บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๔๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ คาถามทา้ ยบท คาช้ีแจง : คาถามมลี กั ษระเป็นแบบอตั นยั ใหผ้ ูศ้ ึกษาตอบคาถามดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. จงอธบิ ายและวเิ คราะหถ์ งึ สง่ิ ทท่ี าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกดิ ความเสอ่ื ม และเกดิ ความเจรญิ ๒. จงอธบิ ายการทาสงั คายนาในสมยั พทุ ธกาล ๓. จงอธบิ ายการทาสงั คายนาและกาเนิดนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔. จงอธบิ ายการทาสงั คายนาและนิกายในลงั กาทวปี ๕. จงอธบิ ายการทาสงั คายนาและนิกายในเมยี นมา่ ร์ ๖. จงอธบิ ายการทาสงั คายนาและนิกายในไทย ๗. จงอธบิ ายการทาสงั คายนาของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๔๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท คณาจารยม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐. __________. พระไตรปิ ฎกศึกษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒. __________. พระไตรปิ ฎก : ประวตั แิ ละความสาคญั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓. ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ . พระพทุ ธศาสนามหายาน. พษิ ณุโลก : โฟกสั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓. บญุ ย์ นิลเกษ. พระพทุ ธศาสนามหายานเขา้ สู่ประเทศไทย เล่ม ๑. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑. เชยี งใหม่ : หจก. เชยี งใหม่ บ.ี เอส. การพมิ พ,์ ๒๔๔๑. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพทุ ธศาสนา ฉบบั ประมวลธรรม. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒๘. กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พผ์ ลธิ มั ม,์ ๒๕๕๙. พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐติ ญาโณ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๘. พทุ ธศาสนประวตั ริ ะหวา่ ง ๒๕๐๐ ปีทล่ี ว่ งแลว้ . รวมบทความวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา. จดั พมิ พข์ ้นึ ในคราวฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ ณ ประเทศอนิ เดยี เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๙๙, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : สุรวฒั น,์ ๒๕๓๗. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. วศิน อนิ ทสระ. พทุ ธปรชั ญามหายาน. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง, ๒๕๔๑. สุมาลี มหณรงคช์ ยั . พทุ ธศาสนามหายาน (ฉบบั ปรบั ปรุงแกไ้ ข). พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พศ์ ยาม, ๒๕๕๐. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๒. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ เลม่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. อภชิ ยั โพธ์ิประสทิ ธ์ศิ าสตร.์ พทุ ธศาสนามหายาน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. Kimura Ryukan. Hinayana & Mahayana : A Historical Stusy of the terns Hinayana and Mahayana and the Origin of Mahayana Buddhism. Patna : Indological Bok Corporation, 1978.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๔๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ Karl H. Potter, ed. Encyclopedia of Indian Philosophy, Vol. VIII. Delhi : Motilal Banarsidass Publishers Private Limited, 1999. Dutt, Nalinaksha. Early History of the Spread of Buddhism and the Buddhist Schools. Delhi : Rajesh Publications, 1980. Takakusu, Junjiro. The Essentials of Buddhist Philosophy. Delhi : Motilal Banarsidass, 1975. Nalinaksha Dutt. Buddhist Sects in Indian. Delhi : Motiala Banarsidass Publishers Private Limited, 1978. P.V.Bapat.(ed.). Principal Schools and Sects of Buddhism 2500 Years of Buddhism, 6th rpt. Delhi : Publications Division, 1997.
บทท่ี ๖ ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธิบายวตั ถุประสงคข์ องการใชภ้ าษาในการจารึกคมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาทในอินเดียได้ ถกู ตอ้ ง ๒. อธบิ ายวตั ถปุ ระสงคข์ องการใชภ้ าษาและอกั ษรทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาเถรวาทได้ ๓. อธบิ ายรูปแบบการถา่ ยทอดพระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบมขุ ปาฐะลายลกั ษณ์ ศิลปะการแสดง จิต กรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม และอเิ ลก็ ทรอนิกสไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง ๔. อธบิ ายสาระสาํ คญั ของรูปแบบการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ ูกตอ้ ง ขอบเขตเน้ือหา ความนาํ ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทในอนิ เดีย ภาษาและอกั ษรทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาเถรวาท รูปแบบการถ่ายทอดพระพทุ ธศาสนาเถรวาท รูปแบบการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๔๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๖ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๖ ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภีรแ์ ละการรกั ษาคาํ สอนพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นการกล่าวถึง อกั ษรและภาษาทใ่ี ชบ้ นั ทกึ และเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา การรกั ษาสบื ทอดพระไตรปิฎก ระบบการรกั ษาสบื ทอด โดยลายลกั ษณ์อกั ษร การนบั ครงั้ ในการทาํ สงั คายนา ภาษาท่ีใชแ้ ละรูปแบบการถ่ายทอดคําสอนทาง พระพุทธศาสนาเถรวาท มีพฒั นาการมาตงั้ แต่การอุบตั ิข้นึ ของพระพุทธเจา้ หลงั จากพระองคเ์ สด็จดบั ขนั ปรินิพพาน รูปแบบการสงั่ สอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ยงั เป็นรูปแบบเดิมคือมุขปาฐะและยงั ไม่มีการ บนั ทกึ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑–๓ ของฝ่ายเถรวาทยงั คงเป็นแบบไม่มกี ารบนั ทกึ เป็น ตวั อกั ษร ภาษาท่ีใชบ้ นั ทึกหรือจารึกพระคมั ภีร์ของพระพุทธศาสนาเถรวาทครงั้ แรก เป็นท่ีทราบของ พทุ ธศาสนิกชนท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี น์ นั้ ก็คือ “ภาษาบาล”ี ปจั จบุ นั วธิ กี ารสบื ทอดพระไตรปิฎกเปลย่ี นแปลงไปตามยุคสมยั จากการทอ่ งบน่ ทรงจาํ เป็นคมั ภรี ใ์ บลาน เป็นรูปเล่มหนงั สอื และ เป็นแอพพลเิ คชนั่ ในโทรศพั ทม์ อื ถอื ตามลาํ ดบั ปจั จุบนั ภาษาท่จี ารึกคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ก็แตกต่างกนั ออกไปมกี ารใชภ้ าษาของแต่ละประเทศ ซ่ึงจะเห็นไดว้ ่าภาษาท่ีจารึกหลกั ธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจา้ นนั้ แตกต่างกนั ออกไปเน่ืองจากสงั คมมกี ารพฒั นาเร่อื งภาษาและวฒั นธรรมแนวคิดความเช่อื การทจ่ี ะทราบและ เขา้ ใจภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาทจะตอ้ งศึกษาสาระสาํ คญั ดงั น้ี ๑. อกั ษรและภาษาทใ่ี ชบ้ นั ทกึ และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ๒. การรกั ษาสบื ทอดพระไตรปิฎก ๓. ระบบการรกั ษาสบื ทอดโดยลายลกั ษณอ์ กั ษร ๔. การนบั ครงั้ ในการทาํ สงั คายนา ๕. สรุปภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาท วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายวตั ถปุ ระสงคข์ องการใชภ้ าษาในการจารกึ คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาทใน อนิ เดยี ไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถอธิบายวตั ถุประสงค์ของการใชภ้ าษาและอักษรท่ีใชจ้ ารึกคัมภีร์ทาง พระพทุ ธศาสนาเถรวาทได้ ๓. ผูศ้ ึกษาสามารถอธิบายรูปแบบการถ่ายทอดพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบมขุ ปาฐะลายลกั ษณ์ ศิลปะการแสดง จติ กรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม และอเิ ลก็ ทรอนิกสไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง ๔. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายสาระสาํ คญั ของรูปแบบการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ้ กู ตอ้ ง ๙. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ าย พฒั นการภาษาทจ่ี ารกึ คาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ได้
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๔๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๖ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาํ แบบฝึกหดั ในชนั้ เรียน ๓. ศึกษาคน้ ควา้ ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชนั้ เรยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Power point หนา้ ชนั้ เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครงั้ ๗. ทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรยี นและนาํ ผลทไ่ี ดม้ าวเิ คราะหพ์ ้นื ฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสติ อนั นาํ ไปสูก่ ารพฒั นาและปรบั ปรุงการเรยี นรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๖ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. คาํ ถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาํ ถามประจาํ บทท่ี ๖ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาความรู้ ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาํ สอนพระพทุ ธศาสนา เถรวาท ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ คร่อื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมินผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ว่ นร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคิดเหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตง้ั ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาํ ถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาํ ภาคเรยี น ๖. การทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๔๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๖.๑ บทนา ภาษาทใ่ี ชแ้ ละรูปแบบการถ่ายทอดคาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนาเถรวาท มพี ฒั นาการมาตง้ั แต่การอบุ ตั ขิ ้นึ ของพระพทุ ธเจา้ หลงั จากพระองคเ์ สด็จดบั ขนั ปรินิพพาน รูปแบบการสงั่ สอนและเผยแผ่พระพทุ ธศาสนากย็ งั เป็น รูปแบบเดมิ คือมขุ ปาฐะ และยงั ไมม่ กี ารบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑–๓ ของฝ่ายเถรวาท ยงั คงเป็นแบบไม่มกี ารบนั ทึกเป็นตวั อกั ษรภาษาท่ใี ชบ้ นั ทกึ หรือจารึกพระคมั ภีรข์ องพระพุทธศาสนาเถรวาทครง้ั แรก เป็นท่ที ราบของพุทธศาสนิกชนท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี น์ นั้ ก็คือ “ภาษาบาลี” อยา่ งไมต่ อ้ งสงสยั เพราะว่าหลงั จากการสงั คายนาพระไตรปิฎกครงั้ ท่ี ๕ ท่ปี ระเทศศรีลงั กา พ.ศ. ๔๓๓ ภายใตก้ าร อปุ ถมั ภข์ องพระเจา้ วฏั ฏคามณีซง่ึ มพี ระรกั ขติ มหาเถรเป็นประธานและเป็นผูซ้ กั ถามพระธรรมวนิ ยั พระตสิ สเถระ เป็นผูต้ อบขอ้ ซกั ถามมพี ระสงฆผ์ ูเ้ ป็นองคพ์ ระอรหนั ต์และสงฆป์ ุถุชนเขา้ ประชุมเป็นสงั คีติการกสงฆ์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ รูป ทาํ ณ อาโลกเลณสถาน ทาํ อยู่ ๑ ปี จึงเสร็จเรยี บรอ้ ย มลู เหตุหรอื ขอ้ ปรารภในการทาํ สงั คายนาครง้ั น้ี คอื ทางคณะสงฆช์ าวลงั กาและทางราชการบา้ นเมอื งเหน็ ว่าพระธรรมวนิ ยั หรอื พระพทุ ธวจนะทไ่ี ดส้ งั คายนาไวน้ น้ั มี ความสาํ คญั มาก นบั เป็นรากแกว้ ของพระพุทธศาสนา หากจะพทิ กั ษร์ กั ษาพระธรรมวนิ ยั ใหด้ าํ รงอยู่สืบไปดว้ ย วธิ กี ารท่องจาํ ดงั ท่เี คยถอื ปฏบิ ตั ิกนั มา ก็อาจมขี อ้ วิปริตผดิ พลาดไดง้ ่าย เพราะความจาํ ของผูบ้ วชเรยี นเสอ่ื มถอย ลง ในการสงั คายนาครงั้ น้ี จึงไดต้ กลงจารกึ พระธรรมวนิ ยั หรือ พทุ ธวจนะเป็นภาษามคธ อกั ษรสหี ฬลงในใบลาน พรอ้ มทงั้ คาํ อธบิ ายพระไตรปิฎกทเ่ี รยี กว่า อรรถกถา เป็นภาษามคธอกั ษรสหี ฬนบั เป็นครงั้ แรกทไ่ี ดม้ ีการจารึกพระ ธรรมวนิ ยั เป็นภาษามคธอกั ษรสหี ฬเป็นหลกั ฐานไว้ อย่างเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร “พระไตรปิฎกลายลกั ษณอ์ กั ษร” จงึ มขี ้นึ เป็นฉบบั แรกในพระพทุ ธศาสนา หลงั จากนนั้ พระไตรปิฎกทถ่ี กู จารกึ กเ็ ผยแผ่เขา้ สู่ไปยงั ประเทศต่างๆ เช่น ประเทศเมยี นมา่ ร์ ไทย ลาว กมั พชู า และในกลมุ่ ประเทศทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาอ่นื ๆ คาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธองคเ์ รยี กรวมกนั วา่ พระธรรมวนิ ยั ไดร้ บั การศึกษา ปฏบิ ตั ิ และทรงจาํ ถ่ายทอด กนั มาต่อมาในหมู่พระสาวก อย่างไรก็ตาม ในช่วงพุทธกาลหลกั คาํ สอนต่างๆ เหล่าน้ี ยงั มไิ ดถ้ ูกจดั ใหเ้ ป็น หมวดหม่หู รือเป็นระเบยี บแบบแผนท่ชี ดั เจนแต่อย่างใด กล่าวคือยงั ไม่มคี มั ภีรพ์ ระไตรปิฎกท่บี นั ทกึ คาํ สอน หลงั จากทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ปรนิ ิพพานไปแลว้ พระสาวกทงั้ หลายจาํ วน ๕๐๐ องค์ จึงไดป้ ระชุมกนั เพอ่ื รวบรวม หลกั คาํ สอนต่างๆ ทไ่ี ดท้ รงจาํ กนั มาเรยี กว่า “สงั คายนา” ซง่ึ ในช่วงเวลาแห่งพฒั นาการระบบคาํ สอนของพระพทุ ธ องคจ์ ากพระธรรมวินยั สู่พระไตรปิฎกนนั้ น่าจะอยู่ในช่วงก่อนการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ ดงั นนั้ จึงกล่าวไดว้ ่า พระไตรปิฎกเกดิ ข้นึ จากการสงั คายนา โดยม่งุ ประโยชนใ์ หพ้ ทุ ธบริษทั ในสมยั ต่อมาไดศ้ ึกษา ปฏบิ ตั ิ และเผยแผ่ พทุ ธธรรมไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั การทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงกาํ หนดไว้ การวบรวมหลกั คาํ สอนดว้ ยวธิ กี ารสงั คายนาจงึ เป็นเร่อื งจาํ เป็น เพ่อื ใหห้ ลกั ธรรมคาํ สอนทง้ั หมดยงั คงอยู่อย่างบริสุทธ์ิบริบูรณท์ ส่ี ุด เช่นเดียวกบั สมยั พระพทุ ธ องคย์ งั ทรงพระชนมอ์ ยู่ การทาํ สงั คายนาพระธรรมวินยั จึงถือว่าเป็นจุดเร่ิมความคิดการรวบรวมรกั ษาพระพุทธศาสนา คื อ ตน้ แบบของการสงั คายนาพระไตรปิฎกคือการตรวจสอบใหค้ มั ภรี พ์ ระไตรปิฎกคงอยู่อย่างเดิม บริสุทธ์ิ บริบูรณ์ และแม่นยาํ ท่ีสุดเท่าท่ีเป็นไปได้ ไม่มอี ะไรแปลกปลอมในพระไตรปิฎก ถา้ ตอ้ งการใหพ้ ระพุทธศาสนาเจริญ
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๔๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง มนั่ คง กจ็ ะตอ้ งมกี ารศึกษาและสงั่ สอนพระธรรมวนิ ยั ใหถ้ กู ตอ้ งอยู่เสมอ ผูท้ ต่ี อ้ งรบั ผดิ ชอบโดยตรงในเร่อื งน้ีคือ พระภิกษุสงฆ์ ซ่งึ มหี นา้ ท่อี ยู่แลว้ ว่าจะตอ้ งสงั่ สอนพระธรรมวนิ ยั นนั่ ก็คือจะตอ้ งรูจ้ กั พระไตรปิฎก และรูจ้ กั พระไตรปิฎกท่เี ป็นตวั หลกั เดิมท่รี กั ษาพระธรรมวินยั นน้ั ไว้ แลว้ หนั มาฟ้ืนฟูชาวพทุ ธใหก้ ลบั ไปสู่พระธรรมวนิ ยั ใหร้ ูจ้ กั ศึกษาพระไตรปิฎกกนั อยา่ งจรงิ จงั วธิ ีการสบื ทอดพระไตรปิฎกเปล่ยี นแปลงไปตามยุคสมยั จากการท่องบ่นทรงจาํ เป็นคมั ภรี ใ์ บลาน เป็นรูปเล่มหนงั สอื และเป็น แอพพลเิ คชนั่ ในโทรศพั ทม์ อื ถอื ตามลาํ ดบั แต่หลกั ฐานชนั้ ปฐมภูมทิ ่เี ก่าแก่ท่สี ุดของ พระไตรปิฎกคอื คมั ภรี ใ์ บลานกาํ ลงั ผกุ ร่อนไปตามกาลเวลา ถกู แมลงกดั แทะบา้ ง สูญหายไปอย่างน่าเสยี ดายอีกทง้ั คนรุ่นใหมท่ อ่ี ่านอกั ษรในคมั ภรี โ์ บราณไดม้ นี อ้ ยลงไปทกุ ที การสงั คายนาพระไตรปิฎกหรือการสงั คายนาพระธรรมและพระวนิ ยั ขอพระพทุ ธเจา้ ในอดตี เป็นตน้ มาท่คี วรทราบมี ๙ ครง้ั ๓ ครงั้ แรกกระทาํ ในประเทศอินเดีย ๔ ครงั้ ถดั มากระทาํ ในประเทศศรีลงั กา และ ๒ ครงั้ สุดทา้ ยกระทาํ ในประเทศไทย ๖.๒ อกั ษรและภาษาทใ่ี ชบ้ นั ทกึ และเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา การสงั คายนาหรือสงั คีติของฝ่ ายเถรวาทตง้ั แต่ครงั้ ท่ี ๑ ถึงครงั้ ท่ี ๓ ในความหมายโดยแท้ เป็นการ ประชมุ กนั ซกั ซอ้ มทบทวน รกั ษาพทุ ธพจน์ ใหค้ รบถว้ นแมน่ ยาํ บรสิ ุทธ์สิ มบูรณ์ มคี วามหมายและความเป็นมา แยกไดเ้ป็นสองช่วงคอื ช่วงแรก ทบทวนดว้ ยปากเปลา่ เรยี กว่า มขุ ปาฐะ และช่วงหลงั จารกึ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เรยี กว่า โปตถกาโรปนะ๑ ภาษาท่ีใชบ้ นั ทึกหรือจารึกพระคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาเถรวาทคร้ังแรก เป็นท่ีทราบของ พทุ ธศาสนิกชนท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี น์ น้ั กค็ ือ “ภาษาบาล”ี อย่างไมต่ อ้ งสงสยั เพราะวา่ หลงั จากการสงั คายนาพระไตรปิฎกครงั้ ท่ี ๕ ท่ปี ระเทศศรีลงั กา พ.ศ. ๔๓๓ ภายใตก้ ารอปุ ถมั ภข์ องพระ เจา้ วฏั ฏคามณี ซ่งึ มพี ระรกั ขติ มหาเถรเป็นประธานและเป็นผูซ้ กั ถามพระธรรมวนิ ยั พระตสิ สเถระเป็นผูต้ อบขอ้ ซกั ถามมพี ระสงฆผ์ ูเ้ป็นองคพ์ ระอรหนั ต์ และสงฆป์ ถุ ชุ นเขา้ ประชุมเป็นสงั คีติการกสงฆ์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ รูป ทาํ ณ อาโลกเลณสถาน ทาํ อยู่ ๑ ปี จงึ เสรจ็ เรยี บรอ้ ย มลู เหตุหรอื ขอ้ ปรารภในการทาํ สงั คายนาครง้ั น้ี คือทางคณะสงฆช์ าวลงั กาและทางราชการบา้ นเมอื งเหน็ ว่า พระธรรมวนิ ยั หรอื พระพทุ ธวจนะท่ไี ดส้ งั คายนาไวน้ น้ั มคี วามสาํ คญั มาก นบั เป็นรากแกว้ ของพระพทุ ธศาสนา หากจะพทิ กั ษร์ กั ษาพระธรรมวนิ ยั ใหด้ าํ รงอยู่สบื ไปดว้ ยวธิ ีการท่องจาํ ดงั ท่เี คยถือปฏิบตั ิกนั มา ก็อาจมขี อ้ วปิ ริต ผดิ พลาดไดง้ ่าย เพราะความจาํ ของผูบ้ วชเรียนเส่อื มถอยลง ในการสงั คายนาครง้ั น้ี จึงไดต้ กลงจารึกพระธรรม วนิ ยั หรอื พุทธวจนะเป็นภาษามคธ อกั ษรสหี ฬลงในใบลาน พรอ้ มทงั้ คาํ อธิบายพระไตรปิฎกทเ่ี รียกว่า อรรถกถา เป็นภาษามคธอกั ษรสหี ฬนบั เป็นครง้ั แรกทไ่ี ดม้ กี ารจารกึ พระธรรมวนิ ัย เป็ นภาษามคธอกั ษรสหี ฬเป็ นหลกั ฐานไว้ ๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พระไตรปิ ฎก สง่ิ ท่ีชาวพทุ ธตอ้ งรู,้ (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ อส.อาร.์ พร้นิ ต้งิ แมสโปรดกั ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๖), หนา้ ๒๐.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๔๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ อย่างเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร “พระไตรปิ ฎกลายลกั ษณ์อกั ษร” จงึ มขี ้นึ เป็นฉบบั แรกในพระพทุ ธศาสนานบั เป็นการ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ในลงั กาทวปี ๖.๒.๑ ภาษาสนั สกฤตกบั ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤตกบั ภาบาลีเป็นภาษาโบราณของอินเดีย อนั ความรูท้ ่ีว่าดว้ ยสรรพวิทยาโบราณของ ประเทศอินเดียท่เี รียกกนั ในภาษาองั กฤษว่า Indology มชี าวต่างประเทศโดยเฉพาะก็คือชาวยุโรป นบั ตงั้ แต่ ชาวตะวนั ตกเร่ิมออกแสวงหาโชคลาภในดินแดนทางตะวนั ออก ก็เร่ิมรูจ้ กั และสนใจอินเดีย ต่อมาเม่อื ชาว องั กฤษ มีอาํ นาจข้ึนในประเทศอินเดีย ขุมทรพั ยท์ งั้ ในรูปธรรมและนามธรรมไดร้ บั การตีแผ่ออกมาเป็นท่ี ประจกั ษแ์ ก่ชาวโลกมากย่ิงข้นึ ขุมทรพั ยน์ ามธรรมของอินเดียซ่งึ เป็นท่ีสนใจแก่ชาวตะวนั ตกไดแ้ ก่เร่ือง ทาง วฒั นธรรม ศาสนา ปรชั ญา และวรรณคดี ภาษาสนั สกฤตและภาษาบาลี เป็นทจ่ี ารกึ เร่อื งราวทางวฒั นธรรมของอนิ เดียผูส้ นใจจะศึกษาคน้ ควา้ เร่อื งราวของอินเดยี ใหถ้ ูกตอ้ งถ่องแท้ จาํ เป็นตอ้ งศึกษาภาษาสนั สกฤตและภาษาบาลไี ปในตวั ดว้ ย ผูร้ ูน้ กั ศึกษา ต่างชาติไดท้ าํ ประโยชนไ์ วม้ ากมายมหาศาล ในการเปิดขุมทรพั ยส์ รรพวทิ ยานานปั ประการ ออกมาใหช้ าวโลก ภายนอกไดเ้หน็ น้ี การท่ีทางการต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวยุโรป ไดส้ นใจเร่ืองราวของอินเดีย นบั ว่าทาํ ใหเ้ กิด ประโยชนอ์ ย่างมากมายมหาศาล เพราะยุโรปเป็นแหลง่ วทิ ยาศาสตรแ์ ละนาํ หลกั วิทยาศาสตรม์ าใชใ้ นการศึกษา คน้ ควา้ เร่อื งราวของอนิ เดยี และการศึกษาแบบวทิ ยาศาสตรย์ งั ผลดใี หเ้กดิ ข้นึ อย่างมหาศาล กาเนิดของภาษาสนั สกฤต ในอดีตตามท่มี กี ล่าวถึงในประวตั ิศาสตร์ มชี นกลุ่มหน่ึงท่เี รียกกนั ในภาษาประวตั ิศาสตรว์ ่า“อารยนั ” อพยพเขา้ มาอยู่ในอินเดีย จากดินแดนทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของอินเดยี การอพยพของชนเผ่าอารยนั เป็นไป อย่างเป็นระลอกๆ กินเวลาอย่างนอ้ ยกว่าพนั ปี ชนเผ่าอารยนั ท่เี ขา้ มาตงั้ รกรากในอินเดียเหล่าน้ีเรียกกนั ว่า พวก อารยนั อินเดีย (Indo-Aryan) ซ่งึ มคี วามสมั พนั ธโ์ ดยสายเลอื ดกบั เผ่าอารยนั ท่ีกระจดั กระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก เช่นประเทศอิหร่าน และในยุโรป สกั ขพี ยานท่ีดีท่ีสุดในเร่ืองน้ี คือ ความสมั พนั ธใ์ นดา้ นภาษา ซ่ึงใน ปจั จุบนั ก็ยงั มใี หเ้ ห็นอย่างไม่ตอ้ งสงสยั ชาวอารยนั ท่ีอพยพเขา้ สู่ประเทศอินเดียนนั้ มีความเช่ือมนั่ ในความ ศกั ด์ิสิทธ์ิของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ถึงกบั ยกย่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านนั้ ใหเ้ ป็นพระเจา้ เช่นเดียวกบั ชาวกรีกโบราณ และเพ่อื ทจ่ี ะเอาใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ฝนตก ฟ้าผ่า มใิ ห้ พโิ รธโกรธกร้ิวในพวกเขา อีกทง้ั เพ่อื จะใหเ้ ขามชี ีวิตอยู่ไดอ้ ย่างร่มเย็นเป็นสุข เขาไดแ้ ต่งบทกลอนข้นึ ถวายพลี กรรม และขบั สดุดีความยง่ิ ใหญ่ของพระเจา้ ซง่ึ อยู่ในมโนภาพของพวกเขา บทกลอนเหล่าน้ี เมอ่ื นาํ มารวบรวมกนั เขา้ มชี ่อื เรียกว่า พระเวท หรือ คมั ภรี พ์ ระเวท และภาษาทใ่ี ชเ้รยี กว่าภาษาพระเวท คมั ภรี พ์ ระเวทก็ขยายออกไป เร่อื ยๆ จนในท่สี ุดแบง่ ออกไดถ้ งึ ๔ หมวด คือ๒ ๑. ฤคเวท (อริ ุพเพท) เป็นคาํ ฉนั ท์ สาํ หรบั สวดออ้ นวอน และ ๒ ดร.ประมวล เพง็ จนั ทร์ และคณะ, ระบบการศึกษาระดบั อดุ มศึกษาของอนิ เดีย, (เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๔๗), หนา้ ๑๓.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง สรรเสริญพระเจา้ ๒. ยชุรเวท (ยชุพเพท) เป็นคาํ รอ้ ยแกว้ ว่าดว้ ยพิธีทาํ พลกี รรมและบวงสรวง ๓. สามเวท (สามเพท) เป็นคาํ ฉนั ท์ สวดในพิธีถวายของแก่เทพเจา้ และขบั กล่อมเทพเจา้ ๔. อาถรรพเวท เป็นเร่ือง คาถาอาคม มนตข์ ลงั นาํ สริ มิ งคลมาสู่ตน นาํ ความชวั่ รา้ ยไปสู่ผูอ้ ่นื และวธิ แี กอ้ าถรรพณต์ ่างๆ ในบรรดาคมั ภรี พ์ ระเวททงั้ ๔ ฤคเวทเป็นคมั ภรี ท์ เ่ี ก่าแก่และดง้ั เดิมท่สี ุด ชาวอารยนั อินเดียใชท้ ่องจาํ กนั หรอื วา่ กนั ปากเปลา่ (มขุ ปาฐะ) สมองของเขากค็ ือหนงั สอื นนั่ เอง มอี ะไรทจ่ี ะตอ้ งจาํ เขากบ็ รรจุไวใ้ นสมอง วธิ ี สอนกว็ ่ากนั ดว้ ยปากเปลา่ ทงั้ ส้นิ ๓ เมอ่ื พวกอารยนั ไดเ้ขา้ ไปตง้ั รกรากอย่างมนั่ คงแลว้ ในอนิ เดีย จนปรากฏว่ามอี ิทธิพลครอบคลุมไปทวั่ ทง้ั ภาคเหนือของประเทศนนั้ อารยธรรมของพวกอารยนั ซมึ ทราบผสมผสานกบั วฒั นธรรมของชาวพ้นื เมอื งหลงั จาก ท่ีพวกอารยนั ไดอ้ พยพเขา้ ไปอยู่ในอินเดีย ไดท้ าํ ใหท้ ุกส่ิงทุกอย่างท่ีเป็นของตนเอง ตอ้ งกลายสภาพแปร เปลย่ี นไปอย่างมาก รวมทง้ั ภาษาดว้ ย ในระยะเวลาอนั ไลเ่ ลย่ี กนั น้ี ไดม้ คี นสาํ คญั คนหน่ึงเกดิ ข้นึ ในท่ามกลางพวกอารยนั ท่านผูน้ ้ีช่อื ว่า ปาณินิ เป็นผูม้ คี วามรูค้ วามสามารถยอดเย่ยี ม ปาณินิ มองเหน็ การณ์ไกล ท่านเหน็ ว่าหากปล่อยใหส้ ภาวการณ์เป็นไป อย่างตามบญุ ตามกรรมดงั่ ทเ่ี ป็นอยูใ่ นขณะนน้ั แลว้ ไม่ชา้ ภาษาของท่านคงจะเหลวแหลกปะปนกบั ภาษาอ่นื ถงึ แก่ ความย่อยยบั เป็นแน่ เพอ่ื ป้องกนั ความวิบตั ิ ปาณินิ จึงไดแ้ ต่งหนงั สอื ข้นึ มาเล่มหน่ึงมชี ่ือว่า “อษั ฎาธยายี” อนั เป็นคมั ภรี ไ์ วยากรณท์ ่เี ป็นหลกั ท่สี ุด และมชี ่อื เสยี งมากทส่ี ุดในภาษาสนั สกฤต อษั ฎาธยายี เป็นตาํ ราไวยากรณ์ เลม่ แรกทว่ี างกฎเกณฑไ์ วอ้ ย่างรดั กมุ และละเอยี ดถถ่ี ว้ น เก่ยี วกบั การใชภ้ าษาของอารยนั ในอนิ เดยี และหลงั จาก นน้ั คาํ ว่า “สนั สกฤต” หรือ “สสกฤต” ในฐานะท่เี ป็นช่ือภาษาหน่ึงจึงอุบตั ิข้นึ และใชก้ นั อย่างแพร่หลายตราบจน ปจั จบุ นั คาํ วา่ สนั สกฤต แปลวา่ สง่ิ ท่ไี ดจ้ ดั ระเบยี บ และขดั เกลาเรยี บรอ้ ยดีแลว้ ในยุคของปาณินิผูน้ ้ี นกั ศึกษาวชิ าทเ่ี ก่ยี วกบั อนิ เดียหรือเรยี กตามศพั ทว์ ่า ภารตวทิ ยา มคี วามเหน็ ว่ามี ชวี ติ อยู่ประมาณ ๒๖๐๐ ปี มาแลว้ กลา่ วคอื ในระยะเวลาอนั ใกลก้ บั การดาํ รงพระชนมช์ พี ของพระพทุ ธเจา้ โดยเหตทุ เ่ี กณฑร์ ดั กมุ มาก สนั สกฤตจงึ กลายเป็นภาษาของผูท้ ม่ี กี ารศึกษาสูง หรืออกี นยั หน่ึงเป็นภาษา ทางวรรณคดี ยากทป่ี ระชาชนธรรมดาสามญั ทวั่ ไปจะสามารถเขา้ ใจ หรอื นาํ มาใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั ได้ ๖.๒.๒ ภาษาบาลี ประวตั แิ ละความเป็ นมาของภาษาบาลี พระพทุ ธเจา้ อุบตั ขิ ้นึ เมอ่ื ประมาณ ๒๖๐๐ ท่แี ลว้ มา๔ หรืออีก นยั หน่ึง คือหลงั จากท่ีพวกอารยนั ไดเ้ ขา้ ไปตง้ั รากฐานอยู่ในอินเดียแลว้ ประมาณ ๑๕๐๐ ปี สมยั นน้ั เป็น ระยะเวลา ท่พี วกอารยนั กาํ ลงั จดั ระเบยี บวางกฎเกณฑ์ ใหก้ บั ภาษาของตนเสียใหม่ ทง้ั น้ีเพราะปรากฏว่าความ สบั สนกาํ ลงั เกิดข้นึ ในภาษาของตน อนั เน่ืองจากการผสมผสานกนั ระหว่างเช้ือชาติ และวฒั นธรรมของพวก อารยนั กบั ชนชาติพ้นื เมอื ง พวกอารยนั กลวั ว่าภาษาของตนจะเสอ่ื ม จึงจดั ใหม้ ีสงั สการ๕ ภาษาข้นึ และภาษาท่ี ๓ กรุณา–เรอื งอไุ ร กศุ ลาสยั , อโศกมหาราชและขอ้ เขียนคนละเร่ืองเดียวกนั , (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พส์ ศยาม, ๒๕๔๕), หนา้ ๙๘. ๔ เร่อื งเดยี วกนั . หนา้ ๑๐๐. ๕ สงั สการ แปลวา่ ชาํ ระ สะสาง จดั ระเบยี บ ทาํ ใหเ้รียบรอ้ ย ทาํ ใหบ้ รสิ ุทธ์ิ
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ไดร้ บั การสงั สการแลว้ น้ี จึงมชี ่ือเรียกว่า สงั สกฤต หรือสนั สกฤต แปลว่าส่งิ ท่ไี ดร้ บั การชาํ ระสะสาง จดั ใหเ้ ป็น ระเบยี บเรยี บรอ้ ยดแี ลว้ ตามพุทธประวตั ิ หลงั จากพระพุทธเจา้ ไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิญาณแลว้ พระพุทธองคเ์ สด็จ จารกิ ไปในท่ตี ่างๆ เพอ่ื ประกาศสจั ธรรมท่พี ระองคไ์ ดท้ รงคน้ พบ ทรงท่องเทย่ี วไปประกาศสจั ธรรมอยู่ในมชั ฌมิ ประเทศ ซ่ึงโบราณวรรณคดีอินเดียลงความเห็นว่า ไดแ้ ก่ อาณาบริเวณท่ีตง้ั ทุ่งกุรุเกษตรใกลๆ้ กรุงเดลีใน ปจั จบุ นั ทางทศิ ตะวนั ออกจนถงึ นครปาฏลบี ตุ ร (ปจั จบุ นั คือ Patna) ทางทศิ ตะวนั ตก และ ตงั้ แต่นครสาวตั ถี (ปจั จุบนั คือ SahetMahetใกล้ Balrampur) ทางทศิ เหนือของเมอื งอวนั ตี (ปจั จบุ นั Ujjainในแควน้ Gwalior) ทางทิศใต้ ในสมยั ท่พี ระพุทธองคท์ รงประกาศหลกั ธรรมอยู่นน้ั แควน้ มคธซ่ึงมพี ระเจา้ พิมพิสารปกครองอยู่ กาํ ลงั เรืองอาํ นาจ และกาํ ลงั แผ่อิทธพิ ลครอบคลุมมชั ฌิมประเทศโดยทวั่ ไป เป็นธรรมดาท่เี มอ่ื แควน้ มคธเรือง อาํ นาจภาษาของแควน้ มคธก็ตอ้ งรุ่งโรจนม์ อี ิทธิพลตามไปดว้ ย เพราะฉะนนั้ ภาษาของแควน้ มคธ ซง่ึ ในคมั ภีร์ พระพทุ ธศาสนาเรยี กวา่ ภาษามาคธบี า้ ง มคธบา้ ง มคธานิรุกตบิ า้ ง และมคธกิ ภาษาบา้ ง จงึ เป็นภาษาทางการและ เป็นภาษากลางทป่ี ระชาชนใชก้ นั อยู่ทวั่ ไปในมชั ฌมิ ประเทศ พระพทุ ธองคท์ รงมคี วามประสงคท์ จ่ี ะใหค้ าํ สอนของ พระองคแ์ ผ่ขยายไปในท่ามกลางมวลชนใหก้ วา้ งขวางมากท่ีสุดเท่าท่ีจะมากได้ เพราะฉะนนั้ พระองคจ์ ึงทรง เลอื กใชภ้ าษาท่คี นเขา้ ใจมากท่สี ุดในมชั ฌิมประเทศ ซ่งึ พระองคก์ าํ ลงั ทรงจาริกประกาศหลกั ธรรมอยู่ นนั่ ก็คือ พระองคไ์ ดท้ รงเลอื กใชภ้ าษา มาคธี หรือ มคธภาษา หรอื มาคธานิรุกติ หรือ มาคธิกภาษา ในตาํ ราไวยากรณ์ ของทา่ นกจั จายนะ มขี อ้ ความตอนหน่ึงกล่าวไว้ ว่า “สา มาคธี มูลภาสา สมพฺ ทุ ฺธาจาปิ ภาสเร”๖ แปลว่า มคธี คือภาษาดงั้ เดิม ท่พี ระพทุ ธองคก์ ไ็ ดท้ รงประกาศพระธรรมไว้ พทุ ธโฆษาจารย์ อรรถกถาจารยผ์ ูย้ อดเย่ยี มเองก็ ไดก้ ล่าวไวใ้ นคมั ภีร์ “สมนั ตปาสาทิกา” ว่า “สกาย นิรุตฺติยาติ เอตฺถ สกา นิรุตฺติ นาม สมฺมาสมฺพุทฺเธน วตุ ตฺ ปปฺ กาโร มาคธกิ โวหาโร”๗ แปลวา่ “ในบทว่า ดว้ ยภาษาของตน ไดแ้ ก่ ช่อื ว่าภาษาของตน คือโวหารภาสาทช่ี น ชาวมคธพูดกนั มีประการดงั ท่ีพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ตรสั ไวแ้ ลว้ โวหารภาษามคธซ่ึงพระพุทธองคไ์ ดท้ รงใช้ นกั ปราชญท์ างภารตวทิ ยา ไดแ้ สดงความเหน็ ว่า โดยเหตทุ ่ที รงกาํ เนิดในราชตระกูลไดท้ รงศึกษาศิลปะวทิ ยานานปั ประการอย่างครบถว้ น พระพทุ ธองคย์ ่อมจะทรงมคี วามเช่ยี วชาญในภาษา “สนั สกฤต” อนั เป็นภาษาของผูร้ ูห้ ลกั นกั ปราชญแ์ ละชนชน้ั สูงในสมยั นน้ั ดว้ ยอย่างไม่มปี ญั หา แต่ท่พี ระองคท์ รงเลอื กใชภ้ าษามาคธี แทนท่จี ะใชภ้ าษา สนั สกฤต ก็เพราะทรงมพี ระประสงคท์ จ่ี ะใหพ้ ระธรรมคาํ สงั่ สอนของพระองค์ ไดแ้ ผ่ขยายออกไปอย่างกวา้ งขวาง ในท่ามกลางมวลประชาชน๘เป็นขอ้ น่าสงั เกตว่า ภาษาท่ีมสี ่วนใกลเ้คียงคลา้ ยคลงึ กบั ภาษาบาลี คือ ภาษามาคธี หรือว่าในสมยั พทุ ธกาลเป็นภาษาท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงใชเ้ ผยแผ่ศาสนาของพระองค์ ปญั หาท่นี ่าสนใจต่อไปก็คือ ภาษามาคธี กาํ เนิดมาจากไหน หลงั จากทพ่ี วกอารยนั เขา้ ไปตงั้ รกราก และมอี าํ นาจอยู่ในภาคเหนือของอนิ เดยี เป็น เวลานานกว่า ๑,๕๐๐ ปีมาแลว้ วฒั นธรรมของพวกอารยนั ก็ผสมปนเปกบั วฒั นธรรมของพวกพ้นื เมอื ง จนถงึ กบั ๖ มหาบาลวี ชิ ชาลยั , ปทรูปสทิ ธฺ ิ ฉบบั เรง่ ด่วน, (กรุงเทพมหานคร : มหาบาลวี ชิ ชาลยั วดั โมลโี ยกยาราม ราชวรวหิ าร พมิ พเ์ ป็นธรรม ทาน, ๒๕๕๘), หนา้ ๓๒. ๗ ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๓๕๑-๓๕๒. ๘ เร่อื งเดยี วกนั หนา้ ๑๐๐ - ๑๐๓.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พวกอารยนั ตอ้ งวางระเบียบแบบแผนภาษาของตนเองเสียใหม่ ทาํ ใหเ้ กิดภาษาท่ีมชี ่ือเรียกว่า ภาษาสนั สกฤต เน่ืองจากเป็นภาษาท่มี กี ฎเกณฑท์ างไวยากรณ์เขม้ งวดกวดขนั มาก สนั สกฤตจึงเป็นภาษาทางวรรณคดีของผูท้ ่มี ี การศึกษาชน้ั สูงไป ยากทป่ี ระชาชนสามญั ธรรมดาจะเขา้ ถงึ ได้ แมว้ ่าพวกอารยนั ไดพ้ ยายามรกั ษาความบริสุทธ์ิใน ภาษาของตนเองดว้ ยการสรา้ งกฎเกณฑข์ ้นึ ควบคุมสกั เพยี งไรก็ตาม ในดา้ นการติดต่อสงั สรรคร์ ะหว่างประชาชน ทวั่ ๆ ไปนน้ั ไมอ่ าจมอี ะไรมายง้ั หรอื สกดั กน้ั ได้ กลา่ วคือประชาชนก็ยงั คบหาสมาคมกนั และภาษาท่พี ูดจากค็ งย่อม ปนเปไปเป็นธรรมดา ภาษาท่ีปะปนกนั น้ีแหละคือ ภาษามาคธี ท่วี ่าปะปนกนั นน้ั หมายถงึ ว่า แมโ้ ครงสรา้ งของ ภาษาจะเป็นไปตามแบบของภาษาตระกูลอินเดียอารยนั ก็ตาม แต่ก็มีธาตุมูลของภาษาอ่ืน โดยเฉพาะก็คือ การ ออกสียงและกฎเกณฑท์ างไวยากรณ์ ฯลฯ มาปะปนอยู่ดว้ ย ทง้ั น้ีก็เป็นไปตามกฎวิวฒั นาการของภาษาตาม กาลเทศะ ภาษาท่วี ิวฒั นข์ ้นึ ตามธรรมชาติเช่นน้ี เรียกตามวชิ านิรุกติศาสตรข์ องอินเดียว่า “ภาษาปรากฤต” (จาก คาํ ว่าปรากฤติ ซง่ึ แปลว่าธรรมชาติ ) อนั มอี ยูห่ ลายชนิด แต่ท่สี าํ คญั มี มาคธี อรรธมาคธี เศารเสนี และ มหาราษฏ รี และจากกลุ่มภาษาปรากฤตน้ีเองทภ่ี าษาปจั จุบนั ของอินดีย มภี าษาฮินดี เบง็ กาลี มาราฐี คุชราตี ปญั จาบี ฯลฯ ไดเ้ กิดข้ึน ภาษาปรากฤตหลายรูปแบบเหล่าน้ีอุบตั ิข้นึ จากภาษาพระเวทในเวลาอนั ใกลเ้คียงกบั ภาษาสนั สกฤต ตามทก่ี ลา่ วมาแลว้ น้ีจะเหน็ ไดว้ ่า ภาษามคธเี ป็นภาษาปรากฤตชนิดหน่ึง ถอื กาํ เนิดจากภาษาพระเวทเช่นเดยี วกบั ภาษาสนั สกฤต แต่โดยเหตุท่เี ป็น “โลกภาษา” หรืออีกนยั หน่ึงเป็นภาษาท่ปี ระชาชนธรรมดาสามญั ทวั่ ไปใชก้ นั เพราะฉะนนั้ จงึ มขี อบเขตค่อนขา้ งจาํ กดั พฒั นาการทางภาษาในประเทศอนิ เดีย : ภาษาพระเวท๙ (นบั ตงั้ แต่ ๕๐๐ ปีก่อนคริสตศ์ กยอ้ นหลงั ข้นึ ) ช่วงพฒั นาโดยประมาณ ตงั้ แต่ ๕๐๐ ปีก่อนครสิ ตศ์ กลงมาจนถงึ ค.ศ. ๑๐๐๐ ภาษาปรากฤต ภาษาสนั สกฤต (มาคธี อรรธมาคธเี ศารเสนี มหาราษฎร)ี ช่วงเวลาพฒั นาโดยประมาณ ตง้ั แต่ค.ศ. ๑๐๐๐ เร่อื ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั ภาษาอนิ เดยี ปจั จบุ นั (ฮนิ ดี เบง็ กาลี มาราฐี คุชราตี ปญั จาบี ฯลฯ ) ๙ Law, B. C., A history of Pali Literature, (Indica Books, Varanasi, India, 2000), p. 99.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง บาลี เป็นภาษาท่ีใชบ้ นั ทึกพุทธวจนะ ในพระไตรปิฎกหรือเป็นภาษาท่ีพระพุทธเจา้ ใชป้ ระกาศ พระ ศาสนาตามทพ่ี ุทธศาสนิกชนฝ่ายเถรวาทเขา้ ใจในฐานะท่พี ระไตรปิฎกอนั เป็นพระคมั ภรี ส์ าํ คญั ของฝ่ายเถรวาท จึงจาํ เป็นอย่างย่ิงท่ีจะตอ้ งเรียนรูแ้ ละทราบว่าบาลที ่ีแทจ้ ริงคืออะไร เกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร จากประเด็นสาํ คญั น้ี นกั ปราชญท์ างพระพทุ ธศาสนา ไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ บาลี คือช่อื ของภาษา ในบาลี คาํ ว่าปาลภิ าสา เป็นคาํ ย่อ หมายถงึ ภาษาของคมั ภรี ์ คาํ แปลเตม็ รูปของคาํ ว่าบาลี คงเป็นคมั ภรี ส์ าํ หรบั สาธยาย คมั ภรี ท์ ่กี าํ ลงั กลา่ วถงึ อยู่น้ี คือคมั ภรี ์ ทางพระพุทธศาสนาในยุคแรกๆ ซ่งึ ไดร้ บั การรกั ษาสบื ๆกนั มา เป็นพเิ ศษ โดยชาวพทุ ธฝ่ายเถรวาทในรูปแบบ ของการสบื ทอดแบบมขุ ปาฐะ ต่อมาภาษาบาลี จงึ จารกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรลงในภาษาต่างๆ เช่น ภาษาสงิ หห์ ล ภาษาขอม ภาษาพม่า ภาษาไทย ภาษาลาว สบื ต่อๆกนั มา คมั ภรี เ์ หล่านนั้ ไดอ้ า้ งกนั ว่าเป็นพระไตรปิฎก ซ่งึ ตาม พยญั ชนะแปลว่า สง่ิ ทม่ี อี ยู่ในตะกรา้ ๓ ใบ และไดร้ บั การยอมรบั ว่าเป็น พทุ ธวจนะ ดงั นนั้ คาํ ตอบอนั ดบั แรกทย่ี งั มเี งอ่ื นไขอยู่สาํ หรบั คาํ ถามในเบ้อื งตน้ ก็คือภาษาบาลนี น้ั เป็นภาษาของ คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาในยุคแรกๆตามท่รี กั ษาสบื ทอดต่อๆกนั มา ของชาวพทุ ธ (ท่ีรกั ษาไวต้ ามตน้ ฉบบั เดิม แต่มใิ ช่คงท)่ี อกี อย่างหน่ึงเราจะพยายามใหค้ าํ ตอบนน้ั อนั ดบั แรกจะใหค้ าํ ตอบ ใหเ้ป็นแหลง่ ความรูแ้ ลว้ ขยายให้ กวา้ งข้นึ ขอใหเ้ราสรุปทนั ทวี ่าเราจะขยายคาํ ตอบอย่างไร ว่าบาลไี มใ่ ช่ภาษาท่มี ขี อบเขตจาํ กดั อยู่เพียงภาษา ทใ่ี ช้ คมั ภีรพ์ ระบาลีเลย ชาวพุทธฝ่ ายเถรวาทใหบ้ าลีสืบมา ทงั้ ในอรรถกถาและงานวรรณกรรมอ่ืนๆ พงศาวดาร ทง้ั หลาย และงานทางวรรณกรรมอ่ืนๆ ในโอกาสท่ีเหมาะสม งานทงั้ หมดไม่ไดส้ มั พนั ธก์ นั อย่างใกลเ้ คียงกบั คมั ภรี ใ์ นยุคตน้ ๆ บาลไี ดใ้ ชเ้ ป็นภาษาพดู และเป็นอปุ กรณใ์ นการส่อื สารระหว่างนกั ปราชญช์ าวพทุ ธดว้ ยกนั จะ อย่างไรกต็ ามใครๆสามารถจะกลา่ วได้ อย่างปลอดภยั ว่า ดว้ ยขอ้ ยกเวน้ ท่ไี ม่สาํ คญั และบางทไี ม่ใช่ของแท้ ชาว พทุ ธฝ่ายเถรวามเท่านนั้ ใชภ้ าษาบาลี และคมั ภรี ส์ ่วนมากท่เี ขยี นเป็นภาษาบาลี มคี วามสมั พนั ธก์ นั อย่างใกลช้ ิด กบั รูปแบบการสบื ทอดต่อๆ กนั มาทางศาสนาทก่ี ลา่ วมาแลว้ นนั้ ๑๐ ปจั จบุ นั เมอ่ื เราพดู ถงึ ภาษาบาลี เรากเ็ ขา้ ใจกนั ว่าเป็นภาษาท่บี นั ทกึ พระธรรมคาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ซง่ึ รวมอยู่ในคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกทงั้ สามหมวด และเป็นภาษาท่พี ระพทุ ธองคท์ รงใชป้ ระกาศคาํ สอนของพระองค์ ในระหว่างท่ียงั ดาํ รงพระชนมช์ ีพอยู่ อันท่ีจริงแลว้ คาํ ว่า ปาลิ หรือบาลี๑๑ในภาษาไทยน้ี เพ่ิงจะปรากฏว่า บูรพาจารยท์ า่ นนาํ มาใชใ้ นฐานะเป็นชอ่ื ของภาษาเมอ่ื ประมาณ ๕๐๐–๖๐๐ ปีมาแลว้ น้ีเอง คาํ ว่า ปาลิ มปี รากฏให้ เหน็ เป็นครงั้ แรกในอรรถกถา และในคมั ภรี ส์ ุทธมิ รรคของท่านพทุ ธโฆษาจารย์ ผูม้ ชี วี ติ อยู่ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ หรือ ๑๑ แต่นนั่ ก็ในความหมายว่าเป็นพทุ ธวจนะ หรือเป็นเน้ือความเดิมในพระไตรปิฎกหาใช่ในความหมายท่ี เป็นช่อื ของภาษาไม่ ๑๐ พระมหาเทยี บ สิริญาโณ .“บาลีคืออะไร” ในเพชรจากคมั ภีรพ์ ระไตรปิ ฎก, (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั ๒๕๔๒), หนา้ ๒๓๕๓-๒๓๖. ๑๑ กรุณา - เรอื งอไุ รกศุ ลาศยั , อโศกมหาราชและขอ้ เขียนคนละเร่อื งเดียวกนั , หนา้ ๑๐๐-๑๐๓.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ครน้ั เม่อื หลงั พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๐ คาํ ว่า ปาลนิ ้ีจึงนํามาใชใ้ นฐานะท่ีเป็นช่ือของภาษาท่ีใช้ บนั ทกึ คาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ หรืออีกนยั หน่ึงคือพระไตรปิฎกของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายหนิ ยาน หรือ เถรวาท จนแพร่หลายเป็นประเพณีสบื จนถงึ ปจั จุบนั คาํ ว่า บาลี เป็นทว่ี พิ ากษว์ จิ ารณ์ของนกั ศึกษาอย่างกวา้ งขวาง และไดถ้ กเถยี งกนั เป็นเวลานานเมอ่ื สรุป แลว้ กแ็ ยกออกมาเป็น ๒ พวก คือ พวกทห่ี น่ึง เหน็ วา่ บาลคี ือภาษาหน่ึงทใ่ี ชพ้ ดู กนั อยู่ในอนิ เดยี สมยั พทุ ธกาล พวกท่สี อง เหน็ ว่าบาลมี ใิ ช่ภาษาดงั ท่เี ขา้ ใจกนั แต่เป็นคมั ภรี ข์ องพระพุทธศาสนาท่เี ขยี นดว้ ยภาษาใด ภาษาหน่ึง พวกท่เี ห็นว่าบาลีคือภาษานนั้ เห็นจะไม่เป็นท่ีสงสยั อะไรนกั หนงั สอื ตาํ ราของพระพุทธศาสนาฝ่ าย หนี ยาน เช่น พระไตรปิฎก เป็นตน้ เขยี นดว้ ยภาษาบาลดี งั ทพ่ี วกเราเขา้ ใจกนั อยู่ทุกวนั น้ี และเช่อื กนั ว่าภาษาบาลี กค็ อื ภาษามคธนนั่ เอง ส่วนพวกท่ีว่า บาลีไม่ใช่ภาษานนั้ ก็มีเหตุผลท่นี ่าฟงั เหมือนกนั ดงั ท่ีท่านไดใ้ หค้ วามหมายไวโ้ ดยนยั ต่างๆ กนั ดงั น้ี ๑. บาลี หมายถงึ ธรรมะ เช่น ในประโยคว่า “ปาลิยา อตถฺ อปุ ปฺ รกิ ขฺ นฺติ” แปลว่า ภกิ ษุทงั้ หลายย่อมเลา่ เรยี นซง่ึ อรรถแหง่ พระธรรม คาํ วา่ “ปาลยิ า” ในทน่ี ้ีแปลว่าธรรมะ หรอื พทุ ธพจนซ์ ง่ึ ไดแ้ ก่ ปาพจน์ หรือ ปรยิ ตั ิ และ ในประโยคว่า “เทสนาติ ตสฺสา มนสา ววฏฐฺ าปิตาย ปาลยิ า เทสนา ฯ “ปฏเิ วโธติ ปาลยิ า ปาลิอตฺถสฺส จ ยถาภูตาว โพโธ๑๒ ฯ แปลว่า ช่อื ว่าเทสนา ไดแ้ ก่ การแสดงพระบาลนี นั้ ทก่ี าํ หนดไวด้ ว้ ยใจ การตรสั รูอ้ รรถะบาลขี องพระบาลี ตามเป็นจรงิ ชอ่ื วา่ ปฏเิ วธ ฯ หรือในประโยคว่า “ตํ ปน อตฺตโน มตึ คเหตฺวา กเถนฺเตน น ทฬหฺ คฺคาหํ คเหตฺวา โวหริตพฺพํ การณํ สลฺลกฺเขตฺวา อตฺเถน ปาลึ ปาลยิ า จ อตฺถํ สสํ นฺเทตฺวา กเถตพฺพ”ํ ๑๓ แปลว่า ก็ภิกษุถือเอามติของตนนนั้ แลว้ กลา่ ว ถอื เอาไม่มนั่ คงกลา่ ว ทางท่ถี กู ควรกาํ หนดเหตเุ ทยี บอรรถกบั บาลี และเทยี บบาลกี บั เน้ือหาเสยี ก่อนแลว้ จงึ กลา่ ว ๒. บาลี หมายถงึ ระเบยี บ แถว แนว ดงั ในประโยคว่า “ปาลยิ า นิสที สึ ุ” แปลว่า ภกิ ษุทงั้ หลายไดน้ งั่ เขา้ แถวกนั (เป็นระเบยี บ) ๓. บาลี หมายถงึ ขอบสระ ดงั ในประโยควา่ “มหโต ตาฬกสฺส ปาล”ิ แปลว่า “ขอบแหง่ สระใหญ่”๑๔ ๔. บาลี หมายถงึ พระไตรปิฎก ดงั ทพ่ี ระเรวตเถระ กลา่ วกบั พระพทุ ธโฆษาจารย์ วา่ “ปาลมิ ตฺตมธิ านีตํ นตฺถิ อฏฺ กถา อธิ ตถาจริยวาทา จ ภินนฺ รปู า น วิชฺชเร ๑๒ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๒๒. ๑๓ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๒๗๒. ๑๔ ลขิ ติ ลชิ ติ านนท,์ วรรณกรรมพระพทุ ธศาสนาเถรวาท, (เชียงใหม่ : ภาควชิ าภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ ม.เชียงใหม่, ๒๕๓๔), หนา้ ๑๗ / ๑๘.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง สหี ลฏฺ กถา สทุ ธฺ า มหนิ ฺเทน มตีมตา สงคฺ ตี ิตฺตยมารุฬฺหํ สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ เทสติ ํ สารปี ตุ ฺตาทคิ ีตญฺจ กถามคฺคํ สเมกขฺ ยิ กตา สีหลภาสาย สีหเลสุ ปวตฺตติ ตํ ตตฺถ คนฺตฺวา สตุ ฺวา ตฺวํ มาคธาย นิรตุ ตฺ ยิ า ปรวิ ตฺเตหิ สา โหติ สพพฺ โลกหิตาวหา”๑๕ ฯ แปลวา่ “หนงั สอื ทน่ี าํ มาจากลงั กามาทน่ี ่ี มเี ฉพาะไตรปิฎกเทา่ นนั้ สว่ นอรรถกถา และอาจรยิ วาทต่างๆ เรายงั ไมม่ ี แต่ในลงั กามอี รรถกถาซง่ึ พระมหนิ ทเถระผูม้ ปี ญั ญารจนาข้นึ โดยอาศยั พทุ ธพจน์ อนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงแลว้ และนาํ เขา้ สูก่ ารทาํ สงั คายนาแลว้ ๓ ครงั้ อรรถกถานน้ั ภายหลงั ไดม้ ผี ูเ้ป็นภาษาของชาวเกาะนน้ั เธอจงไปทน่ี นั่ สดบั ศึกษาแลว้ จงแปลอรรถกถานนั้ เป็นภาษามคธ ใหอ้ รรถกถานน้ั มปี ระโยชนแ์ ก่ ชาวโลกทง้ั ปวงเถดิ ” คาํ ว่า “ปาลิมตฺต” ในทน่ี ้ีหมายถงึ พระไตรปิฎก มใิ ช่หมายถึงภาษา ส่วนท่เี ป็นอรรกถาเราเรยี กว่า “ปา ลวิ ณฺณนา”๑๖ ภาษาบาลี ใชถ้ ่ายทอดเผยแผ่และบนั ทึกพุทธพจน์เร่ือยมา จนกลายเป็นภาษาท่ีใชเ้ ป็นหลกั ใน พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท มพี ระไตรปิฎกเป็นตน้ ในการเขยี นภาษาบาลไี ม่มอี กั ษรชนิดใด สาํ หรบั ใชเ้ ขยี น โดยเฉพาะสนั นิษฐานว่า น่าจะเป็นอักษรมาคธี แต่สามารถประยุกต์ใชก้ ับภาษาของประเทศน้ัน ๆ ท่ี พระพทุ ธศาสนาเผยแผถ่ งึ เช่น พระพทุ ธศาสนาเผยแผ่ถงึ ประเทศไทย กใ็ ชอ้ กั ษรไทย เป็นตน้ ภาษาบาลี มพี ฒั นาการท่ยี าวนาน และมแี หล่งกาํ เนิดในประเทศอินเดีย สามารถแบ่งวิวฒั นาการการ แต่งได้ ๔ ยุคคือ ยุคคาถา ยุครอ้ ยแกว้ ยุครอ้ ยกรองระยะหลงั และยุครอ้ ยกรองประดษิ ฐ์ ภาษาบาลี มคี วามสาํ คญั ในฐานะเป็นภาษาท่พี ระพุทธเจา้ ทรงเลอื กใชเ้ ทศนาโปรดเวไนยสตั ว์ เพ่อื ให้ บรรลุมรรคผลและนิพพาน ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จากการศึกษาภาษาบาลี จะช่วยใหผ้ ูเ้รยี นใชภ้ าษาบาลแี ละภาษาไทยไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ความหมายของคาวา่ บาลี คาํ ว่า “บาล”ี ท่ใี ชใ้ นภาษาไทย ตรงกบั ภาษาบาลคี าํ ว่า “ปาล”ี (อกั ษรโรมนั : Pali) “ปาล\"ี สาํ เร็จรูปมา จากศพั ทว์ ่า “ปาล” ธาตุ แปลว่า “รกั ษา” ลง ณี ปจั จยั ในนามกิตก์ ปจั จยั ทเ่ี น่ืองดว้ ย ณ ใหล้ บ ณ ท้งิ เสยี เมอ่ื ๑๕ วสิ ทุ ธฺ ิ.(บาล)ี ๓/๓๘๓-๓๘๔. พทุ ฺธโฆสปปฺ วตตฺ กิ ถา. ๑๖ พระอดุ รคณาธิการ (ชวนิ ทร์ สระคาํ ), ประวตั ิศาสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอนิ เดีย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๓๔), หนา้ ๔๒๙-๔๓๑.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๖ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ประกอบกนั จึงมรี ูปเป็น \"ปาลี หรือคาํ ไทย เรียกว่า บาล\"ี หมายถึง ภาษาท่รี กั ษาพระพทุ ธพจนเ์ อาไว้ ซ่งึ มรี ูป วเิ คราะหว์ า่ “พทุ ธฺ วจน ปาเลตตี ิ ปาลี” แปลว่า “ภาษาใด ย่อมรกั ษาไว้ ซง่ึ พระพทุ ธพจน์ เหตุนนั้ ภาษานน้ั ช่อื ว่า ปาลๆี แปลวา่ ภาษาทร่ี กั ษาไวซ้ ง่ึ พระพทุ ธพจน”์ คาว่า บาลี ไดม้ นี กั ปราชญห์ ลายท่านใหค้ วามหมายไวด้ งั น้ี ๑. คมั ภรี อ์ ภธิ านัปปทีปิ กา กล่าวว่า ปาลี มาจาก ปา ธาตุ แปลว่า รกั ษา, ลง ฬิ ปจั จยั จึงมรี ูปเป็น “ปาฬ”ิ ดงั ปรากฎหลกั ฐานว่า...ปา รกฺขเณ ฬ.ิ ปาติ รกฺขตีติ ปาฬิ (ปาล)ิ ช่ือว่า ปาฬิ เพราะอรรถว่า คุม้ ครอง, รกั ษา นอกจากน้ี ยงั มหี ลกั ฐานเพม่ิ เตมิ อกี “ปาฬิสทโฺ ท ปาฬิธมฺเม ตาฬกาปาฬิยมปฺ ิ จ ทิสสฺ เต ปนตฺ ยิ ญฺเจว อติ ิ เญยยฺ ํ วิชานตา. ในคาถาน้ี คาํ วา่ “ปาฬธิ มเฺ ม” หมายถงึ ปรยิ ตั ธิ รรม คาํ วา่ “ตาฬกาปาฬยิ มปฺ ิ” หมายถงึ ขอบสระ บาลี หมายถงึ “ปรยิ ตั ิธรรม” ดงั ตวั อย่าง “ปาฬยิ า อตฺถํ อุปปริกขฺ นฺติ (ย่อมพิจารณา เน้ือความแห่ง บาฬ)ี บาลี หมายถงึ “ขอบสระ” ดงั ตวั อย่าง “มหโต ตฬากสฺส ปาฬ.ิ (ขอบแหง่ สระใหญ่) บาลี หมายถงึ “แถว, แนว” ดงั ตวั อยา่ ง “ปาฬยิ า นิสที สึ ุ. (พวกเขา นงั่ เรยี งแถว) ๒. พระพุทธโฆสาจารย์ ไดใ้ หค้ าํ จาํ กดั ความ ไวว้ ่า บาลี หมายถงึ พระพุทธธรรม คือคาํ สงั่ สอนของ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หมดทร่ี วมไวใ้ นพระไตรปิฎก หรอื บาลี หมายถงึ ภาษาของพระไตรปิฎก ดงั หลกั ฐานว่า ...ตํ ปน อตฺตโน มตึ คเหตฺวา กเถนฺเต น ทฬฺคคาหํ คเหตฺวา โวหริตพฺพํ การณํ สลฺลกฺเขตฺวา อตฺเถน ปาลึ ปาลยิ า จ อตฺถํ สสํ นฺเทตฺวา กเถตพฺพ.ํ .. อนั นกั ศึกษา เม่อื จะยึดความเห็นส่วนตนมากล่าวอา้ งไม่ควรจะกล่าวอา้ งอย่าง เชอ่ื มนั่ เกนิ ไป ควรจะหนดเหตุ เทยี บเคยี งเน้ือพระไตรปิฎกเสยี ก่อนแลว้ จงึ กล่าวอา้ ง ๓. คมั ภรี ธ์ าตุวตั ถสงั คหปาฐนิสสยะ กล่าวว่า ปาฬิ หมายถงึ ภาษาทร่ี กั ษาเน้ือความเอาไว้ มาจากราก ศพั ทว์ ่า ปาล แปลว่า “รกั ษา” ซ่งึ มาจากรูปวเิ คราะหว์ ่า “อตถฺ ํ ปาเลตีติ ปาล”ี แปลว่า “ ภาษาใด ย่อมรกั ษา ซ่งึ เน้ือความ เพราะเหตนุ น้ั ภาษานน้ั ช่อื วา่ บาลี ” ๔. ปทานุกรมสนั สกฤต-องั กฤษ ของ เซอรม์ อเนียร์ วลิ เลยี มส์ ไม่มรี ูป “ปาฬ”ิ มแี ต่รูป “ปาล”ิ โดยให้ ความหมายหลายนยั พอสรุปไดด้ งั น้ี.- ๔.๑ ขอบหู, ใบหู , รมิ , ขอบ ๔.๒ แถว, แนว, สาย, คู, สะพาน, หมอ้ หงุ ตม้ ๔.๓ มาตราตวง เทา่ กบั ๑ ปรสั ถะ (บาลเี ป็น ปตั ถะ) ๕.ปทานุกรมบาลี – องั กฤษของสมาคมบาลปี กรณ์ แสดงศพั ทไ์ วท้ ง้ั ๒ รูปคือ ปาลิ และปาฬิ ทง้ั สอง คาํ น้ี มไิ ดห้ มายถงึ ภาษา แต่หมายถึง พระพุทธวจนะ หรือ เน้ือความดง้ั เดมิ ในพระไตรปิฎก ซ่งึ ใหค้ วามหมาย บาลไี ว้ ๒ นยั คือ.- ๕.๑ แถว, แนว เช่น ทนั ตปาลิ (แถวแหง่ ฟนั )
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๕.๒ ธรรม, ปรยิ ตั ธิ รรม ตาํ ราธรรมของพระพทุ ธศาสนาทเ่ี ป็นหลกั ดง้ั เดมิ ๖. ส่วนพจนานุกรมราชบณั ฑิตยสถาน ไดใ้ หค้ วามหมายว่า “บาลี” คือ ภาษาท่ีใชเ้ ป็นหลกั ใน พระพทุ ธศาสนาแต่เดมิ มา, พระพทุ ธพจน์ แหล่งกาเนิดของภาษาบาลี พระพทุ ธศาสนาอบุ ตั ขิ ้นึ ในประเทศอินเดีย ท่ามกลางเจา้ ลทั ธทิ ง้ั หลาย ในสมยั นน้ั ภาษาท่ปี ระชาชนใช้ เป็นส่ือในการส่ือสารในสมยั นน้ั ก็มีมาก พระองค์ทรงเลือกภาษาท่ีประชาชนส่วนมากใชใ้ นการประกาศ พระพทุ ธศาสนา มหี ลายคนตง้ั ขอ้ สงั เกตว่า พระพทุ ธเจา้ ทรงใชภ้ าษาอะไรกนั แน่ในการประกาศพระพทุ ธศาสนา ในหมู่ชาวพุทธบางส่วนใหท้ ศั นะว่าภาษาบาลมี ถี ่นิ กาํ เนิดจากแควน้ มคธ ในชมพูทวีป (ประเทศอินเดีย) และ เรียกว่า “ภาษามคธ” (มาคธ)ี มนี กั ภาษาศาสตรบ์ างท่านมคี วามเหน็ ว่า ภาษาบาลี (มาคธ)ี เป็นภาษาทางภาคใต้ ของอินเดีย บางท่านเหน็ ว่า เป็นภาษาทางตะวนั ตกของอินเดีย และเป็นคนละภาษากบั ภาษาจารึกของพระเจา้ อโศกมหาราช ผูเ้ขยี นจงึ ไดน้ าํ ทศั นะของนกั ปราชญบ์ างทา่ นท่กี ลา่ วถงึ แหลง่ กาํ เนิดของภาษาบาลไี วด้ งั น้ี Sten Konow Grierson and Nalinaksha Dutt เช่อื ว่า ถน่ิ กาํ เนิดของภาษาบาลี คือบริเวณเทอื กเขา วนิ ธยั โดยใหเ้หตผุ ลว่า ภาษาไปศาจี, ปรากฤต มคี วามสมั พนั ธก์ บั ภาษาบาลอี ย่างใกลช้ ดิ และมรี ากฐานมาอย่าง เดยี วกนั ภาษาไปศาจี มถี น่ิ กาํ เนิดท่บี ริเวณใกลเ้ทอื กเขาวนิ ธยั กรสี นั กลา่ วว่า “โดยหลกั ฐานแลว้ ภาษาบาลเี ป็น ภาษาพดู ของชาวมคธ ภาษาบาลี ไดแ้ พร่หลายไปยงั เมอื งตกั กสลิ าในแถบตะวนั ตกเฉียงเหนือ อนั เป็นถน่ิ กาํ เนิด ของภาษาไปศาจี โดยลกั ษณะน้ี คาํ พูดทางตะวนั ออกท่ีแพร่หลายไปทางตะวนั ตกเฉียงเหนือ ไดท้ ้ิงลกั ษณะ คาํ พูดท่สี าํ คญั ๆ ของภาษาตะวนั ออกไวด้ ว้ ย และในขณะเดยี วกนั ก็รบั ลกั ษณะท่ดี ีเป็นจาํ นวนมากของภาษาถ่นิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ B.M. Barua กล่าวว่า หลกั ฐานท่เี ป็นภาษาถ่ินสาํ คญั ของภาษาบาลนี นั้ อาจมรี ูปคาํ มาจากถอ้ ยคาํ ใน ศิลาจารกึ ของพระเจา้ อโศกมหาราช เขาไดเ้ปรยี บเทยี บพระพทุ ธวจนะกบั อโศกวจนะว่า มคี วามคลา้ ยคลงึ กนั มาก ทเี ดยี ว Sylvain Lewy and Herma Luder ไดใ้ หข้ อ้ สงั เกตว่า พระไตรปิฎกฉบบั ภาษาบาลปี จั จุบนั ไดใ้ หข้ อ้ ช้ีแแจงท่ีดีเป็นจาํ นวนมากว่า มรี ากฐานมาจากพระไตรปิฎกฉบบั เก่าแก่ท่ีแต่งเป็นภาษาถ่ินตะวนั ออก ดงั นน้ั พระไตรปิฎกฉบบั แรกนนั้ แต่งดว้ ยภาษาอรรธมาคธี ภาษาปรากฤตเก่าแก่ทางตะวนั ออก T.W. Rhys Davids กลา่ ววา่ ภาษาบาลมี รี ากฐานมาจากภาษาของชาวโกศล โดยใหเ้หตุผลว่า สถานท่ี ประสูติของพระพุทธเจา้ อยู่ท่แี ควน้ โกศล พระพทุ ธวจนะไดเ้ ก่ียวขอ้ งกนั กบั ๒ อาณาจกั ร คือ อาณาจกั รโกศล และอาณาจกั รมคธในอินเดียตอนเหนือ ศูนยก์ ลางของพระพทุ ธศาสนาอยู่ท่ี ๒ อาณาจกั รน้ี ย่งิ ไปกว่านน้ั กรุง กบลิ พสั ดุ์ เมอื งหลวงของแควน้ สกั กะ อนั เป็นสถานทป่ี ระสูติของพระพทุ ธเจา้ อยู่ในแควน้ โกศลเหมอื นกนั โดย ธรรมชาติ ภาษาแมข่ องพระพทุ ธเจา้ กค็ ือภาษาของชาวโกศล ดงั นน้ั พระพทุ ธเจา้ อาจทรงแสดงธรรมของพระองค์ ดว้ ยภาษาหน่ึงท่พี ูดกนั ในแควน้ โกศลและแ ควน้ มคธ เช่นเดียวกบั ภาษาฮนิ ดูทใ่ี ชพ้ ดู กนั ในรฐั อุตรประเทศและ รฐั พหิ ารในปจั จบุ นั
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๘ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ท่กี ล่าวมาขา้ งตน้ พอสรุปไดว้ ่าแหลง่ กาํ เนิดของภาษาบาลอี ยู่ท่บี รเิ วณเทอื กเขาวนิ ธยั แควน้ มคธและ แควน้ โกศลซง่ึ เป็นสถานทท่ี พ่ี ระพทุ ธเจา้ ประสูติ ทศั นะตา่ งๆ เกย่ี วกบั ภาษาบาลี คําว่า “ทศั นะ” หมายถึงความเห็น การเห็น เคร่ืองรูเ้ ห็น ส่ิงท่ีเห็น ถา้ พิจารณาจากประเภทของ นกั ปราชญแ์ ละประเภทของกวภี าษาบาลแี ลว้ อาจแบง่ ทศั นะในวรรณคดีบาลไี ด้ ๒ ประเภท คอื ๑) สมั พทั ธทศั นะ ไดแ้ ก่ วรรณคดีบาลที ป่ี ระพนั ธข์ ้นึ จากแนวคิดเหน็ หรือจากการคน้ ควา้ รวบรวมจาก คมั ภรี ต์ ่างๆ ตามแนวคิดท่เี กดิ ข้นึ เองอย่างเป็นอิสระ เช่น คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หา คมั ภีรว์ มิ ตุ ตมิ รรค คมั ภรี ว์ สิ ุทธิ มรรค คมั ภรี เ์ นตปิ กรณ์ คมั ภรี เ์ นตตอิ รรถกถา หนงั สอื พทุ ธธรรม หนงั สอื กรรมทปี นี หนงั สอื โลกทปี นี เป็นตน้ ๒) วิสุทธิทศั นะ หรือ ญาณทศั นะ ไดแ้ ก่ วรรณคดีบาลีท่ีประพนั ธข์ ้ึนจากความรูจ้ ริงเห็นแจง้ ตาม สภาวะทเ่ี ป็นจรงิ หรอื จากการตรสั รู้ เช่น คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก๑๗ บาลแี มเ้ป็นท่ยี อมรบั ในประเทศท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาท คือ พมา่ ศรลี งั กา ไทย กมั พูชา และลาวว่าเป็นพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกและคมั ภีรท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกนั ทง้ั หมด แต่ดว้ ยเหตุท่ีในยุคปจั จุบนั วรรณคดบี าลไี ดเ้ผยแพร่ไปทวั่ โลก โดยเฉพาะในประเทศท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา มกี ารเรียนการสอนวรรณคดี บาลกี นั อย่างกวา้ งขวาง ดงั นนั้ จงึ มนี กั การศึกษาหลายคนไดแ้ สดงทศั นะเก่ยี วกบั ภาษาบาลหี รอื วรรณคดบี าลที งั้ ในดา้ นภาษาและแหลง่ กาํ เนิดของภาษา ดงั ท่ี Wilhem Geiger รวบรวมไวด้ งั น้ี๑๘ H. Kern มที ศั นะว่า ภาษาบาลไี ม่ใช่ภาษาเอกพนั ธุ์ แต่เป็นภาษาท่เี กิดจากการประสมประสานจาก หลายๆ ภาษาในยุคและสถานท่ใี กลเ้คียงกนั โดยแสดงความเหน็ ว่า “ภาษาบาลแี สดงลกั ษณะเฉพาะท่แี น่นอน กล่าวคือเป็นภาษาท่ผี สมปนเปของภาษาถ่นิ ท่หี ลากหลายภาษา ตามธรรมเนียมท่ยี อมรบั กนั ในประเทศศรีลงั กา ภาษาบาลี กค็ ือภาษามาคธี, มาคธนิรุตตฺ ิ, มาคธกิ ภาษา กล่าวคือ เป็นภาษาท่ใี ชพ้ ดู กนั เป็นภาษาของประชาชน ในดินแดนท่ีพระพุทธเจา้ ทรงอุบตั ิข้ึน คําน้ีไดร้ บั การยืนยนั ว่าพระบาลีในพระไตรปิฎกบนั ทึกดว้ ยภาษาท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงใชป้ ระกาศพระศาสนา ภาษาบาลใี นพระไตรปิฎกยงั แสดงใหเ้หน็ คมั ภีรด์ งั้ เดมิ อีกดว้ ย เหตผุ ล ทว่ี า่ มาคธี เรยี กวา่ มลู ภาษาคือภาษาดง้ั เดมิ กเ็ พราะเป็นภาษาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ใชต้ รสั เทศนาสงั่ สอนประชาชน ดงั นนั้ จึงมีเหตุผลท่ีเป็นไปไดว้ ่า ภาษาบาลคี ือรูปแบบภาษาทอ้ งถ่นิ ของภาษามาคธี หรือภาษาบาลี ตงั้ อยู่บนพ้นื ฐานของภาษามาคธี มภี าษามาคธเี ป็นฐาน ภาษาบาลมี ภี าษามาคธีเป็นตน้ เคา้ การแบ่งรูปลกั ษณข์ อง ภาษามาคธตี ามท่เี ราไดท้ ราบจากนกั ไวยากรณก์ ็ดี จากจารีตประเพณีกด็ ี และจากบทละครก็ดี ภาษามาคธีไมใ่ ช่ ภาษาบาลอี ย่างทเ่ี ราทราบ จุดเด่นท่พี บก็คือ ภาษามาคธจี ะมลี กั ษณะเด่นพิเศษคือ การออกเสยี งจาก ร เป็น ล ทกุ แห่ง และออกเสยี ง ส เป็น ศ ทกุ แห่ง๑๙, เอ วภิ ตั ตนิ าม ปฐมาวภิ ตั ติเอกวจนะ ปุงลงิ คแ์ ละนปงุ สกลงิ คข์ อง อ ๑๗ ไกรวฒุ ิ มโนรตั น,์ วรรณคดีบาล,ี (กรุงเทพมหานคร : จรญั สนทิ วงศก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๔๙), หนา้ ๑๙. ๑๘ Wilhem Geiger ทศั นะทง้ั หมดน้ีถอดความจาก Pali Literature and Language. 3rd Reprinted. Oriental Books Reprint Corporation, (New Delhi : India, 1978), p 2-7. ๑๙ ในภาษาบาลใี ช้ ส ออกเสยี ง ศ ไม่ได้ แต่มาคธีใช้ ศ ได้ ออกเสยี ง ส ไม่ได้ ในภาษาไทยเรานาํ คาํ ว่า โศลก มาจากภาษาสนั สกฤต บางแหง่ ใช้ ศ บางแห่งใช้ ฉ แต่ต่างความหมาย ทงั้ ทม่ี าจากคาํ เดยี วกนั . ในลกั ษณะน้ี ภาษาของชาวกูยในแถบอสี านตอนลา่ ง บางถ่นิ ออกเสยี ง ส
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๕๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ การนั ต์ และรากศพั ทท์ เ่ี ป็นพยญั ชนะการนั ตผ์ นั คาํ เหมอื นกนั จะอย่างไรก็ตาม ภาษาบาลยี งั มี ร ใหเ้หน็ แต่ใน บาลไี ม่มี ศ โดยประการทงั้ ปวง คงใชแ้ ต่ ส เท่านน้ั รูปศพั ทท์ เ่ี ป็นคาํ นามถกู กล่าวถงึ ในตอนทา้ ยพรอ้ มกบั โอ หรอื อ เช่นศพั ทว์ ่า ราชาโน, ราชานํ Westergaard กบั E. Kuhn มที ศั นะว่า ภาษาบาลเี ป็นภาษาพูดในแควน้ อุชเชนี เพราะเป็นภาษาท่ี ใกลเ้คียงทส่ี ุดกบั ภาษาทพ่ี ระเจา้ อโศกมหาราชใชจ้ ารกึ หลกั ศิลา และเพราะเหตุผลว่าภาษาพูดของชาวเมอื งอชุ เชนี ไดร้ บั การกลา่ วขานว่าเป็นภาษาแม่ของพระมหนิ ทเถระผูน้ าํ พระพทุ ธศาสนาไปเผยแผ่ในเกาะลงั กาอีกดว้ ย R.O. Franke เชอ่ื วา่ พ้นื เพดงั้ เดมิ ของบาลเี ป็นอาณาเขตท่ไี ม่น่าจะแคบเกนิ ไป เพราะอาจจะตง้ั อยู่แถบ บริเวณจากอินเดียตอนกลางถึงเทือกเขาวนิ ธยั ฝงั่ ตะวนั ตก ดงั นน้ั จึงไม่ใช่เร่ืองท่จี ะเกิดข้นึ ไม่ไดว้ ่าอุชเชนีเป็น ศูนยก์ ลางของแหลง่ กาํ เนิดภาษาบาลี Sten Konow สนบั สนุนว่าแถบเทือกเขาวนิ ธยั เป็นแผ่นดินเกดิ ของภาษาบาลี เขามที ศั นะชดั เจนว่า ภาษาบาลกี บั ภาษาไปศาจมี คี วามสมั พนั ธก์ นั อย่างใกลช้ ดิ Oldenberg มที ศั นะวา่ บาลเี ป็นภาษาของแควน้ กาลงิ คะ E. Muller เช่อื มนั่ วา่ แควน้ กาลงิ คะเป็นภมู ลิ าํ เนาของภาษาบาลี ทงั้ น้ีตามขอ้ สรุปบนขอ้ สมมติฐานว่า ท่ี อยู่อาศยั ท่เี ก่าแก่ทส่ี ุดในเกาะลงั กาสามารถตงั้ หลกั ปกั ฐานจากตรงกนั ขา้ มกบั แผ่นดินใหญ่เท่านน้ั และไม่ใช่การ ตง้ั รกรากโดยประชาชนจากอ่าวเบงกอล หรอื จากคนแถบๆ อ่าวเบงกอลนน้ั ดว้ ยเลย Geiger เช่ือว่าภาษาบาลไี มใ่ ช่ภาษาเอกพนั ธุอ์ ย่างแน่นอน แต่เป็นเพยี งรูปแบบของภาษาพดู อนั เป็นท่ี นิยม ซง่ึ มฐี านมาจากภาษามาคธี เป็นภาษาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงใชป้ ระกาศพระศาสนา และเป็นภาษาทใ่ี ชใ้ นแควน้ มคธสมยั พทุ ธกาล จากนน้ั จึงไดแ้ สดงทศั นะในวรรณคดีทงั้ ในดา้ นถ่นิ กาํ เนิดและอ่ืนๆ เช่น เน้ือหารสาระของ วรรณคดบี าลี หรอื คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก ดงั ต่อไปน้ี คมั ภีรบ์ าลีเป็นท่ีรูจ้ กั กนั อย่างแพร่หลายโดยนามว่า พระไตรปิฎก แปลว่าตะกรา้ สามใบ เพราะ ประกอบดว้ ยส่วนใหญ่ๆ ๓ ส่วนคือ พระวินยปิฎก พระสุตตปิฎก๒๐ และพระอภิธรรมปิฎก รวมทงั้ สามน้ี เรียกว่าพระไตรปิฎกของนิกายเถรวาท ซ่ึงเรียกกลุ่มของตนว่า วิภชั ชวาที การรวบรวมพระไตรปิฎกเร่ิมตน้ หลงั จากพระพุทธเจา้ ปรินิพพาน ตง้ั ๔๘๓ ปี ก่อนคริสตศกั ราช ในคราวสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ท่ีกรุงราชคฤห์ พระไตรปิฎกไดพ้ ฒั นาการยาวนานถึง ๑๐๐ ปี ต่อมาในคราวท่สี งั คายนาท่ีเมอื งไพศาลี มูลเหตุหลกั ของการ สงั คายนาก็คือการถือทศั นะท่ีผิดซ่ึงเป็นลางรา้ ยท่ีจะขุดรากถอนโคนสาวกสงฆ์ ในคราวสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ภายใตก้ ารอุปถมั ภข์ องพระเจา้ อโศกมหาราช พระคมั ภีรใ์ นส่วนท่ีจาํ เป็นท่ีสุดดูเหมือนจะถูกบรรจุใหเ้ ป็น ผลสาํ เรจ็ ตามรูปแบบแลว้ การสงั คายนาครง้ั น้ีเก่ยี วขอ้ งอย่างมากกบั การจดั รูปแบบพระอภธิ รรม โดยฝีมอื ของ พระโมคคลั ลีบุตรติสสเถระ ว่ากนั ว่าท่านรจนากถาวตั ถุปกรณ์ลงในอภิธรรมปิฎกดว้ ย กถาวตั ถุปกรณ์ เป็น ฉ ก็มี เพราะฉะนนั้ ประเดน็ น้ีอย่างเดยี วไมน่ ่าจะถอื เป็นสาระสาํ คญั วา่ “ภาษามาคธีกบั อรรธมาคธีไม่ใช่ภาษาเดยี วกนั ” : พระศรีวสิ ุทธิคุณ (มานพ ป.ธ.๙) ๒๐ นกั การศึกษาภาษาบาลชี าวตะวนั ตกมกั ใชค้ าํ น้เี สมอๆ เพราะเทยี บเคยี งกบั คาํ “วนิ ยั และอภธิ รรม” ไมม่ ี “อนฺต” ปจั จยั ต่อทา้ ยเป็นวนิ ยนั ตปิฎก, อภธิ มั มนั ตปิฎก จงึ ใช้ วนิ ย, สุตต และอภธิ รรม และในนวงั คสตั ถศุ าสนจ์ ะพบคาํ วา่ “สุตตฺ ํ .. ไมใ่ ช่ สุตตฺ นฺตํ
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ประกอบดว้ ยทศั นะ ๒๕๒ ประเด็น หกั ลา้ งคําสอนผิดๆ และไดร้ บั การบรรจุลงในพระอภิธรรมปิฎกการ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ น้ีมเี หตกุ ารณส์ าํ คญั เกิดข้นึ คือการทพ่ี ระเจา้ อโศกมหาราชทรงส่งคณะสมณทูตออกไปเผยแผ่ พระศาสนาในประเทศใกลเ้คียง พระมหนิ ทเถระผูเ้ป็นราชบตุ รของพระเจา้ อโศกมหาราชเดนิ ทางไปยงั เกาะลงั กา ในฐานะทเ่ี ป็นพระธรรมทูต ผูน้ าํ พระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปเผยแผ่ กลา่ วคือท่านนาํ พระคมั ภรี ใ์ นรูปแบบของเถรวาท เขา้ ไปยงั เกาะลงั กา จากทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ น้ี สามารถสรุปประเดน็ ไดด้ งั น้ี ๑) ภาษาบาลเี กิดจากการผสมผสานหลายภาษา โดยมีภาษาอรรธมาคธีเป็นเคา้ มูล มีไวยากรณ์จดั ระเบยี บภาษาแลว้ ขนานนามว่า “ภาษามคธ” เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานทแ่ี ละบริเวณท่พี ระพุทธเจา้ แสดงธรรม เป็นส่วนใหญ่ และเป็นสถานท่ที ท่ี าํ การสงั คายนาจดั รูปแบบพระธรรมวนิ ยั เป็นพระไตรปิฎก ๒) ตวั เน้ือหาสาระในพระไตรปิฎกและคมั ภีรท์ ่เี ก่ยี วขอ้ ง สามารถแยกประเด็นได้ ๒ คือพระไตรปิฎก เป็นผลงานของมหาชนคอื พระสงั คตี กิ าจารย์ เพราะสาํ เรจ็ ลงโดยอนุมตั ิจากการกสงฆโ์ ดยวธิ ีการสงั ฆกรรม, ส่วน คมั ภีรท์ ่ีเก่ียวขอ้ งเป็นผลงานของเอกชนคือพระอรรถกถาจารย์ เช่น พระพุทธโฆสาจารย์ เป็นตน้ ถึงแม้ ความเหน็ อ่ืนใดท่เี ห็นว่า พระพุทธโฆสาจารยเ์ ป็นบรรณาธิการคมั ภรี อ์ รรถกถาสาํ คญั ๆ โดยมคี ณะทาํ งานร่วม โดยไม่ปรากฏนามก็ตาม แมก้ ระนน้ั ก็ถือว่าคมั ภีรอ์ รรถกถาเป็นผลงานของเอกชน เพราะไม่ผ่านกระบวนการ ทางสงั ฆกรรม ไมต่ อ้ งใหก้ ารกสงฆล์ งมตอิ นุมตั ิ๒๑ ความเป็นมาและววิ ฒั นาการของภาษาบาลี ตามประวตั ิศาสตรอ์ ินเดยี ไดก้ ล่าวว่าประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีก่อนพทุ ธศกั ราช ไดม้ ชี นชาตหิ น่ึง เรียกว่า อารยนั ซ่ึงถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวอินเดีย มภี ูมลิ าํ เนาอยู่ในบริเวณทะเลสาบแคสเบียน (เอเชีย กลาง) ชาวอารยนั ไดย้ า้ ยถน่ิ ฐานไปทางยุโรปพวกหน่ึง อกี พวกหน่ึงไดย้ า้ ยถ่นิ ฐานมาอาศยั อยู่ในดนิ แดนเหนือลุม่ แมน่ าํ้ สนิ ธุในอนิ เดีย เมอ่ื ชาวอารยนั เขา้ มาไดท้ าํ การต่อสูก้ บั ชาวพ้นื เมอื งคือ พวกดราวเิ ดียน (Dravidians) หรือ มลิ กั ขะ ลงไปทางใต้ เมอ่ื ชาวอารยนั เหล่าน้ีเขา้ มาไดน้ าํ เอาภาษาและวฒั นธรรมประเพณีต่างๆ ของตนเขา้ มาดว้ ย ส่งิ สาํ คญั อย่างหน่ึงท่ชี าวอารยนั นาํ เขา้ มาคือ \"ภาษาเฟนิเซยี \" ซ่ึงมแี หล่งกาํ เนิดมาจากประเทศ เฟนิเซียริมฝงั่ แมน่ าํ้ เมดเิ ตอเรเนียน แมว้ ่าภาษาของดราวิเดียน (ภาษาทมฬิ ) จะปะปนกบั ภาษาอารยนั ไปตามกาลสมยั ไปบา้ ง แต่ภาษา อารยนั ก็ยงั คงรกั ษารูปเดิมไวไ้ ด้ ภาษาท่ปี รากฏอยู่ในคมั ภรี พ์ ระเวทซง่ึ เรยี กว่า ไวทกิ ภาษา (Vedic language) เป็นเคร่ืองมอื ส่อื สารติดต่อกนั ภาษาในรูปเดิมของชาวอารยนั มรี ากมาจากภาษาตระกูลอินเดีย-ยุโรป ซ่ึงเป็น ตระกลู หน่ึงของภาษาทม่ี วี ภิ ตั ิ ปจั จยั ภาษาอารยนั ในสมยั แรกนน้ั ไดก้ ลายเป็นแม่ของภาษาต่างๆ ในอินเดีย เช่น ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต ภาษาฮนิ ดี ภาษาเบงกาลี เป็นตน้ ๒๒ ๒๑ คณาจารย,์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , วรรณคดีบาลี, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓), หนา้ ๑๓-๑๕. ๒๒ อารยี ์ สหชาตโิ กสยี ,์ วรรณคดีเก่ยี วกบั พทุ ธศาสนาสโุ ขทยั , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ งเคราะหห์ ญิงปากเกร็ด ๒๕๒๒), หนา้ ๑.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง อกั ษรเฟนิเซยี (Phoenicia) ทช่ี าวอารยนั นาํ เขา้ มาในอนิ เดยี สมยั แรกเรยี กช่อื ใหมว่ ่า “อกั ษรพราหม”ี มี ลกั ษณะเป็นเสน้ ตรงกลมและเหลย่ี ม เพราะอินเดียเป็นประเทศท่กี วา้ งใหญ่ไพศาลมาก ชาวอารยนั ท่อี ยู่ในถ่นิ ต่างๆ ไดด้ ดั แปลงอกั ษรพราหมีนนั้ ไปใชใ้ นถ่ินของตน อกั ษรท่ีดดั แปลงไปใชใ้ นอินเดียฝ่ ายเหนือ เรียกว่า “อกั ษรเทวนาครี” มลี กั ษณะเป็นเสน้ ตรงเหลย่ี ม ส่วนอกั ษรทด่ี ดั แปลงไปใชท้ ่อี นิ เดยี ฝ่ายใต้ เรยี กว่า “อกั ษรค รนถ”์ มลี กั ษณะกลมและหนามเตย ลกั ษณะการอพยพของชาวอารยนั เป็นไปอย่างชา้ ๆ กินระยะเวลายาวนานถงึ พนั ปี จงึ สามารถตงั้ หลกั แหล่งไดม้ นั่ คงในอินเดีย เอกลกั ษณ์ของอารยนั คือมภี าษาของตนเอง และนบั ถือเทพเจา้ ทาํ ใหเ้ ทพเจา้ ของ อารยนั เพ่มิ จาํ นวนมากข้นึ และเพ่อื ใหเ้ ทพเจา้ เหล่านน้ั โปรดปรานดลบนั ดาลใหต้ นเองปลอดภยั จึงไดแ้ ต่งบท สวดมนตอ์ อ้ นวอนสดุดีเทพเจา้ ข้นึ เป็นบทรอ้ ยกรองชนิดหน่ึงเรียกว่า “โศลก” การจดจาํ บทสวดน้ีสบื ๆ กนั มา โดยวิธีการท่องจาํ เรียกว่า “มขุ ปาฐะ” (การท่องจาํ ดว้ ยปากเปล่า) และคาํ น้ียงั มอี ิทธิพลต่อพระเถระในทาง พระพทุ ธศาสนา ทใ่ี ชเ้ป็นรูปแบบการท่องจาํ พระพทุ ธพจนใ์ นเวลาต่อมา หลงั จากชาวอารยนั อินเดีย ไดเ้ ขา้ มาตงั้ ถ่ินฐานมนั่ คงอยู่ในอินเดียแลว้ ก็ไดพ้ ฒั นาภาษาของตนเอง ตามลาํ ดบั นกั นิรุกตศิ าสตรไ์ ดแ้ บง่ ภาษาอารยนั อนิ เดยี เป็น ๓ สมยั คอื ๑. ภาษาอารยนั อนิ เดยี สมยั เกา่ (Old Indian Language) หมายถงึ ภาษาทใ่ี ชใ้ นคมั ภรี พ์ ระเวท ไดแ้ ก่ คมั ภรี พ์ ระเวท ยชรุ เวท สามเวท และอถรรพเวท รวมทง้ั คมั ภรี อ์ ปุ นิษทั ซง่ึ เป็นคมั ภรี ส์ ุดทา้ ยของคมั ภรี พ์ ระเวท ๒. ภาษาอารยนั อนิ เดยี สมยั กลาง (Middle Indian Language) หมายถงึ ภาษาปรากฤต หรือ ภาษา พ้นื เมอื งของชาวอารยนั ในอนิ เดียสมยั กลาง ๕ สาขา ไดแ้ ก่ ๒.๑ มหาราษฎรี ภาษาของชาวมหาราษฎร์ ๒.๒ เศารเสนี ภาษาของชาวสุรเสน ๒.๓ มาคธี ภาษาของชาวมคธ ๒.๔ ปราจยา ภาษาของชาวตะวนั ออก ๒.๕ อวนั ตี ภาษาของชาวอวนั ตี ๓. ภาษาอารยนั อนิ เดียสมยั ใหม่ (Modern Indian Language) หมายถงึ ภาษาต่างๆ ในปจั จบุ นั เช่น ทางตะวนั ออก มภี าษาเบงคาลี พหิ ารี โอถยา เนปาลี ทางตะวนั ตก และตอนเหนือมภี าษาสนธี ปญั จารี กสั มรี ี คุชราฐี และฮนิ ดี ทางใตม้ ี ภาษามราฏี เป็นตน้ สาํ หรบั ภาษาบาลี มีวิวฒั นาการมายาวนาน มกี ารใชภ้ าษาบาลเี พ่ือบนั ทึกคมั ภีรใ์ นพระพทุ ธศาสนา นิกายเถรวาทเป็นจาํ นวนมาก Wilhem Geiger นกั ปราชญบ์ าลชี าวเยอรมนั ไดเ้ขยี นหนงั สอื ในสมยั ศตวรรษท่ี ๑๙ คอื Pali Literatur โดยแบง่ ววิ ฒั นาการรูปลกั ษณะของภาษาบาลไี ว้ ๔ ยุคคือ ๓.๑) ยุคคาถา (Gatha Language) บาลที ่ใี ชใ้ นยุคน้ี ไดแ้ ก่ ภาษาทท่ี ่านประพนั ธเ์ ป็นคาภา หรอื รอ้ ย กรอง คาํ ศพั ทม์ ลี กั ษณะเหมอื นภาษาอนิ เดยี โบราณ เพราะการใชค้ าํ ยงั เก่ยี วขอ้ งกบั ภาษาไวทกิ ะทใ่ี ชบ้ นั ทกึ คมั ภรี ์ พระเวท
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๓.๒) ยุครอ้ ยแกว้ (Prose Language) ไดแ้ ก่ภาษารอ้ ยแกว้ ทม่ี ใี นพระไตรปิฎกดงั ท่ที ราบกนั แลว้ ว่า พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา้ ส่วนมากเป็นประเภทรอ้ ยกรองและคติพจนส์ นั้ ๆ ซง่ึ เป็นลกั ษณะของรอ้ ยกรอง นกั ปราชญส์ ว่ นมากมคี วามเหน็ ว่า บทรอ้ ยแกว้ ในพระไตรปิฎกนน้ั เติมเขา้ มาในภายหลงั เพราะรูปแบบเป็นภาษา อนิ โดอารยนั สมยั กลาง แตกต่างจากสนั สกฤตแบบพระเวทอยา่ งส้นิ เชงิ ดว้ ยเหตนุ ้ี ภาษาในพระไตรปิฎกจึงเขยี น ในยุคน้ี ๓.๓) ยคุ รอ้ ยแกว้ ระยะหลงั (Post-canonical Prose Language) หรอื เรียกช่อื อีกอย่างว่า “รอ้ ยแกว้ รุ่นอรรถกถา” ไดแ้ ก่ บทรอ้ ยแกว้ ท่แี ต่งข้นึ ทีหลงั โดยพระอรรถกถาจารยต์ ่างๆ นบั ว่าเป็นช่วงระยะเวลาหลงั พระไตรปิฎก ราวศตวรรษท่ี ๕ เป็นตน้ ไป ดงั ตวั อย่างในคมั ภรี ์ เนตติปกรณ์ มลิ นิ ทปญั หา วมิ ตุ ติมรรค และวิ สุทธมิ รรค เป็นตน้ ๓.๔) ยุครอ้ ยกรองประดิษฐ์ (Artificial Poetry) ภาษาท่ใี ชใ้ นยุคน้ีเป็นการผสม ผสานระห่วงภาษา เก่าและภาษาใหม่ กล่าวคือคนแต่งสรา้ งคาํ ใหมๆ่ ข้นึ ใชเ้ พ่อื ใหไ้ พเราะดูและสวยงามและเหมาะสมกบั การเวลา ในช่วงนนั้ ๆ เป็นธรรมดาของภาษาท่มี ีวิวฒั นาการไปตามกาลเวลา ทาํ ใหภ้ าษามกี ารเปล่ยี นแปลง ภาษาบาลกี ็เป็น เช่นเดยี วกนั สาเหตทุ ภ่ี าษามาคธกี ลายช่อื เป็น “ภาษาบาล”ี ฉลาด บญุ ลอย ไดใ้ หท้ ศั นะไวด้ งั น้ี ๑. เน่ืองดว้ ยหลกั ภาษาและถอ้ ยคาํ สาํ นวนของวฒั นธรรมบาลี ซ่งึ กลา่ วกนั ว่าเป็นภาษามาคธหี รือภาษา ของชาวมคธสมยั พทุ ธกาลทรงพระชนมอ์ ยู่นน้ั มสี ว่ นแตกต่างจากภาษามาคธี ท่ใี ชพ้ ูดกนั ในปจั จบุ นั เพราะระยะ ทผ่ี า่ นมานานถงึ ๒,๕๐๐ ปีเศษ ทาํ ใหภ้ าษามาคธที ใ่ี ชใ้ นวฒั นธรรมบาลกี ลายเป็นภาษาโบราณไปดว้ ยเหตนุ ้ีแหละ การจะถอื ว่าบาลใี ชภ้ าษามาคธีก็ไม่ถนดั นกั จึงเรียกเสยี ใหมว่ ่า “ภาษาบาล”ี เพ่อื ตดั ปญั หายุ่งยากในการท่จี ะ นาํ ไปเปรยี บเทยี บกบั ภาษามาคธสี มยั ใหม่ ๒. เน่ืองดว้ ยพระพุทธเจา้ เมอ่ื ทรงใชภ้ าษาสุทธมาคธีเป็นหลกั ในการประกาศ พระพุทธศาสนาของ พระองคใ์ หเ้ขา้ ถงึ ชนทกุ ชน้ั วรรณะ ไดท้ รงปรบั ปรุงแกไ้ ขภาษาสุทธมาคธี ซ่งึ ชน้ั เดมิ เป็นภาษาปรากฤตใหด้ ขี ้นึ เมอ่ื เป็นภาษามาคธีเป็นภาษาท่ดี แี ละไพเราะข้นึ โดยอานุภาพของพระพทุ ธเจา้ แลว้ ภาษามาคธีก็มชี ่ือเรียกอีกอย่าง หน่ึงว่า “บาล”ี ซง่ึ แปลวา่ “แบบแผน” ๓. พระพทุ ธเจา้ ทรงใชภ้ าษามคธเป็นสอ่ื ในการประกาศศาสนาของพระองค์ และทรงปรบั ปรุงภาษามคธ ใหด้ ีข้นึ เพ่อื ใหช้ นทุกชนั้ วรรณะเขา้ ใจ เม่ือภาษามคธเป็นภาษาท่ดี ีและไพเราะดว้ ยอานุภาพของพระพุทธเจา้ ภาษามคธทใ่ี ชจ้ ารกึ ตาํ ราทางพระ พทุ ธศาสนา จงึ มชี ่อื เรยี กวา่ \"ภาษาบาล\"ี ๔. คาํ ว่า \"บาล\"ี น้ี คนส่วนมากทงั้ คนไทยและต่างประเทศเขา้ ใจกนั ว่าบาลีเป็นช่ือของภาษา และ เรยี กว่า ภาษาบาลี แมใ้ นพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ สถานกไ็ ดใ้ หค้ วามหมายของคาํ ว่า บาลี ไวส้ องนยั คือ พทุ ธ พจน์ และภาษาทใ่ี ชเ้ป็นหลกั ในพระพทุ ธศาสนาแต่เดมิ มา อยา่ งไรกต็ าม ในปจั จบุ นั น้ีภาษาบาลมี กี ารศึกษาอย่างกวา้ งขวางในประเทศท่นี บั ถือพทุ ธศาสนาเถรวาท เช่น เมยี นม่าร์ และไทย เป็นตน้ แมก้ ระทงั่ ในต่างประเทศ เช่น ประเทศองั กฤษก็มผี ูส้ นใจในพระพทุ ธศาสนา โดยการจดั ตงั้ สมาคมบาลปี กรณ์ (Pali Text Society) ข้นึ ในกรุงลอนดอน ประเทศองั กฤษ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๒๔
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง เฉพาะในประเทศไทย ไดม้ กี ารศึกษาภาษาบาลมี าชา้ นานแลว้ โดยเปิดสอนตง้ั แต่ระดบั ไวยากรณ์ถึง เปรียญธรรม ๙ ประโยค และเปิดสอนในมหาวิทยาลยั สงฆท์ ง้ั สองแห่ง รวมทง้ั โรงเรียนพระปริยตั ิธรรมทวั่ ประเทศดว้ ย ความสาคญั ของภาษาบาลี ภาษาบาลี แต่เดมิ เรยี กว่า “ภาษามาคธี” แปลว่า “ภาษาของชาวแควน้ มคธ” ทช่ี าวอารยนั (อริยกะ) เขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐานในชมพูทวปี วฒั นธรรมของชาวอารยนั มามอี ิทธิพลต่อชนชาวพ้นื เมอื งคือพวกมลิ กั ขะส่งิ ท่มี อี ิทธิ พลและบทบาทต่อชนพ้ืนเมืองมากก็ คือ ภาษา เพราะภาษาถือว่าเป็นวฒั นธรรมอย่างหน่ึงท่ีมนุษยใ์ ชเ้ ป็น เคร่อื งมอื ในการส่อื สารซง่ึ กนั และกนั ภาษาบาลจี ึงมคี วามสาํ คญั ในฐานะเป็นภาษาท่ี พระพุทธเจา้ ทรงเลอื กใช้ เทศนาโปรดเวไนยสตั วใ์ หไ้ ดบ้ รรลุมรรคผลและนิพพาน และเป็นภาษาท่พี ระอรหนั ตท์ งั้ หลายมพี ระมหากสั สปะ เป็นตน้ ใชท้ รงจําเพ่ือถ่ายทอดพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก เม่ือพระพุทธเจา้ อุบตั ิข้ึนในประเทศอินเดีย ท่ามกลางเจา้ ลทั ธิทง้ั หลาย ในสมยั นนั้ หลงั จากท่พี ระองคต์ รสั รูแ้ ลว้ ทรงประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศ อนิ เดยี ดว้ ยภาษามาคธี ดว้ ยเหตนุ ้ี ภาษามาคธจี งึ ไดร้ บั เกยี รติและไดร้ บั การยกยอ่ งว่า บาลี หรือปาลิ นน้ั หมายถึงภาษาทอ้ งถ่นิ ของชาวมคธ ภาษาบาลหี รือภาษามคธนน้ั มลี กั ษณะท่คี วร ทราบ ๒ ประการ คอื ๑. ปาลภิ าสา อตุ ตฺ มภาสา แปลว่าภาษาบาลเี ป็นอตุ ตมภาษา หรอื ภาษาชนั้ สูง ๒. มาคธี มลู ภาสา แปลว่าภาษามคธเป็นมลู ภาษา คือภาษาดงั้ เดมิ สมยั แรกตง้ั ปฐมกปั ๒๓ ดงั ท่คี มั ภรี ์ ปทรูปสทิ ธิ นามกนั ฑ์ ทพ่ี ระพทุ ธปิยะไดก้ ลา่ วไวว้ า่ “สา มาคธี มลู ภาสา ‘นรา ยายาทกิ ปปฺ ิกา พรฺ หมฺ าโน จสฺสุตาลาปา สมพฺ ทุ ธฺ า จาปิ ภาสเร”๒๔ แปลวา่ “ชนทงั้ หลาย คอื ผูเ้ป็นมนุษยต์ น้ กปั ล์ ๑ พรหม ๑ เด็กทีไ่ ม่เคยไดย้ นิ ไดฟ้ งั ใครมาก่อน ๑ พระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๑ ยอ่ มพูดกนั ดว้ ยภาษาดว้ ย ภาษานนั้ ชอื่ ว่ามลู ภาสา คอื ภาษามคธ” ภาษามคธเป็นมลู ภาษา หรอื รากเงา้ ของภาษาพดู ภาษามคธจดั เป็นภาษาของมนุษยใ์ นยุคแรกของโลก เพราะเมอ่ื โลกถงึ การแตกสลาย พรหมโลกมไิ ดถ้ งึ การแตกสลายไปดว้ ย ฉะนน้ั พรหมโลกจึงตงั้ อยู่ในสภาพเดิม โดยไม่มกี ารเปล่ยี นแปลง มอี ธิบายเพ่มิ เติมอีก เลก็ นอ้ ยว่า มนุษยใ์ นยุคแรกของโลกนนั้ เป็นผูจ้ ุติมาจากพรหมโลกดว้ ยอุปาทปฏสิ นธิ มนุษยด์ งั กล่าวนนั้ พูด ภาษามคธ ซ่งึ เป็นภาษาทใ่ี ชก้ นั ในพรหมโลก ฉะนน้ั นกั ไวยากรณ์จงึ มคี วามเช่อื ว่า ภาษามคธ เป็นมลู ภาษา๒๕ คือเป็น ภาษาทม่ี นุษยใ์ นยุคแรกใชพ้ ดู กนั ๒๓ พระเทพเมธาจารย์ (เชา้ ฐติ ปญุ ฺโญ), แบบเรียนวรรณคดีบาลีประเภทคาภรี บ์ าลีไวยากรณ์, (กรุงเทพมหานคร : ๒๕๐๕), หนา้ ๑๙. ๒๔ มหาบาลวี ชิ ชาลยั , ปทรูปสิทฺธิ ฉบบั เร่งด่วน, (กรุงเทพมหานคร : วดั โมลโี ลกยารามราชวรวหิ าร, ๒๕๕๘), หนา้ ๓๒. พระมหา สมปอง มทุ โิ ต, ปทรูปสทิ ธิแปล สทั ทตั ถนยั และโวหารตั ถนัย, มหาบาลวี ชิ ชาลยั วดั โมลโี ลกยาราม, หนา้ ๖๘-๖๙. ๒๕ ปรวิ ตฺเตสิ สพพฺ าปิ สหี ฬฏฺฐกถา ตถา, สพเฺ พสํ มลู ภาสาย, มคธาย นริ ุตฺตยิ า มหาวสํ . ๓๗/๒๔๔)
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ความสาคญั ของภาษาบาลี ๑. เป็นภาษาอนั เป็นโวหารของพระพทุ ธเจา้ (สมั พทุ ธโวหารภาสา) ๒. เป็นภาษาอนั เป็นโวหารของพระอรยิ เจา้ (อรยิ โวหารภาสา) ๓. เป็นภาษาทใ่ี ชบ้ นั ทกึ สภาวธรรม (ยถาภจุ จพรหมโวหารภาสา) ๔. เป็นภาษาทร่ี กั ษาพระพทุ ธพจน์ (ปาลภี าสา) นอกจากน้ี นกั ไวยากรณบ์ าลไี ดก้ ลา่ วถงึ ความสาคญั ภาษาบาลไี วด้ งั น้ี ๑. มูลภาสา คือภาษาหลกั หรือภาษาดงั้ เดิมของเสฏฐบุคคล ๔ จาํ พวกคือ อาทิกปั ปิยบุคคล พรหม อสั สุตาลาปบคุ คล และพระสมั พทุ ธเจา้ ดงั ปรากฏหลกั ฐาน (สา มาคธี มลู ภาสา นรา ยายาทิกปฺปิกา พฺรหฺมาโน จสฺสุตา ลาปา สมฺพทุ ฺธา จาปิ ภาสเร) ภาษามาคธี (บาล)ี เป็นภาษาแรกพดู กนั มาตงั้ แต่ปฐมกลั ป์โดยหมมู่ นุษย์ พรหม แมผ้ ูท้ ่ี ไมเ่ คยสดบั คาํ พดู ของมนุษยช์ าติ และพระสมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย ๒. ตนั ตภิ าสา คอื ภาษาท่มี ีแบบแผน มกี ฎไวยากรณ์ดี ดงั ปรากฏหลกั ฐานว่า “ตํ ภาสํ อตวิ ติ ถฺ ารํ คตญฺจ วจนกกฺ มํ ปหายาโรปยติ วฺ าน ตนฺติ ภาสํ มโนรม”ํ ๒๖ แปลความว่า “ขา้ พเจา้ พระพทุ ธโฆสาจารย์ จกั ละภาษาของชาวสงิ หลนน้ั และลาํ ดบั แห่งถอ้ ยคาํ ทเ่ี ย่นิ เยอ้ เกนิ ไปเสยี แลว้ ยกข้นึ สู่ “ตนั ตภิ าษา” อนั เป็นทร่ี น่ื รมยแ์ หง่ ใจ ๓. สกานิรุตติ คอื ภาษาท่พี ระพทุ ธเจา้ ตรสั และเป็นภาษาหลกั ในการประกาศพระพทุ ธศาสนาดงั ปรากฏ หลกั ฐานวา่ ๓.๑ “น ภกิ ขฺ เว พทุ ธฺ วจนํ ฉนฺทโส อาโรเปตพพฺ ํ โย อาโรเปยยฺ อาปตตฺ ิ ทุกฺกฎสฺส”๒๗ ภกิ ษุทง้ั หลาย เราตถาคตไมอ่ นุญาตใหเ้ธอทงั้ หลายยกพทุ ธพจนข์ ้นึ สูภ่ าษาสนั สกฤต รูปใดทาํ รูปนนั้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฎ ๓.๒ “อนุชานามิ ภิกฺขเว สกาย นิรุตฺติยา พุทฺธวจนํ ปริยาปุณิตุ” ภิกษุทงั้ หลาย เราตถาคต อนุญาตใหเ้รยี นพระพทุ ธพจนด์ ว้ ยภาษาของตน๒๘ ๔. อุตตมภาสา คือภาษาชนั้ สูง การท่ีภาษาบาลีจดั เป็นอุตตมภาสานน้ั พระเทพเมธาจารย์ (เชา้ ฐติ ปญโญ) ไดใ้ หเ้หตผุ ลไวด้ งั น้ี ๔.๑ พระพทุ ธเจา้ ยอ่ มทรงแสดงพระพทุ ธพจนด์ ว้ ยภาษาบาลี ๔.๒ สงั คายนาทกุ ครงั้ พระสงั คตี กิ าจารยก์ ระทาํ ดว้ ยภาษาบาลี ๔.๓ การเขยี นและการพมิ พป์ ริยตั คิ นั ถะลงในใบลานกด็ แี ผ่นหนิ ก็ดี ท่านเขยี นและพมิ พเ์ ป็นภาษา บาลี สว่ นตวั อกั ษรเป็นของชาตนิ นั้ ๆ ได้ เช่น ภาษาบาลอี กั ษรไทย เป็นตน้ ๒๖ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๑-๒. ๒๗ ว.ิ จู.(บาล)ี ๗/๑๘๐/๗๐. ๒๘ ว.ิ จู.(บาล)ี ๗/๑๘๐/๗๐. คาํ วา่ “สกาย นิรุตฺตยิ า” คือภาษาของตน ไดแ้ ก่ภาษามคธ หรือมาคธีภาสาเท่านน้ั “ฉนฺทโส อาโรเปมาติ เวทํ วยิ สกฺกฏภาสาย วาจนามคฺคํ อาโรเปม ฯ “สกาย นิรุตฺติยาติ เอตฺถ สกา นิรุตฺติ นาม สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺเธน วุตฺตปฺปกาโร มาคธิกโวหาโร อา้ งใน ว.ิ อ.(บาล)ี ๓/๓๕๑/๓๕๒.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๔.๔ พระสงฆผ์ ูน้ ําศาสนภาระทง้ั หลาย ย่อมเล่าเรียนปริยตั ิคนั ถะซ่ึงเรียบเรียงดว้ ยภาษาบาลี นบั ตง้ั แต่อยู่ในสามเณรภาวะ ๔.๕ พระสงฆแ์ ละพทุ ธศาสนิกชนประเทศพทุ ธศาสนาเถรวาท ย่อมสวดมนตเ์ ป็นภาษาบาลี แมจ้ ะ ฟงั ไมร่ ูเ้รอ่ื งกไ็ มม่ ใี ครเบอ่ื หน่ายหรอื รงั เกยี จ ภาษาบาลใี นสมยั โบราณ เรียกว่า \"ภาษามคธ\" หมายถงึ ภาษาของชาวแควน้ มคธท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงใช้ เป็นสอ่ื ในการประกาศพระพทุ ธศาสนา ภาษาบาลแี ต่เดมิ เรยี กวา่ “ภาษามคธ” ท่พี วกอารยนั (บาลวี ่า อรยิ กะ) เขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานและมอี าํ นาจอยู่ในชมพูทวปี เป็นเวลานานกว่า ๑,๕๐๐ ปีมาแลว้ วฒั นธรรมของพวกอารยนั ก็เขา้ ไป ผสมกบั วฒั นธรรมของชาวพ้นื เมอื งเดิม โดยววิ ฒั นาการไปเร่อื ยๆ ตามธรรมชาตขิ องภาษา เมอ่ื พระพทุ ธองคไ์ ด้ ทรงอบุ ตั ขิ ้นึ พระองคท์ รงใชภ้ าษามาคธี (ภาษามคธ) ในการประกาศพระพทุ ธศาสนา ต่อมาพระสาวกไดร้ วบรวม ไวเ้ป็นหมวดหมเู่ รยี กวา่ “พระไตรปิฎก” มี ๓ หมวดคือ พระวนิ ยั ปิฎก พระสุตตนั ตปิฎก และพระอภธิ รรมปิฎก (รวม๘,๔๐๐๐ พระธรรมธนั ธ)์ ลว้ นแต่บนั ทกึ ไวเ้ ป็นภาษามคธทงั้ ส้นิ และภาษามคธน้ีเองท่เี รียกกนั ว่า \"ภาษา บาล\"ี ในปจั จบุ นั น้ี ภาษาบาลี แต่เดมิ หมายถงึ \"พระไตรปิฎก\" ซ่งึ เป็นคาํ สอนดง้ั เดิมของพระพทุ ธศาสนาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ใช้ ภาษามคธเป็นส่ือความ หมายในการตรสั สอน เพราะพระองคต์ อ้ งการใหค้ นจาํ นวนมากเขา้ ใจคําสอนของ พระองคจ์ งึ ไดต้ รสั ดว้ ยภาษาม คธเป็นสอ่ื ในการเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาและปรบั ปรุงใหด้ ขี ้นึ ตระกลู ของภาษาใหญ่ๆ โลกน้ีมอี ยู่ ๕ ตระกลู ดว้ ยกนั คอื ๑. ตระกูลโคเคเซยี ๒. ตระกูลมองโกเลยี ๓. ตระกูลนิโกร ๔. ตระกูลมาเลย์ ๕. ตระกลู มองอเมรกิ นั อนิ เดยี ตระกูลโคเคเซยี ยงั แบง่ ออกไปเป็นสาขาใหญ่ๆ อกี คอื อารยนั เซมติ กิ อยี ปิ เซยี น และตวิ ราเนียน ตระกูลอารยนั แบง่ ออกไปเป็นสาขาใหญ่ๆ อกี คือ ยูโรเปียน และ เอซยี ตกิ ภาษาบาลี จดั อยู่ในสาขาเอเซยี ติก ซ่งึ มาจากตน้ ตระกูลโคเคเซยี สาขาอารยนั ภาษา สาขาอารยนั หรือ อนิ โดอารยนั แบง่ ออกไปอกี เป็น ๓ ยุค คือ ๑. ยุคเก่าแก่ (Old Indo Aryan = O.I.A) ๒. ยุคกลาง (Middle Indo Aryan = M.I.A) ๓. ยุคใหม่ (New Indo Aryan = N.I.A) ภาษาบาลจี ดั อยู่ในยุคกลาง แต่สมยั นนั้ ยงั ไมไ่ ดเ้รยี กกนั ว่าเป็นภาษาบาลี อาจเป็นภาษามคธหรอื ภาษา ใดภาษาหน่ึงท่พี ูดกนั อยู่ในสมยั นน้ั และภาษาเหลา่ นนั้ ไมว่ ่าจะเป็นภาษาใดๆ หรอื เขยี นดว้ ยอกั ษรใดก็ตาม ถา้ หากพระคนั ถรจนาจารย์ ไดน้ าํ มารวบรวมเรียบเรยี งไว้ ในพระไตรปิฎก กร็ วมเรียกกนั ว่า บาลี ฉะนนั้ เมอ่ื พูดว่า
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ภาษาบาลี ก็หมายถึงภาษาท่เี ขยี นไวใ้ นพระไตรปิฎกนนั่ เองเพราะบาลคี ือตวั ปิฎก มใิ ช่ภาษาต่อมาเราเขา้ ใจว่า เป็นภาษาบาลี และไดใ้ ชเ้รยี กกนั มาจนทกุ วนั น้ี๒๙ ภาษาของพระพทุ ธเจา้ พระองคค์ งจะตรสั ไดห้ ลายภาษา เพราะทรงเป็นนิรุตติปฏสิ มั ภทิ า คือทรงแตกฉานในภาษา พระพทุ ธ องคไ์ ดเ้สดจ็ ไปในรฐั ต่างๆ ถงึ ๗ รฐั ประชาชนในรฐั นน้ั ๆ กพ็ ดู ภาษาไม่เหมอื นกนั พระพทุ ธองคเ์ มอ่ื เสดจ็ ไปถงึ รฐั ไหนกต็ รสั ดว้ ยภาษาคนในรฐั นน้ั เพราะภาษาเหล่านนั้ แมจ้ ะไมเ่ หมอื นกนั ทเี ดยี วแต่กไ็ ม่ต่างกนั มากนกั ดงั จะ เห็นไดจ้ ากภาษาในอินเดียทุกวนั น้ีจากการศึกษาของนกั ภาษาศาสตร์ ท่ีทาํ การสาํ รวจภาษาของชาวอินเดีย ปรากฏว่าชาวอินเดีย ๑ พนั กว่าลา้ นคนน้ี มภี าษาพดู แตกต่างกนั ถงึ ๑,๖๕๒ ภาษา ๓๐ประชาชนในรฐั เดยี วกนั ก็ พดู ภาษาไมเ่ หมอื นกนั แต่ภาษาเหล่าน้ีกใ็ กลเ้คียงกนั มาก เม่อื รูภ้ าษาหน่ึงและกพ็ อจะฟงั หรือพูดอกี ภาษาหน่ึง ได้ คนอินเดียทุกวนั น้ี พูดและฟงั ภาษาอนิ เดยี ท่ใี ชพ้ ูดกนั ในรฐั ต่างๆ นนั้ ไดห้ ลายภาษา บางคนพดู ไดถ้ งึ ๑๐ ภาษา๓๑ พระพทุ ธองคค์ งจะตรสั ดว้ ยภาษามคธ เพราะภาษามคธนนั้ เป็นภาษาประจาํ ถ่นิ เป็นภาษาพดู ของคนใน ทอ้ งถน่ิ นน้ั ๆ คงจะไมต่ รสั ดว้ ยภาษา Vidic (ไวทกิ ะ) คือ ภาษาพระเวท เพราะ Vidic เป็นภาษาสงวนของพวก พราหมณ์ วรรณคดีของพราหมณ์ก็เขยี นดว้ ยภาษา Vidic ประชาชนทวั่ ไปไม่มโี อกาสจะศึกษาคมั ภรี พ์ ระเวท และรูภ้ าษา Vidic ไดด้ ี เพราะเป็นภาษาวรรณคดีมใิ ช่ภาษาพูด ฉะนนั้ พระพทุ ธองคจ์ ึงคงตรสั ดว้ ยภาษามคธ เพอ่ี ทรงมงุ่ หวงั ใหป้ ระชาชนเขา้ ใจและไดป้ ระโยชน์ โดยไมต่ อ้ งเสยี เวลาไปศึกษา Vidic อย่างในประเทศของเราน้ี ภาษาของไทย ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคใตไ้ ม่เหมอื นกนั แต่ คนไทยภาคกลางก็อาจฟงั ภาษาไทยภาคอีสาน ภาคเหนือ หรือภาคใตไ้ ด้ และชาวไทยภาคอีสานก็อาจฟงั ภาษาไทยภาคอน่ื ๆ ไดเ้ช่นกนั ฉะนนั้ ในฐานะท่ี ๑. พระพทุ ธองคท์ รงอุบตั ิท่เี มอื งกบลิ พสั ดุ์ แควน้ สกั กะ ซ่งึ ข้นึ อยู่กบั แควน้ โกศล พระพทุ ธองคก์ ็อาจ ตรสั ภาษาของชาวโกศล ๒. พระพทุ ธองคท์ รงแสวงหาโมกขธรรม และทรงประกาศพระพทุ ธศาสนาอยู่ในแควน้ มคธพระพทุ ธ องคก์ อ็ าจตรสั ภาษาของชาวมคธ ๓. พระพทุ ธองคท์ รงเป็นนิรุตติปฏสิ มั ภทิ า พระพทุ ธองคก์ อ็ าจตรสั ไดห้ ลายภาษา ภาษาบาลีนัน้ เป็น เทสิยภาษา คือเป็นภาษาทอ้ งถ่ิน เป็นมูลภาษา คือเป็นภาษาดง้ั เดิมและเป็น ตนั ติภาษา คือเป็นภาษาท่มี รี ะเบยี บแบบแผน ซ่ึงเช่ือกนั วา้ เป็นภาษามคธ หรือมาคธี เป็นภาษาท่ใี ชพ้ ูดกนั ใน แควน้ มคธ สมยั พทุ ธกาล ๒๙ พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคาํ ), ประวตั ศิ าสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอนิ เดีย, หนา้ ๔๓๓-๔๓๔. ๓๐ ประมวล เพง็ จนั ทร์ และคณะ, ระบบการศึกษาระดบั อดุ มศึกษาของอนิ เดีย, หนา้ ๖. ๓๑ พระอดุ รคณาธิการ (ชวนิ ทร์ สระคาํ ), ประวตั ิศาสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอนิ เดีย, หนา้ ๔๓๖.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ภาษามคธ เป็นภาษาทใ่ี ชพ้ ดู ในแควน้ มคธ, ภาษาของชาวแควน้ มคธ หมายถงึ ภาษาบาลี เสถยี ร โพธินนั ทะ นกั การศาสนาของไทยยืนยนั ดว้ ยความเช่ือมนั่ ว่า “ขา้ พเจา้ เช่ือมนั่ ว่า ภาษามคธ หรอื ภาษาบาลที พ่ี ทุ ธบรษิ ทั ฝ่ายเถรวาทใชจ้ ารกึ พระไตรปิฎกนนั้ เป็นภาษาท่พี ระพทุ ธองคต์ รสั อย่างแน่นอน ไมม่ ี ขอ้ กงั ขาใดๆ”๓๒ นกั ปราชญผ์ ูม้ คี วามรูเ้ ก่ียวกบั ภาษาบาลหี ลายท่าน ไดใ้ หท้ รรศนะ ท่มี คี วามแตกต่างกนั ดงั จะนาํ มา แสดงไวต้ ่อไปน้ี คอื ๑. ศาสตราจารย์ วลิ เลย่ี ม ไกเกอร์ ใหท้ รรศนะไวว้ า่ บาลี เป็นมลู ภาษา คือเป็นภาษาดง้ั เดมิ เพราะเป็น ภาษาทร่ี กั ษาพทุ ธพจนไ์ ว้ ส่วนภาษาอ่นื ๆ นน้ั เป็นเพยี งภาษาทอ้ งถน่ิ ทร่ี องลงไป ๒. ท่าน อ.ี วนิ ดสี ซ์ และ เอส.เลวี ใหท้ รรศนะไวว้ ่า บาลมี รี ากฐานมาจากภาษามาคธหี รอื ภาษามคธ ๓. ท่าน เยมสอ์ สั วสิ และ ทา่ น ยอรช์ เกรยี สนั กเ็ หน็ ดว้ ยในขอ้ ทว่ี ่าบาลี คือภาษาของชาวมคธ ๔. ทา่ น เอส.เค. ฉตั เตอรจ์ ี ใหท้ รรศนะไวว้ ่า บาลี น่าจะมาจากภาษา โสรเสนี เพราะการออกเสยี งและ ลกั ษณะของคาํ ใกลเ้คียงกนั มากยง่ิ กว่าภาษาอน่ื ๆ ๕. ศาสตราจารย์ เอม. วนิ เตอรน์ ิส ใหท้ รรศนะไวว้ ่าภาษาบาลมี สี ่วนคลา้ ยคลงึ กบั ภาษาอารธมาคธี ซ่งึ เป็นภาษาทใ่ี ชเ้ขยี นวรรณคดขี อง ศาสนาเชน ๓๓ ถน่ิ ฐานของภาษาบาลี เก่ียวกบั ถ่นิ ฐานหรือท่เี กิดของภาษาบาลนี ้ี ยงั ไม่มใี ครสามารถทราบไดแ้ น่ชดั ว่า ท่แี ทจ้ ริงแลว้ ภาษา บาลี มถี น่ิ กาํ เนิดอยู่ท่ไี หน และก็ไม่มใี ครอกี เช่นกนั ท่จี ะสามารถช้ชี ดั ลงไปไดว้ ่า ภาษาบาลี เกิดข้นึ มาไดอ้ ย่างไร เก่ยี วกบั เรอ่ื งน้ี ยงั มนี กั ปราชญแ์ สดงความเหน็ และขอ้ สนั นิษฐานไวต้ ่างๆ กนั ซง่ึ พอจะนาํ มากลา่ วไวไ้ ดโ้ ดยย่อ ดงั น้ี ๑. ท่าน แมก็ ซเ์ วลเลเซอร์ ใหท้ รรศนะไวว้ ่า บาลี คือภาษาของชาวปาฏลบี ตุ ร เพราะการทาํ สงั คายนา ครง้ั ท่ี ๓ ไดท้ าํ กนั อยูท่ เ่ี มอื งน้ี และพระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ่งสมณทูตไปประกาศพระพทุ ธศาสนาจากเมอื งน้ี ๒. ท่าน โอลเดนเบอรก์ ใหท้ รรศนะไวว้ ่า บาลีเป็นภาษาท่ีใชพ้ ูดกนั ในแควน้ กาลงิ คะ เพราะเช่ือว่า พระพทุ ธศาสนาแผเ่ ขา้ ไปสู่ลงั กา จากแควน้ กาลงิ คะ ไมใ่ ช่พระมหนิ ทเถระนาํ ไป ๓. ท่าน เวสเตอรก์ ารด์ และ อ.ี กนุ . ใหท้ รรศนะไวว้ า่ บาลี เป็นภาษาของชาว อุชเชนีแควน้ อวนั ตี เพราะ ภาษาบาลมี สี ่วนคลา้ ยคลงึ กบั ภาษาศิลาจารึกท่ี ศิรนา และพระมหินทะ ซ่งึ นาํ พระพทุ ธศาสนาไปสู่ลงั กานนั้ ก็ เป็นชาวอชุ เชนี ๔. ท่าน สเตน โกเนาว์ ใหท้ รรศนะไวว้ า่ ภาษาบาลี เป็นภาษาหนงั สอื ทใ่ี ชพ้ ูดกนั อยู่แถบบรเิ วณ ภเู ขา วนิ ธยะ ๕. ท่าน เกรยี สนั ใหท้ รรศนะไวว้ า่ บาลี เป็นภาษาหนงั สอื ทใ่ี ชพ้ ดู กนั อยู่ทเ่ี มอื ง ตกั กสลิ า ๓๒ อา้ งใน เสฐยี รพงษว์ รรณปก, คาบรรยายพระไตรปิ ฎก, (กรุงเทพมหานคร : หอรตั นชยั การพมิ พ,์ ๒๕๔๐), หนา้ ๑๘๗. ๓๓ พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคาํ ), ประวตั ิศาสตรพ์ ทุ ธศาสนาในอนิ เดีย, หนา้ ๔๓๗-๔๓๘.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๖. ท่าน อาร.์ ออตโต แปรงค์ ใหท้ รรศนะไวว้ ่าบาลี เป็นภาษาหนงั สือ มิใช่ภาษาพูดและใชก้ นั อยู่ ตอนกลางทางทศิ ตะวนั ตกของ ภเู ขาวนิ ธยะ ๗. ศาสตราจารย์ รดิ สเ์ ดวดิ ส์ ใหท้ รรศนะไวว้ ่าบาลมี รี ากฐานมาจากภาษาของชาวโกศล ๘. นกั ปราชญ์ ในประเทศทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาท โดยมากลงความเหน็ ว่า บาลี คือภาษา มคธ และใชพ้ ดู กนั อยูใ่ นแควน้ มคธ๓๔ อย่างไรก็ดี เป็นการเหลือวิสยั ท่ีจะรูไ้ ดว้ ่าภาษาบาลีใชพ้ ูดกนั อยู่ในส่วนไหนของอินเดียกนั แน่ นกั ปราชญท์ งั้ หลายก็มีความคิดเห็นขดั แยง้ กนั อยู่เช่นน้ี จึงควรจะรบั ฟงั มติของท่านทง้ั หลายเหล่าน้ีไวด้ ว้ ย เก่ยี วกบั ความเป็นมาของภาษาบาลดี งั กลา่ ว มตสิ ว่ นใหญ่เหน็ ว่าภาษาบาลี มรี ากฐานมาจากภาษามาคธี มตนิ ้ีเป็น ท่ยี อมรบั ทวั่ ไปในกลุ่มชนท่ีนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา และถือกนั ว่าภาษาบาลี เป็นมลู ภาษา ภาษาหลกั หรือภาษา แรกของมวลมนุษยเ์ ป็นสกานิรุติ คือภาษาท่พี ระพุทธเจา้ ตรสั และใชเ้ ป็นส่อื สงั่ สอนพุทธบริษทั มถี ่ินกาํ เนิดท่ี แควน้ มคธ ดนิ แดนท่พี ทุ ธองคท์ รงประกาศพทุ ธศาสนา๓๕ อกั ษรท่ใี ชเ้ ขยี นภาษาบาลี ภาษาบาลจี รงิ ๆแลว้ ไม่มตี วั อกั ษรใชเ้ขยี นทแ่ี น่นอน เป็นของตนเอง เมอ่ื แผ่หลายไปอยู่ถน่ิ ใด กม็ กั ใช้ อกั ษร ประจาํ ทอ้ งถ่นิ นนั้ ๆเป็นเคร่อื งจารึก ในประเทศอินเดีย ใชอ้ กั ษร เทวนาครี ซ่งึ เป็นอกั ษรของอินเดยี ฝ่าย เหนือ เขยี นภาษาสนั สกฤตและใชอ้ กั ษรพราหมแี ละอกั ษรคฤณท์ ซ่งึ พฒั นามาจากอกั ษรพราหมเี ขยี นภาษาบาลี นกั ศึกษาภาษาบาลแี ละผูท้ ่ตี อ้ งการศึกษาพระพทุ ธศาสนานอกจากจะมคี วามรูห้ ลกั ภาษาบาลี สามารถแปลไดด้ ี เป็นเบ้อื งตน้ แลว้ ยงั จะตอ้ งเรียนตวั อกั ษรของชาตติ ่างๆ ท่ใี ชเ้ ขยี นภาษาบาลอี ีกดว้ ย เพอ่ื ใชเ้ ป็นกุญแจสาํ หรบั ศึกษาหาความรู้ จากคมั ภรี บ์ าลี ซ่งึ มปี รากฏอยู่ในภาษาต่างๆ เพ่อื เปรยี บเทยี บสอบทาน ตน้ ฉบบั เดิมว่าอาจมี ความคลาดเคล่อื น เพ่ือความถูกตอ้ งแม่นยาํ ของคมั ภีร์ เพ่ือนาํ ไปเผยแผ่ อบรม สงั่ สอน ยงั ทอ้ งถ่ินต่างๆ ตวั อกั ษรท่ใี ชเ้ ขยี น บาลี เท่าท่ไี ดศ้ ึกษามาไดป้ รากฏอยู่ในอกั ษร ดงั น้ีคือ พรมหมี เทวนาครี สีหล พม่า มอญ ขอมหรอื เขมรไทย ลาว และโรมนั ๓๖ ๖.๓ การรกั ษาสบื ทอดพระไตรปิฎก กระบวนการรกั ษาและการสบื ทอดพระไตรปิ ฎก คาํ ว่า สงั คายนา แปลว่าการสวดพรอ้ มกนั , การรอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั หรือการประชุมตรวจชาํ ระ สอบทานและจดั หมวดหมู่คําสอนของพระพุทธเจา้ เพ่ือเป็นแบบแผนอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ๓๗ กล่าวโดย ความหมาย การสงั คายนาหมายถึง การรอ้ ยกรองพระวินยั คือการประชุมสงฆจ์ ดั ระเบยี บหมวดหม่พู ระพทุ ธ ๓๔ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๔๓๘-๔๓๙. ๓๕ พระมหาเสถยี รพงษ์ ปณุ ฺณวณฺโณ, โครงการตาราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร,์ (กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ศิลปกร, ๒๕๑๔), อา้ งใน เสนาะ ผดงุ ฉตั ร, ความรูเ้ บ่ือตน้ เก่ยี วกบั วรรณคดีบาล,ี หนา้ ๖๐. ๓๖ ฉลาด บญุ ลอย, ประวตั ิวรรณคดี บาลี ตอน ๒, อา้ งใน เสนาะ ผดุงฉตั ร, ความรูเ้ บอ่ื ตน้ เก่ยี วกบั วรรณคดบี าล,ี หนา้ ๗๑. ๓๗ พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ หนา้ ๓๑๐.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๖๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ วจนะตามท่พี ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงตรสั แสดงไว้ และทราบในท่ีประชุมนนั้ ว่าตกลงกนั อย่างน้ี และมกี ารท่องจาํ กนั สบื ๓๘ กระบวนการรกั ษาและสืบทอดพระไตรปิฎกปรากฏในพระสูตรหลายแห่ง เช่นองั คุตตรนิกาย ปญั จก นิบาต ว่า “เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สงั่ สมสุตะ เป็นผูไ้ ดฟ้ งั มากซึง่ ธรรมทงั้ หลาย ทีม่ คี วามงามในเบ้อื งตน้ มคี วาม งามในท่ามกลาง มคี วามงามในทสี่ ดุ ประกาศพรหมจรรยพ์ รอ้ มทงั้ อรรถและพยญั ชนะ บริสุทธิบ์ ริบูรณค์ รบถว้ น แลว้ ทรงจาไวไ้ ด้ คล่องปาก ข้นึ ใจ แทงตลอดดีดว้ ยทิฏฐิ” ๓๙ ไดบ้ อกวิธีการศึกษาเล่าเรียนแบบมุขปาฐะท่ีมี ประสทิ ธภิ าพไว้ ๕ ประการ คือ ๑) พหสุ ฺสุตา ตอ้ งฟงั ใหม้ าก หาโอกาสสดบั ตรบั ฟงั เร่อื งราวต่างๆ ๒) ธตา ฟงั แลว้ พยายามจาํ ใหไ้ ด้ จบั หลกั หรอื สาระได้ ทรงจาํ ไวแ้ มน่ ยาํ ๓) วจสา ปรจิ ติ า ท่องบน่ สาธยายจนคลอ่ งปาก ๔) มนสานุเปกขฺ ติ า เพง่ พนิ ิจพจิ ารณาความหมายดว้ ยใจ จนนึกครงั้ ใดกป็ รากฏเน้ือความสว่างชดั ๕) ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา ขบใหแ้ ตก คือทาํ ความเขา้ ใจลึกซ้ึง มองเห็นประจกั ษด์ ว้ ยปญั ญา ทงั้ แง่ ความหมายและเหตผุ ล๔๐ การอาราธนาพระอรหนั ต์ พระขณี าสพ และเชิญนกั ปราชญร์ าชบณั ฑิต มาร่วมในการทาํ สงั คายนา ตรวจทานหลกั ธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจา้ มพี ระมหากษตั ริยเ์ ป็นองคศ์ าสนูปถมั ภ์ เป็นจุดเร่ิมตน้ การทาํ สงั คายนาในอดตี สู่ปจั จุบนั แต่ละครงั้ นนั้ มปี ระโยชนต์ ่อพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างมาก ทาํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนามี หลกั ธรรมท่แี น่นอนและสามารถตรวจทานได้ เป็นท่ยี อมรบั ของพทุ ธศาสนิกชน ป้องกนั อสทั ธรรมทจ่ี ะเกิดข้นึ นอกจากน้ีการทาํ สงั คายนาแต่ละครง้ั นนั้ ยงั มสี ่วนสาํ คญั ในการจดั รูปแบบการปกครองคณะสงฆใ์ หเ้ป็นสดั ส่วน ชดั เจนมากยง่ิ ข้นึ การสบื ทอดพระไตรปิฎกในช่วงตน้ หรอื ยุคแรกคือนบั ตง้ั แต่พุทธกาลตลอดมาประมาณ ๕๖๐ ปี พระ เถระผูร้ กั ษาพระศาสนาทรงจาํ พุทธพจนก์ นั มาดว้ ยปากเปล่า เรียกว่ามุขปาฐะ คือการเรียน-ท่อง-บอกต่อดว้ ย ปาก ซ่ึงพระเถระไดต้ ระหนักถึงความสาํ คญั สูงสุดของการรกั ษาพุทธพจน์ จึงทาํ ใหม้ ีความไม่ประมาท ระมดั ระวงั อย่างย่ิงท่จี ะใหม้ กี ารจาํ พุทธพจนไ์ วอ้ ย่างบริสุทธ์ิ ถอื ว่าการรกั ษาพทุ ธพจนน์ ้ีเป็นกจิ สาํ คญั สูงสุดของ การรกั ษาพระพทุ ธศาสนา การท่องจาํ พระไตรปิฎกหรือพระธรรมวนิ ยั น้ีท่านทาํ ดว้ ยวธิ สี วดพรอ้ มกนั จะตอ้ งสวด ตรงกนั หมดทุกถอ้ ยคาํ จะตกหล่นตดั ขาดหายไปก็ไม่ได้ จะเพ่ิมแมค้ าํ เดียวก็ไม่ได้ เพราะฉะนน้ั การท่จี ะสวด โดยคนจาํ นวนมากๆ ใหเ้ป็นไปไดด้ ว้ ยดีใหส้ อดคลอ้ งกลมกลนื กนั ก็จะตอ้ งสวดเหมอื นกนั หมด ท่านจงึ รกั ษาคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ไวด้ ว้ ยวธิ นี ้ี ๓๘ เสนาะ ผดงุ ฉตั ร, ความรูเ้ บ้ืองตน้ เก่ยี วกบั พระไตรปิ ฎก, หนา้ ๖๕. ๓๙ องฺ.ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๘๗/๑๕๕. ๔๐ เสฐยี รพงษ์ วรรณปก, คาบรรยายพระไตรปิ ฎก, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : สถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๕๐), หนา้ ๑๕.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ช่วงทส่ี อง คือระยะทร่ี กั ษาพทุ ธพจนแ์ ละเร่อื งเก่ยี วขอ้ งในพระไตรปิฎกทงั้ หมดไวเ้ป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เกิดจากเหตผุ ลท่ปี รารภว่า เมอ่ื เหตุการณ์บา้ นเมอื งสภาพแวดลอ้ มแปรเปล่ยี นไป เกิดมภี ยั ท่กี ระทบต่อการทาํ หนา้ ทส่ี บื ต่อทรงจาํ พทุ ธพจนแ์ ละคนในภายหนา้ จะเสอ่ื มถอยสติสมาธปิ ญั ญา เช่น มศี รทั ธาและฉนั ทะอ่อนลงไป จะไมส่ ามารถรกั ษาพทุ ธพจนไ์ วด้ ว้ ยมขุ ปาฐะจงึ ตกลงกนั ว่าถงึ เวลาทจ่ี าํ ตอ้ งบนั ทกึ พระไตรปิฎกลงในใบลาน พระไตรปิฎกกค็ อื ทร่ี วบรวมพระธรรมวนิ ยั คือคาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทเ่ี รียกว่าเป็นพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวว้ ่าเป็นศาสดาของชาวพทุ ธทงั้ หลาย เราจึงไดถ้ อื กนั มาเป็นหลกั ว่า จะตอ้ งรกั ษาแลว้ ก็เล่า เรยี น และปฏิบตั ิตามหลกั คาํ สอนในพระไตรปิฎกเป็นหลกั เป็นเกณฑม์ าตรฐานในการตดั สนิ ความเช่อื ถอื และการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องพทุ ธศาสนิกชนทงั้ หลายว่าเป็นพระพทุ ธศาสนาหรอื ไม่ ถา้ ไม่เป็นไปตามท่ไี ดร้ วบรวมประมวล สงั คายนาและรกั ษาสบื ต่อไวใ้ นพระไตรปิฎก หรือคลาดเคลอ่ื นจากนนั้ กไ็ ม่ใช่พระพทุ ธศาสนา ถา้ ถูกตอ้ งตามนนั้ กเ็ ป็นพระพทุ ธศาสนา ระบบการรกั ษาสบื ทอดแบบมขุ ปาฐะ การศึกษาเลา่ เรยี นและทรงจาํ ดว้ ยวธิ ถี า่ ยทอดโดยตรง เรยี กว่า “มขุ ปาฐะ” ในสมยั ทย่ี งั ไม่มกี ารจดดว้ ย ตวั หนงั สอื มนุษยต์ อ้ งอาศยั ความจาํ เป็นเคร่ืองมอื สาํ คญั ในการบนั ทึกเร่อื งราวนนั้ ๆ ไวบ้ อกเล่าต่อๆกนั มาการ ทรงจาํ และบอกดว้ ยปากต่อๆกนั มาเรยี กว่า “มขุ ปาฐะ”๔๑ อน่ึง ประเพณีการไม่นิยมจารึกพระธรรมคาํ สอนส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิลงเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรนน้ั เป็นธรรม เนียมนิยมของชาวอินเดียมาแต่โบราณกาล แมใ้ นยุคเกิดการใชอ้ กั ษรศาสตรก์ นั แพร่หลายทวั่ ประเทศ พวก บรรดาพราหมณาจารย์ และเจา้ ลทั ธทิ ง้ั หลายกย็ งั คงนิยมการทอ่ งจาํ บทพระธรรมและถ่ายทอดกนั มาเรยี กว่า “มขุ ปาฐะ” ตลอดมา ในปจั จุบนั วธิ ีมขุ ปาฐะกค็ งใชก้ นั ในหมู่ พราหมณาจารยใ์ นประเทศอินเดยี ทางพระพทุ ธศาสนา ก็ถืออนุโลมตามธรรมเนียมนนั้ ๆ ดว้ ยเช่นกนั ในยุคพุทธกาล พวกพราหมณ์นน้ั มีระยะกาํ หนดประชุมกนั สาธยายพระเวทเพ่อื ซกั ซอ้ มความทรงจาํ กนั พราหมณาจารยช์ นั้ ผูใ้ หญ่พาบริวารมาซกั ซอ้ มความเขา้ ใจกนั และ สถานทพ่ี วกพราหมณช์ มุ นุมสาธยายก็สรา้ งแบบรวั้ รอบขอบชดิ หา้ มมใิ หช้ นต่างวรรณะเขา้ ฟงั ๔๒ หลงั พทุ ธกาลมวี ธิ ีการรกั ษาสบื ทอดพระไตรปิฎกโดยมขุ ปาฐะ ตงั้ แต่การทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ มาจนถงึ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ หลงั จากนน้ั จึงมีการจารึกหรือบนั ทึกธรรมวินยั ลงในใบลาน สาเหตุท่ีจารึกลงในใบลาน เพราะว่าถา้ จะใชว้ ธิ ีท่องจาํ พระพทุ ธวจนะต่อไป ก็อาจมขี อ้ วปิ รติ ผิดพลาดไดง้ ่าย เพราะปญั ญาในการท่องจาํ ของ กลุ บตุ รเสอ่ื มถอยลง กระบวนการท่องจาํ ธรรมวนิ ยั หลงั พทุ ธกาล จึงมกี ารแบ่งออกเป็นสาํ นกั ต่างๆ เช่น ศิษยส์ าย พระอุบาลกี ็จดจาํ พระวนิ ยั ปิฎก ศิษยส์ ายพระอานนทก์ ็จดจาํ พระสุตตนั ตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกสบื กนั มา โดยมไิ ดข้ าดสาย ในปจั จบุ นั มผี ูศ้ ึกษาพระพทุ ธศาสนาจาํ นวนไม่นอ้ ย สงสยั กนั ว่าพระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา้ พง่ึ ลงจาร เป็นตวั หนงั สอื เมอ่ื ก็ต่อเมอ่ื ทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ ในสงิ หลทวปี เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาลว่ งแลว้ ๔๐๐ ปีเศษ ระหว่าง ว่างเวน้ กนั หลายรอ้ ยปีนน้ั การสืบทอดคาํ สอนซ่งึ ทาํ กนั โดยมขุ ปาฐะ อาจทาํ ใหพ้ ระวินยั คลาดเคล่อื นหรือตกหล่น ๔๑ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๑๑๖๑/๔๔๓-๕๐๓. ๔๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ หนา้ ๒๓๕.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ไปบา้ ง เพราะการจาํ พระวนิ ยั จาํ นวนมากโดยไมล่ มื เลอื นนน้ั อาจดูเป็นเร่อื งเหลอื เช่อื แมน้ กั ประวตั ิศาสตรย์ ุโรปก็มี ความสงสยั เช่นเดียวกนั จึงสนั นิฐานว่าเร่ืองราวธรรมะต่างๆ ในพระพทุ ธศาสนาอาจเป็นของแต่งข้นึ เพ่มิ โดยพระ คนั ถรจนาจารยห์ าไดเ้ป็นคาํ ตรสั จากพระโอษฐไ์ ม่ ถงึ แมจ้ ะเป็นพทุ ธวจนะทง้ั หมดจริงกไ็ ม่น่าเช่อื ว่าจะถูกจดจาํ ไว้ ไดท้ ง้ั หมด แมใ้ นเรอ่ื งปลกี ย่อยอย่างละเอยี ดโดยพระอานนทผ์ ูเ้ดยี ว๔๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวถึงเร่ืองน้ีไวว้ ่า “ในตน้ หรือยุคแรก นบั แต่พระพุทธกาลมา ประมาณ ๔๖๐ ปี พระเถระทงั้ หลายผูร้ กั ษาพระพุทธศาสนาทรงจาํ พุทธพจนก์ นั มาดว้ ยปากเปล่า เรียกว่า “มุข ปาฐะ” แปลง่ายว่า “ปากบอก” คือ เรียน–ท่อง–บอกต่อดว้ ยปาก ซง่ึ เป็นการรกั ษาไวก้ บั ตวั คน ในยุคน้ีมขี อ้ ดีคือ เน่ืองจากพระสงฆร์ ูต้ ระหนกั สูงถึงความสาํ คญั สูงสุดของการรกั ษาพุทธพจนจ์ ึงทาํ ใหม้ ีความไม่ประมาท โดย ระมดั ระวงั อย่างย่งิ ท่ีจะใหม้ กี ารจาํ พทุ ธพจนไ์ วอ้ ย่างบริสุทธ์ิบริบูรณ์ ถือเป็นการรกั ษาพุทธพจนน์ ้ีเป็นกิจสาํ คญั สูงสุดของการรกั ษาพระพทุ ธศาสนา๔๔ นอกจากนน้ั ๔๕ ยงั ไดอ้ ธิบายไวว้ ่าการรกั ษาสบื ทอดโดยมขุ ปาฐะ หรือมขุ ปาฐะน้ี ใชว้ ธิ ีสาธยาย ซ่งึ แยก ไดเ้ป็น ๔ ระดบั คอื ๑. เป็นความรบั ผดิ ชอบของสงฆห์ มใู่ หญ่สบื กนั มาตามสายอาจารยท์ ่เี รียกว่า อาจริยปรมั ปรา (เรยี กอีก อย่างหน่ึงว่า เถรวงศ์) โดยพระเถระท่เี ป็นตน้ สายตง้ั แต่สงั คายนาครง้ั แรกนนั้ เช่น พระอุบาลเี ถระ ผูเ้ช่ยี วชาญ ดา้ นพระวนิ ยั กม็ ศี ิษยส์ บื สายและมอบความรบั ผดิ ชอบในการรกั ษาสงั่ สอนอธบิ ายสบื ทอดกนั มา ๒. เป็นกิจกรรมหลกั ในวิถีชีวติ ของพระสงฆ์ ซ่งึ จะตอ้ งเล่าเรียนปริยตั ิ เพ่อื เป็นฐานของการปฏิบตั ิท่ี ถูกตอ้ ง อนั จะนาํ ไปสู่ปฏเิ วธ และการเล่าเรียนนน้ั จะใหช้ าํ นาญส่วนใด ก็เป็นไปตามอธั ยาศยั ดงั นนั้ จึงเกิดมี คณะพระสงฆท์ ่คี ล่องแคล่วเช่ียวชาญพทุ ธพจนใ์ นพระไตรปิฎกต่างหมวดต่างสวนกนั ออกไป เช่น มพี ระสงฆ์ กลมุ่ ทค่ี ลอ่ งแคลว่ เช่ยี วชาญในทฆี นิกาย พรอ้ มทง้ั คาํ อธบิ าย คืออรรถกถาของทฆี นิกายนน้ั เรียกว่า ทฆี ภาณกะ แมม้ ชั ฌมิ ภาณกะ สงั ยุตตภาณกะ องั คุตตรภาณกะ และขทุ ทกภาณกะ เป็นตน้ กเ็ ช่นเดยี วกนั ๓. เป็นกจิ วตั รของพระภกิ ษุทงั้ หลายแต่ละวดั แต่ละหมู่ ท่จี ะมาประชุมกนั และกระทาํ คณะสาธยาย คือ สวดพุทธพจนพ์ รอ้ มๆ กนั (การปฏบิ ตั ิอย่างน้ีอาจจะเป็นท่มี าของกิจวตั รในการทาํ วตั รสวดมนตเ์ ชา้ -เย็น หรือ เชา้ -คาํ่ อยา่ งทร่ี ูจ้ กั กนั ในปจั จบุ นั ) ๔. เป็นกจิ วตั ร หรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วนั ของพระภกิ ษุแต่ละรูปดงั ปรากฏในอรรถกถา เป็นตน้ ว่า พระภกิ ษุเม่อื ว่างจากกิจอ่ืน เช่น เมอ่ื อยู่ผูเ้ ดียว ก็นงั่ สาธยายพุทธพจน์ เท่ากบั ว่าการสาธยายพุทธพจนน์ ้ีเป็น สว่ นหน่ึงแหง่ การปฏบิ ตั ธิ รรม ๔๓ เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ เล่ม ๑, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกุฏ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๗), หนา้ ๗๓. ๔๔ พระพรมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พระไตรปิ ฎก : สง่ิ ท่ชี าวพทุ ธตอ้ งรู,้ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร:บริษทั เอส.อาร.์ พร้ินต้งิ แมส โปรดกั ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๗), หนา้ ๒๐, ๔๕ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎก : ประวตั ิและความสาคญั , (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓), หนา้ ๒๑.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง แมว้ ่าพระไตรปิฎกไดร้ บั การถ่ายทอดสบื ต่อกนั มาดว้ ยวธิ มี ขุ ปาฐะ หรอื การท่องจาํ อย่างเป็นระบบ มาแต่สมยั พทุ ธกาล จนไดร้ บั การจารลงเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เมอ่ื สมยั สงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ พทุ ธศตวรรษท่ี ๕ ใน รชั สมยั พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั แห่งประเทศลงั กา ระบบมขุ ปาฐะจึงไดเ้พลาความเขม้ ลง แต่ยงั ถอื ปฏิบตั อิ ยู่ใน บางประเทศ เช่น ไทยและเมยี นมา่ ร์ มาจนบดั น้ี ในสมยั น้ี ในพม่าก็ยงั รกั ษาประเพณีน้ีไว้ กลา่ วคือในยุคน้ี ทงั้ ๆ ท่ีมีคมั ภีรจ์ ารึกและพิมพเ์ ป็นเล่มหนงั สือแลว้ ก็ยงั พยายามสนบั สนุนพระภิกษุใหท้ รงจาํ พระไตรปิฎกเป็น อกั ษรไทย ก็ได้ ๔๕ เล่ม ๒๒,๐๐๐ กว่าหนา้ ถา้ จาํ ไดห้ มด ทางการจะตงั้ ใหเ้ ป็นพระติปิฎกธร (ผูท้ รงจาํ พระไตรปิฎก) ไดเ้ ป็นพระเป็นท่ีเคารพนบั ถือองคห์ น่ึง และทางรฐั บาลจะเล้ยี งดูโยมพ่อแม่พระภิกษุนนั้ และ อปุ ถมั ภบ์ าํ รุงดว้ ยประการต่างๆ เดีย๋ วน้ีก็ยงั มพี ระติปิฎกธร คือพระภิกษุรูปเดียวท่สี ามารถจาํ พระไตรปิฎกได้ ทงั้ หมด ๒๒,๐๐๐ กวา่ หนา้ ใหเ้หน็ ว่าเป็นสง่ิ ทเ่ี ป็นไปได้ ไมใ่ ช่สง่ิ เหลอื วสิ ยั น่ีคือองคเ์ ดยี วเท่านน้ั กย็ งั จาํ ไหว การรกั ษาสบื ทอดโดยมขุ ปาฐะ ภายหลงั ท่องจาํ ไวแ้ ลว้ กจ็ ะมกี ารตรวจสอบความแม่นยาํ เสมอ ๆ ใน หม่ผู ูท้ ่องจาํ ดว้ ยกนั เพ่อื ป้องกนั มใิ หเ้ กิดความผิดพลาด อาจเกิดจากความทรงจาํ ท่ลี บเลอื นไปตามกาลเวลา เน่ืองจากภกิ ษุทงั้ หลายมวี นิ ยั สงฆก์ าํ กบั ใหด้ าํ เนินชีวติ ตามหลกั ไตรสกิ ขาอกี ทง้ั อยู่ในบรรยากาศแห่งการเลา่ เรียน ถ่ายทอด และหาความรูเ้ พ่อื นาํ ไปสู่สมั มาปฏบิ ตั จิ ึงเป็นธรรมดาท่จี ะมกี ารรกั ษาคาํ สอนดว้ ยการสาธยายทบทวน ตรวจสอบกนั อยู่เป็นประจาํ อย่างเป็นปกตติ ลอดเวลา อาจมคี าํ ถามตามมาว่าเมอ่ื มกี ารรกั ษาพระธรรมวนิ ยั ดว้ ย การทอ่ งจาํ หรอื ทรงจาํ น้ี อาจมปี ญั หาอนั เกดิ จากความทรงจาํ คลาดเคลอ่ื นเลอะเลอื น หรอื หลงลมื ไปบา้ งหรอื ไม่ ๖.๓.๑ การรกั ษาสบื ทอดแบบมขุ ปาฐะในสมยั พทุ ธกาล นบั ตงั้ แต่พระพุทธเจา้ ไดต้ รสั รูธ้ รรมในวนั เพ็ญเดือนวิสาขมาส ก่อนพุทธศกั ราช ๘๐ ปี เม่ือ พระชนมายุ ๓๕ พรรษา พระพทุ ธองคไ์ ดใ้ ชเ้วลาในการประกาศพระสทั ธรรมจนกระทงั่ พระพทุ ธศาสนาตง้ั มนั่ ใน ดินแดนชมพูทวีป มปี ระชาชนเกดิ ความศรทั ธาและปฏิบตั ิตามจาํ นวนมาก พระธรรมคาํ สงั่ สอนของพระองคท์ ่ี ทรงไปแสดงแก่บุคคล คณะ สมาคมมหาชนในท่ีต่างๆ ผูท้ ่ีคอยรกั ษาทรงจาํ เน้ือหาหลกั ธรรมนน้ั ไวไ้ ดแ้ ก่พระ สาวกของพระพทุ ธองคเ์ อง หลกั ฐานทแ่ี สดงการทรงจาํ เน้ือหาพระธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธองคไ์ วเ้ป็นหมวดหมู่ ในสมยั พทุ ธกาล เพอ่ื การรกั ษาไว้ เม่อื พระพุทธเจา้ ยงั ทรงพระชนมายุอยู่ พระพทุ ธเจา้ เองและพระสาวกองคส์ าํ คญั โดยเฉพาะพระสารี บุตร ก็ไดค้ าํ นึงเร่ืองน้ีไวแ้ ลว้ ว่าเม่อื พระพุทธเจา้ ปรินิพพานไปแลว้ ถา้ ไม่มีการรวบรวมประมวลคาํ สอนของ พระองคไ์ ว้ พระพทุ ธศาสนากจ็ ะสูญส้นิ ๔๖ ดงั นน้ั ทงั้ ๆ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมายุอยู่ก็ไดม้ กี ารริเร่มิ นาํ ทาง ไวใ้ หเ้ป็นตวั อย่างแก่คนรุ่นหลงั วา่ ใหม้ กี ารรวบรวมคาํ สอนของพระองคซ์ ง่ึ เราเรียกว่าการสงั คายนา ตวั อย่างเช่น พระสารบี ตุ รไดแ้ สดงสงั คตี สิ ูตรทม่ี เี น้ือหาเก่ยี วกบั การสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ใหเ้ป็นหมวดหม่เู สรจ็ แลว้ ไดบ้ อก ศิษย์ ๕๐๐ รูปใหท้ ่องจาํ ไว้ และในคมั ภรี ม์ หานิเทสทท่ี ่านนาํ อฏั ฐกวรรคมา แต่ขยายความและคมั ภรี ป์ ฏสิ มั ภทิ า มรรคเป็นแมแ่ บบคมั ภรี อ์ รรถกถา จนท่านพระอานนทต์ อ้ งนาํ ข้นึ สู่การสงั คายนาครง้ั แรก๔๗ ๔๖ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , เก็บเพชรจากคมั ภีรพ์ ระไตรปิ ฎก, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๑๙-๒๐. ๔๗ ส.ํ นิ.(ไทย) ๑๖/๑๕๔/๒๕๖ .
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ครง้ั นนั้ ท่านพระจนุ ทะไดน้ าํ ขา่ วน้ีมากราบทูลแด่พระพทุ ธเจา้ ดงั ปรากฏในปาสาทกิ สูตรว่า๔๘ “ธรรม ทงั้ หลายท่ีเราแสดงไวแ้ ลว้ เพ่ือความรูย้ ่ิงบริษทั ทงั้ หลายพึงพรอ้ มเพรียงกนั ประชุมสอบทานอรรถกบั อตั ถะ พยญั ชนะกบั พยญั ชนะในธรรมนน้ั แลว้ พงึ สงั คายนากนั เพ่ือใหพ้ รหมจรรยต์ ง้ั อยู่ไดน้ านเพ่ือประโยชนส์ ุขแก่ เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย” และพระองคไ์ ดต้ รสั แนะนาํ ใหพ้ ระสงฆท์ ง้ั ปวงร่วมกนั สงั คายนาธรรมทงั้ หลายไว้ เพ่อื ใหพ้ ระศาสนาดาํ รงอยู่ยงั่ ยนื เพ่อื ประโยชนส์ ุขแก่พหูชน เวลานนั้ พระสารีบุตรอคั รสาวกยงั มชี ีวิตอยู่ คราว หน่ึงท่านปรารภเร่ืองน้ีแลว้ ก็กล่าวว่า ปญั หาของศาสนาเชนนน้ั เกิดข้นึ เพราะไม่ไดร้ วบรวมรอ้ ยกรองคาํ สอนไว้ เพราะฉะนนั้ พระสาวกทง้ั หลายทงั้ ปวงของพระพุทธเจา้ ของเราน้ี ควรจะไดท้ าํ การสงั คายนา คือรวบรวมรอ้ ย กรองประมวลคาํ สอนของพระองคไ์ วใ้ หเ้ป็นหลกั เป็นแบบแผนอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั เมอ่ื ปรารภเช่นน้ีแลว้ พระสารี บุตรก็ไดแ้ สดงวิธีการสงั คายนาไวเ้ ป็นตวั อย่าง ดงั ปรากฏในสงั คีติสูตร๔๙ โดยท่านไดร้ วบรวมคําสอนท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไวเ้ป็นขอ้ ธรรมต่างๆ มาแสดงตามลาํ ดบั หมวด ตง้ั แต่หมวดหน่ึงไปจนถงึ หมวด ๑๐ คือ เป็นธรรมหมวด ๑ ธรรมหมวด ๒ ธรรมหมวด ๓ ไปจนถงึ ธรรมหมวด ๑๐ เมอ่ื พระสารบี ตุ รแสดงไปจนจบแลว้ พระพทุ ธเจา้ กไ็ ดป้ ระทานสาธุการ หลกั ธรรมท่ีพระสารีบุตรไดแ้ สดงไว้ จดั เป็นพระสูตรหน่ึงเรียกว่า สงั คีติยสูตร แปล งา่ ยๆ วา่ พระสูตรวา่ ดว้ ยการสงั คายนาหรอื สงั คีติ น้ีเป็นตวั อยา่ งท่พี ระอคั รสาวกสูงสุด คือพระสารีบุตรไดก้ ระทาํ ไว้ แต่ท่านพระสารีบุตรเอง ไดน้ ิพพานก่อนพระพุทธเจา้ เม่อื พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานแลว้ ก็เป็นอนั ว่าพระสารี บตุ รไมไ่ ดอ้ ยู่ท่จี ะทาํ งานน้ีต่อ แต่กม็ ีพระสาวกผูใ้ หญ่ท่ไี ดด้ าํ เนินงานน้ีต่อมาโดยไม่ละท้งิ กลา่ วคือพระมหากสั ส ปะ ซ่งึ ตอนทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานนน้ั เป็นพระสาวกผูใ้ หญ่มอี ายุพรรษามากท่สี ุด นอกจากนนั้ ยงั มหี ลกั ฐาน ปรากฏในพระไตรปิฎกเก่ียวกบั วิธีการรกั ษาสืบทอดพระไตรปิฎกในครงั้ พุทธกาลคือในคมั ภีรม์ หาวิภงั ค์ สงั ฆาทิเสสขอ้ ท่ี ๗ ท่ีกล่าวไวว้ ่า๕๐ “ทพฺโพ มลฺลปุตฺโต สภาคานํ ภิกฺขูนํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ, เย เต ภกิ ขฺ ุ สุตตฺ นฺตกิ า,เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ “เต อญฺญมญฺญํ สุตฺตนฺตํ สงฺคายสิ ฺสนฺตตี ิ, เย เต ภกิ ฺขุ วนิ ย ธรา, เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ “เต อญฺญมญฺญํ วนิ ยํ วนิ ิจฺฉิสฺสนฺตตี ิ”แปลความว่าพระทพั พมลั ลบตุ ร ยอ่ มจดั เสนาสนะไวเ้ป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั แก่ภกิ ษุทง้ั หลายท่มี ลี กั ษณะคลา้ ยๆ กนั กล่าวคือภกิ ษุเหลา่ ใดศึกษา เลา่ เรยี นพระสูตร ก็จดั เสนาสนะใหภ้ กิ ษุเหล่านน้ั ไวใ้ นกลุม่ เดียวกนั ดว้ ยคิดว่า พวกเธอจะไดส้ อบสวนพระสูตร กะกนั และกนั ผูท้ รงวนิ ยั ก็จดั เสนาสนะไวใ้ นกลุ่มเดียวกนั ดว้ ยคิดว่า ภิกษุเหลา่ นน้ั จะไดว้ นิ ิจฉยั ขอ้ วนิ ยั กะกนั และกนั ภิกษุเหล่าใดเล่าเรียนพระอภิธรรม ก็จดั เสนาสนะสาํ หรบั ภกิ ษุเหล่านนั่ ไวใ้ นกลุ่มเดียวกนั ดว้ ยคิดว่า ภกิ ษุเหลา่ นนั้ จดั สนทนาพระอภธิ รรมกะกนั และกนั ” ในพระวนิ ยั ปิฎก ภิกขุนีวิภงั ค์ ฉตั ตุปาหนวรรค สิกขาบทท่ี ๑๒ กล่าวไวว้ ่า๕๑ “ ปญฺหํ ปุจฺเฉยฺยาติ สุตฺตนฺเต โอกาสํ การาเปตฺวา วินยํ วา อภิธมฺมํ ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส ฯ วินเย โอกาสํ การาเปตฺวา ๔๘ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๗๗/๑๓๘. ๔๙ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๓๐๓-๓๔๙/๒๕๐-๓๖๖. ๕๐ ว.ิ มหา.(ไทย) ๑/๓๘๒/๔๓๑ ๕๑ ว.ิ ภกิ ขฺ นุ .ี (ไทย) ๓/๑๒๑๙/๓๗๙.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง สุตฺตนฺตํ วา อภธิ มมฺ ํ วา ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส ฯ อภิธมเฺ ม โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา วินยํ วา ปจุ ฉฺ ติ อาปตตฺ ิ ปาจติ ตฺ ิยสฺส ฯ แปลความว่า ภกิ ษุณีผูถ้ ามปญั หากบั ภกิ ษุ ขอโอกาสอนั ใดตอ้ งถามอนั นน้ั ถา้ ขอ โอกาสถามพระสูตรแลว้ กลบั ไปถามพระวนิ ยั ก็ดี ถามพระอภธิ รรมกด็ ี ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตียฯ์ ขอโอกาสถามพระ วนิ ยั กลบั ไปถามพระสูตรหรอื พระอภธิ รรม ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ฯ ขอโอกาสถามพระอภธิ รมกลบั ไปถามพระสูตร หรอื พระวนิ ยั ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตยี ์ ฯ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) กลา่ วว่าการรกั ษาดว้ ยการท่องสวดเป็นหม่คู ณะแลว้ ท่องจาํ ไวน้ ้ีเป็น วธิ ที แ่ี มน่ ยาํ ยง่ิ กวา่ ยุคทจ่ี ารึกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรเสยี อีก๕๒ โดยท่านเหตผุ ลว่าการท่องจาํ พระไตรปิฎก เป็นการ ทาํ ดว้ ยวิธกี ารสวดพรอ้ มกนั เช่นเดียวกบั การสวดมนตข์ องพระสงฆซ์ ่งึ จะตอ้ งใหต้ รงกนั หมดทุกถอ้ ยคาํ จะตก หลน่ หรอื ขาดหายไมไ่ ด้ เพราะจะทาํ ใหก้ ารสวดขดั กนั และการสวดพรอ้ มกนั นนั้ อาจจะลม้ ไดใ้ นทนั ที การทอ่ งจาํ น้ีไดก้ ระทาํ มาจนถงึ การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ ในลงั กาทวปี (ถา้ นบั เฉพาะทท่ี าํ ในสงั กาก็เป็นครงั้ ท่ี ๒) ประมาณ พ.ศ. ๔๓๓ ในเร่ืองการสบื ทอดคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยวธิ มี ขุ ปาฐะ ไดม้ กี ารบง่ ช้ใี หเ้หน็ ว่า พระธรรมวินยั ไดจ้ ดั จาํ แนกไวต้ ามลกั ษณะท่ีเรียกว่านวงั คสตั ถุศาสน์ และพระสูตรบางหมู่ก็ไดม้ กี ารจดั รูป หมวดหม่หู รือนิกายไวบ้ า้ งแลว้ ยกตวั อย่างเช่น ในสงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค คหบดผี ูห้ น่ึงช่อื ว่าหลทิ ทกิ านิ๕๓ ไดม้ าขอใหพ้ ระกจั จานะอธิบายพทุ ธภาษติ ในมาคณั ฑยิ ปญั หา อฏั ฐกวรรค หรือตวั อย่างเช่นพระโสณกฎุ กิ ณั ณะ สาธยาย อฏั ฐวรรคในสุตตนิบาต หลกั ฐานเหล่าน้ีแสดงใหเ้ ห็นว่าการจดั หมวดหมู่แห่งพระสูตรหรือพระวินยั มีมาตง้ั แต่สมยั พุทธกาล แลว้ ไม่ใช่เพง่ิ จะมขี ้นึ ในช่วงทม่ี กี ารสงั คายนา ดงั นน้ั เมอ่ื พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงจาํ แนกคาํ สงั่ สอนของพระองคใ์ ห้ เป็นหมวดหมโู่ ดยแบ่งตามลกั ษณะตามนยั แห่งนวงั คสตั ถศุ าสตร์ เช่นน้ี หม่ภู กิ ษุพทุ ธบริษทั ก็ย่อมเล่าเรียน จาํ ทรงแบบไปตามหมวดธรรมทต่ี นพอใจเช่นบางรูปจาํ ทรงเอาคาถา หรอื ไวยากรณห์ รือเคยยะ ฯลฯ เป็นตน้ บางรูป เป็นผูม้ ปี ญั ญาทรงจาํ แตกฉานแม่นยาํ กอ็ าจทรงไวไ้ ดท้ ง้ั ๙ หมวด ภกิ ษุผูน้ วกะคือคฤหสั ถท์ ย่ี ุ่งยากกบั ปญั หา ครอบครวั หรือทาํ มาหากินเล้ยี งชีพอนั จะทาํ ใหเ้กิดจติ ใจยุ่งเหยงิ และฟ้งุ ซ่าน เพราะฉะนน้ั ชีวติ ของพระสงฆซ์ ง่ึ มี ความผูกพนั อยู่กบั การศึกษาและปฏิบตั ิตามพระธรรมวินยั อยู่แลว้ จึงมเี วลาทรงจาํ ไดม้ ากและรวดเร็วกว่า คฤหสั ถ์ สมยั พทุ ธกาลจงึ จงึ ปรากฏวา่ มภี กิ ษุผูท้ รงคุณธรรมแตกฉานในพระสูตร พระวนิ ยั สาธยายพระสูตรบา้ ง พระวนิ ยั บา้ งเป็นหมวดหม่ใู นเวลาว่าง เพ่อื เป็นการซอ้ มความทรงจาํ อยู่เสมอ แมพ้ ระธรรมวินยั ทพ่ี ระองคต์ รสั เทศนาระยะเวลา ๔๕ พรรษา จะมมี ากมายกจ็ รงิ แต่พระสาวกทงั้ หลายกช็ ่วยกนั ทรงจาํ ดว้ ยวธิ กี ารแบ่งเอาแต่ละ หมวดหม่ไู ว้ จึงไม่มปี ญั หาหากจะมกี ารทรงจาํ สบื กนั มาโดยตรงนับเป็นเวลาหลายรอ้ ยปี และเม่อื มกี ารทาํ ปฐม สงั คายนาแลว้ พระธรรมวนิ ยั ไดร้ บั การแบ่งจาํ แนกมาอย่างรดั กุมละสะดวกแก่การท่องจาํ ย่งิ ข้นึ พระสูตรใดท่มี ี ขอ้ ความยาวโดยประมาณก็ถูกจดั ไวใ้ นหมวดหน่ึงเรียกว่า “มชั ฌิมนิกาย” แมส้ งั ยุตตนิกาย องั คุตตรนิกาย และขุททกนิกาย ก็มวี ินยั เป็นท่ีรวบรวมธรรมท่ีมคี ุณลกั ษณะพิเศษ จดั ลงในนิกายนนั้ ๆ สุตตนั ตปิฎกทง้ั ๕ นิกายน้ี เหล่าภกิ ษุพุทธบริษทั ย่อมแบ่งกนั ทรงจาํ ไวเ้ ช่น ภิกษุเหล่าหน่ึงทรงจาํ ทฆั นิกายก็เรียกว่า “ทฆี ภาณกา ๕๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พระไตรปิ ฎก : สง่ิ ท่ชี าวพทุ ธตอ้ งรู,้ หนา้ ๒๒. ๕๓ ส.ํ ข.(ไทย) ๑๗/๑๑/๑๒.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง จารย”์ แปลว่าอาจารยผ์ ูแ้ สดงทฆี นิกาย ภกิ ษุเหลา่ ท่ที รงจาํ มชั ฌมิ นิกายไวเ้รียกว่า “มชั ฌมิ ภาณกาจารย”์ หรือสงั ยุตตภาณกาจารย์ องั คุตตรภาณจารย์ และขทุ ทกภาณกาจารยต์ ามลาํ ดบั ๕๔ แมใ้ นปจั จบุ นั น้ี ยงั ปรากฏวา่ มพี ระสงฆช์ าวศรสี งั กาท่สี ามารถทรงจาํ พระสูตรในทฆี นิกาย หรือมชั ฌิม นิกายและสามารถสาธยายไดไ้ มผ่ ดิ พลาดเหลอื อยู่ และพระสงฆล์ ามะในธิเบตก็สามารถทรงจาํ สาธยายพระธรรม มขี นาดหนา้ กระดาษหนงั สือนบั หมน่ื ๆ หนา้ ไดอ้ ย่างแม่นยาํ นอกจากน้ี ยงั ปรากฎในการทาํ ฉฏั ฐมสงั คายนาท่ี ประเทศพมา่ ซง่ึ จดั ก่อนจะถงึ พ.ศ. ๒๕๐๐ พระภกิ ษุพม่าจาํ นวนหลายองคก์ ส็ ามารถท่องจาํ พระไตรปิฎกไดเ้ป็น ปิฎกๆ และเป็นผูท้ าํ หนา้ ท่สี าธยายในท่ปี ระชุม๕๕ แต่ก็อาจเป็นความจริงท่วี ่าเม่อื โลกเจรญิ ข้นึ ดว้ ยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเคร่อื งมอื อาํ นวยความสะดวกไดพ้ ฒั นาข้นึ ความจาํ ของมนุษยเ์ หลอ่ื มลง เพราะความคิดว่าเมอ่ื ตอ้ งการหลกั ฐานหรอื ความรู้ กอ็ าจสบื คน้ ไดจ้ ากหนงั สอื ทพ่ี มิ พข์ ้นึ ตรงขา้ มกบั สมยั โบรานเคร่อื งมอื อาํ นวยความ สะดวกในการศึกษายงั ไม่มี ก็ตอ้ งใชท้ ่องจาํ ซง่ึ ปรากฏความจาํ ของคนในโบราณแม่นยาํ กว่าคนในปจั จุบนั มาก ยง่ิ การศึกษาพทุ ธธรรมทถ่ี อื ว่าเป็นของสูงแลว้ กย็ ่อมตอ้ งใฝ่ใจทรงจาํ ไวม้ ใิ หห้ ลงลมื เพราะการหลงนน้ั ถอื ว่าเป็น สาเหตุอย่างหน่ึงท่ที าํ ใหพ้ ระศาสนาเส่อื มไดเ้ หมอื นกนั ดงั พระพุทธองคไ์ ดต้ รสั ไวว้ ่า “ภกิ ษุเหล่าใดเป็นพหูสูต คล่องอาคม ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ภิกษุเหล่านนั้ ไม่เอาใจใส่บอกสอนสูตรแก่ผูอ้ ่ืน เม่อื ภกิ ษุเหลา่ นน้ั ลว่ งไป สูตรกข็ าด ผูเ้ป็นมลู (อาจารย)์ ไมม่ ที อ่ี าศยั สบื ไปน้ี เหตใุ หพ้ ระธรรมเลอะเลอื นอนั ตรธานไป๕๖ หลกั ฐานทก่ี ลา่ วอา้ งมาน้ี ไดช้ ้ใี หเ้หน็ กระบวนการดาํ เนินการเพอ่ื รกั ษาสบื ทอดพระไตรปิฎกแบบมขุ ปาฐะมตี งั้ แต่สมยั พทุ ธกาลแลว้ ๖.๓.๒ การรกั ษาสบื ทอดแบบมขุ ปาฐะในสมยั หลงั พทุ ธกาล ในครง้ั แรกๆ การทาํ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ดงั กล่าวไดม้ กี ารจดั ทาํ มาบา้ งแลว้ โดย พระสารบี ตุ รเถระ อคั รสาวก ตามไดเ้สนอไปแลว้ ในการแสดงวธิ ีทาํ สงั คายนาของพระสารบี ตุ รนน้ั พระพทุ ธองค์ ทรงสรรเสริญและทรงเหน็ ชอบดว้ ย แต่พระสารีบุตรไดท้ าํ ไวเ้ ป็นแบบอย่างเท่านนั้ ท่านก็ปรินิพพานเสยี ก่อน ต่อมาภายหลงั จากท่ีพระพุทธองค์ทรงเสด็จปรินิพพาน พระเถระทง้ั หลาย ๕๐๐ รูป มีพระมหากสั สปะเป็น ประธานไดป้ รารภทจ่ี ะทาํ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั โดยถอื เอาแบบอย่างทพ่ี ระสารบี ุตรทาํ ไวน้ นั้ ในการทาํ สงั คายนานน้ั มีปญั หาน่าสนใจท่คี วรพิจารณาน้ีก็คือ การจดั หมวดหม่พู ระธรรมวินยั ผ่าน กระบวนการโดยวธิ ีสงั คายนานน้ั มคี วามถูกตอ้ งตามท่พี ระพุทธองคไ์ ดต้ รสั สอนในครง้ั พุทธกาลหรือไม่ เราจะ แน่ใจไดอ้ ย่างไรว่า พระเถระทง้ั หลายในปฐมสงั คายนาไม่ไดเ้พ่มิ เติมขอ้ มลู ใหมบ่ างอย่างลงไปในหลกั ธรรม ต่อ ปญั หาน้ี พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ไดใ้ หท้ รรศนะว่า การสงั คายนานน้ั รูก้ นั ว่าเป็นวธิ ีการรกั ษาคาํ สอน ดงั เดมิ เอาไวใ้ หแ้ มน่ ยาํ ท่สี ุด พระสงฆท์ ่ที าํ สงั คายนาจึงไม่มสี ทิ ธ์เิ อาความคิดเหน็ ของตนเองเขา้ ไป ๕๗ และสงั คีติ ๕๔ คาํ เหลา่ น้ีปรากฏทวั่ ไปในคมั ภรี อ์ รรถกถา เช่น องฺ.จตกุ ฺก.อ. ๒/ ๒/๓๓๙ ๕๕ เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ, หนา้ ๗๕. ๕๖ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๖๐/๑๙๘. ๕๗ พระพรมคุณาภรณ์ (ป.อปยตุ ฺโต), พระไตรปิ ฎก : ส่งิ ท่ีชาวพทุ ธตอ้ งรู,้ หนา้ ๒๖.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง สูตร ๕๘ ไดแ้ สดงวธิ ีทาํ สงั คายนาไวส้ อดคลอ้ งกนั ว่าใหเ้ ทียบเคียงธรรมท่ที รงแสดงแลว้ ดว้ ยปญั ญาอนั ย่ิง พึง พรอ้ มเพยี งกนั ประชุมสงั คายนา แลว้ พิจารณาอรรถกบั อรรถ พยญั ชนะกบั พยญั ชนะ เพอ่ื ใหพ้ รหมจรรยต์ ง้ั อยู่ ไดน้ าน อนั จะเป็นไปเพอ่ื ประโยชนส์ ุขของเหล่าเทวดาและมนุษยท์ รงช้แี จงว่าธรรมทท่ี รงแสดงดว้ ยปญั ญาอนั ย่งิ เองนน้ั มสี ตปิ ฏั ฐาน ๔ เป็นตน้ มมี รรคมอี งค์ ๘ เป็นท่สี ุด (ท่เี รียกว่าโพธปิ กั ขยิ ธรรมมี ๓๗ ประการ) ตรสั แนะ ใหศ้ ึกษาธรรมเหลา่ นนั้ หรือพรอ้ มกนั ยินดีดว้ ยกนั ไม่กลา่ วแก่งแย่งกนั (ไม่กล่าวใหค้ ลาดเคลอ่ื นหรือขดั แยง้ ) เม่อื พิจารณาวิธีการทาํ สงั คายนาท่ีปรากฏในพระสูตรทงั้ ๒ แห่งนน้ั โดยละเอียดแลว้ อาจกล่าวถึงวิธีการทาํ สงั คายนาว่ามสี ว่ นประกอบสาํ คญั ๔ อยา่ ง คอื ๑. เป็นหนา้ ท่ีของสงฆท์ ่ีจะทาํ สงั คายนา หมายความว่าผูเ้ ขา้ ร่วมสงั คายนาจะตอ้ งเป็นผูท้ รงความรู้ สามารถรบั รู้ และเขา้ ใจเร่ืองราวท่นี าํ มาพูดกนั ในท่ปี ระชุมไดเ้ ป็นอย่างดี เพ่อื รวมวินิจฉยั แสดงความคิดเห็น และรบั รองมตขิ องท่ปี ระชุมว่า ธรรมวนิ ยั ขอ้ นน้ั ๆ มพี ยญั ชนะเป็นเช่นนน้ั ๆ มอี รรถเป็นเช่นนนั้ ๆ ถูกตอ้ งตามท่ี ไดย้ นิ ไดฟ้ งั มาจากพระพุทธองคแ์ ละตามทไ่ี ดศ้ ึกษาปฏบิ ตั จิ นเห็นผลแลว้ ซ่งึ ผูท้ ่เี หมาะสมสาํ หรบั งานสงั คายนา เช่นน้ีย่อมไดแ้ ก่พระภกิ ษุพทุ ธบริษทั อาจจะเป็นดว้ ยเหตผุ ลน้ีท่เี ป็นเหตุใหพ้ ระมหากสั สปะผูเ้ป็นประธานในปฐม สงั คายนานน้ั ตอ้ งเลือกภิกษุสงฆท์ ่ีจะเขา้ ร่วมประชุมสงั คายนา โดยคดั เฉพาะพระเถระอรหนั ตผ์ ูท้ รงความรู้ แตกฉานในพระธรรมวนิ ยั ๒. ในคณะสงฆผ์ ูท้ รงความรูส้ ามารถ ไดเ้ ขา้ ร่วมประชุมสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ท่พี ระพทุ ธองคต์ รสั แสดงไวใ้ หฟ้ งั มาเฉพาะพระพกั ตร์ และทรงจาํ ถา่ ยทอดกนั มาเป็นอย่างดดี ว้ ยมขุ ปาฐะ ๓. ในการสงั คายนานน้ั ใหค้ ณะสงฆท์ เ่ี ขา้ ร่วมประชุมทง้ั หมด ช่วยกนั ในการตรวจตราอรรถดว้ ยอรรถ พยญั ชนะดว้ ยพยญั ชนะ กล่าวคือมีภิกษุรูปหน่ึงเป็นผูม้ ีหนา้ ท่ีสวดสาธยายใหฟ้ งั คณะสงฆท์ ่ีเหลอื ร่วมกนั พจิ ารณาความถกู ตอ้ งเหมาะสมกนั ของอรรถ (ความหมาย) และพยญั ชนะ (คาํ ศพั ท)์ หมายความว่าท่ปี ระชุมตก ลงกนั ว่าพระศาสดาตรสั ไวอ้ ย่างไร (พยญั ชนะ) และความหมายว่างอย่างไร (อรรถ) เมอ่ื ไดข้ อ้ ยุตแิ ลว้ เปล่งวาจา สวดสาธยายข้นึ ใหพ้ รอ้ มกนั และใหต้ รงกนั เพอ่ื เป็นการทบทวนมตใิ นเรอ่ื งนนั้ ๆ การทาํ สงั คายนาจึงเป็นการรกั ษา คาํ สอนเอาไวใ้ หแ้ มน่ ยาํ ท่สี ุด ไมใ่ ช่เป็นการแกไ้ ขใหค้ ลาดเคลอ่ื นหรอื เพม่ิ เตมิ ความพอใจ ๔. การทาํ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั นน้ั เป็นวธิ ที จ่ี ะทาํ ใหพ้ ระศาสนาดาํ รงมนั่ คงอยู่ได้ ไม่กลายเป็นอย่าง อ่นื จากสง่ิ ทพ่ี ระศาสดาไดต้ รสั สอนใหผ้ ูเ้ผยแผพ่ ระธรรมวนิ ยั รุ่นต่อๆ มา จากพระศาสดาไดต้ รสั ไว้ และใหค้ าํ พดู นนั้ มคี วามหมายอย่างเดียวกนั กบั ทพ่ี ระศาสดาทรงหมายถงึ ทงั้ น้ีก็เพอ่ื ใหพ้ รหมจรรยค์ ือพระพทุ ธศาสนาน้ีตงั้ มนั่ ยงั่ ยนื นาน อาํ นวยประโยชนส์ ุขแก่ชาวโลกทงั้ มวล การสงั คายนานนั้ ตอ้ งใหร้ ูว้ ่าเป็นการท่ีจะรกั ษาคาํ สอนเดิมเอาไวใ้ หแ้ ม่นยาํ ท่ีสุด ไม่ใช่ว่าพระภิกษุท่ี สงั คายนามสี ิทธ์ิเอาความคิดเหน็ ของตนใส่ลงไป การสงั คายนาก็คือการมาทบทวนซกั ซอ้ มตรวจสอบคมั ภรี ใ์ ห้ ตรงตามของเดิม และซกั ซอ้ มตรวจสอบคนท่ไี ปทรงจาํ หรือไปนบั ถืออะไรต่าง ๆ ท่อี าจจะผดิ เพ้ยี นไป ใหม้ า ทบทวนตวั เอง ใหม้ าซกั ซอ้ มกบั ท่ีประชุม ใหม้ าปรบั ความเห็น ความเช่ือ การปฏิบตั ิของตน ใหต้ รงตาม ๕๘ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๙๔-๑๒๙/๑๒๘-๑๖๖.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พระไตรปิฎกท่รี กั ษากนั มาอย่างแม่นยาํ กระบวนการรกั ษาสบื ทอดโดยมุขปาฐะหลงั พทุ ธกาล จึงมกี ารท่องจาํ โดยการทาํ สงั คายนาธรรมวนิ ยั ใหเ้ป็นหมวดหมู่ ตง้ั แต่สงั คายนาครง้ั ท่ี ๑-๓ ดงั น้ี ๖.๓.๒.๑ การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ภายหลงั ท่พี ระพทุ ธองค์ ไดเ้ สด็จดบั ขนั ธปรินิพพานไปแลว้ ทาํ ใหเ้ หล่าพระภกิ ษุสงฆท์ ่เี ป็นพระเสขะ บุคคลต่างเศรา้ โศก เสียใจ ไม่มสี มาธิท่จี ะปฏบิ ตั ิธรรมพากเพียรในการศึกษาธรรมเหมอื นกบั บุตรผูข้ าดบดิ า มารดา เมอ่ื พระบรมครูทรงเสดจ็ ดบั ขนั ธป์ รนิ ิพพานไปเช่นน้ี ก็เหมอื นกบั กาํ ลงั ใจ ท่จี ะทาํ ความดีหมดส้นิ ไปดว้ ย ในช่วงทป่ี ระชมุ เพลงิ พระบรมสรรี ะศพของพระพทุ ธเจา้ นน้ั ไดก้ ม็ พี ระภกิ ษุผูเ้ฒ่ารูปหน่ึง ช่อื ว่าสุภทั ทะ ไดก้ ล่าว ทกั ทว้ งหา้ มไม่ใหใ้ ครเศรา้ โศกหาพระพทุ ธองค์ ผูเ้สด็จดบั ขนั ธป์ รินิพพานไปแลว้ นน้ั ใหพ้ วกภกิ ษุทงั้ หลายดีใจ กบั การจากไปของพระพทุ ธองค์ ท่านเศรา้ โศกไปทาํ ไม ควรจะดีใจท่พี ระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ปรินิพพานแลว้ เพราะว่า เมอ่ื สมยั ก่อนเราจะทาํ จะพดู จะคิดอะไรกไ็ ม่ไดเ้ป็นอิสระแห่งตนเอง กระทาํ ความผดิ พลาดอะไรๆ กม็ กั ถูกตาํ หนิ ตเิ ตยี น โดยใจความว่า “พอทเี ถดิ พวกท่านอย่าโศกเศรา้ อย่าคราํ่ ครวญเลย พวกเรารอดพน้ ดแี ลว้ จากพระมหา สมณะรูปนนั้ ท่คี อยจาํ้ จ้ีจาํ ไชพวกเราอยู่ว่า ส่งิ น้ีควรแก่เธอ ส่งิ น้ีไม่ควรแก่เธอบดั น้ีพวกเราปรารถนาสง่ิ ใด กจ็ กั ทาํ ส่งิ นนั้ ไม่ปรารถนาส่งิ ใด ก็จกั ไม่ทาํ ส่งิ นน้ั ”๕๙ ต่อมาความเร่ืองน้ี ก็ทราบถึงพระมหากสั สปะ เม่อื ท่านไดย้ ิน ถอ้ ยคาํ กลา่ วอย่างนนั้ มคี วามรูส้ กึ เป็นห่วงต่อภยั พระพทุ ธศาสนาอย่างยง่ิ จงึ ปรารภขอมตติ ่อทท่ี ่ามกลางสงฆว์ ่า “พวกเราควรทาํ สงั คายนาธรรมวนิ ยั กนั เถดิ ภายหนา้ สภาวะมใิ ช่ธรรมจะรุ่งเรือง ธรรมจะเส่อื มถอย สภาวะมใิ ช่ วนิ ยั จะรุ่งเรอื ง วนิ ยั จะเสอ่ื มถอย ภายหนา้ อธรรมวาทบี ุคคลจะมกี าํ ลงั ธรรมวาทบี ุคคลจะเส่อื มกาํ ลงั อวนิ ยั วาที บคุ คลจะมกี าํ ลงั วนิ ยั วาทบี คุ คลจะเส่อื มกาํ ลงั ลง” ๖๐ เพราะมองนยั ท่พี ระองคม์ ไิ ดม้ อบอาํ นาจแห่งการปกครอง ใหแ้ ก่ใครเลย ดงั พทุ ธพจนท์ ่ที รงตรสั กบั พระอานนทว์ ่า “อานนท์ ธรรมวนิ ยั ใดท่เี ราแสดงบญั ญตั ิไวแ้ ก่พวกเธอ ธรรมวนิ ยั นนั้ จกั เป็นศาสดาของพวกเธอทง้ั หลาย เมอ่ื เราส้นิ ไป”๖๑ ในการทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ น้ี ไดเ้รม่ิ ตน้ สงั คายนาพระวนิ ยั เป็นเบ้อื งตน้ เพราะถอื ว่าพระวนิ ยั กค็ ืออายุ ของพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื พระวนิ ยั คงอยู่พระศาสนากช็ ่อื วา่ ยงั คงอยู่ โดยท่พี ระมหากสั สปะเป็นผูซ้ กั ถามพระวนิ ยั แลว้ พระอบุ าลเี ป็นผูต้ อบ สว่ นพระธรรมนน้ั พระอานนทเ์ ป็นผูต้ อบ หลงั จากนนั้ พระอานนทไ์ ดเ้สนอใหท้ ่ปี ระชมุ รบั ทราบถงึ พระบรมพทุ ธานุญาตท่พี ระพทุ ธองคท์ รงตรสั กบั พระอานนทว์ ่า “อานนท์ เมอ่ื เราลว่ งลบั ไปแลว้ สงฆ์ ยงั หวงั อยู่จะพงึ ถอนสิกขาบทเลก็ นอ้ ยก็ได”้ ๖๒ และดว้ ยสาเหตุท่พี ระอานนทย์ กประเด็นข้นึ มาบอกกลา่ วเท่านนั้ ทาํ ใหเ้ หล่าพระอรหนั ตบ์ างรูปปรึกษาหารือว่าอะไรคือสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย แลว้ จะกาํ หนดบทไหนอย่างไรท่จี ะพึง เพิกถอนไดบ้ า้ ง หลงั จากท่มี คี วามคิดแตกต่างกนั ไปนานาประการจนหาท่สี ุดแห่งขอ้ ยุติมไิ ด้ เพ่อื ป้องกนั วาทะ ของบุคคลนอกศาสนากล่าวไดว้ ่าสกิ ขาบทท่พี ระสมณโคดมทรงบญั ญตั ขิ ้นึ อยู่ตราบเท่าทพ่ี ระองคท์ รงมชี วี ติ อยู่ เทา่ นนั้ จะมรี ะยะยาวเหมอื นควนั ไฟทจ่ี างหายไปงา่ ย ส้นิ พระองคก์ ็เหมอื นส้นิ ทกุ อย่าง ดงั นนั้ พระมหากสั สปะผู้ ๕๙ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๗๗/๓๓๖. ๖๐ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๗๗/๓๓๖. ๖๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. ๖๒ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๑/๓๘๒.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เป็นประธานสงฆ์ จึงประกาศใหส้ งฆท์ ราบดว้ ยญตั ติทุติยกรรมวาจาว่า “ท่านทง้ั หลาย ขอสงฆจ์ งฟงั ขา้ พเจา้ สกิ ขาบทของพวกเราทป่ี รากฏแก่คฤหสั ถม์ อี ยู่แมพ้ วกคฤหสั ถก์ ร็ ูว้ ่าส่งิ น้ีควรแก่พระสมณะเช้อื สายศากยบุตรส่งิ น้ี ไม่ควร ถา้ พวก เราจกั ถอนสิกขาบทเล็กนอ้ ยเสีย จกั มผี ูก้ ล่าวว่า พระสมณโคดมบญั ญตั ิสิกขาบทแก่สาวก ทง้ั หลายชวั่ คราว พระศาสดาของพระสมณะเหลา่ น้ียงั ดาํ รงอยูต่ ราบใดสาวกเหลา่ น้ี ยงั ศึกษาในสกิ ขาบททงั้ หลาย ตราบนนั้ เพราะเหตทุ ่พี ระศาสดาของพระสมณะเหลา่ น้ีปรนิ ิพพานแลว้ พระสมณะเหล่าน้ีจึงไม่ศึกษาในสกิ ขาบท ทง้ั หลาย ในกาลบดั น้ี ถา้ ความพรอ้ มพรงั่ ของสงฆถ์ งึ ทส่ี ุดแลว้ สงฆไ์ มพ่ งึ บญั ญตั ิ ส่งิ ท่ไี มท่ รงบญั ญตั ิ ไมพ่ งึ ถอน พระบญั ญตั ทิ ท่ี รงบญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ พงึ สมาทานประพฤติในสกิ ขาบททง้ั หลายตามทท่ี รงบญั ญตั ิแลว้ น่ีเป็นญตั ติ”๖๓ พระมหากสั สปะ ยงั ไดส้ วดซาํ้ และถามสงฆว์ ่า “การไม่บญั ญตั ิส่งิ ไม่ทรงบญั ญตั ิไม่ถอนพระบญั ญตั ิท่ี ทรงบญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ สมาทานประพฤตใิ นสกิ ขาบททง้ั หลายตามทท่ี รงบญั ญตั แิ ลว้ ชอบแก่ผูใ้ ด ท่านผูน้ นั้ พงึ เป็นผู้ น่ิง ไม่ชอบใจแก่ผูใ้ ด ขอผูน้ น้ั พึงพูด” ผลปรากฏว่าไม่มใี ครพูดอะไรเลยทุกรูปน่ิงเงยี บ ในท่สี ุดเม่อื ไม่มใี คร คดั คา้ นเลย พระมหากสั สปะจึงใชอ้ าํ นาจสงฆท์ งั้ หมดใหส้ งฆย์ อมรบั ขอ้ มติดงั กล่าว จึงสวดสรุปว่า “สงฆไ์ ม่ บญั ญตั สิ ง่ิ ไมท่ รงบญั ญตั ิ ไมถ่ อนพระบญั ญตั ทิ ท่ี รงบญั ญตั ิไวแ้ ลว้ สมาทานประพฤติในสกิ ขาบททงั้ หลายตามท่ี ทรงบญั ญตั แิ ลว้ ชอบแก่สงฆ์ เหตนุ นั้ จงึ น่ิง ขา้ พเจา้ ทรงความน้ีไวด้ ว้ ยอย่างน้ี” หลงั จากนนั้ พระอานนทไ์ ดเ้สนอ ใหท้ ่ปี ระชุมรบั ทราบถึงพระบรมพุทธานุญาตท่พี ระพุทธองคท์ รงตรัสกบั พระอานนทว์ ่า “ดูก่อนอานนทเ์ ม่อื เรา ลว่ งลบั ไปแลว้ สงฆย์ งั หวงั อยูจ่ ะพงึ ถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยกไ็ ด้ ๖๔ และดว้ ยสาเหตทุ พ่ี ระอานนทย์ กประเด็นข้นึ มา บอกกลา่ วเทา่ นนั้ ทาํ ใหเ้หลา่ พระอรหนั ต์ บางรูปทาํ การปรึกษาหารอื ว่าอะไรคือสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย แลว้ จะกาํ หนด บทไหนอย่างไรท่จี ะพงึ เพกิ ถอนไดบ้ า้ ง หลงั จากท่มี คี วามคิดแตกต่างกนั ไปนานาประการจนหาท่สี ุดแห่งขอ้ ยุติ มไิ ด้ เพอ่ื ป้องกนั วาทะของบคุ คลนอกศาสนากลา่ วไดว้ ่า สกิ ขาบททพ่ี ระสมณโคดมทรงบญั ญตั ิข้นึ อยู่ตราบเท่าท่ี พระองคท์ รงมชี ีวติ อยู่เท่านนั้ จะมรี ะยะยาวเหมอื นควนั ไฟท่ีจางหายไปง่าย ส้ินพระองค์ก็เหมอื นส้นิ ทุกอย่าง ดงั นนั้ พระมหากสั สปะผูเ้ป็นประธานสงฆ์ จึงประกาศใหส้ งฆท์ ราบดว้ ยญตั ติทุติยกรรมวาจาว่า ท่านทงั้ หลาย ขอสงฆจ์ งฟงั ขา้ พเจา้ สกิ ขาบทของพวกเราทป่ี รากฏแก่คฤหสั ถม์ อี ยู่แมพ้ วกคฤหสั ถก์ ็รูว้ ่าส่งิ น้ีควรแก่พระสมณะ เช้อื สายศากยบุตรสง่ิ น้ีไมค่ วร ถา้ พวก เราจกั ถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยเสยี จกั มผี ูก้ ล่าวว่า พระสมณโคดมบญั ญตั ิ สกิ ขาบทแก่สาวกทงั้ หลายชวั่ คราว พระศาสดาของพระสมณะเหล่าน้ียงั ดาํ รงอยู่ตราบใดสาวกเหลา่ น้ี ยงั ศึกษาใน สกิ ขาบททง้ั หลายตราบนนั้ เพราะเหตุท่พี ระศาสดาของพระสมณะเหล่าน้ีปรินิพพานแลว้ พระสมณะเหล่าน้ีจึงไม่ ศึกษาในสกิ ขาบททง้ั หลาย ในกาลบดั น้ี ถา้ ความพรอ้ มพรงั่ ของสงฆถ์ งึ ท่สี ุดแลว้ สงฆไ์ ม่พึงบญั ญตั ิ ส่งิ ท่ไี ม่ทรงบญั ญตั ิ ไม่พึง ถอนพระบญั ญตั ิท่ที รงบญั ญตั ิไวแ้ ลว้ พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททงั้ หลายตามท่ที รงบญั ญตั ิแลว้ น่ีเป็น ญตั ติ ๖๕ ๖๓ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๒/๓๘๒–๓๘๓. ๖๔ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๑/๓๘๒. ๖๕ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๒/๓๘๒–๓๘๓.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๗๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พระมหากสั สปะ ยงั ไดส้ วดซาํ้ และถามสงฆว์ ่า การไม่บญั ญตั ิส่งิ ไม่ทรงบญั ญตั ิ ไม่ถอนพระบญั ญตั ิท่ี ทรงบญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ สมาทานประพฤตใิ นสกิ ขาบททง้ั หลายตามท่ที รงบญั ญตั ิแลว้ ชอบแก่ผูใ้ ด ท่านผูน้ นั้ พงึ เป็นผู้ น่ิง ไม่ชอบใจแก่ผูใ้ ด ขอผูน้ นั้ พึงพูด ผลปรากฏว่าไม่มใี ครพูดอะไรเลยทุกรูปน่ิงเงียบ ในท่ีสุดเม่อื ไม่มใี คร คดั คา้ นเลย พระมหากสั สปะจึงใชอ้ าํ นาจสงฆท์ ง้ั หมดใหส้ งฆย์ อมรบั ขอ้ มติดงั กล่าว จึงสวดสรุปว่า สงฆไ์ ม่ บญั ญตั ิสง่ิ ไม่ทรงบญั ญตั ิ ไม่ถอนพระบญั ญตั ทิ ท่ี รงบญั ญตั ิไวแ้ ลว้ สมาทานประพฤติในสกิ ขาบททง้ั หลายตามท่ี ทรงบญั ญตั แิ ลว้ ชอบแก่สงฆ์ เหตนุ นั้ จงึ น่ิง ขา้ พเจา้ ทรงความน้ีไวด้ ว้ ยอยา่ งน้ี ๖๖ เมอ่ื ปญั หาเกย่ี วกบั สกิ ขาบทขอ้ เลก็ นอ้ ยจบลงเท่านน้ั พระเถระหลายรูปต่างมคี วามคิดเหน็ เช่นเดยี วกนั ว่า พระอานนท์ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฎ ๕ สถาน๖๗ ไดแ้ ก่ ๑. ไมท่ ูลถามใหช้ ดั เจนวา่ สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยคืออะไรบา้ ง ๒. เหยยี บผา้ อาบนาํ้ ฝนของพระพทุ ธเจา้ ๓. ปลอ่ ยใหส้ ตรถี วายบงั คมพระสรีระศพก่อน ๔. ไมท่ ลู วงิ วอนใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ใหท้ รงมอี ายุต่อไป ๕. ดาํ เนินการใหส้ ตรบี วชในพระบวรพทุ ธศาสนา ในขณะเดียวกนั นนั้ พระอานนท์ ก็ยนิ ดีนอ้ มรบั อาบตั ิเหล่านน้ั ดว้ ยความเกรงใจพระเถระ และได้ ช้แี จงขอ้ สงสยั ทต่ี นตอ้ งทาํ ไปเพราะเหตุผล คอื ๑. ระลกึ ไมไ่ ด้ ๒. เหยยี บผา้ อาบนาํ้ ฝนดว้ ยความเคารพ ๓. สตรไี มค่ วรอยู่ในเวลาดกึ มดื ๔. ถกู มารดลใจ ๕. พระนางปชาบดเี ป็นผูท้ รงคุณูปการต่อพระพทุ ธองคอ์ ยา่ งยง่ิ ส่วนพระปุราณะพรอ้ มดว้ ยพระภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ท่องเท่ยี วไปในทกั ษณิ าคิรชี นบทไปพกั อยู่ท่ี วดั เวฬวุ นั ในกรุงราชคฤห์ ไดท้ ราบขา่ วพระมหาเถระไดท้ าํ สงั คายนาโดยมพี ระมหากสั สปะเป็นประธาน และพระ เถระเหลา่ นน้ั ก็บอกว่าขอใหท้ ่านรบั รองขอ้ ท่ที าํ สงั คายนาครงั้ น้ีดว้ ย นบั ว่าเป็นประเดน็ น่าสนใจกลา่ วคือมคี วาม แตกแยกแนวความคิดเห็นกนั บา้ งแลว้ เพราะพระปุราณะ ตอบว่า พระธรรมวินยั เป็นอนั พระเถระทง้ั หลาย สงั คายนาดีแลว้ แต่ยงั มบี างสกิ ขาบทท่ผี มไดร้ บั ฟงั มาจากพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ต่อพระพกั ตร์ ขา้ พเจา้ กจ็ ะถอื ขอ้ ปฏบิ ตั อิ ย่างนน้ั คือจะปฏบิ ตั ติ ามไดย้ นิ ไดฟ้ งั มา ไดแ้ ก่ ๑. การเกบ็ สง่ิ ของมเี กลอื นาํ้ มนั ขา้ วสาร เป็นตน้ ไวภ้ ายในทอ่ี ยู่ ๒. การปรุงอาหารภายในทอ่ี ยู่ ๓. การปรุงอาหารดว้ ยตนเอง ๖๖ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๒/๓๘๒–๓๘๓. ๖๗ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๓/๓๘๔.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๔. การหยบิ สง่ิ ของทย่ี งั ไมไ่ ดร้ บั ประเคน ๕. สง่ิ ของทน่ี าํ มาจากทน่ี ิมนต์ ๖. สง่ิ ของทร่ี บั ประเคนไวก้ ่อนถงึ เวลาฉนั ๗. สง่ิ ของทเ่ี กดิ ในป่า ๘. สง่ิ ของทเ่ี กดิ ในสระ ๖๘ ผลท่เี กดิ จากการทาสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ๑. ไดร้ อ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั เขา้ เป็นหมวดหมใู่ หเ้ป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย ๒. การปฏิบตั ิของพระอานนท์และการลงพรหมทณั ฑ์พระฉันนะเป็นตวั อย่าง ดีช้ีถึงหลกั ประชาธปิ ไตยและธรรมาธปิ ไตยอย่างแจง้ ชดั ๓. ทาํ ใหค้ าํ สงั่ สอนของพระพทุ ธองคด์ าํ รงมนั่ และไดต้ กทอดมาถงึ ทกุ วนั น้ี ๔. แสดงถงึ ความสามคั คีของพระภกิ ษุสงฆท์ ไ่ี ดพ้ รงั่ พรอ้ มกนั ทาํ สงั คายนาเป็นตวั อย่างท่ดี จี นไดถ้ อื เป็นตวั อยา่ งในการทาํ สงั คายนาในการต่อมา ๕. เป็นการยอมรบั มตขิ องพระมหากสั สปเถระ ใหค้ งเถรวาทไว้ การทาํ ปฐมสงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ ใชส้ ถานท่ที าํ คือถาํ้ สตั ตบรรณคูหา ขา้ งเขาเวภาระบรรพต ใกลก้ รุงรา ชคฤห์ โดยองคอ์ ปุ ถมั ภ์ คือพระเจา้ อชาตศตั รู มพี ระมหากสั สปเถระ ไดร้ บั เลอื กเป็นประธาน และเป็นผูซ้ กั ถาม พระธรรมวนิ ยั พระอบุ าลเี ถระเป็นผูต้ อบขอ้ ซกั ถามทางพระวนิ ยั พระอานนทเ์ ถระเป็นผูต้ อบขอ้ ซกั ถามทางพระ ธรรม มพี ระอรหนั ตเ์ ขา้ ประชมุ เป็นสงั คตี กิ ารกสงฆ์ หรอื สงฆผ์ ูเ้ป็นคณะกรรมการทาํ สงั คายนา จาํ นวน ๕๐๐ รูป ใชร้ ะยะเวลา ๗ เดอื น จงึ สาํ เรจ็ ในเร่ืองสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ มหี ลกั ฐานในวนิ ยั ปิฎกทก่ี ล่าวถงึ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ และครงั้ ท่ี ๒ ไม่มี กลา่ วถงึ คาํ วา่ ไตรปิฎก แต่ถา้ กลา่ วตามหลกั ฐานท่ปี รากฏในหนงั สอื สมนั ตปาสาทกิ า ซ่งึ แต่งข้นึ อธิบายวนิ ยั ปิฎก เมอ่ื พทุ ธปรนิ ิพพานล่วงแลว้ เกือบพนั ปี ท่านไดก้ ลา่ วไวช้ ดั เจนในหนา้ ๒๘, ๒๙, และ ๓๓ ว่าการทาํ สงั คายนา จดั ประเภทพระพุทธวจนะเป็นรูปพระไตรปิฎก ไดม้ มี าแลว้ ตง้ั แต่สงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ แมค้ รงั้ ท่ี ๒ ก็ทาํ ซาํ้ อีก เพราะฉะนนั้ ถา้ ถือตามหลกั ฐานของคมั ภีรช์ นั้ อรรถกถา การสงั คายนาจดั ระเบยี บเป็นรูปพระไตรปิฎก ก็มี มาแลว้ ตงั้ แต่การทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ เป็นตน้ มา ๖.๓.๒.๒ การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ เมอ่ื พระสาวกทง้ั หลายไดก้ ระทาํ การสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครง้ั ๒ เสร็จแลว้ ช่วงระยะเวลาก่อนจะ ถึงการสงั คายนาครงั้ ๓ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐-๒๐๐ พระพุทธศาสนาเร่ิมแตกแยกเป็นฝกั ฝ่ าย จนลุกลาม กลายเป็นมหาเภท คือ การแตกแยกครงั้ ใหญ่ สาเหตุมาจากพวกภิกษุวชั ชีบุตรชาวกรุงเวสาลพี ากนั ประพฤติ สมาทานวตั ถุ ๑๐ ประการ จนถูกท่านพระยสกากณั ฑบุตรกบั พวกขบั ออกจากคณะสงฆ์ แลว้ พระมหาเถระ ทง้ั หลายไดม้ มี ติใหก้ ระทาํ การสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครง้ั ท่ี ๒ โดยฝ่ายของพวกภกิ ษุวชั ชบี ุตร เมอ่ื ถูกขบั ออก ๖๘ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๗๔–๒๗๘/๗๐–๗๗.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง จากคณะสงฆเ์ ดมิ ก็ไดไ้ ปรวมตวั กนั ทก่ี รุงโกสมั พีรวบรวมพรรคพวกไดป้ ระมาณ ๑๐,๐๐๐รูป ไดท้ าํ สงั คายนา แขง่ กบั ฝ่ายพระมหาเถระทง้ั หลาย การสงั คายนาของภกิ ษุวชั ชีบุตรนน้ั มพี ระภกิ ษุเขา้ ร่วมมากทส่ี ุดเป็นประวตั ิการณจ์ งึ เรยี กว่า “มหา สงั คีต”ิ หรอื “มหาสงั ฆกิ สงั คายนา” แลว้ เรียกคณะสงฆข์ องตนว่า “มหาสงั ฆิกะ” หรอื “มหาสงั คีติกะ” นบั แต่นน้ั มาพระพทุ ธศาสนากเ็ รม่ิ แตกแยกเป็น ๒ ฝ่าย ๖๙ คือ ๑. นิกายเถรวาท นิกายเดิมในพระพุทธศาสนา ยึดหลกั ธรรมคาํ สอนเดิมโดยไม่มีการประยุกต์ เปลย่ี นแปลง เพ่มิ เติม หรอื ตดั ทอนแต่ประการใด หมายถงึ กลุม่ พระเถระท่กี ระทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ มพี ระย สกากณั ฑกบตุ รเถระ เป็นตน้ ๒. นิกายมหาสงั ฆิกวาท นิกายท่ีแยกออกจากนิกายเดิม คือพวกภิกษุวชั ชีบุตรมีการประยุกต์ เปล่ยี นแปลง เพ่มิ เติม และตดั ทอนพระพุทธพจน์ ตามความเห็นชอบของพวกตน น่ีเป็นจุดเร่ิมแรกของการ แตกแยกนิกาย ซง่ึ เกดิ ข้นึ ในช่วง พ.ศ.๑๐๐ อนั เป็นปีทก่ี ระทาํ ทตุ ยิ สงั คายนา วตั ถทุ งั้ ๑๐ ประการน้ี ภกิ ษุวชั ชีบุตร ชาวเมอื งเวสาลี ประพฤติมานานแลว้ เพราะเป็นท่ยี อมรบั นบั ถือของชาวบา้ น ชาวบา้ นเองไม่มีความรูส้ กึ ว่าท่านเหล่านน้ั ทาํ ผิดแต่ประการใด จึงมกี ารถวายทองเงนิ แก่ พระภิกษุ โดยการประเคนใหท้ ่านรบั อย่างวตั ถุท่เี ป็นกปั ปิยะ ในท่สี ุดพระเถระอรหนั ตจ์ ากเมืองปาฐา ๖๐ รูป จากแควน้ อวนั ตี และทกั ษณิ าบถ ๘๐ รูปไดไ้ ปประชมุ ร่วมกบั พระสาณสมั ภตู วาสี และพระยสกากณั ฑกบุตร ณ เมอื งเวสาลี มติของทป่ี ระชุมเหน็ ร่วมกนั ว่าเร่ืองน้ีจะตอ้ งมกี ารชาํ ระใหเ้รยี บรอ้ ยโดยตกลงใหไ้ ปอาราธนาพระเร ตเถระ ซ่งึ เป็นพระอรหนั ตท์ ่เี ป็นพหูสูต ชาํ นาญในพระธรรมวนิ ยั ทรงธรรมวินัยมาติกา ฉลาดเฉียบแหลม มี ความละอายบาป รงั เกยี จบาป ใครต่อสกิ ขา และเป็นนกั ปราชญใ์ หเ้ป็นประธานในการวนิ ิจฉยั ตดั สนิ เร่อื งวตั ถุ ทง้ั ๑๐ ประการ ปรากฎในพระวนิ ยั ปิฎก สตั ตสตกิ ขนั ธกะ คือ ๗๐ ๑. สิงคิโลณกปั ปะ คือ เก็บเกลือในเขาสตั ว์ (เขนง) เอาไวฉ้ นั กบั อาหารได้ (ความจริงตอ้ งอาบตั ิ ปาจติ ตยี ์ เพราะเมอ่ื เกบ็ ไวค้ า้ งคืนแลว้ นาํ มาปนกบั อาหาร อาหารนน้ั กเ็ หมอื นคา้ งคนื ดว้ ย) ๒. ทวงั คุลกปั ปะ คือ ตะวนั ชายไปแลว้ ๒ น้ิว ฉนั อาหารได้ (ความจรงิ ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตีย์ เพราะฉนั อาหารในเวลาวกิ าล คอื เทย่ี งไปแลว้ ) ๓. คามนั ตรกปั ปะ คือ ภกิ ษุฉนั อาหารในทน่ี ิมนตจ์ นบอกพอไม่รบั อาหารทเ่ี ขาเพม่ิ เตมิ แลว้ คิดว่าจะเขา้ บา้ น ฉนั อาหารทไ่ี มเ่ ป็นเดนได้ (ความจรงิ ไมไ่ ด้ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี )์ ๔. อาวาสกปั ปะ คอื ภกิ ษุอยูใ่ นสมี าเดยี วกนั ทาํ อโุ บสถแยกกนั ได้ (ความจรงิ ไมไ่ ดต้ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฎ) ๕. อนุมติกปั ปะ คือสงฆย์ งั มาประชุมไม่พรอ้ มกนั แต่ครบจาํ นวนพอจะทาํ กรรมได้ ก็ ควรทาํ ไปก่อนได้ แลว้ ขออนุมตั หิ รอื ความเหน็ ชอบจากภกิ ษุผูม้ าทหี ลงั (ความจรงิ ไมไ่ ด้ ไมค่ วร) ๖๙ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/[๕๒]. ๗๐ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๖/๓๙๓.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๖. อาจณิ ณกปั ปะ คือ เร่อื งอปุ ชั ฌายะอาจารยเ์ คยประพฤตมิ าแลว้ ใชไ้ ด้ (ความจริงถา้ ถูกก็ใชไ้ ด้ ถา้ ผดิ กใ็ ชไ้ มไ่ ด)้ ๗. อมถติ กปั ปะ คือ นมสดท่แี ปรแลว้ แต่ยงั ไม่เป็นนมสม้ ภกิ ษุฉนั ในท่นี ิมนต์ จนบอกไมร่ บั อาหารท่ี เขาถวายเพม่ิ ใหแ้ ลว้ คงด่มื นมนนั้ ได้ (ความจรงิ ไมไ่ ด้ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี )์ ๘. ชโลคปิ าตกุ ปั ปะ คือ นาํ้ เมาอย่างอ่อนทม่ี รี สเมาเจอื อยู่นอ้ ย ไม่ถงึ กบั จะทาํ ใหเ้มา ควรด่มื ได(้ ความ จรงิ ไมค่ วร) ๙. อทสกนิสที นะ คือ ผา้ ปนู งั่ ทไ่ี มม่ ชี าย ควรใชไ้ ด้ (ความจรงิ ไมค่ วร) ๑๐. ชาตรูปรชตะ คอื ทองเงนิ ควรรบั ได๗้ ๑ (ความจรงิ ไมค่ วร ถา้ รบั ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี )์ การทาํ ทุติยสงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ น้ี ปรารภเร่ืองท่พี วกภกิ ษุวชั ชีบุตรแสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ กระทาํ ท่ี วาลกิ าราม เมอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี โดยมอี งคอ์ ปุ ถมั ภ์ คือ พระเจา้ กาลาโศกราช พระยสกากณั ฑกบุตรมหาเถระ เป็นประธาน และพระเรวตเถระ เป็นผูป้ ุจฉาพระธรรมวนิ ยั พระสพั พกามเี ถระเป็นผูว้ สิ ชั นา มพี ระอรหนั ตเ์ ขา้ ประชมุ เป็นสงั คีตกิ ารกสงฆจ์ าํ นวน ๗๐๐ รูป ใชร้ ะยะเวลานานถงึ ๘ เดอื น การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ มรี ายละเอียดของการทาํ สงั คายนาครง้ั น้ี ปรากฏในวินยั ปิฎก เล่มท่ี ๗ หนา้ ๓๙๖ ไมไ่ ดก้ ลา่ วถงึ การจดั ระเบยี บพระไตรปิฎกคงกลา่ วเฉพาะการชาํ ระขอ้ ถอื ผดิ ๑๐ ประการของพวกภกิ ษุวชั ชบี ตุ ร ทง้ั ไมไ่ ดบ้ อกว่าทาํ สงั คายนาอยูน่ านเทา่ ไร แต่ในอรรถกถา กลา่ ววา่ ทาํ อยู่ ๘ เดอื นจงึ สาํ เรจ็ ๖.๓.๒.๓ การสงั คายนา ครง้ั ท่ี ๓ การทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๘ ปี (บางแห่งว่า ๒๓๔ ปี บางแห่งว่า ๒๘๗ ปี) อนุมานเอาว่า ในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ พระสงั คีตกิ าจารยท์ งั้ หลายไดบ้ รรจุเร่อื งการสงั คายนา ๒ ครงั้ ท่ผี ่านมาเขา้ ไวใ้ นพระ วนิ ยั ปิฎก จูฬวรรค จากหลกั ฐานในคมั ภีรม์ หาวงศ์ ในรชั สมยั พระเจา้ อโศกมหาราชไดม้ ีเดียรถียป์ ลอมเขา้ มาบวชใน พระพทุ ธศาสนา เพราะเหน็ ว่าพระพทุ ธศาสนามลี าภสกั การะมากจนพระสงฆเ์ กิดรงั เกยี จกนั เพราะไม่รูว้ ่าใครเป็น ใคร โดยมพี ระโมคคลบี ตุ รตสิ สเถระเป็นประธาน เลอื กพระจาํ นวน ๑,๐๐๐ รูป ทาํ ท่อี โศการาม เมอื งปาฏลบี ตุ ร พระเจา้ อโศกมหาราชเป็นองคอ์ ปุ ถมั ภ์ เร่มิ ทาํ เมอ่ื พ.ศ.๒๓๔ ใชเ้วลา ๙ เดือน จึงสาํ เร็จ นอกจากน้ี พระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สเถระไดส้ ่งพระเถระพรอ้ มดว้ ยบรวิ ารใหไ้ ปเผยแพร่ศาสนาในสว่ นต่าง ๆ รวม ๙ สาย ดงั น้ี๗๒ ๑. สายพระมชั ฌนั ติกะ ไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ณ แควน้ กศั มรี ะ และคนั ธาระ ปจั จุบนั ไดแ้ ก่ ดนิ แดนแถบตะวนั ตกเฉียงเหนือของอนิ เดยี เลยเขา้ ไปถงึ บางสว่ นของอฟั กานิสถาน ๒. สายพระมหาเทวะ ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ แควน้ มหสิ มณฑล ปจั จุบนั ไดแ้ ก่แควน้ ไมซอร์ หรอื มานธาตา และดนิ แดนแถบลุ่มแมน่ าํ้ โคธาวรี อยู่ทางภาคใตข้ องอนิ เดยี ๗๑ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๕๐/๔๐๐. ๗๒ เสถยี ร โพธินนั ทะ, ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๒), หนา้ ๑๘๕-๒๘๘.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๓. สายพระรกั ขติ ะ ไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ณ วนวาสปี ระเทศ ไดแ้ ก่แควน้ กนราเหนือทางภาค ตะวนั ตกเฉียงใตข้ องอนิ เดยี ในคมั ภรี ม์ หาวงศ์ กล่าวว่า ครง้ั นนั้ มอี ารามทางพระพทุ ธสาสนาเกดิ ข้นึ ณ ดินแดน แห่งนน้ั ถงึ ๕๐๐ อาราม ๔. สายพระธรรมรักขิตะ ท่านผูน้ ้ีเป็ นฝรัง่ ชาติกรีก เขา้ ใจว่าเป็ นฝรัง่ คนแร กท่ีบวชใน พระพทุ ธศาสนา ไดไ้ ปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ณ อปรนั ตกชนบทเขา้ ใจว่าเป็นแถวชายทะเลเหนือเมอื งบอมเบย์ ปจั จบุ นั ๕. สายพระมหาธรรมรกั ขติ ะ ไดไ้ ปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แควน้ มหาราษฎร์ ปจั จุบนั ไดแ้ ก่ ดนิ แดนแถบตะวนั ออกเฉียงเหนือหา่ งจากบอมเบย์ ๖. สายพระมหารกั ขติ ะ ไดไ้ ปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ โยนกประเทศ ไดแ้ ก่แควน้ ของฝรงั่ ชาติ กรกี ในทวปี เอเชยี ตอนกลาง เหนือประเทศอิหร่านข้นึ ไปจนถงึ ตรุ กี ๗. สายมชั ฌิมะ และพระเถระอีก ๔ รูป คือ พระกสั สปโคตตะ พระมูลกเทวะ พระ ทนุ ทภสิ สระ พระเทวะ ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ แควน้ ดนิ แดนภเู ขาหมิ าลยั ๘. สายพระโสณะและพระอุตตระ ไดไ้ ปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ สาํ หรบั สุวรรณภูมนิ ้ี นกั โบราณคดีแตกมติเป็น ๔ พวก พวกหน่ึงว่าไดแ้ ก่แควน้ เลก็ ในประเทศอินเดียตะวนั ออกเฉียง ใต้ พวกหน่ึงวา่ ไดแ้ ก่หมเู่ กาะชะวา สุมาตรา พวกหน่ึงว่า ไดแ้ ก่ตอนใตข้ องประเทศพมา่ และพวกหน่ึงว่า ไดแ้ ก่ ดนิ แดนลมุ่ แมน่ าํ้ เจา้ พระยาตอนใตข้ องประเทศไทย มติของสองพวกหลงั น้ีมมี ากกว่าเพอ่ื น แต่ปจั จบุ นั ดูเหมอื น นาํ้ หนกั จะเอนมาทางสุวรรณภมู ิ คือตอนลมุ่ แมน่ าํ้ เจา้ พระยาตอนใตม้ าก ๙. สายพระมหินทเถระ พรอ้ มดว้ ยพระริษฏริยะ, อุทริยะ, สมั พละและภทั ทสาระไปเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา ณ เกาะลงั กาในรชั สมยั ของพระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะ ผูเ้ป็นกษตั รยิ แ์ ห่งเกาะลงั กา การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาของพระธรรมทูตทุกสาย เป็นการไปอย่างเป็นคณะสงฆ์ ซ่งึ สามารถใหก้ าร อปุ สมบทแก่กุลบุตรผูม้ ศี รทั ธาได้ แต่ท่านบอกไวเ้ฉพาะหวั หนา้ ส่วนมากนอกจากสายพระมหนิ ทเถระ สายของ พระมชั ฌิมเถระ และสายของพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ เพราะศาสนาในดินแดนส่วนน้ีมหี ลกั ฐานอาจ สบื คน้ ไดใ้ นปจั จบุ นั เพราะมกี ารสบื ต่อกนั มาไมข่ าดสาย โดยเฉพาะหลกั ฐานท่คี น้ พบท่จี งั หวดั นครปฐม บอกว่า พระโสณเถระกบั พระอตุ ตรเถระมาประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาในดนิ แดนส่วนน้ี เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๗๔-๓๐๔ ซง่ึ เป็น ปีทใ่ี กลเ้คียงกนั กบั หลกั ฐานในทอ่ี ่นื ๆ๗๓ ผลจากการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ๑. สามารถขจดั อลชั ชใี นพระพทุ ธศาสนาได้ และรวมรวมพระธรรมวนิ ยั ใหบ้ รสิ ุทธ์ผิ ดุ ผ่องได้ ๒. มีการรวบรวมแยกพระไตรปิฎกอย่างสมบูรณ์ คือพระวินยั ปิฎก พระสุตตนั ตปิฎก และพระ อภธิ รรมปิฎก โดยเฉพาะไดบ้ รรจคุ มั ภรี ก์ ถาวตั ถเุ ขา้ ในอภธิ รรมปิฎก ๗๓พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐติ ญาโณ), ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราช วทิ ยาลยั , ๒๕๓๖), หนา้ ๑๓๖.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๓. ไดส้ ่งพระมหาเถระออกไปเป็นพระธรรมทูตในเมอื งต่างๆ ถึง ๙ สาย สืบต่อพระพทุ ธศาสนามา จนถงึ ปจั จบุ นั ในนานาประเทศ๗๔ จากการท่ีพระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ่งพระสมณทูตไปประกาศพระพุทธศาสนานน้ั ทาํ ให้ พระพทุ ธศาสนาไดเ้จรญิ แพร่ขยายไปสู่นานาอารยประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ประเทศไทยทไ่ี ดร้ บั อานิสงสข์ อง การกระทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ เป็นอย่างมาก การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ไดก้ ล่าวมาแลว้ ว่า เร่ืองสงั คายนาปรากฏในวินยั ปิฎกมเี พยี ง ๒ ครงั้ คือครง้ั ท่ี ๑ และครงั้ ท่ี ๒ ส่วนเร่ืองการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ มปี รากฏในคมั ภรี ช์ นั้ อรรถกถา มขี อ้ น่าสงั เกตว่า ในการทาํ สงั คายนาครงั้ น้ี พระโมคคลบี ุตรไดแ้ ต่งคมั ภรี ช์ ่อื กถาวตั ถุ ซ่งึ เป็นคมั ภรี ใ์ นพระอภธิ มั มปิฎกเพม่ิ ข้นึ ดว้ ย ตาม ประวตั ิว่าบทตง้ั มอี ยู่เดิมแลว้ แต่ไดแ้ ต่งขยายใหพ้ ิสดารออกไป เร่ืองกถาวตั ถุเป็นเร่อื งคาํ ถามคาํ ตอบเก่ียวกบั หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนามีคาํ ถาม ๕๐๐ และคาํ ตอบ ๕๐๐ เม่อื สงั คายนาเสร็จแลว้ ก็ไดส้ ่งคณะทูตไป ประกาศพระพทุ ธศาสนาในประเทศต่างๆ รวมทง้ั พระมหินทเถระ ผูเ้ ป็นโอรสของพระเจา้ อโศกมหาราช ไดน้ าํ พระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลงั กาเป็นครงั้ แรก การส่งสมณทูตไปยงั ทศิ ต่างๆ นนั้ ถือหลกั ว่าใหไ้ ปครบ ๕ รูป เพ่อื จะไดใ้ หก้ ารอุปสมบทแก่ผูเ้ลอ่ื มใสได้ แต่คงไม่ไดร้ ะบุช่ือหมดทง้ั หา้ โดยมากออกนามเฉพาะท่านผู้ เป็นหวั หนา้ เทา่ นนั้ หนงั สอื สมนั ตปาสาทกิ า ซ่งึ แต่งอธิบายวนิ ยั ปิฎกกล่าวว่า เม่อื ทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ เสร็จแลว้ พ.ศ. ๒๓๖ พระมหนิ ทเถระผูเ้ ป็นโอรสของพระเจา้ อโศกมหาราช พรอ้ มดว้ ยพระเถระอ่ืนๆ รวมกนั ครบ ๕ รูป ได้ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลงั กา ไดพ้ บกบั พระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะ แสดงธรรมใหพ้ ระราชา เล่อื มใส และประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาไดแ้ ลว้ ก็มกี ารประชุมสงฆ์ ใหพ้ ระอริฏฐะผูเ้ป็นศิษยข์ องพระมหินท เถระ สวดพระวินยั เป็นการสงั คายนาวินยั ปิฎก ในปี พ.ศ.๒๓๘ มเี หตุผลท่อี า้ งอิงในการทาํ สงั คายนาครง้ั น้ีคือ เพ่อื ใหพ้ ระศาสนาตงั้ มนั่ เพราะเหตุท่สี งั คายนาครง้ั น้ีห่างจากครง้ั แรกประมาณ ๓-๔ ปี บางมติจึงไมย่ อมรบั ว่า เป็นสงั คายนา เช่นมติของฝ่ ายพม่า ส่วนหนังสืออ่ืนๆ เช่น สงั คีติยวงศ์ กล่าวว่ามีการสงั คายนาทง้ั ๓ ปิฎก สงั คายนาครง้ั น้ีทาํ ทถ่ี ปู าราม เมอื งอนุราธปรุ ะ มพี ระมหนิ ทเถระเป็นประธาน เหตกุ ารณ์การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ ไม่ไดบ้ นั ทึกไวใ้ นพระไตรปิฎกเหมอื นการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ และ ๒ แต่มกี ารกล่าวไวใ้ นคมั ภรี ช์ น้ั อรรถกถากถาหลายเลม่ เช่น ในคมั ภีรท์ ปี วงั สะและอรรถกถถกาวตั ถหุ รอื ปรมตั ถ ทปี นี เป็นตน้ เหตุการณ์หลงั สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ก่อนจะพฒั นาไปจนทาํ ใหเ้กิดการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ น่าสนใจ มากทีเดยี ว เพราะช่วงเวลาดงั กลา่ วน้ี ปรากฏว่าพระสงฆแ์ ตกแยกนิกายออกไปเป็นจาํ นวนมาก เร่มิ จากการก่อ ตวั ข้นึ ของพระสงฆก์ ลมุ่ หน่ึงทเ่ี รยี กตนเองวา่ “มหาสงั ฆกิ ะ” และทาํ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั นอกถาํ้ แข่งกบั “สภา พระอรหนั ต”์ โดยเรยี กการสงั คายนาครง้ั นน้ั ว่า “มหาสงั คีติ”๗๕ พระพทุ ธศาสนาจึงแยกออกเป็นสองนิกายใหญ่ คือ ฝ่ายพระสงฆท์ ่สี บื ทอดจารตี ของพระเถระครงั้ ปฐมสงั คายนา เรยี กว่า “เถรวาท” (สถวรี วาท) และพระสงฆท์ ่ี ๗๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), รูจ้ กั พระไตรปิ ฎกเพ่ือเป็ นชาวพทุ ธท่แี ท,้ หนา้ ๑๗-๑๘. ๗๕ เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, (พระนคร : สาํ นกั พมิ พบ์ รรณานาคาร, ๒๕๑๓), หนา้ ๑๘๒.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง แตกออกไปในช่วงสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ เรียนตนเองว่า “มหาสงั ฆิกะ” จากสองนิกายน้ี พระพุทธศาสนาไดแ้ ตก แขนงออกไปถงึ ๑๘ นิกาย การสงั คายนาพระธรรมวินยั ครงั้ ท่ี ๑-๓ ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาทไม่ไดเ้ ป็นเพียงการรวบรวมพระ ธรรมวนิ ยั ข้นึ เป็นหมวดหมู่ จดั ระบบใหง้ า่ ยต่อการทอ่ งจาํ สบื ทอด รกั ษาไวใ้ หบ้ ริสุทธ์ิถูกตอ้ งท่สี ุดเท่านน้ั ยงั เป็น กระบวนการแสวงหาความเหน็ ร่วมกนั (Agreement) ของคณะสงฆเ์ มอ่ื เผชิญกบั สถานการณ์ท่เี ป็นปญั หาเฉพาะ หนา้ ในแต่ละยุคสมยั อีกดว้ ย กระบวนการดงั กลา่ วน้ี จึงเป็นทง้ั ความพยายามจะรกั ษาพระธรรมวนิ ยั ใหค้ งเดิม และสรา้ งบรรทดั ฐานใหมใ่ นการศึกษาและตคี วามพระธรรมวนิ ยั ๗๖ การสงั คายนาครง้ั น้ีอาจเป็นการวางรากฐานใหช้ าวลงั กาท่องจาํ พระพทุ ธวจนะ จงึ ตอ้ งประชมุ ช้แี จงหรอื แสดงรูปแห่งพทุ ธวจนะตามแนวท่ไี ดจ้ ดั ระเบยี บไวใ้ นการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ ในอนิ เดีย การสงั คายนาครง้ั น้ีนบั ไดว้ ่าเป็นสงั คายนาครง้ั แรกในลงั กา ลงั กานบั ถือพระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทเช่นเดียวกบั ไทย คงรบั รองการ สงั คายนาทงั้ สามครงั้ แรกในอินเดยี แต่ไมร่ บั รองสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ ซง่ึ เป็นของนิกายสพั พตั ถกิ วาทผสมกบั ฝ่าย มหายาน การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ เป็นการผสมกบั ฝ่ ายมหายานทาํ ในอินเดียภาคเหนือ พระเจา้ กนิษกะเป็นผู้ อปุ ถมั ภ์ สงั คายนาครง้ั น้ี ทางฝ่ายเถรวาทคอื ฝ่ายท่ถี อื พระพทุ ธศาสนาแบบท่ไี ทย ลาว เขมร พม่า และลงั กา นบั ถอื มไิ ดร้ บั รองเขา้ เป็นครงั้ ท่ี ๔ เพราะเป็นการสงั คายนาของนิกายสพั พตั ถกิ วาท ซ่งึ แยกออกไปจากฝ่ายเถรวาท ทาํ ผสมกบั ฝ่ ายมหายาน และเพราะมีสายแห่งการสบื ต่อสงั่ สอนอบรมไม่ติดต่อเก่ียวขอ้ งกนั จึงไม่มบี นั ทึก หลกั ฐานเร่ืองน้ีทางเถรวาท ทงั้ ภาษาท่ีใชส้ าํ หรบั พระไตรปิฎกก็ไม่เหมือนกนั คือฝ่ ายมหายานใชภ้ าษา สนั สกฤต บางครง้ั กป็ นปรากฤต ส่วนฝ่ายเถรวาทใชภ้ าษาบาลี ส่วนการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ท่ีทาํ ในประเทศอินเดียดงั กล่าวแลว้ ทางฝ่ ายจีนและทิเบตก็ไม่มีบนั ทึก รบั รองไว้ เพราะเป็นคนละสายเช่นเดียวกนั แต่เน่ืองจากการสงั คายนาครงั้ น้ี เป็นท่รี ูก้ นั ทวั่ ไปในวงการของผูศ้ ึกษา พระพทุ ธศาสนา จงึ นบั ว่ามคี วามสาํ คญั ทางประวตั ิศาสตรท์ ค่ี วรนาํ มากล่าวไวด้ ว้ ย และเมอ่ื คิดตามลาํ ดบั เวลาแลว้ กน็ บั เป็นสงั คายนาครง้ั ท่ี ๔ ท่ที าํ ในประเทศอินเดีย เมอ่ื ประมาณ พ.ศ.๖๔๓ เร่อื งปีท่ที าํ สงั คายนาน้ี หนงั สอื บาง เล่มก็กล่าวต่างออกไป สงั คายนาคร้ังน้ีทําท่ีเมืองชาลนั ธร แต่บางหลกั ฐานก็ว่าทําท่ีกัษมีระ หรือแคช เมียร์ รายละเอียดบางประการจะไดก้ ล่าวถึงตอนท่ีว่าดว้ ยการสงั คายนาของนิกายสพั พตั ถิกวาท แต่ก็มีขอ้ น่า สงั เกตคือ หนงั สือประวตั ิศาสตรข์ องอินเดียบางเล่ม กล่าวว่า ในพ.ศ.๑๑๗๗ พระเจา้ ศีลาทิตยไ์ ดจ้ ดั ใหม้ มี หา สงั คายนาข้นึ ในอินเดียภาคเหนือมีกษตั ริยป์ ระเทศราชมาร่วมดว้ ยถึง ๒๑ พระองค์ ในพิธีน้ีมพี ระสงฆผ์ ูค้ งแก่ เรียน และพราหมณผ์ ูท้ รงความรูม้ าประชุมกนั ในวนั แรกตง้ั พระพทุ ธรูปบูชาในพธิ ี ในวนั ท่ี ๒ ตง้ั รูปสุรยิ เทพ ใน วนั ท่ี ๓ ตง้ั รูปพระศิวะ ๗๖ ชาญณรงค์ บญุ หนุน, การสงั คายนาในมมุ มองใหม่ : หนทางสู่การแกป้ ญั หาของคณะสงฆไ์ ทยปจั จบุ นั ใน รายงานฉบบั สมบูรณ์ โครงการพฒั นานักวิจยั ทางปรชั ญาตะวนั ออกรุ่นใหม่, (กรุงเทพมหานคร : สนบั สนุนโดยสาํ นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) ๒๕๔๗), หนา้ ๑.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง การสงั คายนาครง้ั น้ีจึงมลี กั ษณะผสมคือทง้ั พทุ ธและพราหมณ์ ภิกษุท่ีเขา้ ประชุมกม็ ที ง้ั ฝ่ายเถรวาทและ ฝ่ ายมหายาน แต่เม่อื สอบดูหนงั สือประวตั ิของภิกษุเฮ่ียนจงั ซ่ึงบนั ทึกเหตุการณ์ตอนน้ีไวด้ ว้ ย กลายเป็นการ ประชมุ เพอ่ื ใหม้ าโตแ้ ยง้ กบั ภกิ ษุเฮย่ี นจงั ผูแ้ ต่งตาํ รายกยอ่ งพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน จงึ ไมใ่ ช่การสงั คายนา จะเหน็ วา่ การสงั คายนาพระไตรปิฎก การจารกึ และการถ่ายทอดพระไตรปิฎกผ่านยุคต่างๆ ดงั กล่าวมา ขา้ งตน้ นนั้ แก่นแทห้ รอื สาระสุดทา้ ยของงานคือการดาํ รงรกั ษาพระพทุ ธพจนท์ ส่ี บื ทอดมาในรูปของพระไตรปิฎก ภาษาบาลไี วใ้ หบ้ ริสุทธ์ิบรบิ ูรณท์ ่สี ุด คงเดมิ ตามทม่ี กี ารรวบรวมพทุ ธพจนค์ รงั้ แรกในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ให้ ผูอ้ ่านเขา้ ถงึ คาํ สอนเดมิ ของพระพทุ ธเจา้ โดยตรงโดยไม่มมี ตขิ องบุคคลอ่นื ใดมากีดกนั แมแ้ ต่ความคิดเหน็ ของ พระธรรมสงั คาหกาจารย์ ซ่ึงหากจะมที ่านก็ไดบ้ อกแจง้ หมายแยกไว้ เป็นการเปิดโล่งต่อการใชป้ ญั ญาของผู้ ศึกษาอยา่ งเตม็ ท่ี ๗๗ การรกั ษาสืบทอดโดยมขุ ปาฐะ เป็นการรกั ษาโดยการท่องจาํ ธรรมวินยั จากกระบวนการรวบรวม คาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ไวเ้ป็นหมวดหมู่ เพอ่ื ใหก้ ารทรงจาํ ไดส้ ะดวกและงา่ ยต่อการแบง่ หนา้ ทใ่ี นการรกั ษา กบั ทงั้ เก้อื กลู ต่อการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ย ทเ่ี รยี กวา่ สงั คายนา ๖.๔ ระบบการรกั ษาสบื ทอดโดยลายลกั ษณ์อกั ษร การเกบ็ รกั ษาพระธรรมวนิ ยั หรือพระไตรปิฎกดว้ ยวธิ ีมขุ ปาฐะนน้ั ไดท้ าํ ต่อเน่ืองสืบกนั มาโดยสาวกยุค สมยั ต่างๆ ตงั้ แต่ครงั้ พทุ ธกาล จนถงึ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๔ เมอ่ื คราวสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ ในรชั สมยั ของพระเจา้ วฏั ฏ คามณีอภยั จึงไดม้ กี ารปรบั เปลย่ี นวธิ ีในการเก็บรกั ษาพระพุทธพจนเ์ สยี ใหมด่ ว้ ยการใชว้ ธิ ีการเอาอกั ษรเขา้ มา ช่วย กล่าวคือไดม้ กี ารจารึกพระพทุ ธวจนะลงในใบลานเป็นครงั้ แรก อาจกล่าวไดว้ ่า การสืบต่อคาํ สอนของพระ พทุ ธองคแ์ บง่ เป็น ๒ ช่วง คอื ๑. การสบื ต่อดว้ ยการทรงจาํ และถา่ ยทอดดว้ ยมขุ ปาฐะ ช่วงเร่มิ ตงั้ แต่ครงั้ พทุ ธกาลมาจนสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ ๒. การสบื ต่อดว้ ยการบนั ทกึ คาํ สอนทง้ั หมด ตามความทรงจาํ กนั มาโดยมขุ ปาฐะนน้ั ลงเป็นลายลกั ษณ์ อกั ษรในใบลาน เรยี กกนั วา่ “โปตถากโรปนะ” โดยเร่มิ ตง้ั แต่สมยั สงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ เป็นตน้ มา นกั ปราชญท์ าง ศาสนาทงั้ หลายไดส้ นั นิฐานสาเหตขุ องการเปลย่ี นแปลงวธิ กี ารเปลย่ี นแปลงวธิ รการรกั ษาพระธรรมวนิ ยั จากมขุ ปาฐะไปเป็นโปตถากโรปนะว่าไม่มนั่ ใจความไม่คงท่ขี องความจาํ ท่อี าจมคี ลาดเคลอ่ื นไดต้ ามกาลเวลา ซ่งึ ถา้ จะให้ วธิ ที ่องจาํ พระพทุ ธวจนะต่อไป อาจมขี อ้ ผดิ พลาดไดง้ า่ ย เพราะปญั ญาในการท่องจาํ ของกลุ บตุ รจะเสอ่ื มถอยลง นอกจากนน้ั แลว้ ยงั มเี หตุผลอ่ืนคือ พระสงฆไ์ ดร้ บั ความกระทบกระเทือนจากภยั ธรรมชาติและภยั สงครามอยูเ่ นืองๆ ทาํ ใหไ้ มม่ เี วลาในการท่องจาํ บทพทุ ธวจนะ ซ่งึ ทาํ ใหช้ ่วงของการสืบต่อของพระไตรปิฎกขาดช่วง ลงได้ แต่การจดจารึกคาํ สอนลงในใบลานน้ีย่อมมที ง้ั ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ขอ้ ดีคือการจารกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรช่วย ๗๗ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พระไตรปิ ฎก : ส่งิ ท่ีชาวพุทธควรรู,้ (กรุงเทพมหานคร : บริษทั เอส.อาร.์ พร้ินต้งิ แมสโปรดกั ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๗), หนา้ ๒๘.
บทท่ี ๖ “ภาษาทใ่ี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ใหม้ คี าํ สอนความแน่นอนมนั่ คงถาวร คือวตั ถุท่ีใชจ้ ารึกจะคงอยู่อย่างน้ีไปจนกว่าจะผุสลาย สูญหาย หรือถูก ทาํ ลายไป แมก้ ระทง้ั ยงั สามารถสรา้ งข้นึ มาใหมท่ ดแทนได้ แต่ขอ้ เสยี ก็คือทาํ ใหบ้ คุ คลเกิดความประมาทดว้ ยวางใจ ว่า มพี ระไตรปิฎกอยู่ในใบลานหรือเลม่ หนงั สอื แลว้ ความเอาใจใส่สาธยายทบทวนหรอื แมแ้ ต่เล่าเรยี นก็หย่อนลง ไปจนกลายเป็นความละเลยกิจทค่ี วรทาํ ในการดูแลรกั ษาหลกั คาํ สอน อีกทงั้ การจารึกท่ที าํ กนั มาตงั้ แต่โบราณตอ้ ง อาศยั การคดั ลอกแต่ละครง้ั อาจมกี ารพลง้ั เผลอผดิ พลาดหรือตกหล่นดว้ ยความรูเ้ท่าไม่ถงึ การณข์ องบคุ คลผูจ้ ารกึ จนกลายเป็นความเสยี หายได้ ในการทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ น้ี เกดิ ข้นึ จากการปรารภเหตุทพ่ี ระสงฆแ์ ตกแยกกนั เป็น ๒ พวก คือพวก มหาวหิ ารอภยั คีรีวิหาร และคาํ นึงว่าสบื ไปภายหนา้ กุลบุตร จะถอยปญั ญาควรจารึกพระธรรมวนิ ยั ลงในใบลาน พระอรหนั ตพ์ นั องค์ พระพุทธทตั ตเถระเป็นประธาน พระติสสเถระเป็นผูว้ สิ ชั นาประชุมกนั สวดซอ้ มแลว้ จารึก พทุ ธพจนล์ งในใบลาน ณ อาโลกเลณสถาน ในมลยั ชนบท ในลงั กาทวปี เมอ่ื พ.ศ. ๕๔๐ (บางแห่งว่า ๔๓๖ ก็ม)ี โดยพระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั เป็นศาสนูปถมั ภ์ ใชเ้ วลาทาํ อยู่ ๑ ปี จึงสาํ เร็จ จะเห็นไดว้ ่า หลกั คําสอนของ พระพุทธเจา้ ท่ไี ดท้ รงแสดงโปรดเวไนยสตั วต์ ลอดระยะเวลาท่ที รงพระชนมอ์ ยู่ไดร้ บั การถ่ายทอดรกั ษาไวอ้ ย่างดี ดว้ ยรูปแบบวธิ ตี ่างๆ จากพระธรรมวนิ ยั ทร่ี กั ษาไวด้ ว้ ยวธิ ีมขุ ปาฐะสู่การจดั แบง่ พระไตรปิฎกทไ่ี ดร้ บั การบนั ทกึ เป็น ลายลกั ษณ์อกั ษรไวอ้ ย่างสมบูรณ์ เพ่อื ใหห้ ลกั คาํ สอนของพระพุทธองคอ์ าํ นวยประโยชนแ์ ก่ชาวโลกเหมอื นกบั พระองคย์ งั ทรงอยู่ กระนนั้ ก็ตาม ตลอดเวลาสบื ทอดรกั ษา หลกั พระธรรมวนิ ยั หรือพระไตรปิฎกถูกทา้ ทายจาก การวจิ ารณข์ องศาสนิกโดยเฉพาะพระสงฆเ์ องมาอย่างต่อเน่ืองในประเด็นต่างๆ เช่น ความน่าเช่อื ถอื ของขอ้ มลู ใน พระไตรปิฎก และปญั หาการตีความทต่ี ่างกนั ระบบการรกั ษาสบื ทอดพระไตรปิฎกโดยลายลกั ษณ์อกั ษร เร่ิมมหี ลกั ฐานปรากฏชดั ภายหลงั การ สงั คายนา ครงั้ ท่ี ๓ เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาไดเ้ผยแผ่เขา้ สู่ประเทศศรลี งั กา เมอ่ื ประมาณ พ.ศ.๔๓๓ ในสมยั ของพระ เจา้ วฏั ฏคามณีอภยั เร่ืองท่ีปรากฏเป็นเหตุทาํ สงั คายนาครง้ั น้ี คือเห็นกนั ว่าถา้ จะใชว้ ิธีท่องจาํ พระพุทธวจนะ ต่อไป ก็อาจมขี อ้ วปิ ริตผิดพลาดไดง้ ่าย เพราะปญั ญาในการท่องจาํ ของกุลบุตรเส่อื มถอยลง จึงตกลงจารึกพระ พทุ ธวจนะลงในใบลานมคี าํ กลา่ วว่าไดจ้ ารกึ อรรถกถาลงไวด้ ว้ ย สงั คายนาครงั้ น้ีทาํ ทอ่ี าโลกเลณสถาน ณ มตเลชน บท ซง่ึ ไทยเรียกว่ามลยั ชนบท ประเทศลงั กา มพี ระรกั ขติ มหาเถระเป็นประธาน ไดก้ ล่าวแลว้ ว่าบางมติไม่รบั รอง การสงั คายนาของพระมหินทเถระว่าเป็นครง้ั ท่ี ๔ ต่อจากอินเดีย แต่สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ในลงั กาน้ี ไดร้ บั การ รบั รองเขา้ ลาํ ดบั โดยทวั่ ไป บางมตกิ จ็ ดั เขา้ เป็นลาํ ดบั ท่ี ๕ บางมตไิ ม่รบั รองสงั คายนาของพระ มหนิ ทเถระซ่งึ ถอื ว่า เป็นครงั้ แรกในลงั กาก็จดั สงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ ในลงั กา นบั ว่าเป็นครงั้ ท่ี ๔ ต่อจากอนิ เดยี ๗๘ ส่วนการทาํ สงั คายนา ครง้ั ท่ี ๓ ในลงั กาเม่อื พ.ศ.๒๔๐๘ ๗๙ มกี ารจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานท่รี ตั นปุระ พระเถระช่อื หกิ ขทเุ ว สริ ิสุ มงั คละ เป็นเป็นประธานการทาํ สงั คายนาอยู่ ๔ เดือนจึงแลว้ เสร็จ การสงั คายนาครง้ั น้ี น่าจะไม่มีใครรูม้ าก นกั นอกจากเป็นบนั ทกึ ของชาวลงั กาเอง จนกระทงั่ มกี ารทาํ สงั คายนา ครงั้ ท่ี ๕ และท่ี ๖ ในประเทศพม่า กลา่ วคือ ๗๘ สุชพี ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปิ ฎกสาหรบั ประชาชน, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๖, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๑๑-๑๒. ๗๙ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), รูจ้ กั พระไตรปิ ฎกเพ่ือเป็ นชาวพทุ ธท่ีแท,้ หนา้ ๒๔.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารึกคมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ครง้ั ท่ี ๕ ไดม้ กี ารจารกึ พระไตรปิฎกลงในแผน่ หนิ อ่อน ๗๒๙ แผ่น ณ เมอื งมนั ดเล โดยการอุปถมั ภข์ องพระเจา้ มิ นดง ใน พ.ศ. ๒๔๑๔ และหลงั จากนนั้ เม่ือพ.ศ. ๒๔๙๗-๒๔๙๙ ไดท้ าํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๖ ท่ีเรียกว่า ฉัฏฐ สงั คายนา โดยม่งุ พมิ พพ์ ระไตรปิฎกเป็นสาํ คญั แลว้ จะจดั พมิ พอ์ รรถกถา (คาํ อธบิ ายพระไตรปิฎก) และแปลเป็น ภาษาพม่าโดยลาํ ดบั โดยเป็นการร่วมกนั ของ ๕ ประเทศ คือ พม่า ลงั กา ไทย ลาว เขมร เม่อื ทาํ เสร็จแลว้ ได้ แจกจ่ายพระไตรปิฎกฉบบั อกั ษรพม่าไปในประเทศต่างๆ รวมทง้ั ประเทศไทยดว้ ย๘๐ ส่วนสาเหตุท่ตี อ้ งจารึกคมั ภีรบ์ าลี อรรถกถาและฎกี าลงใบบนใบลานนนั้ มาจากพระขณี าสพในรชั สมยั ของพระเจา้ สทั ธาตสิ สะ แห่งลงั กาทวปี ไดพ้ จิ ารณาว่า “ในกาลต่อไป พระสาวกทเ่ี ป็นปุถชุ น มปี ญั ญาหยาบ ไม่ สามารถท่องจาํ นิกายทงั้ หา้ ใหข้ ้นึ ปากได้ จึงไดจ้ ารึกคมั ภรี ล์ งบนใบลาน เพอ่ื ใหพ้ ระสทั ธรรมดาํ รงอยู่ไดน้ านและ เพ่อื ใหอ้ นุชนไดบ้ ุญกุศลสบื ไป ๘๑ นอกจากนนั้ ยงั ไดอ้ า้ งถึงอานิสงสก์ ารสรา้ งคมั ภรี ว์ ่า “ผูใ้ ดผูห้ น่ึงเป็นบณั ฑิตมี ปรีชาญาณ สรา้ งเองก็ดี ใหค้ นอ่ืนสรา้ งก็ดีซ่งึ คมั ภรี อ์ รรถกถา ฎีกา ย่อมเป็นกองบุญอนั หาท่สี ุดมไิ ด้ มอี านิสงส์ บุญไม่มีท่ีส้ินสุดเช่นเดียวกบั การสรา้ งพระเจดีย์ และการสรา้ งพระพุทธรูป ๘๔,๐๐๐ องค์ ปลูกตน้ โพธ์ิไว้ ๘๔,๐๐๐ ตน้ หรือสรา้ งพระวหิ าร ๘๔,๐๐๐ หลงั ” เพราะการมองการณ์ไกลของพระขณี าสพในอดีตและความเช่อื ว่าการจารกึ คมั ภรี ไ์ ดอ้ านิสงสม์ าก พทุ ธสาวกจงึ นิยมสรา้ งคมั ภรี โ์ ดยการจารกึ ลงบนผนงั ถาํ้ และจารลงบนใบลาน ๖.๕ การนบั ครง้ั ในการทาสงั คายนา การนบั ครงั้ สงั คายนาทร่ี ูก้ นั ทวั่ ไปคอื สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑-๓ ซ่งึ ทาํ ในอินเดียอนั เป็นของฝ่ายเถรวาท กบั อีก ครงั้ หน่ึงในภาคเหนือ พระเจา้ กนิษกะทรงอุปถมั ภ์ อนั เป็นสงั คายนาผสมรวมเป็น ๔ ครง้ั แต่ฝ่ายเถรวาทมไิ ดร้ บั รู้ ในการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ นน้ั เพราะการสบื สายศาสนาแยกกนั คนละทาง ตลอดจนภาษาทร่ี องรบั คมั ภรี ท์ างศาสนา กใ็ ชต้ ่างกนั คอื ของเถรวาทหรอื ศาสนาพทุ ธแบบท่ไี ทย พม่า ลงั กา เขมร ลาว นบั ถอื นน้ั ใชภ้ าษาบาลี ส่วนของฝ่าย มหายานหรือศาสนาพทุ ธแบบญ่ปี ่นุ จนี ทเิ บต ญวน และเกาหลี นบั ถอื นนั้ ใชภ้ าษาสนั สกฤต ในสมยั ท่ตี าํ ราภาษา สนั สกฤตสาบสูญก็มีเฉพาะคมั ภีร์ท่ีแปลเป็นภาษาจีนและภาษาทิเบตเป็นหลกั แลว้ มีผูแ้ ปลสู่ภาษาอ่ืนๆ เช่น ญป่ี ่นุ อกี ต่อหน่ึง การนบั ครง้ั การทาํ สงั คายนามปี ญั หาท่ยี งั ไมล่ งตวั จึงทาํ ใหก้ ารนบั จาํ นวนครง้ั ไมต่ รงกนั เน่ืองจากมบี าง ประเทศไมใ่ หก้ ารยอมรบั การทาํ สงั คายนาบางครงั้ เช่น ประเทศพม่ายอมรบั ว่าตง้ั แต่เร่มิ แรกมกี ารสงั คายนามารวม ๖ ครง้ั โดยเฉพาะครงั้ ท่ี ๖ พมา่ จดั ทาํ อยา่ งยง่ิ ใหญ่ในโอกาสใกลก้ บั งานฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ แลว้ ฉลองพรอ้ ม กนั ทเี ดยี ว ทง้ั การทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๖ และงานฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษแต่ตามหลกั ฐานของพระเถระฝ่ายไทยผู้ รจนาหนงั สือเร่ืองสงั คีติยวงศ์หรือประวตั ิศาสตร์การสงั คายนา กล่าวว่าสงั คายนามี ๙ ครง้ั รวมทงั้ ครงั้ ท่ี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกทรงกระทําในรัชสมยั ของพระองค์ คือการสอบทานแกไ้ ข พระไตรปิฎก แลว้ จารลงในใบลานเป็นหลกั ฐาน ๘๐ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎก : ประวตั แิ ละความสาคญั , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชิวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓), หนา้ ๑๑-๑๒. ๘๑ พระนนั ทปญั ญาจารย,์ จูฬคนั ถวงศ,์ (กรุงเทพมหานคร : ธนาเพรส แอนด์ กราฟฟิค, ๒๕๔๖), หนา้ ๔๑.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ใี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๘๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง การรกั ษาสืบทอดพระไตรปิฎกไดพ้ ฒั นามาจนถึงประเทศไทยมีการทาํ สงั คายนา เม่อื ประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ โดยมพี ระเจา้ ติโลกราช แห่งเมอื งเชียงใหม่ เป็นการชาํ ระพระไตรปิฎกจากอกั ษรลา้ นนา จนกระทงั่ สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษตั ริยแ์ ห่งบรมราชจกั รีวงศ์ กรุงรตั นโกสินทร์ ไดท้ รงอาราธนา พระสงฆใ์ หช้ าํ ระพระไตรปิฎก ช่วยกนั ชาํ ระพระไตรปิฎก แลว้ จดั ใหม้ ีการจารึกลงในใบลาน๘๒ ต่อมาเม่อื พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๓๖ สมยั รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๕ ไดจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปิฎก โดย การคดั ลอกตวั ขอมในคมั ภีรใ์ บลานเป็นตวั ไทยแลว้ ชาํ ระแกไ้ ขและพิมพเ์ ป็นเล่มหนงั สอื ๓๙ เล่ม หลงั จากนน้ั พ.ศ.๒๔๖๘-๒๔๗๓ ในสมยั รชั กาลท่ี ๗ ไดจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปิฎกฉบบั สยามรฐั ข้นึ และไดพ้ ระราชทานในนานา ประเทศ ๘๓ ตามหลกั สูตรการศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรมของไทย เรายอมรบั การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑-๒-๓ ในอินเดยี และ ครง้ั ท่ี ๑-๒ ในลงั กา รวมทง้ั ส้ิน ๕ ครงั้ ถือว่าเป็นประวตั ิท่ีควรรูเ้ ก่ียวกบั ความเป็นมาแห่งพระธรรมวินยั แต่ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถือว่าสงั คายนาในลงั กาทงั้ สองครงั้ เป็นเพียงสงั คายนา เฉพาะประเทศ ไมค่ วรจดั เป็นสงั คายนาทวั่ ไป แต่ตามหนงั สอื สงั คีตยิ วงศห์ รอื ประวตั แิ ห่งการสงั คายนา ซ่งึ สมเด็จ พระวนั รตั วดั พระเชตุพน รจนาเป็นภาษาบาลใี นรชั กาลท่ี ๑ ตง้ั แต่ครง้ั เป็นพระพมิ ลธรรม ไดล้ าํ ดบั ความเป็นมา แห่งสงั คายนาไว้ ๙ ครง้ั ว่าการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑-๒-๓ ทาํ ในอนิ เดยี สงั คายนาครง้ั ท่ี ๔-๕ ทาํ ในลงั กา สงั คายนา ครง้ั ท่ี ๖ ทาํ ในลงั กาเม่อื พ.ศ.๙๕๖ พระพทุ ธโฆสะไดแ้ ปลและเรียบเรียงอรรถกถาคือคาํ อธบิ ายพระไตรปิฎกจาก ภาษาลงั กาเป็นภาษาบาลี ในรชั สมยั ของพระเจา้ มหานามะ เน่ืองจากการแปลอรรถกถาเป็นภาษาบาลคี รง้ั น้ี มใิ ช่ การสงั คายนาพระไตรปิฎก ทางลงั กาเองจึงไม่ถอื ว่าเป็นการสงั คายนาตามแบบแผนท่นี ิยมกนั ว่าจะตอ้ งมกี ารชาํ ระ พระไตรปิฎก สงั คายนาครง้ั ท่ี ๗ ทาํ ในลงั กา เมอ่ื พ.ศ.๑๕๘๗พระกสั สปเถระเป็นประธาน มพี ระเถระร่วมดว้ ย กว่า ๑,๐๐๐ รูป ไดร้ จนาคาํ อธบิ ายอรรถกถาพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี กลา่ วคือแต่งตาํ ราอธบิ ายคมั ภรี อ์ รรถกถา ซง่ึ พระพทุ ธโฆสะไดท้ าํ เป็นภาษาบาลไี วใ้ นการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๖ คาํ อธิบายอรรถกถาน้ีกล่าวตามสาํ นวนนกั ศึกษาก็ คอื คมั ภรี ฎ์ กี า ตวั พระไตรปิฎกเรยี กว่าบาลี คาํ อธิบายพระไตรปิฎกเรยี กว่า อรรถกถา คาํ อธิบายอรรถกถาเรียกว่า ฎกี า การทาํ สงั คายนาครง้ั น้ีเน่ืองจากมใิ ช่สงั คายนาพระไตรปิฎก แมท้ างลงั กาเองก็ไมร่ บั รองว่าเป็นสงั คายนา อย่างไรก็ตาม ขอ้ ความท่ีกล่าวไวใ้ นหนังสือสงั คีติยวงศ์ ก็นับว่าไดป้ ระโยชน์ในการรูค้ วามเป็นมาแห่ง พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกาเป็นอย่างดีย่งิ ประวตั กิ ารสงั คายนา ๙ ครง้ั ตามท่ปี รากฏในหนงั สอื สงั คีติยวงศ์ ซง่ึ สมเดจ็ พระวนั รตั ไดร้ จนาไว้ แมป้ ระเทศทน่ี บั ถอื พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทดว้ ยกนั โดยเฉพาะไทย พมา่ และลงั กา ยงั นบั ครงั้ การ สงั คายนาไม่ตรงกนั เน่ืองจากการสงั คายนาบางครง้ั ไม่เป็นท่ยี อมรบั ของประเทศอ่ืน สรุปการนบั สงั คายนาของ ประเทศต่างๆ ดงั น้ี ๘๒ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎก : ประวตั ิและความสาคญั , หนา้ ๑๒-๑๓. ๘๓ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๘-๒๐.
บทท่ี ๖ “ภาษาท่ีใชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” ๔๙๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง (๑) ประเทศศรลี งั กา ยอมรบั การสงั คายนา ๓ ครงั้ ทป่ี ระเทศอนิ เดีย และนบั จากสงั คายนาท่ปี ระเทศของ ตนต่อมาอีก ๓ ครงั้ ครงั้ ท่ี ๖ หรือครงั้ สุดทา้ ยของลงั กา กระทาํ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๖ ท่รี ตั นปุระ ประเทศศรีลงั กา พระภกิ ขทเุ ว สริ สิ ุมงั คละ เป็นประธาน กระทาํ อยู่ ๔ เดือนจงึ สาํ เรจ็ การสงั คายนาครง้ั น้ีเป็นทร่ี บั รูก้ นั เฉพาะในศรี ลงั กาเท่านน้ั (๒) ประเทศพม่า นบั สงั คายนาท่ที าํ อินเดยี ๓ ครงั้ แลว้ นบั ครง้ั ท่ี ๒ ท่ที าํ ศรลี งั กา (สงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ พ.ศ. ๔๕๐ หรอื ๔๓๓) เป็นครงั้ ท่ี ๔ และมเี พม่ิ ครงั้ ท่ี ๕ และครงั้ ท่ี ๖ ทป่ี ระเทศพมา่ คอื สงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ ทาํ ใหร้ ชั สมยั พระเจา้ มนิ ตง พระชาคราภวิ งั สะ พระนรินทาภชิ ชะ และพระสุมงั คล สามี ผลดั กนั เป็นประธาน ท่ามกลางท่ปี ระชุมพระ และคฤหสั ถผ์ ูแ้ ตกฉานในพระไตรปิฎก ๒๔๐๐ ท่าน กระทาํ อยู่ ๕ เดอื นจงึ สาํ เรจ็ สงั คายนาครงั้ น้ีมขี ้นึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๔ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๖ เน่ืองในโอกาสฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษของพม่า รฐั บาลพม่าไดเ้ ชิญผูน้ าํ ชาวพุทธ ต่างประเทศ โดยเฉพาะสายเถรวาท ไดแ้ ก่ พม่า ศรีลงั กา ไทย ลาว และกมั พชู า จดุ ประสงคข์ องการสงั คายนา ครงั้ น้ีเพ่ือพิมพพ์ ระไตรปิฎก พรอ้ มอรรถถกถาและคาํ แปลเป็นภาษาพม่า ไดท้ าํ อยู่ ๒ ปี คือระหว่าง ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๗-๒๔ พฤษภาคม ๒๔๙๙ เสร็จแลว้ ไดแ้ จกจ่ายพระไตรปิฎกฉบบั อกั ษรพม่าไปยงั ประเทศ ต่างๆ ดว้ ย จะเหน็ ไดว้ ่าการรกั ษาสบื ทอดโดยการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั มขี ้นึ หลายครงั้ และการนบั การสงั คายนา ก็แตกต่างกนั ไปในแต่ละประเทศท่ีนบั ถือพระพุทธศาสนา การสงั คายนาท่ีทุกฝ่ ายยอมรบั ตรงกนั ไดแ้ ก่การ สงั คายนา ๓ ครงั้ ในประเทศอินเดยี และการสงั คายนา ๓ ครง้ั นนั้ ๒ ครง้ั แรกมบี นั ทกึ อยู่ในพระไตรปิฎก แต่ ไม่ไดพ้ ูดถึง คาํ ว่าพระไตรปิฎก หากใชค้ าํ ว่า ธรรมวินยั แสดงว่าพระพุทธพจน์นนั้ ยงั ไม่มกี ารแบ่งเป็นปิฎก เพยี งแต่เรียกรวมๆ ว่า “ธรรมและวนิ ยั ” ต่อมาในระหว่างการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ กบั ครงั้ ท่ี ๓ มผี ูส้ นั นิษฐานว่า ธรรมวนิ ยั ไดแ้ ตกแขนงออกเป็น ๓ หมวด เรยี กวา่ “ตปิ ิฎก” หรอื “เตปิฎก” คือพระธรรม ไดแ้ ตกออกเป็น พระ สุตตนั ตปิฎก กบั พระอภธิ รรมปิฎก สว่ นพระวนิ ยั ปิฎก คงเป็น พระวนิ ยั ปิฎก ๘๔ สรุปทา้ ยบท พุทธพจน์เหล่าน้ีไดร้ ับการรวบรวมและรักษาสืบทอดกันมาในส่ิงท่ีเรียกว่า “คัมภีร์”ซ่ึงใน พระพุทธศาสนา เรียกคมั ภีร์ท่ีรกั ษาคําสอนของพระพุทธเจา้ ซ่ึงเป็นพระศาสดาของพระพุทธศาสนาว่า “พระไตรปิฎก” สมยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่นน้ั พระองคท์ รงเทศนาโปรดเวไนยสตั วแ์ ละทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบทต่างๆ ตามเวลาและสถานทท่ี แ่ี ตกต่างกนั คาํ สงั่ สอนเหลา่ นน้ั ในช่วงตน้ พทุ ธกาลเรยี กว่า “พรหมจรรย”์ ช่วงกลางกม็ ใี ชเ้ รยี กขานคาํ สอนดงั กลา่ วขา้ งตน้ ว่า “ธรรมและวินยั ” ดงั มพี ทุ ธวจนะตรสั ตอบพระอานนทพ์ ทุ ธ อนุชาก่อนจะเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานในพรรษาท่ี ๔๕ อนั เป็นพรรษาสุดทา้ ยแห่งการเสด็จประกาศ ๘๔ เสฐยี รพงษ์ วรรณปก, “วิธีศึกษาคน้ ควา้ พระไตรปิ ฎก”, ในเกบ็ เพชรจากคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ า ลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๒๕๕.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 661
Pages: