บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๔๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ แควน้ มคธ ตงั้ อยู่ใตแ้ มน่ าํ้ คงคาตอนกลาง แควน้ โกศล ตง้ั อยูบ่ รเิ วณแมน่ าํ้ คงคาตอนกลาง แควน้ กาสี ตง้ั อยู่ตอนบรรจบของแมน่ าํ้ คงคาและยมนุ า แควน้ ปญั จาละ ตงั้ อยู่ตรงลมุ่ แม่นาํ้ คงคาตอนบนนครหลวงกมั ปิละ ตงั้ อยู่เหนือแมน่ าํ้ คงคา นอกจากนน้ั นครมถิ ลิ า เมอื งหลวงของแควน้ วเิ ทหะ ตงั้ อยู่บนฝงั่ แม่นาํ้ คงคา ตอนกลาง ตรงขา้ มกบั แควน้ มคธ ๔. คนั ธกะ แม่นาํ้ คนั ธกะไหลผ่านทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกของแควน้ วชั ชี ส่วนเมอื งกุสนิ ารานครหลวงของ แควน้ มลั ละ ตง้ั อยูท่ จ่ี ดุ บรรจบของแมน่ าํ้ คนั ธกะ กบั แมน่ าํ้ อจริ วดี (หน่ึงในปญั จมหานท)ี ๕. โคธารวรี แควน้ อสั สกะ ตงั้ อยู่ ณ ลมุ่ แมน่ าํ้ โคธาวรี พราหมณพ์ าวรีอาจารญใ์ หญ่ตง้ั อาศรมสอนไตรเพท อยู่ท่ีฝงั่ แม่นํา้ โคธาวรี ณ สุด เขตแดนแควน้ อสั สกะ พราหมณพาวรีไดส้ ่งศิษย์ ๑๖ คนเดินทางไปถามปญั หา พระพทุ ธเจา้ ณ ปาสาณเจดยี ์ ในแควน้ มคธ ๖. จมั ปา แมน่ าํ้ จมั ปาไหลกน้ั แดนระหว่างแควน้ มคธกบั แควน้ องั คะ ๗. นัมมทา แมน่ าํ้ นมั มทาไหลผ่านแควน้ สุนาปรนั ตะ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั รอยพระบาทไวท้ ร่ี มิ ฝงั่ แมน่ าํ้ นมั มทา เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ องคเ์ สด็จไปแสดงธรรมโปรดชาวสุนาปรนั ตะและนมั มทานาคราช นาคราชขอของทร่ี ะลกึ ไว้ บูชา จงึ ทรงประทบั รอยพระบาทไวน้ บั เป็นรอยพระพทุ ธบาททเ่ี กดิ ข้นึ เป็นครงั้ แรก ๘. เนรญั ชรา แม่นาํ้ เนรญั ชราไหลผ่านแควน้ มคธ ณ ตาํ บลอุรุเวลาเสนานิคมซ่งึ ตง้ั อยู่บนลุ่มแมน่ าํ้ เนรญั ชรา อนั เป็นภูมสิ ถานท่สี งบน่าร่นื รมยพ์ ระมหาบุรุษทรงเลอื กท่แี ห่งน้ีเป็นทบ่ี าํ เพญ็ เพยี ร ทรงประทบั อยู่ ณ ทน่ี ้ี นาน ถงึ ๖ ปี พระมหาบรุ ุษทรงบาํ เพญ็ ทุกรกริ ิยา และเปลย่ี นมาทรงดาํ เนินในมชั ณิมาปฏปิ ทา จนไดต้ รสั รูอ้ นุตรสมั มาสมั โพธญาณ ภายใตร้ ่มพระศรมี หาโพธ์ิ ในตาํ บลน่ี ณ รมิ ฝงั่ แมน่ าํ้ เนรญั ชราแหง่ น้ี ๙. ปญั จมหานที คือ แม่นาํ้ สาํ คญั ๕ สาย อนั มตี น้ กาํ เนิดจากเทอื กเขาหมิ พานต์ (หิมาลยั ) ซง่ึ แถบเชงิ เขา ปกคลมุ ไปดว้ ยป่าไมใ้ หญ่มฝี นตกชุก เป็นแหลง่ ตน้ นาํ้ ลาํ ธารหลายสายไหลลงมาทางใต้ ปญั จมหานที (หรือปญั จนท)ี คือ ๑. แมน่ าํ้ คงคา ๒. แมน่ าํ้ ยมนุ า ๓. แมน่ าํ้ อจริ วดี (หรอื แมน่ าํ้ รบั ด)ิ ๔. แมน่ าํ้ สรภู ๕ แมน่ าํ้ มหี ๑๐. ภาครี ถี แมน่ าํ้ ภาครี ถเี ป็นแควหน่ึงของแมน่ าํ้ คงคาตอนบนแมน่ าํ้ ภาคีรถไี หลผ่านแควน้ ปญั จาละ ๑๑. มหี แมน่ าํ้ เป็นแมน่ าํ้ สายหน่ึงในแม่นาํ้ สาํ คญั ๕ สายทเ่ี รยี กวา่ ปญั จมหานที ๑๒. ยมุนา แม่นาํ้ ยมนุ าเป็นแม่นาํ้ สายหน่ึงในแม่นาํ้ สาํ คญั ๕ สายท่เี รียกว่า ปญั จมหานที บรรดาแควน้ ใน มหาชนบท ๑๖ ท่อี ยู่บรเิ วณลุ่มแมน่ าํ้ ยมนุ ามดี งั น้ี :- แควน้ กาสี ตงั้ อยู่ตอนบรรจบของแมน่ าํ้ ยมนุ าและคงคา, แควน้ วงั สะตง้ั อยู่ทางทิศใตข้ องแม่นาํ้ ยมนุ า นครหลงช่ือกรุงโกสมั พี ตงั้ อยู่เหนือฝงั่ แม่นาํ้ ยมนุ า, แควน้ กุรุ ตงั้ อยู่บนลุ่ม แมน่ าํ้ ยมนุ าตอนบน, แควน้ มจั ฉะ ตงั้ อยูร่ มิ แมน่ าํ้ สนิ ธุกบั ตอนบน, แควน้ สุรเสนะ ตงั้ อยู่รมิ แมน่ าํ้ สนิ ธุกบั แมน่ าํ้ ยมนุ า ตอนลา่ ง ๑๓. โรหิณี แม่นาํ้ โรหณิ ีไหลผ่านเป็นเสน้ แบ่งเขตแดนระหว่างแควน้ ศายะกบั แควน้ โกลยิ ะ แควน้ ทง้ั สองได้ เกิดกรณีพิพาทอนั มีมูลเหตุจากการแย่งกนั ใชน้ ํา้ จากแม่นํา้ โรหิณีเพ่ือทาํ การเกษตร จนเกือบจะเกิดสงคราม พระพทุ ธเจา้ ทรงเสดจ็ มาระงบั การววิ าทระหวา่ งพระญาตทิ ง้ั ๒ ฝ่ายจนสงบลงได้
บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๔๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง พระมหาสาวกอานนทซ์ ่ึงเป็นพระอุปฏั ฐากประจาํ ประองคข์ องพระพุทธเจา้ เป็นเจา้ ชายในศากยวงศ์ เป็น พระโอรสของพระเจา้ สุกโกทนะ ซง่ึ เป็นพระเจา้ อาของเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ครนั้ เมอ่ื พระอานนทด์ าํ รงชีวติ สบื มาจนอายุได้ ๑๒๐ ปี จึงปรินิพพานในอากาศเหนือแม่นํา้ โรหิณี ซ่ึงเป็นเสน้ กน้ั แดนระหว่างแควน้ ของพระญาติทงั้ สองฝ่ ายคือ ศากยะและโกลยิ ะ ๑๔. วคั คุมุทา พระมหาสาวกยโสชะ เป็นบุตรหวั หนา้ ชาวประมงใกลป้ ระตูเมืองสาวตั ถี ไดฟ้ งั พระธรรม เทศนากปิลสูตร ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง มคี วามเลอ่ื มใสขอบวช ต่อมาไปเจริญสมณธรรมท่รี ิมฝงั่ แมน่ าํ้ วคั คุมาทา ได้ สาํ เรจ็ พระอรหตั ๑๕. สรภู แมน่ าํ้ สรภเู ป็นแมน่ าํ้ สายหน่ึงในแมน่ าํ้ สาํ คญั ๕ สายทเ่ี รยี กวา่ ปญั จมหานที ๑๖. สลั ลวตี แมน่ าํ้ สลั ลวตเี ป็นแมน่ าํ้ ทก่ี นั้ อาณาเขตมชั ฌมิ ชนบทหรอื ถน่ิ กลางทม่ี คี วามเจรญิ รุ่งเรอื ง กบั ปจั จนั ตชนบทหรอื หวั เมอื งชนั้ นอกถน่ิ ทย่ี งั ไมเ่ จรญิ ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ นบั จากแมน่ าํ้ สลั ลวตีเขา้ มาถอื เป็นเขต มชั ฌมิ ชนบท ๑๗. สนิ ธุ แมน่ าํ้ สนิ ธุไหลผ่านแควน้ ในมหาชนบท ๑๖ ดงั น้ี แควน้ มจั ฉะ ตงั้ อยูร่ มิ แมน่ าํ้ สนิ ธุกบั แมน่ าํ้ ยมุ นาตอนบน, แควน้ สุรเสนะ ตงั้ อยูร่ ะหว่างแมน่ าํ้ สนิ ธุกบั แมน่ าํ้ ยมนุ าตอนลา่ ง, แควน้ คนั ธาระ ตง้ั อยู่ทางลุม่ แมน่ าํ้ สินธุ ตอนบน ๑๘. โสนะ แควน้ มคธตง้ั อยู่ระหว่างแม่นาํ้ โสนกบั แควน้ องั คะ โดยมแี มน่ าํ้ คงคาอยู่ทางทศิ เหนือ มภี ูเขาวิ นทยั อยู่ทางทศิ ใตแ้ ละทศิ ตะวนั ตก ๑๙. หิรญั วดี แม่นาํ้ หริ ญั วดีนบั เป็นแม่นาํ้ สายสุดทา้ ยท่พี ระพุทธเจา้ เสด็จขา้ ม โดยพระพุทธองคเ์ สด็จไป เมอื งกสุ นิ าราในวนั ทจ่ี ะดบั ขนั ธปรินิพาน ทรงขา้ มแม่นาํ้ หริ ญั วดีเขา้ สู่สาลวโนทยานของมลั ลกษตั รยิ ซ์ ่งึ ตง้ั อยู่ริมแม่นาํ้ แห่งน้ี ณ สาลวโนทยาน พระพทุ ธเจา้ ทรงปรนิ ิพพานแมน่ าํ้ หริ ญั วดี ไหลลงไปบรรจบกบั แมน่ าํ้ สรภู ๒๐. อจริ วดี แมน่ าํ้ อจริ วดี เป็นแม่นาํ้ สายหน่ึงในแมน่ าํ้ สาํ คญั ๕ สายทเ่ี รียกว่าปญั จมหานที แมน่ าํ้ อจริ วดี (หรอื ทเ่ี รยี กว่ารบั ด)ิ มพี ระนครสาวตั ถี นครหลวงของแควน้ โกศลตง้ั อยู่บนฝงั่ ลาํ นาํ้ และจุดท่บี รรจบของแมน่ าํ้ อจริ ว ดกี บั แมน่ าํ้ คนั ธกะเป็นทต่ี งั้ ของนครกสุ นิ าราเมอื งหลวงของแควน้ มลั ละ ๒๑. อโนมา แม่นาํ้ อโนมากนั้ พรมแดนระหว่งแควน้ สกั กะกบั แควน้ มลั ละ เม่อื พระสิทธตั ถะเสด็จออก บรรพชา ทรงมา้ กณั ฐกะเสด็จออกจากกรุงกบลิ พสั ดุย์ ามเทย่ี งคืน ครน้ั ยามเช่ามาถงึ ฝงั่ แม่นาํ้ อโนมา ตรสั สงั่ ใหน้ าย ฉนั นะอาํ มาตยค์ นสนิทนาํ มา้ พระทน่ี งั่ และเครอ่ื งประดบั สาํ หรบั ขตั ตริ าชทงั้ หมดกลบั คืนพระนคร ทรงตดั พระเมลดี ว้ ย พระขรรคอ์ ธฐิ านเพศพรรพชิต ณ ฝงั่ แมน่ าํ้ อโนมาน้ี ๒๒. อสิคนี แม่นาํ้ อสิคนี หรือจนั ทรภาค ไหลผ่านแควน้ มทั ทะนครหลวงช่ือสาคละ ตงั้ อยู่เหนือแม่นาํ้ อสคิ นีหรอื จนั ทรภาคบตุ รแม่นาํ้ มหานที และแมน่ าํ้ กฤษณาไวอ้ กี ดว้ ย สรุปทา้ ยบท พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ จาํ พรรษาและทรงบาํ เพญ็ พทุ ธกจิ ต่างๆ ตลอด ๔๕ พรรษา สรุปไดด้ งั น้ี พรรษาท่ี ๑ ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี
บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๔๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พรรษาท่ี ๒-๔ กรุงราชคฤห์ พรรษาท่ี ๕ กฏู าคารสาลา ป่ามหาวนั กรุงเวสาลี พรรษาท่ี ๖ มกลุ บรรพต พรรษาท่ี ๗ สวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์ พรรษาท่ี ๘ เภสกลาวนั สุงสุมารคริ ะ พรรษาท่ี ๙ กรุงโกสมั พี พรรษาท่ี ๑๐ ป่าปารเิ ลยยกะ พรรษาท่ี ๑๑ ทกั ขณิ าศิริ เอกนาฬา พรรษาท่ี ๑๒ เมอื งเวรญั ชา พรรษาท่ี ๑๓ จาลยิ บรรพต พรรษาท่ี ๑๔ พระเชตวนั กรุงสาวตั ถี พรรษาท่ี ๑๕ กรุงกบลิ พสั ดุ์ พรรษาท่ี ๑๖ เมอื งอาฬวี พรรษาท่ี ๑๗ กรุงราชคฤห์ พรรษาท่ี ๑๘-๑๙ จาลยิ บรรพต พรรษาท่ี ๒๐ กรุงราชคฤห์ พรรษาท่ี ๒๑-๔๕ พระเชตะวนั บา้ ง ปพุ พาราม บา้ ง ณ กรุงสาวตั ถี
บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๓๔๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง คาถามทา้ ยบท คาช้ีแจง : ขอ้ สอบมีลกั ษณะเป็นแบบอตั นยั ใหผ้ ูศ้ ึกษาตอบคาถามทง้ั หมดดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. จงอธบิ ายจดุ หมายทเ่ี ป็นอรรถะของการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธเจา้ ๒. จงอธบิ ายแนวคดิ ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธเจา้ ๓. จงอธิบายหลกั การและวธิ กี ารเผยแผใ่ นการเผยแผ่ธรรมของพระพทุ ธเจา้ ๔. จงอธบิ ายลลี าในการประกาศธรรมของพระพทุ ธเจา้ ๕. จงอธบิ ายธุระหรอื กจิ ในพระพทุ ธศาสนา ๖. จงอธบิ ายพทุ ธกจิ ตามทป่ี รากฏในคมั ภรี ส์ ุมงั คลวลิ าสนิ ี มาใหค้ รบ ๗. จงอธิบายเหตกุ ารณส์ าํ คญั ต่างๆ ในพรรษาท่ี ๕ แห่งพทุ ธกจิ ๘. จงอธิบายวธิ ีการแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ใ์ นพรรษาท่ี ๖ แห่งพทุ ธกจิ ๙. จงอธิบายเหตุการณส์ าํ คญั ในพรรษาท่ี ๗ ของพทุ ธกจิ ๑๐. จงอธิบายเชิงวิเคราะหเ์ หตุการณ์สาํ คญั ในพรรษาท่ี ๙ และ ๑๐ เก่ียวกบั การแตกแยกความสามคั คีแห่งคณะ สงฆ์ ๑๑. จงอธบิ ายหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งตามแบบพระอานนท์ ๑๒. จงอธบิ ายวหิ ารท่ปี ระทบั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ มาโดยลาํ ดบั ๑๓. จงอธบิ ายป่า ตน้ ไม้ และแมน่ าํ้ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ มาโดยลาํ ดบั
บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๓๔๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบบั มหาจุฬาเตปิ ฏก ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. __________. พระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าอฏฐฺ กถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต). พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒๘. กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พผ์ ลธิ มั ม,์ ๒๕๕๙. พระราชวรมนุ ี (ป.อ.ปยุตโฺ ต). เทคนิคการสอนของพระพทุ ธเจา้ . กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ทุ ธธรรม, ๒๕๒๖.
บทท่ี ๕ เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายสง่ิ ทท่ี าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกดิ ความเสอ่ื ม และเกดิ ความเจรญิ ได้ ๒. อธิบายการทาสงั คายนาในสมยั พทุ ธกาลได้ ๓. อธบิ ายการทาสงั คายนาและกาเนิดนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาทได้ ๔. อธบิ ายการทาสงั คายนาและนิกายในลงั กาทวปี ได้ ๕. บอกการทาสงั คายนาและนิกายในเมยี นมา่ รไ์ ด้ ๖. บอกการทาสงั คายนาและนิกายในไทยได้ ๗. อธบิ ายการทาสงั คายนาของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานได้ ขอบเขตเน้ือหา ความนา สง่ิ ทท่ี าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกิดความเสอ่ื ม และเกดิ ความเจรญิ สงั คายนาในสมยั พทุ ธกาล สงั คายนาและกาเนิดนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท สงั คายนาและนิกายในลงั กาทวปี สงั คายนาและนิกายในเมยี นมา่ ร์ สงั คายนาและนิกายในไทย สงั คายนาของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๔๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๕ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๕ เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็ นการกล่าวถึงเหตุทาให้ พระพทุ ธศาสนาเกดิ ความเสอ่ื และเกดิ ความเจรญิ การสงั คายนาในสมยั พทุ ธกาล การสงั คายนาและกาเนิดนิกาย ในพระพุทธศาสนาเถรวาท การสงั คายนาและนิกายในลงั กาทวีป การสงั คายนาและนิกายในเมียนม่าร์ การ สงั คายนาและนิกายในไทย การสงั คายนาของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน และชวี ติ ผลงานของนกั ปราชญส์ าคญั ในฝ่ายเถรวาท หลงั จากท่พี ระพุทธเจา้ ไดป้ รินิพพานสาวกทง้ั หลายมกี ารใหค้ วามสาคญั กบั พระธรรมคาสอนของ พระพทุ ธเจา้ การทจ่ี ะใหพ้ ระสทั ธรรมคาสอนมนั่ คง สบื อายุพระศาสนามกี ารบนั ทกึ ไวน้ น้ั ก็คือการทาสงั คายนา การ ทาสงั คายนาเป็นการจดั คาสอนของพระพทุ ธเจา้ ไวเ้ป็นหมวดหม่เู ป็นการทบทวนคาสอนเพ่อื ประโยชน์แก่ชนรุ่นหลงั แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแมว้ ่าจะมีการสงั คายนาเพ่ือใหค้ าสอนของพระพุทธเจา้ คงอยู่ยงั มีเหตุการณ์สาคญั ในการ สงั คายนาคือ มภี กิ ษุบางกลมุ่ ไมเ่ หน็ ดว้ ย มแี นวคดิ เกย่ี วกบั เรอ่ื งคาสอนไมเ่ หมอื นกนั จงึ ทาใหเ้กดิ นิกายต่างๆ การท่ี ไดศ้ ึกษาเหตุการณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาทจะทาใหท้ ราบ สาเหตุ วธิ ีการ และเป้าหมายของ การสงั คายนา นอกจากนน้ั ยงั ทาใหเ้หน็ ความเช่อื เก่ยี วกบั หลกั คาสอนหลงั พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานทห่ี ลากหลาย ซ่งึ จะทาใหส้ ามารถวเิ คราะหห์ ลกั คาสอนหลงั พทุ ธปรนิ ิพพานไดม้ ากยง่ิ ข้นึ การท่จี ะทราบและเขา้ ใจเหตกุ ารณส์ งั คายนา และนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาทจะตอ้ งศึกษาสาระสาคญั ดงั น้ี ๑. สง่ิ ทท่ี าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกดิ ความเสอ่ื ม และเกดิ ความเจรญิ ๒. สงั คายนาในสมยั พทุ ธกาล ๓. สงั คายนาและกาเนิดนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔. สงั คายนาและนิกายในลงั กาทวปี ๕. สงั คายนาและนิกายในเมยี นมา่ ร์ ๖. สงั คายนาและนิกายในไทย ๗. สงั คายนาของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายสง่ิ ทท่ี าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกดิ ความเสอ่ื ม และเกดิ ความเจรญิ ได้ ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายการทาสงั คายนาในสมยั พทุ ธกาลได้ ๓. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายการทาสงั คายนาและกาเนิดนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาทได้ ๔. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายการทาสงั คายนาและนิกายในลงั กาทวปี ได้ ๕. ผูศ้ ึกษาสามารถบอกการทาสงั คายนาและนิกายในเมยี นมา่ รไ์ ด้ ๖. ผูศ้ ึกษาสามารถบอกการทาสงั คายนาและนิกายในไทยได้
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๔๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๗. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายการทาสงั คายนาของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานได้ ๘. ผูศ้ ึกษาสามารถชวี ติ และผลงานของนกั ปราชญส์ าคญั ในฝ่ายเถรวาทได้ ๙. ผูศ้ ึกษาสามารถอธิบาย สาเหตุของการแตกนิกายตลอดทง้ั อธิบายหลกั ธรรมหลงั พุทธปรินิพพานได้ เพอ่ื ใหเ้หน็ พฒั นาการเก่ยี วกบั คาสอน วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๕ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถราวาท ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาแบบฝึกหดั ในชน้ั เรียน ๓. ศึกษาคน้ ควา้ เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชน้ั เรยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Powerpoint หนา้ ชนั้ เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครงั้ ๗. ทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรียนและนาผลท่ีไดม้ าวิเคราะหพ์ ้นื ฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสิตอนั นาไปสูก่ ารพฒั นาและปรบั ปรุงการเรยี นรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๕ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถราวาท ๒. คาถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาถามประจาบทท่ี ๕ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาความรูเ้หตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ ครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ่วนร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคิดเหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตง้ั ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาภาคเรียน ๖. การทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบท
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๔๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๕.๑ ความนา ก่อนพทุ ธปรินิพพานไดม้ คี วามวติ กกงั วลเกิดข้นึ แก่พระสงฆห์ ลายกลุ่มว่า “‘ปาพจนม์ พี ระศาสดาลว่ งลบั ไป แลว้ พวกเราไมม่ พี ระศาสดา” ในกรณีน้ีพระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั สง่ิ ท่สี าคญั ท่สี ุดคือการยกใหพ้ ระธรรมวนิ ยั เป็นใหญ่เป็น ตวั แทนของพระพุทธองค์ ดงั พุทธพจน์ท่ีว่า “อานนท์ ธรรมและวินยั ทีเ่ ราแสดงแลว้ บญั ญตั ิแลว้ แก่เธอทงั้ หลาย หลงั จากเราลว่ งลบั ไป กจ็ ะเป็นศาสดาของเธอทงั้ หลาย‛๑ นอกจากน้ีพระพทุ ธเจา้ ยงั ไดบ้ อกวธิ แี สดงความเคารพนบั ถอื กนั ระหว่างภกิ ษุกบั ภกิ ษุว่า “ใหเ้รียกผูแ้ ก่กว่า ภนั เต เรยี กผูพ้ รรษานอ้ ยกว่า อาวุโส” ใหน้ บั ถอื กนั เคารพกนั ตามพระ ธรรมวนิ ยั เหตกุ ารณส์ าคญั หลงั จากพระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานมหี ลากหลายประเดน็ ท่ชี วนทาใหศ้ ึกษาและวเิ คราะหว์ ่า มี อะไรเกดิ ข้นึ บา้ ง เกดิ ข้นึ เพราะอะไร ใครเป็นผูห้ รอื กลมุ่ ในประเดน็ ปญั หาเหล่านนั้ ซง่ึ จะไดศ้ ึกษารายละเอยี ดต่อไป เรามกั จะเคยไดย้ นิ คากลา่ วอยูเ่ สมอว่า “ศาสนาเสอ่ื ม” หรือ “ศาสนากาลงั เส่อื ม” แต่ก็มเี สยี งคา้ นสวนข้นึ มา เกอื บจะทนั ควนั ว่า “ศาสนาไม่มีวนั เสอ่ื ม คนตา่ งหากท่ีเสอ่ื มจากหลกั ศาสนา” หรอื “สงั คมต่างหากท่เี ส่อื ม ศาสนาซง่ึ เป็นสจั ธรรมบริสุทธ์ิ ๑๐๐ เปอรเ์ ซ็นตเ์ ต็ม ไม่มวี นั เส่อื ม” ในสงั คมท่ยี ดึ มนั่ ในขนบธรรมเนียมประเพณีของศาสนา ใดๆ กต็ าม เมอ่ื ตอ้ งเผชญิ หนา้ กบั ความเปลย่ี นแปลงของสงั คมสมยั ใหมท่ ม่ี าพรอ้ มกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ก็ มกั จะเกดิ ขอ้ โตแ้ ยง้ น้ีอยู่เสมอ ขอ้ โตแ้ ยง้ น้ีสะทอ้ นใหเ้หน็ ถงึ มมุ มองต่อศาสนาท่แี ตกต่างกนั ๒ ประการ ประการแรก เป็นการมองศาสนาจากมมุ มองทางประวตั ิศาสตร์ ตามทรรศนะของวิลเฟรด สมธิ (Wilfred Smith) นกั วชิ าการศาสนาชาวแคนาดานน้ั ศาสนาทกุ ศาสนาลว้ นแลว้ แต่เกดิ และดาเนินไปตามประวตั ศิ าสตร์ และ ประวตั ิศาสตรน์ นั้ ก็เปลย่ี นแปลงไปตามยุคสมยั ศาสนาจึงมคี วามรุ่งเรืองและความเส่ือม มคี วามเปล่ยี นแปลงอยู่ เสมอ ไม่เคยหยุดน่ิงอยู่กบั ท่ี ศาสนาเป็นกระบวนการทางประวตั ิศาสตรท์ ่มี ชี ีวติ ในตวั ของมนั เอง ในแง่น้ีศาสนาจึง มใิ ช่ความคดิ ทต่ี ายตวั ตวั อย่างเช่น พทุ ธศาสนาเกดิ ข้นึ ในตอนเหนือของอินเดีย ต่อมาไดเ้จริญรุ่งเรืองไปทวั่ แผ่นดิน ชมพทู วปี และไดเ้ผยแผไ่ ปทวั่ ทงั้ เอเชยี กลางอยา่ งสนั ติ (โดยเฉพาะอย่างยง่ิ แถบประเทศอฟั กานิสถานในปจั จุบนั ) เป็น เวลานบั พนั ปี ต่อมาพทุ ธศาสนาไดเ้สอ่ื มไปจากอนิ เดีย เน่ืองจากการฟ้ืนตวั ของศาสนาฮนิ ดู และพทุ ธศาสนาก็หมดไป จากเอเชียกลางเน่ืองจากการแผ่ขยายอานาจของกองทพั อิสลามในบริเวณนน้ั เป็นเร่ืองท่ฟี งั ไม่ข้นึ ถา้ เราจะบอกว่า พระพุทธศาสนาในอินเดียและในเอเชียกลางไม่เส่อื ม คนอินเดียและคนแถบเอเชียกลางต่างหากท่เี ส่อื ม เม่อื พุทธ ศาสนามิไดเ้ ป็นแนวทางในการดาเนินชีวิตของผูค้ นในอินเดียและในเอเชียกลางอีกต่อไป เราไม่อาจพูดไดว้ ่าพุทธ ศาสนายงั คงอยู่ในอินเดียและในเอเชียกลางไม่รูจ้ กั เส่อื ม เช่นเดยี วกนั ถา้ หากวนั ใดพุทธศาสนาหมดไปจากประเทศ ไทยดว้ ยเหตใุ ดเหตหุ น่ึง เราไมอ่ าจกลา่ วไดว้ ่าพทุ ธศาสนาของไทยไมเ่ คยเส่อื ม ชาวพทุ ธไทยต่างหากทเ่ี สอ่ื ม ประการท่ีสอง เป็นการมองศาสนาจากมุมมองของลทั ธิคาสอน เป็นการมองไปท่ีแก่นแทข้ องศาสนา เน่ืองจากแก่นแทข้ องศาสนาไม่มีประวตั ิศาสตร์ หรืออยู่เหนือประวตั ิศาสตร์ ดงั นั้นแก่นแทข้ องศาสนาจึงไม่ เปลย่ี นแปลง เป็นสจั ธรรมทค่ี งท่ี สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอรเ์ ซน็ ตเ์ ต็ม ไม่อาจแกไ้ ขหรือเปลย่ี นแปลงใดๆ ไดอ้ กี มมุ มองน้ี เป็นของนกั การศาสนาทเ่ี คร่งครดั ทม่ี งุ่ สู่แก่นแทข้ องศาสนาท่แี น่นอนตายตวั ในท่นี ้ีจะขอเรยี กว่า “ผูแ้ สวงหาแกน่ แท้ ของศาสนา” (Essentialist) ฯ ถา้ หากเราถามผูแ้ สวงหาแก่นแทข้ องศาสนาว่า “แก่นแทข้ องศาสนาของท่านคอื อะไร” ๑ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เรากจ็ ะไดค้ าตอบชดุ หน่ึง และเมอ่ื เราถามผูแ้ สวงหาแก่นแทข้ องศาสนาท่มี าจากศาสนาอ่นื หรือจากสานกั อ่นื เรากจ็ ะ ไดค้ าตอบอกี ชดุ หน่ึง ดงั นน้ั แก่นแทข้ องศาสนาจงึ มหี ลากหลาย และส่วนใหญ่มกั จะไมต่ รงกนั ทง้ั น้ีก็เพราะ \"แก่นแท้ ของศาสนา\" ของคนคนหน่ึงก็ข้นึ กบั การตีความศาสนาของคนคนนน้ั และโดยท่นี อ้ ยคนนกั ท่จี ะเขา้ ถงึ แก่นแทข้ อง ศาสนาตามท่ีกล่าวอา้ ง แก่นแทข้ องศาสนาท่ีเป็นสจั ธรรมสมบูรณ์ ๑๐๐% เต็มของคนแต่ละคน จึงมกั ข้นึ อยู่กบั จนิ ตนาการของคนคนนนั้ ทม่ี ตี ่อสจั ธรรมมากกว่าอย่างอ่นื ยกตวั อย่างเช่น แก่นแทข้ องพทุ ธศาสนาคืออรยิ สจั ส่ี แก่น แทข้ องศาสนายูดายคือการปลดปลอ่ ยประชาชาติยวิ ภายใตก้ ารนาของโมเสส แก่นแทข้ องศาสนาครสิ ตค์ ือการเขา้ ถึง อาณาจกั รของพระเจา้ โดยผ่านพระเยซูคริสต์ และแก่นแทข้ องศาสนาอิสลามคือการไดเ้ ขา้ เฝ้ าพระอลั ลอฮ์ โดยการ ปฏิบตั ิตามคมั ภรี อ์ ลั กุรอ่านและคาสอนของนบีมุฮมั หมดั อย่างเคร่งครดั เป็นตน้ จะเห็นไดว้ ่าแก่นแทข้ องศาสนา เหล่าน้ีไม่เหมอื นกนั ทว่าแต่ละศาสนาต่างกอ็ า้ งว่าตนครอบครองสจั ธรรมทงั้ ส้นิ ฯ พระพุทธศาสนาไดแ้ ตกออกเป็น หลายนิกาย เช่น นิกายเถรวาทมงุ่ เนน้ ทศ่ี ีล สมาธิ ปญั ญา เพ่อื การบรรลุนิพพาน นิกายมหายานมงุ่ เนน้ ท่อี ดุ มคตขิ อง โพธสิ ตั วเ์ พ่อื การตรสั รูเ้ ป็นพระพทุ ธเจา้ ในอนาคต และนิกายวชั รยานม่งุ เนน้ การปฏบิ ตั ิธรรมเพ่อื ท่จี ะอวตารกลบั มา เกดิ ใหมเ่ พ่อื ช่วยเหลอื เพ่ือนมนุษยอ์ กี เป้าหมายของนิกายเหลา่ น้ีไม่เหมอื นกนั แต่ทุกนิกายต่างก็อา้ งว่าเป็นแก่นแท้ ของพทุ ธศาสนาเช่นเดยี วกนั ฯ พทุ ธศาสนานิกายเถรวาทเจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ นิกายเถรวาทใน แต่ละประเทศกม็ อี ตั ลกั ษณเ์ ฉพาะตน เช่น เถรวาทในศรีลงั กาเนน้ ปญั ญาเชิงวชิ าการ เถรวาทในพม่าเนน้ สมาธโิ ดยไม่ เคร่งพระวนิ ยั (เช่น พระสงฆถ์ ูกเน้ือตอ้ งตวั ผูห้ ญงิ ได้ เป็นตน้ ) เถรวาทในประเทศไทยเนน้ พระวนิ ยั ส่วนเถรวาทใน ลาวและกมั พูชาคลา้ ยคลงึ กบั ของไทย ฯ เถรวาทในประเทศไทยนนั้ ยงั จาแนกออกเป็นหลายสานกั เช่น “สนั ตอิ โศก” เนน้ ศีล สายพระป่า เนน้ “พทุ โธ” สายสสี ยาดอพม่า เนน้ รูปนาม “ยุบหนอ-พองหนอ” และ สาย “ธรรมกาย” เนน้ สมาธแิ บบหลบั ตา สาย “การเจรญิ สติแบบเคล่ือนไหวของหลวงพ่อเทียน จติ ฺตสุโภ”เนน้ สมาธแิ บบเคลอ่ื นไหว พทุ ธ ทาสภิกขแุ ห่งสวนโมกขพลารามเนน้ ปญั ญาในการพิจารณาความจรงิ พระพรหมคุณากร (ป.อ.ปยุตฺโต) เนน้ ปญั ญา เชงิ วชิ าการ เป็นตน้ ทกุ สานกั ต่างกอ็ า้ งว่าครอบครองสจั ธรรม แต่เมอ่ื พจิ ารณาลงไปในรายละเอยี ดแลว้ แต่ละสานกั มี เน้ือหาและวธิ กี ารทแ่ี ตกต่างกนั มาก ดงั นั้น นักแสวงหาแก่นแทข้ องศาสนาจึงเผชิญกบั ความหลากหลายของการตีความสจั ธรรม แมว้ ่า พระพทุ ธเจา้ จะทรงคน้ พบความจรงิ มานานกว่า ๒,๖๐๐ ปีแลว้ แต่ปจั จบุ นั เราทกุ คนกล็ ว้ นมสี ถานะไมแ่ ตกต่างไปจาก เจา้ ชายสทิ ธตั ถะเท่าใดนกั ท่ตี อ้ งดนั้ ดน้ แสวงหาจากสานกั หน่ึงไปยงั อีกสานกั หน่ึงเพ่อื คน้ หาสจั ธรรม โดยท่ีแต่ละ สานกั ต่างก็อา้ งว่าครอบครองสจั ธรรมของพระพุทธเจา้ ทง้ั ส้นิ ดงั นน้ั สจั ธรรมจึงมใิ ช่ความคิดท่หี ยุดน่ิงตายตวั แต่ กลบั เป็นส่งิ ท่มี ชี ีวติ ชีวาท่เี ราแต่ละคนจะตอ้ งแสวงหาดว้ ยตนเอง ศาสนาจึงเปรียบเหมอื นส่งิ ท่มี ชี ีวติ ท่ดี ารงอยู่ใน จิตใจของมนุษย์ เป็นเร่ืองของโลกทรรศนแ์ ละการตีความสจั ธรรมของแต่ละคน ศาสนาจึงมใิ ช่พธิ กี รรม สญั ลกั ษณ์ หรือลทั ธิคาสอน แต่คือความหมายของสง่ิ เหล่าน้ีท่มี ตี ่อชีวติ มนุษย์ โดยท่มี นุษยเ์ ป็นผูท้ ่เี ลอื กตีความเอง ศาสนาจึง เป็นพลงั สรา้ งสรรคเ์ ฉพาะตวั ของแต่ละบุคคล และมนุษยก์ ม็ อี ิสระท่จี ะเลอื กและเป็นส่วนหน่ึงของพลงั สรา้ งสรรคน์ น้ั ดงั นน้ั ศาสนาจงึ ไมห่ ยุดน่ิงอยูก่ บั ท่ี ศาสนาทห่ี ยุดน่ิงอยูก่ บั ท่ีจงึ เป็นศาสนาทต่ี ายแลว้
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๕.๒ สง่ิ ท่ที าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกดิ ความเสอ่ื ม และเกดิ ความเจรญิ การทพ่ี ระสทั ธรรมจะเสอ่ื มสลายหายสูญไป มใิ ช่วา่ เพราะไมม่ ผี ูร้ กั ษา มผี ูร้ กั ษา แต่อาจจะรกั ษาไวแ้ ต่ท่พี ริ ุธ คลาดเคล่อื นก็เป็นได้ เหตุท่ีจะทาใหพ้ ระสทั ธรรมเส่ือมสลายนนั้ พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงไว้ ในคมั ภรี อ์ งั คุตตร นิกาย ทุกนิบาต ว่า “ภิกษุทง้ั หลาย เหตุ ๒ ประการ ท่ที าใหส้ ทั ธรรมเส่อื มสลายและทาใหพ้ ระศาสนาเจริญ คือบท และพยญั ชนะ หมายถงึ พระพทุ ธวจนะ ท่จี ามาผดิ หรือคดั ลอกมาผดิ และเขา้ ใจเน้ือความไมถ่ ูกตอ้ ง เมอ่ื จาบทและ พยญั ชนะมาผดิ กย็ ่อมจะเขา้ ใจเน้ือความผดิ ไปดว้ ย” ธรรม ๒ ประการน้ีย่อมเป็นไปเพ่ือความเส่อื มสูญหายไปแห่งสทั ธรรม, ธรรม ๒ ประการ อะไรบา้ ง คือ (ทนุ ฺนิกขฺ ติ ตฺ เจว ปทพยฺ ญฺชน จ) ๑. บทและพยญั ชนะ (สาตถฺ ํ เจว สพย ฺชนํ จ) ทส่ี บื ทอดกนั มาไมด่ ี๒ ๒. อรรถะ (สาตถฺ ) ทส่ี บื ทอดขยายความไมด่ ี๓ แมอ้ รรถะแห่งบทพยญั ชนะท่ตี ง้ั ไวไ้ ม่ดี ก็ช่ือว่าเป็นการสบื ทอดขยายความไม่ดี, ภิกษุทง้ั หลาย ธรรม ๒ ประการน้ีแล ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความเสอ่ื มสูญหายไปแห่งสทั ธรรม๔ ธรรม ๒ ประการน้ีย่อมเป็นไปเพ่ือความดารงมนั่ ไม่เส่ือมสูญ ไม่หายไปแห่งสทั ธรรม คือ (๑) บท พยญั ชนะทส่ี บื ทอดกนั มาดี (๒) อรรถทส่ี บื ทอดขยายความดี แมอ้ รรถแห่งบทพยญั ชนะ ทต่ี ง้ั ไวด้ กี ช็ อ่ื วา่ เป็นการสบื ทอดขยายความด,ี ภกิ ษุทง้ั หลาย ธรรม ๒ ประการน้ี แลย่อมเป็นไปเพอ่ื ความดารงมนั่ ไมเ่ สอ่ื มสูญ ไมห่ ายไปแห่งสทั ธรรม๕ อกี นยั หน่ึงพระพุทธองค์ ทรงแสดงเหตทุ ที่ าใหพ้ ระสทั ธรรมเสอื่ มสูญหายไป ไวใ้ นสุคตวนิ ยสูตร๖ ความว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย พระสุคตเจา้ ๗ หรอื วนิ ยั ของพระสุคต เมอ่ื ดารงอยู่ในโลกพงึ เป็นไปเพอ่ื เก้อื กูลแก่คนหม่มู าก เพอ่ื สุข แก่คนหมมู่ าก๘ เพอ่ื อนุเคราะหช์ าวโลกเพอ่ื ประโยชน์ เพอ่ื เก้อื กลู เพอ่ื สุขแก่เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย พระสุคต คือใคร?..คอื ตถาคตเกดิ ข้นึ ในโลกน้ีเป็นพระอรหนั ต์ ตรสั รูด้ ว้ ยพระองคเ์ องโดยชอบ เพยี บพรอ้ ม ดว้ ยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รูแ้ จง้ โลก เป็นสารถฝี ึกผูท้ ีค่ วรฝึกไดอ้ ย่างยอดเยีย่ ม เป็นศาสดาของเทวดาและ มนุษยท์ งั้ หลาย เป็นพระพทุ ธเจา้ เป็นพระผูม้ พี ระภาค ภกิ ษุทง้ั หลาย น้ีคอื พระสคุ ต ๒ หมายถงึ บทบาลี ทส่ี บื ทอดกนั ผดิ ระเบยี บ อา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๒๐/๒๘. ๓ หมายถงึ อรรถกถา ทส่ี วดสบื ทอดกนั มาผดิ ระเบยี บ อา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๒๐/๒๘. ๔ องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๒๐/๗๒. ๕ องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๒๑/๗๓. ๖ องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๖๐/๒๒๒. ๗ “พระสุคต” หมายถึง พระนามของพระพุทธเจา้ มคี วามหมายหลายนยั ดงั น้ีคือ (๑) เสด็จไปงาม คือบริสุทธ์ิ ไดแ้ ก่ ดาเนินไปดว้ ย อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ (๒) เสดจ็ ไปยงั สถานทด่ี ี คืออมตนิพพาน (๓) เสดจ็ ไปโดยชอบ คือไมก่ ลบั มาหากิเลสทท่ี รงละไดแ้ ลว้ (๔) ตรสั ไวโ้ ดยชอบ คอื ตรสั พระวาจาทค่ี วรในฐานะทค่ี วรเทา่ นน้ั , อา้ งถงึ ใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๐๘. ๘ เก้อื กลู แกค่ นหมู่มาก หมายถงึ พระสุคตเมอ่ื ดารงอยูใ่ นโลก ทาใหเ้ทวดาและมนุษยท์ งั้ หลายไดส้ มบตั ิ ๓ อย่าง คอื (๑) มนุษยสมบตั ิ สมบตั ิ ในมนุษย์ (๒) เทวสมบตั ิ สมบตั ใิ นสวรรค์ (๓) นิพพานสมบตั ิ สมบตั คิ อื พระนิพพาน, อา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๕๓/๕๘, องฺ.ทุก.ฏกี า (บาล)ี ๒/๕๓/ ๕๗.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง วนิ ยั ของพระสุคตๆ เป็นอย่างไร? ..คือพระสุคตนนั้ ย่อมทรงแสดงธรรมทีม่ คี วามงามในเบ้อื งตน้ มคี วาม งามในท่ามกลาง และมีความงามในทีส่ ุด ทรงประกาศพรหมจรรยพ์ รอ้ มทงั้ อรรถและพยญั ชนะบริสุทธิบ์ ริบูรณ์ ครบถว้ น ภกิ ษุทง้ั หลาย น้ีคือวนิ ยั ของพระสคุ ต๙ ภกิ ษุทงั้ หลาย พระสุคตหรือวนิ ยั ของพระสุคต เมอ่ื ดารงอยู่ในโลกอย่างน้ีพงึ เป็นไปเพ่อื เก้ือกูลคนหมมู่ าก เพ่อื สุขแก่คนหม่มู าก เพอ่ื อนุเคราะหช์ าวโลก เพ่อื ประโยชน์ เพ่อื เก้อื กูล เพอ่ื สุขแก่เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย ธรรม ๔ ประการน้ีย่อมเป็นไปเพอื่ ความเสอื่ มสูญหายไปแห่งสทั ธรรม ธรรม ๔ ประการ อะไรบา้ ง? คอื ..ภกิ ษุทงั้ หลาย ในธรรมวนิ ยั น้ี.......... ๑. เล่าเรียนสูตร ท่เี ล่าเรียนกนั มาผิดๆ ตามลาดบั โดยบทพยญั ชนะท่สี ืบทอดกนั มาไม่ดีแมอ้ รรถแห่งบท พยญั ชนะทส่ี บื ทอดกนั มาไมด่ ี กเ็ ป็นการสบื ทอดขยายความไม่ดี น้ีเป็นธรรมประการท่ี ๑ ย่อมเป็นไปเพ่อื ความเสอ่ื ม สูญหายไปแหง่ สทั ธรรม๑๐ ๒. เป็นผูว้ ่ายาก ประกอบดว้ ยธรรมเคร่อื งทาความเป็นผูว้ ่ายาก ไม่อดทน ไม่รบั คาพรา่ สอนโดยเคารพ น้ี เป็นธรรมประการท่ี ๒ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความเสอ่ื มสูญหายไปแหง่ สทั ธรรม ๓. เป็นพหูสูต เรยี นจบคมั ภรี ๑์ ๑ ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาตกิ า ไม่ถ่ายทอดสูตรแก่ผูอ้ ่นื โดยเคารพ เมอ่ื ภกิ ษุเหล่านนั้ ล่วงลบั ไป สูตรก็ขาดรากฐานไม่มที ่พี ่งึ อาศยั น้ีเป็นธรรมประการท่ี ๓ ย่อมเป็นไปเพ่อื ความเส่อื มสูญ หายไปแห่งสทั ธรรม๑๒ ๔. เป็นเถระ เป็นผูม้ กั มาก เป็นผูย้ ่อหย่อน เป็นผูน้ าในโอกกมนธรรม๑๓ ทอดธุระ๑๔ ในปวเิ วก๑๕ ไมป่ รารภ ความเพยี ร๑๖ เพอ่ื ถงึ ธรรมท่ยี งั ไม่ถงึ เพ่อื บรรลุธรรมทย่ี งั ไมบ่ รรลุ เพอ่ื ทาใหแ้ จง้ ธรรมท่ยี งั ไมไ่ ดท้ าใหแ้ จง้ หม่คู นรุ่น หลงั พากนั ตามอยา่ งภกิ ษุผูเ้ป็นเถระเหลา่ นนั้ แมห้ มคู่ นรุ่นหลงั นนั้ กเ็ ป็นผูม้ กั มาก เป็นผูย้ ่อหย่อนเป็นผูน้ าในโอกกมน ธรรม ทอดธุระในปวิเวก ไม่ปรารภความเพียรเพ่ือถงึ ธรรมท่ยี งั ไม่ถึง เพ่ือบรรลุธรรมท่ยี งั ไม่บรรลุ เพ่ือทาใหแ้ จง้ ธรรมทย่ี งั ไมไ่ ดท้ าใหแ้ จง้ น้ีเป็นธรรมประการท่ี ๔ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความเสอ่ื มสูญหายไปแหง่ สทั ธรรม”๑๗ ภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรม ๔ ประการดงั กลา่ วน้ีแล ยอ่ มเป็นไปเพอื่ ความเสอื่ มสูญหายไปแหง่ สทั ธรรม ๙ องฺ.จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๑๖๐/๒๒๓. ๑๐ คาวา่ “เลา่ เรียนกนั มาผิด” หมายถงึ บทแห่งบาลี ทส่ี บื ทอดกนั ผดิ ระเบยี บ, อา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๒๐/๒๘. ๑๑ ‚เรยี นจบคมั ภรี ”์ (อาคตาคมา) ในทน่ี ้หี มายถงึ เรยี นจบพระพทุ ธพจน์ คอื พระไตรปิฎก ๕ นิกาย ไดแ้ ก่ ทฆี นิกาย มชั ฌมิ นิกาย สงั ยุตต นิกาย องั คตุ ตรนกิ าย และขทุ ทกนกิ าย อา้ งถงึ ใน องฺ.ตกิ .อ. (บาล)ี ๒/๒๐/๙๘. ๑๒ องฺ.จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๑๖๐/๒๒๓. ๑๓ ‚โอกกมนธรรม” ในท่นี ้ีหมายถงึ นิวรณ์ ๕ คอื (๑) กามฉนั ทะ ความพอใจในกาม (๒) พยาบาท ความคดิ รา้ ย (๓) ถนี มทิ ธะ ความหดหู่ และเซอ่ื งซมึ (๔) อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ความฟ้งุ ซา่ นและรอ้ นใจ (๕) วจิ กิ จิ ฉาความลงั เลสงสยั อา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๔๕/๕๓. ๑๔ ‚ทอดธุระ” หมายถงึ ทอดท้งิ หนา้ ทใ่ี นวเิ วก ๓ ประการ คอื กายวเิ วก จติ ตวเิ วก และอปุ ธวิ เิ วก ถา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๔๕/๕๓. ๑๕ “ปวิเวก” หมายถงึ อปุ ธวิ เิ วกคอื สภาวะอนั เป็นทต่ี ง้ั ทท่ี รงไวแ้ หง่ ทกุ ข์ คอื กาม กเิ ลส เบญจขนั ธ์ และอภสิ งั ขาร กลา่ วคอื นิพพาน, อา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ .อ. (บาล)ี ๒/๔๕/๕๓. ๑๖ ‚ไม่ปรารภความเพียร” หมายถงึ ไมท่ าความเพยี ร ๒ อยา่ ง คอื ความเพยี รทางกายและความเพยี รทางจติ อา้ งถงึ ใน องฺ.ทุก.อ. (บาล)ี ๒/ ๔๕/๕๓, องฺ.ทกุ .ฏกี า (บาล)ี ๒/๔๕/๕๑. ๑๗ องฺ.จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๑๖๐/๒๒๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ส่วนนยั ตรงกนั ขา้ ม ภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรม ๔ ประการน้ีย่อมเป็นไปเพอ่ื ความดารงมนั่ ไม่เส่อื มสูญไมห่ ายไป แห่งสทั ธรรมธรรม ๔ ประการ อะไรบา้ ง คอื ภกิ ษุทง้ั หลายในธรรมวนิ ยั น้ี ๑. เลา่ เรยี นสูตรท่เี ล่าเรยี นกนั มาดโี ดยบทพยญั ชนะทส่ี ืบทอดกนั มาดีแมอ้ รรถแห่งบทพยญั ชนะท่สี บื ทอด กนั มาดกี เ็ ป็นการสบื ทอดขยายความดี น้ีเป็นธรรมประการท่ี ๑ ย่อมเป็นไปเพ่อื ความดารงมนั่ ไม่เส่อื มสูญ ไม่หายไป แห่งสทั ธรรม ๒. เป็นคนว่าง่าย ประกอบดว้ ยธรรมเคร่ืองทาความเป็นผูว้ ่าง่ายอดทน รบั คาพรา่ สอนโดยเคารพ น้ีเป็น ธรรมประการท่ี ๒ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความดารงมนั่ ไมเ่ สอ่ื มสูญ ไมห่ ายไปแห่งสทั ธรรม ๓. เป็นพหูสูต เรียนจบคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาติกาถ่ายทอดสูตรแก่ผูอ้ ่ืนโดยเคารพ เมอ่ื ภกิ ษุ เหลา่ นนั้ ลว่ งลบั ไปสูตรกไ็ มข่ าดรากฐาน มที พ่ี ง่ึ อาศยั น้ีเป็นธรรมประการท่ี ๓ ย่อมเป็นไปเพอ่ื ความดารงมนั่ ไมเ่ สอ่ื ม สูญ ไมห่ ายไปแห่งสทั ธรรม ๔. เป็นเถระ เป็นผูไ้ มม่ กั มาก เป็นผูไ้ มย่ อ่ หย่อน หมดธุระในโอกกมนธรรม เป็นผูน้ าในปวเิ วก ปรารภความ เพยี รเพ่อื ถงึ ธรรมท่ยี งั ไม่ถงึ เพอ่ื บรรลุธรรมท่ยี งั ไม่บรรลุ เพ่อื ทาใหแ้ จง้ ธรรมทย่ี งั ไม่ไดท้ าใหแ้ จง้ หมคู่ นรุ่นหลงั พา กนั ตามอย่างภกิ ษุผูเ้ป็นเถระเหล่านน้ั แมห้ ม่คู นรุ่นหลงั นนั้ ก็เป็นผูไ้ ม่มกั มาก เป็นผูไ้ ม่ย่อหย่อนหมดธุระในโอกกมน ธรรม เป็นผูน้ าในปวเิ วก ปรารภความเพยี ร เพ่อื ถงึ ธรรมท่ยี งั ไม่ถงึ เพ่อื บรรลุธรรมท่ยี งั ไม่บรรลุ เพอ่ื ทาใหแ้ จง้ ธรรม ทย่ี งั ไมไ่ ดท้ าใหแ้ จง้ น้ีเป็นธรรมประการท่ี ๔ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความดารงมนั่ ไมเ่ สอ่ื มสูญ ไมห่ ายไปแห่งสทั ธรรม ภกิ ษุ ทงั้ หลาย ธรรม ๔ ประการเหลา่ น้ีแล ย่อมเป็นไปเพอื่ ความดารงมนั่ ไมเ่ สอื่ มสูญ ไมห่ ายไปแห่งสทั ธรรม๑๘ ทก่ี ลา่ วมาน้ีคอื ตวั สาเหตทุ ่จี ะทาใหพ้ ระสทั ธรรมเส่อื มสูญสลายหายไป ในขอ้ ความท่กี ล่าวมานนั้ มถี อ้ ยคาท่ี ควรทาความเขา้ ใจ เช่นคาวา่ “บทพยญั ชนะที่จามาผดิ ๆ” (ทุนฺนิกฺขิตฺต ปทพฺยญฺชน) นนั้ หมายถงึ ตวั อกั ษรท่สี ่องให้ รูเ้ น้ือความจากนั มาคลาดเคลอ่ื นไป เมอ่ื บทและพยญั ชนะพิรุธคลาดเคลอ่ื น การกาหนดความหมายเฉพาะบทย่อม คลาดเคลอ่ื นไปดว้ ย เช่นคาว่า “สุวชิ าโน ภว โหต”ิ : ผูร้ ูด้ ีเป็นผูเ้จริญ, ส่วนความรูแ้ ละการจามาไมด่ ี เป็นแนวทาง แห่งความเสอื่ ม “ทวุ ชิ าโน ปราภโว” เพราะจากนั มาคลาดเคลอ่ื น กเ็ ลยตคี วามคลาดเคลอ่ื นไปแปลกนั ว่า \"ผูร้ ูช้ วั่ เป็น ผูเ้ ส่ือม\" จึงเกิดความสงสยั กนั ว่า พระพุทธองคก์ ็ทรงทราบเร่ืองชวั่ ท่ีเรียกว่า “อกุศลธรรม” เป็นธรรมท่ีตอ้ งละ เรยี กว่า “ปหาตพั พธรรม” พระองคก์ ม็ ไิ ดม้ คี วามเสอ่ื มเสยี อะไร ทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ นนั้ เป็นการกลา่ วถงึ ลกั ษณะผูท้ ่จี ะรกั ษาพระสทั ธรรมไวไ้ ด้ และเหตุทจ่ี ะทาใหพ้ ระสทั ธรรม เสอ่ื ม ความเสอ่ื มแหง่ สทั ธรรมโดยพฤตกิ รรมของบุคคล ผูท้ าใหศ้ าสนาเส่อื มและเจริญ ปรากฏในสมจิตตวรรคท่สี ่ี แห่งองั คุตตรนิกาย ทุกนิบาต ว่า ภิกษุพวกท่ี คดั คา้ นอรรถและธรรม โดยสูตรท่ตี นเรียนไวไ้ ม่ดี ดว้ ยพยญั ชนปฏริ ูป๑๙ นนั้ ช่ือว่าปฏิบตั ิ เพ่อื ไม่เก้ือกูลแก่คนหมู่ ๑๘ องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๖๐/๒๒๔-๒๒๕. ๑๙ ‚พยญั ชนะปฏิรูป” หมายถงึ พยญั ชนะทไ่ี ดส้ บื ทอดมา โดยทาอกั ษรใหว้ จิ ติ รไปจากของเดมิ , อา้ งถงึ ใน องฺ.ทกุ . อ. (บาล)ี ๒/๔๒/๕๑.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง มาก เพ่ือไม่ใช่สุขแก่คนหมู่มาก เพ่ือไม่ใช่ประโยชน์แก่คนหมู่มาก เพ่ือไม่เก้ือกูล เพ่ือทุกขแ์ ก่เทวดาและมนุษ ย์ ทง้ั หลาย ภกิ ษุย่อมประสพสง่ิ ไมใ่ ช่บญุ เป็นอนั มาก และ ชอื่ ว่าทาใหส้ ทั ธรรมน้ีสูญหายไป เหลา่ ภิกษุ พวกท่อี นุโลมอรรถและธรรม โดยสูตรท่ตี นเรยี นไวด้ ี ดว้ ยพยญั ชนปฏริ ูปนนั้ ช่ือว่าปฏบิ ตั เิ พ่อื เก้ือกูลแก่คนหมู่มาก เพ่ือสุขแก่คนหม่มู าก เพ่อื ประโยชนแ์ ก่คนหม่มู าก เพ่ือเก้ือกูล เพ่ือสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ทง้ั หลาย ภกิ ษุเหลา่ นนั้ ย่อมประสพบุญเป็นอนั มาก และช่อื วา่ ดารงสทั ธรรมน้ีไวไ้ ด๒้ ๐ ความเสอ่ื มแห่งสทั ธรรมวา่ โดยปรมตั ถ์ ในคมั ภรี ส์ ุตตนั ตปิฎก องั คตุตตรนิกาย เอกนิบาต หมวดว่าดว้ ยความไม่ประมาทท่สี อง แห่งจตกุ โกฏิกะ ความว่า :- “ภิกษุทงั้ หลาย เราตถาคตไม่เห็นธรรมอ่ืนแมอ้ ย่างหน่ึงท่ีเป็นไป เพ่ือความเส่ือมสูญ หายไปแห่ง สทั ธรรม๒๑ เหมอื นความประมาทน้ีเลย เพราะความประมาทย่อมเป็นไป เพอ่ื ความเสอ่ื มสูญหายไปแหง่ สทั ธรรม”๒๒ “..เราไมเ่ หน็ ธรรมอ่นื แมอ้ ย่างหน่ึงทเ่ี ป็นไปเพ่อื ความเสอ่ื มสูญ หายไปแห่งสทั ธรรมเหมอื นความเกียจครา้ น น้ี ความเกยี จครา้ น ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความเสอ่ื มสูญ หายไปแห่งสทั ธรรม”๒๓ “...เราไม่เห็นธรรมอ่ืนแมอ้ ย่างหน่ึง ฯลฯ ความมกั มาก ย่อมเป็นไปเพ่ือความเส่ือมสูญ หายไปแห่ง สทั ธรรม๒๔ “...เราไม่เห็นธรรมอ่ืนแมอ้ ย่างหน่ึง ฯลฯ ความไม่สนั โดษ ย่อมเป็นไปเพ่อื ความเส่ือมสูญ หายไปแห่ง สทั ธรรม”๒๕ “...เราไม่เห็นธรรมอ่ืนแมอ้ ย่างหน่ึง ฯลฯ อโยนิโยมนสกิ าร ย่อมเป็นไปเพ่อื ความเส่อื มสูญ หายไปแห่ง สทั ธรรม๒๖ “...เราไมเ่ หน็ ธรรมอ่นื แมอ้ ย่างหน่ึง ฯลฯ ความไมม่ สี มั ปชญั ญะ ย่อมเป็นไปเพ่อื ความเสอ่ื มสูญ หายไปแห่ง สทั ธรรม๒๗ “...เราไม่เห็นธรรมอ่ืนแมอ้ ย่างหน่ึง ฯลฯ ความมปี าปมติ ร ย่อมเป็นไปเพ่ือความเส่อื มสูญ หายไปแห่ง สทั ธรรม๒๘ “...เราตถาคต ย่อมไม่เห็นธรรมอ่ืนแมอ้ ย่างหน่ึง ฯลฯ คือการประกอบอกุศลธรรมเนืองๆ และการไม่ ประกอบกศุ ลธรรมเนืองๆ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความเส่อื มสูญ หายไปแหง่ สทั ธรรม๒๙ ๒๐ องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๔๒/๘๗. ๒๑ “สทั ธรรม” หมายถงึ ธรรมอนั ดี ธรรมของสตั บรุ ุษ หรือศาสนา มี ๓ ประการ คอื ปริยตั ิสทั ธรรม ปฏิบตั ิสทั ธรรม และ อธิคมสทั ธรรม, อา้ งถงึ ใน ว.ิ อ. ๒/๔๓๘/๔๒๕. ๒๒ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๑๑๔/๑๘. ๒๓ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๑/๑๑๖/๑๘. ๒๔ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๑/๑๑๘/๑๘. ๒๕ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๑/๑๒๐/๑๙. ๒๖ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๑/๑๒๒/๑๙. ๒๗ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๑/๑๒๔/๑๙. ๒๘ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๑/๑๒๖/๑๙. ๒๙ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๑/๑๒๘/๑๙.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในพระวนิ ยั ปิฎก จูฬวรรค ตติยภาณวาร กล่าวถงึ “สงั ฆราชี” (Conflict of Sangha) คือชนวนแห่งความ แตกรา้ วของคณะสงฆใ์ นทางความคิด (บ่อเกดิ /สาเหต)ุ ไวว้ ่า เป็นแนวคิดท่กี ่อรอยรา้ วใหเ้กิดข้นึ แก่สงั ฆมณฑล (the Monastic Order /the Sangha /the monkhood) ในสมยั นน้ั ต่อมาในเร่อื งน้ีพระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ถงึ สาเหตทุ ่ที าให้ สงฆแ์ ตกแยกกนั ไว้ ซ่งึ มสี าเหตุสาคญั หลกั ๆ ท่นี ่าศึกษากล่าวคือ “สงั ฆเภท” (Schism /Causing dissension among the Order /the creation of a schism in the Sangha) เร่อื งปรากฎในอปุ าลปิ ญั หา๓๐ ใจความว่า ครงั้ นนั้ ท่านพระอบุ าลเี ขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ท่ปี ระทบั ครนั้ แลว้ ถวายอภวิ าทแลว้ ไดก้ ราบทูลดงั น้ี ว่า ‚พระพทุ ธเจา้ ขา้ ทเ่ี รยี กว่า ‘สงั ฆราชี สงั ฆราชี (ความรา้ วรานแห่งสงฆ)์ ’ ดว้ ยอาการเพยี งไรจึงเป็นสงั ฆราชี แต่ไม่ เป็นสงั ฆเภท (ความแตกแยกแหง่ สงฆ)์ กแ็ ละดว้ ยอาการเพยี งไร จงึ เป็นทง้ั สงั ฆราชแี ละสงั ฆเภท‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๑. อบุ าลี ฝ่ายหน่ึง มภี กิ ษุ ๑ รูป อกี ฝ่ายหน่ึง มภี กิ ษุ ๒ รูปรูปท่ี ๔ ประกาศใหจ้ บั สลากว่า ‘น้ีเป็นธรรม น้ี เป็นวนิ ยั น้ีเป็นสตั ถศุ าสน์ พวกทา่ นจงจบั สลากน้ี จงชอบใจสลากน้ี’ อย่างน้ีจดั เป็นสงั ฆราชี แต่ไม่เป็นสงั ฆเภท ๒. อบุ าลี ฝ่ายหน่ึง มภี กิ ษุ ๒ รูป อกี ฝ่ายหน่ึง กม็ ี ๒ รูป รูปท่๕ี ประกาศใหจ้ บั สลากว่า ‘น้ีเป็นธรรม น้ีเป็น วนิ ยั น้ีเป็นสตั ถศุ าสนพ์ วกท่านจงจบั สลากน้ี จงชอบใจสลากน้ี’ อยา่ งน้ีกจ็ ดั เป็นสงั ฆราชี แต่ไมเ่ ป็นสงั ฆเภท ๓. อุบาลี ฝ่ายหน่ึง มภี กิ ษุ ๒ รูป อีกฝ่ายหน่ึงมี ๓ รูป รูปท่ี ๖ประกาศใหจ้ บั สลากว่า ‘น้ีเป็นธรรม น้ีเป็น วนิ ยั น้ีเป็นสตั ถศุ าสนพ์ วกท่านจงจบั สลากน้ี จงชอบใจสลากน้ี’ อย่างน้ีกจ็ ดั เป็นสงั ฆราชแี ต่ไมเ่ ป็นสงั ฆเภท ๔. อบุ าลี ฝ่ายหน่ึง มภี กิ ษุ ๓ รูป อกี ฝ่ายหน่ึงกม็ ี ๓ รูป รูปท่ี ๗ ประกาศใหจ้ บั สลากว่า ‘น้ีเป็นธรรม น้ีเป็น วนิ ยั น้ีเป็นสตั ถศุ าสนพ์ วกท่านจงจบั สลากน้ี จงชอบใจสลากน้ี’ อย่างน้ีกจ็ ดั เป็นสงั ฆราชแี ต่ไมเ่ ป็นสงั ฆเภท ๕. อบุ าลี ฝ่ายหน่ึง มภี ิกษุ ๓ รูป อีกฝ่ายหน่ึงมี ๔ รูป รูปท่ี ๘ประกาศใหจ้ บั สลากว่า ‘น้ีเป็นธรรม น้ีเป็น วนิ ยั น้ีเป็นสตั ถศุ าสนพ์ วกท่านจงจบั สลากน้ี จงชอบใจสลากน้ี’ อยา่ งน้ีกจ็ ดั เป็นสงั ฆราชแี ต่ไมเ่ ป็นสงั ฆเภท ๖. อบุ าลี ฝ่ายหน่ึง มภี กิ ษุ ๔ รูป อีกฝ่ายหน่ึงก็มี ๔ รูป รูปท่ี ๙ ประกาศใหจ้ บั สลากว่า ‘น้ีเป็นธรรม น้ีเป็น วนิ ยั น้ีเป็นสตั ถศุ าสนพ์ วกท่านจงจบั สลากน้ี จงชอบใจสลากน้ี’ อย่างน้ีจดั เป็นทงั้ สงั ฆราชี และสงั ฆเภท ๗. ภกิ ษุ ๙ รูป หรือมากกว่า ๙ รูปจดั เป็นทงั้ สงั ฆราชี และ สงั ฆเภท อบุ าลี ภกิ ษุณีทาลายสงฆไ์ มไ่ ด้ ได้ แต่พยายามทาลาย สกิ ขมานาทาลายสงฆไ์ ม่ได.้..สามเณรทาลายสงฆไ์ มไ่ ด้ ...สามเณรี๓๑ ทาลายสงฆไ์ มไ่ ด้ ... อบุ าสก ทาลายสงฆไ์ ม่ได้ ... อุบาสิกาก็ทาลายสงฆไ์ มไ่ ด้ ไดแ้ ต่พยายามทาลายอุบาลี ปกตตั ตภกิ ษุ (ภิกษุผูไ้ ม่ไม่ตอ้ งอาบตั ิ หรอื ภกิ ษุผูไ้ มม่ ใี นระหว่างประพฤตวิ ุฏฐานวธิ ี หรอื ภกิ ษุผูท้ ต่ี อ้ งครุกาบตั ิ เป็นผูม้ ศี ีล มวี นิ ยั ดารงตนอยู่ในกรอบของ พระธรรมวนิ ยั ) คอื พระผูม้ สี งั วาสเสมอกนั กบั ภกิ ษุอน่ื อยู่ในสมานสมี าเดยี วกนั ยอ่ มทาลายสงฆไ์ ด๓้ ๒ ๓๐ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๕๑/๒๑๒. ๓๑ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๑๕/๒๑๓. ๓๒ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๑๕/๒๑๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เหตทุ ท่ี าใหส้ งฆแ์ ตกกนั มี ๑๘ ประการ พระอุบาลที ูลถามว่า ‚ท่พี ระองคต์ รสั ว่า ‘สงั ฆเภท, สงั ฆเภท’ สงฆจ์ ะเป็นผูแ้ ตกกนั ดว้ ยเหตุ ดงั น้ีคือ๓๓ ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี ๑. แสดงอธรรมวา่ เป็นธรรม ๒. แสดงธรรมว่า เป็นอธรรม ๓. แสดงสง่ิ ทม่ี ใิ ช่วนิ ยั ว่า เป็นวนิ ยั ๔. แสดงวนิ ยั ว่า มใิ ช่วนิ ยั ๕. แสดงสง่ิ ทต่ี ถาคตไมไ่ ดภ้ าษติ ไวไ้ มไ่ ดต้ รสั ไวว้ ่า ตถาคตไดภ้ าษติ ไวไ้ ดต้ รสั ไว้ ๖. แสดงสง่ิ ทต่ี ถาคตไดภ้ าษติ ไวไ้ ดต้ รสั ไวว้ ่า ตถาคตไมไ่ ดภ้ าษติ ไวไ้ มไ่ ดต้ รสั ไว้ ๗. แสดงจรยิ าวตั รทต่ี ถาคตไมไ่ ดป้ ระพฤตมิ าวา่ ตถาคตไดป้ ระพฤตมิ า ๘. แสดงจรยิ าวตั รทต่ี ถาคตไดป้ ระพฤตมิ าวา่ ตถาคตไมไ่ ดป้ ระพฤติมา ๙. แสดงสง่ิ ทต่ี ถาคตไม่ไดบ้ ญั ญตั ิไวว้ ่า ตถาคตไดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ ๑๐. แสดงสง่ิ ทต่ี ถาคตไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ ่า ตถาคตไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ิไว้ ๑๑. แสดงอนาบตั วิ า่ เป็นอาบตั ิ ๑๒. แสดง อาบตั วิ ่า เป็นอนาบตั ิ ๑๓. แสดงอาบตั เิ บาวา่ เป็นอาบตั หิ นกั ๑๔. แสดงอาบตั หิ นกั วา่ เป็นอาบตั เิ บา ๑๕. แสดงอาบตั ทิ ม่ี สี ่วนเหลอื วา่ เป็นอาบตั ทิ ไ่ี มม่ สี ว่ นเหลอื ๑๖. แสดงอาบตั ทิ ไ่ี มม่ สี ว่ นเหลอื ว่า เป็นอาบตั ทิ ม่ี สี ่วนเหลอื ๑๗. แสดงอาบตั ชิ วั่ หยาบวา่ เป็นอาบตั ไิ ม่ชวั่ หยาบ ๑๘. แสดงอาบตั ไิ มช่ วั่ หยาบวา่ เป็นอาบตั ชิ วั่ หยาบ๓๔ ภกิ ษุเหลา่ นนั้ ยอ่ มแยกพวกออกมา ประกาศตวั ดว้ ยเหตุ ๑๘ อย่างน้ี แยกกนั ทาอุโบสถ แยกกนั ทาปวารณา แยกกนั ทาสงั ฆกรรมอบุ าลี สงฆจ์ ะเป็นผูแ้ ตกกนั ดว้ ยเหตเุ ท่าน้ีแล ความพรอ้ มเพรยี งของสงฆ์ เป็นเหตุใหเ้กิดสุขและบุคคลผูอ้ นุเคราะหส์ งฆผ์ ูพ้ รอ้ มเพรียงกนั แลว้ ผูย้ นิ ดใี น ความพรอ้ มเพรยี งกนั ตง้ั อยู่ในธรรม ย่อมไม่พลาดจากธรรมอนั เป็นแดนเกษมจากโยคะย่อมบนั เทงิ ในสวรรคต์ ลอด กปั เพราะสมานสงฆใ์ หส้ ามคั คีกนั ภกิ ษุผูท้ าลายสงฆต์ อ้ งไปเกดิ ในอบาย พระอุบาลที ูลถามว่า ‚พระพทุ ธเจา้ ขา้ มอี ยู่หรอื ทภ่ี กิ ษุผูท้ าลายสงฆต์ อ้ งไปเกดิ ในอบาย ตอ้ งไปเกิดในนรก ดารงอยู่ชวั่ กปั แกไ้ ขไม่ได‛้ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ‚อบุ าลี มอี ยู่ทภ่ี กิ ษุผูท้ าลายสงฆต์ อ้ งไปเกิดในอบายตอ้ งไป เกดิ ในนรก ดารงอยู่ชวั่ กปั แกไ้ ขไม่ได‛้ พระอุบาลที ูลถามว่า ‚พระพทุ ธเจา้ ขา้ มอี ยู่หรือท่ภี ิกษุผูท้ าลายสงฆไ์ ม่ตอ้ งไป เกดิ ในอบาย ไมต่ อ้ งไปเกดิ ในนรก ไมต่ อ้ งดารงอยูช่ วั่ กปั ไมใ่ ช่แกไ้ ขไม่ได‛้ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ‚อบุ าลี มอี ยู่ ๓๓ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๔๖๗๘/๓๖๒-๓๖๓., องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๓๘/๘๙. ๓๔ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๕๒/๒๑๕.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ท่ภี กิ ษุผูท้ าลายสงฆไ์ ม่ตอ้ งไปเกิดในอบาย ไม่ตอ้ งไปเกดิ ในนรก ไม่ตอ้ งดารงอยู่ชวั่ กปั ไม่ใช่แกไ้ ขไม่ได‛้ พระอบุ าลี ทลู ถามวา่ ‚พระพทุ ธเจา้ ขา้ ภกิ ษุผูท้ าลายสงฆ์ ตอ้ งไปเกิดในอบายตอ้ งไปเกิดในนรก ดารงอยู่ชวั่ กปั แกไ้ ขไมไ่ ด้ เป็น อย่างไร‛พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚อุบาลี ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี แสดงอธรรมว่าเป็นธรรมมคี วามเหน็ อธรรมนนั้ ว่าเป็น อธรรม มคี วามเหน็ ในความแตกกนั ว่าเป็นอธรรม อาพรางความเห็น อาพรางความเหน็ ชอบ อาพรางความพอใจ อา พรางความประสงคป์ ระกาศใหจ้ บั สลากว่า ‘น้ีเป็นธรรม น้ีเป็นวนิ ยั น้ีเป็นสตั ถศุ าสน์ พวกท่านจงจบั ๓๕ สลากน้ี จง ชอบใจสลากน้ี อบุ าลี ภกิ ษุผูท้ าลายสงฆน์ ้ี ตอ้ งไปเกดิ ในอบาย ตอ้ งไปเกดิ ในนรก ดารงอยูช่ วั่ กปั แกไ้ ขไมไ่ ด”้ ในกรณีความแตกแยกทางความคิดเหน็ (นานาววิ ธิ ทิฏฐิกะ) อนั ก่อใหเ้กดิ ความแตกแยก เป็นเหตุทะเลาะ ขาดความรกั และสามคั คีในสงั ฆมณฑล ก็เคยเกิดมีมาแลว้ ในสมยั ท่ีพระพุทธเจา้ ยงั ทรงพระชนมช์ ีพอยู่ คือกลุ่ม พระสงฆท์ ่เี ป็นภกิ ษุชาวเมอื งโกสมั พี ๒ ฝ่ายคือ ฝ่ายธรรมวาที กบั ฝ่ายวนิ ย ทะเลาะกนั วิวาทกนั ในเร่อื งการใชน้ า้ ชาระแลว้ เหลอื ท้งิ ไวใ้ นฐาน(หอ้ งนา้ )๓๖ และความแตกแยกในเร่อื งทฏิ ฐขิ องพระเทวทตั ๓๗ ในกรณีทพ่ี ระเทวทตั คิดอยากตง้ั ตนเป็นใหญ่ เป็นผูน้ า ในการบรหิ ารกิจการงานคณะสงฆ์ (อห ภกิ ฺขุสงฺฆ ปริหริสฺสามิ, นิยฺยาเทถ เม ภกิ ฺขุสงฆ) จึงแสดงเจตจานงถึงความประสงคท์ ่แี ทจ้ ริง โดยนาเสนอวตั ถุ ๕ ประการ เพอ่ื ทจ่ี ะใหพ้ ระพทุ ธองคท์ รงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ๕ ขอ้ คอื ๑. ขอให้ภิกษุทัง้ หลาย จงเป็นผอู้ ยู่ป่าตลอดชีวติ (สาธุ ภนฺเต, ภิกขฺ ู ยาวชวี ํ อรญิ ญฺ ิกา อสสฺ ุ)í ๒. ขอให้ภิกษทุ ั้งหลาย จงเทีย่ วบิณฑบาตตลอดชีวิต (ภิกขฺ ู ยาวชีวํ ปิณฑฺ ปาติกา อสฺสุí) ๓. ขอให้ภิกษทุ ั้งหลาย จงทรงผา้ บังสกุ ุลตลอดชีวิต (ภิกขฺ ู ยาวชวี ํ ปํสกุ ลู กิ า อสสฺ ุ)í ๔. ขอใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลาย จงอยู่โคนไมต้ ลอดชีวิต (ภกิ ฺขู ยาวชวี ํ รกุ ฺขมูลิกา อสฺสุí) ๕. ขอใหภ้ กิ ษุทั้งหลาย อยา่ ฉนั ปลาและเน้ือตลอดชวี ติ (ภกิ ฺขู ยาวชวี ํ มจฉฺ มสํ ํ น ขาเทยฺยุํ)๓๘ คาโฆษณาชวนเช่ือของพระเทวทตั ไดผ้ ลพอสมควรคือมพี ุทธบริษทั บางกลุ่มรวมถงึ ประชาชนทวั่ ไปพดู ถึง วตั ถุ ๕ นน้ั อยา่ งกวา้ งขวาง พระพทุ ธองคท์ รงตรสั เรยี กพระเทวทตั มาสอบถาม และตรสั หา้ มสง่ิ ทพ่ี ระเทวทตั กาลงั ทา ในเวลาเชา้ พระอานนทเ์ ขา้ ไปบณิ ฑบาต ในกรุง ราชคฤห์ พระเทวทตั พบพอดีจึงเขา้ ไปหาแลว้ บอกว่า ตงั้ แต่วนั น้ี เป็นตน้ ไป ผมจกั ทาอุโบสถจกั ทาสงั ฆกรรมแยกออกจากพระพุทธเจา้ พอถงึ วนั อุโบสถข้นึ ๑๕ คา่ ภกิ ษุทง้ั หลายมา ประชุมกนั เพ่ือทาอุโบสถ พระเทวทตั ก็ประกาศใหภ้ ิกษุทง้ั หลายจบั สลาก เพ่ือแสดงความเหน็ ดว้ ยกบั ตน โดย รายงานว่า ตนและพวกไดเ้ ขา้ เฝ้าทูลขอวตั ถุ ๕ ประการ แต่พระองคป์ ฏเิ สธ แต่พวกเรากป็ ระพฤติ ปฏบิ ตั ิกนั แลว้ ดงั นน้ั ผูใ้ ดเหน็ ดว้ ยกบั เราก็จงจบั สลากน้ี ปรากฏว่า มพี ระบวชใหมช่ าววชั ชีบุตร เมอื งเวสาลปี ระมาณ ๕๐๐ รูป ผูร้ ู้ ธรรมรูว้ นิ ยั นอ้ ย คิดว่า น้ีเป็นธรรมวนิ ยั จึงจบั สลากนน้ั พระเทวทตั ทาสงฆใ์ หแ้ ตกกนั แลว้ นาภกิ ษุเหลา่ นนั้ ไปทค่ี ยา สสี ะประเทศ พระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงอนุญาตตามทพ่ี ระเทวทตั ทูลขอดว้ ยเหตผุ ลท่วี ่า ขอ้ ท่หี น่ึงถงึ ขอ้ ท่สี ามนนั้ ใหเ้ป็นไปตาม อธั ยาศยั ขอ้ ท่สี ่ที รงมขี อ้ หา้ มไวไ้ มใ่ หอ้ ยู่ในหนา้ ฝน เน่ืองดว้ ยเป็นความลาบากในความเป็นอยู่ ขอ้ ท่หี า้ ใหภ้ กิ ษุฉนั ได้ ๓๕ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๓๕๕/๒๑๗. ๓๖ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๐/๖/๒๕. ๓๗ ข.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๗/๒๙. ๓๘ ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๑๓๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ถา้ ไม่ไดร้ ูไ้ ม่ไดเ้ หน็ เอง หรือเขาฆ่าไม่ไดเ้ จาะจงเฉพาะตนเอง และภกิ ษุตอ้ งมชี ีวิตอยู่เน่ืองดว้ ยชาวบา้ น เวน้ แต่เน้ือ ตอ้ งหา้ มตามพระวนิ ยั บญั ญตั ิ ๑๐ อย่าง แต่อย่างไรกต็ าม เมอ่ื พระศาสดายงั มพี ระชนมช์ พี อยู่ เหตุต่างๆ ท่เี กดิ ข้นึ ก็ ย่อมระงบั ลงไดด้ ว้ ยมผี ูช้ ้ีขาดและตดั สิน สาวกส่วนใหญ่มคี วามเช่ือความเลอ่ื มใสในพระพทุ ธเจา้ แมจ้ ะมคี วามคิด ความเห็นไม่ลงรอยกนั ก็ยงั มีความยาเกรงอยู่ไม่กลา้ กระทาการใดโดยพลการเม่อื ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระ เรียบรอ้ ยแลว้ พระมหากสั สปะซ่งึ เป็นพระเถระผูใ้ หญ่ อยู่ในเวลานนั้ ไดป้ รารภเร่ืองน้ีใหพ้ ระสงฆอ์ รหนั ตท์ งั้ หลาย ทราบ เห็นพรอ้ มกนั ว่าควรทาการสงั คายนาพระธรรมวินยั ใหท้ รงจากนั ไวเ้ ป็นหลกั ฐาน จึงตกลงจะประชุมทา สงั คายนา ทถ่ี า้ ใกลก้ รุงราชคฤห์ ยงั เหลอื เวลาอยู่อกี เกอื บ ๒ เดือนจะเขา้ พรรษา ใหภ้ กิ ษุทงั้ หลายแยกยา้ ยกนั ไปตาม อธั ยาศัย พอจวนเขา้ พรรษาขอใหไ้ ปประชุมพรอ้ มกนั ท่ีกรุงราชคฤห์ ซ่ึงเป็นเมืองแรกท่ีพระพุทธเจา้ เสด็จไป ประดษิ ฐานพระศาสนา ๕.๓ สงั คายนาท่ปี รากฏในสมยั พทุ ธกาล ‚สงั คายนา‛ หรือ ‚สงั คตี ิ‛ คือการรอ้ ยกรองธรรมวนิ ยั ใหเ้ป็นหมวดหมู่ เป็นการจดั ระเบยี บหลกั คาสอนไว้ เป็นหมวดหมู่ สะดวกแก่การจดจานาไปอา้ งอิงนน้ั มมี าตง้ั แต่สมยั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่แลว้ ปรากฏ หลกั ฐานในปาสาทกิ สูตร๓๙ และสงั คีติสูตร ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค มใี จความสรุปไดว้ ่า ‚เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ ปราสาท ในอมั พวนั ของพวกศกั ยะ นามวา่ เวธญั ญะ แควน้ สกั กะ สมยั นน้ั นิครนถน์ าฏบุตร หรอื เป็นทร่ี ูจ้ กั กนั ว่า ศาสดามหาวีระ นิครนถ์ นาฏบุร ไดถ้ งึ แก่กรรมไม่นานท่กี รุงปาวา เพราะการถงึ แก่กรรมของนิครนถ์ นาฏบตุ รนนั้ พวกนิครนถจ์ งึ แตกกนั เกดิ แยกเป็น ๒ พวก ต่างบาดหมางกนั ทะเลาะววิ าทกนั ใชห้ อกคือปากทม่ิ แทงกนั อยู่วา่ ‚ท่านไม่รูท้ วั่ ถงึ ธรรมวินยั น้ี แต่เรารูท้ วั่ ถึงธรรมวินยั ท่านจะรูท้ วั่ ถงึ ธรรมวนิ ยั น้ีไดอ้ ย่างไร ท่านปฏบิ ตั ิผิด แต่ขา้ พเจา้ ปฏบิ ตั ิถกู คาพูดของขา้ พเจา้ มปี ระโยชน์ แต่คาพดู ของท่านไมม่ ปี ระโยชน์ คาท่คี วรพดู ก่อน ท่านกลบั พูด ภายหลงั คาทค่ี วรพูดภายหลงั ท่านกลบั พูดก่อน เร่อื งท่ีท่านเคยชิน ไดผ้ นั แปรไปแลว้ ขา้ พเจา้ จบั ผดิ คาพูดของท่าน ไดแ้ ลว้ ขา้ พเจา้ ขม่ ท่านไดแ้ ลว้ ถา้ ท่านมคี วามสามารถ ก็จงหาทางแกค้ าพูดหรอื เปล้อื งตนใหพ้ น้ ผดิ เถดิ ‛ เหน็ จะมี การฆ่ากนั เท่านนั้ ทจ่ี ะเป็นไปในพวกนิครนถ์ ผูเ้ป็นสาวกของนิครนถ์ นาฏบุตร แมพ้ วกสาวกของนิครนถน์ าฏบุตรท่ี เป็นคฤหสั ถ์ นุ่งขาวห่มขาว ก็มอี าการเบอ่ื หน่าย คลายความรกั รูส้ กึ ทอ้ ถอยในพวกนิครนถ์ ผูเ้ป็นสาวกของนิครนถ์ นาฏบุตร ทง้ั น้ีเพราะธรรมวนิ ยั ทน่ี ิครนถ์ นาฏบุตรกล่าวไวไ้ ม่ดี ประกาศไวไ้ ม่ดี ไม่เป็นเคร่อื งนาออกจากทุกขไ์ ด้ ไม่ เป็นไปเพ่ือความสงบระงบั เป็นธรรมวินัยท่ีผูม้ ิใช่พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ประกาศไว้ เป็นธรรมวินยั ท่ีมีท่ีพานกั ถูก ทาลายแลว้ ๔๐ เป็นธรรมวนิ ยั ทไ่ี มม่ ที พ่ี ง่ึ อาศยั ปาสาทกิ สูตร เล่าว่า ท่านพระจุนทะปรึกษากบั พระอานนท์ พระอานนทน์ าความไปกราบทูบพระพธุ เจา้ โดย บอกเหตผุ ลว่า ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ พระจนุ ทะ สมณุทเทสน้ีบอกว่า ‘นิครนถ์ นาฏบตุ รไดถ้ งึ แก่กรรมไมน่ านท่กี รุง ๓๙ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๖๔/๑๒๕-๑๓๖. ๔๐ ท่ีพานักถูกทาลายแลว้ หมายความวา่ นิครนถน์ าฏบุตร เป็นทพ่ี านกั ของเหล่าสาวก เมอ่ื เขาถงึ แก่กรรมแลว้ เหลา่ สาวกจึงหมดทพ่ี ่งึ พิง ธรรมของเขาก็เหมอื นสูญส้นิ ไปดว้ ย อา้ งใน ท.ี ปา.อ.(บาล)ี ๑๖๔/๙๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๕๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ปาวา เพราะการถงึ แก่กรรมของนิครนถ์ นาฏบุตรนน้ั พวกนิครนถจ์ ึงแตกกนั ฯลฯ เป็นธรรมวนิ ยั ท่มี ที พ่ี านกั ถูก ทาลายแลว้ เป็นธรรมวนิ ยั ทไ่ี มม่ ที พ่ี ง่ึ อาศยั ” พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า “ในโลกน้ีมศี าสดาทผ่ี ูม้ ใิ ช่พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มธี รรมทศ่ี าสดากลา่ วไวไ้ มด่ ี ประกาศ ไวไ้ ม่ดี ไม่เป็นเคร่ืองนาออกจากทุกขไ์ ด้ ไม่เป็นไปเพ่อื ความสงบระงบั เป็นธรรมท่ีผูม้ ใิ ช่พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ประกาศไว้ และสาวกก็เป็นผูป้ ฏบิ ตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏบิ ตั ชิ อบ ปฏบิ ตั ติ ามธรรมในธรรมนนั้ ยดึ ถอื ประพฤติ ธรรมนนั้ สาวกของศาสดานน้ั จะพงึ มคี นกลา่ วถงึ อย่างน้ีว่า ‘ท่านทง้ั หลายไม่เป็นลาภของท่าน ท่านไดไ้ ม่ดีแลว้ ศาสดา ของท่านเป็นผูม้ ใิ ช่พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ธรรมก็เป็นอนั ศาสดากลา่ วไวไ้ มด่ ี ประกาศไวไ้ ม่ดี ไมเ่ ป็นเคร่อื งนาออกจาก ทกุ ขไ์ ด้ ไมเ่ ป็นไปเพอ่ื ความสงบระงบั เป็นธรรมทผ่ี ูม้ ใิ ช่พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประกาศไว้ ท่านก็ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควร แก่ธรรม ปฏบิ ตั ชิ อบ ปฏบิ ตั ิตามธรรมในธรรมนนั้ ยดึ ถอื ประพฤติธรรมนนั้ ’ ดว้ ยเหตนุ ้ีแล จุนทะ ศาสดาในธรรม วนิ ยั นน้ั จะพงึ ถกู ตเิ ตยี นธรรมในธรรมวนิ ยั นนั้ กพ็ งึ ถูกตเิ ตยี น และสาวกในธรรมวนิ ยั นน้ั กค็ วรถกู ตเิ ตยี น โดยนยั ตรงกนั ขา้ ม กท็ รงตรสั ว่า “ถา้ เป็นศาสดาอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กจ็ ะมธี รรมท่ศี าสดานนั้ กลา่ วไวด้ ี ประกาศไวด้ ี เป็นเคร่ืองนาออกจากทุกขไ์ ด้ เป็นไปเพ่ือความสงบระงบั เป็นธรรมท่ีผูเ้ ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประกาศไว้ และสาวกกเ็ ป็นผูป้ ฏบิ ตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏบิ ตั ิชอบ ปฏบิ ตั ิตามธรรมในธรรมนนั้ ยดื ถอื ปฏบิ ตั ิ ธรรมนน้ั สาวกของศาสดานนั้ จะพงึ มคี นผูก้ ลา่ วถงึ อย่างน้ีวา่ ‘ท่านทง้ั หลาย เป็นลาภของท่านท่านไดด้ ีแลว้ ศาสดาของ ท่านเป็นสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ธรรมก็เป็นอนั พระศาสดา กล่าวไวด้ ี ประกาศไวด้ ี เป็นเคร่อื งนาออกจากทุกขไ์ ด้ เป็นไป เพอ่ื ความสงบระงบั จนุ ทะ อน่ึง ศาสดาผูเ้ป็นอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เกิดข้นึ แลว้ ในโลกน้ี และธรรมอนั ศาสดากล่าว ไวด้ ี ประกาศไวด้ ี เป็นเคร่อื งนาออกจากทุกขไ์ ดเ้ป็นไปเพ่อื ความสงบระงบั เป็นธรรมท่ผี ูเ้ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประกาศไว้ แต่ศาสดายงั ไมท่ รงทาใหส้ าวกทงั้ หลายของพระองคเ์ ขา้ ใจอรรถในสทั ธรรม ทงั้ ไม่ทาพรหมจรรยท์ ่บี ริสุทธ์ิ ครบถว้ นใหแ้ จ่มแจง้ ใหเ้ขา้ ใจง่าย ใหม้ บี ทท่รี วบรวมไวพ้ รอ้ มแลว้ ใหม้ ผี ลอย่างปาฏิหารยิ ์ แก่สาวกเหล่านน้ั จน ประกาศไดด้ ที วั่ ถึงเทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย๒ต่อมา ศาสดาของสาวกเหล่านนั้ ปรินิพพานไป ศาสดาเหน็ ปานน้ีแล ปรนิ ิพพานแลว้ ทาใหส้ าวกทง้ั หลายเดือดรอ้ นในภายหลงั ขอ้ นนั้ เพราะเหตุไร (สาวกเหล่านน้ั คิดว่า) ‘เพราะศาสดาผู้ เป็นอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เกิดข้นึ แลว้ ในโลก และธรรมก็เป็นอนั ศาสดากล่าวไวด้ ี ประกาศไวด้ ี เป็นเคร่อื งนาออก จากทุกขไ์ ด้ เป็นไปเพ่อื ความสงบระงบั เป็นธรรมท่ผี ูเ้ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประกาศไว้ แต่ศาสดายงั ไมท่ รงทาให้ เราทง้ั หลายเขา้ ใจอรรถในพระสทั ธรรม ทง้ั ไมท่ าพรหมจรรยท์ ่บี รบิ ูรณ์ครบถว้ นใหแ้ จ่มแจง้ ใหเ้ขา้ ใจงา่ ย ใหม้ บี ทท่ี รวบรวมไวพ้ รอ้ มแลว้ ใหม้ ผี ลอย่างปาฏหิ าริยแ์ ก่พวกเรา จนประกาศไดด้ ีทวั่ ถงึ เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย ต่อมา ศาสดาของเราทงั้ หลาย ปรนิ ิพพานไป’ จนุ ทะ ศาสดาเหน็ ปานน้ีแลปรนิ ิพพานแลว้ ทาใหส้ าวกทง้ั หลายเดือดรอ้ นใน ภายหลงั จนุ ทะ แมห้ ากว่าพรหมจรรย์ ประกอบดว้ ยองคเ์ หล่าน้ีคือ ศาสดาเป็นผูไ้ ม่มนั่ คง ไม่เป็นผูม้ ปี ระสบการณ์ มาก ไม่เป็นผูบ้ วชมานาน ไม่เป็นผูม้ ชี ีวติ อยู่หลายรชั สมยั ไม่เป็นผูล้ ่วงกาลผ่านวยั มามากพรหมจรรยน์ น้ั ย่อมไม่ บรบิ รู ณด์ ว้ ยองคน์ น้ั อย่างน้ีเมอ่ื ใด พรหมจรรยป์ ระกอบดว้ ยองคเ์ หล่าน้ี คือศาสดาเป็นผูม้ นั่ คง มปี ระสบการณม์ าก
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง บวชมานาน มชี วี ติ อยู่หลายรชั สมยั ลว่ งกาลผ่านวยั มามาก เมอ่ื นนั้ พรหมจรรยน์ นั้ ย่อมบริบูรณ์ดว้ ยองคน์ นั้ อย่าง น้ี๔๑ จนุ ทะ แมห้ ากวา่ พรหมจรรยป์ ระกอบดว้ ยองคเ์ หลา่ น้ี คือ ศาสดาเป็นผูม้ นั่ คง มปี ระสบการณม์ าก บวชมา นาน มชี ีวิตอยู่หลายรชั สมยั ลว่ งกาลผ่านวยั มามาก แต่ภกิ ษุสาวกผูเ้ ป็นเถระของศาสดานนั้ เป็นผูไ้ ม่เฉียบแหลม ไม่ไดร้ บั การแนะนา ไมแ่ กลว้ กลา้ ไม่บรรลุธรรมอนั เกษมจากโยคะ ไม่อาจกล่าวพระสทั ธรรมไดโ้ ดยชอบ ไม่อาจ แสดงธรรมมปี าฏหิ าริยป์ ราบปรปั ปวาท ทเี่ กิดข้นึ ใหเ้รียบรอ้ ยโดยชอบธรรมได้ พรหมจรรยน์ นั้ ย่อมไมบ่ ริบูรณ์ดว้ ย องคน์ นั้ อยา่ งน้ี๔๒ พระพุทธองคท์ รงแนะนาใหท้ าสงั คายนาตงั้ แต่สมยั พุทธกาล จากเหตุการณ์ดงั กล่าวมาขา้ งตน้ เก่ียวกบั นิครนถน์ าฏบุตรเม่ือถึงแก่กรรม แลว้ สาวกทะเลาะวิวาทกนั พระพทุ ธเจา้ กท็ รงแนะนาใหท้ าการรวบรวมอภญิ เญยยธรรมของพระองค์ เพ่อื ใหพ้ รหมจรรยต์ ง้ั อยู่ยงั่ ยนื ใจความว่า ‚จุนทะ เพราะเหตุนนั้ ธรรมทงั้ หลายที่เราแสดงไวแ้ ลว้ เพื่อความรูย้ ่งิ บริษทั ทง้ั หมดนน้ั แหละ พึงพรอ้ มเพรียงกนั ประชุม สอบทานอรรถกบั อรรถ พยญั ชนะกบั พยญั ชนะในธรรมนั้น แลว้ พึงสงั คายนา ไม่พึงวิวาทกนั เพ่ือให้ พรหมจรรยน์ ้ี ตงั้ อยู่ไดน้ าน ดารงอยู่ไดน้ าน ขอ้ นน้ั พงึ เป็นไปเพอ่ื เก้ือกูลแก่คนหม่มู าก เพ่อื สุขแก่คนหม่มู าก เพ่อื อนุเคราะหช์ าวโลก เพอ่ื ประโยชน์ เพอ่ื เก้อื กลู เพอ่ื สุขแก่เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย๔๓ ธรรมทง้ั หลายเราแสดงไวเ้พ่อื ความรูย้ ง่ิ บริษทั ทง้ั หมดนนั่ แหละ พงึ พรอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ สอบทานอรรถ กบั อรรถ พยญั ชนะกบั พยญั ชนะ แลว้ พึงสงั คายนากนั ไม่พึงววิ าทกนั เพ่อื ใหพ้ รหมจรรยน์ ้ีตงั้ อยู่ไดน้ าน ดารงอยู่ ไดน้ าน ขอ้ นนั้ พงึ เป็นไปเพอ่ื เก้อื กูลแก่คนหมมู่ าก เพ่อื สุขแก่คนหม่มู าก เพ่อื อนุเคราะหช์ าวโลก เพ่อื ประโยชน์ เพ่อื เก้อื กลู เพอ่ื สุขแก่เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย อภญิ เญยยธรรมคอื อะไร คือ สติปฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และ อริยมรรคมอี งค์ ๘ (โพธปิ กั ขยิ ธรรมนนั่ เอง) จนุ ทะ ธรรมทง้ั หลายน้ีแล เราแสดงไวแ้ ลว้ เพอ่ื ความรูย้ ่งิ บริษทั ทง้ั หมดนนั่ แหละพงึ พรอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ สอบทานอรรถกบั อรรถ พยญั ชนะกบั พยญั ชนะพงึ สงั คายนากนั ไม่พงึ ววิ าทกนั เพ่อื ใหพ้ รหมจรรยน์ ้ีตงั้ อยู่ไดน้ าน ดารงอยู่ไดน้ าน ขอ้ นน้ั พงึ เป็นไปเพ่อื เก้อื กูลแก่คนหม่มู าก เพอ่ื สุขแก่คนหม่มู าก เพอ่ื อนุเคราะหช์ าวโลกประโยชน์ เพอ่ื เก้อื กูล เพอ่ื สุขแก่เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย๔๔ ส่วนในสงั คีติสูตร บนั ทึกไวว้ ่า ท่านพระสารีบุตรกไ็ ดป้ รารภเหตกุ ารณ์อนั น่าเศรา้ สลดใจครงั้ น้ี ว่า “พอ ศาสดานิครนถ์ นาฏบุตร ไดถ้ งึ แก่กรรมแลว้ ไมน่ านทก่ี รุงปาวา เพราะการถงึ แก่กรรมของนิครนถ์ นาฏบุตรนนั้ พวก สาวกนิครนถจ์ ึงแตกกนั เกดิ แยกกนั เป็น ๒ พวก”๔๕ เหตกุ ารณ์เช่นน้ีนบั เป็นสง่ิ สาคญั ท่านจงึ พดู กบั พระสงฆใ์ หด้ ู ๔๑ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๒/๑๓๑. ๔๒ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๓/๑๓๒. ๔๓ ที.ปา. (บาล)ี ๑๑/๑๐๘/๑๓๙-๑๔๐. “ตสฺมาติห จุนฺท เย เต มยา ธมฺมา อภิญฺญา เทสิตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคมฺม สมาคมฺม อตฺเถน อตฺถ พฺยญฺชเนน พฺยญฺชน สงฺคายิตพฺพ วิจริตพฺพ ยถยิท พฺรหฺมจริย อทฺธนิย อสฺส จิรฏฺฐิติก ตทสฺเสว พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมปฺ าย อตถฺ าย หติ าย สุขาย เทวมนุสฺสาน ฯ ๔๔ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๗๗/๑๓๘. ๔๕ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๒/๒๕๐.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ เป็นบทเรียนอนั ลา้ ค่าของความแตกแยกท่เี กดิ ข้นึ และกลา่ วว่า ควรสงั คายนาจดั หมวดหม่พู ระธรรมวนิ ยั ไวใ้ หเ้ป็น หลกั ฐาน เพ่อื ใหพ้ ระสาสนาไมว่ ิปริตและดารงอยู่ไดน้ าน แมอ้ งคพ์ ระศาสดาจะปรินิพพานแลว้ ท่านไดแ้ สดงไวใ้ หด้ ู เป็นตวั อย่าง โดยเร่มิ ตง้ั แต่ธรรมท่มี อี งคป์ ระกอบเดียว (สงฺคีตเิ อกก) ไดแ้ ก่ ท่านผูม้ อี ายุทงั้ หลาย ธรรมหมวดละ ๑ ประการ ทพ่ี ระผูม้ พี ระภาคผูท้ รงรู้ ทรงเหน็ เป็นพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคน์ นั้ ตรสั ไวโ้ ดยชอบแลว้ มอี ยู่ พวกเราทงั้ หมดน้ีแหละ พงึ สงั คายนา ไม่พึงววิ าทกนั ในธรรมนนั้ เพอ่ื ใหพ้ รหมจรรยน์ ้ีตงั้ อยู่ไดน้ าน ดารงอยู่ไดน้ าน ขอ้ นน้ั พงึ เป็นไปเพอ่ื เก้อื กูลแก่คนหมมู่ าก เพอ่ื สุขแก่คนหม่มู ากเพ่อื อนุเคราะหช์ าวโลก เพอ่ื ประโยชน์ เพ่อื เก้อื กูลเพอ่ื สุขแก่เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลายธรรมหมวดละ ๑ ประการคืออะไร -สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐติ กิ า คอื สตั วท์ งั้ หลายทงั้ ปวง ดารงอยไู่ ดด้ ว้ ยอาหาร๔๖ -สพฺเพ สตฺตา สงฺขารตฏิ ฺฐกิ า คอื สตั วท์ งั้ หลายทงั้ ปวง ดารงอยู่ไดด้ ว้ ยสงั ขาร ทา่ นผูม้ อี ายุทง้ั หลาย น้ีแลคอื ธรรมหมวดละ ๑ ประการท่พี ระผูม้ พี ระภาคผูท้ รงรู้ ทรงเหน็ เป็นพระอรหนั ต สมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคน์ น้ั ตรสั ไวโ้ ดยชอบแลว้ พวกเราทงั้ หมดน้ีแหละ พึงสงั คายนา ไม่พงึ ววิ าทกนั ในธรรมนนั้ เพอ่ื ใหพ้ รหมจรรยน์ ้ีตงั้ อยู่ไดน้ าน ดารงอยู่ไดน้ าน ขอ้ นน้ั พงึ เป็นไปเพ่อื เก้อื กูลแก่คนหม่มู าก เพ่อื สุขแก่คนหม่มู าก เพอ่ื อนุเคราะหช์ าวโลก เพอ่ื ประโยชน์ เพอ่ื เก้อื กลู เพอ่ื สุขแก่เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย๔๗ ในสงั คตี สิ ูตรน้ี ทา่ นพระสารบี ตุ ร แสดงหมวดธรรมเป็นตวั อย่าง เร่มิ ตง้ั แต่หมวดละ ๑ ขอ้ จบ และหลงั จาก นน้ั ก็แสดงตงั้ แต่หมวดละ ๒ เช่น หมวดธรรมท่ีมอี งคป์ ระกอบ ๒ ประการคือ นาม ๑ รูป ๑๔๘ เป็นตน้ ไป จนถึง ธรรมท่มี อี งคป์ ระกอบ ๑๐ (สงฺคีติทสก) เช่น อเสกขธรรม ๑๐ คือ อเสกขฺ าสมมฺ าทฏิ ฺฐิ อเสกขฺ าสมมฺ าสงฺกปโฺ ป อเสกฺ ขาสมมฺ าวาจา อเสกขฺ าสมมฺ าสงฺกมมฺ นฺโต อเสกขฺ าสมมฺ าอาชโี ว อเสกขฺ าสมมฺ าวายาโม อเสกขฺ าสมมฺ าสติ อเสกขฺ าสมมฺ าส มาธิ อเสกฺขาสมมฺ าญาณ อเสกฺขาสมมฺ าวมิ ตุ ตฺ ิ เป็นตน้ ความทราบถึงพระบรมศาสดา กท็ รงเหน็ ชอบดว้ ย และทรง อนุโมทนาสาธุการ นบั ไดว้ ่า เป็นตน้ แบบแห่งการสงั คายนาพระธรรมวินยั ๔๙ ดงั ขอ้ พทุ ธพจนว์ ่า “ลาดบั นนั้ พระผูม้ ี พระภาคเสด็จลุกข้นึ แลว้ ตรสั กบั ท่านพระสารีบุตรดงั น้ีว่า ‚ดีละ ดีละ, ดีแท้ สารีบุตร ท่เี ธอกล่าวสงั คีติปริยาย (แนวทางแห่งการสงั คายนา) แก่ภกิ ษุทง้ั หลาย‛ ท่านพระสารีบตุ ร ไดก้ ล่าวสงั คีติปริยายน้ีแลว้ พระศาสดาทรงพอ พระทยั และภกิ ษุเหลา่ นนั้ มใี จยนิ ดี ต่างช่นื ชมภาษติ ของทา่ นพระสารบี ุตรแลว้ แล๕๐ ถา้ มขี อ้ สงสยั ในพระสทั ธรรมใหถ้ าม แมใ้ นมหาปรนิ ิพพานสูตร พระพทุ ธเจา้ กต็ รสั เตือนว่า ถา้ สงสยั ขอ้ ใด เก่ยี วกบั อะไรใหถ้ ามเพอ่ื ใหห้ ายสงสยั จะไดไ้ มค่ า้ งคาใจในภายหลงั ดงั พทุ ธพจนว์ า่ ๔๖ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๙๘๕/๖๓๗. ๔๗ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๓/๒๕๐-๒๕๑. ๔๘ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๔/๒๕๒. คาวา่ นาม หมายถงึ อรูปขนั ธ์ ๔ คอื (๑) เวทนาขนั ธ์ (๒) สญั ญาขนั ธ์ (๓) สงั ขารขนั ธ์ (๔) วญิ ญาณขนั ธ์ และนิพพาน อา้ งใน ท.ี ปา.อ.(บาล)ี ๓๐๔/๑๗๐-๑๗๑. และดูเทยี บ องฺ.ทกุ .(ไทย) ๒๐/๙๐/๑๐๗., อภ.ิ สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๓๑๖-๑๓๑๗/๓๓๐. ฯ คาว่า รูป หมายถงึ มหาภตู รูป ๔ และรูปทอ่ี าศยั มหาภตู รูป ๔ (คอื อปุ าทายรูป ๒๔) อา้ งใน ท.ี ปา.อ. (บาล)ี ๓๐๔/๑๗๑. ๔๙ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๓-๓๔๘/๒๕๐-๓๖๖. ๕๐ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑๓๔๙/๓๖๖.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ “ภกิ ษุทงั้ หลาย ถา้ ภิกษุแมเ้พียงรูปเดียว พึงมคี วามสงสยั หรือความเคลอื บแคลงในพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ มรรคหรอื ในปฏปิ ทาขอ้ ปฏบิ ตั ิ เธอทงั้ หลาย จงถามเถดิ จะไดไ้ มเ่ สยี ใจในภายหลงั ว่า ‘พระศาสดา ยงั อยู่ ต่อหนา้ เราไมก่ ลา้ ทูลถามในท่เี ฉพาะพระพกั ตร‛์ เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างน้ี ภกิ ษุเหล่านน้ั ไดน้ ่ิงเงยี บ แมค้ รง้ั ท่ี ๒ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรยี กภกิ ษุทงั้ หลายตรสั ว่า ฯลฯ แมค้ รง้ั ท่ี ๓ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียกภกิ ษุทง้ั หลายมา ตรสั ว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย ถา้ ภิกษุแมเ้พียงรูปเดียว พงึ มคี วามสงสยั หรือความเคลอื บแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรอื ในปฏปิ ทา เธอทงั้ หลายจงถามเถดิ จะไดไ้ มเ่ สยี ใจในภายหลงั ว่าพระศาสดายงั อยู่ต่อหนา้ เราไม่ กลา้ ทลู ถามในทเ่ี ฉพาะพระพกั ตร‛์ ลาดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียกภิกษุทง้ั หลายมาตรสั ว่า ‚ภิกษุทงั้ หลายถา้ เธอทงั้ หลายไม่กลา้ ถาม เพราะความเคารพในศาสดา ก็ขอใหภ้ กิ ษุผูเ้ป็นเพ่อื นบอกความสงสยั แก่ภกิ ษุผูเ้ป็นเพ่อื นใหถ้ าม ก็ได้ เมอ่ื พระผูม้ ี พระภาคตรสั อย่างน้ีภกิ ษุเหล่านน้ั ไดน้ ่ิงเงยี บ ท่านพระอานนทไ์ ดก้ ราบทูลว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ น่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่เคยปรากฏ ขา้ พระองคเ์ ลอ่ื มใสในภิกษุสงฆอ์ ย่างน้ีว่า แมภ้ กิ ษุเพยี งรูปเดียวก็ไม่มคี วามสงสยั หรือความเคลอื บ แคลงในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรอื ในปฏปิ ทา‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚อานนท์ เธอกล่าวเพราะความเล่อื มใส แต่ตถาคตมญี าณหยงั่ รูใ้ นเร่ืองน้ีดีว่า ใน ภกิ ษุสงฆน์ น้ั แมภ้ กิ ษุเพยี งรูปเดยี วก็ไมม่ คี วามสงสยั หรอื ความเคลอื บแคลงในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทาในจานวนภิกษุ ๕๐๐ รูป ภิกษุผูม้ ีคุณธรรมขนั้ ตา่ สุด เป็นพระโสดาบนั ๒ ไม่มที างตกตา่ มีความ แน่นอนทจ่ี ะสาเรจ็ สมั โพธใิ นวนั ขา้ งหนา้ ๕๑ ลาดบั นนั้ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรยี กภกิ ษุทงั้ หลายมาตรสั ว่า ‚ภกิ ษุทง้ั หลาย บดั น้ีเราขอเตือนเธอทง้ั หลาย สงั ขารทงั้ หลายมคี วามเส่อื มไปเป็นธรรมดาเธอทง้ั หลายจงทาหนา้ ท่ใี หส้ าเร็จดว้ ยความไม่ประมาทเถดิ ‛ น้ีเป็นพระ ปจั ฉิมวาจาของพระตถาคต๕๒ ๕.๔ สงั คายนาและกาเนิดนิกายในพระพทุ ธศาสนา เมอื่ พระพุทธเจา้ ปรินิพพานแลว้ มกี ารกาหนดถวายพระเพลิงในวนั ท่ี ๘ ณ มกุฏพนั ธนเจดีย์ ดา้ น ตะวนั ออกของเมอื งกุสนิ ารา ปจั จุบนั เรียกว่า “วนั อฏั ฐมบี ูชา” คือวนั ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระของสมเด็จพระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ (หลงั เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานได้ ๘ วนั ) ถอื เป็นวนั สาคญั ในพระพทุ ธศาสนาวนั หน่ึง ซ่งึ ตรงกบั วนั แรม ๘ คา่ เดอื นวสิ าขะ (เดือน ๖ ของไทย) นอกจากนน้ั วนั น้ีเป็นวนั คลา้ ยวนั ท่พี ระนางสิริมหามายา องคพ์ ระพทุ ธ มารดาส้นิ พระชนม์ (หลงั ประสูต)ิ และเป็นวนั คลา้ ยวนั ท่พี ระพทุ ธองคท์ รงเสวยวิมตุ ตสิ ุขตลอด ๗ วนั (หลงั ตรสั รู)้ อกี ดว้ ย เมอ่ื องคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดเ้ สด็จปรินิพพานไปแลว้ ๗ วนั มลั ละกษตั ริยแ์ ห่งเมอื งกุสนิ ารา พรอ้ มดว้ ยประชาชนและพระสงฆอ์ นั มพี ระมหากสั สปเถระ เป็นประธาน ไดพ้ รอ้ มกนั กระทาการถวายพระเพลงิ พทุ ธ ๕๑ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๗/๑๖๕-๑๖๖. ๕๒ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๘/๑๖๖.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สรีระ ณ มกุฏพนั ธนเจดยี ์ ใกลเ้ มอื งกุสนิ ารา เป็นวนั หน่ึงท่ชี าวพุทธตอ้ งมคี วามโศกเศรา้ เสียใจเป็นอย่างย่งิ เพราะ การสูญเสยี แห่งพระพทุ ธสรีระ เมอ่ื วนั แรม ๘ คา่ เดอื น ๖ ซ่งึ นิยมเรยี กกนั ว่า วนั อฏั ฐมบี ูชานนั้ เมอ่ื เวยี นมาบรรจบ แต่ละปี พทุ ธศาสนิกชนทวั่ โลกไดพ้ รอ้ มกนั ประกอบพธิ บี ูชาข้นึ เป็นการเฉพาะ วนั ถวายพระเพลงิ นนั้ พระมหากสั สปเถระ พรอ้ มดว้ ยภกิ ษุบริวารเดนิ ทางจากเมอื งปาวามาสู่กสุ นิ ารา ท่าน ไดท้ ราบจากผูท้ ส่ี วนทางไปว่าพระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานแลว้ และกาหนดถวายพระเพลงิ ในวนั น้ี ภกิ ษุทงั้ หลายทราบข่าว นนั้ แลว้ ท่เี ป็นปุถชุ นกเ็ กดิ ความเศรา้ โศก ครา่ ครวญ ทเ่ี ป็นพระขณี าสพหรือพระอรหนั ตก์ ป็ ลงธรรมสงั เวช แต่ในหมู่ ภกิ ษุเหล่านนั้ มอี ยู่รูปหน่ึงช่อื “สุภทั ทะ วุฑฒบรรพชิต”๕๓ เป็นพระภกิ ษุผูบ้ วชเมอ่ื คราวแก่ ไดก้ ลา่ วข้นึ ใจท่ามกลาง สงฆผ์ ูใ้ หญ่ มใี จความว่า “อย่าเศรา้ โศก อย่าครา่ ครวญไปเลย พระพุทธเจา้ ปรินิพพานเสยี ก็ดีแลว้ พวกเราจะไดท้ า อะไรๆ ตามใจชอบไม่มใี ครหา้ มปรามตาหนิ เมอื่ พระศาสดายงั ทรงพระชนมอ์ ยู่คอยหา้ มปรามตาหนิการกระทาต่างๆ ของภกิ ษุทงั้ หลายอยเู่ นืองๆ” พระมหากสั สปเถระ ไดฟ้ งั แลว้ เกดิ สงั เวชสลดใจว่า พระศาสดานิพพานไปเพียง ๗ วนั เท่านนั้ ยงั มภี กิ ษุท่ี เป็นเส้ยี นหนามของพระธรรมวินยั ถงึ ปานน้ี ต่อไปภายหนา้ กาลเวลานานไปจะเป็นอย่างไร คาพูดของสุภทั ทะวุฑฒ บรรพชิต (พระอปุ สมบทตอนแก่ชรา) ถอื ว่าเป็นการกล่าวจาบจว้ งขาดความเคารพต่อพระธรรมวินยั ทงั้ ๆ ท่ตี นเอง เป็นพทุ ธสาวกเสมอื นผูแ้ สดงตนเป็นขบถต่อพระศาสดา แต่เน่ืองจากเป็นเวลาท่ใี กลก้ ารถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ พระมหากสั สปะ จึงไม่ไดก้ ล่าวอะไรในขณะนน้ั การท่พี ระสุภทั ทวุฒบรรพชิต กล่าววาจาท่เี ป็นเส้ยี นหนามนน้ั เม่อื พจิ ารณาแลว้ จะเหน็ ไดว้ ่า จะไมใ่ ช่มแี ต่พระสุภทั ทะรูปเดยี วเท่านนั้ คงจะมปี าปภกิ ษุ อกี ไม่ใช่นอ้ ยทม่ี คี วามเหน็ อย่าง สุภทั ทะ แต่ท่านพระมหากสั สปเถระ ก็ไดน้ าเร่ืองเหตุการณ์น้ีเขา้ ท่ปี ระชมุ สงฆพ์ รอ้ มกบั นาเสนอการชาระพระธรรม วนิ ยั โดยใหเ้หตผุ ลวา่ ถา้ ขนื ปลอ่ ยไปเช่นน้ี “สงิ่ ทไี่ มใ่ ช่ธรรม ไมใ่ ช่วนิ ยั ก็จกั รุ่งเรือง สงิ่ ทีเ่ ป็นธรรม สงิ่ ทเี่ ป็นพระวนิ ยั ก็จะถูกปกปิด เสอื่ มถอย พวกภิกษุทเี่ ป็นอธรรมวาที อวนิ ยวาที ก็จกั รุ่งเรือง ก็จกั มกี าลงั ส่วนฝ่ายพวกธรรมวาที วนิ ยวาที กจ็ ะเสอื่ มถอย”๕๔ ในการรกั ษาสบื ต่อพระธรรมวนิ ยั ในรูปแบบของการปฏิบตั ิและสงั่ สอนนน้ั ผูท้ ่มี คี วามละอาย คือเป็นลชั ชี จึงจะรกั ษาคาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ ไวไ้ ดอ้ ย่างถูกตอ้ งบริสุทธ์ิ ในขอ้ น้ีพระโปราณาจารยเ์ ถระ ไดก้ ล่าวไวด้ งั น้ีว่า “อนาคเต ลชฺชี รกฺขสิ ฺสติ, ลชฺชี รกขฺ สิ ฺสติ, ลชฺชี รกฺขสิ ฺสติ” แปลว่า : ในกาลภายหนา้ ภกิ ษุผูม้ ยี างอาย จกั รกั ษาพระ ธรรมวนิ ยั ไวไ้ ด,้ ภกิ ษุผูม้ ยี างอาย จกั รกั ษาไวไ้ ด,้ ภกิ ษุผูม้ ยี างอาย จกั รกั ษาไวไ้ ด”้ ในกรณีน้ีภกิ ษุท่จี ดั ว่ามยี างอายคือ ภกิ ษุทม่ี คี วามรูส้ กึ ละอายต่อส่งิ ท่พี งึ ละอาย ละอายต่อการท่จี ะแตะตอ้ งบาปอกุศลธรรม เป็นคนรงั เกียจบาป ภกิ ษุผู้ เป็นลชั ชยี งั มคี ุณธรรมอ่นื อกี คือมคี วามเกรงกลวั บาป มคี วามเคารพหนกั แน่นในหลกั คาสอนของพระพทุ ธองค์ ยก ยอ่ งพระสทั ธรรมไวเ้หนือตนเอง นอกจากจะละอายบาป ยงั มคี วามเอ็นดู อนุเคราะหช์ ่วยเหลอื ใหแ้ ลว้ ไมห่ วงั ตอบแทน พดู จริง ไม่กล่าวให้ คลาดจากความจรงิ ไมส่ รา้ งความแตกแยก สมานสามคั คี เจรจาไพเราะ พูดถกู กาลเทศะ พูดจรงิ พดู เป็นอรรถเป็น ธรรม มที อ่ี า้ งองิ ประกอบดว้ ยประโยชน์ ๕๓ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๒/๑๖๐. ๕๔ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๓๗-๔๔๕/๓๗๕-๓๙๐.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ภิกษุท่ีเป็นลชั ชี จะมีความยาเกรง ใคร่ในการศึกษา จะไม่ทาใหเ้ สียแบบแผนเพราะเห็นแก่ความเป็นอยู่ แสดงเฉพาะธรรมและวนิ ยั จะประคองสตั ถุศาสนไ์ วอ้ ย่างมนั่ คง ท่านจะไม่ละหลกั การทางวินยั ไม่ละเมดิ หลกั การ ทางวนิ ยั จะยนื หยดั มนั่ คงในหลกั การทางวนิ ยั ตามภาวะของผูม้ ยี างอาย ภกิ ษุลชั ชที จ่ี ะรกั ษาพระสทั ธรรมไวไ้ ดน้ ้ี เป็นระดบั พหูสูตผูค้ งแก่เรียน มใิ ช่ไม่มกี ารศึกษา เป็นผูไ้ มง่ อ่ นแง่น เม่อื ถูกสอบถามขอ้ ความในพระไตรปิฎก หรืออรรถกถาตอนทา้ ย หรือตอนตน้ ยอ้ นไปยอ้ นมา ก็ไม่ท่ือ ไม่หวนั่ ช้แี จงไดว้ ่า เรากลา่ วอย่างน้ี อาจารยข์ องเราก็กลา่ วอย่างน้ี ดุจดงั ใชแ้ หนบถอนขนทลี ะเสน้ เป็นผูท้ ที รงจาหลกั การใน พระไตรปิฎก และขอ้ วนิ ิจฉยั ในอรรถกถาไดอ้ ย่างแมน่ ยา ไมม่ หี มดส้นิ ภิกษุแมจ้ ะเป็นพหูสูต ผูค้ งแก่เรียน แต่ถา้ เป็นผูไ้ ม่มยี างอาย เป็นผูเ้ ห็นแก่ได้ ก็มกั จะทาใหแ้ บบแผน คลาดเคลอ่ื น แสดงหลกั คาสอนของพระศาสดานอกธรรมนอกวนิ ยั สรา้ งความมวั หมอู่ งอย่างมหนั ตข์ ้นึ ในพระศาสนา ก่อใหเ้กดิ สงั ฆเภทบา้ ง สงั ฆราชบี า้ ง ภกิ ษุผูเ้ ป็นลชั ชีเท่านน้ั ท่จี ะปกป้องพระสทั ธรรม ยอมสละตนเพ่อื รกั ษาธรรม ส่วนภกิ ษุอลชั ชี มกั จะสละ ธรรมเพอ่ื รกั ษาตนและพวกพอ้ งของตน ยอมสละหลกั การแหง่ พระพทุ ธศาสนาเพอ่ื ลาภสกั การะ ทก่ี ลา่ วมาน้ี คือระบุถงึ บุคคลผูท้ ่รี กั ษาพระสทั ธรรมไว้ แต่การจะรกั ษาไวไ้ ดน้ นั้ กม็ ขี น้ั ตอนกระบวนการอยู่ คือตอ้ งรูว้ ่าอะไรเป็นแก่นแทท้ เ่ี ป็นพระสทั ธรรม ภกิ ษุท่รี ูส้ ึกว่า ตนกเ็ ป็นผูม้ ยี างอาย หวงแหนปกป้องพระศาสนา แต่ ถา้ ไม่รูจ้ กั พระศาสนา หรือพระสทั ธรรมท่แี ท้ ก็อาจจะรกั ษาสทั ธรรมปฏริ ูปไวก้ ็ได้ จาเป็นอย่างย่งิ ท่ตี อ้ งเรียนรูพ้ ระ สทั ธรรมแทใ้ หเ้ขา้ ใจ ในเร่อื งน้ี กต็ อ้ งอาศยั พระพทุ ธพจนท์ พ่ี ระบรมศาสดาไดท้ รงแสดงไวใ้ นพระไตรปิฎก ขอ้ เสนอแนะใหท้ าสงั คายนา เมอ่ื มเี หตทุ ก่ี ่อใหเ้กดิ ความเสอ่ื มแห่งสทั ธรรมเกดิ ข้นึ ในสงั ฆมณฑล ดว้ ยเหตุและปจั จยั หลายประการ จงึ ทา ใหพ้ ระมหาเถระ ทเ่ี ป็นพระอรหนั ตท์ งั้ หลายก็ดารหิ าแนวทางในการดารงมนั่ แหง่ พระสทั ธรรมดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ มเี ร่อื งเล่าว่า สมยั เมอ่ื นิครนถนาฏบตุ ร ผูเ้ป็นอาจารยเ์ จา้ ลทั ธิสาคญั คนหน่ึงส้นิ ชพี สาวกเกดิ แตกกนั พระจุ นทเถระผูเ้ป็นนอ้ งชายของพระสารบี ตุ ร เกรงเหตกุ ารณเ์ ช่นนน้ั จะเกิดแก่พระพทุ ธศาสนา จึงเขา้ ไปหาพระอานนทเ์ ล่า ความใหฟ้ งั พระอานนทจ์ ึงชวนไปเฝ้ าพระพุทธเจา้ เม่อื กราบทูลแลว้ พระองคไ์ ดต้ รสั ตอบดว้ ยขอ้ ความเป็นอนั มาก แต่ขอ้ หน่ึงท่ีสาคญั ย่ิงคือพระผูม้ พี ระภาคตรสั บอกพระจุนทะ แนะใหร้ วบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทา สงั คายนา คือจดั ระเบยี บคาสอนทงั้ หมด ทงั้ โดยอรรถและพยญั ชนะ เพ่อื ใหพ้ รหมจรรยต์ งั้ มนั่ ยงั่ ยนื สบื ไปพระพทุ ธ ภาษติ ทแ่ี นะนาใหร้ วบรวมพทุ ธวจนะรอ้ ยกรองจดั ระเบยี บหมวดหมนู่ ้ี ถอื ไดว้ ่าเป็นการเร่มิ ตน้ แห่งการแนะนา เพอ่ื ให้ เกดิ พระไตรปิฎกดงั่ ท่เี ป็นอยู่ทกุ วนั น้ี ในสมยั เดยี วกนั นน้ั และปรารภเร่อื งเดยี วกนั คือเร่อื งสาวกของนิครนถนาฏบุตรแตกกนั ภายหลงั ทอ่ี าจารย์ ส้ินชีวิต คา่ วนั หน่ึงเม่ือพระผูม้ ีพระภาคทรงแสดงธรรมจบแลว้ เห็นว่าภิกษุทงั้ หลายยงั ใคร่จะฟงั ต่อไปอีกจึง มอบหมายใหพ้ ระสารบี ุตรแสดงธรรมแทน ซ่งึ ท่านไดแ้ นะนาใหร้ วบรวมรอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั โดยแสดงตวั อย่าง การจดั หมวดหมธู่ รรมะเป็นขอ้ ๆ ตงั้ แต่ ๑ ถงึ ขอ้ ๑๐ ว่ามธี รรมอะไรบา้ งอยู่ในหมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ และถงึ หมวด ๑๐ ซง่ึ พระผูม้ พี ระภาคไดท้ รงรบั รองว่าขอ้ คิดและธรรมะท่แี สดงน้ีถูกตอ้ งในขณะท่พี ระพทุ ธเจา้ ยงั มพี ระชนม์ ชีพอยู่ยงั ไม่มกี ารจดั ระเบียบหมวดหมู่ ยงั ไม่มกี ารจดั เป็นวินยั ปิฎกสุตตนั ตปิฎก และอภิธรรมปิฎก นอกจากมี
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตวั อย่างการจดั ระเบียบวินยั ในการสวดปาฏิโมกข์ ลาดบั สิกขาบททุกก่ึงเดือน ตามพระพุทธบญั ญตั ิและการจดั ระเบยี บพระธรรมแก่พระจุนทเถระและเพราะอานนทใ์ นปาสาทกิ สูตร และสามคามสูตรพระพุทธเจา้ ประทานพุทธ โอวาทไวม้ ากหลายต่างกาลต่างเวลาต่างสถานทก่ี ารท่พี ระสาวกซ่งึ ท่องจากนั ไวไ้ ดแ้ ละจดั ระเบยี บหมวดหม่เู ป็นปิฎก ต่างๆ ในเมอ่ื พระศาสดานิพพานแลว้ คอื ในขนั้ แรก คาสงั่ สอนขอพระพทุ ธเจา้ นนั้ รวมเรียกว่า พระธรรมวนิ ยั เช่น ท่ี ปรากฏในมหาปรนิ ิพพานสูตร ตอนว่าดว้ ยปจั ฉิมวาจา ในสมยั เมอ่ื ใกลจ้ ะปรนิ ิพพาน พระพทุ ธเจา้ ตรสั กบั พระอานนท์ ว่า “อานนท์ กบ็ างที พวกเธอพงึ คิดอย่างน้ีว่า ‘ปาพจนม์ พี ระศาสดาล่วงลบั ไปแลว้ , พวกเราไมม่ ศี าสดา ’, อานนท์ ก็ ขอ้ น้ีพวกเธอทงั้ หลาย ไมพ่ งึ คิดเหน็ เช่นนนั้ เลย, อานนท์ ก็ธรรมและวนิ ยั ขอ้ ใด สกิ ขาบทใด ทเี่ ราแสดงแลว้ บญั ญตั ิ แลว้ แก่ท่านทงั้ หลาย, ธรรมะและวินยั ขอ้ นนั้ จะเป็นศาสดาของท่านทงั้ หลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเราตถาคต”๕๕ ต่อจากนนั้ พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ เรียกภิกษุทง้ั หลายมาเขา้ เฝ้ าและไดป้ ระทานปจั ฉิมโอวาทว่า ‚ภิกษุทงั้ หลาย บดั น้ี ตถาคตขอเตือนเธอทง้ั หลายว่า สงั ขารทงั้ หลาย เส่อื มไปเป็นธรรมดา เธอทงั้ หลายจงยงั ประโยชนต์ นและประโยชน์ ทา่ น ใหถ้ งึ พรอ้ ม ดว้ ยความไมป่ ระมาทเถดิ ‛ น้ีเป็นพระปจั ฉิมะวาจาของพระตถาคต สงั คายนาหรอื การรอ้ ยกรอง คือ ประชุมสงฆจ์ ดั ระเบยี บหมวดหมู่พระพทุ ธวจนะ แลว้ รบั ทราบทวั่ กนั ในท่ีประชุมนน้ั ว่าตกลงกนั อย่างน้ีแลว้ ก็มกี าร ท่องจานาสบื ต่อๆ มา ในชนั้ เดิมการสงั คายนาปรารภเหตุความมนั่ คงแห่งพระพุทธศาสนา จึงจดั ระเบยี บหมวดหมู่ พระพทุ ธวจนะไว้ ในครง้ั ต่อๆ มาปรากฏมกี ารถอื ผดิ ตีความหมายผดิ ก็มกี ารชาระวนิ ิจฉยั ขอ้ ท่ถี อื ผดิ ตีความหมาย ผดิ นนั้ ช้ีขาดว่าท่ถี ูกควรเป็นอย่างไร แลว้ ก็ทาการสงั คายนา โดยการทบทวนระเบยี บเดิมบา้ ง เพ่มิ เตมิ ของใหม่อนั เป็นทานองบนั ทกึ เหตกุ ารณ์บา้ ง จดั ระเบยี บใหม่ในบา้ งขอ้ บา้ ง ในชน้ั หลงั ๆ เพยี งการจารกึ ลงในใบลาน การสอบทาน ขอ้ ผดิ ในใบลาน กเ็ รยี กกนั ว่าสงั คายนาไมจ่ าเป็นตอ้ งมเี หตกุ ารณถ์ อื ผดิ เขา้ ใจผดิ เกดิ ข้นึ สงั คายนาอนั เป็นรอ้ ยกรองกลนั่ กลองพระธรรมวนิ ยั คือประชุมสงฆจ์ ดั ระเบยี บหมวดหม่พู ระพุทธวจนะ แลว้ รบั ทราบทวั่ กนั ในท่ปี ระชุมนน้ั ว่าตกลงกนั อย่างน้ี แลว้ ก็มกี ารท่องจานาสืบต่อๆ มา ในชน้ั เดิมการสงั คายนา ปรารภเหตคุ วามมนั่ คงแหง่ พระพทุ ธศาสนา จงึ จดั ระเบยี บหมวดหมพู่ ระพทุ ธวจนะไว้ ในครงั้ ต่อๆ มาปรากฏมกี ารถอื ผดิ ตคี วามหมายผดิ กม็ กี ารชาระวนิ ิจฉยั ขอ้ ท่ถี อื ผดิ ตคี วามหมายผดิ นน้ั ช้ขี าดว่าทถ่ี กู ควรเป็นอย่างไรแลว้ กท็ าการ สงั คายนา โดยการทบทวนระเบยี บเดมิ บา้ ง เพม่ิ เติมของใหม่อนั เป็นทานองบนั ทกึ เหตุการณ์บา้ ง จดั ระเบยี บใหม่ใน บา้ งขอ้ บา้ ง ในชน้ั หลงั ๆ เพียงการจารึกลงในใบลาน การสอบทานขอ้ ผิดในใบลาน ก็เรียกกนั ว่าสงั คายนาไม่ จาเป็นตอ้ งมเี หตกุ ารณถ์ อื ผดิ เขา้ ใจผดิ เกดิ ข้นึ ๕.๔.๑ ปฐมสงั คายนา (The First Buddhist Council) ปฐมสงั คายนาคือสงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ : กระทาท่ถี า้ สตั ตบรรณคูหา ขา้ งเขาเวภารบรรพต ใกลก้ รุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย พระมหากสั สปเถระ เป็นประธานและเป็นผูส้ อบถาม พระอบุ าลเี ป็นผูต้ อบ (อุบาลี วนิ ย วิสชฺเชยฺย) ขอ้ ซกั ถามทางวนิ ยั พระอานนทเ์ ป็นผูต้ อบขอ้ ซกั ถามทางธรรม (อานนฺโท ธมมฺ วิสชฺเชยฺย) มพี ระอรหนั ตป์ ระชุมกนั ๕๐๐ รูป กระทาอยู่ ๗ เดอื นจงึ สาเรจ็ ในการน้ีพระเจา้ อชาตศตั รูทรงเป็นผูอ้ ปุ ถมั ภส์ งั คายนาครงั้ น้ีกระทาภายหลงั ท่ี พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานล่วงแลว้ ได้ ๓ เดือน ขอ้ ปรารภในการสงั คายนา คือพระมหากสั สปะ ปรารภถอ้ ยคาของภกิ ษุ ๕๕ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ช่อื สุภทั ทะผูบ้ วชเมอ่ื แก่ เมอ่ื รูข้ า่ วปรนิ ิพพานของพระพทุ ธเจา้ ภกิ ษุทง้ั หลายรอ้ งไหเ้ศรา้ โศก สุภทั ทะภกิ ษุกห็ า้ มภกิ ษุ เหล่านน้ั มใิ หเ้สยี ใจรอ้ งไห้ เพราะต่อไปน้ี พวกเราจะทาอะไรไดต้ ามใจแลว้ ไมต่ อ้ งมใี ครคอยมาช้ีว่าน่ีผดิ น่ีถกู น่ีควร น่ีไมค่ วร ต่อไปอีก พระมหากสั สปเถระ สลดใจในถอ้ ยคาของสุภทั ทะภกิ ษุ จึงนาเร่อื งเสนอทป่ี ระชมุ สงฆ์ แลว้ เสนอ ชวนใหท้ าสงั คายนารอ้ ยกรองจดั ระเบยี บพระธรรมวินยั ซ่งึ ก็ไดร้ บั ความเหน็ ชอบสนั นิษฐานไดว้ ่า การกล่าวเช่นนนั้ ของพระสุภทั ทะ คงไมม่ เี พยี งรูปเดยี ว คงมรี ูปอ่นื ๆ ทไ่ี มเ่ หน็ ดว้ ยก็เป็นไดเ้พราะพระปถุ ชุ นกม็ มี าก เช่น พระปุราณะ กไ็ ม่เหน็ ดว้ ยการในการปฐมสงั คายนาถงึ ขน้ั แยกตวั ออกไปทาสงั คายนาต่างหาก การทาปฐมสงั คายนาครงั้ น้ี เกิดข้นึ เพราะพระสุภทั ทะวุฑฒบรรพชิต๕๖ กล่าวจาบจว้ งพระธรรมวนิ ยั โจมจี ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิ หลงั พุทธปรินิพพานเพยี ง ๗ วนั ทาใหพ้ ระมหากสั สปะ ดารจิ ดั สงั คายนาข้นึ ในการสงั คายนาครง้ั น้ี พระอานนทไ์ ดก้ ล่าวถึง พุทธานุญาตใหส้ งฆถ์ อนได้ แต่มติในท่ปี ระชุมตกลงกนั ไม่ไดว้ ่าสิกขาบทเลก็ นอ้ ยคืออะไร พระมหากสั สปะจงึ ใหค้ งไวอ้ ย่างเดมิ เมอ่ื สงั คายนาเสรจ็ แลว้ พระปุราณะพรอ้ มดว้ ยบริวาร ๕๐๐ รูป จาริกมายงั เมอื ง ราชคฤห์ แควน้ มคธ เหล่าภิกษุท่ีเขา้ ร่วมสงั คายนาไดแ้ จง้ เร่ืองสงั คายนาใหพ้ ระปุราณะทราบ แต่ พระปุราณะแสดงความเห็นคดั คา้ น เก่ยี วกบั สกิ ขาบทบางขอ้ และยนื ยนั การปฏบิ ตั ิตามสกิ ขาบทเดิม ซ่งึ แสดงใหเ้หน็ เคา้ ความแตกแยกในคณะสงฆ๕์ ๗ แต่ ไมถ่ อื ว่าเป็นสงั ฆเภท เน่ืองจากพระปรุ าณะยดึ ถอื ตามพทุ ธานุญาตท่ที รงใหส้ งฆถ์ อนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยได้ ผลปรากฏจากการทาปฐมสงั คายนาครง้ั น้ีปรากฏวา่ ๑. พระธรรมวนิ ยั จดั ระบบเขา้ เป็นหมวดหมมู่ ากข้นึ ๒. ปรบั อาบตั พิ ระอานนท์ และลงพรหมทณั ฑพ์ ระฉนั นะ ๓. พทุ ธศาสนามคี วามมนั่ คงเป็นปึกแผ่นดา้ นคาสอนจนถงึ ปจั จบุ นั ๔. เกดิ ความพรอ้ มเพรียงของคณะสงฆใ์ นการทาสงั คายนาและเป็นตวั อย่างในการทาสงั คายนาในครงั้ ต่อๆ มา ๕. เกดิ รูปแบบระบบประชาธปิ ไตย และธมั มาธปิ ไตย๕๘ กรณีความคดั แยง้ และแตกแยกทางความคดิ ในช่วงปฐมสงั คายนา พระปรุ าณะคดั คา้ นการประชุมทาปฐมสงั คายนา การสงั คายนาครงั้ น้ี ไดก้ ระทาข้นึ โดยสงฆฝ์ ่ ายท่ีนบั ถือพระมหากสั สปเถระ แต่ยงั มสี งฆฝ์ ่ายนาโดยพระ ปุราณะ ท่ไี ม่ยอมรบั การประชุมครง้ั น้ี จงึ ไดพ้ าบริวาร ๕๐๐ รูป เดินทางจากทกั ขณิ าคิรีชนบท มาพกั วดั เวฬุวนั ใน เมอื งราชคฤห์ พระสงฆฝ์ ่ ายท่ีสงั คายนาเสร็จแลว้ ไดแ้ จง้ ใหพ้ ระปุราณะทราบ แต่ท่านกลบั ตอบว่า \"พวกท่านทา สงั คายนาก็ดีแลว้ แต่พวกผมไดฟ้ งั ไดร้ ูม้ าอย่างไรก็จะทาอย่างนน้ั \" ความจริงพระปุราณะ ยอมรบั การสงั คายนา ๑๒-๑๓. ๕๖ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๓๗/๓๗๖. ๕๗ อภชิ ยั โพธ์ปิ ระสทิ ธ์ิศาสตร,์ พุทธศาสนามหายาน, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๕๘ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๓๗-๔๔๕/๓๗๕-๓๙๐.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ทง้ั หมด แต่มสี ิกขาบท ๘ อย่างท่ยี งั ไมย่ อมรบั กลุ่มพระสงฆท์ ่ีไม่เหน็ ดว้ ยอกี กลุ่มหน่ึง นาโดยพระปุราณะ๕๙ ไดพ้ า บริวารจานวน ๕๐๐ รูป เดินทางมาเพ่ือไปทาสงั คายนา ในระหว่างทางภิกษุทงั้ หลายไดบ้ อกใหท้ ่านทราบว่า “ท่าน ปุราณะ พระธรรมวนิ ยั อนั ภิกษุทงั้ หลายไดท้ าเสร็จแลว้ ขอท่านจงรบั ทราบและยอมรบั เรือ่ งทีท่ าสงั คายนานนั้ เถิด” พระปรุ าณะกลา่ วว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย พระเถระทงั้ หลายมมี หากสั สปะเป็นประมขุ เป็นตน้ ไดท้ าสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั เรียบรอ้ ยก็ดีแลว้ แต่ผมจะจาไวต้ ามทีไ่ ดย้ นิ เฉพาะพระพกั ตร์ ตามทไี่ ดร้ บั มาเฉพาะพระพกั ตรข์ องพระผูม้ พี ระภาค เจา้ เท่านนั้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวอ้ ยา่ งไร จะถอื ปฏบิ ตั ติ ามนนั้ ‛๖๐ เมอื่ ไดช้ ้ีแจงกนั พอสมควรแลว้ ปรากฏว่าพระปุราณะ มคี วามเห็นตรงกบั พระสงั คีติกาจารยส์ ่วนมาก แต่มคี วามเห็นขดั แยง้ กนั เรือ่ งวตั ถุ ๘ ประการน้ี ซง่ึ เป็นพระพุทธา นุญาตเป็นกรณีพเิ ศษ มใิ ช่ทวั่ ไปในกาลทงั้ ปวง โดยเฉพาะพระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตใหแ้ ก่พระภกิ ษุสงฆ์ ทาไดใ้ นคราวเกิดภยั ท่ีเรียกว่า “ทุพพภิกขภยั ” (ภยั อนั เกิดจากการหาเคร่อื งอุปโภคบรโิ ภคไดย้ ากลาบาก ฝืดเคือง /เศรษฐกจิ ตกตา่ หากนิ ลาบาก/เกดิ ฝนแลง้ และ ภยั พบิ ตั อิ ่นื ๆ ตามมา) แต่เมอ่ื ภยั เหลา่ นนั้ ระงบั กท็ รงบญั ญตั หิ า้ มมใิ หก้ ระทาอกี วตั ถุ ๘ ประการ คอื ๑) อนั โตวฎุ ฐะ : ควรเกบ็ ของทเ่ี ป็นยาวกาลกิ คอื อาหารไวใ้ นทอ่ี ยู่ของตน ๒) อนั โตปกั กะ : ใหม้ กี ารหงุ ตม้ อาหารในทอ่ี ยูข่ องตน ๓) สามปกั กะ : พระลงมอื หุงตม้ ดว้ ยตนเอง ๔) อคุ คหติ ะ : การหยบิ ของเค้ยี วของฉนั ท่ยี งั ไม่ไดป้ ระเคน ๕) ตโตนิหตะ : สง่ิ ของทน่ี ามาจากทน่ี ิมนตซ์ ง่ึ เป็นพวกอาหาร ๖) ปุเรภตั ตะ : การฉนั ของก่อนเวลาภตั ตาหาร ในกรณีท่ตี นรบั นิมนตไ์ วใ้ นทอ่ี ่นื แต่ฉนั อาหารอ่ืนก่อน อาหารทต่ี นจะตอ้ งฉนั ในท่นี ิมนต์ ๗) วนัฎฐะ : สง่ิ ของทเ่ี กดิ และตกอยู่ในป่า ซง่ึ ไมม่ ใี ครเป็นเจา้ ของ ๘) โปกขรฎั ฐะ : สง่ิ ของทเ่ี กดิ และอยู่ในสระ เช่น ดอกบวั เหงา้ บวั วตั ถทุ งั้ ๘ ประการน้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตเป็นพเิ ศษในคราวทพุ ภกิ ขภยั ๒ คราวเท่านน้ั คือ ทเี่ มอื งเว สาลี และ ทเี่ มอื งราชคฤห์ แต่เมอ่ื ทพุ ภกิ ขภยั หายไปแลว้ ทรงหา้ มมใิ หพ้ ระภกิ ษุกระทา พระปุราณะและพวกของท่าน คงจะไดท้ ราบเฉพาะเวลาทท่ี รงอนุญาต จงึ จาทรงไวอ้ ยา่ งนน้ั เน่ืองจากการอยูก่ ระจดั กระจายกนั การตดิ ต่อบอกกลา่ ว กนั บางเร่อื งทาไมไ่ ด้ จะถอื ว่าท่านด้ือรนั้ เกินไปถนดั เพราะท่านถอื ตามทท่ี ่านไดส้ ดบั มาจากพทุ ธสานกั เหมอื นกนั เมอ่ื ฝ่ายพระสงั คตี กิ าจารยช์ ้แี จงใหท้ า่ นฟงั ท่านกลบั มคี วามเหน็ ว่า ‚พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงมพี ระสพั พญั ญุตญาณ ไม่ สมควรทจ่ี ะบญั ญตั ิหา้ มแลว้ อนุญาต อนุญาตแลว้ กลบั บญั ญตั หิ า้ มมใิ ช่หรอื ‛ พระมหากสั สปเถระ๖๑ กลา่ วว่า ‚เพราะพระองคท์ รงมพี ระสพั พญั ญุตญาณนน้ั เอง จึงทรงรูว้ ่า กาลใดควร หา้ ม กาลใดควรอนุญาต‛ ท่านยงั ไดก้ ลา่ วเนน้ ใหพ้ ระปุราณะทราบมติของท่ปี ระชุม ท่ไี ดต้ กลงกนั ว่า “จกั ไม่บญั ญตั ิ ๕๙ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๔/๓๘๕. ๖๐ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๔/๓๘๖. ๖๑ องฺ.เอกก. (ไทย) ๑๐/๑๙๑/๒๐. พระมหากสั สปะ เลศิ กวา่ ภกิ ษุสาวกทงั้ หลายของเรา ผูท้ รงธุดงค์ และสรรเสรญิ คณุ แห่งธุดงค.์
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ส่งิ ที่พระพุทธเจา้ มิไดท้ รงบญั ญตั ิข้ึน จกั ไม่เพิกถอนส่ิงที่ทรงบญั ญตั ิไวแ้ ลว้ จกั สมาทานศึกษาสาเหนียก ใน สกิ ขาบททงั้ หลาย ตามทท่ี รงบญั ญตั ิไว”้ พระปรุ าณะยนื ยนั ว่า ท่านจกั ปฏิบตั ติ ามมติของท่านท่ไี ดส้ ดบั ฟงั มาจากพระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ เทา่ นน้ั ”๖๒ หลกั ฐานฝ่ายมหายานบอกว่าพระปุราณะไม่ยอมรบั เร่ืองวตั ถุ ๘ ประการน้ี แลว้ นาพวกของตนไปจดั การ สงั คายนาข้นึ อกี ต่างหาก ซง่ึ แน่นอนวา่ วตั ถุ ๘ ประการน้ีซ่งึ ตามพระวนิ ยั หา้ มมใิ หท้ า และปรบั อาบตั ิปาจิตตยี บ์ า้ ง ทุก กฎบา้ งนน้ั ฝ่ายพระปรุ าณะถอื ว่ากระทาได้ เป็นอนั วา่ ‚ความแตกแยกในทางขอ้ ปฏบิ ตั ิ คือความเสยี แห่งสลี สามญั ญ ตา ไดเ้กดิ ข้นึ ในพระพทุ ธศาสนา หลงั จากพทุ ธปรินิพพานผ่านไปเพยี งไม่ก่เี ดอื นเท่านนั้ ความไม่เสมอกนั ในดา้ นการ ปฏบิ ตั อิ ย่างนอ้ ยไดแ้ ตกแยกออกเป็ น ๒ ฝ่ าย คือ (๑) ฝ่ายท่ยี อมรบั นบั ถือมตขิ องพระสงั คีติกาจารย์ ในคราวปฐม สงั คายนา (๒) ฝ่ายทส่ี นบั สนุนคลอ้ ยตามมตขิ องพระปรุ าณะกบั พวก อย่างนอ้ ยฝ่ายน้ีตอ้ งมไี มต่ า่ กว่า ๕๐๐ รูป ซ่งึ ใน ทส่ี ุดฝ่ายพระปรุ าณะ กไ็ ดพ้ กั พวกเพม่ิ ข้นึ อกี เป็นจานวนมากหลายรอ้ ยรูปหลายพนั รูป นอกจากน้ี ท่านอาจารยเ์ สถยี ร โพธินนั ทะ ไดใ้ หข้ อ้ คิดในเร่ืองน้ีว่า ปฐมสงั คายนา เป็นการทาข้นึ โดยภกิ ษุ หม่หู น่ึงเท่านนั้ ยงั มภี กิ ษุอีกจานวนมากท่ีไม่ไดเ้ ขา้ ประชุม และในจานวนภิกษุเหล่าน้ีคงมบี างหมู่ท่ไี ม่พอใจในการ สงั คายนาของฝ่ายพระมหากสั สปเถระ และคงมหี ลายหม่โู ดยเฉพาะหม่สู งฆฝ์ ่ายพระปรุ าณะเอง ซ่งึ คงเป็นพระเถระ สาคญั รูปหน่ึง มฉิ ะนนั้ เหตุไรพระมหากสั สปเถระ จงึ ตอ้ งมาเสยี เวลาชมุ นุมสงฆ์ ช้แี จงใหฟ้ งั และเหตกุ ารณ์เช่นน้ีได้ เป็นส่วนสาคญั ท่สี นบั สนุนความเช่ือถอื ของพุทธศาสนิกฝ่ายมหายาน ว่าพวกมหายานไดอ้ อกไปตงั้ กองสงั คายนา ต่างหากจากคณะสงฆฝ์ ่ายพระมหากสั สปเถระ สกิ ขาบท ๘ ขอ้ นน้ั เสถยี ร โพธนิ นั ทะ กลา่ วว่า ขอ้ อา้ งของฝ่ายพระปรุ าณะ ไมม่ เี หตผุ ล พระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ ทรงเป็นผูร้ อบคอบทรงปญั ญาเฉียบแหลม ไม่นิยมในวตั รปฏิบตั ิท่ีตึงเครียด ย่อมทรงผ่อนผนั ไปตามกาล อย่างไรก็ตาม เร่ืองราวน้ีแสดงใหเ้ ห็นว่า การท่ไี ม่มนี ิยมใหเ้ ขยี นพระธรรมคาสอนใหแ้ พร่หลายในสมยั ก่อนใหเ้ ป็น หลกั ฐาน ใชแ้ ต่การทรงจาถ่ายทอดกนั มานนั้ บางทกี ็อาจมกี ารคลาดเคล่อื นเช่นจาผดิ หรอื นึกไม่ออกเช่นพระปรุ าณะ เป็นตน้ การสงั คายนาจงึ เป็นสอบทวนความทรงจาของสงฆใ์ หเ้ขา้ รูปเขา้ รอยเป็นอนั เดียวกนั นน้ั เอง พระปรุ าณะกลา่ วว่าพระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตใหป้ ฏบิ ตั ไิ ด้ แต่พระมหากสั สปะแยง้ ว่าทรงอนุญาตจรงิ แต่ใน เวลาขา้ วยากหมากแพงเท่านน้ั เม่อื พน้ สมยั แลว้ ทรงใหย้ กเลกิ แต่พระปรุ าณะก็ไมเ่ ช่อื เพราะไมไ่ ดย้ นิ แลว้ พาคณะไป ทาสงั คายนาใหม่ แต่ไมม่ หี ลกั ฐานว่าทาทไ่ี หน เมอ่ื ไหร่ ใชภ้ กิ ษุก่รี ูป น้ีเป็นรอยแยกครงั้ แรกในสงั ฆมณฑล หลงั พทุ ธ ปรนิ ิพพาน นอกจากน้ีในช่วงหลงั พทุ ธปรินิพพาน ยงั มกี ารลงพรหมทณั ฑแ์ ก่พระฉนั นะ๖๓ ใจความว่า พระอานนทเ์ ถระ ไดท้ ูลถามพระบรมศาสดาว่า ‚ขา้ แต่พระผูม้ พี ระภาคเจา้ พระฉนั นะถอื ตวั ว่า เป็นขา้ รบั ใชเ้ก่า เป็นผูต้ ดิ ตามพระองค์ มาชา้ นาน ในคราวเสด็จออกมหาภเิ นกษกรมณ์ (the Great Renunciation ; the going fort of the Bodhisatta into the homeless life) เป็นผูว้ ่ายาก ไมร่ บั โอวาทใครๆ แมจ้ ะกรุณาเตือน เมอ่ื พระองคป์ รินิพพานแลว้ จกั เป็นผูว้ ่า ยากยง่ิ ข้นึ ดว้ ยหาผูย้ าเกรงมไิ ด้ ขา้ พระองคจ์ ะพงึ ปฏบิ ตั แิ ก่ท่านอย่างไร ในกาลเมอ่ื พระองคป์ รนิ ิพพานแลว้ ‛ ๖๒ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๒/๓๘๓-๓๘๖. ๖๓ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๕/๓๘๖.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๖๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า อานนท์ เมอ่ื เราล่วงลบั ไปแลว้ สงฆพ์ งึ ลงพรหมทณั ฑ์ แก่พระฉนั นะ เถดิ พระอานนท์ เถระ ไดท้ ูลถาม ว่า “พรหมทณั ฑ๖์ ๔ เป็นไฉนเลา่ พระเจา้ ขา้ ‛ พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ‚อานนท์ การลงพรหมทณั ฑ์ นนั้ คือภกิ ษุทง้ั หลาย ไมพ่ งึ ว่ากลา่ ว ไมพ่ งึ โอวาท ไมพ่ งึ สงั่ สอนเลย ไม่พงึ เจรจาดว้ ยถอ้ ยคาใดๆ ดว้ ยทง้ั ส้นิ เวน้ แต่คาอนั เป็นกิจธุระ โดยเฉพาะ “อานนท์ เมอ่ื ฉนั นะถูกสงฆ์ พรหมทณั ฑแ์ ลว้ จกั สานึกในความผดิ และสาเหนียกในธรรมวนิ ยั เป็นผูว้ ่าง่าย ยอมรบั โอวาท ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควร แก่ธรรมแล‛ แลว้ พระพุทธองค์จึงตรสั แก่พระอานนทว์ ่า ใหภ้ ิกษุทงั้ หลายลงพรหมทณั ฑต์ ่อพระฉนั นะ อดีต มหาดเลก็ ผูถ้ อื ว่าตนมคี วามสาคญั กว่าผูใ้ ดเพราะเคยติดตามพระพุทธองคต์ งั้ แต่ครงั้ เสด็จสู่มหาภเิ นษกรมณ์ (ออก บวช) ดว้ ยเหตนุ ้ีพระฉนั นะ จึงเป็นผูว้ ่ายากสอนยาก ไม่ยอมฟงั คาของพระเถระอ่นื ๆ หลงั จากถูกลงพรหมทณั ฑแ์ ลว้ คือ ภิกษุทง้ั หลายไม่พ่งึ ว่ากล่าว ไม่พงึ ใหโ้ อวาท ไม่พึงสงั่ สอน ไม่พึงเจรจาคาใดๆ ดว้ ยทง้ั ส้นิ พระฉนั นะ จึงยอม สานึกตวั และในทส่ี ุดไดป้ ฏบิ ตั ธิ รรมจนบรรลพุ ระอรหนั ต์ ซง่ึ เป็นเหตุการณ์ภายหลงั ท่พี ระบรมศาสดาเสด็จดบั ขนั ธปริ นิพพาน พระฉนั นะเป็ นผูว้ ่ายากจงึ ทาใหเ้ กดิ วนิ ัยบญั ญตั สิ งั ฆาทิเสส สกิ ขาบทท่ี ๗ ว่าดว้ ยการสรา้ งวิหารเร่ืองพระ ฉันนะ โดยสมยั นน้ั พระผูม้ ีพระภาคพระพุทธเจา้ ประทบั อยู่ ณ วดั โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี ครง้ั นนั้ คฤหบดีอปุ ฏั ฐากของท่านพระฉนั นะ ไดก้ ล่าวกะท่านว่า ขา้ แต่ท่านผูเ้จริญ ขอพระคุณเจา้ โปรดตรวจดูสถานท่สี รา้ ง วหิ าร กระผมจกั ใหส้ รา้ งวหิ ารถวายพระคุณเจา้ จึงท่านพระฉนั นะใหแ้ ผว้ ถางสถานท่สี รา้ งวหิ าร ใหโ้ ค่นตน้ ไมอ้ นั เป็น เจดียต์ น้ หน่ึง ซ่งึ ชาวบา้ นชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรฏั ฐะ พากนั บูชา คนทง้ั หลายพากนั เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาวา่ ไฉน พระสมณะเช้อื สายพระศากยบุตร จงึ ใหโ้ ค่นตน้ ไมอ้ นั เป็นเจดีย์ ซ่งึ ชาวบา้ นชาวนิคม ชาวนคร ชาว ชนบท ชาวรฏั ฐะ พากนั บูชาเล่า พระสมณะเช้ือสายพระศากยบุตร เบียดเบยี นอินทรียช์ นิดหน่ึงซ่ึงมีชีวะ ภิกษุ ทง้ั หลายไดย้ ินพวกเหล่านน้ั เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาผูท้ ่ีมคี วามมกั นอ้ ย สนั โดษ มคี วามละอาย มี ความรงั เกียจ ผูใ้ คร่ต่อสกิ ขา ย่อมเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉนั นะจึงใหโ้ ค่นตน้ ไมอ้ นั เป็นเจดีย์ ซง่ึ ชาวบา้ น ชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรฏั ฐะ พากนั บูชาเล่า แลว้ กราบทูลเน้ือความนน้ั แด่พระผูม้ พี ระภาค ประชมุ สงฆท์ รงบญั ญตั สิ กิ ขาบท๖๕ ลาดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาครบั สงั่ ใหป้ ระชมุ ภกิ ษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเคา้ มูลนน้ั ในเพราะเหตุแรกเกิดนน้ั แลว้ ทรงสอบถามท่านพระฉนั นะว่า \"ฉนั นะ ข่าวว่า เธอใหเ้ ขาโค่นตน้ ไมอ้ นั เป็นเจดีย์ ซ่ึงชาวบา้ น ชาวนิคม ชาว นคร ชาวชนบท ชาวรฏั ฐะ พากนั บชู า จรงิ หรอื ? ท่านพระฉนั นะทลู รบั ว่า \"จรงิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ \" พระผูม้ พี ระภาคพทุ ธ เจา้ ทรงติเตียนว่า โมฆบุรุษ การกระทาของเธอนนั่ ไม่เหมาะไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใชไ้ ม่ได้ ไม่ควรทา ไฉนเธอจึงไดใ้ หโ้ ค่นตน้ ไม้ อนั เป็นเจดีย์ ซง่ึ ชาวบา้ น ชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรฏั ฐะ พากนั บูชาเลา่ เพราะ มนุษยจ์ านวนมากในสมยั นนั้ มคี วามสาคญั ในตน้ ไมว้ า่ “มชี ีวะ : Soul /Spirit” (พหู ชนา รกเฺ ข เจว ปพฺพเต จ สชีว ภาวสญฺญี โหนฺติ) “โมฆบรุ ุษ การกระทาของเธอนนั้ ไม่เป็นไปเพ่อื ความเล่ือมใสของชุมชนท่ยี งั ไม่เล่อื มใส หรือเพ่อื ความเลอ่ื มใสยง่ิ ของชมุ ชนทเ่ี ลอ่ื มใสแลว้ โดยท่แี ท้ การกระทาของเธอนนั่ เป็นไปเพ่อื ความไม่เลอ่ื มใสของชุมชนท่ยี งั ๖๔ คาวา่ “พรหมทณั ฑ”์ ในภาษาองั กฤษใหค้ วามหมายไวว้ ่า “sublime punishment, punishment by suspending or breaking off conversation and communication, sanctioned punishment by silent treatment‛ ๖๕ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๓๖๕/๔๐๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ไมเ่ ลอ่ื มใส และเพอ่ื ความเป็นอยา่ งอ่นื ของชนบางพวกทเ่ี ลอ่ื มใสแลว้ ครน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงตเิ ตียนท่านพระฉนั นะ โดยอเนกปริยายดงั น้ีแลว้ ตรสั โทษแห่งความเป็นคนเล้ยี งยาก ความเป็นคนบารุงยาก ความเป็นคนมกั มาก ความ เป็นคนไม่สนั โดษความคลุกคลี ความเกียจครา้ น ตรสั คุณแห่งความเป็นคนเล้ยี งงา่ ย ความเป็นคนบารุงง่าย ความ มกั นอ้ ย ความสนั โดษ ความขดั เกลา ความกาจดั อาการท่นี ่าเลอ่ื มใส การไมส่ ะสม การปรารภความเพยี ร โดยอเนก ปริยาย ทรงกระทาธมั มกี ถา ท่ีสมควรแก่เร่ืองนนั้ ท่ีเหมาะสมแก่เร่ืองนน้ั แก่ภิกษุทงั้ หลาย๖๖ แลว้ รบั สงั่ กะภิกษุ ทง้ั หลายว่า \"ภิกษุทง้ั หลาย เพราะเหตุนน้ั แล เราจกั บญั ญตั ิสิกขาบทแก่ภิกษุทงั้ หลาย อาศยั อานาจประโยชน์ ๑๐ ประการ” ซง่ึ ถอื ว่าเป็นวตั ถปุ ระสงคใ์ นการบญั ญตั ิวนิ ยั และเป็นเหตผุ ลสาคญั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงปรารภหรอื ประโยชน์ ทท่ี รงประสงค์ ในการทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทแก่พระสงฆส์ าวก เรยี กวา่ “ประโยชน์ในการบญั ญตั พิ ระวนิ ัย” กลา่ วคือ :- ๑) เพอ่ื ความรบั วา่ ดแี หง่ สงฆ์ (สงฆฺ สุฏฐฺ ุตาย) ๒) เพอ่ื ความสาราญแหง่ สงฆ์ (สงฺหผาสุตาย) ๓) เพอ่ื ขม่ บคุ คลผูเ้กอ้ อยาก (ทมุ มฺ งกฺ นู ปคุ ฺคลาน นิคคฺ หาย) ๔) เพอ่ื อยู่สาราญแหง่ ภกิ ษุผูม้ ศี ีลเป็นทร่ี กั (เปสลาน ภกิ ขฺ นู ผาสุวหิ าราย) ๕) เพอ่ื ป้องกนั อาสวะอนั จะบงั เกดิ ในปจั จบุ นั (ทฏิ ฐฺ ธมมฺ กิ าน อาสวาน สวราย) ๖) เพอ่ื กาจดั อาสวะ อนั จกั บงั เกดิ ในอนาคต (สมปฺ รายกิ าน อาสวาน ปฏฆิ าตาย) ๗) เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชนทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใส (อปปฺ สนฺนาน วา ปสาทาย) ๘) เพอ่ื ความเลอ่ื มใสยง่ิ ของชมุ ชนทเ่ี ลอ่ื มใสแลว้ (ปสนฺนาน วา ภยิ โฺ ญภาวาย) ๙) เพอ่ื ความตง้ั มนั่ แหง่ พระสทั ธรรม (สทธฺ มมฺ ฏฐฺ ติ ยิ า) ๑๐) เพอ่ื เอ้อื เฟ้ือหรอื ถอื ตามพระวนิ ยั (วนิ ยานุคฺคหาย)๖๗ ในกรณีความขดั แยง้ กนั เร่ืองพระวินยั และสิกขาบท ระหว่างกลุ่มประธานสงฆใ์ นปฐมสงั คายนา กบั พระ ปรุ าณะ ตอ้ งไม่ลมื ว่าตาแหน่งทไ่ี ดร้ บั การยกย่องใหเ้ป็น “เอทคั คะดา้ นพระวนิ ยั คือใคร?” คือพระอุบาลเี ถระไดร้ บั ยก ย่องว่าเป็นผูเ้ ลศิ ดา้ นพระวินยั ๖๘ และพระอุบาลเี ถระ ก็เป็นผูห้ นา้ ท่ีตอบคาถามเก่ียวกบั วนิ ยั ทุกขอ้ ทุกสิกขาบทฯ ศกั ด์ิศรีของการไดร้ บั ฟงั สิกขาบทมาเหมือนกนั เรียนมา ท่องจามา ทรงไวแ้ ละถ่ายทอดต่อๆ กนั คลา้ ย ๆ กนั เหมอื นกนั มาเป็นระยะเวลาหน่ึง จงึ ทาใหอ้ ีกฝ่ายคือพระปรุ าณะไม่สนใจในมตดิ งั กลา่ ว เพราะถงึ อย่างไร ตนเองและ พวกก็ทางาน ทาหนา้ ท่เี ผยแผ่สทั ธรรมทวั่ ฝืนแผ่นดินอินเดียใตม้ านาน และการทางานก็ไดใ้ ชว้ ตั ถุ ๘ ประการเป็น เคร่ืองอานวยความสะดวกในการเผยแผ่มาโดยตลอด พระพุทธเจา้ ก็ยงั ไม่ไดว้ ่ากล่าวอะไรเลย ซ่ึงในสมยั นนั้ พระพทุ ธเจา้ กบ็ งั พระชนมช์ พี อยูด่ ว้ ยซา้ อกี ทาใหพ้ ระปรุ าณะและบรวิ าร ไมย่ อมรบั การทาปฐมสงั คายนา ๖๖ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๓๖๕/๔๐๒-๔๐๓. ๖๗ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๓๙/๒๘-๒๙. ๖๘ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๒๘/๒๐.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เม่อื ความเขา้ ใจในเร่ืองน้ีถามว่าทาไมพระปุราณะ จึงไม่ไดเ้ ขา้ ร่วมการทาสงั คายนา ถา้ จะมองใหค้ รบถว้ น การเขา้ ร่วมปฐมสงั คายนาไดก้ าหนดคุณสมบตั ิของพระภกิ ษุทจ่ี ะทาหนา้ ท่ไี ด้ คอื ประกอบดว้ ยคุณสมบตั ดิ งั น้ี๖๙ (๑) สกลนวงฺคสตฺถุสาสนปริยตฺติธเร : เป็นพระอรหนั ตข์ ีณาสพท่ีทรงปริยตั ิกล่าวคือ นวงั คสตั ถุสาสน์ ทง้ั หมด (ปถุ ชุ ฺชนโสตาปนฺนสกทาคามอิ นาคามสิ ุกขฺ วปิ สฺสกขณี าสวภกิ ขฺ ู อเนกสเต อเนกสหสฺเส จ วชฺเชตวฺ า : ยกเวน้ พระผูเ้ ป็นปุถชุ น พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ตข์ ณี าสพ ไม่สามารถเขา้ ร่วมสงั คายนา ได)้ บาลตี ่อมาใชค้ าว่า ‘ตปิ ิฏกสพพฺ ปรยิ ตตฺ ปิ ปฺ เภทธเร ปฏสิ มภฺ ทิ ปปฺ ตเฺ ต มหานุภาเว เยภยุ ฺเยน ภควตา เอตทคฺค อา โรปิเต เตวชิ ชฺ าทเิ ภเท ขณี าสวภกิ ขฺ เู ยว เอกูนปญฺจสเต ปรคิ คฺ เหสิ ฯ ไดแ้ ก่ (๒) พระอรหนั ตข์ ณี าสพ เป็นผูม้ เี ตวชิ โช (๓) พระอรหนั ตข์ ณี าสพ เป็นผูม้ ฉี ฬภญิ โญ (๔) พระอรหนั ตข์ ณี าสพ เป็นผูม้ ปี ฏสิ มั ภทิ ปั ปตั โต (๕) พระอรหนั ต์ ขณี าสพ เป็นผูท้ รงไวซ้ ่งึ ปิฎกสาม และ (๖) พระอรหนั ตข์ ณี าสพ แตกฉานในปริยตั ทิ ง้ั มวล๗๐ ถา้ จะมองว่าคุณสมบตั ิ ของภกิ ษุทจ่ี ะมสี ทิ ธ์เิ ขา้ ร่วมประชมุ ตอ้ งครบทงั้ หมดทุกขอ้ (ไม่มขี อ้ ยกเวน้ แมแ้ ต่พระอานนทซ์ ่งึ ในขณะยงั เป็นอเสขะ อยู่) เป็นไปไดห้ รอื ไม่ว่า พระปุราณเถระกบั บริวาร ไมใ่ ช่พระอริยบุคคลขณี าสพ และไม่มคี ุณสมบตั ิอ่นื ๆ อกี ท่เี หลอื ๕ ขอ้ การเป็นพระปุถชุ น (อเสขะ) จึงขาดคุณสมบตั ใิ นการเขา้ ร่วมสงั คายนา อีกอย่างหน่ึง พระปรุ าณะ เป็นพระเก่ง มคี วามรู้ มคี วามสามารถแตกฉานในพระไตรปิฎก และแตกฉานในปริยตั ิทงั้ ปวงเพยี งอย่างเดียว แต่ไม่ไดเ้ ป็นพระ อรหนั ตข์ ณี าสพ อาการสตแิ ตก หรอื ฟ้งุ ซา่ น เป็นปกตวิ สิ ยั ของปุถชุ นทวั่ ไป แต่เพราะความเป็นปุถชุ นท่เี ขา้ ใจธรรมผดิ เพราะในความเป็นจรงิ หากเป็นพะรอริยเจา้ ย่อมจะเคารพในมติของสงฆ์ และเคารพในธรรมวนิ ยั ทส่ี งั คายนาดแี ลว้ จากท่านพระอานนท์ ผูเ้ป็นเลศิ ใน ๕ สถานะ (พหุสุตตะ สตมิ า คตมิ า ธติ มิ า อปุ ฏั ฐาก) ท่านพระอุบาลเี ป็นเลศิ ในพระ วนิ ยั เป็นตน้ และภกิ ษุทง้ั หลายท่สี งั คายนาอ่ืนๆ ก็สมบูรณ์ดว้ ยคุณสมบัติดงั กล่าวแลว้ ไดก้ ล่าวธรรม บอกธรรม ทบทวนธรรม ซกั ซอ้ มธรรม สวดธรรม สาธยายธรรม ปุจฉาธรรม วสิ ชั ชนาธรรม ไดต้ รงตามพระธรรมวินยั เป็น สาคญั อน่ึง ถา้ ภิกษุผูเ้ ป็นพระอรหนั ตข์ ีณาสพดว้ ยกนั แลว้ ไซรย้ ่อมเคารพซ่ึงกนั และกนั ตามพระในธรรมวินยั ท่ี พระพุทธเจา้ ตรสั ไวด้ ีแลว้ ฯ ถา้ จะตง้ั คาถามแบบศาสตรส์ มยั ใหม่ การทางานย่อมมีความเห็นแตกต่างกนั และ กระบวนการทางานใหส้ าเรจ็ อย่างเป็นธรรมโดยธรรมย่อมต่างความคิดเหน็ กนั ต่างวธิ ีการใช่หรอื ไม่? ในขอ้ น้ี ถา้ มอง ในอริยวินยั แลว้ พระอริยะขณี าสพดว้ ยกนั ย่อมมศี ีลขอ้ วตั รเหมอื นกนั (สีลสามญั ญตา) ความเห็นตรงกัน (ทฏิ ฐิ สามญั ญตา) คือความเหน็ ถูก และท่สี าคญั ทส่ี ุดพระอริยเจา้ กค็ ือผูท้ ่เี หน็ ธรรมตามพระพทุ ธเจา้ ย่อมเคารพธรรมเป็น สูงสุด ไมใ่ ช่ยดึ ติดในความคิดของตนเป็นสาคญั วิธีการจดั การปญั หาก็จดั การดว้ ยความเห็นถูกเป็นสาคญั โดยใช้ การประชมุ ร่วมกนั แลว้ นามติทเ่ี กดิ จากการประชุมอนั มคี วามเหน็ ถกู เป็นพ้นื ฐาน นามาเป็นขอ้ ตกลงร่วมกนั ถา้ หนั กลบั ไปเหลบื มองภมู หิ ลงั ปฐมสงั คยนาสกั นิด กจ็ ะพบว่ามสี าเหตุมาจากอะไรกนั แน่ มคี วามเป็นมาในสมนั ตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวนิ ยั โดยสรุปว่าภายหลงั พทุ ธปรินิพพานแลว้ ได้ ๒๑ วนั คือเสร็จจากวนั ถวายพระเพลงิ พุทธสรีะแลว้ พระมหากสั สปะ ไดป้ ระชุมพระสงฆจ์ านวน ๗๐๐,๐๐๐ รูป ท่มี าร่วม ถวายพระเพลงิ ท่เี มอื งกุสนิ ารา โดยปรารภถึงถอ้ ยคาดูหมน่ิ พระบรมศาสดาและพระธรรมวินยั ของพระสุภทั ทะ ซ่งึ บวชเมอ่ื แก่ ไดก้ ลา่ วหา้ มปรามพระสงฆป์ ุถุชนท่เี ศรา้ โศกเมอ่ื พระศาสดาปรินิพพานว่า อย่าไดเ้ ศรา้ โศกเสียใจกนั ไป ๖๙ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๖-๗. ๗๐ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๗.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เลย บดั น้ีพวกเราพน้ จากพระมหาสมณะพระองคน์ นั้ แลว้ แต่ก่อนพวกเราถูกพระองคเ์ บยี ดเบยี นว่ากลา่ วตกั เตือน ต่างๆ นานา แลว้ หา้ มปรามเสมอว่าน้ีควรแก่เธอ น้ีไม่ควรแก่เธอ ท่ีน้ีพวกเราทาไดต้ ามใจปรารถนาแลว้ ฯ พระ มหากสั สปเถระ มคี วามสงั เวชว่า พระศาสดาเพ่งิ ปรินิพพานไดเ้ พียง ๗ วนั ยงั มภี ิกษุอลชั ชี มากล่าวยา่ ยพี ระธรรม วินยั ไดถ้ ึงปานน้ี หากไม่รีบแกไ้ ขตอนน้ีเสีย สืบไปภายหนา้ เม่อื กลุ่มภกิ ษุ อธรรมวาที (กล่าวส่งิ ท่เี ป็นธรรมว่ามใิ ช่ ธรรม) อวนิ ยวาที (กลา่ วส่งิ ทเ่ี ป็นวนิ ยั ว่าไมใ่ ช่วนิ ยั ) รวมตวั กนั แลว้ มพี วกมากข้นึ กจ็ ะมกี าลงั ทาลายพระพทุ ธศาสนา ใหเ้ ส่ือมลงโดยเร็ว ฯ ดงั นนั้ พระมหากสั สปะจึงชกั ชวนพระสงฆเ์ หล่านน้ั ใหช้ ่วยกนั สงั คายนาพระธรรมวินยั มี วตั ถปุ ระสงคโ์ ดยสรุป คอื ๑. เพอ่ื ป้องกนั พวกอลชั ชี มายา่ ยพี ระธรรมวนิ ยั ดว้ ยเขา้ ใจวา่ ปาพจนย์ ่อมส้นิ ไปพรอ้ มกบั องคพ์ ระศาสดา ๒. เพ่อื ประกาศใหท้ ราบว่า พระศาสนายงั ดารงอยู่ตราบเท่าทพ่ี ระธรรมวนิ ยั ยงั มผี ูศ้ ึกษา และถอื ปฏิบตั ิอยู่ ตามหลกั การทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวว้ า่ ใหถ้ อื พระธรรมวนิ ยั เป็นผูแ้ ทนองคพ์ ระศาสดา ๓. เพ่ือป้ องกนั ภิกษุพวกอธรรมวาที และอวินยวาที เม่ือไดพ้ รรคพวกแลว้ มีกาลงั มากข้ึน จะพากนั เบยี ดเบยี น รงั แก ทาลาย กลมุ่ ภกิ ษุทเ่ี ป็นธรรมวาที และวนิ ยวาที ในอนาคต ในพระบาลซี ่งึ เป็นคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาททง้ั พระไตรปิฎก อรรถกถา หรอื ฎกี า ไม่มขี อ้ ความใด หรือประโยคใดท่ีกล่าวถึงสาเหตุการทาสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ ว่ามาจากพระปุราณะ มีแต่กล่าวถึงพระสุภทั ทะวุฑฒ บรรพชติ เท่านนั้ มแี ต่ขอ้ ความทก่ี ลา่ วถงึ ว่า เมอ่ื ท่านพระปุราณะเดนิ ทางมาจากทกั ขณิ าคิริ ถงึ เมอื งราชคฤหแ์ ลว้ ทราบ การแจง้ เร่ืองการทาสงั คายนาเสร็จสมบูรณ์แลว้ ท่านก็เลยไม่รบั มตินน้ั และไดพ้ ูดว่า ‚ภิกษุทงั้ หลาย พระเถระ ทงั้ หลายมมี หากสั สปะเป็นประมขุ เป็นตน้ ไดท้ าสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั เรียบรอ้ ย นนั้ ก็เป็นการดีแลว้ แต่ผมจะจาไว้ ตามทีไ่ ดย้ นิ เฉพาะพระพกั ตร์ ตามทีไ่ ดร้ บั มาเฉพาะพระพกั ตรข์ องพระผูม้ พี ระภาคเจา้ เท่านนั้ พระพุทธเจา้ ตรสั ไว้ อย่างไร จะถอื ปฏบิ ตั ติ ามนนั้ ‛๗๑ ในคราวสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ มเี กรด็ สาคญั ควรกลา่ วถึงดงั น้ี หลงจากท่ที ่านพระมหากสั สปเถระและสงั คีตกิ า จารยไ์ ดท้ าสงั คายนาเสร็จส้นิ เรยี บรอ้ ยแลว้ และไดท้ าการแจง้ ผลแก่เหล่าภกิ ษุทวั่ สงั ฆมณฑล ชมพูทวปี แต่ท่านพระ ปุราณเถระหรือท่านพระควปั ปติ ซ่งึ มบี ริวารมาก มปี ฏิกิริยาไม่ยอมและทง้ั ไม่ปฏเิ สธผลการสงั คายนา โดยท่าน ปรุ าณะยดึ ถอื สกิ ขาบทเฉพาะท่ตี นรบั ทราบมาจากพระพทุ ธเจาโดยตรงเท่านนั้ อะไรทไ่ี มเ่ คยไดย้ นิ ไดฟ้ งั มากไ็ ม่ขอรบั สง่ิ นน้ั สง่ิ ทข่ี ดั แยง้ ระหวา่ งพระมหากสั สปะกบั พระปรุ าณะ ก็คือบทเฉพาะกาลเท่านน้ั (วตั ถุ ๘ ประการ) อย่างอ่นื เหน็ คลอ้ ยตามและยอมรบั ทง้ั หมด พระมหากสั สปะช้แี จงว่า นน้ั พทุ ธมติท่ที รงอนุญาตเฉพาะกาล แต่ท่านพระปุราณเถระ ก็ยงั ยืนยนั จะปฏิบตั ิตามต่อไป จากจุดเร่ิมตน้ ตรงน้ีไดก้ ่อใหเ้ กิดการแยกทาสงั คายนาและแยกนิกายใน พระพทุ ธศาสนาในเวลาต่อมา ซง่ึ มผี ลปรากฏชดั เจนตามหลกั ฐานกค็ ือสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ แสดงใหเ้หน็ ว่าการแบ่งแยก นิกายออกไปสามารถเกดิ ข้นึ ไดจ้ ากหลายสาเหตุ ทง้ั เร่อื งความคิดเหน็ ของตวั บุคคล การยดึ ติดตวั บุคคล กลุ่มบคุ คล ทง้ั เรอ่ื งชนชนั้ ทงั้ เร่อื งการศึกษา ทง้ั เร่อื งสภาพภูมปิ ระเทศท่แี ตกต่างกนั ๗๒ นิกายในพระพทุ ธศาสนาแมจ้ ะเคยมแี ยก ๗๑ ว.ิ จู. (ไทย) ๗/๔๔๔/๓๘๖. ๗๒ P.V.Bapat.(ed.), Principal Schools and Sects of Buddhism, 2500 Years of Buddhism, 6th rpt., (Delhi : Publications Division, 1997), pp.86-87.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ย่อยถึง ๑๘ นิกาย แต่นิกายหลกั ท่นี กั ปราชยช์ าวพุทธไดย้ อมรบั ทวั่ ไปมเี พยี ง ๒ นิกายคือ หีนยาน และมหายาน หรอื เรยี กตามสานวนนิยมวา่ เถรวาท และอาจริยวาท๗๓ ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วในรายละเอยี ดต่อไป พระปรุ าณะคอื ใคร ในอรรถกถาสมนั ตปาสาทิกา พระพุทธโฆสาจารย์ ไดอ้ ธิบายกลุ่มภิกษุสงฆท์ ่ีไดร้ บั การอุปสมบทดว้ ย เอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทาจากพระพทุ ธเจา้ โดยตรง ว่ามจี านวน ๑๓๔๑ รูป (เอว อปุ สมปฺ นฺนานิ จ สหสฺสูปริ เอกจตตฺ าฬสี ุตฺ ตรานิ ตณี ิ ภกิ ขฺ ุสตานิ อเหสุí) ประกอบดว้ ย ปญั จวคั คีย์ ๕ ยสะกุลบุตร ๑ สหาย ๕๔ ภทั ทวคั คีย์ ๓๐ ปุราณชฎลิ ๑,๐๐๐ อัครสาวก ๒ ปริพพาชก ๒๕๐ และ พระองคุลิมารเถระ ๑ ฯ บางแห่งก็บอกว่า ภิกษุประเภท เอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา มถี งึ จานวน ๒๐,๗๓๐ รูป ประกอบดว้ ย เสลพราหมณ์และบริวาร ๓๐๐ พระมหากปั ปินะ และ บริวาร ๑,๐๐๐ กุลบุตรท่อี ยู่ในเมอื งกบลิ พสั ดุ์ ๑๐,๐๐๐ พราหมณ์ทน่ี บั เน่ืองในปรายนิกะ ๑๖,๐๐๐ ฯ แต่จานวนน้ี ไม่ไดแ้ สดงไวใ้ นบาลวี นิ ยั ปิฎก๗๔ ฯ จากขอ้ ความท่ยี กมามาขา้ งตน้ น้ี ตอ้ งการจะอธิบายว่า พระปุราณะ อยู่ในกลุ่ม ไหน? หรอื อุปสมบทโดยวิธใี ด ใครเป็นคนบวชให้ บวชเม่อื ไหร่ บรรลุธรรมระดบั ไหน เมอ่ื บวชแลว้ ไปทางานเผยแผ่ ในกลมุ่ ไหน สนั นิษฐานไดด้ งั น้ี กลมุ่ ชฎลิ ๑ กลมุ่ สหายพระยสะ ๑ (๑) สนั นิษฐาน ว่าพระปุราณะอยู่ในกลุม่ ปุราณชฎลิ ๓ พ่นี อ้ ง เจา้ ลทั ธเิ หล่าน้ีเกิดท่เี มอื งคยา ในแควน้ มคธ นน้ั มีเมืองราชคฤห์ เป็นเมอื งหลวง มีพระเจา้ พิมพิสาร เป็นพระมหากษตั ริยป์ กครอง มีชฎิลสามพ่นี อ้ งนามว่าอุรุ เวลากสั สปะ นทีกสั สปะ คยากสั สปะ ตงั้ ตนเป็นคณาจารยใ์ หญ่มบี ริวารรวมกนั ถงึ ๑๐๐๐ คน ถือตวั เองว่าเป็นพระ อรหนั ต์ มคี นเคารพ นบั ถอื มากมาย มลี ทั ธถิ อื หนกั ไปในทางบูชายญั ฯ พระอรุ ุเวลกสั สปะ เป็นพระภกิ ษุสงฆผ์ ูเ้ป็น สาวกของพระพุทธเจา้ ไดร้ บั การยกย่องเป็นพระอสีติมหาสาวกผูเ้ ป็นเอตทคั คะในดา้ นผูม้ ีบริวารมาก ฯ พระอุรุ เวลากสั สปะ เกดิ ในตระกูลพราหมณก์ สั สปโคตร มนี อ้ งชาย ๒ คน ช่อื กสั สปะ เหมอื นกนั เมอ่ื เจริญวยั ข้นึ มาไดศ้ ึกษา จบไตรเพท คือพระเวท ๓ อย่าง ซ่งึ เป็นคมั ภีร์ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิสูงสุดของพราหมณ์ ไดแ้ ก่ ๑. ฤคเวท (อรุพเพท) ประมวล บทสวดสรรเสริญเทพเจา้ ๒. ยชรุ เวท (ยชพุ เพท) บทสวดออ้ นวอนในพิธบี ูชายญั ต่างๆ ๓. สามเวท ประมวลบทเพลง ขบั สาหรบั สวดหรอื รอ้ งเป็นทานองในพธิ ีบูชายญั กสั สปะพ่ีชายคนโตนนั้ มบี ริวาร ๕๐๐ คน กสั สปะ คนกลาง มบี ริวาร ๓๐๐ คน และกสั สปะ คนเลก็ สุดทา้ ย มบี ริวาร ๒๐๐ คน ต่อมาทง้ั สามพ่นี อ้ งมคี วามเหน็ ตรงกนั ว่า ‚ลทั ธิทีพ่ วกตนนบั ถอื อยู่นนั้ ไม่มแี ก่นสาร‛ จึงพากนั ออกบวชเป็นฤๅษีชฎลิ เกลา้ ผมเซงิ บาเพญ็ พรตบูชาไฟตง้ั อาศรมอยู่ทร่ี มิ ฝัง่ แมน่ า้ เนรญั ชรา ตามลาดบั กนั พช่ี ายคนโต ตง้ั อาศรมอยู่ทค่ี ุง้ นา้ ตอนเหนือ ณ ตาบลอุรุเวลานิคม จงึ ไดช้ ่อื ว่า ‚อุรุเวลากสั ส ปะ‛ นอ้ งชายคนกลาง ตง้ั อาศรมอยู่ทค่ี ุง้ นา้ ถดั ไป ณ ตาบลนที จงึ ไดช้ ่อื ว่า‚นทกี สั สปะ‛ ส่วนนอ้ งชายคนเลก็ ตงั้ อาศรม อยูท่ ค่ี ุง้ นา้ ณ ตาบลคยา จงึ ไดช้ อ่ื วา่ ‚คยากสั สปะ‛ พระอรุ ุเวลากสั สปะ เมอ่ื ไดส้ าเรจ็ เป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ไดช้ ่วยกจิ การพระพทุ ธศาสนา และช่วยแบง่ เบาภาระ ของพระบรมศาสดา ไดเ้ ป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเม่อื สาเรจ็ เป็นพระอรหนั ตใ์ หม่ๆ ไดต้ ิดตามเสด็จพระบรมศาสดา ไปสู่เมอื งราชคฤห์ พระพทุ ธองคป์ ระทบั ณ ลฏั ฐวิ นั สวนตาลหนุ่ม พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงทราบ จงึ พรอ้ มดว้ ยพราหมณ์ ๗๓ Kimura, Ryukan, Hinayana & Mahayana : A Historical Stusy of the terns Hinayana and Mahayana and the Origin of Mahayana Buddhism, (Patna : Indological Bok Corporation, 1978), p.13. ๗๔ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๒๘๕.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง และคฤหบดชี าวเมอื งมคธ จานวน ๑๒ นหุต เสดจ็ เขา้ มาเฝ้า กราบถวายบงั คมพระบรมศาสดาแลว้ ปะทบั นงั่ ณ ทอ่ี นั สมควรแก่พระองค์ ส่วนบริวารท่ตี ิดตามมาเหล่านน้ั ต่างก็แสดงกิริยาอาการต่างๆ กนั กล่าวคือ บางพวกก็ถวาย บงั คม บางพวกก็กราบทูลสนทนา บางพวกกป็ ระกาศชือ่ และตระกูลของตน บางพวกก็นงั่ เฉยๆ เป็นตน้ ฯ เหตุผล อาการท่เี ป็นเช่นน้ี กเ็ พราะคนเหล่านนั้ ยงั ไม่แน่ใจว่าระหว่าง พระบรมศาสดากบั อุรุเวลากสั สปะ นนั้ ใครเป็นศิษยใ์ คร เป็นอาจารยก์ นั แน่ เพราะว่า อรุ ุเวลากสั สปะ กเ็ ป็นเจา้ สานกั ใหญ่ มคี นเคารพนบั ถอื มากมาย และไดร้ บั ยกย่องว่าเป็น พระอรหนั ตอ์ งคห์ น่ึง พระพทุ ธองคท์ รงทราบวาระจติ ความคดิ ของคนเหลา่ นน้ั เป็นอย่างดี เพ่อื ปลดเปล้อื งความสงสยั ของคนเหล่านนั้ จึงตรสั ถามพระอุรุเวลกสั สปะ ว่า ‚กสั สปะ เธออยู่ในอรุ ุเวลาเสนานิคมมานาน เป็นอาจารยส์ งั่ สอน ชฎลิ ใหบ้ าเพญ็ พรต จนซูบผอม เธอเหน็ โทษอะไรหรอื จงึ เลกิ ละการบชู านนั้ เสยี ?‛ พระอุรุเวลากสั สปะ เมอ่ื ไดฟ้ งั พทุ ธ ดารสั แลว้ กท็ ราบถงึ พุทธประสงคด์ ี จึงนอ้ มนมสั การกราบทูลว่า ‚ขา้ แต่พระผูม้ พี ระภาค การบูชายญั ทงั้ หลาย ลว้ น แต่มคี วามมงุ่ หมายเพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซ่งึ กามคุณ มรี ูป เสยี ง กลน่ิ รส และ สมั ผสั อนั น่าปรารถนา น่ารกั ใคร่ น่าพอใจ ซง่ึ ส่งิ เหล่านนั้ เป็นของรอ้ น บดั น้ี ขา้ พระองค์ ไดร้ ูช้ ดั แลว้ ว่าความรกั ใคร่ พอใจในกามคุณเหล่านนั้ เป็นมลทนิ ทาใจให้ เศรา้ หมอง ก่อใหเ้ กดิ กิเลส และความทุกข์ จงึ ละท้งิ การบูชาไฟนน้ั เสยี บดั น้ี ขา้ พระองค์ ไดเ้ ห็นธรรมอนั สงบระงบั แลว้ ‛ พระเจา้ ขา้ ครนั้ แลว้ พระเถระไดซ้ บศีรษะลงแทบพระบาทของพระพทุ ธองค์ แลว้ ประกาศว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ู้ เจรญิ พระองคเ์ ป็นศาสดาของขา้ พระพทุ ธเจา้ ๆ เป็นสาวกของพระองค‛์ จากกิริยาอาการและถอ้ ยคาของพระเถระนน้ั ทาใหบ้ รวิ ารของพระเจา้ พมิ พสิ ารทง้ั หมดเหล่านน้ั หายสงสยั นอ้ มจิตลงท่ฟี งั พระธรรมเทศนา ดงั นน้ั พระบรมศาสดา จึงทรงแสดง ‚อนุปุพพกิ ถา‛ และ ‚อรยิ สจั ๔‛ ใหฟ้ งั เมอ่ื จบพระธรรมเทศนา พระเจา้ พมิ พสิ ารพรอ้ มดว้ ยบรวิ าร ๑๑ นหุตะ ไดบ้ รรลุโสดาปตั ติผล ส่วนอีก ๑ นหุตะ ดารงอยู่ในไตรสรณคมน์ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ฯ ท่ี สนั นิษฐานเช่นน้ีเพราะกลุ่มทม่ี บี ทบาทสาคญั ในการเผยแผ่ศาสนามากในยุคแรก คือกลุม่ น้ีเพราะมบี ริวารมาก พวก มาก (๒) สนั นิษฐาน ว่าพระปุราณะอยู่ในกลุ่มสหายของพระยสะ ซ่ึงนกั วิชาการหลายคนบอกตรงกนั ว่า คือ พระควมั ปติ (วมิ ล สุพาหุ ปณุ ณชิ ควมั ปต)ิ พระควมั ปติเถระ เป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจา้ นบั เน่ืองในพระอสีติมหาสาวก 80 องคส์ าคญั ใน พระพทุ ธศาสนาในสมยั ตน้ พทุ ธกาล พระควมั ปตเิ ถระ เป็นพระสงฆก์ ลุ่มแรกๆ ในพระพทุ ธศาสนาโดยท่านเป็นพระสงฆผ์ ูเ้ ป็นสหายของพระย สเถระ เมอ่ื ท่านบวชแลว้ ไดเ้ป็นผูม้ สี ่วนสาคญั ในการเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาในช่วงตน้ พทุ ธกาล ชาตภิ ูมิ พระควมั ปติเถระ เป็นบุตรแห่งเศรษฐชี าวเมอื งพาราณสี ท่านเป็นสหายของ ยสกุลบตุ ร ซ่งึ ต่อมา บวชเป็นพระสงฆใ์ นพระพุทธศาสนา ท่านทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชจึงคิดว่าพระธรรมวนิ ยั ของเพ่อื นเราคงไม่ เลวทราม จงึ ไปชกั ชวนสหายพาไปหาพระยสะเพอ่ื ออกบวช พระยสะจงึ พาไปเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ ทรงสงั่ สอนจนบรรลุ เป็นพระอรหนั ต์ และไดส้ ง่ ท่านเป็นพระสาวกรุ่นแรกๆ ไปช่วยเผยแพร่พระพทุ ธศาสนา ท่านนบั เป็นผูม้ สี ่วนสาคญั ใน การเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาในช่วงตน้ พทุ ธกาล
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ กาเนิดเป็นควมั ปตมิ าณพในสมยั พระสมณโคดมพทุ ธเจา้ : ในพทุ ธุปบาทกาลน้ี ท่านเกิดเป็นบุตรของสกลุ เศรษฐสี ืบๆ มา ในพระนครพาราณสี มชี ่อื ว่า ควมั ปติ เป็นหน่ึงในบรรดาสหายผูเ้ป็นคฤหสั ถท์ งั้ ๔ ของ ยสกุลบตุ ร ผูเ้ป็นบุตรของนางสุชาดา ผูถ้ วายขา้ วปายาส ผสมนา้ นมแด่พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ในเชา้ วนั วิสาขปุรณมี เม่อื ครงั้ พระ พทุ ธองคท์ รงตดั สนิ พระทยั เลกิ กระทาทุกรกิริยา และในคืนนน้ั ก็ทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ครน้ั เมอ่ื วนั หน่ึง ยสกุลบุตรแลเหน็ เหล่านางสนม ผูเ้ ป็นบริวารนอนเกล่อื นกลาดอยู่บนเรือน ประกอบไป ดว้ ยกิริยาอนั ไม่น่าดู น่าเกลยี ดเหมอื นซากศพในป่าชา้ บงั เกิดความเบอ่ื หน่ายเปล่งอุทานว่า ผู้เจริญทง้ั หลาย ท่ีน่ี วุ่นวายหนอ ผูเ้จริญทงั้ หลาย ท่นี ่ีขดั ขอ้ งหนอ.จึงไดเ้ ดนิ เขา้ ไปยงั ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั และไดพ้ บพระผูม้ พี ระภาค เจา้ ซง่ึ ไดต้ รสั กบั ยสกลุ บตุ รนน้ั วา่ ยสะ ทน่ี ่ีแลไม่วุ่นวาย ท่นี ่ีไม่ขดั ขอ้ ง ยสะ เธอจงมานงั่ เถดิ เราจกั แสดงธรรม ใหเ้ธอ ฟงั ครนั้ จบพระธรรมเทศนาแลว้ ยสกลุ บุตรกบ็ รรลุโสดาบนั ฯ ในวนั รุ่งข้นึ เมอ่ื เศรษฐบี ดิ าของยสกลุ บตุ รออกมาตาม บตุ รทห่ี ายไปจากบา้ น มาถงึ ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ไดพ้ บพระพทุ ธองค์ ซ่งึ ทรงแสดงฤทธ์ิมใิ หเ้ศรษฐเี หน็ ยสกลุ บตุ ร แลว้ ไดแ้ สดงธรรมโปรด จนกระทงั่ เศรษฐเี กดิ ดวงตาเหน็ ธรรมบรรลุโสดาปตั ติผล บงั เกิดความเลอ่ื มใสประกาศตนว่า เป็นอบุ าสกผูถ้ งึ สรณะทง้ั สาม นบั เป็นอบุ าสกผูถ้ งึ สรณะ ๓เป็นคนแรกในโลก ส่วนยสกลุ บุตรเมอ่ื จบพระธรรมเทศนา ก็บรรลุพระอรหตั จากนน้ั พระผูม้ ีพระภาคเจา้ จึงทรงบนั ดาลใหท้ ่านเศรษฐีเห็นพระยสกุลบุตร และช้ีแจงจนท่าน เศรษฐีเห็นชอบใหย้ สกุลบุตรไดบ้ วช และไดน้ ิมนตพ์ ระผูม้ พี ระภาคเจา้ เพ่อื เสวยภตั ตาหารในวนั รุ่งข้นึ เมอ่ื เศรษฐี คฤหบดกี ลบั ไปไมน่ าน ยสกลุ บตุ รกท็ ูลขอบรรพชาต่อพระผูม้ พี ระภาคเจา้ พระองคจ์ งึ ทรงโปรดให้ ยสกุลบุตรไดบ้ วช ดว้ ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา โดยพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ว่า จงเป็นภกิ ษุมาเถดิ แลว้ ไดต้ รสั ว่า ธรรมเรากล่าวไวด้ ีแลว้ จงประพฤตพิ รหมจรรย์ เพอ่ื ทาทส่ี ุดแห่งทกุ ขโ์ ดยชอบเถดิ พระวาจานนั้ แลไดเ้ป็นอุปสมบทของท่านผูม้ อี ายุนนั้ วนั รุ่งข้นึ เวลาเชา้ พระผูม้ พี ระภาคทรงเสดจ็ พรอ้ มดว้ ยท่านพระยสไปยงั เรอื นของท่านเศรษฐผี ูค้ หบดี ครน้ั ถึงแลว้ จึงทรงเทศนาโปรดนางสุชาดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส เม่อื จบพระธรรมเทศนาท่านทง้ั สองก็บรรลุ โสดาบนั ประกาศตนเป็นอบุ าสกิ าผูถ้ งึ พระรตั นตรยั เป็นสรณะ นบั เป็นอุบาสกิ าคู่แรกของโลกท่กี ลา่ วอา้ งพระรตั นตรยั เป็นชดุ แรกในโลก ครง้ั นน้ั มารดาบดิ าและภรรยาเก่าของท่านพระยสไดอ้ งั คาสพระผูม้ พี ระภาคและท่านพระยส ดว้ ย ขาทนียโภชนียาหารอนั ประณีตดว้ ยมอื ของตนๆ จนใหห้ า้ มภตั ทรงนาพระหตั ถอ์ อกจากบาตรแลว้ จึงนงั่ ณ ทค่ี วร ส่วนขา้ งหน่ึง ขณะนน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงช้ีแจงใหม้ ารดาบดิ า และภรรยาเก่าของท่านพระยส เหน็ แจง้ สมาทาน อาจหาญ ร่าเรงิ ดว้ ยธรรมกี ถาแลว้ เสดจ็ ลุกจากอาสนะกลบั ไป สหายคฤหสั ถ์ ๔ คนของพระยสออกบรรพชา สหายคฤหสั ถ์ ๔ คนของท่านพระยส คือ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควมั ปติ ๑ ซ่ึงเป็นบุตรของสกุล เศรษฐีสบื ๆ มา ในพระนครพาราณสี ไดท้ ราบข่าวว่ายสกุลบตุ รปลงผมและหนวด นุ่งห่มผา้ กาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแลว้ ครนั้ ทราบดงั นน้ั แลว้ ไดด้ ารวิ ่า ธรรมวนิ ยั และบรรพชาทย่ี สกลุ บุตรทก่ี ระทาลงไปนนั้ คงไมต่ า่ ทรามแน่นอน ดงั น้ี จงึ พากนั เขา้ ไปหาทา่ นพระยส ท่านจึงพาสหายคฤหสั ถท์ งั้ ๔ นนั้ เขา้ เฝ้าพระผูม้ พี ระภาคกราบทูล วา่ ขอพระผูม้ พี ระภาคโปรดประทานโอวาทสงั่ สอนสหายของขา้ พระองคเ์ หลา่ น้ี พระผูม้ พี ระภาคทรงแสดงอนุปพุ พกิ ถาแก่พวกเขาคือทรงประกาศทานกถา สลี กถา สคั คกถา โทษ ความตา่ ทรามและความเศรา้ หมองของกามทง้ั หลาย และอานิสงสใ์ นการออกจากกาม เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคทรงทราบว่า พวก
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เขามีจิตสงบ มจี ิตอ่อน มจี ิตปลอดจากนิวรณ์ มจี ิตเบกิ บาน มจี ิตผ่องใสแลว้ จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาท่ี พระพุทธเจา้ ทงั้ หลายทรงยกข้นึ แสดงดว้ ยพระองคเ์ อง คือ ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ดวงตาเหน็ ธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทนิ ว่า สง่ิ ใดสง่ิ หน่ึงมคี วามเกดิ ข้นึ เป็นธรรมดา สง่ิ นน้ั ทง้ั มวลมคี วามดบั เป็นธรรมดา ไดเ้กิดแก่พวกเขา พวกเขากบ็ รรลโุ สดาบนั ณ ทน่ี งั่ นนั้ เอง จากนนั้ ทา่ นทงั้ ๔ จงึ ไดท้ ูลขอบบรรพชา อุปสมบทต่อพระผูม้ พี ระภาค.พระผู้ มพี ระภาคจงึ ทรงโปรดประทานเอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทาแก่ท่านทงั้ ๔ โดยทรงตรสั ว่าพวกเธอจงเป็นภกิ ษุมาเถดิ ดงั น้ี แลว้ ไดต้ รสั ต่อไปว่า ธรรมอนั เรากลา่ วดแี ลว้ พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพ่อื ทาท่สี ุดทุกขโ์ ดยชอบเถดิ ฯ พระวาจา นนั้ แล ไดเ้ป็นอปุ สมบทของทา่ นทง้ั ๔ เหลา่ นน้ั ฯ ต่อมา พระผูม้ พี ระภาคทรงประทานโอวาทสงั่ สอนภกิ ษุเหล่านน้ั ดว้ ย ธรรมกี ถา เมอ่ื จบพระธรรมเทศนา จติ ของภกิ ษุเหล่านน้ั พน้ แลว้ จากอาสวะทงั้ หลาย เพราะไมถ่ อื มนั่ บรรลุเป็นพระ อรหนั ต์ สมยั นนั้ จงึ มพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ข้นึ ในโลก ๑๑ องค์ สหายคฤหสั ถข์ องท่านพระยส เป็นชาวชนบทจานวน ๕๐ คน เป็นบตุ รของสกุลเก่าสบื ๆ กนั มา ไดท้ ราบขา่ ว วา่ ยสกลุ บตุ ร ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผา้ กาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแลว้ ครนั้ ทราบดงั นน้ั แลว้ ไดด้ าริ ว่า ธรรมวนิ ยั และบรรพชาทย่ี สกุลบุตรท่ีกระทาลงไปนนั้ คงไม่ตา่ ทรามแน่นอน ดงั น้ี จึงพากนั เขา้ ไปหาท่านพระยส ท่านจงึ พาสหายคฤหสั ถท์ งั้ ๕๐ นนั้ เขา้ เฝ้ าพระผูม้ พี ระภาคกราบทูลว่า ขอพระผูม้ พี ระภาคโปรดประทานโอวาทสงั่ สอนสหายของขา้ พระองคเ์ หลา่ น้ี พระผูม้ พี ระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถา๗๕แก่พวกเขา ความตา่ ทรามและความเศรา้ หมองของกามทง้ั หลาย และอานิสงสใ์ นการออกจากกาม เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคทรงทราบว่า พวกเขามจี ติ สงบ มจี ติ อ่อน มจี ติ ปลอดจากนิวรณ์ มจี ติ เบกิ บาน มจี ิตผ่องใสแลว้ จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาท่พี ระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายทรงยกข้นึ แสดงดว้ ยพระองค์ เองคือ ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ดวงตาเหน็ ธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทนิ ว่าสง่ิ ใดส่งิ หน่ึงมคี วามเกดิ ข้นึ เป็น ธรรมดา สง่ิ นนั้ ทงั้ มวลมคี วามดบั เป็นธรรมดา ไดเ้กดิ แก่พวกเขา พวกเขากบ็ รรลุโสดาบนั ณ ทน่ี งั่ นนั้ เอง จากนน้ั ท่าน ทงั้ ๕๐ จงึ ไดท้ ูลขอบบรรพชา อปุ สมบทต่อพระผูม้ พี ระภาค พระผูม้ พี ระภาคจงึ ทรงโปรดประทานเอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา แก่ท่านทง้ั ๕๐ โดยทรงตรสั วา่ พวกเธอจงเป็นภกิ ษุมาเถดิ ดงั น้ี แลว้ ไดต้ รสั ต่อไปว่าธรรมอนั เรากล่าวดแี ลว้ พวกเธอ จงประพฤติพรหมจรรย์ เพ่อื ทาท่สี ุดทุกขโ์ ดยชอบเถดิ พระวาจานนั้ แล ไดเ้ ป็นอุปสมบทของท่านทงั้ ๕๐ เหล่านนั้ ฯ ต่อมา พระผูม้ พี ระภาคทรงประทานโอวาทสงั่ สอนภกิ ษุเหลา่ นนั้ ดว้ ยธรรมกี ถา เมอ่ื จบพระธรรมเทศนา จิตของภกิ ษุ เหล่านน้ั พน้ แลว้ จากอาสวะทงั้ หลาย เพราะไม่ถอื มนั่ บรรลุเป็นพระอรหนั ต์ ซ่งึ สมยั นนั้ จึงมพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ข้นึ ใน โลก ๖๑ องค์ บรุ พกรรมของชน ๕๕ คนมียสกลุ บตุ ร เป็นตน้ วนั หน่ึงพระศาสดา ทรงประชุมพระสาวกท่พี ระเวฬุวนั ทรงประทานตาแหน่งพระอคั รสาวกแก่พระเถระทงั้ สองแลว้ ทรงแสดงพระปาตโิ มกข์ เหล่าภกิ ษุบางพวกจงึ กล่าวติเตียนว่า ‚พระศาสดา ประทานตาแหน่งแก่พระอคั ร สาวกทงั้ สองโดยเห็นแก่หนา้ พระองคเ์ มอ่ื จะประทานตาแหน่งอคั รสาวก ควรประทานแก่พระปญั จวคั คียผ์ ูบ้ วชเป็น ๗๕ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๒๖/๓๒. อนุปพุ พิกถา ๕ คอื ๑. ทานกถา ๒. สลี กถา ๓. สคั คกถา ๔. กามาทนี วกถา ๕. เนกขมั มานสิ งั สกถา
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พวกแรกสุด พน้ จากพระปญั จวคั คยี เ์ หลา่ นนั้ ก็ควรประทานแก่ภกิ ษุ ๕๕ รูป มพี ระยสเถระเป็นประมขุ พน้ จากภกิ ษุ เหล่านนั้ ก็ควรประทานแก่พระพวกภทั รวคั คีย์ พน้ จากภิกษุเหล่านนั้ ก็ควรประทานแก่ภิกษุ ๓ พ่ีนอ้ ง มพี ระอุรุ เวลกสั สปะเป็นตน้ แต่พระ ศาสดาทรงละเลยภิกษุเหล่านนั้ ทง้ั หมด เม่อื จะประทานตาแหน่งอคั รสาวก กท็ รงเลอื ก หนา้ ประทานแก่ผูบ้ วชภายหลงั เขาเหลา่ นน้ั ‛ พระศาสดาตรสั ถามภกิ ษุทง้ั หลายถงึ เร่ืองท่พี วกภกิ ษุเหลา่ นน้ั พดู กนั อยู่ ภกิ ษุทงั้ หลายทูลเร่อื งท่ตี นพูดกนั พระผูม้ พี ระภาคจงึ ตรสั ว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย เราหาเลอื กหนา้ ใหต้ าแหน่งแก่พวกภกิ ษุไม่ แต่เราให้ ตาแหน่งท่แี ต่ละคนๆ ตง้ั จิตปรารถนาไวแ้ ต่ปางก่อนแลว้ ๆ นนั่ แล‛ และพระศาสดาทรงเล่าถงึ บุรพกรรมของชนเหล่านนั้ โดยเล่าถงึ บุรพ กรรมของยสกลุ บุตรและสหายอกี ๕๔ คนไวด้ งั น้ี กลุ่มพระยสกุลบุตรทง้ั ๕๕ คนนน้ั เคยตง้ั จิตปรารถนาพระอรหตั ไวใ้ นสานกั พระพุทธเจา้ พระองคห์ น่ึง และปฏบิ ตั ทิ ากรรมทเ่ี ป็นบุญไวเ้ป็นอนั มาก ครง้ั หน่ึงในสมยั เมอ่ื พระพุทธเจา้ ยงั ไมอ่ บุ ตั ขิ ้นึ เขาเหลา่ นน้ั เป็นสหายกนั ร่วมเป็นพวกกนั ทาบญุ โดยเทย่ี วจดั แจงศพคนไรท้ พ่ี ่งึ วนั หน่ึง พวกเขาพบศพหญิงตายทง้ั กลม จึงตกลงกนั ว่าจะเผา เสยี จงึ นาศพนน้ั ไปป่าชา้ เมอ่ื นาศพมาถงึ ป่าชา้ แลว้ ยสกลุ บตุ รกบั เพอ่ื นอีก ๔ คน จึงอยู่ท่ปี ่าชา้ นน้ั เพอ่ื จดั การเผาศพ ส่วนเพอ่ื นท่เี หลอื อีก ๕๐ คนกก็ ลบั ไป ในขณะทท่ี าการเผาศพหญงิ ตายทงั้ กลมอยู่นน้ั ยสกลุ บุตรไดใ้ ชห้ ลาวเขย่ี ศพ นน้ั เพอ่ื พลกิ ศพกลบั ไปกลบั มาใหโ้ ดนไฟทวั่ ๆ ขณะท่เี อาไมเ้ขย่ี ร่างศพอยู่นน้ั ก็ไดพ้ จิ ารณาศพท่ถี กู เผา ไดอ้ สุภสญั ญา แลว้ เขาจงึ แสดงอสุภสญั ญาแก่สหายอกี ๔ คนนน้ั ว่า ‚น่ีเพ่อื น ท่านจงดูศพน้ี มหี นงั ลอกแลว้ ในท่นี นั้ ๆ ดุจรูปโคด่าง ไมส่ ะอาด เหมน็ น่าเกลยี ด‛ สหายทง้ั ๔ คนนน้ั ก็ไดอ้ สุภสญั ญาในศพนนั้ แลว้ คนทง้ั ๕ นนั้ เมอ่ื เผาศพเสรจ็ แลว้ จึง ไดน้ าอสุภสญั ญาท่ปี รากฏแก่ตนนนั้ ไปบอกแก่สหายท่เี หลอื ส่วนยสกุลบุตรนน้ั เม่อื กลบั ถึงเรือนแลว้ ก็ไดบ้ อกแก่ มารดาบดิ าและภรรยา คนทงั้ หมดนน้ั กเ็ จรญิ อสุภสญั ญาแลว้ ฯ น้ีเป็นบพุ กรรมของคน ๕๕ คน มยี สกลุ บุตรเป็นตน้ นน้ั เพราะฉะนน้ั ในสมยั ปจั จบุ นั ความท่เี หน็ ว่าในเรอื นของตน ท่เี กลอ่ื นไปดว้ ยดว้ ยสตรเี ป็นดุจป่าชา้ จึงเกิดแก่ยสกุล บุตร และดว้ ยอุปนิสยั สมบตั ิแห่งอสุภสญั ญาท่ีเคยไดม้ านนั้ การบรรลุคุณวิเศษจึงเกิดข้นึ แก่พวกเขาทงั้ หมด คน เหลา่ น้ีไดร้ บั ผลท่ตี นปรารถนาแลว้ เหมอื นกนั ดว้ ยประการอยา่ งน้ี หาใช่พระบรมศาสดาเลอื กหนา้ แต่งตงั้ ใหไ้ ม่ พระปรุ าณเถระแสดงฤทธ์หิ ยดุ กระแสน้า พระเถระครนั้ บรรลุพระอรหตั แลว้ เสวยวมิ ตตสิ ุขอยู่ในอญั ชนวนั เมอื งสาเกต ในครงั้ นน้ั พระผูม้ พี ระภาค เจา้ พรอ้ มดว้ ยภกิ ษุสงฆห์ มใู่ หญ่ เสดจ็ ไปยงั เมอื งสาเกต แลว้ ประทบั อยู่ในพระวหิ ารอญั ชนวนั เสนาสนะไม่พออาศยั ภกิ ษุเป็นอนั มากพากนั นอนท่เี นินทราย ริมนา้ สรภู ใกลๆ้ พระวหิ าร ครงั้ นนั้ เม่อื หว้ งนา้ หลากมาในเวลาเท่ยี งคืน พวกสามเณรเป็นตน้ ส่งเสยี งรอ้ งดงั ลนั่ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงทราบเหตุนนั้ แลว้ สงั่ ท่านพระควมั ปตไิ ปว่า “ควมั ปติ เธอจงไปสะกด (ข่ม) หว้ งนา้ ไว้ เพ่อื ใหภ้ กิ ษุทง้ั หลายอยู่อย่างสบาย” พระเถระรบั พระพทุ ธดารสั ว่า ดีแลว้ พระเจา้ ขา้ แลว้ สะกดกระแสนา้ ใหห้ ยุดดว้ ยกาลงั ฤทธ์ิ หว้ งนา้ นน้ั ไดห้ ยุดตง้ั อยู่ดุจยอดเขา แต่ไกลทเี ดียว ฯ จาเดิมแต่นนั้ มา อานุภาพของพระเถระ ไดป้ รากฏแลว้ ในโลกฯ ครน้ั วนั หน่ึง พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเหน็ พระเถระ นงั่ ท่ามกลาง เทวบริษทั จานวนมาก แลว้ แสดงธรรมอยู่ เม่ือจะทรงสรรเสริญพระเถระ เพ่ือประกาศคุณของท่าน ดว้ ยความ อนุเคราะหส์ ตั วโลก พระผูม้ พี ระภาคตรสั สรรเสรญิ พระควมั ปติเถระ ดว้ ยพระคาถาดงั น้ีว่า “เทวดาทงั้ หลายพากนั
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ นอบนอ้ มพระควมั ปติ ผูห้ า้ มแมน่ า้ สรภูใหห้ ยดุ ไหลไดด้ ว้ ยฤทธิไ์ ม่ติดอยู่ในกเิ ลสและตณั หาไรๆ ไม่หวนั่ ไหวต่อสงิ่ อะไรทงั้ ส้นิ ขา้ มกเิ ลสเครือ่ งขอ้ งทงั้ หมดเสยี ไดเ้ ป็นมหามนุ ี ผูบ้ รรลนุ ิพพานแลว้ ๗๖ ในการแสดงฤทธ์ิหยุดกระแสนา้ ของพระเถระในครง้ั นนั้ เป็นเหตุใหม้ าณพผูห้ น่ึงช่ือว่า มหานาค ซ่ึงไดเ้ หน็ ไดเ้ กิดศรทั ธา จงึ ขอบวชในสานกั ของพระเถระ ต่อมาท่านมหานาคเถระก็ไดบ้ าเพ็ญเพยี รจนไดเ้ ป็นพระอรหนั ตร์ ูป หน่ึง พระเถระกบั ปายาสเิ ทวบตุ ร เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพานแลว้ ท่านพระกมุ ารกสั สปะพรอ้ มดว้ ยภกิ ษุประมาณ ๕๐๐ รูป ไปถึงเสตพั ยนคร ไดเ้ ทศนาโปรดพระยาปายาสิผูเ้ ขา้ ไปหาท่านในนครนั้น จากมิจฉาทิฏฐิ ใหด้ ารงอยู่ใน สมั มาทฏิ ฐิ จาเดมิ แต่นนั้ มา พระยาปายาสกิ เ็ ป็นผูข้ วนขวายในบุญ แต่เมอ่ื ถวายทานแก่สมณพราหมณ์ทง้ั หลาย ท่าน ไดถ้ วายทานโดยไมเ่ คารพ เพราะมไิ ดเ้คยสรา้ งสมในทานนนั้ ในเวลาต่อมาทากาลกิริยาตายไปบงั เกดิ ใน เสรสี กวมิ าน ในสวรรคช์ นั้ จาตมุ หาราช พระควมั ปติ สลดั ท้งิ มิจฉาทฏิ ฐิ ดงั ทไ่ี ดเ้ลา่ มาแลว้ ในตอนตน้ ว่าอดีตชาตทิ ่านพระควมั ปติเถระ ท่านเคยบงั เกดิ เป็นเทพบตุ รอยู่เสรสี กวมิ าน มาก่อน ดว้ ยความเคยชินกบั การพานกั อยู่ในวมิ านน้ีมาก่อน มาในพทุ ธุปบาทกาลน้ี เมอ่ื ท่านเป็นพระควมั ปติ ตง้ั อยู่ ในพระอรหตั แลว้ ในเวลาหลงั ภตั จงึ ไปพกั ผ่อนยงั วมิ านนนั้ เนืองๆ ต่อมา เมอ่ื พระยาปายาสสิ ้นิ ชีวติ ลงและไปบงั เกดิ เป็นเทพบตุ ร ณ ทน่ี น้ั เมอ่ื สมยั ต่อมา ท่านพระควมั ปติไปพกั กลางวนั ณ เสรสี กวมิ านทว่ี ่างเปลา่ อยู่เนืองๆ ลาดบั นนั้ ปายาสเิ ทพบุตร เขา้ ไปหาท่านพระควมั ปติถงึ ทอ่ี ยู่ไหวแ้ ลว้ ยนื อยู่ ณ ทส่ี มควร ท่านพระควมั ปติถามปายาสเิ ทพบุตร ว่า ‚ท่านเป็นใคร‛ ปายาสเิ ทพบุตรตอบว่า ‚ขา้ พเจา้ คือเจา้ ปายาสิ ขอรบั ‛ ท่านพระควมั ปติถามว่า ‚ท่านเป็นผูม้ ที ฏิ ฐิ อยา่ งน้ีว่า ‘แมเ้พราะเหตนุ ้ี โลกอนื่ ไมม่ ี โอปปาตกิ สตั วไ์ มม่ ี ผลวบิ ากแห่งกรรมทที่ าดีและทาชวั่ ไมม่ ’ี จริงหรอื ‛ ปายาสิ เทพบตุ ร ตอบวา่ ‚จรงิ ขอรบั ขา้ พเจา้ เคยมที ฏิ ฐอิ ย่างนน้ั ว่า ‘แมเ้พราะเหตนุ ้ี โลกอ่นื ไมม่ ี โอปปาตกิ สตั วไ์ มม่ ี ผลวบิ าก แหง่ กรรมทท่ี าดแี ละทาชวั่ ไมม่ ’ี แต่พระผูเ้ป็นเจา้ กมุ ารกสั สปะ ไดช้ ้นี าใหข้ า้ พเจา้ ออกจากทฏิ ฐชิ วั่ นน้ั แลว้ ‛๗๗ ท่านพระควมั ปตถิ ามว่า ทา่ นผูม้ อี ายุ กอ็ ตุ ตรมาณพซ่งึ เป็นเจา้ หนา้ ท่ใี นทานของท่าน ไปเกิด ทไ่ี หนฯ ปายาสิ เทพบุตรตอบว่า อุตตรมาณพซง่ึ เป็นเจา้ หนา้ ท่ใี นทานของขา้ พเจา้ นน้ั ใหท้ านโดยเคารพ ใหท้ านดว้ ยมอื ของตน ให้ ทานดว้ ยความนอบนอ้ ม มไิ ดใ้ หท้ านอย่างท้งิ ให้ เม่อื ตายลงจึงเขา้ ถงึ สุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกบั พวกเทวดาชน้ั ดาวดึงส์ ส่วนขา้ พเจา้ มไิ ดใ้ หท้ านโดยเคารพ มไิ ดใ้ หท้ านดว้ ย มอื ของตน มไิ ดใ้ หท้ านดว้ ยความนอบนอ้ ม ใหท้ าน อย่างท้งิ ให้ เม่อื ตายลง จึงไดเ้ พยี งอยู่ร่วมกบั พวกเทวดาชน้ั จาตมุ หาราช คือไดว้ มิ าน ช่อื เสรีสกะอนั ว่างเปล่า ฯ ท่า นควมั ปติผูเ้จริญ ถา้ อย่างนนั้ ท่านไปยงั มนุษยโลก แลว้ โปรดบอกชนทง้ั หลายอย่างน้ีว่า ท่านทงั้ หลายจงใหท้ านโดย เคารพ จงใหท้ านดว้ ยมอื ของตน จงใหท้ านโดยความนอบนอ้ ม จงอย่าใหท้ านอย่างท้งิ ให้ เจา้ ปายาสมิ ไิ ดใ้ หท้ านโดย เคารพ มิไดใ้ หท้ านดว้ ยมอื ของตน มไิ ดใ้ หท้ านโดยความนอบนอ้ ม ให้ ทานอย่างท้ิงให้ เม่อื ตายลงจึงไดเ้ พียงอยู่ ร่วมกบั พวกเทวดาชน้ั จาตมุ หาราช คือไดว้ มิ านช่อื เสรสี กะอนั ว่างเปล่า ส่วนอตุ ตรมาณพ ซง่ึ เป็นเจา้ หนา้ ท่ใี นทานของ ๗๖ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๓๘/๓๑๖. ๗๗ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๔๔๑/๓๗๑.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๗๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง เจา้ ปายาสนิ นั้ ใหท้ านโดยเคารพ ใหท้ านดว้ ยมอื ของตนให้ ทานโดยความนอบนอ้ ม มไิ ดใ้ หท้ านอย่างท้งิ ให้ เมอ่ื ตาย ลง จงึ เขา้ ถงึ สุคตโิ ลกสวรรค์ คืออยูร่ ่วมกบั พวกเทวดาชนั้ ดาวดงึ ส์ ฯ ท่านควมั ปติมาสู่มนุษยโลกแลว้ จึงไดบ้ อกแก่ชน ทงั้ หลายเช่นนน้ั ๗๘ ฯ สรุปไดว้ า่ พระควมั ปติ เป็นกลมุ่ เพ่อื นพระยสะ ตง้ั แต่ครงั้ ยงั เป็นฆราวาส และไดอ้ อกบวชตาม พระกลุ่มน้ีมี ๕๔ รูป แต่ท่ปี รากฏช่อื และไดร้ บั จดั เขา้ เป็นพระอสีติมหาสาวกมเี พยี ง ๔ รูปคือ พระวมิ ละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควมั ปติ ฯ พระควมั ปติ เกดิ ในวรรณะไวศยะ ในตระกูลเศรษฐแี ห่งเมอื งพาราณสี แควน้ กาสี เมอ่ื ท่านทราบ ว่า ยสะ ออกบวช ท่านและสหาย จงึ พรอ้ มใจกนั เดนิ ทางไปหาพระยสะ ณ ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั ดว้ ยความศรทั ธา พระยสะไดพ้ าเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธเจา้ หลงั จากกราบทูลใหท้ รงทราบถึงประวตั ิส่วนตัวของแต่ละท่านแลว้ ไดท้ ูลขอให้ พระพทุ ธเจา้ แสดงธรรมใหฟ้ งั พระพุทธเจา้ ไดต้ รวจดูอุปนิสยั แลว้ ก็ไดท้ รงแสดงอนุปพุ พิกถาและอรยิ สจั ๔ ใหฟ้ งั ตามลาดบั เม่อื จบพระธรรมเทศนาทง้ั ๔ ท่านก็ไดด้ วงตาเห็นธรรมสาเร็จเป็นพระโสดาบนั ครน้ั แลว้ ไดท้ ูลขอบวช พระพทุ ธเจา้ ทรงบวชใหด้ ว้ ยวธิ บี วชแบบเอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทาอย่างท่ที รงประทานแก่ พระปญั จวคั คีย์ ฯ หลงั จากบวช แลว้ พระพทุ ธเจา้ ยงั คงแสดงธรรมโปรดอยู่เนืองๆ ไมช่ า้ ก็ไดบ้ รรลุอรหตั ผล และอยู่ในคณะพระธรรมจารกิ รุ่นแรกท่ี พระพุทธเจา้ ทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีอยู่ดว้ ยกนั ทง้ั หมด ๖๐ รูป ฯ พระควมั ปติ คราวหน่ึงไดจ้ า พรรษาอยู่ ณ ป่าอญั ชนวนั เมอื งสาเกตกบั พระพทุ ธเจา้ และ พระภกิ ษุสามเณรจานวนมากปรากฏว่า เสนาสนะไม่พอ พระภกิ ษุและสามเณรทไ่ี มไ่ ดเ้สนาสนะตอ้ งพากนั ไปจาวดั ตามหาดทรายชายฝงั่ แมน่ า้ สรภซู ่งึ อยู่ใกลๆ้ วหิ าร ตกเทย่ี ง คนื เกดิ ฝนตกนา้ หลาก พระเณรตอ้ งหนีนา้ กนั จา้ ละหวนั่ ความทราบถงึ พระพทุ ธเจา้ พระองคจ์ ึงทรงใชพ้ ระควมั ปตใิ ห้ ไปใชฤ้ ทธ์กิ นั้ สายนา้ ช่วยพระและเณรทก่ี าลงั เดือดรอ้ น ท่านไปตามพทุ ธบญั ชาแลว้ ใชพ้ ลงั ฤทธ์กิ น้ั สายนา้ ไม่ใหไ้ หลมา รบกวนพระและเณรอีก อยู่มาวนั หน่ึงท่านกาลงั นงั่ แสดงธรรมใหเ้ทวดาฟงั พระพุทธเจา้ ทอดพระเนตรเหน็ จึงตรสั สรรเสรญิ ทา่ นว่าเทวดาและมนุษยต์ ่างพากนั นอบนอ้ มพระควมั ปติ ผูใ้ ชฤ้ ทธ์หิ า้ มแมน่ า้ สรภไู มใ่ หไ้ หล พระควมั ปตมิ ไิ ดม้ ตี าแหน่งเอตทคั คะ ทง้ั น้ีเพราะท่านมไิ ดต้ ง้ั ความปรารถนาตาแหน่งเอตทคั คะใดๆ ไวแ้ ต่ อดีตชาติเช่นเดยี วกบั พระยสะ เพยี งแต่ไดต้ งั้ จิตปรารถนาเพ่อื การเป็นพระมหาสาวกไวเ้ท่านน้ั แต่ในหนงั สอื ตานาน พระพทุ ธสาวก ภาค ๑ โดยพระธรรมโกศาจารย์ นน้ั ไดเ้ ขยี นไวว้ ่า..พระควมั ปติ - ประจาทศิ พายพั (ตะวนั ตกเฉียง เหนือ) หมายถงึ พระมหากจั จายนะ ขอ้ ตกลงในการประชมุ เพอ่ื ทาสงั คายนา เมอ่ื ทป่ี ระชุมตกลงรบั มติว่าจะทาสงั คายนา ก็ใหพ้ ระมหากสั สปะเรียกคุณสมบตั ิของบุคคลผูท้ จ่ี ะทาหนา้ ท่ี ฯล ท่ปี ระชุมสงฆไ์ ดเ้หน็ ชอบดว้ ย แลว้ มอบหมายใหพ้ ระมหากสั สปะเถระคดั เลอื กพระอรหนั ตขณี าสพ ผูม้ อี ภญิ ญา เพียบพรอ้ มดว้ ยปฏสิ มั ภทิ า ทรงพระไตรปิฎก ซ่งึ ส่วนมากพระผูม้ พี ระภาคทรงตงั้ ไวใ้ นตาแหน่าเอตทคั คะ จานวน ๔๙๙ รูป หย่อนจานวน ๕๐๐ ไวร้ ูปหน่ึง เพ่อื ใหโ้ อกาสแก่พระอานนท์ เพราะเลง็ เหน็ ว่าการสงั คายนาครง้ั นนั้ เวน้ พระ อานนทเ์ สยี กจ็ ะทาใหข้ าดความสมบูรณ์ เพราะท่านเป็นดุจคลงั แห่งสทั ธรรม ทรงจาคาสอนของพระศาสดาไวม้ ากแต่ หากจะเลอื กท่านเขา้ ในจานวนพระสงั คีตกิ ารก ๕๐๐ รูป ในขณะนนั้ ก็ยงั ขาดคุณสมบตั ิท่สี าคญั คือท่านยงั เป็นพระ ๗๘ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๔๔๑/๓๗๑-๓๗๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ เสขบุคคลยงั มไิ ดบ้ รรลุอรหตั ผล ท่ีประชุมจึงมมี ติใหห้ ย่อนจานวน ๕๐๐ ไว้ ๑ รูป เพ่ือรอใหพ้ ระอานนทเ์ ป็นพระ อรยิ บุคคลโดยสมบูรณ์ แลว้ เขา้ ร่วมเป็นพระสงั คีติกาจารยด์ ว้ ย ฯ เมอ่ื ท่ปี ระชุมสงฆไ์ ดต้ กลงกนั ทจ่ี ะทาสงั คายนาท่ี กรุงราชคฤห์ เพราะสมบรู ณด์ ว้ ยนา้ และโคจรคาม พระมหากสั สปะจึงสวดญตั ติทตุ ยิ กรรมวาจาประกาศหา้ มพระสงฆ์ นอกจากทไ่ี ดร้ บั เลอื กเขา้ ทาสงั คายนามใิ หเ้ขา้ จาพรรษา ณ พระนครนนั้ เพ่อื เกยี จกนั มใิ หว้ สิ ภาคบุคคลเขา้ ไปขดั ขวาง ใหเ้สยี พิธี ครนั้ แลว้ พระมหากสั สปเถระและพระอนุรุทธเถระไดพ้ าพระสงฆจ์ านวน ๔๙๙ รูป ผูไ้ ดร้ บั เลอื กเป็นพระ สงั คีติกาจารยเ์ ดินทางไปยงั พระนคราชคฤห์ ส่วนพระอานนทพ์ ุทธอนุชา ไดน้ าบาตจีวรพุทธบริโภคเดินทางไปยงั พระเชตวนั กรุงสาวตั ถี ทป่ี ระทบั เดมิ เพ่อื ชาระปรบั ปรุงพระคนั ธกุฎดี ุจดงั เวลาท่ียงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ เมอ่ื ไดเ้วลาจะ เขา้ พรรษาจึงเดินทางมาพระนครราชคฤห์ ฯ ท่กี รุงราชคฤหม์ หานคร คณะสงฆไ์ ดเ้ ขา้ เฝ้ าถวายพระพรขออปุ ถมั ภใ์ น การสงั คายนาจากพระเจา้ อชาตศตั รู ซ่งึ ก็ไดพ้ ระราชทานพระบรมราชูปถมั ภ์ ดา้ นอาณาจกั รอย่างสมบูรณ์โดยทรง ปฏสิ งั ขรณว์ ดั ใหญ่ (มหาวหิ าร) ๑๘ แหง่ ในพระนครราชคฤห์ และทรงใหส้ รา้ งมณฑปสาหรบั ทาสงั คีติกรรม ณ ประตู ถา้ สตั ตบรรณคูหา เชงิ เขาเวภารบรรพตถวาย ครนั้ ถงึ กาลกาหนดจะทาสงั คายนา พระสงฆท์ ง้ั ๔๙๙ รูป ไดป้ ระชุมกนั ณ มณฑปศาลาแลว้ กลา่ วกนั วา่ พระอานนทไ์ ดบ้ รรลุอรหนั ตผลในคืนก่อนถงึ กาหนดการสงั คายนา และเพ่อื ประกาศ ใหท้ ่ปี ระชุมสงฆท์ ราบว่า ท่านเป็นอเสขบคุ คล ทรงอภญิ ญาจึงแสดงอภิญญาดาดนิ มาโผลต่ รงอาสนะท่จี ดั ไวส้ าหรบั ท่าน ทป่ี ระชมุ ไดต้ กลงกนั มอบหมายใหพ้ ระมหากสั สปเถระเป็นประธาน ทาหนา้ ท่สี อบถามพระธรรมวนิ ยั ใหพ้ ระอุ บาลเี ถระผูเ้ป็นเอตทคั คะในดา้ นพระวนิ ยั ทาหนา้ ทว่ี สิ ชั นาในเร่ืองท่เี ก่ียวกบั พระวนิ ยั ใหพ้ ระอานนทพ์ ทุ ธอนุชาผูไ้ ด้ ช่อื ว่าเป็นคลงั แห่งพระสทั ธรรม เพราะทรงจาคาสอนของพระศาสดาไวไ้ ดม้ าก เป็นผูว้ ิสชั นาพระธรรม ทง้ั พระสูตร และพระปรมตั ถาภิธรรมและตกลงใหส้ งั คายนาพระวินยั ก่อนเป็นอนั ดบั แรก เพราะพระวนิ ยั เป็นแก่นหรือเป็นราก แกว้ ของพระศาสนา แลว้ จึงสงั คายนาพระสุตตาภธิ รรม เมอ่ื สงั คายนาแต่ละปิฎกจบลง พระสงฆส์ งั คีติภาณกาจารย์ ไดท้ อ่ งจาและสงั วธั ยายปิฎกนน้ั ๆ โดยวธิ ีมขุ ปาฐะ การสงั คายนาครง้ั นนั้ ไดก้ ระทาดว้ ยวธิ นี ้ี เป็นเวลา ๗ เดือนจึงจบ ส้นิ ผลแห่งการสงั คายนา คมั ภรี ส์ มนั ตปาสาทกิ า อรรถกถาวินยั ไดบ้ รรยายว่าพระสงั คีตภิ าณกาจารยไ์ ดจ้ ดั หมวดหม่พู ระธรรมวินยั ออกเป็น ๓ หมวดใหญ่ เรียกว่า ปิ ฎก คือ ๑. พระวนิ ยั ปิฎก ประมวลพระพทุ ธพจนส์ ่วนวนิ ยั ๒. พระสุตตนั ตปิฎก ประมวลพระพทุ ธพจนส์ ่วนพระสูตร ๓. พระอภธิ รรมปิฎก ประมวลพระพทุ ธพจนส์ ่วนพระปรมตั ถ์ ๕.๔.๒ ทตุ ยิ สงั คายนา (The Second Buddhist Council) ทตุ ิยสงั คายนา คือสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ : กระทาท่วี าลกิ าราม เมอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี รฐั อุตตรประเทศ ของ อนิ เดยี โดยพระยสะ กากณั ฑกบตุ ร เป็นผูช้ กั ชวนพระเถระท่เี ป็นผูใ้ หญ่ร่วมมอื ในการน้ีทป่ี รากฏชอ่ื มี ๘ รูป ไดแ้ ก่ ๑. พระสพั พกามี ๒. พระสาฬหะ ๓. พระขชุ ชโสภติ ะ ๔. พระวาสภคามกิ ะ พระสงฆท์ งั้ ๔ รูปน้ี เป็นชาว ปาจีนกะ (มสี านกั ทางทศิ ตะวนั ออก) ๕. พระเรวตะ ๖. พระสมั ภูตะ สาณวาสี ๗. พระยสะกากณั ฑกบตุ ร ๘. พระ สุมนะ พระสงหท์ ง้ั ๔ รูปน้ี เป็นชาวเมอื งปาฐา ในการน้ีพระเรวตะ เป็นผูถ้ าม พระสพั พกามเี ป็นผูต้ อบปญั หาทางวนิ ยั ท่เี กดิ ข้นึ มพี ระสงฆป์ ระชมุ กนั ๗๐๐ รูป กระทาอยู่ ๘ เดือนจึงแลว้ เสร็จ สงั คายนาครง้ั น้ีกระทาภายหลงั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานแลว้ ได้ ๑๐๐ ปี ขอ้
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ปรารภในการทาสงั คายนาครงั้ น้ี ก็คือพระยสะ กากณั ฑกบุตร ปรารภขอ้ ปฏบิ ตั ิย่อหย่อน ๑๐ ประการหรือเรียกว่า วตั ถุ ๑๐ เป็นการกระทาผดิ ทางพระวนิ ยั ของพวกภกิ ษุวชั ชบี ตุ รชาวเมอื งไพสาลี ซ่งึ ปรากฏในวนิ ยั ปิฎก สตั ตสตกิ ขนั ธ กะ ไดแ้ ก่ ๑. สงิ ฺคโิ ลณกปั โป : ภกิ ษุจะเกบ็ เกลอื ไวใ้ นเขนง (เขาสตั ว)์ เพอ่ื เอาไวฉ้ นั โดยปะปนกบั อาหารได้ ๒. ทวงั คุลกปั โป : ภิกษุจะฉนั อาหารหลงั จากตะวนั บ่าย เกนิ เท่ยี งไปแลว้ ๒ องคุลี ถา้ จะควรฉนั อาหารก็ ควร ๓. คามนั ตรกปั โป : ภกิ ษุฉนั อาหารในอารามเสรจ็ แลว้ งดภตั ตกจิ แลว้ เขา้ ไปสู่บา้ นจะฉนั อาหารทไ่ี มเ่ ป็นเดน และไมไ่ ดท้ าวนิ ยั กรรมไว้ กส็ ามารถฉนั ได้ ๔. อาวาสกปั โป : ถา้ ในวดั เดยี วกนั มสี มี าใหญ่ ภกิ ษุจะแยกกนั ทาสงั ฆกรรมกไ็ ด้ ๕. อนุมติกปั โป : ในเวลาทาอุโบสถหรือสงั ฆกรรม ถงึ แมว้ ่าภกิ ษุจะเขา้ ประชุมยงั ไม่พรอ้ มเพรียงกนั จะทา อโุ บสถหรอื สงั ฆกรรมก่อนกไ็ ด้ ๖. อาจณิ ณกปั โป : การประพฤติปฏบิ ตั ิตามอุปชั ฌายห์ รืออาจารย์ ไม่ว่าจะผดิ หรือถูกตอ้ งตามพระวนิ ยั หรอื ไมก่ ต็ าม สง่ิ นน้ั ยอ่ มเป็นการกระทาทต่ี อ้ งถกู สมควรเสมอ ๗. อมถติ กปั โป : นมสม้ กลายๆ ทแ่ี ปรสภาพมาจากนมสดแต่ยงั ไมเ่ ป็นนมสม้ รอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ต์ ภกิ ษุฉนั เสรจ็ ส้นิ และหา้ มภตั แลว้ จะฉนั นมนนั้ โดยไมต่ อ้ งทาวนิ ยั กรรมกไ็ ด๗้ ๙ ๘. ชโลคกิ ปั โป : สุราหรอื เมรยั ทท่ี าใหมๆ่ ยงั มสี แี ดงอ่อนๆ เหมอื นสขี องเทา้ นกพริ าบ ยงั ไมก่ ลายพนั ธเ์ ป็น สุราเตม็ ท่ี ภกิ ษุฉนั ได้ ๙. อทสกนิสที นกปั โป : ผา้ นิสที นะ (ผา้ ปนู งั่ ) อนั ไมม่ ชี าย ภกิ ษุจะใชส้ อยกไ็ ด้ ๑๐. ชาตรูปรชตกปั โป : ภกิ ษุรบั และยนิ ดใี นเงนิ หรอื ทอง ทเ่ี ขานามาถวายไมถ่ อื วา่ เป็นอาบตั ิ๘๐ พระยสะ กากณั ฑกบุตร จึงชกั ชวนพระเถระต่างๆ ใหช้ ่วยกนั วินิจฉัยแกค้ วามถือผิดครงั้ น้ี ในการทา สงั คายนาครง้ั น้ีไม่ไดก้ ล่าวถงึ การจดั ระเบยี บพระไตรปิฎก คงกล่าวเฉพาะการชาระขอ้ ถอื ผดิ ๑๐ ประการของภกิ ษุ พวกวชั ชบี ตุ ร ภกิ ษุชาววชั ชี เมอื งเวสาลี ไดค้ ิดรเิ ร่ิมแลว้ เง่อื นไขในการกระทาคือตง้ั วตั ถุ ๑๐ ประการ ซ่งึ ผิดไปจากพระ วนิ ยั ประพฤตมิ านาน และเป็นทย่ี อมรบั ของชาวบา้ น ทศั นะชาวบา้ นกไ็ มร่ ูส้ กึ ว่าพระเหล่านน้ั กระทาผดิ แต่อย่างใด ทา ใหม้ ที งั้ ภกิ ษุท่เี หน็ ดว้ ยและไม่เหน็ ดว้ ย จนเกิดการแตกแยกในหมสู่ งฆ์ ในท่สี ุดพระเถระอรหนั ตจ์ ากเมอื งปาฐา ๖๐ รูป จากแควน้ อวนั ตี และทกั ษณิ าบถ ๘๐ รูป ไดป้ ระชุมร่มกบั พระสาณสมั ภูตวาสี ไดจ้ ารกิ มาเมอื งเวสาลี และทราบ เร่อื งน้ี โดยร่วมประชุมกบั พระยสกากณั ฑบุตร ไดพ้ ยายามคดั คา้ น แต่ภกิ ษุชาววชั ชีไมเ่ ช่อื ฟงั ภกิ ษุท่สี นบั สนุนพระ ยสกากณั ฑบตุ ร จงึ นาเร่อื งไปปรกึ ษาพระเถระผูใ้ หญ่ในขณะนนั้ ไดแ้ ก่ พระเรวตะ พระสพั กามเี ถระ เป็นตน้ จึงตกลง ใหท้ าการสงั คายนา เพอ่ื ชาระมจิ ฉาทฏิ ฐใิ นเร่อื งน้ีใหเ้รียบรอ้ ยข้นึ อกี ครงั้ ๗๙ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๖-๔๕๘/๓๙๓-๓๙๕. ๘๐ ว.ิ จู.(ไทย) ๗/๔๔๖-๔๕๘/๓๙๓-๔๑๙.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ สรุปผลการทาทตุ ยิ สงั คายนา ๑. สถานทท่ี า ไดแ้ ก่ วาลกิ าราม ณ เมอื งไพสาลี แควน้ วชั ชี ๒. ผูป้ จุ ฉา ไดแ้ ก่ พระสพั พกามเี ถระ ๓. ประธานสงฆ์ ไดแ้ ก่ พระยสกากณั ฑกบุตร ๔. ฝ่ายจดั สถานท่ี ไดแ้ ก่ พระเรวตเถระ ๕. องคป์ ระชมุ ไดแ้ ก่ พระอรหนั ตข์ ณี าสพจานวน ๗๐๐ รูป เถรวาท กบั อาจรยิ วาท ภกิ ษุชาววชั ชีไมย่ อมรบั และไมเ่ ขา้ ร่วมการสงั คายนาน้ี แต่ไปรวบรวมภกิ ษุฝ่ายทเ่ี หน็ ดว้ ยกบั ตนแลว้ ประชมุ ทาสงั คายนาแยกต่างหาก เรียกว่า “มหาสงั คตี ิ” (สงั คายนาท่มี ผี ูเ้ขา้ ร่วมมาก) และเรียกพวกของตนว่า “มหาสงั ฆกิ นิ กาย” (นิกายสงฆห์ ม่ใู หญ่) ทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาในขณะนนั้ แตกเป็น ๒ นิกายคือฝ่ายท่นี บั ถอื มติของพระเถระครงั้ ปฐมสงั คายนาเรยี กว่า “เถรวาท” ส่วนอกี ฝ่ายท่ถี อื ตามมติของอาจารยข์ องตน เรยี กว่า “อาจารยิ วาท”๘๑ แต่ไมเ่ พยี ง ขอ้ ขดั แยง้ ของเหลา่ ภกิ ษุวชั ชี เท่านนั้ ทท่ี าใหเ้กดิ การแยกตวั ข้นึ แต่การแบ่งแยกไดท้ ยอยเกิดข้นึ จากเหตผุ ลต่างๆ อนั เกย่ี วขอ้ งกบั ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาเอง ในกรณีศึกษาน้ี ท่านอาจารย์ เสฐยี ร โกเศศ และ อาจารยน์ าคะ ประทปี ไดก้ ล่าวอา้ งถงึ ขอ้ ความของท่าน นลนิ กั ษทตั ต์ ซ่งึ เป็นผูร้ วบรวมแนวคิดพทุ ธศาสนาไวว้ ่า เหตผุ ลทท่ี าใหพ้ ทุ ธศาสนา เกดิ การแบง่ แยกออกเป็นนิกายต่างๆ มสี าเหตมุ าจากปจั จยั หลายประการ สามารถสรุปไดด้ งั น้ี กรณีท่ี ๑ พุทธศาสนาไม่มพี ระเถระท่ีเป็นประมุขสืบต่อจากองคพ์ ระศาสดา ผูซ้ ่ึงสามารถปกครองสงั ฆ มณฑลทง้ั หมด มแี ต่พระเถระท่ไี ดร้ บั การยกย่องนบถอื ใหเ้ป็นประธานในถน่ิ หรือทอ้ งท่หี น่ึงๆ เท่านน้ั ทงั้ น้ีเพราะพระ พทุ ธองคไ์ ม่ไดท้ รงตง้ั ใครไวส้ บื ต่อหรือเป็นประมขุ แทน มแี ต่ประทานพระธรรมวินยั ไวเ้ ป็นศาสดาเท่านนั้ ในกรณี ดงั กลา่ วเมอ่ื มอี ธกิ รณห์ รอื ความคดิ เหน็ แตกแยกเกดิ ข้นึ ในแต่ละแหง่ เหล่าภิกษุก็จะรบั ฟงั เฉพาะพระสงฆท์ ต่ี นเองนบั ถอื ในทอ้ งถน่ิ ของตนมากกวา่ ทม่ี าจากทอ่ี ่นื ๘๒ กรณีท่ี ๒ การท่พี ระพทุ ธองค์ ทรงยกย่องพระเถระบางรูป ใหม้ ตี าแหน่งเป็น “เอตทคั คะ” ทาใหเ้ กดิ กรณี ทว่ี ่า ทาใหศ้ ิษยห์ รือสาวกท่นี บั ถอื ในท่านรูปนน้ั มจี ริตอธั ยาศยั โนม้ เอียงไปในการนบั ถอื ตวั บุคคลมากกว่าธรรม (ยดึ ตวั บคุ คลแต่ไมย่ ดึ ธรรม) เช่นกลมุ่ ทเ่ี คร่งครดั ในพระวนิ ยั กจ็ ะนบั ถอื พระอุบาลเี ถระ, กลุม่ ภกิ ษุท่เี ป็นพทุ ธิจริต ท่ชี อบ ใหเ้หตผุ ล เนน้ ปญั ญาหรือปรชั ญา ก็จะนบั ถอื พระสารบี ตุ ร, กลุม่ ภกิ ษุท่ชี อบอทิ ธิปาฏหิ ารยิ ์ ก็จะชอบพระโมคคลั ลา นะ, กลมุ่ สามเณรก็จะนบั ถอื ท่านพระราหุล เป็นตน้ ดงั นนั้ เมอ่ื เหลา่ ภกิ ษุต่างมคี วามคิดเหน็ ท่แี ตกต่างกนั เช่นน้ี ต่าง ฝ่ายต่างกจ็ ะนบั ถอื พระเถระสายทต่ี นเองนบั ถอื เป็นทต่ี งั้ กรณีท่ี ๓ การจดั กลุ่มแบ่งกลุ่มพระสงฆอ์ อกเป็นพวกๆ จดั เป็นสานกั ในการเรียนหรือท่องจาคาสอน มี ลกั ษณะเป็นแบบแยกส่วน นบั ไดว้ ่าเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีทาใหเ้ กิดการแตกแยก แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสงั กดั เช่น กลุ่มพระวินยั ธร คือกลุ่มพระผูเ้รียนวนิ ยั หรือทรงจาพระวนิ ยั ก็จะพานกั อยู่ในสานกั เดียวกนั , กลุ่มพระธมั มกถกึ ๘๑ อภชิ ยั โพธ์ิประสทิ ธ์ิศาสตร,์ พระพุทธศาสนามหายาน, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๑๒-๒๑. ๘๒ Takakusu, Junjiro, The Essentials of Buddhist Philosophy, (Delhi : Motilal Banarsidass, 1975), pp.55-73.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ คือพระนกั เทศน์ หรือกลุ่มพระผูท้ รงจาพระสุตตนั ปิฎก ก็จะอยู่ในสานกั เดียวกนั ต่างหาก, และกลุ่มพระมาติกาธร คอื กลมุ่ เรยี นอภธิ รรมหรอื กลมุ่ ทรงจาอภธิ รรมปิฎก กจ็ ะตงั้ สานกั อยูต่ ่างหากไม่รวมกบั กลมุ่ อน่ื นอกน้ี จากการแตกแยกดว้ ยการแบ่งกลุ่ม แบ่งพรรค แบ่งพวกเช่นน้ี นานวนั เขา้ ทาใหเ้กิดทิฏฐมิ านะ ว่า “ตวั เรา พวกเรา” (อห เจว มมายกิ า จ) มองเหน็ พรรคพวกของตนดีกว่ากลุ่มอ่นื ๆ เขา้ ทานองยกตนขม่ ท่าน (อห เจว มม สนฺ ตกิ า จ สมตถฺ า โหนฺติ วชิ ฺชาจรณสมปฺ นฺนา) กรณีท่ี ๔ ถา้ มองในตามหลกั เหตผุ ลกจ็ ะเหน็ ว่า มกี ารลดหย่อนผ่อนผนั ขอ้ ปฏบิ ตั ิ คือทางสายกลาง โดยให้ เวน้ ท่ีสุด ๒ อย่างคือ อตั ตกิลมถานุโยค และ กามสุขลั ลิกานุโยค๘๓ ซ่ึงเป็นวตั รปฏิบตั ิของเดียรถียล์ ทั ธินอก พระพทุ ธศาสนา อนั เป็นการประกอบตนใหล้ าบากเปลา่ ดว้ ยความพยายามเพอ่ื บรรลุผลทห่ี มายดว้ ยวธิ ีทรมานตนเอง เช่น การบาเพญ็ ตบะต่างๆ ทน่ี ิยมกนั ในหมนู่ กั บวชอนิ เดยี เช่น ลทั ธิว่าดว้ ยอตั ตกลิ มถานุโยค (the extreme of self-mortification/extreme asceticism) คือการ ประกอบความลาบากเดอื นรอ้ นแก่ตน, การบบี คน้ั ทรมานตนใหล้ าบาก อาทิ ตปสั สวี ตั ร คอื วตั รเพอ่ื ตบะโดยการประพฤตเิ ปลอื ยกาย ลูขวตั ร คือวตั รในความเศรา้ หมอง มฝี ุ่นธุลี เกรอะกรงั แลว้ ทก่ี ายส้นิ ปีเป็นอนั มาก เกดิ เป็นสะเกด็ ทวั่ กาย เชคุจฉิวตั ร คอื วตั รในความเป็นผูร้ งั เกยี จกลวั ชวี ะนอ้ ยใหญ่ในอากาศจะตาย ปววิ ติ ตวตั ร คือวตั รในความเป็นผูส้ งดั ทวั่ แลว้ ไมป่ ระสงคพ์ บใคร และ ไมต่ อ้ งการใหใ้ ครมาพบเจอ เป็นตน้ ทรรศนะวา่ ดว้ ยลทั ธิบาเพญ็ ตบะ ลกั ษณะของอตั ตกลิ มถานุโยค ปรากฏในมชั ฌมิ นิกาย มลู ปณั ณาสก์ ว่าดว้ ยมหาสหี นาทสูตร พรหมจรรยม์ ี องค์ ๔ เป็นการสนทนาระหว่างพระพุทธเจา้ และพระสารีบุตรเถระ ใจความว่า “สารีบุตร เราตถาคตรูย้ ิง่ ความ ประพฤตพิ รหมจรรย๘์ ๔ มอี งค์ ๔ คือ (๑) เราเป็นผูบ้ าเพญ็ ตบะ และเป็นผูบ้ าเพญ็ ตบะอย่างยอดเย่ยี ม (๒) เราเป็นผูป้ ระพฤตถิ อื สง่ิ เศรา้ หมอง และเป็นผูป้ ระพฤตถิ อื สง่ิ เศรา้ หมองอย่างยอดเยย่ี ม (๓) เราเป็นผูป้ ระพฤตริ งั เกยี จ(บาป) และเป็นผูป้ ระพฤตริ งั เกยี จบาปอย่างยอดเยย่ี ม (๔) เราเป็นผูป้ ระพฤตสิ งดั และเป็นผูป้ ระพฤตสิ งดั อย่างยอดเยย่ี ม๘๕ ในวตั ร ๔ อย่างนนั้ น้ีเป็น “ตปสั สวี ตั ร” คือวตั รเพอ่ื มตี บะอนั การเบากเิ ลสของเราตถาคต ไดแ้ ก่ - เราไดป้ ระพฤตเิ ปลอื ยกาย มมี รรยาทอนั ปลอ่ ยท้งิ เสยี แลว้ - เป็นผูป้ ระพฤตเิ ชด็ อจุ จาระของตนดว้ ยมอื ๘๓ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๓/๒๐. ๘๔ ม.ม.ู อ.(บาล)ี ๑/๑๕๕/๓๖๒-๓๖๔., คาวา่ “พรหมจรรย”์ หมายถงึ ความประพฤตปิ ระเสริฐ มนี ยั ๑๒ ประการคอื (๑) ทาน การให้ (๒) ไว ยาวจั จะการขวนขวายช่วยเหลอื (๓) ปญั จสกิ ขาบท ศลี หา้ (๔) พรหมวหิ าร การประพฤตพิ รหมวหิ าร (๕ ) ธรรมเทศนา (๖) เมถนุ วริ ตั ิ การงดเวน้ จากการ เสพเมถนุ (๗) สทารสนั โดษ ความยนิ ดเี ฉพาะคู่ครองของตน (๘) อโุ ปสถงั คะ องคอ์ โุ บสถ (๙) อริยมรรค ทางอนั ประเสริฐ (๑๐) ศาสนาท่รี วมไตรสกิ ขา (๑๑) อธั ยาศยั (๑๒) วริ ิยะ ความเพยี ร แต่ในทน่ี ้หี มายถงึ วริ ยิ ะ เหตทุ ่ตี รสั พรหมจรรยน์ ้ี เพราะสุนกั ขตั ตะ โอรสเจา้ ลจิ ฉวเี ป็นผูม้ คี วามเช่อื วา่ ‘บุคคลจะ บริสทุ ธ์ไิ ดด้ ว้ ยการประพฤตทิ กุ กรกริ ยิ า’ ทรงมงุ่ ขจดั ความเชอ่ื นนั้ ๘๕ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๕/๑๕๗.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ - เป็นผูไ้ มร่ บั อาหารทเ่ี ขารอ้ งเชญิ ว่าท่านผูเ้จรญิ จงมา - ไมร่ บั อาหารทเ่ี ขารอ้ งนิมนตว์ ่าท่านผูเ้จรญิ จงหยุดก่อน - ไมย่ นิ ดใี นอาหารทเ่ี ขานามาจาเพาะ - ไมย่ นิ ดใี นอาหารทเ่ี ขาทาอทุ ศิ เจาะจง - ไมย่ นิ ดใี นอาหารทเ่ี ขารอ้ งนิมนตเ์ รา - ไมร่ บั อาหารจากปากหมอ้ - ไมร่ บั อาหารจากปากภาชนะ - ไมร่ บั อาหารคร่อมธรณีประตู - ไมร่ บั อาหารคร่อมทอ่ นไม้ - ไมร่ บั อาหารคร่อมสาก - ไมร่ บั อาหาร ของชนสองคนผูบ้ รโิ ภคอยู่ - ไมร่ บั อาหารของหญงิ มคี รรภ์ - ไมร่ บั อาหารของหญงิ ทก่ี าลงั ใหบ้ ตุ รด่มื นมอยู่ - ไมร่ บั อาหารของหญงิ ผูไ้ ปในระหว่างแหง่ บุรุษ - ไมร่ บั อาหารในอาหารทม่ี นุษยช์ กั ชวนร่วมกนั ทา๘๖ - ไมร่ บั อาหารในท่ที ม่ี สี ุนขั เขา้ ไปยนื เฝ้าอยู่ - ไมร่ บั อาหารในทท่ี เ่ี หน็ แมลงวนั บนิ ไปเป็นหมๆู่ - ไมร่ บั ปลา ไมร่ บั เน้ือ ไมร่ บั สุรา ไมร่ บั เมรยั - ไมด่ ่มื นา้ อนั ดองดว้ ยแกลบ - เรารบั เรอื นหลงั เดยี ว กนิ คาเดยี วบา้ ง - รบั อาหารทเ่ี รอื นสองหลงั กนิ สองคาบา้ ง - รบั สามเรอื น กนิ สามคาบา้ ง ....ฯลฯ.... - รบั เจด็ เรอื น กนิ เจด็ คาบา้ ง, - เราเล้ยี งร่างกายดว้ ยอาหารในภาชนะนอ้ ยๆ ภาชนะเดยี วบา้ ง - เล้ยี งร่างกายดว้ ยอาหารในภาชนะนอ้ ยๆ สองภาชนะบา้ ง ..ฯลฯ... - เล้ยี งร่างกายดว้ ยอาหารในภาชนะนอ้ ยๆ เจด็ ภาชนะบา้ ง - เรากนิ อาหารทเ่ี กบ็ ไวว้ นั เดยี วบา้ ง - กนิ อาหารทเ่ี กบ็ ไวส้ องวนั บา้ ง ....ฯลฯ.... - กนิ อาหารทเ่ี กบ็ ไวเ้จด็ วนั บา้ ง - มผี กั เป็นภกั ษาบา้ ง ๘๖ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๕/๑๕๘.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง - มสี ารแหง่ หญา้ กบั แกเ้ป็นภกั ษาบา้ ง - มลี ูกเดอื ยเป็นภกั ษาบา้ ง - มเี ปลอื กไมเ้ป็นภกั ษาบา้ ง - มสี าหร่ายเป็นภกั ษาบา้ ง - มรี าขา้ วเป็นภกั ษาบา้ ง - มขี า้ วตงั เป็นภกั ษาบา้ ง - มขี า้ วสารหกั เป็นภกั ษาบา้ ง๘๗ - มหี ญา้ เป็นภกั ษาบา้ ง - มโี คมยั (ข้วี วั ) เป็นภกั ษาบา้ ง - มผี ลไมแ้ ละรากไมใ้ นป่าเป็นอาหารบา้ ง - บรโิ ภคผลไมอ้ นั เป็นไป(หล่นเอง) ยงั ชวี ติ ใหเ้ป็นไปบา้ ง - นุ่งหม่ ดว้ ยผา้ ป่านบา้ ง - นุ่งห่มผา้ เจอื กนั บา้ ง - นุ่งห่มผา้ ทเ่ี ขาท้งิ ไวก้ บั ซากศพบา้ ง - นุ่งห่มผา้ คลกุ ฝุ่นบา้ งนุ่งหม่ เปลอื กไมบ้ า้ ง - นุ่งห่มหนงั เสอื อชนิ ะบา้ ง - นุ่งหม่ หนงั เสอื อชนิ ะทงั้ เลบ็ บา้ ง - นุ่งห่มแผน่ หญา้ คากรองบา้ ง - นุ่งหม่ แผน่ ปอกรองบา้ ง - นุ่งห่มแผน่ กระดานกรองบา้ ง - นุ่งห่มผา้ กมั พลผมคนบา้ ง - นุ่งห่มผา้ กมั พลทาดว้ ยขนหางสตั วบ์ า้ ง - นุ่งห่มปีกนกเคา้ บา้ ง (ศพั ทน์ ้ีแปลกทไ่ี มม่ คี าวา่ กมั พล) - เราตดั ผมและหนวด ประกอบตามซง่ึ ความเพยี รในการตดั ผมและหนวด - เราเป็นผูย้ นื กระหย่งหา้ มเสยี ซ่งึ การนงั่ เป็นผูเ้ดินกระหย่ง ประกอบตามซ่งึ ความเพยี รในการเดินกระหย่ง บา้ - เราประกอบการยนื การเดนิ บนหนาม สาเรจ็ การนอนบนทน่ี อนทาดว้ ยหนาม - เราประกอบตามซง่ึ ความเพยี รในการลงสู่นา้ เวลาเยน็ เป็นครง้ั ทส่ี ามบา้ ง๘๘ ๘๗ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๕/๑๕๘. ๘๘ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๕/๑๕๘-๑๕๙.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง เราตถาคตประกอบตามซง่ึ ความเพยี รในการทากเิ ลสในกายในเหอื ดแหง้ ดว้ ยวธิ ีต่างๆ เช่นน้ี (การเผาและอบ ร่างร่างกาย) ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี สารบี ตุ ร! น่ีแลพรหมจรรยใ์ นการบาเพ็ญตบะของเรา ฯ สารีบตุ ร! ในวตั รสอี่ ย่างนนั้ น้ีเป็น ลูขวตั รคอื วตั รในการเศรา้ หมอง๘๙ ทรรศนะเรอ่ื งลทั ธบิ าเพญ็ ตบะ เป็นผูส้ งดั บรรดาพรหมจรรยม์ อี งค์ ๔ นน้ั พรหมจรรยใ์ นการประพฤติสงดั ของเราดงั น้ีคือ เรานนั้ อาศยั ชายป่าแห่งใด แห่งหน่ึงอยู่ เมอ่ื ใด เราไดพ้ บคนเล้ยี งโค คนเล้ยี งปศุสตั ว์ คนหาบหญา้ คนหาฟืน หรอื คนทางานในป่า เมอ่ื นน้ั เราเดนิ หนีจากป่าหน่ึงไปยงั ป่าอกี แห่งหน่ึง จากป่าทบึ แห่งหน่ึงไปยงั ป่าทบึ อีกแห่งหน่ึง จากท่ลี ุ่มแห่งหน่ึงไปยงั ท่ลี ุม่ อีกแห่ง หน่ึง จากทด่ี อนแห่หน่ึงไปยงั ทด่ี อนอีกแห่งหน่ึง ขอ้ นน้ั เพราะเหตุไร เพราะเราคิดว่า ‘คนเหล่านน้ั อย่าไดพ้ บเรา และเรา กอ็ ย่าไดพ้ บคนเหลา่ นนั้ เลย’สตั วป์ ่าเห็นพวกมนุษยแ์ ลว้ ก็เตลดิ หนีจากป่าแห่งหน่ึงไปยงั ป่าอีกแห่งหน่ึงจากป่าทบึ แห่ง หน่ึงไปยงั ป่าทบึ อีกแห่งหน่ึง จากทล่ี ุม่ แห่งหน่ึงไปยงั ทล่ี ุ่มอกี แห่งหน่ึงจากท่ดี อนแห่งหน่ึงไปยงั ทด่ี อนอีกแห่งหน่ึง แม้ ฉนั ใด เรากฉ็ นั นนั้ เหมอื นกนั เมอ่ื ใดเราไดพ้ บคนเล้ยี งโค คนเล้ยี งปศุสตั ว์ คนหาบหญา้ คนหาฟืน หรือคนทางานในป่า เมอ่ื นน้ั เราเดนิ หนี จากป่าแห่งหน่ึงไปยงั ป่าอกี แห่งหน่ึง จากป่าทบึ แห่งหน่ึงไปยงั ป่าทบึ อีกแห่งหน่ึง จากทล่ี ุม่ แห่งหน่ึง ไปยงั ท่ลี ุม่ อีกแห่งหน่ึง จากทด่ี อนแห่งหน่ึงไปยงั ทด่ี อนอีกแห่งหน่ึง ขอ้ นนั้ เพราะเหตุไร เพราะเราคิดว่า ‘คนเหลา่ นนั้ อย่าไดพ้ บเราเลย และเรากอ็ ย่าไดพ้ บคนเหลา่ นน้ั เลย’น้ีเป็นพรหมจรรยใ์ นการประพฤติเป็นผูส้ งดั ของเราเรานน้ั คลาน เขา้ ไปในคอกทฝ่ี ูงโคออกไปแลว้ ไมม่ คี นเล้ยี งโคอยู่ กนิ มลู โคของลูกโคตวั อ่อนท่ยี งั ด่มื นมและกินปสั สาวะ อุจจาระของ ตนเองนนั่ แลตลอดเวลาทป่ี สั สาวะและอจุ จาระยงั ไมส่ ้นิ ไป น้ีเป็นพรหมจรรยใ์ นโภชนมหาวกิ ฏั ๙๐ ลทั ธิบาเพญ็ ตบะ เป็นผูส้ งดั เรานนั้ เขา้ อาศยั แนวป่าน่ากลวั แห่งใดแห่งหน่ึง อยู่ ท่วี ่าน่ากลวั นน้ั เพราะเป็นแนวป่าท่นี ่าสะพรึงกลวั ผูใ้ ดผู้ หน่ึงซง่ึ ยงั มรี าคะเขา้ ไปยงั แนวป่านนั้ โดยมากย่อมขนพองสยองเกลา้ เรานน้ั อยู่ทก่ี ลางแจง้ ตลอดทง้ั คืน ในราตรีท่หี นาว เหน็บซง่ึ อยู่ระหว่างเดือน ๓ ต่อเดอื น ๔ เป็นช่วงเวลาท่หี มิ ะตกเหน็ ปานนน้ั แต่อยู่ในแนวป่าในเวลากลางวนั ในเดอื น ทา้ ยแห่งฤดูรอ้ น เราอยู่ในท่แี จง้ ในเวลากลางวนั แต่อยู่ในแนวป่าในเวลากลางคืนคาถาน่าอศั จรรยน์ ้ีเราไม่เคยไดย้ ินมา ก่อน ปรากฏแก่เราว่า ‘มนุ ี ผูเ้สาะแสวงหาความหมดจดอาบแดด อาบนา้ คา้ ง เปลอื ยกาย ทงั้ มไิ ดผ้ งิ ไฟ อยู่คนเดียว ใน ป่าทีน่ ่ากลวั ’ เราตถาคตนอนแอบอิงกระดูกผีในป่าชา้ พวกเด็กเล้ยี งโค เขา้ ใกลเ้ ราแลว้ ถ่มนา้ ลายรดบา้ ง ถ่าย ปสั สาวะรดบา้ ง โปรยฝุ่นลงบา้ ง เอาไมย้ อนทช่ี ่องหูบา้ ง แต่เราไมร่ ูส้ กึ เลยว่า มอี กุศลจิตเกดิ ข้นึ ในเดก็ เหล่านน้ั น้ีเป็น พรหมจรรยใ์ นการอยดู่ ว้ ยอเุ บกขา๙๑ ลทั ธิท่วี า่ ความบรสิ ุทธ์ิมไี ดเ้ พราะอาหาร มสี มณพราหมณพ์ วกหน่ึงผูม้ วี าทะอย่างน้ี มที ฏิ ฐอิ ย่างน้ีว่า ‘ความบริสุทธมิ์ ไี ดเ้ พราะอาหาร’ พวกเขากลา่ ว อย่างน้ีว่า ‘พวกเราดารงชีวติ อยู่ดว้ ยผลพุทรา’ พวกเขาเค้ียวกินพทุ ราผลหน่ึงบา้ ง พทุ ราป่นบา้ ง ด่มื นา้ ผลพุทราบา้ ง ๘๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๖/๑๕๙. ๙๐ คาวา่ “โภชนมหาวิกฏั ” หมายถงึ อาหารทส่ี กปรก, ไมส่ ะอาด คอื ผดิ ปกตอิ ย่างมาก อา้ งถงึ ใน ม.ม.ู อ.(บาล)ี ๑/๑๕๖/๓๖๘, ม.มู.ฏกี า(บาล)ี ๒/๑๕๖/๔๔), ๙๑ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๖-๑๕๗/๑๖๐-๑๖๑.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ บรโิ ภคผลพทุ ราทแ่ี ปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ บา้ ง แต่เราก็รูต้ วั ว่า ‘กินผลพุทราผลเดียวเท่านนั้ เป็นอาหาร’ เธอคงจะ คิดอย่างน้ีวา่ ‘สมยั นนั้ ผลพทุ ราคงจะใหญ่เป็นแน่’ แต่เธอไม่พงึ เหน็ อย่างนน้ั แมใ้ นกาลนน้ั ผลพทุ ราก็มขี นาดเท่าใน บดั น้ีเม่อื เรากินพุทราผลเดียวเท่านน้ั เป็นอาหาร ร่างกายก็ซูบผอมเป็นอย่างมาก อวยั วะนอ้ ยใหญ่ของเราเปรียบ เหมอื นเถาวลั ยท์ ่มี ขี อ้ มากหรอื มขี อ้ ดา เพราะมอี าหารนอ้ ยนนั่ เอง ตะโพกของเราเปรยี บเหมอื นรอยเทา้ อูฐ กระดูกสนั หลงั ข้นึ เป็นปุ่มๆ เหมอื นเถาสะบา้ กระดูกซโ่ี ครงเหลอ่ื มข้นึ เหลอ่ื มลง เหมอื นกลอนศาลาเก่าเหลอ่ื มกนั ฉะนน้ั ดวงตา กลวงลึกเขา้ ไปในเบา้ ตา เหมอื นเงาดวงดาวปรากฏในบ่อนา้ ท่ลี กึ ฉะนนั้ หนงั ศีรษะซ่ึงถูกลมพดั แลว้ ก็เห่ียวแหง้ ไป เปรียบเหมอื นผลนา้ เตา้ ขมทถ่ี ูกตดั แต่ยงั อ่อน ถกู ลมและแดดแลว้ ย่อมเห่ยี วแหง้ ไปฉะนนั้ เพราะเรามอี าหารนอ้ ย นนั่ เอง เรานน้ั คิดว่า ‘จกั ลูบหนงั ทอ้ ง’ แต่คลาถกู กระดูกสนั หลงั คิดว่า ‘จกั ลูบกระดูกสนั หลงั ’ แต่คลาถูกหนงั ทอ้ ง หนงั ทอ้ งของเราตดิ กระดูกสนั หลงั เรานน้ั คิดว่า ‘จะถ่ายอจุ จาระหรอื ปสั สาวะ’ ก็ซวนเซลม้ ลง ณ ท่นี น้ั นนั่ เอง เราเมอ่ื จะทาร่างกายใหส้ บายกล็ ูบตวั ดว้ ยฝ่ามอื เมอ่ื เราลูบตวั ดว้ ยฝ่ามอื ขนทง้ั หลายซ่งึ มรี ากเน่าก็หลุดร่วงจากกาย เพราะ เรามอี าหารนอ้ ยนนั่ เอง๙๒ สารบี ตุ ร มสี มณพราหมณ์พวกหน่ึงผูม้ วี าทะอย่างน้ี มที ฏิ ฐอิ ย่างน้ีว่า ‘ความบริสุทธ์ิมีไดเ้ พราะอาหาร’ พวก เขากล่าวอย่างน้ีว่า ‘พวกเราดารงชีวิตอยู่ดว้ ยเมล็ดถวั่ เขยี ว ฯลฯ พวกเราดารงชีวติ อยู่ดว้ ยเมลด็ งา ฯลฯ พวกเรา ดารงชวี ติ อยู่ดว้ ยขา้ วสาร’ พวกเขาเค้ยี วกนิ ขา้ วสารบา้ ง ปลายขา้ วบา้ ง ดม่ื นา้ ขา้ วบา้ ง บรโิ ภคขา้ วสารทแ่ี ปรรูปเป็นชนิด ต่างๆ บา้ ง แต่เรารูต้ วั ว่า ‘กนิ ขา้ วสารเมลด็ เดยี วเท่านน้ั เป็นอาหาร’ เธอคงจะคิดอย่างน้ีว่า ‘สมยั นน้ั เมลด็ ขา้ วสารคง จะใหญ่เป็นแน่’ แต่เธอไม่พงึ เห็นอย่างนน้ั แมใ้ นกาลนนั้ เมลด็ ขา้ วสารกม็ ขี นาดเท่าในบดั น้ี เมอ่ื เรากินขา้ วสารเมลด็ เดยี วเทา่ นนั้ เป็นอาหาร ร่างกายกซ็ ูบผอมเป็นอย่างย่งิ อวยั วะนอ้ ยใหญ่ของเราเปรยี บเหมอื นเถาวลั ยท์ ม่ี ขี อ้ มากและมี ขอ้ ดา เพราะเรามอี าหารนอ้ ยนนั่ เอง ตะโพกของเราเปรียบเหมือนรอยเทา้ อูฐ กระดูกสนั หลงั ข้นึ เป็นป่มุ ๆ เหมอื นเถา สะบา้ กระดูกซ่โี ครงเหลอ่ื มข้นึ เหลอ่ื มลงเหมอื นกลอนศาลาเก่าเหลอ่ื มกนั ฉะนน้ั ดวงตากลวงลกึ เขา้ ไปในเบา้ ตา ฯลฯ เปรียบเหมอื นนา้ เตา้ ขม ฯลฯ’ เรานน้ั คิดว่า ‘จกั ลูบหนงั ทอ้ ง ฯลฯ จกั ถ่ายอุจจาระหรือปสั สาวะ ฯลฯ เราเม่อื จะทา ร่างกายใหส้ บายก็ลูบตวั ดว้ ยฝ่ามอื เม่อื เราลูบตวั ดว้ ยฝ่ามอื ขนทงั้ หลายซ่งึ มรี ากเน่าก็หลุดร่วงจากกาย เพราะเรามี อาหารนอ้ ยนนั่ เองเรามไิ ดบ้ รรลุญาณทสั สนะท่ปี ระเสริฐอนั สามารถ วิเศษยง่ิ กว่าธรรมของมนุษยแ์ มด้ ว้ ยการปฏิบตั ิ อนั ประเสริฐนน้ั ดว้ ยปฏิปทานน้ั และดว้ ยการทรมานตนท่ที าไดย้ ากนน้ั เลย ขอ้ นน้ั เพราะเหตุไร เพราะเหตุยงั มไิ ด้ บรรลุปญั ญาอนั ประเสริฐน้ี ซง่ึ เราบรรลุแลว้ เป็นเคร่ืองนาออกคือนาสตั วอ์ อกไปจากทกุ ขเ์ พ่อื ความส้นิ ทุกขโ์ ดยชอบ สาหรบั บคุ คลผูป้ ฏบิ ตั ิตามธรรมนน้ั ๙๓ ลทั ธิทว่ี า่ ความบรสิ ุทธ์ิมีไดเ้ พราะสงั สารวฏั สารบี ุตร มสี มณพราหมณ์พวกหน่ึงผูม้ วี าทะอย่างน้ี มที ฏิ ฐิอย่างน้ีว่า ‘ความบริสุทธิม์ ไี ดเ้ พราะสงั สารวฏั ’ (การเวยี นว่ายตายเกิด) สงั สารวฏั ท่เี ราไม่เคยท่องเทย่ี วไปโดยกาลชา้ นานน้ีเป็นส่งิ ท่หี าไดไ้ มง่ ่าย นอกจากเทวโลกชนั้ สุทธาวาสหากเราพงึ ท่องเทย่ี วไปในเทวโลกชนั้ สุทธาวาส เราก็จะไมพ่ งึ มาสู่โลกน้ีอีกมสี มณพราหมณพ์ วกหน่ึงผูม้ วี าทะ อยา่ งน้ี มที ฏิ ฐอิ ยา่ งน้ีวา่ ‘ความบริสุทธมิ์ ไี ดเ้พราะความเกดิ ’ ความเกดิ ท่เี ราไม่เคยประสบโดยกาลชา้ นานน้ีเป็นส่งิ ท่หี า ๙๒ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๘/๑๖๑-๑๕๒. ๙๓ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๙/๑๖๑-๑๖๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ไดไ้ มง่ า่ ย นอกจาก เทวโลกชนั้ สุทธาวาส หากเราพงึ เกดิ ในเทวโลกชนั้ สุทธาวาส เราก็จะไม่พงึ มาสู่โลกน้ีอกี มสี มณ พราหมณพ์ วกหน่ึงผูม้ วี าทะอยา่ งน้ี มที ฏิ ฐอิ ยา่ งน้ีวา่ ‘ความบริสุทธมิ์ ไี ดเ้พราะอาวาส’๙๔ ท่ที เ่ี ราไมเ่ คยอยู่อาศยั แลว้ โดย กาลชา้ นานน้ีเป็นของหาไดไ้ มง่ ่ายนอกจากเทวโลกชนั้ สุทธาวาส หากเราพงึ อยู่ในเทวโลกชนั้ สุทธาวาส เราก็จะไมพ่ งึ มา สู่โลกน้ีอกี มสี มณพราหมณ์พวกหน่ึงผูม้ วี าทะอย่างน้ี มที ฏิ ฐอิ ย่างน้ีว่า ‘ความบริสุทธิม์ ไี ดเ้ พราะการบูชายญั ’ ยญั ท่เี รา ผูเ้ป็นขตั ตยิ ราชซง่ึ ไดร้ บั มรู ธาภเิ ษกแลว้ หรอื เป็นพราหมณมหาศาลไม่เคยบูชาแลว้ โดยกาลชา้ นาน น้ีเป็นส่งิ ท่หี าไดไ้ ม่ งา่ ย มสี มณพราหมณ์พวกหน่ึงผูม้ วี าทะอย่างน้ี มที ฏิ ฐอิ ย่างน้ีว่า ‘ความบริสุทธิ์ มไี ดเ้ พราะการบาเรอไฟ’ ไฟท่เี ราผู้ เป็นขตั ติยราชซง่ึ ไดร้ บั มรู ธาภเิ ษกแลว้ หรือเป็นพราหมณมหาศาล ไมเ่ คยบาเรอแลว้ โดยกาลชา้ นาน น้ีเป็นสง่ิ ทห่ี าได้ ไมง่ า่ ย๙๕ ลทั ธิตบะของผูไ้ ม่ลมุ่ หลง มสี มณพราหมณพ์ วกหน่ึงผูม้ วี าทะอย่างน้ี มที ฏิ ฐิอย่างน้ีว่า ‘บุรุษหนุ่มผูเ้จริญน้ี มเี กศาดาสนิท มวี ยั หนุ่ม แน่นเหมาะกบั ปฐมวยั มปี ญั ญาเฉลยี วฉลาดอย่างยง่ิ ต่อมา บรุ ุษหนุ่มผูเ้จริญน้ีก็ชรา แก่ เฒ่า ล่วงกาลผ่านวยั ไปโดย ลาดบั คือมอี ายุ ๘๐ ปีบา้ ง ๙๐ ปีบา้ ง ๑๐๐ ปีบา้ ง หลงั จากนนั้ เขาเสอ่ื มจากปญั ญาความเฉลยี วฉลาดนน้ั ขอ้ น้ีเธอไม่ พงึ เห็นอย่างนนั้ ก็บดั น้ี เราชรา แก่ เฒ่า ล่วงกาลผ่านวยั ไปโดยลาดบั เรามอี ายุ ๘๐ ปี สาวกบริษทั ๔ ของเราใน ธรรมวนิ ยั น้ีมอี ายุ ๑๐๐ ปี เป็นอยู่ได้ ๑๐๐ ปี มสี ติ มคี ติ มธี ิติ อนั ยอดเยย่ี ม และมปี ญั ญาเฉลยี วฉลาดอย่างยง่ิ นกั แมน่ ธนูไดร้ บั การฝึกหดั ชา่ ชอง ชานิชานาญ เคยแสดงฝีมอื มาแลว้ พงึ ยงิ งวงตาลทางดา้ นขวางใหต้ กลงไดโ้ ดยไมย่ าก ดว้ ยลูกศรขนาดเบา แมฉ้ นั ใด สาวกบริษทั ๔ ของเราก็ฉนั นนั้ เหมอื นกนั มสี ติ มคี ติ มธี ติ ิอนั ยอดเยย่ี มอย่างน้ี๙๖ มี ปญั ญาเฉลยี วฉลาดอย่างย่ิง เธอทงั้ หลายพงึ ถามปญั หาอิงสติปฏั ฐาน ๔ กบั เรา เราถูกถามแลว้ จะพึงตอบ แก่เธอ ทงั้ หลาย เธอทงั้ หลายพึงทรงจาคาท่เี ราตอบแลว้ โดยแจ่มแจง้ เธอทง้ั หลายไม่ควรถามเราเกินกว่า ๒ ครง้ั นอกจาก เร่อื งการกิน การด่มื การเค้ียว การล้มิ การถ่ายอุจจาระและปสั สาวะ การหลบั และการบรรเทาความเมอ่ื ยลา้ ธรรม บรรยายของตถาคตนนั้ ไมม่ จี บส้นิ บทและพยญั ชนะของตถาคตนน้ั ไมม่ จี บส้นิ ความแจ่มแจง้ แห่งปญั หาของตถาคต นนั้ ไมม่ จี บส้นิ เมอ่ื เป็นเช่นนน้ั สาวกบริษทั ๔ ของเรานนั้ มอี ายุ ๑๐๐ ปี เป็นอยู่ได้ ๑๐๐ ปี เม่อื ลว่ ง ๑๐๐ ปีไปกจ็ ะ พงึ ตาย แมถ้ า้ เธอทงั้ หลายจกั หามเราดว้ ยเตยี งเลก็ ปญั ญาความเฉลยี วฉลาดของตถาคตย่อมไมเ่ ป็นอย่างอ่นื ไปได้ บคุ คลเมอ่ื จะกลา่ วโดยถกู ตอ้ งจะพงึ กลา่ วคานนั้ กบั เราเท่านน้ั ว่า ‘สตั วผ์ ูม้ คี วามไม่ลุม่ หลงเป็นธรรมดา เกดิ ข้นึ แลว้ ใน โลกเพอ่ื เก้อื กูลแก่คนหมมู่ าก เพอ่ื สุขแก่คนหมมู่ าก เพ่อื อนุเคราะหแ์ ก่ชาวโลก เพ่อื ประโยชน์ เพอ่ื เก้อื กูล เพอ่ื สุขแก่ เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย‛๙๗ ลทั ธิว่าดว้ ยกามสุขลั ลกิ านุโยค (the extreme of sensual indulgence / extreme hedonism) คือ การประกอบตนใหเ้พลดิ เพลนิ ในกาม ทางปฏบิ ตั ิของคนท่อี ยากพน้ ทุกขต์ ามท่มี ผี ูท้ ากนั อยู่และมมี าก่อน ในยุคก่อน ๙๔ คาวา่ “อาวาส” ในทน่ี ้หี มายถงึ ขนั ธท์ งั้ หลาย, อา้ งถงึ ใน ม.ม.ู อ.(บาล)ี ๑/๑๖๐/๓๗๓. ๙๕ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๖๐/๑๖๓. ๙๖ ทช่ี ่อื วา่ “มธี ิติ” (ธิติมา) เพราะมคี วามเพยี รทส่ี ามารถทาการสาธยายส่งิ ท่เี ล่าเรียนมา ทรงจามาไวไ้ ด,้ อา้ งถงึ ใน ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๖๑/ ๓๗๓. ๙๗ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๕๕/๑๖๓-๑๖๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๘๙ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ การตรสั รูใ้ นช่วงทพ่ี ระมหาโพธิสตั วป์ ฏบิ ตั ทิ ดลองแบบผดิ ๆ ถูกๆ แลว้ ต่อมาก็ยงั นามาเผยแผ่แนวคิดนน้ั ต่อมาจนถงึ ยุคสมยั ปจั จบุ นั จะดว้ ยเหตผุ ลทม่ี พี ระสาวกบางกลมุ่ นอกพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาบวชมากหรือเพราะอทิ ธิพลทางความ นิยมของสงั คมอนิ เดยี กต็ าม นน้ั เป็นสว่ นหน่ึงของการผอ่ นผนั เหตผุ ลสาคญั ประการหน่ึงท่นี ่าตง้ั สมมตุ ิฐานกค็ ือ เพราะพระพุทธศาสนานน้ั เกดิ ข้นึ ในบริบท (context) แห่ง การเทยี บเคียงกบั ทางท่ไี ม่ใช่สายกลาง ซ่งึ เรียกว่า ทางสุดโต่ง : เทฺว อนฺตา หรือ ทางสุดขว้ั (extremes) ก่อนท่ี พระพทุ ธเจา้ จะคน้ พบทางสายกลาง (The Middle Way หรือ The Middle Path : มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื ทางสาย กลาง) แลว้ ทาใหพ้ ระองคไ์ ดต้ รสั รูน้ น้ั พระองคท์ รงเคยเดนิ ทางสุดโต่งมาแลว้ ครง้ั แรกสมยั พระองคเ์ ป็นเจา้ ชายอยู่ใน พระราชวงั ทรงไดร้ บั การปรนเปรอดว้ ยความสุขจากการเสพบริโภคต่างๆ นานาๆ เรยี กว่า กามสุขลั ลกิ านุโยค ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า “Self-indulgence‛ ‚Self-gratification‛ “Sensual Indulgence‛ หรอื “Indulgence in sensual pleasures‛ นนั่ คือการปรนเปรอตนใหไ้ ดร้ บั ความสุขทางตา หู จมูก ล้นิ กาย คลา้ ยกบั ท่เี ราเรียกในภาษาปจั จุบนั ว่า สุดโต่งดา้ นบรโิ ภคนิยม (Consumerism) ครงั้ ท่สี องตอนท่พี ระองคเ์ สด็จออกบวชแลว้ ทรมานตนใหไ้ ดร้ บั ความลาบาก แบบต่างๆ (ทุกกรกิริยา) เช่น การอดอาหาร เป็นตน้ โดยเช่ือว่าเป็นหนทางแห่งความหลุดพน้ (Liberation) เรียก วา่ อตั ตกลิ มถานุโยค (Self-mortification/Self-torture)๙๘ ปจั จุบนั แนวทางแบบน้ียงั ถอื ปฏบตั อิ ยู่ในศาสนาเชน (Jainism) ของอินเดยี เช่น นกั บวชเปลอื ยกาย เป็น ตน้ จากประสบการณ์สุดโต่งสองดา้ นน้ี ทาใหพ้ ระองคไ์ ดข้ อ้ สรุปว่าไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพน้ และความสุขอย่าง แทจ้ ริง จากนน้ั จึงทรงหนั มาเดินทางสายกลาง ดงั นนั้ ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาจึงมหี ลกั ว่า (๑) เป็นทางท่ี หลกี เลย่ี งหรอื ไม่ขอ้ งแวะสุดโต่งสองดา้ น (The way avoiding the two extremes) และ (๒) เป็นทางทน่ี าไปสู่ ความหลุดพน้ (The way leading to liberation) ทางใดๆ กต็ ามทไ่ี ม่เขา้ เกณฑ์ ๒ อย่างน้ี ไม่ถอื ว่าเป็นทางสาย กลางตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ทางสายกลาง(มชั ฌิมาปฏิปทา) นนั้ เรียกอีกอย่างหน่ึงว่าอริยมรรค มีองค์ ๘๙๙ (อฏั ฐงั คิกมรรค) ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า “The Noble Eightfold PathW หมายถงึ ทางอนั ประเสริฐท่มี อี งคป์ ระกอบ ๘ อย่าง เป็นทางสายเดยี ว แต่มอี งคป์ ระกอบ ๘ อย่าง ไมใ่ ช่ทาง ๘ สาย เปรยี บเหมอื นเชอื กเสน้ เดยี วแต่มี ๘ เกลยี ว มสี มั มาทฏิ ฐเิ ป็นตน้ องคป์ ระกอบ ๘ อยา่ งน้ี สามารถสรุปรวมลงในหลกั ไตรสกิ ขาได้ (The Threefold Training) คือ ขอ้ ๑-๒ เป็นเร่อื งปญั ญา (Wisdom) ขอ้ ๓-๕ เป็นเร่อื งศีล (Morality) และขอ้ ๖-๘ เป็นเร่อื งสมาธิ (Concentration) อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ปรากฏอยู่ในพระสูตรช่อื ว่า \"ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร\" (Dhamma cakkappavattana Sutta) ซ่งึ เป็นการแสดงธรรมครงั้ แรกของพระพทุ ธเจา้ (ปฐมเทศนา-The First Sermon) เพ่อื โปรดปญั จวคั คียท์ ง้ั ๕ (The Five Ascetics) หมายถงึ พระสูตรท่วี ่าดว้ ยการหมนุ กงลอ้ แห่งธรรม เรียกในภาษาองั กฤษว่า \"The Discourse on Setting in Motion the Wheel of the Dhamma\" การเทศนาครงั้ น้ีทาใหโ้ กณฑญั ญะ (หวั หนา้ ปญั จวคั คีย)์ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรม (ธรรมจกั ษุ :The Eye of Wisdom)๑๐๐ ๙๘ ส.ม.(บาล)ี ๑๙/๑๐๘๑/๓๗๖., ข.ป.(บาล)ี ๓๑/๓๐/๓๕๘. ๙๙ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๓/๒๑. ๑๐๐ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๗/๒๕.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง อกี นยั หน่ึงมกี ารผ่อนผนั การล่วงละเมดิ สิกขาบทบางขอ้ ของภิกษุ เช่น ภิกษุท่ที าผิดคนแรกไม่ตอ้ งรบั ผิด ไม่ตอ้ งรบั โทษ ใหถ้ ือว่าเป็นผูไ้ ม่มคี วามผิด เพราะเป็นตน้ บญั ญตั ิ(อาทิกมั มิกะ) ซ่ึงหลกั การน้ีแตกต่างจากหลกั กฎหมายสากลทวั่ ไปส้นิ เชงิ และทส่ี ุดกส็ ามารถบรรลุเท่าสูงสุดได้ เช่น พระสุทนิ กลนั ทกะ เป็นตน้ แต่สาหรบั ภกิ ษุรูป อน่ื ๆ ทก่ี ระทาผดิ ในกรณีเดียว ตอ้ งรบั ผดิ มโี ทษเป็นอาบตั ิ จากกรณีน้ีทาใหเ้หน็ ถงึ ความไม่เสมอภาค ในพฤติกรรม หรอื การกระทา ทง้ั ทเ่ี ป็นความผดิ ชนิดเดยี วกนั กรณีท่ี ๕ ว่าดว้ ยหลกั ความเช่อื ในมติ พิ ธิ ีกรรม ทแ่ี อบแฝงอยู่ในพทุ ธศาสนาอย่างฝงั รากลกึ เช่นการบาเพญ็ ตบะ การบูชายญั (ยญั ญวิธ)ี พระพทุ ธเจา้ ไม่ไดท้ รงหา้ มไวใ้ นสกิ ขาบทในพระวนิ ยั อย่างเด็ดขาด มเี พยี งเน้ือหาในพระ สูตรท่ีช้ีแนะแนวทางเอาไวเ้ ท่านนั้ ทาใหก้ ลุ่มชนโดยเฉพาะอญั ญเดียรถีย์ และ กลุ่มพราหมณ์ ท่ีเขา้ มาบวชใน พระพทุ ธศาสนา บางกลุ่มนึกเผยแพร่ลทั ธขิ องตนปะปนไปกบั หลกั พทุ ธศาสนา ทาใหศ้ าสนิกชนเกิดความเขา้ ใจผดิ คิด ว่า เป็นหลกั การของพทุ ธศาสนา หลงเช่ือในพฤติกรรมขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิของสาวกเหล่านน้ั การบาเพญ็ ตบะท่หี ลากหลาย การทาพธิ กี รรม เพอ่ื สนองความเช่ือของชาวบา้ นท่แี ตกต่าง จงึ เป็นเหตุใหเ้กิดความแตกต่างในพธิ ีกรรมและแยกแยก ทางความคดิ เหน็ ในการปฏบิ ตั ิตามหลกั พระธรรมวนิ ยั ดว้ ยเหตผุ ลดงั กลา่ วมา ทาใหค้ ณะสงฆแ์ ละศาสนิกทน่ี บั ถอื เกิดกลุ่มเลก็ กลุม่ นอ้ ย แยกย่อยไปตง้ั สานกั ต่างๆ เพอ่ื ดงึ ดูดมวลชนใหห้ นั มานบั ถือตนและพวกของตน ขาดการควบคุมพฤติกรรมและการบริหารจดั การในอยู่ในกรอบ ของพระธรรมวนิ ยั อยา่ งจรงิ จงั จงึ ทาใหเ้กดิ ความแตกแยก และแบง่ กลมุ่ แบง่ พวกในเวลาต่อมา มติพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทส่วนมากกล่าวกนั ว่า สาเหตุแห่งความแตกแยกของทตุ ิยสงั คายนา แรกเร่ิม มาจากวตั ถุ ๑๐ ประการ ของกลุ่มพระยสกากณั ฑกบุตร กบั กลุ่มภิกษุวชั ชีบุตร โดยพระ ยสเถระ ซ่งึ เป็นบุตรของ กากณั ฑพราหมณ์ ไดเ้ ดินทางมาจากเมอื งโกสมั พี มายงั เมอื งเวสาลี และเม่อื ทราบเหตุเหล่าน้ีจึงเขา้ ไปหา้ มปราม แต่ ภกิ ษุเหล่านน้ั หาเช่อื ฟงั ไม่ นอกจากนน้ั พวกภกิ ษุ ไดน้ าถาดทองสมั ฤทธ์ิใส่นา้ เต็มเป่ียมไปตงั้ ไวใ้ นโรงอโุ บสถ ใหท้ ายก ทายกิ าใส่เงนิ ลงไปในถาดนน้ั เพ่อื ถวายภกิ ษุแลว้ นาไปแจกและไดแ้ บ่งส่วนใหพ้ ระยสะดว้ ย แต่พระยสะไม่ยอมรบั ทงั้ ไดก้ ลา่ วตเิ ตยี นภกิ ษุชาววชั ชี วา่ การกระทาน้ีขดั ต่อพทุ ธบญั ญตั ิ เป็นความผดิ ทง้ั ผูร้ บั ทง้ั ผูถ้ วาย พวกภกิ ษุวชั ชบี ุตรไม่ พอใจ จึงประกาศลงปฏิสาราณิยกรรมแก่พระยสะ โดยใหท้ ่านไปขอขมาโทษทายกเสีย แทนท่ีจะไปขอขมาโทษตาม คาแนะนาของภกิ ษุชาววชั ชี แต่พระยสะกลบั ช้ีแจงแก่ทายก จนทายกเขา้ ใจและเป็นพวกกบั พระเถระ ทายกส่วนมาก เขา้ ใจดีกว่าการท่ที ่านทาไปเช่นนนั้ เป็นการชอบดว้ ยธรรมวินยั แลว้ และการกระทาของภิกษุชาววชั ชีเป็นการผดิ เม่อื พระยสะ ปรบั ความเขา้ ใจแก่ทายกเช่นน้ีแลว้ ก็มคี นเล่อื มใสในพระยสะเป็นอนั มาก ภิกษุชาววชั ชีเมอ่ื ไดร้ บั ข่าวทราบ นน้ั ก็พากนั แสดงความโกรธ ใหล้ งโทษพระยสะ คือประกาศจะทาอุกเขปนียกรรม ถึงกบั ไดพ้ ากนั หอ้ มลอ้ มกุฏิของ พระยสะ แต่ท่านทราบเสยี ก่อน จึงไดห้ ลบหนีไปยงั เมอื งโกสมั พี เมอ่ื ไปถงึ เมอื งโกสมั พแี ลว้ พระยสะไดส้ ่งข่าวไปให้ ภกิ ษุชาวเมอื งปาวาและภกิ ษุชาวเมอื งอวนั ตีทราบ นิมนตเ์ หลา่ นน้ั มาประชมุ เพ่อื ตดั สนิ ปญั หาธรรมวนิ ยั และเพอ่ื ป้องกนั รกั ษาพระวนิ ยั จากนนั้ พระยสะไดเ้ดนิ ทางไปหาพระสมั ภูเถระ ท่อี โหคงั คบรรพต เพ่อื ช้แี จงพฤตกิ ารณ์ของภกิ ษุชาววชั ชที งั้ หลายใหท้ ่านทราบ ต่อมามภี ิกษุเดนิ ทางมาจากเมอื งปาวา ๖๐ องค์ และจากเมอื งอวนั ตี ๘๐ องค์ มาร่วมประชุมท่อี โหคงั คบร รพต ทกุ ท่านลว้ นเป็นพระขณี าสพ ภกิ ษุทงั้ หลายทไ่ี ดเ้ดนิ ทางมาร่วมกนั ณ สถานท่แี ห่งนนั้ ไดจ้ ดั การประชุมกนั ข้นึ ท่ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 661
Pages: