Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๓ “พระพทุ ธศาสนายคุ ปฐมโพธกิ าล” ๒๔๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบบั มหาจุฬาเตปิ ฏก ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. __________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าอฏฐฺ กถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. __________. อรรถกถาภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓๖. กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พผ์ ธิ มั ม,์ ๒๕๕๙

บทท่ี ๔ พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารศึกษาประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายพทุ ธกจิ ไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. อธบิ ายพทุ ธกจิ ๔๕ พรรษาไดถ้ กู ตอ้ ง ขอบข่ายเน้ือหา  ความนาํ  ธุระหรอื กจิ ในพระพทุ ธศาสนา  พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา - พระวหิ ารทป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ - สงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บล - ตาํ บล ทรงแสดงนิมติ ตโ์ อภาส - เจดยี ์ และสถปู ทส่ี าํ คญั เก่ยี วกบั พระพทุ ธเจา้ - ตน้ ไม้ สวน และป่า ทเ่ี ก่ยี วกบั พระพทุ ธเจา้

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๔๓ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๓ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๔ พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา เป็นการกลา่ วถงึ ธุระหรอื กิจในพระพทุ ธศาสนา พทุ ธกิจ ๔๕ พรรษา พระ วหิ ารทป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ ๑๖ ตาํ บลทรงแสดงนิมติ ตโ์ อภาส สงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บล และตน้ ไม้ สวน และ ป่า ท่เี ก่ียวกบั พระพทุ ธเจา้ หลงั จากท่อี งคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดต้ รสั รูพ้ ุทธกิจของพระองคท์ ่านยงั ไม่ ส้นิ สุดลงแค่นนั้ แต่ดว้ ยพระมหากรุณาธิคุณท่พี ระองคท์ รงมตี ่อสตั วโ์ ลกท่ยี งั ตอ้ งเวยี นว่ายตายเกิด พระองคจ์ ึง ทรงบาํ เพญ็ พทุ ธกิจตลอดทง้ั ๔๕ พรรษา ของพระผูม้ พี ระภาคเจา้ นน้ั มี ๕ อย่าง คือ ๑. กจิ ในปุเรภตั ๒. กจิ ใน ปจั ฉาภตั ๓. กิจในปุริมยาม ๔. กิจในมชั ฌิมยาม ๕. กิจในปจั ฉิมยาม พทุ ธกจิ ของพระพุทธองคเ์ ป็นการเผยแผ่ ธรรมคาํ สอนเพ่ือใหส้ ตั วโ์ ลกไดพ้ น้ จากวฏั ฏสงสาร การศึกษาพุทธกิจของพระพุทธเจา้ จะทาํ ใหท้ ราบ พุทธกิจท่ี สาํ คญั ตลอดทงั้ จะทาํ ใหท้ ราบเก่ยี วกบั วธิ ีการเผยแผ่ธรรมของพระพทุ ธเจา้ การท่จี ะทราบและเขา้ ใจพทุ ธกิจ ๔๕ พรรษา จะตอ้ งศึกษาสาระสาํ คญั ดงั น้ี ๒. ธุระหรอื กจิ ในพระพทุ ธศาสนา ๓. พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา -พระวหิ ารทป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ -๑๖ ตาํ บล ทรงแสดงนิมติ ตโ์ อภาส -สงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บล -ตน้ ไม้ สวน และป่า ทเ่ี ก่ยี วกบั พระพทุ ธเจา้ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายพทุ ธกจิ ไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายพทุ ธกจิ ๔๕ พรรษาไดถ้ กู ตอ้ ง ๓. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ าย หลกั การ วธิ กี าร และเป้าหมายของการเผยแผ่ธรรมของพระพทุ ธเจา้ ได้ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๔ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาํ แบบฝึกหดั ในชน้ั เรียน ๓. ศึกษาคน้ ควา้ พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชนั้ เรยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Power point หนา้ ชน้ั เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครงั้

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๔๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๗. ทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรยี นและนาํ ผลทไ่ี ดม้ าวเิ คราะหพ์ ้นื ฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสติ อนั นาํ ไปสู่การพฒั นาและปรบั ปรุงการเรียนรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอนประจาํ บทท่ี ๔ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. คาํ ถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาํ ถามประจาํ บทท่ี ๔ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาความรูเ้รอ่ื งพทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ คร่อื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมินผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ว่ นร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคิดเหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตง้ั ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาํ ถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาํ ภาคเรยี น ๖. การทาํ แบบฝึกหดั ทา้ ยบท

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๔๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ๔.๑ ความนา จุดม่งุ หมายในการสอนของพระพทุ ธเจา้ หลงั จากทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงบรรลุโมกขธรรมแลว้ ไดท้ รงเสวยวมิ ตุ ติสุขอยู่ ๗ สปั ดาหก์ ท็ รงมพี ทุ ธประสงคท์ ่ี จะสงั่ สอนใหป้ วงเวไนยสตั ว์ เป็นผูร้ ู้ ผูต้ ่นื ผูเ้บกิ บานในธรรมทพ่ี ระองคท์ รงคน้ พบ พระพทุ ธองคก์ เ็ ร่มิ ประกาศหลกั พทุ ธธรรมครง้ั แรกในวนั เพญ็ ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ โดยมปี ญั จวคั คียท์ ง้ั ๕ เป็นเป้าหมายในการเผยแผ่ โดยทรงประกาศ ธรรมจกั รกปั ปวตั ตนสูตร เป็นครง้ั แรกในครงั้ นนั้ ไดม้ โี กณฑญั ญะ เป็นผูส้ ามารถรูแ้ ละเขา้ ใจในธรรมท่พี ระพทุ ธองค์ ทรงคน้ พบ พระพทุ ธองคจ์ งึ ประกาศว่า ๐อํฺญาสิ วต โภ โกณฺฑํฺโญ อํฺญาสิ วต โภ โกณฺฑํฺโญ๑ โกณฑํั ฺญะ ไดร้ ูแ้ ลว้ หนอ โกณฑํั ฺญะ ไดร้ ูแ้ ลว้ หนอ โกณฑํั ฺญะ จึงไดช้ ่ือนําหนา้ ว่าอญั ญาโกณฑญั ญะ จากนนั้ จึงไดท้ ูลขอ อุปสมบทเป็นภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา๑ ต่อมาพระพุทธศาสนาแพร่หลายออกไปในทุกสารทิศ มีผูศ้ รทั ธา เลอ่ื มใส เคารพ ยาํ เกรง ในพระรตั นตรยั นอ้ มนาํ เอาหลกั ธรรมในทางพระพทุ ธศาสนาไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ จุดหมายในการสอนของพระพุทธเจา้ จึงมุ่งเนน้ ไปท่ีประโยชน์ของมหาชนเป็นท่ีต้งั การประกาศ พระพทุ ธศาสนาจงึ ยดึ หลกั ประโยชนข์ องมหาชนเป็นท่ีตงั้ ซ่งึ เป็นหลกั การสาํ คญั ของการส่อื ธรรม ในพระพทุ ธศาสนา โดยเป็นหลกั และนโยบายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของเหล่าสาวก ทง้ั น้ีก็เพ่ือประโยชน์สุขแก่มนุษย์ โดย หลกั การก็คือใหเ้กิดประโยชนส์ ุขตามพทุ ธประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ประโยชนช์ าติน้ี ๒) สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ ประโยชนช์ าตหิ นา้ ๓) ปรมตั ถประโยชน์ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ๒ พทุ ธพจนน์ ้ีเป็นเคร่อื งช้ชี ดั ถงึ บทบาทสาํ คญั ในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา เพราะพระพทุ ธองคป์ ระสงคใ์ ห้ เกดิ เป็นประโยชนแ์ ก่มหาชน เพราะฉะนนั้ ประโยชน์ ๓ จงึ เป็นความชดั เจนในคาํ สอน พทุ ธศาสนาม่งุ หมายความสุข ดว้ ยขอ้ ปฏิบตั ิใหเ้ กิดสุข มิใช่บรรลุดว้ ยความทุกข์ หรือทุกคนเป็นอิสระสมบูรณ์จากกิเลสทงั้ ปวง จึงจะถอื ว่าเป็น ความสุขทเ่ี ป็นจดุ หมายปลายทางตามจดุ มงุ่ หมายในพระพทุ ธศาสนา ดงั นนั้ พระพทุ ธเจา้ จึงทรงมพี ทุ ธประสงคใ์ นการ สอนเพอ่ื ใหม้ หาชนเกดิ ความรู้ ความเหน็ ๓ ประการ๓ คอื ๑. เพ่อื ใหผ้ ูฟ้ งั รูจ้ รงิ เหน็ แจง้ ในส่งิ ท่คี วรรูค้ วรเหน็ (อภิญญายธรรมเทศนา) หมายความว่า ส่งิ ใดท่พี ระองค์ ทรงรูแ้ ลว้ ทรงเหน็ แลว้ แต่เมอ่ื ทรงพิจารณาว่าไม่เป็นประโยชนส์ าํ หรบั มหาชน พระพทุ ธองคก์ จ็ ะไม่ทรงสอนในส่งิ นนั้ ทรงสอนใหร้ ูจ้ ริงเหน็ แจง้ เฉพาะเท่าทจ่ี าํ เป็นสาํ หรบั สาวกนนั้ ๆ อุปมาเหมอื นครูทม่ี คี วามรูม้ าก แต่กน็ าํ เอาเฉพาะความรู้ เท่าท่จี าํ เป็นแก่ศิษยใ์ นขน้ั นนั้ ๆ มาสอน เท่าท่ีจะพึงเป็นประโยชนแ์ ก่ศิษย์ และเท่าท่ีวุฒิภาวะของศิษยจ์ ะรบั ได้ ดงั ตวั อย่างเช่น...พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ สสี ปาวนั (ป่าประดู่ลาย) ใกลเ้มอื งโกสมั พี ครงั้ นน้ั ทรงถือใบประดู่ ลายเพียงเลก็ นอ้ ยไวใ้ นพระหตั ถแ์ ลว้ ตรสั ถามภิกษุทง้ั หลายว่า ใบประดู่ลายในพระหตั ถก์ บั ใบประดู่ลายท่อี ยู่บนตน้ อย่างไหนจะมากกว่ากนั ภกิ ษุทง้ั หลายกราบทูลว่า ใบประดู่ลายในพระหตั ถม์ เี พยี งเลก็ นอ้ ย ส่วนทอ่ี ยู่บนตน้ มมี ากนกั พระพุทธองคต์ รสั ว่า เร่ืองน้ี ฉนั ใด เร่ืองท่ีทรงรูน้ นั้ มีมากเหมอื นใบไมบ้ นตน้ ส่วนท่ที รงบอก และทรงแสดงแก่ภิกษุ ๑ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๘/๒๕. ๒ ข.ุ จู (ไทย) ๓๐/๖๗๓/๓๓๓. ๓ องฺ.ตกิ (ไทย) ๒๐/๓๕๖/๕๖๕.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๔๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ทงั้ หลายมเี พยี งเลก็ นอ้ ยเหมอื นใบไมใ้ นพระหตั ถ๔์ ทงั้ น้ี ก็เพราะพระพทุ ธองคท์ รงมพี ทุ ธประสงคท์ จ่ี ะบอกว่า ส่วนไหน ท่ไี ม่มปี ระโยชนแ์ ก่พรหมจรรย์ ไม่เป็นเป็นไปเพ่อื ความเบ่อื หน่ายคลายกาํ หนดั เพ่อื ความรูย้ ่งิ และนิพพาน ก็จะไม่ บอก ส่วนไหนทท่ี ่ปี ระกอบดว้ ยประโยชน์ เป็นไปเพอ่ื การตรสั รูแ้ ละนิพพาน เช่นเร่อื งทกุ ข์ เหตแุ ห่งทกุ ข์ ความดบั ทุกข์ และทางปฏิบตั ิใหถ้ งึ ความดบั ทุกข์ พระองคก์ ็จะตรสั บอกพระธรรมเทศนาของพระพุทธองคไ์ ม่ยากเกินไปจนถึงกบั ตรองตามแลว้ กไ็ ม่เหน็ ๒. เพ่อื ใหผ้ ูฟ้ ังตรองตามแลว้ เห็นจริงได้ ทรงแสดงธรรมอย่างมีเหตุผลท่ีผูฟ้ ังพอตรองตามใหเ้ หน็ ดว้ ย ตนเอง (สนิทานธรรมเทศนา) พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา้ ไม่ยากเกินไปจนถงึ กบั ตรองตามแลว้ ไม่เหน็ และไม่ ง่ายเกนิ ไปจนไม่ตอ้ งตรึกตรองขบคิดก็เหน็ ได้ พทุ ธวธิ ีในการสอนจึงอยู่ท่ามกลางระหว่างความยากเกินไปกบั ความ งา่ ยเกนิ ไป สว่ นใหญ่ทรงสอนใหใ้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาดว้ ยตนเอง ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี ในสงิ คาลกสูตรกลา่ วไวว้ ่า เชา้ วนั หน่ึงพระพทุ ธองคท์ รงเสดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาตในเมอื งราชคฤหท์ อดพระเนตร เหน็ สงิ คาลกมานพผูม้ ผี า้ เปียก ผมเปียก (แสดงถงึ ความทุกขโ์ ศก) กาํ ลงั ไหวท้ ศิ ทง้ั หลายอยู่ในระหว่างทางเสดจ็ พทุ ธ ดาํ เนิน จงึ ตรสั ถามว่า ทาํ อย่างนน้ั เพอ่ื อะไรมานพกราบทูลว่า ทาํ ตามคาํ ของบดิ าซง่ึ ไดส้ งั่ ไวเ้มอ่ื ใกลจ้ ะส้นิ ชพี ว่าใหไ้ หว้ ทศิ ทง้ั หลาย พระผูม้ พี ระภาคเจา้ จึงตรสั ว่าในวนิ ยั ของพระอริยะเขาไม่นอบนอ้ มไหวท้ ศิ กนั อย่างน้ีดอก มาณพขอรอ้ ง ใหท้ รงแสดงการไหวท้ ิศในอริยวนิ ยั พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงแสดงธรรมเร่ืองใหเ้ วน้ ความชวั่ ต่างๆ ใหร้ ูจ้ กั มติ รแทม้ ติ ร เทยี มและทรงแสดงทิศ ๖ ในความหมายใหม่ซ่งึ เป็นประโยชนแ์ ก่การปฏบิ ตั ิในชวี ิตประจาํ วนั กลา่ วคือ ๑. ทิศเบ้อื ง หนา้ มารดา บดิ า ๒. ทศิ เบ้อื งขวา ครูอาจารย์ ๓. ทศิ เบ้อื งหลงั บุตร ภรรยา ๔. ทศิ เบ้อื งซา้ ย มติ ร ๕. ทศิ เบ้อื งตาํ่ ทาสกรรมกร หรือคนท่อี ยู่ในฐานะตาํ่ กว่า ๖. ทิศเบ้อื งบน สมณพราหมณ์ผูม้ ศี ีล๕ ทรงแสดงว่า ใหป้ ฏบิ ตั ิชอบต่อ บคุ คลประเภทต่างๆ ดงั กล่าวมาช่ือว่าเป็นการไหวท้ ิศท่ถี ูกตอ้ งตามอริยวินยั นอกจากน้ียงั ทรงแสดงหนา้ ท่ีทบ่ี ุคคล ประเภทนนั้ พง่ึ ปฏบิ ตั ติ ่อกนั เพอ่ื ความสงบสุข ความราบร่นื ของการครองชวี ติ อยู่ดว้ ยกนั เมอ่ื พระพทุ ธองคท์ รงแสดง ธรรมจบลงแลว้ สงิ คาลกมาณพกช็ ่นื ชมยนิ ดปี ฏญิ าณตนเป็นอุบาสกถงึ พระรตั นตรยั ตลอดชวี ติ ทงั้ น้ีเพราะเขาตรอง ตามดว้ ยเหตผุ ลแลว้ เหน็ จรงิ ตามทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงสอน ๓. เพ่อื ใหผ้ ูฟ้ งั ไดร้ บั ผลแห่งการปฏบิ ตั ิตามสมควร ทรงแสดงธรรมมคี ุณเป็นอศั จรรย์ สามารถยงั ผูป้ ฎบิ ตั ิ ตามไดร้ บั ผลตามสมควรแก่กาํ ลงั แห่งการปฏิบตั ิของตนๆ (สปั ปาฏหิ าริยธรรมเทศนา) ในขอ้ น้ีมเี ร่อื งท่พี อจะนาํ มา ประกอบการพจิ ารณาหลายเร่อื ง ขอนาํ มากลา่ วเพยี งเลก็ นอ้ ยดงั น้ี บรรดาปาฏหิ าริยท์ ง้ั ๓ นน้ั พระพุทธองคท์ รงสรรเสรญิ อนุศาสนีปาฏหิ าริยว์ ่าดที ่สี ุด ประณีตทส่ี ุด และเป็น ประโยชนท์ ่สี ุดขอ้ น้ีเป็นความจริงอย่างย่งิ พระพทุ ธศาสนาท่ดี าํ รงเป็นประโยชนแ์ ก่มหาชนมาจนกระทงั่ บดั น้ีก็ดว้ ย อานุภาพของอนุศาสนีปาฏหิ ารยิ น์ นั่ เอง ในสงั คารวสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ๓ แก่สงั คารวพราหมณ์ ใหพ้ ราหมณ์พิจารณาว่า อย่างไหนดีกว่า ประณีตกว่า พราหมณก์ ราบทูลว่า อิทธปิ าฏหิ าริยแ์ ละอาเทศนาปาฏหิ าริย์ ไม่ประณีต ผูใ้ ดทาํ ก็เป็น เร่อื งเฉพาะตวั ของผูน้ นั้ และปรากฏแก่ตน (สงั คารวพราหมณ์) เหมอื นภาพลวง (มายาสหธมมฺ รูป วยิ ขายต)ิ ส่วนอนุ ๔ ส.ี ส.ํ (ไทย) ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๒. ๕ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๖๖-๒๗๒/๒๑๒–๒๑๖.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๔๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ศาสนีปาฏิหาริยเ์ ป็นของประณีต พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ตรสั ดีแลว้ ๖ เร่ืองน้ีแสดงใหเ้ ห็นว่าพระพุทธองคท์ รงเนน้ ปาฏหิ าริยท์ างคาํ สอน คือพูดสอนใหผ้ ูฟ้ งั นาํ ไปปฏิบตั ิ เมอ่ื ปฏิบตั ิแลว้ ไดผ้ ลตามท่ที รงสอนก็เหมอื นอศั จรรย์ นนั่ แหละคือยอดปาฏหิ าริยแ์ ละเป็นประโยชนอ์ ย่างย่งิ ไม่เพยี งเฉพาะตนเท่านน้ั แต่เป็นประโยชนแ์ ก่เทวดาและมนุษย์ ทงั้ หลายเป็นอนั มาก ในมหาปรินิพพานสูตร เมอ่ื พระพทุ ธองคจ์ วนปรินิพพาน ทอดพระเนตรเหน็ มหาชนนาํ เคร่อื งสกั การะเป็น จาํ นวนมากมาบูชาพระองค์ จึงตรสั กบั พระอานนทว์ ่า การทาํ การบูชาอย่างนนั้ ไม่ใช่บูชาพระองคด์ ว้ ยการบูชาอย่างยง่ิ แต่ผูใ้ ดจะเป็นภกิ ษุหรือภกิ ษุณีอุบาสกหรืออบุ าสกิ าก็ตาม ปฏบิ ตั ิธรรมสมควร ปฏบิ ตั ิชอบ ผูน้ น้ั แหละช่อื ว่าการบูชา พระองคด์ ว้ ยการบูชาอย่างย่งิ ๗ ผูเ้รียบเรียงมองว่า พระพุทธเจา้ ทรงมจี ุดม่งุ หมายในการสอนท่ที รงเนน้ ท่บี ุคคล (ทุน มนุษย์ : Human Capital) เพราะตระหนกั ว่ามนุษยเ์ ป็นผูฝ้ ึกไดแ้ ละเป็นผูท้ ่จี ะรูต้ ามได้ ถา้ เขาไดฝ้ ึกตนเองตาม หลกั การและวธิ กี ารทพ่ี ระองคท์ รงคน้ พบ เพราะว่ามนุษยท์ กุ คนมศี กั ยภาพ ทางปญั ญาเมอ่ื ไดฟ้ งั การแนะนาํ แลว้ ก็จะ สามารถพฒั นาจติ ใจของตนเองใหเ้ป็นผูม้ คี วามรูไ้ ด้ แต่ระดบั ความสามารถของแต่ละบุคคลแตกต่างกนั ดงั นนั้ ในการ สอนแต่ละครงั้ พระพุทธเจา้ ก็ทรงใชว้ ิธีการสอนท่หี ลากหลาย ข้นึ อยู่กบั ประเภทและศกั ยภาพของแต่ละบุคคลโดย พระองคจ์ ะคาํ นึงถงึ ผูฟ้ งั เป็นหลกั ในการสอนแต่ละครงั้ พระองคจ์ ะทรงตรวจดูลกั ษณะและระดบั ภมู ปิ ญั ญาก่อน จงึ จะทรงสอนเพอ่ื ใหผ้ ูฟ้ งั นาํ ไปปฏบิ ตั ใิ หเ้กดิ ประโยชนส์ ูงสุดตามทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงแสดง แนวคิดในการเผยแผ่ธรรมของพระพทุ ธเจา้ หลงั จากพระพุทธเจา้ ไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธิญาณและไดเ้ สวยวิมุตติสุขเป็นเวลา ๗ สปั ดาหแ์ ลว้ เบ้ืองตน้ พระองค์ทรงดาํ ริท่ีจะไม่ประกาศศาสนาและเผยแผ่ธรรม เพราะพระองคท์ รงพิจารณาปฏิจสมุปบาทท่ี พระองคต์ รสั รูว้ ่าเป็นธรรมท่ลี กึ ซ้งึ เหน็ ไดย้ าก รูต้ ามไดย้ าก สงบ ประณีต ไม่เป็นวสิ ยั แห่งตรรกะ ยากท่คี นมกี ิเลส หนาตณั หามากจะรูถ้ งึ เขา้ ใจได้ เป็นภูมสิ าํ หรบั ผูเ้ป็นบณั ฑติ โดยเฉพาะ เม่อื ทรงพิจารณาเห็นดงั น้ี จึงทรงดาํ ริจะไม่ แสดงธรรมและเผยแผ่ธรรมโปรดสตั วโ์ ลก ดงั ปรากฏในพระวินยั ปิฎก มหาวรรคว่า ๐บดั น้ี เรายงั ไม่ควรประกาศ ธรรมท่เี ราไดบ้ รรลุดว้ ยความลาํ บาก เพราะธรรมน้ี ไม่ใช่ส่งิ ท่ผี ูถ้ กู ราคะและโทสะครอบงาํ จะรูไ้ ดง้ า่ ย แต่เป็นสง่ิ ท่พี า ทวนกระแส ละเอยี ด ลกึ ซ้งึ รูเ้หน็ ไดย้ าก ประณีต ผูก้ าํ หนดั ดว้ ยราคะ ถกู กองโมหะหมุ้ หอ่ ไว้ จกั รูเ้หน็ ไมไ่ ด๑้ ๘ ต่อมา เม่อื สหมั บดีพรหมไดท้ ราบความดาํ ริของพระองค์ จงึ ไดเ้ ขา้ เฝ้ ากราบทูลอาราธนาใหท้ รงแสดงธรรม และเผยแผ่ธรรม เพราะเห็นว่าเหล่าสตั วท์ ่ีมีกิเลสนอ้ ย มีภูมิปญั ญาพอท่ีจะเขา้ ใจเห็นแจง้ ตามธรรมก็ยงั มีอยู่ พระพุทธเจา้ ทรงเห็นดว้ ยกบั คาํ กราบทูลอาราธนาของสหมั บดีพรหม ประกอบกบั ท่พี ระองคท์ รงมพี ระหฤทยั เป่ียม ดว้ ยพระกรุณาในหม่สู ตั ว์ และทรงปรารถนาใหห้ ม่สู ตั วพ์ น้ ทกุ ข์ ท่สี าํ คญั ทรงพจิ ารณาเปรียบเทยี บอุปนิสยั ของเหล่า สตั วก์ บั ดอกบวั ท่เี กิดเจริญงอกงามอยู่ในนาํ้ บางดอกยงั จมอยู่ในนาํ้ บางดอกอยู่เสมอนาํ้ บางดอกข้นึ พน้ นาํ้ เหล่า สตั วก์ ็เช่นกนั บางพวกมีกิเลสมากเปรียบเหมอื นดอกบวั ท่ียงั จมอยู่ในนาํ้ บางพวกมีกิเลสเบาบางเปรียบเหมือน ดอกบวั ทต่ี งั้ อยู่เสมอนาํ้ บางพวกมกี เิ ลสนอ้ ย มคี วามพรอ้ มทจ่ี ะตรสั รู้ เปรยี บเหมอื นดอกบวั ท่ขี ้นึ พน้ แลว้ พรอ้ มท่จี ะ ๖ องฺ.ตกิ (ไทย) ๒๐ /๒๑๔/๕๐๐. ๗ ท.ี มหา. (ไทย) ๑๐/๑๖๑/๑๒๖. ๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๗/๑๑ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๓๙.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๔๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง บาน เม่อื ทรงพจิ ารณาดงั น้ีแลว้ จึงตกลงพระทยั ท่แี สดงธรรมและเผยแผ่ธรรมโปรดเวไนยสตั ว์ โดยพระองคต์ รสั ตอบสหมั บดีพรหมว่า ๐สตั วท์ งั้ หลายเหล่าใดจะฟงั จงปล่อยศรทั ธามาเถิด เราไดเ้ ปิดประตูอมตธรรมแก่สตั ว์ เหลา่ นนั้ แลว้ ๑๙ แนวคิดของพระพุทธเจา้ ในการแสดงธรรมและเผยแผ่ธรรมน้ี สามารถประจกั ษไ์ ดใ้ นพระวินัยปิฎก มหาวรรค คราวพระองคท์ รงส่งพระอรหนั ตสาวก ๖๐ รูป ไปประกาศศาสนาและเผยแผ่ธรรมว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย เรา พน้ แลว้ จากบ่วงทงั้ ปวง ทงั้ ทีเ่ ป็นของทิพย์ ทงั้ ทีเ่ ป็นของมนุษย์ แมพ้ วกเธอก็พน้ แลว้ จากบ่วงทงั้ ปวง ทงั้ ทีเ่ ป็นของ ทิพย์ ทงั้ ทีเ่ ป็นของมนุษย์ ภิกษุทงั้ หลาย พวกเธอจงจาริกไป เพือ่ ประโยชนส์ ุขแก่ชนจานวนมากเพือ่ อนุเคราะห์ ชาวโลก เพอื่ ประโยชนเ์ ก้อื กูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ อย่าไปทางเดียวกนั สองรูป จงแสดงธรรมมคี วาม งามในเบ้ืองตน้ มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในทีส่ ุด จงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทงั้ อรรถและ พยญั ชนะบริสทุ ธิบ์ ริบูรณค์ รบถว้ น สตั วท์ งั้ หลายทมี่ ธี ุลใี นนยั นต์ านอ้ ย มอี ยู่ ยอ่ มเสอื่ มเพราะไมไ่ ดฟ้ งั ธรรม”๑๐ กลา่ วโดยสรุป แนวคดิ สาํ คญั ทเ่ี ป็นเหตใุ หพ้ ระพทุ ธเจา้ ตดั สนิ พระทยั ประกาศศาสนาและเผยแผ่ธรรมคือ เพราะทรงมพี ระมหากรุณาธคิ ุณแก่หมสู่ ตั ว์ ปรารถนาใหห้ มสู่ ตั วพ์ น้ ทกุ ข์ หลกั การและวธิ ีการเผยแผ่ในการเผยแผ่ธรรมของพระพทุ ธเจา้ หลงั จากพระพทุ ธเจา้ ทรงตดั สนิ พระทยั ประกาศศาสนาและเผยแผ่ธรรมเพ่อื ประโยชนเ์ ก้ือกูลและความสุข แก่เวไนยสตั วด์ งั กล่าวแลว้ ต่อมา เม่ือวนั เพ็ญเดือนสาม ณ วดั เวฬุวนั กรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ หลงั จาก พระพทุ ธเจา้ ตรสั รูแ้ ลว้ ๙ เดอื น พระองคท์ รงวางอุดมการณ์ หลกั การ และวธิ ีการในการประกาศศาสนาและเผยแผ่ ธรรมแก่พระอรหนั ตสาวกจาํ นวน ๑,๒๕๐ รูป ท่ีมาประชุมสนั นิบาตกนั โดยมิไดน้ ดั หมาย ดงั ปรากฏในพระ สุตตนั ตปิฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค ว่า ๐ภกิ ษุทงั้ หลาย พระวปิ สั สพี ทุ ธเจา้ ทรงแสดงปาติโมกข์ ในท่ปี ระชุมสงฆท์ ่กี รุง พนั ธุมดรี าชธานี ดงั น้ี ๐ขนฺตี ปรมํ ตโป ตตี ิกขฺ า นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พทุ ธฺ า น หิ ปพพฺ ชโิ ต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วเิ หฐยนฺโต ฯ ๐สพพฺ ปาปสฺส อกรณํ กสุ ลสฺสูปสมปฺ ทา สจติ ตฺ ปรโิ ยทปนํ เอตํ พทุ ธฺ านสาสนํ ฯ ๐อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาตโิ มกเฺ ข จ สวํ โร มตตฺ ํฺํุตา จ ภตตฺ สฺมึ ปนฺตํฺจ สยนาสนํ อธจิ ติ เฺ ต จ อาโยโค เอตํ พทุ ฺธานสาสนนฺติ ฯ ๐ความอดทนคือความอดกลน้ั เป็นตบะอยา่ งยง่ิ พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายตรสั ว่า นิพพานเป็นบรมธรรม ผูท้ าํ รา้ ยผูอ้ น่ื ไมช่ อ่ื วา่ เป็นบรรพชติ ผูเ้บยี ดเบยี นผูอ้ น่ื ไมช่ ่อื วา่ สมณะ๑ ๙ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙/๑๕. ๑๐ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๔๙ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๐การไมท่ าํ บาปทงั้ ปวง การทาํ กศุ ลใหถ้ งึ พรอ้ ม การทาํ จติ ของตนใหผ้ ่องแผว้ น้ีคอื คาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย๑ ๐การไมก่ ลา่ วรา้ ยผูอ้ ่นื การไมเ่ บยี ดเบยี นผูอ้ น่ื ความสาํ รวมในปาตโิ มกข์ ความเป็นผูร้ ูจ้ กั ประมาณในอาหาร การอยู่ในเสนาสนะทส่ี งดั การประกอบความเพยี รในอธจิ ติ น้ีคือคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย๑๑๑ โอวาทปาตโิ มกขด์ งั กลา่ วน้ี ถอื วา่ เป็นการประกาศอดุ มการณ์ หลกั การและวธิ ีการประกาศศาสนาและเผยแผ่ ธรรมของพระพทุ ธเจา้ และเหล่าสาวก นอกจากหลกั การดงั กลา่ วขา้ งตน้ แลว้ พระพทุ ธเจา้ ยงั ตรสั ถงึ หลกั การสอนหรือ การเผยแผ่ศาสนาไวอ้ ีกว่า “อานนท์ การแสดงธรรมใหค้ นอืน่ ฟงั มใิ ช่สิง่ ทีท่ าไดง้ ่าย ผูแ้ สดงธรรมแก่คนอืน่ พึงตงั้ ธรรม ๕ อย่างไวใ้ นใจ คือ ๑. เราจกั กล่าวไปตามลาดบั ๒. เราจกั กล่าวยกเหตผุ ลมาแสดงใหเ้ขา้ ใจ ๓. เราจกั แสดง ดว้ ยอาศยั ความเมตตา ๔. เราจกั ไมแ่ สดงเพราะเหตแุ ก่อามสิ ๕. เราจกั แสดงไปโดยไม่กระทบตนและผูอ้ นื่ ”๑๒ ความสาํ เร็จในการแสดงธรรมหรือการเผยแผ่ศาสนาของพระพุทธเจา้ นอกจากพระองคท์ รงยึดมนั่ ใน หลกั การ วธิ กี ารและอดุ มการณใ์ นการสอนและการแสดงธรรมแลว้ พระองคย์ งั ทรงพจิ ารณาถงึ เน้ือหาหรือเร่อื งท่สี อน ตวั ผูเ้ รียน ตวั ผูส้ อน และลลี าการสอนอีกดว้ ย เก่ียวกบั เน้ือหาหรือเร่ืองท่สี อนของพระพุทธเจา้ นน้ั พระราชวรมุนี (ป.อ.ปยุตฺโต) ไดแ้ ยกไวเ้ป็นประเด็นทน่ี ่าสนใจดงั น้ี๑๓ ๑) สอนจากส่งิ ท่รี ูเ้ หน็ เขา้ ใจง่ายหรอื รูเ้ หน็ เขา้ ใจอยู่แลว้ ไปหา ส่งิ ท่รี ูเ้ หน็ หรือเขา้ ใจยาก หรือยงั ไม่รูเ้ หน็ ไม่เขา้ ใจ ๒) สอนเน้ือเร่อื งทค่ี ่อยลุม่ ลกึ ยากลงไปตามลาํ ดบั ชนั้ และความ ต่อเน่ืองเป็นสายลงไป ๓) ถา้ สง่ิ ทส่ี อนเป็นสง่ิ ทแ่ี สดงได้ พงึ สอนดว้ ยของจรงิ ใหผ้ ูเ้รยี นไดด้ ู ไดเ้หน็ ไดฟ้ งั เอง อย่างท่ี เรียกว่าประสบการณต์ รง ๔) สอนตรงเน้ือหา ตรงเร่ือง คุมอยู่ในเร่อื ง มจี ดุ ไม่วกวน ไม่ไขวเ้ขว ไมอ่ อกนอกเร่ือง โดยไม่มอี ะไรเก่ียวขอ้ งในเน้ือหา ๕) สอนมเี หตุผล สามารถตรองตามเห็นจริงได้ อยากท่เี รียกว่า สนิทานํ ๖) สอน เท่าท่จี าํ เป็น พอดีสาํ หรบั ใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ใหก้ ารเรียนรูไ้ ดผ้ ล ไม่ใช่สอนเท่าท่ีตนรูห้ รือสอนแสดงภูมวิ ่าผูส้ อนมี ความรูม้ าก ๗. สอนสง่ิ ทม่ี คี วามหมาย ควรทเ่ี ขาจะเรยี นรูแ้ ละเขา้ ใจ เป็นประโยชนแ์ ก่ตวั เขาเอง นอกจากพระองคท์ รงคาํ นึงถงึ เน้ือหาและเร่อื งทส่ี อนแลว้ ในการเผยแผ่พระศาสนาหรอื แสดงธรรมพระองค์ ยงั ทรงใหค้ วามสาํ คญั เก่ยี วกบั ตวั ผูเ้รยี นอกี ดว้ ย เพราะการจะประสบความสาํ เรจ็ ในการเผยแผ่ศาสนานนั้ ผูเ้รยี นหรอื ผูฟ้ งั ธรรมนบั ว่าเป็นปจั จยั สาํ คญั การน้ีพระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงพจิ ารณาเก่ยี วกบั ตวั ผูเ้รยี นดงั น้ี๑๔ ๑. ทรงรู้ คาํ นึงและสอนใหเ้หมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบคุ คล เช่น บคุ คล ๔ ประเภท๑๕ เป็นตน้ ๒. ทรงปรบั วธิ สี อนผ่อนใหเ้หมาะกบั บคุ คล แมส้ อนเรอ่ื งเดยี วกนั แต่ต่างบคุ คล อาจใชต้ ่างวธิ ี ๓. นอกจากพระองคท์ รงคาํ นึงถงึ ความแต่งต่างระหวา่ งบคุ คลแลว้ ผูส้ อนยงั ตอ้ งคาํ นึงถงึ ความพรอ้ ม ความ สุกงอม ความแก่รอบแห่งอนิ ทรยี ห์ รอื ญาณ ทบ่ี าลเี รยี กวา่ ปริปากะของผูเ้รียนแต่ละบคุ คลเป็นรายๆ ไปดว้ ย ๑๑ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐-๕๑. ๑๒ องฺ.ปํฺจก. (ไทย) ๒๒/๓๓/๘๖-๘๘. ๑๓ พระราชวรมนุ ี (ป.อ.ปยุตฺโต), เทคนิคการสอนของพระพทุ ธเจา้ , (กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ทุ ธธรรม, ๒๕๒๖), หนา้ ๓๐-๓๘. ๑๔ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๓๕-๓๖. ๑๕ ๑. อคุ ฆฏติ ญั ญู ผูส้ ามารถรูไ้ ดอ้ ย่างฉบั พลนั เพยี งยกหวั ขอ้ ข้นึ แสดงก็อาจรูไ้ ดท้ นั ที ๒. วิปจติ ญั ญู ผูส้ ามารถรูไ้ ดเ้มอ่ื อธิบายความอย่าง ละเอยี ดแลว้ ซกั ถามทบทวน ๓. เนยยะ ผูส้ ามารถเขา้ ใจได้ เมอ่ื อธิบายความอย่างละเอยี ดแลว้ ซกั ถามทบทวน และ ๔. ปทปรมะ ผูไ้ ม่สามารถเขา้ ใจอะไร ทล่ี กึ ซ้งึ และความเหน็ ผดิ อย่างรุนแรง อา้ งใน ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๙/๑๔.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๕๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๔. ทรงสอนโดยใหผ้ ูเ้ รียนลงมอื ทาํ ดว้ ยตนเอง ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจชดั เจน แม่นยาํ และ ไดผ้ ลจรงิ ๕. การสอนดาํ เนินไปในรูปท่ใี หร้ ูส้ กึ ว่าผูเ้รียนกบั ผูส้ อนมบี ทบาทร่วมกนั ในการแสวงหาความจรงิ ใหม้ กี าร แสดงความคิดเหน็ โตต้ อบโดยเสรี หลกั น้ีเป็นขอ้ สาํ คญั ในวิธีการแห่งปญั ญา ซง่ึ ตอ้ งการอสิ รภาพทางความคิด และ โดยวธิ นี ้ีเมอ่ื เขา้ ถงึ ความจรงิ ผูเ้รยี นกจ็ ะรูส้ กึ วา่ ตนไดม้ องเหน็ ความจรงิ ดว้ ยตนเอง ๖. เอาใจใสบ่ คุ คลทค่ี วรไดร้ บั ความสนใจเป็นพเิ ศษเป็นรายๆ ไป ตามสมควรแก่กาลเทศะและเหตุการณ์ ในส่วนเก่ียวกบั ตวั ผูส้ อนหรือผูแ้ สดงนน้ั พระพุทธเจา้ ก็ทรงใหค้ วามสาํ คญั เพราะนบั ว่าเป็นการสรา้ ง แรงจูงใจแก่ผูฟ้ งั ธรรมใหเ้กดิ ความสนใจใคร่สดบั ในเน้ือหาทจ่ี ะแสดงหรอื สอน โดยผูส้ อน ไม่เพยี งสรา้ งบรรยากาศใน การสอนใหป้ ลอดโปร่ง เพลดิ เพลนิ ไม่ใหต้ ึงเครียด ไมใ่ หเ้กดิ ความอึดอดั ใจ ใหเ้กยี รตแิ ก่ผูเ้รยี นใหเ้ขามคี วามภูมใิ จ ในตวั เอง เท่านนั้ ผูส้ อนยงั ตอ้ งมงุ่ สอนใหผ้ ูฟ้ งั เกิดความรู้ ความเขา้ ใจในสง่ิ ทส่ี อนเป็นสาํ คญั ไมก่ ระทบตนและผูอ้ ่ืน ไม่ม่งุ ยกตนและมงุ่ เสียดสใี ครๆ อีกดว้ ย นอกจากน้ี ผูส้ อนจะตอ้ งสอนโดยเคารพ หมายความว่าตง้ั ใจสอน ทาํ จริง ดว้ ยความรูส้ กึ วา่ เป็นส่งิ มคี ุณค่า มองเหน็ ความสาํ คญั ของผูเ้รยี นและงานสงั่ สอนนนั้ ไมใ่ ช่สกั ว่าทาํ หรอื เหน็ ผูเ้รียนโง่ เขลาหรอื เหน็ เป็นคนชนั้ ตาํ่ ทส่ี าํ คญั ย่งิ คือ ในการสอนนน้ั ผูส้ อนตอ้ งใชภ้ าษาสุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย ขดั เคืองใจ ระคายหู ผูฟ้ งั สดบั แลว้ สบายใจ สละสลวย เขา้ ใจงา่ ยและเหน็ ภาพในตวั พระพทุ ธเจา้ ทรงมลี ลี าการแสดงธรรมหรือการสอน วธิ ีการสอนแบบต่างๆ และเทคนิคการสอนท่นี ่าสนใจ ควรนาํ มาศึกษาและปฏบิ ตั ิตามเพอ่ื ความสาํ เรจ็ ในการเผยแผศ่ าสนา ดงั น้ี เก่ียวกบั ลีลาการสอนหรือการแสดงธรรมของพระพุทธเจา้ นัน้ ท่านกล่าวไว้ ๔ ประการ๑๖ คือ (๑) สนั ทสั สนา อธิบายใหเ้ห็นชดั แจ่มแจง้ เหมอื นจูงมอื ไปดูเห็นกบั ตา (๒) สมาทปนา ชกั จูงใหเ้หน็ จรงิ ดว้ ยการชวนให้ คลอ้ ยตามจนตอ้ งยอมรบั และนาํ ไปปฏิบตั ิ (๓) สมตุ เตชนา เรา้ ใจใหแ้ กลว้ กลา้ บงั เกิดกาํ ลงั ใจ ปลุกใจใหม้ อี ุตสาหะ แขง็ ขนั มนั่ ใจว่าจะทาํ ใหส้ าํ เรจ็ ทนต่อความเหน่ือยยาก (๔) สมั ปหงั สนา ชโลมใจใหแ้ ช่มช่ืน ร่าเริงเบกิ บาน ไมเ่ บอ่ื และเป่ียมดว้ ยความหวงั เพราะเหน็ ประโยชนใ์ นการปฏบิ ตั ิ สว่ นวธิ กี ารสอนหรอื การแสดงธรรมแบบต่างๆนนั้ พระพทุ ธเจา้ ทรงมวี ธิ กี ารสอนทท่ี รงประยุกตใ์ หเ้หมาะสม กบั บคุ คล กาลเทศะทน่ี ่าสนใจดงั น้ี คอื ๑. แบบสากจั ฉาหรอื สนทนา เป็นวธิ ที ท่ี รงใชบ้ อ่ ยทส่ี ุด เพราะผูฟ้ งั ไดม้ โี อกาสแสดงความคิดเห็น ทาํ ใหก้ าร เรียนการสอนสนุกสนาน ไม่รูส้ ึกว่าตนกาํ ลงั เรียนหรือกาํ ลงั ถูกสอน แต่จะรูส้ ึกว่าตนกาํ ลงั สนทนาปราศรยั กบั พระพุทธเจา้ อย่างสนุกสนาน ในการสนทนานนั้ พระองคท์ รงทาํ หนา้ ท่สี นทนาคือทาํ หนา้ ท่โี ยนคาํ ถามใหข้ บคิดแลว้ ตอ้ นเขา้ จดุ สรุปอนั เป็นประเดน็ ทต่ี อ้ งการ เช่นทรงสนทนากบั พระโสณโกฬวิ สิ ะ ผูบ้ าํ เพญ็ เพยี รอย่างหนกั ในป่าสตี ะวนั เดนิ จงกรมจนเทา้ แตกทง้ั สองขา้ ง แต่กไ็ มบ่ รรลผุ ลทต่ี อ้ งการ จงึ คิดจะลาสกิ ขาไปเป็นผูค้ รองเรอื น ๒. แบบบรรยาย จะทรงใชเ้สมอในท่ปี ระชุม ส่วนมากจะเป็นโอกาสท่มี คี นฟงั จาํ นวนมากๆ ดงั ท่ที รงแสดง ธรรมเทศนาในเชตวนั มหาวหิ าร ในช่วงบา่ ยของทกุ วนั และทน่ี ่าสงั เกตคือ ผูฟ้ งั มกั จะพ้นื ความรูห้ รือมคี วามรูเ้ก่ยี วกบั ๑๖ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๓๒๒/๑๙๔.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๕๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง เร่ืองนนั้ ในขน้ั พ้นื ฐานมาบา้ งแลว้ ดงั เมอ่ื แสดงแก่เบญจวคั คีย์ ครง้ั แรกทรงใชว้ ธิ ีการบรรยายแบบบรรยายถึงความ ลม้ เหลวของการทรมานกายกบั ความหมกมนุ่ ในกามแลว้ ช้ที างสายกลางคือ มรรค ๘ และ อริยสจั จ์ ๔ เพราะสามารถ ช้แี จงแสดงเหตผุ ลไดอ้ ย่างละเอยี ด ๓. แบบตอบปญั หา ในการตอบปญั หาพระองคท์ รงสอนใหพ้ จิ ารณาดูลกั ษณะของปญั หาและใชว้ ิธีตอบให้ เหมาะ ผูถ้ ามอาจถามดว้ ยวตั ถปุ ระสงคต์ ่างๆ กนั บางคนถามเพอ่ื ใหต้ อบคาํ ถามในเร่ืองท่สี งสยั มานาน บางคนถาม เพอ่ื ลองภมู ิ บางคนถามเพอ่ื ขม่ หรอื ปราบใหผ้ ูต้ อบอบั อาย บางคนถามเพ่อื เทยี บเคียงกบั ความเช่อื หรือคาํ สอนในลทั ธิ ศาสนาของตน ในการตอบปญั หาน้ีพระองคท์ รงจาํ แนกวธิ กี ารตอบปญั หาทน่ี ่าสนใจไวใ้ นทฆี นิกาย ปาฎกิ วรรค สงั คีติ สูตร๑๗ ดงั น้ีคือ (๑) เอกงั สพยากรณีปญั หา ปญั หาบางอย่างตอ้ งตอบตรงไปตรงมา ตอบแบบตายตวั ไม่มเี งอ่ื นไข เช่น ถามว่า จกั ษุเป็นอนิจจงั หรือ พงึ ตอบไปทีเดียวว่า ถกู แลว้ (๒) ปฏปิ ุจฉาพยากรณีปญั หา ปญั หาทพ่ี งึ ยอ้ นถาม แลว้ จงึ แก้ ยกตวั อยา่ งเช่น โสตะกเ็ หมอื นจกั ษุ พงึ ยอ้ นถามว่า ทถ่ี ามหมายถงึ แง่ไหน ถา้ บอกว่า ในแงเ่ ป็นเคร่อื งมอง พงึ ตอบว่าไม่เหมอื นกนั ถา้ ถามว่า ในแง่อนิจจงั จึงควรตอบรบั ว่าเหมอื นกนั (๓) วิภชั ชพยากรณียปญั หา ปญั หาท่ี ตอ้ งแยกความตอบ เป็นเร่อื งๆ เป็นประเด็น ยกตวั อย่างเช่น พระพทุ ธองคท์ รงตเิ ตียนตบะใช่หรือไม่ อย่ารบี ตอบว่า ใช่หรือไม่ใช่ เพราะมสี ่วนผดิ ตอ้ งแยกตอบว่า พระพุทธองคท์ รงติเตียนตบะท่ีทรมานตนเอง แต่ทรงสรรเสริญว่า ความอดกลนั้ เป็นยอดแห่งตบะเป็นตน้ (๔) ฐปนียปญั หา ปญั หาบางอย่างตอ้ งตดั บทไปไม่ตอบ หรือพงึ ยบั บงั้ เสยี เพราะถา้ ตอบไปจะเป็นปญั หาท่ใี หเ้กดิ ความทะเลาะ ตอบไปแลว้ ไม่ทาํ ใหเ้กดิ ประโยชน์ เช่น ถามว่า ศาสดานน้ั สอน อย่างนน้ั อย่างน้ี อยากทราบว่าคาํ สอนของใครถูก คาํ สอนของใครผดิ พระองคม์ กั จะตดั บทว่า เร่ืองนน้ั จงพกั ไว้ ก่อน เราตถาคตจะแสดงธรรมไวฟ้ งั น้ีคอื วธิ พี กั ปญั หาของพระองค์ และ ๔. แบบวางกฎขอ้ บงั คบั โดยใชว้ ธิ ีการกาํ หนดหลกั เกณฑ์ กฎ และขอ้ บงั คบั ใหพ้ ระสาวกหรือสงฆป์ ฏบิ ตั ิ หรอื ยดึ ถอื ตวั ดว้ ยความเหน็ ชอบพรอ้ มกนั เช่น เมอ่ื เกิดมเี ร่อื งทเ่ี สยี หายข้นึ หรือภกิ ษุท่ที าํ ความผดิ นาํ ความเสยี หาย มาสูห่ มสู่ งฆ์ กท็ รงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั โดยความเหน็ ชอบของสงฆ์ ๔.๒ ธุระหรอื กจิ ในพระพทุ ธศาสนา ธุระในพระพทุ ธศาสนา ธุระสาํ คญั ในพระพทุ ธศาสนา อนั เป็นภาระหนา้ ทท่ี ถ่ี งึ ทาํ , กจิ ในพระศาสนาน้ี (Burden; task; business; responsibility in the Dispensation) มี ๒ ประการ คอื คนั ถธุระ กบั วปิ สั สนาธุระ๑๘ ๑) คนั ถธุระ (burden of study; task of learning) ไดแ้ ก่การศึกษาเลา่ เรยี นใหเ้ขา้ ใจถกู ตอ้ ง ทงั้ อตั ถะ และพยญั ชนะ ตามทม่ี อี ยู่ในพระไตรปิฎกทงั้ ๓ ซง่ึ ไดแ้ ก่ พระวนิ ยั ปิฎก พระสูตนั ตปิฎกและปรมตั ถปิฎกหรอื พระ ๑๗ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๓๑๒/๑๙๑. ๑๘ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๗. ๐ภนฺเต อมิ สฺมึ สาสเน กติ ธุรานีติ. คนฺถธุร วิปสฺสนาธุรนฺติ เทฺวเยว ธุรานิ ภกิ ฺขูต.ิ ๐กตมํ ปน ภนฺเต คนฺถธุรํ กตมํ วปิ สฺสนาธุรนฺต.ิ อตฺตโน ปํฺญานุรูเปน เอกํ วา เทฺว วา นิกาเย สกลํ วา ปน เตปิฏกํ พทุ ฺธวจนํ อุคฺคณฺหติ ฺวา ตสฺส ธารณํ กถนํ วาจนนฺติ อทิ คนฺถธุร นาม. ๐สลฺลหุกวุตฺติโน ปน ปนฺตเสนาสนาภิรตสฺส อตฺตภาเว ขยวยํ ปฏฺฐเปตฺวา สาตจฺจกิริยาวเสน วปิ สฺสนํ วฑฺเฒตฺวา อรหตฺตคฺคหณนฺติ อิท วปิ สฺสนาธุร นามาต.ิ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๕๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง อภธิ รรมปิฎก อนั น้ีเรียกวา่ ๐ คนั ถธุระ๑ เป็นกจิ สาํ คญั อนั หน่ึงในขนั้ ตน้ ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารศึกษาเลา่ เรยี น ใหเ้ขา้ ใจเหตผุ ล ทถ่ี กู ตอ้ ง ในคาํ สอนของพระบรมศาสดา ๒) วปิ สั สนาธุระ (burden of insight development; task of meditation practice) กไ็ ดแ้ ก่ การ ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ขดู เกลากเิ ลส ใหห้ มดส้นิ ไป อนั น้ีเป็นธุระสาํ คญั ยง่ิ ในขน้ั ท่ี ๒ เพราะวตั ถปุ ระสงค์ ในพระพทุ ธศาสนาน้ี กต็ อ้ งการกาํ จดั ขดู เกลากเิ ลสเพอ่ื พน้ จากสงั สารทกุ ขน์ นั้ แหละ เป็นความสาํ คญั ในพระพทุ ธศาสนา ฉะนน้ั ธุระทงั้ ๒ น้ี จงึ เป็นธุระสาํ คญั ยง่ิ ในพระพทุ ธศาสนา และพระพทุ ธศาสนาจะดาํ รงอยู่ได้ หรอื จะ แพร่หลายรุ่งเรอื งกวา้ งขวางออกไปได้ กเ็ พราะธุระทงั้ ๒ น้ี ถา้ หากว่าธุระทง้ั ๒ น้ีไมม่ ี หรอื มแี ต่ไมส่ มบูรณก์ ็ เป็นอนั ว่า ชาวพทุ ธทง้ั หลาย กไ็ ม่สามารถทจ่ี ะมคี วามเขา้ ใจถงึ เหตุผลในคาํ สอนของพระพทุ ธองค์ ทถ่ี กู ตอ้ งโดย แทจ้ รงิ ได้ เพราะธุระทง้ั ๒ น้ีจะตอ้ งเป็นอุปการะซง่ึ กนั และกนั เมอ่ื พจิ ารณาธุระทงั้ ๒ ประการในพระพทุ ธศาสนาน้ีแลว้ กส็ ามารถจาํ แนกใหเ้หน็ องคป์ ระกอบของ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ป็น ๓ สว่ น คือ ๑. ปริยตั ิ เป็นส่วนของคนั ถธุระ คือการศึกษาเลา่ เรยี น ขนั้ ปรยิ ตั ิเป็นการศึกษาพระธรรมวนิ ยั ใหม้ คี วามรู้ ในพระธรรมคาํ สงั่ สอน ของพระพทุ ธเจา้ รวมทงั้ พระวนิ ยั คอื ขอ้ บญั ญตั ติ ่างๆ ทจ่ี ะตอ้ งประพฤติ ใหม้ คี วามรูค้ วาม เขา้ ใจอย่างถกู ตอ้ งถอ่ งแท้ เพอ่ื จะไดน้ าํ มาประพฤติปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตรงทาง และยงั สามารถแนะนาํ สงั่ สอนผูอ้ ่นื ใหม้ คี วามรูค้ วามเขา้ ใจ ในพระพทุ ธศาสนาทถ่ี กู ตอ้ ง ๒. ปฏบิ ตั ิ เป็นส่วนของวปิ สั สนาธุระ คือการปฏบิ ตั ธิ รรม ขนั้ ปฏบิ ตั ิเป็นการนาํ เอาพระธรรมวนิ ยั ทไ่ี ดศ้ ึกษา มาจนรอบรู้ และเขา้ ใจถ่องแทด้ ีแลว้ มาประพฤติปฏบิ ตั ิดว้ ยกาย วาจา และใจ ในสองขอ้ แรก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไป ในกรอบของพระวนิ ยั คอื ศีลนนั่ เอง ส่วนขอ้ ท่สี ามเป็นการเจริญภาวนา อนั ไดแ้ ก่การฝึกสมั มาสมาธิ ซ่งึ เป็นสมาธใิ น พระพุทธศาสนา มิใช่สมาธิโดยทวั่ ไป รายละเอียดในการนําไปสู่สมั มาสมาธิมอี ยู่พรอ้ มมูล และชดั เจนแลว้ ใน พระไตรปิฎก เม่อื ไดส้ มั มาสมาธิในระดบั ท่จี ะนาํ ไปใชป้ ฏบิ ตั ิวปิ สั นาได้ ก็นอ้ มนาํ ไปสู่การทาํ วปิ สั นาอนั เป็นอุบายให้ เกดิ ปญั ญา ทไ่ี ดร้ ูเ้หน็ ความเป็นไปต่างๆ ของโลกตามความเป็นจริง ๓. ปฏเิ วธ ผลอนั เกิดจากปริยตั ิ และปฏบิ ตั ิรวมกนั ขนั้ ปฏเิ วธ เป็นขนั้ ท่แี สดงผลของการประพฤติปฏบิ ตั ิ ตามพระธรรมวินยั ในระดบั ต่างๆ ในเร่ืองต่างๆ ตามลาํ ดบั จนถึงขน้ั ทาํ ท่ีสุดแห่งทุกข์ อนั เป็นจุดหมายสูงสุดใน พระพทุ ธศาสนา พระพุทธโฆษาจารย์ ไดอ้ ธิบายธุระทงั้ ๒ ไวว้ ่า (๑) การเรียนเอาพุทธพจน์หน่ึง หรือว่าสอง ก็หรือว่า พระไตรปิฎกทง้ั หมด ตามสมควรแก่ปญั ญาของตนเอง แลว้ สามารถทรงจาํ บอก และกล่าวสอนพุทธพจนน์ น้ั ได้ อาการดงั กลา่ วน้ีช่อื ว่า คนั ถธุระ (๒) การกาํ หนดส้นิ ไปและความเสอ่ื มไปในอตั ตภาพของผูย้ นิ ดีย่งิ ในท่ีอยู่อนั สงดั ผู้ มคี วามประพฤติเบาพรอ้ ม เจรญิ วปิ สั สนาดว้ ยการกระทาํ อย่างต่อเน่ืองแลว้ บรรลุพระอรหตั ต์ อาการดงั กล่วน้ีช่ือว่า วปิ สั สนาธุระ๑๙ ๑๙ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๗.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๕๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ในสมยั พุทธกาล พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่พระสงฆส์ าวกเป็นประจาํ ทุกวนั นอกจากนนั้ พทุ ธกิจประจาํ วนั อีกประการหน่ึงคือ ทรงสอดส่องดูเวไนยสตั วท์ ่พี ระองคค์ วรไปแสดงธรรม เพ่อื ใหผ้ ูน้ นั้ ไดส้ าํ เร็จ มรรคผล ตามควรแก่อปุ นิสยั ของเวไนยสตั วน์ น้ั ๆ นอกจากพระภกิ ษุสงฆแ์ ลว้ บรรดาพทุ ธศาสนิกชนก็พากนั ไปฟงั ธรรมจากพระพทุ ธองค์ โดยตรงในตอนเยน็ เป็นประจาํ ทุกวนั พระภกิ ษุรูปใดหรอื หม่คู ณะใดฟงั พระธรรมเทศนาจาก พระพุทธเจา้ ซ่งึ บางครงั้ ทรงแสดงแต่โดยย่อ ทาํ ใหย้ งั เขา้ ใจไม่แจ่มแจง้ ก็พากนั ไปไต่ถามพระเถระผูท้ รงคุณวุฒิให้ อธบิ ายโดยพศิ ดารใหฟ้ งั พระเถระดงั กลา่ วมพี ระสารบี ตุ ร พระมหากจั จานะ และพระมหากสั สปะ เป็นตน้ แลว้ ทรงจาํ ไว้ เม่อื มโี อกาสก็กราบทูลถามพระพุทธเจา้ ว่าพระธรรมเทศนาเร่ืองนน้ั ๆ พระมหาเถระองคน์ น้ั ๆ ไดอ้ ธิบายโดย พศิ ดารเป็นอย่างนน้ั ๆ พระพทุ ธองคก์ ็ทรงรบั รองว่าคาํ อธิบายนนั้ ถูกตอ้ ง แมพ้ ระองคจ์ ะอธิบาย กจ็ ะอธิบายอย่างนนั้ การศึกษาคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ น้ีเรยี กวา่ การศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรม คาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ มอี งค์ ๙ ประการ เรียกว่า นวงั คสตั ถสุ าสน์ ไดแ้ ก่สุตตะ เคยยะ เวยยากรณ คาถา อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ ชาดก อพั ภูตธรรม และเวทลั ละ๒๐ การศึกษาพระปริยตั ธิ รรมก็เพ่อื รกั ษาพทุ ธวจนะ ให้ ดาํ รงอยู่ พระพทุ ธเจา้ ใชภ้ าษามคธ หรือเรยี กกนั โดยทวั่ ไปว่า ภาษาบาลี ในการแสดงพระธรรมเทศนา เน่ืองจากเป็น ภาษาทค่ี นทวั่ ไปในมชั ฌมิ ประเทศ ใชก้ นั อยู่อย่างแพร่หลาย ดงั นนั้ แมว้ ่าจะมกี ารแปลพระธรรมวนิ ยั ออกเป็นภาษา ต่างๆ ในระยะต่อมา แต่ตอ้ งไม่ท้ิงพุทธวจนะเดิมท่ีเป็นภาษาบาลี เพ่ือจะไดไ้ วเ้ ป็นหลกั ฐาน ในการตรวจสอบ ความหมายทแ่ี ทจ้ รงิ ป้องกนั ความวปิ ลาสคลาดเคลอ่ื นจากการแปลความหมายไปสูภ่ าษาต่างๆ จากหลกั การดงั กลา่ วจะเหน็ ไดว้ ่าการศึกษาภาคปรยิ ตั ิ และการปฏบิ ตั นิ นั้ ไมอ่ าจแยกขาดจากกนั ได้ ตอ้ งไป ดว้ ยกนั เป็นคู่เสมอ ดงั นนั้ ผลของการปฏบิ ตั ิทถ่ี กู ตอ้ งยอ่ มจะตอ้ งมาจากการศึกษาดา้ นปรยิ ตั ิทถ่ี กู ตอ้ ง และปฏเิ วธท่ี สมบูรณก์ ต็ อ้ งมเี หตมุ าจากการปฏบิ ตั ิทถ่ี กู ตอ้ งเสมอ เพราะฉะนน้ั ธุระในพระพทุ ธศาสนาจงึ เก่ยี วขอ้ งกบั แนวทางใน การปฏบิ ตั ธิ รรม พทุ ธกจิ ในคมั ภรี ส์ มุ งั คลวลิ าสนิ ี พระพทุ ธโฆสาจารย์ ไดอ้ ธบิ ายเร่อื งกจิ ของพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ไว้ ๕ ประการ ในความว่าข้นึ ช่อื วา่ กจิ น้ีมี ๒ อย่าง คือกิจทม่ี ปี ระโยชนแ์ ละกจิ ท่ไี มม่ ปี ระโยชน์ บรรดากจิ ๒ อย่างนน้ั กจิ ท่ี ไมม่ ปี ระโยชน์ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงเพกิ ถอนแลว้ ดว้ ยอรหตั ตมรรคญาณ ณ โพธบิ ลั ลงั ก์ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรง มกี จิ แต่ทม่ี ปี ระโยชนเ์ ทา่ นน้ั กจิ ทม่ี ปี ระโยชนข์ องพระผูม้ พี ระภาคเจา้ นนั้ มี ๕ อย่าง คอื ๑. กจิ ในปเุ รภตั ๒. กจิ ใน ปจั ฉาภตั ๓. กจิ ในปรุ ิมยาม ๔. กจิ ในมชั ฌมิ ยาม ๕. กจิ ในปจั ฉิมยาม๒๑ ๑. ปเุ รภตั ตกจิ คอื กจิ กอ่ นเสวยอาหาร ในบรรดากิจ ๕ อย่างนน้ั กจิ ในปุเรภตั มดี งั น้ี ก็พระผูม้ พี ระภาคเจา้ เสด็จลุกข้นึ แต่เชา้ ตรู่ ทรงปฏิบตั ิ พระสรรี ะ มบี ว้ นพระโอฐเป็นตน้ เพ่อื ทรงอนุเคราะหอ์ ปุ ฐากและเพอ่ื ความสาํ ราญแห่งพระสรีระเสรจ็ แลว้ ทรงประทบั ยบั ยงั้ อยู่บนพุทธอาสนท์ เ่ี งยี บสงดั จนถงึ เวลาภกิ ษาจารครง้ั ถงึ เวลาภกิ ษาจาร ทรงนุ่งสบง ทรงคาดประคดเอว ทรง ครองจวี ร ทรงถอื บาตร บางครงั้ เสดจ็ พระองคเ์ ดียว บางครงั้ แวดลอ้ มไปดว้ ยภกิ ษุสงฆ์ เสดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั คาม ๒๐ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๙/ [บทนาํ ] ๒๑ สาตถฺ กเํ ยว ปน ภควโต กจิ จฺ ํ โหติ ฯ ตํ ปํฺจวธิ ํ ๎ปเุ รภตฺตกจิ จฺ ํ ปจฺฉาภตตฺ กิจฺจํ ปรุ ิมยามกจิ ฺจํ มชฺฌิมยามกจิ ฺจํ ปจฺฉิมยามกิจฺจนฺติ ฯ อา้ ง ใน ท.ี ส.ี อ. ๔/๗๐๗๒.(สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี ๑/๗๐-๗๒)

