บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๔๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ สดั ส่วน per capita ทง้ั น้ี อินเดียมอี ตั ราการบริโภคไฟฟ้าต่อหวั นอ้ ยกว่าอตั ราเฉลย่ี ของโลกซง่ึ รวมทงั้ สหรฐั ฯ และ จนี มากกว่ารอ้ ยละ ๕๐ของการปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจกมาจากประเทศ OECD ในขณะท่ี อนิ เดียซง่ึ มปี ระชากรคิดเป็น รอ้ ยละ ๑๗ ของโลก มอี ตั ราการปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกเพียงรอ้ ยละ ๔ ประเทศท่ไี ดร้ บั ผลกระทบมากคือประเทศ กาํ ลงั พฒั นา ประเทศพฒั นาแล้ จึงจาํ เป็นตอ้ งลดระดบั กา๊ ซเรอื นกระจกอย่างเร่งด่วนและจริงจงั ทงั้ น้ี รฐั บาลอินเดีย ไดจ้ ดั ทาํ แผนดาํ เนินงานเร่อื งการเปลย่ี นแปลงสภาพอากาศแห่งชาติ เพอ่ื ใชเ้ ป็นแผนแม่บทสาํ หรบั การดาํ เนินการใน เร่อื งดงั กลา่ ว ภยั คกุ คามดา้ นความมนั่ คง : อนิ เดยี พรอ้ มทจ่ี ะร่วมมอื กบั นานาชาติทจ่ี ะจดั การกบั ปญั หาเหล่าน้ี ทงั้ เร่อื ง การก่อการรา้ ยและการแพร่ขยายอาวุธทาํ ลายลา้ งสูง อินเดยี เหน็ ความจาํ เป็นท่จี ะตอ้ งมกี ารลดอาวุธ โดยเฉพาะอาวุธ นิวเคลยี ร์ บนหลกั การท่เี ป็นธรรมและไม่เลอื กปฏิบตั ิ อินเดียยึดมนั่ ต่อพนั ธกรณีตามท่ตี กลงกนั ในการประชุมสมยั พเิ ศษครง้ั ท่ี ๑๐ ของ UNGA เร่อื งการลดอาวุธว่าจะใหค้ วามสาํ คญั ลาํ ดบั แรกต่อการลดอาวุธนิวเคลยี ร์ อินเดยี เหน็ ความจําเป็นของความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสูภ้ ยั จากการก่อการรา้ ย และจะเร่งรดั การจดั ทํา ‘Comprehensive Convention on International Terrorism’ ใหบ้ รรลผุ ล การปฏริ ูปโครงสรา้ งองคก์ ารสหประชาชาติ : อินเดยี เหน็ ว่า การขยายสมาชิกภาพของ คณะมนตรคี วาม มนั่ คง ทง้ั สมาชกิ ถาวรและไมถ่ าวร มสี ่วนสาํ คญั ต่อการปฏริ ูปองคก์ ารสหประชาชาติ อนิ เดยี ตอ้ งการเป็นสมาชิกถาวร ของคณะมนตรคี วามมนั่ คง และไดพ้ ยายามขอเสยี งจากประเทศ P. ๕ และประเทศท่สี าํ คญั อ่นื ๆ เช่น เยอรมนี ญ่ปี ่นุ บราซิล ซ่ึงต่างก็มีความม่งุ หวงั ท่ีจะเป็น สมาชิกถาวรของ คณะมนตรีความมนั่ คงเช่นกนั ทงั้ น้ีอินเดียเห็นว่า ใน ประเทศ P. ๕ รสั เซยี องั กฤษ และฝรงั่ เศสมที ่าทีตอบรบั ต่อวตั ถุประสงคข์ องอนิ เดยี ในการเขา้ เป็นสมาชิกถาวรใน คณะมนตรคี วามมนั่ คงในทางบวก แต่จนี และสหรฐั ฯ ยงั คงสงวนท่าที ศลิ ปกรรมอนิ เดยี งานสรา้ งสรรคศ์ ิลปกรรมแขนงต่างๆของอารยธรรมอนิ เดยี มคี วามเก่ยี วขอ้ งสมั พนั ธอ์ ย่างใกลช้ ิดกบั ความ เช่ือทางศาสนา ศิลปกรรมแขนงต่างๆของอินเดียจึงมกั ปรากฏนบั เน่ืองในศาสนา ทง้ั ศาสนาพราหมณ์ -ฮินดู พระพทุ ธศาสนา และศาสนาเชน ความศรทั ธาและความเคารพต่อศาสนาของชาวอินเดีย ทาํ ใหม้ กี ารสรา้ งกฎเกณฑเ์ ก่ียวกบั ลกั ษณะของ งานศิลปะต่างๆมลี กั ษณะร่วมกนั อย่างมาก อิทธิพลศิลปะจากภายนอก เช่น เปอรเ์ ซีย กรีก แมจ้ ะมผี ลสาํ คญั ต่อ พฒั นาการทางศิลปะอนิ เดยี แต่ภายในเวลาไมน่ านกจ็ ะถกู กลมกลนื เขา้ กบั ศิลปะอนิ เดีย ศิลปกรรมของอินเดียเร่ิมปรากฏหลกั ฐานในอารยธรรมลุ่มนาํ้ สนิ ธุ ราว ๒,๕๐๐ ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช ใน สมยั ต่อมาชาวอารยนั เขา้ มาในอนิ เดีย แต่ไมป่ รากฏหลกั ฐานงานทางศิลปะของพวกอารยนั ววิ ฒั นาการทางศิลปะของ อนิ เดยี จงึ ขาดช่วงเป็นเวลาเกอื บพนั ปี จนกระทงั่ ถงึ สมยั พทุ ธกาลจึงไดป้ รากฏหลกั ฐานทางศิลปะท่ชี ดั เจนข้นึ ทางภาค ตะวนั ตกเฉียงเหนือแถบลุม่ นาํ้ สนิ ธุ เป็นศิลปะทไ่ี ดร้ บั อทิ ธิพลจากจกั รวรรดเิ ปอรเ์ ซยี และศิลปะแบบเฮลเลนิสตกิ ของ กรกี
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๔๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ อทิ ธพิ ลของศิลปะภายนอกดงั กล่าวไดพ้ ฒั นามาสู่ศิลปกรรมสมยั ราชวงศเ์ มารยะ ซ่งึ เป็นศิลปะสมยั แรกท่ี มหี ลกั ฐานปรากฏชดั เจน ในช่วงสมยั น้ีพระพทุ ธศาสนาเป็นแรงบนั ดาลใจสาํ คญั ในการสรา้ งสรรคศ์ ิลปกรรม และยงั มี ความสาํ คญั ต่อสกลุ ศิลปะในสมยั ต่อมา ในสมยั ราชวงศค์ ุปตะ ศิลปะแขนงต่างๆ ไดพ้ ฒั นาไปมากจนกระทงั่ ไดก้ ่อกาํ เนิดยุคทองทางศิลปะของ อินเดีย จนกระทงั่ หลงั ศตวรรษท่ี ๑๒-๑๓ แบบอย่างของศิลปะอิสลามแพร่ขยายอย่างกวา้ งขวาง ขณะท่ศี ิลปะใน พระพทุ ธศาสนาสูญส้นิ ไปและศิลปะในศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูเสอ่ื มโทรมเป็นเวลานานหลายศตวรรษ สถาปตั ยกรรม สถาปตั ยกรรม อินเดียไดร้ บั อิทธิพลมาจากเปอรเ์ ซยี (ลานดา้ นใน ประตูโคง้ ) ท่เี มอื งหลวงใหมข่ องพระ เจา้ อคั บาร์ คือ ฟาเตหป์ ูร์สิครี ใกลเ้ มืองอคั รา แสดงสถาปตั ยกรรมแบบโมกุลแทใ้ นการสรา้ งราชวงั สุเหร่า เช่นเดยี วกบั หลมุ ศพของพระเจา้ อคั บารท์ ่สี กี นั ดารา และ วดั โก-แมนดาล ทโ่ี อไดปูร์ แต่งานทเ่ี ด่นท่สี ุด คือ ทชั มาฮลั ประดบั ดว้ ยหนิ มคี ่า บนยอดเป็นหนิ สขี าว เสน้ ทกุ เสน้ เขา้ กนั ไดอ้ ย่างงดงามกบั สวน และนาํ้ พุ นบั เป็นสถาปตั ยกรรม ทง่ี ดงามทส่ี ุดแห่งหน่ึงในโลก นอกจากนนั้ มสี ุเหร่ามกุ ของเมอื งอคั รา เกดิ นิกายข้นึ หลายนิกายในหมคุ่ นฮนิ ดู เช่น ตนั ตรกิ ซกิ มาดวา ฯลฯ นอกจากน้ียงั มซี ากเมอื งฮารบั ปาและโมเฮนโจดาโร ทาํ ใหเ้ห็นว่ามีการวางผงั เมอื งอย่างดี มสี าธารณูประ โภค อาํ นวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น ถนน บ่อนาํ้ ประปา ซ่งึ เนน้ ประโยชนใ์ ชส้ อยมากกว่าความสวยงาม ซาก พระราชวงั ทเ่ี มอื งปาฏลบี ตุ รและตกั ศิลา สถูปและเสาแปดเหลย่ี ม ท่สี าํ คญั คือ สถปู เมอื งสาญจี (สมยั ราชวงศโ์ มรยิ ะ) และ สุสานทชั มาฮาล สรา้ งดว้ ยหนิ อ่อน เป็นการผสมระหวา่ งศิลปะอนิ เดยี และเปอรเ์ ชีย สถปู เมอื งสาญจี (สมยั ราชวงศโ์ มรยิ ะ)
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๔๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ สุสานทชั มาฮาล ประติมากรรมเก่ียวขอ้ งกบั ศาสนา ไดแ้ ก่ พระพุทธรูปแบบคันธาระ พระพุทธรูปแบบมถุรา พระพทุ ธรูปแบบอมราวดี ภาพสลกั นูนทม่ี หาพลปิ ลุ มั ไดร้ บั การยกย่องว่ามหศั จรรย์ พระพทุ ธรูปแบบอมราวดี พระพทุ ธรูปแบบอมราวดี
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๔๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง พระพทุ ธรูปแบบมถรุ า จติ รกรรม จิตรกรรมอินเดียตามประวตั ิศาสตรแ์ ลว้ วิวฒั นาการมากจากการเขียนภาพบุคคลในศาสนาและ พระมหากษตั ริย์ จิตรกรรมอินเดียเป็นคาํ ท่มี าจากตระกูลการเขยี นหลายตระกูลท่เี กิดข้นึ ในอนุทวีปอินเดีย ซ่งึ มี ลกั ษณะแตกต่างกนั ไปมตี งั้ แต่จิตรกรรมฝาผนงั ขนาดใหญ่ของถาํ้ เอลเลรา (Ellora Caves) ไปจนถึงงานท่ี ละเอยี ดลออของจลุ จติ รกรรมของจิตรกรรมโมกลุ และงานโลหะจากตระกูล Tanjore ส่วนจิตรกรรมจากแควน้ คนั ธาระ-ตกั กสลิ า ‚พระรามกบั สดี าในป่า‛ แบบปญั จาบ ค.ศ. ๑๗๘๐ เป็นจิตรกรรมท่ีไดร้ บั อิทธิพลจากจิตรกรรมเปอรเ์ ซียทางตะวนั ตก จิตรกรรมในอินเดียตะวนั ออก ววิ ฒั นาการในบรเิ วณตระกลู การเขยี นของนาลนั ทา ทเ่ี ป็นงานทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากตาํ นานเทพอนิ เดยี สมยั คุปตะ และหลงั สมยั คุปตะ เป็นสมยั ท่รี ุ่งเรืองท่สี ุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมท่ี ผนงั ถาํ้ อชนั ตะ เป็นภาพเขยี นในพระพทุ ธศาสนาแสดงถงึ ชาดกต่างๆ ทง่ี ดงามมาก ความสามารถในการวาดเสน้ และการอาศยั เงา มดื บรเิ วณขอบภาพ ทาํ ใหภ้ าพแลดูเคลอ่ื นไหว ใหค้ วามรูส้ กึ สมจรงิ
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๔๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ภาพจติ รกรรมบนผนงั ถาํ้ อชนั ตะ นาฏศลิ ป์และสงั คตี ศิลป์ เก่ียวกบั การฟ้ อนราํ เป็นส่วนหน่ึงของพิธีกรรมเพ่ือบูชาเทพเจา้ ตามคมั ภีรพ์ ระเวท ส่วนบทสวด สรรเสริญเทพเจา้ ทง้ั หลาย ถอื เป็นแบบแผนการรอ้ งท่เี ก่าแก่ท่สี ุดใน สงั คีตศิลป์ของอินเดีย แบ่งเป็นดนตรศี าสนา ดนตรใี นราชสาํ นกั และดนตรที อ้ งถน่ิ เคร่อื งดนตรสี าํ คญั คือวณี า หรอื พณิ ใชส้ าํ หรบั ดดี เวณุ หรอื ขลยุ่ และกลอง Mohiniyattam เป็นการแสดงทม่ี กี ารใชภ้ าษาท่าในการสอ่ื ความหมาย แสดงเพอ่ื เป็นการแสดงความเคารพต่อพระวษิ ณุ แหลง่ กาํ เนิดอยู่ทางตอนใตข้ องอนิ เดยี วรรณกรรม วรรณกรรมอินเดีย ทม่ี อี ิทธพิ ล ไดแ้ ก่ รามายณะ มหาภารตะ คมั ภรี ป์ ุราณะและเร่ืองอ่นื ๆ ท่เี ก่ียวกบั ธรรมเนียมกษตั ริย์ การสบื ราชวงศต์ ามแบบธรรมเนียมโบราณของราชวงศใ์ นลุ่มแมน่ าํ้ คงคา วรรณกรรมอินเดียมี อิทธิพลต่อชีวิตชาวบา้ นในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตด้ ว้ ย โดยการเล่า การอ่านนิทานแสดงเก่ียวกบั เน้ือเร่ืองใน วรรณกรรม การแสดงหุ่นกระบอก หนงั ละครทม่ี เี น้ือหาของวรรณกรรม รามายณะ มหากาพย์ และชาดก
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๔๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง รามาวตาร หรือรามจนั ทราวตาร หรือพระราม จากมหากาพย์ รามายณะ ชาวไทยรูจ้ กั กนั ในช่ือเร่ือง รามเกยี รต์ิ ทศกณั ฐ์ หรอื อสูรราพณ์ ศตั รูของพระราม ระราม และ พระนางสดี า
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๔๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ หนุมานเป็นอวตารแหง่ พระศิวะ เพอ่ื มาช่วยพระวษิ ณุในมหากาพยเ์ ร่อื งน้ี การถา่ ยทอดอารยธรรมอนิ เดีย อารยธรรมอนิ เดยี แพร่ขยายออกไปสู่ภมู ภิ าคต่างๆ ทวั่ ทวปี เอเชยี โดยผา่ นทางการคา้ ศาสนา การเมอื ง การทหาร และไดผ้ สมผสานเขา้ กบั อารยธรรมของแต่ละประเทศจนกลายเป็นสว่ นหน่ึงของอารยธรรมสงั คมนน้ั ๆ ในเอเชียตะวนั ออก พระพุทธศาสนามหายานของอินเดียมอี ิทธิพลอย่างลึกซ้ึงต่อชาวจีนทงั้ ในฐานะ ศาสนาสาํ คญั และในฐานะทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการสรา้ งสรรค์ ภมู ภิ าคเอเชยี กลาง อารยธรรมอนิ เดยี ท่ถี ่ายทอดใหเ้ร่มิ ตง้ั แต่ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๗ เมอ่ื พวกมสุ ลมิ อาหรบั ซ่งึ มอี าํ นาจในตะวนั ออกกลางนาํ วทิ ยาการหลายอย่างของอนิ เดยี ไปใช้ ไดแ้ ก่การแพทย์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ เป็นตน้ ขณะเดียวกนั อินเดียก็รบั อารยธรรมบางอย่างทง้ั ของเปอรเ์ ชียและกรีก โดยเฉพาะดา้ นศิลปกรรม ประตมิ ากรรม เช่น พระพทุ ธรูปศิลปะคนั ธาระ ซง่ึ เป็นอทิ ธิพลจากกรีก ส่วนอิทธพิ ลของเปอรเ์ ชยี ปรากฏในรูปการ ปกครอง สถาปตั ยกรรม เช่น พระราชวงั การเจาะภเู ขาเป็นถาํ้ เพอ่ื สรา้ งศาสนสถาน ภมู ภิ าคท่ปี รากฏอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียมากทส่ี ุดคือ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ พ่อคา้ พราหมณ์ และภกิ ษุสงฆช์ าวอนิ เดยี เดนิ ทางมาและนาํ อารยธรรมมาเผยแพร่ อารยธรรมท่ปี รากฏอยู่มแี ทบทกุ ดา้ น โดยเฉพาะ ในดา้ นศาสนา ความเช่อื การปกครอง ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพทุ ธ ไดห้ ลอ่ หลอมจนกลายเป็นรากฐานสาํ คญั ทส่ี ุดของประเทศต่างๆในภมู ภิ าคน้ี ความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาการของอนิ เดีย ๑. ภาษาศาสตร์ ๒. นิตศิ าสตร์ หรอื ธรรมศาสตร์ ๓. แพทยศาสตร์ ๔. ชโยตษิ (ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ คณิตศาสตร)์ อนิ เดยี ปจั จุบนั ปจั จุบนั ประเทศอินเดียมเี น้ือทท่ี งั้ หมด ประมาณ ๓,๒๘๗,๕๙๐ ตารางกิโลเมตร ซ่งึ ใหญ่กว่าประเทศ ไทย ๖ เท่า หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ของประเทศสหรฐั อเมริกา ประเทศอินเดียปจั จุบนั ประกอบดว้ ย ๒๘ รฐั
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๔๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ (States) และ ๗ ดนิ แดนสหภาพ (Union Territories) เขตปกครองพเิ ศษ เมอื งหลวงของประเทศคือเมอื งนิวเดลี (New Delhi Capital of India) และในแต่ละรฐั จะมเี มอื งหลวงของรฐั นนั้ ๆ ดว้ ย ๒๘ รฐั (States) ไดแ้ ก่ อานธร ประเทศ (Andhra Pradesh) อรุณาจลั ประเทศ (Arunachal Pradesh) อสั สมั (Assam) พหิ าร (Bihar) ฉตั ติสครห์ (Chhattisgarh) กวั (Goa) คุชราต (Gujarat) หรยาณา (Haryana) หิมาจลั ประเทศ (Himachal Pradesh) ชมั มแู ละกศั มรี ์ (Jammu and Kashmir) ฌารข์ ณั ฑ์ (Jharkhand) กรณาฏกะ (Karnataka) เกรละ (Kerala) มธั ยประเทศ (Madhya Pradesh) มหาราษฏระ (Maharashtra) มณีปุระ (Manipur) เมฆาลยั (Meghalaya) มโิ ซรมั (Mizoram) นาคาแลนด์ (Nagaland) โอริสสา (Odisha) ปญั จาบ (Punjab) ราชสถาน (Rajasthan) สกิ ขมิ (Sikkim) ทมฬิ นาฑู (Tamil Nadu) ตริปุระ (Tripura) อุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) อตุ ตราขณั ฑ์ (Uttarakhand) และ เบงกอลตะวนั ตก (West Bengal) ๗ ดินแดนสหภาพ (Union Territories) ไดแ้ ก่ ๑. หมเู่ กาะอนั ดามนั และนิโคบาร์ (Andaman and Nicobar Islands) ๒. จณั ฑคี รห์ (Chandigarh) ๓. ดาดราและนครหเวลี (Dadra and Nagar Haveli) ๔. ดา มนั และดอี ู (Daman and Diu) ๕. ลกั ษทวปี (Lakshadweep) ๖. เดลี (National Capital Territory of Delhi) ๗. ปทุ จุ เจรี (Puducherry) สภาพภมู ปิ ระเทศ อนิ เดยี เป็นประเทศทม่ี สี ภาพภมู ศิ าสตรท์ กุ รูปแบบ คือ ทร่ี าบสูงอยู่ตอนเหนือ ซง่ึ มภี ูเขาหมิ าลยั เป็นแนว เขตแดนธรรมชาติ และเป็นแหลง่ ตน้ นาํ้ ท่สี าํ คญั โดยเฉพาะแมน่ าํ้ สาํ คญั ๕ สาย ทเ่ี รยี กว่า ‚ปญั จมหานที‛ ไดแ้ ก่ คงคา ยมนุ า อจริ วดี สรภู และมหี ตอนกลางเป็นบรเิ วณทร่ี าบลุ่มแมน่ าํ้ คงคา ซ่งึ เป็นดนิ แดนท่อี ุดมสมบูรณ์และมี ประชากรอาศยั อยู่หนาแน่นท่สี ุดในโลก ทางดา้ นตะวนั ตกเฉียงเหนือแถบแควน้ ราชสถานเป็นส่วนของทะเลทราย ทาร์ ส่วนทางตอนใตม้ ที งั้ ทร่ี าบสูงอนั แสนจะแหง้ แลง้ และตดิ กบั ฝงั่ ทะเลซง่ึ เป็นเขตมรสุม เน่ืองจากมคี วามหลากหลายในเชงิ ภูมศิ าสตร์ เป็นเหตใุ หอ้ นิ เดยี มสี ภาพภูมอิ ากาศท่แี ตกต่างกนั อย่างมาก จากหนาวทส่ี ุดทม่ี หี มิ ะปกคลมุ ทง้ั ปี ไปจนถงึ รอ้ นทส่ี ุดจนคนตายจากแหง้ แลง้ ท่สี ุดไปจนถงึ เขตท่มี ฝี นตกชกุ ทส่ี ุดของ โลก ดงั นน้ั จึงไม่ตอ้ งสงสยั เลยว่า อินเดียจะเป็นสวรรคข์ องบรรดานกั วชิ าการดา้ นตน้ ไม้ พนั ธุพ์ ชื และสตั วต์ ่าง ๆ อยา่ งยากทป่ี ระเทศใดจะเทยี บได้ อินเดียมปี ระชากรมากเป็นอนั ดบั สองของโลก รองจากประเทศจีน คือประมาณ หน่ึงพนั หน่ึงรอ้ ยลา้ น คน ส่วนใหญ่รอ้ ยละ ๗๒ เป็นชนเผ่า อินโด-อารยนั ชนพ้นื เมอื งเดิมคือเผ่าดราวเิ ดียน หรอื ทมฬิ มปี ระมาณรอ้ ย ละ ๒๕ นอกนน้ั เป็นเผ่ามองโกล ทเิ บตและเตอรก์ อนิ เดยี มภี าษาถน่ิ มากกว่า ๒๐๐ ภาษา แต่รฐั ธรรมนูญรบั รองเพยี ง ๑๔ ภาษา และภาษาทางราชการคือ ภาษาฮนิ ดี ซง่ึ มปี ระชากรพดู มากทส่ี ุดคือ รอ้ ยละ ๔๐ ซง่ึ ภาษาฮนิ ดนี ้ีคือการเปลย่ี นแปลงรูปมาจากภาษาสนั สกฤต และภาษาบาลนี นั่ เอง
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๔๙ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ การเมืองการปกครอง อินเดียเป็นประเทศสาธารณรฐั ประชาธิปไตยในระบบรฐั สภา มปี ระธานาธิบดีเป็นประมขุ ของประเทศ และกระจายอาํ นาจการปกครองในลกั ษณะสหพนั ธรฐั (Federal System) แบ่งออกเป็นรฐั ต่างๆ ๒๘ รฐั โดย ลา่ สุดเม่อื เดือนมกราคม ๒๕๔๔ โลกสภาไดเ้ หน็ ชอบร่างรฐั บญั ญตั ิในการจดั ตงั้ รฐั ใหม่ ๓ รฐั คือ รฐั ฉตั ตีสครห์ (Chattisgarh) รฐั อตุ ตะรนั จลั (Uttaranchal) และรฐั ฉรขนั ท์ (Jharkhand) ซง่ึ แยกออกจากรฐั มธั ยประเทศ อุตต ระประเทศ และรฐั พหิ าร ตามลาํ ดบั และสหภาพอาณาเขตของรฐั บาลกลาง (Union Territories) อกี ๗ เขต รฐั ธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอาํ นาจระหว่างรฐั บาลกลาง (Government of India) และรฐั บาลมลรฐั (State Government) อย่างชดั เจนโดยรฐั บาลกลางดาํ เนินการเรอ่ื งการป้องกนั ประเทศดา้ นนโยบายต่างประเทศ การ รถไฟ การบนิ และการคมนาคมอ่นื ๆ ดา้ นการเงนิ ดา้ นกฎหมายอาญา ฯลฯ ส่วนรฐั บาลมลรฐั มอี าํ นาจในการรกั ษา ความสงบเรยี บรอ้ ยและรกั ษากฎหมาย การพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรมของมลรฐั ดา้ นเศรษฐกจิ อนิ เดยี เป็นประเทศกาํ ลงั พฒั นาทม่ี รี ายไดต้ าํ่ ประชากรกว่ารอ้ ยละ ๖๐ ยงั ประกอบอาชพี เกษตรกรรม ปญั หาความยากจนและการว่างงานเป็นปญั หาสาํ คญั เน่ืองจากการปิดประเทศและดาํ เนินนโยบาย ปกป้องอตุ สาหกรรมภายในมานาน อยา่ งไรกด็ ี อนิ เดยี เร่มิ เปิดเสรที างเศรษฐกจิ เมอ่ื ปี ๒๕๓๔ เน่ืองจากตอ้ งเผชิญ กบั ภาวะเศรษฐกิจตกตาํ่ อย่างรุนแรง จุดเปลย่ี นท่สี าํ คญั คือการแปรรูปรฐั วสิ าหกิจ ซ่ึงส่งผลใหม้ กี ารลงทุนจาก ต่างชาติในกิจการดา้ นไฟฟ้า พลงั งาน และอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากน้ี ไดเ้ ปิดเสรีดา้ นโทรคมนาคมและการ สอ่ื สารในปี ๒๕๔๓ ทาํ ใหส้ ถานการณ์ทางเศรษฐกิจของอินเดียดีข้นึ เร่ือยๆ ปจั จุบนั อินเดียเป็นตลาดใหม่ท่ไี ดร้ บั ความสนใจอย่างยง่ิ จากนานาชาติ ในปี ๒๕๔๗ เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเป็นอนั ดบั ท่ี ๑๒ ของโลก และเป็นอนั ดบั ๓ ในเอเชียรองจาก ญ่ปี ่นุ และจนี โดยมี GDP ๕๐๕.๘ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั เศรษฐกจิ อินเดียไตรมาสสุดทา้ ยของ ปี ๒๕๔๖ เตบิ โต ถงึ รอ้ ยละ ๑๐ เน่ืองจากเก็บเก่ยี วผลติ ผลทางการเกษตรไดเ้ ตม็ ท่ี การส่งออกเตบิ โตถงึ รอ้ ยละ ๑๐ รายไดจ้ ากการ ลงทนุ โดยตรงของต่างชาตมิ จี าํ นวน ๔ พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั อตั ราดอกเบ้ยี ตาํ่ ลง อตั ราเงนิ เฟ้ออยู่ในระดบั รอ้ ยละ ๔.๙๑ ตลาดเงนิ ทนุ แขง็ แกร่ง เงนิ ทนุ สาํ รองต่างประเทศสูงกว่า ๑ แสนลา้ นดอลลารส์ หรฐั และมแี นวโนม้ เพม่ิ ข้นึ ดา้ นวฒั นธรรม อินเดียเป็นเมอื งท่มี วี ฒั นธรรมอารยธรรมท่เี ก่าแก่ พทุ ธศาสนามอี ิทธิพลต่ออินเดียทงั้ ท่ี เป็นวฒั นธรรมทางวตั ถุและทางจิตใจ ไดม้ สี ถาปตั ยกรรม และปติมากรรมทางพทุ ธศาสนาเกิดข้นึ มากมาย ลว้ นมี คุณค่าทางประวตั ศิ าสตร์ เช่นสงั เวชนียสถานอนั เป็นสถานท่สี าํ คญั ทช่ี าวพทุ ธทวั่ โลกไปกราบนมสั การ ส่วนวฒั นธรรม ทางจติ ใจนนั้ มอี ทิ ธพิ ลต่อชาวอนิ เดยี อยูไ่ มน่ อ้ ย เช่นความเช่อื เร่อื งอหงิ สา เป็นตน้ วฒั นธรรมอินเดยี แมจ้ ะมกี ารเลอื กปฏบิ ตั ิ แต่ใหเ้กียรติผูห้ ญิง คนอินเดียจะไมแ่ ตะตอ้ งร่างกายผูห้ ญิง ในท่สี าธารณะ มารยาทในการทกั ทายกนั ทง้ั หญิงและชายจะพนมมือไหวเ้ หมอื นคนไทย แต่ไม่กม้ ศีรษะ ไม่มกี าร จบั มอื กนั แบบเช็คแฮนดเ์ ช่นชาวยุโรป ในชนบท ผูช้ ายมกั จอ้ งมองผูห้ ญิงโดยเฉพาะหญิงต่างชาตอิ ย่างจรงิ จงั ไม่ ตอ้ งตกใจกลวั พวกเขามองเพราะสนใจและสงสยั ไมไ่ ดม้ เี จตนาจะมาทาํ รา้ ยแต่ประการใด ดา้ นการศาสนา อินเดียเป็นดินแดนแห่งศาสนาโดยแท้ ตง้ั แต่โบราณกาลมาจนกระทงั่ ปจั จุบนั เพราะ อนิ เดยี มภี มู ปิ ระเทศทอ่ี ยู่ และเผา่ ชนเป็นปรชั ญาเมธตี ่างๆ ในการคน้ คิดในเร่อื งของชีวติ และทางดา้ นคาํ สงั่ สอน จน
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๕๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เกิดลทั ธิศาสนาต่างๆ มากมายท่สี ุดในโลก จะเรียกอินเดียเป็นโลกแห่งศาสนาก็ว่าได้ ศาสนาท่สี าํ คญั มอี ยู่ในโลก ปจั จบุ นั เกดิ ในอนิ เดยี ถงึ ๔ ศาสนา คอื พราหมณ-์ ฮนิ ดู พทุ ธ เชน หรอื นิครนถ์ และ ซกิ ข์ วดั ไทยในประเทศอนิ เดีย วดั ไทยพทุ ธคยา เป็นวดั ไทยแห่งแรกในประเทศอนิ เดยี เร่มิ ก่อสรา้ งมาตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ มเี น้ือท่รี าว ๑๒ ไร่ (๕ เอเคอร)์ ตงั้ อยู่บริเวณพทุ ธคยา อยู่ห่างจากองคเ์ จดียพ์ ทุ ธคยา ประมาณ ๕๐๐ เมตร เป็นวดั ท่อี ยู่ใน ความดูแลและอปุ ถมั ภข์ องรฐั บาลไทย ปจั จบุ นั มพี ระเทพโพธวิ เิ ทศ (วรี ยุทธ์ วรี ยุทโฺ ธ Ph.D.) เป็นเจา้ อาวาส พระอุโบสถของวดั ไทยพุทธคยาจาํ ลองแบบมาจากวดั เบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร ซ่ึงไดช้ ่ือว่าเป็น สถาปตั ยกรรมของสมยั รตั นโกสนิ ทรท์ ่ดี ีทส่ี ุดแห่งหน่ึง ซง่ึ การจาํ ลองแบบจนดูเหมอื นน้ีไมใ่ ช่เฉพาะภายนอก แต่ยงั มี ภายในทเ่ี หมอื นกนั ดว้ ย เช่นองคพ์ ระประธานท่เี ป็นพระพทุ ธชนิ ราช แกลประตู แกลหนา้ ต่าง เป็นตน้ รฐั บาลอนิ เดยี เชญิ ชาวพทุ ธทวั่ โลกมาสรา้ งวดั [แก]้ประเทศอนิ เดยี ไดร้ บั ไดเ้อกราชจากองั กฤษ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๐ และต่อมา ฯพณฯ ศรีเยาวหราลล์ เนหร์ ู นายกรฐั มนตรีคนแรกของประเทศอินเดีย ไดเ้ ตรียมการจดั งาน ฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษข้นึ หรอื เรียกว่า พทุ ธชยนั ตี ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ จึงไดป้ ระกาศเชิญชวนใหป้ ระเทศต่างๆ ท่ี นบั ถือพระพุทธศาสนาไดม้ าสรา้ งวดั ดว้ ยศิลปะของตน ณ พทุ ธคยา ดินแดนตรสั รูข้ ององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ โดยรฐั บาลอนิ เดีย ไดจ้ ดั สรรทด่ี นิ ใหเ้ช่าในนามรฐั บาลต่อรฐั บาลคราวละ ๙๙ ปี และเมอ่ื หมดสญั ญาแลว้ สามารถต่ออายุสญั ญาไดอ้ กี คราวละ ๕๐ ปี ประวตั ิเร่มิ การสรา้ งวดั ไทยพทุ ธคยา เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๗ นายป่นุ จงประเสรฐิ เลขานุการสถาน เอกอคั รทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดยี ไดเ้ดนิ ทางมาพบกบั พระนกั ศึกษาไทยทศ่ี ึกษา ณ สถาบนั การศึกษา บาลนี วนาลนั ทา ซ่งึ มจี าํ นวน ๔ รูป คือ พระมหานคร เขมปาลี (ต่อมาไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ด์ิท่ี พระราชรตั น โมลี อุปนายกสภามหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั และอดีตอธิการบดี มหาวิทยาลยั จุฬ าลงกรณราช วทิ ยาลยั ) พระมหามนสั จิตฺตทโม พระมหาโอภาส โอภาโส และ พระมหาชวินทร์ สระคาํ (ต่อมาไดร้ บั พระราชทาน สมณศกั ด์ิท่ี พระอุดรคณาธิการ ภายหลงั ลาสกิ ขาไดร้ บั เลอื กเป็น ส.ส.จงั หวดั รอ้ ยเอด็ ) และไดแ้ จง้ ข่าวว่า พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตํารวจ และรฐั มนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไดม้ ีจิตศรทั ธาส่งเงินจาํ นวน ๒๐๐,๐๐๐ รูปี (ในสมยั นน้ั อตั ราแลกเปลย่ี นท่ี ๑ รูปีอนิ เดียแลกได้ ๔ บาทไทย) มายงั สถานทูตไทย เพ่อื ดาํ เนินการ สรา้ งวดั ไทยในอนิ เดยี ตามทร่ี ฐั บาลอนิ เดียเชญิ ชวน แต่ในตอนนนั้ เอกอคั รราชทูตไทย ณ กรุง นิวเดลลี คือ พระพ หทิ ธานุกร ไดม้ อบใหเ้ลขานุการสถานทูตเป็นผูด้ าํ เนินการสรา้ งแทนจึงมาปรึกษาพระสงฆไ์ ทย ท่เี รียนอยู่ท่นี าลนั ทา และตกลงกนั วา่ จะซ้อื ทด่ี นิ ทพ่ี ทุ ธคยา และมอบใหน้ ายปุ่น จงประเสริฐ เป็นผูด้ าํ เนินการซ้อื ทด่ี ินจากรฐั บาลรฐั พหิ าร ซ้ือท่ีดินเพ่ือสรา้ งวดั เร่ิมแรกติดต่อไดท้ ่ีดินใกลว้ ดั ทิเบตทางทิศเหนือ มีเน้ือท่ี ๑๕ เอเคอร์ ประมาณ ๓๗ ไร่ (ปจั จุบนั คือลานแสดงธรรมของท่านดาไล ลามะ หรือชาวบา้ นทอ้ งถ่นิ เรียกว่ากาลาจกั ระ ไมดาน (ไมดาน แปลว่า สนามกาลจกั ร คือพธิ กี ารบูชาท่ยี ่งิ ใหญ่ของทิเบต) ต่อมาทางการเหน็ ว่า การก่อสรา้ งโบสถแ์ ละวหิ ารอ่ืนๆ อาจจะบด บงั ทศั นียภาพขององคพ์ ระเจดียพ์ ทุ ธคยา และเมอ่ื ขดุ เพอ่ื วางเสาเขม็ ไดพ้ บโบราณสถานมากมาย ทางการรฐั พหิ าร จงึ หาทใ่ี หใ้ หม่ คอื บรเิ วณทตี ง้ั ปจั จบุ นั น้ี
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๕๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ รฐั บาลไทยเขา้ มาดูแลเร่ืองสรา้ งวดั ต่อมามเี หตุการณ์ผนั แปรในการสรา้ งวดั ท่านจอมพล ป. พิบูล สงคราม นายกรฐั มนตรไี ดร้ บั เรอ่ื งการสรา้ งวดั เป็นของรฐั บาล ต่อมาท่านทูตคนใหม่คือ ดร.บณุ ย์ เจริญชยั มาอยู่ท่ี อนิ เดยี การก่อสรา้ งวดั ไทยในขนั้ ตน้ จงึ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยคือมพี ระอโุ บสถ ศิลปะรตั นโกสนิ ทร์ แบบวดั เบญจมบพติ ร และกฏุ ทิ พ่ี กั สงฆ์ จาํ นวน ๒ หลงั ทต่ี งั้ และอาณาเขตของวดั ไทย ช่อื วดั ไทยพทุ ธคยา ตง้ั อยูห่ ่างจากบรเิ วณตน้ พระศรีมหาโพธิ สถานทต่ี รสั รูข้ ององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประมาณ ๕๐๐ เมตร ตาํ บลพทุ ธคยา อาํ เภอคยา รฐั พหิ าร ห่างจากสถานี รถไฟเมอื งคยา ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร และสนามบนิ พุทธคยา ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มเี น้ือท่ปี ระมาณ ๑๒ ไร่ (๕ เอเคอร)์ อยูใ่ นความอปุ ถมั ภข์ องรฐั บาลไทยของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั มฐี านะเป็นพระอารามหลวง หรือ วดั หลวง เพราะไดร้ บั พระราชทานผา้ พระกฐนิ เป็นประจาํ ทกุ ปี พระธรรมทูตไทย ชุดแรก ณ วดั ไทยพทุ ธคยา พ.ศ. ๒๕๐๒ ทางรฐั บาลไดแ้ จง้ ใหค้ ณะสงฆท์ ราบ และ คณะสงฆไ์ ดส้ ่ง พระธรรมธีราชมหามนุ ี มาเป็นเจา้ อาวาสรูปแรก พรอ้ มกบั พระสงฆอ์ ีกส่รี ูป ปฏิบตั ิหนา้ ท่อี ยู่สามปี จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๕ จึงเดินทางกลบั ประเทศไทย นบั เป็นพระสงฆส์ มณทูตชุดแรกของไทยท่ีเดินทางมาประกาศ พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนตน้ กาํ เนิด ภายหลงั ท่ีพระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ่งท่านพระโสณะ และพระอุตระไปท่ี สุวรรณภูมิ เมอื พ.ศ. ๒๓๖ ซ่ึงเป็นระยะเวลาห่างกนั ถึง ๒,๒๖๖ ปี คนไทยไดต้ อบบุญแทนคุณคนอินเดียเป็นท่ี เรยี บรอ้ ยแลว้ รายนามเจา้ อาวาสวดั ไทยพทุ ธคยา ๑. สมเดจ็ พระธีรญาณมนุ ี (ธีร์ ปุณณกมหาเถระ ป.ธ.๙) เมอ่ื ดาํ รงสมณศกั ด์ิท่ี พระธรรมธรี าชมหามนุ ี วดั จกั รวรรดริ าชาวาส ดาํ รงตาํ แหน่งเจา้ อาวาสรูปท่ี ๑ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๒-๒๕๐๖ ๒. พระสุเมธาธิบดี (บุญเลศิ ทตั ตสุทธิมหาเถระ ป.ธ.๘) เม่อื ดาํ รงสมณศกั ด์ิท่ี พระเทพวสิ ุทธิโมลี วดั มหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฏ์ิ ดาํ รงตาํ แหน่งเจา้ อาวาสรูปท่ี ๒ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๓๒ ๓. พระเทพโพธวิ เิ ทศ (ทองยอด ภูรปิ าโล ป.ธ.๙) เมอ่ื เป็น พระมหาทองยอด ภรู ิปาโล วดั มหาธาตยุ ุวราช รงั สฤษฏ์ิ ดาํ รงตาํ แหน่งเจา้ อาวาสรูปท่ี ๓ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๕๓๒-๒๕๕๔ ๔. พระเทพโพธวิ เิ ทศ (วรี ยุทธ์ วรี ยุทฺโธ, Ph.D.) ดาํ รงตาํ แหน่งเจา้ อาวาสรูปท่ี ๔ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ปจั จบุ นั สง่ิ กอ่ สรา้ ง พระพุทธธรรมศิ รชมพูทปี นิวตั ิสุโขทยั พระประธานในพระอโุ บสถวดั ไทยพทุ ธคยา ป้ายสามภาษา วดั ไทยพทุ ธคยา รฐั พหิ าร ประเทศอนิ เดียพระอุโบสถ จาํ ลองแบบมาจากพระอุโบสถวดั เบญจมบพติ ร ประเทศไทย แต่ไม่ไดส้ รา้ งกาํ แพงแกว้ ลอ้ มดา้ นหลงั พระประธานในพระอุโบสถหนั หนา้ ไปทางทิศเหนือ เพราะทางดา้ นทิศ ตะวนั ออกไม่ไดต้ ิดถนนใหญ่ จึงหนั หนา้ ออกทางทศิ เหนือ เพอ่ื ใหช้ าวอินเดียและพทุ ธศานิกชนจากชาตติ ่างๆ เขา้ นมสั การไดส้ ะดวก ภายในพระอุโบสถ มีภาพวาดชาดกเร่ืองพระมหาชนก ซ่ึงไดร้ บั พระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๕๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พระประธานภายในพระอโุ บสถ พระประธานในพระอโุ บสถ เป็นพระพทุ ธชินราชจาํ ลอง พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงเป็นประธานในการเททองหลอ่ ณ วดั เบญจมบพติ ร และทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทาน นามว่า \"พระพทุ ธธรรมศิ รชมพูทีปนิวตั ิสุโขทยั \" มคี วามหมายว่า “พระพทุ ธเจา้ ผูเ้ป็นใหญ่ในธรรม กลบั สู่ชมพูทวปี ใหเ้กดิ สุข” ท่านจอมพล ถนอม กติ ตขิ จร นายกรฐั มนตรีไดม้ อบหมายใหก้ ระทรวงการต่างประเทศและผูบ้ ญั ชาการ ทหารสูงสุด ดาํ เนินการอญั เชิญไปประดิษฐานท่วี ดั ไทยพทุ ธคยา โดยเคร่อื งบนิ C ๑๓๐ ของกองทพั อเมริกา สมยั ทม่ี าทาํ สงครามเวียดนาม เมอ่ื วนั ท่ี ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ ทนุ ทรพั ยใ์ นการสรา้ งพระประธานและค่าพาหนะ ขนส่งจาํ นวน 650,000 บาท โดยเคร่อื งบนิ C ๑๓๐ เร่มิ แรกนน้ั ตอ้ งลงจอดท่เี มอื งกลั กตั ตา เมอ่ื ทาํ พธิ ีศุลกาการ แต่เมอ่ื บนิ ออกจากเมอื งไทยแลว้ นกั บนิ ถงึ แมจ้ ะตงั้ เขม็ การบนิ ไปท่เี มอื งกลั กตั ตา แต่ไม่สามารถบนิ ไปกลั กตั ตาได้ จงึ เปลย่ี นทศิ ทางการบนิ มาทพ่ี ทุ ธคยาโดยตรง ปรากฏว่าสามารถบนิ ไดอ้ ย่างสะดวก เป็นพทุ ธปาฏหิ าริยท์ ่ีปรากฏต่อ สายตานกั บนิ อเมรกิ า พธิ ผี ูกพทั ธสมี า ฝงั ลูกนิมติ ร ไดม้ กี ารผูกพทั ธสมี าอย่างเป็นทางการ โดยทาํ ในนามรฐั บาลไทย เป็นรฐั พธิ ี ท่านเจา้ ประคุณสมเดจ็ พระวนั รตั (ป่นุ ) วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธิ ท่าเตยี น) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มพี ระสงฆเ์ ขา้ ร่วมพธิ ี ๑๑๒ รูป มชี าวพทุ ธไทยจาํ นวน ๑๕๗ ท่านจากประเทศไทย และชาวพทุ ธไทยในอินเดีย จาํ นวน ๖๒ ท่าน มาร่วมพธิ ี เมอ่ื วนั ท่ี ๖ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๙ (จารกึ ทแ่ี ผน่ หนิ อ่อนวดั ไทยพทุ ธคยา) อาคารรองรบั ผูแ้ สวงบุญชาวไทย มจี าํ นวน ๒ หลงั ลกั ษณะ ๒ ชนั้ เพ่อื เป็นท่พี กั ของพทุ ธบริษทั ชาว ไทยทเ่ี ดนิ ทางมานมสั การพทุ ธสงั เวชนียสถาน แสวงบญุ ณ ประเทศอนิ เดยี ราชวงศจ์ กั รกี บั วดั ไทยพทุ ธคยา พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษตั ริยาธิราชเจา้ แห่งราชวงศจ์ กั รีท่มี ี ต่อวดั ไทยพทุ ธคยานน้ั มมี ากมายคณานบั ดงั ต่อไปน้ี ๑. พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ฯ เสด็จพระราชดาํ เนินเป็นประธานเททองหล่อพระพทุ ธปฏิมา พระ พทุ ธชนิ ราช เพอ่ื อญั เชญิ มาเป็นพระประธานภายในพระอโุ บสถวดั ไทยพทุ ธคยาพรอ้ มพระราชทานพระนามว่า “พระ พทุ ธธรรมศิ รชมพูทปี นิวตั สิ โุ ขทยั \" มคี วามหมายว่า \"พระพทุ ธเจา้ ผูเ้ป็นใหญ่ในธรรม กลบั สู่ชมพูทวปี ใหเ้กดิ สุข\" ๒. โปรดเกลา้ ฯ ให้ ฯพณฯ สญั ญา ธรรมศกั ด์ิ ประธานองคมนตรี เป็นผูแ้ ทนพระองคเ์ ป็นประธานยก ช่อฟ้าพระอโุ บสถและทอดผา้ พระกฐนิ พระราชทาน เม่อื วนั ท่ี ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ๓. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามกุฏราชกุมาร เสด็จฯ เย่ียมวดั ไทยอย่างเป็นทางการเม่อื พ.ศ. ๒๕๓๕ ๔. สมเด็พระเทพรตั นราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เย่ยี มวดั ไทยอย่างเป็นทางการ เม่อื พ.ศ. ๒๕๓๐ ๕. พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ โสมสวลี พระวรชายาทินดั ดามาตุ เสด็จฯ ในงานฉลองวดั ไทย พทุ ธคยาครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ๖. ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานผา้ พระกฐนิ พระราชทานเพ่อื ใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั ชาวไทยอญั เชญิ ไป ทอดกฐนิ แด่พระภกิ ษุสงฆผ์ ูจ้ าํ พรรษากาลทว่ี ดั ไทยพทุ ธคยาเป็นประจาํ ทกุ ปี
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๕๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ นายกรฐั มนตรนี มสั การและทาบญุ ทว่ี ดั ไทยพทุ ธคยา ๑. จอมพล ป. พบิ ูลสงคราม บวชท่วี ดั ไทยพุทธคยา พ.ศ. 2503 และเป็นการบวชพระ(อปุ สมบท)ครงั้ แรกของวดั ไทยพทุ ธคยา ๒. ฯพณฯ สญั ญา ธรรมศกั ด์ิ สมยั ดาํ รงตาํ แหน่ง ประธานองคมนตรี ผูแ้ ทนพระองคเ์ ป็นประธานยกช่อ ฟ้าพระอโุ บสถ และทอดผา้ พระกฐนิ พระราชทาน วนั ท่ี ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ๓. พลเอก สุรยุทธ จณุ านนท์ เมอ่ื ครงั้ ดาํ รงตาํ แหน่ง ผูบ้ ญั ชาการทหารสูงสุด เยย่ี มวดั ไทย ๔. ฯพณฯ ชวน หลกี ภยั มานมสั การพทุ ธสงั เวชนียสถาน และเยย่ี มวดั ไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ งานพระธรรมทตู งานพระธรรมทูตของวดั ไทยพทุ คยา ไดป้ รากฏเด่นชดั มาตงั้ แต่พระธรรมทูตรุ่นแรก จนถงึ ปจั จบุ นั ได้ ทาํ การประกาศพระพทุ ธศาสนาในดนิ แดนชมพทู วปี และขยายงานออกไปอย่างมากมาย เช่น ๑. ก่อตงั้ คณะสงฆอ์ ินเดีย (ALL India Bhikkhu Sangha) ใหเ้ป็นองคก์ รท่ถี กู ตอ้ งตามกฎหมาย มี การบรรพชาอปุ สมบทอยา่ งถกู ตอ้ งตามพระธรรมวนิ ยั โดยการจดั ซ้อื ทด่ี นิ ใหส้ รา้ งสาํ นกั งานคณะสงฆอ์ นิ เดีย อบรม สงั่ สอนกลุ บตุ รชาวอนิ เดยี ทเ่ี ขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา ๒. สรา้ งวดั ไทยเพ่อื ขยายและสรา้ งโครงงานพระธรรมทูตออกไปยงั สถานท่สี าํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา โดยมวี ดั ไทยในอนิ เดยี ดงั ต่อไปน้ี - วดั ไทยนาลนั ทามหาวหิ าร พ.ศ. ๒๕๑๖ - วดั ไทยสารนาถ พ.ศ. ๑๕๑๔ - วดั ไทยลมุ พนิ ี พ.ศ. ๒๕๓๘ รฐั บาลไทยสรา้ ง แต่มอบหมายใหอ้ ยู่ภายใตก้ ารดูแลของหวั หนา้ พระธรรม ทตู สายอนิ เดยี -เนปาล - วดั ไทยกสุ นิ าราเฉลมิ ราชย์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และสาขาของวดั ไทยกสุ นิ ารา อกี ๒ แห่ง คือวดั ไทยสาวตั ถี พ.ศ. ๒๕๔๘ และพทุ ธวหิ ารสาลวโนทยาน ๙๖๐ โสเนาลี ชายแดนอนิ เดยี -เนปาล พ.ศ. ๒๕๔๘ - วดั ไทยสริ ริ าชคฤห์ พ.ศ. ๒๕๔๖ - วดั ไทยไพสาลี พ.ศ. ๒๕๔๗ นอกจากน้ียงั มวี ดั อ่นื ๆ ทพ่ี ระสงฆไ์ ทยฝ่ายธรรมยุตกิ นิกาย สรา้ งไวใ้ นอินเดยี เช่นวดั ป่าพทุ ธคยา วดั ป่า เนรญั ชรา วดั กสุ าวดพี ทุ ธวหิ าร วดั อโศกพทุ ธวหิ าร วดั อมั เบคการพ์ ทุ ธมหาสภา ๓. สนบั สนุนชาวพทุ ธอินเดียสรา้ งพทุ ธวหิ ารพรอ้ มมอบพระพุทธรูปและเคร่ืองอฐั บรขิ ารในการบรรพชา อปุ สมบท เช่น มอบแด่ชาวพทุ ธทเ่ี มอื งนาคปรุ ์ เมอื งออรงั คบาด รฐั มหารชั ตะ ๔. จดั ตง้ั คลนิ ิกเพอ่ื ดูแลชาวพทุ ธไทย และชาวพทุ ธทวั่ โลกรวมทงั้ ชาวอนิ เดยี เพอ่ื สรา้ งขวญั และกาํ ลงั ใจ แด่ชาวพทุ ธทม่ี าไหวพ้ ระแสวงบญุ รวมทง้ั เพอ่ื สรา้ งมวลชนสมั พนั ธก์ บั ชาวบา้ นทอ้ งถน่ิ
บทท่ี ๒ “ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๕๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๕. จดั สรา้ งโรงเรียนเพ่อื เยาวชนชาวอินเดีย ใหไ้ ดร้ บั การศึกษา มจี าํ นวน ๔ แห่งคือ วดั ไทยพทุ ธคยา สนบั สนุนโรงเรียนปญั จศีล ท่พี ทุ ธคยา และโรงเรียนชาวพทุ ธใหม่ท่นี าลนั ทา วดั ไทยสารนาถ จดั สรา้ งโรงเรยี นพระ ครูปกาศสมาธคิ ุณ และวดั ไทยกสุ นิ าราเฉลมิ ราชย์ สรา้ งโรงเรยี นตน้ กลา้ พระพทุ ธศาสนาวนั อาทติ ย์ ๖. จดั อบรมพระธรรรมวทิ ยากร เพ่อื พฒั นาบุคลากรทางพระพทุ ธศาสนา คือ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ท่ีมาปฏิบตั ิหนา้ ท่ีพระธรรมทูต ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบตั ิธรรมในอินเดีย ใหร้ กั งานเผยแพร่ วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื สามารถนาํ พาพทุ ธบรษิ ทั ท่มี าไหวพ้ ระแสวงบญุ ท่อี ินเดียใหไ้ ดเ้ขา้ ใจซาบซ้งึ ในคุณของพระพทุ ธ พระ ธรรม และพระสงฆ์ นาํ สวดมนตไ์ หวพ้ ระ ปฏิบตั ิธรรม เจริญจิตภาวนา อธิบายธรรม พุทธประวตั ิ ประวตั ิศาสตร์ และเร่อื งราวทเ่ี ป็นประโยชนใ์ หแ้ ก่ชาวพทุ ธไทยและต่างชาติได้ ซ่งึ ประสบความสาํ เร็จอย่างดี ไดร้ บั คาํ ยกย่องและช่นื ชมจากชาวพทุ ธไทยเป็นอย่างมาก ปจั จบุ นั มกี ารอบรม ๓ แห่งคือ วดั ไทยพทุ ธคยา วดั ไทยกุสนิ าราเฉลมิ ราชย์ และ มหาวทิ ยาลยั เมอื งพาราณสี ๗. ดูแลนกั ศึกษาไทยท่มี าเรียนท่อี ินเดีย มหาเถรสมาคมไดม้ อบหมายใหเ้ จา้ อาวาสวดั ไทยพุทธ คยา เป็นหวั หนา้ พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย และเป็นผูด้ ูแลพระนกั ศึกษาไทยท่มี าศึกษาท่ีประเทศอินเดีย ทางวดั ไทยพทุ ธคยาไดจ้ ดั มอบทนุ การศึกษาแด่นกั ศึกษาไทย และใหก้ ารสนบั สนุนกจิ กรรมทเ่ี ป็นประโยชนข์ องนกั ศึกษาจาก มหาวิทยาลยั ต่างๆ เช่นโครงการไหวพ้ ระนมสั การพทุ ธสงั เวชนียสถาน ของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั บาณารสั ฮินดู (Banaras Hindu University) ตงั้ อยู่ท่เี มอื งพาราณสี รฐั อตุ ตรประเทศ ถอื เป็นมหาวทิ ยาลยั ทใ่ี หญ่ท่สี ุดในอินเดีย มหาวิทยาลยั มคธ (Magadh University) ตงั้ อยู่เมอื งคยา มหาวิทยาลยั เดลลี (University of Delhi) มหาวิทยาลยั เนหร์ ู Jawaharlal Nehru University (JNU) ตงั้ อยู่เมอื งหลวงนิวเดลลี และมหาวทิ ยาลยั ปูเณ่ (University of Pune) ตงั้ อยู่ในรฐั มหารชั ตะ (Maharashtra) ฯลฯ ๘. มอบทนุ การศึกษาแด่พระภกิ ษุ-สามเณร แมช่ แี ละนกั เรยี นไทย ทม่ี าศึกษาในประเทศอนิ เดยี สรุปทา้ ยบท ดนิ แดนอนิ เดยี โบราณในทางศาสนามกั จะเรียกกนั ว่า ‚ชมพูทวปี ‛ ในทางภูมศิ าสตรม์ กั เรียกว่า ‚เอเชียใต‛้ หรอื อนุทวปี อนิ เดีย ส่วนชาวอนิ เดียเอง เรียกดินแดนของเขาเองว่า ‚ภารตวรรษ‛ (Bharatavarsa) ซ่งึ มคี วามหมาย วา่ ถน่ิ ทอ่ี ยู่ของชาวภารตะ ช่อื ‚อนิ เดยี ‛ มาจากคาํ ภาษาสนั สกฤตว่า ‚สนิ ธุ‛ (Sindhu) ซ่งึ เป็นช่อื แมน่ าํ้ สายสาํ คญั ทาง ภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือของอนิ เดยี โบราณ ต่อมาชาวเปอรเ์ ซยี ท่เี ขา้ มารุกรานดินแดนแถบน้ีไดเ้ปลย่ี นตวั พยญั ชนะ S เป็น H เรยี กชอ่ื ดนิ แดนแถบน้ีว่า Hindu หรือ Hidu ต่อมาพวกกรกี ทเ่ี ขา้ มาในสมยั หลงั ไดต้ ดั ตวั H ออกแลว้ แผลง เป็น Indos ซ่งึ เพ้ยี นไปเป็น Indus และ India ตามลาํ ดบั ในสมยั ตน้ ช่อื น้ีใชเ้รยี กเฉพาะดนิ แดนในบรเิ วณลุ่มนาํ้ สนิ ธุ ต่อมาจงึ ไดใ้ ชเ้รยี กดนิ แดนท่เี ป็นประเทศอนิ เดยี ทงั้ หมด อารยธรรมอินเดียยุคโบราณสามารถแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ยุคคือ ยุคอารยธรรมสมยั สินธุ และยุคอารยธรรม สมยั อารยนั อารยธรรมสมยั สินธุ เป็นอารยธรรมเก่าแก่ท่ีสุดเท่าท่ปี จั จุบนั มกี ารคน้ พบในบริเวณอนุทวีปอินเดีย วิธี การศึกษาคน้ ควา้ เกย่ี วกบั อารยธรรมสมยั สนิ ธุตงั้ แต่อดีต คอื ตง้ั แต่ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๒๐
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” หนา้ ๑๕๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ภูมิหลงั ของอารยนั คือ ราว ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตก์ าลมีชนชาติท่ีพูดภาษาอินโด-ยุโรเปียน (Indo- European) อยู่ บรเิ วณรอบๆ ทะเลสาปแคสเปียน ต่อมาชนบางกลุม่ ในกลุ่มน้ีไดอ้ พยพกระจดั กระจายไปในหลายๆ บริเวณ กลุ่มหน่ึงไปทางทิศตะวนั ตกและกระจายไปเป็นพลเมอื งของประเทศต่างๆ ในทวปี ยุโรปปจั จุบนั เรียกว่า ‚ยูโรเปียน-อารยนั ‛ (European-Aryan) พวกทส่ี องไปทางตะวนั ตกเฉียงใตผ้ ่านหุบเขาออกซสั (Oxus vallry) เขา้ ไป ในอฟั กานิสถานปจั จบุ นั หลงั จากตงั้ หลกั แหล่งอยู่ระยะหน่ึง พวกน้ีกข็ ยบั ขยายไปทางทศิ ตะวนั ตกเขา้ ไปยงั เปอรเ์ ซยี พวกน้ีเรยี กวา่ ‚เปอรเ์ ซยี น‛ (Persian) หรอื ‚อเิ รเนียน‛ (Iranian) ซง่ึ มาจากคาํ ว่า ‚อารฺยาณาม‛ฺ แปลว่า ดนิ แดนของ ชาวอารยะ พวกทส่ี ามไปทางตะวนั ออกผ่านช่องเขาไคเบอรเ์ ขา้ ไปในอินเดีย เรยี กว่า ‚อนิ โด-อารยนั ‛ (Indo-Aryan) ซง่ึ เขา้ มารุกรานอนิ เดยี เมอ่ื ประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อนครสิ ตกาล อินเดยี ปจั จุบนั เรียกว่าสาธารณรฐั อนิ เดีย (Republic of India) ช่ือประเทศอนิ เดีย ในสมยั พุทธกาล เรียกกนั ว่า ‚ชมพูทวปี ‛ ซง่ึ แปลว่า ‚ทวปี แห่งไมห้ วา้ ‛ เพราะมตี น้ หวา้ ข้นึ มากในดนิ แดนแห่งน้ี ส่วนคาํ ว่า ‚อินเดยี ‛ เป็นคาํ ในภาษาเปอรเ์ ซยี ซ่งึ เรียกแมน่ าํ้ สนิ ธุ ว่า “ฮินดู‛ เน่ืองจากชาวเปอรเ์ ซียรูจ้ กั อนิ เดยี โดยเขา้ มาทางลุ่มนาํ้ น้ีเม่อื ๓,๐๐๐ กว่าปีมาแลว้ ต่อมาเมอ่ื ชาวกรกี เร่ิมเขา้ มา ไดอ้ อกเสยี งคาํ ว่า ฮนิ ดูเพ้ยี นไปเป็น ‚อนิ โดส‛ และเพ้ยี นออกไป เป็น ‚อนิ ดุส‛ และ ‚อนิ เดยี ‛ ตามลาํ ดบั แต่สาํ หรบั ชาวอนิ เดยี แลว้ นิยมเรยี กประเทศตนเองว่า “ภารตะ” หรือ “ภารตวรรษ” ซ่งึ แปลว่า ‚ประเทศ ภารตะ‛ และเรยี กตนเองว่าเป็น ‚ชาวภารตะ‛ ทงั้ น้ีสบื เน่ืองจากความเช่อื ท่วี ่า ชาวอนิ เดยี สบื เช้อื สายมาจากทา้ วภรต (อ่านวา่ พะ-รต) ซง่ึ เป็นตน้ วงศข์ องเร่อื งราวในมหากาพยท์ ย่ี ง่ิ ใหญ่ของชาวอนิ เดยี คือ ‚มหาภารตยุทธ‛์ ซง่ึ มชี ่อื เสยี ง คู่กนั กบั ‚มหากาพยร์ ามายณะ‛ หรอื ทเ่ี รารูจ้ กั กนั ดใี นชอ่ื ‚รามเกยี รต์‛ิ ประเทศอินเดียท่เี รียกว่าชมพูทวปี นนั้ กินอาณาบริเวณเม่อื เทยี บกบั ปจั จุบนั เท่ากบั ๗ ประเทศรวมกนั คอื ๑. อนิ เดยี ๒. ปากสี ถาน ๓. บงั กลาเทศ ๔. เนปาล ๕. ภูฎาน ๖. สกิ ขมิ (รฐั ในอารกั ขาของอนิ เดีย) ๗. บางส่วน ของอาฟกานิสถาน มี ๒๘ รฐั และ ๗ เขตปกครองพเิ ศษ เมอื งหลวงของประเทศคือเมอื งนิวเดลี และในแต่ละรฐั จะ มเี มอื งหลวงของรฐั นนั้ ๆ ดว้ ย ดา้ นการศาสนา อินเดียเป็นดินแดนกาํ เนิดลทั ธิความเช่ือและแหล่งกาํ เนิดศาสนามากมายตงั้ แต่อดีตถึง ปจั จบุ นั เช่น พราหมณ-์ ฮนิ ดู พทุ ธ เชน หรอื นิครนถ์ และ ซกิ ข์
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย” ๑๕๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ คาถามทา้ ยบท คาช้ีแจง : ขอ้ สอบมลี กั ษณะเป็นแบบอตั นยั ใหน้ ิสติ ตอบคาถามทง้ั หมดดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. จงอธบิ ายสาระสาํ คญั ของอารยธรรมสมยั สนิ ธุ ๒. จงอธบิ ายสาระสาํ คญั ของอารยธรรมสมยั อารยนั ๓. จงบอกช่อื แควน้ ทส่ี าํ คญั ๆ ในสมยั พทุ ธกาล ๔. จงอธบิ ายการแบง่ ยุคในสมยั ประวตั ศิ าสตรข์ องอนิ เดยี ๕. จงอธบิ ายสาระสาํ คญั เบ้อื งตน้ ของอาณาจกั รกรีก-โรมนั และ กษุ าณะ ๖. จงอธบิ ายศิลปกรรมอนิ เดยี มกั เก่ยี วขอ้ งกบั ความเช่อื ทางศาสนา ๗. จงอธบิ ายสภาพอนิ เดียปจั จุบนั ๘. จงอธบิ ายการเมอื งการปกครองของอนิ เดยี ปจั จบุ นั ๙. จงอธบิ ายพฒั นาการของการกา้ วไปสูค่ วามเป็นมหาอาํ นาจของอนิ เดยี ๑๐. จงอธบิ ายบทบาทของอนิ เดยี ในกรอบความร่วมมอื ระดบั ภมู ภิ าค
บทท่ี ๒ “ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ” หนา้ ๑๕๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ศาสนาสรา้ งสนั ต.ิ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พอ์ งคก์ าร รบั ส่งสนิ คา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.), ๒๕๔๙. จาํ นงค์ ทองประเสรฐิ . บอ่ เกดิ ลทั ธิประเพณีอนิ เดยี เล่ม ๑ ภาค ๑-๔. กรุงเทพมหานคร : ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๔๐. ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . อารยธรรม. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕. ธติ มิ า พทิ กั ษไ์ พรวนั . ประวตั ศิ าสตรย์ คุ โบราณ. กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๒๒. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. สาํ เนียง เลอ่ื มใส. ตามรอยจารกิ อนิ เดยี เนปาล. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐. หลวงวจิ ติ รวาทการ. ศาสนาสากล เลม่ ๑. กรุงเทพมหานคร : ลูก ส.ธรรมภกั ด,ี ๒๕๒๓. Thapar Romila. A History of India. Vol. I Penguin Books, Middlesex, 1972.
บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารศกึ ษาประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายภมู หิ ลงั ก่อนการตรสั รูไ้ ดถ้ ูกตอ้ ง ๒. อธบิ ายการตรสั รูใ้ นพระพทุ ธศาสนาไดถ้ ูกตอ้ ง ขอบข่ายเน้ือหา ความนา ภมู หิ ลงั ก่อนการตรสั รู้ การตรสั รูใ้ นพระพทุ ธศาสนา
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๕๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๓ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล เป็นการกลา่ วถงึ ภูมหิ ลงั ก่อนการตรสั รูแ้ ละการตรสั รูข้ ององค์ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะไดป้ ระสูติในตระกูลกษตั ริยซ์ ่งึ เป็นวรรณะท่สี ูงทส่ี ุด เกดิ ในท่ามกลาง ศาสนาพราหมณแ์ ละลทั ธติ ่างๆ จะเหน็ ไดว้ า่ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงมพี ระวริ ยิ ะอุตสาหะกว่าจะไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตอ้ งมกี ารสงั่ สมบารมี ศึกษาเล่าเรียนของครูสานกั ต่างๆ แต่ถงึ กระนนั้ ก็ไม่สามารถบรรลุได้ จนกระทงั่ พระองคท์ า่ นตอ้ งทดลองการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง ทรงบาเพญ็ ทกุ รกรยิ ากเ็ ป็นทางสุดโต่งไม่สามารถบรรลุได้ หลงั จาก นนั้ ไดย้ ดึ ทางสายกลางปฏิบตั ิแบบไม่สุดโต่งใชป้ ญั ญาในการพจิ ารณาเหน็ ตามความเป็นจริง สุดทา้ ยก็เป็นเหตุให้ พระองคไ์ ดส้ าเรจ็ อนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณเป็นเหตุใหพ้ ระพทุ ธศาสนาไดบ้ งั เกิดข้นึ ในโลก คาสอนของพระองคไ์ ม่ เหมอื นกบั แนวคิดของศาสนาพราหมณ์ เชน หรือลทั ธิต่างๆ ร่วมสมยั โดยเฉพาะเร่อื งพระเจา้ พระองคไ์ ม่เหน็ ดว้ ย จงึ จดั เป็นศาสนาประเภท อเทวนิยม การท่ศี ึกษาพระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าลนบั ตง้ั แต่ การประสูติ ตรสั รู้ จะ ทาใหเ้ขา้ ใจถงึ หลกั การ วธิ กี ารและเป้าหมายทางพระพทุ ธศาสนามากย่งิ ข้นึ การท่จี ะทราบและเขา้ ใจพระพทุ ธศาสนา สมยั ปฐมโพธกิ าล จะตอ้ งศึกษาสาระสาคญั ดงั น้ี ๑. ภมู หิ ลงั ก่อนการตรสั รู้ ๒. การตรสั รูแ้ ละเหตกุ ารณห์ ลงั ตรสั รู้ -วเิ คราะหเ์ หตกุ ารณท์ ่ที รงดารจิ ะประกาศธรรม -วเิ คราะหป์ ฐมเทศนาและสาระสาคญั ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร -วเิ คราะหอ์ นตั ตลกั ขณสูตร วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายภมู หิ ลงั ก่อนการตรสั รูไ้ ด้ ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายการตรสั รูใ้ นพระพทุ ธศาสนาได้ ๓. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายหลกั การ วธิ กี ารและอดุ มการณข์ องพระพทุ ธศาสนาได้ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๓ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาแบบฝึกหดั ในชน้ั เรยี น ๓. ศึกษาคน้ ควา้ พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชน้ั เรยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Power point หนา้ ชนั้ เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครงั้
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๖๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ๗. ทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรียนและนาผลท่ไี ดม้ าวิเคราะหพ์ ้ืนฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสิตอนั นาไปสู่การพฒั นาและปรบั ปรุงการเรยี นรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๓ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. คาถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาถามประจาบทท่ี ๓ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาพระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ คร่อื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมินผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ่วนร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคดิ เหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตงั้ ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาภาคเรยี น ๖. การทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบท
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๑๖๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๓.๑ ความนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีย่ิงใหญ่ท่ีสุด เป็นหน่ึงในสามศาสนาท่ีสาคญั ๆ ของโลก มแี หล่งกาเนิดใน ดินแดนท่ีเรียกกนั ว่า ชมพูทวีป ปจั จุบนั ไดถ้ ูกแบ่งออกไปเป็นหลายประเทศ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บงั กลาเทศ ภฏู าน และเนปาล เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ทรงถอื กาเนิด ณ ดินแดนทอ่ี ยู่ทางเหนือของชมพูทวปี ปจั จบุ นั ดินแดน แห่งนนั้ อยู่ในเขต แดนประเทศเนปาล ทรงประสูติท่สี วนลุมพนิ ีวนั (ในปจั จุบนั เรยี กว่ารุมมนิ เด เเขวง เปชวาร์ ประเทศเนปาล) ซง่ึ อยู่ ก่งึ กลางระหว่างกรุงกบลิ พสั ดุก์ บั นครเทวทหะ (ปจั จุบนั กรุงกบลิ พสั ดุอ์ ยู่ในประเทศอินเดีย ห่างจากสวนลุมพินีวนั ๑๒ ไมล์ และนครเทวทหะอยูใ่ นประเทศเนปาล ห่างจากสวนลุมพนิ ีวนั ประมาณ ๑๒ ไมลเ์ ช่นกนั , ๑ ไมลเ์ ท่ากบั ๑.๖ กม.) ในวนั วสิ าขะเพญ็ เดือน ๖ ทรงเป็นพระโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะ กษตั ริยผ์ ูค้ รองนครกบลิ พสั ดุ์ เมอื งหลวง ของแควน้ สกั กะ กบั พระนางสมิ หามายาเทวี ซ่งึ เป็นราชธดิ าของกษตั รยิ โ์ กลยิ วงศผ์ ูค้ รองนครเทวทหะ ในคืนทพ่ี ระ โพธสิ ตั วเ์ จา้ เสดจ็ ปฏสิ นธใิ นครรภพ์ ระนางสริ มิ หามายา พระนางทรงพระสุบนิ นิมติ ว่า มชี า้ งเผอื กมงี าสามคู่ไดเ้ขา้ มาสู่ พระครรภ์ ณ ทบ่ี รรทม ก่อนทพ่ี ระนางจะมพี ระประสูตกิ าล ทใ่ี ตต้ น้ สาละ ณ สวนลุมพนิ ีวนั เมอ่ื วนั ศุกร์ ข้นึ สบิ หา้ คา่ เดือนวิสาขะ ปีจอ ๘๐ ปีก่อนพุทธศกั ราช ทนั ทีท่ีประสูติ เจา้ ชายสิทธตั ถะ ทรงยืนหนั พระพกั ตรไ์ ปทางทิศ ตะวนั ออก ดาเนินดว้ ยพระบาท ๗ กา้ ว เหลยี วมองไปในหมน่ื โลกธาตุ เมอ่ื ไม่พบใครทค่ี วรจะอภวิ าทหรอื รุกรบั ไม่ เลง็ เหน็ ใครทอ่ี วดยง่ิ กวา่ จงึ ไดเ้ปลง่ อาสภวิ าจา ว่า “ทนั ทที ป่ี ระสูติ เรียกว่าอาสภวิ าจา คือวาจาหรือคาพูดท่ปี ระกาศถงึ ความเป็นผูม้ คี วามสามารถสูงสุดในโลก พระองคต์ รสั ว่า “เราเป็นผูเ้ลศิ แห่งโลก เราเป็นผูเ้จริญทสี่ ุดแห่งโลก เราเป็น ผูป้ ระเสริฐสุดในโลก”๑ (อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมฺมิ โลกสฺสา เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส)๒ ปรากฏการณ์น่าอศั จรรยใ์ นพระประสูตกิ าล ในสตุ ตนั ตปิฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปณั ณาสก์ อจั ฉริยพภูตธมั มสูตร๓ คือสูตรทีว่ ่าดว้ ยธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ๒๐ ประการความว่า สมยั หน่ึง พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตกรุง สาวตั ถี ครงั้ นน้ั แล ภิกษุจานวนมากกลบั จากบณิ ฑบาตภายหลงั ฉนั ภตั ตาหารเสร็จแลว้ นงั่ ประชุมกนั ในหอฉนั ได้ เกดิ การสนทนากนั ข้นึ ในระหว่างการประชุมว่า ‚ท่านผูม้ อี ายุทง้ั หลาย น่าอศั จรรยจ์ ริง ไมเ่ คยปรากฏ พระตถาคตทรง มฤี ทธ์ิมาก มอี านุภาพมาก ทรงระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ในอดีต ผูป้ รนิ ิพพานแลว้ ผูต้ ดั ปปญั จธรรมไดแ้ ลว้ ทรงตดั ตอ แห่งวฏั ฏะ๔ ครอบงาวฏั ฏะ ล่วงทกุ ขท์ งั้ ปวงไดแ้ ลว้ ทรงทราบว่า ‘พระผูม้ พี ระภาคเหล่านน้ั มพี ระชาติอย่างน้ีเพราะ เหตนุ ้ีบา้ ง มพี ระนามอยา่ งน้ีเพราะเหตนุ ้ีบา้ ง ทรงมโี คตรตระกูลอย่างน้ีเพราะเหตนุ ้ีบา้ ง ทรงมศี ีลอย่างน้ี๓เพราะเหตนุ ้ี บา้ ง ทรงมธี รรมอย่างน้ี เพราะเหตนุ ้ีบา้ ง ทรงมปี ญั ญาอย่างน้ี เพราะเหตนุ ้ีบา้ ง ทรงมวี หิ ารธรรมอย่างน้ี๖เพราะเหตุน้ี ๑ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๐๗/๒๔๐-๒๔๑. อา้ งถงึ ใน อจั ฉริยอพั ภตู ธมั มสูตร คาวา่ “อาสภวิ าจา” คอื วาจาอนั ประกาศความสูงสุด, อคฺโค หมายถงึ เป็นยอดแห่งมนุษยท์ ง้ั หลาย, เชฏฺโฐ หมายถงึ พใ่ี หญ่ กวา่ เขา ทง้ั หมด, เสฏโฺ ฐ หมายถงึ สูงดว้ ยคุณธรรม กวา่ เขาทงั้ หมด. ๒ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๔๑. ๓ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๙๗-๒๐๘/๒๓๓-๒๔๑. ๔ “ปปญั จธรรม” หมายถงึ กเิ ลส ๓ อย่าง คอื ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ อา้ งใน ม.อ.ุ อ.(บาล)ี ๓/๑๙๗/๑๒๑. คาว่า “ตอแหง่ วฏั ฏะ” (วฏฺฏขาณุ) หมายถงึ กมั มวฏั ฏฝ์ ่ายกศุ ล และฝ่ายอกศุ ล อา้ งใน ม.อ.ุ อ.(บาล)ี ๓/๑๙๗/๑๒๑.
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๖๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง บา้ ง ทรงมวี มิ ตุ ติอย่างน้ี เพราะเหตุน้ีบา้ ง‛ เมอ่ื ภกิ ษุเหลา่ นนั้ สนทนากนั อย่างน้ีแลว้ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ลา่ วกบั ภกิ ษุ เหลา่ นน้ั ว่า ‚ท่านผูม้ อี ายุทง้ั หลาย พระตาถคตทง้ั หลาย น่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่เคยปรากฏ และประกอบดว้ ยธรรมอนั น่า อศั จรรยจ์ รงิ ไมเ่ คยปรากฏ‛ เร่อื งน้ีแลทภ่ี กิ ษุเหลา่ นนั้ สนทนากนั คา้ งไว้ ครน้ั เวลาเยน็ พระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ ออกจาก ท่หี ลกี เรน้ เสด็จไปท่หี อฉนั ประทบั นงั่ บนพระพุทธอาสน์ท่ปี ูลาดไว้ แลว้ ไดร้ บั สงั่ เรียกภิกษุเหล่านน้ั มาตรสั ถามว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย เวลาน้ีเธอทง้ั หลายนงั่ สนทนากนั ดว้ ยเร่อื งอะไรพูดเร่อื งอะไรคา้ งไว‛้ ภกิ ษุเหลา่ นน้ั ทูลตอบว่า ‚ขา้ แต่ พระองคผ์ ูเ้ จริญ ขอประทานวโรกาสขา้ พระองคท์ ง้ั หลายกลบั จากบิณฑบาต ภายหลงั ฉนั ภตั ตาหารเสร็จแลว้ นงั่ ประชุมกนั ในหอฉนั สนทนากนั ในระหว่างการประชุมว่า ‘ท่านผูม้ อี ายุทง้ั หลายน่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่เคยปรากฏ พระ ตถาคตทรงมฤี ทธ์มิ าก มอี านุภาพมาก ทรงระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ในอดตี ผูป้ รินิพพานแลว้ ผูต้ ดั ปปญั จธรรมไดแ้ ลว้ ทรงตดั ตอแห่งวฏั ฏะ ครอบงาวฏั ฏะ ลว่ งทุกขท์ งั้ ปวงไดแ้ ลว้ จกั ทรงทราบว่า ‘พระผูม้ พี ระภาคเหล่านน้ั มพี ระชาติ อย่างน้ีเพราะเหตุน้ีบา้ ง มพี ระนามอย่างน้ี ... มโี คตรตระกูลอย่างน้ี ...ทรงมศี ีลอย่างน้ี ...ทรงมธี รรมอย่างน้ี ...ทรงมี ปญั ญาอย่างน้ี ...ทรงมีวิหารธรรมอย่างน้ี ...ทรงมวี ิมตุ ติอย่างน้ีเพราะเหตุน้ีบา้ ง’ ขา้ แต่พระองค์ผูเ้ จริญ เม่ือขา้ พระองคท์ งั้ หลายสนทนากนั อย่างน้ีแลว้ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ล่าวกบั ขา้ พระองคท์ ง้ั หลายว่า ‘ท่านผูม้ อี ายุทงั้ หลาย พระตถาคตทง้ั หลาย น่าอศั จรรยจ์ รงิ ไม่เคยปรากฏ และประกอบดว้ ยธรรมอนั น่าอศั จรรยจ์ ริงไม่เคยปรากฏ’ เร่อื งน้ี แลทข่ี า้ พระองคท์ งั้ หลายสนทนากนั คา้ งไว้ กพ็ อดพี ระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ มาถงึ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ๒๐ ประการ ๑. พระโพธสิ ตั ว๕์ มสี ตสิ มั ปชญั ญะ ไปเกดิ ในสวรรคช์ น้ั ดุสติ ’ แมข้ อ้ ทพ่ี ระโพธสิ ตั วม์ สี ติสมั ปชญั ญะ ไปเกิด ในสวรรคช์ นั้ ดุสติ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏของพระผูม้ พี ระภาค ๒. พระโพธสิ ตั วม์ สี ตสิ มั ปชญั ญะ จงึ สถติ อยู่ในสวรรคช์ นั้ ดุสติ ’ เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๓. พระโพธสิ ตั ว์ สถติ อยู่ในสวรรคช์ นั้ ดุสติ จนตลอดอายุ’ เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๔. ‘พระโพธสิ ตั ว์ มสี ตสิ มั ปชญั ญะ ตลอดตงั้ แต่จุตจิ ากสวรรคช์ น้ั ดุสติ จนถงึ ลงสู่พระครรภข์ องพระมารดา’ แมข้ อ้ น้ีเป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๕. เวลาท่ีพระโพธิสตั วจ์ ุติจากสวรรค์ชนั้ ดุสิต๖ แลว้ ลงสู่พระครรภข์ องพระมารดา แสงสว่างเจิดจา้ หา ประมาณมไิ ด้ ปรากฏข้นึ ในโลกพรอ้ มทงั้ เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู่ ตั วพ์ รอ้ มทงั้ สมณพราหมณ์ เทวดาและ มนุษย์ เกนิ กว่าเทวานุภาพของเทวดาทง้ั หลาย แมใ้ นช่องว่างระหว่างโลกซ่งึ ไมม่ อี ะไรคนั่ มสี ภาพมดื มดิ หรือทท่ี ด่ี วง จนั ทร์ และดวงอาทติ ยซ์ ง่ึ มฤี ทธ์มิ าก มอี านุภาพมาก ส่องแสงไปไม่ถงึ กม็ แี สงสว่างเจดิ จา้ หาประมาณมไิ ด้ ปรากฏข้นึ เกินกว่าเทวานุภาพของเทวดาทงั้ หลาย เพราะแสงสว่างนน้ั สตั วท์ ง้ั หลายท่เี กิดในทน่ี นั้ ๆ จงึ รูจ้ กั กนั และกนั ว่า ‘ยงั มี ๕ คาวา่ “โพธิสตั ว”์ หมายถึ ง ผูฉ้ ลาด ผูจ้ ะตรสั รูใ้ นอนาคต ผูบ้ าเพญ็ มรรค ๔ เพอ่ื บรรลโุ พธญิ าณ อา้ งใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๑๗/๒๑. ๖ จุตจิ ากสวรรคช์ น้ั ดสุ ติ หมายถงึ เทวดาก่อนจะจตุ ิ จะเกดิ บพุ นิมิต ๕ ประการ คอื (๑) ดอกไมเ้หย่ี ว (๒) ผา้ เศรา้ หมอง (๓) เหงอ่ื ออกจาก รกั แร้ (๔) กายเร่ิมเศรา้ หมอง (๕) ไมย่ นิ ดกี ารดารงอยูบ่ นอาสนะของตน อา้ งใน ม.อ.ุ อ.(บาล)ี ๓/๒๐๐/๑๒๓.
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๖๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ สตั วอ์ ืน่ เกิดในทีน่ ้ีเหมอื นกนั ’ และสหสั สีโลกธาตุน้ี๗ สนั่ สะเทือนเลอ่ื นลนั่ ทง้ั แสงสว่างเจิดจา้ หาประมาณมไิ ด้ ก็ ปรากฏข้นึ ในโลก เกนิ กวา่ เทวานุภาพของเทวดาทงั้ หลาย แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๖. ‘เวลาท่พี ระโพธิสตั วล์ งสู่พระครรภข์ องพระมารดา เทพบุตร ๔ องค๘์ เขา้ ไปอารกั ขาพระโพธิสตั วน์ น้ั ประจาทงั้ ๔ ทิศ ดว้ ยตง้ั ใจว่า ‘มนุษย์ หรืออมนุษยใ์ ดๆ อย่าไดเ้ บียดเบยี นพระโพธิสตั วห์ รือพระมารดาของพระ โพธสิ ตั วเ์ ลย’ แมข้ อ้ น้ี ขา้ พระองคก์ จ็ าไดว้ า่ เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ของพระผูม้ พี ระภาค ๗. ‘เวลาท่พี ระโพธิสตั วล์ งสู่พระครรภข์ องพระมารดา พระมารดามปี กติทรงศีล คือ เวน้ จากปาณาติบาต (การฆ่าสตั ว)์ เวน้ จากอทนิ นาทาน (การถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของเขาไม่ไดใ้ ห)้ เวน้ จากกาเมสุมจิ ฉาจาร (การประพฤตผิ ดิ ในกาม) เวน้ จากมสุ าวาท (การพดู เทจ็ ) เวน้ จากสุราเมรยมชั ชปมาทฏั ฐาน (การเสพของมนึ เมาคือสุราและเมรยั อนั เป็น เหตแุ ห่งความประมาท)’ แมข้ อ้ น้ีขา้ พระองคก์ จ็ าไดว้ า่ เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏของพระผูม้ พี ระภาค ๘. เวลาท่ีพระโพธิสตั วล์ งสู่พระครรภข์ องพระมารดา พระมารดาของพระองคไ์ ม่ทรงมีความรูส้ ึกทาง กามารมณ์ เป็นผูท้ ่บี ุรุษผูม้ จี ิตกาหนดั ใดๆ ไม่สามารถล่วงเกินได’้ แมข้ อ้ น้ี ขา้ พระองคก์ ็จาไดว้ ่าเป็นธรรมอนั น่า อศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๙. เวลาท่พี ระโพธิสตั วล์ งสู่พระครรภข์ องพระมารดา พระมารดาของพระองคท์ รงไดก้ ามคุณ ๕ เอิบอ่ิม พรงั่ พรอ้ ม ไดร้ บั การบาเรออยู่ดว้ ยกามคุณ ๕’ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๑๐. เวลาท่ีพระโพธิสตั วล์ งสู่พระครรภข์ องพระมารดา พระมารดาของพระองคไ์ ม่ทรงมคี วามเจ็บป่วยใดๆ ทรงมคี วามสุข ไมล่ าบากพระวรกาย มองเหน็ พระโพธสิ ตั วอ์ ยู่ภายในพระครรภ์ มอี วยั วะสมบูรณ์ มอี ินทรียไ์ มบ่ กพร่อง เปรยี บเหมอื นแกว้ ไพฑรู ยอ์ นั งดงามตามธรรมชาติ มแี ปดเหลย่ี มทเ่ี จยี ระไนดีแลว้ สุกใสเป็นประกายไดส้ ดั ส่วน มดี า้ ย สเี ขยี วสเี หลอื ง สแี ดง สขี าว หรอื สนี วลรอ้ ยอยู่ขา้ งใน คนตาถงึ หยบิ แกว้ ไพฑรู ยน์ น้ั วางไวใ้ นมอื แลว้ พจิ ารณารูว้ ่า ‘น้ีคือ แกว้ ไพฑูรยอ์ นั งดงามตามธรรมชาติ มแี ปดเหล่ยี ม ท่เี จียระไนดีแลว้ สุกใส เป็นประกายไดส้ ดั ส่วน มดี า้ ยสีเขยี ว สี เหลอื ง สแี ดง สขี าว หรอื สนี วลรอ้ ยอยู่ขา้ งใน’ แมฉ้ นั ใด เวลาท่พี ระโพธิสตั วล์ งสู่พระครรภข์ องพระมารดา พระมารดา ของพระองคไ์ ม่ทรงมีความเจ็บป่วยใดๆ ทรงมคี วามสุข ไม่ลาบากพระวรกาย มองเห็นพระโพธิสตั วอ์ ยู่ภายในพระ ครรภม์ อี วยั วะสมบูรณ์ มอี ินทรีย์ ไม่บกพร่อง ฉนั นนั้ เหมอื นกนั ’ แมข้ อ้ ท่ี ฯลฯ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไม่เคย ปรากฏ ๑๑. เมอ่ื พระโพธิสตั วป์ ระสูติได้ ๗ วนั พระมารดาของพระองคส์ วรรคตไปเกิดในสวรรคช์ น้ั ดุสติ ’ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๗ คาวา่ ‚สหสั สโี ลกธาต‛ุ บางทใ่ี ชว้ า่ โลกธาตุ ดงั ทป่ี รากฏในมหาสมยสูตร อา้ งใน ท.ี ม.(บาล)ี ๑๐/๓๓๑/๒๑๖.ตอนหน่ึงวา่ ‚ทสหิ จ โลกธาตูหิ เทวตา‛ หมายถงึ เหลา่ เทวดาจาก ๑๐ โลกธาตุ ฯ อน่งึ ๑๐ โลกธาตุ ในทน่ี ้เี ทา่ กบั หมน่ื จกั รวาลซง่ึ ตรงกบั ๑๐ สหสั สโี ลกธาตใุ นพระสูตรน้ี อา้ งใน ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๓๓๒/๒๙๓. และดูรายละเอยี ดใน องฺ.ตกิ . (แปล) ๒๐/๘๑/๓๐๕-๓๐๗. ๘ เทพบตุ ร ๔ องค์ ในทน่ี ้หี มายถงึ ทา้ วมหาราช ๔ องค์ คอื (๑) ทา้ วธตรฐ จอมคนธรรพค์ รองทศิ ตะวนั ออก (๒) ทา้ ววิรุฬหก จอมกุมภณั ฑ์ ครองทศิ ใต้ (๓) ทา้ ววิรูปกั ษ์ จอมนาคครองทศิ ตะวนั ตก (๔) ทา้ วเวสวณั จอมยกั ษค์ รองทศิ เหนือ อา้ งใน ท.ี ม.อ.(บาล)ี ๒/๒๙๔/๒๖๐., ท.ี ม.ฏกี า. (บาล)ี ๑๙/๓๒.
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๖๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ๑๒. พระมารดาของพระโพธิสตั วไ์ ม่ประสูตพิ ระโอรสเหมอื นสตรีทวั่ ไปซ่งึ จะคลอดลูกหลงั จากตงั้ ครรภไ์ ด้ ๙ เดอื น หรอื ๑๐ เดอื น ส่วนพระมารดาของพระโพธสิ ตั วป์ ระสูติพระโอรสเมอ่ื ทรงพระครรภค์ รบ ๑๐ เดอื นเท่านน้ั ’ แมข้ อ้ น้ีเป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ของพระผูม้ พี ระภาค ๑๓. พระมารดาของพระโพธิสตั ว์ ไม่ประสูติพระโอรสเหมอื นสตรีทวั่ ไปซ่งึ จะนงั่ คลอดหรือนอนคลอดกไ็ ด้ ส่วนพระมารดาของพระโพธสิ ตั วป์ ระทบั ยนื ประสูตเิ ท่านน้ั ’ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ของพระ ผูม้ พี ระภาค ๑๔. เวลาท่ีพระโพธิสตั วป์ ระสูติจากพระครรภข์ องพระมารดา ในตอนแรกเทพทงั้ หลายจะทาพิธีตอ้ นรบั หลงั จากนน้ั เป็นหนา้ ท่ขี องมนุษย’์ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ของพระผูม้ พี ระภาค ๑๕. เวลาท่พี ระโพธิสตั วป์ ระสูติจากพระครรภข์ องพระมารดา ยงั ไม่ทนั สมั ผสั แผ่นดิน เทพบุตร ๔ องค์ ช่วยกนั ประคองพระโพธิสตั วไ์ ปไวเ้ บ้อื งพระพกั ตรข์ องพระมารดา แลว้ กราบทูลว่า ‘โปรดพอ พระทยั เถิดพระเทวี พระราชโอรสของพระองคท์ เ่ี สดจ็ อบุ ตั ขิ ้นึ เป็นผูม้ ศี กั ด์ใิ หญ่’ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๑๖. เวลาทพ่ี ระโพธสิ ตั วป์ ระสูติจากพระครรภข์ องพระมารดา เสด็จออกอย่างบริสุทธ์ิแท้ ไมแ่ ปดเป้ือนดว้ ย นา้ เมอื ก เลอื ด หรือสง่ิ ไม่สะอาดใดๆ จึงเป็นผูบ้ ริสุทธ์ิหมดจดเปรยี บเหมอื นแกว้ มณีทบ่ี คุ คลวางไวใ้ นผา้ กาสกิ พสั ตร์ ย่อมไมท่ าใหผ้ า้ กาสกิ พสั ตรแ์ ปดเป้ือน ถงึ ผา้ กาสกิ พสั ตรก์ ไ็ ม่ทาใหแ้ กว้ มณีแปดเป้ือน ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะส่งิ ทง้ั สองเป็นของบริสุทธ์ิหมดจด แมฉ้ นั ใด เวลาท่ีพระโพธิสตั วป์ ระสูติจากพระครรภข์ องพระมารดา ย่อมประสูติ อย่างบริสุทธ์ิแท้ ไม่แปดเป้ือนดว้ ยนา้ เมอื ก เลอื ด หรือส่งิ ไม่สะอาดใดๆ เป็นผูบ้ ริสุทธ์ิหมดจด ฉนั นนั้ เหมอื นกนั ’ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๑๗. เวลาทพ่ี ระโพธสิ ตั วป์ ระสูตจิ ากพระครรภข์ องพระมารดา มธี ารนา้ ปรากฏในอากาศ ๒ สาย คือ ธารนา้ เยน็ และธารนา้ อ่นุ เพอ่ื ชาระลา้ งพระโพธสิ ตั วแ์ ละพระมารดา’ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ ๑๘. เมอ่ื พระโพธิสตั วป์ ระสูติไดค้ รู่หน่ึง ประทบั ยนื อย่างมนั่ คงดว้ ยพระบาททงั้ สองทเ่ี สมอกนั บนพ้นื ปฐพี ทรงผนิ พระพกั ตรไ์ ปทางทศิ เหนือ เสด็จดาเนินไป ๗ กา้ ว ขณะทห่ี มเู่ ทวดากนั้ เศวตฉตั รตามเสด็จ ทอดพระเนตรไป ยงั ทศิ ทง้ั ปวง แลว้ ทรงเปลง่ อาสภวิ าจา (พดู อย่างองอาจ)ว่า ‘เราคือผูเ้ลศิ ของโลก เราคือผูเ้จริญทสี่ ุดของโลก เราคือผู ้ ประเสริฐทีส่ ุดของโลก ชาติน้ีเป็นชาติสุดทา้ ย บดั น้ีภพใหมไ่ มม่ อี ีกต่อไป’ แมข้ อ้ น้ี เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คย ปรากฏ ๑๙. เวลาทพ่ี ระโพธิสตั วป์ ระสูติจากพระครรภข์ องพระมารดา แสงสว่างเจิดจา้ หาประมาณมไิ ด้ ปรากฏข้นึ ในโลก พรอ้ มทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหม่สู ตั วพ์ รอ้ มทงั้ สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เกนิ กว่าเทวานุ ภาพของเทวดาทง้ั หลาย แมใ้ นช่องว่างระหว่างโลกซง่ึ ไมม่ อี ะไรคนั่ มสี ภาพมดื มดิ หรอื ท่ที ่ดี วงจนั ทรแ์ ละดวงอาทติ ย์ ซง่ึ มฤี ทธ์มิ าก มอี านุภาพมาก สอ่ งแสงไปไมถ่ งึ กม็ แี สงสวา่ งเจดิ จา้ หาประมาณมไิ ด้ ปรากฏข้นึ เกินกว่าเทวานุภาพของ เทวดาทง้ั หลาย เพราะแสงสว่างนน้ั สตั วท์ งั้ หลายท่ีเกิดในท่ีนนั้ ๆ จึงรูจ้ กั กนั และกนั ว่า ‘ยงั มีสตั วอ์ ่ืนเกิดในท่ีน้ี เหมอื นกนั ’ และ ๑๐ สหสั สโี ลกธาตุน้ีสนั่ สะเทอื น เลอ่ื นลนั่ ทงั้ แสงสว่างเจดิ จา้ หาประมาณมไิ ด้ กป็ รากฏข้นึ ในโลก เกนิ กวา่ เทวานุภาพของเทวดาทง้ั หลาย แมข้ อ้ น้ี ขา้ พระองคก์ จ็ าไดว้ ่าเป็นธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏ
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๑๖๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๒๐. ‚อานนท์ เพราะเหตุนนั้ แล เธอจงจาธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไมเ่ คยปรากฏของตถาคตน้ีไวเ้ถิด ในเร่อื งน้ี เวทนาของตถาคตย่อมปรากฏเกดิ ข้นึ ปรากฏตง้ั อยู่ ปรากฏถงึ ความดบั ไป สญั ญาของตถาคตย่อมปรากฏเกดิ ข้นึ ... วติ กของตถาคตย่อมปรากฏเกิดข้นึ ปรากฏตง้ั อยู่ ปรากฏถงึ ความดบั ไป อานนท์ เธอจงจาธรรมอนั น่าอศั จรรย์ ไม่ เคยปรากฏของตถาคตน้ีไวเ้ถดิ ‛ ท่านพระอานนทก์ ราบทูลว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ แมข้ อ้ ท่เี วทนาของพระผูม้ พี ระภาคย่อมปรากฏเกดิ ข้นึ ปรากฏตงั้ อยู่ ปรากฏถงึ ความดบั ไป สญั ญาของพระผูม้ พี ระภาคยอ่ มปรากฏเกิดข้นึ ... วติ กของพระผูม้ พี ระภาคย่อม ปรากฏเกดิ ข้นึ ปรากฏตงั้ อยู่ ปรากฏถงึ ความดบั ไป น้ีขา้ พระองคก์ จ็ าไดว้ า่ เป็นธรรมอนั น่าอศั จรรยไ์ ม่เคยปรากฏ ของ พระผูม้ พี ระภาค พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ลา่ วคาน้ีแลว้ พระศาสดาทรงพอพระทยั ภกิ ษุเหล่านน้ั มใี จยนิ ดีต่างช่ืนชมภาษติ ของ ทา่ นพระอานนท์ ดงั น้ีแล๙ เมอ่ื แรกประสูติ มดี าบสคนหน่ึงช่อื ว่า อสติ ดาบส๑๐ หรือ กาฬเทวลิ ดาบส๑๑ ซง่ึ เป็นผูท้ ่คี ุน้ เคยและเป็นท่ีนบั ถอื ของราชตระกลู มาก เมอ่ื ไดท้ ราบขา่ วการประสูตขิ องพระราชกุมาร จงึ เขา้ ไปในพระราชวงั เพ่อื ขอชมพระกมุ าร เมอ่ื ท่านไดเ้หน็ พระกมุ ารมลี กั ษณะถกู ตอ้ งตามปรุ ิสลกั ษณะท่ดี เี ลศิ ก็ทราบว่า ต่อไปภายหนา้ พระกมุ ารน้ีจะไดต้ รสั รูเ้ป็น พระพทุ ธเจา้ อย่างไมต่ อ้ งสงสยั จึงไดล้ ุกข้นึ จากทน่ี งั่ คุกเข่าลงถวายอญั ชลแี ลว้ กราบลงทพ่ี ระบาทของพระกมุ าร และ ถอื ว่าเป็นบญุ ตาของตนเอง๑๒ แต่เมอ่ื พิจารณาสงั ขารเห็นว่า ตนเองจะตอ้ งตายเสียก่อนจงึ พลาดโอกาสท่จี ะไดม้ รรค ผล และนิพพาน มี ความเสยี ดายย่งิ นกั ถงึ กบั รอ้ งไห้ บรรดาพระบรมวงศานุวงศไ์ ดเ้หน็ ดงั นนั้ จึงพากนั พศิ วงย่งิ นกั ต่างก็พากนั ไต่ถาม พระดาบส เมอ่ื ไดท้ ราบความว่า พระกุมารจะตอ้ งเป็นผูม้ เี ดชานุภาพย่งิ ใหญ่ต่อไปในภายหนา้ ต่างกพ็ ากนั กราบพระ กมุ าร แมพ้ ระเจา้ สุทโธทนะเอง กท็ รงกราบพระกมุ ารเช่นกนั แลว้ อสติ ดาบสกท็ ลู ลากลบั ๑๓ ๙ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๙๗-๒๐๘/๒๓๓-๒๔๒. ๑๐ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๒๘๕/๖๖๓. ฤษนี ้มี ชี ่อื ต่างกนั ในนาลกสูตร เรียกวา่ อสติ ฤษี หรือ กณั หสริ ิ อา้ งใน ข.ุ สุ.(ไทย) ๑๒/๖๙๕/๖๖๕. ว่า ฤๅษี เกลา้ ชฎา นามวา่ กณั หสริ ิ ไดเ้หน็ พระกมุ ารงามดุจแท่งทองบนผา้ กมั พลแดงและเศวตฉตั รทก่ี นั้ อยู่บนพระเศียรกม็ จี ติ เบกิ บาน ดใี จพลางชอ้ นอมุ้ พระกมุ าร ไวแ้ นบกาย ๑๑ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๔๙๖. (มธุรตฺถวลิ าสนิ ี) ความวา่ ในสมยั นนั้ ดาบส ผูช้ ่อื วา่ กาลเทวละ ผูม้ สี มาบตั ิ ๘ ผูเ้ป็นกุลุปกะของพระเจา้ สุ ทโธทนมหาราช ทาภตั ตกจิ เสร็จส้นิ แลว้ เขา้ ไปยงั ภาพดาวดงึ ส์ เพอ่ื พกั ผ่อนกลางวนั นงั่ พกั กลางวนั ในภาพนน้ั เหลอื บมองไปเห็นเหลา่ เทวดาทพ่ี ากนั เล่นดี ใจโสมนสั จงึ ถามวา่ ‘พวกทา่ นพากนั ชน่ื ชมโสมสนั อะไรกนั ขอจงบอกเหตนุ นั้ แก่เราเทอญ’ เหลา่ เทวดาจงึ บอกวา่ ท่านผูน้ ิรทกุ ข์ บตุ รของพระเจา้ สุทโธท นะ ประสูตแิ ลว้ ฯลฯ ๑๒ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๔๙๗-๔๙๘. (มธุรตฺถวลิ าสนิ ี) “ ตโต ตาปโส อฏุ ฺฐายาสนา โพธิสตฺตสฺส อญฺชลึ ปคฺคเหสิ ฯ ราชา ต อจฺฉริย ทสิ ฺวา อตฺตโน ปุตฺต วนฺทิ ฯ ตาปโส ลกฺขณสมฺปตฺตึ ทสิ ฺวา ‘ภวสิ ฺสติ นุ โข พุทฺโธ อุทาหุ น ภวสิ ฺสตีติ อาวชฺเชตฺวา อุปธาเรนฺโต ‘นิสฺสสย พุทฺโธ ภวสิ ฺสตีติ อนาคตสญาเณน ญตวฺ า อจฉฺ ริยปรุ ิโส อยนฺติ สติ อกาสิ ฯ‘ ๑๓ ขุ.พุทฺธ.อ.(บาลี) ๔๔/๔๙๘. “ตโต อห พุทฺธภูต ทฏฺฐุí ลภิสฺสามิ นุ โข โนติ อุปธาเรนฺโต น ลภิสฺสามิ อนฺตราเยว กาล กตวฺ า พทุ ธฺ สเตนปิ พทุ ธฺ สหสฺเสนปิ คนฺตฺวา โพเธตุí อสกฺกเุ ณยฺเย อรูปภเว นิพฺพตฺติสฺสามตี ิ ทสิ ฺวา เอวรูป นาม อจฺฉริยปุริส พทุ ฺธภูต ทฏฺฐุí น ลภสิ ฺสามิ มหตี วต เม ชานิ ภวสิ ฺสตตี ิ ปโรทิ ฯ มนุสฺสา ปน ทสิ ฺวา ‘อมหฺ าก อยโฺ ย อทิ าเนว หสติ วฺ า ปุนโรทติ มุ ารภิ กึ นุ โข ภนฺเต อมหฺ าก อยฺยปุตฺตสฺส โกจิ อนฺตราโย ภวสิ ฺสตตี ิ ปจุ ฺฉึสุ ฯ ตาปโส อาห นตฺเถตสฺส อนฺตราโย นิสฺสสเยน พทุ ฺโธ ภิวฺสตตี ิ ฯ อถ กสฺมา ตุเมหฺ ปโรหติ ฺถาติ ฯ ‘เอวรูป อจฺฉริยปรุ ิส พทุ ฺธภูต ทฏฺฐíุ น ลภสิ ฺสามิ มหตี วต เม ชานิ ภวสิ ฺสตตี ิ อตตฺ าน อนุโสจนฺโต โรทามตี ิ อาห ฯ ตโต โพธสิ ตตฺ ปญฺจเม ทวิ เส สสี นฺหาเปตวฺ า.......
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๖๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ๓.๒ ภมู ิหลงั กอ่ นการตรสั รู้ พธิ ขี นานพระนาม เมอ่ื พระกุมารประสูตไิ ดค้ รบ ๕ วนั พระเจา้ สุทโธทนะ มพี ระประสงคจ์ ะทรงทาพิธีรบั ขวญั ทานายลกั ษณะ และขนานพระนาม โดยใหเ้ชญิ พราหมณ์ ๑๐๘ คนมางานสโมสรกินเล้ยี ง (ติณฺณ เวทาน ปารงฺคเต อฏฺฐสเต พรฺ าหฺม เณ นิมนฺเตตวฺ า ราชภวเน นิสที าเปตวฺ า มธุปายาส โภเชตฺวา สกฺการ กตวฺ า กึ นุ โข ภวสิ ฺสตตี ิ ลกฺขณานิ ปรคิ ฺคาหา เปสุí ฯ) จากนนั้ ใหค้ ดั เลอื กเอาพราหมณ์ทเ่ี ก่งท่สี ุด ๘ คน ผูถ้ งึ ฝงั่ แห่งเวทยท์ ง้ั ๓ (ติณฺณ เวทน ปารงฺคเต พรฺ หฺมเณ นิมนฺเตตวฺ า)๑๔ เพอ่ื ใหเ้ป็นผูท้ านายพระลกั ษณะพระกมุ าร เมอ่ื ไดต้ รวจสอบลกั ษณะของพระกุมารก็พบว่า “ตอ้ งตาม มหาบรุ ุษ ๓๒ ประการ”๑๕ มพี ราหมณ์ ๗ คน ไดท้ านายลกั ษณะเป็น ๒ นยั อกี หน่ึงคนคือ พราหมณช์ ่อื อญั ญาโกณ ฑญั ญะ ไดพ้ ยากรณ์เพยี งอย่างเดยี ว ยกมอื ข้นึ และช้เี จาะจงเป็น “เอกงั สพยากรณ์” ว่า “เป็นพระพทุ ธเจา้ มผี ูก้ เิ ลส เพียงดงั หลงั คาอนั เปิดแลว้ โดยแน่นอน” และพราหมณ์ทง้ั ๘ คน๑๖ ไดร้ ่วมกนั ตงั้ ช่ือว่า “สิทธตั ถะ” เพราะจะเป็น ผูก้ ระทาความสาเร็จอนั เป็นประโยชนแ์ ก่โลกทง้ั ปวง๑๗ หลงั จากนน้ั เหล่า พราหมณาจารยท์ งั้ หมด พากนั กลบั บอก ญาติพ่นี อ้ งลูกหลานของตนว่า “พวกเราจงยกย่องสรรเสริญโอรสพระเจา้ สุทโธทนะผูจ้ ะบรรลุสพั พญั ญุตญาณ ถา้ เจรญิ วยั แลว้ กจ็ งบวชในศาสนาของพระองคเ์ ทอญ” ตามทป่ี รากฏในพระสุตตนั ตปิ ฎก ทฆี นิกาย ปาฎกิ วรรค ลกั ขณสูตร๑๘ ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย มหาบรุ ุษทรงสมบูรณด์ ว้ ยลกั ษณะมหาบรุ ุษ ๓๒ ประการ มคี ติเพยี ง ๒ อย่างเท่านน้ั ไม่ เป็นอย่างอ่นื คือ ๑. ถา้ อยู่ครองเรือนจะไดเ้ ป็ นพระเจา้ จกั รพรรดิผูท้ รงธรรม ครองราชย์ โดยธรรม ทรงเป็นใหญ่ในแผ่นดินมี มหาสมทุ รทง้ั ส่เี ป็นขอบเขตทรงไดร้ บั ชยั ชนะ มพี ระราชอาณาจกั รมนั่ คง สมบูรณด์ ว้ ยแกว้ ๗ ประการ คือ (๑) จกั ร แกว้ (๒) ชา้ งแกว้ (๓) มา้ แกว้ (๔) มณีแกว้ (๕) นางแกว้ (๖) คหบดแี กว้ (๗) ปรณิ ายกแกว้ มพี ระราชโอรสมากกว่า ๑๔ คาวา่ แห่งเวททงั้ สาม คือ แห่งฤคเวท ยชรุ เวท และสามเวท ฯ ช่อื วา่ ผูถ้ ึงฝงั่ เพราะถงึ ฝงั่ ดว้ ยอานาจการท่องคลอ่ งปาก พรอ้ มดว้ ยนิ ฆณั ฑุ และเกฏุภะ ช่อื วา่ พรอ้ มกบั นฆิ ณั ฑแุ ละเกฏุภะ ศาสตรท์ ป่ี ระกาศคาสาหรบั ใชแ้ ทน นิฆณั ฑศุ าสตรแ์ ละพฤกษศาสตรเ์ ป็นตน้ ช่ือ สนิฆณั ฑ.ุ เกฏภุ ะ ไดแ้ ก่ การกาหนดกริ ิยาอาการทเ่ี ป็นศาสตรส์ าหรบั ใชเ้ ป็นเคร่ืองมอื ของพวกกวี ฯ ช่อื วา่ พรอ้ มทง้ั ประเภทอกั ษร เพราะพรอ้ มกบั ประเภทอกั ษร ( ‘ติณฺณ เวทานนฺติ อริ ุเวทยชุเวทสามเวทนาน ฯ โอฏฺฐปหตกรณวเสน ปาร คโตติ ปารคู ฯ สห นิฆณฺฑนุ า เกฏุเภน จ สนิฆณฺฑุเภฏุภาน ฯ สนิฆณฺฑูติ นามม นฆิ ณฺฑรุ ุกฺขาทนี เววนปปฺ ปกาสก สตฺถ ฯ ‘เกฏุภนฺติ กริ ิยากปปฺ วกิ ปโฺ ป กวนี อปุ การาย สตฺถ ฯ สห อกฺขรปปฺ เภเทน สกฺขรปฺปเภทาน อกฺขรปปฺ เภโทติ สกิ ฺขา จ นริ ตตฺ ิ จ ) ฯลฯ ๑๕ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๙๘-๒๐๐/๑๕๙-๑๖๓. ๑๖ พราหมณ์ ๘ คน คอื รามะ ธชะ ลกั ขณะ สชาตมนั ตี โภชะ สยุ ามะ โกณฑญั ญะ และ สทุ ตั ตะ อา้ งใน ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๒๗/๑๐๒. (ชา ตกฏฐฺ กถา เอกนิปาตวณฺณนา ปฐโม ภาโค) บาลี สฺยามรฏฐฺ อฏฐฺ กถา. ๑๗ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๔๙๙. (มธุรตฺถวลิ าสนิ )ี ‚เตสุ รามาทโย อฏฺฐ พฺราหฺมณปณฺฑติ า ลกขฺ ณปรคิ ฺคาหกา อเหสุ ฯ เตสุ สตตฺ ชนา เทฺว องฺ คุลิโย อกุ ฺขิปิ ตฺวา เทฺวธา พฺยากรึสุ อเิ มหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคาร อชฺฌาวสนฺโต ราชา โหติ จกฺกวตฺตี ปพฺพชมาโน พทุ ฺโธติ ฯ เตส ปน สพฺพทหโร โคตฺเตน โกณฺฑญฺโญ นาม พรฺ าหฺมโณ โพธสิ ตฺตสฺส ลกฺขณวรสมปฺ ตตฺ ึ ทสิ ฺวา ‘เอตสฺส อคารมชฺเฌ ฐานการณ นตฺถิ เอกนฺเตเนว วิวฏจฺฉโท พทุ ฺโธ ภวิสฺ สตีติ เอกเมว องฺคลุ ึ อกุ ขฺ ิปิ ตวฺ า เอกสพฺยากรณ พฺยากาสิ ฯ อถสฺส นาม คณฺหนฺตา สพฺพโลกตถฺ สทิ ธฺ ิกรตฺตา ‘สทิ ฺธตฺโถติ นามมกสุ ฯ ๑๘ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๐/๑๖๓.
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๖๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๑,๐๐๐ องค์ ซง่ึ ลว้ นแต่กลา้ หาญ มรี ูปทรงสมเป็นวรี กษตั รยิ ์ สามารถยา่ ยรี าชศตั รูได้ พระองคท์ รงชนะโดยธรรม ไม่ ตอ้ งใชอ้ าชญา ไมต่ อ้ งใชศ้ สั ตรา ครอบครองแผ่นดินน้ีมสี าครเป็นขอบเขต ๒. ถา้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตจะไดเ้ ป็นพระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ผูไ้ ม่มกี เิ ลสในโลก แต่โกณฑญั ญะ พราหมณห์ นุ่มไดท้ านายไวเ้พยี งขอ้ เดยี วว่า “พระกมุ ารจะตอ้ งออกบรรพชา และจะไดต้ รสั รู ้ เป็นพระพุทธเจา้ อย่างแน่นอน” แลว้ พราหมณ์เหล่านนั้ ก็ขนานพระนามพระกุมารว่า \"สิทธตั ถะ\" แปลว่า ผูม้ คี วาม ตอ้ งการอะไรสาเรจ็ ทกุ อยา่ ง พระนางสริ มิ หามายาสวรรคต พอประสูติได้ ๗ วนั พระนางมหามายาเทวี ผูเ้ ป็นพระชนนีก็ทิวงคต๑๙ ทงั้ น้ี “เพราะพระมารดาของพระ โพธิสตั วม์ อี ายุนอ้ ยนกั เมอ่ื ประสูติพระโพธิสตั วไ์ ด้ ๗ วนั แลว้ ก็สวรรคตไปบงั เกิดในสวรรคช์ นั้ ดุสิต”๒๐ พระเจา้ สุ ทโธทนะจงึ มอบเจา้ ชายสทิ ธตั ถะใหอ้ ยู่ในความดูแลของพระนางมหาปชาบดีโคตมพี ระนา้ นาง ซง่ึ เป็นพระชายาพระเจา้ สุทโธทนะเหมอื นกนั แมใ้ นกาลต่อมา พระนางมพี ระโอรสองคห์ น่ึงคือเจา้ ชายนนั ทะ และราชธิดาอีกหน่ึงองคค์ ือเจา้ หญงิ รูปนนั ทา สมยั หน่ึงมพี ระราชพธิ ีแรกนาขวญั (รญฺโญ วปิ ปฺ มงฺคโล นาม อโหส)ิ พระเจา้ สุทโธทนะพรอ้ มดว้ ยขา้ ราช บริพารไดเ้ สด็จไปทาพธิ ีแรกนาขวญั ณ ท่งุ นาหลวง และไดเ้ ชิญเจา้ ชายสทิ ธตั ถะไปดว้ ยโดยจดั ท่ปี ระทบั ไวใ้ หใ้ ตต้ น้ หวา้ ใหญ่ ขณะทพ่ี ระราชาเสดจ็ ลงทาพธิ ไี ถนาเป็นปฐมฤกษพ์ รอ้ มดว้ ยอามาตยข์ า้ ราชบรพิ าร กลุ่มพระพเ่ี ล้ยี งกอ็ อกมา ชมดว้ ย ท้งิ เจา้ ชายไวใ้ นม่านแต่พระองคเ์ ดียว เม่อื เจา้ ชายอยู่ตามลาพงั พระองคเ์ ดยี ว ไดท้ รงเจริญภาวนาอานาปาน สตกิ มั มฏั ฐาน ยงั ปฐมฌานใหเ้กดิ ข้นึ ได้ เวลานน้ั เป็นเวลาบ่าย เงาแห่งตน้ ไมท้ ง้ั หลายไดค้ ลอ้ ยไปตามตะวนั ทงั้ ส้นิ แต่ เงาตน้ หวา้ ทป่ี ระทบั ปรากฏเป็นแนวตรงเหมอื นเป็นเวลาเทย่ี งวนั ครนั้ พระพ่เี ล้ยี งทง้ั หลายกลบั ไปเหน็ เหตุการณเ์ ป็นท่ี ประหลาดใจจึงรีบกลบั ไปทูลพระเจา้ สุทโธทนะใหท้ รงทราบ เม่ือพระราชาเสด็จกลบั ไปทอดพระเนตรก็ทรงรูส้ ึก อศั จรรยพ์ ระทยั จงึ ไดถ้ วายอภวิ าทพระกมุ ารเป็นครง้ั ท่ี ๒๒๑ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะศกึ ษาศิลปวิทยา เมอ่ื พระชนมายุได้ ๗ พรรษา พระราชบดิ าตรสั ใหข้ ดุ สระข้นึ ภายในพระราชนิเวศน์ ๓ สระ คือ ปลูกอบุ ลบวั ขาบ ปลูกปทุมบวั หลวง ปลูกปุณฑริกบวั ขาว เพราะว่าพระเจา้ สุทโธทนะ มพี ระราชประสงคจ์ ะใหเ้ จา้ ชายสทิ ธตั ถะ ครองราชสมบตั ิ เป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ ไม่ตอ้ งการใหอ้ อกบวชเป็นพระพทุ ธเจา้ เลย จงึ ไดพ้ ยายามผูกมดั ดว้ ยวธิ ีการ ต่างๆ เพอ่ื ใหเ้จา้ ชายพอใจในราชสมบตั เิ ท่านนั้ ดงั มบี นั ทกึ ไวใ้ นสุตตนั ตปิฎก ตกิ นิบาต สุขมุ าลสูตรวา่ ๒๒ ๑๙ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๐๕/๒๓๙. ๒๐ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔๒/๒๕๔-๒๕๕. ๒๑ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๐๐-๕๐๑. (มธุรตถฺ วลิ าสนิ ิ) ๒๒ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๐/๓๙/๑๙๘-๒๐๑.
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๖๘ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง “ภกิ ษุทงั้ หลาย เราเป็นผูส้ ุขุมาลชาติ๒๓ เป็นผูส้ ุขมุ าลชาตอิ ย่างยงิ่ เป็นผูส้ ุขุมาลชาติอย่างยงิ่ ยวด ไดท้ ราบว่า พระราชบดิ ารบั สงั่ ใหข้ ดุ สระโบกขรณี (สระบวั ) ไวเ้พอ่ื เราภายในทอ่ี ยู่ ไดท้ ราบว่า พระราชบดิ านนั้ รบั สงั่ ใหป้ ลูกอบุ ลไว้ ในสระหน่ึง ปลูกปทุมไวใ้ นสระหน่ึง ปลูกปุณฑริก (บวั ขาว) ไวใ้ นสระหน่ึงเพ่อื ประโยชนแ์ ก่เรา เราไม่ไดใ้ ชเ้ฉพาะไม้ จนั ทนแ์ ควน้ กาสี (พาราณสี) เท่านนั้ ผา้ โพกของเรากท็ าในแควน้ กาสี เส้อื ก็ทาในแควน้ กาสี ผา้ นุ่งกท็ าในแควน้ กาสี ผา้ ห่มก็ทาในแควน้ กาสี ทง้ั คนรบั ใชค้ อยกนั้ เศวตฉตั รใหเ้ราตลอดวนั และคืนดว้ ยหวงั ว่า ‘หนาว รอ้ น ธุลี หญา้ หรอื นา้ คา้ งอยา่ ไดก้ ระทบพระองคท์ ่าน’ เรานน้ั มปี ราสาทอยู่ ๓ หลงั คือปราสาทหลงั หน่ึงเป็นทอ่ี ยู่ในฤดูหนาว (เหมนฺตโิ ก) หลงั หน่ึงเป็นทอ่ี ยู่ในฤดู รอ้ น (คิมหฺ ิโก) หลงั หน่ึงเป็นท่อี ยู่ในฤดูฝน (วสฺสิโก) เรานนั้ ไดร้ บั การบาเรอดว้ ยดนตรที ่ไี ม่ใช่บุรุษบรรเลงตลอด ๔ เดอื นฤดูฝน ในปราสาทฤดูฝน ไม่ไดล้ งขา้ งล่างปราสาทเลย ก็แลในทอ่ี ยู่ของคนเหลา่ อ่ืน เขาใหข้ า้ วป่น (ขา้ วหกั ) มี นา้ ผกั ดองเป็นกบั แก่ทาส คนงาน และคนรบั ใช้ ฉนั ใด ในนิเวศนข์ องพระราชบดิ าของเราก็ฉนั น้ันเหมอื นกนั เขาให้ ขา้ วสาลสี ุกผสมเน้ือแก่ทาส คนงาน และคนรบั ใชเ้ รานน้ั เพียบพรอ้ มดว้ ยความสาเร็จอย่างน้ี และเป็นผูส้ ุขุมาลชาติ อย่างยง่ิ ไดม้ คี วามคิดว่า ปถุ ชุ นผูย้ งั ไมไ่ ดส้ ดบั ตนเองเป็นผูม้ คี วามแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความแก่ไปได้ เหน็ บุคคลอ่นื แก่ ก็อึด อดั ระอา รงั เกียจ ลมื ตวั ไมค่ ิดว่าแมเ้ราเองก็มคี วามแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความแก่ไปได้ การท่เี ราผูม้ คี วามแก่ เป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความแก่ไปได้ เหน็ บุคคลอ่นื แก่ ก็อึดอดั ระอา รงั เกียจนนั้ ไมส่ มควรแก่เราเลย เรานนั้ เม่อื พจิ ารณาเหน็ อยา่ งน้ี จงึ ละความมวั เมาในความเป็นหนุ่มสาวไดโ้ ดยประการทง้ั ปวง ปถุ ชุ นผูไ้ มไ่ ดส้ ดบั ตนเองเป็นผูม้ คี วามเจบ็ ไขเ้ป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความเจ็บไขไ้ ปได้ เหน็ บุคคลอ่นื เจ็บไข้ กอ็ ดึ อดั ระอา รงั เกยี จ ลมื ตวั ไมค่ ิดวา่ แมเ้ราเองกม็ คี วามเจบ็ ไขเ้ป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความเจบ็ ไขไ้ ปได้ การทเ่ี ราผู้ มคี วามเจ็บไขเ้ป็นธรรมดา ไมล่ ่วงพน้ ความเจบ็ ไขไ้ ปไดเ้หน็ บคุ คลอ่นื เจ็บไข้ กอ็ ึดอดั ระอารงั เกยี จนนั้ ไม่สมควรแก่ เราเลย เรานนั้ เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ อยา่ งน้ี จงึ ละความมวั เมาในความไมม่ โี รคไดโ้ ดยประการทงั้ ปวง ปถุ ชุ นผูไ้ มไ่ ดส้ ดบั ตนเองเป็นผูม้ คี วามตายเป็นธรรมดา ไม่ลว่ งพน้ ความตายไปได้ เหน็ บุคคลอ่นื ตาย กอ็ ึด อดั ระอา รงั เกยี จ ลมื ตวั ไม่คิดว่าแมเ้ราเองก็มคี วามตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความตายไปได้ การทเ่ี ราผูม้ คี วาม ตายเป็นธรรมดาไมล่ ว่ งพน้ ความตายไปได้ เหน็ บคุ คลอ่นื ตาย กอ็ ึดอดั ระอา รงั เกียจนน้ั ไมส่ มควรแก่เราเลย เรานน้ั เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ อย่างน้ีจงึ ละความมวั เมาในชวี ติ ไดโ้ ดยประการทงั้ ปวง ความมวั เมา ๓ ประการคือ (๑) โยพฺพนมโท คือความมวั เมาในความเป็นหนุ่มสาว (๒) อาโรฺยมโท คือ ความมวั เมาในความไมม่ โี รค (๓) ชีวติ มโท คอื ความมวั เมาในชวี ติ ปถุ ชุ นผูไ้ มไ่ ดส้ ดบั มวั เมาในความเป็นหนุ่มสาว ประพฤติกายทจุ ริต วจีทุจริตมโนทุจริต หลงั จากตายแลว้ จะไปเกดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ๒๓ คาวา่ “สขุ ุมาลชาติ” ในทน่ี ้หี มายถงึ ไมม่ ที กุ ข์ ไมม่ ที กุ ขอ์ ย่างยง่ิ คอื ไมม่ ที กุ ข์ ๗ ประการ ...(‘สขุ ุมาโลติ นิทฺทุกฺโข ฯ ‘ปรมสุขุมาโลติ ปรม นทิ ฺทกุ ฺโข ฯ อจฺจนฺตสขุ มุ าโลติ สตตนทิ ฺทกุ โฺ ข ฯ อทิ ภควา กปิลปเุ ร นิพพฺ ตฺตกาลโต ปฏฺฐาย นทิ ฺทกุ ฺขภาว คเหตฺวา อาห จริยกาเล ปน เตน อนุภูตทกุ ฺขสฺส อนฺโต นตถฺ ตี )ิ อา้ งใน องฺ.ตกิ .อ.(บาล)ี ๒/๒๐๐. (มโนรถปูรณี ๒.)
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๖๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ปถุ ชุ นผูไ้ ม่ไดส้ ดบั มวั เมาในความไม่มโี รค ฯลฯ หรอื ปุถชุ นผูไ้ ม่ไดส้ ดบั มวั เมาในชีวติ ประพฤตกิ ายทุจริต วจที จุ รติ มโนทจุ รติ หลงั จากตายแลว้ จะไปเกดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ภกิ ษุผูม้ วั เมาในความเป็นหนุ่มสาวย่อมบอกคืนสิกขา กลบั มาเป็นคฤหสั ถ์ ภกิ ษุผูม้ วั เมาในความไม่มโี รค ยอ่ มบอกคนื สกิ ขา กลบั มาเป็นคฤหสั ถ์ หรอื ภกิ ษุผูม้ วั เมาในชวี ติ ย่อมบอกคืนสกิ ขา กลบั มาเป็นคฤหสั ถ์ ปุถชุ นทง้ั หลายมคี วามเจบ็ ไขเ้ป็นธรรมดา มคี วามแก่เป็นธรรมดาและมคี วามตายเป็นธรรมดา เป็นอยู่ตาม สภาวะ ย่อมพากนั รงั เกียจ (บคุ คลอ่ืน) กก็ ารท่เี รารงั เกียจความป่วยไขเ้ป็นตน้ น้ีในหม่สู ตั วผ์ ูม้ สี ภาวะอย่างน้ีนน้ั ไม่ สมควรแก่เราผูม้ ปี กติอยู่อย่างน้ี เรานนั้ อยู่อย่างน้ี รูธ้ รรมท่หี มดอุปธิ เหน็ ความสาราญในเนกขมั มะ ย่อมครอบงา ความมวั เมาทุกอย่าง คือความมวั เมาในความไม่มโี รค ความมวั เมาในความเป็นหนุ่มสาว และความมวั เมาในชีวิต ความพยายามไดม้ แี ก่เรานน้ั ผูเ้หน็ นิพพาน บดั น้ีเราไม่ควรกลบั ไปเสพกาม เราจกั ไม่เวยี นกลบั จกั มพี รหมจรรยเ์ ป็น จดุ มงุ่ หมาย”๒๔ เมอ่ื มหาบุรุษ เจรญิ วยั ได้ ๑๖ พรรษา พระราชบดิ าใหส้ รา้ งปราสาท ๓ หลงั คือ รมั มปราสาท สุรมั มประสาท สุภปราสาท ท่เี หมาะแก่ฤดูทงั้ ๓๒๕ แก่พระโพธิสตั ว์ ปสาทหลงั แรกมี ๙ ชน้ั หลงั ท่ีสองมี ๗ ชนั้ หลงั ท่สี ามมี ๕ ชน้ั ปราสาททง้ั ๓ หลงั นน้ั มขี นาดความกวา้ งพอๆ กนั แต่ต่างกนั ทจ่ี านวนชน้ั ล่าง๒๖ และสมควรจะอภเิ ษกสมรสไดแ้ ลว้ พระเจา้ สุทโธทนะจึงไดจ้ ดั ใหท้ รงอภิเษกสมรสกบั เจา้ หญงิ ยโสธรา หรือพิมพา พระราชบุตรีของพระเจา้ สุปปพทุ ธะกบั พระนางอมติ าแหง่ โกลยิ วงศ์ ในเทวทหนเคร๒๗ แลว้ กใ็ หป้ ระทบั อยู่ในปราสาททงั้ ๓ ฤดูอย่างสุขสาราญ พระเจา้ สุทโธท นะไดพ้ ยายามสรา้ งสง่ิ อานวยความสุขทางฆราวาสวสิ ยั อย่างเต็มท่ี เช่น สรา้ งประสาท ๓ ฤดูท่อี ุดมสมบูรณ์พรงั่ พรอ้ ม ทุกชนิดโดยใหม้ ีการขบั กล่อมประโคมดนตรีทง้ั กลางวนั และกลางคืน ผูข้ บั กล่อมดนตรีเป็นสตรีลว้ น และพยายาม ควบคุมใหเ้พลดิ เพลนิ อยูใ่ นพระราชวงั เพอ่ื มใิ หท้ รงเหน็ ความทุกขย์ ากของประชาชนในภายนอก ชีวิตของพระสทั ธตั ถะกุมารในช่วงน้ี เพียบพรอ้ มดว้ ยโลกิยสุขสมบูรณ์แบบ ดงั บนั ทึกในมชั ฌิมนิกาย มชั ฌิมปณั ณาสก์ มาคณั ฑยิ สูตรว่า “มาคณั ฑยิ ะ เมอ่ื ก่อนเราเป็นคฤหสั ถค์ รองเรอื น เป็นผูเ้อ่บิ อ่มิ พรงั่ พรอ้ มดว้ ย กามคุณ ๕ ประการ บาเรอตนอยู่ดว้ ยรูป ท่พี งึ รูแ้ จง้ ทางตา ทน่ี ่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนใหร้ กั ชกั ใหใ้ คร่ พา ใจใหก้ าหนดั ฯลฯ ดว้ ยเสยี ง ทพ่ี งึ รูแ้ จง้ ทางหู ฯลฯ ดว้ ยกลน่ิ ทพ่ี งึ รูแ้ จง้ ทางจมกู ฯลฯ ดว้ ยรสทพ่ี งึ รูแ้ จง้ ทางล้นิ ฯลฯ ดว้ ยโผฏฐพั พะทพ่ี งึ รูแ้ จง้ ทางกาย ทน่ี ่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนใหร้ กั ชกั ใหใ้ คร่ พาใจใหก้ าหนดั ปราสาทของ เรานน้ั มอี ยู่ถงึ ๓ หลงั คือ ปราสาทหลงั หน่ึงเป็นทอ่ี ยู่ในฤดูฝน ปราสาทหลงั หน่ึงเป็นท่อี ยู่ในฤดูหนาว ปราสาทหลงั ๒๔ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๐/๓๙/๑๙๘-๒๐๑. ๒๕ อถ มหาปรุ โิ ส อนุกฺกเมน โสฬสวสฺสทุ ฺเทสโิ ก อโหสิ ฯ ราชา โพธสิ ตตฺ สฺส ตณิ ฺณ อตุ ูน อนุจฉฺ วเิ ก รมมฺ สรุ มมฺ สุภนามเก ตโย ปาสาเท กาเรสิ ฯ เอก นวภูมกิ เอก สตฺตภูมกิ เอก ปญฺจภูมกิ ฯ ตโยปิ ปาสาทา อุพฺเพเธน สมปปฺ มาณา อเหสุ ฯ ภูมกิ าสุ ปน นานตฺต อโหสิ ฯ ปราสาทองคท์ ่ี ๑ สาหรบั ฤดูรอ้ น ชอ่ื สรุ มั มะ มที งั้ หมด ๙ ชน้ั ปราสาทองคท์ ่ี ๒ สาหรบั ฤดูฝน ช่อื สภุ กะ มที ง้ั หมด ๗ ชนั้ และ ปราสาทองคท์ ่ี ๓ สาหรบั ฤดูหนาว ช่อื รมณะ มี ๕ ชนั้ แต่ละหลงั พลงั่ พรอ้ มบารุงบาเรออยู่ดว้ ยดนตรีลว้ นประโคมขบั กลอ่ มโดยเหล่าสตรีท่สี วยสดงดงามแรกรุ่นดรุณีถงึ ๔๐,๐๐๐ คน เพอ่ื ใหเ้จา้ ชายทรงหลงใหลทางโลก เลกิ ใฝ่ใจทางธรรม ๒๖ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๐๑. (มธรตถฺ วลิ าสนิ ี) ๒๗ ข.ุ พทุ ธฺ .(ไทย) ๓๓/๑๕/๗๑๙.
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๗๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง หน่ึงเป็นทอ่ี ยูใ่ นฤดูรอ้ น เรานน้ั ไมม่ บี รุ ุษเจอื ปน มแี ต่สตรคี อยบาเรอขบั กลอ่ มดนตรี อยู่ในปราสาทเป็นทอ่ี ยู่ในฤดูฝน ตลอด ๔ เดอื น ไมไ่ ดล้ งจากปราสาทเลย”๒๘ เมอ่ื ทรงเหน็ ว่าเจา้ ชายเจริญวยั ควรจะไดร้ บั การศึกษาศิลปวิทยาไดแ้ ลว้ จึงส่งไปศึกษาในสานกั ครูวศิ วา มติ ร เพ่ือใหท้ รงศึกษาวิชาการต่างๆ วิชาท่ศี ึกษาเล่าเรียนก็มวี ิชา ขม่ี า้ ฟนั ดาบ ยงิ ธนู เป็นตน้ เจา้ ชายสิทธตั ถะมี ความเฉลยี วฉลาดสามารถเรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างรวดเรว็ ในไมช่ า้ กส็ ามารถเรียนเจนจบ ๑๘ ศาสตร์ จากสานกั ของครูวศิ วา มติ ร จนครูไมม่ วี ชิ าอะไรทจ่ี ะสอนอกี ต่อไป ศาสตร์ ๑๘ สาขาวชิ า๒๙ ๑. สูติ : ความรูท้ วั่ ไป (สอนเร่ืองความรูร้ อบตวั เก่ยี วสถานการณ์บา้ นเมอื งปจั จุบนั ธรรมชาตวิ ทิ ยา) เป็น ประเภทภาษาศาสตร์ วชิ าสตั วศาสตร์ เป็นวชิ าฟงั เสยี งคน เสยี งสตั ว์ รูว้ ่าดีหรอื รา้ ย หรอื เรยี กว่านิรุกติศาสตร์ รูภ้ าษา ของชาตอิ น่ื ๆ ทต่ี ดิ ต่อเก่ยี วขอ้ งกนั ๒. สมฺมติ : ความรูก้ ฎธรรมเนียม ขอ้ บญั ญตั ิต่างๆ (มารยาททางสงั คม ธรรมเนียมประเพณีปฏิบตั ิตาม กาลเทศะต่างๆ) เป็นวชิ าท่ศี ึกษาเก่ยี วกบั วชิ าการปกครอง รูจ้ กั บรหิ ารบา้ นเมอื ง ทาใหร้ าษฎรมคี วามจงรกั ภคั ดีและ มคี วามสุข ๓. สงฺขยา : วชิ าคานวณ (คณิตศาสตร)์ วชิ าวศิ วกรรมศาสตร์ ๔. โยคยนฺต : วชิ าการช่าง ช่างกล ช่างยนตร์ (วชิ างานช่างฝีมอื ทวั่ ไป) ๕. นีติ : วชิ านิตศิ าสตร์ (กฎหมายบา้ นเมอื ง) แบบแผนราชการ วชิ ารฐั ศาสตรก์ ารปกครอง ๖. วเิ สสกิ า : วชิ าทท่ี าใหเ้กดิ มงคล สนั นิษฐานว่าวชิ าศาสนศึกษา วชิ าปรชั ญาศาสนา และวชิ าการคา้ ขายว่า ดว้ ยพาณิชยศาสตร์ ๗. คนฺธพพฺ า : วชิ ารอ้ งรา วชิ าดนตรศี ึกษา วชิ านาฏยศาสตร์ หรอื วชิ าดุรยิ างคศาสตร์ ๘. คณิกา : วชิ าบรหิ ารร่างกาย วชิ าโยคศาสตร์ (วชิ าพลศึกษา วทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า) ๙. ธนุพเพธสา หรอื ยทุ ธฺ สา : วชิ าศิลปศาสตรย์ งิ ธนู (วชิ าการทหาร ภาคปฏบิ ตั )ิ วชิ ากลยุทธพ์ ชิ ยั สงคราม วชิ าจู่โจม วชิ ายุทธศาสตรเ์ ก่ยี วกบั การใชอ้ าวุธต่างๆ ในการรบอยา่ งชานาญ ๑๐. ปรุ าณสาตถฺ : วชิ าโบราณคดี วรรณคดี อกั ษรศาสตร์ วชิ าประวตั ศิ าสตร์ ๑๑. ตกิ จิ ฉาสาตถฺ : วชิ าการแพทย์ (การปฐมพยาบาล) วชิ าเวชศาสตร์ ๑๒. อติ หิ าสาสาตฺถ : วชิ าตานานหรอื ประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ วชิ าการปกครองทอ้ งถ่นิ หรือ วชิ าวฒั นธรรมศึกษา ๑๓. โชตสิ าสาตถฺ : วชิ าดาราศาสตร์ (ดาราศาสตร์ โหราศาสตร?์ ) ๑๔. มายาสาตถฺ : วชิ ายุทธศาสตรก์ ารรบ (วชิ าทหาร ภาคทฤษฎ)ี วชิ าเสนารกั ษ์ ๑๕. เหตสุ าตถฺ : วชิ าตรรกวทิ ยา ศาสตรว์ ่าดว้ ยการใชเ้หตผุ ล ๒๘ ม.ม.ู (ไทย) ๑๓/๒๑๑/๒๔๘. ๒๙ ไวท้ ล์ นิ ินบคุ๊ ส,์ ลมิ ินทปญั หา ฉบบั ธรรมทาน, (กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ซาเร็นการพมิ พจ์ ากดั , ๒๕๕๒), หนา้ ๑๔-๑๕.
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๗๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑๖. เกตุสาตถฺ หรือ ปาสณฺฑา : วชิ าการพดู (วาทศิลป์ หรือวาทศาสตรก์ ารพูดในท่ชี ุมชน) หรือวชิ าเหตุ ศาสตร์ อนั เป็นหลกั เหตผุ ลทางตรรกศาสตรใ์ นการพดู หรอื วชิ าโลกโวหาร ๑๗. มนฺตาสาตถฺ : วชิ าร่ายมนต์ (ไสยศาสตร)์ ๑๘. ฉนฺทสาสาตฺถ : วิชาการประพนั ธ์ (การแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) หรือ สทฺทาสาตฺถ วิชา ไวยากรณ์ (การพดู และเขยี นใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์)๓๐ การออกบวช แต่จะอย่างไรกต็ าม แมเ้จา้ ชายสทิ ธตั ถะกมุ าร จะดาเนินชีวติ สมบูรณแ์ บบดว้ ยโลกยี สุขเพยี งใดกต็ าม ความ เบ่อื หน่วยก็เกิดข้ึนไดจ้ นทาใหพ้ ระองคต์ ดั สินพระทยั ออกบวช เม่อื มีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา อะไรคือสาเหตุท่ี แทจ้ ริงของการออกบวชยงั เป็นปญั หาท่ยี งั ไม่มขี อ้ ยุติ แต่ปราชญส์ ่วนใหญ่เช่ือตามแนวมหาปทานสูตร๓๑ ในพระสุต ตนั ตปิฏก ทฆี นิกาย มหาวรรคท่วี ่า พระราชกุมารสทิ ธตั ถะเสดจ็ ประพาสอุทยาน แลว้ ทรงเหน็ นิมติ ๔ ดงั มบี นั ทกึ ไว้ วา่ ๓๐ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๐๑-๕๐๔. ในพระไตรปิฎก พระพทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ ประวตั ขิ องพระองคเ์ องหลายครงั้ แต่ไมม่ ปี ระวตั ติ รงๆ ของพระองค์ สมยั เป็นพระกมุ ารเลย แต่ประวตั ขิ องพระองคน์ น้ั พบในคมั ภรี ช์ อ่ื อรรถกถาช่ือมธุรตั ถวลิ าสนิ ี ซง่ึ เป็นอรรถกถาขยายความคมั ภรี ข์ ทุ กนิกายพทุ ธวงศอ์ กี ที หน่ึง ในมธุรตั ถวลิ าสนิ ี กลา่ วถงึ พทุ ธประวตั สิ มยั เป็นพระกมุ ารไวว้ า่ เมอ่ื เจา้ ชายสทิ ธตั ถะมพี ระชนมายุ ๑๖ พรรษา พระเจา้ สทุ โธทนะราชบดิ าสรา้ ง ปราสาทสามฤดูให้ และจะใหม้ คี ู่ครอง แต่เช้อื พระวงศต์ วิ า่ เจา้ ชายเอาแต่สาราญ ขวนขวายอยูแ่ ต่การเล่นเท่านน้ั มไิ ดศ้ ึกษาศิลปะใดๆ เลย วนั หนา้ ถา้ เกิด ศกึ สงครามจะทาอย่างไร เจา้ ชายสทิ ธตั ถะจงึ กราบทูลพระเจา้ สทุ โธทนะวา่ ขา้ พระองคไ์ มม่ กี จิ ทจ่ี ะตอ้ งศึกษาศิลปะ ขอพระองคไ์ ดโ้ ปรดใหต้ กี ลองป่าวรอ้ ง ใหพ้ ระญาตแิ ละชาวพระนครมาดูการแสดงศิลปะของขา้ พระองค์ ในอกี ๗ วนั ขา้ งหนา้ เถดิ พระเจา้ สุทโธทนะจึงรบั สงั่ ใหป้ ่ าวประกาศไปตามนน้ั หมู่พระ ประยูรญาตแิ ละฝูงชนพากนั มาดูเจา้ ชายสทิ ธตั ถะแสดงศิลปะจนเตม็ พระลานหลวง เจา้ ชายสทิ ธตั ถะไดป้ ระลองฝีมอื การยงิ ธนูกบั นายขมงั ธนู ทรงเอาชนะ ไดท้ งั้ การยงิ เร็วดงั สายฟ้า ยงิ เป้าละเอยี ดเช่นขนหางสตั วไ์ ด้ ยงิ ตา้ นลูกศรได้ ยงิ ตามเสยี งได้ และยงิ ลูกศรตามลูกศรได้ อกี ทงั้ ทรงแสดงการยงิ ศรทะลุ แผน่ ไมส้ ะแกหนา ๘ น้วิ แผน่ ไมป้ ระดู่หนา ๔ น้วิ แผน่ ทองแดงหนา ๒ น้วิ แผน่ เหลก็ หนา ๑ น้วิ ยงิ แผน่ กระดาน ๑๐๐ ครงั้ ใหต้ ดิ เน่ืองเป็นอนั เดยี วกนั เป็นตน้ รวมทงั้ ทรงแสดงศลิ ปะอน่ื ทไ่ี มม่ ใี ครทาได้ ไดแ้ ก่ ศิลปะช่อื จกั กวทิ ธะ สรลฏั ฐิ สรรชั ชุ สรเวณิ สรปาสาทะ สรมณั ฑปะ สรโสปาณะ สรมณั ฑละ สรปาการะ สรวนะ สรโปกขรณี สรปทมุ ะ สรปปุ ผะ สรวสั สะ จบการแสดงศลิ ปะทง้ั หลายแลว้ หมพู่ ระประยูรญาตกิ ห็ มดความลงั เลสงสยั พระเจา้ สุทโธท นะจงึ ใหเ้จา้ ชายสทิ ธตั ถะอภเิ ษกสมรสกบั เจา้ หญงิ พมิ พา ราชธดิ าแหง่ กรุงเทวทหะ ส่วนศากยะตระกูลอน่ื ๆ นาธิดามาถวายใหเ้ป็นบาทบริจาริกา ๔๐,๐๐๐ นาง แวดลอ้ มเจา้ ชายสทิ ธตั ถะดงั นางอปั สรแวดลอ้ มเทพบตุ ร สรุปวา่ ตามอรรถกถาน้ี เจา้ ชายสทิ ธถั ะไมไ่ ดเ้รียนวชิ ากบั ใคร แต่พระองคท์ รงรูศ้ ิลปวทิ ยาดว้ ยพระองคเ์ อง หากศึกษายอ้ นกลบั ไปในอดตี ชาติ กจ็ ะพบวา่ พระโพธสิ ตั วน์ นั้ ทรงเช่ยี วชาญศลิ ปวทิ ยาโดยไมม่ อี าจารยม์ าหลายชาตแิ ลว้ อยา่ งเช่นเมอ่ื เป็นพระเตมยี ์ พระองคท์ าเป็นคนงอ่ ย แต่พระองคก์ ็มี ศลิ ปวทิ ยาตามปกติ เมอ่ื เป็นมโหสถมปี ญั ญาเฉลยี วฉลาดกไ็ มไ่ ดเ้รยี นวชิ าจากใคร เมอ่ื เป็นพระเจา้ กสุ ราชเช่ยี วชาญสารพดั วชิ าในระดบั อาจารยพ์ ระองคก์ ็ ไมไ่ ดเ้รยี นวชิ าจากใคร แลว้ เรือ่ งครูวศิ วามติ รมาจากไหน พยายามคน้ หาทม่ี าเร่อื งครูวศิ วามติ ร ซง่ึ ไม่พบในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎก แต่พบในตารา เรียนของผูเ้รียนนกั ธรรมชน้ั ตรี และเปรียญธรรม แต่ก็ไม่มที ่มี าว่าอา้ งองิ มาจากไหน เขา้ ใจวา่ เร่ืองน้ีไดร้ บั อทิ ธิพลจากหนังสอื ฝรงั่ ช่ือ Light of Asia เขยี นโดย Sir Edwin Arnold แปลเป็นไทยช่อื หนงั สอื ประทปี แหง่ ทวปี อาเซยี ซง่ึ กลา่ วถงึ พทุ ธประวตั ติ อนเดก็ วา่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงเรียนสรรพวชิ ากบั ครูวศิ วามติ ร และยงั กลา่ วอกี ว่าเจา้ ชายสทิ ธัตถะเคยแย่งนกกบั พระเทวทตั ดว้ ยหนงั สอื Light of Asia น้ีเป็นหนงั สอื ใหม่ ตพี มิ พค์ รง้ั แรกเมอ่ื ปี ค.ศ. ๑๘๗๙ (พ.ศ. ๒๔๒๒) น้ีเอง ดงั นนั้ ความน่าเช่อื ถอื จึงเทยี บกบั คมั ภรี ์ มธุรตั ถวลิ าสนิ ี ซ่งึ รจนาขน้ โดย พระพทุ ธทตั ตะ ตงั้ แต่ช่วงสงั คายนาราว พ.ศ. ๘๐๐-๑๑๐๐ ไมไ่ ดเ้ลย ๓๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑/๑.
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๗๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ วนั หน่ึงเจา้ ชายสทิ ธตั ถะมพี ระทยั จะเสดจ็ ประพาสอทุ ยาน จงึ รบั สงั่ ใหน้ ายฉนั นะมหาดเลก็ จดั รถเทยี มมา้ อนั วจิ ิตรงดงามราวกะเทพวหิ ารทอง ขบั เท่ยี วไปในอุทยาน ในขณะท่กี าลงั ทรงเพลดิ เพลนิ อยู่นน้ั ไดท้ อดพระเนตรเหน็ นิมิตร หรือเทวทูตทงั้ ๔ ท่ีเทวดาจาแลงมา (อถ เทวตา สิทฺธตฺถกุมารสฺส อภิสมฺพุชฺฌนกาโล อาสนฺโน ‘ปุพฺพนิมิตฺตมสฺส ทสฺเสสฺสามาติ เอกํ เทวปุตฺตํ ชราชชฺชรสรีรํ ขณฺฑทนฺตํ ปลิตเกสํ วงฺกคตฺตํ ทณฑฺ หตฺถํ ปเวธมานํ กตฺวา ทสฺเสสํุ ฯ)๓๒ นิมิต คือเคร่อื งหมาย, เคร่อื งกาหนด, ส่งิ ท่พี ระโพธสิ ตั วท์ อดพระเนตรเหน็ อนั เป็นเหตุปรารภท่จี ะเสด็จออก บรรพชา ๑. ชิณณปรุ สิ ะ คอื คนแก่ (an old man) ๒. พยาธกิ ปรุ สิ ะ หรอื อาพาธกิ ะ คอื คนเจบ็ (a sick man) ๓. กาลกตะ คอื คนตาย (a dead man) ๔. ปพั พชิตะ คอื บรรพชติ , นกั บวช (a religious; holy man; monk) สามอย่างแรกมชี อ่ื เรยี กรวมว่า เทวทูต ๓ เป็นเคร่อื งหมายหรอื สญั ญาณเตอื นใหร้ ะลกึ ถงึ ความทุกขต์ ามคติ ธรรมดาของชีวิตและบงั เกิดความสงั เวช อย่างท่สี ่คี ือบรรพชิต เป็นเคร่ืองหมายใหม้ องเหน็ ทางออกท่จี ะพน้ ไปจาก ทกุ ข์ บางแห่งทา่ นเรียกรวมๆ ไปว่า เทวทูต ๔ โดยอธบิ ายชนั้ หลงั ว่า เป็นทูตของวสิ ุทธเิ ทพ แต่ตามบาลเี รียกว่านิมติ ๔ คาว่า “คนแก่” (ปุริโส ชิณฺโณ) กล่าวคือเห็นคนแก่ชราท่มี หี ลงั โกง เดินถอื ไมเ้ทา้ ไปในระหว่างทาง ก็ทรง แปลกพระทยั ถึงกบั ตรสั ถามฉนั นะว่าชายผูน้ ้ีทาไมถึงมรี ูปร่างผิดกบั บุคคลทวั่ ๆ ไป เมอ่ื ทรงทราบว่า เป็นธรรมดาท่ี ทุกคนตอ้ งชราแก่ไปดว้ ยกนั ทง้ั นนั้ ก็บงั เกิดความสงั เวชสลดพระทยั เสด็จกลบั พระราชวงั ดงั ขอ้ ความสงสยั ใน พระทยั ว่า “ไดท้ อดพระเนตรเห็นชายชราผูม้ ีซ่ีโครงคดเหมือนกลอนประตู หลงั งองุม้ เดินถือไมเ้ ทา้ งกๆ เง่นิ ๆ กระสบั กระส่าย หมดความหนุ่มแน่น จงึ ตรสั ถามนายสารถวี ่า ‘สหายสารถี ชายคนน้ีถูกใครทาอะไรใหเ้สน้ ผม และ ร่างกายของเขาจงึ ไมเ่ หมอื นของคนอ่นื ๆ’ นายสารถที ูลตอบว่า ‘ขอเดชะ ผูน้ ้ีช่อื ว่าคนชรา’ ‘ทาไม เขาจึงช่อื ว่าคนชรา’ ‘ผูน้ ้ีช่อื ว่าคนชรา เพราะเวลาน้ีเขาจะมชี วี ติ อยู่อีกไม่นาน พระเจา้ ขา้ ’ ‘ถงึ เราเองก็จะตอ้ งแก่เฒ่าเป็นธรรมดา หนีไม่ พน้ กระนนั้ หรอื ’ (กึ ปน สมมฺ า สารถิ อปปิ ชราธมโฺ ม ชร อนตโี ต) ‘ทงั้ พระองค์ และขา้ พระองค์ ลว้ นแต่ตอ้ งแก่เฒ่าเป็นธรรมดา หนีไมพ่ น้ พระเจา้ ขา้ ’ (ตวญฺจ เทว มยญฺจมหฺ สพเฺ พ ชราธมมฺ า ชร อนตตี า) ๓๒ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๐๔., ข.ุ พทุ ฺธ. (ไทย) ๓๓/๑๖/๗๒๐., ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๔๔-๕๓/๒๒-๒๙. เจา้ ชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ประพาสราชอทุ ยาน ได้ ทอดพระเนตรเหน็ สง่ิ ทพ่ี ระองคไ์ มเ่ คยเหน็ ไมเ่ คยทราบมาก่อน ๔ ประการ (เทวทูต ๔ หรือเรียกว่า นิมิต ๔) คอื คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ บรรพชิต ฯ นิมิต ทง้ั ๔ ประการเหลา่ น้ี เป็นสง่ิ ทเ่ี ทวดาเนรมติ ข้นึ มาใหพ้ ระสทิ ธตั ถะกมุ ารเหน็ (ธิตฺถุ วต โภ ชาติ ฯ เทวตาหิ นมิ ตฺ ติ ชณิ ฺณปุริส ฯ เทวตาหิ นิมมฺ ติ พยฺ า ตติ ปรุ ิส ฯ เทวตาหิ นมิ มฺ ติ กาลงฺกต ฯ เทวตาหิ นิมตฺ ติ สนุ วิ ตถฺ สุปารุต ปพพฺ ชติ ฯ) อา้ งใน มธุรตฺถวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๕๐๔-๕๐๕.
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๗๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ‘สหายสารถี ถา้ เช่นนน้ั วนั น้ีชมอทุ ยานพอแลว้ เธอจงขบั รถกลบั เขา้ เมอื งเถดิ ’ จากการเหน็ เทวทูตคือคนแก่ ทรงมที กุ ข์ มพี ระทยั ไมย่ นิ ดี ทรงพระดารวิ ่า ‘ข้นึ ช่อื ว่าความเกิดช่างน่ารงั เกียจนกั เพราะเมอ่ื มคี วามเกดิ ก็มคี วามแก่’๓๓ (ธริ ตถฺ ุ กริ โภ ชาติ นาม ยตรฺ หิ นาม ชาตสฺสา ชรา ปญฺญายสิ สต)ิ วนั ต่อมา เมอ่ื เจา้ ชายไดเ้ สดจ็ ประพาสอุทยานอีก ก็ทรงพบคนเจ็บและคนตาย ในวาระทส่ี องและท่สี าม ก็ ทรงถามนายฉนั นะเหมอื นดงั คราวก่อน เมอ่ื ทรงทราบว่า เป็นธรรมดาทท่ี กุ คนตอ้ งเจบ็ ตอ้ งตาย กท็ รงสงั เวชพระทยั เป็นทวคี ูณ แต่ในวาระท่สี ท่ี รงเหน็ บรรพชติ ท่นี ุ่งห่มผา้ กาสาวพสั ตร์ มกี ริ ิยาอาการสารวม น่าเคารพเลอ่ื มใสยง่ิ นกั ก็ ทรงถามนายฉนั นะอีก เมอ่ื ทรงทราบว่าเป็นบรรพชิต ผูส้ งบ ไม่มอี นั ตราย ทรงพอพระทยั ทาใหเ้จา้ ชายสทิ ธตั ถะมี พระทยั ผ่องแผว้ เบกิ บาน จึงเสด็จเท่ยี วอยู่ในอุทยานตลอดวนั แต่ในวนั นนั้ เอง เจา้ หญิงพมิ พาไดป้ ระสูติพระโอรส พระเจา้ สุทโธทนะ ทรงดพี ระทยั เป็นอย่างยง่ิ จึงใหม้ หาดเลก็ ไปทูลใหเ้จา้ ชายทรงทราบ พระองคม์ พี ระทยั นอ้ ม ไปในบรรพชาจงึ ออกพระโอษฐว์ า่ “ราหุ ชาโต พนฺธน ชาต”๓๔ (หว่ งบงั เกิดข้นึ แลว้ เคร่อื งผูกพนั เกิดข้ึนแลว้ ) พระเจา้ สุทโธทนะ จงึ ตรสั ถามอานาจว่า “บตุ รของเราพดู อะไรมาบา้ ง” เมอ่ื ฟงั ดงั นนั้ จงึ ไดข้ นาดพระนามพระองคเ์ จา้ หลานว่า “ราหุลกมุ าร” แมพ้ ระโพธสิ ตั ว์ ก็ข้นึ ทรงรถนนั้ เสด็จเขา้ สู่พระนคร ดว้ ยราชบรพิ ารหมใู่ หญ่ ดว้ ยสริ โิ สภาคยอ์ นั น่า ร่นื รมยย์ ่งิ นกั สมยั นน้ั ฝ่ายพระนางกสี าโคตรมี ผูข้ นั ติยาณี พกั ยนื อยู่ปราสาทขน้ั บน ทอดพระเนตรเหน็ รูปสริ ขิ อง พระสทิ ธตั ถะกุมารโพธสิ ตั ว์ ผูก้ าลงั ทาประทกั ษณิ พระนคร เกดิ ปีตโิ สมนสั เปลง่ อทุ านว่า “นิพฺพตุ า นูน สา มาตา นิพพฺ โุ ต นูน โส ปิ ตา นิพฺพตุ า นูน สา นารี ยสสฺ าย อที โิ ส ปตตี ‛ิ ฯ “บรุ ุษเช่นน้ี เป็นบตุ รของมารดาผูใ้ ด มารดาผูน้ นั้ กเ็ ยน็ ใจแน่ เป็นบตุ รของบดิ าผูใ้ ด บดิ าผูน้ นั้ กเ็ ยน็ ใจแน่ เป็นสามขี องนารีผูใ้ ด นารีผูน้ นั้ กเ็ ยน็ ใจแน่‛ พระโพธิสตั วท์ รงสดบั อุทานนน้ั แลว้ ทรงดาริว่า สตรีผูน้ ้ีใหเ้ราไดย้ นิ ถอ้ ยคาท่นี ่าฟงั อย่างดี ดว้ ยว่า เราก็ กาลงั เท่ยี วแสวงหานิพพาน วนั น้ีน่ีแหละควรทเ่ี ราจะละท้งิ ฆราวาสวสิ ยั แลว้ ออกบวชแสวงหานิพพาน ทรงเปล้อื งแกว้ มกุ ดาหารออกจากพระศอทรงส่งแกว้ มกุ ดาหารทท่ี าความยนิ ดอี ย่างย่งิ มคี ่านบั แสน แด่เจา้ หญงิ กสี าโคตมี ดว้ ย หมายพระหฤทยั ว่า แกว้ มกุ ดาหารน้ี จงเป็นสกั การะส่วนบูชาอาจารยส์ าหรบั เจา้ หญิงพระองคน์ ้ี เจา้ หญงิ กสี าโคตรมี นน้ั เกิดโสมนสั ว่า สทิ ธตั ถะกมุ าร มจี ติ ปฏพิ ทั ธใ์ นเรา ทรงส่งบรรณาการมาประทานฝ่ายพระโพธิสตั ว์ เสด็จข้นึ ปราสาททน่ี ่าร่นื รมยอ์ ย่างย่งิ ดว้ ยเหตใุ หเ้กดิ สริ ิย่งิ ใหญ่ บรรทมเหนือพระท่บี รรทม ในทนั ใดนนั่ เอง เหล่าสตรีรุ่นๆ ทงั้ หลาย ผูม้ ดี วงหนา้ งามเสมอื นดวงจนั ทรเ์ ต็มดวง มรี ิมฝีปากแดงเสมอื นผลตาลงึ สุก มฟี นั ขาวสะอาดเรยี บ มี ระเบยี บ ไม่มรี ่อง มดี วงตาเขยี วคราม มมี วยผมมคี ้ิวโก่งเขยี วจดั ดงั ดอกอญั ชนั มเี ตา้ นมเอ่ิบอ่ิมเต็มเสมอเป็น ระเบยี บ มตี ะโพกส่วนหนา้ ส่วนหลงั ผายคล่องแคล่ว ดงั มณีเมขลาประดบั ดว้ ยทองและเงนิ ทาความร่นื รมย์ มลี าขา ทง้ั คู่เฉกเช่นงวงกญุ ชร ฉลาดในการฟ้อนราขบั รอ้ งและบรรเลง มรี ูปโฉมไฉไลเช่นเทพธดิ า ถอื ดนตรที ่มี เี สยี งไพเราะ ๓๓ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๔๔/๒๒-๒๓. ๓๔ ข.พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๐๖.
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๗๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พากนั มาหอ้ มลอ้ มพระมหาบุรุษนนั้ ใหท้ รงร่นื เริง ประกอบการฟ้อน การขบั รอ้ ง และบรรเลง แต่พระโพธสิ ตั วไ์ ม่ทรง ยนิ ดยี ง่ิ ในการฟ้อนการขบั รอ้ งเป็นเพราะทรงมจี ิตหน่ายในกเิ ลสทง้ั หลาย บรรทมหลบั ไปครู่หน่ึง. เหล่าหญิงนกั ฟ้ อนนอนละเมอเผลอสติ สตรเี หลา่ นน้ั เหน็ พระโพธสิ ตั วน์ นั้ คิดว่าพวกเราประกอบการฟ้อนเป็นตน้ เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่ท่านผูใ้ ด ท่านผู้ นนั้ ก็บรรทมหลบั ไปแลว้ บดั น้ี พวกเราจะลาบากเพ่อื ประโยชนอ์ ะไรเลา่ แลว้ ก็นอนทบั ดนตรีท่ตี ่างถอื กนั อยู่หลบั ไป ประทปี นา้ มนั หอมกย็ งั ติดโพลงอยู่ พระโพธิสตั วท์ รงต่นื บรรทมประทบั นงั่ ขดั สมาธอิ ยู่เหนือหลงั พระท่บี รรทม ทรง เห็นสตรีเหล่านน้ั นอนทบั เคร่อื งดนตรี มนี า้ ลายไหล มแี กม้ และเน้ือตวั สกปรก บางพวกกดั ฟนั บางพวกกรน บาง พวกละเมอ บางพวกอา้ ปาก บางพวกผา้ ผ่อนหลุดลุ่ย ปรากฏท่นี ่ากลวั ทค่ี บั แคบ บางพวกมผี มปลอ่ ยยุ่ง นอนทรงรูป เหมาะแก่ป่าชา้ พระมหาสตั วท์ รงเหน็ อาการแปลกๆ ของสตรเี หลา่ นนั้ กย็ ง่ิ ทรงมจี ติ หน่ายในกามทง้ั หลายสุดประมาณ พ้ืนปราสาทท่ีประดบั ตกแต่งแมง้ ดงามเสมือนภพทา้ วสหสั สนยั น์ ก็ปรากฏแก่พระมหาสตั วน์ นั้ ปฏิกูลอย่างย่ิง เหมอื นป่าชา้ ผดี บิ ทเ่ี ตม็ ดว้ ยซากศพสรีระของคนตายท่เี ขาทอดท้งิ ไว้ แมภ้ พทง้ั สามกป็ รากฏเสมอื นภพท่ไี ฟไหม้ ทรง พรา่ บ่น ว่า “อปุ ทฺทุต วต โภ อปุ ทฺทตุ วต โภ” วุ่นวายจริงหนอ ขดั ขอ้ งจริงหนอ พระหฤทยั ก็นอ้ มไปเพ่อื บรรพชา อย่างยง่ิ (อตวิ ยิ ปพพฺ ชฺชาย จติ ตฺ นม)ิ ๓๕ พระองคท์ รงดาริว่าวนั น้ีน่ีแหละ เราควรออกมหาภเิ นษกรมณ์ทรงลุกจากท่พี ระบรรทม เสด็จไปใกลป้ ระตู ตรสั ถามว่า ใครอยูท่ น่ี นั่ นายฉนั นะ นอนศีรษะใกลธ้ รณีประตู ทูลว่า ขา้ พระบาท ฉนั นะ พระลูกเจา้ ลาดบั นน้ั พระ มหาบรุ ุษตรสั วา่ วนั น้ีเราประสงคจ์ ะออกมหาภเิ นษกรมณ์ เจา้ อย่าบอกใคร จงเตรียมสนิ ธพเรว็ ฝีเทา้ จดั ไวต้ วั หน่ึงนะ นายฉนั นะนนั้ ทูลรบั พระดารสั แลว้ ถอื เคร่อื งประกอบมา้ ไปยงั โรงมา้ พบมา้ ฝีเทา้ ดชี ่ือกณั ฐกะ ยา่ ยีขา้ ศึกได้ ยนื ณ ภมู ภิ าคน่าร่ืนรมยอ์ ย่างย่งิ ภายใตเ้ พดานแผ่นดอกมะลิ เม่อื ประทบี นา้ มนั หอม ยงั ลุกโพลงอยู่คิดว่า วนั น้ีเราควร เตรยี มมา้ มงคลตวั น้ี เพอ่ื พระลูกเจา้ ออกอภเิ นษกรมณ์ แลว้ กเ็ ตรยี มมา้ กณั ฐกะไว้ มา้ กณั ฐกะนน้ั เมอ่ื ถกู จดั เตรียมไว้ ก็รูว้ ่า ‘การจดั เตรียมน้ี หนกั นกั ไม่เหมือนการจดั เตรียมในเวลาเสด็จไปเล่นสวน วนั อ่ืนๆ พระลูกเจา้ จกั ออก มหาภเิ นษกรมณใ์ นวนั น้ี ไมต่ อ้ งสงสยั เลย’ (โส กปปฺ ิยมาโนว อญฺญาสิ ‘อย กปปฺ นา อตคิ าฬหฺ า อญฺเญสุ ทวิ เสสุ อยุ ยานกลี คมนกาเล กปปฺ นา วยิ น โหติ ฯ นิสฺสสย อชเฺ ชว อยยฺ ปตุ โฺ ต มหาภนิ ิกขฺ มน นิกขฺ มสิ ฺสตตี )ิ แต่นนั้ มา้ กณั ฐกะก็มใี จยนิ ดีรอ้ งดงั ลนั่ เสยี งรอ้ งนน้ั กงั วาลไปทวั่ กรุงกบลิ พสั ดุ์ แต่เทวดาปิดกน้ั ไวไ้ มใ่ ห้ ใครๆ ไดย้ ิน พระโพธิสตั วค์ ิดว่า เราจกั ดูลูกเสียก่อน จึงลุกจากท่ปี ระทบั ยืนอยู่ เสด็จไปยงั ท่ีประทบั อยู่ของพระ มารดาพระราหุล ทรงเปิดประตูหอ้ ง ขณะนนั้ ประทีปนา้ มนั หอมในหอ้ ง ยงั ติดโพลงอยู่ ฯ พระมารดาพระราหุล บรรทมวางพระหตั ถไ์ วเ้หนือกระหมอ่ มพระโอรสบนทบ่ี รรทม อนั เกลอ่ื นกลน่ ดว้ ยดอกมะลิ เป็นตน้ เป็นอมั พณะ๓๖ พระโพธสิ ตั วว์ างพระบาทท่ธี รณีประตู ประทบั ยนื ทรงมองดู ทรงดารวิ า่ ถา้ เราจกั ยกพระหตั ถข์ องพระเทวี ออกไปแลว้ จบั ลูกเราพระเทวกี จ็ กั ต่นื เมอ่ื เป็นดงั่ นน้ั อภเิ นษกรมณข์ องเรากจ็ กั เป็นอนั ตราย เราจกั เป็นพระพทุ ธเจา้ แลว้ จงึ ค่อยมาดูลูกเรา เสดจ็ ลงจากพ้นื ปราสาทแลว้ เสดจ็ เขา้ ไปใกลม้ าตรสั อย่างน้ีว่า พอ่ กณั ฐกะ วนั น้ี เจา้ ตอ้ งใหเ้รา ๓๕ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๐๘. (มธุรตฺถวิ ลิ าสนิ ี) ๓๖ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๐๙. (มธุรตถฺ วิ ลิ าสนิ )ี
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๗๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ขา้ มไปราตรีหน่ึง เราอาศยั เจา้ แลว้ จกั เป็นพระพทุ ธเจา้ ยงั โลกทงั้ เทวโลกใหข้ า้ มโอฆะ แต่นน้ั ก็ทรงโดดข้นึ หลงั มา้ กณั ฐกะ มา้ กณั ฐะ โดยส่วนยาวนบั ตง้ั แต่คอ ก็ยาว ๑๘ ศอก ประกอบดว้ ยส่วนสูงพอเหมาะกบั ส่วนยาวนนั้ ถึง พรอ้ มดว้ ยรูป ฝีเทา้ และกาลงั อนั เลศิ ขาวปลอด สสี รรน่าดูเสมอื นสงั ขข์ ดั (กณฺฐโก คีวโต ปฏฐฺ าย อายามโตอฏฐฺ า รสหตโฺ ถ โหติ ตทนุรูเปน อพุ เฺ พเธน สมนฺนาคโตรูปคฺคชวพลสมปฺ นฺโน สพพฺ เสโต โธตสงฺขสทสิ ทสฺสนียวณฺโณ) แต่ นนั้ พระโพธสิ ตั ว์ ประทบั อยู่บนหลงั มา้ ทรง โปรดใหน้ ายฉนั นะจบั หางมา้ ถงึ ประตใู หญ่แหง่ พระนครตอนครง่ึ คนื ครงั้ นน้ั แต่ก่อน พระราชาโปรดใหจ้ ดั บุรุษไวค้ อยเปิดประตูๆ ละพนั คน บรรดาบานประตู ๒ ประตู เพ่อื หา้ มพระโพธสิ ตั วเ์ สดจ็ ไป ทรงวางบรุ ุษไวเ้ป็นอนั มาก กองรกั ษาการณ์ ณ บานประตนู นั้ ไดย้ ินว่า พระโพธิสตั วท์ รงกาลงั เท่ากบั บุรุษจานวนแสนโกฏิ เท่ากบั ชา้ งจานวนพนั โกฏิ เพราะฉะนนั้ พระ โพธิสตั วน์ น้ั จึงทรงดาริว่า ผิว่า ประตูไม่ยอมเปิด วนั น้ีเราจะนงั่ หลงั กัณฐกะ ใหน้ ายฉนั นะจบั หาง เอาสองขาบบี กณั ฐกะ โดดข้นึ ผ่านกาแพง ๑๘ ศอก ไปพรอ้ มกบั ฉนั นะเลย นายฉนั นะก็คิดว่า ถา้ ประตูไม่เปิด เราก็จะเอาพระลูกเจา้ ข้นึ บนคอ เหว่ียงกณั ฐกะดว้ ยมอื ขวา หนีบไวท้ ่ี รกั แรจ้ ะโดดข้นึ ผา่ นกาแพงไปได๓้ ๗ มา้ กณั ฐกะกค็ ิดว่า เมอ่ื ประตูไมเ่ ปิด เรากจ็ กั ประดษิ ฐานพระลูกเจา้ ตามท่ปี ระทบั นงั่ อยู่ โดดข้นึ ไปพรอ้ มกบั นายฉนั นะ ท่ีจบั หางไว้ โดดไวข้ า้ มหนา้ กาแพงไป ทงั้ สามคนคิดเหมอื นกนั อย่างน้ี เทวดาท่ีสิงสถิตอยู่ท่ีประตูก็ ช่วยกนั เปิดประตูใหญ่ (ทวฺ าเร อธวิ ตถฺ า เทวตา มหาทวฺ าร ววิ รสึ ุ) ขณะนนั้ มารผูม้ บี าปคิดวา่ จกั ใหพ้ ระมหาสตั วก์ ลบั ไป จงึ มายนื อยู่กลางอากาศกลา่ ววา่ “มา นิกขฺ ม มหาวรี อโิ ต เต สตฺตเม ทเิ น ทพิ พฺ ตุ จกกฺ รตน อทธฺ า ปาตุ ภวสิ ฺสติ” วสิ หสฺสปรติ ตฺ ทปี ปรวิ าราน จตนุ ฺน มหาทปี าน รชชฺ กาเรสฺสสิ นิวตตฺ มารสิ าติ ฯ “ท่านมหาวรี ะ อยา่ ออกอภเิ นษกรมณเ์ ลย นบั แต่น้ีไป ๗ วนั จกั รรตั นะทพิ ยจ์ ะปรากฏ แก่ท่านแน่นอน ท่าน จกั ครองราชยแ์ ห่งทวปี ทงั้ ๔ มที วปี นอ้ ยสองพนั เป็นบรวิ าร กลบั เสยี เถดิ ทา่ นผูน้ ิรทกุ ข‛์ พระมหาบรุ ุษตรสั ถามว่า ท่านเป็นใคร มารตอบวา่ เราเป็นผูม้ อี านาจ [มาร] พระมหาบรุ ุษตรสั ว่า “ชานามห มหาราช มยหฺ จกฺกสฺส สมภฺ ว อนตถฺ โิ กห รชฺเชน คจฉฺ ตวฺ มาร มา อธิ สกล ทสสหสฺสมปฺ ิ โลกธาตมุ ห ปน อนุ ฺนาเทตวฺ า ภวสิ ฺสามิ พทุ โฺ ธ โลเก วนิ ายโก”๓๘ มหาราช เรารูว้ ่าจกั กรตั นะ จะปรากฏแก่เรา แต่เราไมต่ อ้ งการจกั กวตั ตริ าชย์ ไปเสยี เถดิ มารอยา่ มาในทน่ี ้ี เลย แต่เราจกั เป็นพระพทุ ธเจา้ ผูน้ าพเิ ศษในโลกบนั ลอื ลนั่ ไปทวั่ หมน่ื โลกธาตุ มารนนั้ กอ็ นั ตรธานไปในทน่ี น้ั นนั่ เอง ๓๗ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๐. (มธุรตถฺ วิ ลิ าสนิ ี) ๓๘ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๑. (มธุรตฺถวิ ลิ าสนิ ี)
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๗๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง เจา้ ชายสทิ ธตั ถะเสด็จออกบรรพชา หลงั จากวนั ท่เี จา้ ชายเสด็จไปพบเหน็ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย จึงทรงดาริกา้ วไปไกลย่งิ กว่านนั้ คือทรงดาริว่า “สภาพทงั้ หลายทงั้ ปวงโดยธรรมชาตนิ นั้ ตอ้ งมขี องแกก้ นั ไดเ้ สมอ เช่น มรี อ้ นก็ตอ้ งมเี ยน็ แก้ มมี ดื ก็มสี ว่างแก้ มที ุกขก์ ็ ตอ้ งมีสุขแก้ มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ก็ตอ้ งมเี ครือ่ งแกไ้ ม่ใหแ้ ก่ เจ็บ ตายได้ เจา้ ชายทรงคานึงว่า ถา้ ยงั อยู่ในเพศของ ฆราวาสวสิ ยั อยู่ก็ไมอ่ าจหาทางแกท้ ุกขไ์ ด้ เพราะฆราวาสวสิ ยั น้ีคบั แคบ และเป็นทีต่ งั้ แห่งอารมณท์ ที่ าใหใ้ จเศรา้ หมอง เพราะความรกั ความชงั ความหลง เป็นทมี่ าของธุลี ส่วนการบรรพชานนั้ เป็นช่องว่างพอทจี่ ะแสวงหาอุบายนนั้ ได้ เมอื่ ทรงดาริอยา่ งน้ีแลว้ ทาใหม้ พี ระทยั นอ้ มไปในการบรรพชามากยงิ่ ข้นึ ” ‘การอยู่ครองเรือนเป็นเร่ืองอึดอดั เป็นทางมาแห่งธุลี การบวชเป็นทางปลอดโปร่ง การท่ผี ูค้ รองเรือนจะ ประพฤติพรหมจรรยใ์ หบ้ รสิ ุทธ์ิ บรบิ ูรณ์ครบถว้ นดุจสงั ขข์ ดั ไม่ใช่ทาไดง้ ่าย ทางทด่ี ีเราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่ม ผา้ กาสาวพสั ตร์ ออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิต’๓๙ ตดั สนิ พระทยั ออกผนวช เวลาท่ีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระมหาสตั วท์ รงท้ิงจกั รวรรดิราชยท์ ่ีตกอยู่ในพระหตั ถ์ ไม่ทรงเย่ือใย เหมอื นกอ้ นเขฬะ (จกกฺ วตตฺ ริ ชชฺ เขฬปิณฺฑ วยิ อนเปกโฺ ข ฉฑเฺ ฑตฺวา) เสด็จออกจากพระราชยน์ ิเวศนอ์ นั เป็นสริ นิ ิวาส แห่งจกั รพรรดิ เม่อื ดาวนกั ษตั รอุตตราสาฬหะเพ็ญเดอื นอาสาฬหะ เสด็จออกจากพระนคร ไดม้ พี ระประสงคจ์ ะทรง แลดูพระนคร ในลาดบั แห่งความตรกึ นนั่ เอง ภูมปิ ระเทศนนั้ ก็แปรเปลย่ี นไปเหมอื นจกั รแป้นหมุนทาภาชนะดินแก่ พระองค์ พระมหาสตั วท์ รงยืนอยู่อย่างเดิม ทอดพระเนตรกรุงกบลิ พสั ดุ์ ทรงกระตุน้ มา้ กณั ฐกะใหบ้ ่ายหนา้ ไปตาม ทางท่พี งึ ไป แสดงเจดียสถาน ช่อื กณั ฐกนิวตั ตนะ ท่มี า้ กณั ฐกะหนั หนา้ กลบั ณ ภมู ปิ ระเทศนน้ั เสด็จไปดว้ ยสกั การะ ยง่ิ ใหญ่ ดว้ ยเหตใุ หเ้กดิ สริ อิ นั โอฬาร ครง้ั นน้ั เมอ่ื พระมหาสตั วก์ าลงั เสดจ็ ไป เทวดาทง้ั หลายชูคบเพลงิ จานวนหกลา้ น ดวงขา้ งหนา้ พระมหาสตั วน์ นั้ ขา้ งหลงั ก็หกลา้ นดวงเหมอื นกนั ขา้ งขวาก็หกลา้ นดวง ชา้ งซา้ ยกเ็ หมอื นกนั เทวดาพวก อ่นื ๆ อีกก็สกั การะดว้ ยพวงมาลยั ดอกไมห้ อม จุรณจนั ทน์ พดั จามรและธงผา้ หอ้ มลอ้ มไป สงั คีตทพิ ยแ์ ละดนตรี เป็นอนั มาก กบ็ รรเลงไดเ้อง พระโพธิสตั ว์ เสด็จไปดว้ ยเหตุท่ใี หเ้ กิดสิริอย่างน้ีเสด็จหนทาง ๓๐ โยชนผ์ ่าน ๓ ราชอาณาจกั ร (แควน้ สกั กะ แควน้ โกศล และแควน้ วชั ช)ี ราตรเี ดยี วเทา่ นนั้ กถ็ งึ รมิ ฝงั่ แม่นา้ อโนมา ลาดบั นนั้ พระโพธสิ ตั วท์ รงยนื ณ รมิ ฝงั่ แม่นา้ ตรสั ถามนายฉนั นะว่า ‘แม่นา้ น้ีช่ือไร ทูลตอบว่า แม่นา้ อโนมา ทรงใชส้ น้ พระบาท กระแทกมา้ ใหส้ ญั ญาณ แก่มา้ มา้ ก็โดดไปยืนอยู่ริมฝงั่ โนน้ แห่งแม่นา้ ซ่งึ กวา้ ง ๘ อุสภะ พระโพธิสตั วเ์ สด็จลงจากหลงั มา้ ประทบั ยืนท่หี าด ๓๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓๑/๑๐/๑๑. การอยูค่ รองเรอื นชอ่ื วา่ เป็นเร่อื งอดึ อดั เพราะไมม่ เี วลาว่างเพอ่ื จะทากศุ ลกรรม แมเ้รือนจะมเี น้ือทก่ี วา้ งขวางถงึ ๖๐ ศอก มบี ริเวณภายในบา้ นตง้ั ๑๐๐ โยชน์ มคี นอยู่อาศยั เพยี ง ๒ คนคอื สามภี รรยา ก็ยงั ถอื วา่ อดึ อดั เพราะมคี วามห่วงกงั วลกนั และกนั อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑/๑๙๑/๑๖๓. ชอ่ื วา่ เป็นทางแห่งธุลี เพราะเป็นทเ่ี กดิ และเป็นทต่ี งั้ แห่งกิเลสอนั ทาจิตใหเ้ศรา้ หมอง เช่นราคะเป็นตน้ อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/ ๑๙๑/๑๖๓. นกั บวชแมจ้ ะอยู่ในเรือนยอด ปราสาทแกว้ และเทพวมิ าน ซง่ึ มปี ระตูหนา้ ต่างปิดมดิ ชดิ ก็ยงั ถอื ว่าปลอดโปร่ง เพราะนกั บวชไม่มคี วามยดึ ติด ในสง่ิ ใดๆ เลย อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑/๑๙๑/๑๖๓.
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธิกาล” ๑๗๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ทรายเสมอื นกองแกว้ มกุ ดา เรยี กนายฉนั นะมาตรสั สงั่ ว่า สหายฉนั นะ เจา้ จงนาอาภรณข์ องเรากบั กณั ฐกะกลบั ไป เรา จกั บวช๔๐ นายฉนั นะทูลว่า แมข้ า้ พระบาทก็จกั บวช พระลูกเจา้ พระโพธสิ ตั วต์ รสั ว่า เจา้ ยงั บวชไมไ่ ด้ เจา้ ตอ้ งกลบั ไป ทรงหา้ ม ๓ ครง้ั แลว้ ทรงมอบอาภรณ์และมา้ กณั ฐกะแลว้ ทรงดาริว่า ผมของเราอย่างน้ี ไมเ่ หมาะแก่สมณะ จาจกั ตดั ผมเหลา่ นน้ั ดว้ ยพระขรรค์ ทรงจบั พระขรรคอ์ นั คมกรบิ ดว้ ยพระหตั ถข์ วา รวบพระจุฬาพรอ้ มดว้ ยพระเมาลดี ว้ ยพระ หตั ถซ์ า้ ย แลว้ ตดั เหลอื พระเกศาสององคุลเี วียนขวา ตดั พระเศียร พระเกสาเหล่านนั้ ก็มปี ระมาณเท่านน้ั จนตลอด พระชนมชพี ส่วนพระมสั สุ กเ็ หมาะแก่ประมาณพระเกสานน้ั แต่พระองคไ์ มม่ กี ิจท่จี ะตอ้ งปลงพระเกศาและพระมสั สุ อกี เลยน้ี พระโพธิสตั วท์ รงรวบพระจุฬาพรอ้ มดว้ ยพระเมาลอี ธิษฐานว่า ถา้ เราจกั เป็นพระพทุ ธเจา้ ไซร้ ผมน้ี จงตงั้ อยู่ ในอากาศ ถา้ ไมเ่ ป็นไซร้ ก็จงหล่นลงเหนือพ้นื ดนิ แลว้ เหว่ยี งไปในอากาศ กาพระจุฬามณีนน้ั ไประยะประมาณโยชน์ หน่ึงแลว้ กต็ งั้ อยู่ในอากาศ๔๑ ลาดบั นน้ั ทา้ วสกั กะเทวราชทรงตรวจดูดว้ ยจกั ษุทพิ ย์ ทรงเอาผอบรตั นะขนาดโยชนห์ น่ึงรบั กาพระจฬุ ามณี นนั้ แลว้ ทรงสถาปนาเป็นพระจฬุ ามณีเจดยี ส์ าเร็จดว้ ยรตั นะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชนไ์ วใ้ นภพดาวดงึ ส์ ดงั ท่ที ่าน กลา่ วไวว้ า่ “เฉตวฺ าน โมลึ วรคนฺธวาสติ เวหายส อกุ ขฺ ปิ ิ อคฺคปคุ คฺ โล สหสฺสเน โต สริ สา ปฏคิ คฺ หิ สุวณฺณจงฺโกฏวเรน วาสโว” “พระผูเ้ป็นบคุ คลผูเ้ลศิ ทรงตดั พระเมาลที อ่ี บดว้ ยของหอมอยา่ งดี ทรงเหว่ยี งข้นึ สู่อากาศ ทา้ ววาสวะสหสั ส นยั น์ ทรงเอาผอบทองอยา่ งดรี บั ไวด้ ว้ ยเศียรเกลา้ ” พระโพธิสตั ว์ ทรงดาริอีกว่า ‚ผา้ กาสีเหล่าน้ันมีค่ามาก ไม่เหมาะแก่สมณะของเรา” ลาดบั นน้ั ฆฏิการ มหาพรหม สหายเก่าครง้ั พระกสั สปพทุ ธเจา้ ของพระโพธสิ ตั วน์ น้ั ดาริโดยมติ รภาพท่ไี มถ่ งึ ความพนิ าศตลอดพทุ ธนั ดร หน่ึงวา่ วนั น้ีสหายเราออกอภเิ นษกรมณ์ จาเราจกั ถอื สมณบรขิ ารไปเพอ่ื สหายนน้ั จงึ นาบรขิ าร ๘ เหลา่ นน้ั ไปถวาย คือ “ตจิ วี รญฺจ ปตโฺ ต จ วาสี สูจิ จ พนฺธน ปรสิ ฺสาวนญฺจ อฏเฺ ฐเต ยุตฺตโยคสฺส ภกิ ขฺ โุ น”๔๒ ๔๐ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๒. (มธุรตถฺ วิ ลิ าสนิ )ี “อมิ นิ า สริ ิสมทุ เยน คจฉฺ นฺโต โพธิสตโฺ ต เอกรตฺเตเนวตณี ิ รชชฺ านิ อตกิ กฺ มมฺ ตสึ โยชนิก มคฺค คนฺตวฺ า อโนมานทตี รี สมปฺ าปณุ ิ ฯ อถ โพธิสตฺโต นทตี เี ร ฐตวฺ า ฉนฺน ปุจฺฉิกา นามาย นทตี ิ ฯ อโนมา นาม เทวาติ ฯ ‘อมหฺ ากมปฺ ิ ปพพฺ ชฺชา อโนมา ภวสิ ฺสตตี ิ ปณฺหยิ า อสฺส ฆฏเฺ ฏนฺโต อสฺสสฺส สญฺญ อทาสิ ฯ อสฺโส อลุ ลฺ งฺฆติ ฺวา อฏฺฐอสุ ภวติ ฺถารายนทยิ า ปาริมตีเร อฏฺฐาสิ ฯ โพธิสตฺโต อสฺสปิฏฺฐโิ ต โอ รุยฺห มตุ ตฺ ราสสิ ทเิ ส วาลกุ าปลุ เิ น ฐตวฺ า ฉนฺน อามนฺเตสิ สมมฺ ฉนฺน ตฺว มยฺห อาภรณานิ เจว กณฺฐกญฺจ อาทาย คจฉฺ อห ปพพฺ ชสิ ฺสามตี ิ ฯ ๔๑ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๒. (มธุรตฺถวิ ลิ าสนิ ี) ‚เตส ปน เกสาน ยาวชีว ตเทว ปมาณ อโหสิ ฯ มสฺสุ จ ตทนุรูป ปุน เกสมสฺสุ- โอหารณกิจฺจมปฺ ิสฺส นาโหสิ ฯ โพธิสตฺโต สห โมฬยิ า จูล คเหตฺวา สจาห พทุ ฺโธ ภวสิ ฺสามิ อากาเส ติฏฺฐตุ โน เจ ภูมยิ ปตตูติ อากาเส ขปิ ิ ฯ ต จูฬามณิพนฺธน โยชนปปฺ มาณ ฐาน คนฺตวฺ า อากาเส อฏฐฺ าสิ ฯ ๔๒ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๔. (มธุรตถฺ วิ ลิ าสนิ )ี
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๗๘ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ “บริขาร ๘ เหล่าน้ีคือ ไตรจีวร บาตร มดี เขม็ รดั ประคด และผา้ กรองนา้ เป็นของภกิ ษุผูป้ ระกอบความ เพยี ร” พระมหาบุรุษทรงครองผา้ ธงชยั แห่งพระอรหนั ต์ ถือเพศบรรพชาสูงสุด ทรงเหว่ียงคู่ผา้ [นุ่งห่ม] ไปใน อากาศ ทา้ วมหาพรหมรบั คู่ผา้ นนั้ แลว้ สรา้ งเจดยี ส์ าเร็จดว้ ยรตั นะขนาด ๑๒ โยชนใ์ นพรหมโลก บรรจุคู่ผา้ นน้ั ไวข้ า้ ง ใน ลาดบั นนั้ พระมหาสตั วต์ รสั กะนายฉนั นะว่า ‘ฉนั นะ เจา้ จงบอกแก่พระชนกพระชนนีตามคาของเราว่า เราสบายดี แลว้ ทรงสง่ ไป’๔๓ แต่นนั้ นายฉนั นะกถ็ วายบงั คมพระมหาบรุ ุษ ทาประทกั ษณิ แลว้ หลกี ไป ส่วนมา้ กณั ฐกะยนื ฟงั คาของ พระโพธิสตั ว์ ผูป้ รกึ ษากบั นายฉนั นะ รูว้ ่า บดั น้ีเราจะไม่เหน็ นายของเราอกี พอละสายตาของพระมหาบรุ ุษนนั้ ไม่อาจ ทนวิปโยคทุกขไ์ ด้ ก็หวั ใจแตกตายไปบงั เกิดเป็นเทพบุตรช่ือกณั ฐกะ ในภพดาวดึงสซ์ ่ึงเป็นภพท่ีขา้ ศึกของเทวดา ครอบงาไดแ้ สนยาก การอบุ ตั ิของกณั ฐกะเทพบุตรนนั้ ๔๔ พงึ ถอื เอาตามอรรถกถาวิมานวตั ถุ ช่ือวิมลตั ถวลิ าสนิ ี ความ โศกไดม้ แี ก่นายฉนั นะเป็นครงั้ ท่ี ๑ เพราะความตายของมา้ กณั ฐกะ นายฉนั นะ ถกู ความโศกครงั้ ท่ี ๒ เบยี ดเบยี น ก็ รอ้ งไหค้ รา่ ครวญ เดนิ ทางไปดว้ ยความทกุ ข์ ฝ่ายพระโพธสิ ตั ว์ ทรงผนวชแลว้ ในประเทศนนั้ นนั่ แล มสี วนมะม่วงช่อื อนุปิยะ อยู่ จงึ ทรงยบั ยงั้ อยู่ ณ อนุ ปิยอมั พวนั นน้ั ๗ วนั ดว้ ยความสุขในบรรพชาภายหลงั จากนนั้ กท็ รงสารวมดว้ ยผา้ กาสาวะอนั ดี เหมอื นดวงรชั นีกร เตม็ ดวง สารวมอยู่ในหมเู่ มฆทอ่ี าบดว้ ยแสงสนธยา แมล้ าพงั พระองคก์ ็รุ่งเรอื งเหมอื นชนเป็นอนั มากแวดลอ้ มแลว้ ทรง ทาบรรพชานนั้ เหมอื นนา้ อมฤตตอ้ งของเหล่ามฤคและปกั ษที ่ีอยู่ป่า ทรงเท่ียวไป พระองคเ์ ดียวเหมอื นราชสหี ์ ทรง เป็นนรสีหะ เหมือนควาญผู้ รูจ้ กั ลลี าของชา้ งตกมนั ยงั แผ่นดินใหเ้ บาดว้ ยฝ่ าเทา้ เสด็จเดินทาง ๓๐ โยชน์ วนั เดียว เท่านนั้ ทรงขา้ มแม่นา้ คงคา ซ่ึงคลงั่ ดว้ ยฤดูและคล่นื แต่ไม่ขดั ขอ้ ง เสด็จเขา้ สู่นครราชคฤห๔์ ๕ เรือนหลวงอนั แพรว พราวดว้ ยประกายแสงแห่งรตั นะ ครน้ั เสดจ็ เขา้ ไปแลว้ ก็เท่ยี วแสวงหาภกิ ษาตามลาดบั ตรอก ทวั่ ทง้ั นครนน้ั กส็ ะเทอื น เพราะการเหน็ พระรูปของพระโพธสิ ตั ว์ เหมอื นนครนน้ั สะเทอื น เมอ่ื ชา้ งธนบาลเขา้ ไปเหมอื นเทวนครสะเทอื น เมอ่ื จอม อสูรเขา้ ไป เม่อื พระมหาบุรุษเสด็จเท่ียวแสวงหาภกิ ษา พวกมนุษยช์ าวพระนคร เกิดความอศั จรรยส์ าหรบั ผูเ้กิดปีติ โสมนสั เพราะเหน็ พระรูปของพระมหาสตั ว์ กไ็ ดม้ ใี จนึกถงึ การเหน็ พระรูปของพระโพธสิ ตั ว์ บรรดามนุษยเ์ หล่านน้ั มนุษยผ์ ูห้ น่ึงกล่าวกะมนุษยผ์ ูห้ น่ึงอย่างน้ีว่า ท่านเอย เหตอุ ะไรหนอ จนั ทรเ์ พญ็ ท่มี ี ช่อรศั มที ่ถี ูกภยั คือราหูกาบงั แลว้ ยงั มาสู่มนุษยโลกได้ มนุษยอ์ ่นื นอกจากนนั้ ก็ย้มิ พูดอย่างน้ีว่า พดู อะไรกนั สหาย ท่านเคยเห็นจนั ทรเ์ พ็ญมาสู่มนุษยโลกกนั เม่อื ไร นนั่ กามเทพมดี อกไมเ้ป็นธงมใิ ช่หรือ ท่านถือเพศอ่นื เหน็ ความเจริญ ของลลี าอย่างย่งิ ของมหาราชของเราและชาวเมอื ง จึงเสดจ็ มาเล่นดว้ ย. คนอ่ืนนอกจากนนั้ กย็ ้มิ พูดอย่างน้ีว่า ท่านเอย ท่านเป็นบา้ กนั แลว้ หรือ นนั่ พระอินทร ผูม้ สี รรี ะรอ้ นเรืองดว้ ยความโหมของเพลงิ ยญั อนั เรอื งแรง ผูเ้ป็นทา้ วสหสั นยั น์ เป็นเจา้ แห่งเทวดามาในทน่ี ้ีดว้ ยความสาคญั ว่า อมรปุระ คนอ่นื นอกจากนน้ั หวั ร่อนิดหน่อยแลว้ กล่าวว่า ท่านเอย พดู ๔๓ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๔. อถ น มหาสตฺโต ‘ฉนฺน มม วจเนน มาตาปิตูน อาโรคฺย วเทหตี ิ วตฺวา อยุ โฺ ยเชสิ ฯ ๔๔ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๔. กณฺฐโก ปน ฉนฺเนน สทฺธึ มนฺตยมานสฺส โพธิสตฺตสฺส วจน สุณนฺโต ฐตฺวา ‚นตฺถิ ทานิ มยฺห ปุน สามโิ น ทสฺสนนฺติ จกฺขปุ ถมสฺส วชิ หนฺโต วโิ ยคทกุ ฺขมธิวาเสตุ อสกโฺ กนฺโต หทเยน ผลเิ ตน กาล กตวฺ า สรุ รปิ ทุ รุ ภภิ วเน ตาวตสึ ภวเน กณฺฐโก นาม เทวปุตฺโต หตุ ฺวา นิพพฺ ตตฺ ิ ฯ ๔๕ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๔. (มธุรตฺถวิ ลิ าสนิ ี) มตตฺ มาตงฺควลิ าสคามี สมสฺสาเสนฺโต วยิ วสุนฺทร ปาทตเลหิ เอกทวิ เสเนว ตสึ โยชนิก มคฺค คนฺตฺวา อตุ ตฺ งุ ฺคตรงฺคภงฺค อสงฺค คงฺคํ นทึ อตุ ตฺ รติ ฺวา รตนชตุ วิ สิ รวริ าชติ วรรุจริ ราชคห ราชคห นาม นคร ปาวสิ ิ ฯ
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๗๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ อะไรกนั ท่านผดิ ทงั้ คาตน้ คาหลงั ท่านผูน้ น้ั มพี นั คาท่ไี หน มวี ชิราวุธท่ไี หน มชี า้ งเอราวณั ท่ไี หน ท่แี ท้ ท่านผูน้ นั้ เป็น พรหม ท่านรูว้ ่าคนท่เี ป็นพราหมณป์ ระมาทกนั จึงมาเพอ่ื ประกอบไวใ้ นพระเวทแลเวทางคเ์ ป็นตน้ ต่างหากเล่า. คนอ่นื ท่ี เป็นบณั ฑติ ก็ปรามคนเหลา่ นนั้ ทงั้ หมดพูดอย่างน้ีว่า ท่านผูน้ ้ีมใิ ช่พระจนั ทรเ์ พญ็ มใิ ช่กามเทพ มใิ ช่ทา้ วสหสั นยั น์ มใิ ช่ พรหมทงั้ นน้ั แต่ท่านผูน้ ้ีเป็นอจั ฉรยิ มนุษย์ จะเป็นศาสดาผูน้ าโลกทง้ั ปวง เมอ่ื ชาวนครเจรจากนั อยู่อย่างน้ี พวกราชบุรุษก็กราบทูลเร่ืองนน้ั แด่พระเจา้ พิมพสิ ารว่า ขา้ แต่สมมตุ ิเทพ เทพ คนธรรพ์ หรอื นาคราช ยกั ษ์ หรือใครหนอเทย่ี วแสวงหาภกิ ษาในนครของเราพระราชาทรงสดบั เร่อื งนนั้ แลว้ ทรง ยนื ณ ประสาทชนั้ บน ทรงเหน็ พระมหาบรุ ุษเกดิ จิตอศั จรรยไ์ มเ่ คยมี ทรงสงั่ พวกราชบรุ ุษว่า พวกท่านจงไปทดสอบ ท่านผูน้ น้ั ถา้ เป็นอมนุษย์ ก็จกั ออกจากนครหายไป ถา้ เป็นเทวดา ก็จกั ไปทางอากาศ ถา้ เป็นนาคราช ก็จกั มดุ ดนิ ถา้ เป็นมนุษย์ กจ็ กั บรโิ ภคภกิ ษาตามท่ไี ดม้ า ฝ่ายพระมหาบุรุษ มอี ินทรียส์ งบ มพี ระหฤทยั สงบเป็นประหน่ึงดึงดูดสายตามหาชน เพราะความงามแห่ง พระรูป ทรงแลชวั่ แอก รวบรวมอาหารระคนกนั พอยงั อตั ภาพใหเ้ป็นไปได้ เสดจ็ ออกจากนครทางประตูท่เี สดจ็ เขา้ มา บา่ ยพระพกั ตรไ์ ปทางตะวนั ออกแห่งร่มเงาภูเขาปณั ฑวะ ประทบั นงั่ พจิ ารณาอาหาร ไม่มอี าการผดิ ปกติเสวย แต่นน้ั พวกราชบรุ ุษกไ็ ปกราบทูลเร่อื งนนั้ แด่พระราชา ลาดบั นนั้ พระเจา้ แผ่นดินแควน้ มคธ พระนามว่าพมิ พสิ าร ผูอ้ นั เหลา่ พาลชนนึกถงึ ไดย้ าก ผูม้ ีเขาพระเมรุ และเขามนั ทาระเป็นสาระผูท้ รงเป็นแก่นสารแห่งสตั ว์ ทรงมคี วามต่นื เตน้ เพราะการเหน็ ทเ่ี กดิ เพราะไดส้ ดบั คุณของ พระโพธิสตั วเ์ หล่านน้ั ทรงรีบเสด็จออกจากพระนคร บ่ายพระพกั ตรต์ รงภูเขาปณั ฑวะเสด็จไปแลว้ ลงจากพระ ราชยานเสด็จไปยงั สานกั พระโพธิสตั วอ์ นั พระโพธิสตั วท์ รงอนุญาตแลว้ ประทบั นงั่ เหนือพ้นื ศิลา อนั เยน็ ดว้ ยความรกั ของชนผูเ้ ป็นพวกพอ้ งทรงเล่อื มใสในพระอิริยาบถของพระโพธิสตั ว์ ทรงไดร้ บั ปฏสิ นั ถารแลว้ ทรงถามถึงนามและ โคตร ทรงมอบความเป็นใหญ่ทกุ อย่างแด่พระโพธสิ ตั ว์ พระโพธิสตั วต์ รสั ว่า “ขา้ แต่พระมหาราช หม่อมฉนั ไม่ประสงคด์ ว้ ยวตั ถุกาม หรือกิเลสกาม หม่อมฉนั ปรารถนาแต่เฉพาะพระปรมาภิสมั โพธิญาณ จึงออกบวช พระราชาแมท้ รงออ้ นวอนหลายประการ ก็ไม่ไดน้ า้ พระ หฤทยั ของพระโพธิสตั ว์ จึงตรสั ว่า จกั ทรงเป็นพระพุทธเจา้ แน่ จงึ ทูลว่า ก็พระองคเ์ ป็นพระพทุ ธเจา้ แลว้ โปรดเสด็จ มาแควน้ ของหมอ่ มฉนั ก่อน แลว้ เสด็จเขา้ สูพ่ ระนคร‛๔๖ อถ ราชคห วรราชคห นรนรราชวเร นคร ตุ คเต คิรริ าชวโร มนุ ิราชวโร มคิ ราชคโต สุคโตปิ คโต ฯ “เมอ่ื พระนรราช ผูป้ ระเสริฐ เสดจ็ สู่กรุงราชคฤหซ์ ่งึ มเี รือนหลวงอย่างประเสริฐ พระจอมคีรีผูป้ ระเสริฐพระ จอมมนุ ีผูป้ ระเสรฐิ เสดจ็ ไปเป็นเช่นพระยามฤค [ราชสหี ]์ เสดจ็ ไปแลว้ ชอ่ื วา่ เสดจ็ ไปดแี ลว้ ” ๔๖ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๗-๕๑๘. (มธุรตฺถวิ ลิ าสนิ ี) โพธสิ ตฺโต มยหฺ มหาราช วตถฺ กุ าเมหิ วา กเิ ลส-กาเมหิ วา อตฺโถ นตถฺ ิ ฯ ‘อห หิ ปรมา ภสิ มโฺ พธึ ปตฺถยนฺโต นกิ ฺขนฺโตติ อาห ฯ ราชา อเนกปฺปกาเรน ยาจนฺโตปิ ตสฺส จิตฺต อลภติ ฺวา อทฺธา พทุ ฺโธ ภวสิ ฺสติ พทุ ฺธภูเตน ปน ตยา ปฐม มม วิ ชติ อาคนฺตพพฺ ”
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๘๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง เขา้ ศึกษาในสานกั ดาบส ครง้ั นน้ั พระโพธสิ ตั วเ์ สดจ็ จารกิ ไปตามลาดบั เขา้ ไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร และ อทุ กดาบสรามบุตร ในขณะท่แี สวงหาทางอนั ประเสริฐคือความสงบซ่งึ ไม่มที างอ่ืนย่งิ กว่าไดเ้ ขา้ ไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร แลว้ กลา่ ววา่ ‘ทา่ นกาลามะ ขา้ พเจา้ ปรารถนาจะประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นธรรมวนิ ยั น้ี’ เมอ่ื อาตมภาพกลา่ วอย่างน้ี อาฬา รดาบส กาลามโคตรจงึ กลา่ วกบั อาตมภาพวา่ ‘เชญิ ทา่ นอยู่ก่อน ธรรมน้ีกเ็ ป็นเช่นเดียวกบั ธรรมทว่ี ญิ ญูชน จะพงึ ทาให้ แจง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ย่งิ เอง ตามแบบอาจารยข์ องตน เขา้ ถึงอยู่ไดใ้ นเวลาไม่นาน’ จากนน้ั ไมน่ าน อาตมภาพกเ็ รียนรู้ ธรรมนนั้ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว ชวั่ ขณะปิดปากจบเจรจาปราศรยั เท่านนั้ ก็กล่าวญาณวาทะ และเถรวาทะ๔๗ ได้ ทงั้ อาตม ภาพและผูอ้ ่นื กท็ ราบชดั ว่า ‘เรารู้ เราเหน็ ’ (‘ชานามิ ปสฺสามตี ิ จ ปฏชิ านามิ อหญฺเจว อญฺโญ จ) อาตมภาพจงึ คดิ ว่า ‘อาฬารดาบส กาลามโคตร ประกาศธรรมน้ีดว้ ยเหตุเพยี งความเช่อื อย่างเดียวว่า ‘เราทา ใหแ้ จง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองเขา้ ถงึ อยู่’ กห็ ามไิ ด้ แต่อาฬารดาบส กาลามโคตร ยงั รู้ ยงั เหน็ ธรรมน้ีดว้ ยอยา่ งแน่นอน’ จากนนั้ อาตมภาพจงึ เขา้ ไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรแลว้ ถามวา่ ‘ทา่ นกาลามะ ท่านประกาศธรรมน้ีว่า ‘ขา้ พเจา้ ทาใหแ้ จง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองเขา้ ถงึ อยู่’ ดว้ ยเหตุเพยี งเท่าไร’… จากนนั้ อาตมภาพจงึ เขา้ ไปหาอทุ กดาบส รามบตุ ร แลว้ ถามว่า ‘ทา่ นรามะทา่ นประกาศว่า ‘ขา้ พเจา้ ทาให้ แจง้ ธรรมน้ีดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง เขา้ ถงึ อยู่’ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ น้ีหรอื ’ อทุ กดาบส รามบตุ รตอบวา่ ‘ท่านผูม้ อี ายุ ขา้ พเจา้ ประกาศวา่ ‘ขา้ พเจา้ ทาให้ แจง้ ธรรมน้ีดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองเขา้ ถงึ อยู่’ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ น้ีแล’ (อาตมภาพจงึ กลา่ ววา่ ) ‘แมข้ า้ พเจา้ กท็ าใหแ้ จง้ ธรรมน้ีดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง เขา้ ถงึ อยู่’ ดว้ ยเหตเุ พยี งเท่าน้ี’ (อุทกดาบส รามบตุ รกล่าวว่า) ‘ท่านผูม้ อี ายุ เป็นลาภของพวกขา้ พเจา้ พวกขา้ พเจา้ ไดด้ ีแลว้ ท่ไี ดพ้ บเพ่อื น พรหมจารเี ช่นท่าน เพราะ(ขา้ พเจา้ ) รามะประกาศว่า ‘ขา้ พเจา้ ทาใหแ้ จง้ ธรรมใดดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองเขา้ ถงึ อยู่ ท่านก็ ทาใหแ้ จง้ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญาอนั ย่ิงเองเขา้ ถึงอยู่ ท่านทาใหแ้ จง้ ธรรมใดดว้ ยปญั ญาอนั ย่ิงเองเขา้ ถึงอยู่รามะก็ ประกาศว่า ‘ขา้ พเจา้ ทาใหแ้ จง้ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองเขา้ ถงึ อยู่’ รามะทราบธรรมใด ท่านก็ทราบธรรมนนั้ ท่านทราบธรรมใด รามะก็ทราบธรรมนนั้ เป็นอนั ว่า รามะเป็น เช่นใด ท่านกเ็ ป็นเช่นนนั้ ทา่ นเป็นเช่นใด รามะกเ็ ป็นเช่นนนั้ มาเถดิ บดั น้ีท่านจงบรหิ ารคณะน้ี'๔๘ ราชกมุ าร อทุ กดาบส รามบุตรทง้ั ทเ่ี ป็นเพอ่ื นพรหมจารีของอาตมภาพ กย็ งั ยกยอ่ งอาตมภาพไวใ้ นฐานะ อาจารย์ และบูชาอาตมภาพดว้ ยการบชู าอย่างดี ดว้ ยประการอย่างน้ี แต่อาตมภาพคิดว่า ‘ธรรมน้ีไมเ่ ป็นไปเพอ่ื ความ เบอ่ื หน่าย เพอ่ื คลายกาหนดั เพอ่ื ดบั เพอ่ื สงบระงบั เพอ่ื รูย้ ง่ิ เพ่อื ตรสั รู้ และเพอ่ื นิพพาน เป็นไปเพยี ง เพอ่ื เขา้ ถงึ เนว สญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั เิ ท่านน้ั ’ อาตมภาพไมพ่ อใจ เบอ่ื หน่ายธรรมนนั้ จงึ ลาจากไป๔๙…. ๔๗ คาวา่ “ญาณวาทะ” หมายถงึ ลทั ธทิ ว่ี า่ ขา้ พเจา้ รู้ อา้ งใน ม.ม.ู อ.(บาล)ี ๒/๒๗๗/๗๙. คาว่า“เถรวาทะ” หมายถงึ ลทั ธิท่วี ่า ขา้ พเจา้ เป็นใหญ่ อา้ งใน ม.ม.ู อ. ๒/๒๗๗/๗๙. ๔๘ อติ ิ ยาห ธมมฺ ชานามิ ต ตฺว ธมมฺ ชานาสิ ย ตฺว ธมมฺ ชานาสิ ตมห ธมมฺ ชานามิ อติ ิ ยาทโิ ส อห ตาทโิ ส ตวุ ยาทโิ ส ตวุ ตาทโิ ส อห ฯ อา้ งใน ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๔๘๙/๔๔๕. ๔๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๒๗- ๓๒๘/๓๙๕-๓๙๘.
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๘๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ทรงบาเพญ็ เพยี รในรมณียส์ ถาน เมอื่ ศึกษาลทั ธดิ าบสจนไดส้ มาบตั ิ ๘ ทรงดารวิ ่า ทางน้ีไมใ่ ช่ทางแห่งพระโพธิญาณ ไม่ทรงใสพ่ ระหฤทยั ถงึ สมาปตั ตภิ าวนานนั้ มพี ระประสงคจ์ ะทรงตงั้ ความเพยี ร จงึ เสดจ็ ไปยงั อรุ ุเวลาทรงดารวิ า่ ภมู ภิ าคน้ีน่าร่นื รมยจ์ รงิ หนอ ทรงเขา้ อยู่ ณ ตาบลนนั้ ทรงตงั้ ความเพยี รยง่ิ ใหญ่ ชน ๕ คนเหลา่ น้ีคือบุตร ของพราหมณผ์ ูท้ านายพระมหาปุรสิ ลกั ษณะ ๔ คน และพราหมณช์ ่อื โกณฑญั ญะ บวชคอยอยู่ก่อน เทย่ี วภกิ ษาจาร ไปในคามนิคมราชธานีทงั้ หลาย บารุงพระโพธสิ ตั ว์ ณ ทน่ี น้ั ๕๐ ลกั ษณะของสถานทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรม การแสวงหาว่าอะไรเป็นกศุ ล ขณะท่แี สวงหาทางอนั ประเสริฐคือความสงบซ่งึ ไม่มที างอ่ืนย่งิ กว่า เมอ่ื เท่ยี ว จาริกไปในแควน้ มคธโดยลาดบั ไดไ้ ปถงึ ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม ไดเ้หน็ ภูมปิ ระเทศท่ีเหมาะสมแก่การบาเพญ็ เพยี ร กลา่ วคือ ๑. เป็นภมู ปิ ระเทศทนี่ ่ารืน่ รมย์ (รมณีโย ภูมภิ าโค) ๒. มรี าวป่า (วนสณฺโฑ) ๓. น่าเพลดิ เพลนิ ใจ (ปาสาทโิ ก) ๔. มแี มน่ า้ ไหลรินไมข่ าดสาย (นที จ สนฺทต)ิ ๕. มที ่านา้ สะอาดดี น่ารืน่ รมย์ (สโี ตทกา สุปตติ ฺถา รมณียา) ๖. มโี คจรคามอยูโ่ ดยรอบ (สมนฺตา จ โคจรคาโม) ลกั ษณะ ๖ ประการเหลน่ ้ีเหมาะแก่การบาเพญ็ เพยี รของกลุ บตุ รผูป้ รารถนาจะบาเพญ็ เพยี ร’๕๑ อปุ มา ๓ ขอ้ อปุ มา ๓ ขอ้ อนั น่าอศั จรรยอ์ ย่างยง่ิ ซง่ึ ยงั ไมเ่ คยไดย้ นิ มาก่อน ไดป้ รากฏแก่อาตมภาพ คอื ๑. เปรยี บเหมอื นไมส้ ด มยี าง ทแี่ ช่อยู่ในนา้ (อลฺล กฏฐฺ สเสฺนห อทุ เก นิกขฺ ติ ตฺ ) บุรุษนาไมน้ นั้ มาทาไมส้ ไี ฟ ดว้ ยหวงั ว่า ‘เราจกั ก่อไฟใหเ้กดิ ความรอ้ นข้นึ ’ บรุ ุษนน้ั นาไมส้ ด ทม่ี ยี างซง่ึ แช่อยู่ในนา้ มาทาไมส้ ไี ฟ แลว้ สใี หเ้ป็นไฟ เกดิ ความรอ้ นข้นึ ไดไ้ หม‛ ‚ไมไ่ ด้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะไมส้ ดนนั้ มยี าง ทง้ั ยงั แช่อยู่ในนา้ บรุ ุษ นน้ั กม็ แี ต่ความเหน็ดเหน่ือยลาบากเปลา่ ‛ ราชกุมาร อย่างนนั้ เหมอื นกนั สมณะหรือพราหมณเ์ หล่าใดเหล่าหน่ึง มกี ายและจติ ยงั ไม่หลกี ออกจากกาม ยงั มคี วามพอใจ ความรกั ใคร่ ความหลงความกระหาย และความกระวนกระวายในกามทงั้ หลาย ยงั มไิ ดล้ ะและมไิ ด้ ระงบั อย่างเบด็ เสรจ็ ในภายใน สมณะหรอื พราหมณผ์ ูเ้จรญิ เหลา่ นน้ั แมเ้สวยทุกขเวทนาท่กี ลา้ แขง็ หยาบ เผด็ รอ้ น ซ่งึ เกดิ ข้นึ เพราะความเพยี ร กเ็ ป็นผูไ้ มค่ วรแก่การรูก้ ารเหน็ และการตรสั รูอ้ นั ยอดเยย่ี ม แมไ้ ม่ไดเ้สวยทุกขเวทนาทก่ี ลา้ แขง็ หยาบเผด็ รอ้ น ซง่ึ เกดิ ข้นึ เพราะความเพยี ร กเ็ ป็นผูไ้ มค่ วรแก่การรู้ การเหน็ และการตรสั รูอ้ นั ยอดเยย่ี ม ๕๐ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๗-๕๑๘. (มธุรตฺถวิ ลิ าสนิ ี)...อฏฺฐ สมาปตฺตโิ ย นิพพฺ ตฺเตตฺวา ‘นาย มคฺโค โพธิยาติ ต สมาปตฺตภิ าวน อนลงฺกริตฺวา มหาปธาน ปทหติ กุ าโม อรุ ุเวล คนฺตฺวา รมณีโย วตาย ภมู ภิ าโคติ ตตเฺ ถว วาส อปุ คนฺตฺวา มหาปธาน ปทหิ ฯ ลกฺขณปริคฺคาหกพฺราหฺมณาน จตฺตาโร ปตุ ฺตา โกณฺฑญฺโญ พรฺ าหฺมโณ จาติ อเิ ม ปญฺจ ชนา ปฐมเยว ปพพฺ ชติ า คามนคิ มราชธานีสุ ภกิ ขฺ าจริย จรนฺตา ตตถฺ โพธิสตฺต สมปฺ าปณุ ึสุ ฯ ๕๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๒๙/๓๙๘.
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๘๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ๒. เปรยี บเหมอื นไมส้ ด มยี างทีว่ างอยู่บนบก ห่างจากนา้ (อลฺล กฏฐฺ สเสฺนห อารกา อทุ กา ถเล นิกฺขติ ตฺ ) บรุ ุษนาไมน้ นั้ มาทาไมส้ ไี ฟดว้ ยหวงั ว่า ‘เราจกั ก่อไฟใหเ้กดิ ความรอ้ นข้นึ ’ บุรุษนน้ั นาไมส้ ดทม่ี ยี าง ซ่งึ วางอยู่บนบกห่าง จากนา้ มาทาเป็นไมส้ ไี ฟ แลว้ สใี หเ้ป็นไฟเกดิ ความรอ้ นข้นึ ไดไ้ หม‛ ‚ไมไ่ ด้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ขอ้ นน้ั เพราะเหตไุ ร เพราะ ไมย้ งั สดและมยี าง แมจ้ ะวางอยูบ่ นบกหา่ งจากนา้ บรุ ุษนน้ั กม็ แี ต่ความเหน็ดเหน่ือยลาบากเปล่า‛ ‚ราชกุมาร อย่างนน้ั เหมอื นกนั สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหน่ึง แมม้ กี ายและจิตหลกี ออกจากกาม แลว้ แต่ยงั มคี วามพอใจ ความรกั ใคร่ ความหลง ความกระหาย และความกระวนกระวายในกามทงั้ หลาย ยงั มไิ ดล้ ะ และมไิ ดร้ ะงบั อย่างเบด็ เสร็จในภายใน สมณะหรือพราหมณ์ผูเ้ จริญเหล่านน้ั แมเ้สวยทุกขเวทนาท่กี ลา้ แขง็ หยาบ เผ็ดรอ้ น ซ่ึงเกิดข้นึ เพราะความเพียร ก็เป็นผูไ้ ม่ควรแก่การรูก้ ารเห็น และการตรสั รูอ้ นั ยอดเย่ียม แมไ้ ม่ไดเ้ สวย ทุกขเวทนาท่กี ลา้ แขง็ หยาบเผด็ รอ้ น ซ่งึ เกิดข้นึ เพราะความเพยี ร กเ็ ป็นผูไ้ มค่ วรแก่การรู้ การเหน็ และการตรสั รูอ้ นั ยอดเยย่ี ม ๓. เปรียบเหมอื นไมท้ แี่ หง้ สนิท ซง่ึ วางอยู่บนบก ห่างจากนา้ (สุกฺข กฏฐฺ โกฬาป อารกา อทุ กา ถเล นิกขฺ ติ ตฺ ) บุรุษนามาทาเป็นไมส้ ไี ฟดว้ ยหวงั วา่ ‘เราจกั ก่อไฟใหเ้กดิ ความรอ้ นข้นึ ’ ราชกมุ าร พระองคเ์ ขา้ พระทยั ความขอ้ นนั้ ว่าอย่างไร บุรุษนนั้ นาไมท้ แ่ี หง้ สนิทซ่งึ วางอยู่บนบกห่างจากนา้ มา ทาเป็นไมส้ ไี ฟ แลว้ สใี หเ้ป็นไฟเกดิ ความรอ้ นข้นึ ไดไ้ หม‛ ‚ได้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ รเพราะไมแ้ หง้ สนิท ทงั้ วางอยูบ่ นบกหา่ งจากนา้ ‛ ‚ราชกุมาร อย่างนนั้ เหมอื นกนั สมณะหรอื พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหน่ึงมกี าย และจิตหลกี ออกจากกามแลว้ ทงั้ ละและระงบั ความพอใจ ความรกั ใคร่ ความหลงความกระหาย และความกระวนกระวายในกามทง้ั หลายไดอ้ ย่าง เบด็ เสรจ็ ในภายในแลว้ สมณะหรือพราหมณ์ผูเ้จริญเหลา่ นน้ั แมเ้สวยทกุ ขเวทนาทก่ี ลา้ แขง็ หยาบ เผด็ รอ้ นซง่ึ เกดิ ข้ึน เพราะความเพียร ก็เป็นผูค้ วรแก่การรู้ การเห็น และการตรสั รูอ้ นั ยอดเย่ียม แมไ้ ม่ไดเ้ สวยทุกขเวทนาท่ีกลา้ แขง็ หยาบ เผด็ รอ้ น ซง่ึ เกดิ ข้นึ เพราะความเพยี ร กเ็ ป็นผูค้ วรแก่การรู้ การเหน็ และการตรสั รูอ้ นั ยอดเย่ยี ม๕๒ ทรงบาเพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า พระสุตตนั ตปิฎก มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌมิ ปณั ณาสก์ โพธริ าชกมุ ารสูตร๕๓ มบี นั ทกึ ไวว้ า่ ๑. ทางทด่ี ี เราควรกดฟนั ดว้ ยฟนั ใชล้ ้นิ ดนั เพดานไวแ้ น่น ใชจ้ ิตขม่ คนั้ จิต ทาจิตใหเ้ร่ารอ้ น’ อาตมภาพนนั้ กก็ ดฟนั ดว้ ยฟนั ใชล้ ้นิ ดนั เพดานไวแ้ น่น ใชจ้ ติ ขม่ คนั้ จติ ทาจิตใหเ้ร่ารอ้ น เมอ่ื ทาดงั นนั้ เหงอ่ื ก็ไหลออกจากรกั แรท้ งั้ ๒ ขา้ ง๕๔ เหมอื นคนทแ่ี ขง็ แรงจบั คนท่อี ่อนแอกว่าท่ศี ีรษะหรอื ท่คี อ แลว้ บบี คนั้ รดั ไวใ้ หแ้ น่น แมฉ้ นั ใด อาตมภาพก็ ฉนั นนั้ เหมอื นกนั เมอ่ื กดฟนั ดว้ ยฟนั ใชล้ ้นิ ดนั เพดานไวแ้ น่น ใชจ้ ิตข่มคนั้ จติ ทาจิตใหเ้ร่ารอ้ น เหงอ่ื ก็ไหลออกจาก รกั แรท้ ง้ั ๒ ขา้ ง ๕๒ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๒๙-๔๐๑/๓๓๙-๔๐๑. ๕๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๒-๓๓๖/๔๐๑-๔๐๙. ๕๔ ‚ยนฺนูนาห ทนฺเตภิ ทนฺตมาธาย ชวิ ฺหาย ตาลล อาหจฺจ เจตสา จิตฺต อภนิ ิคฺคเณฺหยฺย อภนิ ิปฺปีเฬยฺย อภสิ นฺตาเปยฺยนฺติ ฯ โส โข อห ราช กมุ าร ทนฺเตภิ ทนฺตมาธาย ชวิ ฺหาย ตาลล อาหจจฺ เจตสา จติ ตฺ อภนิ ิคฺคณฺหามิ อภนิ ิปปฺ ีเฬมิ อภสิ นฺตาเปมิ ฯ ตสฺส มยฺห ราชกุมาร ทนฺเตภิ ทนฺตมาธาย ชวิ ฺหาย ตาลล อาหจจฺ เจตสา จติ ตฺ อภนิ คิ ฺคณฺหโต อภปิ ปฺ ีฬยโต อภสิ นฺตาปยโต กจเฺ ฉหิ เสทา มจุ จฺ นฺติ ฯ
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๘๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ปรารภความเพยี รไมย่ ่อหย่อน มสี ติตง้ั มนั่ ไมฟ่ นั่ เฟือน แต่เมอ่ื ถกู ความเพยี รท่ที นไดย้ ากนนั้ เสยี ดแทงอยู่ กายของอาตมภาพกก็ ระวนกระวายไมส่ งบระงบั ” ๒. ‘ทางท่ดี ี เราควรบาเพญ็ ฌาน อนั ไม่มลี มปราณเถดิ ’ ทาการก็กลน้ั ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทางปากและทางจมกู เมอ่ื อาตมภาพกลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทางปากและทางจมกู ลมกอ็ อกทางหูทงั้ ๒ ขา้ ง มเี สยี งดงั อู้ ๆ ลมทชี่ ่างทองสูบอยู่มเี สยี งดงั อูๆ้ แมฉ้ นั ใด เมอ่ื กลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทาง ปากและทางจมกู ลมกอ็ อกทางหูทงั้ ๒ ขา้ ง มเี สยี งดงั อๆู้ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ๕๕ ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน มสี ตติ งั้ มนั่ ไม่ฟนั่ เฟือน แต่เมอ่ื ถกู ความเพียรทท่ี นไดย้ ากนนั้ เสยี ดแทงอยู่ กายของอาตมภาพกก็ ระวนกระวาย ไมส่ งบระงบั ๓. ‘ทางท่ดี ี เราควรบาเพญ็ ฌาน อนั ไม่มลี มปราณเถิด’ ก็ทาการกลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทงั้ ทางปากทางจมกู และทางช่องหู เม่อื กลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทางปากทางจมูกและทางช่องหู ลมอนั แรงกลา้ กเ็ สยี ดแทงศีรษะ คนทแ่ี ขง็ แรงใชเ้หลก็ ทแ่ี หลมคมแทงศีรษะ แมฉ้ นั ใด เมอ่ื อาตมภาพกลน้ั ลมหายใจเขา้ และ ลมหายใจออก ทงั้ ทางปากทางจมูกและทางช่องหู ลมอนั แรงกลา้ ก็เสียดแทงศีรษะ ฉนั นนั้ เหมอื นกนั อาตมภาพ ปรารภความเพยี รไมย่ ่อหยอ่ น มสี ตติ ง้ั มนั่ ไมฟ่ นั่ เฟือน แต่เมอ่ื อาตมภาพถูกความเพยี รทท่ี นไดย้ ากนนั้ เสียดแทงอยู่ กายของอาตมภาพกก็ ระวนกระวาย ไมส่ งบระงบั ๕๖ ๔. ‘ทางทด่ี ี เราควรบาเพญ็ ฌาน อนั ไม่มลี มปราณเถิด’ อาตมภาพก็กลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทางปากทางจมกู และทางช่องหู เมอ่ื อาตมภาพกลน้ั ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทางปากทางจมกู และทาง ช่องหู กม็ ที กุ ขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกลา้ คนทแ่ี ขง็ แรงใชเ้ชอื กหนงั ทเ่ี หนียวขนั ศีรษะ แมฉ้ นั ใด เมอ่ื อาตมภาพกลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทงั้ ทางปากทางจมูกและทางช่องหู ก็มที ุกขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกลา้ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั อาตมภาพปรารภความเพยี รไม่ย่อหย่อน มสี ติตง้ั มนั่ ไมฟ่ นั่ เฟือน แต่เมอ่ื อาตมภาพถกู ความเพยี รท่ที น ไดย้ ากนนั้ เสยี ดแทงอยู่ กายของอาตมภาพกก็ ระวนกระวาย ไมส่ งบระงบั ๕๗ ๕. ‘ทางทด่ี ี เราควรบาเพญ็ ฌาน อนั ไมม่ ลี มปราณเถดิ ’ อาตมภาพกก็ ลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทางปากทางจมกู และทางช่องหู เมอ่ื อาตมภาพกลน้ั ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทง้ั ทางปากทางจมกู และทางช่องหู ลมอนั แรงกลา้ กบ็ าดในช่องทอ้ ง คนฆ่าโคหรอื ลูกมอื ของคนฆ่าโคผูช้ านาญใชม้ ดี แล่เน้ือทค่ี มกรีดทอ้ ง แมฉ้ นั ใด เมอ่ื ๕๕ “ยนฺนูนาห อปปฺ านก ฌาน ฌาเยยฺยนฺติ ฯ โส โข อห ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อปุ รุนฺธึ ฯ ตสฺส มยฺห ราชกุมาร มขุ โต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อปุ รุทฺเธสุ กณฺณโสเตหิ วาตาน นิกฺขนฺตาน อธิมตฺโต สทฺโท โหติ ฯ เสยฺยถาปิ นาม กมมฺ ารคคฺคริยา ธมมานาย อธิมตฺโต สทฺโท โหติ เอวเมว โข เม ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ กณฺณโสเตหิ วาตาน นิกฺขนฺตาน อธิมตฺโต สทฺโท โหติ ฯ ๕๖ ยนฺนูนาห อปปฺ านกเยว ฌาน ฌาเยยฺยนฺติ ฯ โส โข อห ราชกุมาร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโส ตโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อปุ รุนฺธึ ฯ ตสฺส มยหฺ ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อปุ รุทเฺ ธสุ อธิมตฺตา วาตา มทุ ธฺ าน โอหนนฺติ ฯ ๕๗ ยนฺนูนาห อปปฺ านกเยว ฌาน ฌาเยยยฺ นฺติ ฯ โส โข อห ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อปุ รุนฺธึฯ ตสฺส มยฺห ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อปุ รุทฺเธสุ อธมิ ตฺตา วาตา กจุ ฉฺ ึ ปริกนฺตนฺติ ฯ เสยฺยถาปิ ราชกมุ าร ทกฺโข โคฆาตโก วา โค ฆาตกนฺเตวาสี วา ตเิ ณฺหน โควกิ นฺตเนน กจุ ฉฺ ึ ปริกนฺเตยยฺ เอวเมว โข ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสสาสปสฺสาเสสุ อุปรุทฺเธสุ อธิมตฺตา วาตา กจุ ฺฉึ ปรกิ นฺตนฺตฯิ อารทฺธ โข ปน เม ราชกมุ าร วริ ยิ โหติ อสลฺลนี อปุ ฏฐฺ ติ า สติ อปปฺ มมฺ ฏุ ฐฺ า สารทฺโธ จ ปน เม กาโย โหติ อปปฺ ฏปิ ปฺ สฺสทฺโธ เต เนว ทกุ ขฺ ปปฺ ธาเนน ปธานาภติ นุ ฺนสฺส สโต ฯ
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๘๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง อาตมภาพกลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออกทงั้ ทางปากทางจมกู และทางช่องหู ก็มลี มอนั แรงกลา้ บาดในช่องทอ้ ง ฉนั นนั้ เหมอื นกนั อาตมภาพปรารภความเพยี รไมย่ ่อหย่อน มสี ติตงั้ มนั่ ไม่ฟนั่ เฟือน แต่เมอ่ื อาตมภาพถูกความเพยี ร ทท่ี นไดย้ ากนนั้ เสยี ดแทงอยู่ กายของอาตมภาพกก็ ระวนกระวาย ไมส่ งบระงบั ๕๘ ๖. ‘ทางทด่ี ี เราควรบาเพญ็ ฌานอนั ไม่มลี มปราณเถดิ ’ อาตมภาพกก็ ลน้ั ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทงั้ ทางปากทางจมกู และทางช่องหู เมอ่ื อาตมภาพกลนั้ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทงั้ ทางปากทางจมกู และทางช่องหู กม็ คี วามกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกลา้ เหมอื นคนท่แี ขง็ แรง ๒ คนจบั แขนคนท่อี ่อนแอกว่าคนละขา้ ง ย่าง ใหร้ อ้ นบนหลุมถ่านเพลงิ แมฉ้ นั ใด เมอ่ื อาตมภาพกลน้ั ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก ทงั้ ทางปากทางจมกู และทาง ช่องหู กม็ คี วามกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกลา้ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั อาตมภาพปรารภความเพยี รไม่ย่อหย่อน มี สติตง้ั มนั่ ไม่ฟนั่ เฟือน แต่เม่อื อาตมภาพถูกความเพยี รท่ที นไดย้ ากนนั้ เสียดแทงอยู่ กายของอาตมภาพก็กระวน กระวาย ไมส่ งบระงบั ๕๙ เทวดาทงั้ หลายเหน็ แลว้ กพ็ ากนั กลา่ วอยา่ งน้ีว่า ‘พระสมณโคดม ส้นิ พระชนมแ์ ลว้ ’ (กาลกโต สมโณ โคตโม) บางพวกกลา่ วอย่างน้ีว่า ‘พระสมณโคดมยงั มไิ ดส้ ้นิ พระชนม์ แต่กาลงั จะส้นิ พระชนม’์ (กาลกโต สมโณ โค ตโม อปิจ กาล กโรต)ิ บางพวกกลา่ วอย่างน้ีว่า ‘พระสมณโคดมยงั ไมส่ ้นิ พระชนม์ ทง้ั จะไมส่ ้นิ พระชนม์ พระสมณโคดมจะเป็นพระ อรหนั ต์ การอยู่เช่นน้ีนนั้ เป็นวหิ ารธรรม๖๐ ของท่านผูเ้ป็นพระอรหนั ต’์ (น กาลกโต สมโณ โคตโม นปิ กาล กโรติ อรห สมโณ โคตโม วหิ าโร เตวฺ ว โส อรหโต เอวรูโป โหตตี ิ ฯ) ๗. ‘ทางทด่ี ี เราควรปฏบิ ตั ิดว้ ยการอดอาหารทกุ อย่าง’ (ยนฺนูนาห สพพฺ โส อาหารุปจฺเฉทาย ปฏปิ ชฺเชยยฺ นฺติ ฯ) ขณะนน้ั เทวดาทงั้ หลายเขา้ มาแลว้ กลา่ วว่า ‘ขา้ แต่ท่านผูน้ ิรทกุ ข์ ท่านอย่าไดป้ ฏบิ ตั ดิ ว้ ยการอดอาหารทุกอย่าง ถา้ ท่านจกั ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยการอดอาหารทกุ อย่าง ขา้ พเจา้ ทงั้ หลายจะแทรกโอชาอนั เป็นทพิ ยเ์ ขา้ ทางขมุ ขนของท่าน ท่านจะได้ ยงั อตั ภาพใหเ้ป็นไปดว้ ยโอชานน้ั ’ อาตมภาพจงึ มคี วามดาริว่า ‘เราปฏญิ ญาว่า จะตอ้ งอดอาหารทุกอย่าง แต่เทวดา เหลา่ น้ีจะแทรกโอชาอนั เป็นทพิ ยเ์ ขา้ ทางขมุ ขนของเรา เราจะยงั อตั ภาพใหเ้ป็นไปดว้ ยโอชานนั้ การปฏญิ ญานน้ั กจ็ ะพงึ เป็นมสุ าแก่เรา’ อาตมภาพจงึ กลา่ วหา้ มเทวดาเหลา่ นนั้ ว่า ‘อยา่ เลย’ ๘. ‘ทางทด่ี ี เราควรกินอาหารใหน้ อ้ ยลงๆ เพยี งครงั้ ละ ๑ ฟายมอื บา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ ถวั่ เขยี วบา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ ถวั่ พบู า้ งเท่าเยอ่ื ในเมลด็ ถวั่ ดาบา้ ง เทา่ เยอ่ื ในเมลด็ บวั บา้ ง’๖๑ อาตมภาพจึงฉนั อาหารนอ้ ยลงๆ เพยี งครงั้ ละ ๑ ๕๘ ยนฺนูนาห อปฺปานกเยว ฌาน ฌาเยยฺยนฺติ ฯ โส โข อห ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อุปรุนฺธึ ฯ ตสฺส มยหฺ ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อปุ รุทฺเธสุ อธมิ ตฺตา วาตา กจุ ฺฉึ ปรกิ นฺตนฺติ ฯ เสยยฺ ถาปิ ราชกมุ าร ทกโฺ ข โคฆาตโก วา โคฆาตกนฺเตวาสี วา ตเิ ณฺหน โควกิ นฺตเนน กจุ ฺฉึ ปริกนฺเตยฺย... ๕๙ ยนฺนูนาห อปปฺ านกเยว ฌาน ฌาเยยยฺ นฺติ ฯ โส โข อห ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺสาเส อปุ รุนฺธึ ฯ ตสฺส มยฺ ห ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺสาเสสุ อปุ รุทฺเธสุ อธิมตฺโต กายสฺมึ ฑาโห โหติ ฯ เสยฺยถาปิ ราชกุมาร เทฺว พลวนฺโต ปรุ ิสา ทพุ พฺ ลตร ปรุ สิ นานาพาหาสุ คเหตฺวา องฺคารกาสยุ า สนฺตาเปยฺยุ สปริตาเปยยฺ ุ เอวเมว โข เม ราชกมุ าร มขุ โต จ นาสโต จ กณฺณโสตโต จ อสฺสาสปสฺ สาเสสุ อปุ รุทเฺ ธสุ อธิมตโฺ ต กายสฺมึ ฑาโห โหติ ฯ ๖๐ วหิ ารธรรม ในทน่ี ้หี มายถงึ สมาบตั ิ ๘ กลา่ วคอื รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อนั เป็นโลกยิ ะ ดูประกอบใน องฺ.นวก.(ไทย) ๒๓/๔๑/๓๖๐- ๓๖๘. ๖๑ ยนฺนูนาห โถก โถก อาหาร อาหาเรยยฺ ปสต ปสต ยทิ วา มคุ ฺคยูส ยทิ วา กลุ ตฺถยูส ยทิ วา กฬายยูส ยทิ วา หเรณุกยูสนฺติ ฯ
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๘๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ฟายมอื บา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ ถวั่ เขยี วบา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ ถวั่ พูบา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ ถวั่ ดาบา้ ง เท่าเยอ่ื ในเมลด็ บวั บา้ ง เมอ่ื อาตมภาพฉนั อาหารนอ้ ยลงๆ เพยี งครง้ั ละ ๑ ฟายมอื บา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ ถวั่ เขยี วบา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ ถวั่ พูบา้ ง เท่าเยอ่ื ในเมลด็ ถวั่ ดาบา้ ง เท่าเย่อื ในเมลด็ บวั บา้ ง กายจึงซูบผอมมาก อวยั วะนอ้ ยใหญ่ของอาตมภาพจงึ เป็นเหมอื น เถาวลั ยท์ ่ีมขี อ้ มากหรือเถาวลั ยท์ ่ีมขี อ้ ดา เน้ือสะโพกก็ลบี เหมอื นกีบเทา้ อูฐ กระดูกสนั หลงั ก็ผุดเป็นหนามเหมอื น เถาวลั ย์ ซโ่ี ครงทง้ั ๒ ขา้ งข้นึ สะพรงั่ เหมอื นกลอนศาลาเก่า ดวงตาทงั้ ๒ กล็ กึ เขา้ ไปในเบา้ ตา เหมอื นดวงดาวปรากฏ อยู่ในบ่อนา้ ลึก หนงั บนศีรษะก็เห่ียวหดเหมือนลูกนา้ เตา้ ท่ีเขาตดั มาขณะยงั ดิบตอ้ งลมและแดดเขา้ ก็เห่ียวหดไป เพราะเป็นผูม้ อี าหารนอ้ ยนนั้ พอคิดว่า ‘จะลูบพ้นื ทอ้ ง’ กจ็ บั ถงึ กระดูกสนั หลงั คิดว่า ‘จะลูบกระดูกสนั หลงั ’ ก็จบั ถงึ พ้นื ทอ้ ง เพราะพ้นื ทอ้ งของอาตมภาพแนบตดิ จนถงึ กระดูกสนั หลงั อาตมภาพคดิ ว่า ‘จะถ่ายอุจจาระหรือถ่ายปสั สาวะ’ กซ็ วนเซลม้ ลง ณ ท่นี นั้ เมอ่ื จะใหก้ ายสบายบา้ งจึงใชฝ้ ่ามอื ลูบตวั ขนทงั้ หลายทม่ี รี ากเน่าก็หลุดร่วงจากกาย เพราะเป็นผูม้ อี าหารนอ้ ย มนุษยท์ งั้ หลายเหน็ อาตมภาพแลว้ กก็ ลา่ วอย่างน้ีว่า ‘พระสมณโคดมดาไป’ บางพวกก็กลา่ วอย่างน้ีว่า ‘พระสมณโค ดมไมด่ าเพยี งแต่คลา้ ไป’ บางพวกกก็ ลา่ วอย่างน้ีว่า ‘ไมด่ า ไมค่ ลา้ เพยี งแต่พรอ้ ยไป’ เรามผี วิ พรรณบรสิ ุทธ์ิ เปล่ง ปลงั่ เพยี งแต่เสยี ผวิ ไปเพราะเป็นผูม้ อี าหารนอ้ ยเท่านนั้ ๙. ‘สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหล่าหน่ึงในอดตี เสวยทุกขเวทนากลา้ แขง็ หยาบ เผด็ รอ้ น ท่เี กิดข้นึ เพราะ ความเพยี ร ทกุ ขเวทนานน้ั อยา่ งยง่ิ กเ็ พยี งเท่าน้ีไมเ่ กนิ กว่าน้ีไป สมณะหรือพราหมณ์เหลา่ ใดเหล่าหน่ึงในอนาคตเสวย ทกุ ขเวทนากลา้ แขง็ หยาบ เผด็ รอ้ น ท่เี กิดข้นึ เพราะความเพยี ร ทุกขเวทนานน้ั อย่างยง่ิ ก็เพยี งเท่าน้ีไม่เกินกว่าน้ีไป สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหลา่ หน่ึงในปจั จบุ นั เสวยทกุ ขเวทนากลา้ แขง็ หยาบ เผด็ รอ้ นท่เี กดิ ข้นึ เพราะความเพยี ร ทกุ ขเวทนานนั้ อย่างยง่ิ ก็เพยี งเท่าน้ีไม่เกนิ กว่าน้ีไปแต่เราก็ยงั มไิ ดบ้ รรลุญาณทสั สนะท่ปี ระเสริฐอนั สามารถ วเิ ศษยง่ิ กว่าธรรมของมนุษย์ ดว้ ยทกุ กรกริ ยิ าอนั เผด็ รอ้ นน้ี จะพงึ มที างอน่ื เพอ่ื การตรสั รูบ้ า้ งไหม’ จากทก่ี ล่าวมาสามารถสรุปกริ ิยาการทรมานตนไดว้ ่า เมอ่ื พระสทิ ธตั ถะโพธสิ ตั ว์ ไดท้ รงบาเพญ็ เพยี รอย่าง หน่ึง ซ่งึ คนในสมยั นน้ั นิยมว่าเป็นการประพฤติตามธรรมอย่างย่งิ ยวด คือ ทุกรกิริยา การทาความเพยี รเพ่อื บรรลุ ธรรมพเิ ศษ ดว้ ยวธิ กี ารทรมานตนต่างๆ อนั ยากทใ่ี ครๆ จะกระทาได้ แต่เมอ่ื กลา่ วโดยสรุปแลว้ มอี ยู่ ๓ วาระ ไดแ้ ก่ วาระท่ี ๑ ทรงกดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ กดพระตาลุดว้ ยพระชวิ หาไวใ้ หแ้ น่นจนพระเสโทไหลออกจากพระ กจั ฉะ ในเวลานนั้ ทรงไดร้ บั ทกุ ขเวทนาอย่างหนกั เหมอื นกบั มใี ครมาบบี คอไวแ้ น่น แมพ้ ระวรกายจะกระวนกระวาย ไมส่ งบเช่นน้ี พระองคก์ ม็ ไิ ดท้ รงทอ้ ถอยยงั คงบาเพญ็ ต่อไป กระทงั่ ทรงเหน็ ว่าการกระทาอย่างน้ีมใิ ช่ทางตรสั รู้ จงึ ทรง เปลย่ี นอย่างอ่นื ต่อไป วาระท่ี ๒ ทรงผ่อนกลน้ั ลมอสั สาสะปสั สาสะ (การทาเช่นน้ี เรียกว่า อปาณกฌาน ไดแ้ ก่ ความเพ่งไม่มี ปราณ คือกลนั้ ลมหายใจ) เมอ่ื ลมเดนิ โดยทางช่องพระนาสกิ และช่องพระโอษฐไ์ ม่ไดส้ ะดวกก็บงั เกิดเสยี งดงั อูท้ างช่อง พระกรรณทงั้ สองขา้ ง ทาใหป้ วดพระเศียร เสยี ดพระอทุ ร เกิดความเร่ารอ้ นกระบวนกระวายในพระวรกายเป็นกาลงั แต่กย็ งั ไมส่ าเรจ็ จงึ ทรงเปลย่ี นวธิ อี น่ื ต่อไปอีก
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธิกาล‛ ๑๘๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง วาระท่ี ๓ ทรงอดอาหารเสวยแต่วนั ละนอ้ ยๆ บา้ ง เสวยอาหารท่ลี ะเอยี ดบา้ ง จนพระวรกายเหย่ี วแหง้ พระ ฉวเี ศรา้ หมอง พระอฐั ปิ รากฏทวั่ พระวรกาย เมอ่ื ทรงลูบพระวรกาย เสน้ พระโลมาก็ร่วงหลุด มีพระกาลงั นอ้ ย จะเสด็จ ไปขา้ งไหนกซ็ วนลม้ แต่กย็ งั ไมส่ าเรจ็ อกี การท่พี ระองคไ์ ดท้ รงกระทาทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี ซ่งึ นบั ว่าเป็นการดาเนินผดิ ทางนนั้ จะมปี ระโยชนต์ ่อ พระองค์ กล่าวคือจะไดแ้ กค้ วามเขา้ ใจผดิ ของปวงชนทงั้ หลายบรรดาทเ่ี ช่อื มนั่ ในการประพฤติทุกรกิริยาว่าเป็ นกุศล วตั รอนั ไพศาลใหเ้ขา้ ใจถูกทาง ตงั้ อยู่ในสามจี ิปฏบิ ตั มิ ชั ฌิมาปฏิปทา ซ่งึ นบั ว่าเป็นทางรวบรดั ใกลต้ ่อพระนิพพานให้ ภญิ โญยง่ิ ข้นึ และใหเ้กิดความเหน็ ปรากฏชดั ข้นึ ในใจของตนๆ ว่า ทกุ รกิริยาไม่ใช่ทางตรสั รู้ เป็นส่วนแห่งอตั ตกิลม ถานุโยคทาตนเองใหเ้ หน็ดเหน่ือยเสยี เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ นบั ว่าเป็นหนทางแห่งความสะดวกในการประกาศ พระศาสนาของพระองคอ์ ย่างหน่ึง เหตทุ ท่ี รงตดั สนิ พระทยั เลอื กปฏบิ ตั ิภาวนา จงึ มคี วามดาริว่า ‘เราจาไดอ้ ยู่ เม่อื คราวงานของทา้ วสกั กาธิบดีซ่งึ เป็นพระราชบดิ า เรานงั่ อยู่ใตต้ น้ หวา้ อนั ร่มเยน็ ไดส้ งดั จากกามและอกุศลธรรมทงั้ หลายแลว้ บรรลุปฐมฌานท่มี วี ติ ก วจิ าร ปีติและสุขอนั เกิดจากวเิ วกอยู่ ทางนน้ั พงึ เป็นทางแห่งการตรสั รูห้ รอื หนอ’ มคี วามรูแ้ จง้ ท่ตี ามระลกึ ดว้ ยสตวิ ่า ‘ทางนนั้ เป็นทางแห่งการตรสั รู’้๖๒ จึงมี ความดาริว่า ‘เรากลวั ความสุขท่เี วน้ จากกามและอกุศลธรรมทง้ั หลายหรือ’ อาตมภาพกด็ ารวิ ่า ‘เราไม่กลวั ความสุขท่ี เวน้ จากกามและอกศุ ลธรรมทง้ั หลายเลย’ จงึ มคี วามดาริต่อไปว่า ‘เราผูม้ กี ายซูบผอมมากอย่างน้ี จะบรรลุความสุขนนั้ ไม่ใช่ทาไดง้ ่ายเลย ทางทด่ี ี เรา ควรกินอาหารหยาบ คือขา้ วสุก และขนมกุมมาส’ ครง้ั นน้ั ภิกษุปญั จวคั คียเ์ ฝ้ าบารุงอาตมภาพ ดว้ ยหวงั ว่า ‘พระ สมณโคดมบรรลธุ รรมใด จกั บอกธรรมนนั้ แก่เราทงั้ หลาย’ แต่เมอ่ื ใดฉนั อาหารหยาบ คือขา้ วสุกและขนมกุมมาส เมอ่ื นนั้ ภกิ ษุปญั จวคั คียน์ น้ั กเ็ บอ่ื หน่าย จากไปดว้ ยเขา้ ใจวา่ ‘พระสมณโคดมมกั มาก คลายความเพยี ร เวยี นมาเพอ่ื ความเป็นผูม้ กั มากเสยี แลว้ ’๖๓ (เต ปญฺจวคฺคิยา ภกิ ขฺ ู นิพพฺ ชิ ฺช ปกกฺ มสึ ุ ‘พาหุลลฺ โิ ก สมโณ โคตโม ปธานวพิ ภฺ นฺโต อาวตโฺ ต พาหลุ ลฺ ายาต)ิ เมอ่ื ปญั จวคั คยี ์ พากนั บารุงพระโพธสิ ตั ว์ ผูต้ งั้ ความเพยี รย่งิ ใหญ่อยู่ถงึ ๖ ปี ดว้ ยวตั รปฏบิ ตั ิมกี วาดบริเวณ เป็นตน้ ดว้ ยหวงั อยู่ว่า “พระโพธสิ ตั ว์ จกั ทรงเป็นพระพทุ ธเจา้ บดั น้ี จกั ทรงเป็นพระพทุ ธเจา้ บดั น้ี อยู่ประจาสานกั ของ พระโพธสิ ตั วน์ น้ั ” แมพ้ ระโพธิสตั ว์ ก็ทรงยบั ยง้ั อยู่ดว้ ยงาและขา้ วสารเมลด็ เดียว ดว้ ยทรงหมายจกั ทาทกุ กรกริ ยิ าอนั ถงึ ทส่ี ุด ไดท้ รงตดั อาหารโดยประการทงั้ ปวง แมเ้ทวดาทงั้ หลาย กน็ าทพิ โอชะใสล่ งตามขมุ ขนทง้ั หลาย๖๔ ครง้ั นน้ั พระวรกายท่มี สี ีทองของพระองค์ ผูม้ พี ระกายถงึ ความซูบผอมอย่างย่ิง เพราะไม่มอี าหารนน้ั กม็ สี ี ดา พระมหาปุรสิ ลกั ษณะ ๓๒ ก็ถูกปกปิด ลาดบั นนั้ พระโพธิสตั ว์ ทรงถงึ ทส่ี ุดแห่งทุกกรกิริยา ทรงดาริว่า “น้ีไม่ใช่ ๖๒ ปนาห ปิตุ สกฺกสฺส กมมฺ นฺเต สตี าย ชมพฺ ฉุ ายาย นิสนิ ฺโน ววิ จิ ฺเจว กาเมหิ ววิ จิ ฺจ อกุสเลหิ ธมเฺ มหิ สวติ กฺก สวจิ าร วเิ วกช ปีตสิ ุข ปฐม ฌาน อปุ สมปฺ ชฺช วหิ รติ า สยิ า นุ โข เอโส มคฺโค โพธิยาติ ฯ ตสฺส มยฺห ราชกมุ าร สตานุสารีวญิ ฺญาณ อโหสิ เอเสว มคฺโค โพธิยาติ ฯ ๖๓ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๒-๓๓๖/๔๐๑-๔๐๙. ๖๔ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๗-๕๑๘. อถ น ฉพพฺ สฺสานิ มหาปธาน ปทหนฺต อทิ านิ พทุ โฺ ธ ภวสิ ฺสติ อทิ านิ พทุ โฺ ธ ภวสิ ฺสตตี ิ ปรเิ วณสมมฺ ชฺชนาทิ กาย วตฺตปฏปิ ตฺตยิ า อปุ ฏฐฺ หมานา สนฺติกาวจราวสฺส อเหสุ ฯ โพธิสตฺโตปิ โกฏปิ ฺปตฺต ทุกฺกร กริสฺสามตี ิ เอกตลิ ตณฺฑลุ าทหี ิ วตี นิ าเมสิ ฯ สพฺพโสปิ อาหารุปจเฺ ฉท อกาสิ ฯ เทวตาปิ โลมกูเปหิ ทพิ โฺ พช อปุ หารยมานา ปกขฺ ปิ ึสุ ฯ
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๘๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ทางแห่งพระโพธิญาณ มพี ระประสงคจ์ ะเสวยอาหารหยาบ จึงเสด็จเขา้ ไปบณิ ฑบาต ณ คามนิคมทง้ั หลาย เสวยพระ กระยาหาร” ลาดบั นน้ั พระมหาปรุ สิ ลกั ษณะ ๓๒ กก็ ลบั เป็นปกติ พระวรกายมสี เี หมอื นสที อง๖๕ ขณะนนั้ ภกิ ษุปญั จวคั คีย์ เหน็ พระองค์ กค็ ิดว่า ท่านผูน้ ้ี แมท้ าทุกกรกิริยามา ๖ ปี กไ็ มอ่ าจแทงตลอดพระ สพั พญั ญุตญาณได้ มาบดั น้ียงั เท่ยี วบณิ ฑบาตไปในคามนิคมราชธานีทง้ั หลาย บริโภคอาหารหยาบ จกั อาจไดอ้ ย่างไร ท่านผูน้ ้ีมกั มากคลายความเพยี รประโยชนอ์ ะไรของเราดว้ ยท่านผูน้ ้ี แลว้ ก็ละพระมหาบรุ ุษ ทงั้ หมดจึงพรอ้ มใจกนั หนี ไปอยู่ยงั ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั กรุงพาราณสี๖๖ (ปจั จุบนั น้ีเรียกว่า สารนารถ ไกลจากสถานท่พี ระองคบ์ าเพ็ญทุกร กิริยามาประมาณ ๒๐๐ ก.ม.) ใกลเ้ มืองพาราณสี การท่ีพวกปญั จวคั คียห์ ลกี หนีไปก็เป็นความดีแก่พระองคอ์ ยู่ เหมอื นกนั เพราะพระองคส์ ามารถบาเพ็ญเพียรทางจิตไดอ้ ย่างเต็มท่ี ถา้ มคี นอยู่มากก็ก่อใหเ้ กิดความพลุกพล่าน ก่อใหเ้กดิ อนั ตรายต่อความสงบของพระองค์ ซ่งึ นบั เป็นโชคอยา่ งยง่ิ อยู่เหมอื นกนั จากเร่ืองดงั กล่าวมาขา้ งตน้ มีขอ้ สงสยั บางประการท่ีพระโพธิสตั วส์ ิทธตั ถะเสด็จหนีออกผนวชในเวลา กลางคืน โดยทพ่ี ระราชบดิ าและพระราชมารดาไมท่ รงทราบ แต่พระไตรปิฎกไดบ้ นั ทกึ ไวใ้ นพระสุตตนั ตปิฎก มชั ฌิม นิกาย มชั ฌมิ ปณั ณาสก์ โพธริ าชกุมารสูตร พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚ราชกมุ าร ก่อนการตรสั รู้ แมอ้ าตมภาพยงั เป็น โพธิสตั ว์ ยงั ไม่ไดต้ รสั รู้ ไดม้ คี วามคิดอย่างน้ีว่า ‘บุคคลจะไม่ประสบความสุขดว้ ยความสุข แต่บุคคลจะประสบ ความสุขไดด้ ว้ ยความทกุ ขเ์ ท่านน้ั ’ ในกาลต่อมาอาตมภาพยงั หนุ่มแน่น แขง็ แรง มเี กศาดาสนิท อยู่ในปฐมวยั เมอื่ พระราชมารดาและพระราชบดิ าไมท่ รงปรารถนาจะใหผ้ นวช มพี ระพกั ตรน์ องดว้ ยนา้ พระเนตร ทรงกนั แสงอยู่ จงึ โกน ผมและหนวด นุ่งห่มผา้ กาสาวพสั ตร์ ออกจากวงั บวชเป็นบรรพชติ เมอื่ บวชแลว้ ก็แสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล ขณะที่ แสวงหาทางอนั ประเสริฐคือความสงบซง่ึ ไมม่ ที างอ่นื ยง่ิ กวา่ ไดเ้ขา้ ไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร.…‛๖๗ จากพทุ ธดารสั น้ีแสดงใหเ้หน็ ว่า พระเจา้ สุทโธทนะและพระประยูรญาตทิ รงทราบดกี ว่าสทิ ธตั ถะราชกุมารจะ ออกผนวช แต่ไม่อาจทกั ทว้ งหา้ มปราบได้ ปญั หาจึงมวี ่าทาไมทกั ทว้ งหา้ มปราบไม่ได้ คงมเี หตุจาเป็นบางประการ เกิดข้นึ แต่ไม่ไดร้ บั การบนั ทกึ เป็นหลกั ฐาน หรือถา้ พระสิทธตั ถกุมารเสด็จหนีบวชจริงตามอรรถกถาบนั ทึกไว้ แต่ ทาไมพระเจา้ สุทโธทนะพระราชบดิ าไม่ส่งคนไปตามแลว้ ออ้ นวอนใหก้ ลบั พระนคร แต่ไม่มปี รากฏว่ามกี ารทาเช่นนนั้ แต่ในกรณีน้ีมคี วามน่าจะเป็นวา่ เมอ่ื เสดจ็ หนีในเวลากลางคืน แต่พระราชบดิ ามาทราบขา่ วในตอนเชา้ หรอื กลางวนั ท่ี นานฉนั นะกลบั มาทูลแลว้ และบอกว่าพระกมุ ารทรงผนวชแลว้ โดยทรงตดั ผม โกรนหนวด๖๘ ครองผา้ กาสาวพสั ตร์ ในเร่ืองน้ีสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ทรงวนิ ิจฉยั วา บางทกี ารตดั พระเมาล(ี ตดั ผม) นนั้ เองเป็นเหตุใหพ้ ระราชบดิ าและ ๖๕ ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๗-๕๑๙. อถ โพธสิ ตฺโต ทกุ กฺ รการิกาย อนฺต คนฺตฺวา “นาย มคฺโค โพธิยาติ โอฬารกิ อาหาร อาหาเรตุ คามนิคเม สุ ปิณฺฑาย จรติ วฺ า อาหาร อาหริฯ อถสฺส ทวฺ ตฺตสึ มหาปรุ ิสลกขฺ ณานิ ปากตกิ านิ อเหสุ กาโย สวุ ณฺณวณฺโณ อโหสฯิ ๖๖ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๗-๕๑๙.อถ ปญฺจวคฺคยิ า ภกิ ขฺ ู ตทสิ ฺวา อย ฉพฺพสฺสานิ ทกุ ฺกรการิก กโรนฺโตปิ สพฺพญฺญุต ปฏวิ ชิ ฺฌิตุí นาสกฺขิ อทิ านิ คามนิคมราชธานีสุ ปณิฑาย จริตฺวา โอฬาริก อาหาร อาหริยมาโน กึ สกฺขสิ ฺสติ พาหุลฺลโิ ก เอส ปธานวพิ ภฺ นฺโต กึ โน อมิ นิ าติ มหาปรุ ิส ปหาย พาราณสยิ อสิ ปิ ตน อคมสุ ฯ ๖๗ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๒๗/๓๙๕. ๖๘ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๑๓. โพธสิ ตโฺ ต จนิ ฺเตสิ ‘อเิ ม มยฺห เกสา สมณสารุปปฺ า น โหนฺติ เต ขคฺเคน ฉินฺทสิ ฺสามตี ิ ทกฺขเิ ณน หตฺเถน ปรม นิสติ มสวิ รคเหตวฺ า วามหตฺเถน โมฬยิ า สทฺธึ จูล คเหตวฺ า ฉินฺทิ เกสา ทฺวงฺคุลมตตฺ า หุตวฺ า ทกฺขณิ โต อาวตตฺ มานา สเี ส อลลฺ ยี สึ ุ ฯ
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๘๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พระญาตสิ ้นิ หวงั ในพระองค์ เพราะไดย้ นิ ว่า คนในครงั้ นนั้ ถอื การตดั ผมว่าเป็นเสนียดจญั ไร คนทต่ี ดั ผมแลว้ เป็นท่ดี ู หมน่ิ ของคนทงั้ หลาย”๖๙ นางสชุ าดาถวายขา้ วมธุปายาส สมยั นนั้ วนั วสิ าขบูรณมี พระมหาบุรุษเสวยขา้ วมธุปายาส ซ่งึ เทวดาใส่ทพิ โอชะ อนั หญงิ วยั รุ่นช่อื สุชาดา ผู้ บงั เกิดในครอบครวั ของเสนานีกุฎมุ พี ตาบลอุรุเวลา เสนานิคม ถวายแลว้ ๗๐ ทรงถอื ถาดทองคาราคาแสนกหาปณะ วางลงสู่กระแสแมน่ า้ เนรญั ชรา ปลุกพระยากาฬนาคราช ผูห้ ลบั ใหต้ ่นื แลว้ ๗๑ ครง้ั นนั้ พระโพธิสตั วท์ รงพกั กลางวนั ณ สาลวนั ซง่ึ ประดบั ดว้ ยดอกไมห้ อม มแี สงสเี ขยี ว น่ารน่ื รมย์ รมิ ฝงั่ แมน่ า้ เนรญั ชราเวลาเย็น เสด็จมงุ่ ตรงไปยงั ตน้ โพธิ พฤกษต์ ามทางท่เี ทวดาทงั้ หลายประดบั แลว้ เทวดา นาค ยกั ษ์ สทิ ธาเป็นตน้ พากนั บูชาดว้ ยดอกไมข้ องหอมเคร่อื ง ลูบไล ้ สมยั นน้ั คนหาหญา้ ชื่อโสตถิยะ ถือหญา้ เดินสวนทางมา รูอ้ าการของพระมหาบุรุษ จึงถวายหญา้ ๘ กา พระโพธสิ ตั วท์ รงรบั หญา้ แลว้ เสด็จเขา้ ไปยงั โคนโพธิพฤกษช์ ่อื ตน้ อสั สตั ถะ๗๒ ซง่ึ เป็น วชิ ยั พฤกษอ์ นั รุ่งโรจนก์ ว่าหมู่ ตน้ ไมท้ ง้ั หลาย คลา้ ยอญั ชนั คิรีสเี ขยี วครามประหน่ึงช่วยบรรเทาแสงทนิ กร มรี ่มเงาเย็น เยน็ ดว้ ยพระกรุณา ดงั พระ หฤทยั ของพระองค์ เวน้ จากการชมุ นุมของวหิ คนานาชนิด ประดบั ดว้ ยก่งิ อนั ทบึ ตอ้ งลมอ่อนๆ โชยมาประหน่ึงฟ้อนรา และประดุจยินดีดว้ ยปีติ ทรงทาประทกั ษณิ พญาอสั สตั ถพฤกษ์ ๓ ครง้ั ประทบั ยนื ทางทิศอีสาน ทรงจบั ยอดหญา้ เขยา่ ทนั ใดนนั่ เอง ก็มีบลั ลงั ก์ ๑๔ ศอก หญา้ เหล่าน้นั ก็เป็นเหมือนจิตรกรวาดไว้ พระโพธิสตั วป์ ระทบั นงั่ ขดั สมาธิเหนือสนั ถตั หญา้ ๑๔ ศอก ทรงอธิษฐานความเพยี รประกอบดว้ ยองค์ ๔ ทรงทาลาตน้ โพธิพฤกษ์ ๕๐ ศอกไวเ้บ้อื งหลงั ดงั ลาตน้ เงนิ ทเ่ี ขาวางไวเ้หนือตงั่ ทอง กนั้ ดว้ ยก่งิ โพธพิ ฤกษเ์ หมอื นฉตั รมณีไวเ้บ้อื งบน ประทบั นงั่ ก็ ยอดอ่อนโพธิพฤกษล์ ่วงลงมาท่ีจีวรสีทองของพระองค์ ก็รุ่งโรจนเ์ หมอื นวางแกว้ ประพาฬไวท้ ่ีแผ่นทอง เม่อื พระ โพธสิ ตั ว์ ประทบั นงั่ ณ โพธบิ ลั ลงั ก์ วสวตั ดมี าร เทพบตุ รคิดว่า สทิ ธตั ถกุมารประสงคจ์ ะล่วงวสิ ยั ของเรา บดั น้ีเราจกั ไมใ่ หส้ ทิ ธตั ถะกมุ าร นน้ั ลว่ งวสิ ยั จงึ บอกความนน้ั แก่กองกาลงั ของมาร แลว้ พากองกาลงั มารออกไป ๖๙ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิ ริ ญาณวโรรส, พทุ ธประวตั ิ เลม่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๐), หนา้ ๓๓. ๗๐ เนรญั ชรา และ มธุปายาส อา้ งใน ข.ุ พทุ ธฺ .(ไทย) ๓๓/๑๑/๖๗๑. อนั ทจ่ี ริงนางสุชาดาไมไ่ ดต้ งั้ ใจถวายขา้ วแก่พระโพธิสตั ว์ แต่นางตั้งความ ปรารถนาท่โี คนตน้ ไทรว่า “ถา้ จะมคี รอบครวั ก็ขอใหม้ ตี ระกูลเสมอกนั ขอใหไ้ ดล้ ูกชายเป็นคนแรก และจกั ทาพลกี รรมถวายทุกๆ ปี ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ” ความปรารถนาของนางดงั กลา่ วสาเร็จ ในวนั เพญ็ เดอื น ๖ นางไดเ้ค้ยี วขา้ วมธุปายาสอย่างดเี ลศิ แต่งเคร่ืองประดบั สวยงามพรอ้ มสบั วางถาด ไวบ้ นศีรษะเดนิ ตรงไปยงั โคนตน้ ไทร เหลอื บมองไปเหน็ พระโพธิสตั ว์ มใี จเป็นมาก ตง้ั แต่มองเห็นทม่ี นั่ ใจว่า “เป็นรุกขเทวดาแน่นอน” ก็ค่อยๆ นอ้ ม บรรจงถวายพรอ้ มนา้ เสวยท่อี บดว้ ยกล่นิ ดอกไม้ ฯลฯ ทรงสนานพระวรกายแลว้ ข้นึ มาประทบั นงั่ เสวยขา้ วมธุปายาสจานวน ๔๙ ปนั้ จนหมด ฯลฯ (เอกฏฺฐติ าลปกฺกปปฺ มาเณ เอกูนปณฺณาสปิณฺเฑ กตวฺ า สพพฺ อปโฺ ปทกมธุปายาส ปริภญุ ฺชติ ฯ) อา้ งใน ข.ุ ชา.อ.(บาล)ี ๒๘/๑๒๘-๑๒๙. (ชาตกฏฐฺ กถา เอก นิปาตวณฺณนา นทิ านกถา) ๗๑ อถ มหาปรุ ิโส วสิ าขปณุ ฺณมาย อรุ ุเวลาย เสนานิคเม เสนากุฏุมพฺ กิ สฺส เคเห นิพฺพตฺตา สุชาตา นาม ทาริกา อโหสิ ฯ ตาย สมปฺ สาทนชา ตาย ทนิ ฺน ปกฺขติ ฺตทพิ โฺ พช มธุปายาส ปริภญุ ฺชติ ฺวา สุวณฺณปาตึ คเหตฺวา เนรญฺชราย ปฏโิ สต ขปิ ิตฺวา กาฬนาคราช สุปนฺต โพเธสิ ฯ อา้ งใน ข.ุ พทุ ฺธ.อ. (บาล)ี ๔๔/๕๑๙. (มธุรตฺถวลิ าสนิ ี) ๗๒ ตสฺมึ สมเย โสตฺถิโย นามตณิ หารโก ตณิ อาทาย ปฏปิ เถ อาคจฉฺ นฺโต มหาปรุ ิสสฺส อาการ ญตวฺ า อฏฺฐ ตณิ มฏุ ฐฺ โิ ย อทาสิ ฯ อา้ งใน ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๒๐. (มธุรตถฺ วลิ าสนิ ี)
บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๑๘๙ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ไดย้ นิ ว่าทพั มารนนั้ ขา้ งหนา้ ของมาร ก็ขนาด ๑๒ โยชน์ ขา้ งขวาและขา้ งซา้ ยก็อย่างนนั้ แต่ขา้ งหลงั ตง้ั อยู่ สุดจกั รวาล เบ้อื งบนสูง ๙ โยชน์ ไดย้ นิ เสยี งคาราม ดงั เสยี งแผน่ ดนิ คาราม ตงั้ แต่เกา้ พนั โยชน.์ สมยั นน้ั ทา้ วสกั กเทวราช ทรงยนื เป่าสงั ข์ ช่อื วชิ ยุตตระ เขาว่าสงั ขน์ นั้ ยาวสองพนั ศอก. คนธรรพเ์ ทพบุตร ช่ือปญั จสิขะ ถือพิณสีเหลอื งดงั ผลมะตูม ยาวสามคาวุตบรรเลง ยืนขบั รอ้ งเพลงประกอบดว้ ยมงคล ทา้ วสุยาม เทวราช ทรงถือทิพยจามร อนั มสี ริ ิดงั ดวงจนั ทรย์ ามฤดูสารท ยาวสามคาวุต ยนื ถวายงานพดั ลมอ่อนๆ ส่วนทา้ ว สหมั บดพี รหม ยนื กน้ั ฉตั รดงั จนั ทรด์ วงทส่ี อง กวา้ งสามโยชน์ ไวเ้บ้อื งบนพระผูม้ พี ระภาคเจา้ แมแ้ ต่มหากาฬนาคราช อนั นาคฝ่ายฟ้อนราแปดหม่นื แวดลอ้ ม ร่ายคาถาสดุดนี บั รอ้ ยยนื นมสั การพระมหาสตั ว์ เทวดาในหมน่ื จกั รวาล บูชา ดว้ ยพวงดอกไมห้ อมและจรุ ณธูปเป็นตน้ พากนั ยนื ถวายสาธุการ๗๓ ลาดบั นน้ั เทวบตุ รมารข้นึ ชา้ งทก่ี นั ขา้ ศึกได้ เป็นชา้ งทป่ี ระดบั ดว้ ยรตั นะ ช่อื คิรเิ มขละ งามน่าดูอย่างยง่ิ เสมอื นยอดหมิ ะคริ ี ขนาดรอ้ ยหา้ สบิ โยชน์ เนรมติ แขนพนั แขน ใหจ้ บั อาวุธต่างๆ ดว้ ยการจบั อาวุธทย่ี งั ไมไ่ ดจ้ บั แมบ้ รษิ ทั ของมารมกี าลงั ถอื ดาบ ธนู ศร หอก ยกธนู สาก ผาล เหลก็ แหลมหอก หลาว หนิ คอ้ น กาไลมอื ฉมวก กงจกั ร เคร่อื งสวมคอ ของมคี ม มหี นา้ เหมอื นกวาง ราชสหี ์ แรด กวาง หมู เสอื ลงิ งู แมว นกฮูก และมหี นา้ เหมอื นควาย ฟาน มา้ ชา้ งพลายเป็นตน้ มกี ายต่างๆ น่ากลวั น่าประหลาดน่าเกลยี ด มกี ายเสมอื นมนุษยย์ กั ษป์ ีศาจ ท่วมทบั พระมหาสตั วโ์ พธิสตั ว์ ผูป้ ระทบั นงั่ ณ โคนโพธิพฤกษ์ เดินหอ้ มลอ้ ม ยืนมองดูการสาแดงของมาร แต่นนั้ เม่อื กองกาลงั ของมาร เขา้ ไปยงั โพธิมณั ฑสถานบรรดาเทพเหล่านนั้ มีทา้ วสกั กะเป็นตน้ เทพแมแ้ ต่องคห์ น่ึง ก็ไม่ อาจจะยนื อยู่ได้ เทพทง้ั หลายก็พากนั หนีไปต่อหนา้ ๆ นนั่ แหละ ก็ทา้ วสกั กะเทวราช ทาวิชยุตตรสงั ขไ์ วท้ ่ปี ฤษฎางค์ ประทบั ยืน ณ ขอบปากจกั รวาล ทา้ วมหาพรหม วางเศวตฉตั รไวท้ ่ีปลายจกั รวาลแลว้ ก็เสด็จไปพรหมโลก. กาฬ นาคราชกท็ ้งิ นาคนาฏกะไวท้ งั้ หมด ดาดนิ ไปยงั ภพมญั เชรกิ นาคพภิ พลกึ ๕๐๐ โยชน์ นอนเอามอื ปิดหนา้ ไม่มแี มแ้ ต่ เทวดาสกั องคเ์ ดียว ท่จี ะสามารถอยู่ในท่นี น้ั ได้ ส่วนพระมหาบรุ ุษ ประทบั นงั่ อยู่แต่ลาพงั เหมอื นมหาพรหมในวมิ าน ว่างเปลา่ นิมติ รา้ ย ทไ่ี มน่ ่าปรารถนาเป็นอนั มากปรากฏก่อนทีเดยี ววา่ บดั น้ี มารจกั มา ดงั น้ี เมอ่ื เวลาการยุทธข์ องพระยามาร และของพระผูเ้ผ่าพนั ธุแ์ ห่งไตรโลก ดาเนินไปอยู่อกุ กาบาตอนั รา้ ยกาจกต็ ก ลงโดยรอบ ทศิ ทง้ั หลายก็มดื คลุม้ ดว้ ยควนั แผ่นดนิ แมน้ ้ีไม่มใี จ ก็เหมอื นมใี จ ถงึ ความพลดั พราก เหมอื นหญงิ สาว พลดั พรากสามี แผ่นดินท่ที รงสระต่างๆ พรอ้ มทง้ั สาครก็หวนั่ ไหว เหมอื นเถาวลั ยต์ อ้ งลมพดั แรง มหาสมทุ รก็มนี า้ ปนั่ ป่วน แมน้ า้ ทงั้ หลายกไ็ หลทวนกระแส ลาตน้ ไมต้ ่างๆ กค็ ดงอแตกตดิ ดนิ แห่งภผู าทงั้ หลาย ลมรา้ ยกพ็ ดั ไปรอบๆ มเี สยี งอกึ ทกึ ครกึ โครมความมดื ทป่ี ราศจากดวงอาทติ ย์ กเ็ ลวรา้ ย ตวั กะพนั ธก์ ็ท่องไป กลางหาว ลางรา้ ยอนั พลิ กึ ดงั กล่าวไมน่ ่าเจริญใจ ไม่น่าปรารถนา ทง้ั ท่อี ยู่ในอากาศและทอ่ี ยู่ภาคพ้นื ดิน เป็นอนั มาก กม็ โี ดยรอบในขณะทม่ี ารมา ส่วนหม่เู ทพทงั้ หลาย เหน็ มารประสงคจ์ ะประหารพระมหาสตั ว์ ผูเ้ป็นเทพแห่งเทพนน้ั ก็ เอน็ ดูพรอ้ มดว้ ยหม่เู ทพก็พากนั ทาเสยี งว่า “หา๊ หา๊ ” แมภ้ ายหลงั กเ็ ห็นมารนนั้ พรอ้ มทง้ั กองกาลงั เป็นอนั มาก ท่ฝี ึก มาดีแลว้ พากนั หนีไปในทิศใหญ่ทิศนอ้ ย อาวุธในมือก็ตกไป พระผูม้ พี ระยศย่ิงใหญ่ ผูแ้ กลว้ กลา้ ปราศจากภยั ๗๓ ดูรายละเอยี ดใน ข.ุ พทุ ธฺ .อ.(บาล)ี ๔๔/๕๒๐. (มธุรตถฺ วลิ าสนิ )ี
บทท่ี ๓ ‚พระพทุ ธศาสนาสมยั ปฐมโพธกิ าล‛ ๑๙๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ประทบั นงั่ อยู่ท่ามกลางกองกาลงั ของมาร เหมอื นพระยาครุฑอยู่ท่ามกลางฝูงวหิ ค เหมอื นราชสหี ผ์ ูย้ ่งิ ยงอยู่ท่ามกลาง ฝูงมฤค ฉะนน้ั ๗๔ ครง้ั นน้ั มารคิดว่า จกั ยงั พระสทิ ธตั ถะใหก้ ลวั แลว้ หนีไป แต่ไม่อาจใหพ้ ระโพธิสตั วห์ นีไปดว้ ยฤทธ์ิมาร ๙ ประการ คือ ลมฝน (วาตวสฺส) เครือ่ งประหาร (ปหรณวสฺส) กอ้ นหนิ (ปาสาณวสฺส) ถ่านไฟ (องฺคารคฺคิ) ไฟนรก (กุกฺ กุฬคฺคิ) ทราย (วาลุกวสฺส) โคลน (กลลวสฺส) ความมดื (อนฺธกาวุฏฺฐิ) มใี จข้งึ โกรธ บงั คบั หม่มู ารว่า พนาย พวกเจา้ หยุดอยูไ่ ย จงทาสทิ ธตั ถะใหไ้ มเ่ ป็นสทิ ธตั ถะ จงจบั จงฆ่า จงตดั จงมดั จงอย่าปล่อย จงใหห้ นีไป ส่วนตวั เอง นงั่ เหนือ คอคชสารช่ือคิรีเมขละ ใชก้ รขา้ งหน่ึงกวดั แกว่งศร เขา้ ไปหาพระโพธสิ ตั วก์ ลา่ วว่า ท่านสิทธตั ถะ จงลุกข้นึ จากบลั ลงั ก์ ทงั้ หม่มู ารก็ไดท้ าความบบี คน้ั รา้ ยแรงย่งิ แก่พระมหาสตั ว๗์ ๕ ครง้ั นน้ั พระมหาบุรุษตรสั คาเป็นตน้ ว่า มาร ท่านบาเพ็ญ บารมเี พอ่ื บลั ลงั กม์ าแต่ครง้ั ไร แลว้ ทรงนอ้ มพระหตั ถข์ วาสู่แผ่นปฐพี ขณะนนั้ นนั่ เอง ลมและนา้ ท่รี องแผ่นปฐพี ซ่งึ หนาหน่ึงลา้ นหน่ึงหมน่ื สพ่ี นั โยชน์ กไ็ หวก่อนต่อจากนน้ั มหาปฐพนี ้ี ซง่ึ หนาสองแสนสห่ี มน่ื โยชนก์ ็ไหว ๖ ครง้ั สายฟ้า แลบและอสนีบาตหลายพนั เบ้อื งบนอากาศ กผ็ า่ ลงมา ลาดบั นน้ั ชา้ งคิรเี มขละกค็ ุกเข่า มารท่นี งั่ บนคอคิรีเมขละ กต็ ก ลงมาท่ีแผ่นดิน แมพ้ รรคพวกของมารก็กระจดั กระจายไปในทิศใหญ่ทศิ นอ้ ย เหมอื นกาแกลบท่กี ระจายไปฉะนนั้ เม่ือพระองคร์ บั หญา้ คา ๘ คามาจากโสตถิยพราหมณ์ผูเ้ ดินสวนทางมาแลว้ นามาปูลาดเป็นบลั ลงั ก์ท่ีควงตน้ โพธ์ิ ประทบั นงั่ สมาธิหนั พระพกั ตรไ์ ปทางทิศตะวนั ออก หนั พระปฤษภางคเ์ ขา้ หาตน้ โพธ์ิ ทรงอธิษฐานอย่างแน่วแน่ ว่า “กามํ ตโจ จ นหารุ จ อฏฺ จ อวสุสสฺ ตุ เม สรีเร อวสุสฺสตุ มํสโลหิตํ ยนฺตํ ปุริสถาเมน ปุริสวิริเยน ปรุ ิสปรกฺกเมน ปตตฺ พฺพํ น ตํ อปาปณุ ติ วฺ า วิริยสฺส สณฺ านํ ภวิสฺสติ” “หนงั เอ็น และกระดูกจงเหอื ดแหง้ ไป เถดิ เน้ือและเลอื ดในสรีระของเรา จงเหอื ดแหง้ ไปกต็ ามที เมอื่ เรายงั ไม่บรรลุผลทพี่ งึ บรรลุดว้ ยเรีย่ วแรงของบรุ ุษ ดว้ ย ความเพยี รของบรุ ุษดว้ ยความบากบนั่ ของบุรุษแลว้ จกั ไมห่ ยดุ ความเพยี รนนั้ ”๗๖ ฌาณ ๔ วชิ ชา ๓ จากนน้ั สิทธตั ถะโพธิสตั ว์ ทรงเจริญสมาธิภาวนาจนไดบ้ รรลุฌาน ๔ แลว้ บาเพญ็ จนไดบ้ รรลุ ๓ ญาณ ดงั บนั ทกึ ไวว้ า่ ลาดบั นนั้ แมพ้ ระมหาบรุ ุษ ทรงกาจดั กองกาลงั ของมารพรอ้ มทง้ั ตวั มารนน้ั ดว้ ยอานุภาพพระบารมที งั้ หลาย ของพระองค์ มขี นั ติ เมตตา วริ ยิ ะและปญั ญาเป็นตน้ ปฐมยาม ทรงระลกึ ถงึ ขนั ธท์ ่อี าศยั มาแต่ก่อน (ปุพเฺ พนิวาสานุสฺ สตญิ าณ) มชั ฌมิ ยาม ทรงชาระทพิ ยจกั ษุ (ทพิ พฺ จกขฺ ญุ าณ/จตูปปาตญาณ) ปจั จสุ มยั ใกลร้ ุ่ง ทรงหยงั่ ญาณลงในปจั จ ยาการท่พี ระพุทธเจา้ ทุกพระองคท์ รงปฏิบตั ิมา ทรงยงั จตุตถฌานมอี านาปานะเป็นอารมณใ์ หเ้กิดแลว้ ทรงทาจตุตถ ฌานนนั้ ใหเ้ ป็นบาทแลว้ ทรงเจริญวิปสั สนา ทรงยงั กิเลสทงั้ ปวงใหส้ ้นิ ไป (อาสวกฺขยญาณ) ดว้ ยมรรคท่ี ๔ ซ่งึ ทรง ๗๔ ดูรายละเอยี ดใน ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๒๓-๕๒๔. (มธุรตถฺ วลิ าสนิ ี) ๗๕ ข.ุ พทุ ฺธ.อ.(บาล)ี ๔๔/๕๒๔. ๗๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๘๔/๒๑๔., ดูเทยี บ องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๕/๖๑., ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๖/๕๗๕., ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๒๘/๓๑๑. โพธิสตฺโต โพธิ รุกฺขกขฺ นฺธ ปิฏฐฺ โิ ต กตวฺ า ปรุ ตฺถาภมิ โุ ข ทฬหฺ มานโส หุตวฺ า “กามํ ตโจ นหารู จ อฏฺฐิ จ อวสุสสฺ ตุ สพฺพํปิ หทิ ํ สรเี ร มํสโลหิตํ อปุ สุสฺสตุ” ตตฺเถว สมมฺ าสมโฺ พธึ อปปฺ ตฺวา อมิ ปลลฺ งฺก น ภนิ ฺทสิ ฺสามตี ิ อสนิสตสนฺนิปาเตนาปิ อเภชฺชรูป อปราชติ ปลลฺ งฺก อาภชุ ติ ฺวา นสิ ที ิ ฯ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 661
Pages: