเ็ หตไุ ฉนบรษิ ทั ทงั้ หลายทไ่ี ดฟ้ งั อนิจจงั ทกุ ขงั จากพระโพธสิ ตั ว์ ศาสดาจารยส์ รภงั คะนนั้ จึงไมไ่ ดร้ ูเ้หน็ ใน ความเป็นอนตั ตาและไดม้ รรคผลเล่า? แกว้ ่า การแสดงอนิจจงั ทกุ ขงั ของท่านเหลา่ นนั้ เป็นการแสดงอนิจจงั ทุกขงั โดยสมมตุ ดิ งั ทไ่ี ดก้ ล่าวมาแลว้ ซ่งึ หาไดเ้ ป็นอนิจจงั ทุกขงั แท้ อนั เป็นอารมณ์ของวปิ สั สนาญาณแต่อย่างใดไม่ สาหรบั การแสดงอนิจจงั ทุกขงั ของ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ท่ีท่านอรรถกถาจารยไ์ ดก้ ล่าวมาน้ีเป็นการแสดงอนิจจงั ทุกขงั โดยสภาวะ ท่ีเป็นอารมณ์ของ วปิ สั สนาญาณ ฉะนนั้ ผูฟ้ งั จงึ สามารถรูเ้หน็ ในความเป็นอนตั ตาได้ ท่านอรรถกถาจารยอ์ านนั ทเถระ ไดแ้ สดงไวใ้ นสมั โมหวโิ มทนีมูลฏกี า ว่า “อนตตฺ ลกฺขณ ปญฺญาปนสฺส อญฺ เญส อวสิ ยตตฺ า อนตตฺ ลกขฺ ณทปี กาน อนิจจฺ ทกุ ขฺ ณานญฺจ ปญฺญาปนสฺส อวสิ ยตฺตา โหติ เอว ปน ทุปปฺ ญฺญาปนตา เอเตส ทุรุปฏฐานตาย โหติ” ฯ กล่าวว่าการแสดงใหช้ นทงั้ หลายรูเ้ ห็นอนตั ตลกั ขณะไม่ใช่เป็นวิสยั ของผูอ้ ่ืนนน้ั เป็นอนั ว่าไดแ้ สดงถงึ อนิจจ-ทกุ ขลกั ขณะท่แี ท้ ท่ที าใหช้ นทงั้ หลายไดร้ ูแ้ จ่มแจง้ ในอนตั ตลกั ขณะ กไ็ มใ่ ช่เป็นวสิ ยั ของ ผูอ้ ่นื เช่นกนั การรูเ้หน็ และการแสดงไตรลกั ษณท์ แ่ี ทเ้ป็นของยากมากท่สี ุดดงั น้ี กเ็ พราะการปรากฏแห่งไตรลกั ษณ์ท่ี แทใ้ นปญั ญาของชนทงั้ หลายนนั้ ยากมากนนั้ เองเป็นสาเหตุ ในสงั ยุตตนิกาย ขนั ธวรรค กาลตั ตอนิจจสูตร พระพทุ ธเจา้ ตรสั สรุปไวว้ ่า ‚ภกิ ษุทง้ั หลาย รูปทเ่ี ป็นอดีตและ อนาคต ไมเ่ ท่ยี งไมจ่ าตอ้ งกล่าวถงึ รูปทเ่ี ป็นปจั จุบนั เลย อรยิ สาวกผูไ้ ดส้ ดบั เหน็ อยู่อย่างน้ี ย่อมไม่อาลยั ในรูปทเ่ี ป็น อดตี ไมเ่ พลดิ เพลนิ รูปท่เี ป็นอนาคต ปฏบิ ตั ิเพอ่ื ความเบอ่ื หน่าย เพ่อื คลายกาหนดั เพอ่ื ดบั รูปทเ่ี ป็นปจั จบุ นั เวทนาท่ี เป็นอดีตและอนาคต ไมเ่ ท่ยี ง ฯลฯ สญั ญาทเ่ี ป็นอดีตและอนาคต ไม่เทย่ี ง ฯลฯ สงั ขารทเ่ี ป็นอดีตและอนาคต ไม่ เทย่ี ง ไมจ่ าตอ้ งกลา่ วถงึ สงั ขารทเ่ี ป็นปจั จุบนั เลย อรยิ สาวกผูไ้ ดส้ ดบั เหน็ อยู่อย่างน้ี ย่อมไมอ่ าลยั ในสงั ขารท่เี ป็นอดตี

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๓๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ไม่เพลดิ เพลนิ สงั ขารท่ีเป็นอนาคต ปฏิบตั ิเพ่ือความเบ่อื หน่าย เพ่ือคลายกาหนดั เพ่ือดบั สงั ขารท่ีเป็นปจั จุบนั วญิ ญาณท่เี ป็นอดีตและอนาคต ไมเ่ ทย่ี ง ไม่จาตอ้ งกล่าวถงึ วญิ ญาณท่เี ป็นปจั จุบนั เลย อรยิ สาวกผูไ้ ดส้ ดบั เหน็ อยู่ อย่างน้ี ย่อมไม่อาลยั ในวญิ ญาณท่เี ป็นอดีต ไม่เพลดิ เพลนิ วญิ ญาณทเ่ี ป็นอนาคต ปฏบิ ตั ิเพ่อื ความเบอ่ื หน่าย เพ่อื คลายกาหนดั เพอ่ื ดบั วญิ ญาณทเ่ี ป็นปจั จบุ นั ‛๑๖๔ สงั ขารทง้ั ปวงเป็นทกุ ข์ (สพฺเพ สงฺขารา ทกุ ขฺ า) สงั ขารธรรมทงั้ ปวงเกิดแลว้ กด็ บั ไป ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทดหี รือจิตประเภทไม่ดี รูปงามหรือไม่งาม เมอ่ื เกิดข้นึ แลว้ ก็ดบั ไปเหมอื นกนั หมด การเกิดไม่เท่ยี งน่ีแหละเป็นทุกข์ เพราะไม่ดารงอยู่ สงั ขารทง้ั ปวงเป็นทุกขน์ นั้ ไมใ่ ช่แต่เฉพาะทุกขก์ ายท่เี จบ็ ปวด ป่วยไข้ หรอื ทกุ ขท์ ่ตี อ้ งลาบากเดอื ดรอ้ น ทุกขท์ พ่ี ลดั พรากจากส่งิ ท่รี กั หรือทกุ ขท์ ่ี ประสบกบั ส่งิ ทไ่ี ม่เป็นท่รี กั เท่านน้ั สงั ขารทงั้ ปวงเป็นทกุ ข์ เพราะสงั ขารทง้ั ปวงไม่เท่ยี ง เมอ่ื เกิดข้นึ แลว้ กด็ บั ไป จึงไม่ ควรยึดถอื ว่าเป็นสุข บางท่านอาจสงสยั ว่า จติ ท่เี พลดิ เพลนิ ยนิ ดเี ป็นสุขก็มี เหตุใดจึงว่าสงั ขารทงั้ ปวงเป็นทุกข์ ท่วี ่า เป็นทกุ ขน์ น้ั เพราะจติ ทเ่ี พลดิ เพลนิ ยนิ ดี เป็นสุขนนั้ กไ็ มเ่ ทย่ี ง ฉะนนั้ สงั ขารธรรม คือจติ เจตสกิ รูปทงั้ หมดเป็นทกุ ข์ เพราะจติ เจตสกิ รูปทง้ั หมดไมเ่ ทย่ี ง อรรถแหง่ ทกุ ข์ พระพทุ ธโฆสาจารย์ อธิบายอรรถแหง่ ทกุ ขไ์ วใ้ นคมั ภรี ว์ สิ ุทธมิ รรค๑๖๕ วา่ -ช่ือวา่ ทกุ ข์ เพราะมีอรรถวา่ ทนไดย้ าก (ทกุ ขฺ มโต) -ช่ือว่าทกุ ข์ เพราะมีอรรถวา่ เป็นท่ีตง้ั แหง่ ทกุ ข์ (ทกุ ขฺ วตถฺ โุ ต) -ช่ือว่าทกุ ข์ เพราะมีอรรถวา่ เบียดเบียน (ปีฬนฏเฺ ฐน) -ช่ือว่าทกุ ข์ เพราะมีอรรถว่า บีบคน้ั อยูต่ ลอดเวลา (อภณิ ฺหสมปฺ ฏปิ ีฬนโต) -ช่ือวา่ ทกุ ข์ เพราะมีอรรถวา่ อนั ปจั จยั ปรงุ แต่ง (สงฺขตฏเฺ ฐน) -ช่ือวา่ ทกุ ข์ เพราะมอี รรถวา่ ใหเ้ รา่ รอ้ น (สนฺตาปฏเฺ ฐน) -ช่ือว่าทกุ ข์ เพราะมีอรรถว่า ปรวนแปร (วปิ รณิ ามฏเฺ ฐน) -ช่ือวา่ ทกุ ข์ เพราะมอี รรถวา่ เป็นของมีภยั ท่ีน่ากลวั (ภยฏเฺ ฐน) -ช่ือวา่ ทกุ ข์ เพราะมอี รรถวา่ มกี ารปฏเิ สธสุข (สขุ ปฏกิ เฺ ขปโต) ความทกุ ขม์ ี ๑๐ ประเภท ๑. สภาวทกุ ข์ ทกุ ขป์ ระจาสงั ขาร คอื เกดิ แก่ เจบ็ และตาย ๒. ปกณิ ณกทกุ ข์ ทกุ ขจ์ ร คอื โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาส ๓. นิพทั ธทกุ ข์ ทกุ ขเ์ นืองนิตย์ คอื หนาว รอ้ น หวิ กระหาย ปวดอจุ จาระ ปสั สาวะ ๔. พยาธิทกุ ข์ ทกุ ขพ์ ระโรคต่างๆ ๕. สนั ตาปทกุ ข์ ทกุ ขเ์ กดิ จากกเิ ลส คอื โลภ โกรธ หลง ๖. วปิ ากทกุ ข์ ทกุ ขเ์ กดิ จากกรรมเก่าตามมาใหผ้ ล ๑๖๔ ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙/๒๔. ๑๖๕ วสิ ุทธฺ .ิ (บาล)ี ๓/๒๔๖., อภ.ิ ว.ิ อ.(บาล)ี ๖๒.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๓๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๗. สหคตทกุ ข์ (วปิ รณิ ามทกุ ข)์ ทกุ ขเ์ กดิ จากโลกธรรม ๘ ๘. อาหารปรเิ ยฏฐทิ กุ ข์ ทกุ ขเ์ กดิ จากการหาอาหาร ๙. ววิ าทมลู กทกุ ข์ ทกุ ขเ์ กดิ จากการทะเลาะววิ าท ๑๐. ทกุ ขขนั ธ์ ทกุ ขร์ วบยอด คอื ความยดึ มนั่ ในขนั ธ์ ๕ ทกุ ขเ์ มอ่ื กลา่ วโดยอภธิ รรมนยั ไดแ้ ก่โลภเจตสกิ สง่ิ เป็นสาเหตใุ หเ้กดิ ทุกข์ ในคมั ภรี ว์ ภิ งั ค์ พระพุทธเจา้ ตรสั ว่า “ทกุ ข์ เป็นไฉน? ความไม่สาราญทางกาย ความทุกขท์ างกาย ความ เสวยอารมณท์ ไ่ี มส่ าราญเป็นทกุ ข์ อนั เกดิ แต่กายสมั ผสั กริ ิยาเสวยอารมณท์ ่ไี ม่สาราญเป็นทกุ ข์ อนั เกดิ แต่กายสมั ผสั น้ีเรยี กว่า ทกุ ข”์ ๑๖๖ “บรรดาอรยิ สจั ๔ นน้ั ทุกขอริยสจั เป็นไฉน? ชาตเิ ป็นทกุ ข์ ชราเป็นทกุ ข์ มรณะเป็นทกุ ข์ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสเป็นทกุ ข์ การประสบกบั อารมณอ์ นั ไมเ่ ป็นท่รี กั เป็นทุกข์ ความพลดั พรากจากอารมณอ์ นั เป็นท่ี รกั เป็นทกุ ข์ การไมไ่ ดส้ ง่ิ ทต่ี อ้ งการเป็นทกุ ข์ โดยย่อ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เป็นทกุ ข”์ ๑๖๗ ในสงั ยุตตนิกาย ขนั ธวรรค กาลตั ตทกุ ขสูตร พระพทุ ธเจา้ ตรสั สรุปไวว้ ่า ‚ภกิ ษุทง้ั หลาย รูปทเ่ี ป็นอดตี และ อนาคต เป็นทกุ ข์ ไมจ่ าตอ้ งกลา่ วถงึ รูปทเ่ี ป็นปจั จบุ นั เลย อรยิ สาวกผูไ้ ดส้ ดบั เหน็ อยู่อย่างน้ี ย่อมไม่อาลยั ในรูปทเ่ี ป็น อดตี ไมเ่ พลดิ เพลนิ รูปทเ่ี ป็นอนาคต ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความเบอ่ื หน่าย เพอ่ื คลายกาหนดั เพอ่ื ดบั รูปทเ่ี ป็นปจั จุบนั เวทนาทเ่ี ป็นอดตี และอนาคต เป็นทกุ ข์ ฯลฯ สญั ญาทเ่ี ป็นอดตี และอนาคต เป็นทกุ ข์ ฯลฯ สงั ขารทเ่ี ป็นอดตี และอนาคต เป็นทกุ ข์ ฯลฯ วญิ ญาณทเ่ี ป็นอดตี และอนาคต เป็นทุกข์ ไม่จาตอ้ งกลา่ วถงึ วญิ ญาณท่เี ป็นปจั จบุ นั เลย อรยิ สาวกผูไ้ ดส้ ดบั เหน็ อยู่อย่างน้ี ย่อมไม่อาลยั ในวญิ ญาณท่เี ป็นอดีต ไม่เพลดิ เพลนิ วญิ ญาณทเ่ี ป็นอนาคต ปฏบิ ตั ิเพ่อื ความเบอ่ื หน่าย เพอ่ื คลายกาหนดั เพอ่ื ดบั วญิ ญาณทเ่ี ป็นปจั จบุ นั ‛๑๖๘ ธรรมทง้ั ปวงเป็นอนัตตา (สพฺเพ ธมมฺ า อนตตฺ า) อนัตตา เป็นลกั ษณะท่ี ๓ และลกั ษณะสุดทา้ ยของไตรลกั ษณ์ หรือสามญั ลกั ษณะ เช่นเดียวกบั อริยสจั ส่ี อนตั ตา เป็นคาสอนเฉพาะของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทงั้ หลายเหลา่ นน้ั (พทุ ธฺ าน สามกุ สกิ า ธมมฺ เทสนา, สามกุ กงั สกิ เทศนา)๑๖๙ และเป็นหลกั คาสอนในพทุ ธศาสนาทป่ี ฏเิ สธ อตั ตา หรอื อาตมนั ของศาสนาพราหมณฮ์ ินดู โดยตรงคาสอน เรอ่ื งอนตั ตาน้ีแหละทม่ี คี วามแตกต่างจากศาสนาพราหมณฮ์ นิ ดูโดยส้นิ เชงิ และแตกต่างจากศาสนาประเภทเทวนิยม ๑๖๖ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๙๖/๑๖๕. ๑๖๗ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๙๐/๑๖๓. ๑๖๘ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๑๐/๒๕. ๑๖๙ ข.ุ อ.ุ (บาล)ี ๒๕/๑๑๒/๑๔๗, ว.ิ มหา.(ไทย) ๔/๒๖,๒๗,๒๙,๓๐,๓๑/๓๓,๓๔,๓๖,๓๘,๓๙, -ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๙๘,๓๕๕/๑๐๙,๑๔๙, ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๖.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๒๓๓ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ อนัตตา แปลตามศพั ทว์ ่า ไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตน (น+อตั ตา) เพราะส่งิ ทง้ั ปวงเป็นเพียงสกั ว่าธรรม หรือส่งิ ๆ หน่ึงๆ เท่านนั้ คือไม่ใช่ส่งิ นนั้ และไม่ใช่ส่งิ น้ี ในคมั ภรี ป์ ฏิสมั ภิทามรรคท่านกล่าวไวว้ ่า ช่ือว่าเป็นอนตั ตา เพราะมี สภาวะไมม่ แี ก่นสาร เมอ่ื กลา่ วสรรพสง่ิ ทงั้ หลาย ไมม่ ตี น ไมม่ แี ก่นสาร มคี วามหมายว่า สรรพสง่ิ ทงั้ หลาย ทง้ั ทเ่ี ป็นสงั ขตธรรม และ อสงั ขตธรรม ลว้ นไมม่ ตี วั ไมม่ ตี นทเ่ี ป็นแก่นท่จี ะระบุลงไปว่า เป็นอยา่ งนนั้ เป็นอย่างน้ีไดจ้ รงิ เพราะเมอ่ื ระบลุ งไปกจ็ ะกลายเป็นหน่วยย่อยไปเร่อื ย หน่วยย่อยนนั้ ก็จะมหี น่วยย่อย ไปเร่อื ยๆ เช่นกนั เป็นลกั ษณะทไ่ี มม่ ปี รากฏการณ์ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ คือ มนั ไมเ่ ปลย่ี นแปลงและไม่ตาย ไมร่ ูจ้ กั ตาย ไม่ตอ้ งมกี ารเกิดหรือการทรงตวั มนั กย็ งั มอี ยู่ได้ ทงั้ ยงั เป็นการมอี ยู่ทม่ี นั่ คง และไม่ใช่มายา ส่งิ ทม่ี ลี กั ษณะดงั ว่าน้ี เรารวมเรียกว่า อสงั ขตธรรม หรือตรงกบั ส่งิ ทไ่ี ม่มปี รากฏการณ์ ‚อนตั ตา‛ สงิ่ ทีเ่ ป็นสงั ขตธรรมกด็ ี อสงั ขตธรรมกด็ ี ลว้ นแลว้ แต่เป็นอนตั ตา ดงั พทุ ธดารสั ท่ตี รสั ว่า ‘ภกิ ษุทงั้ หลาย รูปเป็นอนตั ตา เวทนาเป็นอนตั ตา สญั ญาเป็นอนตั ตา สงั ขารเป็นอนตั ตา วญิ ญาณเป็นอนตั ตา และว่า สงิ่ ใดไมเ่ ทีย่ ง สิง่ นนั้ เป็นทุกข์ สิง่ ใดเป็นทุกข์ สงิ่ นนั้ เป็นอนตั ตา สิง่ ใดเป็นอนตั ตา’ สง่ิ นนั้ อนั เธอทงั้ หลายพงึ เหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบ ตามความเป็นจรงิ อย่างน้ีว่า ‚นนั่ ไมใ่ ช่ของเรา เราไม่เป็น นนั่ นนั่ ไม่ใช่อตั ตาของเรา‛ ยกตวั อย่าง เมอ่ื เราพดู ถงึ คาว่า นา้ เราก็จะพบว่าจริงๆ แลว้ นา้ กเ็ ป็นเพียงส่งิ สมมตุ ิท่ี เรยี กว่า ภาวะท่ไี ฮโดรเจน ๒ อะตอม บวกกบั ออกซเิ จน ๑ อะตอม ตวั ไฮโดรเจน และออกซเิ จนกจ็ ะมหี น่วยย่อยท่ี เป็นส่วนประกอบอีก เช่นน้ีไปเร่อื ยๆ โดยทส่ี ุดถา้ เรามองดว้ ยมมุ มองในลกั ษณะท่เี ป็นเหตุเป็นปจั จยั เช่นน้ี เราจะหา ตวั ตนท่แี ทจ้ ริงของส่งิ นนั้ ๆ ไมพ่ บ จะพบก็เพยี งแต่ เพราะสง่ิ น้ีมี สง่ิ น้ีจงึ มี เพราะส่งิ น้ีเกิดข้นึ ส่งิ น้ีจงึ เกิดข้นึ เพราะ ส่งิ น้ีไม่มี ส่งิ น้ีจึงไม่มี เพราะส่งิ น้ีดบั ไป ส่งิ น้ีจึงดบั ไป เราจึงสามารถกาหนดความเป็นอนตั ตาไดจ้ ากขอ้ กาหนด ๔ ประการต่อไปน้ีคือ ๑. ไมม่ ตี วั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของสง่ิ นนั้ ยนื ตวั เป็นแก่นเป็นแกนอยู่ ๒. สภาพทป่ี รากฏนน้ั เกดิ จากองคป์ ระกอบต่างๆ มากมายประชมุ กนั ปรุงแต่งข้นึ ๓. องคป์ ระกอบเหล่านน้ั เกิดข้นึ แลว้ เส่อื มสลายอยู่ตลอดเวลา และสมั พนั ธเ์ ป็นปจั จยั แก่กนั ประมวลข้นึ เป็นกระบวนธรรม ๔. ถา้ กาหนดแยกออกเป็นกระบวนธรรมย่อยๆ มากมาย และกม็ คี วามสมั พนั ธเ์ ป็นปจั จยั ซง่ึ กนั และกนั นอกจากขอ้ กาหนด ๔ ประการดงั กลา่ วขา้ งตน้ แลว้ ในคมั ภรี ว์ สิ ุทธิมรรคท่านยงั ประมวลลกั ษณะความเป็น อนตั ตาไว้ ๔ ประการ รวมทงั้ ท่พี ระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต) ไดป้ ระมวลเพม่ิ เติมเขา้ มาอีก ๒ ประการ (ขอ้ ๕-๖) รวมทง้ั ส้นิ ๖ ประการดว้ ยกนั คอื ๑. เพราะเป็นสภาพว่างเปล่า คือปราศจากตวั ตนท่เี ป็นแก่น (สุญฺญโต) ๒. เพราะเป็นสภาพไรเ้ จา้ ของ คือไมเ่ ป็นตวั ตนของใครๆ (อสฺสามโิ ก) ๓. เพราะไม่เป็นไปในอาํ นาจ คอื ไม่อยูใ่ นอาํ นาจของใครๆ (อวสวตฺตนโต) ๔. เพราะแยง้ ต่ออตั ตา เพราะเป็นกระบวนธรรมท่ีองคป์ ระกอบทงั้ หลายสมั พนั ธก์ นั และดาํ เนินไปโดยความ เป็ นเหตุเป็ นปัจจยั ไม่มีตวั ตนต่างหากซอ้ นอยู่ท่ีจะมาแทรกแซงบงการ หรือแมแ้ ต่ขดั ขวางความเป็ นเหตุเป็ นปัจจยั ได้ (อตฺตปฏปิ กฺเขปโต)

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๓๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๕. เพราะเป็นกองแหง่ สงั ขารทงั้ หลายลว้ นๆ (สุทฺธสงฺขารปุญฺชโต) ๖. เพราะความเป็นไปตามเหตุปัจจยั (ยถาปจฺจยปวตฺตโิ ต) สงั ขารทง้ั ปวง กบั ธรรมทง้ั ปวง (สพเฺ พ สงฺขารา เจว สพฺเพ ธมมฺ า จ) คาวา่ “ธรรม”๑๗๐ เป็นคาทม่ี คี วามหมายกวา้ งทส่ี ุด กนิ ความครอบคลุมทกุ สง่ิ ทุกอย่างบรรดามี ทงั้ ทม่ี ไี ดแ้ ละ ไดม้ ี ตลอดกระทงั่ ความไม่มที ่เี ป็นคู่กบั ความมนี นั้ ทุกส่งิ ทุกอย่างท่ใี ครก็ตามกล่าวถงึ คิดถงึ หรือรูถ้ ึงทง้ั เร่ืองทาง วตั ถแุ ละทางจิตใจ ทง้ั ท่ดี ีและทช่ี วั่ ทง้ั ท่เี ป็นสามญั วสิ ยั และเหนือสามญั วิสยั รวมอยู่ในคาว่าธรรมทงั้ ส้นิ ถา้ จะใหม้ ี ความหมายแคบเขา้ หรือจาแนกแยกธรรมนน้ั แบ่งประเภทออกไป แลว้ เลอื กเขาส่วนหรือแง่ดา้ นแห่งความหมายท่ี ตอ้ งการ หรอื มฉิ ะนน้ั ก็ใชค้ าว่าธรรมคาเดยี วเด่ยี วโดดเต็มรูปของมนั ตามเดิม แต่ตกลงหรือหมายรูร้ ่วมกนั ไวว้ ่า เม่ือ ใชใ้ นลกั ษณะนนั้ ๆ ในกรณีนนั้ หรือในความแวดลอ้ มอย่างนนั้ ๆ จะใหม้ ีความหมายเฉพาะในแนวความ หรือใน ขอบเขตว่าอย่างนนั้ ๆ เช่น เม่อื มาคู่กบั อธรรมหรอื ใชเ้ ก่ยี วกบั ความประพฤตทิ ่ดี ี ทช่ี วั่ ของบุคคล หมายถงึ บุญ หรือ คุณธรรมคือความดี เม่อื มากบั คาว่า อตั ถะ หรืออรรถ หมายถึงตวั หลกั หลกั การ หรือเหตุ เม่อื ใชส้ าหรบั การเล่า เรยี น หมายถงึ ปรยิ ตั ิ พทุ ธพจน์ หรือคาสงั่ สอน เป็นตน้ ธรรม ทก่ี ลา่ วถงึ ในหลกั อนตั ตาแห่งไตรลกั ษณ์น้ี หมายถงึ สภาวะหรอื สภาพทกุ อย่าง ไม่มขี ดี จากดั ธรรม ในความหมายเช่นน้ีจะเขา้ ใจชดั เจนย่งิ ข้นึ เมอ่ื แยกแยะแจกแจงแบ่ง ประเภทออกไป เช่น จาแนกเป็นรูปธรรม และนามธรรมบา้ ง โลกียธรรม และโลกุตตรธรรมบา้ ง สงั ขตธรรม และอสงั ขตธรรม บา้ ง กศุ ลธรรม และอกุศลธรรม และอพั ยากฤตธรรมบา้ ง ธรรมทจ่ี าแนกเป็นชดุ เหล่าน้ี แต่ละชุด ครอบคลมุ ความหมายของธรรมไดห้ มดส้นิ ทงั้ นนั้ แต่ชดุ ท่ตี รงกบั แง่ท่คี วรศึกษาในท่นี ้ีคือชดุ สงั ขตธรรม และอสงั ขต ธรรม ธรรมทง้ั หลายทง้ั ปวงแยกประเภทไดเ้ ป็ น ๒ อยา่ งคอื ๑๗๑ ธรรมในไตรลกั ษณ์ หมายถงึ ครอบคลุมทกุ ๆ สรรพสง่ิ ลว้ นส้นิ ทง้ั สากลจกั รวาล กล่าวคือตงั้ แต่เลก็ ทส่ี ุด จนใหญ่ทส่ี ุด, ทงั้ รูปธรรม นามธรรม ทง้ั โลกยิ ธรรม และโลกุตรธรรม โดยไม่มขี อ้ ยกเวน้ ใดๆ ดงั นน้ั ธรรมจึงแบ่ง ออกเป็น ๒ พวกใหญ่ๆ ดว้ ยกนั คอื ๑. สงั ขตธรรม (conditioned things; compounded things คือธรรมท่ถี ูกปรุงแต่ง (ส่ิง (ขนั ธ์ ๕ ทง้ั หมด) ทป่ี จั จยั ปรุงแต่งดว้ ยปจั จยั คอื กรรม จติ อุตุ อาหาร) ไดแ้ ก่ธรรมทม่ี ปี จั จยั สภาวะทเ่ี กิดจากปจั จยั ปรุงแต่ง ข้นึ สภาวะทป่ี จั จยั ทง้ั ปลายมาร่วมกนั แต่งสรรคข์ ้นึ สง่ิ ท่ปี จั จยั ประกอบเขา้ หรอื สง่ิ ทป่ี รากฏและเป็นไปตามเงอ่ื นไขของ ปจั จยั เรียกอีกอย่างหน่ึงว่าสงั ขารซ่งึ มรี ากศพั ทแ์ ละคาแปลเหมอื นกนั หมายถงึ สภาวะทุกอย่างทง้ั ทางวตั ถแุ ละทาง จติ ใจ ทงั้ รูปธรรมและนามธรรม ทงั้ ทเ่ี ป็นโลกยี ะ และโลกตุ ตระ ทง้ั ท่ดี ที ช่ี วั่ และทเ่ี ป็นกลางๆ ทงั้ หมด เวน้ แต่นิพพาน เมอื่ วา่ โดยอภธิ รรมนยั องคธ์ รรมไดแ้ ก่ จิต ๘๙ เจตสกิ ๕๒ รูป ๒๘ เมอื่ จาแนกโดย ขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ สจั จะแลว้ ไดข้ นั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สจั จะ ๓ (เวน้ นิโรธสจั จะ) ๑๗๐ ธรรม คอื สภาวะ, ส่งิ , ปรากฏการณ์ (things; states; phenomena) ๑. รูปธรรม (สภาวะอนั เป็นรูป, ส่งิ ทม่ี รี ูป, ไดแ้ ก่รูปขนั ธท์ งั้ หมด (materiality; corporeality) ๒. อรูปธรรม คือสภาวะมใิ ช่รูป, ส่งิ ท่ไี ม่มรี ูป, ไดแ้ ก่นามขนั ธ์ ๔ และนิพพาน (immateriality; incorporeality) อา้ งใน อภ.ิ ส. (ไทย) ๓๔/๑๑/๗. ๑๗๑ อภ.ิ ส.(ไทย) ๓๔/๖/๖. /.../๑๐๙๐-๑๐๙๒/๒๗๘., .../๑๔๕๕-๑๔๕๖/๓๕๘.

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๒๓๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒. อสงั ขตธรรม (the Unconditioned, i.e. Nibbana) คือธรรมท่ไี ม่ถูกปรุงแต่งดว้ ยปจั จยั ๔ ไดแ้ ก่ ธรรมท่ไี ม่มปี จั จยั หรือสภาวะท่ีไม่เกิดจากปจั จยั ปรุงแต่งไม่เป็นไปตามเงอ่ื นไขของปจั จยั เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า วิ สงั ขาร ซ่ึงแปลว่าสภาวะปลอดสงั ขารหรือสภาวะท่ไี ม่มปี จั จยั ปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน เมอื่ จาแนกโดย ขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ สจั จะแลว้ ได้ ขนั ธวิมตุ ติ (นิพพานพน้ จากความเป็นขนั ธห์ า้ ) ได้ ธมั มายตนะ ๑ ธมั มธาตุ ๑ นิโรธ สจั จะ ๑ สงั ขารในขนั ธ์ ๕ กบั สงั ขารในไตรลกั ษณ์ ๑. สงั ขารในขนั ธ์ ๕ ไดแ้ ก่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ๒. สงั ขารในไตรลกั ษณ์ ไดแ้ ก่ สงั ขารทง้ั ปวงไมเ่ ทย่ี ง สงั ขารทงั้ ปวงเป็นทกุ ข์ ธรรมทงั้ ปวงเป็นอนตั ตา เปรยี บเทียบความหมายทง้ั ๒ นัยดงั น้ี ก. สงั ขาร ซ่ึงเป็นขอ้ ท่ี ๔ ในขนั ธ์ ๕ (สงั ขารขนั ธ)์ หมายถึง สภาวะท่ีปรุงแต่งจิต ใหด้ ี ใหช้ วั่ ใหเ้ ป็น กลาง ไดแ้ ก่ คุณสมบตั ิต่างๆ ของจติ มเี จตนาเป็นตวั นาท่ปี รุงแปรการตริตรกึ นึกคิดในใจและการแสดงออกทางกาย วาจาใหเ้ป็นไปต่างๆ เป็นตวั การของการทากรรม เรียกง่ายๆ ว่าเคร่อื งปรุงของจิต เช่น ศรทั ธา สติ หริ ิ เป็นตน้ เมอ่ื กลา่ วโดยอภธิ รรมนยั องคธ์ รรมไดแ้ ก่ เจตสกิ ๕๐ เวน้ เวทนาเจตสกิ และสญั ญาเจตสกิ ข. สงั ขาร ท่กี ล่าวถงึ ในไตรลกั ษณ์ หมายถงึ สภาวะท่ถี กู ปรุงแต่ง คือสภาวะท่เี กดิ จากเหตุปจั จยั ปรุงแต่ง ข้นึ ทกุ อยา่ ง ประดามี ไมว่ า่ จะเป็นรูปธรรมหรอื นามธรรม ก็ตาม เป็นดา้ นร่างกายหรอื จติ ใจกต็ าม มชี วี ติ หรือไรช้ ีวติ ก็ ตาม อยู่ในจิตใจ หรือวตั ถุภายนอก ก็ตาม เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า สงั ขตธรรม (conditioned things ; compounded things) คือทุกส่งิ ทุกอย่าง เวน้ นิพพาน จะเหน็ ว่า สงั ขารในขนั ธ์ ๕ มคี วามหมายแคบกว่าสงั ขารใน ไตรลกั ษณ์ หรือเป็นส่วนหน่ึงของสงั ขารในไตรลกั ษณ์นนั่ เอง ความต่างกนั และแคบกว่ากนั น้ี เห็นไดช้ ดั ทงั้ โดย ความหมายของศพั ทแ์ ละโดยองคธ์ รรม เพราะสงั ขารในขนั ธ์ ๕ ม่งุ หมายเอาเฉพาะเจตสกิ ๕๐ (เวน้ เวทนาเจตสกิ และสญั ญาเจตสกิ ) ทเ่ี ป็นสงั ขาร ขนั ธ์ ส่วนสงั ขารในไตรลกั ษณ์ มุ่งหมายเอาขนั ธ์ ๕ ทงั้ หมด และรวมถึงโลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม ยกเวน้ นิพพาน๑๗๒ ส่งิ ท่ปี ิดบงั ไตรลกั ษณ์ทง้ั ท่คี วามเป็นอนิจจงั ทุกข์ และอนตั ตา น้ีเป็นลกั ษณะสามญั ของส่งิ ทง้ั หลาย เป็น ความจริงท่แี สดงตวั ของมนั เองอยู่ตามธรรมดาตลอดทุกเวลา แต่คนทวั่ ไปก็มองไมเ่ หน็ ทงั้ น้ีเพราะเป็นเหมอื นมสี ่งิ ปิดบงั คอยซ่อนคลุมน้ี คือ ๑. สนั ตติ ปิดบงั อนิจจลกั ษณะ ๒. อิริยาบถ ปิดบงั ทุกขลกั ษณะ ๓. ฆนะ ปิดบงั อนตั ตลกั ษณะ ขอ้ ท่ี ๑ ท่านกล่าวว่าเพราะมไิ ดม้ นสกิ ารความเกิดและความดบั หรอื ความเกดิ ข้นึ และความเส่อื มส้นิ ไปก็ถูก สนั ตติ คือ ความสบื ต่อหรอื ความเป็นไปอยา่ งต่อเน่ือง ปิดบงั ไว้ อนิจจลกั ษณะจงึ ไมป่ รากฏ ๑๗๒ โลกยิ า ธมมฺ า : แปลวา่ สภาวธรรมทงั้ หลายทเ่ี ป็นโลกยิ ธรรม มอี ยู.่ องคธ์ รรมไดแ้ ก่ โลกยิ จติ ๘๑ เจตสกิ ๕๒ รูป ๒๘. โลกตุ ฺตรา ธมฺมา : สภาวธรรมทงั้ หลายทเ่ี ป็นโลกุตตรธรรม มอี ยู่. องคธ์ รรมไดแ้ ก่ โลกตุ รจิต ๘ เจตสกิ ๓๖ นิพพาน อา้ งใน พระสทั ธมั มโชตกิ ะ ธมั มาจริยะ, ธมั ม สงั คณีสรูปตั ถนิสสยะ, (กรุงเทพมหานคร : สทั ธมั มโชตกิ วทิ ยาลยั , โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕), หนา้ ๑๐๐-๑๐๑.

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๓๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ขอ้ ท่ี ๒ ท่านกล่าวว่าเพราะมไิ ดม้ นสกิ ารความบบี คน้ั กดดนั ท่มี อี ยู่ตลอดเวลา ก็ถูก อิรยิ าบถ คือความยกั ยา้ ยเคลอ่ื นไหว ปิดบงั ไว้ ทกุ ขลกั ษณะจงึ ไมป่ รากฏ ขอ้ ท่ี ๓ ท่านกล่าวว่า เพราะมไิ ดม้ นสกิ ารความแยกย่อยออกเป็นธาตตุ ่างๆ ก็ถูก ฆนะ คือความเป็นแท่ง เป็นกอ้ นเป็นช้นิ เป็นอนั เป็นมวลหรอื เป็นหน่วยรวม ปิดบงั ไว้ อนตั ตลกั ษณจงึ ไมป่ รากฏ สรุปความพระไตรลกั ษณ์ไดด้ งั น้ี “สงั ขารทงั้ หลายทงั้ ปวง ไม่เท่ียง มีอนั ตอ้ งแปรปรวนไปเป็นอาการ ธรรมดา, จึงทนอยู่ไมไ่ ดจ้ ึงตอ้ งเส่อื มไปเป็นอาการธรรมดาและดบั ไปในท่สี ุด จึงจกั เป็นทกุ ขถ์ า้ ไปอยากไปยึดดว้ ย เหลา่ ตณั หาอปุ าทาน เป็นอนตั ตาไมม่ ตี วั ตน หรอื ไมใ่ ช่ของตวั ของตน (ตวั ตน-หมายถงึ ตวั ตนของสง่ิ ต่างๆทง้ั หลายทุก ชนิด รวมทง้ั ตวั ตนของตนดว้ ย) ท่เี ป็นแก่นเป็นแกนอย่างแทจ้ ริง ลว้ นเกดิ แต่เหตุปจั จยั ต่างๆมาประชมุ ปรุงแต่งกนั ชวั่ ขณะ หรือประกอบกนั ในระยะเวลาหน่ึง เป็นกลุ่มกอ้ นมายาหรือฆนะ ดงั นน้ั เม่อื เหตุปจั จยั เหล่านน้ั มอี นั ตอ้ ง แปรปรวน เสอ่ื ม และดบั ไปตามสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ดว้ ยเหตอุ นั หน่ึงอนั ใดก็ดี, ฆนะหรอื กลุ่มกอ้ นของตวั ตนหรือ ของตนเหลา่ นนั้ อนั เป็นผล จงึ ตอ้ งแปรปรวน เส่อื มและดบั ไปตามเหลา่ เหตุต่างๆท่มี าเป็นปจั จยั กนั นนั้ ในท่สี ุดเป็นไป ตามหลกั ธรรมอทิ ปั ปจั จยตา จงึ ไมส่ ามารถควบคุมบงั คบั บญั ชาใหเ้ป็นไปตามปรารถนา ไดอ้ ย่างจรงิ แทแ้ น่นอน” สงั ขาร จงึ เกดิ ข้นึ มาแต่มเี หตตุ ่างๆ หรอื กค็ อื สง่ิ ต่างๆ มาเป็นปจั จยั ปรุงแต่งกนั ข้นึ ดงั นนั้ ฆนะมวลรวมหรอื กลมุ่ กอ้ น ลว้ นคอื มายาทเ่ี หน็ จงึ ไมใ่ ช่สง่ิ ๆ เดยี วหรอื ช้ินเดยี วแทจ้ รงิ แต่ประกอบข้นึ มาแต่เหตุต่างๆ จึงมสี ภาวะของ แรงทบ่ี บี เคน้ ข้นึ โดยธรรมหรือธรรมชาติต่อสงั ขาร ใหค้ ืนสู่สภาพเดิมหรือธรรมชาตเิ ดิมแทก้ ่อนการปรุงแต่ง จึงทาให้ เกดิ สภาวะของอนิจจงั หรอื ความไมเ่ ทย่ี ง ทเ่ี กดิ การแปรปรวนจากแรงบบี เคน้ นนั้ ๆ ข้นึ เป็นธรรมดา เมอ่ื ไมเ่ ทย่ี งแลว้ จึงมอี าการแปรปรวนไปมา จนถงึ ทส่ี ุดของอาการแปรปรวนคือทกุ ขงั สภาวะท่ที นอยู่ไม่ได้ อกี ต่อไป จงึ ดบั ไปเป็นทส่ี ุด สงั ขารทงั้ ปวงจึงลว้ นอนตั ตา ตวั ตนท่เี หน็ หรือผสั สะไดด้ ว้ ยอายตนะใดๆก็ตามทีลว้ นเป็นเพียงมายาของ กลุม่ กอ้ นท่ปี รุงแต่งกนั ข้นึ ดงั กล่าวขา้ งตน้ จึงลว้ นไม่ใช่ของใครๆทง้ั ส้นิ ลว้ นเป็นไปตามธรรมคือเป็นไปตามเหตุทม่ี า เป็นปจั จยั กนั นนั่ เอง ดงั นน้ั สงั ขารทงั้ ปวง แมแ้ ต่ตวั ตนของเรา จงึ ลว้ นไมใ่ ช่เรา ไมใ่ ช่ของเราอย่างแทจ้ รงิ ส่วน อสงั ขตธรรมนนั้ ก็เป็นเพยี งธรรมชนิดนามธรรม ทย่ี งั ไม่เกิดเป็นปรากฏการณข์ องการท่เี หตตุ ่างๆ มา เป็นปจั จยั ปรุงแต่งกนั ข้นึ ใหเ้ป็นตวั เป็นตนคือเป็นผลข้นึ แต่อย่างใด จึงเป็นอนตั ตาอยู่ในที หรอื โดยธรรม คือย่อมยงั ไมม่ ตี วั ไมม่ ตี นนนั่ เอง ดว้ ยเหตดุ งั น้ี ธรรมทง้ั ปวงจึงลว้ นอนตั ตา ไม่มตี วั ตนแทจ้ รงิ เมอ่ื ไมม่ ตี วั มตี นอย่างแทจ้ ริง จึง ย่อมไม่สามารถเป็นอะไรของใครๆ ไดเ้ ช่นกนั จึงลว้ นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราลว้ นส้นิ เช่นเดียวกนั กบั สงั ขารทง้ั ปวง หรอื พจิ ารณาจากธรรมดงั น้ี กย็ อ่ มเหน็ ความจรงิ ไดเ้ช่นกนั ว่า “สงิ่ ใดสงิ่ หน่ึงมคี วามเกิดข้นึ เป็นธรรมดา สงิ่ นนั้ ทงั้ มวล มคี วามดบั เป็นธรรมดา”๑๗๓ ดงั นน้ั สงั ขารเมอ่ื ถูกเหตุปจั จยั ปรุงแต่งเกิดข้นึ แลว้ ในท่สี ุดย่อมคืนสู่สภาพเดิมหรือธรรมชาติเดมิ ก่อนการ ปรุงแต่งโดยธรรมหรือธรรมชาติ กลา่ วคือย่อมมกี ารดบั ไปเป็นธรรมดา จึงบงั เกดิ อาการของอนิจจงั ความไม่เท่ยี งข้นึ ทม่ี อี าการของความแปรปรวนเพอ่ื คืนสู่ธรรมชาตเิ ดมิ เป็นธรรมดา จนทกุ ขงั ทนอยู่ไม่ไดใ้ นทส่ี ุด จงึ ย่อมตอ้ งดบั ไปเป็น ๑๗๓ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๖/๒๔. ธมั มจกั กปั ปวตั นสูตร

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๓๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ธรรมดาจงึ ลว้ นเป็นอนตั ตาเพราะไมม่ ตี วั ตน (จึงไมใ่ ช่ของตวั ของตนอกี ดว้ ย) เพราะตวั ตนทม่ี าประชมุ กนั อยู่ไดเ้พยี ง ชวั่ ขณะระยะหน่ึงนน้ั กต็ อ้ งดบั ไปเป็นท่สี ุดนนั่ เอง ประโยชนข์ องการเรยี นรูเ้ ร่อื งไตรลกั ษณ์ ๑. ประโยชน์ของการเรียนรูเ้ ร่ืองอนิจจงั เมอ่ื ไดเ้ รียนรูค้ วามไม่เท่ียงของส่ิงทงั้ ปวงแลว้ จะไดป้ ระโยชน์ หลายประการ ดงั น้ี ก. ความไมป่ ระมาท ทาใหค้ นไมป่ ระมาทมวั เมาในวยั ว่ายงั หนุ่มสาว ในความไม่มโี รคและในชีวติ เพราะ ความตายอาจมาถงึ เมอ่ื ไรกไ็ ดไ้ มแ่ น่นอน ทาใหไ้ มป่ ระมาทในทรพั ยส์ นิ เพราะคนมที รพั ยอ์ าจกลบั เป็นคนจนได้ ทาให้ ไมด่ ูหมน่ิ ผูอ้ น่ื เพราะผูท้ ไ่ี รท้ รพั ย์ ไรย้ ศ ตา่ ตอ้ ย กวา่ ภายหนา้ อาจมที รพั ย์ มยี ศ และเจรญิ รุ่งเรืองกว่า กไ็ ดเ้มอื คิดได้ ดงั น้ีจะทาใหส้ ารวมตน อ่อนนอ้ ม ถ่อมตน ไมย่ โสโอหงั วางท่าใหญ่ ยกตนขม่ ทา่ น ข. ทาใหเ้ กิดความพยายาม เพ่อื ท่จี ะกา้ วไปขา้ งหนา้ เพราะรูว้ ่าถา้ เราพยายามกา้ วไปขา้ งหนา้ แลว้ ชีวติ ย่อม เปลย่ี นแปลงไปในทางทด่ี ี ค. ความไมเ่ ทย่ี งแท้ ทาใหร้ ูส้ ภาพการเปลย่ี นแปลงของชวี ติ เมอ่ื ประสบภยั ส่งิ ไม่พอใจ ก็ไม่ส้นิ หวงั และเป็น ทกุ ข์ ไมป่ ลอ่ ยตนไปตามเหตกุ ารณน์ นั้ ๆ จนเกนิ ไป พยายามหาทางหลกี เลย่ี งสง่ิ ทไ่ี มด่ ี ๒. ประโยชน์ของการเรียนรูเ้ ร่ืองทุกขงั เมอ่ื ผูใ้ ดไดเ้ รียนรูเ้ ร่ืองความทุกแลว้ จะรูว้ ่าความทุกขเ์ ป็นของ ธรรมดาประจาโลก อย่างหน่ึงซ่ึงใครๆ จะหลกี เล่ยี งไดย้ าก ต่างกนั ก็แต่เพียงรูปแบบของทุกขน์ น้ั เม่อื ความทุกข์ เกดิ ข้นึ แก่ชวี ติ ผูม้ ปี ญั ญาตรองเหน็ ความจริงว่าความทกุ ขเ์ ป็นสจั จธรรมอย่างหน่ึงของชีวติ ชีวติ ย่อมระคนดว้ ยทุกข์ เป็นธรรมดา เม่อื เหน็ เป็นธรรมดา ความยดึ มนั่ กม็ นี อ้ ย ความทุกขส์ ามารถลดลงไดห้ รืออาจหายไปเพราะไมม่ คี วาม ยดึ มนั่ ความสุขทเ่ี กดิ จากการปลอ่ ยวางยอ่ มเป็นสุขอนั บรสิ ุทธ์ิ ๓. ประโยชน์ของการเรียนรูเ้ ร่ืองอนัตตา การเรียนรูเ้ ร่อื งอนตั ตา ทาใหเ้รารูค้ ามจริงของส่งิ ทง้ั ปวง ไม่ตอ้ ง ถกู หลอกลวงจะทาใหค้ ลาย ตณั หา มานะ และทฏิ ฐิ ทาใหไ้ มย่ ดึ มนั่ เบากาย เบาใจ เพราะเร่อื งอนตั ตาสอนใหเ้รารูว้ ่า สงั ขารทงั้ ปวง เป็นไปเพ่อื อาพาธ ฝืนความปรารถนา บงั คบั บญั ชาไม่ไดอ้ ย่างนอ้ ยท่สี ุดเราจะตอ้ งยอมรบั ความจริง อยา่ งหน่ึงว่า ตวั เราเองจะตอ้ งพบกบั ธรรมชาตแิ ห่งความเจบ็ ปวด ความแก่ชรา และความตายจากครอบครวั และญาติ พน่ี อ้ งตลอดจนทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง สรปุ ทา้ ยบท พระพทุ ธเจา้ มพี ระนามเดมิ ว่า “สทิ ธตั ถะ” เป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะ กษตั รยิ ผ์ ูค้ รองกรุงกบลิ พสั ดุ์ แควน้ สกั กะ ซง่ึ ปจั จบุ นั ตงั้ อยูท่ างภาคใตข้ องประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามว่า “พระนางสริ ิมหามายา” ซง่ึ เป็นพระราชธดิ าของกษตั รยิ ร์ าชสกลุ โกลยิ วงศแ์ หง่ กรุงเทวทหะ แควน้ โกลยิ ะ เจา้ ชายสิทธตั ถะประสูติเม่อื ๘๐ ปีก่อนพุทธศกั ราช ท่ีสวนลุมพินีวนั ณ ใตต้ น้ สาละนนั้ ซ่ึงอยู่ระหว่าง พรมแดนกรุงกบลิ พสั ดุแ์ ละกรุงเทวทหะ ไดม้ พี ราหมณ์ทงั้ ๘ ไดท้ านายว่า เจา้ ชายสทิ ธตั ถะมลี กั ษณะเป็นมหาบุรุษ คือถา้ ดารงตนในฆราวาสจะไดเ้ ป็นจกั รพรรดิ ถา้ ออกบวชจะไดเ้ ป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑญั ญะพราหมณ์ผู้

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๒๓๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ อายุนอ้ ยท่ีสุดในจานวนนน้ั ยืนยนั หนกั แน่นว่า พระราชกุมารสิทธตั ถะจะเสด็จออกบวชและจะไดต้ รสั รูเ้ ป็น พระพทุ ธเจา้ แน่นอน ทนั ทที ป่ี ระสูติ ทรงดาเนินดว้ ยพระบาท ๗ กา้ ว มดี อกบวั ผดุ รองรบั ทรงเปลง่ พระวาจาว่า \"เราเป็นเลศิ ท่สี ุด ในโลก ประเสริฐท่ีสุดในโลก การเกิดครง้ั น้ีเป็นครงั้ สุดทา้ ยของเรา\" หลงั ประสูติได้ ๗ วนั พระนางสิริมหามายา ส้นิ พระชนม์ จงึ ทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดโี คตมี ซง่ึ เป็นพระกนิษฐาของพระนางสริ มิ หามายา ทรงศึกษา เลา่ เรียนจนจบระดบั สูงของการศึกษาทางโลกในสมยั นน้ั ทง้ั หมดถงึ ๑๘ ศาสตร์ ในสานกั ครูวศิ วามติ ร พระบดิ าไม่ ประสงคจ์ ะใหเ้ จา้ ชายสิทธตั ถะเป็นศาสดาเอก จึงพยายามใหส้ ทิ ธตั ถะ พบแต่ความสุขทางโลก เช่นสรา้ งปราสาท ๓ ฤดู และเมอ่ื อายุ ๑๖ ปี ไดใ้ หเ้จา้ ชายสทิ ธตั ถะอภเิ ษก กบั นางพมิ พาหรอื ยโสธรา ผูเ้ป็นพระธิดาของพระเจา้ กรุงเทวท หะ ซง่ึ เป็นพระญาตฝิ ่ายพระมารดา เมอ่ื มพี ระชนมายุ ๒๙ ปี พระนางพมิ พาก็ใหป้ ระสูติราหุล เมอ่ื ทอดพระเนตรเหน็ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลาดบั จึงทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนตอ้ งตกอยู่ในสภาพเช่นนน้ั ไม่มีใคร หลกี เลย่ี งได้ จงึ เกดิ แนวความคิดว่า ธรรมดาในโลกน้ีมขี องคู่กนั อยู่ เช่น มรี อ้ นก็ตอ้ งมเี ยน็ มที กุ ขค์ ือ เกดิ แก่ เจ็บ ตาย ก็ตอ้ งมที ่สี ุดทุกข์ คือ ไมเ่ กิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพยี งมายา ความสุขในกาม คุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาท่ี ชวนใหห้ ลงว่าเป็นความสุขเท่านนั้ ในความจรงิ แลว้ ไม่มคี วามสุข ไมม่ คี วามเพลดิ เพลนิ ใดทไ่ี มม่ คี วามทกุ ขเ์ จอื ปน วถิ ที างท่จี ะพน้ จากความทกุ ขข์ องชวี ติ เช่นน้ีได้ หนทางหลุดพน้ จาก วฏั สงสาร จะตอ้ งสละเพศผูค้ รองเรอื นเป็นสมณะ ส่งิ ทท่ี รงพบเหน็ เรียกว่า \"เทวทูต (ทูตสวรรค)์ \" จงึ ตดั สนิ พระทยั ทรงออกผนวช พระองคท์ รงมา้ กณั ฐกะออกผนวช มนี ายฉนั ทะตามเสด็จ โดยม่งุ ตรงไปท่แี ม่นา้ อโนมานที ทรงตดั พระเกศา และเปล่ยี นเคร่อื งทรงเป็นผา้ กาสาวพกั ตร์ (ผา้ ยอ้ มดว้ ยรสฝาดแห่งตน้ ไม)้ ทรงเปล้อื งเคร่ืองทรงมอบให้ นายฉนั นะนากลบั พระนคร การออกบวชครงั้ น้ีเรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ หลงั จากทรงผนวชแลว้ จึง ทรงม่งุ ไปท่แี ม่นา้ คยา แควน้ มคธ เพ่อื คน้ ควา้ ทดลองในสานกั อาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร เมอ่ื เรยี นจบทง้ั สองสานกั (บรรลุฌานสมาบตั ิ ๘) กท็ รงเหน็ ว่าไม่ใช่ทางพน้ ทุกขต์ ามท่มี ่งุ หวงั ไว้ จากนนั้ จึงเสดจ็ ไปท่ี แม่นา้ เนรญั ชรา ในตาบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปจั จุบนั น้ีสถานทน่ี ้ีเรยี กว่า ดงคศิริ) เมอ่ื บาเพ็ญทุกรกิริยา โดยขบฟนั ดว้ ยฟนั กลนั้ หายใจและอดอาหาร หลงั จากทดลองมา ๖ ปี ก็ยงั ไมพ่ บทางพน้ ทกุ ข์ จึงทรงเลกิ บาเพญ็ ทกุ รกริ ิยา หนั มาบารุงพระวรกายโดยปกตติ ามพระราชดารวิ ่า “เหมอื นสายพณิ ควรจะขงึ พอดีจึงจะไดเ้สยี งทไ่ี พเราะ” ซง่ึ พระอนิ ทร์ ไดเ้สดจ็ ลงมาดดี พณิ ถวาย พณิ สายหน่ึงขงึ ไวต้ ึงเกนิ ไป พอถูกดีดก็ขาดผงึ ออกจากกนั จึงพจิ ารณาเหน็ ทางสายกลาง ว่า เป็นหนทางท่จี ะนาไปสู่พระโพธิญาณได้ ระหว่างท่ที รงบาเพ็ญทุกรกิริยา ปญั จวคั คีย์ มาคอยปรนนิบตั พิ ระองค์ โดยหวงั ว่าจะทรงบรรลุธรรมวเิ ศษ เมอ่ื พระองคเ์ ลกิ บาเพญ็ ทกุ รกิริยา ปญั จวคั คียจ์ ึงหมดศรทั ธา พากนั ไปอยู่ท่ปี ่า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี ขณะมพี ระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ในวนั ท่พี ระองคต์ รสั รู้ นางสุชาดาไดถ้ วายขา้ วมธุปายาส(หุงดว้ ยนม) ใต้ ตน้ ไทร เมอ่ื เสวยเสรจ็ แลว้ ทรงลอยถาดทองในแมน่ า้ เนรญั ชรา ทรงอธิษฐานเส่ยี งพระบารมวี ่า ‚ถา้ จะไดต้ รสั แก่พระ ปรมาภเิ ษกสมั โพธิญาณแลว้ ขอใหถ้ าดน้ีจงลอยทวนกระแสนา้ ข้นึ ไป‛ ถาดทองนน้ั ลอยทวนกระแสนา้ ข้นึ ไป ๑ เสน้ แลว้ ก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช พระองคท์ รงโสมนสั และแน่พระทยั ว่าจะไดต้ รสั รู้ เป็นพระ สพั พญั ญูสมั พทุ ธเจา้ โดยหาความสงสยั มไิ ด”้ ในเวลาเยน็ โสตถยิ ะใหถ้ วายหญา้ คา ๘ กามอื ปูลาดเป็นอาสนะ ณ โคน

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๓๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ใตต้ น้ อสั สตั ถพฤษ์ ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝงั่ แม่นา้ เนรญั ชรา ทรงตง้ั พระทยั แน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ประทบั หนั พระพกั ตรไ์ ปทางทศิ ตะวนั ออก ทรงบรรลุรูปฌาณทง้ั ๔ ชนั้ แลว้ ใชส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณาจนเกิดความรูแ้ จง้ คือปพุ เพนิวาสานุสตญิ าณ จตุ ูปปาตญาณ และอาสวกั ขยญาณ ตรสั รูเ้ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หลงั จากทต่ี รสั รูแ้ ลว้ ไดพ้ จิ ารณาธรรมทพ่ี ระองคต์ รสั รูเ้ป็นเวลา ๗ สปั ดาห์ (๔๙ วนั ) ทรงเหน็ ว่าพระธรรมท่ี พระองคท์ รงบรรลุนน้ั มคี วามละเอียดอ่อน สุขมุ คมั ภรี ภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เขา้ ใจและปฏบิ ตั ไิ ด้ ทรงเกิดความทอ้ พระทยั ว่าจะไมแ่ สดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านไดท้ รงพจิ ารณาอย่างลกึ ซ้งึ แลว้ ทรงเหน็ ว่าบุคคลในโลกน้ีมหี ลาย จาพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมอื นบวั ๔ เหล่า ดงั นนั้ แลว้ จึงดาริท่จี ะแสดงธรรมเพ่อื มวล มนุษยชาตติ ่อไป จงึ ทรงมพี ระกรุณาธคิ ุณ ระลกึ อาฬารดาบสและอทุ ทกดาบสว่า มกี เิ ลสเบาบางสามารถตรสั รูไ้ ดท้ นั ที แต่ทา่ นทงั้ ๒ ไดต้ ายแลว้ จงึ ทรงระลกึ ถงึ ปญั จวคั คีย์ จงึ เสด็จไปท่ปี ่าอสิ ปตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี แควน้ กาสี ปจั จุบนั คือสารนาถ เมอื งพาราณสี ในวนั ข้นึ ๑๕ เดือน ๘ จึงทรงปฐมเทศนา \"ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร” ซ่งึ ใจความ ๓ ตอน คือ ๑. ทรงช้ีทางผิดอนั ไดแ้ ก่กามสุขลั ลกิ านุโยค และอตั ตกิลมถานุโยค แต่เดินทางสายกลางท่ีเรียกว่า มชั ฌมิ าปฏปิ ทา คือมรรคมอี งคแ์ ปด เป็นไปเพ่อื พระนิพพาน ๒. ทรงแสดงอรยิ สจั ๔ โดยละเอยี ด ๓. ทรงปฏญิ ญา ว่าทรงตรสั รูพ้ ระองคเ์ อง และไดบ้ รรลธุ รรมวเิ ศษแลว้ โกญฑญั ญะ เป็นผูไ้ ดธ้ รรมจกั ษุก่อน เกิดความเขา้ ใจแจ่มแจง้ ตามสภาพเป็นจรงิ ว่า “ยํ กญิ ฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺ ตํ นิโรธธมฺมํ : ส่ิงใดส่ิงหน่ึงมีเกิดข้ึนเป็ นธรรม ส่งิ นั้นทงั้ หมดมีดบั เป็ นธรรมดา” จึงไดอ้ ุปสมบท เป็น เอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทาองคแ์ รก มพี ระรตั นไตรครบทง้ั สาม หลงั จากปญั จวคั คียอ์ ุปสมบทแลว้ พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงเทศน์ อนตั ตลกั ขณสูตร ปญั จวคั คยี จ์ งึ สาเรจ็ เป็นอรหนั ต์ มพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ข้นึ ในโลกครงั้ แรก ๖ องค์ หลกั ธรรมสาคญั ท่ปี รากฏในช่วงปฐมโพธิกาล คือ ท่สี ุด ๒ อย่าง (อนั ตะ) อริยมรรคมอี งค์ ๘ อรยิ สจั จ ๔ ปฏจิ จสมปุ บาท ไตรลกั ษณ์ นิพพาน และอนุปพุ พกี ถา

บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๒๔๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง คาถามทา้ ยบท คาช่ีแจง : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นยั ใหผ้ ูศ้ ึกษาตอบคาถามทง้ั หมดดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. จงอธิบายปรากฏการณน์ ่าอศั จรรยใ์ นพระประสูตกิ าล ๒. จงอธบิ ายธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ๒๐ ประการ ๓. จงอธิบายศิลปะศาสตร์ ๑๘ ประการ ๔. จงวเิ คราะหน์ ิมติ รทเ่ี ป็น เทวทูต และเทวธรรม ๕. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของธมั มจกั กปั ปวตั นสูตร ๖. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของอนตั ตลกั ขณะสูตร ๗. จงอธบิ ายอรรถแหง่ อนิจจงั ๘. จงอธิบายอรรถแหง่ ทกั ขงั ๙. จงอธบิ ายอรรถแหง่ อนตั ตา ๑๐. จงอธบิ ายประโยชนข์ องการเรยี นรูไ้ ตรลกั ษณ์ ๑๑. จงอธิบายเชงิ เคราะหค์ าว่า ญาณ ธมั มจกั ขุ วชิ ชา และปญั ญา