Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๙๑  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เมอ่ื พระเจา้ สุรยิ กมุ ารและคณะไดอ้ อกไปอยูบ่ นภเู ขาควายนน้ั ทรงซ่องสุมกาํ ลงั คนเอาไวเ้ป็นจาํ นวนมากเพ่อื รอเวลาชิงราชบลั ลงั กเ์ ม่ือพระหน่อแกว้ ไดเ้ สด็จสวรรคตแลว้ จึงกลบั มาตีเมืองเวียงจนั ทน์แลว้ ก่อนเสด็จข้ึน ครองราชยก์ ท็ รงเขา้ กราบนมสั การหลวงพอ่ พระใส ดงั ปรากฏในตาํ นานตอนหน่ึงว่า ‚เมอ่ื พระเจา้ สุรยิ วงศจ์ ะเสดจ็ เสวยราชยค์ รองเมอื งเวยี งจนั ทน์ พระองคไ์ ดท้ รงอธิษฐานเฉพาะพระพกั ตรข์ อง หลวงพ่อฯ ว่า ถา้ การปกครองไพร่ฟ้ าของขา้ พเจา้ จะเป็นไปดว้ ยความสนั ติสุข ปราศจากศตั รูหมู่ไพรีท่ีจะมา เบยี ดเบียนแลว้ ขอใหอ้ งคพ์ ระใสแสดงเหตุอศั จรรยใ์ หป้ ระจกั ษ์ ครน้ั ถึงวนั เสวยราชยเ์ ดือนอา้ ย (เดือนธนั วาคม- มกราคม) ไดเ้ กิดอศั จรรยข์ ้นึ ตามคาํ อธิษฐานคือฟ้าคึกคะนอง คาํ รนหวนั่ ไหวและแปลบปลาบ สายฟ้าฟาดสนนั่ สะเทอื น แต่จะไดเ้ป็นอนั ตรายแก่คนและสตั วก์ ห็ ามไิ ด้ นิมติ อศั จรรยน์ นั้ ปรากฏว่าพระองคไ์ ดเ้สวยราชย์ ทรงปกครอง ไพร่ฟ้าประชาชนไดอ้ ยู่เยน็ เป็นสุขโดยทวั่ ถงึ กนั ตลอดรชั สมยั ของพระองค\"์ ตามประวตั ศิ าสตรล์ าวก็ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ่าพระเจา้ สุรยิ วงศาธรรมกิ ราช นบั เป็นพระมหากษตั รยิ พ์ ระองคเ์ ดยี ว ท่ี ครองราชยย์ าวนานท่ีสุด และเป็นรชั กาลเดียวท่ีไม่มีเหตุวุ่นวายตลอดรชั กาล และเป็นรชั กาลท่ีทรงทาํ นุบาํ รุง พระพทุ ธศาสนาใหเ้จริญรุ่งเรืองทส่ี ุดจนจดั ไดว้ ่าเป็นยุคทองของพระพทุ ธศาสนาก็ว่าได้ ดงั นนั้ หลวงพ่อพระใสจึงได้ ประดษิ ฐานอยู่ท่เี วยี งจนั ทนต์ งั้ แต่ตน้ จนถงึ ปลายรชั กาลกว่า ๕๔ ปี โดยไมม่ เี หตุการณท์ จ่ี ะเป็นเหตใุ หเ้คลอ่ื นยา้ ยอกี พอถึง พ.ศ. ๒๒๓๓ พระยาเมอื งจนั ทนข์ ้นึ ครองราชยไ์ ด้ ๖ เดือนก็ถูกเจา้ องคห์ ล่อประหารชีวติ และข้นึ ครองราชยไ์ ด้ ๔ ปี ก็ถกู เจา้ นนั ทราชยกทพั มาปราบและจบั พระเจา้ องคห์ ลอ่ ประหารชวี ติ แลว้ ข้นึ ครองเมอื งได้ ๓ ปี เจา้ องคห์ ล่อก็ถูกพระเจา้ ไชยองคเ์ ว้ (โอรสทา้ วชมพู) ประหารชีวิตแลว้ ข้นึ ครองราชยไ์ ด้ ๓๒ ปี จาก พ.ศ. ๒๒๔๑– ๒๒๗๓ กเ็ สด็จสวรรคต ช่วงประวตั ิศาสตรร์ ะยะน้ีไม่ปรากฏการบนั ทึกถงึ เร่ืองราวของหลวงพ่อพระใสเลยคาดว่าคง มไิ ดย้ า้ ยไปไหน นบั ตงั้ แต่พระเจา้ สุริยกุมารไดเ้ สด็จสวรรคตลงอาณาจักรลา้ นชา้ งก็ไดเ้ กิดความวุ่นวายและแตกแยกกนั ออกเป็น ๓ อาณาจกั รคือ (๑) อาณาจกั รหลวงพระบาง (๒) อาณาจกั รลา้ นชา้ งเวยี งจนั ทน์ (๓) อาณาจกั รจาํ ปา ศกั ด์ิ ทาํ ใหบ้ า้ นเมอื งเกดิ ความวุ่นวายอนั สบื เน่ืองมาจากบรรดาเจา้ ผูเ้ป็นเช้อื กษตั รยิ ข์ องลา้ นชา้ งไม่สามคั คีและไมม่ ผี ู้ ทเ่ี ขม้ แขง็ พอทจ่ี ะปกป้องขอบเขตพทั ธสมี าของอาณาจกั รไดจ้ งึ ถกู ต่างชาตเิ ขา้ ครอบงาํ เร่อื ยมา ๔. เหตกุ ารณ์สมยั พระเจา้ สริ บิ ญุ ญสาร ต่อมาในรชั สมยั ของพระเจา้ สิริบุญสาร ไดเ้ กิดความขดั แยง้ กบั พระวรปิตาซ่งึ เป็นบดิ าของพระมเหสีของ พระเจา้ สริ ิบุญสาร เร่อื งทพ่ี ระเจา้ สริ ิบุญสารไม่ยอมแต่งตงั้ พระวรปิตาเป็นอปุ ราชเน่ืองจากพระวรปิตามใิ ช่เช้ือเจา้ แต่

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๙๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ เป็นสามญั ชน เดมิ ทที ่านเป็นนายกองอยูบ่ า้ นหนิ โงม ซง่ึ ไดท้ าํ หนา้ ทเ่ี ป็นผูด้ ูแลพระเจา้ สริ บิ ญุ สารจนไดข้ ้นึ เป็นพระเจา้ แผ่นดนิ ภายหลงั พระเจา้ สริ บิ ญุ สารไดต้ ง้ั เป็นพระวรปิตา ต่อมาพระวรปิตาตอ้ งการตาํ แหน่งอุปราชแต่พระเจา้ สริ ิบญุ สารไม่ยอมเพราะตอ้ งการเก็บเอาไวใ้ หแ้ ก่พระอนุชาของพระองค์ จึงตง้ั เป็นแค่เสนาบดีผูใ้ หญ่เท่านน้ั ทาํ ใหพ้ ระวร ปิตาโกรธจงึ พาบา่ วไพร่หนีไปอยูเ่ มอื งนครเขอ่ื นขนั ธก์ าบแกว้ บวั บานหรอื จงั หวดั หนองบวั ลาํ ภใู นปจั จบุ นั ฝ่ายพระเจา้ สิริบุญสารก็ไดย้ กกองทพั ไปตีเมืองหนองบวั ลาํ ภูหลายครงั้ จนสามารตีแตกเม่ือปี พ.ศ.๒๒๐๘ ซ่ึงความขดั แยง้ ระหว่างพระเจา้ สิริบุญสารกบั พระวรปิตาเป็นเหตุทาํ ใหพ้ ระเจา้ ตากสินไดใ้ หเ้ จา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกยกทพั มาตี เวยี งจนั ทนใ์ นปี พ.ศ. ๒๓๒๑ ฝ่ายเมอื งเวยี งจนั ทนก์ ็ไดเ้กดิ แผ่นดนิ ไหว พระสงั ฆราชไดต้ รวจดวงเมอื งกพ็ บว่าดวง เมอื งถงึ การดบั ตอ้ งเสยี เมอื งแก่ไทย ดงั นนั้ จงึ ไดแ้ จง้ แก่ทางบา้ นเมอื ง เมอ่ื เจา้ นายต่างๆ รูจ้ ึงไดม้ กี ารสงั่ ใหข้ า้ โอกาส นาํ ส่งิ ของมคี ่า พระพทุ ธรูปสาํ คญั ออกไปซ่อนไวต้ ามหวั เมอื งดา้ นนอกเพราะเกรงว่าไทยจะเผาเมอื ง หรอื นาํ สง่ิ มคี ่า เหล่านน้ั กลบั ประเทศซง่ึ หลวงพ่อพระใสก็ไดถ้ ูกอญั เชิญไปไวย้ งั เมอื งเวยี งนาํ้ งมึ (ตุลาคม) ดงั ปรากฏในตาํ นานตอน หน่ึงวา่ ‚เมอ่ื พระเจา้ สุริยวงศ์ จะเสด็จเสวยราชยค์ รองเมอื งเวยี งจนั ทน์ พระองคไ์ ดท้ รงอธิษฐานเฉพาะพระพกั ต์ ของหลวงพ่อฯ ว่าถา้ การปกครองไพร่ฟ้าของขา้ พเจา้ จะเป็นไปดว้ ยความสนั ติสุข ปราศจากศตั รูหมู่ไพรีท่ีจะมา เบยี ดเบยี นแลว้ ขอใหอ้ งคพ์ ระใสแสดงเหตุอศั จรรยใ์ หป้ ระจกั ษ์ ครน้ั ถงึ วนั เสวยราชยเ์ ดือนอา้ ย (เดอื นธนั วาคม- มกราคม) ไดเ้กดิ อศั จรรยข์ ้นึ ตามคาํ อธษิ ฐานคือ ฟ้าคกึ คะนอง คาํ รนหวนั่ ไหว และแปลบปลาบ สายฟ้าฟาดสนนั่ สะเทือน แต่จะไดเ้ ป็นอนั ตรายแก่คนและสตั วก์ ็หามิได้ นิมติ อศั จรรยน์ น้ั ปรากฏว่าพระองคไ์ ดเ้ สวยราชย์ ทรง ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนไดอ้ ยู่เยน็ เป็นสุขโดยทวั่ ถงึ กนั ตลอดรชั สมยั ของพระองค\"์ ตามประวตั ศิ าสตรล์ าวกไ็ ดบ้ นั ทกึ ไวว้ า่ พระเจา้ สุริยวงศาธรรมกิ ราชนบั เป็นพระมหากษตั ริยพ์ ระองคเ์ ดยี วท่ี ครองราชยย์ าวนานท่ีสุดและเป็นรชั กาลเดียวท่ีไม่มีเหตุวุ่นวายตลอดรชั กาล และเป็นรชั กาลท่ีทรงทาํ นุบาํ รุง พระพทุ ธศาสนาใหเ้จริญรุ่งเรืองทส่ี ุดจนจดั ไดว้ ่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนาก็ว่าได้ ดงั นน้ั หลวงพ่อพระใส จึง ไดป้ ระดษิ ฐานอยูท่ เ่ี วยี งจนั ทนต์ ง้ั แต่ตน้ จนถงึ ปลายรชั กาลกว่า ๕๔ ปี โดยไม่มเี หตกุ ารณ์ท่จี ะเป็นเหตุใหเ้คลอ่ื นยา้ ย อกี พอถึง พ.ศ. ๒๒๓๓ พระยาเมืองจนั ทน์ข้ึนครองราชยไ์ ด้ ๖ เดือนก็ถูกเจา้ องคห์ ล่อประหารชีวิตและข้ึน ครองราชยไ์ ด้ ๔ ปี กถ็ กู เจา้ นนั ทราชยกทพั มาปราบและจบั พระเจา้ องคห์ ลอ่ ประหารชีวติ แลว้ ข้นึ ครองเมอื งได้ ๓ ปีเจา้ องคห์ ล่อก็ถูกพระเจา้ ไชยองคเ์ ว้ (โอรสทา้ วชมพู) ประหารชีวติ แลว้ ข้นึ ครองราชยไ์ ด้ ๓๒ ปี จาก พ.ศ. ๒๒๔๑–๒๒๗๓ ก็เสด็จสวรรคตช่วงประวตั ิศาสตรร์ ะยะน้ีไม่ปรากฏการบนั ทึกถงึ เร่ืองราวของหลวงพ่อพระใสเลยคาดว่าคงมไิ ดย้ า้ ยไป ไหน นบั ตงั้ แต่พระเจา้ สุริยกุมารไดเ้ สด็จสวรรคตลงอาณาจกั รลา้ นชา้ งก็ไดเ้ กิดความวุ่นวายและแตกแยกกนั ออกเป็น ๓ อาณาจกั รคือ (๑) อาณาจกั รหลวงพระบาง (๒) อาณาจกั รลา้ นชา้ งเวยี งจนั ทน์ (๓) อาณาจกั รจาํ ปา

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๙๓  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ศกั ด์ิ ทาํ ใหบ้ า้ นเมอื งเกดิ ความวุน่ วายอนั สบื เน่ืองมาจากบรรดาเจา้ ผูเ้ป็นเช้ือกษตั รยิ ข์ องลา้ นชา้ งไม่สามคั คีและไม่มผี ู้ ทเ่ี ขม้ แขง็ พอทจ่ี ะปกป้องขอบเขตพทั ธสมี าของอาณาจกั รไดจ้ งึ ถกู ต่างชาตเิ ขา้ ครอบงาํ เร่อื ยมา๒๙ ๕. เหตกุ ารณ์สมยั พระเจา้ สริ บิ ญุ ญสาร ต่อมาในรชั สมยั ของพระเจา้ สริ บิ ญุ สาร ไดเ้กิดความขดั แยง้ กบั พระวรปิตา ซ่งึ เป็นบดิ าของพระมเหสขี องพระ เจา้ สิริบญุ สาร เร่ืองท่พี ระเจา้ สริ ิบุญสารไม่ยอมแต่งตง้ั พระวรปิตาเป็นอุปราช เน่ืองจากพระวรปิตามใิ ช่เช้อื เจา้ แต่เป็น สามญั ชน เดิมทีท่านเป็นนายกองอยู่บา้ นหินโงม ซ่ึงไดท้ าํ หนา้ ท่เี ป็นผูด้ ูแลพระเจา้ สิริบุญสารจนไดข้ ้นึ เป็นพระเจา้ แผน่ ดนิ ภายหลงั พระเจา้ สริ บิ ญุ สารไดต้ งั้ เป็นพระวรปิตา ต่อมาพระวรปิตาตอ้ งการตาํ แหน่งอุปราชแต่พระเจา้ สริ ิบญุ สารไมย่ อมเพราะตอ้ งการเกบ็ เอาไวใ้ หแ้ ก่พระอนุชาของพระองค์ จงึ ตงั้ เป็นแค่เสนาบดผี ูใ้ หญ่เท่านน้ั ทาํ ใหพ้ ระวรปิตา โกรธจึงพาบ่าวไพร่หนีไปอยู่เมอื งนครเขอ่ื นขนั ธก์ าบแกว้ บวั บานหรือจงั หวดั หนองบวั ลาํ ภูในปจั จุบนั ฝ่ายพระเจา้ สิริ บญุ สารก็ไดย้ กกองทพั ไปตีเมอื งหนองบวั ลาํ ภูหลายครงั้ จนสามารตีแตกเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๒๐๘ ซ่งึ ความขดั แยง้ ระหว่าง พระเจา้ สริ บิ ญุ สารกบั พระวรปิตา เป็นเหตุทาํ ใหพ้ ระเจา้ ตากสนิ ไดใ้ หเ้จา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ ึก ยกทพั มาตีเวยี งจนั ทน์ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ ฝ่ายเมอื งเวยี งจนั ทนก์ ไ็ ดเ้กดิ แผ่นดินไหว พระสงั ฆราชไดต้ รวจดวงเมอื งก็พบว่าดวงเมอื งถงึ การดบั ตอ้ งเสียเมอื งแก่สยาม ดงั นนั้ จึงไดแ้ จง้ แก่ทางบา้ นเมอื งเมอ่ื เจา้ นายต่างๆ รูจ้ ึงไดม้ กี ารสงั่ ใหข้ า้ โอกาสนาํ ส่งิ ของมคี ่า พระพุทธรูปสาํ คญั ออกไปซ่อนไวต้ ามหวั เมืองดา้ นนอก เพราะเกรงว่า สยามหรือไทยจะเผาเมือง หรือนาํ ส่ิงมีค่า เหลา่ นน้ั กลบั ประเทศซง่ึ หลวงพ่อพระใสกไ็ ดถ้ กู อญั เชญิ ไปไวย้ งั เมอื งเวยี งนาํ้ งมึ (ตุลาคม) ดงั ปรากฏในตาํ นานตอนหน่ึง ว่า ‚ครนั้ พ.ศ. ๒๓๒๑ เมอ่ื รชั กาลพระเจา้ กรุงธนบรุ ไี ดเ้กดิ สงครามข้นึ ระหว่างกรุงธนบรุ ีกบั กรุงศรีสตั นาคนหุต (เวียงจนั ทน์) ครงั้ นน้ั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เม่อื ครง้ั ดาํ รงพระยศเป็ นสมเด็จเจา้ พระยามหา กษตั ริยศ์ ึก ไดเ้ ป็นจอมทพั ยกทพั มาตีเวียงจนั ทน์ เมอื งเวียงจนั ทน์เกิดยุคเขญ็ ข้นึ พระเจา้ ธรรมเทววงษจ์ ึงได้ อญั เชญิ ไปไวท้ เ่ี มอื งเชียงคาํ (เมอื งตลุ าคม)‛ เม่ือเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก ยกทพั ข้ึนมาก็สามารถตีเวียงจนั ทน์ไดใ้ นปี พ.ศ. ๒๓๒๒ หลงั เสร็จส้ิน สงครามกองทพั ไทยก็ไดจ้ บั เอาเจา้ นนั ทเสน เจา้ อปุ ราชดวงหนา้ และนางแกว้ ยอดฟ้ากลั ยาณีศรกี ษตั รยิ พ์ ระราชธดิ าของ พระเจา้ สิริบุญสารตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาขา้ ราชการผูใ้ หญ่ นางสนม พรอ้ มทง้ั ทรพั ยส์ นิ มคี ่ารวมทง้ั พระ แกว้ มรกต และพระบาง กวาดเอาครอบครวั คนลาวขา้ มฝงั่ มาทเ่ี มอื งพนั พรา้ ว อาํ เภอศรเี ชียงใหม่ แลว้ ใหส้ รา้ งหอพระ แกว้ ไวท้ เ่ี มอื งพนั พรา้ วอนั เป็นท่ปี ระดษิ ฐานพระแกว้ มรกต และพระบางเป็นการชวั่ คราวก่อนทจ่ี ะกวาดตอ้ นคนทง้ั หมด มาไวท้ ่เี มอื งสระบรุ ี ส่วน พระแกว้ มรกตกบั พระบาง ไดเ้ อาเขา้ ไปไวท้ ่กี รุงเทพ ฯ ฝ่ายบรรดาขา้ โอกาสผูด้ ูแลพระสุก พระเสรมิ พระใส เมอ่ื บา้ นเมอื งสงบแลว้ กอ็ ญั เชิญกลบั มาไวท้ ว่ี ดั โพนชยั เมอื งเวยี งจนั ทรเ์ ช่นเดิม ๖. เหตกุ ารณ์สมยั รชั กาลท่ี ๓ : สมยั ปราบกบฎเจา้ อนุวงศ์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๗๐ เจา้ อนุวงศไ์ ดท้ าํ การก่อกบฏ ยกกองทพั จากเวียงจนั ทรไ์ ปตีเมืองต่างๆ ในภาค อสี านของไทยจนถงึ เมอื งสระบรุ ี พอความทราบถงึ ฝ่าละอองธุลพี ระบาทพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั จงึ ไดม้ ี ๒๙ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๘-๕๕.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๙๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พระบรมราชโองการใหส้ มเด็จกรมพระบวรราชเจา้ มหาศกั ด์ิพลเสพย์ (เจา้ ชายอรุโณทยั ) เป็นแม่ทพั ยกข้นึ มาปราบ เจา้ อนุวงศ์ โดยมพี ระยาราชสุภาวดี (สงิ ห์ สงิ หเสนี) เป็นทพั หนา้ จนสามารถปราบเจา้ อนุวงศไ์ ดจ้ นเจา้ อนุวงศต์ อ้ งหนี ไปพง่ึ เวยี ดนาม เมอ่ื ปราบเมอื งเวยี งจนั ทรไ์ ดแ้ ลว้ กม็ พี ระรบั สงั่ ใหข้ นยา้ ยพระพทุ ธรูปและส่งิ ของมคี ่า ขา้ มมาไวท้ ่ฝี งั่ เมอื งพนั พรา้ ว และไดน้ าํ เอาพระพทุ ธรูปบางส่วนอญั เชิญ ลงไปไหวท้ ่กี รุงเทพมหานคร ส่วน พระสุก พระเสริม และ พระใส ไดส้ รา้ งเจดียบ์ รรจุไวท้ เี่ มอื งพนั พรา้ ว ชือ่ ว่าเจดียป์ ราบเวยี ง ส่วนท่นี ครหลวงเวยี งจนั ทร์ พระยาราชสุภาวดี ไดต้ ง้ั ขา้ ราชการชาวเวยี งจนั ทรอ์ ยู่รกั ษาเมอื ง ส่วนตนเองยกทพั กลบั ไปตงั้ รอทเ่ี มอื งภเู วยี ง ทเ่ี มอื งหนองคายภายหลงั จากทท่ี า้ วสุวอ ไดเ้ขา้ ร่วมสงครามทาํ การรบเคียงบา่ เคียงไหล่กบั พระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเ์ สนี) แลว้ เม่ือสงครามสงบลงในปี พ.ศ.๒๓๗๐ ทางราชการไดส้ ่งเร่ืองขอตง้ั บา้ นใผ่เป็นเมืองเมือง หนองคาย เพ่อื ใชเ้ ป็นเมอื งหนา้ ด่านในการเดินทพั ของไทยแทนเมอื งเวียงจนั ทรเ์ ดมิ และขอพระราชทานแต่งตงั้ ให้ ทา้ วสุวอ (หรอื สุวรวงษา) เป็นเจา้ เมอื งทพ่ี ระปทมุ เทวาภบิ าล ซง่ึ กท็ รงมพี ระกรุณาโปรดเกลา้ ฯแต่งตงั้ ตามท่ขี องและมี ใบบอกมายงั เมอื งหนองคายในปีนน้ั ในปี พ.ศ. ๒๓๗๑ เจา้ อนุวงศก์ ลบั มาเวยี งจนั ทร์ โดยไดแ้ จง้ แก่กองทพั ไทยว่า จะกลบั มาขออภยั โทษ แต่ พอกองทพั และทหารเผลอกล็ อบทาํ รา้ ยทหารไทยจนแตกพ่ายและเสยี ชวี ติ เป็นจาํ นวนมาก เมอ่ื เอาชนะกองทพั ไทยท่ี เวยี งจนั ทรไ์ ด้ เจา้ อนุวงศก์ ส็ งั่ ใหท้ หารขา้ มฝงั่ โขงมา แลว้ ร้อื เจดียป์ ราบเวยี งพรอ้ มทงั้ ขนพระพทุ ธรูป คือพระสุก พระ เสริม และพระใส กลบั เวียงจนั ทร์ ฝ่ ายพระยาราชสุภาวดีเม่ือทราบว่ากองทพั ไทยเสียทีแก่เจา้ อนุวงศ์ จึงไดย้ ก กองทพั มาช่วยพอมาถงึ บา้ นค่ายบกหวานก็ปะทะกบั กองทหารของเจา้ ราชวงศ์ จนเกดิ การตะลุมบอนกนั ข้นึ เป็นผล ทาํ ใหพ้ ระยาราชสุภาวดถี กู แทงไดร้ บั บาดเจบ็ ส่วนพระพพิ ธิ นอ้ งชายเสยี ชวี ติ ในสนามรบ ฝ่ายเจา้ ราชวงศถ์ ูกปืนทห่ี วั เขา่ ไดร้ บั บาดเจ็บ ทหารตอ้ งหามข้นึ แพขา้ มโขงไป รกั ษาท่เี วยี งจนั ทรแ์ ละไปแจง้ แก่เจา้ อนุวงศว์ ่าไม่สามารถตา้ นทาน กองทพั พระยา ราชสุภาวดีได้ จาํ เป็นท่จี ะตอ้ งหนีไปพ่งึ เวียดนามดงั เดิม เมอ่ื เป็นเช่นนนั้ เจา้ อนุวงศจ์ ึงสงั่ ใหท้ หาร นาํ เอาทรพั ยส์ ินมคี ่าพระพทุ ธรูป คือพระสุก พระเสรมิ และพระใส เป็นตน้ ไปซ่อนในถาํ้ บนภูเขาควาย ส่วนตวั ของ เจา้ อนุวงศ์ กไ็ ดพ้ าบรรดาบตุ รและภรรยาขา้ ทาสบรวิ ารหนีไปพง่ึ เวยี ดนามทางเมอื งพวน ฝ่ ายเจา้ พระยาราชสุภาวดี ก็ไดส้ งั่ ใหท้ หารยกทพั ขา้ มแม่นํา้ โขงและทาํ การคน้ หา ทรพั ยส์ มบตั ิและ พระพุทธรูปท่เี จา้ อนุวงศน์ าํ กลบั มา เมอ่ื พบแลว้ ก็ไดส้ งั่ ใหท้ หารร้ือทาํ ลายเมอื งเวยี งจนั ทรเ์ สีย เพ่อื ไม่ใหเ้ มอื งเวียง จนั ทรไ์ ดเ้ ป็นเมอื งอีกต่อไป นอกจากนนั้ พระยาราชสุภาวดี ยงั ไดส้ ่งทหารจาํ นวนหน่ึงออกไปติดตามจบั กุมเจา้ อนุฯ และครอบครวั จนสามารถจบั ไดท้ เ่ี ชงิ เขาไก่โดยการใหข้ อ้ มลู ของเจา้ นอ้ ยเมอื งพวน จากนนั้ กไ็ ดแ้ บง่ กาํ ลงั ส่วนหน่ึงคุม ตวั เจา้ อนุวงศ์ ลงกรุงเทพฯ กลา่ วถงึ พระพทุ ธรูปและทรพั ยส์ มบตั บิ างสว่ น ทย่ี ดึ ไดจ้ ากการร้ือทาํ ลายเมอื งเวยี งจนั ทรน์ น้ั พระยาราชสุภา วดสี งั่ ใหน้ าํ ขา้ มฝงั่ ทเ่ี มอื งพนั พรา้ วส่วนหน่ึง อีกส่วนหน่ึงทค่ี น้ พบบรเิ วณภูเขาควายไดแ้ ก่ พระสุก พระเสริม พระใส และพระพทุ ธรูปสาํ คญั อ่ืนๆ เช่น พระเสาร์ พระเส่ยี ง พระพทุ ธรูปเน้ือทองแดงลว้ น พระอรุณ พระเจา้ อินแปลง ๒ องค์ พระพุทธรูปไม่ปรากฏช่ืออีก ๒ องคไ์ ดใ้ หอ้ ญั เชิญกลบั ทางแม่นาํ้ งมึ โดยทาํ การต่อแพไมไ้ ผ่และลาํ เลยี งล่องมา ตามแมน่ าํ้ งมึ ดงั ปรากฏในตาํ นานเดมิ ว่า

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๙๕  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ‚ตอนท่อี ญั เชิญพระใสจากเวียงจนั ทน์ มาประดิษฐท์ ่ีวดั โพธ์ิชยั เมอื งหนองคายน้ีมีคาํ เล่าประกอบดว้ ย เหตุผลและหลกั ฐานท่นี ่าเช่ืออยู่อีกว่า คราวอญั เชิญมา ไม่ไดเ้ ชิญมาจากเวียงจนั ทนโ์ ดยตรงไดอ้ ญั เชิญมาจากภูเขา ควาย ซง่ึ ชาวเมอื งไดอ้ ญั เชญิ ไปซอ่ นไวแ้ ต่ครงั้ เวยี งจนั ทนเ์ กดิ ฉุกเฉิน การอญั เชิญมาไดอ้ ญั เชิญข้นึ ประดิษฐบ์ นแพไม้ เผ่ง ซง่ึ ผูกตดิ กนั อยา่ งมนั่ คงลอ่ งลงมาตามลาํ นาํ้ งม่ึ เชญิ มาคราวเดยี วกนั ทง้ั ๓ องค์ เมอ่ื ล่องมาโดยลาํ ดบั ถงึ ตรงบา้ น เวนิ แท่นทน่ี นั้ ลาํ นาํ้ เป็นคุง้ กวา้ งกว่าธรรมดาในขณะนน้ั ไดเ้ กิดอศั จรรย์ คือแท่นของพระสุกไดแ้ หกแพจมลงในนาํ้ โดยเหตุทม่ี พี ายุแรงจดั พดั แพจนเอนเอยี ง ชะเนาะท่ขี นั พระแท่นตดิ กบั แพไม่สามารถทจ่ี ะทนนาํ้ หนกั ของพระแท่นไว้ ได้ และคนทร่ี กั ษากห็ มดความสามารถทจ่ี ะป้องกนั อาศยั เหตทุ ่แี ท่นของพระสุกไดจ้ มลงทต่ี รงนนั้ น้ีเอง ท่ตี รงนนั้ จึง พลอยไดน้ ามว่า เวนิ แทน่ มาจนบดั น้ี ครนั้ เสยี แท่นพระสุกแลว้ กย็ งั อญั เชิญลอ่ งมาตามลาํ นาํ้ งม่ึ นน้ั โดยลาํ ดบั จนถงึ แม่นาํ้ โขง (ปากงม่ึ ) เฉียงกบั บา้ นหนองกุง้ อาํ เภอโพนพสิ ยั จงั หวดั หนองคายเลก็ นอ้ ย พอถงึ ท่นี น้ั ไดบ้ งั เกดิ พายุใหญ่เสยี งฟ้าคะนองรอ้ งลนั่ ทาํ ใหห้ วั ใจของประชาชนผูอ้ ญั เชญิ มาหวาดหวนั่ เกรงต่ออนั ตราย จนในท่ีสุดพระสุกไดแ้ หกแพจมลงไปในนาํ้ พอพระหา ยลงไปแลว้ อาการวปิ รติ ต่างๆ ก็สงบเงยี บ อาศยั เหตนุ ้ี ทน่ี นั้ จึงไดน้ ามว่า เวนิ สุกจนบดั น้ี(พระสุกยงั จมอยู่ในนาํ้ ตรง นน้ั เทา่ ทกุ วนั น้ี) เมอ่ื เป็นเช่นน้ีจงึ ยงั คงเหลอื อยูแ่ ต่พระเสรมิ กบั พระใส‛ หลงั จากท่คี ณะผูอ้ ญั เชิญไดส้ ูญเสยี พระแท่นและองคพ์ ระสุกแลว้ ก็คงพากนั อญั เชิญพระเสริมกบั พระใส ทวนนาํ้ ข้นึ มาเร่ือยๆ พอมาถึงเมอื งโพนพิสยั หรือเมอื งปากหว้ ยหลวงเดิม ก็ไดห้ ยุดพกั เพ่ืออญั เชิญพระเส่ียงข้นึ ประดิษฐานไวท้ ว่ี ดั มณีโคตร เพอ่ื นาํ ไปไวก้ รุงเทพฯ ต่อไป โดยอญั เชิญข้นึ ประดิษฐานไวบ้ นหลงั ชา้ ง ในขณะท่กี าํ ลงั อญั เชญิ ข้นึ บนหลงั ชา้ งพระเสย่ี ง กไ็ ดพ้ ลดั ตกลงจากหลงั ชา้ ง เป็นเหตใุ หพ้ ระกรรณหกั พระเกตุคด เจา้ พนกั งานจงึ ไดอ้ ญั เชญิ ประดษิ ฐานไว้ ณ วดั มณีโคตรตง้ั แต่บดั นน้ั เป็นตน้ มา เมอ่ื พกั หายเหน่ือยแลว้ จากนนั้ คณะผูอ้ ญั เชญิ จึงได้ เร่มิ ออกเดนิ ทางต่อมาเร่อื ยๆ จนถงึ เมอื งหนองคายขบวนจึงไดจ้ อดพกั ท่บี รเิ วณท่านาํ้ หนา้ วดั หอก่องหรอื วดั ประดิษฐ์ ธรรมคุณ หลงั จากนน้ั คณะผูอ้ ญั เชิญจึงไดป้ ระกอบพธิ ีอญั เชิญพระพทุ ธรูปทงั้ หมดข้นึ ฝงั่ และนาํ ไปประดิษฐานไวท้ ่ี ศาลาและอุโบสถวดั หอก่อง เมอ่ื อญั เชญิ หลวงพ่อพระเสริม พระใสและพระพุทธรูปอ่นื ๆ มาไวท้ ่วี ดั หอก่องหรือวดั ประดษิ ฐธ์ รรมคุณใน ปี พ.ศ.๒๓๗๑ แลว้ กไ็ มป่ รากฏวา่ ไดม้ กี ารแยกพระพทุ ธรูปทง้ั หมดไปไวท้ ว่ี ดั อ่นื แต่ประการใด ๗. เหตกุ ารณ์ทเ่ี มอื งหนองคาย พ.ศ. ๒๓๗๙-๒๓๘๒ ฝ่ายเจา้ เมอื งหนองคายเมอ่ื มกี ารอญั เชิญพระเสรมิ และพระใส มาไวท้ เ่ี มอื งหนองคาย แลว้ กเ็ อาธุระในการ เคารพบูชาตามสมควรเพราะบา้ นเมอื งสมยั นนั้ ยงั อยู่ในภาวะ สงครามดงั จะปรากฏว่าตง้ั แต่ปี พ.ศ.๒๓๗๒-๒๓๗๖ นน้ั มกี ารยกกองทพั มาผ่านและแวะพกั ทห่ี นองคายหลายครง้ั ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๗๙ ไดเ้กดิ เหตุอศั จรรยข์ ้นึ ทว่ี ดั หอ ก่องกล่าวคือเกิดแผ่นดินไหวทาํ ใหเ้ กิดเป็น รอยแยกขนาดใหญ่ต่อหนา้ พระเสริมดงั ปรากฏในพงศาวดารย่อเมอื ง เวยี งจนั ทนฉ์ บบั ท่ี ๒ วา่ ‚ศกั ราชได้ ๑๙๘ ปี ฮวยสนั เดือน ๖ ข้นึ แปดคาํ่ วนั เสาร์ ม้อื เต่าสี ยามกองแลง (ประมาณบา่ ย ๓ โมงเศษ) แผ่นดนิ ยะ (แยกหรอื แผ่นดนิ ไหวจนแตกออกเป็นหลุมกวา้ ง) ณ วดั หอก่อง ตรงหนา้ พระเสรมิ แล‛ การเกดิ เหตอุ ศั จรรยด์ งั กลา่ วทาํ ใหม้ กี ารวพิ ากษว์ จิ ารณ์กนั ของชาวเมอื งและขา้ ราชการไปต่างๆ นานา บา้ งก็ ว่าเป็นอาเพศบา้ นเมอื งจะทุกขร์ อ้ น บา้ งก็ว่าเป็นลางบอกเหตุว่าพระเสริมตอ้ งการยา้ ยไปวดั อ่ืน บา้ งก็ว่าวดั หอก่อง