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๕๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง หรอื นิคม บางครง้ั เสดจ็ เขา้ ไปตามปกติ บางครง้ั กเ็ สดจ็ เขา้ ไปดว้ ยปาฏหิ ารยิ ห์ ลายประการ คืออย่างไร? เมอ่ื พระบรม โลกนาถเสดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาต ลมทพ่ี ดั อ่อนๆ พดั ไปเบ้อื งหนา้ แผว้ พ้นื พสุธาใหส้ ะอาดหมดจด พลาหกกห็ ลงั่ หยาดนาํ้ ลงระงบั ฝุ่นละอองในมรรคา กางกนั้ เป็นเพดานอยู่เบ้อื งบน กระแสลมก็หอบเอาดอกไมท้ งั้ หลายมาโรยลงในมรรคา ภมู ปิ ระเทศทส่ี ูงกต็ าํ่ ลง ทต่ี าํ่ กส็ ูงข้นึ ภาคพ้นื ก็ราบเรยี บสมาํ่ เสมอในขณะท่ที รงย่างพระยุคลบาท หรือมปี ทุมบปุ ผชาติ อนั มสี มั ผสั น่ิมนวลชวนสบายคอยรองรบั พระยุคลบาท พอพระบาทเบ้อื งขวาประดษิ ฐานลงภายในธรณี ประตู พระ ฉพั พรรณรงั สกี ็โอภาสแผ่ไพศาล ซ่านออกจากพระพุทธสรีระพ่งุ วนแวบวาบประดบั ปราสาทราชมณเฑยี ร เป็นตน้ ดงั่ แสงเลอ่ื มพรายแห่งทอง และดงั่ ลอ้ มไวด้ ว้ ยผนื ผา้ อนั วจิ ติ ร บรรดาสตั วท์ งั้ หลาย มี ชา้ ง มา้ และนก เป็นตน้ ซ่งึ อยู่ ในสถานทแ่ี ห่งตนๆ ก็พากนั เปล่งสาํ เนียงอย่างเสนาะ ทง้ั ดนตรีท่ไี พเราะ เช่น เภรี และพณิ เป็นตน้ ก็บรรเลงเสยี ง เพยี งดนตรสี วรรคแ์ ละสรรพาภรณแ์ ห่งมนุษยท์ งั้ หลาย ก็ปรากฏสวมใส่ร่างกายในทนั ที ดว้ ยสญั ญาณอนั น้ี ทาํ ใหค้ น ทงั้ หลายทราบไดว้ า่ วนั น้ีพระผูม้ พี ระภาคเจา้ เสดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาตในย่านน้ี เขาเหล่านน้ั ต่างก็แต่งตวั นุ่งห่มเรยี บรอ้ ย พากนั ถือของหอมและดอกไม้ เป็นตน้ ออกจากเรือนเดินไปตามถนนบูชาพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ดว้ ยของหอมและ ดอกไม้ เป็นตน้ โดยเคารพถวายบงั คมแลว้ กราบทูลขอสงฆว์ า่ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ ขอพระองคโ์ ปรดประทานภกิ ษุ แก่พวกขา้ พระองค์ ๑๐ รูป ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ ขอพระองคโ์ ปรดประทานภิกษุแก่พวกขา้ พระองค์ ๒๐ รูป แก่ พวกขา้ พระองค๕์ ๐ รูปแก่พวกขา้ พระองค์ ๑๐๐ รูป ดงั น้ี แลว้ รบั บาตรแมข้ องพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ปูลาดอาสนะนอ้ ม นาํ ถวายบณิ ฑบาตโดยเคารพ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทาํ ภตั กจิ เสรจ็ แลว้ ทรงตรวจดูจิตสนั ดานของสตั วเ์ หลา่ นน้ั ทรง แสดงพระธรรมเทศนาโปรดใหบ้ างพวกตง้ั อยู่ในสรณคมน์ บางพวกตง้ั อยู่ในศีล ๕ บางพวกตง้ั อยู่ในโสดาปตั ติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลอย่างใดอย่างหน่ึง บางพวกบวชแลว้ ตง้ั อยู่ในพระอรหตั ซ่ึงเป็นผลเลิศ ทรงอนุเคราะห์ มหาชน ดงั พรรณนามาฉะน้ีแลว้ ทรงลุกจากอาสนะเสดจ็ ไปยงั พระวหิ าร ครนั้ แลว้ ประทบั นงั่ บนพทุ ธอาสนอ์ นั บวรซ่งึ ปลู าดไวใ้ นมณั ฑลศาลา ทรงรอคอยการเสร็จภตั กจิ ของภกิ ษุทง้ั หลาย ครนั้ ภกิ ษุทงั้ หลายเสร็จกจิ เรยี บรอ้ ยแลว้ ภกิ ษุ ผูอ้ ปุ ฐากก็กราบทูลพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ใหท้ รงทราบ ลาํ ดบั นนั้ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ กเ็ สด็จเขา้ พระคนั ธกฎุ ี น้ีเป็นกิจ ในปเุ รภตั ก่อน๒๒ ๒. ปจั ฉาภตั ตกจิ ๒๓ ครงั้ นน้ั แล พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ครน้ั ทรงบาํ เพญ็ กจิ ในปเุ รภตั เสรจ็ แลว้ อย่างน้ี ประทบั นนั่ ณ ศาลาปรนนิบตั ิใกลพ้ ระคนั ธกุฎี ทรงลา้ งพระบาทแลว้ ประทบั ยนื บนตงั่ รองพระบาท ประทานโอวาทภิกษุ สงฆว์ า่ ๐ภกิ ษุทง้ั หลาย เธอทงั้ หลายจงยงั ประโยชนต์ นและประโยชนท์ ่านใหถ้ งึ พรอ้ มดว้ ยความไมป่ ระมาทเถดิ ๑ (ภกิ ฺข เว อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ) และวา่ ๐ทลุ ฺลภํฺจ มนุสฺสตตฺ ํ พทุ ธฺ ุปปฺ าโท จ ทลุ ฺลโภ ทลุ ฺลภา ขณสมปฺ ตฺติ สทฺธมโฺ ม ปรมทลุ ฺลโภ ทลุ ฺลภา สทฺธาสมปฺ ตฺติ ปพพฺ ชฺชา จ ทลุ ฺลภา ทลุ ฺลภํ สทฺธมมฺ สฺสวน๑ํ ๒๔ ๒๒ สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๑/๗๑-๗๒. ๒๓ สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๑/๗๒. ๒๔ สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๑/๗๓.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๕๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ แปลความว่า “ความเป็นมนุษย์ หาไดย้ าก, ความเกดิ ข้นึ ของพระพทุ ธเจา้ หาไดย้ าก, ความถงึ พรอ้ มดว้ ย ขณะ หาไดย้ ากพระสทั ธรรม หาไดย้ ากอย่างยงิ่ , ความถงึ พรอ้ มดว้ ยศรทั ธา หาไดย้ าก, การบวช หาไดย้ าก, การฟงั พระสทั ธรรม หาไดย้ าก” ณ ทน่ี น้ั ภกิ ษุบางพวกทูลถามกรรมฐานกะพระผูม้ พี ระภาคเจา้ .แมพ้ ระผูม้ พี ระภาคเจา้ ก็ประทานกรรมฐาน ทเ่ี หมาะแก่จรติ ของภกิ ษุเหลา่ นนั้ ลาํ ดบั นนั้ ภกิ ษุทงั้ ปวงถวายบงั คมพระผูม้ พี ระภาคเจา้ แลว้ ไปยงั ทพ่ี กั กลางคืนและ กลางวนั ของตนๆ บางพวกกไ็ ปป่า บางพวกกไ็ ปสูโ่ คนไม้ บางพวกกไ็ ปยงั ทแ่ี ห่งใดแห่งหน่ึง มภี เู ขา เป็นตน้ บางพวกก็ ไปยงั ภพของเทวดาชนั้ จาตุมหาราชิกา ฯลฯ บางพวกก็ไปยงั ภพของเทวดาชนั้ วสวดั ดี ลาํ ดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาคเจา้ เสดจ็ เขา้ พระคนั ธกุฎี ถา้ มพี ระพทุ ธประสงค์ ก็ทรงมพี ระสติสมั ปชญั ญะ สาํ เร็จสีหไสยาครู่หน่ึงโดยพระปรศั วเ์ บ้อื ง ขวา ครน้ั มพี ระวรกายปลอดโปร่งแลว้ เสด็จลุกข้นึ ตรวจดูโลกในภาคท่สี อง ณ คามหรือนิคมท่พี ระองคเ์ สด็จเขา้ ไป อาศยั ประทบั อยู่ มหาชนพากนั ถวายทานก่อนอาหาร ครนั้ เวลาหลงั อาหารนุ่งห่มเรียบรอ้ ย ถือของหอมและดอกไม้ เป็นตน้ มาประชุมกนั ในพระวิหาร ครน้ั เม่ือบริษทั พรอ้ มเพรียงกนั แลว้ พระผูม้ ีพระภาคเจา้ เสด็จไปดว้ ยพระ ปาฏหิ ารยิ อ์ นั สมควร ประทบั นงั่ แสดงธรรมทค่ี วรแก่กาลสมยั ณ บวรพทุ ธอาสนท์ บ่ี รรจงจดั ไว้ ณ ธรรมสภา ครนั้ ทรงทราบกาลอนั ควรแลว้ กท็ รงส่งบรษิ ทั กลบั . เหลา่ มนุษยต์ ่างกถ็ วายบงั คมพระผูม้ พี ระภาคเจา้ แลว้ พากนั หลกี ไป น้ี เป็นกจิ หลงั อาหาร๒๕ ๓. ปุริมยามกิจ๒๖ พระผูม้ ีพระภาคเจา้ พระองคน์ นั้ ครนั้ เสร็จกิจหลงั อาหารอย่างน้ีแลว้ ถา้ มีพระพุทธ ประสงคจ์ ะโสรจสรงพระวรกาย กเ็ สดจ็ ลุกจากพุทธอาสนเ์ ขา้ ซุม้ เป็นท่สี รงสนาน ทรงสรงพระวรกายดว้ ยนาํ้ ท่ภี กิ ษุผู้ เป็นพทุ ธุปฏั ฐากจดั ถวาย ฝ่ายภกิ ษุผูเ้ป็นพทุ ธุปฏั ฐากกน็ าํ พทุ ธอาสนม์ าปูลาดทบ่ี ริเวณพระคนั ธกุฎี พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงครองจีวร สองชนั้ อนั ยอ้ มดแี ลว้ ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวรเฉวียงบ่าขา้ งหน่ึงแลว้ เสด็จไปประทบั นงั่ บนพทุ ธอาสนน์ น้ั ทรงหลกี เรน้ อยู่ครู่หน่ึงแต่ลาํ พงั พระองคเ์ ดยี ว ครน้ั นน้ั ภกิ ษุทง้ั หลายพากนั มาจากทน่ี น้ั ๆ แลว้ มาสู่ท่ปี รนนิบตั ิของพระผูม้ พี ระภาคเจา้ . ณ ทน่ี นั้ ภกิ ษุบาง พวกก็ทูลถามปญั หา บางพวกก็ทูลขอกรรมฐาน บางพวกก็ทูลขอฟงั ธรรม พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ประทบั ยบั ยงั้ ตลอด ยามตน้ ทรงใหค้ วามประสงคข์ องภกิ ษุเหลา่ นนั้ สาํ เรจ็ น้ีเป็นกจิ ในปฐมยาม ๔. มชั ฌิมยามกจิ ๒๗ กเ็ มอ่ื ส้นิ สุดกิจในปฐมยาม ภกิ ษุทงั้ หลาย ถวายบงั คมพระผูม้ พี ระภาคเจา้ แลว้ หลกี ไป เหลา่ เทวดาในหมน่ื โลกธาตุทง้ั ส้นิ เมอ่ื ไดโ้ อกาสกพ็ ากนั เขา้ เฝ้าพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ต่างทูลถามปญั หาตามทเ่ี ตรยี มมา โดยทส่ี ุดแมอ้ กั ขระ ๔ ตวั พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงตอบปญั หาแก่เทวดาเหลา่ นนั้ ใหม้ ชั ฌมิ ยามผ่านไป น้ีเป็นกจิ ใน มชั ฌิมยาม ๒๕ สุมงฺคลวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๑/๗๔. ๒๖ สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๑/๗๔. ๒๗ สุมงฺคลวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๑/๗๔.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๕๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๕. ปจั ฉิมยามกจิ ๒๘สว่ นปจั ฉิมยาม พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงแบง่ เป็น ๓ สว่ น คือทรงยบั ยงั้ อยู่ดว้ ยการ เสดจ็ จงกรม ส่วนหน่ึง เพอ่ื ทรงเปล้อื งจากความเมอ่ื ยลา้ แหง่ พระสรีระอนั ถกู อริ ยิ าบถนงั่ ตง้ั แต่ก่อนอาหารบบี คนั้ แลว้ ในสว่ นทสี่ อง เสดจ็ เขา้ พระคนั ธกฎุ ี ทรงมพี ระสตสิ มั ปชญั ญะ สาํ เรจ็ สหี ไสยาโดยพระปรศั วเ์ บ้อื งขวา ในสว่ นทสี่ าม เสดจ็ ลุกข้นึ ประทบั นงั่ แลว้ ทรงใชพ้ ทุ ธจกั ษุตรวจดูสตั วโ์ ลกเพอ่ื เลง็ เหน็ บคุ คลผูส้ รา้ งสมบุญญาธกิ ารไว้ ดว้ ยอาํ นาจ ทานและศีล เป็นตน้ ในสาํ นกั ของพระพทุ ธเจา้ องคก์ ่อนๆ น้ีเป็นกิจในปจั ฉิมยาม ก็วนั นนั้ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงยงั กจิ ก่อนอาหารใหส้ าํ เรจ็ ในกรุงราชคฤหแ์ ลว้ ถึงเวลาหลงั อาหารเสด็จ ดาํ เนินมายงั หนทาง ตรสั บอกกรรมฐานแก่ภกิ ษุทงั้ หลายในเวลาปฐมยาม ทรงแกป้ ญั หาแก่เทวดาทงั้ หลายในมชั ฌิม ยาม เสด็จข้นึ สู่ท่ีจงกรม ทรงจงกรมอยู่ในปจั ฉิมยาม ทรงไดย้ ินภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปสนทนาพาดพิงถึงพระ สพั พญั ํุตญาณน้ี ดว้ ยพระสพั พญั ํุตญาณนนั่ แล ไดท้ รงทราบแลว้ ดว้ ยเหตุนน้ั ขา้ พเจา้ จึงไดก้ ล่าวว่า เมอ่ื ทรง กระทาํ กจิ ในปจั ฉิมยาม ไดท้ รงทราบแลว้ กแ็ ละครน้ั ทรงทราบแลว้ ไดม้ พี ระพทุ ธดาํ ริดงั น้ีว่า “ภกิ ษุเหล่าน้ี กล่าวคณุ พาดพงิ ถึงสพั พญั ญตุ ญาณของเรา ก็กิจแห่งสพั พญั ญตุ ญาณไมป่ รากฏแก่ภิกษุเหลา่ น้ี ปรากฏแก่เราเท่านนั้ เมอื่ เรา ไปแลว้ ภิกษุเหล่าน้ีก็จกั บอกการสนทนาของตนตลอดกาล”๒๙ แต่นน้ั เราจกั ทาํ การสนทนาของภิกษุเหล่านนั้ ใหเ้ป็น ตน้ เหตุ แลว้ จาํ แนกศีล ๓ อย่าง บนั ลือสีหนาทอนั ใครๆ คดั คา้ นไม่ไดใ้ นฐานะ ๖๒ ประการ ประชุมปจั จยาการ กระทาํ พทุ ธคุณใหป้ รากฏ จกั แสดงพรหมชาลสูตร อนั จะยงั หมน่ื โลกธาตใุ หห้ วนั่ ไหว ใหจ้ บลงดว้ ยยอดคือพระอรหตั ปานประหน่ึงยกภเู ขาสเิ นรุราชข้นึ และดุจฟาดทอ้ งฟ้าดว้ ยยอดสุวรรณกูฏ เทศนานนั้ แมเ้มอ่ื เราปรนิ ิพพานแลว้ กจ็ กั ยงั อมตมหานฤพานใหส้ าํ เร็จแก่สตั วท์ งั้ หลายตลอดหา้ พนั ปี ครนั้ มพี ระพทุ ธดาํ ริอย่างน้ีแลว้ ไดเ้ สดจ็ เขา้ ไปยงั ศาลา มณฑลทภ่ี กิ ษุเหลา่ นน้ั นงั่ อยู่ ดว้ ยประการฉะน้ี จากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ เพ่อื จะใหเ้ ห็นถึงกิจของพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทงั้ ๕ ประการคือ กิจในปุเรภตั กจิ ใน ปจั ฉาภตั กจิ ในปรุ มิ ยาม กจิ ในมชั ฌมิ ยาม และกจิ ในปจั ฉิมยาม วา่ แต่ละช่วงแต่ละตอนพระพทุ ธองคไ์ ดจ้ ดั สรรเวลา อย่างไร พุทธกิจประจาวนั ๕ ประการ และพุทธจริยา ๓ ประการ : งานการสอนธรรม เพ่ือประดิษฐาน พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจา้ เป็นงานท่ีละเอียดประณีต เพราะทรงม่งุ ใหเ้ ป็นธรรมท่ีเก้ือกูลแก่คนทงั้ ปวงและ อาํ นวยผลใหเ้ป็นความสุข พระพทุ ธเจา้ จึงทรงมกี ิจหลกั ทเ่ี รยี กว่าพทุ ธกิจ ในแต่ละวนั ทรงมพี ทุ ธกจิ หลกั ๕ ประการ เพอ่ื บาํ เพญ็ พทุ ธจรยิ า ๓ ประการ๓๐ของพระพทุ ธเจา้ ใหส้ มบูรณ์ คอื พระพทุ ธกจิ ๕ ประการ ๒๘ สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี (บาล)ี ๑/๗๒. ๒๙ ญตฺวา จ ปนสฺส เอตทโหสิ ๎อเิ ม ภกิ ฺขู มยฺหํ สพพฺ ํฺํุตญานํ อารพฺภ คุณํ กเถนฺติ เอเตสํฺจ สพฺพํฺํุตญาณกิจจํ น ปากฏํ มยฺหเมว ปากฏํ มยิ ปน คเต เอเต อตตฺ โน กถํ นิรนฺตรํ อาโรเจสฺสนฺติ ฯ อา้ งใน สมุ งฺคลวลิ าสนิ .ี (บาล)ี ๑/๗๕. ๓๐ พทุ ธจริยา คือพระจริยา หรือการทรงบาํ เพ็ญประโยชน์ ของพระพทุ ธเจา้ (the Buddha๏s conduct, functions or services) มี ๓ ประการคอื ๑. โลกตั ถจริยา พระพทุ ธจรยิ าเพอ่ื ประโยชนแ์ ก่โลก (conduct for the well-being of the world) ๒. ญาตตั ถจริยา พระพทุ ธจรยิ าเพอ่ื ประโยชนแ์ ก่พระญาตติ ามฐานะ (conduct for the benefit of his relatives) ๓. พทุ ธตั ถจรยิ า พระพทุ ธจรยิ าทท่ี รงบาํ เพ็ญประโยชนต์ ามหนา้ ท่ขี องพระพทุ ธเจา้ (beneficial conduct as functions of the Buddha) อา้ งใน องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๑๓๒. (มโนรถปูรณี)

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๕๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พระพุทธกิจ คือกิจท่ีพระอรหนั ตส์ มั มาสมั พุทธเจา้ ทง้ั หลาย ถือเป็นวตั รปฏิบตั ิหลงั จากตรสั รูพ้ ระสมั มา สมั โพธญิ าณ ดว้ ยพระปญั ญาอนั ยง่ิ ของพระองคแ์ ลว้ พระพทุ ธองคท์ รงบาํ เพญ็ พทุ ธจริยา อนั เป็นประโยชนแ์ ก่ชาวโลก ทรงโปรดเวไนยสตั ว์ ดว้ ยพระอธั ยาศยั อนั เป่ียมดว้ ยพระมหากรุณา ทรงอนุเคราะหเ์ ก้อื กูลมวลสตั วโ์ ลกใหเ้ป็นสุข พน้ จากทกุ ข์ ตง้ั อยูใ่ นสรณะ และไดบ้ รรลุอมตธรรม ไมว่ ่าพระพทุ ธองคจ์ ะประทบั อยู่ ณ สถานทใ่ี ด พระองคก์ ม็ ไิ ดท้ รงละ กจิ ๕ ประการ คือ กจิ ในปเุ รภตั กจิ ในปจั ฉาภตั กจิ ในปฐมยาม กจิ ในมชั ฌิมยาม และ กจิ ในปจั ฉิมยาม ดงั โบราณา จารยป์ ระพนั ธเ์ ป็นคาถาไวว้ ่า ๐ปพุ พฺ ณฺเห ปิณฺฑปาตํฺจ สายณฺเห ธมมฺ เทสนํ ปโทเส ภกิ ขฺ โุ อวาทํ อฑฒฺ รตเฺ ต เทวปํฺหนํ ปจจฺ สุ ฺเสว คเต กาเล ภพพฺ าภพเฺ พ วโิ ลกนํ เอเต ปํฺจวเิ ธ กจิ เฺ จ วโิ สเธติ มนุ ิปงุ คฺ โว๑๓๑ พทุ ธจรยิ าประการท่ี ๑ โลกตั ถจรยิ า๓๒ ทรงบาํ เพญ็ ประโยชนแ์ ก่โลกในฐานะทพ่ี ระองคเ์ ป็นสมาชกิ คนหน่ึงของ สงั คมโลก ความสาํ เร็จในจรยิ าขอ้ น้ีทรงอาศยั พทุ ธกิจประจาํ วนั ๕ ประการ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงบาํ เพญ็ เป็นประจาํ ในแต่ ละวนั ตลอด ๔๕ พรรษาท่ีพระบรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา้ ไดเ้ ผยแผ่พุทธศาสนา พระองคไ์ ดป้ ฏิบตั ิพุทธกิจ ๕ ประการ คือ กจิ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงกระทาํ ประจาํ อยา่ งสมาํ่ เสมอไดแ้ ก่ ๑. ปพุ พฺ ณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ คือ เวลาเชา้ เสด็จบณิ ฑบาต ทรงเป็นผูน้ าํ หม่พู ระภกิ ษุสงฆส์ าวกออกบณิ ฑบาต เพอ่ื โปรดเหลา่ เวไนยสตั วป์ ถุ ุชนใหไ้ ดบ้ ริจาคทาน อาหารบณิ ฑบาต ซง่ึ ยงั หม่ชู นท่ไี ดพ้ บเหน็ ไดเ้กดิ ความเคารพศรทั ธา เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา ๒. สายณฺเห ธมมฺ เทสน คอื เวลาเยน็ แสดงธรรม สงั่ สอนประชาชน เพอ่ื ฟอกจิตใจของประชาชนผูไ้ ดส้ ดบั ฟงั พระธรรมคาํ สอนจากพระโอษฐข์ องพระพุทธองค์ ยงั ความศรทั ธาเลอ่ื มใสใหเ้ กิดข้นึ และขอถึงซ่งึ พระรตั นตรยั เป็นสรณะเป็นจาํ นวนมาก ๓. ปโทเส ภกิ ขฺ ุโอวาท คือ เวลาคาํ่ ประทานโอวาทแก่ภกิ ษุสงฆส์ าวกใหไ้ ดร้ ูธ้ รรม รูว้ นิ ยั และใหก้ รรมฐานแก่ พระภกิ ษุสงฆ์ และยงั ตอบคาํ ถามแก่ภกิ ษุสงฆท์ ม่ี วี จิ กิ จิ ฉา คอื ความลงั เลสงสยั ในธรรม ในการปฏบิ ตั ิ ๔. อฑฒฺ รตเฺ ต เทวปญฺห คือ เวลาเทย่ี งคืนทรงตอบปญั หาเทวดา ๕. ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกน คือ เวลาเชา้ มดื ทรงตรวจดูอปุ นิสยั ของสตั วท์ ่คี วรบรรลุ ธรรม แลว้ เสดจ็ ไปโปรดสงั่ สอน สรุปทา้ ยว่า ‚เอเต ปญฺจวิเธ กจิ ฺเจ วิโสเธติ มุนิปุงฺคโว‛ พระพุทธเจา้ องคพ์ ระมนุ ีผูป้ ระเสริฐทรงยงั กิจ ๕ ประการน้ีใหห้ มดจด พทุ ธกจิ ประการท่ี ๕ น้ีเอง เป็นจุดเด่นในการทาํ งานของพระพทุ ธเจา้ จนทาํ ใหผ้ ูศ้ ึกษาพระพทุ ธศาสนา บาง คนมคี วามรูส้ กึ ว่าทาํ ไมคนแต่ก่อนสาํ เร็จกนั ง่ายเหลอื เกนิ ถา้ ศึกษารายละเอียดแลว้ จะพบว่าไม่มคี าํ ว่างา่ ยเลย เพราะ ๓๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒๘, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พ์ ผลธิ มั ม,์ ๒๕๕๙), หนา้ ๒๖๘. ๓๒ ข.ุ จู.(บาล)ี ๓๐/๖๖๗/๓๒๒., ข.ุ ปฏ.ิ (บาล)ี ๓๑/๔๔๙/๓๒๙., ../๗๑๕/๖๑๕.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๕๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง นอกจากจะอาศยั วาสนาบารมขี องคนเหลา่ นน้ั เป็นฐานอย่างสาํ คญั แลว้ การแสดงธรรมของพระองคน์ นั้ เป็นระบบการ ทาํ งานทม่ี กี ารศึกษาขอ้ มลู การประเมนิ ผล การสรุปผลในการแสดงธรรมทุกคราว หลงั จากท่บี ุคคลนน้ั ๆ ปรากฏในข่ายพระญาณของพระพุทธเจา้ คือทรงรูว้ ่าเขาเป็นใคร? มอี ุปนิสยั บารมี อยา่ งไร? แสดงธรรมอะไรจงึ ไดผ้ ล? หลงั จากแสดงธรรมแลว้ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร? ดงั นน้ั การแสดงธรรมทกุ ครง้ั ของพระพทุ ธองค์ จงึ บงั เกดิ ผล เป็นอศั จรรยเ์ พราะจะทรงแสดงเฉพาะแก่ผูเ้ป็นพทุ ธเวไนย คือสามารถแนะนาํ ใหร้ ูไ้ ด้ เป็นหลกั พทุ ธจริยาประการท่ี ๒ ญาตตั ถจริยา ทรงบาํ เพญ็ ประโยชนแ์ ก่พระญาติ เช่นการทรงมพี ระพทุ ธานุญาต พิเศษ ใหพ้ รญาติของพระองค์ ท่ีเป็นเดียรถีย์ (นกั บวชภายนอกพระพุทธศาสนา) มาก่อน ใหเ้ ขา้ บวชในพรุพุทธ ศาสนาได้ โดยไม่ตอ้ งอยู่ติตถิยปริวาสก่อน (ติตถิยปริวาส คือ วิธีอยู่กรรมสําหรบั เดียรถีย์ท่ีขอบวชใน พระพทุ ธศาสนา จะตอ้ งประพฤตปิ รวิ าส (การอยู่ชดใชห้ รืออยู่กรรม) ก่อน ๔ เดือน หรอื จนกว่าพระสงฆพ์ อใจจึงจะ อปุ สมาบทได)้ หรือการท่พี ระพทุ ธเจา้ เสด็จไปโปรดพระญาติท่กี รุงกบลิ พสั ดุ์ ทรงแนะนาํ ใหพ้ ระญาติซ่งึ กาํ ลงั จะทาํ สงครามกนั ไดเ้ขา้ ใจในเหตผุ ล สามารถปรองดองกนั ได้ พทุ ธจริยาประการท่ี ๓ พทุ ธตั ถจริยา ทรงทาํ หนา้ ท่ขี องพระพุทธเจา้ เช่น ทรงวางสิกขาบทเป็นพทุ ธอาณา สาํ หรบั ควบคุมความประพฤติของผูท้ ่เี ขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา ทรงแนะนาํ ใหบ้ รรพชิตและคฤหสั ถป์ ฏิบตั ิให้ ถูกตอ้ งตามหนา้ ท่ขี องตน ทรงวางพระองคต์ ่อผูท้ ่เี ขา้ มาบวชและแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสกิ า ในฐานะของบดิ ากบั บตุ ร ผูป้ กครองกลั ยาณมติ ร ศาสดาผูเ้อ็นดูเป็นตน้ ตามสมควรแก่บุคคลและโอกาสนนั้ ๆ จนสามารถประดิษฐาน เป็นรูปสถาบนั ศาสนาสบื ต่อกนั มาได้ หลกั ในการตอบ ๔ วธิ ี คนท่เี ผา้ พระพทุ ธเจา้ นนั้ มที ุกระดบั ฐานะทางสงั คม คือจากบคุ ลระดบั พระเจา้ แผ่นดินผูค้ รองแควน้ ลงไป จนถงึ จณั ฑาลท่เี ป็นวรรณะตอ้ งหา้ มสาํ หรบั คนในสมยั นน้ั เจตนารมณใ์ นการมาเฝ้าพระบรมศาสดานนั้ ก็แตกต่างกนั ออกไป โดยเฉพาะคนทถ่ี อื ตนเองวา่ เป็นนกั ปราชญม์ กั จะมาเฝ้าเพอ่ื ตอ้ งการทดสอบทาํ นองลองดกี ็มอี ยู่ไม่นอ้ ย แต่ใน ฐานะพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงช้แี จงแสดงธรรมใหค้ นเหลา่ นน้ั เขา้ ใจเหตผุ ลท่ถี กู ตอ้ ง กลายเป็นคนอ่อนนอ้ ม ยอมตนนบั ถอื พระพทุ ธเจา้ เป็นอนั มาก จนถงึ กบั สรา้ งความรษิ ยาอาฆาตใหเ้กดิ ข้นึ แก่กลุ่มผลประโยชน์ คือคณาจารย์ เจา้ ลกั ธทิ ่มี อี ยู่ก่อน แมว้ ่าคนเหล่านน้ั เพยี รพยายามทาํ ลายพระบรมศาสดาดว้ ยวธิ ีการต่างๆ แต่ตอ้ งพ่ายแพพ้ ทุ ธานุ ภาพไปในทส่ี ุด คนทเ่ี ฝ้าพระพทุ ธเจา้ นน้ั มที กุ ระดบั ฐานะทางสงั คม คือจากบคุ ลระดบั พระเจา้ แผ่นดนิ ผูค้ รองแควน้ ลงไป จนถงึ จณั ฑาลทเ่ี ป็นวรรณะตอ้ งหา้ มสาํ หรบั คนในสมยั นนั้ เจตนารมณใ์ นการมาเฝ้าพระบรมศาสดานน้ั ก็แตกต่างกนั ออกไป โดยเฉพาะคนทถ่ี อื ตนเองว่าเป็นนกั ปราชญ์ กม็ กั จะมาเฝ้าเพอ่ื ตอ้ งการทดสอบ ทาํ นองลองดกี ็มอี ยู่ไม่นอ้ ยแต่ ในฐานะ พระอรหนั ตสมั มา สมั พทุ ธเจา้ ทรงช้แี จง แสดงธรรม ใหค้ นเหล่านน้ั เขา้ ใจเหตุผลท่ถี กู ตอ้ ง จนกลายเป็นคน อ่อนนอ้ มยอมตนนบั ถอื พระพทุ ธเจา้ เป็นอนั มาก จนถงึ กบั สรา้ งความรษิ ยาอาฆาตใหเ้กิดข้นึ แก่กลุม่ ผลประโยชน์ คือ คณาจารยเ์ จา้ ลกั ธิทม่ี อี ยู่ก่อน แต่แมว้ ่าคนเหล่านน้ั จะเพยี รพยายามทาํ ลายพระบรมศาสดา ดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ แต่ใน ทส่ี ุด กต็ อ้ งพา่ ยแพแ้ ก่พทุ ธานุภาพไปในทส่ี ุด

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๕๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พระพทุ ธเจา้ ทรงไดร้ บั การขนานพระนามว่า พระบรมศาสดา ซ่งึ แปลว่า พระศาสดาผูย้ อดเยย่ี ม ในพระบาลี มบี ทพทุ ธคุณว่า‚สตฺถา เทวมนุสฺสาน‛๓๓ และว่า‚อนุตฺตโร ปุริสทมมฺ สารถิ‛๓๔ เป็นสารถฝี ึกผูท้ ่คี วรฝึกไดอ้ ย่างยอด เยย่ี ม พระนามเหลา่ น้ีแสดงความหมายอยู่ในตวั ว่า สุดยอดของนกั ปราชญ์ และพทุ ธศาสนิกชนทง้ั หลายเคารพบูชา และยกย่องเทดิ ทูนพระองค์ ในฐานะทรงเป็นนกั การสอนผูย้ ่งิ ใหญ่ท่ีสุด ทรงมพี ระปรีชาสามารถอย่างยอดเย่ยี มใน การอบรมสงั่ สอนพระพทุ ธเจา้ ทรงมีวิธีการสอนท่ีแยบยล และทรงใชว้ ิธีสอนหลายแบบในการประกาศพระศาสนา ตลอดพระชนมช์ พี ของพระองค์ เมอ่ื พระองคต์ รสั รูแ้ ลว้ ทกุ ย่างกา้ ว พระองคท์ รงอยู่ในพระอาการสงั่ สอนมนุษยท์ งั้ ส้นิ วธิ ีการของพระองคเ์ กิดข้ึนจากปฏปิ ทาแห่งพระองคท์ ง้ั ส้นิ การท่พี ระองคท์ รงสงั่ สอนวิธีใดนน้ั ย่อมข้นึ อยู่กบั บุคคล สภาพแวดลอ้ มเหตกุ ารณ์ และภาวะปญั หาต่างๆ เสมอ การสอนของพระพทุ ธองคม์ หี ลายแบบตามความเหมาะสมแก่ บุคคล และกาลเทศะ เช่น แบบสนทนาหรอื สากจั ฉา แบบบรรยาย แบบตอบปญั หาและแบบวางกฎขอ้ บงั คบั ๓๕ การ ถามปญั หาและการตอบปญั หาเป็นวธิ ีการสอนแบบหน่ึง พระพทุ ธเจา้ ทรงใชบ้ ่อยท่สี ุด ในสงั คีติสูตรไดแ้ ยกประเภท ปญั หาไวต้ ามลกั ษณะวธิ ีตอบเป็น ๔ อย่าง คือในกรณีของคนท่มี าเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธเจา้ เพ่อื ถามปญั หานน้ั พระบรม ศาสดาทรงมหี ลกั ในการตอบ ๔ วธิ ดี ว้ ยกนั พระสูตรเป็นอนั มากท่ีเกิดมาจากมผี ูต้ ง้ั คาํ ถาม (ปุจฉาวสกิ า)๓๖ แลว้ พระพุทธเจา้ ทรงตอบ การท่ีมผี ูถ้ าม แสดงว่าเขากาํ ลงั สนใจเร่อื งนน้ั อยู่ แต่ไมส่ ามารถหาคาํ ตอบดว้ ยตนเองได้ การตอบคาถามของพระพทุ ธเจา้ มี ๔ วธิ ี เรยี กว่า ‚ปญั หาพยากรณ์‛๓๗ คอื ๑. เอกงั สพยากรณียปญั หา ตอบยืนยนั โดยส่วนเดียว ตวั อย่างเช่น มงคลสูตร มผี ูถ้ ามว่าอะไรบา้ งทเ่ี ป็น มงคล พระพทุ ธเจา้ ทรงตอบวา่ มงคลมี ๓๘ ประการ เช่น การไม่คบคนชวั่ คบคนดี บูชาผูท้ ่คี วรบูชา เป็นตน้ หรือมี ผูถ้ ามว่า ทาํ ดี ไดด้ ี ทาํ ชวั่ ไดช้ วั่ จรงิ หรอื ไม่ พระพทุ ธเจา้ จะทรงยนี ยนั ว่าเป็นเช่นนนั้ จรงิ หรอื ถามว่า ทาํ อย่างไรจึงจะ พน้ ทกุ ข์ กท็ รงบอกว่า การปฏบิ ตั ติ ามอรยิ มรรค มอี งค์ ๘ จะทาํ ใหพ้ น้ ทกุ ขไ์ ด้ ๒. ปฏปิ จุ ฉาพยากรณียปญั หา ตอบโดยการยอ้ นถาม หรือไม่ตอบโดยตรง แต่ตอบโดยนยั ใหผ้ ูฟ้ งั เขา้ ใจเอา เอง เช่นมผี ูถ้ ามว่า ๐ทางไปสูค่ วามเป็ นพรหม ท่พี วกพราหมณ์สอนไวต้ ่างๆ กนั น้ันถูกหรือผิด๑ พระองคท์ รงยอ้ น ถามว่า ๐แลว้ พวกพราหมณ์เคยเห็นพรหมบา้ งหรือไม่๑ เม่อื เขาตอบว่า ‚ไม่เคย‛ พระองคก์ ็ตรสั ว่า ๐เม่ือพวก พราหมณ์ไม่เคยเห็นพรหม ไม่รูจ้ กั พรหม จะบญั ญตั ิทางไปสู่ความเป็ นพรหมไดอ้ ย่างไร๑ หรือมีผูถ้ ามว่า พวก พราหมณ์ถอื ว่าเขาเกิดมาจากปากของพรหม ขอ้ น้ีเป็นความจริงเพยี งไร พระองคท์ รงตอบว่า ใครๆ ก็ทราบว่าพวก พราหมณ์เกิดมาจากมารดา ซ่ึงเป็นนางพราหมณี ถา้ เขาถือว่าเขาเกิดมาจากปากพรหมแลว้ ช่องคลอดของนาง ๓๓ คาํ ๆ น้กี ลา่ วถงึ มากมายในพระไตรปิฎก หมายถงึ พระศาสดาของเทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย เช่น ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๕๕/๖๕, ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/ ๑๕๗/๕๐., อภ.ิ ป.ุ (ไทย) ๓๖/๑๗๗/๒๐๘. ๓๔ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๙๘/๑๒๔., ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๑๕๙/๑๐๓., อภ.ิ ป.ุ (ไทย) ๓๖/๑๗๗/๒๐๘. ๓๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธวธิ ีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕), หนา้ ๔๕. ๓๖ เหตเุ กดิ ข้นึ ของพระสูตร มี ๔ ประการคอื ๑. อตั ตชั ฌาสยะ เกดิ เพราะพระอธั ยาศยั ของพระองค์ ๒. ปรชั ฌาสยะ เกดิ เพราะอธั ยาศยั ของผูอ้ น่ื ๓. ปจุ ฉาวสกิ ะ เกดิ เพราะอาํ นาจการถาม ๔. อตั ถปุ ปตั ติกะ เกดิ โดยเหตทุ เ่ี กดิ ข้นึ ในขณะนนั้ ๆ อา้ งถงึ ใน บทนาํ ท.ี ส.ี ๙/(๘)., ท.ี ส.ี อ.(ไทย) ๑/ ๕/๕๐. ๓๗ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑, องฺ.จตกุ กฺ .(ไทย) ๒๑/๔๒/๗๐.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๖๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พราหมณีนนั่ แหละ คือปากของพรหม หรอื มผี ูถ้ ามว่า การอาบนาํ้ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิในแมน่ าํ้ คงคา ทาํ ใหบ้ ริสุทธ์ไิ ปสวรรคไ์ ด้ จรงิ หรอื ไม่ พระองคท์ รงตอบวา่ ถา้ การอาบนาํ้ ในแมน่ าํ้ คงคาทาํ ใหไ้ ปสวรรคจ์ ริง แลว้ ปลาและเต่าในแม่นาํ้ คงคา จะไป สวรรคก์ ่อนมนุษยเ์ สยี อีก ๓. วิภชั ชพยากรณียปญั หา ตอบจาํ แนกแยกแยะใหเ้ หน็ ขอ้ เทจ็ จริง เช่น มผี ูถ้ ามว่า ศีล ๕ ขอ้ ไหนสาํ คญั กว่ากนั พระองคท์ รงตอบว่า ศีล ๕ แต่ละขอ้ ต่างก็มคี วามสาํ คญั ในตวั เอง จะว่าขอ้ ไหนสาํ คญั กว่าขอ้ ไหนไม่ได้ การ ปฏิบตั ิใหค้ รบทงั้ ๕ ขอ้ นนั้ แหละเป็นส่งิ สาํ คญั หรือ มผี ูถ้ ามว่าคนตายแลว้ เกิดหรือไม่ พระองคจ์ ะไม่ทรงยนื ยนั ว่า ตายแลว้ เกิดหรือไม่เกิด แต่จะทรงจาํ แนกว่า ถา้ คนยงั มีตณั หาอยู่ ตายแลว้ ตอ้ งเกิด เพราะ ‚กมฺม เขตฺต‛ กรรม เปรียบเหมอื นพ้นื ทน่ี า ‚วิญฺญาณ พชี ‛ วญิ ญาณเปรียบเหมอื นเมลด็ พชื ‚ตณฺหา สเิ นโห‛ ตณั หาเปรียบเหมอื นตน้ อ่อนภายในพชื เมลด็ พชื ทส่ี มบรูณด์ ี หว่านลงในนาทเ่ี หมาะสม ย่อมงอกข้นึ ไดฉ้ นั ใด คนทย่ี งั มตี ณั หายงั กระทาํ กรรม อยู่ ตายแลว้ ย่อมเกิดอีกฉนั นนั้ ส่วนคนท่สี ้นิ ตณั หา คือบรรลุพระอรหตั ตผลแลว้ ตาย แลว้ ย่อมไม่เกิดอีก เหมอื น ไฟดบั ไปเพราะหมดเช้อื เพลงิ ฉะนน้ั ๔. ฐปนียปญั หา ปญั หาท่คี วรงดเสยี ไม่ตอบ ถา้ มผี ูถ้ ามโดยม่งุ หวงั จะใหพ้ ระพุทธเจา้ ตอบ เพ่อื สนบั สนุน ความคิดของตน หรือลทั ธิของตน พระองค์จะไม่ทรงตอบ เช่น มีผูถ้ ามว่า โลกน้ีใครสรา้ ง โลกน้ีจะมีอยู่ยงั่ ยืน ตลอดไปหรือไม่ คนตายแลว้ อตั ตาไปไหน เป็นตน้ พระองคต์ รสั ว่า คาํ ถามอย่างน้ีตถาคตไม่ตอบ เพราะตอบไปแลว้ ไมไ่ ดป้ ระโยชนอ์ ะไร ไมส่ ามารถทาํ ใหห้ ลุดพน้ ทุกขไ์ ด้ ถา้ ตอ้ งการจะถาม กถ็ ามคาํ ถามทม่ี ปี ระโยชน์ ดกี ว่า เพราะพระพุทธเจา้ ดาํ รสั ทุกคราวของพระพุทธเจา้ วางอยู่บนหลกั ท่ีว่า ๐ตอ้ งเป็นเร่ืองจริง เป็นธรรมมี ประโยชน์ เหมาะสมแก่กาล คนฟงั อาจจะชอบใจบา้ ง ไม่ชอบใจบา้ งก็ได้ แต่ถา้ คุณสมบตั ิ ๔ ประการขา้ งตน้ มอี ยู่จะ ตรสั พระดาํ รสั นน้ั ๑ เกณฑใ์ นการตรสั วาจาของพระพทุ ธเจา้ ๓๘ ๑. วาจาท่ีไม่จริง /ไม่แท้ /ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ /วาจานนั้ ไม่เป็นท่ีรกั /ไม่เป็นท่ีชอบใจของผูอ้ ่ืน - ตถาคต ไมก่ ลา่ ววาจานน้ั ๒. วาจาทจ่ี รงิ /ทแ่ี ท้ /ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ /วาจานน้ั ไม่เป็นทร่ี กั /ไมเ่ ป็นท่ชี อบใจของผูอ้ ่นื - ตถาคต ไมก่ ลา่ ววาจานนั้ ๓. วาจาท่จี ริง /ท่แี ท้ /ประกอบดว้ ยประโยชน์ /วาจานนั้ ไม่เป็นท่รี กั /ไม่เป็นท่ชี อบใจของผูอ้ ่ืน - ตถาคต ย่อมรูก้ าลทจ่ี ะพยากรณว์ าจานน้ั ๔. วาจาทไ่ี มจ่ รงิ /ไมแ่ ท้ /ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ /แต่วาจานน้ั เป็นท่รี กั /เป็นท่ชี อบใจของผูอ้ ่นื - ตถาคต ไมก่ ลา่ ววาจานน้ั ๕. วาจาทจ่ี ริง/ท่แี ท้ /ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ /แต่วาจานน้ั เป็นท่รี กั /เป็นท่ชี อบใจของผูอ้ ่นื - ตถาคตไม่ กลา่ ววาจานนั้ ๓๘ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๖/๘๘.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๖๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๖. วาจาทจ่ี รงิ /ทแ่ี ท้ /ประกอบดว้ ยประโยชน์ /วาจานน้ั เป็นทร่ี กั /เป็นทช่ี อบใจของผูอ้ ่นื – ตถาคต ย่อมรูก้ าล ทจ่ี ะพยากรณว์ าจานนั้ ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะตถาคตมคี วามเอน็ ดูในหมสู่ ตั วท์ ง้ั หลาย๓๙ ธรรมเทสกธรรม คือธรรมของนกั เทศก,์ องคแ์ ห่งธรรมกถกึ , ธรรมทผ่ี ูแ้ สดงธรรมหรือสงั่ สอนคนอ่นื ควรตง้ั ไวใ้ นใจ (qualities of a preacher; qualities which a teacher should establish in himself) มบี นั ทกึ ไวใ้ นอุ ทายสี ูตร๔๐ ท่พี ระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผูอ้ ่ืนมใิ ช่ทาํ ไดง้ ่าย ภกิ ษุเมอ่ื จะแสดงธรรมแก่ผูอ้ ่ืน พงึ ตง้ั ธรรม ๕ ประการไวใ้ นตนแลว้ จงึ แสดงธรรมแก่ผูอ้ น่ื ธรรม ๕ ประการอะไรบา้ ง คือภกิ ษุพงึ ตงั้ ใจวา่ ๑. อนุปุพพฺ กิ ถํ กเถสฺสามิ : เราจกั กล่าวความไปตามลาํ ดบั คือแสดงหลกั ธรรมหรือเน้ือหาวิชาตามลาํ ดบั ความงา่ ยยากลุม่ ลกึ มเี หตผุ ลสมั พนั ธต์ ่อเน่ืองกนั ไปโดยลาํ ดบั (His instruction or exposition is regulated and gradually advanced.) ๒. ปรยิ ายทสฺสาวี กถํ กเถสฺสามิ : เราจกั ช้แี จงยกเหตุผลมาแสดงใหเ้ขา้ ใจ คือช้แี จงใหเ้ขา้ ใจชดั ในแต่ละแง่ แต่ละประเด็น โดยอธิบายขยายความ ยกั เย้อื งไปต่างๆ ตามแนวเหตุผล (It has reasoning or refers to causality) ๓. อนุทยตํ ปฏจิ จฺ กถํ กเถสฺสามิ : เราจกั แสดงธรรมดว้ ยอาศยั เมตตา คือสอนเขาดว้ ยจิตเมตตา ม่งุ จะให้ เป็นประโยชนแ์ ก่เขา (It is inspired by kindness; teaching out of kindliness.) ๔. น อามสิ นฺตโร กถํ กเถสฺสามิ : เราจกั ไมแ่ สดงธรรมดว้ ยเหน็ แก่อามสิ คือ สอนเขามใิ ช่เพราะม่งุ ทต่ี นจะ ไดล้ าภ หรอื ผลประโยชนต์ อบแทน (It is not for worldly gain.) ๕. อตฺตานํฺจ ปรํฺจ อนุปหจฺจ กถํ กเถสฺสามิ : เราจกั แสดงธรรมไม่กระทบตนและผูอ้ ่ืน คือ สอนตาม หลกั ตามเน้ือหา ม่งุ แสดงธรรม แสดงธรรม ไม่ยกตน ไมเ่ สยี ดสขี ม่ ขผ่ี ูอ้ ่นื (It does not hurt oneself or others; not exalting oneself while contempting others) หลกั ในการแสดงธรรม ๔ วธิ ี ชมพทู วปี ในสมยั พทุ ธกาล มคี วามเจริญกา้ วหนา้ ในดา้ นศาสนาและปรชั ญาอย่างสูง พระพทุ ธเจา้ จงึ เปรียบ ดว้ ยประทปี ดวงใหญ่ในท่ามกลางดวงประทปี เป็นอนั มาก ชนชาวชมพทู วรี อคอยศาสดาเช่น พระพทุ ธองค์มานาน เมอ่ื บงั เกิดข้ึนในโลกจริงๆ จนมีพยานยืนยนั การตรสั รูข้ องพระองคเ์ ป็นอนั มาก และคนท่ีมายอมตนเป็นสาวกของ พระพุทธเจา้ ในยุคแรก ลว้ นเป็นคนชน้ั นาํ ในสงั คมทงั้ นน้ั คือ คณาจารยน์ กั บวช พระราชา เศรษฐี ขุนนางอาํ มาตย์ ขา้ ราชการผูใ้ หญ่ การทาํ งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระองค์ จึงกา้ วหนา้ และประสบความสาํ เร็จในเวลา อนั รวดเรว็ มาก ในช่วงตอนตน้ พทุ ธกาลนนั้ มกี ษตั ริยร์ ะดบั มหาราช ๔ ประองค์ คือ พระเจา้ พิมพิสาร (แควน้ มคธ) พระ เจา้ ปเสนทโิ กศล (แควน้ โกศล) พระเจา้ จณั ฑปชั โชติ (แควน้ อวนั ต)ี และพระเจา้ อุเทน (แควน้ วงั สะ) ทรงแสดงตนเป็น อุบาสกนบั ถอื พระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ผยแผ่เขา้ สู่แควน้ ต่างๆ ในชมพูทวปี เช่น สกั กะ วชั ชี มลั ละ กุรุ ปญั จาละ องั คะ มคธ กาสี โกศล วงั สะ อวนั ตี เป็นตน้ ซ่ึงเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาท่ีรวดเร็วมาก โดยท่ี ๓๙ ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๒๒-๑๒๓. ๔๐ องฺ.ปํฺจก.(ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๖๓.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๖๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง พระพุทธเจา้ ไม่เคยอาศยั พระราชอาํ นาจของพระราชาเหล่านนั้ เขา้ ช่วยสนบั สนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเลย พระพทุ ธเจา้ ทรงมหี ลกั การในการแสดงธรรมของพระองคซ์ ง่ึ อาจจดั ไดเ้ป็น ๔ วธิ คี ือ ๑. ยอมรบั พระพทุ ธเจา้ ทรงยอมรบั นบั ถอื คาํ สอนของนกั ปราชญต์ ่างๆ ทม่ี มี าก่อนหรอื ร่วมสมยั กบั พระองค์ ในกรณีทค่ี าํ สอนนน้ั เป็นเรอ่ื งจรงิ ในธรรม มปี ระโยชนแ์ ก่ผูป้ ฏบิ ตั ิ ๒. ปฏวิ ตั ิ หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงแบบตรงกนั ขา้ ม เช่นคนในสมยั พทุ ธกาลถอื ว่า การทรมานตนใหไ้ ดร้ บั ความลาํ บาก กบั การแสวงหาความสุขจากกามคุณ เป็นทางแหง่ ความสุข ความหลุดพน้ พระพทุ ธเจา้ ทรง ปฎเิ สธตง้ั แต่ พระธรรมเทศนาครง้ั แรกว่าเป็น หนทางทบ่ี รรพชติ ไมค่ วรเสพ หรอื เขาถอื ว่าการทรมานตนเป็นตบะ แต่พระพุทธเจา้ ทรงแสดงว่าขนั ตเิ ป็นบรมตบะ เขาสอนว่าการอยู่ร่วมกบั ปรมาตมนั บรมพรม พระพรหมว่าเป็นบรมธรรม พระบรม ศาสดาทรงแสดงว่า นิพพานเป็นบรมธรรม เขาสอนว่า การฆ่าสตั วท์ กุ ชนิดเป็นบาป เป็นตน้ ๓. ปฏริ ูป คือการเปลย่ี นแปลงหลกั การ เจตจาํ นง และวิธีการท่มี อี ยู่ก่อนแลว้ อย่างเช่น เร่ืองการจาํ พรรษา การลงอโุ บสถ เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ่ที าํ กนั มาก่อน พระพทุ ธเจา้ ทรงปฏริ ูป คือการเปลย่ี นแปลงหลกั การเจตจาํ นง และวธิ กี าร ท่มี อี ยู่ก่อนแลว้ อย่างเช่น เร่ืองการจาํ พรรษา การลงอุโบสถเป็นขอ้ ปฏิบตั ิท่ีทาํ กนั มาก่อน พระพุทธศาสนาว่าภิกษุ สมณะ บรรพชติ นกั บวช เป็นตน้ ทรงปฏริ ูปโดยนิยามความหมายเสยี ใหม่เพราะการเผยแผ่ศาสนาจาํ ตอ้ งอาศยั ถอ้ ยคาํ ท่เี ขาพูดกนั ในสมยั นน้ั จงึ ตอ้ งใชต้ ามโดยการนิยามความหมายเสยี ใหม่ คาํ ในพระพทุ ธศาสนาเป็นอนั มากท่ที รงแสดง จงึ ตอ้ งมกี ารไขความใหเ้ขา้ ใจตามหลกั ของพระพทุ ธศาสนา หลกั การปฏริ ูปจงึ หมายถงึ การกระทาํ ความเช่อื นนั้ ๆ มสี ่วน ดอี ยู่บา้ ง แต่ยงั มคี วามบกพร่องอยู่ จงึ ทรงปรบั ปรุงใหด้ ีข้นึ เพอ่ื ใหเ้กดิ ผลในทางปฏบิ ตั สิ มบูรณข์ ้นึ ๔. หลกั การใหม่ พระพุทธเจา้ ทรงตงั้ หลกั การข้นึ ใหม่ คือเรืองน้ีไม่มีการสงั่ สอนกนั ในสมยั นน้ั เช่นหลกั อรยิ สจั ๔ ปฏจิ จสมปุ บาทอนตั ตานิพพาน เป็นตน้ ๔.๓ พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ ในวนั เพญ็ เดือน ๖ ขณะมพี ระชนมายุ ๓๕ พรรษา ในระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบาํ เพ็ญพุทธกิจ จวบจนทรงดบั ขนั ธปรินิพพานเม่ือพระชนมายุ ๘๐ พรรษานนั้ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้สดจ็ ไปประทบั จาํ พรรษา ณ สถานท่ตี ่าง ๆ ซง่ึ ท่านไดป้ ระมวลไว้ พรอ้ มทงั้ เหตุการณ์สาํ คญั บางอย่าง อนั ควรสงั เกตดงั น้ี พรรษาท่ี ๑ (ปี ระกา) ประทบั จาพรรษา ณ ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ใกลก้ รุงพาราณสี ภายหลงั จากพระมหาบรุ ุษตรสั รูอ้ นุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ๔๑ แลว้ พระองคท์ รงประทบั เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข คือสุข อนั เกิดแต่ความหลุดพน้ จากกิเลส อาสวะ และปวงทุกข์ ณ ริมฝงั่ แม่นาํ้ เนรญั ชรา เป็นเวลา ๗ สปั ดาห์ จากนนั้ พระพทุ ธเจา้ เสด็จดาํ เนินจากโพธมณฑล ดาํ บลอรุ ุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ไปยงั ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั ใกลก้ รุง ๔๑ ว.ิ ม.(ไทย) ๑/๑/๑.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๖๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พาราณสี๔๒ แควน้ กาสี ใชเ้ วลาเสด็จพุทธดาํ เนิน ๑๑ วนั เสด็จถึงป่าอิสิปตนฤคทายวนั ใน เวลาเย็นวนั ข้นึ ๑๔ คาํ่ เดอื น ๘ ปีระกา ในพรรษา - แสดงปฐมเทศนาโปรดปญั จวคั คียท์ ง้ั ๕ พระสงฆเ์ กดิ ข้นึ ครงั้ แรกในโลก - โปรดพระยสะ และ สหาย ๔๕ คน พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา ๐ธมั มจกั รกปั ปนวตั ตนสูตร๑ ทาํ ใหเ้กิดมปี ฐมสาวกและพระอริยบุคคล คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะเกิดสงั ฆรตั นะ คาํ รบพระรตั นตรยั มพี ระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้นึ โดยบริบูรณ์ ใน วนั เพญ็ เดอื น ๘ อนั เป็นทม่ี าขาองการบูชาในเดอื น ๘ คอื ‚อาสฬบูชา‛ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมโปรดปจั จวคั คีย์ ไดบ้ รรลุพระอรหนั ตท์ ง้ั ๕ องค์ จากนนั้ ทรงแสดงธรรมโปรด พระยสะภิกษุสาวกองคท์ ่ี ๖ ของพระพุทธเจา้ ไดบ้ รรลุพระอรหตั ถผล ครง้ั นน้ั มบี ุตรเศรษฐีชาวเมอื งพารณสี ๔ คน ซง่ึ เป็นสหายรกั ของพระยสะ เขา้ เฝ้าฟงั ธรรมไดอ้ ปุ สมบท ๕๐ คน ไดส้ ดบั ธรรมและอปุ สมบทไดบ้ รรลุพระอรหตั ถผล ดว้ ยกนั ทงั้ หมด จงึ เกดิ มพี ระอรหนั ตร์ วมทงั้ พระบรมศาสดาดว้ ย ๖๑ องค๔์ ๓ ออกพรรษาปวารณาแลว้ - ทรงอนุญาตใหส้ าวก ๖๐ รูป มอี าํ นาจบวชกุลบุตรได้ โดยวธิ ใี หร้ บั ไตรสรณคมน์ - โปรดภทั ทวคั คีย์ ๓๐ รูป - โปรดชฎลิ ๓ พ่นี อ้ ง พรอ้ มดว้ ยบริวาร ๑,๐๐๐ รูป ดว้ ยการแสดงอาทติ ตปริยายสูตร สาํ เรจ็ พระอรหนั ต์ หมด - เสดจ็ กรุงราชคฤหโ์ ปรดชาวเมอื งและพระเจา้ พมิ พสิ ารเป็นพระโสดาบนั - พระเจา้ พมิ พสิ ารสรา้ งถวายวดั เวฬุวนั นบั ว่าเป็นวดั แรกในพระพทุ ธศาสนา และทรงอนุญาตใหส้ งฆส์ าว กรบั วดั ทม่ี ผี ูส้ รา้ งถวายได้ - พระอญั ญาโกณฑญั ญะบวชทา่ นปณุ ณมนั ตานีบตุ ร (ลูกนอ้ งสาว) บรรลพุ ระอรหนั ต์ - ทรงรบั ๒ อคั รสาวก คือพระสารบี ุตร และพระโมคคลั ลานะ บวช และทรงประกาศตงั้ ไวใ้ นตาํ แหน่งอคั ร สาวก - ทรงใหพ้ ระมหากสั สปะ บวชดว้ ยวธิ ใี หร้ บั โอวาท ๓ ขอ้ พรรษาท่ี ๒-๓-๔ (ปีจอ-กนุ -ชวด) ประทบั จาพรรษา ณ พระเวฬวุ นั วหิ าร พระนครราชคฤห์ พระพทุ ธเจา้ เสด็จไปประทบั จาํ พรรษา ณ ลฏั ฐวิ นั สวนตาลหนุ่ม๔๔ อยู่ทศิ ตะวนั ตกเฉียงใตข้ องพระนครรา ชคฤห์ พระเจา้ พมิ พสิ ารกษตั รยิ ผ์ ูค้ รองพระนครและแควน้ มคธ เขา้ เฝ้าพรอ้ มดว้ ยขา้ ราชบรพิ ารจาํ นวนมาก ทรงสดบั พระธรรมเทศนา ไดธ้ รรมจกั ษุ ประกาศพระองคเ์ ป็นอุบาสกและถวายพระเวฬุวนั ซ่ึงเป็นป่าไผ่สวนท่ีประพาส ๔๒ ว.ิ ม.(ไทย) ๑/๑๐/๑๖. ๔๓ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๓๑/๔๐. ๔๔ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๕๕/๖๕.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๖๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พกั ผ่อนของพระเจา้ พิมพิสาร อยู่ไม่ใกลไ้ ม่ไกล จากพระนครราชคฤห์ นครหลวงของแควน้ มคธ เป็นท่รี ่มร่ืนเงยี บ สงบ มีหนทางไปมาสะดวก พระเจา้ พิมพิสารถวายเป็นสงั ฆาราม นับเป็นวดั แรกในพระพุทธศา สนา ณ ท่ีน้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษา ท่ี ๒-๓-๔ เป็นลาํ ดบั การแห่งการประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาใหต้ ง้ั มนั่ ในชมพทู วปี พระบรมศาสดาพรอ้ มดว้ ย พระอรหนั ตส์ าวกทรงท่มุ เทจนพระพทุ ธศาสนาสามารถสถติ ตง้ั มนั่ หยงั่ รากลงลกึ และแผ่ ก่งิ กา้ นสาขาไปสู่ปริมณฑลดา้ นกวา้ งในชมพทู วปี ในลาํ ดบั กาลน้ีพระบรมศาสดาไดท้ รงตงั้ ตาํ แหน่งคู่แห่งอคั รสาวกคือ พระสารบี ุตรเถระ เป็นอคั รสาวกเบ้อื ง ขวา พระโมคคลั ลานะ เป็นอคั รสาวกเบ้อื งซา้ ย๔๕ พระพทุ ธเจา้ ทรงเสด็จนครกบลิ พสั ดุ์ เป็นครงั้ แรกภายหลงั จากตรสั รู้ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐแี หง่ นครสาวตั ถปี ระกาศตนเป็นอบุ าสก และเร่มิ ตน้ สรา้ งพระเชตุวนั มหาวหิ ารเพอ่ื ถวายแด่พระ บรมศาสดา พรรษาท่ี ๒ ประทบั จาํ พรรษาทว่ี ดั เวฬวุ นั มพี ระชนมายุ ๓๖ พรรษา ออกพรรษา - เสด็จเมอื งเวสาลี แควน้ วชั ชี ทรงสอนพระอานนทใ์ ห้ สาธยายรตั นสูตร ทาํ นาํ้ พระพทุ ธมนตบ์ รรเทาภยั ของชาวเมอื ง - พระอานนทฟ์ งั กถาวตั ถุ ๑๐ ประการ ของพระปณุ ณมนั ตานีบุตร บรรลุเป็นพระโสดาบนั ประวตั ิพระปณุ ณมนั ตานีบตุ รเถระ๔๖ พระพทุ ธองค์ ทรงแต่งตงั้ ใหเ้ป็นเอตทคั คะ วา่ “ปุณณมนั ตานีบตุ รเลศิ กว่าภกิ ษุสาวกทงั้ หลายของเรา ผูเ้ป็น ธรรมกถกึ ”๔๗ พระสุตตนั ตปิฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณั ณาสก์ รถวินีตสูตร มีบนั ทึกไวว้ ่า สมยั หน่ึง พระผูม้ ีพระภาค ประทบั อยู่ ณ พระเวฬุวนั กลนั ทกนิวาปสถาน เขตกรุงราชคฤห์ ครง้ั นนั้ ภกิ ษุผูม้ ถี ่นิ กาํ เนิดเดียวกนั จาํ นวนมาก จาํ พรรษาในทอ้ งถน่ิ (ของตน) แลว้ ไดม้ าเขา้ เฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ท่ปี ระทบั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ อยู่ ณทส่ี มควร พระผู้ มพี ระภาคตรสั ถามภกิ ษุเหลา่ นนั้ ว่า ๐ภกิ ษุทงั้ หลาย ภกิ ษุรูปไหนหนอ ทภ่ี กิ ษุเพอ่ื นพรหมจารใี นทอ้ งถ่นิ ยกย่องอย่างน้ี ว่า -ตนเองเป็นผูม้ กั นอ้ ย และกลา่ วอปั ปิจฉกถา (เรอ่ื งความมกั นอ้ ย) แก่ภกิ ษุทงั้ หลาย -ตนเองเป็นผูส้ นั โดษ และกล่าวสนั ตฏุ ฐกิ ถา (เร่ืองความสนั โดษ) แก่ภกิ ษุทงั้ หลาย -ตนเองเป็นผูส้ งดั และกลา่ วปวเิ วกกถา (เร่อื งความสงดั ) แก่ภกิ ษุทง้ั หลาย -ตนเองเป็นผูไ้ มค่ ลุกคลี และกลา่ วอสงั สคั คกถา (เรอ่ื งความไมค่ ลกุ คล)ี แก่ภกิ ษุทง้ั หลาย -ตนเองเป็นผูป้ รารภความเพยี ร และกลา่ ววริ ยิ ารมั ภกถา (เรอ่ื งการปรารภความเพยี ร) แก่ภกิ ษุทง้ั หลาย -ตนเองเป็นผูส้ มบรู ณด์ ว้ ยศีล และกลา่ วสลี สมั ปทากถา (เร่อื งความสมบูรณด์ ว้ ยศีล) แก่ภกิ ษุทงั้ หลาย -ตนเองเป็นผูส้ มบูรณ์ดว้ ยสมาธิ และกล่าวสมาธิสมั ปทากถา (เร่ืองความสมบูรณ์ดว้ ยสมาธิ) แก่ภิกษุ ทงั้ หลาย ๔๕ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๖๐/๗๒. ๔๖ ม.ม.(ไทย) ๑๒/๒๕๒-๒๖๐/๒๗๓-๒๘๔. ๔๗ องฺ.เอกก.(ไทย) ๒๐/๑๙๖/๒๖.,

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๖๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ -ตนเองเป็นผูส้ มบูรณด์ ว้ ยปญั ญา และกล่าวปญั ญาสมั ปทากถา (เร่อื งความสมบูรณ์ดว้ ยปญั ญา) แก่ภกิ ษุ ทง้ั หลาย -ตนเองเป็นผูส้ มบูรณ์ดว้ ยวิมตุ ติ และกล่าววิมตุ ติสมั ปทากถา (เร่ืองความสมบูรณ์ดว้ ยวิมตุ ติ) แก่ภิกษุ ทง้ั หลาย -ตนเองเป็นผูส้ มบูรณ์ดว้ ยวมิ ตุ ติญาณทสั สนะ และกลา่ ววมิ ตุ ติญานทสั สนสมั ปทากถา (เร่อื งความสมบูรณ์ ดว้ ยวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ) แก่ภกิ ษุทง้ั หลาย เป็นผูใ้ หโ้ อวาท แนะนาํ ช้ีแจงใหเ้พ่อื นพรหมจารีทง้ั หลายเหน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรับเอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจให้ อาจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่นื ร่าเรงิ ๑ ภกิ ษุทอ้ งถน่ิ เหล่านน้ั กราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ ท่านพระ ปุณณมนั ตานีบตุ รเป็นผูท้ พ่ี วกภกิ ษุเพอ่ื นพรหมจารเี ป็นผูใ้ หโ้ อวาท แนะนาํ ช้แี จงใหเ้พ่อื นพรหมจารที งั้ หลายเหน็ ชดั ชวนใจให้ อยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่นื ร่าเรงิ ขณะนนั้ ท่านพระสารีบุตรไดน้ งั่ เฝ้ าพระผูม้ พี ระภาคอยู่ ณ ท่ใี กลไ้ ดม้ คี วามคิดว่า ๐เป็นลาภของท่านพระ ปุณณมนั ตานีบุตร ท่านพระปณุ ณมนั ตานีบุตรไดด้ ีแลว้ ท่พี วกภกิ ษุเพ่อื นพรหมจารีผูเ้ป็นวิญํูชนเลอื กเฟ้ น กล่าว ยกย่องพรรณนาคุณเฉพาะพระพกั ตรข์ องพระศาสดา และพระศาสดาก็ทรงอนุโมทนาการกระทาํ นน้ั บางทเี ราคงได้ พบกบั ท่านพระปณุ ณมนั ตานีบุตรแลว้ สนทนาปราศรยั กนั สกั ครงั้ หน่ึง๑ ครง้ั นน้ั พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ท่กี รุงราชคฤหต์ ามพระอธั ยาศยั แลว้ จึงเสด็จจารกิ ไปโดยลาํ ดบั จนถึง กรุงสาวตั ถี ประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถี ท่านพระปุณณมนั ตานีบุตร ทราบขา่ วว่า ๐ไดย้ นิ วา่ พระผูม้ พี ระภาคเสดจ็ มาถงึ กรุงสาวตั ถี แลว้ ประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถ๑ี พระปณุ ณมนั ตานีบุตรเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองค์ ครง้ั นนั้ ท่านพระปุณณมนั ตานีบตุ รจงึ เก็บงาํ เสนาสนะ ถอื บาตรและจวี รจารกิ ไปโดยลาํ ดบั ตามทางทจ่ี ะไป ยงั กรุงสาวตั ถีถึงพระเชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถแี ลว้ จงึ เขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคถึงท่ี ประทบั ถวายอภิวาทแลว้ นงั่ อยู่ ณ ท่สี มควร ครน้ั นงั่ เรียบรอ้ ยแลว้ พระผูม้ พี ระภาคจึงทรงช้ีแจงพระปุณณมนั ตานี บตุ รใหเ้หน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิเรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่นื ร่าเริงดว้ ยธรรมกี ถา ลาํ ดบั นนั้ ท่านพระปณุ ณมนั ตานีบตุ ร เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคทรงช้แี จงใหเ้หน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่นื ร่าเริงดว้ ยธรรมกี ถาแลว้ ไดช้ ่นื ชม ยนิ ดีพระภาษติ ของพระผูม้ พี ระ ภาค ลุกจากอาสนะถวายอภวิ าท กระทาํ ประทกั ษณิ แลว้ เขา้ ไปสู่ป่าอนั ธวนั เพอ่ื พกั ผ่อนในเวลากลางวนั ครงั้ นนั้ ภกิ ษุรูปหน่ึงเขา้ ไปหาท่านพระสารีบุตรถงึ ท่อี ยู่แลว้ กล่าวว่า ๐ท่านพระสารบี ุตร พระปุณณมนั ตานี บตุ รทท่ี ่านสรรเสรญิ อยูเ่ นืองๆ นนั้ (บดั น้ี) พระผูม้ พี ระภาคทรงช้แี จงใหเ้หน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจ ใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดช่นื ร่าเรงิ ดว้ ยธรรมกี ถาแลว้ ท่านกช็ ่นื ชม ยนิ ดีพระภาษติ ของพระผูม้ พี ระ ภาค ลุกจากอาสนะถวายอภวิ าท กระทาํ ประทกั ษณิ แลว้ หลกี ไปสู่ป่าอนั ธวนั เพอ่ื พกั ผ่อนในเวลากลางวนั ๑ ลาํ ดบั นนั้ ท่านพระสารีบุตรรีบถอื ผา้ นิสที นะ (ผา้ รองนงั่ ) แลว้ ติดตามท่านพระปุณณมนั ตานีบุตรไปขา้ ง หลงั ๆ พอท่ีจะแลเห็นศีรษะกนั ครงั้ นนั้ ท่านพระปุณณมนั ตานีบุตร เขา้ ไปในป่าอนั ธวนั แลว้ นงั่ พกั ผ่อนในเวลา

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๖๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ กลางวนั อยู่ท่โี คนไมแ้ ห่งหน่ึง แมท้ ่านพระสารีบุตรเขา้ ไปสู่ป่าอนั ธวนั แลว้ กน็ งั่ พกั ผ่อนในเวลากลางวนั อยู่ท่โี คนไม้ แห่งหน่ึงเหมอื นกนั เป้าหมายแห่งพรหมจรรยต์ ามลาํ ดบั วสิ ุทธิ ๗ ครนั้ ในเวลาเย็น ท่านพระสารบี ุตรออกจากทห่ี ลกี เรน้ แลว้ เขา้ ไปหาท่านพระปณุ ณมนั ตานีบุตรถึงท่อี ยู่ ได้ สนทนาปราศรยั พอเป็นท่บี นั เทงิ ใจ พอเป็นทร่ี ะลกึ ถงึ กนั แลว้ จงึ นงั่ ณ ทส่ี มควร ไดถ้ ามทา่ นพระปุณณมนั ตานีบตุ รวา่ ๐ท่านผูม้ อี ายุ ท่านประพฤตพิ รหมจรรย์ ในพระผูม้ พี ระภาคของเราหรอื ๑ ท่านพระปณุ ณมนั ตานีบตุ รตอบ วา่ ๐ขอรบั ทา่ นผูม้ อี ายุ๑ ๐ท่านประพฤติพรหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพ่อื สีลวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งศีล) หรือ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ถา้ เช่นนนั้ ทา่ นประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื จิตตวสิ ุทธิ (ความหมดจดแห่งจติ ) หรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ถา้ เช่นนนั้ ท่านประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ (ความหมดจดแห่งทฏิ ฐ)ิ หรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ถา้ เช่นนน้ั ทา่ นประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณเป็น เครอ่ื งขา้ มพน้ ความสงสยั ) หรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ถา้ เช่นนนั้ ท่านประพฤติพรหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพ่อื มคั คามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ (ความหมดจด แหง่ ญาณทร่ี ูเ้หน็ ว่าเป็นทางหรอื มใิ ช่ทาง) หรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ถา้ เช่นนนั้ ท่านประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพ่อื ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ (ความหมดจดแห่ง ญาณทร่ี ูเ้หน็ ทางดาํ เนิน) หรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ถา้ เช่นนนั้ ทา่ นประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพ่อื ญาณทสั สนวสิ ุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ) หรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐เมอ่ื ผมถามท่านว่า ๎ท่านประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื สลี วสิ ุทธิ หรือ๏ ท่านกต็ อบผมว่า ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ เมอ่ื ผมถามท่านว่า ๎ท่านประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื จติ ตวสิ ุทธหิ รอื ๏ ท่านกต็ อบผมว่า ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ เมอ่ื ผมถามทา่ นวา่ ๎ท่านประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิหรอื ๏ ท่านก็ตอบผมว่า ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด้ เมอ่ื ผมถามท่านว่า ๎ท่านประพฤติพรหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพ่อื กงั ขาวติ รณวสิ ุทธหิ รอื ๏ ท่านก็ตอบผม วา่ ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ ... เพอ่ื มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิหรอื ๏ ... ... เพอ่ื ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิหรอื ๏ ... เมอ่ื ผมถามทา่ นว่า ๎ท่านประพฤติพรหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื ญาณทสั สนวสิ ุทธหิ รือ๏ ท่านก็ตอบผม วา่ ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ เมอ่ื เป็นเช่นน้ี ท่านประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื อะไรกนั เลา่ ๑ ๐ทา่ นผูม้ อี ายุ ผมประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพ่อื อนุปาทาปรนิ ิพพาน๑ ๐สลี วสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๖๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๐จติ ตวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ญาณทสั สนวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๑ ๐ขอ้ น้ี หามไิ ด๑้ ๐ธรรมนอกจากธรรมเหล่าน้ี เป็นอนุปาทาปรินิพพานหรือ๑ พระปุณณมนั ตานีบุตรตอบว่า ๐ขอ้ น้ี หามิได้ ท่านผูม้ อี ายุ๑ ท่านพระสารีบตุ รกล่าวว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ เมอ่ื ผมถามท่านว่า ๎สลี วิสุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรือ๏ ท่านก็ ตอบผมว่า ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ เมอ่ื ผมถามทา่ นวา่ ๎จติ ตวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๏ ท่านกต็ อบผมว่า ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ ... ๎ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๏ ... ... ๎กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๏ ... ... ๎มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๏ ... ... ๎ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรอื ๏ ... เมอ่ื ผมถามทา่ นวา่ ๎ญาณทสั สนวสิ ุทธิ เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพานหรือ๏ ท่าน กต็ อบวา่ ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ เมอ่ื ผมถามทา่ นวา่ ๎ธรรมนอกจากธรรมเหลา่ น้ี เป็นอนุปาทาปรินิพพานหรือ๏ท่านก็ตอบผมว่า ๎ขอ้ น้ี หามไิ ด๏้ (เมอ่ื เป็นเช่นน้ี) จะพงึ เหน็ เน้ือความของคาํ ท่ที ่านกลา่ วแลว้ น้ีไดอ้ ย่างไร๑ ท่านพระปุณณมนั ตานีบุตรกล่าวว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ ถา้ พระผูม้ ี พระภาคทรงบญั ญตั ิสลี วสิ ุทธิ ว่า เป็นอนุปา ทาปรนิ ิพพาน ก็ช่อื ว่าพงึ บญั ญตั ธิ รรมท่ยี งั มอี ุปาทานว่า เป็นอนุปาทาปรินิพพาน ถา้ ทรงบญั ญตั จิ ิตตวสิ ุทธวิ ่าเป็นอนุ ปาทาปรนิ ิพพาน กช็ อ่ื วา่ พงึ บญั ญตั ธิ รรม ทย่ี งั มอี ปุ าทานว่าเป็นอนุปาทาปรนิ ิพพาน ถา้ ทรงบญั ญตั ิทฏิ ฐวิ สิ ุทธิว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพาน ก็ช่อื ว่าพงึ บญั ญตั ิธรรมท่ยี งั มอี ุปาทานว่า เป็นอนุปาทา ปรนิ ิพพาน ถา้ ทรงบญั ญตั กิ งั ขาวติ รณวสิ ุทธวิ ่าเป็นอนุปาทาปรนิ ิพพาน กช็ ่อื ว่าพงึ บญั ญตั ิธรรมทย่ี งั มอี ปุ าทานว่าเป็นอนุ ปาทาปรนิ ิพพาน ถา้ ทรงบญั ญตั ิมคั คามคั คญาณทสั สนวิสุทธิว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพาน ก็ช่ือว่าพึงบญั ญตั ิ ธรรมท่ียงั มี อปุ าทานว่าเป็นอนุปาทาปรนิ ิพพาน ถา้ ทรงบญั ญตั ปิ ฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธวิ ่าเป็นอนุปาทาปรนิ ิพพาน ก็ช่อื ว่าพงึ บญั ญตั ธิ รรมทย่ี งั มอี ุปาทานว่า เป็นอนุปาทาปรนิ ิพพาน ถา้ ทรงบญั ญตั ิญาณทสั สนวสิ ุทธิ ว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพาน ก็ช่อื ว่าพึงบญั ญตั ิธรรมท่ยี งั มอี ุปาทานว่าเป็น อนุปาทาปรนิ ิพพาน

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๖๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ท่านผูม้ ีอายุ ถา้ ธรรมนอกจากธรรมเหล่าน้ี จกั เป็นอนุปาทาปรินิพพานแลว้ ปุถุชนก็จะพึงปรินิพพาน เพราะว่าปุถุชนเวน้ จากธรรมเหล่าน้ี ผมจะเปรียบเทียบใหท้ ่านฟงั คนฉลาดบางพวกในโลกน้ีย่อมเขา้ ใจความหมาย แห่งถอ้ ยคาํ ไดด้ ว้ ย อปุ มาโวหารเปรยี บเทยี บวสิ ุทธิดว้ ยรถ ๗ ผลดั ท่านผูม้ อี ายุ เปรียบเหมอื นพระเจา้ ปเสนทโิ กศลกาํ ลงั ประทบั อยู่ท่กี รุงสาวตั ถี มพี ระราชกรณียกจิ ด่วนบาง ประการเกดิ ข้นึ ทเ่ี มอื งสาเกต และในระหวา่ งกรุงสาวตั ถกี บั เมอื งสาเกตนนั้ จะตอ้ งต่อรถถงึ เจด็ ผลดั ครง้ั นนั้ พระเจา้ ป เสนทโิ กศลเสด็จออกจากกรุงสาวตั ถี ทรงรถพระทน่ี งั่ ผลดั ท่หี น่ึง ท่ปี ระตูพระราชวงั เสด็จไปถงึ รถพระท่นี งั่ ผลดั ท่ี สองจึงทรงสละรถพระท่นี งั่ ผลดั ท่หี น่ึง ทรงรถพระท่นี งั่ ผลดั ท่สี อง เสด็จไปถงึ รถพระท่นี งั่ ผลดั ท่ี ๓ จึงทรงสละรถ พระท่ีนงั่ ผลดั ท่ีสอง ทรงรถพระท่นี ัง่ ผลดั ท่สี าม เสด็จไปถึงรถพระท่ีนงั่ ผลดั ท่ีส่จี ึงทรงสละรถพระท่นี งั่ ผลดั ท่สี าม ทรงรถพระท่นี งั่ ผลดั ท่สี ่ี เสด็จไปถงึ รถพระท่นี งั่ ผลดั ท่หี า้ จึงทรงสละรถพระท่นี งั่ ผลดั ท่สี ่ี ทรงรถพระท่นี งั่ ผลดั ท่หี า้ เสด็จไปถงึ รถพระท่นี งั่ ผลดั ท่หี ก จึงทรงสละรถพระท่นี งั่ ผลดั ทห่ี า้ ทรงรถพระทน่ี งั่ ผลดั ทห่ี ก เสดจ็ ไปถงึ รถพระท่นี งั่ ผลดั ทเ่ี จด็ จงึ ทรงสละรถพระทน่ี งั่ ผลดั ทห่ี ก ทรงรถพระทน่ี งั่ ผลดั ท่เี จ็ด เสดจ็ ไปถงึ ประตูเมอื งสาเกตดว้ ยรถพระท่นี งั่ ผลดั ทเ่ี จด็ ถา้ พวกมติ รอาํ มาตยห์ รอื พระบรมวงศานุวงศจ์ ะพงึ ทูลถามพระองคว์ ่า ๎ขอเดชะมหาราชเจา้ พระองคเ์ สดจ็ จากกรุงสาวตั ถถี งึ ประตูเมอื งสาเกตดว้ ยรถพระทน่ี งั่ ผลดั น้ีผลดั เดยี วหรอื ๏ ท่านผูม้ อี ายุ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลจะตรสั ตอบอย่างไร จงึ จะจดั ว่าตรสั ตอบอยา่ งถูกตอ้ ง๑ ทา่ นพระสารบี ตุ รกลา่ ววา่ ๐ทา่ นผูม้ อี ายุ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลจะตอ้ งตรสั ตอบอย่างน้ี จึงจดั ว่าตรสั ตอบอย่าง ถกู ตอ้ ง คอื ตรสั วา่ ๎เมอ่ื ฉนั กาํ ลงั อยู่ในกรุงสาวตั ถนี นั้ มกี รณียกจิ ด่วนบางประการเกิดข้นึ ในเมอื งสาเกต ระหว่างกรุง สาวตั ถกี บั เมอื งสาเกตนน้ั จะตอ้ งใชร้ ถถึงเจ็ดผลดั ครงั้ นนั้ แล ฉนั ออกจากกรุงสาวตั ถขี ้นึ รถผลดั ท่หี น่ึง ท่ปี ระตูวงั ไปถงึ รถผลดั ทส่ี อง สละรถผลดั ทห่ี น่ึง ข้นึ รถผลดั ท่สี อง ไปถงึ รถผลดั ท่สี าม สละรถผลดั ท่สี องข้นึ รถผลดั ท่สี าม ไป ถงึ รถผลดั ทส่ี ่ี สละรถผลดั ท่สี าม ข้นึ รถผลดั ท่สี ่ี ไปถงึ รถผลดั ทห่ี า้ สละรถผลดั ท่สี ่ี ข้นึ รถผลดั ท่หี า้ ไปถึงรถผลดั ท่ี หก สละรถผลดั ทห่ี า้ ข้นึ รถผลดั ทห่ี ก ไปถงึ รถผลดั ท่เี จ็ด สละรถผลดั ทห่ี ก ข้ึนรถผลดั ท่เี จด็ ไปถงึ ประตูเมอื งสาเกต ดว้ ยรถผลดั ทเ่ี จด็ ๏ ทา่ นผูม้ อี ายุ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลจะตอ้ งตรสั ตอบอยา่ งน้ีแล จงึ จดั ว่าตรสั ตอบอย่างถกู ตอ้ ง๑ ท่านพระปุณณ มนั ตานีบตุ รกลา่ วว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ ขอ้ น้ีกฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั สลี วสิ ุทธิ มจี ติ ตวสิ ุทธเิ ป็นเป้าหมาย จติ ตวสิ ุทธิ มที ฏิ ฐวิ สิ ุทธเิ ป็นเป้าหมาย ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ มกี งั ขาวติ รณวสิ ุทธเิ ป็นเป้าหมาย กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ มมี คั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธเิ ป็นเป้าหมาย มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ มปี ฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธเิ ป็นเป้าหมาย ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ มญี าณทสั สนวสิ ุทธเิ ป็นเป้าหมาย ญาณทสั สนวสิ ุทธิ มอี นุปาทาปรินิพพานเป็นเป้าหมาย ทา่ นผูม้ อี ายุ ผมอยูป่ ระพฤตพิ รหมจรรยใ์ นพระผูม้ พี ระภาคเพอ่ื อนุปาทาปรนิ ิพพานโดยแท๑้

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๖๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พระเถระทง้ั ๒ รูปกลา่ วสรรเสรญิ คุณของกนั และกนั เมอ่ื ทา่ นพระปณุ ณมนั ตานีบตุ รกลา่ วอย่างน้ีแลว้ ท่านพระสารบี ตุ รจงึ ถามว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ ท่านช่อื อะไร และ เพ่ือนพรหมจารีรูจ้ กั ท่านว่าอย่างไร๑ ท่านพระปุณณมนั ตานีบุตรตอบว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ ผมช่ือว่าปุณณะ แต่เพ่ือน พรหมจารที ง้ั หลายรูจ้ กั ผมวา่ มนั ตานีบตุ ร๑ ท่านพระสารบี ุตรกลา่ วว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ น่าอศั จรรยจ์ ริง ไม่เคยปรากฏปญั หาอนั ลกึ ซ้งึ ทท่ี ่านพระปุณณมนั ตานีบตุ รเลอื กเฟ้น นาํ มากลา่ วแกด้ ว้ ยปญั ญาอนั ลกึ ซ้งึ ตามเยย่ี งอย่างพระสาวกผูไ้ ดส้ ดบั แลว้ รูท้ วั่ ถงึ คาํ สอนของพระ ศาสดาโดยถอ่ งแทจ้ ะพงึ กลา่ วแกฉ้ ะนน้ั เป็นลาภอย่างมากของเพอ่ื นพรหมจารที ง้ั หลาย เพ่อื นพรหมจารที งั้ หลายไดด้ ี แลว้ ทไ่ี ดพ้ บเหน็ ไดน้ งั่ ใกลท้ ่านปณุ ณมนั ตานีบุตร แมห้ ากเพอ่ื นพรหมจารีทง้ั หลายจะเทดิ ทูนท่านปุณณมนั ตานีบตุ ร ไวบ้ นศีรษะเหมอื นเทริดผา้ จึงจะไดพ้ บเหน็ ไดน้ งั่ ใกล้ แมข้ อ้ นนั้ กน็ บั ว่าเป็นลาภมากของท่านเหล่านน้ั ท่านเหลา่ นนั้ ไดด้ แี ลว้ อน่ึง นบั วา่ เป็นลาภอย่างมากของผมดว้ ย ผมไดด้ แี ลว้ ดว้ ย ทไ่ี ดพ้ บเหน็ ไดน้ งั่ ใกลท้ า่ นปุณณมนั ตานีบุตร๑ เมอ่ื ทา่ นพระสารบี ตุ รกลา่ วอย่างน้ีแลว้ ทา่ นพระปณุ ณมนั ตานีบตุ รจงึ ถามว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ ท่านช่อื อะไร และ เพ่อื นพรหมจารีทงั้ หลายรูจ้ กั ท่านว่าอย่างไร๑ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ๐ท่านผูม้ อี ายุ ผมช่ือว่าอุปติสสะ แต่เพ่อื น พรหมจารที ง้ั หลายรูจ้ กั ผมว่า ๎สารบี ตุ ร๑ ท่านพระปุณณมนั ตานีบุตรกล่าวว่า ๐ท่านผูเ้ จริญ ผมกาํ ลงั พูดอยู่กบั ท่านผูเ้ ป็นสาวก ผูท้ รงคุณคลา้ ยกบั พระบรมศาสดา มไิ ดท้ ราบเลยว่า ๎ท่านช่ือว่าสารีบุตร๏ ถา้ ผมทราบว่า ๎ท่านช่อื สารีบุตร๏ คาํ เปรียบเทียบเท่าน้ี คงไม่ จาํ เป็นสาํ หรบั กระผม น่าอศั จรรยจ์ รงิ ไม่เคยปรากฏ ปญั หาอนั ลกึ ซ้งึ ท่ที ่านสารบี ุตรเลอื กเฟ้นมาถามแลว้ ดว้ ยปญั ญา อนั ลกึ ซ้งึ ตามอย่างพระสาวกผูไ้ ดส้ ดบั แลว้ รูท้ วั่ ถึงคาํ สอนของพระบรมศาสดาโดยถ่องแทจ้ ะพงึ ถามฉะนนั้ เป็นลาภ อยา่ งมากของเพอ่ื นพรหมจารที งั้ หลาย เพอ่ื นพรหมจารที ง้ั หลายไดด้ แี ลว้ ท่ไี ดพ้ บเหน็ ไดน้ งั่ ใกล้ ท่านพระสารีบุตร แม้ หากเพอ่ื นพรหมจารที งั้ หลายจะเทดิ ทูนท่านพระสารบี ตุ รไวบ้ นศีรษะเหมอื นเทริดผา้ จึงจะไดพ้ บเหน็ ไดน้ งั่ ใกล้ แมข้ อ้ นนั้ กเ็ ป็นลาภอย่างมากของทา่ นเหลา่ นนั้ ท่านเหลา่ นนั้ ไดด้ แี ลว้ อน่ึง นบั ว่าเป็นลาภอย่างมากของผมดว้ ยผมไดด้ ีแลว้ ดว้ ย ทไ่ี ดพ้ บเหน็ ไดน้ งั่ ใกลท้ า่ นสารบี ตุ ร๑ พระมหานาคทง้ั ๒ รูปนน้ั ต่างชน่ื ชมภาษติ ของกนั และกนั ดงั น้ีแล๔๘ พระเถระทชี่ ื่อ ‚ปุณณะ‛ ในพระบาลปี รากฏอยู่ ๒ ท่านทส่ี าํ คญั คอื ๑. พระปณุ ณสุนาปรนั ตะ ทท่ี า่ นไดช้ อ่ื เช่นนนั้ เน่ืองจากทา่ นไดช้ ่วยเหลอื พ่อคา้ ชาวสุนาปรนั ตะ ใหพ้ น้ ภยั จาก พวกอมนุษย์ จนเป็นท่เี คารพนบั ถอื และแสดงตนเป็น อุบาสกประมาณ ๕๐๐ คน แสดงตนเป็นอุบาสกิ า ประมาณ ๕๐๐ คน ภายในพรรษานน้ั เอง ๒. พระพระปุณณมนั ตานีบุตร เป็นบตุ รของ นางมนั ตานีพราหมณี ตามเร่อื งทจ่ี ะกลา่ วต่อไปน้ี พระปณุ ณมนั ตานีบตุ รเถระ รูปน้ี กไ็ ดเ้คยบาํ เพญ็ กศุ ลมาแลว้ ในพระพทุ ธเจา้ พระองค์ ก่อนๆ ไดส้ งั่ สมบญุ อนั เป็นอุปนิสยั แห่งพระนิพพานไวเ้ป็นอนั มากในภพนน้ั ๆ การท่ที ่านไดร้ บั การสถาปนาจากพระบรมศาสดาใหอ้ ยู่ใน ตาํ แหน่งท่เี ป็นเลศิ กว่าเหลา่ ภกิ ษุสาวกทงั้ หลายผูเ้ป็นธรรมกถกึ นนั้ ก็เน่ืองดว้ ยเหตุ ๒ ประการคือ โดยเหตุเกิดเร่อื ง ๔๘ ม.ม.(ไทย) ๑๒/๒๕๒-๒๖๐/๒๗๓-๒๘๔.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๗๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ คือพระมหาสาวกองคน์ นั้ ไดแ้ สดงความสามารถออกมาใหป้ รากฏในเร่ืองการเป็นธรรมกถึกไดอ้ ย่างชดั แจง้ และอีก เหตหุ น่ึงกค็ อื เน่ืองดว้ ยท่านไดต้ ง้ั ความปรารถนาในตาํ แหน่งนน้ั ตลอดแสนกปั ตามเรอ่ื งทจ่ี ะกลา่ วตามลาํ ดบั ดงั น้ี บรุ พกรรมในสมยั พระปทมุ ตุ รพทุ ธเจา้ ในกปั ทแ่ี สนแต่ภทั รกปั น้ี ในกาลก่อนหนา้ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ พระนามว่าปทุมตุ ตระเสด็จอุบตั ขิ ้นึ ท่านเกิด เป็นบตุ รเศรษฐี ในพระนครหงสาวดี ในตระกูลพราหมณม์ หาศาล ในนครหงั สวดี วนั ขนานนามท่าน พวกญาตขิ นาน นามว่า โคตมะ (ในอุปาลเี ถราปทานกล่าวว่าช่อื สุนนั ทะ) ครน้ั เติบใหญ่ข้นึ แลว้ เป็นพราหมณผ์ ูเ้ลา่ เรยี น ทรงจาํ มนต์ รูจ้ บ ไตรเพท มมี าณพ ๕๐๐ เป็นบรวิ าร เทย่ี วไป จงึ พจิ ารณาไตรเพทดูกไ็ ม่เหน็ ว่าจะเป็นเหตุใหห้ ลุดพน้ จึงคิดว่าธรรมดา ไตรเพทน้ีเหมอื นตน้ กลว้ ย ขา้ งนอกเกล้ยี งเกลา ขา้ งในหาสาระมไิ ด้ การถอื ไตรเพทน้ีเทย่ี วไป ก็เหมอื นบรโิ ภคแกลบ มปี ระโยชนอ์ นั ใดกบั การเลา่ เรียนศิลปะน้ี ถา้ เราออกบวชเป็นฤๅษี ทาํ พรหมวหิ ารใหบ้ งั เกิด แลว้ เป็นผูม้ ญี าณไม่เส่อื ม กจ็ กั เขา้ ถงึ พรหมโลก คิดดงั น้ีแลว้ จงึ ไปยงั เชงิ เขาบวชเป็นฤๅษพี รอ้ มกบั มาณพ ๕๐๐ แลว้ ท่านเม่อื บวชแลว้ ก็มชี ฎลิ ๑๘,๐๐๐ เป็นบริวาร ท่านทาํ อภิญญา ๕ สมาบตั ิ ๘ ใหบ้ งั เกิดแลว้ บอกกสิณ บริกรรมแก่ชฎิลเหล่านน้ั ดว้ ย ชฎลิ เหล่านนั้ ตงั้ อยู่ในโอวาทของท่าน ก็บาํ เพญ็ จนไดอ้ ภิญญา ๕ สมาบตั ิ ๘ ทุกรูป. กาลเวลาลว่ งไปนานจนเมอ่ื เวลาทโ่ี คตมดาบสนนั้ เป็นคนแก่ พระปทมุ ตุ ตระทศพลก็ทรงบรรลุปรมาภสิ มั โพธญิ าณ ทรงประกาศพระธรรมจกั รอนั ประเสริฐ มภี กิ ษุแสนรูปเป็นบริวาร ทรงประทบั อยู่ ณ กรุงหงสวดี วนั หน่ึง พระทศพลนน้ั ทรงตรวจดูสตั วโลกในเวลาใกลร้ ุ่ง ทรงเห็นอรหตั ตูปนิสยั ของบริษทั โคตมดาบส และความปรารถนา ของโคตมดาบส (ท่ปี รารถนาว่า ขอเราพงึ เป็นยอดของเหล่าภกิ ษุผูเ้ป็นธรรมกถกึ ในศาสนาของพระพทุ ธเจา้ ผูจ้ ะทรง บงั เกดิ ในกาลภายหนา้ เถดิ ) จงึ ชาํ ระสรีระแต่เชา้ ตรู่ ถอื บาตรและจีวรดว้ ยพระองคเ์ อง เสดจ็ ไปพระองคเ์ ดยี ว ในเวลา ท่เี หล่าศิษยข์ องโคตมดาบสออกไปแสดงหาผลหมากรากไมใ้ นป่า ทรงประทบั ยืนอยู่ท่ปี ระตูบรรณศาลาของโคตม ดาบส ฝ่ายโคตมดาบสแมไ้ ม่ทราบว่าพระพทุ ธเจา้ ทรงอุบตั ิแลว้ แต่เมอ่ื แลเหน็ พระทศพลทรงประทบั ยืนอยู่นนั้ ก็ ทราบไดว้ ่า บรุ ุษผูน้ ้ีน่าจะเป็นคนพน้ โลกแลว้ เหมอื นความสาํ เร็จแห่งสรรี ะของพระองค์ ซง่ึ ประกอบดว้ ยจกั กลกั ษณะ หากครองเรอื นกจ็ กั เป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ หากออกบวชก็จกั เป็นพระสพั พญั ํูพทุ ธเจา้ ดงั น้ี จงึ ถวายอภวิ าทพระทศ พล ทูลว่า ขา้ แต่พระผูม้ พี ระภาคเจา้ โปรดมาประทบั ทางน้ี แลว้ ท่านกป็ ลู าดอาสนะถวาย พระตถาคตประทบั นงั่ แสดงธรรมแก่โคตมดาบส ขณะนน้ั พวกชฎลิ เหล่าศิษยเ์ ม่อื ไดผ้ ลาหารตามตอ้ งการ แลว้ กก็ ลบั มา ดว้ ยหมายวา่ จกั ใหผ้ ลหมากรากไมใ้ นป่าท่ปี ระณีต ๆ แก่อาจารย์ ส่วนท่เี หลอื จกั บริโภคเอง ดงั น้ี เหน็ พระทศพลประทบั นงั่ บนอาสนะสูง แต่อาจารยน์ งั่ บนอาสนะตาํ่ ต่างก็สนทนากนั ว่า พวกเราคิดกนั ว่า ในโลกน้ีไม่มี ใครทย่ี ่งิ กว่าอาจารยข์ องเรา แต่บดั น้ีปรากฏว่า บุรุษน้ีผูเ้ดยี วใหอ้ าจารยข์ องเรานงั่ บนอาสนะตาํ่ ตนเองนงั่ บนอาสนะ สูง มนุษยน์ ้ีทจี ะเป็นใหญ่หนอ ดงั น้ี ต่างถอื ตะกรา้ พากนั มา โคตมดาบสเกรงว่า ชฎลิ เหล่าน้ีจะพงึ ไหวเ้ราในสาํ นกั พระทศพล จึงกลา่ วว่าท่านทงั้ หลายอย่าไหวเ้รา ท่านผู้ น้ีเป็นบุคคลผูเ้ ลศิ ในโลกพรอ้ มทง้ั เทวโลก เป็นผูค้ วรท่ีท่านทุกคนพึงไหวไ้ ด้ ท่านทง้ั หลายจงไหวบ้ ุรุษผูน้ ้ี ดาบส ทงั้ หลายคิดว่า อาจารยน์ นั้ ถา้ ไมร่ ู้ ก็คงไม่พูด จึงถวายบงั คมพระบาทแห่งพระตถาคตเจา้ โคตมดาบสกล่าวว่า ท่าน

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๗๑ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ทง้ั หลาย เราไมม่ โี ภชนะอย่างอ่นื ท่สี มควรถวายแด่พระทศพล เราจกั ถวายผลหมากรากไมใ้ นป่าน้ี จึงเลอื กผลาผลท่ี ประณีตๆ บรรจงวางไวใ้ นบาตรของพระพทุ ธเจา้ พระศาสดาเสวยผลไมแ้ ลว้ ต่อจากนนั้ ดาบสเองกบั เหลา่ ศิษยจ์ งึ ฉนั พระศาสดาเสวยเสรจ็ แลว้ ทรงพระดาํ ริว่า พระอคั รสาวกทง้ั ๒ จงพาภิกษุแสนรูปมา ในขณะนน้ั พระมหา วมิ ลเถระอคั รสาวกราํ ลกึ ว่าพระศาสดาเสด็จไปท่ไี หนหนอ จึงทราบว่า พระศาสดาทรงประสงคใ์ หท้ ่านไปเฝ้ า จึงพา ภกิ ษุแสนรูปไปเฝ้าถวายบงั คมอยู่ พระดาบสกล่าวกบั เหล่าศิษยว์ ่า ท่านทง้ั หลาย พวกเราไม่มสี กั การะอ่ืน ทง้ั ภกิ ษุ สงฆก์ ็ยืนอยู่ลาํ บาก เราจกั ปูลาดบุปผาสนะถวายภิกษุสงฆม์ ีพระพุทธองคเ์ ป็นประธาน ท่านทง้ั หลายจงไปนําเอา ดอกไมท้ เ่ี กดิ ทง้ั บนบก ทง้ั ในนาํ้ มาเถดิ ในทนั ใดนน้ั เอง ดาบสเหลา่ นน้ั จึงนาํ เอาดอกไมอ้ นั สมบูรณด์ ว้ ยสแี ละกลน่ิ มา จากเชงิ เขาดว้ ยอทิ ธฤิ ทธ์ิ แลว้ ปูลาดอาสนะดอกไม้ ประมาณหน่ึงโยชนแ์ ก่พระพทุ ธเจา้ ปูลาดอาสนะดอกไมป้ ระมาณ ๓/๔ โยชน์ แก่พระอคั รสาวกทงั้ สอง ปูลาดอาสนะดอกไมป้ ระมาณก่ึงโยชนเ์ ป็นตน้ แก่เหล่าภิกษุท่ีเหลือ ปูลาด อาสนะดอกไมป้ ระมาณ ๒๕ วาแก่ภกิ ษุผูใ้ หมใ่ นสงฆ์ ครนั้ ปูลาดอาสนะทง้ั หลายอย่างน้ีแลว้ โคตมดาบสจึงประคองอญั ชลี ตรงพระพกั ตรข์ องพระตถาคต แลว้ กราบทูลว่า ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ขอพระองคเ์ สด็จข้นึ ยงั อาสนะดอกไมน้ ้ี เพอ่ื อนุเคราะหข์ า้ พระองค์ พระผูม้ พี ระ ภาคเจา้ ประทบั นงั่ บนอาสนะดอกไม้ เมอ่ื พระศาสดาประทบั นงั่ แลว้ พระอคั รสาวกทง้ั สองและเหลา่ ภกิ ษุทเ่ี หลอื กน็ งั่ บนอาสนะอนั ถงึ แก่ตนๆ พระศาสดาทรงเขา้ นิโรธสมาบตั ดิ ว้ ยพระประสงคว์ ่า ผลใหญ่จงมแี ก่ดาบสเหล่านน้ั ฝ่ายพระ อคั รสาวกทง้ั สองและเหลา่ ภกิ ษุทเ่ี หลอื รูว้ า่ พระศาสดาทรงเขา้ นิโรธสมาบตั ิ จงึ พากนั เขา้ นิโรธสมาบตั ิ พระดาบสไดย้ นื กนั้ ฉตั รดอกไมแ้ ด่พระศาสดาตลอด ๗ วนั พระ ดาบสนอกน้ีฉนั มูลผลาหารจากป่าแลว้ ในเวลาท่ีเหลอื ก็ไดย้ ืน ประคองอญั ชลอี ยู่ ในวนั ท่ี ๗ พระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบตั ิ ทรงเห็นดาบสทงั้ หลายยนื ลอ้ มอยู่ จึงตรสั เรยี กพระสาวกผู้ บรรลุเอตทคั คะในความเป็นพระธรรมกถึก ตรสั ว่า ดูก่อนภิกษุ หมู่ฤๅษี น้ี ไดก้ ระทาํ สกั การะใหญ่ เธอจงกระทาํ อนุโมทนาบปุ ผาสนะแก่หม่ฤู ๅษี เหลา่ น้ี ภกิ ษุนน้ั รบั พระพทุ ธดาํ รสั แลว้ พจิ ารณาพระไตรปิฎกกระทาํ อนุโมทนา เวลาจบ เทศนาของภกิ ษุนน้ั พระศาสดาทรงเปลง่ พระสุระเสยี งดุจเสยี งพรหมแสดงธรรมดว้ ยพระองคเ์ อง เมอ่ื จบเทศนา ชฎลิ ๑๘,๐๐๐ รูปทง้ั หมดไดบ้ รรลุพระอรหตั เวน้ แต่โคตมดาบสไม่อาจทาํ การแทงตลอดในพระธรรมนนั้ จึงกราบทูลพระผู้ มพี ระภาคเจา้ ว่า ขา้ แต่พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ภกิ ษุผูท้ แ่ี สดงธรรมก่อนน้ี ช่อื ว่าอยา่ งไร ในศาสนาของพระองค์ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า โคตมดาบส ภกิ ษุน้ีเป็นยอดของเหล่าภกิ ษุผูเ้ป็นธรรมกถกึ ในศาสนาของเรา โคตม ดาบสหมอบแทบบาทมลู กระทาํ ความปรารถนาว่า ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ ดว้ ยผลแห่งบุญกุศลทข่ี า้ พระองคท์ าํ มา ๗ วนั น้ี ขา้ พระองคพ์ งึ เป็นยอดของเหลา่ ภกิ ษุผูเ้ป็นธรรมกถกึ ในศาสนาของพระพุทธเจา้ พระองคห์ น่ึงในอนาคต เหมอื น ดงั ภิกษุรูปน้ี พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาล ก็ทรงทราบว่าความปรารถนาของโคตมดาบสนน้ั สาํ เร็จโดยหา อนั ตรายมไิ ด้ แลว้ ทรงพยากรณว์ ่า ในทส่ี ุดแห่งแสนกปั ในอนาคตกาลพระพทุ ธเจา้ พระนามว่า โคตม จกั ทรงอบุ ตั ิข้นึ ท่านจกั เป็นยอดของเหลา่ ภกิ ษุผูเ้ป็นธรรมกถกึ ในศาสนาของพระองค์ แลว้ ตรสั กะดาบสผูบ้ รรลุพระอรหตั ว่า ๐เอถ ภกิ ขโว๑ จงเป็นภกิ ษุมาเถดิ ดงั น้ี ดาบสทุกรูปมผี มและหนวดอนั ตรธานไป ทรงบาตรและจีวรอนั สาํ เร็จดว้ ยฤทธ์ิ ไดเ้ ป็นเช่นกบั พระเถระ ๑๐๐

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๗๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พรรษาพระศาสดาทรงพาภกิ ษุสงฆเ์ สดจ็ กลบั พระวหิ าร ฝ่ายโคตมดาบสกบ็ าํ รุงพระตถาคตจนตลอดชีวติ บาํ เพญ็ แต่ กลั ยาณกรรมตามกาํ ลงั เวยี นวา่ ยอยู่ในเทวดาและมนุษยท์ งั้ หลายแสนกปั กาเนิดเป็ นปุณณะในสมยั พระสมณโคดมพทุ ธเจา้ ในกาลแห่งพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ของเราทงั้ หลาย ได้ บงั เกิดเป็นหลานของพระ อญั ญาโกณฑญั ญเถระ ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในบา้ นพราหมณ์ ช่อื ว่าโทณวตั ถุ ไม่ ไกลนครกบลิ พสั ดุ์ ญาตทิ งั้ หลายไดต้ ง้ั ช่อื เขาว่า ปณุ ณะ พระอญั ญาโกณฑญั ญเถระบวชหลานชาย ท่านพระอญั ญาโกณฑญั ญะนนั้ เมอ่ื ท่านไดบ้ รรลุพระอรหตั ผล แลว้ พระเถระเป็นผูป้ รารถนาความสงดั ท่านจึงคิดจะปลกี ตนไปอยู่ในถ่นิ ชา้ งตระกูลฉนั ททนั ตะ ใกลส้ ระมนั ทากินี โปกขรณี ซง่ึ เป็นสถานทอ่ี ยู่แหง่ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย กเ็ น่ืองจากท่านเป็นพระมหาสาวกผูเ้ป็นทเ่ี คารพนบั ถอื ทง้ั เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย เม่อื เทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลายไปยงั สาํ นกั ของพระตถาคต กระทาํ การบูชาดว้ ยของหอม และดอกไมแ้ ลว้ ก็จะเขา้ ไปบูชาพระเถระดว้ ยเสมอ เป็นธรรมดาว่าเมอ่ื มผี ูม้ าสู่สาํ นกั ท่านก็ตอ้ งแสดงธรรมกถา หรือ ปฏสิ นั ถารดว้ ย พระเถระเป็นผูป้ รารถนาความสงดั ทา่ นจงึ คิดจะปลกี ตนไปอยู่ ณ ทด่ี งั กลา่ ว อีกเร่ืองหน่ึง ก็คือ วนั หน่ึง พระเถระเห็นภิกษุรูปหน่ึง ผูเ้ ป็นสทั ธิวิหาริกของตน เป็นคนเกียจครา้ น ไม่ ประกอบดว้ ยความเพยี ร มจี ติ ฟ้งุ ซ่าน มกั คลุกคลอี ยู่กบั บคุ คลผูไ้ มเ่ ป็นกลั ยาณมติ ร จงึ ไปหาศิษยผ์ ูน้ นั้ แลว้ ใหโ้ อวาท ภิกษุนน้ั ว่า ท่านอย่ากระทาํ อย่างน้ีเลย ท่านจงละบุคคลผูไ้ ม่เป็นกลั ยาณมิตร คบหาบุคคลผูเ้ ป็นกลั ยาณมิตร ทงั้ หลาย.ภกิ ษุนนั้ ไมส่ นใจต่อคาํ สอนของพระเถระ.พระเถระถงึ ธรรมสงั เวช ต่อจรยิ าของภกิ ษุนนั้ อกี เหตหุ น่ึง ในเวลาแสดงธรรม เมอ่ื พระศาสดาประทบั นงั่ บนพทุ ธอาสนท์ เ่ี ขาตกแต่งไวต้ รงกลาง พระธรรม เสนาบดีนงั่ ณ ขา้ งพระหตั ถเ์ บ้อื งขวา พระโมคคลั ลาะนงั่ ณ ขา้ งพระหตั ถเ์ บ้อื งซา้ ย ส่วนเบ้อื งหลงั แห่งพระสาวกทง้ั ๒ นนั้ เขาปูอาสนะไวส้ าํ หรบั พระอญั ญาโกณฑญั ญะ เหล่าภกิ ษุทเ่ี หลอื นงั่ แวดลอ้ มท่าน พระอคั รสาวกทง้ั ๒ มคี วาม เคารพในพระเถระ เพราะท่านแทงตลอดธรรมอนั เลศิ และเป็นพระเถระผูเ้ ฒ่า พระเถระเห็นพระอคั รสาวกทง้ั สอง กระทาํ ความเคารพนบนอบตน ประสงคจ์ ะหลกี ไปเสยี จากสาํ นกั ของพระพทุ ธเจา้ ก่อนทท่ี ่านจะไปสู่ป่านน้ั ท่านไดพ้ จิ ารณาเหน็ ว่า ปณุ ณมาณพ ผูเ้ป็นหลานชายของท่านนน้ั เมอ่ื บวชแลว้ จกั เป็นยอดธรรมกถกึ ในพระศาสนา ท่านจงึ กลบั ไปตาํ บลบา้ นพราหมณ์ช่อื โทณวตั ถุ ซง่ึ เป็นชาตภิ ูมเิ ดิมของท่าน แลว้ จึง ใหป้ ณุ ณมานพหลานชายบรรพชาในสาํ นกั ของทา่ น ครนั้ เมอ่ื ปณุ ณมาณพไดอ้ ปุ สมบทแลว้ กไ็ ดบ้ าํ เพญ็ ซ่ึงความเพยี ร ทาํ กิจแห่งบรรพชติ ทงั้ ปวงใหถ้ งึ ทส่ี ุดแลว้ คิดวา่ เราจกั ไปสูส่ าํ นกั ของพระทศพล แลว้ จงึ ไดเ้ดินทางไปยงั สาํ นกั ของพระศาสดา พรอ้ มกบั พระอญั ญาโกณฑญั ญ เถระผูเ้ ป็นลุง ไดห้ ยุดพกั ในท่ใี กลก้ รุงกบลิ พสั ดุแ์ ลว้ ถูกท่านพระอญั ญาโกณฑญั ญเถระปล่อยไวใ้ นกรุงกบลิ พสั ดุ์ นนั่ เอง กระทาํ กรรมในโยนิโสมนสกิ าร ขวนขวายวปิ สั สนา แลว้ ไมน่ านท่านก็บรรลุพระอรหตั พรอ้ มคุณพเิ ศษเหลา่ น้ี คือ ปฏสิ มั ภทิ า ๔ วโิ มกข์ ๘ และอภญิ ญา ๖ พระปุณณมนั ตานีบุตรเถระเทศน์โปรดพระอานนท์ เมอ่ื ศากยราชกุมารทงั้ หลาย พากนั ทรงผนวชตาม เสด็จพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ท่านพระอานนทก์ ็ไดเ้ สดจ็ ออกพรอ้ มกบั เจา้ ศากยะทงั้ หลาย มที ่านภทั ทยิ ะ เป็นตน้ ทรง ผนวชในสาํ นกั ของผูม้ พี ระภาคเจา้ ไมน่ านนกั ไดส้ ดบั ธรรมกถาใหส้ าํ นกั ของท่านปุณณมนั ตานีบุตรแลว้ ตงั้ อยู่ในโสดา ปตั ตผิ ล

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๗๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ดงั นนั้ สมยั หน่ึง เม่อื พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระวหิ ารเชตวนั อารามของท่านอนาถบณิ ฑิก เศรษฐี ใกลพ้ ระนครสาวตั ถ.ี ณ ท่นี นั้ ท่านพระอานนทเถระคาํ นึงถงึ คาํ สอนท่ที ่านพระปุณณมนั ตานีบุตรไดเ้ทศนโ์ ปรดท่าน ในครง้ั นนั้ ท่านจึงเรียกภกิ ษุทงั้ หลายมาแลว้ กล่าว ว่า ดูกรอาวุโสทงั้ หลาย ภกิ ษุเหล่านน้ั รบั คาํ ท่านพระอานนทแ์ ลว้ ท่านพระอานนท์ จึงไดก้ ล่าวว่า อาวุโสทงั้ หลาย ท่านพระปณุ ณมนั ตานีบุตร มอี ปุ การะมากแก่พวกเราเหล่าภกิ ษุใหม่ ท่านกลา่ วสอนพวกเราดว้ ยโอวาทอยา่ งน้ีว่า ๐ท่านอานนท์ เพราะถอื มนั่ จึงมตี ณั หา มานะ ทฏิ ฐวิ ่า เป็นเรา เพราะไม่ถอื มนั่ จงึ ไมม่ ตี ณั หา มานะ ทฏิ ฐวิ ่า เป็นเรา เพราะถือมนั่ อะไร จึงมตี ณั หา มานะ ทิฏฐวิ ่า เป็นเรา เพราะไม่ถือมนั่ อะไร จึงไม่มตี ณั หา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา๑ เพราะถอื มนั่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ จงึ มตี ณั หา มานะ ทฏิ ฐวิ า่ เป็นเรา เพราะไมถ่ อื มนั่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ จงึ ไมม่ ตี ณั หา มานะ ทฏิ ฐิว่า เป็น เรา๑ ท่านอานนท์ เปรียบเสมอื นสตรี หรือบรุ ุษรุ่นหนุ่มรุ่นสาว มนี ิสยั ชอบแต่งตวั ส่องดูเงาหนา้ ของตนทก่ี ระจก หรอื ทภ่ี าชนะนาํ้ อนั ใสบรสิ ุทธ์ผิ ุดผ่อง เพราะยดึ ถอื จงึ เหน็ เพราะไมย่ ดึ ถอื จงึ ไมเ่ หน็ ฉนั ใด๑ ท่านอานนท์ เพราะถือมนั่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ จึงมตี ณั หา มานะ ทฏิ ฐวิ ่า เป็นเรา เพราะไม่ ถอื มนั่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ จงึ ไมม่ ตี ณั หา มานะ ทฏิ ฐวิ ่า เป็นเรา ฉนั นนั้ เหมอื นกนั แล. ท่านอานนท์ ท่านจะสาํ คญั ความขอ้ นน้ั เป็นไฉน รูปเทย่ี งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง? ทา่ นพระอานนท์ ไมเ่ ทย่ี ง อาวุโส ท่านพระปณุ ณมนั ตานีบุตร เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เท่ยี งหรือไมเ่ ทย่ี ง? ท่านพระอานนท์ ไม่เทย่ี ง อาวุโส ฯลฯ ท่านพระปุณณมนั ตานีบุตร เพราะเหตุน้ีแล อริยสาวกผูส้ ดบั แลว้ เหน็ อยู่อย่างน้ี ฯลฯ รูช้ ดั ว่า ฯลฯ กิจอ่ืน เพอ่ื ความเป็นอยา่ งน้ีมไิ ดม้ ี โดยเหตนุ ้ีแล ขา้ พเจา้ จงึ กลา่ วว่า ท่านพระปณุ ณมนั ตานีบตุ ร เป็นผูม้ อี ุปการะมาก แก่พวกเราเหลา่ ภกิ ษุใหม่ ทา่ นสอนพวกเราดว้ ยโอวาทน้ี ก็ เราไดต้ รสั รูธ้ รรม เพราะฟงั ธรรมเทศนาน้ี ของทา่ นพระปณุ ณมนั ตานีบุตร อนั ว่าภกิ ษุทม่ี ปี ญั ญานอ้ ยนนั้ เมอ่ื จะกลา่ วธรรมกถา ปรารภเร่อื งท่พี งึ กลา่ วกถาวตั ถุ ๑๐ ประการหรือแจก แจงวสิ ุทธิ ๗ ประการ ก็จะไม่สามารถกล่าวธรรมกถาได้ แต่ผูม้ ปี ญั ญามากทาํ ได้ เพราะความเป็นผูม้ ปี ญั ญามากดงั ว่ามาน้ี พระปุณณมนั ตานีบุตรเถระ จงึ แสดงธรรมท่ตี กแต่งแลว้ กล่าวธรรมกถาท่ามกลางบรษิ ทั ส่ี เพราะเหตนุ น้ั เอง พระผูม้ พี ระภาคเจา้ จงึ ทรงตง้ั ท่านไวใ้ นตาํ แหน่งเลศิ ว่า \"ภกิ ษุทงั้ หลาย ผูเ้ป็นเลศิ กว่าเหล่าภกิ ษุผูแ้ สดงธรรม ซง่ึ เป็น สาวกของเรานน้ั คือปณุ ณะ ลูกชายนางพราหมณม์ นั ตานี\" สรุปในพรรษาท่ี ๓-๔ อายุ ๓๗ ปี -เสดจ็ กรุงราชคฤห์ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐสี รา้ งวดั พระเชตวนั ถวาย ดว้ ยการซ้อื อทุ ยานของเจา้ ชายเชต -อนุญาตเภสชั ๕ ชนิด และอาหารประเภทต่างๆ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๗๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ -พระพทุ ธบดิ าทรงชราภาพมาก ส่งทูตมาทูลเชิญเสด็จพทุ ธองคก์ ลบั พระนครถงึ ๑๐ ครงั้ รวมทูตจาํ นวน ๑๐,๐๐๐ คน จงึ เสดจ็ นิวตั พระนครแห่งราชสกุล ครงั้ แรกนบั ตงั้ แต่ทรงออกผนวช -ทรงอนุญาตการอปุ สมบทโดยวธิ ญี ตั ตจิ ตตุ ถกรรม พระสารีบตุ รบวชใหร้ าธะพราหมณเ์ ป็นรูปแรก -ทรงอนุญาตวนั ประชมุ สงฆ์ และ แสดงธรรมในวนั ๑๔ คาํ่ ๑๕ คาํ่ และ ๘ คาํ่ ของขา้ งข้นึ และขา้ งแรม พรรษาท่ี ๔ ประทบั จาพรรษาท่วี ดั เวฬวุ นั พระชนมายุ ๓๘ พรรษา ทรงโปรดหมอชวี กโกมารภจั จ์ สาํ เร็จเป็นพระโสดาบนั และหมอชีวกโกมารภจั จ์ สรา้ งวดั ชีวกมั พวนั ถวาย ทรงอนุญาตใหใ้ ชผ้ า้ ไตรจวี ร ๓ ผนื , และทรงอนุญาตผา้ จวี ร ๖ ชนิด ออกพรรษา -ทราบข่าวว่าพระพทุ ธบดิ าประชวรหนกั เสด็จนิวตั พิ ระนครแห่งราชสกุล อกี ครงั้ โปรดพระพทุ ธบดิ า ดว้ ย อนิจจตาทธิ รรมสูตร ใหส้ าํ เรจ็ พระอรหนั ต์ แลว้ นิพพานภายใตม้ หาเศวตฉตั ร และทรงจดุ เพลงิ พระบรมศพ -พระญาติเกดิ สงครามแย่งนาํ้ ในแมน่ าํ้ โรหณิ ี ตรสั โทษของการแตกความสามคั คี -พระราชกมุ ารขา้ งฝ่ายพระราชบดิ าและพระราชมารดาฝ่ายละ ๒๕๐ องค์ รวมเป็น ๕๐๐ องค์ ออกบวช ทกุ องคส์ าํ เรจ็ พระอรหนั ต์ เกดิ ประชมุ ครง้ั ใหญ่ของเทวดา ตรสั ๐มหาสมยั สูตร๑ พรรษาท่ี ๕ (ปีฉล)ู ประทบั จาพรรษาทีศ่ าลากูฏาคาร ป่ามหาวนั นอกเมอื งเวสาลี อายุ ๓๙ ปี -พระนางประชาบดี รบั คุรุธรรม ๘ ประการ บวชเป็น ภิกษุณีองคแ์ รก แลว้ สาํ เร็จเป็นพระอรหนั ต์ เกิด ภกิ ษุณีสงฆ์ -พระนางยโสธราบวชในสาํ นกั พระนางประชาบดเี ถรี บรรลุเป็นพระอรหนั ต์ -นางรูปนนั ทา บวชตามหมญู่ าติ ทรงแสดงฤทธ์ิโปรดสาํ เรจ็ เป็นพระอรหนั ต์ ออกพรรษา -เสด็จไปภทั ทยิ นคร แควน้ องั คะ โปรดเมณฑกะเศรษฐี ธนญั ชยั เศรษฐี นางวิสาขา และหม่ญู าติ เป็นพระ โสดาบนั -ทรงอนุญาตโครสทงั้ ๕ ทรงอนุญาตนาํ้ ผลไมท้ กุ ชนิด (เวน้ นาํ้ เมลด็ นาํ้ ขา้ วเปลอื ก) นาํ้ ใบไมท้ ุกชนิด (เวน้ นาํ้ ผกั ดอง) นาํ้ ดอกไมท้ กุ ชนิด (เวน้ นาํ้ ดอกมะซาง) นาํ้ ออ้ ยสด -แสดงมหาปเทส ๔ เพอ่ื ใชเ้ป็นหลกั อา้ งองิ ในการตดั สนิ สง่ิ ทค่ี วรหรอื ไม่ควรสาํ หรบั พระสงฆ์ ในพรรษาน้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงจาํ พรรษาทก่ี ูฏาคาร ณ ป่ามหาวนั นครเวสาลี (ไพศาล)ี ในกาลน้ีพระองคท์ รง เสดจ็ จากกูฏาคาร ไปโปรดพระพทุ ธบดิ าปรนิ ิพานท่กี รุงกบลิ พสั ดุ์ และโปรดพระญาตทิ งั้ ฝ่ายศากยวงศแ์ ละโกลยิ วงศ์ ทว่ี วิ าทเร่อื งแยง้ นาํ้ ในแมน่ าํ้ โรหณิ ีเพอ่ื การเกษตรกรรม โดยประทบั ท่ี นิโครธาราม อนั เป็นพระอารามท่พี ระญาติทรง สรา้ งถวายอยู่ใกลก้ รุงกบลิ พสั ดุ์

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๗๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ทรงหา้ มพระประยูรญาติววิ าทเรือ่ งนา้ ๔๙ ครงั้ หน่ึง พระประยูรญาติทง้ั สองฝ่ายคือ ฝ่ายกรุงกบลิ พสั ด์ และ ฝ่ายโกลยิ นคร ไดว้ วิ าทกนั ดว้ ยแยง่ นาํ้ ในแมน่ าํ้ โรหณิ ีเพ่อื ระบายนาํ้ ไปสู่พ้นื ท่ที าํ นาในเขตของตน เร่มิ ดว้ ยพวกคนงาน ทะเลาะกนั และลามไปถงึ กษตั ริย์ ทง้ั สองฝ่ายไดเ้ ตรียมอาวุธยกกาํ ลงั เขา้ ประจนั หนา้ กนั จวนจะเกิดศึกอยู่รอมร่อ แลว้ ครง้ั นนั้ ขณะพระพทุ ธองคป์ ระทบั อยู่ทแ่ี ควน้ สกั กะ ทรงเหน็ เหตุการณเ์ ช่นนนั้ จึงเสดจ็ ไปโปรดพระประยูรญาติ ทง้ั สองฝ่ายใหร้ ะงบั การววิ าทบาดหมางกนั โดยทรงช้ใี หเ้หน็ ว่าชวี ติ กษตั ริย์ ชีวติ คนนนั้ แพงกว่านาํ้ มากนกั ไม่ควรเหน็ นาํ้ ดกี วา่ คน พระญาตทิ งั้ สองฝ่ายจงึ เลกิ ววิ าทกนั และมคี วามสามคั คีกนั ๕๐ พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระนา้ นางของพระพทุ ธเจา้ ไดเ้ขา้ เฝ้าทูลอนุญาตใหส้ ตรีละเรอื นออกบวชในพระ ธรรมวินยั พระบรมศาสดาตรสั หา้ มถึง ๓ ครง้ั ต่อมาพระพทุ ธเจา้ เสด็จออกจากกรุงกบลิ พสั ดุก์ ลบั ไปประทบั จาํ พรรษาทก่ี ูฏาคาร ป่ามหาวนั นครเวสลี ครน้ั น้ีพระนางมหาปชาบดโี คตรมี ถงึ กบั ปลงผมนุ่งผา้ กาสวะเอง ออกเดินทาง พรอ้ มดว้ ยเจา้ หญงิ ศากยะ ๕๐๐ องคม์ ายงั ป่ามหาวนั ณ ทน่ี ้ี พระบรมศาสดาทรงอนุญาตใหม้ ภี กิ ษุณีสงฆข์ ้นึ เป็นครงั้ แรก โดยประทานอนุญาตใหพ้ ระนางมหาปชาบดีโคตร มบี วชเป็นภิกษุณีดว้ ยวธิ ีรบั คุรุธรรม ๘ ประการ ส่วนเจา้ หญงิ ศากยะทต่ี ามมาทงั้ หมดพระพทุ ธเจา้ ตรสั อนุญาตใหภ้ กิ ษุสงฆอ์ ปุ สมบทให้ ดงั มบี นั ทกึ ว่า ดงั ขอ้ ความวา่ ๐การรบั สตรเี ขา้ บวชเป็นพระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ ตอ้ งผ่านเงอ่ื นไขและ ขนั้ ตอนทป่ี ฏบิ ตั ิมากมายและเคร่งครดั มากกวา่ บรุ ุษ โดยเฉพาะตอ้ งการครุธรรม ๘ ประการ อนั เป็นเงอ่ื นไขดา้ นแรก ทส่ี าํ คญั ทจ่ี ะบวชเป็นภกิ ษุณีได้ โดยเงอ่ื นไขสาํ คญั คือ ตอ้ งบวชในสงฆส์ องฝ่าย ตอ้ งข้นึ กบั การปกครองของภกิ ษุ เป็น ตน้ ๑ ในกรรมวธิ อี ุปสมบทแบบน้ีเรยี กว่า ๐ครุธรรมปฏคิ คหณูปสมั ปทา๑ (หรอื อฏั ฐครุธรรม ปฏคิ คหณูปสมั ปทา) การอปุ สมบทดว้ ยการรบั ครุธรรม ๘ ประการ เป็นวธิ ที ท่ี รงอนุญาตแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ดงั ขอ้ ความทป่ี รากฏ ในพระสุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย อฏั ฐกนิบาต โคตรมสี ูตร๕๑ ใจความว่า สมยั หน่ึง พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบลิ พสั ดุแ์ ควน้ สกั กะ ครง้ั นนั้ แล พระนาง มหาปชาบดีโคตมเี ขา้ ไปเฝ้ าพระผูม้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ถวายอภวิ าทแลว้ ยืนอยู่ ณ ท่สี มควร ไดก้ ราบทูลพระผูม้ ี พระภาคดงั น้ีว่า ๐ขอประทานวโรกาส มาตคุ ามพึงไดอ้ อกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคต ทรงประกาศไวด้ ว้ ยเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั หา้ มว่า ๐อย่าเลย โคตมี เธออย่าชอบใจการทม่ี าตคุ าม ออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ท่ตี ถาคตประกาศไวเ้ลย๑ แมค้ รงั้ ท่ี ๒ พระนางมหาปชาบดโี คตมกี ็กราบทูลว่า ๐ขอประทานวโรกาส มาตุคาม พงึ ไดอ้ อกจากเรอื นบวช เป็นบรรพชติ ในพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคตทรงประกาศไวด้ ว้ ยเถดิ พระพทุ ธเจา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั หา้ มว่า ๐อย่าเลย โคตมี เธออย่าชอบใจการท่มี าตุคามออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศไวเ้ลย๑ แมค้ รงั้ ท่ี ๓ พระนางมหาปชาบดโี คตมกี ็กราบทูลว่า ๐ขอประทานวโรกาสมาตุคาม พงึ ไดอ้ อกจากเรอื นบวช เป็นบรรพชติ ในพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคตทรงประกาศไวด้ ว้ ยเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ ๔๙ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๒๑/๑๐๑. ๕๐ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑๘/๓๐๙-๓๑๓. (โรหณิ ีขตฺตยิ กํฺญาวตถฺ )ุ , ๕๑ องฺ.อฏฺฐก. (ไทย) ๒๓/๕๑/๓๓๑-๓๓๗.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๗๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ พระผูม้ พี ระภาคตรสั หา้ มว่า ๐อย่าเลย โคตมี เธออย่าชอบใจการท่มี าตุคามออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศไวเ้ลย๑ ลาํ ดบั นนั้ พระนางมหาปชาบดีโคตมที รงดาํ ริว่า ๐พระผูม้ พี ระภาคไม่ทรงอนุญาตใหม้ าตุคามไดอ้ อกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินยั ท่พี ระตถาคตทรงประกาศไว๑้ ทรงเป็นทุกข์ เสียพระทยั นาํ้ พระเนตรนอง พระพกั ตร์ กนั แสงอยูถ่ วายอภวิ าทพระผูม้ พี ระภาค ทรงทาํ ประทกั ษณิ แลว้ เสด็จจากไป ครน้ั พระผูม้ พี ระภาคประทยั อยู่ ณ เขตกรุงกบลิ พสั ดุต์ ามพระประสงคแ์ ลว้ เสด็จจาริกไปทางกรุงเวสาลี เสดจ็ จาริกไปโดยลาํ ดบั จนถึงกรุงเวสาลี ณ ทน่ี น้ั แล พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ท่กี ฏู าคารศาลา ป่ามหาวนั เขตกรุงเวสาลี คราวนนั้ พระนางมหาปชาบดโี คตมที รงปลงพระเกศา ทรงนุ่งผา้ กาสายะเสดจ็ ไปทางกรุงเวสาลพี รอ้ มดว้ ย นางศากยิ านีจาํ นวนมาก เสดจ็ เขา้ ไปยงั กูฏาคารศาลาป่ามหาวนั เขตกรุงเวสาลโี ดยลาํ ดบั เวลานน้ั พระนางมหาปชา บดโี คตมมี พี ระบาทระบม พระวรกายเปรอะเป้ือนฝุ่นธุลี เป็นทุกข์ เสยี พระทยั นาํ้ พระเนตรนองพระพกั ตร์ ประทบั ยนื กนั แสงอยู่ท่ภี ายนอกซุม้ ประตูท่านพระอานนทไ์ ดเ้ หน็ พระนางมหาปชาบดี โคตมีมพี ระบาทระบม พระวรกาย เปรอะเป้ือนฝุ่นธุลี เป็นทุกข์ เสยี พระทยั นาํ้ พระเนตรนองพระพกั ตร์ ประทบั ยนื กนั แสงอยู่ท่ภี ายนอกซุม้ ประตู จึง ถามพระนางมหาปชาบดี โคตมวี า่ ๐พระนางโคตรมี เพราะเหตุไร พระองคจ์ ึงมพี ระบาทระบม พระวรกายเปรอะเป้ือน ฝุ่นธุลี เป็นทกุ ข์ เสยี พระทยั นาํ้ พระเนตรนองพระพกั ตร์ ประทบั ยนื กนั แสงอยู่ท่ภี ายนอกซมุ้ ประตู๑ พระนางมหาปชาบดีโคตรมี ตรสั ตอบว่า ๐ท่านอานนทผ์ ูเ้จริญ ทเ่ี ป็นเช่นนน้ั เพราะพระผูม้ พี ระภาคไม่ทรง อนุญาตใหม้ าตคุ ามไดอ้ อกจากเรอื น บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคตทรงประกาศไว๑้ ทา่ นพระอานนทก์ ลา่ วว่า ๐พระนางโคตมี ถา้ เช่นนน้ั ขอพระองคจ์ งรออยู่สกั ครู่จนกว่าอาตมาจะทูลขอพระผู้ มพี ระภาคใหม้ าตคุ ามไดอ้ อกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคตทรงประกาศไว๑้ ครงั้ นน้ั แล ท่านพระอานนทเ์ ขา้ ไปเฝ้ าพระผูม้ ีพระภาคถึงท่ีประทบั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ท่สี มควร ได้ กราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมนี ้ี มพี ระบาทระบม พระวรกาย เปรอะเป้ือนฝุ่นธุลี เป็นทุกข์ เสียพระทยั นาํ้ พระเนตรนองพระพกั ตร์ ประทบั ยืน กนั แสงอยู่ท่ภี ายนอกซุม้ ประตู เพราะพระผูม้ พี ระภาคไม่ทรงอนุญาตใหม้ าตุคามไดอ้ อกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินยั ท่พี ระตถาคต ทรงประกาศไว้ ขอประทานวโรกาส ขอมาตุคามพงึ ไดอ้ อกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวนิ ยั ท่พี ระตถาคต ทรงประกาศไวด้ ว้ ยเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั หา้ มวา่ ๐อยา่ เลย อานนท์ เธออยา่ ชอบใจการทม่ี าตคุ ามออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศไวเ้ลย๑ แมค้ รงั้ ท่ี ๒ ฯลฯ แมค้ รง้ั ท่ี ๓ ท่านพระอานนทก์ ็ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขอประทานวโรกาส ขอมาตุคามพงึ ได้ ออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคตทรงประกาศไวด้ ว้ ยเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั หา้ มวา่ ๐อยา่ เลย อานนท์ เธออย่าชอบใจการท่มี าตคุ ามออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศไวเ้ลย๑

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๗๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ลาํ ดบั นน้ั ท่านพระอานนทไ์ ดม้ คี วามดาํ รวิ ่า ๐พระผูม้ พี ระภาคไมท่ รงอนุญาตใหม้ าตคุ ามออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชติ ในพระธรรมวนิ ยั ท่พี ระตถาคตทรงประกาศไวท้ างท่ดี เี ราควรทูลขอพระผูม้ พี ระภาคใหม้ าตุคามออกจาก เรอื นบวชเป็นบรรพชิตไดใ้ นพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคตทรงประกาศไวด้ ว้ ยอบุ ายบางอย่าง๑ ครงั้ นน้ั ท่านพระอานนทไ์ ดท้ ูลถามพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ มาตคุ ามออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวนิ ยั ท่พี ระตถาคตทรงประกาศไว้ จะสามารถทาํ ใหแ้ จง้ โสดาปตั ติผล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล หรอื อรหตั ตผลไดห้ รอื ไม่๑ พระผูม้ ีพระภาคตรสั ตอบว่า ๐อานนท์ มาตุคามออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินยั ท่ีตถาคต ประกาศไว้ สามารถทาํ ใหแ้ จง้ โสดาปตั ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล หรอื อรหตั ตผลได๑้ ทา่ นพระอานนทก์ ราบทูลว่า ๐ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ถา้ มาตคุ ามออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในพระธรรม วนิ ยั ท่พี ระตถาคตทรงประกาศไว้ สามารถทาํ ใหแ้ จง้ โสดาปตั ตผิ ล ฯลฯ หรอื อรหตั ตผลได้ พระนางมหาปชาบดีโคต มเี ป็นพระมาตุจฉาของพระผูม้ พี ระภาค ทรงมอี ุปการะมาก เคยประคบั ประคองดูแลถวายเกษยี รธาร เม่อื พระชนนี สวรรคต ขอประทานวโรกาส ขอมาตุคามพึงไดอ้ อกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวนิ ยั ท่พี ระตถาคตทรง ประกาศไวด้ ว้ ยเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบว่า ๐อานนท์ ถา้ มหาปชาบดีโคตร มรี บั ครุธรรม๘ ประการ๕๒ ได้ การรบั ครุธรรม นน้ั แล ป็นการอปุ สมบทของเธอ คือ ๑. ภิกษุณีถึงจะบวชได้ ๑๐๐ พรรษาก็ตอ้ งทาํ การกราบไหว้ การตอ้ นรบั การทาํ อญั ชลีกรรม การทาํ สามีจิกรรม๓ แก่ภิกษุผูบ้ วชแมใ้ นวนั นนั้ ธรรมขอ้ น้ีภิกษุณีพึงสกั การะ เคารพ นบั ถือ บูชา ไม่พึงล่วงละเมิดจน ตลอดชวี ติ ๒. ภกิ ษุณีไม่พงึ อยู่จาํ พรรษาในอาวาสท่ไี ม่มภี กิ ษุ ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา ไม่พึง ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๓. ภิกษุณีพึงหวงั ธรรม ๒ อย่าง คือถามอุโบสถ และไปรบั โอวาทจากภิกษุสงฆท์ ุกก่ึงเดือน ธรรมขอ้ น้ี ภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๔. ภกิ ษุณีจาํ พรรษาแลว้ พงึ ปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย โดยสถาน ๓ คือไดเ้หน็ ไดฟ้ งั หรอื ไดน้ ึกสงสยั ธรรม ขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพนบั ถอื บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๕. ภกิ ษุณีตอ้ งครุธรรมแลว้ พงึ ประพฤตปิ กั ขมานตั ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๖. ภกิ ษุณีพงึ แสวงหาการอปุ สมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่ายใหแ้ ก่นางสกิ ขมานาท่ศี ึกษาธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปีแลว้ ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๗. ภกิ ษุณีไมพ่ งึ ด่า ไมพ่ งึ บรภิ าษภกิ ษุ ไมว่ า่ กรณีใดๆ ธรรมขอ้ น้ีภกิ ษุณีพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา ไม่ พงึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๕๒ ว.ิ มหา. (แปล) ๒/๑๔๙/๓๒๒-๓๒๓, ว.ิ จู. (แปล) ๗/๔๐๓/๓๑๕-๓๑๙.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๗๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๘. ตงั้ แต่วนั น้ีเป็นตน้ ไป หา้ มภิกษุณีสงั่ สอนภิกษุ แต่ไม่หา้ มภิกษุสงั่ สอนภิกษุณี ธรรมขอ้ น้ีภิกษุณีพึง สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา ไมพ่ งึ ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ ๐อานนท์ ถา้ มหาปชาบดีโคตรมี รบั ครุธรรม ๘ ประการน้ีได้ การรบั ครุธรรมนน้ั แล เป็นการอปุ สมบทของ เธอ๑ ลาํ ดบั นน้ั ท่านพระอานนทเ์ รียนครุธรรม ๘ ประการน้ีในสาํ นกั ของพระผูม้ พี ระภาคแลว้ เขา้ ไปหาพระนาง มหาปชาบดีโคตมีถึงท่ปี ระทบั แลว้ กล่าวกบั พระนางมหาปชาบดีโคตร มดี งั น้ีว่า ๐พระนางโคตมี ถา้ พระองคร์ บั ครุ ธรรม ๘ ประการได้ การรบั ครุธรรมนน้ั แล จกั เป็นการอปุ สมบทของพระองค๑์ พระนางมหาปชาบดีโคตร มตี รสั ตอบว่า ๐ท่านอานนทผ์ ูเ้ จริญ ดิฉนั ก็จะรบั ครุธรรม ๘ ประการน้ี ไม่ล่วง ละเมดิ จนตลอดชีวติ เปรียบเหมอื นหญงิ สาวหรือชายหนุ่มผูช้ อบแต่งกายเมอ่ื สรงนาํ้ ดาํ เกลา้ แลว้ ไดพ้ วงดอกอุบล พวงดอกมะลิ หรอื พวงดอกลาํ ดวนแลว้ ก็ใชม้ อื ทงั้ สองประคองรบั ไวเ้หนือศีรษะ๑ ต่อมา ท่านพระอานนทเ์ ขา้ ไปเฝ้ า พระผูม้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ทส่ี มควร ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ๐พระนางมหาปชา บดโี คตร มที รงรบั ครุธรรม ๘ ประการแลว้ จะไมล่ ว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ๐อานนท์ ถา้ มาตุคามจะไม่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวนิ ยั ท่ตี ถาคต ประกาศไว้ พรหมจรรยก์ ็จะดาํ รงอยู่ไดน้ าน สทั ธรรมจะดาํ รงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกจากเรอื นบวช เป็นบรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศไว้ บดั น้ี พรหมจรรยจ์ ะดาํ รงอยู่ไดไ้ มน่ าน ทง้ั สทั ธรรมจะดาํ รงอยู่ไดเ้พยี ง ๕๐๐ ปี''๕๓ ธรรมวนิ ยั ท่มี มี าตคุ าม ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตจะดาํ รงอยู่ไดไ้ ม่นานเปรียบเหมอื นตระกูลหน่ึงท่มี สี ตรีมาก มบี ุรุษนอ้ ย จะถูกโจร ปลน้ ทรพั ยท์ าํ รา้ ยไดง้ ่ายธรรมวนิ ยั ท่มี มี าตุคามออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตจะดาํ รงอยู่ไดไ้ ม่นานเปรียบเหมอื น หนอนขยอก๕๔ ทล่ี งในนาขา้ วสาลซี ง่ึ อดุ มสมบรู ณ์ กท็ าํ ใหน้ าขา้ วนนั้ คงอยู่ไดไ้ มน่ าน ธรรมวนิ ยั ทมี่ มี าตคุ ามออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จะดารงอยู่ไดไ้ ม่นานเปรียบเหมอื นเพล้ยี ทลี่ งในไร่ ออ้ ยซง่ึ อุดมสมบูรณ์ ก็ทาใหไ้ ร่ออ้ ยนนั้ คงอยู่ไดไ้ ม่นาน อานนท์ เราบญั ญตั ิครุธรรม ๘ ประการไว้ เพอื่ ไม่ใหภ้ กิ ษุณี ลว่ งละเมดิ จนตลอดชวี ติ เปรียบเหมอื นคนกนั้ ทานบทสี่ ระใหญ่ไว้ เพอื่ ป้องกนั ไมใ่ หน้ า้ ไหลออก ฉะนนั้ ”๕๕ จากขอ้ ความดงั กล่าวมาขา้ งตน้ เก่ียวกบั โคตรมีสูตร ทาํ ใหเ้ ห็นว่าการบวชของสตรี เช่น ภิกษุณี บา้ ง สกิ ขมานา บา้ ง สามเณรี บา้ ง มคี วามสลบั สบั ซอ้ นมาก มกี ฎระเบยี บกติกาเงอ่ื นไขและขอ้ แมม้ ากมายกว่าการบวช ของบรุ ุษเพศชาย ๕๓ ขอ้ ความพระดาํ รสั น้ีมคี วามหมายว่า ถา้ ใหส้ ตรีบวชโดยไม่ไดบ้ ญั ญตั ิครุธรรมไวก้ ่อน เวลาผ่านไป ๕๐๐ ปีก็จะไม่มพี ระอรหนั ตบ์ รรลุ ปฏสิ มั ภทิ า, แต่เมอ่ื บญั ญตั คิ รุธรรมไวก้ ่อนทส่ี ตรจี ะบวช ในระยะเวลา ๑,๐๐๐ ปีกย็ งั มพี ระอรหนั ตผ์ ูบ้ รรลปุ ฏสิ มั ภทิ าอยู่ ผา่ นไปอีก ๑,๐๐๐ ปี ก็ยงั มพี ระ อรหนั ตส์ ุกขวปิ สั สกอยู่, ผ่านไปอกี ๑,๐๐๐ ปี ก็ยงั มพี ระอนาคามอี ยู่, ผ่านไปอกี ๑,๐๐๐ ปี ก็ยงั มพี ระสกทาคามอี ยู่ ผ่านไปอกี ๑,๐๐๐ ปีก็ยงั มพี ระ โสดาบนั อยู,่ สรุปวา่ ปฏเิ วธสทั ธรรมจะดาํ รงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี แมป้ รยิ ตั ตสิ ทั ธรรมกจ็ ะดาํ รงอยูไ่ ด้ ๕,๐๐๐ ปี เพราะปริยตั กิ บั ปฏเิ วธต่างเก้อื กูลกนั , อา้ งถงึ ใน ว.ิ อ. (บาล)ี ๓/๔๐๓/๔๐๐-๔๐๗, องฺ.อฏฺฐก.อ. ๓/๕๑/๒๖๕) หนอนขยอก ในทน่ี ้ีหมายถงึ แมลงเจาะกลางลาํ ตน้ ขา้ วแลว้ ทาํ ใหร้ วงขา้ วท่อี อกมาไม่มี นาํ้ นม, อา้ งถงึ ใน องฺ.อฏฺฐก.อ. (บาล)ี ๓/๕๑/๒๖๔) ๕๔ ๐หนอนขยอก๑ ในทน่ี ้หี มายถงึ แมลงเจาะกลางลาํ ตน้ ขา้ วแลว้ ทาํ ใหร้ วงขา้ วทอ่ี อกมาไมม่ นี าํ้ นม, อา้ งถงึ ใน องฺ.อฏฐฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๕๑/๒๖๔. ๕๕ องฺ.อฏฐฺ ก. (ไทย) ๒๓/๕๑/๓๓๑-๓๓๗.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๗๙ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พรรษาท่ี ๖ (ปี ขาล) ประทบั จาํ พรรษาท่ี มกลุ บรรพต เหนือกรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ พระชนมายุ ๔๐ พรรษา - พระปิณโฑลภารทวาช เหน็ การทา้ ทายต่อพระพทุ ธศาสนาจงึ แสดงฤทธ์ดิ ว้ ยการเหาะไปเอาบาตรไมจ้ นั ทน์ แดง ทเ่ี ศรษฐชี าวกรุงราชคฤหห์ อ้ ยไวบ้ นปลายไมไ้ ผ่ทรงหา้ มพระภกิ ษุแสดงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ์ - ปรารภจะแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ด์ ว้ ยพระองคเ์ อง ออกพรรษา -เดียรถียส์ รา้ งสาํ นกั หลงั วดั พระเชตวนั เตรียมการแสดงปาฏิหาริยท์ า้ ทายพระพุทธเจา้ ต่อมา พระเจา้ ป เสนทโิ กศล ทรงเปลย่ี นใหส้ รา้ งเป็นอารามสาํ หรบั ภกิ ษุณีเรียกว่า ๐ราชการาม๑ พระสุมณาเถรี ซ่งึ เป็นพระขนิษฐาของ พระองค์ กพ็ าํ นกั ทว่ี ดั แหง่ น้ี -ณ วนั เพ็ญเดือน ๘ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงยมกปาฏิหาริยป์ ราบทิฏฐิเดียรถียภ์ ายใตต้ น้ มะม่วง ช่ือว่า ๐คณั ฑามพฤกษ๑์ นอกเมอื งสาวตั ถี ในพรรษาน้ีพระพุทธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่มี กุลพรรพต (สนั นิษฐานว่า ภูเขาน้ีอยู่ในแควน้ มคธหรือ แควน้ โกศล หรือบริเวณใกลเ้คียง) แต่ใน ๐ปฐมสมโพธิกถา๑ ระบุว่า ๐เสด็จไปสถติ บนมกุฎบรรพต ทรงทรมานหมู่ อสุร เทพยดา และมนุษยใ์ หล้ ะเสยี พยศอนั รา้ ยแลว้ และใหเ้ลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา” ในพรรษาท่ี ๖ น้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงเสด็จไปแสดงยมกปาฏหิ าริยท์ น่ี ครสาวตั ถี คือการแสดงนาํ้ คู่กบั ไฟ เพ่อื สยบพวกเดยี รถยี น์ กั บวชนอกศาสนาพทุ ธ ในทส่ี ุดแห่งยมกปาฏหิ ารยิ ์ ธรรมาภสิ มยั ไดม้ แี ก่พทุ ธบริษทั เพราะไดเ้ห็น และไดฟ้ งั ธรรมเทศนาเป็นอเนก ดงั มบี นั ทกึ ๐ยมกปาฏหิ ารยิ อ์ ศั จรรยไ์ ฟคู่น้า๑๕๖ ไวว้ า่ เมอ่ื ครง้ั ทพ่ี ระปิณโฑละภารทวาชะ ทาํ ปาฏหิ ารยิ ์ สาํ แดงฤทธ์ิ ใหเ้ศรษฐใี นพระนคร ราชคฤหผ์ ูห้ น่ึงไดป้ ระจกั ษว์ า่ มพี ระอรหนั ตบ์ งั เกดิ ข้นึ ในโลกแลว้ ครน้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบความแลว้ พระบรมศาสดาทรงตาํ หนิและมบี ญั ญตั หิ า้ มมใิ หพ้ ระสาวกทาํ ปาฏหิ ารยิ อ์ กี ต่อไป ครน้ั พวกเดียรถยี ไ์ ดท้ ราบข่าวพากนั ดีใจว่าเป็นโอกาสของเราแลว้ จึงใหส้ าวกของตนออกประกาศว่า เราจะ ทาํ ปาฏหิ ารยิ ก์ ะพระสมณโคดมเมอ่ื พระเจา้ พมิ พสิ ารไดท้ รงสดบั ข่าวนนั้ แลว้ รอ้ นพระทยั ดว้ ยความเป็นห่วง รีบเสด็จ ไปเฝ้าพระบรมศาสดาทพ่ี ระวหิ าร ทูลถามวา่ ๐พระองคท์ รงบญั ญตั ิ หา้ มพระสาวกทาํ ปาฏหิ ารยิ เ์ ป็นความจรงิ หรอื พระเจา้ ค่ะ๑ ๐เป็นความจรงิ มหาบพติ ร๑ พระบรมศาสดาทรงรบั สงั่ ๐ถา้ พวกเดยี รถยี จ์ ะทาํ ปาฏหารยิ แ์ ลว้ พระองคจ์ ะทาํ อยา่ งไร๑ ๐ถา้ พวกเดยี รถยี ท์ าํ ตถาคตกจ็ ะทาํ ดว้ ย๑ ๐กพ็ ระองคท์ รงบญั ญตั ิหา้ มแลว้ มใิ ช่หรอื ๑ ๕๖ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๘๑/๘๙.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๘๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๐ถูกแลว้ มหาบพติ ร ตถาคตหา้ มพระสาวกต่างหาก หาไดห้ า้ มอาตมาไม่ เหมอื นเจา้ ของสวนผลไมห้ า้ มเก็บ ผลไม้ ความจรงิ กห็ าไดห้ า้ มเจา้ ของสวนเกบ็ มใิ ช่หรอื มหาบพติ ร๑ พระเจา้ พมิ พสิ ารทลู ถามต่อไปวา่ ๐พระองคจ์ ะทาํ ทไ่ี หน และจะทาํ เมอ่ื ใด๑ ๐ถวายพระพร อาตมาจะทาํ ทเ่ี มอื งสาวตั ถี ในวนั เพ็ญเดอื น ๘ นบั แต่น้ีไปอกี ๔ เดอื น๑ ครน้ั พระบรมศาสดาเสดจ็ อยู่ทพ่ี ระนครราชคฤหพ์ อสมควรแก่อธั ยาศยั แลว้ ก็เสดจ็ ดาํ เนินไปยงั พระนครสา วตั ถี พวกเดยี รถยี พ์ ากนั กลนั่ แกลง้ โจษจนั ว่าพระสมณโคดมหนีไปแลว้ เราจะไมล่ ดละจะตดิ ตามไปทาํ ปาฏหิ ารยิ ด์ ว้ ย ครนั้ ย่างเขา้ เดือน ๘ ใกลเ้วลาทาํ ปาฏิหาริย์ พวกเดียรถียไ์ ดจ้ ดั สรา้ งมณฑปใหญ่ประดิษฐด์ ว้ ยไมต้ ะเคียน งามวจิ ติ ร ประกาศใหม้ หาชนทราบวา่ ตนจะทาํ ปาฏหิ ารยิ ท์ น่ี ้ี ครน้ั นน้ั พระเจา้ ปสั เสนทิโกศลเขา้ เฝ้ าพระบรมศาสดา รบั จะทาํ มณฑปถวายเพ่ือทาํ ปาฏิหาริย์ พระบรม ศาสดาไมท่ รงรบั ตรสั วา่ อาตมาจะไมใ่ ชม้ ณฑปทาํ ปาฏหิ ารยิ ์ แต่จะอาศยั ร่มไมม้ ะมว่ งทาํ ปาฏหิ ารยิ ์ ครนั้ พวกเดยี รถยี ท์ ราบว่า พระบรมศาสดาจะทรงทาํ ปาฏหิ าริยท์ ร่ี ่มไมม้ ะมว่ ง จึงจ่ายทรพั ยจ์ า้ งใหค้ นทาํ ลาย ตน้ มะมว่ งในทส่ี าธารณะทง้ั ในและนอกเมอื งใหห้ มดเพอ่ื มใิ หโ้ อกาสแก่พระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ ปาฏหิ ารยิ ์ ครนั้ ถงึ วนั เพญ็ แห่งอาสาฬมาส คือเชา้ แห่งวนั ข้นึ ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ยพระสงฆส์ าวก เสด็จเขา้ ไปภายในพระนคร สาวตั ถีเพ่ือบิณฑบาต ประจวบกบั ราชบุรุษผูร้ กั ษาสวนหลวงคนหน่ึงเช่ือคณั ฑะ เห็น มะม่วงทะวายมมี ดแดงทาํ รงั หุม้ อยู่กาํ ลงั สุก จ้ึงไดส้ อยมะม่วงผลนนั้ ลงมา เมอ่ื ทาํ ความสะอาดดีแลว้ ก็จดั ใส่ภาชนะ นาํ ไปจากสวนเพอ่ื ถวายพระราชา พอดีเหน็ พระพทุ ธเจา้ เสด็จมาแต่ไกลก็มคี วามเลอ่ื มใส พลางดาํ ริ มะม่วงผลน้ีหาก เราจะเอาไปถวายพระราชาก็คงจะไดร้ บั พระราชทานรางวลั ไมเ่ กิน ๑๕ กหาปนะ แต่ถา้ เราจะนอ้ มถวายพระพทุ ธเจา้ แลว้ จะเป็นมหากุศลอาํ นวยอานิสงสผ์ ลใหป้ ระโยชนส์ ุขแก่เราส้นิ กาลนาน เม่อื นายคณั ฑะดาํ ริเช่นน้ีแลว้ ก็นอ้ ม มะมว่ งสุกผลนนั้ เขา้ ไปถวายพระพทุ ธเจา้ ครน้ั พระบรมศาสดาทรงรบั ผลมะม่วงของนายคณั ฑะแลว้ ประสงคจ์ ะประทบั นงั่ ณ ทต่ี รงนน้ั พระอานนท์ เถระจดั อาสนะถวายประทบั ตามพทุ ธประสงค์ ครนั้ ประทบั นงั่ แลว้ ทรงหยบิ ผลมะม่วงในบาตรส่งใหพ้ ระอานนทท์ าํ ปานะ พระอานนทก์ จ็ ดั ทาํ ปานะมะม่วง คือนาํ้ ผลมะม่วงคน้ั ถวายตามพระประสงค์ ครน้ั พระบรมศาสดาเสวยแลว้ ก็ ทรงส่งเมลด็ มะมว่ งใหน้ ายคณั ฑะว่า \"คณั ฑะ! เธอจงคุย้ ดนิ ร่วนข้นึ ทาํ เป็นหลุม ปลูกมะมว่ งเมลด็ น้ี ณ ทน่ี ้ีเถดิ \" นาย คณั ฑะกจ็ ดั ปลูกมะม่วงเมลด็ น้ี ณ ทน่ี น้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงลา้ งพระหตั ถเ์ หนือพ้นื ดินบนเมลด็ มะม่วงนนั้ ในทนั ใดนน้ั ก็พลนั บงั เกิดความอศั จรรยข์ ้นึ เมลด็ มะมว่ งนน้ั เกดิ งอกออกตน้ ข้นึ ทนั ที และในช่วงขณะทน่ี ายคณั ฑะพรอ้ มดว้ ยพระสาวกทงั้ หลายมองดูอยู่ดว้ ยความ พศิ วง ตน้ มะม่วงตน้ นอ้ ยๆ นนั้ ก็เติบโตใหญ่ข้นึ ๆ ออกก่งิ ใหญ่ๆ ถงึ ๕ ก่งิ ย่นื ยาวออกไปถงึ ๕๐ ศอก ทง้ั ลว้ นตกดอก ออกผล มที ง้ั ผลดบิ ผลสุก แลอร่ามไปทง้ั ตน้ ร่วงหลน่ เกลอ่ื นพ้นื พสุธา นายทณั ฑะมปี ีตเิ ลอ่ื มใส ไดป้ ระสบอศั จรรยเ์ ฉพาะหนา้ กเ็ ก็บผลมะม่วงสุกทห่ี ล่นมาถวายพระสงฆท์ ง้ั หลาย ทต่ี ดิ ตามมาใหฉ้ นั จนอ่มิ หนาํ สาํ ราญทวั่ กนั เม่อื พระบรมศาสดาทรงไดไ้ มค้ ณั ฑามพฤกษอ์ นั สมบูรณ์ดว้ ยก่ิงใบสูงใหญ่งามดว้ ยปริมณฑล สมดงั พระ ประสงคเ์ ช่นนน้ั ก็ทรงตงั้ พระทยั จะทรงทาํ ปาฏหิ าริยส์ บื ไป ครน้ั เวลาบ่ายแห่งวนั เพญ็ อาสาฬมาสพระบรมศาสดาเสด็จ

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๘๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ออกจากพระคนั ธกุฏปี ระทบั ยืนอยู่ท่มี ขุ ท่ามกลางพุทธบริษทั ซ่งึ มาสโมสรกนั เนืองแน่น โดยใคร่จะชมปาฏหิ าริย์ จึง ทรงนิมติ จงกรมแกว้ อนั กวา้ งใหญ่เหนือยอดไมค้ ณั ฑามพฤกษไ์ พศาล งามตระการวจิ ติ ควรแก่ความเป็นพทุ ธอาสนท์ ่ี ประทบั สาํ หรบั แสดงปาฏิหาริย์ พระบรมศาสดาทรงเสด็จลีลาศข้ึนประทบั นงั้ ยงั จงกรมแกว้ มโหฬารทรงกระทาํ ปาฏหิ ารยิ ใ์ หบ้ งั เกิด ท่อไฟพ่งุ ออกจากพระกายเบ้อื งบน สายนาํ้ พุ่งออกจากพระกายเบ้อื งล่าง และท่อไฟพุ่งออกจากพระกาย เบ้อื งลา่ ง สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระกายเบ้อื งบน เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากพระกายเบ้อื งหนา้ สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระกายเบ้อื งหลงั และท่อไฟพ่งุ ออกจากพระกาย เบ้อื งหลงั สายนาํ้ พงุ่ ออกจากพระกายเบ้อื งหนา้ เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากพระเนตร (ตา) ขา้ งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระเนตรขา้ งซา้ ย และท่อไฟพ่งุ ออกจากพระ เนตรขา้ งซา้ ย สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระเนตรขา้ งขวา เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากพระกรรณ (หู,ใบหู) ขา้ งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระกรรณขา้ งซา้ ย และท่อไฟพ่งุ ออกจาก กรรณขา้ งซา้ ย สายนาํ้ พงุ่ ออกจากพระกรรณขา้ งขวา เป็นคู่ ๑ ทอ่ ไฟพ่งุ ออกจากช่องพระนาสกิ (จมกู ) ขา้ งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจากช่อพระนาสกิ ขา้ งซา้ ย และท่อไฟพ่งุ ออก จากช่องนาสกิ ขา้ งซา้ ย สายนาํ้ พงุ่ ออกจากช่องนาสกิ ขา้ งขวา เป็นคู่ ๑ ทอ่ ไฟพงุ่ ออกจากจงอยพระองั สา (บา่ ,ไหล)่ ขา้ งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจาก จะงอยพระองั สาขา้ งซา้ ย และท่อไฟ พ่งุ ออกจากจงอยพระองั สาขา้ งซา้ ย สายนาํ้ พ่งุ ออกจาก จะงอยพระองั สาขา้ งขวา เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากพระหตั ถ์ (มอื ) ขา้ งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระหตั ถข์ า้ งซา้ ย และท่อไฟพ่งุ ออกจากพระ หตั ถข์ า้ งซา้ ย สายนาํ้ พงุ่ ออกจากพระหตั ถข์ า้ วขวา เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากประปรศั ว์ (ขา้ ง,สขี า้ ง) เบ้อื งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระปรศั วเ์ บ้ืองซา้ ย และท่อไฟพุ่ง ออกจากพระปรศั วเ์ บ้อื งซา้ ยสายนาํ้ พงุ่ ออกจากพระปรศั วเ์ บ้อื งขวา เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากพระบาท (เทา้ ) ขา้ งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระบาทขา้ งซา้ ย และท่อไฟพ่งุ ออกจากพระ บาทขา้ งซา้ ย สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระบาทขา้ งขวา เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากน้ิวพระหตั ถ์ (น้ิวมอื ) ขา้ งขวา สายนาํ้ พ่งุ ออกจากน้ิวพระหตั ถข์ า้ งซา้ ย ท่อไฟพ่งุ ออกจาก น้ิวพระหตั ถข์ า้ งซา้ ย สายนาํ้ พ่งุ ออกจากน้ิวพระหตั ถข์ า้ งขวา เป็นคู่ ๑ ท่อไฟพ่งุ ออกจากพระโลมา (ขน) เสน้ หน่ึง สายนาํ้ พ่งุ ออกจากพระโลมาเสน้ หน่ึงเป็นคู่ ๆ สลบั กนั ทวั่ ทง้ั พระ กาย เมอ่ื ท่อไฟพ่งุ ออกมาแลว้ กส็ าํ แดงเป็นสสี นั ต่าง ๆสลบั กนั รวม ๖ สี คือ สเี ขยี ว สเี หลอื ง สแี ดง สขี าว หงสบาท (สี แดงปนเหลอื ง,สแี ดงเร่อื หรอื สแี สด) และประภสั สร (สเี ลอ่ื มพราย เหมอื นแสงอาทติ ยแ์ รกข้นึ ) เมอ่ื สอี อกจากแสงไฟซง่ึ พงุ่ ออกมากระทบสายนาํ้ กท็ าํ สายนาํ้ ใหม้ สี ตี ่าง ๆ ไปตามสไี ฟ สลบั กนั ไปมางานน่า อศั จรรยย์ ง่ิ นกั ทง้ั ทอ่ ไฟสายนาํ้ ทพ่ี งุ่ ออกกพ็ ่งุ ออกไปไกล ทาํ ใหท้ อ้ งฟ้าอากาศสว่างไสวมหาชนทงั้ หลายมองเหน็ ทวั่ ทกุ ทศิ เป็นทจ่ี าํ เรญิ จติ แก่ผูไ้ ดเ้หน็ ทวั่ โลกธาตุ ต่อจากนน้ั พระบรมศาสดากท็ รงนิรมติ พระพทุ ธเจา้ ข้นึ อกี พระองคห์ น่ึง มี พระรูปพระโฉม เช่นเดียวกนั ประองคท์ ุกประการและโปรดใหพ้ ระพทุ ธนิรมติ พระองคน์ นั้ แสดงพระอาการสลบั กนั ไป กบั พระองคโ์ ดยตลอด คอื

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๘๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง เมอ่ื พระบรมศาสดาเสด็จจงกรม พระพทุ ธนิรมติ กเ็ สดจ็ ประทบั ยนื เมอ่ื พระพทุ ธนิรมติ เสด็จจงกรม พระ บรมศาสดากป็ ระทบั ยนื เป็นคู่ ๑ เม่อื พระบรมศาสดาประทบั นงั่ พระพทุ ธนิรมติ ก็สาํ เร็จสหี ไสยา (นอนตะแคงขา้ งขวา) เมอ่ื พระพทุ ธนิรมติ เสรจ็ ประทบั นงั่ พระบรมศาสดากส็ าํ เรจ็ สหี ไสยา เป็นคู่ ๑ เมอ่ื พระบรมศาสดาทรงตง้ั ปญั หาถาม พระพทุ ธนิรมติ ก็ตรสั แกเ้มอ่ื พระพทุ ธนิรมติ ตงั้ ปญั หาถาม พระบรม ศาสดากต็ รสั แก้ เป็นคู่ ๑ รวมพระอาการทท่ี รงแสดงกด็ ี อาการทท่ี รงถามและทรงและทรงแกก้ ็ดีไดป้ รากฏแก่มหาชนทม่ี าประชมุ กนั อยูไ่ ดเ้หน็ และไดย้ นิ กนั ทวั่ ถงึ เป็นเจรญิ ใจเจรญิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธาปสาทะเป็นยง่ิ นกั ในท่ีสุดแห่งยมกปาติหาริย์ ธรรมาภิสมยั ไดม้ ีแก่พุทธบริษทั เพราะไดเ้ ห็นและไดฟ้ งั ธรรมเทศนาเป็น อเนก๕๗ พรรษาท่ี ๗ (ปีเถาะ) ประทบั จาพรรษาบนสวรรคช์ นั้ ดาวดึงส์ พระชนมายุ ๔๑ ปี -หลงั แสดงยมกปาฏหิ ารยิ ์ ไดเ้ สด็จไปประทบั จาํ พรรษาท่สี วรรคช์ น้ั ดาวดึงส์ แสดงพระอภธิ รรมโปรดพระ พทุ ธมารดาตลอดไตรมาส จนบรรลพุ ระโสดาบนั เกดิ พระ ๐อภธิ รรมปิฎก๑ ซง่ึ เป็น ๑ ใน ๓ ของพระไตรปิฎก - บนสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ทรงปรารภอานิสงสก์ ารทาํ บุญว่า มผี ลแตกต่างกนั โดยยกเร่ืองของ องั กุรเทพบตุ ร และ อนิ ทกเทพบตุ ร เป็นตวั อย่าง -เสดจ็ ลงจากสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์ ทป่ี ระตูเมอื งสงั กสั สนคร มปี ระชาชนมารอรบั เป็นจาํ นวนมาก เกดิ ประเพณี ๐ตกั บาตรเทโวโรหณะ๑ ในปจั จบุ นั ออกพรรษา -เสดจ็ กรุงสาวตั ถี ประทบั ท่วี ดั พระเชตวนั ปรารภเร่ือง นางปฏปิ ูชกิ า ภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร แสดง ความแตกต่างระหวา่ งอายุของเทวดาและมนุษย์ -ทรงแสดงบคุ คลในโลกน้ีมี ๔ ประเภท แด่พระเจา้ ปเสนทโิ กศล -นางจิญจมาณวิกา ใส่ความว่ามที อ้ งกบั พระพุทธเจา้ ถูกธรณีสูบลงอเวจีมหานรก นบั เป็นการเผชิญการ ต่อตา้ นครง้ั สาํ คญั นบั แต่ประกาศพระศาสนา เม่อื พระพุทธเจา้ แสดงยมกปาฏหิ าริยเ์ สร็จส้นิ แลว้ พระบรมศาสดาเสด็จข้นึ เทวพิภพชนั้ ดาวดึงสท์ นั ที๕๘ โดยทรงยกพระบาทขวาข้นึ จากจงกรมแกว้ กา้ วข้นึ เหยยี บยอดภเู ขายุคนั ธร แลว้ ยกพระบาทซา้ ยกา้ วข้นึ หยยี บยอดเขา สเิ นรุ ทรงประทบั นงั่ บนปณั ฑกุ มั พลศิลาอาสนภ์ ายใตร้ ่มไมป้ ารชิ าต ทา้ วสกั กะเทวราชจอมภพผูป้ กครองดาวดึงสเท วโลกสวรรคช์ น้ั ท่ี ๒ ป่าสวรรค์ ๖ ชนั้ เสดจ็ ข้นึ สู่ดุสติ เทวพภิ พ เป็นสวรรคช์ น้ั ท่ี ๔ เขา้ เฝ้าพระมหามายาเทพเจา้ ผูเ้ป็น พระพทุ ธมารดา ทูลอญั เชญิ ใหเ้สดจ็ ไปเผา้ พระบรมศาสดาตามพทุ ธประสงค์ ๕๗ ข.ุ ธ. (บาล)ี ๖/๖๗-๘๗. ๕๘ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑๙/๒๑๐. (ปรมตฺถทปี น)ี , ข.ุ ธ.(บาล)ี ๖/๘๒.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๘๓ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอภธิ รรม เพอ่ื โปรดพระพทุ ธมารดาตลอดสามเดอื น เทพยาดาในโลกธาตุท่มี าประชมุ ฟงั ธรรมอยู่ท่นี น้ั บรรลุมรรคผลสุดท่จี ะประมาณ ส่วนพระมหามายาเทพเจา้ ผูเ้ ป็นพระพุทธมาดา ไดท้ รงบรรลุพระ โสดาปตั ตผิ ลสมพระประสงคข์ องพระบรมศาสดา นางจิญจมาณวิกา เป็นอีกผูห้ น่ึงท่ีเสวยผลของกรรมหนกั ทงั้ สองมติ ิ คือดว้ ยการถูกธรณีสูบ อนั เป็นผล ของกฎแห่งกรรมในมติ ิ ทฏิ ฐธมั มเวทนียกรรม (ผลทนั ตาเห็น) และไปตกนรกตาม กฎแห่งกรรม ในมติ ิ อปราปริย เวทนียกรรม (เสวยผลในภพต่อมา) เร่ืองในอรรถกาพระธรรมบท๕๙ พระพุทธโฆษาจารยเ์ ล่าไวว้ ่า ในปฐมโพธิกาล พระศาสดาทรงแสดงธรรม โปรดแก่เทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย มพี วกเทวดาและมนุษยท์ งั้ หลายไดบ้ รรลุอริยภูมใิ นชนั้ ต่างๆมโี สดาปตั ติผลเป็น ตน้ พระเกยี รติคุณของพระศาสดาจงึ ไดข้ จรขจายไปทวั่ สารทศิ ลาภและสกั การะเป็นอนั มากไดบ้ งั เกิดแด่พระศาสดา เป็นทร่ี ษิ ยาของบรรดาเดยี รถรี ท์ ง้ั หลาย คนเหลา่ น้ีจงึ ไดว้ างแผนทจ่ี ะทาํ ลายเกียรตภิ มู ชิ ่อื เสยี งของพระศาสดา โดยใช้ นางงามช่อื จิญจมาณวกิ าหน่ึงในศิษยค์ นสาํ คญั ของพวกเดียรถรี เ์ ป็นเคร่อื งมอื พวกเขากล่าวกบั นางงามผูน้ ้ีว่า ๐นอ้ ง หญิง ถา้ เจา้ ปรารถนาความสุขแก่เราทง้ั หลายไซร้ จงยงั โทษใหเ้กิดข้นึ แก่พระสมณโคดมแลว้ ยงั ลาภสกั การะใหฉ้ ิบ หายเพราะอาศยั ตน๑ ในเย็นวนั นนั้ เอง นางงามก็เร่มิ ทาํ ตามแผน ๐นารีพฆิ าต๑ โดยนางมมี อื ถอื ดอกไมแ้ ละของหอม เป็นตน้ เดนิ ไปทางวดั พระเชตวนั เมอ่ื คนทง้ั หลายถามนางวา่ จะไปไหน นางก็ตอบว่า ๐พวกท่านอย่ารูเ้ลย๑ จากนนั้ นางกไ็ ปยงั ทพ่ี าํ นกั ของพวก เดียรถรี ซ์ ง่ึ อยู่ใกลเ้คียงกบั วดั พระเชตวนั และนางกจ็ ะเดินกลบั ออกมาในช่วงเชา้ วนั รุ่งข้นึ โดยทาํ ทปี ระหน่ึงว่านางเขา้ ไปนอนคา้ งแรมในวดั พระเชตวนั เมอ่ื มคี นถามในช่วง ๑-๒ เดอื นแรก นางกจ็ ะบอกวา่ ๐ขา้ พเจา้ ไปคา้ งแรมกบั พระสมณโคดม ในพระคนั ธกฎุ ี ในวดั พระเชตะวนั ๑ หลงั จากเวลาผ่านไป ๓-๔ เดอื น นางก็นาํ ผา้ มาผูกไวท้ ่ที อ้ งทาํ ทวี ่านางเร่มิ ตงั้ ครรภ์ และสรา้ งขา่ ว ลอื วา่ นางตง้ั ครรภก์ บั พระศาสดา เมอ่ื เวลาผ่านไป ๘-๙ เดือน นางกน็ าํ ไมก้ ลมๆ มาผูกท่ที อ้ งห่มผา้ ทบั ไวบ้ า้ งบน ให้ ทบุ หลงั มอื และเทา้ ดว้ ยไมค้ างโค ใหม้ อี าการบวมตามร่างกาย เหมอื นหญงิ ครรภแ์ ก่ใกลค้ ลอด จนถงึ วนั หน่ึง ในขณะ ทพ่ี ระศาสดาประทบั นงั่ แสดงธรรมบนธรรมาสน์ นางงามกไ็ ปสูธ่ รรมสภา ยนื ตรงพระพกั ตรข์ องพระศาสดา กลา่ ว่า “มหาสมณะ พระองคด์ ีแต่แสดงธรรมแก่มหาชน เสียงของพระองคไ์ พเราะ พระโอษฐข์ องพระองคส์ นิท ส่วนหมอ่ มฉนั อาศยั พระองคไ์ ดเ้ กิดมคี รรภค์ รบกาหนดแลว้ พระองคไ์ ม่ยอมจดั การหาสถานทคี่ ลอดของหมอ่ มฉนั ไม่ทรงจดั หาอุปกรณเ์ ครือ่ งบริหารครรภม์ เี นยใสและนา้ มนั เป็นตน้ เมือ่ ไม่ทรงทาเอง ก็น่าตรสั บอกพระเจา้ โกศล อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี หรือนางวสิ าขามหาอบุ าสกิ า คนใดคนหน่ึง จดั การให้ พระองคท์ รงรูแ้ ต่จะอภริ มยเ์ ท่านนั้ ไม่ทรง รูใ้ นการจดั การบริหารครรภ”์ พระศาสดาทรงหยุดแสดงธรรมชวั่ ขณะ และตรสั ว่า “นอ้ งหญงิ ความทคี่ าอนั เจา้ กล่าว แลว้ จะจริงหรือไม่ เราและเจา้ เท่านนั้ ย่อมรู”้ นางงามตอบว่า “ถูกตอ้ ง มหาสมณะ คนอืน่ จะรูไ้ ดอ้ ย่างไร พระองค์ และหมอ่ มฉนั เท่านนั้ ทรี่ ู ้ ๖๐ ๕๙ ข.ุ ธ.(บาล)ี ๖/๔๖-๕๑. ๖๐ \"มหาสมณ มหาชนสฺส ตาว ธมมฺ ํ เทเสส,ิ มธุโร เต สทฺโท, สมผฺ สุ ติ ํ เต ทนฺตาวรณํ, อหํ ปน ตํ ปฏจิ ฺจ คพภฺ ํ ลภติ วฺ า ปริปณุ ฺณคพฺภา ชาตา, เนว เม ปสูตฆิ รํ ชานาส,ิ น สปปฺ ิเตลาทนี ิ, สยํ อกโรนฺโต อปุ ฏฐฺ ากานปํ ิ อํฺญตรํ โกสลราชานํ วา อนาถปิณฺฑกิ ํ วา วสิ าขํ วา มหาอปุ าสกํ \"อมิ สิ ฺสา จิํฺจ

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๘๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ทนั ใดนนั้ เอง เทา้ สกั กะเทวราช ทรงทราบเหตุรา้ ยเกิดข้นึ ท่ีวดั พระเชตวนั จึงไดเ้ สด็จจากสวรรคม์ าท่นี นั่ แลว้ มเี ทวบญั ชาใหเ้ทพบุตรจาํ แลงกายเป็นหนูปีนข้นึ ไปกดั เชอื กท่ผี ูกท่อนไมก้ ลมท่ที อ้ งของนางงาม เมอ่ื เชอื กผูกถูก กดั ขาด ทอ่ นไมก้ ลมนนั้ กห็ ลุดหล่นลงมาทบั ทป่ี ลายเทา้ ของนางงาม เม่ือความลบั ของนางงามถูกเปิดเผย ชาวบา้ นก็ไดร้ อ้ งตะโกนสาปแช่ง ๐นางกาลกณั ณี เจา้ ใส่รา้ ยพระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๑ บา้ งถม่ นาํ้ ลายรดศีรษะของนาง บา้ งหยบิ กอ้ นดนิ บา้ งหยบิ ท่อนไม้ ว่งิ ขบั ไลน่ างงามออกจากพระเช ตวนั ตามเร่อื งในพระคมั ภรี บ์ รรยายในช่วงทน่ี างงามถูกธรณีสูบและไปเกดิ ในอเวจีมหานรกว่า ๐ครน้ั ในเวลานาง ลว่ งคลองพระเนตรของพระตถาคตไป แผ่นดนิ ใหญ่แตกแยกเป็นช่องแลว้ เปลวไฟตง้ั ข้นึ จากอเวจี นางจิญจมาณวกิ า นน้ั ไปเกดิ ในอเวจี เป็นเหมอื นหม่ ผา้ กมั พลท่ตี ระกูลให๑้ ในวนั รุ่งข้นึ ภกิ ษุทง้ั หลายสนทนากนั ในธรรมสภา ถงึ เร่อื งท่ีเกิดข้นึ กบั นางจญิ จมาณวกิ า พระศาสดาไดท้ รง สอบถามเร่อื งและประเดน็ ของการสนทนา และตรสั ว่า ๐ภกิ ษุทงั้ หลาย มใิ ช่แต่บดั น้ีเท่านน้ั ถงึ ในกาลก่อน นางจิญจ มาณวกิ า กด็ ่าเราดว้ ยคาํ ไมจ่ ริง ถงึ ความพินาศแลว้ เหมอื นกนั ๑ แลว้ ตรสั เล่าเร่ืองในมหาปทมุ ชาดก ในทวาทสบบิ าต ซ่งึ ในชาดกดงั กล่าวเล่าถงึ พฤติกรรมของนางจิญจมาณวิกาเม่อื ครง้ั เป็นพระมเหสีของพระราชาและเป็นพระมารดา เล้ยี งของมหาปทุมกุมารพระโพธิสตั ว์ ใชอ้ บุ ายเพ่อื ใหพ้ ระโพธิสตั วเ์ ป็นชูก้ บั ตน เม่อื พระโพธิสตั วป์ ฏเิ สธก็ไดท้ าํ การ กลนั่ แกลง้ จนพระโพธสิ ตั ว์ ถกู จบั ตวั ไปท้งิ ลงเหว แต่ไมไ่ ดร้ บั อนั ตรายเพราะพระยานาคช่วยชีวติ เอาไว้ และภายหลงั พระโพธิสตั วไ์ ดก้ ลบั มาครองราชสมบตั ิ ส่วนนางจิญจมาณวิกา (พระมเหสีของพระราชา) ถูกจบั ไปโยนลงเหว ส้นิ พระชนม์ พระศาสดา เมอ่ื ตรสั เลา่ มหาปทมุ ชาดกจบลงแลว้ ไดต้ รสั ว่า ๐ภกิ ษุทงั้ หลาย บุคคลผูล้ ะคาํ สตั ยซ์ ่งึ เป็นธรรม อยา่ งเอก และไมส่ นใจในสง่ิ ทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ในปรโลก ช่อื วา่ จกั ไมท่ าํ บาปกรรม ย่อมไมม่ ี๑ จากนน้ั พระศาสดาไดต้ รสั พระธรรมบท พระคาถาน้ีว่า ๐เอกธมมฺ มตตี สฺส มสุ าวาทสิ ฺส ชนฺตโุ น วติ ณิ ฺณปรโลกสฺส นตถฺ ิ ปาปํ อการยิ ํ ฯ แปลความว่า ๐บาป อนั ชนผูก้ า้ วลว่ งธรรมอย่างเอกเสยี ผูม้ กั พดู เทจ็ ผูม้ ปี รโลกอนั ลว่ งเลยเสยี แลว้ ไม่พงึ ทาํ ยอ่ มไมม่ ๑ี คาํ วา่ ๐ธรรมอยา่ งเอก๑ คอื สจั จะ คาํ ว่า ผูม้ ปี กตกิ ลา่ วเทจ็ คือไม่มคี าํ พดู ทเ่ี ป็นสจั จะความจรงิ สกั อยา่ งหน่ึง ในการพดู ๑๐ ครงั้ คนทก่ี ลา่ วเทจ็ จะมองไมเ่ หน็ มนุษยส์ มบตั ิ สวรรคส์ มบตั ิ และนิพพานสมบตั ิ เมอ่ื พระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอนั มาก บรรลุอริยผลทง้ั หลาย มโี สดาปตั ตผิ ลเป็นตน้ พรรษาท่ี ๘ (ปี มะโรง) จาํ พรรษาทเ่ี ภสกฬาวนั ใกลเ้มอื งสุงสุมารคีรี แควน้ ภคั คะ มาณวกิ าย กตตฺ พพฺ ยตุ ฺตกํ กโรหตี ิ น วเทส;ิ อภริ มติ เุ มว ชานาส,ิ คพภฺ ปริหารํ น ชานาสตี ิ คูถปิณฺฑํ คเหตวฺ า จนฺทมณฺฑลํ ทูเสตุํ วายมนฺตี วยิ ปริสมชฺเฌ ตถาคตํ อกฺโกส.ิ ตถาคโต ธมมฺ กถํ ฐเปตฺวา สโี ห วยิ อภนิ ทนฺโต \"ภคนิ ิ ตยา กถติ สฺส ตถภาวํ วา วติ ถภาวํ วา อหเมว ตวฺ ํฺจ ชานามาติ อาห. อา้ งใน ข.ุ ธ. (บาล)ี ๖/๔๘.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๘๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง พระชนมายุ ๔๒ พรรษา - โพธิราชกมุ ารสรา้ งโกกนุทปราสาท เสรจ็ จะฆ่านายช่าง นายช่างรูท้ นั สรา้ งนกยนตบ์ นิ หนี - เกดิ ทาํ เนียมหา้ มพระสงฆเ์ หยยี บผา้ ขาวในวนั ฉลองโกกนุทปราสาท - บดิ าของสงิ คาลกมานพบวช บรรลพุ ระอรหนั ต์ ออกพรรษา - ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท เรอ่ื ง การผงิ ไฟของภกิ ษุ - โปรดมาคนั ทยิ าพราหมณ์และภรรยาจนขอบวชทงั้ ๒ คน แลว้ ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์ - นางมาคนั ทยิ าผูเ้ป็นธดิ าผูกจิตอาฆาตในพระพทุ ธเจา้ - เศรษฐชี าวกรุงโกสมั พี ๓ คน ตามไปฟงั ธรรมทว่ี ดั พระเชตวนั เมอื งสาวตั ถี บรรลุเป็นพระโสดาบนั และ ไดส้ รา้ งวดั โฆสติ าราม วดั ปาวารกิ าราม และวดั กกุ กฏุ าราม ถวายทก่ี รุงโกสมั พี เม่อื พระพทุ ธเจา้ ทรงเปิดโลกเสด็จลลี าลงจาดาวดึงสส์ วรรคใ์ นท่ามกลางเทพยาดาและพรหมเป็นอนั มาก มหาชนทงั้ หลาย ต่างแซ่ซอ้ งสาธุการเสยี งสนนั่ หวนั่ ไหว พระบรมศาสดาทรงเสด็จดาํ เนินสูป่าไมส้ ีเสียดใกลเ้ มอื ง สุงสุมารคีรี แควน้ ภคั คะทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๘ ณ ป่าไมส้ เี สยี ด เภสกลาวนั ในกาลนนั้ มสี องสามภี รรยาคฤหบดชี าวเมอื งสุงสุมารคีรี มนี ามว่านุกุลบดิ า และนกลุ มารดา เขา้ เฝ้าพรอ้ ม กบั ชาวเมอื งคนอ่นื ๆ พระพุทธเจา้ ทรงแสดงธรรมโปรดทง้ั สองสามภี รรยาไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั ท่านนกุล บดิ าไดร้ บั ยกย่องจากพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ ป็นเอตทคั คะในบรรดาอุบาสกผูส้ นิทสนมคุน้ เคย ส่วนท่านนกุลมารดาก็เป็น เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกิ าผูส้ นิทสนมคุน้ เคย พรรษาท่ี ๙ (ปี มะเสง็ ) ประทบั จาพรรษา ณ วดั โฆษิตาราม เมอื งโกสมั พี แควน้ วงั สะ พระชนมายุ ๔๓ ปี - เกิดเหตุการณ์สะเทอื นใจ พระนางสามาวดี ซ่งึ เป็นพทุ ธสาวิกา ไดเ้ ป็นมเหสีพระเจา้ อุเทน นางมาคนั ทยิ า ไดเ้ป็นสนม จา้ งคนจดั มอ๊ บด่าพระพทุ ธเจา้ และพระภกิ ษุสงฆ์ เวลาบณิ ฑบาตและตามทอ้ งถนน และ วางแผนเผานาง สามาวดี ทง้ั ปราสาทจนตายทงั้ เป็นพรอ้ มนางสนม จาํ นวน ๕๐๐ นาง นางมาคนั ทยิ าถูกลงโทษดว้ ยการถูกเฉือนเน้ือ แลว้ ใหน้ างกินเน้ือตน ส่วนผูร้ ่วมคิดใหฝ้ งั คร่ึงตวั กลบดว้ ยฟางเผาทง้ั เป็น แลว้ ไถตดั ดว้ ยไถ มบี นั ทกึ โดยสงั เขป ดงั น้ี นางมาคนั ทิยาผูกอาฆาตพระศาสดา๖๑ ก่อนท่นี างมาคนั ทยิ าจะไดร้ บั การอภิเษกเป็นมเหสีของพระเจา้ อุเทนนน้ั เดิมทีนางเป็นธิดาของเศรษฐใี น แควน้ กุรุ เน่ืองจากนางมรี ูปร่างงาม ดุจนางเทพอปั สรจึงมเี ศรษฐี (สา อภริ ูปา อโหสิ เทวจฺฉรปฏิภาคา) คฤหบดี ตลอดจนพระราชาจากต่างเมอื งต่างๆ ส่งสารมาสู่ขอมากมายแต่บดิ ามาดาของนางก็ปฏิเสธทงั้ หมดดว้ ยคาํ ว่า ๐พวก ท่านไม่คู่ควรแก่ธิดาของเรา๑ นางจึงครองความเป็นโสดเร่ือยมา พระบรมศาสดาทรงพจิ าณาเหน็ อุปนิสยั แห่งพระ อรหนั ของสองสามภี รรยา จงึ เสดจ็ มายงั แควน้ กรุ ุ ๖๑ ข.ุ ธ.(บาล)ี ๒/๓๘-๔๑.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๘๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ฝ่ายพราหมณ์ผูบ้ ดิ าไดเ้ หน็ แลว้ กช็ ่นื ชมในความสง่างามของพระพทุ ธองค์ ราํ พงึ ในใจว่า โอห้ นอ...ตง้ั แต่เรา เกดิ มา ยงั มเิ คย เหน็ ผูใ้ ดทม่ี คี วามสงา่ งามดุจสมณะรูปน้ีเลย ดูแลว้ บุตรสาวของเราช่างเหมาะสมควรคู่กบั สมณะท่าน น้ีเสยี จรงิ ๆ อยา่ กระนนั้ เลย เรายกนางใหแ้ ก่สมณะท่านน้ีเถดิ คิดดงั นน้ั แลว้ จึงรอ้ งข้นึ ว่า ๐หยุดก่อนท่านสมณะ ท่าน เหมาะสมกบั บตุ รสาวของเรายง่ิ นกั เชญิ ท่านหยุดรอ อยู่ทน่ี ่ีก่อนประเดยี๋ วหน่ึง ขา้ พเจา้ จกั เขา้ เรอื นไปแต่งตวั บตุ รสาว ใหง้ ดงามเสยี ก่อน แลว้ จกั มอบนางใหเ้ป็นภรรยาแด่ท่าน๑ ฝ่ายพระบรมศาสดามไิ ดป้ ระทบั อยู่ทต่ี รงเดมิ แต่ไดอ้ ธษิ ฐานประทบั รอยพระบาทไวแ้ ลว้ เสด็จไปประทบั ในท่ี ไมไ่ กลจากทน่ี นั้ วา่ แลว้ พราหมณก์ เ็ ขา้ เรอื นไปบอกภรรยาใหร้ บี แต่งตวั บตุ รสาวใหง้ ดงามโดยไว ครน้ั เสร็จแลว้ ก็พากนั มาทห่ี นา้ เรอื น แต่หาไดพ้ บพระพทุ ธองคไ์ ม่ พราหมณ์ จงึ ชกั ชวนใหอ้ อกเดนิ ตามหา แต่ภรรยาพราหมณไ์ ดส้ งั เกตเหน็ รอยพระบาททพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงประทบั ท้งิ เอาไว้ เพราะความท่นี างพราหมณี มคี วามชาํ นาญในไตรเวทยอ์ นั เก่ยี วกบั มนตท์ าํ นายลกั ษณะ ร่ายมนตแ์ ลว้ พจิ ารณาดูรอยเทา้ จึงกลา่ วแก่สามวี ่า “พราหมณ์ รอยเทา้ น้ี ไมใ่ ช่รอยเทา้ ของคน ทเี่ สพกามคณุ ทงั้ ๕” จงึ กลา่ วคาถาว่า ๐รตฺตสฺส หิ อกุ กฺ ุฏกิ ํ ปทํ ภเว ทฏุ ฐฺ สฺส โหติ สหสานุปีฬติ ํ มฬู หฺ สฺส โหติ อวกฑฒฺ ติ ํ ปทํ ววิ ฏจฉฺ ทสฺส อิทมที สิ ํ ปทนฺต.ิ แปลความวา่ ๐ความจรงิ รอยเทา้ ของบคุ คลราคะจริต พงึ เป็นรอยเทา้ กระโหยง่ (เวา้ กลาง) รอยเทา้ ของคนทม่ี โี ทสะ ถงึ เป็นรอยเทา้ อนั เสน้ เทา้ บบี (จะหนกั สน้ ) รอยเทา้ ของบคุ คลทม่ี โี มหะ ถงึ เป็นรอยเทา้ จิกลง (หนกั ทางปลายทา้ ย) แต่รอยเทา้ น้ี มคี วามราบเรยี บเสมอกนั ตลอด ตง้ั แต่ตน้ จรดปลาย ย่อมเป็นรอยเทา้ ของผูท้ ่ปี ราศจากกิเลส เคร่อื งมงุ บงั อนั เปิดแลว้ โดยส้นิ เชงิ จะเป็นรอยเทา้ เช่นน้ีแหละ๑ พอนางพราหมณีบอกลกั ษณะรอยเทา้ ฝ่ ายพราหมณ์ผูส้ ามีไม่พอใจ ก็ประชดว่า เธอจะอ่ึง ดูมนตราไป เหมอื นดูจระเขใ้ นตมุ้ นาํ้ เหมอื นดูโจรถกู ขงั ไวใ้ นเรอื นคอก จงน่ิง ซะ แต่พราหมณ์สามยี งั คงด้อื ดงึ ออกตามหาจนมาพบพระบรมศาสดา ทโ่ี คนไมแ้ ห่งหน่ึง จึงเขา้ ไปถวายบงั คม แลว้ ยนื ยนั จดุ ประสงค์ เดิมท่จี ะมอบนาง มาคนั ทิยา ใหพ้ ระพุทธองคเ์ ช่นเดิม พระพทุ ธองคท์ รงปฏเิ สธ ๐ดูก่อนพราหมณ์ แมว้ ่า บตุ รสาวของทา่ นจะเลอโฉมงดงามกจ็ รงิ แต่เราใช่ว่าจะไมเ่ คยพบเหน็ สตรที เ่ี ลอโฉมก็หาไม่ สมยั ทเ่ี รายงั เป็นเจา้ ชายสทิ ธตั ถะอยู่ เราหอ้ มลอ้ มดว้ ยเหลา่ นางสนมทล่ี ว้ นแลว้ แต่งดงามเลอื กเฟ้นมาอย่างดี แต่เรากเ็ กดิ ความเบอ่ื หน่ายในท่สี ุด เพราะความงามนนั้ ไม่ยงั่ ยนื แทจ้ ริงร่างกายอนั มอี าภรณป์ กปิดน้ี เตม็ ไปดว้ ยส่งิ ปฏกิ ูล อนั มี นาํ้ มกู นาํ้ ลาย นาํ้ ปสั สาวะ อจุ จาระ เป็นตน้ หลงั่ ไหลออกจากทวารทงั้ ๙ อยู่เสมอๆ อย่าว่าแต่จะสมั ผสั บตุ รสาวท่านดว้ ย ปลายน้ิวมอื เราเลย แมแ้ ต่ปลายเทา้ เรากไ็ มอ่ ยากจะสมั ผสั ๑ ต่อจากนนั้ พระพทุ ธองคก์ ท็ รงแสดงธรรมเทศนา แสดงโทษของกาม อานิสงคข์ องทาน ศีล ภาวนา และการ ดาํ รอิ อกจากกาม เพอ่ื กลอ่ มเกลาจิตใจของพราหมณท์ งั้ สองใหอ้ ่อนโยนลงแลว้ จงึ แสดงธรรมอนั ละเอียดลุม่ ลกึ อนั มี

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๘๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ อรยิ สจั จส์ ่ี เป็นตน้ จนกระทงั่ พราหมณท์ งั้ สองบงั เกดิ ความแจ่มแจง้ ไดบ้ รรลุ อนาคามผี ล และทูลขอบรรพชา ต่อมาก็ ไดบ้ รรลุเป็นพระอรหนั ต์ .....ฝ่ายนางมาคนั ทยิ า ไดย้ นิ พระดาํ รสั ของพระศาสดาโดยตลอด รูส้ กึ โกรธท่พี ระพทุ ธองค์ ตาํ หนิประณามว่า \"มาคนั ทิยะ ในกาลก่อน เราไดเ้ หน็ ธิดามารทงั้ สามเหล่าน้ีผูป้ ระกอบดว้ ยอตั ภาพเช่นกบั แท่งทอง ไมแ่ ปดเป้ือนดว้ ยของโสโครก มเี สมหะเป็นตน้ แมใ้ นกาลนนั้ เราไม่ไดม้ คี วามพอใจในเมถนุ เลย ก็สรีระแห่งธดิ าของ ท่านเตม็ ไปดว้ ยซากศพ คืออาการ ๓๒ เหมอื นหมอ้ ทใ่ี ส่ของไม่สะอาด อนั ตระการตา ณ ภายนอก แมถ้ า้ เทา้ ของเรา พึงเป็นเทา้ ท่ีแปดเป้ือนดว้ ยของไม่สะอาดไซร้ และธิดาของท่านน้ี พึงยืนอยู่ท่ีธรณีประตู ถงึ อย่างนนั้ เราก็ไ ม่พึง ถกู ตอ้ งสรรี ะของนางดว้ ยเทา้ ๑ ดงั น้ี แลว้ ตรสั พระคาถาน้ีวา่ :- “แมค้ วามพอใจในเมถนุ ไมไ่ ดม้ แี ลว้ เพราะเหน็ นางตณั หา นางอรดี และนางราคา, เพราะเหน็ สรีระแหง่ ธดิ าของท่านน้ี ซง่ึ เตม็ ไปดว้ ยมตู รและกรีส, (เราจกั มี ความพอใจในเมถนุ อยา่ งไรได?้ ) เรายอ่ มไมป่ รารถนา เพอื่ จะแตะตอ้ งสรีระธดิ าของท่านนนั้ แมด้ ว้ ยเทา้ ” ในเวลาจบเทศนา เมยี ผวั ทงั้ สองตงั้ อยแู่ ลว้ ในอนาคามผิ ล ดงั น้ีแล นางมาคณั ทยิ า จงึ ผูกอาฆาตจองเวรต่อพระศาสดา เมอื่ บดิ ามารดาออกบวชหมดแลว้ นางจงึ ไดไ้ ปอาศยั อยู่ กบั นอ้ งชายของบดิ าผูเ้ป็นอา ต่อมาอาของนางคิดว่า หลายสาวผูม้ คี วามงามเป็นเลศิ อย่างน้ี ย่อมคู่ควรแก่พระราชา เท่านน้ั จงึ นาํ ไปถวายเป็นพระมเหสขี องพระเจา้ อเุ ทน นางมาคนั ทยิ า จา้ งนักเลงด่าพระพทุ ธองค์ สมยั หน่ึง พระบรมศาสดาเสดจ็ มายงั เมอื งโกสมั พี มพี ระอานนทเ์ ถระมาดว้ ย พระนางมาคนั ทยิ าไดโ้ อกาส จงึ ว่าจา้ งทาส กรรมกร และนกั เลงพวกมจิ ฉาทฏิ ฐิ ผูไ้ ม่เล่ือมใสในพระรตั นตรยั ใหต้ ดิ ตามด่าพระพทุ ธองคไ์ ปในทุก หนทกุ แห่งทวั่ ทง้ั เมอื งดว้ ยคาํ ด่า ๑๐ ประการ (อกั โกสวตั ถ)ุ คือ ๐เจา้ เป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนบา้ เป็นอูฐ เป็นลา เป็นววั เป็นสตั วน์ รก เป็นสตั วด์ ิรจั ฉาน สคุ ตขิ องเจา้ ไมม่ ี เจา้ มแี ต่ทคุ ตอิ ยา่ งเดียว๑๖๒ พระอานนทเ์ ถระไดฟ้ งั แลว้ สุดท่จี ะทุนไหว จงึ กราบทูลใหพ้ ระพทุ ธองคไ์ ปยงั เมอื งอ่นื พระพุทธองคจ์ ึงตรสั ถามว่า ๐อานนท์ ถา้ คนทเ่ี มอื งนนั้ ด่าเราอกี เราจะทาํ อยา่ งไร?๑ ๐กเ็ สดจ็ ไปท่เี มอื งอ่นื ต่อไปอกี พระเจา้ ขา้ ๑ ๐ถา้ คนทเ่ี มอื งนนั้ ด่าเราอกี เราจกั ทาํ อย่างไร?๑ ๐กเ็ สดจ็ ต่อไปอีกเมอื งอ่นื อกี พระเจา้ ขา้ ๑ ๐ดูก่อนอานนท์ ถา้ อย่างนนั้ เราก็จะหนีกนั ไม่ส้นิ สุด ทางท่ถี กู นน้ั อธิการณเ์ กดิ ข้นึ ในท่ใี ด ก็ควรใหอ้ ธิกรณ์ สงบระงบั ในท่นี น้ั ก่อนแลว้ จงึ ไป๑ พระพทุ ธองคจ์ ึงไดต้ รสั กบั พระอานนทว์ ่า ๐เรา เป็นเช่นกบั สรา้ งศึกทอ่ี ยู่ในสงคราม เป็นงานทต่ี อ้ งทนต่อลูกศรทม่ี าจากทศิ ทง้ั ๔ ฉนั ใด การอดทนต่อถอ้ ยคาํ ท่คี นทศุ ีลจาํ นวนมากพูด ก็เป็นภาระของเรา ฉนั นน้ั ๑ พระผูม้ พี ระภาคตรสั พระคาถาน้ีแก่พระอานนท์ ดงั น้ี๖๓ ๖๒ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๖/๔๙. ๖๓ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๒๐-๓๒๒/๑๓๓.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๘๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๐เราจกั อดกลน้ั ถอ้ ยคาํ ลว่ งเกนิ เหมอื นพญาชา้ งในสงคราม อดทนลูกศรทต่ี กจากแลง่ เพราะคนจาํ นวนมาก เป็นผูท้ ศุ ีล๑ ๐คนทง้ั หลายนาํ สตั วพ์ าหนะทฝ่ี ึกแลว้ ไปสู่ทป่ี ระชมุ พระราชายอ่ มทรงราชพาหนะทฝ่ี ึกแลว้ ในหมมู่ นุษย์ คนทอ่ี ดกลน้ั ถอ้ ยคาํ ลว่ งเกนิ ได้ ชอ่ื วา่ เป็นผูฝ้ ึกตนไดแ้ ลว้ เป็นผูป้ ระเสรฐิ ทส่ี ุด๑ ๐มา้ อสั ดร มา้ อาชาไนย มา้ สนิ ธพ ชา้ งใหญ่ ท่ไี ดร้ บั การฝึกหดั แลว้ เป็นสตั วป์ ระเสรฐิ แต่คนทฝ่ี ึกตนไดแ้ ลว้ ประเสรฐิ กว่าสตั วพ์ าหนะเหล่านน้ั ๑ พระพทุ ธองคต์ รสั ต่อไปอกี วา่ “ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาอธกิ รณ์ เกดิ ข้นึ แก่ พระพุทธเจา้ ทงั้ หลายแลว้ ยอ่ มไมเ่ กนิ ๗ วนั กจ็ ะสงบไปเอง”๖๔ ฯลฯ ออกพรรษา - พระสงฆท์ ่วี ดั โฆสิตาราม กรุงโกสมั พี แตกความสามคั คีลุกลามใหญ่โตไปทวั่ พระนคร ขยายออกไป จนถงึ โยมอปุ ฏั ฐากของพระแต่ละฝ่าย แมพ้ ระพทุ ธองคต์ รสั หา้ มไมฟ่ งั ในพรรษท่ี ๙ น้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่วี ดั โฆษิตาราม ซ่งึ เป็นวดั สาํ คญั ในกรุงโกสมั พี นคร หลวงของแควน้ วงั สะ พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดประชากรใหต้ งั้ อยู่ในมรรคผลเป็นพทุ ธมามกะ ปฏิญาณ ตนตง้ั อยู่ในพระรตั นตรยั เป็นจาํ นวนมาก แต่ในกาลนน้ั ภกิ ษุสงฆใ์ นเมอื งโกสมั พี เกดิ แตกแยกกนั แมพ้ ระพทุ ธเจา้ ประทานโอวาทแลว้ กย็ งั ด้อื ดงึ ตก ลงกนั ไมไ่ ด้ จนถงึ กบั แบ่งแยกกนั ทาํ อุโบสถ ฝ่ายหน่ึงทาํ อุโบสถทาํ สังฆกรรมภายในสีมา แต่อีกฝ่ายหน่ึงออกไปทาํ อโุ บสถทาํ สงั ฆกรรมภายนอกสมี า ภกิ ษุสงฆไ์ ดเ้กดิ การแตกแยกกนั ขน้ั น้ีเรยี กวา่ “สงั ฆเภท” ความยอ่ วา่ พระสงฆท์ ะเลาะกนั ครง้ั ย่งิ ใหญ่ท่สี ุดครง้ั แรกในสมยั พทุ ธกาล พระสงฆส์ าวกของพระพุทธเจา้ ทะเลาะวิวาทกนั ก็คงมีบ่อยๆ เพราะความคิดเห็นไม่ตรงกนั แต่ครงั้ ท่ี ยง่ิ ใหญ่ทส่ี ุด จนเกิดความแตกแยกเป็นครง้ั แรก และเกิดข้นึ ในครง้ั สมยั พทุ ธกาลดว้ ย ทบ่ี นั ทกึ ไวใ้ นพระไตรปิฎก ก็ คอื การทะเลาะของภกิ ษุชาวเมอื งโกสมั พี ในอรรถกถาธรรมบท (ธมั มปทฏั ฐกถา) ไดน้ าํ มาเลา่ ต่อ พรอ้ ม ๐แต่งเตมิ ใส่ไข่๑ เร่อื งมอี ยู่ว่า ในวดั แห่งหน่ึง เมอื งโกสมั พี มพี ระภิกษุอยู่ร่วมกนั จาํ นวนมาก มพี ระเถระสองรูปเป็นท่เี คารพของพระภกิ ษุทง้ั หลาย รูปหน่ึงเป็นผู้ เคร่งครดั ในพระวินยั มีความเช่ียวชาญในการอธิบายพระวินยั เรียกตามศพั ทข์ องพระอรรถกถาจารยว์ ่า ๐พระ วนิ ยั ธร๑ อกี รูปหน่ึงมคี วามสามารถในการถา่ ยทอดพระธรรม เรยี กว่า ๐พระธรรมกถกึ ๑ ทง้ั สองรูปมลี ูกศิษยล์ ูกหาจาํ นวนมากทดั เทยี มกนั ถงึ ในเน้ือหาจะไม่มกี ารแบ่งพรรคแบ่งพวกชดั เจน แต่ โดยพฤตนิ ยั กพ็ อมองเห็นเป็นรูปธรรม รวมไปถงึ ญาติโยมดว้ ย พวกทช่ี อบพระนกั เทศนก์ ไ็ ปหาพระนกั เทศน์ พวกท่ี ชอบพระผูเ้ช่ยี วชาญพระวนิ ยั ก็ไปหาพระวนิ ยั ธรบอ่ ยๆ สมยั น้ีเรยี กวา่ ๐ข้นึ ๑ ทง้ั สองรูป มญี าตโิ ยมข้นึ พอๆ กนั ท่านเหล่าน้ีกอ็ ยู่ดว้ ยกนั มาดว้ ยดี ไม่มอี ะไร อยู่มาวนั หน่ึง พระวินยั ธรเขา้ หอ้ งนาํ้ (สมยั โนน้ วจั กฎุ กี ็คงเป็น สว้ มหลุม มากกว่าหอ้ งนาํ้ ในปจั จุบนั ) ออกมาเจอพระธรรมกถึก จึงถามว่า ๐ท่านใช่ไหมท่เี ขา้ หอ้ งนาํ้ ก่อนผม๑ พระ ธรรมกถกึ รบั ว่า ๐ใช่ มอี ะไรหรือ๑ ๐ท่านเหลอื นาํ้ ชาํ ระไวค้ ร่ึงขนั ท่านทาํ ผิดพระวินยั ตอ้ งอาบตั ิทุกกฎแลว้ รูห้ รือ เปลา่ ๑ ๖๔ ๐อานนฺท เอเต สตตฺ าหมตตฺ เมว อกฺโกสสิ ฺสนฺติ อฏฺฐเม ทวิ เส ตณุ ฺหี ภวสิ ฺสนฺติ พทุ ฺธานํ หิ อุปปฺ นฺนํ อธิกรณํ สตฺตาหโต อตุ ฺตรึ น คจฺฉตตี .ิ อา้ งใน ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๖/๕๐.

บทท่ี ๔ “พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา๑ ๒๘๙ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ พระวนิ ยั ธรกล่าว ๐โอ ผมไม่รู้ ถา้ อย่างนน้ั ผมขอปลงอาบตั ิ๑ พระธรรมกถกึ ยอมรบั และยนิ ดี ๐ปลงอาบตั ิ๑ หรอื แสดงอาบตั อิ นั เป็นวธิ อี อกจากอาบตั ติ ามพระวนิ ยั พระวนิ ยั ธรกลา่ ววา่ ถา้ ทา่ นไมม่ เี จตนา กไ็ มเ่ ป็นไร ไมต่ อ้ งอาบตั ิหรอก แลว้ กเ็ ดินจากไป เร่อื งกน็ ่าจะจบเลกิ แลว้ กนั ไป แต่ก็ไมเ่ ป็นเช่นนน้ั พระวนิ ยั ธรไปเลา่ ใหล้ ูกศิษยฟ์ งั ว่า พระธรรมกถกึ ดแี ต่เทศนส์ อนคนอ่นื ตวั เองตอ้ ง อาบตั แิ ลว้ ยงั ไมร่ ูเ้ลย ลูกศิษยพ์ ระวนิ ยั ธร กไ็ ปบอกลูกศิษยพ์ ระธรรมกถกึ เร่อื งคาํ นินทารูถ้ งึ หูพระธรรมกถกึ ถงึ พูด แบบศอกกลบั ว่า พระวนิ ยั ธร เป็นคนสบั ปลบั (พดู กลบั ไปกลบั มา) ทแี รกบอกว่า ไม่เป็นไร แต่คราวน้ีว่า ตอ้ งอาบตั ิ พระวนิ ยั ธร ก็ตอ้ งอาบตั ิขอ้ พดู เทจ็ เหมอื นกนั เมอ่ื อาจารยค์ ือพระวนิ ยั ธรกบั พระธรรมกึกทะเลาะกนั พวกลูกศิษยก์ ็ ทะเลาะกนั ดว้ ย ขยายวงกวา้ งออกไปจนถงึ อบุ าสกอุบาสกิ าผูถ้ อื หางทงั้ สองฝ่ายดว้ ย เร่อื งลุกลามไปใหญ่โต ทราบถงึ พระพทุ ธองค์ พระองคเ์ สดจ็ มาหา้ มปราบ แต่ทง้ั สองฝ่ายต่างกเ็ ลอื ดเขา้ ตาแลว้ ไมย่ อมเช่อื ฟงั พระพุทธองค์ ทรงระอาพระทยั จึงเสด็จหลกี ไปประทบั อยู่ ณ ป่าปาลเิ ลยยกะ (ปาลไิ ลยกะ) ตามลาํ พงั มี ชา้ งนามเดยี วกบั ป่าน้ีเฝ้าปรนนิบตั ิ ทรงจาํ พรรษาทน่ี นั่ ในคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกพูดถงึ ชา้ งเชือกหน่ึง ไม่พูดถงึ ลงิ แต่ใน อรรถกถาบอกว่า มลี งิ ดว้ ยตวั หน่ึง วา่ กนั ว่า พญาชา้ ง คอยตม้ นาํ้ ใหพ้ ระพทุ ธองคท์ รงสรง๖๕ ทาํ อย่างไรหรือ แกกล้งิ กอ้ นหนิ ท่ตี ากแดดทง้ั วนั ยงั อมความรอ้ นอยู่ ลงในแอ่งนาํ้ เลก็ ๆ นาํ้ นนั้ ก็อ่นุ ข้นึ มา แลว้ กไ็ ปหมอบแทบพระบาททาํ นองอาราธนาใหส้ รงสนาน พระ พทุ ธองคเ์ สด็จไปสรงนาํ้ นนั้ อย่างน้ีทุกวนั เจา้ ลงิ เหน็ ชา้ งทาํ อย่างนน้ั ก็อยากทาํ อะไรแด่พระพุทธองคบ์ า้ ง มองไป มองมาเหน็ ผ้งึ รวงใหญ่ กไ็ ปเอามาถวาย พระพทุ ธองค์ ทรงรบั แลว้ กว็ างไว้ ไม่เสวย เจา้ ลงิ สงสยั ว่า ทาํ ไมพระองคไ์ ม่ เสวย ก็ไปหยิบรวงผ้ึงมาพินิจพิเคราะหด์ ู เห็นตวั อ่อนเยอะแยะเลย จึงหยิบออกจนหมดแลว้ ถวายใหม่ คราวน้ี พระองคเ์ สวย ก็เลยกระโดดโลดเตน้ ดว้ ยความดีใจ ท่พี ระพุทธองคเ์ สวยผ้งึ ท่ตี นถวาย ปล่อยก่ิงน้ีจบั ก่ิงนน้ั เพลนิ บงั เอญิ ไปจบั กง่ิ ไมแ้ หง้ เขา้ ก่งิ ไมห้ กั ร่วงลงมา ถกู ตอไมท้ ่มิ ตูดตาย คมั ภรี เ์ ลา่ ต่อว่า ลงิ ตวั นน้ั ตายไปเกดิ เป็นเทพบตุ ร นามวา่ มกั กฎเทพบตุ ร เมอ่ื พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ หลกี ไปตามลาํ พงั พวกอบุ าสกอบุ าสกิ า ท่ที รงธรรมไมเ่ ขา้ ขา้ งฝ่ายไหนทง้ั นนั้ ก็พากนั ทะเลาะกบั พระภกิ ษุเหลา่ นน้ั ไม่ถวายอาหารบณิ ฑบาต กลา่ วโทษว่า เป็นสาเหตุใหพ้ ระพทุ ธองคเ์ สดจ็ หนีไป พวกตน มไิ ดเ้ ฝ้าพระพุทธองค์ พระภิกษุเหลา่ นนั้ รูส้ าํ นึก จงึ ขอขมา แต่อุบาสกอบุ าสิกาทงั้ หลาย บอกใหไ้ ปกราบขอขมาพระ พุทธองค์ ครน้ั ออกพรรษาแลว้ พระภิกษุเหล่านน้ั ก็พากนั ไปเฝ้ าพระพทุ ธองคเ์ พ่ือขอขมา โดยมพี ระอานนทเ์ ป็นผู้ ประสานงาน พระพทุ ธองค์ ทรงแสดงโทษของการทะเลาะวิวาทและอานิสงส์ (ผลดี) ของความสามคั คีแก่พระสงฆ์ สาวกเหลา่ นน้ั ทา่ นเหลา่ นน้ั กก็ ลบั มาสมคั รสมานสามคั คีกนั เหมอื นเดมิ ๖๖ ชาวพทุ ธไดส้ รา้ งพระพทุ ธรูปข้นึ ปางหน่ึง เป็นอนุสรณเ์ หตุการณค์ รงั้ น้ี คือปางปาลไิ ลยกะ (ป่าเลไลยก,์ ป่าลิ ไลยก)์ พระพทุ ธองค์ ประทบั หอ้ ยพระบาท มลี งิ ถอื รวงผ้งึ และพญาชา้ งหมอบแทนพระยุคลบาท ๖๕ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๓๕/๒๔๒-๒๔๓. ๖๖ ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑๗/๕๕-๖๗., ข.ุ ธ.(บาล)ี ๑/๔๙-๖๐.

บทท่ี ๔ ‚พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา‛ ๒๙๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง น้ีเป็นการทะเลาะกนั ของพระสงฆค์ รงั้ ย่งิ ใหญ่ครง้ั แรกในประวตั ิพระพทุ ธศาสนา แต่การทะเลาะกันเพราะ ความคิดเหน็ ต่างกนั (ทฏิ ฐสิ ามญั ญตา) กไ็ มถ่ งึ กบั แตกนิกายดงั ในสมยั หลงั เพราะอย่างไรกม็ พี ระพทุ ธเจา้ ทรงเป็นจุด ศูนยก์ ลายคอยช้แี จงไกลเ่ กลย่ี ใหก้ ลบั คนื ดีกนั สมคั รสมานสามคั คกี นั เหมอื นเดมิ พรรษาท่ี ๑๐ (ปีมะเมีย) ประทบั จาพรรษา ณ รกั ขติ วนั (ป่าปาริเลยยกะ)๖๗ อยรู่ ะหวา่ งกรุงโกสมั พี กบั กรุงสาวตั ถี พระชนมายุ ๔๔ พรรษา -เสด็จปลกี พระองคจ์ ากการแตกสามคั คีของพระสงฆว์ ดั โฆสติ ราม ไปยงั รกั ขติ วนั ระหว่างทางเสด็จแวะ วดั พทริการาม ทรงแสดง ติปลั ลตั ถิมคิ ชาดก และ ติตติรชาดก และทรงแวะเย่ยี มพระภคุเถระ ท่วี ดั พาลกโลณการ คาม ทรงแสดงอานิสงสแ์ ห่งการปลกี วเิ วกแก่พระภคุ พญาชา้ งปาริเลยยกะ และพญาวานรถวายการอุปฏั ฐากตลอด พรรษา ณ ป่าปารเิ ลยยกะ เกดิ พระพทุ ธรูปปางป่าเลไลย์ ออกพรรษา -พระสงฆช์ าวโกสมั พีถกู ชาวบา้ นคาํ่ บาตร ไม่ใส่บาตร ไม่ถวายอาหาร ไมน่ ิมนต์ จึงสาํ นึกผดิ ขอขมาพระ พทุ ธองค์ ทาํ ใหค้ วามสามคั คีกลบั คืนสู่คณะสงฆ์ พระพทุ ธเจา้ ทรงปลกี ประองคจ์ ากหม่สู งฆผ์ ูแ้ ตกแยกสรา้ งความวุ่นวายดว้ ยเหตสุ งั ฆเภท พระบรมศาสดา เสดจ็ จากวดั โฆษติ ารม กรุงโกสมั พี เสดจ็ ไปยงั แดนบา้ นแห่งหน่ึงช่อื \"ปาริเลยยกะ\" อยู่ใกลก้ รุงโกสมั พี พระพทุ ธเจา้ เสด็จเขา้ ไปประทบั ณ ร่มไมภ้ ทั รสาละพฤกษใ์ นป่ารกั ขิตวนั ตาํ บลปาริเลยยกะ ทรงประทบั จาํ พรรษาท่ี ๑๐ ดว้ ย ความสงบสุข โดยมพี ญาชา้ งปารเิ ลยยกะคอยบาํ รุงดูแลพทิ กั ษแ์ ละรบั ใชพ้ ระบรมศาสดาอย่างใกลช้ ดิ พรรษาท่ี ๑๑ (ปี มะแม) ประทบั จาพรรษา ณ ทกั ขณิ าคีรี หมบู้ า้ นพราหมรเ์ อกนาลา พระชนมายุ ๔๕ ปี ในพรรษาท่ี ๑๑ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั จาํ พรรษา ณ ทกั ขณิ าครี ีวหิ าร หม่บู า้ น พราหมณช์ ่อื ว่า เอกนาลา ซง่ึ ตง้ั อยูป่ ระตูดา้ นทศิ ใตข้ องเมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ เสดจ็ ไปตามคนั นา กลางทอ้ งท่งุ โปรดพราหมณช์ าวนา ชอ่ื ว่า ๐กสภิ ารทวาชพราหมณ๑์ ระหว่างเตรียมงานไถ จนไดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ พรรษาท่ี ๑๒ (ปี วอก) ประทบั จาพรรษา ทคี่ วงไมส้ ะเดา ณ เมอื งเวรญั ชา ในพรรษาท่ี ๑๒ น้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงจาํ พรรษา ท่ปี จุ มิ ณั ฑมลู ณ ควงไมส้ ะเดา ทน่ี เฬรุยกั ษส์ งิ สถติ อยู่ใกล้ เมอื งเวรญั ชา เวรญั ชพราหมณ์ นิมนตใ์ หป้ ระทบั ทเ่ี มอื งเวรญั ชา ขณะนน้ั เมอื งเวรญั ชาเกิดทพุ ภกิ ขภยั ขา้ วยากหมาก แพง มารดลใจไมใ่ หเ้วรญั ชพราหมณ์ถวายอาหารพระสงฆ์ พวกพ่อคา้ เกวยี นหุงขา้ วแดงใหพ้ ระสงฆฉ์ นั ตลอดพรรษา ตรสั เร่ือง ๐เหตุแห่งความมนั่ คงของพระพทุ ธศาสนา๑ พระสารีบุตรทูลขอใหบ้ ญั ญตั ิสิกขาบท ยงั ไมท่ รงอนุญาตใหม้ ี การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ๖๗ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๓๕/๒๔๒-๒๔๓.