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๙๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ เป็นวดั เลก็ ๆ ไม่เหมาะสมท่จี ะเอาพระพุทธรูปท่พี ระมหากษตั ริยท์ รงสรา้ งมาไวใ้ นท่แี คบๆ เช่นน้ี เป็นตน้ เม่อื เป็น เช่นนน้ั ทางเจา้ เมอื งและกรรมการเมอื งหนองคายจงึ ไดป้ รกึ ษากนั ว่าจะ ทาํ อย่างไรในท่สี ุดกม็ มี ติว่าจะตอ้ งหาสถานท่ี เพอ่ื สรา้ งเป็นวดั และอญั เชญิ พระเสรมิ ไปประดษิ ฐานอยู่ซง่ึ สถานทด่ี งกลา่ วกค็ ือวดั ผผี วิ หรอื วดั โพธ์ิชยั ซง่ึ เป็นวดั รา้ ง ไมม่ พี ระสงฆจ์ าํ พรรษาแต่มเี จดยี โ์ บราณทส่ี วยงามอยูแ่ สดงวา่ ทด่ี งั กลา่ วมคี วามสาํ คญั มาแต่ครง้ั อดีต ดงั นน้ั จึงมมี ติ ในการบูรณะวดั โพธ์ชิ ยั เมอ่ื คณะกรรมการเมอื งมมี ตดิ งั กล่าวแลว้ เจา้ เมอื งกไ็ ดน้ าํ ความเขา้ ปรกึ ษากบั ท่าน ญาครูหลกั คาํ ผูเ้ป็นพระเถระชนั้ ผูใ้ หญ่ของเมอื งหนองคาย (นยั ว่ามศี กั ด์เิ ทยี บเท่าเจา้ คณะจงั หวดั ในปจั จบุ นั ) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ พระปทมุ เทวาภบิ าล (ทา้ วสุวอ) เจา้ เมอื งหนองคายจงึ เป็นประธานฝ่ายฆราวาสโดย มที ่านญาคูหลกั คาํ เป็นประธานฝ่ ายสงฆ์ ทาํ การยกวดั โพธ์ิชยั คือการยกฐานะจากวดั ท่ีไม่มีพระสงฆใ์ หเ้ ป็นวดั ท่ีมี พระสงฆอ์ ยู่จาํ พรรษาพรอ้ มกบั บูรณะปฎิสงั ขรณ์เสนาสนะ ท่ีเป็นท่ีจาํ พรรษาของพระสงฆ์ สามเณรเม่อื วนั ท่ี ๒๑ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๓๘๒ ดงั ปรากฏในพงศาวดารย่อฯว่า ‚ศกั ราชได้ ๒๐๑ ปีกดั ไค้ เจา้ เมอื งหนองคายวดั โพ ไชย เดอื น ๓ แรม ๔ คาํ่ วนั เสารแ์ ล‛ เมอ่ื ทาํ การบรู ณะและยกวดั เสรจ็ แลว้ พระปทุมเทวาภบิ าล (ทา้ วสุวอ) เจา้ เมอื ง หนองคายก็ไดน้ ิมนตท์ ่านญา คูหลกั คาํ มาเป็นเจา้ อาวาสวดั โพธ์ิชยั และไดป้ ระกอบพิธีอญั เชิญพระเสริมจากวดั หอก่องมาประดิษฐานท่อี ุโบสถวดั โพธ์ชิ ยั และนบั จากนน้ั มาวดั โพธ์ชิ ยั ก็ไดก้ ลายมาเป็นวดั หลวงคือวดั ประจาํ เมอื ง เหตเุ พราะเจา้ เมอื งเป็นผูส้ รา้ ง(หรือ บูรณะ) อน่ึงภายหลงั จากทาํ พธิ ียกวดั โพธ์ิชยั และอญั เชิญพระเสริมมาไว้ ท่วี ดั โพธ์ิชยั แลว้ ถดั จากนน้ั มาอีก ๑๓ วนั คอื ตรงกบั วนั ท่ี ๔ เดอื นมนี าคม พ.ศ.๒๓๘๒ กเ็ กดิ เหตกุ ารณส์ าํ คญั คอื เกดิ สุรยิ ุปราคาข้นึ ต่อมาวนั ท่ี ๒ เมษายน ปีพ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ไดเ้สดจ็ สวรรคตเสนาบดจี ึง ไดอ้ ภเิ ษกเจา้ ฟ้ามหามงกฎุ ซง่ึ พง่ึ ลาสกิ ขาบทมาเป็นพระเจา้ แผ่นดนิ ในวนั ท่ี ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ โดยพระองค์ ทรงตงั้ พระอนุชาของพระองค์ คอื พระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั เป็นกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) โดยทรงยกย่องพระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั ใหเ้ป็นเสมอื นหน่ึงพระเจา้ แผ่นดนิ สยามเช่นกนั ภายหลงั จากท่ีมีการยกวดั โพธ์ิชยั และอญั เชิญพระเสริมมาไวท้ ่ีวดั โพธ์ิชยั เมอื งหนองคาย เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๘๒ เป็นตน้ มาพระเสรมิ และพระใสก็ไดร้ บั การเคารพบูชาจากชาวเมอื งหนองคายรวมถงึ ขา้ ราชการกรุงเทพฯ ท่ี ไดเ้ดนิ ทางมาราชการทเ่ี มอื งหนองคายเป็นนิตย์ ในสมยั นนั้ วดั โพธ์ชิ ยั มที ่านญาคูหลกั คาํ เป็นเจา้ อาวาส ก็ดาํ เนินการ ปกครองและพฒั นาวดั ตามสมควร โดยไดร้ บั การอุปถมั ภบ์ าํ รุงจากท่านเจา้ เมอื ง คือพระปทุมเทวาภบิ าล (ทา้ วสุวอ) ทาํ ใหว้ ดั ไดร้ บั ความเจริญมาตามลาํ ดบั สาํ หรบั เหตุการณ์บา้ นเมอื งหนองคายในสมยั นน้ั นบั จากปี พ.ศ. ๒๓๙๔ (ปี สวรรคตของพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ) กม็ เี หตกุ ารณส์ าํ คญั ๆเกดิ ข้นึ ดงั น้ี พ.ศ. ๒๓๙๔ เม่อื พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั สวรรคตแลว้ ทางราชการไดม้ หี มายตราใหห้ ลวง ทพิ ยจ์ าํ นวจ (ตาํ รวจ) เมอื งโคราชเป็นขา้ หลวงเชญิ ทอ้ งตราข้นึ มาแจง้ แก่ขา้ ราชการและประชาชนในเขตเมอื งหนองคาย และเมอื งใกลเ้คียงว่าพระเจา้ อยูห่ วั สวรรคตแลว้ มปี ระกาศใหเ้จา้ นายและ กรรมการ (ทป่ี กครองบา้ นเมอื ง) โกนศีรษะ ทกุ คนเพอ่ื เป็นการไวท้ กุ ขแ์ ก่พระเจา้ แผ่นดนิ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๙ เดอื นพฤษภาคม ๒๓๙๔

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๙๗  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พ.ศ.๒๓๙๕ พระปทมุ เทวาภบิ าล (ทา้ วสุวรวงษา) เจา้ เมอื งหนองคายถงึ แก่อนิจจกรรม เมอ่ื วนั อาทติ ยท์ ่ี ๒๐ เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๓๙๕ ตรงกบั วนั ข้นึ ๑๑ คาํ่ เดือน ๕ เวลาประมาณ ๓ โมงเชา้ ชาวเมืองไดพ้ ากนั จดั งาน บาํ เพญ็ กศุ ลใหเ้จา้ เมอื งและเกบ็ ศพไวร้ อพระราชทานเพลงิ ศพต่อไป พ.ศ. ๒๓๙๖ คณะกรรมการเมอื งและชาวเมอื ง ไดท้ าํ การฌาปนกิจหรือพระราชทานเพลงิ ศพท่านพระปทุม เทวาภบิ าลเมอ่ื วนั ท่ี ๑๖ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๓๙๖ ตรงกบั วนั พฤหสั บดี แรม ๔ คาํ่ เดอื น ๓ พ.ศ. ๒๓๙๗ ทางราชการไดม้ พี ระบรมราชโองการแต่งตงั้ ใหท้ า้ วเสอื ราชบุตรเมอื งยโสธรผูเ้ป็นอปุ ฮาดเมอื ง หนองคาย (ตามพงศาวดารเรยี กช่อื อปุ ฮาดท่านน้ีว่าอปุ ฮาดบา้ นสงิ โคก) เป็นทพ่ี ระปทมุ เทวาภบิ าลเจา้ เมอื งหนองคาย พ.ศ. ๒๓๙๘ พระครูหอพระแกว้ ฟากใน (ฝงั่ ซา้ ย) รูปท่มี เี ป็นญาคูหลกั คาํ (เทยี บไดก้ บั เจา้ คณะเมอื งหรือ จงั หวดั ) ซ่งึ ท่านไดม้ าเป็นเจา้ อาวาสวดั โพธ์ิชยั ตามคาํ อาราธนานิมนตข์ องพระปทมุ เทวาภบิ าล (ทา้ วสุวรวงศา) เจา้ เมอื ง หนองคาย ผูส้ รา้ งวดั โพธ์ิชยั ไดม้ รณภาพ ในวนั ท่ี ๑๖ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๙๘ ตรงกบั วนั องั คาร ข้นึ ๖ คาํ่ เดือน ๑๑ ชาวเมอื งไดจ้ ดั การทาํ พิธีฌาปนกิจศพท่านเม่อื วนั ท่ี ๑๘ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๓๙๘ ตรงกบั วนั ศุกร์ ข้นึ ๑๒ คาํ่ เดือน ๒ ต่อมาวนั ท่ี ๓๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๓๙๘ ตรงกบั วนั อาทิตยแ์ รม ๑๐ คาํ่ เดือน ๔ เจา้ หน่อคาํ ผูเ้ ป็นขา้ หลวงก็ ยกข้นึ มาสกั เลขท่เี มอื งหนองคาย๓๐ ๘. เหตกุ ารณ์ทเ่ี มืองหนองคาย พ.ศ. ๒๓๙๙-๒๔๐๐ สาํ หรบั เหตกุ ารณ์ท่เี มอื งหนองคายในช่วงสมยั น้ีถอื ไดว้ ่าเป็นเหตกุ ารณท์ ม่ี ี ความคาบเก่ยี วกบั ประวตั ิหลวง พอ่ พระใสและพระพทุ ธรูปทอ่ี ญั เชญิ มาจาก เมอื งมหาชยั กองแกว้ คือพระสายน์ (ใส) และพระแสนอยู่หลายตอนเป็น เหตใุ หผ้ ูเ้รยี บ เรยี งประวตั หิ ลวงพ่อพระใสเดิมมกั จะเกดิ ความสบั สนในการเรยี บเรียงลาํ ดบั เหตุการณต์ ่างๆ ท่เี กดิ ข้นึ ในเมอื งหนองคายทาํ ใหป้ ระวตั ขิ องหลวงพอ่ พระใสเกดิ ความคลาดเคลอ่ื น ๘.๑) เจา้ หน่อคาอญั เชญิ พระสายน์ (ใส) และพระแสนเมอื งมหาชยั กองแกว้ มาทเ่ี มอื งหนองคาย ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๙๙ นน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (ร. ๔)ได้ ทรงมพี ระกระแสรบั สงั่ ใหเ้จา้ หน่อคํา ซ่ึงเป็นขา้ หลวงฝ่ ายในออกมาทาํ การสกั เลกคือ การข้ึนทะเบียนประชาชนเพ่ือสาํ รวจ ว่าแต่ละทอ้ งท่ีมี ประชาชนอยู่มากนอ้ ยเทา่ ไหร่เมอื เกดิ ศึกสงครามกอ็ าจจะเรียก ใหเ้ขา้ รบั ราชการได้ เป็นตน้ เมอ่ื เจา้ หน่อคาํ ไดร้ บั พระ ราชโองการแลว้ ก็ออกเดนิ ทางมาถงึ เมอื งหนองคายเมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ เดือนมนี าคม พ.ศ.๒๓๙๘ ตรงกบั วนั จนั ทร์ แรม ๑๑ คาํ่ เดอื น ๔ เมอ่ื เจา้ หน่อคาํ ข้นึ มาท่เี มอื งหนองคายก็พกั อยู่ทเ่ี มอื งหนองคายและดาํ เนินการชาํ ระเลขอยู่เป็นเวลาถงึ ๑ ปี คร่งึ โดยไดเ้ดนิ ทางกลบั กรุงเทพฯเมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๙ ในช่วงเวลา ๑ ปีคร่งึ นน้ั เจา้ หน่อคาํ ไดเ้ดนิ ทางไปทเ่ี มอื งมหาชยั กองแกว้ และไดอ้ ญั เชญิ เอา พระสายนแ์ ละพระแสนมาจากถาํ้ ในเมอื งมหาชยั กองแกว้ มาไว้ ท่วี ดั โพธ์ชิ ยั ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๙๘–๙๙ หลงั จากนน้ั ท่านก็เดินทางกลบั เหตทุ ่เี ช่อื อย่างนน้ั กเ็ พราะช่อื ของเจา้ หน่อคาํ นนั้ ไดป้ รากฏอยู่ในประวตั ิของพระสายนว์ ดั ปทุมวนาราม ซ่งึ เป็นพระราชนิพนธข์ องพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ซง่ึ มขี อ้ ความทเ่ี ก่ยี วเน่ืองกบั การไดม้ าซง่ึ พระสายนค์ วามว่า ๓๐ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๕๕-๖๔.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๙๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ‚……ครนั้ พระพทุ ธศกั ราชลว่ งได้ ๒๔๐๐ พระราชาผูเ้ป็นพระเจา้ แผ่นดินสยามทรงพระนามว่าพระปรเมนทร มหามกฎุ ฯ ผูท้ รงนบั ถอื พระพทุ ธานิรตั นตรยั ทรงครองความเป็นใหญ่ในแควน้ ทง้ั หมายมแี ควน้ ลาวเป็นตน้ ดว้ ย โดย ธรรมทรงอุปถมั ภพ์ ระพทุ ธศาสนาทุกถ่นิ แควน้ อย่างท่เี ดียวตรสั ใชร้ าชเสวกซ่งึ เป็นเจา้ ลาวองคห์ น่ึงช่อื เจา้ หน่อคาํ ไป เมอื งลาวดว้ ยพระราชกรณีกจิ อยา่ งหน่ึง เจา้ หน่อคาํ นน้ั ไปถงึ เมอื งลาวไดย้ นิ กิตติศพั ทข์ องพระสายนซ์ ง่ึ แพร่ไปอย่างดี ในเวลานนั้ ก็ไปยงั เมืองมหาชยั จึงไดเ้ ห็นพระสายน์ดว้ ยตนเอง ประดิษฐานเป็นอนั ดีอยู่ในถาํ้ ใกลเ้ มอื งนนั้ เป็น สาธารณะแก่คนหมู่มากไม่มกี ารคุม้ แรงรกั ษาเขาบูชากนั อยู่ตามกาลานุกาล จึงอา้ งพระนามในหลวงเชิญเอาพระ ปฏมิ านนั้ มาจนถงึ พระนครน้ีโดยราชานุภาพของพระเจา้ แผ่นดนิ สยาม กราบทูลความเป็นไปทง้ั ปวงแลว้ กน็ อ้ มเกลา้ ฯ ถวายแด่พระเจา้ แผ่นดนิ ‛ จากพระราชนิพนธเ์ ร่อื งประวตั ิพระสายนด์ งั กล่าวทาํ ใหเ้ราทราบว่าเจา้ หน่อคาํ คือผูท้ ่ไี ปอญั เชิญพระสายน์ จากเมอื งมหาชยั กองแกว้ มาท่วี ดั โพธ์ิชยั จงั หวดั หนองคายอย่างไม่ตอ้ งสงสยั จะมขี อ้ ผดิ พลาดก็คือปี พ.ศ.ทร่ี ะบุใน พระราชนิพนธไ์ มต่ รงกบั พ.ศ.ท่ี เจา้ หน่อคาํ เดินทางมาชาํ ระเลกทเ่ี มอื งหนองคายตามทร่ี ะบไุ วใ้ นพงศาวดารย่อเมอื ง เวยี งจนั ทร์ และเร่อื งทก่ี ล่าวว่าพระสายนน์ น้ั เจา้ หน่อคาํ เป็นผูน้ าํ มาถวายแด่พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ซ่ึงความจริงแลว้ ทา้ วเหม็นหรือขุนศรีวรโวหารเป็นผูอ้ ญั เชิญเขา้ กรุงเทพฯ แต่นนั่ ก็อาจสนั นิษฐานไดว้ ่าอาจเป็น ขอ้ ความในเชงิ พรรณาเพอ่ื ใหเ้กยี รตกิ บั เจา้ หน่อคาํ ผูซ้ ง่ึ เป็นผูอ้ ญั เชญิ มาจากเมอื งมหาชยั กองแกว้ หรอื อกี นยั หน่ึง อาจ เป็นไปไดว้ ่าเมอ่ื เจา้ หน่อคาํ อญั เชิญพระสายนก์ บั พระแสน มาจากเมอื งมหาชยั แลว้ นาํ มาพกั ไวท้ ว่ี ดั โพธ์ิชยั เมอ่ื ท่าน เดนิ ทางกลบั ถึงกรุงเทพฯก็ไดเ้ขา้ ถวายรายงานแด่พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เม่อื ทรงทราบจงึ ใชใ้ หน้ าย เหมน็ เดินทางข้นึ มาอญั เชญิ เขา้ กรุงเทพฯทงั้ น้ี เพราะเจา้ หน่อคาํ พ่งึ กลบั มา ดงั นน้ั จงึ ไดข้ อ้ สรุปเก่ยี วกบั พระสายนว์ ่า เจา้ หน่อคาํ เป็นผูอ้ ญั เชิญมาจากถาํ้ ใน เมอื งมหาชยั กองแกว้ มาไวท้ ว่ี ดั โพธ์ิชยั จงั หวดั หนองคาย เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๙๘– ๒๓๙๙ ๘.๒ พระบาทสมเด็จพระปิน่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั มกี ระแสรบั สงั่ ใหข้ ุนวรธานีและเจา้ เหมน็ อญั เชิญพระเสริมเขา้ กรุงเทพฯ ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั จะเป็นเพราะความทพ่ี ระองคเ์ ป็นผูท้ ่มี คี วามสนพระไทยในเร่ือง ของศิลปวฒั นธรรมของอสี าน หรือพระพทุ ธรูปอสี านหรือลาว เหตุเพราะพระองคน์ นั้ เป็นผูท้ ่มี คี วามสามารถในการ ตรสั หรอื นิพนธภ์ าษาอสี าน/ลาว ไดอ้ ย่างคลอ่ งแคล่วประการหน่ึง หรอื จะเป็นเพราะพระองคม์ พี ระราชประสงคจ์ ะได้ พระพุทธรูปขนาดใหญ่เพ่อื มาประดิษฐานเป็นพระประธานท่วี ดั บวรสถานมงคล หรือวดั พระแกว้ วงั หนา้ ท่ที รงให้ สรา้ งข้นึ ท่ีบริเวณพระราชวงั บวรสถานมงคล ซ่งึ พระอุโบสถนน้ั ยงั ไม่เสร็จดีพอ ประการหน่ึงหรือทรงทราบว่ามี พระพทุ ธรูปลา้ นชา้ ง ทส่ี มเด็จกรมพระราชวงั บวรสถานมงคลมหา ศกั ด์ิพลเสพยท์ รง มพี ระรบั สงั่ ใหอ้ ญั เชญิ มาตงั้ ตง้ั ครงั้ สงครามปราบกบฏเวยี งจนั ทร์ แต่ยงั คงคา้ งอยู่ท่เี มอื งหนองคายนนั้ ยงั มอี ยู่ประการหน่ึง และไม่ว่าจะเป็นเพราะ เหตผุ ลประการใดปรากฏในปี พ.ศ. ๒๓๙๙ พระองคท์ รงมพี ระราชกระแสรบั สงั่ ใหข้ นุ วรราชธานี และทา้ วเหมน็ เป็น ขา้ หลวงข้นึ มาอญั เชญิ พระเสรมิ จากเมอื งหนองคายไปกรุงเทพฯ ดงั ปรากฏในพงศาวดารย่อฯ ความตอนหน่ึงว่า “เดือน ๓ ข้นึ ๙ คา่ ม้อื เต่าเสด็ ขนุ วรธานีและเจา้ เหมน็ เป็นขา้ หลวงมาเอาพระเสมิ ยกจากเมอื งหนองคายไป ไทยกป็ ีนนั้ ”

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๙๙  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง โดยขนุ วรธานี และเจา้ เหมน็ (บุตรเจา้ อนุวงศ)์ เดนิ ทางมาท่เี มอื งหนองคายและมรี บั สงั่ ใหอ้ ญั เชิญพระเสริม เขา้ กรุงเทพฯไดเ้ดินทางมาถงึ เมอื งหนองคายในวนั ท่ี ๓ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๓๙๙ กไ็ ดท้ าํ พธิ ีอญั เชญิ พระเสริมจากวดั โพธ์ิชยั เขา้ กรุงเทพฯ อน่ึง เป็นท่ีน่าสงั เกตว่าการเดินทางข้นึ มาอญั เชญิ พระเสริมของขุนวรธานี และเจา้ เหมน็ นน้ั อยู่ ในช่วงทเ่ี จา้ หน่อคาํ กย็ งั คงปฏิบตั ิราชการอยู่ทเ่ี มอื งหนองคาย โดยยงั ไม่เดินทางกลบั เพราะวนั ท่ี ๓ ก.พ.๒๓๙๙ ยงั อยู่ในเดือน ๓ แต่ตามหลกั ฐานท่บี นั ทกึ ไวใ้ นพงศาวดารย่อฯบอกว่าเจา้ หน่อคาํ ออกเดินทางจากเมอื งหนองคายเขา้ กรุงเทพฯเมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ เดือนพฤษภาคม ๒๓๙๙ แสดงว่าถา้ เจา้ หน่อคาํ ยงั ปฏบิ ตั ริ าชการอยู่ทเ่ี มอื งหนองคายในช่วง ตง้ั แต่ เดือนมกราคม-พฤษภาคม ๒๓๙๙ ก็ตอ้ งไดเ้ขา้ ร่วมหรือมสี ่วนร่วมกบั พธิ ีการอญั เชญิ พระเสริมเขา้ กรุงเทพฯ อย่าง แน่นอน และเจา้ หน่อคาํ นนั่ เองทเ่ี ป็นผูน้ าํ เร่อื งราวต่างๆเขา้ กราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ใน เร่อื งของพระสายน์ และพระแสนจนเป็นเหตใุ หม้ กี ารสงั่ ทา้ วเหมน็ ใหเ้ดินทางกลบั มาอญั เชิญพระสายนเ์ ขา้ กรุงเทพฯ ในระยะหลงั อน่ึง ในการอญั เชญิ หลวงพ่อพระเสริมเขา้ กรุงเทพฯในครง้ั น้ีมเี ร่อื งเลา่ ประกอบ เหตกุ ารณว์ ่าเมอ่ื ขนุ วรธานี และเจา้ เหม็นเดินทางมาถึงและดาํ ริท่ีจะอญั เชิญหลวงพ่อพระเสริมไปกรุงเทพฯก็มี การอญั เชิญหลวงพ่อพระใสท่ี ประดษิ ฐานอยู่วดั หอก่องเขา้ กรุงเทพฯดว้ ย ดงั ปรากฏในประวตั ิหลวงพ่อพระใสวดั โพธ์ชิ ยั ตอนหน่ึงว่า “ขุนวรธานี ชะรอยจะไดท้ ราบวา่ พระใสค่กู บั พระเสริมจงึ ไดอ้ ญั เชญิ พระใสจากวดั หอ ก่องข้นึ สู่เกวยี นนยั ว่าจะเชญิ ลงไปกรุงเทพฯ พรอ้ มกบั พระเสริม” ซง่ึ ในการอญั เชญิ ครงั้ นนั้ กไ็ ดม้ เี หตกุ ารณ์ท่สี าํ คญั เกดิ ข้นึ คือเหตกุ ารณเ์ กวยี นหกั อนั เน่ืองมาจาก ปาฏหิ าริยข์ องพระใสซงึ ในหลกั ฐานของวดั โพธ์ชิ ยั ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ่า ‚..พออญั เชญิ มาถงึ วดั โพธ์ชิ ยั คนทเ่ี ป็นพราหมณ์ผู้ อญั เชิญหลวงพ่อไปนน้ั ไม่สามารถลากเกวยี นซ่งึ ประดิษฐฐ์ านหลวงพ่อฯใหเ้คล่อื นท่ตี ่อไปได้ แมว้ ่าจะใชเ้ คร่ืองฉุดก็ สุดสามารถเช่นเดียวกนั แมท้ าํ การออ้ นวอนดว้ ยประการต่างๆ กไ็ มเ่ ป็นผล จนในท่สี ุดเกวยี นกไ็ ดห้ กั ลง คราวน้ีไดห้ า เกวยี นใหมม่ าประดษิ ฐานแต่กเ็ กดิ อศั จรรยอ์ กี เพราะไม่สามารถจะทาํ ใหเ้คลอ่ื นทต่ี ่อไปได้ เมอ่ื เป็นเช่นน้ีจงึ ปรึกษากนั ว่าจะอญั เชิญไปประดิษฐานไวท้ ่ีวดั โพธ์ิชยั แลว้ ก็ทาํ การออ้ นวอนเป็นผลดงั ใจนึกพอใชค้ นเขา้ มาหามเพียง ๕ คน เทา่ นน้ั องคห์ ลวงพอ่ ฯกถ็ กู ยกข้นึ ประดิษฐานไวใ้ นพระอุโบสถวดั โพธ์ชิ ยั (อยา่ งงา่ ยดาย)..‛ อน่ึงในการอญั เชิญพระเสริมเขา้ กรุงเทพฯ น้ีไดม้ ีหลกั ฐานยืนยนั ว่า ฝ่ ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๔ ไมท่ รงทราบมาก่อน ดงั ปรากฏในพระราชนิพนธค์ วามตอนหน่ึงว่า “ฉนั จะว่าแต่ส่วนตวั ฉนั แล การในแผ่นดินปจั จุบนั น้ี พระเสริมนนั้ วงั หนา้ ท่านไปรบั มา เมอื่ ท่านจะไปรบั หรือเมอื่ รบั มาเขา้ วงั ท่านก็ไม่ไดบ้ อก กลา่ วใหฉ้ นั รูด้ ว้ ยเลย” แสดงว่าการไปอญั เชญิ หลวงพ่อพระเสริมในคราวนนั้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ มไิ ดเ้ป็นผูด้ าํ เนินการ แต่ เป็นพระบาทสมเด็จพระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั ซง่ึ พระองคต์ อ้ งการมพี ระพทุ ธรูปไวป้ ระจาํ ท่พี ระราชวงั บวรสถานมงคลตรง สว่ นวดั บวรสถานมงคลซง่ึ กาํ ลงั สรา้ งนน้ั จงึ ไดข้ อ้ สรุปเป็นเบ้อื งตน้ ว่าการอญั เชญิ พระเสรมิ เขา้ กรุงเทพฯ นนั้ ไดด้ าํ เนินการในวนั ท่ี ๓ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๓๙๙ ตามพระกระแสรบั สงั่ ของพระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั พระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั โดยผูร้ บั สนองพระบรมราชโองการคอื ขนุ วรธานีและทา้ วเหมน็

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๐๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๘.๓) พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รบั สงั่ ใหอ้ ญั เชญิ พระสายน์ และพระแสน เมอื งมหาชยั กอง แกว้ เขา้ กรุงเทพฯ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๐๐ เมอ่ื ขา้ ราชการวงั หนา้ ไดอ้ ญั เชญิ พระเสรมิ มาประดษิ ฐานไวท้ ่กี รุงเทพฯ แลว้ ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั ก็ไดก้ ราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ว่าไดอ้ ญั เชิญพระเสริมเมอื งเวียงจนั ทรม์ าแลว้ และ ตง้ั ใจจะใหเ้ ป็นพระประธานท่วี ดั บวรสถานมงคล เมอ่ื เป็นเช่นนน้ั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ จึงมพี ระราชดาํ ริให้ สรา้ งวดั ปทุมวนารามข้นึ ท่ที ุ่งนาสระปทุม และสมเด็จองคน์ อ้ ยไดอ้ พยพ (เกณฑ)์ คนลาวท่เี ดินทางมาอยู่กรุงเทพฯ ในช่วงทม่ี กี ารกวาดตอ้ นคนลาวเขา้ กรุงเทพฯ โดยเฉพาะชาวอบุ ลราชธานีใหไ้ ปอาศยั อยู่ท่วี ดั ปทมุ วนารามเพอ่ื ใหเ้ป็นผู้ อุปฎั ฐากวดั และสรา้ งวดั เม่อื สรา้ งเสร็จก็นิมนตพ์ ระลาว (อีสาน) ท่จี าํ วดั อยู่ท่วี ดั บวรนิเวศวหิ าร ไปจาํ พรรษาท่วี ดั ปทมุ วนาราม ทง้ั น้ีกเ็ พ่อื ใหช้ าวลาวอีสาน ท่ไี ปอยู่ก่อนไดม้ ที พ่ี ่ึงและเขา้ ไดก้ บั พระอีสานท่นี ิมนตไ์ ปอยู่ จากนนั้ ก็ทรง ดาํ รไิ ปถงึ เร่อื งของพระสายน(์ ใส) และพระแสนทเ่ี จา้ หน่อคาํ อญั เชญิ มาจากเมอื งมหาชยั กองแกว้ ยงั คงคา้ งอยู่ท่วี ดั โพธ์ิ ชยั เมอื งหนองคาย เมอ่ื สรา้ งวดั และอพยพผูค้ นไปอยู่ก็สมควรท่จี ะมพี ระประธานจงึ ทรงมพี ระราชประสงคใ์ หอ้ ญั เชญิ พระสายน(์ ใส) กบั พระแสนเมอื งมหาชยั มากรุงเทพฯ ซ่ึงพระราชดาํ ริและภารกิจท่ที รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ ดาํ เนินการนน้ั ปรากฏอยู่ในพระบราราชาธิบายความตอนหน่ึงวา่ ‚เมอ่ื วงั หนา้ ท่านบอกฉนั ว่าพระเสริมนนั้ เชญิ มาจะตงั้ เป็นประธานในวดั บวรวาสสถานสุทธา ครง้ั นนั้ ฉนั ไป จบั สรา้ งวดั ปทุมวนั ลงก็คนรกั ษานาประทุมวนั นน้ั สมเด็จองคน์ อ้ ยชกั เอาพวกลาวเวียงจนั ทนก์ ลบั ใจไปตงั้ ฉนั จึง นิมนตพ์ ระคณะลาววดั บวรนิเวศนไ์ ปอยู่วดั นน้ั เพอ่ื จะใหไ้ ดอ้ าศยั ชอบพอกนั เมอ่ื วดั เป็นวดั ลาวไปดงั น้ี จงึ ไดค้ ิด เพลนิ ไปว่าพระใสคู่กบั พระเสริมยงั มอี ยู่ในเมอื งหนองคายอกี องคห์ น่ึง ถา้ แมน้ ไดม้ าไวท้ ว่ี ดั ปทมุ วนั แทนพระเสรมิ … ฉนั จงึ ไดใ้ หน้ ายเหมน็ บุตรเจา้ อนุเวยี งจนั ทนข์ ้นึ ไปอญั เชญิ พระใสลงมา แลว้ เชิญพระแสนอยู่ในถาํ้ เมอื งมหาไชยลงมา ดว้ ย….‛ จึงเป็นอนั ว่าเม่อื ทรงมพี ระราชดาํ ริและพระราชประสงคเ์ ช่นนน้ั จึงมพี ระบรมราชองคก์ ารใหน้ ายเหม็นหรือ หลวงศรีโวหารเป็นขา้ หลวงข้ึนมาอญั เชิญพระสายน์และพระแสนเมืองมหาชยั ท่ีประดิษฐานอยู่ท่ีวดั โพธ์ิชยั เมือง หนองคายลงมากรุงเทพฯ ฝ่ายหลวงศรีโวหารเม่อื เดนิ ทางมาถงึ เมอื งหนองคายกไ็ ดอ้ ญั เชิญพระสายน์ (ใส) และพระ แสนเขา้ กรุงเทพฯ เมอ่ื วนั ท่ี ๑ มถิ นุ ายน พ.ศ.๒๔๐๐ (ตรงกบั วนั จนั ทร์ ข้นึ ๙ คาํ่ เดอื น ๗) ดงั ปรากฏในพงศาวดารย่อ ฯ ว่า “ศกั ราชได้ ๑๒๑๙ ตวั ปีมะเสง็ นพศก เดือน ๗ ข้นึ ๙ คา่ วนั จนั ทรห์ ลวงศรีโวหาร(ทา้ วเหมน็ ) เป็นขา้ หลวง ข้นึ มา(อญั เชญิ )พระใสยกไปไทยม้อื นนั้ อกี เลา่ แล” ๓๑ จึงเป็นอนั ว่าหลวงพ่อพระสายน์ (ใส) และหลวงพ่อพระแสนเมืองมหาชยั กองแกว้ ก็ไดถ้ ูกอญั เชิญเขา้ กรุงเทพฯในปี พ.ศ.๒๔๐๐ ถดั จากท่ีพระเสริมถูกอญั เชิญไปก่อน ๑ ปี และเม่อื พระสายน์(ใส) และพระแสนถูก อญั เชิญไปแลว้ ต่อมาวนั ท่ี ๑๐ เดือนกนั ยายน พ.ศ.๒๔๐๐ทา้ วเคนเป็นท่พี ระปทุมเทวาภบิ าล ต่อจากทา้ วสุวอเมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ เดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๓๙๘ ก็ถึงแก่อนิจจกรรม กล่าวคือเม่อื อญั เชิญพระสายน(์ ใส) พระแสนไป กรุงเทพฯได้ ประมาณ ๓ เดอื นเจา้ เมอื งหนองคายกม็ รณภาพ ๓๑ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๖๕-๗๐.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๐๑  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๘.๔) หลวงพ่อพระใสประดิษฐานอยู่ทวี่ ดั โพธชิ์ ยั มาตงั้ แต่ปี พ.ศ.๒๓๙๙-ปจั จุบนั หลงั จากท่พี ระบาทสมเด็จพระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั รบั สงั่ ใหข้ นุ วรธานีและทา้ ว เหมน็ ข้นึ อญั เชิญพระเสริมท่ี เมอื งหนองคายไปกรุงเทพฯ แลว้ เหตุการณ์ครงั้ นนั้ มปี รากฏตามตาํ นานว่าขุนวรธานีไดใ้ หม้ กี ารอญั เชิญพระใสมา สมทบกบั พระเสรมิ ทว่ี ดั โพธ์ชิ ยั เพอ่ื จะอญั เชญิ ไปทก่ี รุงเทพฯพรอ้ มกนั แต่ก็ปรากฏว่ามเี หตุการณ์ทน่ี ่าอศั จรรยเ์ กดิ ข้นึ คือเกวยี นท่ใี ชอ้ ญั เชิญหลวง พ่อพระใสนนั้ พอมาถงึ หนา้ พระอโุ บสถวดั โพธ์ิชยั แลว้ ก็ไมส่ ามารถทจ่ี ะเคลอ่ื น ท่ตี ่อไป แมว้ ่าจะใชก้ าํ ลงั คนเท่าไหร่กต็ ามจนในทส่ี ุดเกวยี นกห็ กั ลง แมเ้ปลย่ี นเกวยี นเลม่ ใหม่ กม็ เี หตกุ ารณ์เกวยี นหกั เช่นเดมิ ทางผูอ้ ญั เชิญจึงปรึกษากนั ว่าชะรอยหลวงพ่อพระใสจะตอ้ งการประดิษฐานท่ีวดั โพธ์ิชยั เพ่ือเป็นม่ิงขวญั ใหก้ บั ประชาชนในเมอื งหนองคายสบื ไป จากนน้ั ก็ใชค้ นหามเพยี งไมก่ ่ีคนกส็ ามารถยกหลวงพ่อพระใสเขา้ ไปประดิษฐานท่ี อโุ บสถไดโ้ ดยงา่ ย และเหตุการณด์ งั กลา่ วจึงเป็นท่มี าของช่อื ทช่ี าวบา้ นไดเ้รียกขานหลวงพ่ออกี ช่อื หน่ึงว่า ‚หลวงพ่อ เกวียนหกั ‛ และนบั จากนน้ั เป็นตน้ มาหลวงพ่อพระใสก็ไม่ไดม้ ีการเคล่อื นยา้ ยไปไหนเลย นบั เวลาตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๓๙๙–ปจั จบุ นั (๒๕๕๘) รวมเวลาได้ ๑๕๙ ปี และถา้ นบั รวมเวลาตง้ั แต่หลวงพ่อพระใสมาประดษิ ฐานท่วี ดั หอก่อง เม่ือปี พ.ศ.๒๓๗๑ ถึงปจั จุบนั ก็เป็นเวลาถึง ๒๙๑ ปี จึงนบั ไดว้ ่าเป็นบุญของชาวเมืองหนองคาย และจงั หวดั ใกลเ้ คียงท่ีไดม้ ีโอกาสเป็นผูใ้ กลช้ ิดกราบไหวห้ ลวงพ่อเพ่ือเป็น สิริมงคลแก่ชีวิตของตนเองและมีส่วนสืบทอด ประเพณีวฒั นธรรมอนั ดงี ามของพทุ ธศาสนิกชนสบื ไป ๘.๕.๓ อิทธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาททมี่ ตี ่อประเทศลาวในดา้ นสงั คม๓๒ พระพทุ ธศาสนาไดก้ ่อใหเ้กิดความเป็นปึกแผ่นในสงั คมชาวลาวเพราะเป็นรากฐานของวฒั นธรรมประเพณี ความคิด ความเชอ่ื ของประชาชนลาวพธิ กี รรมและวนั สาํ คญั ต่างๆ เช่น ประเพณีทาํ บุญธาตุหลวง เป็นประเพณีประจาํ ชาติท่เี ชิดหนา้ ชูตาของประเทศลาวดา้ นศิลปวฒั นธรรมไดเ้ กิดมศี ิลปกรรม ประติมากรรม สถาปตั ยกรรมทางพุทธ ศาสนามากมาย ลว้ นมีคุณค่าทางดา้ นประวตั ิศาสตรศ์ ิลปกรรมเป็นอย่างมาก นอกจากนนั้ พระพุทธศาสนายงั มี บทบาทในการสงเคราะหช์ ่วยเหลอื ประชาชนในดา้ นต่างๆ เช่นในชมุ ชนต่างๆ พระสงฆเ์ ป็นท่พี ง่ึ ของชุมชนในดา้ นให้ คาํ ปรึกษาช่วยเหลอื ดา้ นการสงเคราะหป์ จั จยั ส่ีแก่ประชาชน วดั ไดเ้ ป็นศูนยก์ ลางการพบปะของชาวบา้ นและทาง ราชการเป็นตน้ ๘.๕.๔ อิทธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาททม่ี ตี ่อประเทศลาวในดา้ นเศรษฐกจิ อทิ ธพิ ลพทุ ธศาสนาดา้ นเศรษฐกิจนน้ั ดา้ นหลกั ธรรมทใ่ี ชใ้ นการประกอบกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ความ ขยนั ประหยดั อดออมนนั้ ดูจะไม่แตกต่างจากประเทศไทยนกั เพราะเป็นประเทศท่มี วี ฒั นธรรมประเพณีไมแ่ ตกต่าง กนั นกั แต่ลกั ษณะของประเทศลาวปจั จบุ นั อยู่ในฐานะประเทศปิด ระบบเศรษฐกจิ จึงเป็นการพ่งึ พาตวั เองมากกว่าการ พง่ึ พาจากต่างประเทศเศรษฐกจิ สว่ นใหญ่เป็นระบบเกษตรกรรม ๘.๕.๕ อทิ ธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาททม่ี ตี ่อประเทศลาวในดา้ นการเมอื ง พระพทุ ธศาสนามคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั การเมอื งอย่างแยกไม่ไดไ้ ม่ว่าจะเป็นประเทศใด พทุ ธศาสนาในประเทศ ลาวนนั้ เมอ่ื เสอ่ื มโทรมกเ็ น่ืองจากไดร้ บั การบบี คน้ั ทาํ ลายจากทางการเมอื ง เช่นในคราวทล่ี ทั ธิคอมมวิ นิสตไ์ ดเ้ขา้ มามี ๓๒ พระศรีธาตุ สงิ หป์ ระทุม และคณะ, การเปล่ยี นแปลงทางการเมืองและพระพุทธศาสนาสมยั สงั คมนิยมในลาว, (ขอนแก่น : บทความ วชิ าการจากศูนยว์ จิ ยั พหุลกั ษณส์ งั คมลมุ่ นาํ้ โขง คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, ๒๕๕๓), หนา้ ๗๔-๙๕.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๐๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ อิทธิพลต่อการเมอื งประเทศลาวไดท้ าํ การปฏวิ ตั ิใหม่ ไดท้ าํ ลายลา้ งสถาบนั สาํ คญั ของประเทศ ไดแ้ ก่สถาบนั ศาสนา และสถาบนั กษตั ริย์ มีพระสงฆถ์ ูกฆ่าตายจาํ นวนมากมาย บางส่วนตอ้ งลาสิกขาออกมาเพ่ือเป็นสมาชิกพรรค คอมมวิ นิสตแ์ ละเมอ่ื พระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ก็ไดร้ บั การสนบั สนุนจากทางการเมอื งเช่นเดยี วกนั ทงั้ ท่ปี รากฏใน อดีตและปจั จุบนั บทบาทของพุทธศาสนาในยุคคอมมิวนิสตค์ รอบครองไดแ้ ก่การเอาพระสงฆเ์ ป็นเคร่ืองมือทาง การเมอื ง เน่ืองจากพระสงฆเ์ ป็นผูท้ ป่ี ระชาชนใหค้ วามเคารพเชอ่ื ถอื โดยรฐั บาลคอมมวิ นิสตข์ ณะนน้ั ไดใ้ หพ้ ระสงฆเ์ ผย แผ่แนวคิดของลทั ธิคอมมวิ นิสตไ์ ปในขณะเทศบรรยายไดจ้ ดั ใหม้ กี ารปาฐกถาในทต่ี ่างๆ โดยมพี ระสงฆร์ ่วมอยู่ดว้ ย ในการเผยแผ่แนวคิดคอมมวิ นิสตน์ น้ั ถูกบงั คบั ใหป้ ระยุกตค์ าํ สอนทางพทุ ธศาสนาเขา้ กบั คาํ สอนของคอมมวิ นิสต์ พระสงฆห์ ลายรูปจาํ เป็นตอ้ งทาํ ตาม บางรูปขดั ขนื ก็จะถูกฆ่าตายอย่างโหดเห้ยี มในปจั จุบนั น้ี บา้ นเมอื งอยู่ในภาวะ สงบ พระพทุ ธศาสนากไ็ ดร้ บั การอปุ ถมั ภจ์ ากรฐั เป็นอย่างดีมกี ารก่อตงั้ สถาบนั การศึกษาของสงฆข์ ้นึ เป็นวทิ ยาลยั สงฆ์ เช่น วทิ ยาลยั สงฆอ์ งคต์ ้อื เป็นวทิ ยาลยั สงฆป์ ระจาํ นครหลวงเวยี งจนั ทนเ์ ป็นตน้ ๓๓ พทุ ธศาสนากบั สงั คมการเมอื งลาว พุทธศาสนาเป็นรากฐานทางสงั คมและวฒั นธรรมของลาว โดยพระสงฆเ์ ป็นผูน้ าและวดั เป็นศูนยก์ ลางของ ชมุ ชน วดั และพระสงฆจ์ งึ เปรียบเสมอื น \"ธรรมนูญวฒั นธรรม\" ทไี่ มไ่ ดเ้ขยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร แต่กาหนดวถิ ชี วี ติ ของชาวลาวยิง่ กว่ากฎหมายบา้ นเมอื งเสียอีก พุทธศาสนายงั เปรียบเสมือน ธรรมนูญชีวิตของพลเรือนชาวลาว โดยเฉพาะอย่างย่งิ ท่เี มอื งหลวงพระบาง มชี ีวติ ผูกติดอยู่กบั พทุ ธศาสนาอย่างแนบแน่นตงั้ แต่เกดิ จนตาย ประเพณีท่ี สาํ คญั เช่น “การทาบุญธาตุหลวง” เป็นท่ีเชิดหนา้ ชูตาของชาวหลวงพระบาง และเป็นเอกลกั ษณ์ของเมอื งอนั เป็น ศูนยก์ ลางพทุ ธศาสนาแหง่ น้ี ภายใตก้ ารปกครองของฝรงั่ เศสในยุคอาณานิคม ฝรงั่ เศสไดแ้ ยกเรอ่ื งรฐั และศาสนาออกจากกนั ตามแนวคิด แบบตะวนั ตก พทุ ธศาสนาจงึ มไิ ดเ้ป็นศาสนาประจาํ ชาตอิ กี ต่อไป และเมอ่ื ฝรงั่ เศสนาํ ระบบการศึกษาแบบตะวนั ตกเขา้ มาในลาว พระสงฆล์ าวกเ็ ร่ิมสูญเสยี บทบาทในดา้ นการศึกษา และการเป็นผูน้ าํ ทางสติปญั ญาแก่สงั คมไปดว้ ย ทาํ ให้ พทุ ธศาสนาของลาวในยุคอาณานิคมเสอ่ื มลง ต่อมาเม่อื กองทพั ญ่ีปุ่นบุกเขา้ ยึดครองประเทศลาวในสงครามโลกครง้ั ท่ีสอง คนลาวไดร้ วมตวั กนั เป็น ขบวนการชาตินิยมลาว ข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ มกี ารปลุกระดมใหส้ าํ นึกถงึ ประวตั ิศาสตร์ และประเพณีวฒั นธรรม ดง้ั เดิมของลาวอนั มพี ุทธศาสนาเป็นศูนยก์ ลาง จึงเกิดความพยายามท่จี ะฟ้ืนฟูพุทธศาสนาข้นึ มาใหม่ พระสงฆท์ าํ หนา้ ทใ่ี นการปลูกฝงั ความรูส้ กึ รกั ชาติ และวดั ไดก้ ลายเป็นศูนยก์ ลางการเคลอ่ื นไหวเพ่อื เรยี กรอ้ งเอกราช พทุ ธศาสนา จงึ มบี ทบาทอยา่ งสาํ คญั ในการต่อสูข้ องประชาชน จากการครอบครองของจกั รวรรดนิ ิยมญ่ีป่นุ ในยุคสงครามโลกครงั้ ทส่ี อง และของอาณานิคมฝรงั่ เศสในยุคต่อมา หลงั ยุคอาณานิคม ลาวตกอยู่ในความยุ่งยากทางการเมอื งอีกครง้ั หน่ึง การต่อสูท้ างอุดมการณ์ระหว่างทุน นิยมประชาธปิ ไตยและสงั คมนิยมคอมมวิ นิสตเ์ กิดข้นึ อย่างเขม้ ขน้ \"ขบวนการประเทศลาว\" ไดน้ าํ พุทธศาสนามาเป็น เคร่ืองมือในการต่อสูก้ บั ระบบทุนนิยม โดยช้ีใหเ้ ห็นว่าหลกั การพระโพธิสตั วท์ ่ีม่งุ ช่วยเหลือผูอ้ ่ืนนนั้ สอดคลอ้ งกบั ๓๓ คณาจารย์ มจร., ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๗๒-๑๗๔.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๐๓  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ระบอบสงั คมนิยม ส่วนระบบทุนนิยมมงุ่ แต่ประโยชนเ์ ฉพาะตวั จึงเป็นระบบทช่ี วั่ รา้ ยและเป็นบาป ขดั กบั หลกั การของ พระโพธิสตั วอ์ ย่างส้ินเชิง มีการเช่ือมโยงว่าผูน้ ําขบวนการประเทศลาวคือพระโพธิสัตวย์ ุคใหม่ท่ีจะมาปลดปล่อย ประชาชน และระบอบสงั คมนิยมจะใหผ้ ลตอบแทนทด่ี งี ามในชาตนิ ้ี โดยไมต่ อ้ งรอไปถงึ ชาติหนา้ ขบวนการประเทศลาวไดส้ รา้ งความไวเ้น้ือเช่ือใจข้นึ ในหม่ปู ระชาชน โดยประกาศนโยบายในการธาํ รงรกั ษา พทุ ธศาสนาว่า “จะเคารพเสรีภาพในการนบั ถือศาสนาและความเชอื่ ของประชาชน จะเผชิญหนา้ กบั การบ่อนทาลาย ศาสนาในทุกรูปแบบ จะปรบั ปรุงฟ้ืนฟูพุทธศาสนาข้นึ มาใหม่ โดยการปฏิสงั ขรณส์ ถูป เจดีย์ วดั วาอาราม และให้ ความเคารพนบั ถอื ต่อพระสงฆ”์ ๓๔ พระพทุ ธศาสนาในระบอบสงั คมนิยมลาว เม่อื สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว ไดร้ บั การสถาปนาข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นโยบายเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนาถูกกาํ หนดไวอ้ ย่างชดั เจน โดยเนน้ ว่าหลกั การของพุทธศาสนาและสงั คมนิยมมคี วามสอดคลอ้ งกนั เพราะต่างกส็ อนใหม้ นุษยม์ คี วามเสมอภาค สมบตั หิ รอื กรรมสทิ ธ์สิ ่วนบุคคลเป็นส่งิ ตอ้ งหา้ ม ทรพั ยส์ นิ หรอื กรรมสทิ ธ์ิ สว่ นรวมไดร้ บั การสนบั สนุน เป้าหมายของพทุ ธศาสนาและสงั คมนิยมคือ การทาํ ใหม้ นุษยป์ ราศจากทกุ ข์ โดยในส่วน บคุ คลคือการละกเิ ลสเพอ่ื บรรลนุ ิพพาน ในส่วนสงั คมคือการปฏวิ ตั สิ งั คมนิยม เพอ่ื ปลดปล่อยชาตแิ ละประชาชนจาก การแสวงหาผลประโยชนข์ องพวกนายทนุ ซง่ึ เป็นสาเหตใุ หญ่ในความทุกขย์ ากของประชาชน ritพทุ ธศาสนาในระบอบสงั คมนิยมลาวไดร้ บั การตีความใหม่ โดยผสมผสานแนวคิดเก่ยี วกบั การต่อสูเ้พ่อื เอกราชอธปิ ไตย และหลกั การของสงั คมนิยมเขา้ ไวด้ ว้ ย นบั ตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นตน้ มา ประเพณีและพธิ กี รรม ในพทุ ธศาสนาถูกประยุกตใ์ ชเ้ ป็นยุทธวธิ ี ในการจดั ระเบยี บทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม เช่น ในการประกอบ พธิ กี รรมทางพทุ ธศาสนา มกี ารอธบิ ายและแทรกแนวคิด ลทั ธิมารก์ ซ-์ เลนิน (Marxism-Leninism) เขา้ ไปดว้ ย เป็น ตน้ นับเป็นการใชพ้ ุทธศาสนาเพ่ือสรา้ งความชอบธรรมใหก้ บั รัฐบาลคอมมิวนิสต์ลาวอย่างไดผ้ ล ทําให้ พระพทุ ธศาสนากบั ลทั ธสิ งั คมนิยมอยู่เคยี งคู่กนั ไดเ้ป็นอย่างดใี นสงั คมนิยมแบบลาว๓๕ ๘.๖ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกมั พชู า ๘.๖.๑ ขอ้ มลู พ้นื ฐานของประเทศกมั พชู า ประเทศกมั พชู าตงั้ อยู่กลางภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตม้ พี รมแดนทศิ เหนือติดกบั ประเทศไทย (จงั หวดั อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทรแ์ ละบุรีรมั ย)์ และลาว (แขวง อตั ตะปือและจาํ ปาสกั ) ทิศตะวนั ออกติดเวียดนาม (จงั หวดั กอนทูม เปลกู ซาลาย ดกั๊ ลกั๊ ส่องแบ๋ เตยนิน ลองอาน ด่งทา๊ บ อนั ซางและเกียงซาง) ทิศตะวนั ตกติด ประเทศไทย (จงั หวดั สระแกว้ จนั ทบรุ ี และตราด)และทศิ ใตต้ ดิ อ่าวไทย ๓๔ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๖๘-๘๘. ๓๕ หอมหวล บวั ระภา, พระพทุ ธศาสนาลาวภายใตอ้ ดุ มการณ์สงั คมนิยม ๒๕๑๘-๒๕๓๓, (ขอนแก่น : บทความวชิ าการตีพมิ พเ์ ผยแพร่จาก ศูนยว์ จิ ยั พหลุ กั ษณะสงั คมลมุ่ นาํ้ โขง คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, ๒๕๕๕), หนา้ ๑๘๖-๒๑๓.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๐๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ประเทศกมั พูชามพี ้นื ท่ที งั้ หมด ๑๘๑,๐๓๕ตารางกโิ ลเมตร หรอื มขี นาดประมาณ ๑ ใน๓ ของประเทศไทย เสน้ เขตแดนโดยรอบประเทศยาวประมาณ ๒,๐๐๐กิโลเมตรโดยมเี สน้ เขตแดนติดต่อกบั ประเทศไทยยาว ๗๙๘ กโิ ลเมตร สภาพภมู ิอากาศ ประเทศกมั พูชามสี ภาพภมู อิ ากาศรอ้ นช้นื มฤี ดูฝนยาวนาน อุณหภูมโิ ดยเฉลย่ี ๒๐–๓๖ องศาเซลเซยี ส เมอื งหลวง ประเทศกมั พชู ามเี มอื งหลวงชอ่ื กรุงพนมเปญ (Phnom Penh) การปกครอง ประเทศกมั พูชาแบ่งการปกครองออกเป็น ๔ กรุง ไดแ้ ก่ กรุงพนมเปญ กรุงไพลนิ กรุงแกบ กรุงพระสีหนุ และ ๒๐ จงั หวดั ไดแ้ ก่ กระแจะ เกาะกง กนั ดาล กมั ปงจาม กมั ปงชนงั กมั ปงทม กมั ปงสะปือ กมั ปอต ตาแกว้ รตั นคีรี พระวหิ าร พระตะบองโพธิสตั บนั เตียเมยี นเจย เปรเวง มณฑลคีรี สตึงเตรง สวายเรียง เสยี มราฐ อดุ รมชี ยั ประชากร ประเทศกมั พูชามปี ระชากรประมาณ ๑๔.๑ ลา้ นคน (ปี ๒๕๔๘) มอี ตั ราการเพ่มิ ของประชากร เฉลย่ี รอ้ ยละ ๒ ต่อปีประกอบดว้ ยชาวเขมร รอ้ ยละ ๙๔ ชาวจนี รอ้ ยละ ๔และอน่ื ๆ อกี รอ้ ยละ ๒ ระบอบการปกครอง กมั พชู ามรี ะบอบการปกครองเป็นประชาธปิ ไตยแบบรฐั สภา โดยมพี ระมหากษตั ริยเ์ ป็น ประมขุ ภายใตร้ ฐั ธรรมนูญสภานิติบญั ญตั ิ ภาษา ประเทศกมั พูชาใชภ้ าษาเขมรเป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาท่ีใชโ้ ดยทวั่ ไป ไดแ้ ก่ องั กฤษ ฝรงั่ เศส เวยี ดนาม จนี และไทย ศาสนา ศาสนาประจาํ ชาติคือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท (แยกเป็น ๒ นิกายย่อย คือธรรมยุตินิกายและ มหานิกาย) และศาสนาอ่นื ๆ อาทศิ าสนาอสิ ลามและศาสนาคริสต์ สกุลเงิน เงนิ เรียล (Riel) อตั ราแลกเปล่ยี น ๔,๐๐๐ เรียลเท่ากบั ๑ ดอลลารส์ หรฐั หรือประมาณ ๑๐๐ เรยี ล เทา่ กบั ๑ บาท ๘.๖.๒ พระพทุ ธศาสนาในกมั พชู า ดนิ แดนประเทศกมั พชู าหรอื เขมรนน้ั ในอดตี หลายพนั ปีมาแลว้ เป็นถ่นิ ฐานของชนชาติมอญ-เขมร อาศยั อยู่ สนั นิษฐานว่า อพยพมากจากอินเดีย ผ่านเขา้ มาทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของคาบสมทุ รอนิ โดจีน แลว้ กระจายกนั อยู่ กระจดั กระจาย มอี าํ นาจครอบครองดนิ แดนคาบสมทุ รอินโดจนี ทงั้ หมดไดผ้ สมผสานกบั คนในทอ้ งถน่ิ เดมิ และกบั คนท่ีอพยพมาทีหลงั ทง้ั ในชาติพนั ธุแ์ ละทางวฒั นธรรมมีความเจริญเพ่มิ ข้นึ ตามลาํ ดบั ต่อมาไดม้ ชี นอินเดียเขา้ มา ติดต่อคา้ ขายและไดน้ าํ เอาวฒั นธรรมอินเดียมาเผยแผ่ดว้ ย ทาํ ใหก้ มั พูชารบั เอาวฒั นธรรมอินเดียมาดว้ ยเมอ่ื พุทธ ศาสนาไดเ้ผยแผ่เขา้ มาสู่สุวรรณภมู ดิ นิ แดนแถบประเทศกมั พูชา เป็นดินแดนแห่งแรกทไ่ี ดเ้อาพทุ ธศาสนาจากอนิ เดีย และไดร้ บั อิทธิพลในดา้ นความเจริญทางดา้ นจิตใจมาจากประเทศอินเดีย ศาสนาแรกท่ีเป็นศาสนาสาํ คญั ของชาว กมั พชู าคอื ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาทร่ี องลงมา คือ พระพทุ ธศาสนา ศาสนาทงั้ สองน้ีไดว้ างรากฐานลงในประเทศน้ี เป็นครงั้ แรก และในปจั จบุ นั น้ี กย็ งั แผอ่ ทิ ธพิ ลออกไปอย่างกวา้ งขวางประชากรส่วนใหญ่ยงั คงนบั ถอื ศาสนาทงั้ สองน้ีอยู่ อาณาจกั รขอมโบราณ มคี วามเช่อื เร่อื งส่งิ เรน้ ลบั ในธรรมชาติ เช่นผีสางนางไม้ และรุกขเทวดา เป็นตน้ อนั เรยี กโดยภาพรวมวา่ “วญิ ญาณนิยม” (Animism) ต่อมาเมอ่ื มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ชนชาติอ่นื โดยเฉพาะอย่างย่งิ อนิ เดยี

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๐๕  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ กไ็ ดร้ บั เอาความเช่ือของศาสนาอ่ืนเขา้ มาดว้ ย ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พทุ ธศาสนามหายาน และพทุ ธ ศาสนาเถรวาทตามลาํ ดบั แต่ในท่สี ุดพทุ ธศาสนาเถรวาทก็ไดร้ บั ชยั ชนะในสงั คมกมั พูชา ทาํ ใหช้ าวกมั พชู าส่วนใหญ่ (กว่ารอ้ ยละ ๙๐) นบั ถอื พทุ ธศาสนาเถรวาทตราบกระทงั่ ปจั จบุ นั คติความเช่ือของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีอิทธิพลต่ออาณาจกั รขอมมาชา้ นาน ทง้ั ในเร่ืองของศาสนา การ ปกครอง ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนพธิ กี รรมต่างๆ ต่อมาเมอ่ื ประมาณสามศตวรรษก่อน คริสตศกั ราช พทุ ธ ศาสนามหายาน (เขา้ มาในสมยั พระเจา้ ราเชนทรวรมนั ท่ี ๒) และพทุ ธศาสนาเถรวาท (เขา้ มาในสมยั พระเจา้ ทเรนวรมนั ท่ี ๒) กไ็ ดเ้ผยแผ่มาถงึ ดินแดนสุวรรณภูมิ และมอี ิทธิพลต่ออาณาจกั รขอมเพ่มิ ข้นึ ตามลาํ ดบั ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ อาณาจกั รขอมนบั ถือทงั้ พทุ ธศาสนามหายาน และเถรวาท (ซ่ึงรบั มาจากอาณาจกั รทวารวดี) งานท่ีสาํ คญั ของ พระองคก์ ค็ อื การสรา้ ง นครธม ซง่ึ มวี หิ ารบายน เป็นศูนยก์ ลางตามคติความเช่อื ของพทุ ธศาสนามหายาน ต่อมาพระเจา้ อนิ ทรวรมนั ท่ี ๓ ทรงใหก้ ารสนบั สนุนพทุ ธศาสนาเถรวาท จนกระทงั่ ถงึ สมยั พระเจา้ ชยั วรมนั พาราเมศวร ทรงโปรดใหม้ ี การจารึกสรรเสรญิ พระเจา้ แผ่นดนิ ดว้ ยภาษาบาลี (แทนท่จี ะเป็นภาษาสนั สกฤตดงั ในอดีต) แสดงใหเ้ห็นว่าอาณาจกั ร ขอมไดเ้ปลย่ี นมานบั ถอื พทุ ธศาสนาเถรวาทโดยสมบูรณ์ พทุ ธศาสนากบั การปกครองในอดีต ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๒ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ผูท้ รงเล่อื มใสพทุ ธศาสนามหายานและหลกั การของพระ โพธสิ ตั ว์ ทรงพจิ ารณาว่า ความทกุ ขท์ ก่ี ลา่ วไวใ้ นพทุ ธศาสนามไิ ดห้ มายเพยี งความทุกขท์ างใจเท่านนั้ แต่ยงั หมายรวม ความทกุ ขท์ างกายอกี ดว้ ย พระองคจ์ งึ ทรงเร่งสรา้ งถนนหนทาง วดั ทพ่ี กั คนเดนิ ทาง สระนาํ้ และโรงพยาบาล (โรคยา ศาลา) เพอ่ื ขจดั ความทกุ ขข์ องทวยราษฎร์ นบั ว่าพระองคท์ รงเป็นนกั ปฏวิ ตั สิ งั คม ผูท้ รงนาํ หลกั การ “ธรรมราชา” ใน พทุ ธศาสนามาใชแ้ ทน “เทวราชา” ตามคตคิ วามเชอ่ื ในศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ในปี ค.ศ.๑๑๘๖ พระองคท์ รงสรา้ ง ปราสาทตาพรม เพ่อื เป็นท่ปี ระดิษฐานภาพสลกั ศิลาของพระมารดา (พระนางศรชี ยั ราชจฑุ ามณี) ในรูปของ พระโพธสิ ตั วป์ รชั ญาปารมิตา อนั เป็นสญั ลกั ษณ์ของปญั ญา และ ปราสาทชยั ศรี เพ่อื เป็นท่ปี ระดิษฐานภาพสลกั ศิลาของพระบดิ า (พระเจา้ ธรณนั ทรวรมนั ) ในรูปของ พระโพธิสตั วอ์ วโลกเิ ตศวร อนั เป็นสญั ลกั ษณข์ องกรุณา ตามคตคิ วามเช่อื ของพทุ ธศาสนามหายาน (โดยเฉพาะอย่างย่งิ นิกายวชั รยาน) ท่วี ่า การ สมรสระหว่างปญั ญากบั กรุณาทาใหเ้ กิดการตรสั รู้ นบั ตงั้ แต่สมยั ของพระองคเ์ ป็นตน้ มา อาณาจกั รกมั พชู าไดพ้ ลกิ โฉมกลายมาเป็นอาณาจกั รแห่งพทุ ธศาสนาโดยแท๓้ ๖ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาของกมั พชู าแบ่งออกเป็น ๔ ยคุ ดงั น้ี ๑.ยุคฟูนัน (Funan, Founan) หรืออาณาจักรพนมหรือยุคก่อนเขมร (พ.ศ.๖๐๐-๑๑๐๐) “ฟนู นั ” เป็นภาษาจนี สนั นิษฐานว่า เพ้ยี นมาจากคาํ เขมรว่า พนม ซ่งึ แปลว่าภูเขาในสมยั น้ีชาวเขมรส่วนใหญ่ นบั ถอื ตามความเชอ่ื ดง้ั เดมิ คือ นบั ถอื ตามบรรพบรุ ุษไดแ้ ก่ ถอื ลทั ธโิ ลกธาตุ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ และผสี างนางไม้ จดหมายเหตุ ของจนี เรยี ก ฟูนนั เขมรนบั ถอื ทง้ั ศาสนาพราหมณ์ และพทุ ธศาสนา แต่ในราชสาํ นกั และชนชนั้ สูง นบั ถอื ศาสนาฮนิ ดู ๓๖ คณาจารย์ มจร., ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘), หนา้ ๑๖๓-๑๖๔.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๐๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง นิกายไศวะ เป็นหลกั ลกั ษณะของฟูนนั มคี วามคลา้ ยคลงึ กบั อินเดียมากเพราะไดร้ บั แบบแผนการปกครอง ศิลปะ การช่าง และวทิ ยาการต่างๆ จากชาวอนิ เดยี ในยุคฟูนนั ตอนปลายพระมหากษตั ริยไ์ ดห้ นั มานบั ถอื พระพุทธศาสนา ดงั เอกสารฝ่ายจีนในราชวงศช์ ้ีทาง ภาคใตว้ ่ากษตั ริยฟ์ ูนนั พระนามว่า เกาณฑนิ ยะชยั วรมนั ทรงนบั ถอื ศาสนาพราหมณม์ าก่อนภายหลงั ทรงนบั ถอื พทุ ธ ศาสนา ในรชั สมยั น้ี ไดม้ พี ระภกิ ษุชาวอนิ เดยี รูปหน่ึงช่อื พระนาคาหรอื พระนาคเสน ไดเ้ดินทางไปยงั ประเทศจนี ได้ แวะทฟ่ี นู นั ก่อนและไดท้ ลู พระเจา้ กรุงจนี ว่า ประเทศฟูนนั นบั ถอื ศาสนาฮนิ ดูนิกายไศวะแต่พทุ ธศาสนาเจรญิ รุ่งเรอื ง มี ภกิ ษุสามเณรมาก และสมยั น้ี ไดม้ พี ระภกิ ษุชาวฟูนนั ช่อื สงั ฆปาละ (พ.ศ. ๑๐๐๒ - ๑๐๖๕) เป็นผูเ้ช่ยี วชาญในพระ อภธิ รรม ไดเ้ดนิ ทางไปสู่ประเทศจีนและไดศ้ ึกษาเพ่มิ เตมิ จากพระภกิ ษุอนิ เดยี ช่อื คุณภทั ร มคี วามแตกฉานในพทุ ธ ศาสนาเป็นท่ีเคารพศรทั ธาของพระเจา้ จกั รพรรดิบู่ต่ี (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๐๔๖-๑๐๙๒) ทรงอาราธนาใหท้ ่านแปล คมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาเป็นภาษาจนี เช่นคมั ภรี ์ ‚วมิ ตุ ตมิ รรค‛ ซ่งึ แต่งโดยพระอปุ ตสิ สะเถระ และยงั ไดร้ บั นิมนตจ์ ากพระ เจา้ บตู่ ่ี ใหเ้ป็นผูส้ อนธรรมในราชสาํ นกั นบั ว่าเป็นชาวฟูนนั ทม่ี ชี อ่ื เสยี งรูปหน่ึง เป็นทร่ี ูจ้ กั ในบรรดาประเทศต่างๆ ในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ พระเจา้ เกาณฑินยะวรมนั ไดส้ ่งพระมหาเถระเขมร ๒ องค์ ไปช่วยแปล พระไตรปิฎกจนี พระมหาเถระ ๒ องคน์ ้ีเป็นนกั ปราชญร์ ูห้ ลายภาษาโดยเฉพาะภาษาสนั สกฤต องคท์ ่เี ลศิ มเี กียรติติด ช่อื อยู่ในพระไตรปิฎกจนี นนั่ คือพระมหาเถระเสงโปโลสงั ฆปาละ เกิดเมอ่ื พ.ศ. ๑๐๖๗ ในประเทศจนี พระมหาเถระ สงั ฆปาละไดแ้ ปลคมั ภีรว์ มิ ุตติมรรคอนั เป็นคมั ภีรข์ องพระธมั มรุจิเถระ ในเกาะลงั กา เป็นคมั ภรี ค์ ู่กบั คมั ภีรว์ ิสุทธิ มรรคของพระพทุ ธโฆสาจารย์ ซ่งึ ประเทศท่นี บั ถอื ลทั ธมิ หายานต่างรูจ้ กั ช่อื ท่านทงั้ สองน้ีดมี ากพระเถระเขมรทงั้ สอง รูปไดช้ ่วยแปลพระไตรปิฎก ขอ้ ความแห่งคาํ แปลนน้ั มผี ลงานเป็นภาษาจนี แทใ้ น พ.ศ. ๑๐๕๗๓๗ พระเจา้ อนุรุทธวร มนั ข้นึ ครองราชย์ ทรงมีพระราชศรทั ธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกลา้ และไดท้ รงประกาศถวายพระองคเ์ ป็น อบุ าสก ทรงมพี ระเกศธาตเุ สน้ หน่ึงไวเ้ป็นท่สี กั การบูชาพระเจา้ อนุรุทธวรมนั เป็นกษตั รยิ อ์ งคส์ ุดทา้ ยท่ปี รากฎนามใน ยุคฟูนนั ในระยะเวลาน้ีอาณาจกั รเจนละซ่งึ เป็นเมอื งข้นึ ของฟูนนั ไดม้ อี าํ นาจมากข้นึ ไดต้ งั้ ตวั เป็นอิสระและต่อมา ใน พ.ศ. ๑๑๗๐ กไ็ ดย้ กกองทพั มาโจมตรี วมฟนู นั เขา้ เป็นส่วนหน่ึงของอาณาจกั รเจนละ ๒. ยุคเจนละ (พ.ศ. ๑๑๐๐ - ๑๓๔๔) อาณาจกั รเจนละตงั้ อยู่ทางทศิ เหนือของฟนู นั ถอื วา่ เป็นยุคของเขมรหรอื กมั พูชาทแ่ี ทจ้ รงิ ซ่งึ ถอื ว่าไดเ้ร่มิ ตน้ ในสมยั เจนละน้ีพระเจา้ วรมนั เสดจ็ ข้นึ ครองราชยเ์ ป็นกษตั รยิ อ์ งคแ์ รกของสมยั เจนละ ราวพ.ศ. ๑๐๙๓ กษตั ริยใ์ นยุค ตน้ ยงั คงนบั ถอื ศาสนาฮนิ ดูนิกายไศวะเป็นหลกั ต่อมาพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ ไดม้ กี ษตั ริยท์ น่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา คือ สมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๑ (ครองราชยเ์ มอ่ื พ.ศ. ๑๑๙๓-๑๒๕๖) มหี ลกั ฐานแสดงว่าพระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรือง อยู่มศี ิลาจารึกทว่ี ดั ไพรเวยี ร ใกลเ้มอื งวยาธปุระ เมอ่ื พ.ศ. ๑๒๐๗ กลา่ วถงึ กษตั รยิ ส์ องพ่นี อ้ งท่บี วชในพทุ ธศาสนา พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๑ ไดโ้ ปรดใหส้ รา้ งวดั ถวาย หลกั ฐานจากขอ้ บนั ทึกของหลวงจีนอ้จี ิงทเ่ี ดินทางไปอินเดยี และผ่าน ทะเลใตว้ ่า สมยั นนั้ พทุ ธศาสนาเจรญิ รุ่งเรืองมากมวี ดั ทวั่ ไปทกุ แห่ง มศี าสนาพราหมณแ์ ละพทุ ธอยู่ร่วมกนั อย่างสงบ สุข ประชาชนทวั่ ไปนิยมบวชในพทุ ธศาสนาแมพ้ วกเจา้ นายกน็ ิยมบวชเช่นเดยี วกนั ๓๗ ทรงวทิ ย์ แกว้ ศร,ี ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา เลม่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๓๐), หนา้ ๑๐.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๐๗  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ พุทธศาสนาแบบมหายาน ไดเ้ ขา้ มาเผยแพร่ในเอเซยี อาคเนยแ์ ลว้ และเขมรก็ยงั ไดร้ บั เอาพุทธศาสนามหายานเช่นกนั แต่ก็ไม่มอี ิทธิพลมากนกั เหมือนเถรวาท ดงั บนั ทกึ ของหลวงจีนอ้จี ิง กล่าวว่า ภาคพ้นื น้ีมนี ิกายพทุ ธศาสนามากมที งั้ นิกายมลู สรรวาสติวาทิน เป็นนิกายในเถรวาท ในภาษาสนั สกฤต หลงั รชั กาล พระเจา้ ชยั วรมนั ไม่นานอาณาจกั รเจนละก็แตกเป็น ๒ ส่วน กลายเป็นเจนละบก หรอื เจนละเหนือ กบั เจนละนาํ้ หรือ เจนละใต้ ในตอนปลายยุคเจนละนาํ้ ตกอยูใ่ นอทิ ธพิ ลของชวา หลงั จากแยกกนั ประมาณ๑ ศตวรรษ ยุคเจนละก็ส้นิ ลง ดว้ ยสาเหตุ ขดั แยง้ กบั อาณาจกั รชวา กลา่ วคือในตอนกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ กษตั ริยร์ าชวงศไ์ ศเลนทร แห่งชวา ไดย้ กทพั เรอื มาตีเจนละจบั พระเจา้ มหปิ ตวิ รมนั แห่งเจนละตดั พระเศียร ส่วนพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ ซ่งึ ข้นึ ครองราชย์ สบื มา กไ็ ดย้ า้ ยเมอื งหลวงไปตง้ั อาณาจกั รใหม่ทอ่ี ่นื ยุคเจนละจงึ ส้นิ สุดลง ๓. ยุคมหานคร (พ.ศ. ๑๓๔๕ - ๑๙๗๕) ยุคมหานครไดแ้ ก่ยุคทน่ี ครวตั นครธม ซง่ึ ตง้ั อยู่ใกลท้ ะเลสาป และอยู่ทางเหนือของเมอื งเสยี มราฐเป็นเมอื ง หลวงของกมั พชู า เป็นยุคทอ่ี ารยธรรมของขอมเจรญิ รุ่งเรอื งมากมศี ิลปะและสถาปตั ยกรรมท่โี ดดเด่น ทางดา้ นศาสนา ปรากฏว่าพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานเจรญิ รุ่งเรืองพรอ้ มกบั ศาสนาพราหมณ์ส่วนพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทคงเป็นท่ี นบั ถอื อยู่ในหมปู่ ระชาชนทวั่ ไป ส่วนทางชนั้ สูงหรอื ในราชสาํ นกั นบั ถอื พทุ ธศาสนาแบบมหายาน และถือลทั ธพิ ราหมณ์ ในยุคน้ีไดม้ ธี รรมเนียมถอื ศาสนาคนละอย่างระหว่างพระราชากบั ปุโรหติ ถา้ พระราชาเป็นพทุ ธ ปุโรหติ เป็นพราหมณ์ หรอื ถา้ พระราชาถอื พราหมณ์ปโุ รหติ ถอื พทุ ธ ถอื เป็นประเพณีทย่ี ดึ ถอื ต่อกนั มาหลายรอ้ ยปี ในสมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ เร่ิมแต่ปี พ.ศ. ๑๗๒๔ ทรงมชี ่ือเสยี งโด่งดงั ท่สี ุดในประวตั ิศาสตรเ์ ขมร ทรงทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาจนเจรญิ รุ่งเรอื งทส่ี ุด ทรงยา้ ยราชธานีไปทใ่ี ดกจ็ ะสรา้ งวดั วาอารามดว้ ยพระองคท์ รงเอา ใจใส่ในกจิ การพระพทุ ธศาสนามาก ทรงสรา้ งปราสาท และพระพทุ ธรูปจาํ นวนมากมายทรงสถาปนาปราสาทตาพรม เป็นมหาวิทยาลยั สงฆ์ มพี ระมหาเถระเป็นศาตราจารยใ์ หญ่อยู่ถึง ๑๘ องค์ และอาจารยร์ องลงมาถงึ ๒,๗๔๐ องค์ เป็นผูส้ อน พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ยงั ทรงใหร้ าชกุมารไปศึกษาพทุ ธศาสนาท่ลี งั กา แลว้ ทรงผนวชท่วี ดั มหาวิหารใน ปลายยุคมหานคร ศาสนาพราหมณ์ และมหายานเสอ่ื มถอยลง คงเหลอื แต่เถรวาทท่เี จรญิ รุ่งเรอื งและไดร้ บั การนบั ถอื จากคนทกุ ระดบั ตงั้ แต่กษตั รยิ ล์ งไป ๔. ยคุ หลงั พระนคร (พ.ศ. ๑๙๗๕-ปจั จุบนั ) ประเทศกมั พูชาในตอนตน้ ของยุคหลงั พระนครไดส้ ้นิ อาํ นาจลงเพราะไดเ้ ป็นเมอื งข้นึ ของไทย ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๑๓๗ ถงึ พ.ศ.๒๑๖๑ พอไดร้ บั เอกราชจากไทยกเ็ กิดปญั หาสงครามกบั เวยี ดนามบา้ ง กบั ไทยบา้ ง สงครามภายใน บา้ ง เป็นเมอื งข้นึ ของไทยและ เวยี ดนามดว้ ย จนกระทงั่ ใกลข้ ้นึ ศตวรรษท่ี ๒๔ ฝรงั่ เศสเร่มิ เขา้ มามบี ทบาทในอินโด จีนและใน พ.ศ. ๒๔๑๐ กมั พูชาก็ตกเป็นเมืองข้ึนของฝรงั่ เศส จนถึงปี พ.ศ.๒๔๙๗ จึงไดอ้ ิสรภาพคืนมา และ เรยี กช่อื ประเทศว่า พระราชอาณาจกั รกมั พูชามเี มอื งหลวงช่อื พนมเปญ มกี ษตั ริยค์ รองราชยม์ าตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๘๓ พระนามว่าพระเจา้ นโรดมสหี นุ ในยุคหลงั พระนครน้ี พุทธศาสนาแบบมหายานและศาสนาพราหมณ์ไดเ้ ส่ือมถอยลงไปคงเหลอื แต่พุทธ ศาสนาเถรวาท และกษตั รยิ ใ์ นยุคน้ีจงึ ไดน้ บั ถือพระพทุ ธศาสนาเร่อื ยมากษตั ริยก์ มั พูชาไดล้ ะท้งิ ราชธานีมหานคร ไป สรา้ งราชธานีใหม่ท่ีเมอื งสรีสนั ธอร์ ต่อมา พ.ศ. ๑๙๗๕ ไดย้ า้ ยไปสรา้ งราชธานีใหม่ท่ีพนมเปญ จนถงึ ในปจั จุบนั

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๐๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตงั้ แต่การสรา้ งราชธานีใหม่ เป็นตน้ มา เป็นเวลา ๔๐๐ ปี ประเทศกมั พชู าตกอยู่ในภาวะวกิ ฤตทางสงั คมอย่างรุนแรง ประชาชนทกุ ขย์ ากมาก บา้ นเมอื งยบั เยนิ พระศาสนาเส่อื มโทรมมากเน่ืองจากเกิดเร่อื งภายใน มกี ารแย่งชิงราชสมบตั ิ กนั ผูค้ นลม้ ตายกนั มากนครวตั นครธม ถกู ปลอ่ ยรกรา้ งอยู่ในป่า จนมี ชาวฝรงั่ เศสไปพบเขา้ ในปีพ.ศ. ๒๔๐๔ จึง ไดท้ าํ นุบาํ รุงรกั ษาอนุรกั ษไ์ ว้ ปีพ.ศ. ๒๓๘๔ พระเจา้ หริรกั ษร์ ามาธิบดี ทรงเสวยราชยใ์ นกรุงอุดรเมียรชยั พระพุทธศาสนา กลบั เจรญิ รุ่งเรอื งอกี มพี ระสงฆช์ าวกมั พูชา เดนิ ทางมาศึกษายงั กรุงเทพฯ กลบั ไปฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนาในเขมร พระมหา วมิ ลธรรม (ทอง) ไดจ้ ดั การศึกษาของสงฆไ์ ทยตงั้ ‚ศาลาบาลชี น้ั สูง‛ ในกรุงพนมเปญ ไดแ้ ก่พทุ ธิกวทิ ยาลยั ในปจั จบุ นั จากนนั้ เขมรก็ตกเป็นเมอื งข้นึ ของฝรงั่ เศสเกือบ ๑๐๐ ปี การศาสนากไ็ ม่เจรญิ รุ่งเรือง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ จงึ ไดเ้ อก ราชคืนมาและเรยี กช่อื ประเทศว่าอาณาจกั รกมั พชู า พ.ศ. ๒๔๙๘ พระเจา้ นโรดมสีหนุ สละราชสมบตั ิใหพ้ ระเจา้ นโรดมสุรามฤตพระบดิ าข้นึ ครองราชยแ์ ทน พระองคม์ าตง้ั พรรคการเมอื งช่อื สงั คมราษฎรน์ ิยม และไดร้ บั เลอื กเป็นนายกรฐั มนตรีต่อมาเมอ่ื พระบดิ าสวรรคต จึง ทรงเป็นประมขุ รฐั โดยไม่ไดค้ รองราชย์ พระเจา้ นโรดมสหี นุทรงคิดตงั้ ทฤษฎี พทุ ธสงั คมนิยม โดยการปกครองท่ยี ึด หลกั พทุ ธธรรมเป็นหลกั ในการบริหารประเทศในช่วงน้ีประเทศแถบเอเซยี อาคเนยก์ าํ ลงั อยู่ในภาวะการต่อสู ้ ระหว่าง ลทั ธคิ อมมวิ นิสตก์ บั ลทั ธปิ ระชาธิปไตย พระเจา้ นโรดมสหี นุ จึงถกู ปฏวิ ตั โิ ดย นายพลลอนนอลเมอ่ื ปี พ.ศ.๒๕๑๓ ได้ เปล่ยี นราชอาณาจกั รกมั พูชา เป็นสาธารณรฐั เขมรนายพลลอนนอลไดเ้ ป็นประธานาธิบดีคนแรกทางดา้ นศาสนาก็ได้ ส่งเสริมทาํ นุบาํ รุงจากรฐั เป็นอย่างดีพระสงฆเ์ ขมรหลายรูปไดม้ าศึกษาท่กี รุงเทพ ฯ ไดน้ าํ แบบแผนการปกครองคณะ สงฆไ์ ทยไปใชใ้ นกมั พูชาดงั สมเด็จพระสุคนั ธาธิบดี (ปาน) ไดไ้ ปศึกษาท่ีกรุงเทพ ฯ แลว้ ไดน้ ําแบบแผนของ พระพทุ ธศาสนานิกายธรรมยุติของไทยไปใชใ้ นกมั พูชาทาํ พระสงฆใ์ นกมั พูชา มี ๒ นิกาย เช่นไทย คือนิกายธรรมยุต และมหานิกายทางดา้ นการศึกษาของสงฆก์ ไ็ ดน้ าํ แบบแผนไปจากประเทศไทย เช่น มมี หาวทิ ยาลยั สงฆท์ ่ตี ง้ั ข้นึ โดย เจา้ นโรดมสีหนุ เรียกว่า “มหาวิทยาลยั พุทธศาสนาพระสีหนุราช” มีการเรียนการสอนในระดบั ปริญญาตรี และโท ตามลาํ ดบั ๓๘ ๘.๖.๓ อทิ ธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาททีม่ ตี ่อประเทศกมั พูชาในดา้ นสงั คม พระพุทธศาสนามอี ิทธิพลต่อประชาชาชนกมั พูชาถึงแมว้ ่าบา้ นเมอื งจะตกอยู่ในภยั สงครามการแก่งแย่ง ระหวา่ งผูม้ อี าํ นาจไมเ่ คยขาดสายประดุจดงั ว่าดนิ แดนเขมรเป็นดนิ แดนทถ่ี กู สาปใหต้ กอยู่ในความตกระกาํ ลาํ บากดว้ ย ภยั สงครามตอ้ งมชี ีวติ อยู่กบั การเสย่ี งตายจากสงคราม บางครงั้ ตอ้ งแยกพ่อแยกแมแ่ ยกพ่แี ยกนอ้ งกนั หรอื เสยี ชีวติ จากกนั ก่อนเวลาอนั ควร เน่ืองจากความโหดรา้ ยของสงครามอนั เกดิ จากกองกาํ ลงั หลายกลุม่ ทค่ี อยประหตั ประการกนั ถงึ แมว้ ่าในช่วงทเ่ี ขมรแดงเรอื งอาํ นาจในกมั พชู าไดล้ ม้ ลา้ งพระพทุ ธศาสนา โดยหวงั ว่าใหส้ ้นิ ซาก แต่กท็ าํ ลายไดเ้พยี ง แค่รูปแบบและส่วนประกอบภายนอกเท่านน้ั ไม่สามารถทาํ ลายพทุ ธศาสนาทม่ี อี ยู่ในใจคนเขมรได้ เพราะไดฝ้ งั ลกึ อยู่ ในใจเป็นเวลาชา้ นานมรดกอนั ลาํ้ ค่าทพ่ี ทุ ธศาสนามอบใหก้ บั กมั พชู านน้ั มคี ่าเกินกว่าจะนบั ได้ เพราะไดแ้ ทรกซมึ อยู่ใน วถิ ีชวี ิตของคนเขมรไปแลว้ มอี ิทธพิ ลต่อแนวคิด วถิ ชี วี ติ ของชาวเขมร วดั วาอารามต่างๆ ไดเ้ ป็นท่พี ่งึ เป็นศูนยก์ ลาง ๓๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พระพทุ ธศาสนาในเอเชีย, หนา้ ๗-๑๑.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๐๙  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ของชุมชนทางดา้ นศิลปวฒั นธรรม ไดม้ สี ถาปตั ยกรรมอนั ทรงคุณค่ามากมาย เช่นนครวตั นครธม เขาพระวหิ าร เป็น ตน้ ซง่ึ เป็นสถานทส่ี าํ คญั ทางพทุ ธศาสนา ทเ่ี ป็นมรดกสาํ คญั กมั พชู า๓๙ ๘.๖.๔ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททม่ี ีตอ่ ประเทศกมั พูชาในดา้ นเศรษฐกจิ ประชาชนชาวเขมรสว่ นใหญ่มอี าชพี เกษตรกรรมไดแ้ ก่การทาํ ไร่ทาํ นา ปลูกผกั ปลูกพชื และเล้ยี งสตั ว์ แต่ก็มี ความเป็นอยูอ่ ยา่ งแรน้ แคน้ ขดั สน เพราะความยากจน ขาดการดูแลเอาใจใส่จากรฐั แมค้ วามเป็นอยู่ของประชาชนจะ ขดั สนแต่สง่ิ หน่ึงทเ่ี ขาเรียกรอ้ ง คือสนั ตภิ าพ ประชาชนกมั พชู าบางคนไดใ้ หส้ มั ภาษณ์แก่ส่อื มวลชนของไทยว่า ‚สง่ิ ท่ี เขาเรียกรอ้ งคือสนั ติภาพ อยากจะใหบ้ า้ นเมอื งมคี วามสงบสุขเหมอื นเมอื งไทยโดยปราศจากการแก่งแย่งกนั ของ ผูป้ กครอง‛ แต่ส่วนหน่ึงทป่ี ระชาชนชาวเขมรมอี ยู่ไม่ไดข้ ดั สนคือพระพทุ ธศาสนาท่มี อี ยู่ในใจ เขาตอ้ งอดทน ต่อสูต้ ่อ การทาํ งาน ต่อภยั สงครามต่างๆ คิดว่าในอนาคตขา้ งหนา้ ประชาชนเขมรจะมชี วี ติ ความเป็นอยู่ทด่ี ขี ้นึ กวา่ น้ี ๘.๖.๕ อิทธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาททีม่ ตี ่อประเทศกมั พูชาในดา้ นการเมอื ง การเมอื งกมั พชู ามคี วามเปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลาในอดีตกาล พระมหากษตั ริยท์ รงปกครองบา้ นเมอื งโดย อาศยั หลกั ธรรมทางพุทธศาสนาเป็นแนวทางแมว้ ่าในอดีตจะมกี ารนบั ถือพทุ ธศาสนาปนกบั ศาสนาพราหมณ์แต่ก็ ไม่ไดเ้กิดความขดั แยง้ ใดๆ เลย แต่กลบั เอ้อื ต่อกนั เป็นประโยชนต์ ่อการปกครองหลกั ธรรมคาํ สอนทางพทุ ธศาสนา เป็นอุปกรณ์สาํ คญั ในการปกครองใหป้ ระชาชนอยู่กนั อย่างสงบสุขปกครองใหเ้ป็นปึกแผ่นไดโ้ ดยง่ายแมใ้ นปจั จุบนั รฐั บาลกไ็ ดเ้อาใจใสก่ จิ การพระศาสนาพอสมควร พระสงฆไ์ ดม้ อี ทิ ธพิ ลทางการเมอื งอยู่มากเมอ่ื มเี หตกุ ารณว์ กิ ฤตทาง บา้ นเมอื ง พระสงฆไ์ ดม้ สี ่วนร่วมในการเดินประทว้ งรฐั บาลทางดา้ นการศึกษา ไดม้ กี ารจดั ตงั้ มหาวิทยาลยั สงฆข์ ้นึ ไดแ้ ก่ มหาวิทยาลยั พระพุทธศาสนาพระสหี นุราช อนั เป็นสถาบนั การศึกษาระดบั อุดมศึกษาแก่พระภกิ ษุสงฆช์ าว เขมร พทุ ธศาสนากบั การเมืองสมยั ใหม่ ตง้ั แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๔ พุทธศาสนาเถรวาทไดก้ ลายเป็นศาสนาของ ชาวกมั พูชาส่วนใหญ่ หลงั จากท่กี มั พูชาไดร้ บั เอกราชจากฝรงั่ เศส พทุ ธศาสนาก็ไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทต่อการเมอื งของ กมั พชู า โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ นบั ตง้ั แต่ทศวรรษท่ี ๑๙๕๐ เป็นตน้ มา สหี นุกบั พทุ ธสงั คมนิยม เจา้ นโรดมสีหนุ นาํ เสนอ พทุ ธสงั คมนิยม (Buddhist Socialism) ในลกั ษณะท่ี แตกต่างไปจากแนวคดิ สงั คมนิยม ของทงั้ ตะวนั ตกและตะวนั ออก พทุ ธสงั คมนิยมของพระองคต์ ง้ั อยู่บนฐานคิดของ พุทธศาสนาและโครงสรา้ งทางสงั คมวฒั นธรรมกมั พูชา โดยการเนน้ หลกั ความเสมอภาค ความเป็นอยู่ท่ดี ีของคน ยากจน และเอกลกั ษณ์ของชาติ พระองคท์ รงยาํ้ ว่าความเป็นกลางทางการเมอื งระหว่างประเทศของกมั พูชา มาจาก หลกั ทางสายกลางในพทุ ธศาสนา ตามทรรศนะของพทุ ธศาสนา ผูป้ กครองจะตอ้ งปฏบิ ตั ิต่อประชาชนดว้ ยความเมตตากรุณาและเท่ยี งธรรม หลกั การน้ีขดั แยง้ กบั ลทั ธิมารก์ ซิสม์ (Marxism) ท่เี รียกรอ้ งใหป้ ระชาชนโค่นลม้ รฐั บาลและสถาปนาระบอบ เผด็จ การโดยชนชน้ั กรรมาชีพ ข้นึ พทุ ธสงั คมนิยมยงั ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั การปฏเิ สธทรพั ยส์ นิ ส่วนบคุ คลของสงั คมนิยมมารก์ ๓๙ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๘๖.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๑๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ซสิ ม์ โดยเจา้ นโรดมสหี นุกล่าวว่าเศรษฐีจะถูกชกั ชวนใหท้ าํ ทานแก่คนยากจนมากกว่าจะถูกยึดทรพั ยไ์ ปเป็นสมบตั ิ ของส่วนรวม เจา้ นโรดมสหี นุถกู นายพลลอนนอล (Lon Nol) กระทาํ รฐั ประหารเมอ่ื วนั ท่ี ๑๘ มนี าคม ค.ศ.๑๙๗๐ และ ต่อมาในเดอื นตลุ าคมปีเดียวกนั นายพลลอนนอลไดป้ ระกาศใหก้ มั พชู าเป็นสาธารณรฐั พทุ ธศาสนากบั การเมืองยุคลอนนอล ชนชน้ั ปกครองของสาธารณรฐั กมั พูชาไดส้ ญั ญากบั ประชาชนว่า จะ ยกย่องพุทธศาสนาใหเ้ ป็นศาสนาประจาํ ชาติ และจะเคารพขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวกมั พูชา บทบาททาง ศาสนาทเ่ี คยปฏบิ ตั โิ ดยพระมหากษตั ริยจ์ ะถูกแทนท่โี ดยประธานาธิบดี และเพ่อื เป็นหลกั ประกนั แก่ประชาชน มกี าร จารกึ บนอนุสาวรยี ส์ าธารณรฐั หนา้ พระราชวงั ว่า ‚พทุ ธศาสนาสอนใหเ้ราซ่อื สตั ย์ ปฏเิ สธความเหน็ แก่ตวั และส่งเสริม การช่วยเหลอื ซ่ึงกนั และกนั เหนือส่ิงอ่ืนใดพุทธศาสนาคือสญั ลกั ษณ์ของเสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ ความกา้ วหนา้ และความสมบูรณพ์ นู สุข‛ นายพลลอนนอล ไดเ้ รียกรอ้ งใหป้ ระชาชนออกมาต่อตา้ นคอมมวิ นิสตเ์ ขมรแดงและเวียดนาม โดยให้ เหตผุ ลเป็นคาํ ขวญั วา่ “ถา้ คอมมวิ นิสตม์ า พระพทุ ธศาสนาจะหมดส้นิ ไป”๔๐ พทุ ธศาสนาภายใตเ้ ขมรแดง สงครามกลางเมอื งส้นิ สุดลงในเดือนเมษายน ค.ศ.๑๙๗๕ ดว้ ยชยั ชนะของ เขมรแดง รฐั บาลเขมรแดงปกครองประเทศอย่างเขม้ งวด และเปล่ียนแปลงสงั คมกมั พูชาอย่างถึงรากถึงโคน รฐั ธรรมนูญคอมมวิ นิสตไ์ ดถ้ กู ประกาศใชโ้ ดยกลา่ วถงึ เสรภี าพทางศาสนาในมาตรา ๒๐ ว่า “พลเมอื งกมั พูชาทกุ คนมี สทิ ธทิ จี่ ะนบั ถอื ศาสนาหรือไมน่ บั ถอื ศาสนากไ็ ด้ ศาสนาปฏกิ ริ ิยาซง่ึ ขดั ขวางกมั พูชาประชาธปิ ไตยและประชาชนเป็นสงิ่ ตอ้ งหา้ ม” ภายใตร้ ฐั บาลเขมรแดง พทุ ธศาสนาตอ้ งเผชิญกบั การเปลย่ี นแปลงอย่างใหญ่หลวงทงั้ ในดา้ นคาํ สอน คณะ สงฆ์ และวดั พระธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ถกู ตคี วามใหร้ บั ใชก้ ารปฏวิ ตั ิ พระสงฆต์ อ้ งเขา้ รบั การศึกษาใหม่ และ ตอ้ งใชแ้ รงงานเช่นเดยี วกบั ฆราวาสทง้ั ในทอ้ งนา การก่อสรา้ งถนนและเขอ่ื น มกี ารทาํ ลายวดั วาอารามและพระพทุ ธรูป มกี ารเผาคมั ภรี แ์ ละตาํ ราทางศาสนา ภายในระยะเวลาเพยี งสป่ี ีพทุ ธศาสนาเกอื บสูญส้นิ ไปจากประเทศ พทุ ธศาสนาภายใตร้ ะบอบเฮงสมั รนิ การยดึ ครองกรุงพนมเปญของกองทพั เวยี ดนามเมอ่ื วนั ท่ี ๗ มกราคม ค.ศ. ๑๙๗๙ ทาํ ใหก้ ารปกครองของเขมรแดงส้นิ สุดลง ระบอบเฮงสมั ริน (Heng Samrin) ไดถ้ ูกสถาปนาข้นึ ภายใต้ การควบคุมของเวยี ดนาม รฐั บาลใหม่ไดฟ้ ้ืนฟูพทุ ธศาสนาในระดบั หน่ึง โดยซ่อมแซมวดั และพระพทุ ธรูปจาํ นวนหน่ึง รวมทง้ั อนุญาตใหผ้ ูช้ ายท่มี อี ายุตงั้ แต่ ๕๐ ปีข้นึ ไปบวชเป็นพระภกิ ษุได้ แทนท่ีจะตาํ หนิพทุ ธศาสนาว่าเป็นฝ่ินของ ประชาชนดงั เช่นเขมรแดง เฮงสมั รนิ กลบั ยกย่องพุทธศาสนาว่าเป็นพลงั ทางศีลธรรมท่สี าํ คญั ในการสรา้ งสงั คมใหม่ โดยกล่าวว่า “พุทธศาสนาสอนเราใหอ้ ยู่ร่วมกนั อย่างเป็นประชาธิปไตยและเป็นเอกภาพ โดยคิดถึงประโยชน์ ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน พุทธศาสนาสอนเราใหร้ ูจ้ กั ช่วยเหลอื ตนเองและผูอ้ ่ืน อนั สอดคลอ้ งกบั สงั คมมนุษยท์ ่ี ตอ้ งการสนั ตภิ าพและสนั ตสิ ุข” ๔๐ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๘๖.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๑๑  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เฮงสมั รนิ (Heng Samrin) ไดใ้ ชพ้ ทุ ธศาสนาและคณะสงฆก์ มั พูชา เป็นเคร่อื งมอื ทางการเมอื งในการต่อสู ้ กบั เขมรแดง ภายใตร้ ะบอบเฮงสมั ริน แมพ้ ระสงฆจ์ ะมไิ ดถ้ ูกมองว่าเป็นกาฝากของสงั คม และเป็นผูย้ งั ประโยชนแ์ ก่ ประเทศ แต่คณะสงฆก์ ถ็ กู ควบคุมจากรฐั บาลอย่างใกลช้ ิด โดยตอ้ งเขา้ รบั การอบรมลทั ธิคอมมวิ นิสตจ์ ากเวยี ดนาม และโซเวยี ต นิกายธรรมยุตและมหานิกายของกมั พูชาถกู ยุบรวมเป็นหน่ึงเดียว และพระสงฆต์ อ้ งตคี วามพทุ ธศาสนา ใหส้ อดคลอ้ งกบั นโยบายของรฐั ๔๑ พทุ ธศาสนากบั สงั คมกมั พชู าปจั จุบนั เมอ่ื รฐั บาลผสมกมั พูชาประชาธิปไตยถกู จดั ตง้ั ข้นึ โดยมี นายกรฐั มนตรีซอนซาน (Son Sann) เป็นผูน้ าํ นน้ั ซอนซาน (Son Sann) เช่อื มนั่ ว่า พทุ ธศาสนาอนั เป็นรากฐานวฒั นธรรมและวถิ ชี ีวติ ของชาวกมั พูชา จะเป็นพลงั อนั สาํ คญั ในการรวมชาติกมั พูชาใหเ้ ป็นหน่ึงเดียว รฐั บาลซอนซานจึงสนบั สนุนการฟ้ืนฟูพทุ ธศาสนาเถรวาทในรูปแบบ ดง้ั เดมิ ของกมั พชู าข้นึ มาใหม่ ภายใตร้ ฐั บาลปจั จุบนั ของ สมเด็จฮนุ เซน (Hun Sen) สถาบนั พระมหากษตั ริยไ์ ดร้ บั การฟ้ืนฟูข้นึ มาใหม่ โดยเจา้ นโรดมสหี โมลี (พระโอรสของเจา้ นโรดมสหี นุ) ทรงเป็นกษตั รยิ อ์ งคป์ จั จุบนั พทุ ธศาสนาและขนบธรรมเนียม ประเพณีไดร้ บั การส่งเสริมสนบั สนุน พรอ้ มกบั ระบอบประชาธิปไตยท่ีมีพรรคการเมอื งหลายพรรค สาํ หรบั ชาว กมั พชู าแลว้ พทุ ธศาสนาและเอกลกั ษณค์ วามเป็นกมั พชู าคือสง่ิ เดยี วกนั เป็นการยากท่จี ะจนิ ตนาการว่า ชาวกมั พชู าจะ สามารถอยู่ภายใตร้ ะบอบการเมอื งทม่ี อี ุดมการณเ์ ป็นปฏปิ กั ษก์ บั พทุ ธศาสนาได้ ๘.๗ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศสาธารณรฐั สงั คมนิยมเวยี ดนาม ๘.๗.๑ ขอ้ มลู พ้นื ฐานของประเทศเวยี ดนาม ประเทศเวยี ดนามมพี ้นื ทท่ี งั้ หมด ๓๓๑,๐๓๓ ตารางกโิ ลเมตร (๐.๖๔๕ เท่าของประเทศไทย) มเี มอื งหลวง คือกรุงฮานอย (Hanoi) มปี ระชากรจาํ นวน ๘๔.๔ลา้ นคน (๒๕๔๙) ศาสนาพทุ ธ (มหายาน) เป็นศาสนาท่คี นส่วน ใหญ่นบั ถอื มภี าษาเวยี ดนามเป็นภาษาราชการ ระบบการปกครองเป็นระบอบสงั คมนิยม โดยพรรคคอมมวิ นิสตเ์ ป็น พรรคการเมอื งเดยี ว วนั ท่ี ๒ กนั ยายนเป็นวนั ชาตใิ ชส้ กลุ เงนิ ด่งเป็นสกลุ เงนิ ประจาํ ชาติ ดนิ แดนประเทศเวยี ดนามในปจั จุบนั แบ่งออกเป็น ๓ อาณาเขต คือ ตงั เกยี๋ (Tong king) ไดแ้ ก่ แถบลุ่ม แม่นาํ้ แดงอานมั (Annam) ไดแ้ ก่แผ่นดินแคบยาวตามทอดชายฝงั่ ทะเล ท่อี ยู่ตอนกลางระหว่างตงั เกีย๋ กบั โคชินจีน และโคชินจนี (Cochin China) ไดแ้ ก่ แผ่นดนิ ส่วนล่างทง้ั หมด ปจั จุบนั น้ีอานมั ภาคใต้ เป็นอาณาจกั รจมั ปา ส่วน โคชนิ จนี เป็นส่วนหน่ึงของอาณาจกั รฟูนนั ซ่งึ มศี ูนยก์ ลางอยู่ในประเทศกมั พูชาปจั จบุ นั อาณาจกั รอานมั มอี ารยธรรม สบื สายมาจากจีนส่วนจมั ปากบั ฟูนนั มอี ารยธรรมทส่ี บื สายมาจากอินเดียอาณาจกั รอานมั มอี ายุเกือบ๓ พนั ปี แต่ไม่มี หลกั ฐานชดั เจน จนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๓๐๐ ไดจ้ ดั ตง้ั เป็นอาณาจกั รเวยี ดนาม (เวยี ดนาม แปลว่า อาณาจกั รฝ่าย ทกั ษณิ ) ต่อมาอาณาจกั รเวยี ดนาม ไดต้ กเป็นเมอื งข้นึ ของจีนใน พ.ศ. ๔๓๓ เป็นเวลานานกว่า ๑,๐๐๐ ปี ในระยะน้ี ๔๑ คณาจารย์ มจร., ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๖๕-๑๖๘.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๑๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ เรียกประเทศเวียดนามว่าอานัม แปลว่า ปกั ษใ์ ตท้ ่ีสงบ จากการตกเป็นเมืองข้ึนของจีน จึงไดร้ บั อิทธิพลทาง วฒั นธรรมจากจนี แทบทงั้ ส้นิ ๔๒ ๘.๗.๒ พระพทุ ธศาสนาในประเทศเวยี ดนาม เมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๔๘๒ เวยี ดนามไดท้ าํ การกอบกูเ้ อกราชจากจีนไดส้ าํ เร็จไดป้ ระกาศอิสรภาพจากจนี ต่อมา อาณาจกั รเวียดนามไดแ้ ผ่อาํ นาจมาทางใตส้ ามารถเขา้ ยดึ ครองนครจมั ปาไดใ้ นทส่ี ุดพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาเผยแผ่ใน ประเทศเวยี ดนาม เมอ่ื ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๗ ในขณะนน้ั เวยี ดนามตกอยู่ในอาํ นาจของจีน พระพทุ ธศาสนาท่เี ขา้ มาสู่ เวียดนามในยุคแรกนน้ั เป็นพทุ ธศาสนาแบบมหายาน โดยสนั นิษฐานว่าท่านเมยี วโป (Meou-Po) ไดเ้ ดินทางมาจาก ประเทศจีนเขา้ มาเผยแผ่เวียดนามจึงไดร้ บั เอาศาสนาจากจีน รวมทงั้ คมั ภีรท์ างศาสนา ก็เป็นภาษาจีนเหมือนกนั สนั นิษฐานกนั ว่า ไดม้ พี ระภกิ ษุชาวอนิ เดยี คือ พระมหาชวี ก พระกลั ยาณรุจแิ ละ พระถงั เซงโฮย ไดเ้ดินทางมาเผยแผ่ พทุ ธศาสนา ในยุคเดียวกบั ท่านเมยี วโปแต่การเผยแผ่พทุ ธศาสนากไ็ ม่เจริญนกั เพราะกษตั ริยจ์ ีนในขณะนน้ั นบั ถอื ศาสนาขงจ้อื ไมส่ ่งเสรมิ พระพทุ ธศาสนา และยงั ไมพ่ อพระทยั ทม่ี คี นนบั ถอื พทุ ธศาสนา ต่อมาเมอ่ื ชาวเวยี ดนามกอบกู้ เอกราชไดส้ าํ เร็จพระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การฟ้ืนฟูอย่างจริงจงั ในครง้ั นน้ั ไดม้ พี ระภกิ ษุชาวอินเดียช่ือ วนิ ีตรุจิ ท่านได้ ศึกษาพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี แลว้ ยงั ไดเ้ดนิ ทางมาศึกษาพทุ ธศาสนานิกายเซนหรอื เธียร (Thien) ในประเทศจนี แลว้ เดินทางมาเผยแผ่ พทุ ธศาสนานิกายเธียรหรือ เซน ในเวยี ดนามจนพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาตามลาํ ดบั คราวท่ี เวยี ดนามกอู้ สิ ระภาพไดต้ งั้ อาณาจกั รไคโคเวยี ด ใน พ.ศ. ๑๔๘๒ หลงั จากไดอ้ ิสระภาพแลว้ กเ็ กิดการแย่งชิงอาํ นาจ กนั เองประมาณ ๓๐ ปี ระยะน้ีพทุ ธศาสนาซบเซาขาดการทาํ นุบาํ รุง ต่อมาเมอ่ื ราชวงศด์ ินหข์ ้นึ ครองอาํ นาจในปี พ.ศ. ๑๒๑๒ แลว้ พระพุทธศาสนากลบั มาเจริญรุ่งเรืองอกี ครงั้ พระพทุ ธศาสนาไดม้ อี ทิ ธิพลต่อวถิ ีชีวติ ของประชาชนเป็น อย่างมาก ใน พ.ศ. ๑๕๑๑-๑๕๒๒ รฐั บาลไดจ้ ดั ตงั้ องคก์ ารปกครองคณะสงฆข์ ้นึ โดยรวมเอาคณะนกั บวชเตา๋ กบั พระสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนาเขา้ ในระบบฐานนั ดรศกั ด์ิเดยี วกนั พระเจา้ จกั รพรรดเิ วยี ดนาม ทรงสถาปนาพระภกิ ษุง่อ ฉนั่ หลูเป็นประมขุ สงฆข์ องเวยี ดนาม และแต่งตง้ั เป็นทป่ี รกึ ษาของพระองคด์ ว้ ยในสมยั กษตั ริยอ์ งคท์ ่ี ๒ แห่งราชวงศ์ เล (๑๕๔๘-๑๕๕๑) ไดส้ ่งพระสงฆไ์ ปขอพระไตรปิฎกจากประเทศจีน๑ ชุด และทรงแนะนาํ ใหป้ ระชาชนเลกิ นบั ถอื ผี สาง เทวดา มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาแต่ประชาชนยงั นบั ถอื ผสี าง เทวดา พรอ้ มกบั พทุ ธศาสนาดว้ ย สมยั ราชวงศไ์ ล (๒๑๕ ปี) เป็นช่วงท่พี ุทธศาสนามคี วามเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เพราะเป็นศาสนาเดียวท่ไี ดร้ บั การอุปถมั ภแ์ ละศรทั ธา อย่างแรงกลา้ จากราชวงศน์ ้ี เช่น สมยั ของพระเจา้ ไลไทตอ๋ ง (๑๕๗๑-๑๕๘๘) ทรงทาํ นุบาํ รุงพทุ ธศาสนาอย่างกวาง ขวาง เช่น โปรดใหส้ รา้ งวหิ าร ๙๕ แห่งสมยั พระเจา้ ไลทนั ตอ๋ ง (๑๕๙๗-๑๖๑๕) ทรงเป็นพระมหากษตั ริยท์ ่ที รงเอาใจ ใส่บา้ นเมอื งและประชาชนมาก ดาํ เนินรอยตามพระเจา้ อโศกมหาราช เช่น สงเคราะหป์ ระชาชนผูท้ กุ ขย์ ากเป็นตน้ พ.ศ. ๑๙๕๗ เวียดนามไดต้ กเป็นเมืองข้ึนของจีนอีก ตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๙๕๗-๑๙๗๔เป็นเวลา๑๗ ปี ก็ทาํ ให้ พระพทุ ธศาสนาเส่อื มโทรมไปมาก เพราะกษตั ริยร์ าชวงศห์ มงิ ของจีนไดส้ ่งเสริมแต่ลทั ธิขงจ้ือ และเตา๋ ในขณะนน้ั พุทธศาสนานิกายตนั ตระของธิเบตก็เขา้ มา จีนไดท้ าํ ลายวดั เก็บเอาทรพั ยส์ ิน และคมั ภีรพ์ ุทธศาสนาไปหมดพอ ๔๒ คณาจารย์ มจร., ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๗๔-๑๗๕.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๑๓  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เวียดนามไดเ้ อกราชอีก เม่ือ พ.ศ. ๑๙๗๔ พุทธศาสนาก็ไม่ดีข้ึน เพราะกษตั ริย์ราชวงศ์ใหม่ไม่ส่งเสริม พระพุทธศาสนา กลบั เขา้ แทรกแซงกิจการทางศาสนา ในช่วงน้ีเองไดเ้ กิดนิกายตินหโ์ ดข้นึ ในเวยี ดนามซ่งึ เผยแผ่มา จากจีนถงึ เวยี ดนาม ต่อมานิกายน้ีไดผ้ สมผสานกบั นิกายเดมิ คือ นิกายเธยี ร จนเกดิ เป็นพทุ ธศาสนาแบบหน่ึงข้นึ มา ทย่ี งั ปฏบิ ตั กิ นั อยู่ตามโรงเจดยี ์ (Chua) ในปจั จบุ นั พ.ศ. ๒๐๑๔ พระเจา้ เลทนั ตอ๋ งไดร้ วบรวมอาณาจกั รจมั ปาเขา้ เป็นดินแดนส่วนหน่ึงของเวียดนามไดส้ าํ เร็จ จนถึง พ.ศ. ๒๐๗๖ เวียดนามก็ไดแ้ ตกแยกเป็น ๒ อาณาจกั ร ไดแ้ ก่อาณาจกั รฝ่ ายเหนือท่ีพวกตระกูลตรินห์ (Trinh) ครองอาํ นาจ คือแควน้ ตงั เกีย๋ กบั อาณาจกั รฝ่ ายใตข้ งราชวงศเ์ หงยี น (Nguyen) คือแควน้ อานมั ทงั้ ๒ อาณาจกั ร ต่างทาํ สงครามกนั มาตลอดระยะเวลา๒๗๐ ปี จนรวมเป็นอาณาจกั รเดยี วกนั อีก เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๔๕ ในช่วง เวลาทแ่ี ตกแยกกนั เป็นเวลา๒๗๐ ปีนน้ั พทุ ธศาสนาต่างฝ่ายต่างทาํ นุบาํ รุงพทุ ธศาสนา มกี ารสรา้ ง และปฏสิ งั ขรวดั วา อารามมากมาย ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ ชาวตะวนั ตกไดเ้ร่มิ เดินทางมาติดต่อกบั เวยี ดนามทางการคา้ ขายและการเผย แผ่ศาสนาครสิ ต์ นิกายโรมนั คาทอลคิ มพี วกโปรตุเกส ฮอลนั ดาฝรงั่ เศส สเปน และองั กฤษ เมอ่ื ปลายพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๒๒ นกั สอนศาสนาชาวโปรตุเกสและชาวฝรงั่ เศส ไดค้ ิดคน้ วธิ ีการเขยี นภาษาเวยี ดนามดว้ ยอกั ษรโรมนั จนชาว เวยี ดนามเลกิ ใชภ้ าษาจนี ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๓๗๐-๒๔๐๑ เวยี ดนามไดท้ าํ การปราบปรามพวกคริสตอ์ ย่างเดด็ ขาดโดยการ จบั ฆ่าตายทาํ ใหพ้ วกนกั สอนศาสนาถูกฆ่าตายจาํ นวนมาก และพวกชาวคริสตญ์ วนอีก จาํ นวนนบั แสนคนจนเกิดการ ขดั แยง้ กนั ระหว่างเวียดนาม กบั องั กฤษ จนท่สี ุด องั กฤษสามารถเขา้ ยึดครองเวยี ดนามไดต้ ง้ั แต่พ.ศ. ๒๔๐๒ ยดึ ครองเมอื งไซงอ่ นได้ พ.ศ. ๒๔๒๖ เวยี ดนามกต็ กเป็นเมอื งข้นึ ของฝรงั่ เศส๔๓ สมยั ท่ฝี รงั่ เศสปกครองเวยี ดนามพทุ ธศาสนา เส่อื มโทรมลงมาก เพราะถูกเบยี ดเบยี นจากพวกฝรงั่ เศสซ่งึ นบั ถอื ศาสนาคริสต์ เช่นการหา้ มสรา้ งวดั เวน้ แต่ไดร้ บั อนุญาต จาํ กดั สทิ ธิพระสงฆท์ ่จี ะรบั ถวายส่งิ ของจาํ กดั จาํ นวน พระภกิ ษุ เป็นตน้ แมช้ าวพทุ ธจะถูกจาํ กดั สทิ ธิ โดยไม่ไดเ้ ป็นผูบ้ ริหารระดบั สูงเลยหากจะเป็นไดต้ อ้ งนบั ถือศาสนา ครสิ ตเ์ สยี ก่อน และตอ้ งโอนสญั ชาตเิ ป็นฝรงั่ เศสดว้ ยจงึ ทาํ ใหช้ าวพทุ ธไมไ่ ดม้ สี ่วนร่วมในการบรหิ าร และไมม่ สี ทิ ธิ ไม่ มเี สยี งอะไรในแผ่นดนิ ชาวเวยี ดนามไดพ้ ยายามรวมตวั กนั เพ่อื ลุกข้นึ สูก้ อบกูเ้อกราช แต่กถ็ ูกปราบปรามอย่างรุนแรง ไปเป็นระยะๆ ในระยะน้ีเองพระพทุ ธศาสนา ซ่งึ มที ่าทวี ่าจะสูญส้นิ ก็มกี ารต่นื ตวั ฟ้ืนฟูกนั อีกครง้ั ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ไดม้ กี ารจดั ตงั้ สมาคมพทุ ธศาสนาศึกษาแห่งโคชนิ จนี (Cochinchina Buddhist study society) ข้นึ ท่เี มอื งไซงอ่ น และไดม้ ีการตง้ั สมาคมทางพุทธศาสนาข้ึนอีกท่ีเมืองเว้ (อานมั ) และท่ีเมืองฮานอย โดยสมาคมฯ มุ่งเนน้ ดา้ น การศึกษา และสงั คมสงเคราะหป์ ฏริ ูปพระวนิ ยั ของสงฆ์ และส่งเสรมิ ใหพ้ ระภกิ ษุสงฆไ์ ดศ้ ึกษาพทุ ธศาสนาแบบใหม่ ไดม้ กี ารจดั พมิ พว์ ารสารของพระพทุ ธศาสนาและแปลคมั ภีรต์ ่างๆ ทงั้ ฝ่ายมหายานและเถรวาทการฟ้ืนฟูพทุ ธศาสนา ในครงั้ นน้ั นบั ว่าประสบความสาํ เรจ็ เน่ืองจากสามารถเปลย่ี นแปลงความคิดเหน็ ของคนระดบั ปญั ญาชนทเ่ี คยประสบ ความผดิ หวงั มาจากวตั ถนุ ิยมทางตะวนั ตก โดยมาสนบั สนุนการฟ้ืนฟูพทุ ธศาสนาในครงั้ นนั้ อย่างมากมายแต่การเผย แผ่ฟ้ืนฟูพทุ ธศาสนาก็เป็นอนั หยุดชะงกั ลงอีกครงั้ หน่ึง เน่ืองจากเกิดสงครามโลกครง้ั ท่ี๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ หลงั ๔๓ เทพประวนิ จนั ทรแ์ รง, พระพทุ ธศาสนาเถรวาท, (เชียงใหม่ : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตเชียงใหม่, ๒๕๔๑), หนา้ ๑๙๒-๑๙๕.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๑๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง สงครามโลกสงบลง การฟ้ืนฟูพทุ ธศาสนาในเวยี ดนามก็ไดด้ าํ เนินการต่อไปอีกทเ่ี มอื งฮานอยไดม้ กี ารตงั้ บรหิ ารคณะ สงฆข์ ้นึ ใหม่ และจดั ตงั้ พุทธสมาคมสาํ หรบั ฆราวาสข้นึ ดว้ ยปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่เี มอื งไซง่อนไดจ้ ดั ตงั้ พทุ ธสมาคมข้นึ เพอ่ื ฟ้ืนฟกู ารศึกษาพระพทุ ธศาสนาแทนพทุ ธสมาคมเก่า ซง่ึ ไดล้ ม้ เลกิ กจิ การไปตงั้ แต่ก่อนสงครามโลก๔๔ ในปจั จุบนั น้ี ประเทศเวียดนามนบั ถือพระพุทธศาสนา ลทั ธิเตา๋ และขงจ้ือเป็นการนบั ถือผสมผสาน โดยเฉพาะทางดา้ นหลกั ธรรมคาํ สอน จะปฏบิ ตั ติ ามคาํ สอนของทง้ั ๓ ศาสนา ทางดา้ นการศึกษาพระพทุ ธศาสนาไดม้ ี การเปิดสอนพระพทุ ธศาสนาข้นึ โดยมหาวทิ ยาลยั วนั ฮนั ห์ ซง่ึ เป็นมหาวทิ ยาลยั แห่งพระพทุ ธศาสนา โดยการจดั ตง้ั ข้นึ ของสหพุทธจกั รเวยี ดนาม และไดร้ บั การรบั รองจากรฐั บาลเวยี ดนาม เม่อื วนั ท่ี ๑๗ ตุลาคม ๒๕๐๗ ในปจั จุบนั น้ี มหาวทิ ยาลยั ฮนั ห์ ทาํ การเปิดสอน ๔ คณะ คือ คณะพทุ ธศาสตร์ และบูรพาวิทยาคณะอกั ษรศาสตร์ และมนุษย์ ศาสตร์ คณะสงั คมศาสตร์ และคณะภาษาศาสตร์ เฉพาะคณะพทุ ธศาสตรแ์ ละบูรพาวทิ ยาแบ่งออกเป็น ๙ ภาควชิ า คือ ภาควิชาพุทธปรชั ญา วรรณคดีพุทธศาสนา พุทธศาสนประวตั ิ พุทธศาสนาทวั่ ไป พุทธศาสนาในเวียดนาม ปรชั ญาตะวนั ออก ปรชั ญาอนิ เดยี ปรชั ญาจนี และปรชั ญาตะวนั ตก ๘.๗.๓ อทิ ธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มตี ่อประเทศเวยี ดนามในดา้ นสงั คม วดั เป็นศูนยก์ ลางของชมุ ชน วดั เป็นทพ่ี ง่ึ ของชมุ ชน เช่นศาลเจดียห์ รือโรงเจดีย์ หรอื หอเจดยี ์ ท่เี รียกว่า จวั [Chua=Pagoda] เป็นทบ่ี ชู าเทพเจา้ และส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ใิ นพระพทุ ธศาสนา และเป็นท่ปี ระกอบพธิ บี ูชา หรืองานเทศกาล ทางพระพุทธศาสนาเช่น พิธี ๑ คาํ่ ๑๕ คาํ่ และงานศราทธก์ ลางเดือน ๗ เป็นตน้ พระพุทธศาสนาอย่างท่ีนบั ถือ ปฏบิ ตั ติ ามศาลเจดยี เ์ หลา่ นน้ั เป็นการผสมระหว่างนิกายเธียร (เซน) กบั ตนิ หโ์ ด (ชิน) หรอื เป็นศาสนาแบบชาวบา้ นไม่ สูม้ เี น้ือหาหลกั ธรรมลกึ ซ้งึ อะไร คือเป็นลทั ธบิ ูชาเทพเจา้ พระโพธิสตั วพ์ ระอรหนั ตห์ รอื ปูชนียบคุ คลของจีน เช่นพระ กวานอาม (กวนอมิ ) เป็นตน้ วดั เป็ นศูนยก์ ลางของการศึกษา วดั เป็นสถานท่ีรวมแหล่งทางการศึกษาแห่งชนชนั้ ทุกระดบั และยงั เป็น สถานท่ชี ุมนุมของชาวพทุ ธในการพบปะปรึกษาหารือกิจกรรมต่างๆ ทง้ั ในดา้ นศาสนาและทงั้ ในดา้ นการเมอื ง โดยมี พระภกิ ษุสงฆเ์ ป็นผูน้ าํ ประชาชนและมสี ่วนร่วมในการกอบกเู้อกราช อกี ทงั้ การฟ้ืนฟพู ระศาสนา พระสงฆเ์ ป็ นศูนยร์ วมจติ ใจของประชาชน พระสงฆถ์ อื ว่ามบี ทบาทต่อสงั คมและความเป็นอยู่เพราะการท่ี ประเทศเกิดความไม่สงบ และถูกรุกรานจากขา้ ศึก ประชาชนขาดท่พี ่งึ และยดึ เหน่ียวจิตใจ จึงตอ้ งอาศยั วดั และมี พระสงฆ์ ซ่งึ สามารถใหค้ วามอบอ่นุ ใจและกาํ ลงั ใจ และยงั เป็นผูน้ าํ ประชาชนในการต่อสูก้ อบกูเ้ อกราช อยู่เคียงขา้ ง กบั ประชาชน๔๕ ๘.๗.๔ อิทธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาททมี่ ตี ่อประเทศเวียดนามในดา้ นเศรษฐกจิ เศรษฐกิจของเวียดนาม เศรษฐกิจเวยี ดนามมลี กั ษณะใกลเ้คียงกบั เศรษฐกจิ ของไทยประชาชนส่วนใหญ่ เป็นชาวนาดงั นนั้ จงึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากพทุ ธศาสนาในดา้ นเศรษฐกจิ การปฏบิ ตั ติ ามคาํ สอนทางศาสนาจะทาํ ใหช้ ีวติ ความ ๔๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พระพทุ ธศาสนาในเอเชีย, หนา้ ๒๑๔-๒๒๐. ๔๕ คณาจารย์ มจร., ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๗๕-๑๗๖.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๑๕  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เป็นอยู่ดขี ้นึ คาํ สอนเกย่ี วกบั การเล้ยี งชวี ติ โดยธรรม ปราศจากการทุจรติ โกงปลน้ จ้เี ป็นตน้ ลว้ นมอี ิทธพิ ลอยู่ในจิตใจ ของผูค้ น พระพทุ ธศาสนาเป็นศูนยร์ วมแหง่ เศรษฐกจิ จะสงั เกตเห็นไดว้ ่าบรรดาองคก์ รต่างๆ ของคฤหสั ถเ์ กิดข้นึ ดว้ ยแรงศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาเกอื บทง้ั ส้นิ เช่น องคก์ รการกรรมกรชาวพทุ ธ องคก์ ารพ่อคา้ ย่อยชาวพทุ ธ สหพนั ธล์ ูกจา้ งและขา้ ราชการชาวพทุ ธ สมาคมครูชาว พทุ ธ สมาคมผูข้ บั รถรบั จา้ งโดยสารชาวพทุ ธพทุ ธิกสตรชี าวพทุ ธ สมาคมเภสชั กรชาวพทุ ธ สมาคมนกั เขยี นและจติ ร กรชาวพทุ ธเป็นตน้ องคก์ ารเหลา่ น้ีถอื ว่า เป็นแหลง่ สาํ คญั ของเศรษฐกจิ ภายในประเทศเป็นอย่างมาก ๘.๗.๕ อทิ ธพิ ลของพระพุทธศาสนาเถรวาททม่ี ตี ่อประเทศเวียดนามในดา้ นการเมอื ง ในระบบการปกครองประเทศชาติ มีการนําเอาศาสนธรรมมาเป็นหลกั ในการออกกฎหมายต่างๆ ของ บา้ นเมอื ง และในการน้ีพระสงฆก์ ็มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดไม่ว่าจะเป็นทางดา้ นศาสนา การศึกษากา รเมอื ง และสงั คม ผูน้ าํ ทเ่ี ขา้ ถงึ พทุ ธศาสนาทุกระดบั จะไดร้ บั การยอมรบั เลอ่ื มใสศรทั ธา จากสงั คมเป็นอย่างมากกว่าศาสนา อน่ื ๆ พระสงฆม์ ีส่วนร่วมในการต่อสูก้ บั การเมือง ในสมยั รฐั บาลของโงดินเดียมพระพุทธศาสนาถูกกดข่ี ยาํ่ ยี จากฝ่ายรฐั บาลท่นี บั ถือคริสตศ์ าสนา เป็นการทาํ ลายความรูส้ กึ ของพุทธศาสนิกชนอย่างมากทาํ ใหม้ กี ารเดินขบวน ประทว้ งขบั ไล่รฐั บาล โดยมพี ระสงฆเ์ ป็นผูน้ าํ มวลชนพระภกิ ษุถิชกวางดึก๊ ไดเ้ ผาตนเองเพ่อื ประทว้ งรฐั บาลซ่งึ ก่อ ความสะเทอื นใจแก่ชาวพทุ ธเวยี ดนามไปทวั่ ประเทศ พระสงฆก์ บั ผลกระทบทางการเมือง ในยุคของนายพลเหงยี นเกากี ข้นึ เป็นผูน้ าํ ประเทศ ไดร้ บั การต่อตา้ น จากชาวพทุ ธหวั รุนแรงอยู่ตลอดมพี ระสงฆเ์ ป็นผูน้ าํ ในการต่อสู ้ ระดมมวลชนเดินขบวนไปตามทอ้ งถนนเป็นยุคท่ี เรยี กว่า ยุคหลวงพ่รี ะดมพลกลางทอ้ งถนน [Monk and Mobs in The Street] แมจ้ ะไมป่ ระสบความสาํ เร็จ แต่ว่า ยงั เป็นพลงั อาํ นาจอนั สาํ คญั ยง่ิ ใหญ่ทฝ่ี ่ายชาวบา้ นเมอื งยงั ตอ้ งใส่ใจหรอื ตอ้ งพง่ึ พาอาศยั เช่นกนั เหตุแห่งความพ่ายแพท้ างการเมืองของพระสงฆ์ พระสงฆ์ ซ่งึ เป็นผูน้ าํ ของชาวพทุ ธมจี ุดอ่อนสาํ คญั คือ ความไมพ่ รอ้ มทเ่ี ขา้ สวมบทบาทรบั ภาระหนา้ ทท่ี ม่ี าถงึ ไดเ้พราะขาดพ้นื ฐานการศึกษา และเพราะตลอดเวลาเกือบ ๑๐๐ ปี ท่ฝี รงั่ เศสยดึ ครองอาํ นาจในเวยี ดนามประชาชนทวั่ ไปถกู ปล่อยปละละเลย ไม่ไดร้ บั การศึกษา พระสงฆท์ เ่ี ป็นผูน้ าํ ชาวพทุ ธลว้ นมาจากตระกลู ชาวไร่ชาวนาแมจ้ ะไดร้ บั การศึกษาเลา่ เรยี นอยู่บา้ ง แต่เป็นเพยี งความรูแ้ บบเก่าๆ ทส่ี บื สาน มาตามประเพณี นอ้ ยองคน์ กั ท่จี ะพดู ภาษาฝรงั่ เศส องั กฤษหรือภาษาอ่นื ๆ ไดใ้ นวงการเมอื งถอื ว่า พระสงฆเ์ ป็นกลุม่ ชนผูด้ อ้ ย หรือไรก้ ารศึกษามลี กั ษณะเด่นคือกลวั และดูถูกวฒั นธรรมจากภายนอก แต่มกี าํ ลงั อิทธิพลอยู่ในหมู่ ประชาชนทวั่ ไป การมีส่วนร่วมทางการเมืองของพระสงฆ์ ในสมยั นายพลเหงยี นคานห์ ข้นึ ครองอาํ นาจแทนนายพลเดือง วนั มนิ ห์ พระสงฆท์ เ่ี ป็นผูน้ าํ ชาวพทุ ธกร็ ่วมกนั สนบั สนุน ขบวนการต่างๆ เช่นองคก์ ารเยาวชนทเ่ี ป็นฐานกาํ ลงั พรอ้ มท่ี จะปฏบิ ตั ิการตามคาํ สงั่ ก็มมี าก ผูน้ าํ ในวงการภายนอกก็หนั มาสนใจรฐั บาลทเ่ี ขา้ มาใหมก่ ็ตอ้ งเอาใจ พระสามารถพูด เสียงดงั เขา้ ไปถึงกลางเวทีการเมืองคือตอ้ งการใหค้ ณะสงฆ์ มีเสียงในรฐั บาลหรือว่ารฐั บาลตอ้ งรบั ฟงั คณะสงฆ์

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๑๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตอ้ งการใหค้ นทค่ี ณะสงฆเ์ ลอื ก หรอื เหน็ เหมาะสมเขา้ ไปดาํ รงตาํ แหน่งในรฐั บาลตอ้ งการใหร้ ฐั อุปถมั ภพ์ ระพทุ ธศาสนา มากข้นึ และตอ้ งการใหเ้ยาวชนชาวพทุ ธมสี ทิ ธมิ สี ่วนในชะตากรรมของสงั คมเวยี ดนามมากข้นึ ๔๖ ววิ ฒั นาการพทุ ธศาสนาและวฒั นธรรมในเวียดนามจากอดีตถงึ ปจั จุบนั เวยี ดนามในระยะแรกครอบครอง พ้ืนท่ีเพียงสนั ดอนสามเหล่ยี มของแม่นาํ้ แดง ซ่ึงเป็นใจกลางของเวียดนามเหนือเท่านน้ั ในศตวรรษท่ี ๒ ก่อน คริสตศ์ กั ราชรฐั น้ีถูกผนวกเขา้ เป็ นส่วนหน่ึงแห่งอาณาจกั รจนี ในสมยั ราชวงศฮ์ นั่ (Han Dynasty) ซ่ึงชาวจีน เรียกว่า “หนานเย่” (Nan-yueh) หรือ “หนานเวียด” (Nan-viet) ในระยะเวลากว่า ๑,๐๐๐ ปีภายใตก้ ารปกครอง ของจนี เวยี ดนามคุน้ เคยกบั สถาบนั การเมอื งและสงั คม ระบบการเขยี น การศึกษา และศิลปวฒั นธรรมแบบจนี เวยี ดนามไดร้ บั อทิ ธิพลจากพทุ ธศาสนามหายาน ซ่ึงกลายเป็ นปจั จยั หน่ึงท่ีทาใหเ้ วยี ดนามแตกต่างไปจาก เพอ่ื นบา้ นในเอเชียอาคเนย์ พทุ ธศาสนามหายานไดผ้ สมผสานกบั ปรชั ญาขงจอื๊ และเตา๋ รวมทง้ั ความเช่อื ทอ้ งถน่ิ ของ เวยี ดนาม พทุ ธศาสนามหายานในเวยี ดนามไม่ไดพ้ ฒั นาเครือข่ายของสถาบนั สงฆอ์ นั อาจก่อใหเ้กิดพลงั ทางการเมอื ง ดงั ทปี่ รากฏในพทุ ธศาสนาเถรวาท อิทธพิ ลของจนี ทม่ี ตี ่อเวยี ดนามข้นึ ถงึ ระดบั สูงสุดในสมยั ราชวงศถ์ งั (T\"ang Dynasty, ค.ศ. ๖๑๘-๙๐๗ อย่างไรก็ตามเวยี ดนามไมเ่ คยสูญเสียความรูส้ กึ แห่งรฐั ชาติของตน ในปี ค.ศ.939 ระหว่างท่เี กิดความยุ่งเหยิงทาง การเมอื งในประเทศจนี เวยี ดนามไดฉ้ วยโอกาสนนั้ ประกาศอสิ รภาพและจดั ตงั้ รฐั เวยี ดนามข้นึ หลงั การประกาศอสิ รภาพ ประวตั ิศาสตรเ์ วียดนามมลี กั ษณะเด่นสองประการ ประการแรกเวยี ดนามได้ พฒั นารฐั ขงจอื๊ และเจริญรอยตามแบบอย่างวฒั นธรรมจนี โดยมรี ูปแบบรฐั บาลคลา้ ยคลงึ กบั จีนเพยี งแต่มขี นาดเลก็ กว่าเท่านนั้ พระจกั รพรรดิเวยี ดนามท่ีกรุงฮานอย (Hanoi) อนั เป็นเมืองหลวง ทรงบริหารเหล่าขา้ ราชการท่ีไดร้ บั การศึกษาจากตาํ ราขงจอื๊ กฎหมาย โครงสรา้ งการบริหาร วรรณคดีและศิลปกรรมลว้ นตามอย่างจนี ทงั้ ส้นิ ขณะท่ชี น ชน้ั ทม่ี กี ารศึกษามกั นิยมใชภ้ าษาจีนมากกว่าภาษาเวยี ดนาม ประการท่สี อง เวยี ดนามไดแ้ ผ่ขยายอิทธิพลลงมาทางใต้ อนั ก่อใหเ้กดิ ความตงึ เครียดทางวฒั นธรรมข้นึ ดินแดนทางทศิ ใตข้ องเวยี ดนามมไิ ดอ้ ยู่ในเขตอทิ ธพิ ลของวฒั นธรรมขงจอื๊ แต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ใน บรรดาชนกลมุ่ นอ้ ยต่างๆ ซง่ึ อาศยั อยู่บนทร่ี าบสูงของเวยี ดนาม (Montagnard) ทาํ ใหเ้กดิ ความแตกต่างทางวฒั นธรรม ระหวา่ งชาวเหนือกบั ชาวใตข้ ้นึ ในเวยี ดนาม โดยชาวเหนือส่วนใหญ่มอี ุปนิสยั อนุรกั ษ์ เช่อื ฟงั กลุม่ สงวนท่าที และเคารพ ชวี ติ ทางสตปิ ญั ญา สว่ นชาวใตช้ อบออกสงั คม รกั อสิ ระ อปุ นิสยั เปิดเผย และชอบเลอื กแนวทางศาสนาดว้ ยตนเอง การฟ้ื นฟวู ฒั นธรรมขงจ๊อื สภาพทางภูมิศาสตรข์ องเวียดนามท่ีมีลกั ษณะแคบเรียวยาวตามชายฝงั่ ทะเล (ความยาวกว่า ๑,๐๐๐ กโิ ลเมตร) ทาํ ใหพ้ ระจกั รพรรดิเกียลอง (Gia Long, ครองราชย์ ค.ศ. ๑๘๐๒-๑๘๒๐) ทรงเหน็ ถงึ ความยากลาํ บาก ในดา้ นการปกครองและการป้องกนั ประเทศ จึงทรงยา้ ยเมอื งหลวงจากฮานอย มาอยู่ท่เี มอื งเว้ (Hue) ทางตอนกลาง ของประเทศ โดยทรงสรา้ งพระราชวงั ตามแบบอยา่ งพระราชวงั ในกรุงปกั กง่ิ (เพยี งแต่มขี นาดเลก็ กว่าเทา่ นน้ั ) ๔๖ คณาจารย์ มจร., ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๗๕-๑๗๖.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๑๗  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง จากทศวรรษท่ี ๑๘๓๐ เป็นตน้ มา ไดเ้ กิดกบฏข้นึ บ่อยครง้ั เพ่อื ต่อตา้ นการบริหารงานแบบขุนนางจีนเก่าท่ี เกบ็ ภาษสี ูงแต่ไรป้ ระสทิ ธภิ าพ การฟ้ืนฟูแบบฉบบั ลทั ธิขงจอื๊ กไ็ ม่สามารถทาํ ใหร้ ฐั บาลขนุ นางรบั มอื กบั การทา้ ทายจาก ตะวนั ตกไดอ้ ยา่ งจรงิ จงั ชนชน้ั ปญั ญาชนบางคนเร่มิ เหน็ ถงึ ความจาํ เป็นในการศึกษาตะวนั ตก แต่ก็เป็นเพยี งคนกลุม่ นอ้ ยเท่านน้ั พระจกั รพรรดิเทียวทรี (Thieu Tri, ครองราชย์ ค.ศ. ๑๘๔๑-๔๗) และพระจกั รพรรดิทูดกั (Tu Duc, ครองราชย์ ค.ศ. ๑๘๔๗-๘๓) ทรงดาเนินวิเทโศบายผิดพลาดอย่างมหนั ต์ ดว้ ยการเผชิญหนา้ กบั ตะวนั ตกและ ปราบปรามศาสนาคริสต์ มิชชนั นารีคาทอลิกฝรงั่ เศสไดแ้ สดงบทบาทในเวียดนาม มาตง้ั แต่กลางศตวรรษท่ี ๑๗ ภายในกลาง ศตวรรษท่ี ๑๙ ประมาณกนั ว่ามคี าทอลกิ ในเวยี ดนามถงึ ๔๕๐,๐๐๐ คน รฐั บาลเวียดนามหวนั่ เกรงศาสนาท่มี กี าร จดั ตง้ั ในรูปองคก์ รทกุ ประเภท ว่าจะเป็นภยั ต่ออาํ นาจรฐั ในแบบฉบบั ขงจอื๊ และศาสนาคริสตด์ ูเหมอื นว่าจะเป็นภยั ใน ลกั ษณะนน้ั การรณรงคป์ ราบปรามจงึ เกิดข้นึ หลายครงั้ มบี าทหลวงและชาวครสิ ตห์ ลายพนั คนเสยี ชวี ติ และหม่บู า้ น ชาวคริสตถ์ ูกทาํ ลาย การปราบปรามน้ีสรา้ งความตกตะลึงแก่ชาวคาทอลิกในฝรงั่ เศส และกลายเป็นขอ้ อา้ งของ ฝรงั่ เศสในการเขา้ ยดึ ครองเวยี ดนาม วฒั นธรรมและสงั คมการเมอื งเวยี ดนามยุคสมยั ใหม่ ในยุคอาณานิคม เวียดนามกลายเป็นดินแดนแห่งความสบั สนอลหม่านทงั้ ทางสงั คมและวฒั นธรรม การ พงั ทลายของรฐั บาลในแบบฉบบั ขงจอื๊ และชยั ชนะของ “ความป่ าเถ่อื น” จากตะวนั ตก ทาํ ใหค้ วามเช่อื และค่านิยมใน ขนบประเพณีดง้ั เดิมของเวยี ดนามเกิดปญั หา ชนชนั้ สูงและชนชนั้ กลางของเวียดนามเร่ิมศึกษาตามแบบตะวนั ตก อยา่ งกระตอื รอื รน้ (แทนทก่ี ารศึกษาในแบบฉบบั ขงจอื๊ ดงั้ เดมิ ) ความแตกแยกทางสงั คมวฒั นธรรมไดเ้ กิดข้ึนในเวียดนาม บา้ งก็เลือกวิธีคิดและการแสดงออกแบบ ตะวนั ตก บา้ งกม็ องไปทจ่ี นี เพอ่ื สรา้ งโลกในแบบฉบบั ขงจอื๊ ข้นึ มาใหม่ บา้ งก็มองไปท่ญี ่ปี ่นุ อย่างไรกต็ ามในทศวรรษท่ี ๑๙๒๐ วงการวชิ าการเวยี ดนามไดล้ งประชามตทิ จ่ี ะใชต้ วั อกั ษรโรมนั (quoc ngu) แทนตวั อกั ษรจีน (Chu Nom) ในการเขยี นภาษาเวยี ดนาม อกั ษรโรมนั ช่วยใหว้ รรณกรรมสมยั ใหม่ของเวยี ดนามเติบโตข้นึ อย่างน่าประทบั ใจทาํ ให้ หนงั สอื พมิ พแ์ ละหนงั สอื ทางการเมอื งเขา้ ถงึ ประชาชนอยา่ งกวา้ งขวาง ก่อนสงครามโลกครง้ั ท่ีสอง ความเคล่ือนไหวท่ีเด่นท่ีสุด (ในแง่จานวน) ในหม่ปู ระชาชนเวียดนาม ไดแ้ ก่ ความเคลอ่ื นไหวทางศาสนา เจาได (Cao Dai) นิกายทางศาสนาทต่ี ง้ั ข้นึ ทางตอนใตใ้ นปี ค.ศ. ๑๙๒๕ โดยอา้ งว่าจะรวม ตะวนั ออก ตะวนั ตก และเอกลกั ษณว์ ฒั นธรรมเวยี ดนามเขา้ ดว้ ยกนั มสี านุศิษยก์ ว่า ๑ ลา้ นคนในช่วงปลายทศวรรษท่ี ๑๙๓๐ ขณะนนั้ พทุ ธศาสนานิกายฮวาเฮา (Hoa Hao) ก็มสี านุศิษยเ์ ป็นจาํ นวนมากทางตอนใตเ้ ช่นเดียวกนั และ ศาสนาคริสตก์ ็อา้ งว่ามีผูต้ ิดตามถึงรอ้ ยละ ๑๐ ของจาํ นวนประชากรทงั้ หมด (ประมาณ ๓๐ ลา้ นคน ในขณะนนั้ ) ความเคลอ่ื นไหวทางศาสนาเหล่าน้ี ก่อใหเ้กดิ ปญั หาแก่ขบวนการชาตนิ ิยมเวยี ดนามในช่วงหลงั สงครามโลกครงั้ ท่สี อง ระหว่างสงครามเวียดนาม โลกตอ้ งตกตะลงึ เม่อื พระภิกษุในพระพุทธศาสนาจาํ นวนหน่ึงไดเ้ ผาตวั ตายเพ่ือประทว้ ง สงครามและรฐั บาล ผูน้ าํ ชาวพทุ ธไดส้ รา้ งขบวนการต่อสูท้ างการเมอื ง โดยใชป้ รชั ญาการเมอื งและสงั คมตามหลกั การ ของพทุ ธศาสนา เรียกรอ้ งใหย้ ุติสงครามและนาํ สนั ติภาพกลบั คืนสู่ประเทศ ขบวนการต่อสูท้ างการเมอื งของชาวพทุ ธ เวยี ดนามน้ีเรยี กกนั ว่า “พทุ ธสงั คมนิยม” (Buddhist Socialism)

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๑๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ อิทธิพลของตะวนั ตกในรูปของอาณานิคมฝรงั่ เศสและการแทรกแซงของสหรฐั อเมรกิ า ก่อใหเ้กิดความตึง เครียดทางประวตั ิศาสตรแ์ ละการแบ่งแยกในสงั คมเวยี ดนาม ลทั ธิคอมมวิ นิสตใ์ นเวยี ดนามซ่งึ ไดร้ บั การสนบั สนุน อย่างกวา้ งขวางจากประชาชน โดยสญั ญาท่จี ะนาํ เอกราชมาสู่ประเทศ กบั ความสมานฉนั ทแ์ ละความยุติธรรมมาสู่ สงั คม ประสบความสาํ เร็จในประการแรกแต่ลม้ เหลวในประการหลงั ปจั จุบนั เวยี ดนามภายใตร้ ฐั บาลคอมมวิ นิสต์ ยอมรบั ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เวียดนามไดเ้ ขา้ เป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ (ASEAN) ดว้ ยอตั ราการเตบิ โตทางเศรษฐกิจท่สี ูงถงึ รอ้ ยละ ๘ ต่อปีอย่างต่อเน่ือง เวยี ดนามได้ กลายเป็นคู่แขง่ ขนั ทส่ี าํ คญั ในหมปู่ ระชาชาตเิ อเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต๔้ ๗ ๘.๘ พระพทุ ธศาสนากบั สงั คมการเมืองในมาเลเซีย แมจ้ ะเป็นสงั คมพหนุ ิยม (pluralist society) ประกอบดว้ ยชาตพิ นั ธุซ์ ่งึ มวี ฒั นธรรมทห่ี ลากหลายอยู่ถงึ กว่า ๖๐ ชาตพิ นั ธุ์ แต่มาเลเซยี กม็ นี โยบายแบง่ แยกประชากร ๒๕ ลา้ นคนอย่างเปิดเผย ระหว่างพลเมอื งท่เี ป็น ‚ภมู บิ ตุ ร‛ กบั ‚มใิ ช่ภูมิบุตร‛ ภูมบิ ุตรคือพลเมอื งเช้ือสายมาเลย์ (รอ้ ยละ ๖๔) ท่ีมวี ฒั นธรรมพ้นื เมืองของแหลมมาลายูและ บอรเ์ นียว (ในเขตมาเลเซยี ) ซง่ึ ไดร้ บั สทิ ธิทกุ อย่างในฐานะประชากรเตม็ ขนั้ ส่วนผูท้ ม่ี ใิ ช่ภมู บิ ตุ รคือพลเมอื งเช้อื สาย จนี (รอ้ ยละ ๒๗) และเช้อื สายอนิ เดยี (รอ้ ยละ ๘) เป็นส่วนใหญ่ซ่งึ มาจากวฒั นธรรมท่อี ยู่นอกแหลมมลายู ถกู จาํ กดั สทิ ธใิ นหลายประการและกลายเป็นประชากรชน้ั สอง แมจ้ ะเป็นประเทศประชาธิปไตยและมพี ลเมอื งถงึ รอ้ ยละ ๓๕ ท่ไี ม่ไดน้ บั ถือศาสนาอิสลาม แต่มาเลเซยี ก็ ประกาศใหอ้ สิ ลามเป็นศาสนาประจาํ ชาติ มกี ารจาํ กดั การสรา้ งวดั (พทุ ธศาสนา) และโบสถ์ (คริสตศ์ าสนาและศาสนา อ่นื ) อย่างเขม้ งวด พลเมอื งมสุ ลมิ ไมส่ ามารถเปล่ียนไปนบั ถือศาสนาอ่ืนได้ และการเผยแผ่ศาสนาอ่ืนแก่ประชากร มสุ ลมิ เป็นสง่ิ ตอ้ งหา้ ม อาณาจกั รศรวี ชิ ยั ระหวา่ งคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๗-๑๔ ดนิ แดนปาเลมบงั ทางใตข้ องเกาะสุมาตราเป็นศูนยก์ ลาง ของอาณาจกั รสาํ คญั ทางทะเลทช่ี ่อื ว่า “ศรีวชิ ยั ” ซ่งึ ครงั้ หน่ึงเคยมเี มอื งหลวงช่อื มลายู (Melayu) เมอื งน้ีอาจเป็นตน้ กาํ เนิดของวฒั นธรรมมาเลย์ อาณาจกั รศรีวชิ ยั ครอบคลุมแหลมมลายู หม่เู กาะสุมาตรา หม่เู กาะชวา และบอรเ์ นียว ตะวนั ตก อาณาจกั รศรีวิชยั ไดร้ บั การสนบั สนุนทง้ั จากจีนและอินเดีย โดยไดร้ บั อิทธิพลทางวฒั นธรรมและพุทธ ศาสนามหายานจากอนิ เดยี เป็นกระแสหลกั ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๔ อาณาจกั รศรีวชิ ยั พ่ายแพแ้ ก่อาณาจกั รมชั ปาหติ แห่งชวาซง่ึ นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ ผูล้ ้ภี ยั จากศรวี ชิ ยั ไดอ้ พยพข้นึ ไปทางเหนือจนถงึ หมเู่ กาะเรียวลงิ คะ เกาะสงิ คโปร์ และในทส่ี ุดไดจ้ ดั ตง้ั เมอื งมาลกั กา ข้นึ (ประมาณปี ค.ศ.๑๔๐๐) มาลกั กาเจริญรุ่งเรืองอยู่นานถงึ หน่ึงศตวรรษในฐานะศูนยก์ ลางการคา้ และวฒั นธรรม แต่มาลกั กากต็ อ้ งสง่ เครอ่ื งบรรณาการใหแ้ ก่ทงั้ จนี มชั ปาหติ และกรุงศรอี ยุธยา ๔๗ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๙๘-๕๐๒..

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๑๙  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในทางปฏบิ ตั ิแลว้ มาลกั กามอี ิสระในการปกครองตนเอง การส่งเคร่ืองบรรณาการเป็นเพยี งสญั ลกั ษณ์ของ ความสวามภิ กั ด์เิ ทา่ นน้ั และทาํ ใหอ้ าณาจกั รเหลา่ น้ีส่งพ่อคา้ มาติดต่อคา้ ขายดว้ ย ชุมชนจนี ไดก้ ่อตงั้ ข้นึ และกลายเป็น เอกลกั ษณอ์ ย่างหน่ึงของสงั คมมาลกั กา ชาวจนี จงึ เป็นสว่ นหน่ึงของประวตั ศิ าสตรม์ าเลเซยี มาตง้ั แต่เรม่ิ ตน้ การแผ่ขยายของอิสลาม ประมาณปี ค.ศ.๑๔๐๗ พระเจา้ ปารไ์ บสุรา กษตั ริยแ์ ห่งมาลกั กาหนั ไปเขา้ รีต ศาสนาอิสลาม แลว้ เปลย่ี นพระนามเป็นสุลต่านมฮู มั มดั ชาห์ แต่ราษฎรส่วนใหญ่ยงั คงนบั ถอื พทุ ธศาสนาและศาสนา พราหมณ์ ต่อมาถึงแผ่นดินสุลต่านมลั โมชาห์ มาลกั กาขยายอาํ นาจตีไดเ้ มอื งกาํ ปา ปะหงั อินทคีรี แลว้ โปรดให้ ทาํ ลายพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณเ์ สยี ส้นิ บงั คบั ราษฎรใหเ้ขา้ รีตอิสลาม แหลมมลายูและหม่เู กาะบริเวณนนั้ จึง กลายเป็นดนิ แดนอสิ ลามนบั แต่นนั้ ยุคทองของมาลกั กาส้นิ สุดลงอย่างกะทนั หนั ในเดือนสงิ หาคม ค.ศ.๑๕๑๑ เม่อื โปรตเุ กสไดใ้ ชอ้ าวุธปืนทเ่ี หนือกว่าเขา้ ยดึ ครองเพอ่ื ครอบครองเสน้ ทางการคา้ ของมาลกั กา ในปี ค.ศ.๑๕๑๔ ผูป้ กครองบรูไนเขา้ รีตนบั ถอื ศาสนาอิสลาม สรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ราชวงศม์ าลกั กาเก่า และเร่ิมตน้ พฒั นาส่ิงท่ีเรียกว่า “วฒั นธรรมบรูไน-มาเลย”์ ข้ึน โดยมีสุลต่าน (sultan) เป็นศูนยร์ วมแห่งอาํ นาจ สุลต่านเป็นผลรวมของวฒั นธรรมฮินดูในเอเชียอาคเนย์ กบั แนวคิดอิสลามจากตะวนั ออกกลาง ทาํ ใหส้ ุลต่านเป็น เสมอื น “สมมตุ เิ ทพ” ผูม้ อี าํ นาจทง้ั ทางฝ่ายอาณาจกั รและฝ่ายศาสนจกั ร ความสมั พนั ธก์ บั รฐั ไทย ราชอาณาจกั รไทยซ่งึ มีศูนยก์ ลางอยู่ท่ีกรุงศรีอยุธยา ไดค้ รอบคลุมดินแดนใน แหลมมาลายูตง้ั แต่ศตวรรษท่ี ๑๔ ในปลายศตวรรษท่ี ๑๘ และตน้ ศตวรรษท่ี ๑๙ ราชวงศจ์ กั รีของไทยไดแ้ ผ่อาํ นาจ ลงมาทางใต้ ครอบคลุมดินแดนปตั ตานี กลนั ตนั เคดาห์ เปรกั และตรงั กานู ปตั ตานีจึงกลายเป็นส่วนหน่ึงของ ราชอาณาจกั รไทย ทาํ ใหเ้กดิ ชนกลมุ่ นอ้ ยมาเลยม์ สุ ลมิ ข้นึ อย่างถาวรในดนิ แดนประเทศไทย ในปี ค.ศ.๑๙๐๙ ภายใตแ้ รงกดดนั ของลทั ธิอาณานิคม ประเทศไทยไดย้ กดินแดนทางเหนือของแหลม มลายู อนั รวมถงึ เคดาห์ เปอรล์ สิ กลนั ตนั และตรงั กานู ใหอ้ ยู่ในความดูแลของประเทศองั กฤษ ในปี ค.ศ.๑๙๔๓ ระหว่างสงครามโลกครง้ั ท่สี อง ประเทศญ่ีปุ่นไดค้ ืนรฐั ทงั้ ส่ใี หแ้ ก่ประเทศไทย แต่เมอ่ื ญ่ีปุ่นแพส้ งครามรฐั ทงั้ ส่กี ็ตก เป็นขององั กฤษอกี ครง้ั หน่ึงในปี ค.ศ.๑๙๔๕ การกาเนิดของมาเลเซยี ในปี ค.ศ.๑๙๕๗ สหพนั ธรฐั มาลายาไดป้ ระกาศอสิ รภาพจากองั กฤษ และปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยแบบองั กฤษ โดยมพี ระราชาธิบดีจาก ๙ รฐั ผลดั เปลย่ี นกนั ข้นึ มาเป็นกษตั ริยค์ รงั้ ละ ๕ ปี และภาษามาเลยเ์ ป็นภาษาราชการ ตวนกูอบั ดุลราหม์ าน ไดเ้ป็นนายกรฐั มนตรีคนแรก ต่อมามาลายา สงิ คโปร์ ซารา วคั และซาบาห์ ไดร้ วมเขา้ ดว้ ยกนั เป็นมาเลเซยี แต่ความไม่ลงตวั ของปญั หาเช้อื ชาตกิ ลายเป็นประเดน็ ท่อี ่อนไหว ใน เดอื นสงิ หาคม ค.ศ.๑๙๖๕ ลกี วนยู ไดบ้ รรลขุ อ้ ตกลงแยกประเทศสงิ คโปรอ์ อกจากมาเลเซยี ปี ค.ศ.๑๙๖๙ ชาวมาเลยไ์ ดก้ ่อเหตุจลาจลบุกทาํ รา้ ยชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของชาวจนี ในกรุงกวั ลาลมั เปอร์ การ จลาจลดาํ เนินอยู่ ๔ วนั มผี ูเ้สยี ชวี ติ หลายรอ้ ยคน และทรพั ยส์ นิ ถูกทาํ ลายเป็นจาํ นวนมาก รฐั บาลไดป้ ระกาศภาวะ ฉุกเฉิน วกิ ฤตการณ์ทางเช้ือชาติ และศาสนาครง้ั น้ี ทาํ ใหอ้ าํ นาจต่อรองของชาวจีนและชาวอินเดียในมาเลเซยี ลดลง เป็นอย่างมาก รฐั บาลมาเลเซยี ดาํ เนินนโยบายสรา้ งรฐั มาเลยอ์ ย่างเปิดเผย ผลประโยชน์ของชาวมาเลยก์ ลายเป็น นโยบายหลกั ของรฐั บาล และพรรคอุมโน (UMNO-United Malays National Organization) กลายเป็นพรรค การเมอื งทก่ี มุ อาํ นาจเบด็ เสรจ็ ในมาเลเซยี

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๒๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ทางสองแพรง่ : รฐั มาเลยท์ ่ที นั สมยั หรอื รฐั อสิ ลามทเ่ี คร่งจารีต วฒั นธรรมศาสนาของชาวมาเลยท์ ่เี คยสงบมาชา้ นาน ไดถ้ กู ขบวนการ ดกั วาห์ (dakwah) ปลุกระดมเพ่อื ให้ มาเลเซยี เป็นรฐั อิสลาม รฐั บาลมาเลเซียตอ้ งออกกฎหมายควบคุมองคก์ รทางศาสนาและคาํ สอนขององคก์ รเหล่าน้ี รฐั บาลตอ้ งใชอ้ าํ นาจเป็นครงั้ คราวเพอ่ื ปราบปรามบุคคลทต่ี อ้ งการสรา้ งความแตกแยกทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยง่ิ กลมุ่ พาส (Pas) ซง่ึ เป็นพรรคฝ่ายคา้ นท่เี นน้ นโยบายสรา้ งรฐั อสิ ลาม ภายใตก้ ารนาํ ของมหาธีร์ โมฮมั หมดั นายกรฐั มนตรีคนท่ีส่ี โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามถูกเพกิ ถอนเงนิ อดุ หนุนจากรฐั บาล เพ่อื ใหน้ กั เรียนจาํ นวนกว่า ๑๒๖,๐๐๐ คน กลบั เขา้ สู่ระบบการศึกษาตามปกตขิ องรฐั โรงเรียน เหลา่ น้ีถกู มองว่าเป็นแหลง่ \"ลา้ งสมอง\" (ตามคาํ พดู ของมหาธรี เ์ อง) ท่บี ดิ เบอื นคาํ สอนทางศาสนาเพอ่ื ผลทางการเมอื ง ทาํ ใหเ้ ด็กมสุ ลิมกลายเป็นคนนิยมความรุนแรง นอกจากน้ีมหาธีรย์ งั พยายามแยกศาสนาออกจากหลกั สูตรของ โรงเรียน โดยใหไ้ ปเรียนศาสนาในวนั หยุดและจะตอ้ งไม่มเี น้ือหาทางการเมอื งปะปนอยู่ดว้ ย นบั เป็นความพยายาม ของรฐั บาลทจ่ี ะควบคุมการสอนอสิ ลามในมาเลเซยี ภายหลงั เหตุการณว์ นิ าศกรรม ๑๑ กนั ยายน ค.ศ.๒๐๐๑ ในสหรฐั อเมริกา รฐั บาลมาเลเซยี ไดป้ ระกาศใช้ กฎหมายความมนั่ คงภายใน เพอ่ื ควบคุมตวั มสุ ลมิ หวั รุนแรงท่อี าจมสี ่วนเก่ยี วขอ้ งกบั เหตุการณด์ งั กลา่ ว ทาํ ใหร้ ฐั บาล ตะวนั ตก (โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ รฐั บาลสหรฐั ) ลดการวพิ ากษว์ จิ ารณม์ าเลเซยี ลง๔๘ ๘.๙ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนากบั สงั คมการเมืองในอนิ โดนีเซยี อาณาจกั รหมเู่ กาะอนิ โดนีเซยี ระยะแรกเป็นรฐั ฮนิ ดูกบั พทุ ธศาสนา โดยศาสนาทง้ั สองเดินทางจากอนิ เดียมา ตามเสน้ ทางการคา้ ถึงดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยไดร้ บั การตอ้ นรบั จากผูป้ กครองทอ้ งถ่ินอย่างดีย่ิง เน่ืองจากพธิ กี รรมของศาสนาฮนิ ดูท่เี หมาะกบั ราชสาํ นกั และแนวคิดทางปรชั ญาทล่ี กึ ซ้งึ ของพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนา มอี ิทธิพลเหนือหม่เู กาะอินโดนีเซียไม่นอ้ ยกว่า ๖๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในสมยั อาณาจกั รศรีวิชยั ซ่งึ มกี ารสรา้ ง พทุ ธสถานทใ่ี หญ่โตวจิ ติ รงดงามและพระพทุ ธรูปเป็นอนั มาก พทุ ธศาสนา อาณาจกั รศรีวิชยั (ประมาณ พ.ศ.๑๒๐๐-๑๘๐๐) ครอบคลุมตง้ั แต่ตอนบนของแหลมมลายู รวมทงั้ ตอนใตข้ องไทยจนถงึ หม่เู กาะอินโดนีเซยี เป็นอาณาจกั รท่นี บั ถอื พุทธศาสนามหายาน โดยไดร้ บั วฒั นธรรม อินเดีย ๒ ทางคือ จากราชวงศ์โจฬะ (อินเดียใต)้ และราชวงศ์ปาละ (เบงกอล) ซ่ึงนํา พุทธศาสนาวชั รยาน (Vajrayana) หรอื ตนั ตระ (Tantra) เผยแผ่มาถงึ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั ภายในอาณาบรเิ วณ ๓๐ กิโลเมตรจากยอคจาการต์ า (Yogyakarta) ในใจกลางของเกาะชวา เป็นท่ตี งั้ ของ โบราณสถานทางศาสนาท่ีสาํ คัญ ๒ แห่งคือ โบโรบูโดร์ (Borobudor) สถูปในพุทธศาสนา และปรมั บานาน (Prambanan) วดั ในศาสนาฮนิ ดู โบราณสถานทง้ั สองแห่งน้ีสรา้ งข้นึ ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ และท่ี ๑๔ เป็นหลกั ฐาน ทางประวตั ิศาสตรท์ ช่ี ้ีถงึ ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาฮินดูกบั พทุ ธศาสนา ความรูท้ างดา้ นวศิ วกรรมและศิลปกรรม ๔๘ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๕๐๒-๕๐๔.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๒๑  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ของผูค้ นในยุคนน้ั นอกจากน้ียงั มวี ดั อนั วจิ ิตรงดงามอีกหลายรอ้ ยแห่งทวั่ ทง้ั เกาะชวา สาํ หรบั ชาวบาหลนี นั้ นบั ถือ ศาสนาฮนิ ดูเป็นส่วนใหญ่ โดยมวี ดั ฮนิ ดูทงั้ เก่าและใหมน่ บั พนั แห่งทวั่ ทง้ั เกาะบาหลี อาณาจกั รในใจกลางหมู่เกาะเป็นรฐั ท่ีรุ่งเรืองดว้ ยการเพาะปลูก มรี ะบบการจดั เก็บภาษีดว้ ยพืชผลและ แรงงานจากชาวนา มรี ะบบกฎหมายและระบบการบรหิ ารของตนเอง มชี ่างฝีมอื ในการก่อสรา้ งวดั หนิ ขนาดใหญ่ ราช สาํ นกั ไดส้ ง่ เสรมิ วฒั นธรรมชน้ั สูงทางดา้ นดนตรี การฟ้อนราํ ปรชั ญา และวรรณคดี มหากาพยข์ องอนิ เดยี คือ มหาภา รตะ (Mahabharata) และรามายนะ (Ramayana) ไดถ้ ูกนาํ เสนอโดยนกั ดนตรี นกั ฟ้อนราํ และนกั เชิดหุ่นกระบอก เพ่อื สอ่ื คุณค่าทางจริยธรรมและวฒั นธรรมของชาวชวาและชาวบาหลี ระบบการเขยี นนนั้ มาจากภาษาสนั สกฤต และ คาํ สนั สกฤตจาํ นวนมากไดก้ ลายเป็นคาํ ในภาษาทอ้ งถน่ิ ศาสนาอสิ ลาม ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ อาณาจกั รมชั ปาหติ ซ่งึ นบั ถือศาสนาฮินดูไดร้ ุ่งเรืองข้นึ มกี ารสรา้ ง เทวสถานเป็นอนั มาก และภาษาสนั สกฤตกลายเป็นภาษาราชสาํ นกั ต่อมาสมยั พระเจา้ องควชิ ยั (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙) อาํ นาจของมชั ปาหติ แผ่ข้นึ ไปถงึ แหลมมลายู ทาํ ใหอ้ าณาจกั รศรวี ชิ ยั เสอ่ื มลง ในปี พ.ศ.๑๙๓๐ ลามนุ ะ อบิ ราฮมิ พอ่ คา้ อาหรบั ไดน้ าํ ศาสนาอสิ ลามไปเผยแพร่ท่ชี วาเป็นครงั้ แรก อิบราฮิม พยายามเกล้ยี กลอ่ มพระเจา้ องควชิ ยั แต่ไม่สาํ เรจ็ จงึ หนั ไปเกล้ยี กลอ่ มระเด่นปาตาซง่ึ เป็นโอรสใหห้ นั มานบั ถอื อสิ ลาม ไดส้ าํ เร็จ ระเด่นปาตาไดก้ ระทาํ ปิตุฆาต สถาปนาตนเองข้ึนเป็นสุลต่าน และประกาศอิสลามเป็นศาสนาประจาํ อาณาจกั ร ศาสนาอิสลามจงึ แพร่เขา้ สู่เกาะต่างๆ อย่างรวดเรว็ เจา้ เมอื งต่างๆ ท่เี กรงกลวั ภยั ต่างพากนั เขา้ รตี นบั ถอื อสิ ลาม สว่ นผูท้ ม่ี นั่ คงในศาสนาพราหมณแ์ ละพทุ ธศาสนาไดพ้ ากนั หนีภยั ลงไปอยู่ทเ่ี กาะบาหลี จนกระทงั่ ปจั จบุ นั เมอ่ื ชาวดตั ชเ์ ดนิ ทางมาถงึ ในตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๗ อาณาจกั รส่วนใหญ่ไดก้ ลายเป็นอิสลาม โดยมศี าสนา ฮนิ ดูตงั้ มนั่ ทเ่ี กาะบาหลี แต่ศาสนาอิสลามในอินโดนีเซยี มคี วามหลากหลายทง้ั ระบบความเช่อื และการปฏบิ ตั ิ นบั จาก ชาวอาเจะหท์ เ่ี คร่งครดั ในคมั ภรี อ์ ลั กุรอ่านและแสดงตนเป็นมุสลมิ อย่างเปิดเผย จนถงึ ประชาชนในชวาภาคกลางและ ภาคตะวนั ออกทน่ี บั ถอื ศาสนาอสิ ลามโดยผสมผสานกบั ศาสนาท่มี มี าแต่เดมิ ศาสนากบั สงั คมการเมืองในยุคสมยั ใหม่ ตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒๐ ภายหลงั จากการสูร้ บกบั อาณาจกั ร อสิ ลามแห่งอาเจะห์ (Aceh) ยาวนานกว่า ๔๐ ปี รฐั บาลอาณานิคม (Nethelands East Indies) ของเนเธอรแ์ ลนด์ ซง่ึ ตงั้ เมอื งหลวงทป่ี ตั ตาเวยี (Batavia) ไดเ้ฝ้าติดตามผูน้ าํ อิสลามอย่างระมดั ระวงั โดยมกี ารแยกแยะระหว่างอิสลาม ทเ่ี ป็นศาสนากบั อสิ ลามทเ่ี ป็นพลงั ทางการเมอื ง มกี ารเขม้ งวดกบั เจา้ หนา้ ทส่ี ุเหร่า โรงเรยี นอสิ ลาม และครูสอนศาสนา เพ่อื มใิ หบ้ ุคคลเหล่าน้ีไปปลุกระดมประชาชนเพ่อื ต่อตา้ นอาํ นาจรฐั อาณานิคม ส่วนการนบั ถอื อิสลามท่เี ป็นศาสนาไม่ ถกู แทรกแซงแต่อย่างใด นกั ชาตินิยมกระแสหลกั ในทศวรรษท่ี ๑๙๒๐ และ ๑๙๓๐ มีความเห็นร่วมกนั ว่าอินโดนีเซียหลงั การ ประกาศอสิ รภาพควรเป็นรฐั ทางโลก (secular state) เน่ืองจากมคี วามหลากหลายทางศาสนาสูง แมว้ ่ามสุ ลมิ จะเป็น คนสว่ นใหญ่ แต่ผูท้ เ่ี คร่งอสิ ลามก็เป็นเพยี งคนกลุม่ นอ้ ยเท่านน้ั และแมแ้ ต่มสุ ลมิ ทเ่ี คร่งก็ยงั มคี วามเช่อื ทางศาสนาท่ี แตกต่างกนั รฐั ทางโลกจะเป็นทางออกเพ่อื หลกี เลย่ี งความขดั แยง้ เหล่าน้ี ซูการโ์ น (Sukarno) ผูน้ าํ กลุ่มชาตินิยมได้ เสนออดุ มการณ์ว่า ประชาชนอนิ โดนีเซยี จะตอ้ งอยู่เหนือความแตกต่างทางดา้ นศาสนาและเช้ือชาติ เพ่อื รวมตวั กนั

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๒๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ต่อตา้ นลทั ธอิ าณานิคม แต่พรรคการเมอื งอิสลามบางพรรคไม่เหน็ ดว้ ยและเรียกรอ้ งใหใ้ ชก้ ฎหมายอิสลามหลงั จาก ไดร้ บั เอกราชแลว้ เม่อื ญ่ีปุ่นเขา้ ยึดครองอินโดนีเซียในเดือนมนี าคม ค.ศ.๑๙๔๒ ครง้ั แรกชาวอินโดนีเซียรูส้ กึ ยินดีท่ไี ดเ้ ป็น อิสระจากการปกครองของเนเธอแลนด์ และประทบั ใจต่อคาํ โฆษณาของญ่ีปุ่นท่วี ่า \"ญ่ีปุ่นคือแสงสว่างแห่งเอเชีย\" และ \"อาณาเขตความมงั่ คงั่ ร่วมกนั แห่งเอเชยี ตะวนั ออก\" แต่ไมน่ านนกั ญ่ีป่นุ กแ็ ยกตวั เองออกจากสงั คมอนิ โดนีเซีย ในทุกระดบั เม่ือญ่ีปุ่นแพส้ งคราม อินโดนีเซียก็ตกเป็นของเนเธอร์แลนด์อีกครง้ั หน่ึง แต่หลงั จากนนั้ ไม่นาน อนิ โดนีเซยี กไ็ ดร้ บั เอกราชในวนั ท่ี ๑๗ สงิ หาคม ค.ศ.๑๙๔๕ โดยมเี มอื งหลวงอยูท่ ก่ี รุงจาการต์ า ในฐานะประธานาธบิ ดคี นแรก ซูการโ์ นไดป้ ระกาศหลกั ‚ปญั จศีล‛ (pancasila) เป็นอุดมการณท์ างสงั คม การเมอื ง ประกอบดว้ ย ‚ความเช่อื ในพระเจา้ องคเ์ ดียว‛ เอกภาพของประเทศ มนุษยธรรม ประชาธปิ ไตย และสงั คม ทเ่ี ป็นธรรม\" หลกั ปญั จศีลเป็นปรชั ญาผสมผสานทค่ี ลุมเครอื แต่กท็ าํ ใหส้ ามารถตีความไปไดห้ ลากหลาย ภายหลงั ส้นิ สุดระบอบเผด็จการซูฮารโ์ ต (Suharto) แลว้ การเมอื งอินโดนีเซียก็เขา้ สู่ความสบั สนวุ่นวาย ใน วนั ท่ี ๒๓ กรกฎาคม ค.ศ.๒๐๐๑ เมกาวตี ซูการโ์ นบุตรี (Megawati Sukarnoputri) บุตรสาวของซูการโ์ น ผูก้ ่อตงั้ สาธารณรฐั อินโดนีเซีย ไดด้ าํ รงตาํ แหน่งประธานาธิบดี เม่อื ยุคคอมมิวนิสตส์ ้ินสุดลงแลว้ รฐั บาลและผูน้ ําท่ีไดร้ บั การศึกษาจากตะวนั ตกเร่มิ มองเหน็ ว่า อสิ ลามทฟ่ี ้ืนตวั ข้นึ มาใหมก่ าํ ลงั กลายเป็นภยั ท่คี ุกคามอาํ นาจรฐั ภายใตร้ ฐั บาลเมกาวตี กลุม่ เจมาห์ อสิ ลามยิ าห์ (Jemaah Islamiah) ซง่ึ ไดร้ บั การหนุนหลงั จากกลุ่มอลั เคดา้ (al Qae-da) ไดล้ อบวางระเบดิ สถานท่ีท่องเท่ียวในเมืองคูตา (Kuta) บนเกาะบาหลี เม่อื วนั ท่ี ๑๒ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๐๒ ทาํ ใหม้ ผี ูเ้สยี ชีวติ กว่า ๒๐๐ คน (เป็นชาวออสเตรเลยี ๘๘ คน และชาวองั กฤษ ๒๖ คน) นบั เป็นการทา้ ทาย นโยบายของรฐั บาลในการปฏริ ูปประเทศ และความร่วมมอื กบั ตะวนั ตกในการต่อตา้ นการก่อการรา้ ย การโจมตที าํ ให้ เกิดผลเสยี หายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงทงั้ ต่อบาหลี (เพยี ง ๒ เดือนหลงั การโจมตี บาหลสี ูญเสยี รายไดจ้ ากการ ท่องเทย่ี วกวา่ ๒,๐๐๐ ลา้ นเหรยี ญสหรฐั ) และต่อเศรษฐกจิ ของประเทศโดยรวม ปจั จุบนั อินโดนีเซียซ่งึ มปี ระชากรมสุ ลมิ มากท่สี ุดในโลกนน้ั กาํ ลงั พบกบั ทางสามแพร่ง ระหว่างวฒั นธรรม ทอ้ งถน่ิ ท่มี ปี ระวตั ิศาสตรอ์ นั ยาวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปี ศาสนาอิสลามซ่งึ กลายเป็นพลงั ทางการเมอื งทส่ี าํ คญั และโลก ตะวนั ตกซง่ึ เป็นตน้ แบบเทคโนโลยแี ละความทนั สมยั ในการแสวงหาทศิ ทางและเอกลกั ษณข์ องประเทศ๔๙ ๘.๑๐ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในสงิ คโปร์ ศาสนาในสิงคโปรย์ ุคแรกมลี กั ษณะผสมผสานทางความเช่ือระหว่างศาสนาเตา๋ กบั พทุ ธศาสนา ส่วนหลกั ปฏบิ ตั จิ ะเนน้ จรยิ ธรรมขงจ้อื เช่น ความกตญั ํูกตเวที ความผูกพนั ทางเครอื ญาติ มารยาททางสงั คม ความประหยดั มธั ยสั ถ์ การเคารพกฎหมาย การปรองดองกบั เพ่ือนบา้ น การปฏิเสธความเช่ือท่ีผิด และการยกย่องการศึ กษาท่ี ถกู ตอ้ ง เป็นตน้ ปจั จุบนั ชาวจนี สงิ คโปรท์ ่ไี ปวดั มแี นวโนม้ ท่จี ะแยกแยะระหว่าง ‚พทุ ธศาสนา‛ กบั ‚ศาสนาเตา๋ ‛ มาก ข้นึ ภายหลงั การสาํ รวจสาํ มะโนประชากรปี ค.ศ.๑๙๘๐ ประชาชนจะตอ้ งเลอื กศาสนาใหช้ ดั เจน ๔๙ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๕๐๔-๕๐๕.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๒๓  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ พทุ ธศาสนาแบบสมาคม : การไหวพ้ ระและประกอบพธิ ีศาสนาท่วี ดั จนี ในสงิ คโปร์ ไม่อาจดงึ ดูดความสนใจ ของคนหนุ่มสาวสิงคโปรม์ ากนกั คนรุ่นใหม่สนใจท่ีจะศึกษาพุทธปรชั ญา จริยธรรม และการปฏิบตั ิธรรมอย่าง กวา้ งขวาง รวมทงั้ การประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ความสนใจดงั กลา่ วเกิดข้นึ ในหม่ฆู ราวาสชาวสงิ คโปร์ และเพ่มิ จาํ นวนข้นึ อย่างต่อเน่ืองจนเกินกว่าจาํ นวนของครูท่ีมีอยู่ องคก์ ารต่างๆ จึงถูกจดั ตง้ั ข้ึนเพ่ือตอบสนองต่อความ ตอ้ งการน้ี จนกลายเป็นความเคลอ่ื นไหวใหมท่ ่เี รียกว่า “พุทธศาสนาแบบสมาคม” (Associational Buddhism) โดย มจี าํ นวนสมาชกิ ทแ่ี น่นอน และสมาชกิ มคี วามสนใจต่อคาํ สอนและวธิ ปี ฏบิ ตั โิ ดยเฉพาะของพทุ ธศาสนาในแบบของตน นบั เป็นจดุ เปลย่ี นทส่ี าํ คญั ของพทุ ธศาสนาในสงิ คโปร์ มดี งั น้ี ๑. หอ้ งสมดุ พทุ ธศาสนา (Buddhist Library) ธรรมรตั นะ พระภกิ ษุศรลี งั กาผูไ้ ดร้ บั แรงบนั ดาลใจจากงาน ของท่านธรรมนนั ทะในกรุงกวั ลาลมั เปอร์ ตอ้ งการสง่ เสรมิ กิจกรรมการศึกษา การปฏบิ ตั ิสมาธิภาวนา และการเผยแผ่ พทุ ธศาสนา (ซ่งึ สมยั นนั้ สถานท่สี าํ หรบั กระทาํ กิจกรรมดงั กล่าวยงั ไม่ม)ี ท่านและชาวสิงคโปรก์ ลุ่มหน่ึงจึงไดก้ ่อตงั้ “สมาคมวจิ ยั พทุ ธศาสนา” (Buddhist Research Society) ข้นึ ในปี ค.ศ.๑๙๘๑ และไดพ้ ฒั นาต่อมาจนกลายเป็น \"หอ้ งสมดุ พทุ ธศาสนา\" (เปิดเป็นทางการในเดอื นกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๘๓) หอ้ งสมดุ ไดจ้ ดั กิจกรรมการบรรยายและ ปาฐกถาในหวั ขอ้ พทุ ธศาสนา รวมทง้ั การปฏบิ ตั ธิ รรมภายใตก้ ารนาํ ของพระภกิ ษุอยู่เป็นประจาํ แมว้ า่ พระภกิ ษุสงิ หลจะเป็นผูเ้ลง็ เหน็ ถงึ ความจาํ เป็น และริเร่มิ การก่อตง้ั สมาคมแห่งน้ี แต่เสยี งตอบรบั ส่วน ใหญ่มาจากชาวพทุ ธจีนในสงิ คโปร์ การบรรยายธรรมกระทาํ ดว้ ยภาษาองั กฤษหรือภาษาจนี กลาง (โดยมกี ารแปลเป็น ภาษาจนี ฮกเก้ยี น) สมาชกิ ของหอ้ งสมดุ พทุ ธศาสนาส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวเช้อื สายจนี และมกี ารศึกษาตง้ั แต่ระดบั มธั ยมศึกษาข้นึ ไป โดยหน่ึงในสามมกี ารศึกษาในระดบั มหาวทิ ยาลยั ๒. พทุ ธสมาคมมหาปรชั ญา (Mahaprajna Buddhist Society) สมาคมน้ีก่อตงั้ ข้นึ เมอ่ื ตน้ ปี ค.ศ.๑๙๘๖ โดยมพี ระภกิ ษุจากไตห้ วนั เป็นท่ปี รึกษา มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ใหป้ ระชาชนไดเ้รียนรูถ้ งึ ความหมายและการปฏบิ ตั ิธรรม ในพทุ ธศาสนา กจิ กรรมหลกั อนั หน่ึงไดแ้ ก่การสอนพทุ ธศาสนาทงั้ แบบอนิ เดยี และแบบจีนใหแ้ ก่สมาชิก โดยแบ่งเป็น ๔ ระดบั คือ ขนั้ แนะนํา ขน้ั ตน้ ขนั้ กลาง และขนั้ สูง (แต่ละขนั้ มี ๒๔ คาบ และแต่ละคาบใชเ้ วลา ๒ ชวั่ โมง) การ บรรยายส่วนใหญ่เป็นภาษาจีนกลาง นอกจากน้ี ยงั มกี ารสวดมนต์ โดยสวดจากพระสูตรมหายานเป็นภาษาจีนกลาง หรือจีนฮกเก้ียน เพ่อื ใหเ้ กิด \"ความเบกิ บานทางจิตใจ ความกา้ วหนา้ ในการปฏิบตั ิธรรม และความสามคั คีในหมู่ สมาชกิ \" สมาคมไดแ้ ยกแยะความแตกต่างระหว่างพทุ ธศาสนากบั ศาสนาเตา๋ ใหเ้หน็ อย่างชดั เจน สมาชกิ ส่วนใหญ่เป็น ชาวจนี โดยมสี มาชกิ เพม่ิ ข้นึ อยา่ งต่อเน่ือง ๓. กลมุ่ พทุ ธสมาคมแหง่ มหาวิทยาลยั (Buddhist societies in tertiary educational institutions) กลุ่มพุทธสมาคมแห่งมหาวิทยาลยั ประกอบดว้ ยพุทธสมาคมของมหาวิทยาลยั แห่งชาติสิงคโปร์ ( National University of Singapore) สถาบนั เทคโนโลยีหนานยาง (Nanyang Technological Institute) สิงคโปรโ์ พลี เทคนิค (Singapore Polytechnic) และพทุ ธสมาคมงอี านโพลเี ทคนิค (Ngee Ann Polytechnic Buddhist Society) สมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวจีน มชี าวอนิ เดยี บา้ ง แต่ไมม่ ชี าวมาเลย์ กลุ่มพทุ ธสมาคมแห่งมหาวิทยาลยั จะมี กจิ กรรมทห่ี ลากหลาย และสมั พนั ธก์ บั องคก์ รพทุ ธศาสนาอน่ื ๆ ในสงิ คโปร์

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๒๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตวั อยา่ งเช่น พทุ ธสมาคมงอี านโพลเี ทคนิค มกี จิ กรรมสอนพทุ ธธรรมและการปฏบิ ตั สิ มาธิภาวนา โดยมกี าร สวดมนตเ์ ป็นภาษาบาลกี ่อนการเรียน มกี ารบรรยายและการแสดงปาฐกถาเป็นครงั้ คราว มกี ารจดั แสดงหนงั สอื การ เย่ยี มบา้ นคนชรา และการเยอื นวดั พทุ ธศาสนานิกายต่างๆ ทง้ั ในแบบไทย ทเิ บต ศรีลงั กา และจีน เพ่อื การเรียนรู้ พทุ ธศาสนาทห่ี ลากหลาย เป็นตน้ ๔. สมาคมพทุ ธศาสนาแห่งสงิ คโปร์ (Singapore Buddha Sasana Society) สมาคมมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ น การนาํ เสนอพุทธศาสนา รูปแบบท่เี หมาะสมกบั ความกา้ วหนา้ ของสงั คมสมยั ใหม่ ขณะเดียวกนั ก็เป็นการเคารพใน รากเหงา้ ทางวฒั นธรรมอนั มีมาตง้ั แต่โบราณดว้ ย โดยมุ่งเน้นคําสอนพุทธศาสนาทงั้ ฝ่ ายเถรวาทและมหายาน กรรมการบรหิ ารประกอบดว้ ยหนุ่มสาวจนี ๑๕ คน โดยมลี ามะทาชเิ ทนซนิ ลา พระภกิ ษุทเิ บตพกั อาศยั อยู่ประจาํ นอกจากน้ียงั มบี า้ นพกั ชาวพุทธแห่งสิงคโปร์ (The Singapore Buddhist Lodge) สหภาพชาวพทุ ธ (Buddhist Union) สมาพนั ธช์ าวพทุ ธสงิ คโปร์ (Singapore Buddhist Federation) พทุ ธสมาคมจีนแห่งสงิ คโปร์ (Singapore Chinese Buddhist Association) สมาคมธรรมจกั ร (Dharma Cakra Society) และองคก์ รพทุ ธยานแห่งสงิ คโปร์ (Singapore Buddha-Yana Organization) เป็นตน้ “พทุ ธศาสนาแบบสมาคม” ในสงิ คโปร์ มคี าํ สอนและหลกั การปฏบิ ตั ทิ ่หี ลากหลายมาก ตวั อย่างเช่น ศูนยย์ ุว พทุ ธอานนั ทเมตไตรย์ (Ananda Metyarna Buddhist Youth Circle) ทว่ี ดั พทุ ธอานนั ทเมตไตรย์ มกี ารปฏบิ ตั แิ บบ เถรวาทภายใตก้ ารนาํ ของพระสงฆไ์ ทย ขณะทส่ี มาชิกของวดั ทเิ บต (Sakya Tenphel Ling) จะประกอบพธิ กี รรมและ ปฏบิ ตั ิแบบทเิ บต ภายใตก้ ารนาํ ของพระสงฆท์ ่บี วชในฝ่ายวชั รยาน ดว้ ยลกั ษณะเช่นน้ีชาวจีนสงิ คโปรไ์ ดพ้ บกบั คาํ สอน รูปแบบต่างๆ ของพทุ ธศาสนาในโลกปจั จุบนั มไิ ดจ้ าํ กดั อยู่แต่เฉพาะพุทธศาสนาแบบจีนเท่านน้ั สงิ คโปรแ์ มจ้ ะไดร้ บั อิทธิพลจากวฒั นธรรมจีนเป็นอย่างมาก แต่สงั คมสิงคโปรก์ ็ไดพ้ ฒั นาวฒั นธรรมสงิ คโปรท์ ่เี ป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตน ข้นึ มาเช่นเดยี วกนั คณะสงฆใ์ นสงิ คโปร์ คณะสงฆใ์ นสงิ คโปรม์ คี วามโดดเด่นนอ้ ยกว่าคณะสงฆอ์ ่นื ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ การปฏบิ ตั ิของชาวพทุ ธสงิ คโปรโ์ ดยทวั่ ไป คือการกราบไหวพ้ ระพทุ ธรูป การเส่ยี งเซยี มซีและบางครงั้ กน็ งั่ สวดมนต์ อย่างเงยี บๆ ในสงิ คโปรเ์ ราจะพบเหน็ พระสงฆไ์ ดก้ แ็ ต่ในวดั ใหญ่ท่เี พ่งิ บูรณะใหม่เท่านน้ั เช่น วดั ซวนหลนิ (Shuang Lin Si, ๑๙๐๙) วดั หลงซนั (Long Shan, ๑๙๒๖) และ วดั โปรค์ ารก์ ซี (Phor Kark See, ๑๙๒๕) เป็นตน้ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๖ “องคก์ ารคณะสงฆแ์ ห่งสงิ คโปร”์ (Singapore Buddhist Sangha Organization) ไดถ้ กู จดั ตง้ั ข้นึ เพ่อื เป็นศูนยก์ ลางของพระสงฆใ์ นสิงคโปร์ โดยมสี าํ นกั งานใหญ่อยู่ท่วี ดั โปรค์ ารก์ ซี (Phor Kark See) ใช้ ภาษาองั กฤษในการติดต่อส่ือสาร และมีสมาชิกอยู่เพียง ๕๘ รูปเท่านน้ั (สถิติ ปี ค.ศ.๑๙๘๙) นอกจากน้ียงั มี ‚สมาพนั ธช์ าวพทุ ธสงิ คโปร‛์ (Singapore Buddhist Federation) ซง่ึ ก่อตงั้ ข้นึ ก่อน สมาชิกมที ง้ั พระสงฆแ์ ละฆราวาส ซง่ึ ส่วนใหญ่แลว้ เป็นชาวพทุ ธจีน และใชภ้ าษาจีนกลางในการติดต่อ พระสงฆซ์ ่งึ พูดไดท้ ง้ั ภาษาองั กฤษและภาษาจีน กลาง และเป็นสมาชิกของทงั้ สององคก์ ารมเี ป็นจาํ นวนนอ้ ย๕๐ ๕๐ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๒๒๐- ๒๒๕.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๒๕  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ สรปุ ทา้ ยบท เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตอ้ ษุ าคเนยห์ รอื เอเชียอาคเนย์ เป็นอนุภูมภิ าคของทวปี เอเชีย ประกอบดว้ ยประเทศซ่งึ ทิศเหนือติดจีน ทิศตะวนั ตกติดอินเดีย ทิศตะวนั ออกติดปาปวั นิวกินี และทิศใตต้ ิดออสเตรเลีย ภูมิภาคดงั กล่าว ตงั้ อยู่บนรอยต่อของแผ่นทวีปหลายแผ่นท่ียงั มีการไหวสะเทือนรุนแรงและการปะทุของภูเขาไฟอยู่ต่อเน่ือง เอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใตแ้ บ่งไดภ้ าคภูมิศาสตรไ์ ดส้ องภาค ไดแ้ ก่ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ผ่นดินใหญ่ หรืออินโดจีน ประกอบดว้ ย กมั พูชา ลาว พม่า ไทย เวียดนาม และมาเลเซียตะวนั ตก และเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตส้ มุทร ประกอบดว้ ย บรูไน มาเลเซยี ตะวนั ออก ตมิ อรเ์ ลสเต อนิ โดนีเซยี ฟิลปิ ปินส์ และสงิ คโปร์ อุษาคเนยแ์ ผ่นดืนเดียวกนั เมอ่ื ลา้ นๆ ปีมาแลว้ มี ‚แผ่นดินซุนดา‛ (พ้นื ท่สี กรีนดาํ ) เช่ือมโยงถึงกนั ทงั้ แผน่ ดนิ ใหญ่และหมเู่ กาะปจั จบุ นั ตงั้ แต่ตอนเหนือ (คอื ทางใตข้ องจนี ปจั จบุ นั ) ลงไปหม่เู กาะทงั้ ของฟิลปิ ปินส,์ บรูไน, จนถงึ ตอนใตส้ ุดของอินโดนีเซยี เช่น สุมาตรา, ชวา ฯลฯ เหตุเพราะเม่อื ลา้ นๆ ปีท่แี ลว้ ระดบั นาํ้ ทะเลตาํ่ มากกว่า ปจั จบุ นั ทาํ ใหพ้ ้นื ทอ้ งทะเลในมหาสมทุ รทกุ วนั น้ีเป็นผนื ดนิ ยดื ยาวแผ่นเดยี วกนั เรียกแผ่นดินซุนดา (Sunda Land) นกั ธรณีวิทยาเรียกว่ายุคนาํ้ แขง็ หรือไพลสโตซีน มธี ารนาํ้ แขง็ ปกคลุมพ้ืนท่หี ลายบริเวณของโลก ทาํ ใหแ้ หล่งนาํ้ ทง้ั หลายเหอื ดแหง้ ลงจนเกดิ สะพานแผน่ ดินŽเช่อื มตดิ กนั อุษาคเนย์ หรือเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ถา้ พจิ ารณาดา้ นสงั คมและวฒั นธรรมเมอ่ื ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ มขี อบเขตครอบคลุมบริเวณกวา้ งขวางกว่าปจั จุบนั โดยแบ่งกวา้ งๆ ได้ ๒ ส่วนคือ แผ่นดินใหญ่ และหมเู่ กาะ ทศิ เหนือ ถงึ บรเิ วณทะเลสาบเตยี นฉือทเ่ี มอื งคุนหมงิ ในมณฑลยูนนาน (จนี ) ทศิ ตะวนั ออกถงึ มณฑลกวาง ส-ี กวางตุง้ (จีน) ทศิ ตะวนั ตก ถงึ ลุ่มนาํ้ พรหมบุตรในแควน้ อสั สมั (อินเดีย) ทิศใต้ ถงึ มาเลเซีย-สงิ คโปร์ นอกจาก รวมถงึ หมเู่ กาะอนั ดามนั (Andaman Islands) กบั หม่เู กาะนิโคบาร์ (Nicobar Islands) ในทะเลอนั ดามนั แลว้ ยงั มี ขอบเขตครอบคลุมถงึ ฟิลปิ ปินสแ์ ละหมเู่ กาะทางทะเลใต้ เช่น หมเู่ กาะในอนิ โดนีเซยี ตมิ อร์ และบรูไน ฯลฯ ประเทศไทย นอกจากจะตงั้ อยูก่ ง่ึ กลาง (โดยประมาณ) ของภมู ภิ าคแลว้ ลกั ษณะภูมศิ าสตรย์ งั เก้อื กูลใหเ้กดิ ผลดีเน่ืองจากมีพ้ืนท่ีเป็นแผ่นดินทอดยาวย่ืนลงไปทางทิศใตเ้ ป็นคาบสมุทรมŽ ีทะเลขนาบ๒ดา้ นคือทะเลจีนใน มหาสมทุ รแปซฟิ ิกอยู่ทางตะวนั ออกกบั ทะเลอนั ดามนั ในมหาสมทุ รอนิ เดียอยู่ทางตะวนั ตกทาํ ใหร้ บั ประโยชนจ์ ากลม มรสุมทะเลอย่างนอ้ ย๒อย่างคือการกสกิ รรมและการคา้ การกสกิ รรม ลมมรสุมจากทะเล ๒ ดา้ นทาํ ใหม้ ฝี นตกชกุ ส่งผลใหก้ ารเพาะปลูกพชื พนั ธุธ์ ญั ญาหารและการ ประมงในทะเลอุดมสมบูรณ์ มคี วามหลากหลายทางชีวภาพ การคา้ ลมมรสุมจากทะเล ๒ดา้ น ทาํ ใหม้ กี ารเดินเรือ ทะเลคา้ ขายกบั บา้ นเมอื งทอ่ี ยูห่ า่ งไกลบรเิ วณประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของเสน้ ทางคมนาคมคา้ ขายทางทะเล มาแต่โบราณกาล เทา่ กบั เป็นตวั เช่อื มโยงการแลกเปลย่ี นคา้ ขายระหว่างโลกตะวนั ออก เช่น จีน เกาหลี ญ่ปี ่นุ ฯลฯกบั โลกตะวนั ตกเช่นอนิ เดยี อาหรบั เปอรเ์ ซยี ยุโรปฯลฯจงึ สง่ ผลใหก้ รุงศรอี ยุธยาเป็นศูนยก์ ลางการคา้ นานาชาติในสมยั นนั้ คนไทย, ความเป็นไทย, วฒั นธรรมไทย มบี รรพชนและมรี ากเหงา้ ความเป็นมาร่วมกนั อย่างแยกไม่ไดจ้ าก อษุ าคเนย์

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๒๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ๑. วฒั นธรรมร่วมในอษุ าคเนย:์ อุษาคเนยม์ ี ‚วฒั นธรรมร่วม‛ หลายอย่าง มานานหลายพนั ปีแลว้ แบ่ง กวา้ งๆ เป็น ๒ ระยะคอื กอ่ นอนิ เดียและหลงั อนิ เดยี กอ่ นอนิ เดีย หมายถงึ ก่อนรบั อารยธรรมจากอนิ เดีย ตง้ั แต่หลายแสนหลายหมน่ื หลายพนั ปีมาแลว้ จนถงึ ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ คนพ้นื เมอื งดง้ั เดมิ ดกึ ดาํ บรรพใ์ นอษุ าคเนย์ มวี ฒั นธรรมร่วมอยู่แลว้ ก่อนรบั อารยธรรมจากอินเดยี เช่น (๑) กนิ ขา้ วเป็นอาหารหลกั , (๒) กบั ขา้ วเน่าแลว้ อร่อย, (๓) เรือนเสาสูง, (๔) ผูห้ ญิงเป็นหวั หนา้ , (๕) เซ่นวกั สตั ว์ ศกั ดิส์ ทิ ธ,ิ์ (๖) พธิ ศี พหลายวนั , (๗) ฆอ้ ง, (๘) ท่าฟ้อนระบาราเตน้ กลา่ วคือ (๑) กินขา้ วเป็นอาหารหลกั : คนอุษาคเนยร์ ูจ้ กั ปลูกขา้ วแลว้ กินขา้ วเป็นอาหารหลกั ตง้ั แต่ราว ๕,๐๐๐ ปี มาแลว้ พนั ธุข์ า้ วเก่าสุดคลา้ ยขา้ วเหนียว (หรอื ขา้ วน่ึง) พบทถ่ี าํ้ ปุงฮงุ (แมฮ่ ่องสอน) กบั ท่โี นนนกทา (ขอนแก่น) แลว้ พบพนั ธุข์ า้ วเจา้ ดว้ ย แต่ไมม่ าก (๒) กบั ขา้ ว “เน่าแลว้ อร่อย” : คนอุษาคเนยก์ นิ กบั ขา้ วประเภท ‚เน่าแลว้ อร่อย‛ เหมอื นกนั เช่น ปลาแดก, ปลา รา้ , ปลาฮอก, นาํ้ บูดู, ถวั่ เน่า, กะปิ, นาํ้ ปลา, ปลาเค็ม, ผกั ดอง ฯลฯการทาํ ใหเ้น่าแลว้ อร่อยเป็นเทคโนโลยี ถนอมอาหาร เก่ยี วขอ้ งกบั พธิ ศี พทม่ี ปี ระเพณีเกบ็ ศพ (ใหเ้น่า) นานหลายวนั ตง้ั แต่ราว ๒,๕๐๐ ปีมาแลว้ (๓) เรือนเสาสูง : คนอุษาคเนยป์ ลูกเรือนเสาสูงตง้ั แต่ตอนใตล้ ุ่มนาํ้ แยงซีลงไปจนถงึ หมู่เกาะเรือนเสาสูง ตอ้ งยกพ้นื มใี ตถ้ นุ เป็นบริเวณทาํ กิจกรรมตลอดทง้ั วนั เช่น หุงขา้ ว, ทอผา้ , เล้ยี งสตั ว,์ เล้ยี งลูก ตกกลางคืนจงึ ข้นึ นอนบนเรอื นเพอ่ื หนีสตั วร์ า้ ย แลว้ ชกั บนั ไดออกใตถ้ นุ บา้ นไมไ่ ดท้ าํ ไวห้ นีนาํ้ ท่วม เพราะคนบางกลุ่มปลูกเรอื นบนท่สี ูง เชงิ เขาซง่ึ ไมม่ นี าํ้ ท่วมกย็ งั ทาํ ใตถ้ นุ สูงหลงั คาทรงสามเหลย่ี มมไี มไ้ ขวก้ นั แลว้ คนบางกลุม่ เรยี ก กาแล เป็นเทคโนโลยี คาํ้ ยนั ของไมไ้ ผ่สองลาํ ไม่ใหห้ ลงั คายุบ มใี นทกุ ชาติพนั ธุ์ คนบางพวกใชก้ าแลเป็นทแ่ี ขวนหวั สตั วศ์ กั ด์ิสทิ ธ์ิก็มี เช่น หวั ควาย (๔) ผูห้ ญิงเป็นหวั หนา้ : คนอุษาคเนยย์ กย่องหญิงเป็นหวั หนา้ พิธีกรรมเขา้ ทรงผีบรรพชน เช่น ผีฟ้า (ลาว), ผมี ด (เขมร), ผเี มง (มอญ), ฯลฯ ผบี รรพชนไม่ลงทรงผูช้ าย เท่ากบั หญงิ เป็นหวั หนา้ เผ่าพนั ธุค์ าํ เรียกหญงิ ว่า แม่ แปลว่า ผูเ้ป็นใหญ่ ใชเ้รยี กสง่ิ สาํ คญั เช่น แม่นาํ้ (ทางลาวเรียกนาํ้ แม่), แม่ทพั , แม่เหลก็ ฯลฯสบื ตระกูลทางสาย แม่เป็นหลกั ลูกสาวสบื ทอดมรดกท่ีดินและเรือน ส่วนลูกชายไปเป็นบ่าว คือ ข้ขี า้ บา้ นผูห้ ญิงสบื ราชสนั ตติวงศท์ าง สายแม่ เหน็ ไดจ้ ากวงั หนา้ ตอ้ งเป็นพน่ี อ้ งทอ้ ง ‚แม‛่ เดยี วกนั กบั วงั หลวง ยกเวน้ ใครกไ็ ดย้ ดึ อาํ นาจในหม่เู ครอื ญาติ (๕) เซ่นวกั สตั วศ์ กั ดิส์ ทิ ธิ์ : คนอุษาคเนยด์ งั้ เดิมนบั ถอื ศาสนาผี (หมายถึง ระบบความเช่ือในอาํ นาจเหนือ ธรรมชาต)ิ แลว้ เซ่นวกั สตั วศ์ กั ด์ิสทิ ธ์ิ โดยเฉพาะสตั วค์ ร่ึงบกคร่ึงนาํ้ เช่น กบ (หรือคางคก), จระเข,้ ตะกวด (เห้ยี ), ฯลฯ ท่คี นยุคนน้ั เช่ือว่าเป็นผูม้ อี าํ นาจบนั ดาลใหฝ้ นตกเพราะพบสตั วเ์ หล่าน้ีทุกครงั้ ท่ฝี นตก และพิทกั ษแ์ หล่งนาํ้ ให้ ความอุดมสมบูรณ์สตั วพ์ วกน้ีมีภาพเขียนบนผนงั ถาํ้ ไวเ้ ซ่นวกั บางทีสลกั รูปเป็นลายเสน้ บนเคร่ืองมือสมั ฤทธ์ิ โดยเฉพาะทาํ ประตมิ ากรรมรูปกบบนหนา้ กลองทองไวต้ ีขอฝน (๖) พิธีศพหลายวนั : คนอุษาคเนย์ ตง้ั แต่ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ เมอ่ื มคี นตายไปจะเก็บศพหลายวนั ให้ เน้ือหนงั เน่าเป่ือยย่อยสลายเหลอื แต่กระดูก แลว้ เก็บกระดูกมาทาํ พิธีอกี เรียก พธิ ีศพครง้ั ท่สี องกระดูกท่เี ก็บมาน้ี อยู่ในภาชนะพเิ ศษทาํ ดว้ ยดนิ เผา เรียกหมอ้ ดนิ เผาหรือแค็ปซูล และหนิ มตี วั อย่างสาํ คญั เช่น ไหหนิ ในลาว, หบี หนิ บนปราสาทนครวดั กบั หมเู่ กาะ

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๒๗  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ (๗) ฆอ้ ง : คนอุษาคเนย์ ใชฆ้ อ้ งทาํ ดว้ ยโลหะ ประโคมตีมเี สยี งศกั ด์สิ ทิ ธ์ิดงั กงั วาน ส่อื สารกบั ผหี รือเทวดา (หมายถึงอาํ นาจเหนือธรรมชาติ)ฆอ้ งมหี ลายขนาด ลว้ นสืบประเพณีจากกลองทอง (หรือมโหระทกึ ) แรกมขี ้นึ เม่อื ๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ บริเวณมณฑลยูนนานกบั มณฑลกวางสี แลว้ แพร่กระจายลงไปถงึ หม่เู กาะระฆงั อยู่ในวฒั นธรรม ฆอ้ ง ประโคมดว้ ยไมต้ ีจากขา้ งนอก (ต่างจาก bell ของตะวนั ตก มลี ูกกระทบแขวนตีจากขา้ งใน)วฒั นธรรมฆอ้ งไม่มี ในตะวนั ตก จงึ ไมม่ ศี พั ทอ์ งั กฤษเรยี กฆอ้ ง ตอ้ งใชท้ บั ศพั ทพ์ ้นื เมอื งว่า gong (๘) ท่าฟ้อนระบาราเตน้ : คนอุษาคเนยก์ างแขน ถ่างขา ย่อเข่า เป็นหลกั ในการฟ้อนระบาํ ราํ เตน้ เรียก สามญั ลกั ษณะ ทศ่ี พั ทล์ ะครไทยเรยี กทา่ ยดื (ทาํ เข่าตรง) กบั ท่ายุบ (ทาํ ย่อเข่า)ท่าเตน้ ถ่างขา ย่อเขา่ เป็นมมุ ฉาก ได้ จากทาํ เลยี นแบบใหเ้หมอื นกบศกั ด์ิสิทธ์ิ เรียกท่ากบ ยกย่องเป็นท่าเตน้ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ มหี ลกั ฐานภาพสลกั ตามปราสาท หนิ ในกมั พูชาและไทย เช่น ท่าราํ ศิวนาฏราช บนหนา้ บนั ปราสาทพนมรุง้ (บรุ ีรมั ย)์ และท่าโนรา, โขน, ละคร (พระ นาง ยกั ษ์ ลงิ ) กบั legon ของอนิ โดนีเซยี หลงั อนิ เดียหมายถงึ หลงั รบั อารยธรรมจากอินเดียคนพ้นื เมอื งรบั วฒั นธรรมจากอินเดียมาประสมประสาน วฒั นธรรมดง้ั เดิม แลว้ เกิดวฒั นธรรมใหม่ท่ีมีทงั้ คลา้ ยคลึงกนั และแตกต่างกัน มี ๒ ระยะ คือ (๑) รบั ศาสนา พราหมณ-์ พทุ ธ กบั (๒) รบั ศาสนาอสิ ลาม (๑) หลงั พ.ศ. ๑,๐๐๐ รบั ศาสนาพราหมณ์-พุทธ : คนอุษาคเนยร์ บั ศาสนาพราหมณ์-พุทธราวหลงั พ.ศ. ๑,๐๐๐ ทาํ ใหร้ บั ประเพณีพธิ กี รรมอน่ื ๆพรอ้ มกนั ดว้ ย ดงั น้ี ตวั อกั ษรปลั ลวะจากอนิ เดียใต้ หลงั จากนนั้ พฒั นาข้ึนเป็นอกั ษรของตนเอง เช่น อกั ษรมอญ, อกั ษรขอม, อกั ษรกวิ (ใชใ้ นดินแดนทางใตข้ องไทยถึงมาเลเซียและหมู่เกาะอินโดนีเซีย) เป็นตน้ ทางใหม้ คี วามแตกต่างต่อไป ขา้ งหนา้ เป็นพวกมอญ, พวกเขมร, เป็นตน้ กราบไหว้ รบั จากอินเดยี พรอ้ มพราหมณ์-พทุ ธทง้ั ประเพณีกราบและไหว,้ บวช รบั จากอนิ เดยี แต่ประสมประเพณีพ้นื เมอื ง ไทยเรยี กบวชนาค, ทาํ ขวญั นาค, มหากาพย์ รบั ทงั้ รามายณะ และ มหาภารตะ แต่ยกย่องรามายณะมากกว่า ไทยเรียกรามเกยี รต์ิ, ลายกระหนก รบั จากอินเดยี แลว้ ปรบั ใชเ้รยี กต่างกนั เช่น ลายไทย, ลายเขมร, ลายลาว และ อาหาร รบั พนั ธุข์ า้ วเจา้ จากอินเดีย และกบั ขา้ วบางอย่าง เช่น แกงใส่กะทิ, ขนมต่างๆ เช่น กระยาสารท (๒) หลงั พ.ศ. ๑,๘๐๐ รบั ศาสนาอิสลาม : คนอุษาคเนยร์ บั ศาสนาอิสลามราวหลงั พ.ศ. ๑,๘๐๐ แต่ แพร่หลายเฉพาะหม่เู กาะ กบั ดินแดนชายทะเลบางแห่งเท่านนั้ เช่น มาเลเซีย, เวียดนาม นบั แต่น้ีไปอุษาคเนยจ์ ะ แตกต่างทางศาสนา ๒. วฒั นธรรมไทยกา้ วหนา้ -ลา้ หลงั : วฒั นธรรมไทยถูกสรา้ งข้นึ มาโดยคนชน้ั นาํ แลว้ เป็นสมบตั ิของคนชนั้ นาํ ภาคกลาง ลมุ่ นาํ้ เจา้ พระยา ท่ถี ูกใชเ้พ่อื รกั ษาโครงสรา้ งอาํ นาจของคนชนั้ นาํ โดยไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากคนชนั้ กลางๆ ข้นึ ไป (คนกลมุ่ น้ีเป็นผูค้ ุมสอ่ื และกลไกกฎหมายไวใ้ นมอื และอาจลงโทษผูฝ้ ่าฝืนท่อี าจเป็นอนั ตรายต่อวฒั นธรรมไทย) เน้ือหาของวฒั นธรรมไทยคือกลอ่ มเกลาใหย้ อมจาํ นนต่อความไมเ่ ท่าเทยี มและยอมจาํ นนต่อโครงสรา้ งอาํ นาจท่เี ป็นอยู่ ดงั แสดงออกดว้ ยการขดั เกลาใหร้ ูจ้ กั ทต่ี าํ่ ทส่ี ูง, ยกย่องมารยาทของผูด้ ี, นอบนอ้ มต่อผูม้ อี าํ นาจเหนือกว่า เป็นตน้ ดา้ น พหุวฒั นธรรม คนชนั้ นาํ ไทยยอมรบั ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธุแ์ ละวฒั นธรรม แต่เป็นการยอมรบั พหุวฒั นธรรม อยา่ งจาํ ยอม และอย่างปลอมๆ คอื ทาํ ใหเ้ซอ่ื งๆ เป็นเพยี งวสั ดุอปุ กรณ์การท่องเทย่ี วอย่างหน่ึงเท่านนั้ จงึ ไมม่ บี ริบท ไม่

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๒๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง มปี ระวตั ศิ าสตร์ และไมม่ พี ลงั ทางการเมอื งเพ่อื ต่อรองสรา้ งความมนั่ คงใหก้ ลุ่มตวั เอง ในท่สี ุดก็ถูกทางการ ‚กลนื ‛ ให้ เป็นไทยขณะท่ีวฒั นธรรมไทยของคนชนั้ นาํ ถูกแช่แขง็ อยู่ขา้ งบน แต่วฒั นธรรม ‚ไม่ไทย‛ ของชาวบา้ นมีชีวติ ชีวา เคลอ่ื นไหวไมห่ ยุดน่ิง เหน็ ไดจ้ ากสง่ิ ทเ่ี รียกว่าอาหารไทยและการแสดงอย่างลเิ ก, หมอลาํ ซง่ิ , อาหารไทย ลว้ นประสม กบั อาหารนานาชาติ แลว้ เกดิ ส่งิ ใหม่ท่ี ‚อร่อย‛ เรียกว่าอาหารไทย, การแสดง เช่น ลเิ ก มขี ้นึ จากการเลยี นแบบดเิ กร์ ของมลายูปตั ตานีสมยั รชั กาลท่ี ๕ แลว้ ประสมกบั จาํ อวดและละครนอกดง้ั เดิม จนเกดิ สง่ิ ใหม่ท่สี นุกสนาน เรยี กลเิ ก, หมอลาํ ซ่งิ มขี ้นึ จากหมอลาํ ดงั้ เดิม ประสมการแสดงดนตรีสากลแบบลูกทุ่ง เพ่งิ เกิดใหม่ไม่นาน ราว ๕๐ ปีน้ีเอง ทง้ั ลเิ กและหมอลาํ ซ่งึ ไมม่ กี รอบครอบงาํ จงึ เคลอ่ื นไหวไปกบั ความเปลย่ี นแปลงต่างๆไดอ้ ย่างกลมกลนื ๓. ความเป็ นไทยในวฒั นธรรมอาเซียน : เม่อื พิจารณาใหล้ กึ ลงไปจะเห็นว่าวฒั นธรรมไทยไม่ตอบรบั วฒั นธรรมอาเซยี น หรอื ตอบรบั อย่างไมเ่ ต็มใจ ก็เพราะความเป็นไทยความเป็นไทย แสดงออกดว้ ยอาการยกตนข่ม ท่าน ดงั กรณีเพลงออกภาษา หรือเพลงสบิ สองภาษาในดนตรีไทยท่ชี ่ือเพลงข้นึ ตน้ ดว้ ยช่ือชาติพนั ธุต์ ่างๆช่ือเพลง ดนตรีไทยข้นึ ตน้ ดว้ ยช่ือชาติพนั ธุ์ เร่มิ นิยมอย่างแพร่หลายตง้ั แต่ราวหลงั พ.ศ. ๒๔๐๐ หรอื ราวรชั กาลท่ี ๔ เป็นตน้ มา เพ่อื แสดงความเป็นอ่ืนท่ีดอ้ ยกว่า และอวดความเป็นสยามท่เี หนือกว่าแต่อีกดา้ นหน่ึงก็แสดงใหเ้ ห็นลกั ษณะ ความสมั พนั ธแ์ บบเครือญาติของสยามกบั เพ่อื นบา้ นโดยรอบท่รี ะบุช่ือชาติพนั ธุ์ เช่น เขมรพายเรือ, พม่าแทงกบ, มอญดูดาว, ลาวกระทบไม,้ ญวนทอดแห, จนี ขมิ เลก็ , แขกต่อยหมอ้ , ฯลฯเพลงออกภาษา หรอื สบิ สองภาษา แสดง ความดอ้ ยกวา่ ของคนอ่นื และเหนือกวา่ ของสยาม เหน็ ไดจ้ ากเร่มิ ตน้ ดว้ ยเพลงกราวนอก ถอื เป็นทาํ นองไทย เน้ือรอ้ ง แสดงการยกทพั ท่ีมไี ทยเป็นแม่ทพั เพลงต่อไปมเี น้ือรอ้ งตอนหน่ึงว่ายกทพั ไปจบั มอญและคนอ่ืนๆ ทาํ นองเพลง ต่อจากนนั้ เป็นลกั ษณะทไ่ี ทยยกตนขม่ ท่านคือเหยยี ดชาติพนั ธุอ์ ่นื ๆ ลว้ นลา้ หลงั ตลกคะนอง, โง่เง่าเต่าต่นุ , และบา้ น นอก เป็นตน้ ไทยยกตนข่มท่าน มเี หตจุ ากประวตั ิศาสตรแ์ ห่งชาติของไทยยาํ้ การไม่เป็นเมอื งข้นึ ของยุโรป ‚อย่างเป็น ทางการ‛ แต่ทาํ มองไมเ่ หน็ การเป็นเมอื งข้นึ อยา่ งไมเ่ ป็นทางการ

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๖๒๙  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง คาถามทา้ ยบท คาช้ีแจง : คาถามมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นัย ใหผ้ ูศ้ ึกษาตอบคาถามทง้ั หมดดงั ต่อไปน้ี ๑. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศศรลี งั กา ๒. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย ๓. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเมยี นมา่ ร์ ๔. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศลาว ๕. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศกมั พชู า ๖. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศเวยี ดนาม ๗. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศมาเลเซยี ๘. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศอนิ โดนีเซยี ๙. จงวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททใ่ี นประเทศสงิ คโปร์

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๖๓๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เอกสารอา้ งองิ ประจาบท มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบบั มหาจุฬาเตปิ ฏก ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. __________. พระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าอฏฐฺ กถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐. คณาจารย์ มจร. ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘. ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ และเสถยี ร สระทองให.้ ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พร้นิ ต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘. ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ . ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าสมั มนา พระพทุ ธศาสนา. พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พร้ินต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). พระพทุ ธศาสนาในเอเชีย. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๐. พระศรธี าตุ สงิ หป์ ระทมุ และคณะ. การเปลย่ี นแปลงทางการเมืองและพระพทุ ธศาสนาสมยั สงั คมนิยมในลาว, ขอนแก่น : บทความวชิ าการจากศูนยว์ จิ ยั พหลุ กั ษณส์ งั คมลมุ่ นาํ้ โขง คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, ๒๕๕๓. ไพโรจน์ โพธ์ไิ ทร. ภมู ิหลงั ของเมียนม่าร.์ กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๑. ทรงวทิ ย์ แกว้ ศร.ี ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา เล่ม ๑๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๓๐. เทพประวนิ จนั ทรแ์ รง. พระพทุ ธศาสนาเถรวาท. เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตเชยี งใหม,่ ๒๕๔๑. ส.พลายนอ้ ย. เลา่ เรอ่ื งเมยี นม่ารร์ ามญั . กรุงเทพมหานคร : พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. สาํ นกั พมิ พ์ พมิ พค์ าํ , ๒๕๔๔. หอมหวล บวั ระภา. พระพทุ ธศาสนาลาวภายใตอ้ ดุ มการณ์สงั คมนิยม ๒๕๑๘-๒๕๓๓. ขอนแก่น : บทความ วชิ าการตพี มิ พเ์ ผยแพร่จากศูนยว์ จิ ยั พหุลกั ษณะสงั คมลุม่ นาํ้ โขง คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, ๒๕๕๕. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . [ออนไลน]์ . แหลง่ ขอ้ มลู : http://www.mcu.ac.th/site/ [๙ เมษายน ๒๕๖๑]

๖๓๑ บรรณานุกรม ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ บาล-ี ไทย : มหาจฬุ าลงกรราชวทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาล.ี ฉบบั มหาจุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบบั มหาจุฬาอฏฐฺ กถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาบาล.ี ชดุ ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร : มหามกรุ าชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔. __________. สมนฺตปาสาทกิ า วนิ ยฏฐฺ กถาย ปฐโม-ตตโิ ย ภาโค. เทวมหานคร:ํ มหามกฏุ - ราชวทิ ยฺ าลเย คนฺถาธกิ ารตเฺ ถเรหิ ปนุ ปิ โสธติ า ๒๕๒๕ พทุ ธฺ สเก มทุ ทฺ ติ า. __________. ธมมฺ ปทฏฐฺ กถา (ปฐโม-อฏฐฺ โม ภาโค). เทวมหานครํ : มหามกฏุ ราชวทิ ยฺ าลเย, คนฺถาธกิ ารตเฺ ถเรหิ ปนุ ปิ โสธติ า ๒๕๔๙ พทุ ธฺ สเก มทุ ทฺ ติ า. __________. พระธมั มปทฏั ฐกถาแปล ภาค ๑-๘. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หามกุฏราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๐. (๑) หนงั สอื ภาษาไทย : กฏบตั รสมชั ชาพระพทุ ธศาสนาแห่งโลก, ในคณะกรรมการจดั พมิ พห์ นงั สอื , การประชมุ สุดยอดผูช้ าวพทุ ธ เพอ่ื การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาแหง่ โลก. ครงั้ ท่ี ๒ ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย ๙-๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓. กรุณา–เรอื งอไุ ร กศุ ลาสยั . อโศกมหาราชและขอ้ เขยี นคนละเรอ่ื งเดียวกนั . กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พส์ ศยาม, ๒๕๔๕. ไกรวุฒิ มโนรตั น.์ วรรณคดีบาล.ี กรุงเทพมหานคร : จรญั สนิทวงศก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๔๙. คณาจารย,์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒. __________.มหาวทิ ยาลยั มหาจาลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระวนิ ยั ปิฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจลุ งกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐.

๖๓๒ __________. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ศาสนาทวั่ ไป. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒. __________.มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘. __________.มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกศึกษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒. __________.มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎก : ประวตั แิ ละความสาํ คญั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓. __________. พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทในประเทศต่างๆ. กรุงเทพมหานคร : บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. __________. เกบ็ เพชรจากคมั ภรี พ์ ระไตรปิ ฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. คณะกรรมการจดั พมิ พห์ นงั สอื , การประชมุ สุดยอดผูช้ าวพทุ ธเพอ่ื การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาแห่งโลก ครง้ั ท่ี ๒ ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย ๙-๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั อมรนิ ทรพ์ ร้นิ ต้งิ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ จาํ กดั (มหาชน), ๒๕๔๓. คนึงนิตย์ จนั ทบตุ ร. สถานะและบทบาทของพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : หจก. ภาพพมิ พ,์ ๒๕๓๒. จนิ ดา จนั ทรแ์ กว้ . ศาสนาปจั จุบนั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒. __________.ขบวนการสงฆใ์ นปจั จุบนั ชดุ วชิ าความเช่ือและศาสนาในสงั คมไทย. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๓๙. จาํ นงค์ ทองประเสรฐิ . พระพทุ ธศาสนาในศรลี งั กา. พระนคร : โรงพมิ พเ์ ลย่ี งเชยี งจงเจรญิ , ๒๕๑๐. __________. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในศรลี งั กา. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พด์ วงแกว้ , ๒๕๔๗. ชาญณรงค์ บญุ หนุน, การสงั คายนาในมมุ มองใหม่ : หนทางสู่การแกป้ ญั หาของคณะสงฆไ์ ทยปจั จบุ นั ใน รายงานฉบบั สมบูรณ์โครงการพฒั นานกั วจิ ยั ทางปรชั ญาตะวนั ออกรุน่ ใหม่. กรุงเทพมหานคร : สนบั สนุนโดยสาํ นกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) ๒๕๔๗. เดนา เมอรเ์ รยี ม. คาํ ปราศรยั แสดงความยนิ ดีในคณะกรรมการจดั พมิ พห์ นังสอื . การประชมุ สุดยอดผู้ ชาวพทุ ธเพอ่ื การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาแห่งโลก. ครงั้ ท่ี ๒ ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย ๙-๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓. ทวี ผลสมภพ. ปรชั ญาศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๔๔.

๖๓๓ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ และเสถยี ร สระทองให.้ ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พร้นิ ต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘. ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ . ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าสมั มนา พระพทุ ธศาสนา. พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พร้ินต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘. __________. พระพทุ ธศาสนามหายาน. พษิ ณุโลก : โฟกสั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓. ประเวศ วะส.ี สวนโมกข์ ธรรมกาย สนั ตอิ โศก. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๘. กรุงเทพมหานคร : หมอชาวบา้ น, ๒๕๓๘. ประมวล เพง็ จนั ทร์ และคณะ. ระบบการศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษาของอนิ เดยี . เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๔๗. ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ . ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกย่ี วกบั ศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. พษิ ณุโลก : โฟกสั การพมิ พ,์ ๒๕๕๔. __________.พระพทุ ธศาสนามหายาน. พษิ ณุโลก : โฟกสั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓. ปิยนารถ (นิโครธา) บนุ นาค. ประวตั ศิ าสตรแ์ ละอารยธรรมศรลี งั กา สมยั โบราณถงึ สมยั อาณานิคม และความสมั พนั ธท์ างวฒั นธรรมระห่างศรลี งั กากบั ไทย. กรุงเทพมหานคร : ไมป่ รากฏทพ่ี มิ พ,์ ๒๕๓๔. บญุ ย์ นิลเกษ. พระพทุ ธศาสนามหายานเขา้ สูป่ ระเทศไทย เล่ม ๑. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑. เชยี งใหม่ : หจก. เชยี งใหม่ บ.ี เอส. การพมิ พ,์ ๒๔๔๑. พทุ ธศาสนประวตั ิ ระหว่าง ๒๕๐๐ ปี ทล่ี ว่ งแลว้ . รวมบทความวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา, จดั พมิ พข์ ้นึ ในคราวฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ ณ ประเทศอนิ เดยี เม่อื พ.ศ. ๒๕๙๙. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : สุรวฒั น,์ ๒๕๓๗. พทุ ธทาสภกิ ข.ุ อตมั มยตาประยกุ ต.์ กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๕. พระญาณวโรดม. ศาสนาตา่ งๆ. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๙. พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต). วสิ าขบชู าวนั สาํ คญั สากลของโลก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗. พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). พทุ ธธรรม. กรุงเทพมหานคร: สาํ นกั พมิ พส์ ุขภาพใจ, ๒๕๓๑. __________.พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท.์ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘. พระเทพเมธาจารย์ (เชา้ ฐติ ปญุ ฺโญ). แบบเรยี นวรรณคดีบาลปี ระเภทคมั ภรี บ์ าลไี วยากรณ์. กรุงเทพมหานคร : ไมม่ ปี ีทพ่ี มิ พ,์ ๒๕๐๕. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓๖. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๙.

๖๓๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต). ลกั ษณะแหง่ พระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธิ พทุ ธธรรม, ๒๕๓๙. __________.มองสนั ตภิ าพโลกผ่านภมู ิหลงั อารยธรรมโลกาภวิ ตั น.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ทุ ธธรรม, ๒๕๔๒. __________.การสอ่ื ภาษาเพอ่ื เขา้ ถงึ สจั ธรรม. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พม์ ลู นิธพิ ทุ ธธรรม, ๒๕๓๙. __________.พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท.์ ครง้ั ท่ี ๒๘. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลยั . ๒๕๕๙. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต). รูจ้ กั พระไตรปิฎก เพอ่ื เป็นชาวพทุ ธทแ่ี ท.้ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พส์ หธมั มกิ , ๒๕๔๓. __________.พทุ ธธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. __________.พทุ ธธรรม. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๙. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓. __________.พทุ ธธรรม ฉบบั ขยายความ. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๘. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๖. __________.นิพพาน อนตั ตา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ทุ ธธรรม, ๒๕๓๗. __________.พระไตรปิฎก สง่ิ ทช่ี าวพทุ ธตอ้ งรู.้ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ อส.อาร.์ พร้นิ ต้งิ แมส โปรดกั ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๖. __________.กรณีธรรมกายเอกสารเพอ่ื พระธรรมวนิ ัย. กรุงเทพมหานคร : สหธรรมกิ , ๒๕๔๒. __________.ภยั แหง่ พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ หธรรมมกิ , ๒๕๔๕. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต). พระพทุ ธศาสนาในเอเชีย. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๐. พระธมั มานนั ทมหาเถระ. การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาในประเทศพม่า. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔. พระประชา ปสนฺนธมโฺ ม. อตั ชีวประวตั ขิ องทา่ นพทุ ธทาส เลา่ ไวเ้ ม่อื วยั สนธยา. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธิ โกมลคมี ทอง, ๒๕๓๕. พระโพธญิ าณเถระ (ชา สุภทโท). อปุ ลมณี. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๔๔. พระ ดร.บอบ-ฮอง. ทศิ ทางการวางแผนเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในศตวรรษท่ี ๒๑ ใน คณะกรรมการจดั พมิ พห์ นังสอื . การประชมุ สุดยอดผูช้ าวพทุ ธเพอ่ื การเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาแหง่ โลก ครง้ั ท่ี ๒ ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย ๙-๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓.

๖๓๕ พระมหาสมปอง มทุ โิ ต. ปทรูปสทิ ธแิ ปล สทั ทตั ถนยั และโวหารตั ถนัย. กรุงเทพมหานคร : มหาบาลวี ชิ ชาลยั วดั โมลโี ลกยาราม, ไมป่ รากฏปีทพ่ี มิ พ.์ พระมหาเทยี บ สริ ญิ าโณ .“บาลคี อื อะไร” ในเพชรจากคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๔๒. พระมหาเสถยี รพงษ์ ปณุ ฺณวณฺโณ. โครงการตาํ ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ศิลปกร, ๒๕๑๔. พระนนั ทปญั ญาจารย.์ จูฬคนั ถวงศ.์ กรุงเทพมหานคร : ธนาเพรส แอนด์ กราฟฟิค, ๒๕๔๖. พระราชปญั ญาเมธี (สมชยั กสุ ลจติ โต). แนวคดิ เชิงยุทธศาสตรใ์ นการพฒั นางานพระศาสนาในสหรฐั อเมริกา, ใน พระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุน่ ท่ี ๑๑. มปป. __________.พระธรรมทูตในโลกปจั จุบนั : ศึกษากรณีพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ, ในคณะกรรม การจดั พมิ พห์ นงั สอื . การประชมุ สุดยอดผูช้ าวพทุ ธเพอ่ื การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาแห่งโลก. ครงั้ ท่ี ๒ ณ พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ประเทศไทย ๙-๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓. พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐติ ญาโณ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. พระราชวรมนุ ี (ป.อ.ปยุตโฺ ต). เทคนิคการสอนของพระพทุ ธเจา้ . กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ทุ ธธรรม, ๒๕๒๖. พระราชปรยิ ตั ิ (สฤษด์ิ สริ ธิ โร). งานวจิ ยั และวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘. พอล เดนนิสสนั . ความเป็นมาของสมาคมสมถะในมหาสมยั สูตร. รวบรวมโดยพระมหาเหลา ประชาราษฎร.์ วดั พทุ ธวหิ ารแอสตนั ประเทศองั กฤษ, ๒๕๔๘. ไพโรจน์ โพธ์ไิ ทร. ภมู หิ ลงั ของเมยี นม่าร.์ กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๑. ทรงวทิ ย์ แกว้ ศร.ี ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนา เลม่ ๑๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๓๐. เทพประวนิ จนั ทรแ์ รง. พระพทุ ธศาสนาเถรวาท. เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตเชยี งใหม,่ ๒๕๔๑. มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ.์ พระไตรปิฎกฉบบั สาํ หรบั ประชาชน. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๖. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. มหามกุฏราชวิทยาลยั . มิลนิ ทปญั หา ฉบบั แปล. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙. พระสทั ธมั มโชตกิ ะ ธมั มาจรยิ ะ. ธมั มสงั คณีสรูปตั ถนิสสยะ. กรุงเทพมหานคร : สทั ธมั มโชตกิ วทิ ยาลยั โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.

๖๓๖ พระสุธวี รญาณ (ณรงค์ จติ ตฺ โสภโณ). พทุ ธศาสตรปรทิ รรศน์. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑. พระอมรมนุ ี (จบั ฐติ ธมโฺ ม ป.ธ. ๙). นําเทย่ี วพระไตรปิฎก. กรุงเทพมหานคร : สภาการศึกษามหามกฏุ ราช วทิ ยาลยั , ๒๕๒๗. พระอดุ รคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคาํ ). ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔. พนั เอก(พเิ ศษ) นวม สงวนทรพั ย.์ เมธตี ะวนั ตกชาวพทุ ธ เล่ม ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔. ภทั รพร สริ กิ าญจน. ขบวนการทางศาสนากบั ปญั หาสงั คมปจั จุบนั ในความรูพ้ ้นื ฐานทางศาสนา,. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๓๖. มหาบาลวี ชิ ชาลยั , ปทรูปสทิ ธฺ ิ ฉบบั เรง่ ด่วน. กรุงเทพมหานคร : มหาบาลวี ชิ ชาลยั วดั โมลโี ยกยาราม ราช วรวหิ าร พมิ พเ์ ป็นธรรมทาน, ๒๕๕๘. __________.ปทรูปสทิ ธฺ ิ ฉบบั เรง่ ด่วน. กรุงเทพมหานคร : วดั โมลโี ลกยารามราชวรวหิ าร, ๒๕๕๘. มลู นิธธิ รรมสนั ต.ิ แสงสูญ. ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๔๖. กรกฎาคม-กนั ยายน, ๒๕๓๔. ลขิ ติ ลชิ ติ านนท.์ วรรณกรรมพระพทุ ธศาสนาเถรวาท. เชยี งใหม่ : ภาควชิ าภาษาไทย คณะ มนุษยศาสตร์ ม.เชยี งใหม,่ ๒๕๓๔. โรเบริ ต์ เอช เทยเ์ ลอร์ (พรรณงาม เงา่ ธรรมสาร แปล). รฐั ในพม่า. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธโิ ตโยตา้ ประเทศไทย, ๒๕๕๐. วสนิ อนิ ทสระ. พทุ ธปรชั ญามหายาน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, ๒๕๔๑. วชั ระ งามจติ รเจรญิ . พทุ ธศาสนาเถรวาท. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ถนนทา่ พระจนั ทร,์ ๒๕๕๒. ไวทย พแี อล. พทุ ธศาสนประวตั ริ ะหว่าง ๒๕๐๐ ปีท่ลี ว่ งแลว้ . รวมบทความวชิ าการทาง พระพทุ ธศาสนาพมิ พข์ ้นึ ในคราวฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ ณ ประเทศอนิ เดยี , ๒๔๙๙. สมหวงั แกว้ สุฟอง แปล. Edward Conze, A Short History of Buddhism. เชยี งใหม่ : ภาควชิ าปรชั ญาและศาสนา, คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. มปป. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หา มกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๒.

๖๓๗ __________.ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั สรา้ งสรรคบ์ คุ๊ จาํ กดั , ๒๕๔๔. __________.ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หา มกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________.ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ, เลม่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. ส.พลายนอ้ ย. เลา่ เร่อื งเมยี นม่ารร์ ามญั . กรุงเทพมหานคร : พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒. สาํ นกั พมิ พ์ พมิ พค์ าํ , ๒๕๔๔. เสถยี รพงษ์ วรรณปรก. ไปสบื พระพทุ ธศาสนาท่ศี รลี งั กา. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พน์ าํ้ ฝนไอเดยี , ๒๕๔๙. __________.คาํ บรรยายพระไตรปิฎก. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : สถาบนั บนั ลอื ธรรม, ๒๕๕๐. __________.วธิ ีศึกษาคน้ ควา้ พระไตรปิฎก. ในเกบ็ เพชรจากคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒ สุชาติ หงษา. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๙. สุชพี ปญุ ญานุภาพ. พระไตรปิฎกสาํ หรบั ประชาชน. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________.ประวตั ศิ าสตรศ์ าสนา : คณุ ลกั ษณะพเิ ศษแห่งพระพทุ ธศาสนา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๐. กรุงเทพมหานคร : รวมสาสน,์ ๒๕๔๑. สุมาลี มหณรงคช์ ยั . พทุ ธศาสนามหายาน (ฉบบั ปรบั ปรุงแกไ้ ข). พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พศ์ ยาม, ๒๕๕๐. สุนทร ณ รงั ษ.ี ปรชั ญาอนิ เดีย : ประวตั แิ ละลทั ธิ. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั , ปทมุ วนั , กรุงเทพมหานคร, ๒๕๓๗. __________.ปรชั ญาอนิ เดยี :ประวตั ิและลทั ธิ. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕. เสนาะผดุงฉตั ร. ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกย่ี วกบั วรรณคดี. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒. แสง จนั ทรง์ าม. พทุ ธศาสนวทิ ยา. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั สรา้ งสรรคบ์ คุ๊ ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๔. หมอ่ งทนิ อ่อง (เพช็ รี สุมติ ร แปล). ประวตั ศิ าสตรพ์ ม่า. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธโิ ตโยตา้ ประเทศไทย, ๒๕๕๑.

๖๓๘ หอมหวล บวั ระภา. พระพทุ ธศาสนาลาวภายใตอ้ ดุ มการณ์สงั คมนิยม ๒๕๑๘-๒๕๓๓. ขอนแก่น : บทความ วชิ าการตพี มิ พเ์ ผยแพร่จากศูนยว์ จิ ยั พหลุ กั ษณะสงั คมลุม่ นาํ้ โขง คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, ๒๕๕๕. อภชิ ยั โพธ์ปิ ระสทิ ธ์ศิ าสตร.์ พทุ ธศาสนามหายาน. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. อภญิ วฒั น์ โพธ์สิ าน. ชีวติ และผลงานของปราชญพ์ ทุ ธ. ขอนแก่น : โรงพมิ พธ์ รรมขนั ธ,์ ๒๕๔๓. อาทร จนั ทวมิ ล. ประวตั ขิ องแผ่นดนิ ไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พอ์ กั ษรไทย, ๒๕๔๘. อารยี ์ สหชาตโิ กสยี .์ วรรณคดเี กย่ี วกบั พทุ ธศาสนาสุโขทยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พส์ งเคราะหห์ ญงิ ปากเกรด็ ๒๕๒๒. (๒) หนงั สอื ภาษาต่างประเทศ : Dutt, Nalinaksha. Early History of the Spread of Buddhism and the Buddhist Schools. Delhi : Rajesh Publications, 1980. David J. Kalupahana. A history of Buddhist Philosophy: Continuities and Discontinuities. Delhi : MotilalBanarsidass Publishers Private limited, 1994. Jayatilleke K.N. Early Buddhist Theory of Knowledge. Delhi : Motilal Banarsidass, 1980. Karl H. Potter, ed. Encyclopedia of Indian Philosophy. Vol. VIII. Delhi : Motilal Banarsidass Publishers Private Limited, 1999. Kimura, Ryukan. Hinayana & Mahayana : A Historical Stusy of the terns Hinayana and Mahayana and the Origin of Mahayana Buddhism. Patna : Indological Bok Corporation, 1978. Law, B. C. A history of Pali Literature. Indica Books, Varanasi, India, 2000. Nalinaksha Dutt. Buddhist Sects in Indian. Delhi : Motiala Banarsidass Publishers Private Limited, 1978. P.V.Bapat. (ed.). Principal Schools and Sects of Buddhism, 2500 Years of Buddhism, 6th rpt., Delhi : Publications Division, 1997. Takakusu, Junjiro. The Essentials of Buddhist Philosophy. Delhi : Motilal Banarsidass, 1975.

๖๓๙ Wilhem Geiger. Pali Literature and Language. 3rd Reprinted. Oriental Books Reprint Corporation. New Delhi : India, 1978. (๓) สอ่ื อเิ ลค็ ทรอนิกส์ : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . [ออนไลน]์ . แหลง่ ขอ้ มลู : http://www.mcu.ac.th/site/ [๙ เมษายน ๒๕๖๑]

ประวตั ิผเู้ ขียน ****** ช่ือ : ดร. ยทุ ธนา พนู เกิดมะเริง สถานท่ีเกิด การศึกษา : ตาบลมะเรงิ อาเภอเมอื ง จงั หวดั นครราชสมี า ประสบการณ์ : น.ธ.เอก สานกั เรยี นวดั สะแก คณะสงฆจ์ งั หวดั นครราชสมี า ผลงานวิชาการ : ป.ธ. ๔ สานกั เรยี นวดั สะแก คณะสงฆจ์ งั หวดั นครราชสมี า : มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (ม. ๖) การศกึ ษานอกโรงเรยี นจงั หวดั นครราชสมี า : พธ.บ. (การสอนสงั คมศกึ ษา) มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั : M.A. (Linguistics), University of Nagpur, India : Ph.D. (Buddhist Studies) University of Magadh, India : เป็นอาจารยป์ ระจาวทิ ยานครราชสมี า ตงั้ แต่ปี ๒๕๔๐ ถงึ ปจั จบุ นั : เป็นอาจารยป์ ระจาสาขาวชิ าพระพุทธศาสนา : เคยดารงตาแหน่งเป็นรกั ษาการผอู้ านวยการสานกั งานวทิ ยาเขตนครราชสมี า : เคยดารงตาแหน่งเป็นหวั หน้าสาขาวชิ าภาษาต่างประเทศปจั จบุ นั : เป็นผชู้ ่วยอธกิ ารบดี วทิ ยาเขตนครราชสมี า ตงั้ แต่ปี ๒๕๕๓ ถงึ ปจั จบุ นั : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระพุทธศาสนาเถรวาท, หนงั สอื เรอ่ื ง พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ปิ ญั ญาไทย, หนงั สอื เรอ่ื งพระพทุ ธศาสนากบั สนั ตภิ าพ (แต่งรว่ ม), หนงั สอื เรอ่ื งพระพทุ ธศาสนากบั สตรี (แต่งรว่ ม) และ หนงั สอื เรอ่ื ง พระพทุ ธศาสนากบั สาธารณสุข (แต่งรว่ ม). งานวจิ ยั จากสถาบนั วจิ ยั พทุ ธศาสตร์ : (๑) เรอ่ื ง “การบรู ณาการดแู ลสุขภาพตาม หลกั พระพุทธศาสนาของอาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจาวดั ”, (๒) เรอ่ื ง “ความพงึ พอใจใจการใหบ้ รกิ ารของสานกั งานวทิ ยาเขตนครราชสมี า” (วจิ ยั รว่ ม), (๓) เรอ่ื ง “การมสี ว่ นรว่ มในการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั ” (วจิ ยั รว่ ม), (๔) เรอ่ื ง “กลยทุ ธแ์ ละองคป์ ระกอบการจดั การศกึ ษา ของคณะสงฆเ์ พอ่ื รองรบั การพฒั นาสงั คมในศตวรรษท่ี ๒๑