บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ประชุมไดม้ มี ติว่าควรนิมนตท์ ่านเรวตเถระ เขา้ ร่วมประชุมดว้ ย เพราะท่านเป็นขณี าสพ เป็นลูกศิษยข์ องพระอานนท์ เป็นผูม้ พี รรษายุกาลมาก ทงั้ ยงั แตกฉานในพระธรรมวนิ ยั เป็นท่เี ล่อื มใสของภกิ ษุหมใู่ หญ่ จงึ ไดจ้ ดั ส่งพระภกิ ษุไป นิมนตท์ ่าน ท่ีเมืองโสเรยยะ ใกลเ้ มอื งตกั สิลา แต่ไม่พบท่าน ทราบว่าท่านเดินทางไปยงั สหชาตินครในแควน้ เจตี พระภกิ ษุเหลา่ นนั้ ไดต้ ดิ ตามท่านไปยงั เมอื งสหชาตนิ คร ฝ่ายภกิ ษุชาวเมอื งวชั ชี เมอ่ื ไดท้ ราบข่าวว่าภกิ ษุทเ่ี ป็นฝกั ฝ่ายของพระยสะท่เี ดนิ ทางมาจากปาวา และ อวนั ตี กาลงั ร่วมชมุ นุมกนั เพอ่ื ตดั สนิ อธกิ รณข์ องพวกตนจงึ ไดจ้ ดั พระภกิ ษุไปนิมนตท์ ่านเรวตเถระ ทส่ี หชาตินครเพอ่ื มาเป็น ฝกั ฝ่ายของตน ไดส้ ่งสมณบริขาร เป็นตน้ ว่าบาตร จีวร กล่องเขม็ ผา้ นิสที นะและผา้ กรองนา้ ไปถวายพระเรวตเถระ ภกิ ษุชาววชั ชีเหลา่ นนั้ ไดล้ งเรอื จากเมอื งเวสาลไี ปยงั เมอื งสหชาตนิ คร เมอ่ื ไปถงึ แลว้ ไดใ้ หพ้ ระอุตตระซง่ึ เป็นลูกศิษย์ ของพระเรวตเถระ นาเขา้ ถวายบรขิ ารและกราบเรยี นพฤติการณ์ทง้ั หลายใหท้ ่านทราบตลอดทงั้ ไดข้ อรอ้ งใหท้ ่านเขา้ มา เป็นฝกั ฝ่ายของตนดว้ ย พระเรวตเถระ ไม่เหน็ ดีดว้ ย เพราะท่านเหน็ ว่าวตั ถทุ งั้ ๑๐ ประการนน้ั ไม่ชอบดว้ ยพระธรรมวนิ ยั จึงทาให้ พระภิกษุชาววชั ชีผดิ หวงั เสยี ใจมากเพราะไดข้ าดแรงสนบั สนุนท่สี าคญั ไปจึงเดินทางกลบั ไปยงั เมอื งไวสาลี ไดข้ อ ความช่วยเหลอื จากบา้ นเมอื ง ฝ่ายพระเจา้ กาลาโศกไดถ้ วายความอุปถมั ภแ์ ละคุม้ ครอง ป้องกนั ภิกษุชาววชั ชี มใิ ห้ ภกิ ษุสงฆฝ์ ่ายตรงขา้ มเขา้ มาเบยี ดเบยี นได้ ครงั้ ต่อมา มนี างภกิ ษุณีองคห์ น่ึงช่ือว่า นนั ทาเถรี ซ่งึ ไดบ้ รรลุพระอรหนั ตแ์ ลว้ เป็นพระญาติองคห์ น่ึงของ พระเจา้ กาฬาโศก ทราบข่าวการแตกสามคั คีของพระสงฆ์ จึงไดเ้ ขา้ ไปหา้ มมใิ หพ้ ระเจา้ กาลาโศกหลงเช่อื คาของภกิ ษุ ของชาววชั ชี ซง่ึ พระเจา้ กาฬาโศกไดท้ รงนิมนตพ์ ระสงฆท์ ง้ั สองฝ่ายมาร่วมประชมุ และเมอ่ื ทรงทราบความเป็นไปโดย ละเอยี ดของสงฆท์ ง้ั สองฝ่ายแลว้ พระองคท์ รงกลบั พระทยั มาบารุงอปุ ถมั ภภ์ กิ ษุผูเ้ป็นฝกั ฝ่ายของพระยสะ หรือภกิ ษุ ฝ่ายวินยั วาที ฝ่ายภิกษุฝ่ายวนิ ยั วาที ครง้ั แรกก็ไดต้ ง้ั ใจว่าจะพิจารณาหาทางระงบั อธกิ รณ์เสยี ทส่ี หชาตนิ ครนน้ั แต่ พระเรวตเถระไม่เหน็ ดว้ ย ท่จี ะทากนั ในทน่ี น้ั โดยใหเ้หตผุ ลว่าควรไปทาท่เี มอื งไวสาลี เพราะเหตเุ กดิ ท่เี มอื งไหนควร ไประงบั ทเ่ี มอื งนน้ั ทป่ี ระชมุ เหน็ ดว้ ย จงึ ไดเ้ดนิ ทางไปเมอื งไวสาลเี พอ่ื ประชมุ สงั คายนา (ทตุ ยิ สงั คายนา) ทตุ ยิ สงั คายนาฝ่ ายมหายาน ตามคตินิยมของฝ่ายเถรวาทแลว้ การบญั ญตั ิขอ้ ปฏิบตั ิ ๑๐ ประการของภกิ ษุชาววชั ชี คือจุดหกั เหท่ที าให้ เกดิ การแยกตวั ออกไปของภกิ ษุหมใู่ หญ่ในนามว่า “มหาสงั ฆกิ ะ” บางทรรศนะของมหายาน เช่อื ว่า ตน้ เหตุของนิกาย มหาสงั ฆิกะ เกดิ จากการทพ่ี ระอรหนั ตส์ าวก มคี ุณสมบตั ไิ มค่ รบถว้ นสมบูรณ์รอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ต์ ทฤษฎีและหลกั การน้ี ช้ใี หเ้หน็ วา่ พระอรหนั ตม์ ขี อ้ บกพร่อง ๕ ประการ เรยี กว่า “ปญั จวสั ต”ุ จากคมั ภีรฝ์ ่ ายมหายานช่ือธรรมเภทจกั รศาสตรข์ องท่านพระวสุมติ รและอรรถกถาแห่งคมั ภรี น์ นั้ ซ่งึ แต่ ง โดยพระคนั ถรจนาจารย์ กยุ ก่ี ในราชวงศถ์ งั ของจนี บนั ทกึ ว่า “ความแตกแยกครงั้ น้ีเกดิ ข้นึ มาจาก ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ”๑๐๑ โดย ๑๐๑ คณาจารย,์ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), หนา้ ๔๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ท่านภวสุมติ ร ท่านภาวยะ และท่านวนิ ีตเทวะ ไดเ้ ขยี นไวว้ ่าประเด็นท่ที าใหแ้ ตกแยกกนั ของนิกายเถรวาทและนิกาย มหาสงั ฆกิ ะนน้ั กค็ ือการทพ่ี ระมหาเทวะไดต้ ง้ั ขอ้ สงสยั ในเร่อื งคุณสมบตั วิ เิ ศษของพระอรหนั ต์ ๑) พระอรหนั ตอ์ าจถูกกระแสกเิ ลสภายนอกครอบงา หรือถูกมารยวั่ ยวนใจในความฝนั ได้ เช่น เวลานอน หลบั ฝนั นา้ อสุจอิ าจเคลอ่ื นได้ เพราะฝนั ไปในทางกามสงั วาส ๒) บคุ คลอาจจะเป็นพระอรหนั ตไ์ ดโ้ ดยไมร่ ูต้ วั มอี ญั ญาณได้ ๓) พระอรหนั ต์ ยงั มคี วามสงสยั กงั ขาในคาสอนบางเร่อื งบางของพระพทุ ธเจา้ ได้ ๔) บคุ คลจะบรรลุอรหตั ตผลจติ ไดด้ ว้ ยตนเอง แต่ตอ้ งมอี าจารยพ์ ยากรณ์เท่านน้ั ๕) บคุ คลจะบรรลุอรยิ มรรค หรอื อรหตั ตผลจติ ได้ ดว้ ยการเปล่งอุทาน ว่า “ทุกขจ์ ริงหนอๆ : อโห ทกุ ฺข วต , อโห ทุกฺข วต” คือเพ่งิ พนิ ิจพระศาสนาอย่างแน่วแน่แลว้ เปล่งอุทานออกมา เช่น ทุกขแ์ ทๆ้ ก็จะไดบ้ รรลุมรรคจิต และผลจติ ไดต้ ามลาดบั ๑๐๒ เหลา่ ภกิ ษุทย่ี ดึ มตขิ องพระมหาเทวะ ไดแ้ ยกตวั ออกไปจากคณะสงฆเ์ ดมิ และเรียกตนเองว่า “มหาสงั ฆิกะ” คณะสงฆเ์ ดมิ ตอ้ งเรยี กตนเองวา่ “เถรวาทนิ ”๑๐๓ ทฤษฎี ๕ ประการน้ี เป็นขอ้ อา้ งของพระมหาเทวะเพ่ือปกปิดความผิดของตน โดยความเป็นจริงแลว้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า พระอรหนั ตเ์ ป็นผูร้ ูแ้ จง้ หมดกิเลสแลว้ โดนส้นิ เชิง กิเลสท่ลี ะไดแ้ ลว้ ย่อมไมก่ าเริบกลบั มาอีก, รู้ แจง้ ประจกั ษด์ ว้ ยตนเองไม่ใช่มใี ครมาพยากรณ์ บาลวี ่า “ขีณา ชาติ วุสติ พรหฺมจริย นาปร อิตฺถตฺตาย” แปลว่า ‚ชาติน้ีส้นิ แลว้ พรหมจรรยอ์ ยู่จบแลว้ ไม่มอี ะไรจะตอ้ งทาเพอ่ื ภาววะน้ีอีกต่อไป ‚ และเป็นแนวคิดของชาวพทุ ธทุก คน แมไ้ มบ่ รรลุธรรม กเ็ ชอ่ื แนวคิดน้ีว่าถูกตอ้ ง แต่เมอ่ื มผี ูเ้สนอแนวคิดใหมอ่ อกไปจากความเช่อื ดงั้ เดิม จึงเช่อื ไดว้ ่า จะตอ้ งมผี ูค้ ดั คา้ นและประณามความเห็นผดิ นนั้ ต่อไปจะกล่าวถงึ ประวตั ิของพระมหาเทวะ ผูท้ ่เี ป็นเจา้ ของแห่งทฐิ ิ หรือทฤษฎี ๕ ประการ จากหนงั สอื ‚ เภทธรรมมตจิ กั รศาสตร์ ‚ (คมั ภรี ส์ นั สกฤตของพทุ ธศาสนานิกายมหายาน) ของพระวสุมติ ร และ ‚ อรรถกถาแห่งคมั ภรี ์ ‚ รจนาโดยพระเถระช่อื จนี (ก็ตอ้ งเป็นจารึกเป็นอกั ษรภาษาจนี ) กบั อรรถกถาฝ่ายมหายานของท่านปรมารถะ ซ่งึ กลา่ วว่าหลงั จากพระพทุ ธองคป์ รนิ ิพพานได้ ๑๑๖ ปี ท่านมหาเทวะเป็น บตุ รพ่อคา้ เมอื งมถรุ าเกิดในตระกูลเกาศิวะ แนวคิดปญั จวสั ตุน้ีมจี ารึกไวใ้ นคมั ภรี ว์ ภิ าษา ของศาสนาพทุ ธนิกายสรวาสติวาท อีกทง้ั มรี ะบุอยู่ในหนงั สอื ของฝ่ายมหายานอีกหลายเล่ม อา้ งผูป้ ระพนั ธผ์ ูน้ ่ึงช่ือว่า มหาเทวะ ส่วนพระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่เหน็ ดว้ ยกบั แนวคิดน้ี วนิ ิจฉยั แนวคิดน้ีว่า เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ จงึ ไมม่ กี ารบนั ทกึ ไวใ้ นคมั ภรี ข์ องฝ่ายลงั กา เช่น คมั ภรี ม์ หาวงศ์ เป็น ตน้ ส่วนแนวคิดปญั จวสั ตุของมหาเทวะ มยี ดึ ถอื กนั อยู่ในบางนิกายของมหายานว่าเป็นท่มี าของการแยกตวั ของสงฆ์ หมใู่ หญ่ ๑๐๒ Nalinaksha Dutt, Buddhist Sects in Indian, (Delhi : Motiala Banarsidass Publishers Private Limited, 1978), pp. 22- 23. ๑๐๓ พทุ ธศาสนประวตั ิ ระหวา่ ง ๒๕๐๐ ปี ทล่ี ว่ งแลว้ , รวมบทความวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา, จดั พิมพข์ ้ึนในคราวฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ณ ประเทศอนิ เดีย เม่ือ พ.ศ. ๒๕๙๙, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : สรุ วฒั น,์ ๒๕๓๗), หนา้ ๙๓-๙๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง “ในขอ้ ท่ี ๑ ถงึ ๔ มแี จง้ อยู่ในคมั ภีรก์ ถาวตั ถุ ซง่ึ ในอรรถกถาแห่งคมั ภีรน์ นั้ กล่าวว่าเป็นขอ้ ท่ี “นิกาย บพุ พเสลยี และ นิกายอปั รเสลยี ” ก่งิ ของพระมหาสงั ฆกิ ะนบั ถอื หลวงจีนเห้ยี นจงั กล่าวว่า พระมหาเทพเถระ เป็นผู้ แสดงลทั ธิ ๕ ประการน้ี อนั เป็นเหตุใหบ้ งั เกิดการโตเ้ ถียงมีความเห็นแตกต่างกนั ในสงั ฆมลฑล พระราชาธิบดี ผูป้ กครองในสมยั นนั้ โปรดใหป้ ระชมุ พระอรหนั ตแ์ ละพระภิกษุสงฆท์ ง้ั หลายพิจารณาลทั ธิขอ้ น้ี พระอรหนั ตว์ นิ ิจฉยั ลทั ธทิ ่เี ป็นแนวคิด ๕ ขอ้ น้ีว่า “ขดั แยง้ ” และ “ผิด” (conflicted and wrong) ต่อหลกั การสูงสุดของพระผูบ้ รรลุ อรหนั ตผล แต่ปุถชุ นสงฆบ์ างองคไ์ ม่เหน็ พอ้ งดว้ ย และเขา้ ขา้ งมหาเทพเถระแลว้ ตงั้ นิกายใหม่ข้นึ ท่ี เมอื งปาฏลบี ุตร ชอ่ื วา่ “มหาสงั ฆกิ ะ”๑๐๔ ความเหน็ ของพระพทุ ธศาสนาฝ่ ายเถรวาท ตอ่ ทศั นะพระมหาเทวะ กรณีพระอรหนั ตฝ์ นั แลว้ มีอสูจิเคล่อื น ถามว่าพระอรหนั ต์ มขี นั ธ์ ๕ ครบหรอื ไม่ ถา้ ครบแลว้ อะไรทท่ี าให้ พระอรหนั ตก์ บั ปุถุชนแตกต่างกนั ขอ้ แตกต่างคือกิเลสท่ปี ระกอบในจิตนน้ั พระอรหนั ตใ์ นพระพุทธศาสนาตอ้ งละ กเิ ลส ๑๐ สงั โยชน์ ๑๐ และอกศุ ลทงั้ หมดไดเ้ ด็ดขาดเป็นสมจุ เฉทปหาน แลว้ การฝนั ใครผนั ไดห้ รอื ไม่ฝนั เถรวาท ยนื ยนั วา่ ปถุ ชุ นทวั่ ไปฝนั ปกติดว้ ยอานาจกเิ ลสอกุศล อริยบคุ คลเบ้อื งตน้ สามสามารถฝนั ดว้ ยอานาจกิเลสท่ยี งั เหลอื ส่วนพระอรหนั ตไ์ ม่ฝนั เพราะละกิเลสทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั โลภะ โทสะ โมหะ ไดอ้ ย่างเด็ดขาดแลว้ ผูท้ ่ยี งั ฝนั อยู่จึงไมใ่ ช่ พระอรหนั ต์ ในขอ้ น้ีท่านเสถียร โกเศศ และ นาคะ ประทปี ใหค้ าอธิบายว่าพระอรหนั ต์ (พระอรหนั ตท์ วั่ ไป ท่ไี ม่ใช่พระ อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ) อาจถูกครอบงาจากกระแสภายนอกได้ เช่น ฝนั รา้ ย ฝนั เหน็ ส่งิ ต่างๆ พระอรหนั ตอ์ าจทา บาปได้ ในขณะไมร่ ูส้ กึ ตน ในขอ้ น้ีผูเ้ขยี นแยง้ ว่าพระอรหนั ตไ์ ม่มคี าว่า ไม่รูส้ กึ เพราะพระบาลวี ่า “สติสมปฺ นฺโน” เป็น ไวพจนข์ องพระอรหนั ต์ พระอรหนั ตไ์ มใ่ ช่ว่าชนิดไหน หรอื ประเภทใด เป็นผูม้ สี ตสิ มบูรณ์ การหลงลมื เป็นเร่อื งของ ปถุ ชุ นเทา่ นน้ั คาว่า “มฏุ ฐฺ สฺสสต,ิ ปมาเทน วหิ าร”ี ใช่เฉพาะผูท้ เ่ี ป็นปถุ ชุ น มกี เิ ลสเท่านนั้ กรณีการบรรลอุ รหนั ตผลแลว้ บคุ คลจะไม่รูต้ วั ตอ้ งอาศยั ผูอ้ ่นื พยากรณ์เสยี กอ่ น กิจในการพจิ ารณากิเลส ท่ีละแลว้ (ปจั จเวกขณวิถี) และกิเลสท่ียงั ละไม่ได้ เป็นหนา้ ท่ีของจิตของผูบ้ รรลุอยู่แลว้ ไม่ตอ้ งอาศยั ผูอ้ ่ืนมา พยากรณ์ การบรรลุโลกุตรธรรมผูป้ ฏิบตั ิไดแ้ ละบรรลุแลว้ สามารถรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเอง (ปจฺจตฺต เวทติ พโฺ พ วญิ ฺญูหิ : directly experienceable by the wise) กรณีพระอรหนั ตย์ งั มีสงสยั ในบางเร่ืองได้ เช่น สงสยั ว่าตนบรรลุธรรมแลว้ หรอื ยงั ฯ การสงสยั ไมใ่ ช่วสิ ยั ของพระอรหนั ต์ เพราะถา้ พระอรหนั ต์ ยงั มคี วามสงสยั คือวจิ กิ จิ ฉาอยู่ ก็แสดงว่ายงั ไม่ไดบ้ รรลุจรงิ กเิ ลสคือวจิ กิ จิ ฉา อนั เป็นความสงสยั ๘ ประการ (สงสยั ในพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ สงสยั ในอรยิ สจั จ์ ๔ สงสยั ในปฏจิ จสมปุ บาท) เพียงแค่พระโสดาบนั บุคคลก็ละไดเ้ ด็ดขาดเป็นสมจุ เฉทปหานแลว้ ดงั นนั้ จึงเป็นความสงสยั ท่จี ะบอกว่าพระ มหาเทวะเป็นพระอรหนั ตห์ รอื ไม?่ ฯ ส่วนท่บี อกว่า พระอรหนั ตย์ งั ไม่มรี ูแ้ จง้ ความจรงิ ทงั้ หมด อาจจะไม่รูช้ ่อื ตน้ ไม้ บางชนิดหรอื บคุ คลบางเหลา่ รวมทง้ั ไมร่ ูว้ ่า ตนไดบ้ รรลุอรหนั ตผ์ ลแลว้ ความจริง พระอรหนั ตไ์ มร่ ูค้ วามจริงทงั้ หมด ๑๐๔ Dutt, Nalinaksha, Early History of the Spread of Buddhism and the Buddhist Schools, (Delhi : Rajesh Publications, 1980), pp. 55-73.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง เพราะพระอรหนั ตท์ วั่ ไป (ยกเวน้ พระพทุ ธเจา้ ) รูเ้ฉพาะความจริงท่ลี ะกิเลสไดเ้ท่านนั้ เรียกว่า อริยสจั จะ และปรมตั ถ สจั จะ การไมร่ ูจ้ กั ชอ่ื ตน้ ไม้ ไมร่ ูช้ อ่ื อะไรต่างๆ นน้ั ไมใ่ ช่เร่อื งของการละกเิ ลส คนทวั่ ไปกไ็ มร่ ูไ้ ดเ้ช่นกนั กรณีอริยมรรค อริยผลอาจเกิดข้นึ ไดโ้ ดยอาศยั การอทุ าน คือเพ่งพจิ ารณาพระศาสนาอย่างแน่วแน่แลว้ ออก อทุ าน เช่น ‘อโห ทุกฺข วต’ ทุกขจ์ ริ งหนอๆ กจ็ ะบรรลุมรรคผลไดต้ ามลาดบั ๑๐๕ กล่าวโดยงา่ ยๆ ก็คืออาจใชถ้ อ้ ยคาการ พูดซา้ ๆ เพ่อื ช่วยใหอ้ ริยมรรคปรากฏได้ เป็นเร่ืองความเพอ้ เจอ้ ทางตรรกะ ไม่ใช่เร่อื งพระพทุ ธเจา้ เป็นเร่ืองปรชั ญา หรือจิตวิทยาเท่านนั้ พระพุทธศาสนาไม่มตี รรกะเช่นน้ี การบรรลุอริยมรรค อริยผลเป็นเร่ืองของการปฏิบตั ิตาม อรยิ มรรค แลว้ ละกเิ ลสตามลาดบั แห่งมรรค ไมใ่ ช่เร่อื งของการอุทาน อยา่ งแน่นอน พระมหาเทวะคอื ใคร? พระมหาเทวะเป็นบุตรพ่อคา้ ของหอมในเมอื งมถรุ า เกดิ ในตระกูลเกาศิวะ เป็นคนรูปร่างสมส่วน รูปงาม เป็น ทห่ี มายปองของเพศตรงขา้ ม ต่อมาเมอ่ื เมอ่ื อายุได้ ๒๐ ปี บดิ าของเขาไดเ้ดนิ ทางไปคา้ ขายทต่ี ่างถ่นิ มหาเทวะลกั ลอบ ไดเ้สยี กบั มารดาของตน เมอ่ื บดิ ากลบั มากลวั ความลบั เปิดเผย จึงไดว้ างแผนกบั มารดาของตนฆ่าบดิ าเสยี แลว้ ไดพ้ า มารดาหนีไปอยูเ่ มอื งปาฏลบี ุตร (เมอื งปตั นะในปจั จุบนั ) วนั หน่ึงเขาไดพ้ บพระอรหนั ตร์ ูปหน่ึง ซง่ึ เคยอยู่เมอื งมถรุ า ซง่ึ เคยทาบุญอุปฏั ฐากมาท่เี มอื งมถรุ า เกดิ ความระแวงจึงลอบสงั หารพระอรหนั ตร์ ูปนนั้ เสยี อยู่ต่อมาภรรยาท่เี ป็นมารดา ไดล้ กั ลอบไดเ้สยี กบั ชายอ่ืน เขาจบั ไดแ้ ละบนั ดาบโทสะจึงฆ่ามารดาท้งิ เสีย ตามเหตกุ ารณ์น้ีเป็นอนั ว่ามหาเทวะไดอ้ นั กรรมหนกั อนั เป็นอนนั ตรยิ กรรมถงึ ๓ วาระคือ ปิตฆุ าต อรหนั ตฆาต และมาตฆุ าต ต่อมาภายหลงั เกิดจิตสานึกสลด ใจ จงึ เดนิ ทางไปกกุ กฏุ าราม เพอ่ื ขอบรรพชาอปุ สมบทกบั สงฆ์ โดยปกปิดกรรมของตนไว้ ไดฉ้ ายาใหมต่ ามช่อื ว่า “มหา เทโว ภกิ ฺขุ” เพราะความทม่ี หาเทวะภกิ ขุ เป็นคนฉลาด ตงั้ ใจศึกษาอบรม เรียนธรรมวนิ ยั จนแตกฉาน มพี รสวรรคด์ า้ น การพดู จงึ กลายเป็นพระนกั เทศนท์ ่ีมชี ่อื เสยี งโด่งดงั ในเวลาต่อมา ดงั ไปทวั่ เมอื งปาฏลบี ุตร จนพระเจา้ กาฬาโศกราชรบั เป็นผูอ้ ปุ ถมั ภ์ ถงึ กระนน้ั พระมหาเทวะกย็ งั ไมล่ ะท้งิ นิสยั เดมิ ๆ คิดการใหญ่ตอ้ งการใหค้ นมานบั ถอื เคารพตนเองใหม้ าก ยง่ิ ๆ ข้นึ อกี จงึ ไดป้ ระกาศตนเองต่อหนา้ เพอ่ื นสพรมั หมจารีและแก่ศิษยานุศิษยว์ ่า “ขา้ พเจา้ ไดบ้ รรลุพระอรหตั ต์ ทาให้ แจง้ ซงึ่ พระนิพพาน รูจ้ บพรหมจรรยท์ ีพ่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวด้ ีแลว้ พรอ้ มกบั ไดบ้ รรลุฌาน สมาบตั ิ” จากการประกาศตน เช่นนนั้ ย่งิ ทาใหค้ นเป็นจานวนมากพากนั มาแสดงความเคารพและไดถ้ วายลาภสกั การะเพ่มิ ข้นึ ต่อมาเมอ่ื มผี ูค้ นมานบั ถอื และปฏบิ ตั ธิ รรมร่วมกบั ตน เขาไดท้ าการพยากรณศ์ ิษยค์ นนนั้ คนน้ีว่า “ไดบ้ รรลุโสดาบนั สกทาคามี อนาคามี และ พระอรหนั ต”์ เป็นตน้ ฯ อยู่ต่อมาคืนวนั หน่ึง พระมหาเทวะไดน้ อนหลบั แลว้ ฝนั ไปว่าไดเ้สพเมถนุ กบั สตรจี นทาใหอ้ สุจิ เคลอ่ื น เมอ่ื ลูกศิษยน์ าสบง (อนั ตรวาสก) ไปซกั เหน็ นา้ อสุจเิ ขา้ จงึ ถามวา่ ‚ท่านอาจารย์ บอกว่าเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ทาไมพระอรหนั ตจ์ ึงยงั นอนฝนั อสุจเิ คลอ่ื นอีกเลา่ ?‛ พระมหาเท วะตอบวา่ “ความจรงิ พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายในโลก อาจถกู มารยวั่ ยวนจนทาใหน้ า้ อสุจเิ คลอ่ื นไดใ้ นเวลานอนหลบั ” ต่อมามศี ิษยอ์ กี คนหน่ึงท่ไี ดร้ บั พยากรณว์ ่าไดบ้ รรลุเป็นพระอริยบุคคล แต่ตวั เขาเองยงั รูส้ กึ มนึ ๆ งงๆ ไม่ ค่อยรูเ้ ร่ืองธรรมะหรือเขา้ ใจพระสทั ธธรรมอะไรมากนกั คิดว่าทาไมอาจารยจ์ ึงบอกว่าเป็นพระอริยบคุ คล จึงเขา้ ไป ถามวา่ ๑๐๕ สมุ าลี มหณรงคช์ ยั , พทุ ธศาสนามหายาน (ฉบบั ปรบั ปรุงแกไ้ ข), พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พศ์ ยาม, ๒๕๕๐), หนา้ ๑๑.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง “ท่านอาจารย์ บอกว่าพระผมเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ แต่ทาไม กระผมยงั รูส้ ึกมนึ ๆ งงๆ ไม่ค่อยรูเ้ ร่อื งธรรม และไมเ่ ขา้ ใจพระสทั ธธรรมหรอื แทงตลอดสจั จะอะไรมากนกั ทงั้ ๆ ทค่ี วามจรงิ แลว้ พระอรหนั ตน์ ่าจะรูส้ จั จธรรมตาม ความเป็นจริงของสภาวะมใิ ช่หรอื ?‛ พระมหาเทวะตอบว่า “ความจรงิ พระอรหนั ตท์ งั้ หลายในโลก อาจจะมอี ญั ญาณ หรอื อวชิ ชา คือความไมร่ ูใ้ นสทั ธรรมบางสง่ิ บางอยา่ งได”้ ศิษยถ์ ามอีกว่า “ถา้ เช่นนน้ั เม่อื อาจารยบ์ อกว่า กระผมเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ แต่ทาไมกระผมยงั มีความ สงสยั อยูเ่ ลา่ ?” พระมหาเทวะ ตอบว่า “ความจรงิ พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายในโลก อาจมวี จิ กิ ิจฉา ในพระสทั ธธรรมบางส่งิ บางขอ้ ได”้ ศิษยถ์ ามอกี วา่ “ตามธรรมดา พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายเม่อื ละกเิ ลสไดแ้ ลว้ ตอ้ งมญี าณรูด้ ว้ ยตนเองว่า ละกิเลส อะไรไดแ้ ลว้ และกิเลสอะไรยงั เหลอื อยู่ ถา้ เป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ก็ตอ้ งรูแ้ จง้ ดว้ ยตนเองมใิ ช่หรอื ว่ากเิ ลสทง้ั ปวงละได้ แลว้ แต่ทาไมกระผมไมม่ คี วามรูส้ กึ เช่นนน้ั เลย ตอ้ งใหอ้ าจารยพ์ ยากรณอ์ ยู่เลา่ ?” พระมหาเทวะ ตอบว่า “ผูท้ จ่ี ะรูว้ ่า ตนเองเป็นพระอรหนั ต์ ตอ้ งอาศยั การพยากรณจ์ ากคนอ่นื ” หลงั จากการทาปาปกรรมอย่างหนกั และเมอ่ื บวชก็ทาพระสทั ธรรมปฏริ ูปหลายเร่อื ง ต่อมาพระมหาเทวะเกดิ ความไม่สบายใจ คิดมาก วติ กกงั วล ยงั คิดยา้ ทา เกิดวปิ ปฏิสารรอ้ นใจ ไม่ว่าจะอยู่ในอิรยิ าบถใดกเ็ รา้ รอ้ น คืนหน่ึง รูส้ กึ เรา้ รอ้ นกระวนกระวายใจมากจนนอนไมห่ ลบั จงึ เปล่งอุทานออกมาว่า “อโห ทกุ ขฺ อโห ทกุ ขฺ ชีวิต เม ทกุ ขฺ เมว ทกุ ขฺ ินฺทรฺ ิย ทกุ ฺขวปิ าก ทุกขฺ ปรโิ ยสาน” แปลว่า ทุกขจ์ ริงหนอๆ (ทุกขจ์ ริงโวย้ ) ชีวิตของเรามแี ต่ทุกขท์ นั้ นนั้ มที ุกข์ เป็นกาไร ไดร้ บั แต่ทกุ ข์ มที ุกขเ็ ป็นทส่ี ุด เมอ่ื ศิษยค์ นหน่ึงไดย้ ินเขา้ จึงถามอาจารยว์ ่า “เมอ่ื ท่านอาจารยเ์ ป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ทาไมจงึ บน่ เพอ้ อยู่ว่า “อโห ทุกฺข อโห ทุกฺข” ทุกขจ์ ริงหนอๆ พระอรหนั ตย์ งั มีทุกขอ์ ยู่อีกหรือ?” พระมหาเทวะตอบว่า “โลกุตรธรรม กล่าวคืออริยมรรค อรยิ ผล จะปรากฏเมอ่ื บคุ คลเปลง่ อุทาน ว่า “อปุ ทฺทูต วต โภ อปุ สฺสฏฐฺ วต” ทกุ ขจ์ รงิ หนอๆ ขดั ขอ้ งหนอ วุน่ วายหนอ” พระมหาเทวะไดต้ งั้ ทิฏฐิของตน ๕ ประการน้ี แลว้ เท่ยี วเผยแผ่อุดมการณ์ รวบรวมพรรคพวกทงั้ บรรชิต และคฤหสั ถไ์ ดม้ ากมาย แลว้ นาปญั จวตั ถนุ ้ีเสนอในเท่ากลางสงฆ์ ท่กี กุ กุฏาราม โดยจะใหส้ งฆย์ อมรบั ว่า “ปญั จวตั ถ”ุ น้ีเป็นธรรม เป็นวนิ ยั แต่พระมหาเถระท่เี ป็นพระอรหนั ตร์ ูธ้ รรมรูว้ นิ ยั อย่างดี ไดป้ ฏเิ สธทฏิ ฐดิ งั กลา่ ว พระมหาเทวะ ยกมอื และขอใหค้ ณะสงฆล์ งมตดิ ว้ ย “เยภยุ ยสกิ า” คอื การถอื เอาเสยี งขา้ งมากเป็นใหญ่ เหตผุ ลกเ็ พราะพระมหาเทวะ ไดเ้ตรยี มการเรอ่ื งลงมตไิ วเ้รยี บรอ้ ยแลว้ ในทส่ี ุดในการประชมุ นน้ั เขาจึงชนะ ส่วนพระอรหนั ตผ์ ูท้ รงธรรมทรงวนิ ยั มี เสยี งขา้ งนอ้ ย หลงั แพก้ ารลงมติ ก็ไดอ้ อกเดินทางจากเมอื งปาฏลีบุตรไปอยู่เมอื งอ่นื พระเจา้ กาฬาโศกเมอ่ื ทราบขา่ ว จงึ ขอรอ้ งมใิ หพ้ ระเหลา่ นน้ั เดินทางไปไหน แต่พระสงฆก์ ็ไม่ยนิ ยอมทาตามคาสงั่ จึงทาใหพ้ ระเจา้ กาฬาโศกทรงกร้ิว เพราะเขา้ ใจผิด จึงทรงรบั สงั่ ใหจ้ บั พระอรหนั ตเ์ หล่านนั่ ใส่เรือเก่าๆ นาไปปล่อยกลางแม่นา้ คงคา พระมหาเถระ ทง้ั หลายทรงใชอ้ ทิ ธาภสิ งั ขาร เหาะข้นึ ไปบนอากาศไปสู่แควน้ กศั มรี ะ พระเจา้ กาฬาโศกทรงเหน็ เช่นนนั้ แลว้ ทรงทราบ
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ว่าพระองคห์ ลงผดิ จนถงึ กบั ทาอนั ตรายแก่พระอริยเจา้ จึงส่งใหอ้ ามาตยไ์ ปขอขมาและอาราธนาใหท้ ่านกลบั มา เม่อื พระเหลา่ นน้ั ไมม่ า จงึ ทรงรบั สงั่ ใหส้ รา้ งอารามถวายท่แี ควน้ กาศมรี ะ หรอื กศั มรี ะ๑๐๖ คมั ภรี ข์ องพระสงฆฝ์ ่ายเถรวาทคือทปี วงศ์ เรียกพระสงฆก์ ลุม่ ของมหาเทวะหรอื ‚มหาสงั ฆกิ ะ” ดว้ ยถอ้ ยคา แรงๆ ว่าภกิ ษุลามกเลยทเี ดยี ว ภกิ ษุกลุ่มวชั ชบี ุตร และกลุม่ ของมหา เทวะถูกขบั ออกจากหมแู่ ลว้ และตงั้ นิกายของ ตนข้นึ ใหม่ แยกไปทาสงั คายนาคมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาของตนแต่งพระสูตร ตดั ทอนพระวนิ ยั แต่งพระสูตรเทยี ม บญั ญตั ิ วนิ ยั ข้นึ มาใหม่ หลกั ตรีกายและแนวคิดเร่อื งพระโพธสิ ตั ว์ กแ็ ตกหน่อออกไปจากนิกายน้ีอีกที เป็นแนวคิดของพทุ ธ ศาสนานิกายมหายาน แต่พทุ ธศาสนามหายาน ก็ไม่เหน็ ดว้ ยกบั แนวคิดของพระมหาเทวะ พระสงฆส์ มยั นน้ั จึงแยก เป็น ๒ นิกายคือ เถรวาท และสงั ฆิกะ ท่ีวดั กุกกุฎาราม เกิดความโตแ้ ยง้ ดว้ ยเร่ืองทฤษฎี ๕ ประการขา้ งตน้ นนั้ พระราชา (พระเจา้ กาฬโสต) จึงมาระงบั เหตุ ตรสั ถามวธิ ียุติ ขอ้ โตแ้ ยง้ พระสงฆก์ ลุ่มของพระมหาเทวะเสนอว่าใหถ้ อื เสยี งขา้ งมาก (แบบประชาธปิ ไตยสมยั น้ี) แลว้ ใหอ้ าราธนาพระภกิ ษุ สงฆม์ าทง้ั สองฝ่าย กลุม่ ของพระมหาเทวะมมี าก จงึ ชนะ พระสงฆฝ์ ่ายเถรวาทถอื พระวินยั ท่ีบรสิ ุทธ์ิ จึงพากนั ออกจากวดั กกุ กุฎาราม ในพระคมั ภีรก์ ล่าวว่าพระสงฆ์ ฝ่ายเถรวาทออกจากวดั ไปตามแมน่ า้ คงคาดว้ ยเรือทพ่ี ระราชา จดั ถวายเป็นเรือรวั่ เพอ่ื ตอ้ งการจะทราบว่าท่านใดเป็น พระอรหนั ตบ์ า้ ง เมอ่ื เรอื ลม่ พระอรหนั ตท์ ง้ั ๕๐๐ รูป เหาะไปพานกั อยู่บนเขาและลาธาร ณ แควน้ กษั มรี ะ (แคชเมยี ร)์ แมพ้ ระราชาทรงทราบ ทรงไปอาราธนากลบั ก็ไม่มีรูปไหนยอมกลบั จึงทรงสรา้ งอารามถวาย ช่ือว่า กโปตาราม (แปลว่า วดั นกพิราบ) แต่พระราชาก็ยงั มคี วามเลอื่ มใสในพระมหาเทวะจนมรณภาพ เวลาปลงศพของพระมหาเทวะ จดุ ไฟไมต่ ดิ ตอ้ งไปเอาอจุ จาระสนุ ขั มาผสมเป็นเช้อื เพลงิ ลาดแลว้ จึงจุดไฟไหม้ ลมไดพ้ ดั พากระดูกและเถา้ ถ่านไปจน หมดส้นิ นิกายดงั้ เดิมของพระมหาเทวะ ประพฤตนิ อกรตี นิกายน้ีเรียกว่า ‚สงฆอ์ รี‛ ต่อมา มผี ูท้ ่นี บั ถอื ลทั ธฮิ ินดู ตนั ตระซ่งึ ฝกั ใฝ่ในกามจากกามสูตร ซ่งึ มแี นวคิดใกลเ้คียงกนั ตงั้ ลทั ธนิ ิกายข้นึ มาใหม่ในประเทศอินเดีย จนพฒั นา มาเป็นนิกายพุทธตนั ตระ พระสงฆใ์ นนิกายน้ีเสพกามได้ และประกอบกามกิจไดด้ งั เช่นชาวบา้ น และโลดโผนถึง ขนาดชาวบา้ นและกษตั รยิ ์ ตอ้ งส่งธิดาและพระธิดาไปสงั เวยพรหมจรรยแ์ ก่พระสงฆก์ ลุ่มน้ี ก่อนเขา้ สู่พธิ แี ต่งงาน ทา ใหพ้ ทุ ธศาสนาในประเทศอินเดียเส่อื มลงตามลาดบั พระสงฆน์ ิกายพุทธตนั ตระ หรือ ‚สงฆอ์ รี ‚ น้ีเผยแพร่มาถึง อาณาจกั รพกุ ามหรือประเทศพม่าในสมยั พระเจา้ อนุรุทธะ (อโนรธามงั ช่อ) ครองราชย์ พ.ศ.๑๕๘๘–๑๖๓๔ ทรงเหน็ ความตา่ ชา้ ลามกของลทั ธิน้ี จึงไม่ทรงพอพระทยั แมช้ าวบา้ นก็รงั เกียจลทั ธิน้ี จึงไม่ทรงพอพระทยั แมช้ าวบา้ นก็ รงั เกยี จลทั ธนิ ้ี ดงั ปรากฏในคมั ภรี ศ์ าสนวงศว์ ่า ‚สมณกตุ ตกะ” (สงฆอ์ าร)ี ใหโ้ อวาทแก่ผูท้ ่เี ขา้ หาตนดว้ ยมจิ ฉาวาทะ เป็นตน้ ว่า ผูใ้ ดทาปาณาติบาต (ฆ่าสตั ว)์ ใหส้ วดปริตรบทน้ีแลว้ จะพน้ บาปนนั้ ผูใ้ ดทาอนนั ตรยิ กรรมฆ่ามารดา-บดิ า ของตน ใคร่จะพน้ จากอนนั ตริยกรรม สวดปริตรบทน้ีก็จะพน้ ได้ ถา้ ทาการสมรสตอ้ งมอบตวั ใหอ้ าจารยก์ ่อน ผูใ้ ด ละเมดิ จารตี น้ี จะตอ้ งประสบบาปเป็นอยา่ งมาก ‚พระเจา้ อนุรุทธะ สดบั เน้ือความนน้ั แลว้ ทรงไม่พอพระทยั เป็นอย่าง มาก จงึ ทรงใหข้ บั ไลพ่ ระสงฆก์ ลุ่มน้ีออกไปจากประเทศใหห้ มด พระองคท์ รงเลอ่ื มใสพระอรหนั ตร์ ูปหน่ึงนามว่า พระ ธรรมทสั สี ทอ่ี ยู่ในนิกายเถรวาทบรสิ ุทธ์จิ ากเมอื งสะเทมิ ทรงทานุบารุงพทุ ธศาสนาใหร้ ุ่งเรอื งในประเทศพมา่ ตงั้ แต่บดั ๑๐๖ คณาจารย,์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๒-๔๔.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ นน้ั เป็นตน้ มา ปจั จบุ นั ลทั ธนิ ิกาย ‚สงฆอ์ รี” น้ียงั มหี ลงเหลอื อยู่และปรบั เปลย่ี นวนิ ยั ใหมเ่ พอ่ื ใหด้ ารงอยู่ได้ ไดแ้ ก่ ในประเทศทิเบต เกาหลี และญ่ีป่นุ โดยพระนิกายน้ี แต่งงานและมภี รรยาได้ ไมน่ ่าเช่อื ว่าพระวนิ ยั ซง่ึ เป็นสกิ ขาบท ขอ้ หา้ มทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ไิ วจ้ ะเปลย่ี นแปลงไปไดถ้ งึ เพยี งน้ี ผลการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ตงั้ แต่เหตกุ ารณน์ ้ีหลงั พทุ ธปรนิ ิพพาน ๑๐๐ ปีเป็นตน้ มา ทาใหเ้หน็ ความแตกแยกท่ชี ดั เจนทส่ี ุดคือการแบง่ คณะสงฆอ์ อกเป็นฝ่าย โดยถอื ตามมตขิ องพระเถระผูใ้ หญ่ท่ตี นเองนบั ถอื ตงั้ แต่ปฐมสงั คายนา และนบั ถอื อปุ ชั ฌาย์ และอาจารย์ ทส่ี อนธรรมในสานกั ของตนเอง ฝ่ายแรกเรยี กว่า “เถรวาท” สามารถชาระทฏิ ฐทิ ่วี ปิ ริตจากพระธรรมวนิ ยั ใหถ้ กู ตอ้ ง เป็นบรรทดั ฐานใหก้ บั พระสงฆฝ์ ่ายเถรวาทถอื เป็นแบบอย่างในการตดั สนิ พระธรรมวนิ ยั แต่อย่างไรก็ตาม ผลการทาสงั คายนาครง้ั น้ีไม่สามารถหลีกเลย่ี งความแตกแยกทางความคิดได้ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ก่อใหเ้ กิดนิกาย “มหาสงั ฆกิ ะ” ซ่งึ ไม่ยอมรบั มติของพระเถระทง้ั หลายท่ที าสงั คายนาครงั่ น้ี ฝ่ายหลงั เรียกว่า “มหายาน” เหตุผลเช่นน้ี เพราะยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในทฏิ ฐมิ านะของตนและพวกของตน โดยมองว่าพวกของตนดกี ว่าเหนือกว่าพวกทเ่ี หลอื ความรกั พวกพอ้ ง การถอื อาวุโสในกลมุ่ ประกอบกบั ความตอ้ งการเป็นผูน้ าในหมสู่ งฆ์ เป็นเหตใุ หเ้รยี กกลุ่มของตนเช่นนนั้ ... หลงั ทุติยสงั คายนาไดเ้ กดิ สงฆ์ ๒ ฝ่ายชดั เจน คือ เถรวาท หรือ สถวีระ อนั เป็นนิกายเดิม และ มหาสงั ฆิ กวาท ทง้ั ๒ นิกาย ไมแ่ ยกออกไปเร่อื ยๆ ถงึ ๑๘ นิกาย ๑. นิกายเถรวาท หรอื สถวรี วาท ๒. นิกายมหาสงั ฆกิ วาท แบง่ ยอ่ ยออกไป ๑๐ นิกาย แบง่ ย่อยออกเป็น ๘ นิกาย -เหมวนั ตวาท กบั สรวาสตวิ าท -เอกวยหารกิ วาท ๑.๑) นิกายสรวาสตกิ วาท แบง่ ออกเป็น ๔ นิกาย คือ -โลโกตตฺ รวาท -มหศิ าสนกวาท -โคกรุ กิ วาท -กาศฺยปิยวาท -พหุศฺรุตยิ วาท -เสาตรฺ นฺตกิ วาท -ปณั ณตั ตกิ วาท -วาตสฺ ปิ ตุ รฺ ยิ วาท หรอื วชั ชปี ตุ รวาท -ไจจกิ วาท -อปรเสลยิ วาท ๑.๒) นิกายมหศิ าสกวาท -อตุ ตรเสลยิ วาท -นิกายธรรมคุปตวาท ๑.๓) นิกายวชั ชบี ตุ ตวาท แยกออกเป็นอกี ๔ นิกาย คอื -ศนฺนาคารกิ วาท -สามมฺ มตี ยิ วาท -ภทรฺ ยานิยวาท -ธรรมโมตรฺ ยิ วาท
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ อกี ราว ๑๐๐ ปีต่อมา สงฆท์ งั้ ๒ ฝ่ายมกี ารแตกนิกายออกไปอีก หลกั ฐานฝ่ายภาษาบาลวี ่าแตกไป ๑๘ นิกาย หลกั ฐานฝ่ายภาษาสนั สกฤตวา่ แตกไป ๒๐ นิกาย๑๐๗ ไดแ้ ก่ หลกั ฐานฝ่ ายบาลเี ถรวาท หลกั ฐานฝ่ ายสนั สกฤตเถรวาท กล่มุ นิกายมหสิ าสกวาท กล่มุ นิกายเหมวนั ตวาท -นิกายสพั พตั ถกิ วาท แยกเป็น นิกายสรวาสตวิ าท แยกออกเป็น -นิกายกสั สปิกวาท -นิกายมหศิ าสกวาท แยกเป็น -นิกายสงั กนั ตกิ วาท -นิกายธรรมคุปตวาท -นิกายสุตตวาท -นิกายกาศยปิกวาท -นิกายธรรมคุตตวาท -นิกายเสาตรนั ตกิ วาท -นิกายวชั ชีปตุ วาท แยกเป็น -นิกายวาตสปี ตุ รยิ วาท แยกเป็น -นิกายธมั มตตรกิ วาท -นิกายศนั นาคารกิ วาท -นิกายภทั รยานิกวาท -นิกายสามมมตี ยิ วาท -นิกายฉนั นาคารกิ วาท -นิกายภทั รยานิยวาท -นิกายสมติ ยิ วาท -นิกายธรรโมตตรยิ วาท -นิกายมหาสงั ฆกิ ะ แยกเป็น กลมุ่ นิกายมหาสงั ฆกิ ะ -นิกายเอกวยหารกิ วาท -นิกายเอกพั โยหารกิ วาท แยกเป็น -นิกายโลโกตรวาท -นิกายโคกลุ กิ วาท -นิกายพหุสสุตกิ วาท -นิกายพหุศรตยิ วาท -นิกายปญั ญตั กิ วาท -นิกายปญั ญตั วาท -นิกายโคกลุ กิ วาท -นิกายไจตกิ วาท -นิกายเจตยิ วาท -นิกายอปรเสลยิ วาท -นิกายอตุ ตรเสลยิ วาท เก่ยี วกบั หลกั ฐานนิกายน้ี ใชภ้ าษาสนั สกฤต เพราะมาจากปกรณ์ทางสนั สกฤต เมอ่ื เรียงลาดบั จากยุคต่างๆ มถี งึ ๒๐ ดงั กลา่ ว ๕.๔.๓ ตตยิ สงั คายนา (The Third Buddhist Council /Synod) ตตยิ สงั คายนา คอื สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ : กระทาทอ่ี โศการามมหาราช แห่งกรุงปาตลบี ุตร อินเดีย พระโมคคลี บุตรติสสเถระ เป็นหวั หนา้ มพี ระสงฆป์ ระชุมกนั ๑,๐๐๐ รูป ทาอยู่ ๙ เดือนจึงแลว้ เสร็จ สงั คายนาครงั้ น้ี กระทา ภายหลงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานแลว้ ๒๓๔ หรอื ๒๓๕ ปี ขอ้ ปรารภในการทาสงั คายนาครง้ั น้ี คือพวกเดยี รถยี ห์ รอื นกั บวชศาสนาอ่ืนเขา้ มาปลอมบวช แลว้ แสดงลทั ธิศาสนาและความเหน็ ของตนว่า เป็นคาสอนของพระพทุ ธศาสนา ๑๐๗ วศนิ อนิ ทสระ, พทุ ธปรชั ญามหายาน, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง, ๒๕๔๑), หนา้ ๑๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๓๙๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พระโมคคลั ลบี ตุ ร ตสิ สเถระ ไดข้ อความอปุ ถมั ภจ์ ากพระเจา้ อโศกมหาราช ชาระสอบสวนกาจดั เดียรถยี เ์ หลา่ นนั้ จาก พระธรรมวนิ ยั ไดแ้ ลว้ จงึ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั การแบง่ คาสอนของพระพทุ ธเจา้ ออกเป็นปิฎก ๓ เกดิ ข้นึ ในสมยั น้ี เกิดข้นึ ในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราชเพ่อื กาจดั พวกเดียรถียป์ ลอมบวชในพระพทุ ธศาสนาเป็นจานวนมาก ต่างคนต่างก็ม่งุ ลาภสกั การะ ไม่สนใจหลกั ธรรมวินยั ม่งุ เผยแผ่ลทั ธิของตนเองเพ่ือนอ้ มลาภมาซ่ึงตนเอง ตติย สงั คายนา มพี ระโมคคลั ลบี ุตรติสสะ เป็นประธาน ใชเ้ วลา ๙ เดือนจึงสาเร็จ ในการสงั คายนาครงั้ น้ี พระโมคคลั ลี บตุ รตสิ สะ ไดแ้ ต่งกถาวตั ถขุ ้นึ เพอ่ื อธบิ ายธรรมใหแ้ จ่มแจง้ ๑๐๘ หลงั จากการตตยิ สงั คายนาส้นิ สุดลง พระโมคคลั ลบี ตุ รติสสเถะ พรอ้ มดว้ ยพระเจา้ อโศกมหาราช ไดส้ ่งพระ ธรรมทตู ๙ สายออกเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา๑๐๙ คอื ๑. คณะพระมชั ฌนั ติกเถระ ไปเผยแผ่ศาสนา ณ แควน้ จามูรแ์ คชเมยี ร์ และแควน้ คนั ธาระหรือกษั มรี ะ ปจั จบุ นั คือทางตอนแถบตะวนั ออกเฉียงเหนืออินเดีย ครอบครวั ไปถงึ ประเทศอฟั กานิสถานดว้ ย ๒. คณะพระมหาเทวะ ไปเผยแผ่ศาสนา ณ มหสิ กมณฑล ซง่ึ คือแควน้ ไมซอรแ์ ละดินแดนลุ่มแม่นา้ โคธา วารี ในอนิ เดยี ใตป้ จั จบุ นั ๓. คณะพระรกั ขิตะ ไปเผยแผ่ศาสนา ณ วนวาสปี ระเทศ แควน้ กนรา ทศิ เหนือทางตะวนั ตกเฉียงใตข้ อง อนิ เดยี ไดแ้ ก่ แควน้ บอมเบย์ หรอื มมุ ไบ ในปจั จบุ นั ๔. คณะพระธรรมรกั ขติ ะ ชนชาตกิ รกี ไปเผยแผ่ศาสนา ณ อปรนั ตกชนบทณ แควน้ มหาราษฎร์ (แควา้ นม หารชั ตะ) ดนิ แดนชายทะเลา ของบอมเบยห์ รอื มมุ ไบ ปจั จบุ นั ๕. คณะพระมหาธรรมรักขิตะ ไปเผยแผ่ศาสนา ณ แควน้ มหาราษฎร์ ไดแ้ ก่ ดินแดนแทบ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ หา่ งจากเมอื งมมุ ไบ ออกไป ๖. คณะพระมหารกั ขิตเถระ ไปเผยแผ่ศาสนา ณ โยนกประเทศ อนั เป็นชนเผ่าพนั ธุฝ์ รงั่ ชาติกรีก ไดแ้ ก่ แควน้ กรกี ในเอเชยี กลาง อหิ ร่าน และเตอรก์ สิ ถาน ข้นึ ไปจนถงึ ประเทศตรุ กี ๗. คณะพระมชั ฌิมเถระ พรอ้ มกบั พระเถระอีก ๔ รูป คือพระกสั สปคตตะ พระอฬกเทวะ พระทุนะทภุ สิ สะ พระสหสั เทวะ ไปเผยแผศ่ าสนา ทแ่ี ถบเทอื กเขาหมิ าลยั คอื ประเทศเนปาล ปจั จบุ นั ๘. คณะพระโสณะ และพระอุตตระ ไปเผยแผ่ศาสนา ณ แทบสุวรรณภูมิ ไดแ้ ก่ กลุ่มบริเวณประเทศ เมยี นมา่ ร์ ไทย มอญ กมั บชู า และลาว ๙. คณะพระมหินทเถระ พรอ้ มดว้ ยพระอฏั ฏยิ เถรวะ อตุ ติยเถระ พระสมั พละเถระ พระภทั ทสาละเถระ และสุมนสามเณร ไปเผยแผ่ศาสนาทเ่ี กาะลงั กา (ประเทศศรลี งั กา) ในสมยั พระเจา้ เทวานมั ปิยะตสิ สะ๑๑๐ ๑๐๘ อภชิ ยั โพธ์ปิ ระสทิ ธ์ิศาสตร,์ พระพทุ ธศาสนามหายาน, หนา้ ๓๐-๓๑. ๑๐๙ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๖๔. โส เตส ภกิ ขฺ นู ภาร กตฺวา เต เต ภกิ ฺขู ตตถฺ ตตฺถ เปเสสิ ฯ มชฺฌนฺตกิ ตฺเถร กสฺมรี คนฺธารรฏฺฐ เปเสสิ ตฺว เอต รฏฺฐ คนฺตฺวา เอตฺถ สาสน ปตฏิ ฺฐาเปหตี ิ ฯ มหาเทวตฺเถร ตเถว วตฺวา มหสิ กมณฺฑล เปเสสิ ฯ รกฺขติ ตฺเถร วนวาสึ ฯ โยนกธมมฺ รกฺขติ ตฺเถร อปรนฺตก ฯ มหาธมมฺ รกฺขติ ตฺเถร มหารฏฐฺ ฯ มหารกฺขติ ตเฺ ถร โยนกโลก ฯ มชฺฌมิ ตเฺ ถร หมิ วนฺตปปฺ เทสภาค ฯ โสณกตฺเถรญฺจ อตุ ตฺ รตเฺ ถรญฺจ สุวณฺณภูมึ ฯ อตฺตโน สทธฺ ิวหิ าริก มหนิ ฺทตเฺ ถร อฏิ ฏฺ ยิ ตเฺ ถเรน อตุ ตฺ ยิ ตเฺ ถเรน สมพฺ ลตเฺ ถเรน ภทฺทสาลตฺเถเรน สทฺธึ ตมพฺ ปณฺณิทปี เปเสสิ ตุมเฺ ห ตมพฺ ปณฺณิทปี คนฺตฺวา เอตฺถ สาสน ปตฏิ ฐฺ าเปถาติ ฯ
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง สรุปผลการทาตตยิ สงั คายนา -สถานท่ี ไดแ้ ก่ วดั อโศการาม เมอื งปาฏลบี ตุ ร -ประธานสงฆ์ ไดแ้ ก่ พระโมคคลั ลบี ตุ ร ตสิ สเถระ และเป็นผูป้ จุ ฉา -ผูว้ สิ ชั ชนา ไดแ้ ก่ พระมชั ฌนั ตกิ เถระ และ พระมหาเทวเถระ -ผูอ้ ปุ ถมั ภ์ ไดแ้ ก่ พระเจา้ อโศกมหาราช -องคป์ ระชมุ ไดแ้ ก่ พระอรหนั ต์ ๑,๐๐๐ รูป -คมั ภรี ก์ ถาวตั ถใุ นอภธิ รรมปิ ฎก ไดร้ จนาโดยพระโมคคลั ลบี ตุ ร ตสิ สเถระ -สาเหตุ มาจากไดม้ กี ารจดั การกบั พวกปลอมบวช อลชั ชี เป็นจานวนมาก ๖๐,๐๐๐ คน หวงั ลาภสกั การะ และเพอ่ื ชาระพระธรรมวนิ ยั ใหห้ มดจด -เวลาในการสงั คายนา ไดแ้ ก่ ทาอยู่ ๙ เดอื น -เร่มิ ทาตตยิ สงั คายนา เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานแลว้ ๒๓๔ ปี กล่าวโดยสรุปแลว้ การทาสงั คายนาในฝ่ายเถรวาท ตามหลกั สูตรการศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมของไทย ยอม รบั รองสงั คายนาครงั้ ท่ี ๑-๒-๓ ในอนิ เดยี และครง้ั ท่ี ๑-๒ ในลงั กา รวมกนั ๕ ครงั้ ถอื ว่าเป็นประวตั ทิ ค่ี วรรูเ้ก่ยี วกบั ความเป็นมาแห่งพระธรรมวินยั แต่สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวริ ญาณวโรรส ทรงถือว่าสงั คายนาในลงั กา ทง้ั สองครง้ั เป็นเพยี งสงั คายนาเฉพาะประเทศ ไม่ควรจดั เป็นสงั คายนาทวั่ ไป จึงทรงบนั ทึกพระมติไวใ้ นทา้ ยหนงั สือ พทุ ธประวตั ิเล่ม ๓ แต่ตามหนงั สอื สงั คีติยวงศ์ หรือประวตั ิแห่งการสงั คายนา ซ่งึ สมเด็จพระวนั รตั แห่งวดั พระเชตุ พนวิมลมงั คลาราม รจนาเป็นภาษาบาลีในรชั กาลท่ี ๑ ตง้ั แต่ครงั้ เป็นพระพิมลธรรม ไดล้ าดบั ความเป็นมาแห่ง สงั คายนาไว้ ๙ ครง้ั ดงั ต่อไปน้ี สงั คายนาครง้ั ท่ี ๑-๒-๓ ทาในประเทศอนิ เดยี ตรงกบั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นเบ้อื งตน้ การไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาของธรรมทูตทุกสาย เป็นการไปอย่างคณะสงฆ์ ซ่งึ สามารถใหก้ ารอุปสมบท แก่กุลบุตรผูม้ ีศรทั ธาได้ มีหลกั ฐานซ่ึงคน้ พบท่ีจงั หวดั นครปฐมระบุว่า พระโสณเถระกบั พระอุตตรเถระมา ประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาในดนิ แดนสว่ นน้ี พระพทุ ธศาสนาไดเ้ จริญถงึ ขนั้ สูงสุด โดยเฉพาะในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช จกั รพรรดิผูย้ ่งิ ใหญ่ใน โลกท่นี บั ถือพระพทุ ธศาสนา และเผยแผ่พระพุทธศานาออกนอกชมพูทวปี สู่ประเทศต่างๆ ในเอเชียแต่แลว้ ในกาล ต่อมา พระพุทธศาสนาในดินแดนอินเดียค่อยๆ เส่ือมแลว้ ไดม้ าสูญไปเกือบส้ินเชิง เป็นเวลานานกว่า ๗๐๐ ปีท่ี พระพุทธศาสนาสูญไปจากประเทศน้ี จวบจนกระทงั่ เม่อื ประมาณ ๖๐ ปีท่ีผ่านมามกี ารฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาใน อินเดียมากข้นึ มชี าวพทุ ธเพ่มิ มากข้นึ มกี ารประมาณกนั ว่า ในปจั จุบนั มผี ูน้ บั ถือพระพทุ ธศาสนา ในประเทศอนิ เดีย ๓๐-๔๐ ลา้ นคน จากจานวนประชากรอนิ เดยี ประมาณเกอื บพนั ลา้ นคน ๑๑๐ เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๒), หนา้ ๑๘๕-๑๘๘.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ภยั อนั ตรายท่เี ป็นเหตแุ ห่งความเสอ่ื มของพระพทุ ธศาสนา ในอนิ เดียนน้ั มอี ยู่ ๒ ประเภทใหญ่ คือ ๑. ภยั ภายใน ๒. ภยั ภายนอก ภยั ภายใน (อนฺโตภย) เกิดจากพทุ ธบริษทั ๔ (ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อบุ าสิกา) โดยตรง พอจะจาแนกเป็น ๓ ประการคือ ๑. การเสอ่ื มทางศีลธรรมและการเสอ่ื มจากการบรรลุมรรคผลของชาวพทุ ธ ๒. ความแตกแยกทางนิกายและความขดั แยง้ ทางนิกาย ๓. ลทั ธมิ หายานและลทั ธติ นั ตรยานเกดิ ข้นึ ทาใหเ้กดิ พระสทั ธรรมปฏริ ูปต่างๆ ข้นึ ในพระพทุ ธศาสนา ภยั ภายนอก (พหิทฺธาภย) การท่พี ระพุทธศาสนาตอ้ งเส่อื มไปจากอินเดียนน้ั หาไดเ้ กิดจากภยั ภายในอย่าง เดียวไม่ ภยั ภายนอกก็จดั ว่าเป็นอนั ตรายมากเช่นกนั ท่ที าใหพ้ ระพุทธศาสนาตอ้ งเส่อื มไปจากดินแดนพุทธภูมภิ ยั ภายนอกนน้ั พอจะจาแนกได้ ๖ ประการคือ ๑. การปองรา้ ยของพวกพราหมณ์ ๒. การฟ้ืนตวั ใหมข่ องพวกพราหมณ์ ๓. การถกู ศาสนาพราหมณก์ ลนื ๔. การขาดราชูปถมั ภ์ ๕. การทาลายลา้ งของกษตั รยิ ภ์ ายนอกพระพทุ ธศาสนา ๖. การทาลายลา้ งของพวกมสุ ลมิ ๕.๕ สงั คายนาและนิกายในลงั กาทวปี การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๓๖ ณ ถปู าราม เมอื งอนุราชบรุ ี ลงั กาทวปี สาหรบั การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๔ และครง้ั ท่ี ๕ นน้ั กระทากนั ข้นึ นอกชมพูทวีป คือกระทาท่ลี งั กาทวปี และไม่เป็นท่ี รบั รองทวั่ ไป การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ ปรารภจะใหพ้ ระศาสนาประดิษฐานมนั่ คงในลงั กาทวปี พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูปมพี ระ มหนิ ทเถระเป็นประธานและเป็นผูถ้ าม พระอรฏิ ฐะเป็นผูว้ ิสชั นา ประชุมทาทถ่ี ูปาราม เมอื งอนุราชบุรีลงั กาทวปี เม่อื พุทธศกั ราช ๒๓๖ (บางแห่งว่า พ.ศ. ๒๓๘) โดยพระเจา้ เทวนมั ปิยติสสะเป็นสาสนูปถมั ภก์ ส้นิ เวลา ๑๐ เดือนจึง เสร็จ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ร่มิ แผ่เขา้ สู่ลงั กาทวปี เมอ่ื ปีพทุ ธศกั ราช ๒๓๖ - ๒๘๗ โดยการนาของพระมหนิ ทเถระ ซ่งึ พระเจา้ อโศกมหาราชและพระโมคคลั ลบี ุตรติสสเถระส่งไปเป็นธรรมทูต ประจาลงั กาทวีป พระเถระไดไ้ ปถึงในรชั สมยั ของพระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะ ผูเ้ป็นอทฏิ ฐสหายกบั พระเจา้ อโศกมหาราช พระมหนิ ทเถระไดม้ าถงึ ลงั กาทวปี เมอ่ื พระชนมายุ ๓๒ พรรษา และนิพพานเมอ่ื พระชนมายุ ๘๐ พรรษาทเ่ี จติบรรพตซง่ึ ตรงกบั ปีท่ี ๘ แห่งรชั สมยั พระเจา้ อุตติยะ ผูเ้ ป็นพระอนุชาของพระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะ ฯ พระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะทรงประกาศพระองค์ เป็น พทุ ธศสนูปถมั ภก ทรงโปรดใหอ้ ปุ สมบทบุคคลสาคญั ๆ หลายท่าน และก่อสรา้ งวหิ าร เจดยี ม์ ากมาย โปรดใหอ้ รฎิ ฐ มหาอามาตยไ์ ปทูลพระเจา้ อโศกมหาราชขอภกิ ษุณีสงฆ์ เพอ่ื มาอปุ สมบทแก่สตรีชาวลงั กา ตลอดจนทูลขอก่งิ พระศรี
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง มหาโพธ์ิเพอ่ื สกั การะบูชาดว้ ย พระเจา้ อโศกมหาราชทรงสนบั สนุนพระราชธดิ าคือ พระนางสงั ฆมติ ตาเถรพี รอ้ มดว้ ย บรวิ ารเพอ่ื ไปเป็นปวตั ตนิ ีบวชกลุ ธดิ าชาวลงั กา และใหอ้ ญั เชิญก่ิงพระศรีมหาโพธ์ิมาประทาน นอ้ งสะใภข้ องพระเจา้ เท วานมั ปิยตสิ สะทรงพระนามว่า \"อนุลาเทว\"ี ออกอุปสมบทเป็นนางภกิ ษุณีพรอ้ มดว้ ยบรวิ ารเป็นครงั้ ปฐมในลงั กาทวปี ส่วนก่ิงมหาโพธ์ิทรงโปรดใหป้ ลูกข้ึนในมหาอุทยาน \"มหาเมฆวนั \" ซ่ึงสืบเช้ือสายปรากฏอยู่ถึงปจั จุบนั ต่อมาเม่อื การศึกษาพระธรรมวนิ ยั แพร่หลายในหม่สู งฆช์ าวลงั กาแลว้ พระมหนิ ทเถระก็ไดท้ ูลขอใหพ้ ระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะ ทรงเป็นราชนู ปถมั ภช์ มุ นุมสงฆ์ ในลงั กาจดั ทาสงั คายนาข้นึ ณ ถูปาราม เมอื งอนุราชบุรี มพี ระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป ทา อยู่ ๑๐ เดือนจงึ สาเรจ็ นบั แต่นนั้ มาพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาท (หนี ยาน) เจรญิ รุ่งเร่ืองข้นึ โดยลาดบั มคี นั ถรจนา จารย์ (อาจารยผ์ ูแ้ ต่งคมั ภรี )์ แต่งคมั ภรี อ์ รรถกถาฏกี าอธบิ าย พระไตรปิฎกเป็นภาษาลงั กา เพ่อื ศึกษาแพร่หลาย เป็น หลกั ฐานยง่ิ กว่าในชมพทู วปี ซง่ึ นบั วนั นิกายเถรวาทจะหมดรศั มลี งไปเรอ่ื ยๆ ตามท่หี ลกั ฐานปรากฏในบางแห่งระบุว่า การทาสงั คายนาครงั้ ท่ี ๔ น้ี จดั ทาท่เี มอื งบุรุษปุระในอินเดีย ภาคเหนือ ซ่งึ เป็นการจดั ทาของฝ่ายมหายาน (อาจาริยวาท) โดยความอุปถมั ภข์ องพระเจา้ กนิษกะ แต่ฝ่ายเถรวาท ไดแ้ ก่ ไทย ลาว เมยี นมาร์ เขมร ลงั กา ไมย่ อมรบั รอง เพราะถอื ว่าเป็นการสงั คายนาของนิกายอ่นื ผลอนั หน่ึงของการ สงั คายนาครง้ั น้ี คือฝ่ายมหายานใชภ้ าษาสนั สกฤต ในการจารกึ พระไตรปิฎกตามท่หี ลกั ฐานปรากฏในบางแห่งระบวุ ่า การทาสงั คายนาครง้ั ท่ี ๔ น้ี จดั ทาท่เี มอื งบุรุษปรุ ะในอนิ เดียภาคเหนือ ซ่งึ เป็นการจดั ทาของฝ่ายมหายาน (อาจาริ ยวาท) โดยความอปุ ถมั ภข์ องพระเจา้ กนิษกะ แต่ฝ่ายเถรวาทไดแ้ ก่ ลงั กา เมยี นมา่ ร์ ไทย ลาว เขมร ไมย่ อมรบั รอง เพราะถอื วา่ เป็นการสงั คายนาของนิกายอ่นื ผลอนั หน่ึงของการสงั คายนาครงั้ น้ี คือฝ่ายมหายานใชภ้ าษาสนั สกฤต ใน การจารกึ พระไตรปิฎก การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๔๕๐ ณ อาโลกเลณสถานในมลยั ชนบท ลงั กาทวปี การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ ปรารภพระสงฆแ์ ตกกนั เป็น ๒ พวกคือ พวกมหาวิหาร กบั พวกอภยั คีรีวหิ าร และ คานึงว่าสืบไปภายหนา้ กุลบุตรจะถอยปัญญา ควรจารึกพระธรรมวนิ ยั ลงในใบลาน ณ อาโลกเลณสถานในมลย ชนบทในลงั กาทวปี เมอ่ื พุทธศกั ราช ๔๕๐ โดยพระเจา้ วฎั ฎคามณีอภยั เป็นศาสนูปถมั ภก์ ถงึ แมว้ ่าจะเป็นครง้ั แรกท่ี เกิดความแตกแยกข้นึ ในคณะสงฆล์ งั กาทวีปในดา้ นทิฏฐิ แต่ทางวินยั ต่างฝ่ ายต่างก็พรอ้ มกนั รกั ษาดีอยู่อย่างน่า สรรเสรญิ การทาสงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ น้ี จดั ข้นึ ท่ีมหาวิหาร ประเทศลงั กา เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๔๕๐ ปี (บางแห่งเป็น พ.ศ. ๔๓๓) สาเหตุของการจาทาครง้ั น้ีเกิดจากพระราชดาริของพระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั (บางแห่งเป็นทุฏฐคามนิ ีอภยั ) กษตั รยิ ป์ กครองลงั กา ทว่ี ่าเมอ่ื กาลเวลาล่วงไป หากยงั คงใชว้ ธิ ีการท่องจาพระพทุ ธวจนะ โดยไมม่ กี ารจารกึ ไวห้ เป็น ลายลกั ษณอ์ กั ษรแลว้ ความคลาดเคลอ่ื นและผดิ พลาดอาจเกิดข้นึ ซ่งึ จะเป็นสาเหตุใหค้ าสอนของพทุ ธศาสนาผดิ ไป จากเดมิ ในทส่ี ุดพทุ ธศาสนากจ็ ะเสอ่ื มสูญไปตามกาลเวลา อาศยั พระราชดารขิ องกษตั รยิ ล์ งั กาน้ีเอง จึงเกิดการทาสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ ข้นึ โดยพระองคท์ รงโปรดใหพ้ ระ พทุ ธทตั ตเถระกบั พระมหาตสิ สเถระร่วมกนั ดาเนินการ มพี ระสงฆเ์ ขา้ ร่วมประชมุ จานวน ๑,๐๐๐ รูป สงั คายนาครง้ั น้ี มคี วามสาคญั สรุปได้ ๒ ประการคอื
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๓ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๑. นบั เป็นครง้ั แรกท่มี กี ารจดบนั ทกึ พระพทุ ธวจนะเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรลงบนใบลาน ดว้ ยภาษาบาลี ตาม ตานานระบวุ า่ ไดจ้ ารกึ อรรถกถาลงไวด้ ว้ ย ๒. พระธรรมวนิ ยั ทถ่ี กู จารกึ ไวเ้ป็นลายลกั ษณ์อกั ษรครง้ั น้ี ถอื ว่าเป็นตน้ ฉบบั ของพระไตรปิฎก ของฝ่ายเถร วาท ซง่ึ ภายหลงั ปรากฏว่ามผี ูน้ าเอาไปแปลเป็นภาษาของตน การทาสงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ น้ี เป็นท่ยี อมรบั กนั โดยทวั่ ไปของกลุ่มเถรวาท ความจริงการสงั คายนานน้ั มกี าร จดั ทากนั หลายครงั้ ในทห่ี ลายแหง่ ฝ่ายทจ่ี ดั ทากม็ ที งั้ ฝ่ายเถรวาทและอาจรยิ วาท โดยต่างคนต่างทาในฝ่ายของตนเอง และต่างกไ็ มย่ อมรบั ซง่ึ กนั และกนั แมใ้ นฝ่ายเถรวาทเองก็ไดจ้ ดั ทาสงั คายนาหลายครงั้ หลงั จากการทาสงั คายนาครง้ั ท่ี ๕ ผา่ นไปแลว้ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๔-๕ ทาในลงั กาทวปี (พ.ศ. ๔๖๐) คอื นบั เป็นครงั้ ท่ี ๑ ท่ี ๒ ทท่ี าในลงั กา๑๑๑ พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรลี งั กา ก่อนเขา้ ถึงประวตั ิพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลงั กา เรามารูป้ ระวตั ิของประเทศศรีลงั กา สกั เล็กนอ้ ย ประเทศสาธารณรฐั สงั คมประชาธปิ ไตยศรลี งั กามเี น้ือทป่ี ระมาณ ๖๕,๖๑๐ ตารางกโิ ลเมตร ประชากรประมาณ ๑๘.๔ ลา้ นคน ภาษาทใ่ี ชป้ ระจาชาติไดแ้ ก่ภาษาสงิ หล ภาษาทมฬิ และภาษาองั กฤษ อตั ราการอ่านออกเขยี นไดข้ องประชากร ประมาณ ๙๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ดา้ นศาสนามที ง้ั พระพทุ ธศาสนา ฮินดู ศาสนาครสิ ต์ และอสิ ลาม ปจั จบุ นั มีประธานาธบิ ดี เป็นผูห้ ญงิ ช่อื ว่า จณั ฑกิ า กมุ ารตงุ คะ ประเทศศรลี งั กาเป็นเกาะ อยู่ทางตอนใตข้ องประเทศอนิ เดีย ตงั้ อยู่ในมหาสมทุ รอินเดีย ทรพั ยากรทส่ี าคญั ของประเทศทส่ี ่งออกไปขายทวั่ โลกเป็นทร่ี ูจ้ กั ดกี ค็ อื ใบชาซลี อน อญั มณี เน้ือมะพรา้ วแหง้ ใบยาสูบ ยาง เป็นตน้ พระพทุ ธศาสนาเขา้ มาสูล่ งั กา พระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปสูป่ ระเทศศรลี งั กาในสมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราช หลงั จากการทาสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ พระเจา้ อโศกมหาราชไดท้ รงจดั ส่งสมณทูตออกไปประกาศพระพทุ ธศาสนายงั นานาประเทศ สายท่เี ดินทางไปศรีลงั กา มี พระมหินทเถระ เป็นหวั หนา้ สาย มภี ิกษุอ่ืนอีก ๔ รูป สุมนสามเณร และอุบาสกอีก ๑ ท่านเป็นคณะเดินทางไป พรอ้ มกนั พระมหินเถระรูปน้ีเป็นโอรสของพระเจา้ อโศกมหาราช ยงั มนี อ้ งสาวอีกองคห์ น่ึงไดบ้ วชเป็นภกิ ษุณีช่ือว่า พระสงั ฆมติ ตาเถรี และพระเถรีรูปน้ีก็เป็นมารดาของสุมนสามเณร ซ่งึ ไดเ้ ดนิ ทางร่วมไปกบั พระมหินทเถระในครง้ั น้ี ดว้ ย ลาดบั เหตกุ ารณ์ของพระพทุ ธศาสนาในศรลี งั กา ประเทศศรีลงั กาในสมยั ทพ่ี ระเจา้ อโศกมหาราชส่งสมณทูตมาเผยแผ่พระพทุ ธศาสนานน้ั มพี ระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะ เป็นพระเจา้ แผ่นดินปกครอง ความจริงแลว้ พระองคเ์ คยไดท้ ราบข่าวพระพุทธศาสนามาก่อน โดยทรง ตดิ ต่อใกลช้ ิดกบั พระเจา้ อโศก คือพระเจา้ อโศกทรงเป็นอทฏิ ฐสหาย (เป็นสหายกนั แต่ไม่เคยไดท้ รงพบหนา้ กนั ) กบั พระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะมาก่อน พระเจา้ อโศกมหาราชกท็ รงชกั ชวนใหเ้ขา้ มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ครน้ั ทรงทราบว่า ๑๑๑ คณาจารย,์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒), หนา้ ๗๓.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พระมหนิ ทเถระลงไปประกาศพระพทุ ธศาสนาในดินแดนของพระองค์ หลงั จากท่ไี ดพ้ บพระเถระแลว้ ก็ทรงพระปีติ โสมนสั ทรงประกาศองคเ์ ป็นพทุ ธมามกะ ทรงใหก้ ารอุปถมั ภพ์ ระเถระเป็นอย่างดีย่งิ ในการมาครงั้ น้ีมผี ูไ้ ดฟ้ งั ธรรม จากพระเถระเป็นจานวนมาก พระพทุ ธศาสนาไดป้ ระดิษฐานตงั้ มนั่ ในลงั กาทวปี นบั ตง้ั แต่บดั นนั้ เป็นตน้ มา ประมาณ ศตวรรษท่ี ๓ ในสมยั ของพระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะน้ีเอง ไดส้ ่งคณะทูตไปทูลขอก่งิ พระศรมี หาโพธ์ิ และพระบรมธาตจุ าก อนิ เดีย ทรงใหจ้ ดั การปลูกพระศรมี หาโพธ์ิในเมอื งอนุราธบุรี ไดท้ รงสรา้ งมหาวิหาร และถูปารามเจดีย์ อนั เป็นพระ เจดยี อ์ งคแ์ รกในลงั กา หลงั จากรชั สมยั ของพระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะแลว้ ลงั กาเปลย่ี นผูป้ กครองบา้ นเมอื งเกิดความ สบั สนวุน่ วายอยูเ่ กอื บรอ้ ยปี จนกระทงั่ มาถงึ สมยั ของพระเจา้ ทุฏฐคามณิ ีอภยั ทรงกูร้ าชบลั ลงั กค์ ืนมาได้ พระองคท์ รงมคี วามเลอ่ื มใสใน พระพทุ ธศาสนาอย่างแรงกลา้ ทรงทานุบารุงพระสงฆแ์ ละทรงสรา้ งวดั และสถปู อกี หลายแห่ง เช่น โลหปราสาท และ มหาสถปู ในเมอื งอนุราธบรุ ี ต่อมาถึงสมยั ของพระเจา้ วฏั ฏคามิณีอภยั พระพุทธศาสนาเกิดความปนั่ ป่วนอยู่ชวั่ ระยะหน่ึง เพราะ เหตกุ ารณบ์ า้ นการเมอื งไมส่ งบ พระเถระในลงั กาไดร้ ่วมกนั ชาระทาสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ ข้นึ พระเจา้ วฏั ฏคามณิ ีอภยั ได้ ทรงสรา้ งวหิ ารช่ือว่า \"อภยั คีรีวิหาร\" ถวายพระมหาติสสะเถระ ซ่งึ ต่อมาคณะสงฆใ์ นฝ่ายอภยั คีรีวหิ ารก็มคี วามเห็น แตกต่างจากฝ่ายมหาวหิ าร จนเป็นเหตใุ หเ้กดิ ความแตกแยกใน วงการคณะสงฆล์ งั กา ความแตกแยกของสงฆ์ ๒ ฝ่ าย ๑. คณะสงฆม์ หาวหิ าร คณะสงฆฝ์ ่ายน้ีเป็นพวกหวั อนุรกั ษน์ ิยม (Conservative) เป็นพวกท่เี คร่งในการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ สามารถรกั ษาความบรสิ ุทธ์ิหลกั คาสอนพระธรรมวนิ ยั ในนิกายฝ่ายเถรวาทไวไ้ ดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ๒. คณะสงฆอ์ ภยั ครี วี หิ าร คณะฝ่ายน้ีเป็นพวกหวั เสรีนิยมกา้ วหนา้ (Modernism) ไม่มคี วามรงั เกยี จภกิ ษุ ต่างนิกาย ยินดีรบั เอาความคิดเหน็ ของต่างนิกายเขา้ มา เม่อื มมี หายานเกิดข้นึ แลว้ คณะอภยั คีรีจึงเป็นศูนยส์ าคญั ของมหายานในลงั กาดว้ ย พระพทุ ธศาสนาในสมยั พระเจา้ สริ เิ มฆวณั ณะ หลงั จากรชั สมยั ของพระเจา้ วฏั ฏคามณิ ีอภยั ก็มาถึงรชั สมยั ของพระเจา้ สิริเมฆวณั ณะ พระองคไ์ ดม้ ีการ อญั เชญิ พระทาฐธาตมุ าจากทนั ตปรุ ะในแควน้ กลงิ ครฐั (เมอื งโอรสิ า) มายงั ลงั กาทวปี พระเจา้ แผ่นดินโปรดใหร้ กั ษาไว้ ท่อี ภยั คีรีวิหาร และโปรดใหน้ าออกใหป้ ระชาชนนมสั การเป็นประจาปี ซ่งึ ปจั จุบนั น้ี พระธาตุก็ยงั ปรากฏอยู่ท่เี มอื ง แคนด้หี รอื แกนด้ี (Kandy) ชาวลงั กาถอื ว่าเป็นสมบตั ทิ ใ่ี หญ่หลวงเป็นท่หี วงแหนของชาติดว้ ย พระพทุ ธศาสนาในสมยั พระเจา้ มหานามะ หลงั จากหมดรชั สมยั ของพระเจา้ สิริเมฆวณั ณะ ก็มาถึงสมยั ของพระเจา้ มหานามะ ในสมยั น้ีมีการฟ้ืนฟู วรรณกรรมภาษาบาลขี ้นึ เป็นอย่างมาก และเป็นผลงานของพระสงฆฝ์ ่ายมหาวิหาร ผลงานน้ีทาใหพ้ ระสงฆฝ์ ่ายมหา วหิ ารมคี วามรุ่งโรจนก์ ว่าคณะสงฆฝ์ ่ายอภยั คีรีวหิ าร ผูท้ ่มี ีบทบาทสาคญั ก็คือพระพทุ ธโฆษาจารยซ์ ง่ึ เป็นชาวอินเดีย ท่านไดเ้ ดินทางมาลงั กาในระหว่างมาท่านไดส้ วนทางกบั พระคณาจารยค์ ือพระพทุ ธทตั ตาจารย์ เป็นชาวอินเดียทาง
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๕ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ตอนใต้ เดนิ ทางเขา้ ไปศรลี งั กาเพอ่ื ตอ้ งการเขยี นคมั ภรี ์ อรรถกถาต่างๆ แต่ไม่ประสบผลสาเร็จเท่าท่คี วร แต่กไ็ ดฝ้ าก ปกรณส์ าคญั ทเ่ี ขยี นไวเ้ร่อื งหน่ึงคอื อภธิ รรมาวตาร พระพุทธโฆษาจารย์ หลงั จากเดินทางไปถึงลงั กาแลว้ ก็ไดเ้ ขา้ พกั อยู่กบั คณะสงฆฝ์ ่ายมหาวหิ าร ท่านไดถ้ ูก ทดสอบสมั ภาษณ์ความรูห้ ลายอย่างจากอธิการสงฆแ์ ห่งมหาวหิ าร และสุดทา้ ยหนงั สอื ท่ที ่านแต่งนบั เป็นเพชรนา้ เอก ในวงการของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทก็คือหนงั สอื \"ปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค\" หรือเรียกสนั้ ๆ ว่าหนงั สอื วสิ ุทธิ มรรค เป็นการยอ่ ความในพระไตรปิฎกไวท้ งั้ หมด คอื ย่อเรอ่ื ง ศีล สมาธิ และปญั ญา ไวใ้ นเลม่ เดยี วกนั แต่ก่อนทจ่ี ะมาถงึ การแต่งคมั ภรี ว์ สิ ุทธมิ รรค กไ็ ดม้ คี ณาจารยท์ ่านหน่ึงเป็นของฝ่ายอภยั คีรีวหิ าร ช่อื ว่า อปุ ตสิ สะ ท่านไดเ้ขยี นคมั ภรี ไ์ วห้ น่ึงเลม่ แลว้ ช่อื วา่ วิมตุ ตมิ รรค เน้ือความของคมั ภรี ไ์ ม่ค่อยมคี วามแตกต่างไปจากวสิ ุทธิ มรรคมากนกั มคี วามเป็นไปไดส้ ูงท่ีพระพุทธโฆษาจารยจ์ ะไดแ้ นวความคิดจากปกรณ์วิมตุ ติมรรคก็เป็นได้ และ หนงั สอื วสิ ุทธมิ รรคกไ็ ดร้ บั ความไวว้ างใจจากคณะสงฆฝ์ ่ายมหาวหิ าร ว่าเป็นหนงั สอื ทด่ี ที ส่ี ุดเท่าท่โี ลกพระพทุ ธศาสนา ฝ่ายหินยานหรือเถรวาทมอี ยู่ พระพทุ ธโฆษาจารยจ์ ึงไดร้ บั ความไวว้ างใจใหช้ าระวรรณกรรมภาษาบาลที งั้ หมด โดย ถ่ายทอดจากภาษาสงิ หลเป็นภาษามคธ เช่น สมนั ตปาสาทกิ า กงั ขาวติ รณี ปปญั จสูทนี มโนรถปูรณี สารตั ถ ปกาสนิ ี ธมั มปทฏั ฐกถา เป็นตน้ ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ การศึกษาอภธิ รรมเจริญมากในลงั กา และต่อมาในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ ลงั กา ยา้ ยเมอื งหลวงมาอยู่ท่ี โปโลนนรุวะ หรอื ปรุ ตั ถปิ รุ ะ ท่นี ่ีจงึ กลายเป็นศูนยพ์ ทุ ธศาสนาอีกแห่งหน่ึง พระพทุ ธศาสนาเร่มิ วิปริตผิดแผกแตกต่างกนั มากข้นึ และในระยะสมยั พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ถึง ๑๗ บา้ นเมอื งเดือดรอ้ นวุ่นวายเพราะ การเมอื งบอ่ ยๆ ทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาปนั่ ป่วน และภกิ ษุณีสงฆก์ พ็ ลอยสูญส้นิ ลงไปดว้ ย พระพทุ ธศาสนาในสมยั พระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ่ี ๑ ในรชั สมยั พระเจา้ วชิ ยั พาหุท่ี ๑ พระองคไ์ ดท้ รงเร่มิ ฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนาข้นึ มาใหม่ ต่อมากถ็ ึงรชั สมยั ของ พระเจา้ ปรกั กมพาหุท่ี ๑ ซง่ึ เป็นพระโอรสของพระเจา้ วชิ ยั พาหุท่ี ๑ ทรงฟ้ืนฟูและบารุงพระพทุ ธศาสนาเป็นการใหญ่ ต่อจากพระราชบดิ า จึงทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ในสมยั ต่อๆ มาบา้ นเมอื งกว็ ุ่นวายอีก คณะสงฆ์ แทบจะตงั้ อยูไ่ มไ่ ด้ จนถงึ พ.ศ. ๒๐๑๙ กต็ อ้ งมกี ารนาพระสงฆจ์ ากพมา่ ไดม้ าใหก้ ารอุปสมบทแก่กลุ บุตรทล่ี งั กา ประมาณ พ.ศ. ๒๐๕๐ ประเทศลงั กาอ่อนแอลง โปรตุเกสมอี านาจปกครอง นิกายโรมนั คาทอลคิ รุ่งเรือง พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การเบยี ดเบยี นมากเส่อื มโทรมลง ในท่สี ุดตอ้ งนาคณะสงฆจ์ ากพมา่ ไปใหก้ ารอุปสมบทในลงั กา อีกครง้ั หน่ึง ต่อมาชาวฮอลนั ดาเร่ิมเขา้ มามอี านาจและขบั ไลพ่ วกโปรตุเกสออกไป แต่ฮอลนั ดานน้ั เองก็ครอบครอง ลงั กาแทน ซ่งึ ฮอลนั ดาพยายามหยงั่ นิกายโปรเตสแตนทล์ ง แต่ไม่สาเร็จ เหมอื นเป็นความโชคดีท่พี ระมหากษตั ริย์ ทรงพระนามว่า พระเจา้ กติ ติราชสงิ หะ ทรงไดร้ บั คาแนะนาจากสามเณรรูปหน่ึงช่ือว่า สรณังกร ใหส้ ่งคณะทูตมายงั ประเทศไทย ซง่ึ ตรงกบั สมยั ของพระเจา้ บรมโกษฐแ์ ห่งกรุงศรอี ยุธยา ขอสงฆไ์ ปอุปสมบทกลุ บุตรในลงั กา และทาง ประเทศไทยกส็ ง่ คณะภกิ ษุไทยมพี ระอุบาลมี หาเถระเป็นประธานมาลงั กา มกี ารตอ้ นรบั ภกิ ษุไทยอย่างมโหฬารทเ่ี มอื ง แคนด้ี (Kandy) และต่อมาคณะภกิ ษุไทยกใ็ หก้ ารอปุ สมบทแบบไทยแก่กลุ บุตรชาวลงั กา และสามเณรท่ไี ดร้ บั การ อุปสมบทเป็นองคแ์ รกคือ สามเณรสรณงั กร ท่านผูน้ ้ีต่อมาภายหลงั ไดเ้ ป็นสมเด็จพระสงั ฆราชแห่งลงั กา ในนิกาย สยามวงศเ์ ป็นองคแ์ รก เป็นเหตใุ หเ้กดิ สงฆส์ ยามวงศใ์ นลงั กาข้นึ และมมี าตราบเท่าทกุ วนั น้ี
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ สาหรบั พระอุบาลเี ถระนนั้ ต่อมาไดอ้ าพาธถงึ แก่มรณภาพท่ลี งั กานนั้ เอง ปจั จบุ นั อฐั ิของท่านยงั ปรากฏอยู่ อาสนะท่ที ่านนงั่ อุปสมบทกุลบุตร ตลอดจนพดั รองท่ที ่านใชป้ ระจา ยงั คงรกั ษาไวค้ งรูปเดิมจดั เป็นปูชนียวตั ถุของ พระสงฆน์ ิกายสยามวงศ์ ในสมยั เดียวกนั นนั้ ไดม้ สี ามเณรกลุ่มหน่ึง ออกไปรบั การอุปสมบทในพม่า เม่อื กลบั มาแลว้ ก็ตง้ั อมรปุร นิกาย๑๑๒ ข้นึ และยงั มอี ีกพวกหน่ึงไปบวชแต่เมอื งมอญแลว้ นาตง้ั เป็น รามญั นิกาย ข้นึ ขอ้ ท่ผี ิดกนั ก็คือ ภกิ ษุใน สยามนิกายนน้ั ส่วนมากเป็นผูด้ ชี นั้ สูงนิยมบวชกนั โดยมาก ไม่นิยมรบั คน ชนั้ ตา่ เขา้ มาบวช เพราะฉะนน้ั คนชน้ั ตา่ จงึ หนั ไปบวชในอมรปุรนิกายและรามญั นิกายเป็นส่วนมากสรุปนิกายพระสงฆใ์ นลงั กามี ๓ นิกาย๑๑๓ ๑. สยามนิกาย หรอื อบุ าลวี งศ์ ๒. อมรปรุ นิกาย หรอื มรมั มวงศ์ ๓. รามญั นิกาย เป็ นนิกายท่เี ลก็ ท่ีสุด ทง้ั ๓ นิกาย ยงั แบ่งเป็นสาขา แตกแยกกนั ไปตามสานกั ต่างๆ กาเนิดรามญั นิกาย พระเจา้ ธรรมเจดียก์ ษตั ริยแ์ ห่งรามญั ประเทศ พระองคท์ รงใฝ่พระทยั ในการศาสนาเป็นอย่างย่งิ ดว้ ยเหตุท่ี พระองคท์ รงเล่อื มใสในพระรตั นตรยั อย่างมนั่ คงและเคยผนวชเป็นพระภกิ ษุ ตามท่ปี รากฏหลกั ฐานในพงศาวดาร มอญเร่อื งราชาธริ าช ซ่งึ มพี ระนามว่า พระปิฎกธร เมอ่ื พระองคข์ ้นึ เสวยราชยใ์ นเมอื งหงสาวดแี ลว้ คณะสงฆใ์ นเมอื ง หงสาวดีเกิดแตกแยกกนั ต่างรงั เกียจไม่ยอมทาสงั ฆกรรมร่วมกนั และถือพิธีปฏิบตั ิผิดแผกกนั ออกไปตามคติ ความเหน็ ของแต่ละฝ่าย พระองคท์ รงวติ กวา่ ในกาลภายหนา้ การถือปฏบิ ตั ขิ องพระสงฆจ์ ะเป็นเหตุใหพ้ ระพุทธศาสนาเส่อื มถอยลงและจะเส่อื มสูญไปในท่สี ุดพระองค์ ทรงประสงคเ์ พอ่ื ทจ่ี ะชาระพระพทุ ธศาสนาใหบ้ รสิ ุทธ์ิและใหพ้ ระสงฆถ์ อื วตั รปฏบิ ตั เิ ป็นอย่างเดียวกนั จงึ ทรงรบั สงั่ ให้ คณาจารยข์ องแต่ละฝ่ายใหไ้ ปรบั การอุปสมบทจากพระสงฆใ์ นลงั กาทวปี เพ่อื ใหม้ พี ระสงฆร์ ามญั ท่บี รสิ ุทธ์เิ กดิ ข้นึ มา ก่อนแลว้ กลบั มาใหก้ ารอุปสมบทแก่ลูกศิษยต์ ่อไปเพ่ือใหพ้ ระสงฆใ์ นรามญั ประเทศเป็นวงศเ์ ดียวกนั เหล่าพระ คณาจารยจ์ งึ เหน็ ชอบใหพ้ ระเถระ ๒๒ รูป และพระอนุจรอกี ๒๒ รูปไปรบั การอุปสมบทในลงั กา เมอ่ื พระสงฆร์ ามญั บวชแปลงเป็นวงศข์ องลงั กาเสรจ็ แลว้ เดนิ ทางกลบั มายงั รามญั ประเทศแลว้ พระเจา้ ธรรม เจดียก์ ็ทรงรบั สงั่ ใหเ้ ร่ิมบวชแปลงภิกษุรามญั ตามอย่างลงั กา ซ่ึงสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพทรงเล่าไวใ้ น หนงั สอื เทย่ี วเมอื งพมา่ ว่า \"เมอ่ื มพี ระสงฆซ์ ง่ึ ไดบ้ วชแปลงเป็นลงั กาอยา่ งบริสุทธ์แิ ลว้ พระเจา้ ธรรมเจดยี จ์ ึงทรงเลอื กหา สถานทส่ี รา้ งพระอโุ บสถไดท้ ค่ี วรเป็น วสิ ุงคามถูกตอ้ งตามพระวนิ ยั ทช่ี ายเมอื งหงสาวดที างดา้ นตะวนั ตกของพระธาตุ มเุ ตา แลว้ จึงทรงรบั สงั่ ใหส้ รา้ งพระอุโบสถข้นึ ณ ท่นี นั้ ใหพ้ ระสงฆท์ ่ีไปบวชแปลงมาจากลงั กาทาพิธีผูกพทั ธสมี า สาหรบั เป็นทท่ี าสงั ฆกรรมของเหลา่ พระสงฆ์ เรยี กวา่ กลั ยาณีสมี า ดว้ ยเหตุท่ีพระสงฆท์ ่ีตง้ั ข้ึนใหม่นน้ั ไดร้ บั การอุปสมบทมาจากอุทกสีมาในแม่นา้ กลั ยาณีลงั กาทวีปเม่ือ ผูกพทั ธสีมาแลว้ ก็ทรงโปรดใหก้ ุลบุตรชาวเมืองหงสาวดีบวชเป็นลงั กาวงศใ์ นสีมากลั ยาณี แต่ขดั ขอ้ งดว้ ยเหตุท่ี ๑๑๒ พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐติ ญาโณ), ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๘), หนา้ ๓๐๗. ๑๑๓ เสถยี ร โพธินนั ทะ, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ, เลม่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พระสงฆท์ ่ีไปบวชแปลงมาจากลงั กานน้ั ก่อนบวชตอ้ งสึกเป็นคฤหสั ถเ์ สียก่อนเม่อื บวชใหม่แลว้ พรรษายงั นอ้ ยเป็น อุปชั ฌายไ์ ม่ได้ จึงตรสั สงั่ ใหเ้ ท่ยี วหาภิกษุท่บี วชแปลงมาจากลงั กา ก็ไดพ้ ระสุวรรณโสภณซ่งึ ไดไ้ ปบวชมาจากคณะ มหาวหิ าร ณ อุทกสมี าในแม่นา้ กลั ยาณีเช่นเดียวกนั ซง่ึ มพี รรษาได้ ๒๖ พรรษาแลว้ พระเจา้ ธรรมเจดยี จ์ งึ โปรดให้ นิมนตพ์ ระสุวรรณโสภณมาเป็นอปุ ชั ฌายอ์ งคแ์ รกใหก้ ารอปุ สมบทแก่กุลบตุ รชาวเมอื งหงสาวดีในสมี ากลั ยาณีเป็นตน้ มาโดยลาดบั ‛ รามญั นิกายสมยั กรุงสโุ ขทยั จากหลกั ฐานในพงศาวดารและตานานต่างๆ ของไทย เช่น ชนิ กาลมาลปี กรณ์ตานานมลู ศาสนา ศาสนวงศ์ เป็นตน้ แสดงใหเ้หน็ ว่าไทยไดร้ บั พทุ ธศาสนามาจากลงั กาโดยผ่านมอญทเ่ี รยี กว่า รามญั นิกาย เขา้ มาเผยแพร่ตงั้ แต่ สมยั กรุงสุโขทยั บางครงั้ พระภกิ ษุชาวไทยไดเ้ดนิ ทางไปยงั รามญั ประเทศ บวชแปลงใหม่ตามลทั ธวิ ธิ ขี องรามญั แลว้ อยูเ่ รยี นพระธรรมวนิ ยั ในประเทศนนั้ จนมคี วามรูค้ วามสามารถแลว้ จงึ กลบั มาเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาตามอย่างลทั ธิ รามญั ในประเทศไทย บางครง้ั พระมหากษตั ริยไ์ ทยก็ส่งราชทูตออกไปยงั รามญั ประเทศแลว้ ขอบวชอีกครง้ั หน่ึงใน สานกั ของพระอทุ มุ พรมหาสามแี ละไดอ้ ยู่ศึกษาเลา่ เรยี นพระธรรมวนิ ยั ทน่ี นั่ ต่อมาพระมหาสามอี ุทุมพร ไดส้ ่งพระสุมนเถระใหแ้ ก่พระเจา้ ธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทยั ตามท่พี ระองคท์ รง ขอเพ่อื ไปทาสงั ฆกรรมทุกอย่างในกรุงสุโขทยั เม่อื มาถงึ สุโขทยั แลว้ ไดท้ าการผูกพทั ธสีมาและใหก้ ารอุปสมบทแก่ พระสงฆท์ ส่ี ุโขทยั ตามแบบรามญั นิกาย รามญั นิกายสมยั กรุงศรอี ยุธยา ตามตานานมลู ศาสนา ปรากฏว่าพทุ ธศาสนาแบบรามญั นิกายไดเ้ขา้ มาประดษิ ฐานในกรุงศรอี ยุธยาเป็นครง้ั แรกในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑ (อู่ทอง พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒) กลา่ วคือหลงั จากท่พี ระสุมนเถระเขา้ มาอยู่ สุโขทยั ไดร้ ะยะหน่ึงแลว้ ไดก้ ลบั ไปยงั รามญั ประเทศอีก และไดน้ าพระภกิ ษุชาวสุโขทยั จานวน ๘ รูปไปบวชใหม่และ อยูเ่ รยี นพระพทุ ธศาสนาทร่ี ามญั ประเทศ เมอ่ื กลบั มาถงึ กรุงสุโขทยั แลว้ พระสงฆท์ ง้ั ๘รูปไดแ้ ยกยา้ ยการเผยแผ่พทุ ธ ศาสนาแบบรามญั นิกาย หน่ึงในจานวนนน้ั คอื พระปิยทสั สเี ถระ ก็ไดน้ าเอาพระพุทธศาสนาแบบรามญั นิกายมาประดิษฐานในกรุงศรีอยุธยาน้ีนับว่าเป็นครง้ั แรกท่ี พระพุทธศาสนาแบบรามญั นิกายมาสู่กรุงศรีอยุธยา ต่อมาในรชั สมยั ของสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.๒๑๒๒- ๒๑๓๓) ปรากฏว่ามีพระเถระชาวมอญเขา้ มาสู่กรุงศรีอยุธยา และไดร้ บั แต่งตง้ั ไวใ้ นตาแหน่งสาคญั อีกครง้ั หน่ึง กลา่ วคือพระมหาเถรคนั ฉ่อง ซง่ึ เป็นผูแ้ จง้ ขา่ วใหพ้ ระนเรศวรทรงทราบว่าพระเจา้ หงสาวดคี ิดประทุษรา้ ยต่อพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบความแลว้ จึงตรสั แก่พระมหาเถรคนั ฉ่องว่าซ่งึ พระผูเ้ ป็นเจา้ เมตตาบอกเหตุการณ์แก่ ขา้ พเจา้ ทง้ั น้ีพระคุณนน้ั หาทส่ี ้นิ สุดมไิ ด้ อนั พระผูเ้ป็นเจา้ จะอยู่ในเมอื งมอญน้ี พระเจา้ หงสาวดีแจง้ อนั ตรายกจ็ ะมเี ป็น มนั่ คง ขา้ พเจา้ จะนาพระผูเ้ป็นเจา้ กบั พระยาเกียรต์พิ ระยาราม และญาตโิ ยมทง้ั ปวงลงไปอยู่ ณ กรุงเทพมหานครศรี อยุธยาจะไดก้ ระทาปฏกิ ารสนองคุณพระผูเ้ป็นเจา้ และปลูกเล้ยี งพระยาเกียรต์พิ ระยารามดว้ ยพระมหาเถรคนั ฉ่องกบั พระยาทง้ั สองกย็ นิ ยอมพรอ้ มดว้ ยพระราชบรพิ ารจงึ เสดจ็ พยุหยาตราทพั ออกจากเมอื งแครง พระมหาเถรคนั ฉ่องกบั พระยาทงั้ สองและญาติโยมก็มาโดยเสด็จ....แลว้ จึงโปรดใหพ้ ระมหาเถรคนั ฉ่องอยู่วดั มหาธาตุเป็นสมเด็จพระอริ ยวงศญาณปริยตั ิวราสงั ฆราชาธิบดีศรีสมณุตมาปริณายกติปิฏกธราจารย์ สฤษติขตั ิยสารสุนทร มหาคณฤศรอุดร
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ วามคณสงั ฆารามคามวาสี สถติ อยู่ ณ วดั พระศรีรตั นมหาธาตวุ รวหิ าร ฝ่ายพระยาเกยี รต์ิ พระยาราม ก็พระราชทาน เจยี ดทอง เตา้ นา้ ทองกระบบ่ี งั้ ทอง เงนิ ตรา เส้อื ผา้ พรรณนุ่งห่มและเคร่อื งอปุ โภคบริโภคเป็นอนั มาก และครอบครวั มอญซง่ึ พามานน้ั ก็พระราชทานใหพ้ ระยาเกยี รต์ิ พระยาราม ควบคุมว่ากล่าวดว้ ยและพระยาทงั้ สองใหอ้ ยู่ตาบลบา้ น ขม้นิ วดั ขนุ แสนส่วนญาติโยมของพระมหาเถระคนั ฉ่องนนั้ ใหอ้ ยู่ตาบลบา้ นหลงั วดั นก ในพระสมณศาสนภาษาบาลี ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ซ่งึ ทรงมไี ปถงึ คณะสงฆใ์ นลงั กาทวปี ครงั้ ยงั ทรงผนวชอยู่ ฉบบั ท่ี ๖ ขอ้ ท่ี ๒๐ ว่า “ครงั้ นน้ั พระนเรศวรมหาราชทรงพาเอาหม่ภู กิ ษุและครวั รามญั เป็นอนั มากเสด็จกลบั มาเมอื งไทย โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพ้นื ทส่ี าหรบั ปลูกบา้ นเรอื นแก่พวกครวั รามญั และพ้นื ทส่ี าหรบั สรา้ งวดั ถวายภกิ ษุรามญั วงศด์ ว้ ย รามญั วงศม์ าประดษิ ฐานในเมอื งไทยดว้ ยประการฉะน้ีตง้ั แต่นนั้ มาถงึ ทกุ วนั น้ี เป็นเวลา ๓๒๐ ปีกว่ามาแลว้ ” ตามความในพระราชนิพนธน์ ้ี แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงถือว่า พระสงฆร์ ามญั คณะพระมหาเถรคนั ฉ่องซง่ึ เขา้ มาประเทศไทยครง้ั น้ีเป็นการนาเอาพระพทุ ธศาสนาแบบรามญั นิกายเขา้ มาประดิษฐาน ในประเทศไทยดว้ ย จากการท่พี ระมหาเถรคนั ฉ่องตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเขา้ มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาครงั้ นนั้ คง มไิ ดม้ าแต่เพยี งท่านรูปเดยี วคงจะมพี ระภกิ ษุสามเณรรามญั ท่เี ป็นศิษยข์ องท่านตดิ ตามเขา้ มาดว้ ยเป็นจานวนมากจน ถงึ กบั สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตง้ั ใหพ้ ระมหาเถรคนั ฉ่องเป็นเจา้ คณะสงฆร์ ามญั เพ่อื ปกครองว่ากล่าวกนั เอง พระสงฆร์ ามญั เหล่าน้ีคงไดเ้ ผยแผ่ลทั ธิวิธีพระพุทธศาสนาแบบรามญั แก่ชาวกรุงศรีอยุธยาทวั่ ไปตามสามารถ และ ต่อมากไ็ ดเ้ผยแผ่ไปยงั หวั เมอื งใกลเ้คียงต่างๆ อกี หลายเมอื ง เพราะในบญั ชีรายช่อื เจา้ คณะเมอื งในหวั เมอื งปกั ษใ์ ตท้ ่ี ข้นึ คณะคามวาสฝี ่ายขวาครงั้ กรุงเก่ามรี ายช่อื พระครูเจา้ คณะเมอื งฝ่ายรามญั ปรากฏอยูห่ ลายชอ่ื คือ พระครูรามญั ญาธบิ ดี พระครูอนิ ทมนุ ี ประจาเมอื งกาญจนบรุ ี พระครูอนิ ทเขมาประจาเมอื งราชบรุ ี เป็นตน้ ในบญั ชีรายช่ือพระราชาคณะในกรุงและนอกกรุง ครง้ั กรุงเก่ามรี ายช่ือพระราชาคณะฝ่ายรามญั บางช่อื ปรากฏอยู่ คือพระไตรสรณธชั วดั จอมปุ ข้นึ คณะซา้ ย องคห์ น่ึง พระอริยธชั วดั จงกรมข้นึ คณะขวาองคห์ น่ึง ทาใหส้ นั นิษฐานไดว้ ่า คณะสงฆร์ ามญั นน้ั คงจะไดม้ เี จา้ คณะ ใหญ่ปกครองกนั มาตงั้ แต่ครง้ั กรุงเก่าแลว้ จึงไดม้ ีพระราชาคณะชน้ั รองๆ ลงมาสาหรบั ช่วยการคณะอีกหลายรูป ดว้ ยกนั ตอนปลายกรุงศรอี ยุธยา ในรชั สมยั ของพระเจา้ บรมโกศ (ระหว่าง พ.ศ.๒๒๗๕-๒๓๑๐) ไดม้ ชี าวรามญั และ พระสงฆอ์ พยพเขา้ มาพ่งึ พระบรมโพธิสมภารอีกครงั้ หน่ึงพงศาวดารมอญพม่ากล่าวว่า พระเจา้ อลองพญา กล่าวหา พระสงฆร์ ามญั ว่า ทามงคลประเจียด ตะกรุด ลงเลขยนั ตก์ นั อาวุธใหช้ าวมอญ ทาใหช้ าวมอญพากนั มกี าลงั ใจกลา้ หาญในการทาสงครามกบั พระองค์ จึงสงั่ ใหท้ าการกวาดลา้ งพระสงฆม์ อญและใหจ้ บั ประหารเสยี ครง้ั นนั้ พระสงฆ์ มอญจงึ ไดพ้ ากนั อพยพไปในทๆ่ี ปลอดภยั เช่น กรุงศรอี ยุธยาเชยี งใหม่ และเมอื งทวาย เป็นตน้ นบั แต่นนั้ มาพระพทุ ธศาสนาแบบรามญั นิกาย ก็ประดิษฐานอย่างมนั่ คงในประเทศไทย ไดม้ ผี ูส้ บื ลทั ธนิ ิกาย ต่อๆ มาซ่งึ มที งั้ บุตรหลานของพวกท่อี พยพเขา้ มาอยู่ก่อนและทาการบวชเรียนในประเทศไทยและพระสงฆม์ อญท่ี อพยพเขา้ มาอยูใ่ หมต่ ามลาดบั
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๐๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ รามญั นิกายสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก รชั กาลท่ี ๑ แห่งกรุง รตั นโกสนิ ทร์ สภาพการณ์ของคณะ สงฆต์ กอยู่ในความวปิ ริตเส่อื มโทรมและระสา่ ระสายสืบเน่ืองมาจากการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงถอื เป็นเร่อื งรบี ด่วนในการท่จี ะแกไ้ ขฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนาและคณะสงฆ์ ข้นึ ใหม่ ในปีแรกแห่งรชั กาลนนั่ เองก็ไดท้ รงแต่งตงั้ พระเถรานุเถระฝ่ายไทยใหด้ ารงสมณศกั ด์ิต่างๆตามสมควรแก่ คุณธรรมเพ่อื เป็นศรีแก่ศาสนาและบา้ นเมอื งสืบไปแลว้ ก็ไดท้ รงแสวงหาพระเถระฝ่ายรามญั เพ่อื ทรงแต่งตงั้ ไวใ้ น ฐานานุศกั ด์อิ นั สมควรต่อไป กป็ รากฏว่าทรงไดพ้ ระเถระรามญั ผูท้ รงพระธรรมวนิ ยั มาตง้ั เป็นพระราชาคณะ ๓ รูป ดงั ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า “อน่ึง พระราชาคณะฝ่ายรามญั นนั้ ยงั หาตวั มไิ ด้ จึงทรงพระกรุณาใหจ้ ดั หาพระมหา เถระฝ่ายรามญั ซง่ึ รูพ้ ระวนิ ยั ปริยตั ไิ ด้ ๓ รูป ทรงตง้ั เป็นพระมหาสุเมธาจารยอ์ งคห์ น่ึง พระไตรสรณธชั องคห์ น่ึงและ พระสุเมธนอ้ ยองคห์ น่ึง ครนั้ เม่อื สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงสรา้ งวดั ตองปุ (วดั ชนะสงคราม) ข้นึ ใหม่โปรด ฯ ให้ พระสงฆร์ ามญั มาอยู่วดั ตองปแุ ละใหพ้ ระมหาสุเมธาจารยเ์ ป็น เจา้ อาวาส พระไตรสรณธชั นนั้ มพี ระราชโองการใหไ้ ป อยูว่ ดั บางหลวง เป็น เจา้ คณะรามญั ในแขวงเมอื งนนทบุรีและสามโคก ส่วนพระสุเมธนอ้ ย โปรดใหไ้ ปครองวดั บางย่ี เรอื ในการปกครองคณะสงฆร์ ามญั ในรชั กาลน้ีกใ็ ชก้ ารปกครองแบบเดยี วกบั ท่ใี ชใ้ นสมยั กรุงศรอี ยุธยาเช่นกนั คือมี เจา้ คณะใหญ่ปกครองว่ากล่าวกนั เองซง่ึ ปรากฏนามว่า พระมหาสุเมธาจารย์ ต่อมาในภายหลงั ไดเ้ ปลย่ี นเป็น พระสุ เมธาจารย์ และมพี ระราชาคณะชนั้ รองๆ ลงมา ช่วยการคณะอีกหลายรูปทาหนา้ ท่ปี กครองว่ากลา่ วพระสงฆร์ ามญั ท่ี อยู่ในส่วนหวั เมอื งต่างๆ เจา้ คณะใหญ่ฝ่ายรามญั ท่ไี ดร้ บั แต่งตงั้ ในราชทนิ นามน้ีตง้ั แต่รชั กาลท่ี ๑ ถงึ รชั กาลท่ี ๕ มจี านวน ๕ รูปมี ประวตั เิ ท่าทส่ี ามารถคน้ หาหลกั ฐานได้ ดงั น้ี รูปท่ี ๑ คอื พระมหาสุเมธาจารย์ องคท์ ่ปี รากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๑ ซง่ึ โปรด ใหแ้ ต่งตงั้ เมอ่ื แรกเสวยพระราชสมบตั ิ แลว้ โปรดใหม้ าครองวดั ชนะสงคราม ซง่ึ ในประวตั วิ ดั ชนะสงครามกล่าวว่าเป็น เจา้ อาวาสองคแ์ รกของวดั ชนะสงคราม รูปท่ี ๒ คือ ทป่ี รากฏในบญั ชพี ระเถรานุเถระนงั่ หตั บาส คราวสมเด็จกรมพระราชวงั หลงั ทรงผนวช เม่ือปี พ.ศ.๒๓๔๕ จานวน ๓๐ รูปว่า “พระสุเมธใหญ่ วดั ชนะสงคราม พระสุเมธนอ้ ย วดั ราชคฤห์ ‛ นน้ั ยงั หาหลกั ฐาน ประวตั คิ วามเป็นมาไมพ่ บ รูปท่ี ๓ คือ ท่ปี รากฏช่อื ในหนงั สอื เร่อื งแต่งตงั้ พระราชาคณะผูใ้ หญ่ในกรุงรตั นโกสนิ ทรว์ ่า “พระสุเมธ มใี น พระราชปุจฉารชั กาลท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๙)” นน้ั เขา้ ใจว่าไดแ้ ก่ พระสุเมธาจารย์ (เกดิ ) ซ่งึ มชี ่อื อยู่ในจดหมายเหตุเร่อื ง ไต่สวนนายกหุ ลาบว่า “ขอ้ น้ีพงึ ฟงั ไดว้ ่า สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ ฺสเทว) ไดอ้ ุปสมบทในเวลาทใ่ี ชอ้ ปุ ชั ฌายร์ ามญั มี พระสุเมธาจารย์ (เกิด) เป็นอุปชั ฌายด์ ว้ ยรูปหน่ึง และเวลานนั้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงเป็น กรรมวาจาจารยอ์ ยู”่ รูปท่ี ๔ คอื พระสุเมธมนุ ี (ซาย พทุ ธฺ วโส) เจา้ อาวาสวดั บวรมงคล
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ องคท์ ่ี ๒ (ระหว่าง พ.ศ.๒๓๖๕-๒๓๘๐) เป็นชาวมอญ เกิดในรามญั ประเทศและบวชเป็นภิกษุมาแต่ใน รามญั ประเทศเขา้ มาอยู่เมอื งไทยครงั้ มอญอพยพในสมยั รชั กาลท่ี ๒ ซง่ึ โปรดใหไ้ ปตงั้ บา้ นเรือนอยู่ท่เี มอื งปทมุ ธานี และปากเกรด็ พระสุเมธมนุ ีองคน์ ้ีเองทเ่ี ป็นผูถ้ วายวสิ ชั นาเก่ยี วกบั สมณวงศแ์ ละวนิ ยั ปฏบิ ตั ิต่างๆ แด่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ครง้ั ยงั ทรงผนวชอยู่จนเป็นท่พี อพระทยั และทรงเลอ่ื มใส รบั มาเป็นแบบปฏิบตั ิกระทงั่ เกิด เป็นคณะธรรมยุติกนิกายข้นึ ในกาลต่อมาในบน้ั ปลายชีวติ ของพระสุเมธมนุ ีองคน์ ้ี บางท่านก็ว่า ท่านเกิดขดั แยง้ กบั หมอ่ มไกรสร (กรมหลวงรกั ษรณเรศ) อย่างรุนแรงจากนน้ั ก็หายสาบสูญไป บางท่านก็ว่า หม่อมไกรสรขอพระบรมรา ชานุญาตถอดเสยี จากสมณศกั ด์ิแลว้ ใหป้ ระหารชีวิตในท่ีสุด สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพตรสั ว่า \"ถูกหม่อม ไกรสรพยายามทารา้ ยหนกั ข้นึ จนถงึ หาเหตใุ หส้ กึ พระสุเมธมนุ ีท่เี ป็นพระอุปชั ฌายข์ องพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รูปท่ี ๕ คือ พระสุเมธาจารย์ (ศรี) เจา้ อาวาสวดั ชนะสงคราม องคท์ ่ี ๒ (ระหว่าง พ.ศ.๒๔๑๐-๒๔๕๕) เป็น ชาวบางพูด จงั หวดั นนทบุรี เกดิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๘ ในรชั กาลท่ี ๓ บวชเป็นสามเณรทว่ี ดั ปรมยั ยกิ าวาส แลว้ ยา้ ยมา อยู่วดั ชนะสงคราม เป็นเปรียญ ๔ ประโยค รามญั เคยเป็นพระครูราชปริต ตอนปลายรชั กาลท่ี ๔ ไปรง้ั ตาแหน่งเจา้ อาวาสวดั บวรมงคลอยู่คราวหน่ึง ใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ไดเ้ ป็นพระราชาคณะท่ี ‚พระอุดมญาณ‛ แลว้ มาครองวดั ชนะ สงคราม ถงึ รชั กาลท่ี ๕ เลอ่ื นข้นึ เป็นท่ี \"พระสุเมธาจารย์ บริหารธรรมขนั ธ์ รามญั สงฆคณาธิบดี ตาแหน่งเจา้ คณะ ใหญ่พระสงฆร์ ามญั \" สาหรบั เจา้ คณะรองฝ่ ายรามญั นน้ั มหี น่ึงตาแหน่ง คือ “พระคุณวงศ”์ เดิมเป็นพระราชาคณะสามญั ต่อมา ในรชั กาลท่ี ๕ ยกข้นึ เป็นเสมอชน้ั เทพ และ มี ๒ รูป คือ พระคุณวงศ์ (สน) พระคุณวงศ์ (จู) เจา้ อาวาสวดั ปรมยั ยกิ า วาส รูปท่ี ๑ และท่ี ๒ ตามลาดบั พระราชาคณะรามญั ๒ ตาแหน่งน้ีตอ้ งเป็นเปรยี ญทง้ั สองตาแหน่ง และการทรงตง้ั นน้ั จะทรงตง้ั ต่อเมอ่ื ทรงเหน็ ว่ามผี ูท้ รงคุณสมบตั ิสมควร ในอธบิ ายคณะสงฆแ์ ละสมณศกั ด์ิ ของพระยาพฤฒาธบิ ดี (อ่อน) ไดแ้ สดงรายนามพระราชาคณะฝ่ายรามญั ไว้ ๘ ชอ่ื คือ ๑. พระคุณวงศ์ เดมิ เป็น พระกูลวงษ์ ๒. พระไตรสรณธชั ๓. พระอรยิ ธชั ๔. พระธรรมวสิ ารท ๕. พระอดุ มญาณ ๖. พระสุเมธนอ้ ย (ในรชั กาลท่ี ๑) เปลย่ี นเป็นพระสุเมธมนุ ี ในรชั กาลท่ี ๕ ๗. พระรามญั มนุ ี (ในรชั กาลท่ี ๔) ๘. พระรามญั มหาเถร (ในรชั กาลท่ี ๔) ตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๓ ปรากฏหลกั ฐานตามพระอธิบายของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโร รสว่า “คณะรามญั นน้ั รวมวดั ท่พี ระสงฆเ์ ป็นรามญั เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั มพี ระสุเมธาจารยเ์ ป็นเจา้ คณะเช่นเดิม‛ และมคี า กล่าวว่าคณะสงฆร์ ามญั ไดไ้ ปข้นึ กบั คณะกลาง ทงั้ น้ีคงเป็นเพราะวดั ชนะสงครามซ่งึ เป็นวดั เจา้ คณะไปข้นึ กบั คณะ
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ กลางนนั่ เอง แต่ความจริงแลว้ มแี ต่วดั ชนะสงครามกบั วดั ในนครเข่อื นขนั ธเ์ ท่านน้ั ท่ขี ้นึ คณะกลาง ส่วนวดั รามญั ใน เขตเมอื งใดกข็ ้นึ คณะเมอื งนน้ั ในสมยั รชั กาลท่ี ๔ การปกครองคณะสงฆฝ์ ่ายรามญั ยงั คงใชแ้ บบท่เี คยปฏิบตั ิมาในรชั กาลก่อนและมกี าร ตงั้ ราชทนิ นามพระราชาคณะฝ่ายรามญั เพม่ิ อกี ๒ ตาแหน่ง คอื พระรามญั มนุ ี และพระรามญั มหาเถร ครน้ั ถงึ สมยั รชั กาลท่ี ๕ การปกครองคณะสงฆไ์ ทยยงั คงแยกเป็น ๔ คณะเช่นเดิม แต่ไดม้ กี ารเปลย่ี นแปลง บางประการข้นึ คือไดเ้ พ่ิมคณะสงฆธ์ รรมยุตข้นึ มาคณะหน่ึงแทนคณะอรญั วาสี และใหค้ ณะอรญั วาสยี ุบไปรวมกบั คณะธรรมยุต ส่วนคณะสงฆร์ ามญั นิกายก็ยงั คงแยกยา้ ยไปข้นึ กบั คณะทงั้ ๔ ในครงั้ นนั้ เจา้ พระยาภาสกรวงษเ์ สนาบดี กระทรวงธรรมการเหน็ ควรทจ่ี ะรวมคณะสงฆร์ ามญั นิกายทงั้ ในกรุงและหวั เมอื งท่ขี ้นึ กบั คณะต่างๆ เขา้ ดว้ ยกนั แลว้ ยกไปข้นึ คณะธรรมยุต เพราะมวี ธิ ีการคณะแบบเดยี วกนั และจะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหต้ ง้ั พระสุเมธา จารยข์ ้นึ เป็นเจา้ คณะใหญ่คณะรามญั ตามเดิม และใหพ้ ระคุณวงศเ์ ป็นเจา้ คณะรองดว้ ยเห็นว่าพระสุเมธาจารยม์ ี พรรษากาลอายุมากและหมนั่ ในการศึกษาประกอบกบั ตาแหน่งพระสุเมธาจารยน์ ้ีเป็นตาแหน่งใหญ่ฝ่ ายรามญั มี ฐานานุศกั ด์ิตงั้ ฐานานุกรมได้ ๕ รูป ทง้ั พระสุเมธาจารยเ์ องก็มคี วามประพฤติเรียบรอ้ ย หลงั จากท่ไี ดร้ บั พระบรมรา ชานุญาตใหก้ ลบั มาดารงตาแหน่งเจา้ คณะตามเดิมแลว้ พระสุเมธาจารยไ์ ดม้ หี มายไปยงั พระคุณวงศใ์ หส้ ่งบญั ชจี านวน วดั รามญั เจา้ อาวาส เจา้ อธิการ ตลอดจนพระสงฆส์ ามเณรท่ีข้ึนกบั พระคุณวงศ์ไปยงั พระสุเมธาจารยเ์ พ่ือจะได้ รวบรวมส่งใหก้ บั กรมสงั ฆการี กระทรวงธรรมการแลว้ จงึ ยกไปรวมกบั ธรรมยุตอีกทหี น่ึงฝ่ายพระคุณวงศไ์ มเ่ หน็ ดว้ ย กบั คาสงั่ ดงั กลา่ วจงึ ไมย่ อมปฏบิ ตั ติ ามและไมย่ อมข้นึ กบั พระสุเมธาจารย์ กรมสงั ฆการีจงึ ตอ้ งทาการไกล่เกลย่ี และรบั เป็นผูบ้ งั คบั บญั ชาพระคุณวงศ์ โดยเป็นผูเ้รียกเกบ็ บญั ชีวดั มอญท่เี คยข้นึ กบั พระคุณวงศท์ ง้ั หมดสาหรบั พระสุเมธา จารยน์ นั้ ก็ใหเ้ ป็นผูจ้ ดั การคณะรามญั อ่ืนๆ ส่วนการยกคณะสงฆร์ ามญั ไปรวมกบั คณะธรรมยุตก็มีอุปสรรคไม่ สามารถจดั การใหล้ ุลว่ งไปได้ เน่ืองจากสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมหมน่ื วชิรญาณวโรรสเจา้ คณะใหญ่คณะธรรมยุต ไมเ่ ตม็ พระทยั ทจ่ี ะรบั เพราะเป็นภาระหนกั สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรสจึงทรงมอบคณะรามญั ใหพ้ ระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อรุณนิภาคุณากรเจา้ คณะรองปกครอง พระองคเ์ จา้ อรุณนิภาคุณากรก็ไม่เต็มพระทยั เช่นกนั ดว้ ยทรงอา้ งว่า คณะรามญั กบั วดั ชนะสงครามนน้ั มขี อบเขตและปริมาณงานมากเกินกว่าท่จี ะดูแลรกั ษาได้ จงึ ทรงสมควรใหค้ ณะสงฆร์ ามญั ไปข้นึ อยู่ในคณะมหานิกายไปตามเดิมในท่ีสุดกรมสงั ฆการีจึงตอ้ งรบั หนา้ ท่ีในการ ปกครองคณะรามญั ทงั้ หมดท่ีถอนมาจากคณะเหนือ คณะกลางและคณะใต้ และการสงั่ ราชการในคณะรามญั นน้ั กรมสงั ฆการตี อ้ งสงั่ ไปทงั้ ๒ ผ่ายคือ ฝ่ายพระสุเมธาจารยแ์ ละฝ่ายพระคุณวงศ์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๕ (ร.ศ.๑๒๑) ไดม้ กี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ แบง่ การ ปกครองออกเป็น ๔ คณะคือ คณะเหนือ คณะใตค้ ณะธรรมยุต และคณะกลาง ตามพระราชบญั ญตั นิ นั้ ไดก้ าหนดให้ มี เจา้ คณะปกครองลดหลนั่ กนั ลงมาตามลาดบั คือ มเี จา้ คณะใหญ่ เจา้ คณะมณฑล เจา้ คณะเมอื ง เจา้ คณะแขวง เจา้ คณะหมวด และเจา้ อาวาส ส่วนคณะสงฆร์ ามญั นิกายไม่ไดร้ บั ยกย่องเป็นคณะเอกเทศทาใหส้ ้นิ สภาพไปโดยพฤตินยั เพราะวดั รามญั อยู่ในเขตเมอื งใด คณะใด ก็ข้นึ เมอื งนนั้ คณะนน้ั คณะรามญั เป็นอนั มแี ต่ช่ือ ดงั นน้ั ตามพระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ีจึง
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ทาใหต้ าแหน่งเจา้ คณะใหญ่ฝ่ายรามญั ส้นิ สภาพไปดว้ ย พระเถระรามญั ท่ไี ดด้ ารงตาแหน่ง \"พระสุเมธาจารย์ บรหิ าร ธรรมขนั ธ์ รามญั สงฆคณาธิบดี ตาแหน่งเจา้ คณะใหญ่ฝ่ายรามญั เป็นองคส์ ุดทา้ ยนน้ั คือพระสุเมธาจารย์ (ศร)ี เจา้ อาวาสวดั ชนะสงครามรูปท่ี ๒ ซ่งึ ไดด้ ารงตาแหน่งน้ีมาแต่ตน้ รชั กาลท่ี ๕ จนถงึ มรณภาพเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๕ อนั เป็นปี ท่ี ๒ ในรชั กาลท่ี ๖ ต่อแต่นน้ั มาไม่ปรากฏหลกั ฐานว่ามพี ระเถระรามญั รูปใดไดร้ บั แต่งตงั้ ในตาแหน่งน้ีอีก หรอื หาก ว่าจะมผี ูไ้ ดร้ บั แต่งตง้ั เป็นพระสุเมธาจารยก์ ็คงจะไม่ไดเ้ ป็น \"รามญั สงฆคณาธิบดี ฯลฯ ตาแหน่งเจา้ คณะใหญ่ฝ่าย รามญั ‛ดงั แต่ก่อน สมยั รชั กาลท่ี ๖ ในยุคน้ีพระสงฆร์ ามญั ไดล้ ดจานวนลงไปมากวดั รามญั ส่วนมากมกั จะมพี ระสงฆไ์ ทยเขา้ ไป อยู่เป็นจานวนมากข้นึ ตามลาดบั ความจริงขอ้ น้ีจะพงึ เห็นไดจ้ ากความบางตอนในลายพระหตั ถข์ องสมเด็จพระมหา สมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสวา่ “ในเวลาน้ี (พ.ศ. ๒๔๕๘)วดั รามญั มพี ระสงฆน์ อ้ ยลง วดั มมี ากกว่า ๑๐ รูปมี นอ้ ยไม่มวี ดั ใดวดั หน่ึงมถี ึง ๒๐ รูป” ภาวการณ์เช่นน้ีเขา้ ใจว่าเร่ิมเป็นมาตงั้ แต่ตน้ รชั กาลท่ี ๔ แลว้ จะเหน็ ไดจ้ าก ความเป็นไปของวดั ชนะสงครามซง่ึ เป็นวดั รามญั ท่เี ป็นพระอารามหลวงและเป็นท่สี ถติ ของเจา้ คณะใหญ่ฝ่ายรามญั มา หลายรูปเป็นตวั อย่างซง่ึ ก็ไดก้ ลายเป็นวดั พระสงฆไ์ ทยไป เพราะมพี ระสงฆไ์ ทยมากกว่าพระสงฆร์ ามญั การศึกษาของพระสงฆร์ ามญั พระสงฆร์ ามญั กม็ กี ารเรยี นการสอบพระปริยตั ิธรรมเช่นเดียวกบั พระสงฆไ์ ทย แต่ใชห้ ลกั สูตรอีกแบบหน่ึง ต่างหากจากของไทยและยงั ไม่มหี ลกั ฐานแน่นอนว่าหลกั สูตรเปรียญรามญั น้ีกาหนดข้นึ โดยอนุโลมตามหลกั สูตรท่ี เคยใชอ้ ยูใ่ นรามญั ประเทศแต่โบราณหรอื มากาหนดข้นึ ใหมใ่ นประเทศไทย หนงั สือท่ใี ชเ้ ป็นแบบเรียนและใชส้ อบก็ใชแ้ ต่คมั ภรี พ์ ระวินยั ปิฎก เพราะการศึกษาของพระสงฆร์ ามญั ถือ พระวินยั เป็นหลกั สาคญั กาหนดขนั้ ของการสอบเปรียญรามญั แต่เดมิ มี ๓ ประโยค ภายหลงั เพ่มิ ประโยค ๔ ข้นึ อีก ประโยคหน่ึงรวมเป็น ๔ ประโยคคือ ประโยค ๑ สอบคมั ภีรอ์ าทิกรรม หรือ ปาจิตตีย์ แลว้ แต่นกั เรียนจะเลือก เขา้ ใจว่าแต่เดิมถา้ แปลได้ ประโยค ๑ กไ็ ดเ้ป็นเปรยี ญ ครนั้ ตงั้ ประโยค ๔ ข้นึ จงึ กาหนดว่า ตอ้ งสอบประโยค ๒ ไดด้ ว้ ย จงึ นบั วา่ เป็นเปรยี ญ ประโยค ๒ สอบคมั ภีรม์ หาวรรค หรือจุลวรรค แลว้ แต่นกั เรียนจะเลอื ก สอบไดน้ บั ว่าเป็นเปรียญจตั วา เหมอื นเปรยี ญไทย ๓ ประโยค ประโยค ๓ สอบคมั ภีรบ์ าลมี ตุ ตกวินยั วนิ ิจฉยั สงั คหะ เรียกกนั โดยย่อว่าบาลมี ุต สอบไดเ้ ป็นเปรียญตรี เสมอเปรยี ญไทย ๔ ประโยค ประโยค ๔ สอบคมั ภรี ป์ ฐมสมนั ตปาสาทกิ า สอบไดเ้ป็นเปรียญโทเสมอเปรยี ญไทย ๕ ประโยค สนั นิษฐานไดว้ ่าการศึกษาและการสอบพระปรยิ ตั ิธรรมของพระสงฆร์ ามญั คงจะมมี า ตง้ั แต่สมยั อยุธยาแลว้ เพราะคณะสงฆร์ ามญั ไดม้ าตง้ั เป็นหลกั ฐานมนั่ คงในประเทศไทย และมเี จา้ คณะใหญ่ปกครองมาตงั้ แต่สมยั อยุธยา และท่แี น่นอนคือ มกี ารสอบเปรียญรามญั ในสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ ดงั ปรากฏว่า พระรามญั มนุ ี (ย้มิ ) เจา้ อาวาสวดั บวรมงคล รูปท่ี ๓ ไดเ้ป็นเปรยี ญรามญั ๔ ประโยค ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ แหง่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ในการสอบพระปริยตั ิธรรมของพระสงฆร์ ามญั นน้ั จะมพี ระเถระของทง้ั สองฝ่าย คือ ฝ่ายรามญั และฝ่าย ไทยร่วมประชมุ เป็นกรรมการฟงั การแปลของพระผูส้ อบ พระผูส้ อบจะแปลประโยคในคมั ภรี ต์ ามท่ตี นจบั สลากไดเ้ป็น
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๓ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ภาษารามญั เมอ่ื มศี พั ทอ์ ะไรท่แี ปลก กรรมการฝ่ายไทยจงึ จะทกั และใหก้ รรมการฝ่ายรามญั เป็นล่ามแปลความหมาย ของคาทพ่ี ระผูส้ อบตอบนน้ั ใหก้ รรมการฝ่ายไทยฟงั ว่าถกู ตอ้ งหรือไม่เมอ่ื แปลเป็นภาษารามญั ไปจนจบประโยคแลว้ พระผูส้ อบก็ตอ้ งบอกสมั พนั ธม์ คธใหก้ รรมการฝ่ายไทยฟงั อีกรอบหน่ึง เพ่อื จะไดท้ ราบว่าท่พี ระผูส้ อบแปลเป็นภาษา รามญั ไปนน้ั ถูกตอ้ งตามความเก่ยี วเน่ืองของศพั ทต์ ่างๆ ในประโยคท่แี ปลนน้ั หรอื ไม่ เมอ่ื ถูกตอ้ งก็เป็นอนั ตดั สนิ ว่า สอบไดป้ ระโยคนนั้ วธิ กี ารสอบดงั กลา่ วไดใ้ ชม้ านานจนตลอดสมยั รชั กาลท่ี ๕ จงึ เลกิ ไปดว้ ยเหตทุ ส่ี มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรม พระยาวชิรญาณวโรรส ผูด้ ารงตาแหน่งสกลมหาสงั ฆปรินายกไดท้ รงมีพระราชปรารภว่า การเล่าเรียนของภิกษุ สามเณรรามญั เส่อื มลง พระราชาคณะเปรยี ญรามญั กม็ นี อ้ ยรูปและไมม่ คี วามรูค้ วามสามารถพอทจ่ี ะสอบความรูข้ อง พวกรามญั ได้ เพยี งแต่ใชเ้ ป็นล่ามแปลเท่านนั้ การอนุญาตใหแ้ ปลเป็นภาษารามญั ก็ไม่ไดเ้ ป็นการเพ่มิ พูนความรูแ้ ก่ พวกรามญั เลย และยงั เป็นเหตุใหพ้ วกรามญั ไมเ่ อาใจใส่ภาษาประจาชาตคิ ือภาษาไทย นอกจากน้ีพวกรามญั เองกไ็ ม่ สามารถบารุงความรูป้ รยิ ตั ธิ รรมของตนใหเ้จริญ ครน้ั ฝ่ายไทยจะช่วยบารุงกม็ อี ปุ สรรคทไ่ี มร่ ูภ้ าษารามญั ดงั นน้ั สมเดจ็ พระมหา สมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงใหย้ กเลกิ การสอบพระปรยิ ตั ธิ รรมแบบ รามญั ใน พ.ศ.๒๔๕๔ และใหพ้ ระภกิ ษุสามเณรรามญั หนั มาศึกษาเล่าเรียนตามแบบไทยโดยใชห้ ลกั สูตรเดียวกบั พระสงฆไ์ ทย ราชทนิ นามพระราชาคณะและพระครูฝ่ายรามญั ซง่ึ มมี าแต่โบราณ ๑. พระสุเมธาจารย(์ เดิมเป็น พระมหาสุเมธาจารย)์ เจา้ คณะใหญ่ฝ่ายรามญั ๒. พระคุณวงศ์ (เดมิ เป็น พระกลู วงษ)์ เจา้ คณะรองฝ่ายรามญั ๓. พระไตรสรณธชั ๔. พระอรยิ ธชั ๕. พระธรรมวสิ ารท ๖. พระอดุ มญาณ ๗. พระสุเมธมนุ ี (เดมิ เป็น พระสุเมธนอ้ ย) ๘. พระรามญั มนุ ี ๙. พระรามญั มหาเถร ๑๐. พระอดุ มวจิ ารณ์ ๑๑. พระครูอนิ ทมนุ ี ๑๒. พระครูวสิ ุทธวิ งศ์ ๑๓. พระครูอนิ ทเขมา ๑๔. พระครูรามญั สมณคุต ๑๕. พระครูสาครคุณาธาร ๑๖. พระครูรามาธบิ ดี ๑๗. พระครูรามญั ญาธิบดี
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๑๘. พระครูโวทานสมณคุต ๑๙. พระครูราชสงั วร ๒๐. พระครูสุนทรวลิ าส ๒๑. พระครูราชปริต ๒๒. พระครูสทิ ธเิ ตชะ ๒๓. พระครูวสิ ุทธศิ ีล ๒๔. พระครูธรรมลขิ ติ ๒๕. พระครูอดุ มวงศ์ ๒๖. พระครูวเิ ชยี รมนุ ี ๒๗. พระครูนิโรธมนุ ี ๒๘. พระครูธรรมวจิ ารณ์ ๒๙. พระครูอมราธบิ ดี ๓๐. พระครูปญั ญารตั น์ ๓๑. พระครูปิฎกธร ๓๒. พระครูอตุ โมรุวงศ์ หรอื พระครูอุตโมรุวงศธ์ าดา ๓๓. พระครูนนั ทมนุ ี ๓๔. พระครูวนิ ยั ธรรม ลงั กาเสยี เอกราชใหแ้ กอ่ งั กฤษ หลงั จากส้นิ รชั สมยั ของพระเจา้ กิตติราชสิงหะไปแลว้ ความอ่อนแอเร่ิมปรากฏใหเ้ ห็น มีการแย่งชิงกนั ใน ระหว่างพวกราชวงศก์ บั พวกขนุ นาง เผอญิ ฮอลนั ดาทาสงครามแพอ้ งั กฤษ องั กฤษไดเ้ขา้ มาครอบงาลงั กา พวกขนุ นาง ไปฝกั ใฝ่กบั องั กฤษแลว้ ใหถ้ อดพระเจา้ แผ่นดินออกเสียเป็นชกั นา้ เขา้ ลกึ ชกั ศึกเขา้ บา้ น ผลสุดทา้ ยเกาะลงั กาก็เป็น เมอื งอาณานิคมข้นึ อยูก่ บั องั กฤษ ดว้ ยเหตผุ ลเพยี งเพราะเกลยี ดชงั พระราชาเทา่ นน้ั เอง แต่อย่างไรกต็ าม องั กฤษนบั ไดว้ า่ เป็นชาตทิ ป่ี กครองอาณานิคมไดด้ กี ว่าพวกโปรตเุ กสและฮอลนั ดา องั กฤษ ไม่แตะตอ้ งเสรีภาพในการนบั ถือศาสนา และพยายามทนุบารุงพฒั นา ตลอดจนใหก้ ารศึกษาดว้ ย เราจะเหน็ ไดว้ ่า ประเทศไหนก็ตามท่ตี กอยู่ภายใตก้ ารปกครองขององั กฤษ องั กฤษจะช่วยการพฒั นาดา้ นการศึกษา ศาสนา และการ สอ่ื สารใหด้ ว้ ย ไมใ่ ช่จะกอบโกยเอาทรพั ยากรของประเทศนน้ั ๆ ไปอย่างเดียว ดูตวั อย่างประเทศทเ่ี ป็นอาณานิคมของ องั กฤษ เช่น สงิ คโปร์ มาเลเชีย และฮ่องกง เป็นตน้ ซง่ึ ต่างจากฝรงั่ เศส โปรตเุ กส และฮอลนั ดา ดูตวั อย่างฝรงั่ เศส ปกครองเวยี ดนาม กมั พชู า หรอื โปรตุเกสปกครองตมิ อรต์ ะวนั ออกท่กี าลงั มปี ญั หาอยู่ในปจั จบุ นั น้ี ประเทศเหล่าน้ีจะ สูบเลอื ดสูบเน้ือกอบโกยเอาทรพั ยากรของประเทศอาณานิคมไปเกอื บทงั้ หมด ประเทศศรลี งั กาเมอ่ื หมดยุคอานาจของโปรตุเกสและฮอลนั ดาแลว้ มาถงึ ยุคองั กฤษปกครองใหเ้สรภี าพใน การนบั ถอื ศาสนา ประชาชนชาวพทุ ธไม่ถูกกดขเ่ี หมอื นสมยั โปรตเุ กสและฮอลนั ดา ชาวพทุ ธจงึ เร่มิ ต่อสูก้ บั พวกคริส เตียนอย่างเปิดเผย มพี ระเถระท่ีมชี ่ือเสียงรูปหน่ึงของชาวลงั กาช่ือว่า “พระคุณานนั ทเถระ” ไดท้ า้ พวกคริสเตียน
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ โตว้ าทตี ิดต่อกนั ๓ วนั ในท่ามกลางชาวพทุ ธและชาวคริสเตียนจานวนมาก พระคุณานนั ทะไดห้ กั ลา้ งวาทะของพวก ชาวครสิ ตจ์ นปราชยั ไป ทาใหช้ าวพทุ ธมกี าลงั ใจในการต่อสูม้ ากย่งิ ข้นึ และในเวลาต่อมาคณะสงฆล์ งั กาไดต้ ง้ั วทิ ยาลยั ชน้ั สูงข้นึ ๒ แห่งคือ วทิ ยาลยั ลงั กาปิรเิ วน และวิทโยทยปิ ริเวน ทงั้ สองแห่งไดผ้ ลติ พระธรรมทูตออกมาต่อสูก้ บั พวก ครสิ ต์ ครนั้ ต่อมามนี กั รณรงคต์ ่อสูเ้พอ่ื ปกป้องพระพทุ ธศาสนาคนสาคญั ของศรีลงั กามชี ่อื ว่า \"ศรีเทวมิตธรรมปาละ\" ไดต้ ง้ั มหาโพธสิ มาคมข้นึ เพ่อื ฟ้ืนฟูขบวนการชาตินิยมของลงั กาข้นึ มา มกี ารตง้ั สถานท่เี ล้ยี งเด็กกาพรา้ อนาถา แต่ละ แห่งจะมพี ระสงฆอ์ งคห์ น่ึงหรอื สององคท์ กุ ๆ แห่งไป เหตผุ ลกค็ ือตอ้ งการใหพ้ ระสงฆค์ อยใหโ้ อวาทและอบรมสงั่ สอน เดก็ เหลา่ น้ีใหม้ คี วามประพฤตเิ รยี บรอ้ ย แต่ในสถานทท่ี ม่ี เี ดก็ หญิงอยู่ดว้ ยจะมแี มช่ เี ป็นผูค้ อยดูแลแทนพระภกิ ษุสงฆ์ ตงั้ สมาคมยุวพทุ ธกิ ะแหง่ สากลสงิ หลเป็นสมาคมทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากทส่ี ุด มสี มาชิกนบั แสนคนไดร้ ณรงคต์ ่อสู ้ สมาคมได้ ตงั้ โรงเรียนพทุ ธศาสนาวนั อาทิตยข์ ้นึ เป็นจานวนพนั ๆ แห่ง แมป้ ระเทศไทยก็ยงั ไดร้ ูปแบบโรงเรียนพุทธศาสนาวนั อาทติ ยม์ าจากประเทศศรลี งั กา ในสมยั ทส่ี มเดจ็ พระสงั ฆราช (จวน อุฏฐาย)ี พระองคเ์ สด็จไปดูงานพระพทุ ธศาสนาท่ี สมาคมมหาโพธ์ิของประเทศศรีลงั กา ท่สี ารนารถ เมอื งพาราณสี แลว้ ไดน้ าวธิ ีเหล่านน้ั มาดาเนินการท่ีวดั บวรนิเวศ วหิ าร กรุงเทพฯ ประเทศศรีลงั กายงั เป็นผูน้ าริเร่ิมตงั้ องคก์ ารพทุ ธศาสนิกสมั พนั ธแ์ ห่งโลกข้นึ โดยมกี ารจดั ประชุม เป็นครง้ั แรกท่กี รุงโคลมั โบ ครน้ั ต่อมากจ็ ดั ท่ญี ่ปี ่นุ พม่า ไทย เนปาล และเวยี ตนาม สาหรบั ประเทศไทยมสี านกั งาน ใหญ่องคก์ ารพทุ ธศาสนิกสมั พนั ธแ์ ห่งโลกตง้ั อยู่รมิ ถนนสุขมุ วทิ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๖ ทาในลงั กา เมอ่ื พ.ศ. ๙๕๖ พระพทุ ธโฆสะไดแ้ ปลและเรยี บเรยี งอรรถกถา คือคาอธิบาย พระไตรปิฎก จากภาษาลงั กาเป็นภาษาบาลี ในรชั สมยั ของพระเจา้ มหานาม เน่ืองจากการแปลอรรถกถาเป็นภาษาบาลี ครง้ั น้ี มใิ ช่การสงั คายนาพระไตรปิฎก ทางลงั กาเองจึงไมถ่ ือว่าเป็นการสงั คายนา ตามแบบแผนทน่ี ิยมกนั ว่าจะตอ้ งมี การชาระพระไตรปิฎก ๕.๖ สงั คายนาและนิกายในประเทศเมียนม่าร์ ไดก้ ล่าวแลว้ ว่า พมา่ ไมร่ บั รองสงั คายนาครง้ั แรกในลงั กา คงรบั รองเฉพาะสงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ ของลงั กาว่า เป็นครงั้ ท่ี ๔ ต่อจากนน้ั กน็ บั สงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ และท่ี ๖ ซง่ึ กระทาในประเทศพมา่ สงั คายนาครง้ั แรกในพม่า หรือท่ีพม่านับว่าเป็ นครง้ั ท่ี ๕ ต่อจากครง้ั จารึกลงในใบ ลานของลงั กา สงั คายนาครงั้ น้ี มกี ารจารกึ พระไตรปิฎกลงในแผน่ หนิ อ่อน ๔๒๙ แผ่น ณ เมอื งมนั ดเล ดว้ ยการอุปถมั ภข์ องพระเจา้ มนิ ดง ใน พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ. ๑๘๗๑) พระมหาเถระ ๓ รูป คือ พระชาคราภวิ งั สะ พระนรนิ ทาภธิ ชะ และพระสุมงั คลสามี ไดผ้ ลดั เปล่ยี นกนั เป็นประธานโดยลาดบั มพี ระสงฆแ์ ละพระอาจารยผ์ ูแ้ ตกฉานในพระปริยตั ิธรรมร่วม ประชมุ ๒,๔๐๐ ท่าน กระทาอยู่ ๕ เดอื นจงึ สาเรจ็ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ในพม่า หรอื ท่พี ม่านับว่าเป็นครง้ั ท่ี ๖ ท่เี รยี กว่าฉัฏฐสงั คายนา เร่มิ กระทาเมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ จนถงึ วนั ท่ี ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นอนั ปิดงาน ในการปิดงานไดก้ ระทาร่วมกบั การฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (การนบั ปีของพม่าเร็วกว่าไทย ๑ ปี จึงเท่ากบั เร่มิ พ.ศ. ๒๔๙๘ ปิด พ.ศ. ๒๕๐๐ ตามท่พี ม่านบั ) พม่าทาสงั คายนาครง้ั น้ี ม่งุ พิมพพ์ ระไตรปิฎกเป็นขอ้ แรก แลว้ จะจดั พิมพอ์ รรถกถา (คาอธิบาย
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ พระไตรปิฎก) และคาแปลเป็นภาษาพมา่ โดยลาดบั มกี ารโฆษณาและเชิญชวนพทุ ธศาสนิกชนหลายประเทศไปร่วม พธิ ีดว้ ย โดยเฉพาะประเทศเถรวาท คือ พม่า ลงั กา ไทย ลาว เขมร ทง้ั หา้ ประเทศน้ี ถือว่าสาคญั สาหรบั การ สงั คายนาครง้ั น้ีมาก เพราะใชพ้ ระไตรปิฎกภาษาบาลอี ย่างเดยี วกนั จงึ ไดม้ สี มยั ประชมุ ซง่ึ ประมขุ หรอื ผูแ้ ทนประมขุ ของทงั้ หา้ ประเทศน้ีเป็นหวั หนา้ เป็นสมยั ของไทยสมยั ของลงั กา เป็นตน้ ไดม้ กี ารก่อสรา้ งคูหาจาลอง ทาดว้ ย คอนกรตี จคุ นไดห้ ลายพนั คน มที น่ี งั่ สาหรบั พระสงฆไ์ มน่ อ้ ยกว่า ๒,๕๐๐ ท่ี บรเิ วณท่กี ่อสรา้ งประมาณ ๒๐๐ ไร่เศษ เมอ่ื เสรจ็ แลว้ ไดแ้ จกจ่ายพระไตรปิฎกฉบบั อกั ษรพม่าไปในประเทศต่างๆ รวมทง้ั ประเทศไทยดว้ ย ในบางคมั ภีร์ กล่าวว่าการสงั คายนา ครง้ั ท่ี ๕ และ ครง้ั ท่ี ๖ ทาในประเทศพม่า ในครงั้ ท่ี ๕ (ปญั จม สงั คายนา) มกี ารจารกึ ลงในแผ่นหนิ อ่อน ๗๒๙ แผ่น ณ เมอื งมณั ฑะเลย์ (Mandalay, Myanmar) โดยการอปุ ภมั ภ์ ของพระเจา้ มนิ ดง (พ.ศ. ๒๔๑๔) หลงั จากนนั้ ใน พ.ศ. ๒๔๙๗-๒๔๙๙ ไดท้ าสงั คายนาครงั้ ท่ี ๖ (ฉฏั ฐสงั คายนา) โดยมงุ่ การจดั พมิ พพ์ ระไตรปิฎกเป็นสาคญั ๑๑๔ นอกจากน้ีในปจั จุบนั ประเทศพม่ายงั ไดม้ กี ารทา ‚MOU‛ คือความร่วมมอื ทางวชิ าการ (Memorandum of Understanding : MOU.) อนั เป็นความร่วมมอื ระหว่างประเทศ คือเมยี นมา่ ร์ ศรลี งั กา ไทย ลาว และกมั พูชา ใน การจดั พมิ พพ์ ระไตรปิฎกและอรรถกถา ฉบบั ภาษาพมา่ แลว้ แจกจ่ายไปยงั ประเทศต่างๆ รวมประเทศไทยดว้ ย๑๑๕ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๗ ทาในลงั กา เมอ่ื พ.ศ. ๑๕๘๗ พระกสั สปเถระไดเ้ป็นประธาน มพี ระเถระร่วมดว้ ยกว่า ๑,๐๐๐ รูป ไดร้ จนาคาอธบิ ายอรรถกถาพระไตรปิฎก เป็นภาษาบาลี กลา่ วคือแต่งตาราอธิบายคมั ภรี อ์ รรถกถาซ่งึ พระ พทุ ธโฆสาจารย์ ไดท้ าเป็นภาษาบาลไี วใ้ นการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๖ คาอธิบายอรรถกถาน้ีว่าตามสานวนนกั ศึกษาก็คือ คมั ภรี ฎ์ กี า ตวั พระไตรปิฎก เรยี กวา่ บาลี คาอธบิ ายพระไตรปิฎก เรยี กวา่ อรรถกถา คาอธิบายอรรถกถา เรียกว่าฎกี า การทาสงั คายนาครง้ั น้ี เน่ืองจากมใิ ช่สงั คายนาพระไตรปิฎก แมท้ างลงั กาเองกไ็ มร่ บั รองว่าเป็นสงั คายนา อย่างไรก็ตาม ขอ้ ความท่ีกล่าวไดใ้ นหนงั สือสงั คีติยวงศ์ ก็นบั ว่าไดป้ ระโยชน์ในการรูค้ วามเป็นมาแห่ง พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎกี า อยา่ งดยี ง่ิ พระพทุ ธศาสนาเขา้ มาสู่ประเทศพมา่ ในยุคใดนนั้ ประวตั ิศาสตรย์ งั เลอื นลางอยู่ แต่เช่ือกนั ว่า พทุ ธศาสนา เขา้ มาสู่ประเทศพม่า เม่อื คราวท่ีพระเจา้ อโศกมหาราช แห่งอินเดีย ไดอ้ ุปถมั ภก์ ารสงั คยานา ครงั้ ท่ี ๓ เม่อื พ.ศ. ๒๓๖ ไดม้ กี ารสง่ พระสมณทตู ไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในแถบประเทศต่าง ๆ รวม ๙ สายดว้ ยกนั พม่ากอ็ ยู่ในส่วน ของสุวรรณภูมิดว้ ย และชาวพม่ายงั เช่ือว่า สุวรรณภูมิ มีศูนยก์ ลางอยู่ท่ี เมอื งสะเทิม ทางตอนใตข้ องพม่า จาก ประวตั ศิ าสตร์ ไดท้ ราบว่า พระพทุ ธศาสนาไดเ้จรญิ รุ่งเรืองในพมา่ ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๖ เพราะไดพ้ บหลกั ฐานเป็น คาจารกึ ภาษาบาลี นกั ประวตั ศิ าสตรท์ ่านหน่ึง ช่อื ว่าตารนาถ เหน็ ว่า พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทไดเ้ขา้ มาสู่เมอื งพม่า ตง้ั แต่สมยั พระเจา้ อโศกมหาราช ต่อมาไดม้ ีพระสงฆ์ฝ่ ายมหายานซ่ึงเป็นศิษย์ของพระวสุพนั ธุ ไดน้ าเอา พระพทุ ธศาสนาแบบมหายานลทั ธิตนั ตระ เขา้ ไปเผยแผ่ ในครงั้ นน้ั พมา่ มเี มอื งพกุ ามเป็นเมอื งหลวง มชี ่อื เรยี กชาว พม่าว่า \"มรมั มะ\" ส่วนพวกมอญ หรือ ตะเลง ซ่งึ มเี มืองหลวงช่ือ \"สะเทมิ \" (สุธรรมวดี) และถ่ินใกลเ้ คียงรวมๆ ๑๑๔ มหาวทิ ยาลยั , มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎก : ประวตั ิและความสาคญั , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๓๓), หนา้ ๗๔. ๑๑๕ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑-๑๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง เรยี กว่า รามญั ประกาศ จนพระพทุ ธศาสนาทงั้ แบบมหายาน และแบบเถรวาทเจรญิ รุ่งเรืองในพม่า เป็นเวลาหลายรอ้ ย ปี ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในประเทศพม่าเป็นอย่างมาก ทงั้ แบบเถรวาท และ มหายาน ก่อนหนา้ ทพ่ี มา่ จะมานบั ถอื ศาสนาพทุ ธ พม่าก็นบั ถอื ผี สาง นางไม้ เหมอื นชนชาตอิ ่ืนๆ ในแหลมอินโดจีน ลงจนถงึ อนิ โดนีเซยี ซง่ึ ชาวพมา่ นบั ถอื ผี สาง นางไม้ บูชากราบไหวว้ ญิ ญาณ หรือภตู ิผี ปีศาจ ซง่ึ เรยี กกนั ว่า นัต นตั น้ี เป็นทงั้ พระภมู เิ จา้ ท่ี เทพยดาธรรมชาติ ผดี นิ ผฝี น ผลี ม ตลอดจนเจา้ เขา เจา้ ป่า เจา้ แมน่ า้ เจา้ ตน้ ไม้ รวมทงั้ เจา้ ประจา หม่บู า้ น เจา้ ประจาเรือน จากสงครามในครงั้ นน้ั สามารถรวมเอาเมอื งสะเทมิ ของพวกมอญ กบั เมอื งพกุ ามของพม่า รวมเป็นอาณาจกั รเดยี วกนั ได้ พวกมรมั มะหรอื พม่า เป็นผูช้ นะไดร้ บั เอาวฒั นธรรมของพวกมอญมาเป็นของตนเกอื บ ทง้ั หมด ตั้งแต่ตัวอกั ษร ภาควรรณคดี และศาสนา เป็ นตน้ ต้งั แต่บดั นั้นมาพม่าจึงไดเ้ ปล่ียนการนับถือ พระพทุ ธศาสนามหายาน มาเป็นแบบเถรวาท แต่ก็ยงั หลงเหลอื อทิ ธพิ ลของความเช่อื ฝ่ายมหายานอยู่บา้ งไมน่ อ้ ย พระ เงา้ อนุรุทธทรงแลกเปลย่ี นศาสนทูตกบั ลงั กา ทรงนาเอาพระไตรปิฎกฉบบั สมบูรณม์ าจากลงั การ ๓ จบ และนามาชาระ สอบทานกบั ฉบบั ท่ไี ดจ้ ากเมอื งสะเทิม ทรงอุปถมั ภศ์ ีลกรรมต่างๆ การบาเพญ็ พระราชกรณียกิจของพระองค์ ทาให้ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของชนชาติพม่าทวั่ ทงั้ ประเทศ กษตั ริยพ์ ระองคต์ ่อๆ มา ก็ไดเ้จริญรอยพระปฏปิ ทาในการ ทานุบารุงพระศาสนาเช่นเดยี วกบั พระองค์ ส่วนศาสนาพราหมณ์ หรอื ฮินดูก็เส่ือมไปหมด และในระหว่างสมยั ทพ่ี กุ าม รุ่งเรืองน้ี พระภกิ ษุจานวนมาก ไดเ้ ดินทางไปศึกษาในลงั กาทวปี บางท่านไปศึกษาแลว้ รบั อุปสมบทใหม่ กลบั มาตงั้ คณะสงฆเ์ ถรวาทคณะใหม่ๆ สายลงั กา แยกออกไปก็มี เช่น พระจปฏะ ใน พ.ศ. ๑๗๒๕ ซ่งึ ทาใหม้ กี ารแข่งขนั กนั ระหว่างสงฆต์ ่างคณะ มาเป็นเวลาประมาณ ๓ ศตวรรษพระเจา้ อโนรธามงั ช่อ ครองราชสมบตั ิได้ ๓๓ ปี เจา้ เสด็จ สวรรคต เพราะถกู กระบอื เผอื กขวดิ เมอ่ื พ.ศ. ๑๖๒๐ พระโอรสพระนามว่า จอลู ข้นึ ครองราชยแ์ ทน ไดเ้พยี ง ๒ ปี ก็ ถูกปรงพระชนมจ์ ากการกบฏ แม่ทพั กนั ชิตข้นึ ครองราชยแ์ ทน พระเจา้ กนั ชิต ไดแ้ ผ่อาณาเขตลงมาถึงตะนาวศรี ใน สมยั นนั้ ชาวพทุ ธอนิ เดียไดอ้ พยพล้ภี ยั จากพวกมสุ ลมิ และไดน้ าแบบแผนพทุ ธเจดยี จ์ านวนมากเขา้ มาดว้ ย พระเจา้ กนั ชิต จึงไดโ้ ปรดใหส้ รา้ งพระธาตุชะเวดากอง ซ่งึ พระเจา้ อโนรธามงั ช่อ สรา้ งคา้ งไวจ้ นเสร็จสมบูรณ์ พ.ศ. ๑๖๓๔ ทรง โปรดใหส้ รา้ งอานนั ทเจดียข์ ้นึ จดั เป็นปูชนียสถานท่สี วยงามแหงหน่ึงในพม่า นอกจากนน้ั พระองคย์ งั ไดส้ ่งคณะทูตไป ปฏสิ งั ขรณพ์ ทุ ธวหิ ารทอ่ี นิ เดยี นบั เป็นครงั้ แรกทก่ี ษตั ริยพ์ มา่ จดั การปฏสิ งั ขรณ์วหิ ารพทุ ธคยาน้ี พระเจา้ กนั ชติ สวรรคต เม่ือปี พ.ศ. ๑๖๕๕ ในสมยั ของพระเจา้ นรปฏิสิทธุ (ครองราชยเ์ ม่ือ พ.ศ. ๑๗๑๖) ไดส้ ่งสมณทูตไปฟ้ื นฟู พระพทุ ธศาสนาในลงั กา เมอ่ื พ.ศ. ๑๗๓๓ โดยมพี ระอตุ ราชีวะเป็นประธาน ครง้ั นนั้ ไดม้ เี ด็กชาวมอญคนหน่ึงช่อื ฉะ บฏั บวชเป็นสามเณรตดิ ตามไปยงั ลงั กา ไดศ้ ึกษาเลา่ เรยี นอยู่ในลงั กา และไดอ้ ุปสมบทในลทั ธลิ งั กาวงศ์ ต่อมาภายหลงั ไดเ้ดนิ ทางกลบั พมา่ พรอ้ มกบั พระภกิ ษุอกี ๔ รูป คือ พระสวิ ลี พระราหุล พระตามวนิ ทะ และพระอานนท์ ไดต้ งั้ นิกาย ใหมใ่ นพมา่ คอื นิกายสงิ หล (ลทั ธสิ าวกยานแบบลงั กาวงศ)์ การเกิดข้นึ ของนิกายสงิ หล (ลงั กาวงศ)์ ในประเทศพม่า โดยพระภิกษุคุปตะ ผูไ้ ดร้ บั การอุปสมบทจากลงั กา แลว้ มาเผยแผ่ในพมา่ ก่อใหเ้กดิ ความขดั แยง้ กลา่ วคอื พระภกิ ษุนิกายสงิ หลไม่ยอมรบั ว่า พระพม่าไดร้ บั การอปุ สมบท อย่างถูกตอ้ ง จึงเกิดการขดั แยง้ กนั ระหว่างพระนิกายสงิ หล กบั พระนิกายมะระแหม่งของพม่า เป็นเวลานานถึง ๓ ศตวรรษและในท่สี ุด พระสงฆน์ ิกายสงิ หลกเ็ ป็นฝ่ายชนะ พ.ศ. ๑๗๕๓ พระเจา้ ชยั สงั ขข์ ้นึ ครองราช ทรงใหช้ ่างไปถ่าย
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ แบบปรางค์ พทุ ธคยาจากอนิ เดีย กลบั มาสรา้ งวหิ ารมหาโพธิท่เี มอื งพกุ ามข้นึ พมา่ ยงั ไดน้ าเอาแบบปรางคพ์ ทุ ธคยามา สรา้ งท่เี มอื งเชยี งใหม่ ณ ทว่ี ดั มหาโพธาราม (วดั เจด็ ยอด) พ.ศ. ๑๘๓๑ อาณาจกั รพกุ ามไดล้ ม่ สลายล เพราะถูกพวก กบุ ไลขา่ น ยกทพั มาตจี นี ก่อน และตพี กุ ามจนแตก จนพระเจา้ นรสหี ปติ เสรจ็ หนี ท้งิ เมอื งพกุ ามไป กองทพั มองไกล ตี พกุ ามไดแ้ ลว้ ก็ยกทพั กลบั ไป ทางดา้ นพระศาสนาก็ยงั คงรุ่งเรืองสบื มา อาณาจกั รพุกามเป็นเมอื งหลวงของพม่าอยู่ ๒๔๐ ปี กเ็ สอ่ื มลงเมอ่ื พ.ศ. ๑๘๒๐ ต่อมามเี ช้อื พระวงศพ์ กุ ามองคห์ น่ึง ไดส้ ถาปนากรุงรตั นบุรองั วะข้นึ เป็นราชธานี เมอ่ื อทิ ธพิ ลของพกุ ามเส่อื มลง พวกไทยใหญ่ไดร้ วมพวกกนั รุกรานพม่าตอนเหนือ และไดส้ รา้ งเมอื งใหญ่เมอื งนอ้ ยอยู่ กระจายทวั่ ไป ในขณะนนั้ ก็ไดม้ กี ารสรา้ งอาณาจกั รลา้ นนา และอาณาจกั รสุโขทยั ดว้ ย ทางดา้ นเมอื งมอญ ในรชั สมยั ของพระเจา้ ธรรมเจดยี ศ์ รปี ิฎกธร ทรงครองราชสมบตั เิ มอ่ื พ.ศ. ๒๐๐๓ ในขณะนน้ั พระสงฆใ์ นเมอื งมอญไดแ้ ตกแยก เป็น ๖ คณะใหญ่ มคี วามหย่อนยานทางขอ้ ปฏบิ ตั ิ และขาดความเป็นเอกภาพในคณะสงฆ์ จงึ ทรงฟ้ืนฟูใหมด่ ว้ ยการให้ คณาจารยจ์ าก ๖ สานกั ใหญ่มาประชุมกนั ขอรอ้ งใหไ้ ปอุปสมบทใหม่ในลงั กา เพ่ือใหเ้ กิดความเสมอภาพและเป็น ปึกแผ่นของคณะสงฆ์ คณะสงฆจ์ าก ๖ สานกั ก็เห็นชอบดว้ ย จึงไดเ้ ดินทางไปลงั กาเพ่ืออุปสมบทใหม่ โดยมีพระ คณาจารย์ ๒๒ รูป พระอนุจรอีก ๒๒ รูป รวมเป็น ๔๔ รูป เดินทางไปลงั กา กษตั ริยล์ งั กาทรงอุปถมั ภด์ ว้ ยดี ทรง นิมนตพ์ ระมหาเถระชาวลงั กา ๓ รูป คือพระธรรมกิตติ พระวนั รตั และพระมงั คละ และสงฆอ์ ีก ๒๕ รูป ทาการ อุปสมบทแก่สงฆม์ อญใหม่ เมอ่ื กลบั มาสู่เมอื งหงสาวดีแลว้ พระเจา้ ธรรมเจดียก์ ไ็ ดป้ ระกาศราชโองการใหพ้ ระสงฆท์ วั่ แผ่นดนิ สกึ กนั หมด แลว้ บวชใหม่ กบั คณะสงฆท์ ่บี วชจากลงั กา โดยเรียกคณะใหมว่ ่าคณะกลั ยาณี ในครง้ั นน้ั ไดม้ พี ระ บวชในคณะกลั ยาณีถงึ ๑๕,๖๖๖ รูป คณะสงฆเ์ มอื งหงสาวดีก็กลบั มาเป็นปึกแผ่นอกี ครง้ั แต่ก็เพยี งชวั่ พระชนมายุของ พระเจา้ ธรรมเจดยี เ์ ท่านน้ั เมอ่ื หลงั การสวรรคตของระเจา้ ธรรมเจดียแ์ ลว้ กเ็ กดิ การแตกแยกกนั อีก ในรชั สมยั ของพระเจา้ เมงกะยนิ โย ครองเมอื งตองอู ขณะนนั้ พระพม่าแบ่งออกเป็น๓ เมอื งใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ องั วะ ของไทยใหญ่ เมอื งแปรของมอญ และตองอู ของพมา่ ทงั้ ๓ เมอื งมงุ่ แต่จะทาสงครามกนั ไมม่ เี วลาสนใจทานุ บารุงพระพทุ ธศาสนาเลย ในสมยั พระเจา้ บเุ รงนองไดม้ กี ารฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนา และหา้ มฆ่าสตั วใ์ หญ่ เมอ่ื มคี นตาย พระเจา้ บเุ รงนองเรอื งอานาจมากจนช่อื ว่าผูช้ นะสิบทศิ มปี ระเทศราชทวั่ สุวรรณภูมิ คือ องั วะ แปร เชียงใหม่ อยุธยา ยะใข่ ลา้ นชา้ ง และหวั เมอื งไทยใหญ่ทงั้ ปวง ทรงครองราชอยู่ได้ ๓๐ ปี สวรรคตเมอ่ื พ.ศ. ๒๑๒๔ เม่ือพระเจา้ บุเรงนองสวรรคตแลว้ พระโอรสข้นึ เสวยราชแทน แต่ไม่มีอานาจเหมือนพระเจา้ บุเรงนอง เมอื งข้นึ ต่างๆ ไดป้ ระกาศตวั เป็นอสิ รภาพ รวมทงั้ ไทยดว้ ย พม่าตอ้ งทาศึกกบั ไทย ๔ ครงั้ ใหญ่ๆ ไทยเป็นผูช้ นะทุก ครงั้ พวกมอญไดร้ วบรวมพรรคพวก โดยไดเ้ ชิญพระภิกษุชาวกะเหร่ียงรูปหน่ึง ช่ือว่า พระสะล่า เป็นผูม้ ีความ เช่ยี วชาญทางเวทยม์ นตค์ าถา เชญิ ใหส้ กึ ออกมา คิดแผนการณไ์ ลพ่ มา่ ออกจากเมอื งไดส้ าเรจ็ และไดท้ าพธิ ีราชาภเิ ษก เป็นกษตั รยิ ผ์ ูค้ รองนครหงสาวดี เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๘๓ มพี ระนามว่า พระเจา้ สทงิ ทอพทุ ธเกติ ไดแ้ ผ่อิทธิพลตเี มอื งตอง อู และเมอื งแปรไดส้ าเรจ็ นบั วา่ เป็นยุคทม่ี อญเรอื งอานาจ ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ชนชาติโปรตุเกสไดเ้ ขา้ มาติดต่อกบั ประเทศพม่า มีโปรตุเกสคนหน่ึงไดม้ า แต่งงานกบั พระธิดาของเจา้ เมอื งเมาะตะมะ และไดช้ ่วยพระเจา้ ยะไข่ปราบกบฏ จนมคี วามดคี วามชอบไดร้ บั แต่งตง้ั เป็นเจา้ เมอื งสเี รยี ม จงึ ถอื โอกาสเผยแผ่ลทั ธิโรมนั คาทอลคิ ดว้ ยการเบยี ดเบยี นพทุ ธศาสนา เช่นรบิ ทรพั ยส์ มบตั ิของ วดั เทย่ี วย้อื แยง่ เจดยี ส์ ถาน หา้ มประชาชนใส่บาตรทาบุญ จนพระสงฆต์ อ้ งล้ภี ยั ไปกรุงองั วะ เพอ่ื รอ้ งทกุ ขก์ บั กษตั รยิ ์
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๑๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พม่า ในท่สี ุดพมา่ กบั มอญไดร้ ่วมมอื กนั กาจดั พวกโปรตุเกสทเ่ี บยี ดเบยี นพระพทุ ธศาสนา โดยจบั ขงึ ไมก้ างเขนตาย หลายคน พวกมอญไดย้ ดึ ครองพมา่ เพยี ง ๗ ปีเท่านนั้ ก็ไดส้ ้นิ อานาจลงจากการทาสงครามกบั อลองพญา ซง่ึ ประกาศ แต่งตงั้ ราชธานีข้นึ เอง ช่อื ว่ากรุงรตั นสงิ ห์ ไดม้ าตกี รุงหงสาวดี เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๙๙ ในท่สี ุดกรุงหงสาวดกี ็แตกเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๐๐ มอญจงึ ไดส้ ูญส้นิ อานาจ พมา่ กลบั มอี านาจอีกครงั้ และพม่าหลงั จากไดป้ ราบมอญไดแ้ ลว้ จึงไดย้ กทพั มาตี ไทย ตคี รงั้ แรก พ.ศ. ๒๓๐๓ นาโดยอลองพญา แต่ไม่สาเร็จ โดย อลองพญาไดส้ วรรคต เพราะปืนใหญ่แตก แต่ก็ สามารถตีกรุงศรีอยุธยาไดส้ าเร็จเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาจึงถูกพม่าเผาผลาญเสยี วอดวาย ไดม้ เี หตกุ ารณ์ สาคญั ทางพทุ ธศาสนาทเ่ี กดิ ข้นึ ในพมา่ คอื การสงั คายนาพระไตรปิฎก ครง้ั ท่ี ๕ (ของฝ่ายเถรวาท) ณ เมอื งมณั ฑะเล เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๔ ไดม้ กี ารจารกึ พระไตรปิฎกลงในหนิ อ่อน ๗๒๙ แผ่น โดยการอุปถมั ภข์ องพระเจา้ มนิ ดง และไดร้ บั การสนบั สนุนจากคณะสงฆท์ ง้ั ของศรีลงั กา ไทย กมั พชู า และลาว องั กฤษไดเ้ขา้ มาแสวงอาณานิคม และมอี านาจใน พมา่ เรม่ิ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๓๖๘ กษตั รยิ อ์ งคส์ ุดทา้ ยของพมา่ คอื พระเจา้ ธบี อ แห่งราชวงศอ์ ลองพญา ไดส้ ้นิ ลง เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๙เมอ่ื คราวพมา่ ทาสงครามกบั องั กฤษ ครงั้ ท่ี ๓ องั กฤษเอาชนะพม่าโดยปราศจากสญั ญา ใดๆ พระราชา คือ พระเจา้ ธีบอ และพระมเหสี ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองรตั นคีรีในประเทศอินเดีย พระเจา้ ธีบอ ส้นิ พระชนมเ์ ม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๘ ส่วนพระนางศุภยะลตั กลบั มาสวรรคตท่ีเมอื งย่างกุง้ เม่อื พ.ศ. ๒๔๖๘ ในช่วงท่ี องั กฤษปกครองพม่านนั้ ประชาชนไมพ่ อใจ และต่อตา้ นองั กฤษหลายเร่อื ง เช่น การประกาศยุบประเทศพมา่ ใหเ้ป็น มณฑลอนั หน่ึงของอินเดีย จึงมีการก่อกบฏข้นึ แต่ก็ถูกองั กฤษปราบปราม ประชาชนก็ยงั ต่อตา้ นองั กฤษในทาง ศาสนาและวิถกี ารเมอื ง ไดม้ กี ารก่อตง้ั สมาคมศาสนธรข้นึ เพ่อื รกั ษาพระพทุ ธศาสนา จากการม่งุ ทาลายจากศาสนา คริสต์ และมสี มาคมยุวพุทธิกะซ่งึ มเี ยาวชนจานวนมากเป็นสมาชิก มอี ิทธิพลตามมหาวิทยาลยั และโรงเรียนต่างๆ โดยการร่วมมอื ระหว่างพระกบั ฆราวาส พระภกิ ษุสงฆไ์ ดแ้ สดงธรรมต่อตา้ นองั กฤษ และเดินขบวนอย่างเปิดเผย บาง รูปถูกจบั ไปขงั คุกก็มี ในขณะท่ีองั กฤษปกครองอยู่นนั้ คณะสงฆแ์ ตกแยกกนั เป็นพวกเป็นกลุ่มต่างๆ บางกลุ่ม ปฏบิ ตั ิหย่อนยานมาก คลา้ ยฆราวาสก็มี ตาแหน่งสงั ฆราชก็ว่างลง ประชาชนจึงรวมตวั กนั ขอรอ้ งใหร้ ฐั บาลองั กฤษ แต่งตง้ั พระสงั ฆราชในนามเจา้ กรุงองั กฤษ จึงไดเ้ กิดพระสงั ฆราชข้นึ ใหม่ แต่ก็ไม่มอี านาจสทิ ธ์ิขาดในการปกครอง คณะสงฆเ์ ลย เมอ่ื วนั ท่ี ๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๒ พม่าไดร้ บั อิสรภาพจากองั กฤษ ไดส้ ถาปนาเป็นสหภาพพม่า เม่อื ไดร้ บั เอกราชแลว้ รฐั บาลไดส้ ถาปนาคณะมนตรีพระพทุ ธศาสนาข้นึ ทนั ที ซ่งึ ไดข้ ยายศูนยก์ ารศึกษาพระพทุ ธศาสนาไปยงั แหลง่ ต่างๆ เพอ่ื เตรยี มงานฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ ซง่ึ ตรงกบั วนั วสิ าขบูชา พ.ศ. ๒๔๙๙ ไดม้ กี ารสงั คายนาครงั้ ท่ี ๖ ข้นึ ท่กี รุงย่างกงุ้ เร่ิมตน้ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๗ โดยมพี ระสงฆท์ รงความรูจ้ ากประเทศต่างๆ รวมทง้ั ศรี ลงั กา ไทย กมั พูชา ลาว อินเดีย และปากีสถาน พระไตรปิฎกฉบบั ภาษาบาลีฉบบั ท่ีเป็นหลกั ฐานเช่ือถือได้ ถูก รวบรวมแลว้ เสรจ็ บรบิ ูรณท์ นั งานฉลองพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ พอจะสรุปเหตุการท่สี าคญั ๆ อนั เก่ียวกบั พระพุทธศาสนาในประเทศพม่าตง้ั แต่ตน้ จนถงึ รชั สมยั พระเจา้ ธรรมเจดยี น์ นั้ แบง่ เป็นยุคๆ ได้ ๕ ยุค ดงั น้ี
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ยุคแรก คือในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ หรืออาจก่อนหนา้ นน้ั หลายรอ้ ยปีก็ได้ เป็นท่ีรูจ้ กั กนั ดีในพม่าใต้ จารกึ ต่างๆ ทค่ี น้ พบ เขยี นเป็นภาษาบาลดี ว้ ยอกั ษรแบบอนิ เดยี ตอนใต้ ยุคท่ี ๒ เป็นสมยั ท่พี ระเจา้ อโนรธามงั ช่อ (พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐) ไดช้ าระพระพุทธศาสนาในพม่าเหนือให้ บรสิ ุทธ์ิ โดยอาศยั คมั ภรี ต์ ่างๆ ทไ่ี ดจ้ ากเมอื งมอญเป็นหลกั โดยเอาไปเทยี บกบั คมั ภรี ท์ ไ่ี ดม้ าจากลงั กา ยุคท่ี ๓ (ประมาณ พ.ศ. ๑๗๔๓) ท่านอตุ ตราชวี ะกบั ท่านฉปทั ผูเ้ป็นศิษย์ ซง่ึ การศึกษาท่ปี ระเทศลงั กา โดย ท่านฉปทั ไดร้ บั การอุปสมบทท่นี ัน่ ไม่ยอมรบั พระมอญว่าเป็นพระท่สี มบูรณ์ จึงก่อใหเ้ กิดเป็น ๒ นิกายข้นึ ในพม่า เหนือนนั่ ก่อน แลว้ ต่อมากข็ ยายตวั จนมาถงึ พม่าใต้ ยุคท่ี ๔ (ประมาณ พ.ศ. ๑๗๙๓) ลทั ธิลงั กาวงศ์ โดยการนาของพระสารีบุตรและคณะ ไดเ้ ร่ิมมอี านาจมา จนถงึ พมา่ ใตแ้ ละพวกรามญั นิกายกเ็ ร่มิ เสอ่ื มลง ยุคท่ี ๕ (ประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๓) พระเจา้ ธรรมเจดียแ์ ห่งกรุงหงสาวดี ไดท้ รงประกาศว่า พระองคไ์ ดท้ รง ชาระพระพทุ ธศาสนาใหบ้ ริสุทธ์ผิ ดุ ผ่องแลว้ ตามแบบของคณะมหาวหิ ารในลงั กา ซง่ึ เป็นนิกายเดยี วทเ่ี ก่าแก่ท่สี ุด ตามตานานพุทธศาสนามาถึงชายฝงั่ พม่าตง้ั แต่ครง้ั พทุ ธกาล เมอ่ื พ่อคา้ ชาวมอญสองคนนาพระเกศาของ พระพทุ ธเจา้ มาประดษิ ฐานในวดั เลก็ ๆ แห่งหน่ึง ซง่ึ ต่อมากลายเป็นเจดียช์ เวดากอง (Shwedagon) ทม่ี ชี ่อื เสยี ง สมยั พระจกั รพรรดิอโศกมหาราชแห่งอินเดีย (ประมาณ ๓๑๐ ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช - ค.ศ.) พระธรรมทูตไดเ้ ดินทางเผย แผ่พทุ ธศาสนามายงั ดินแดนมอญแห่งสุวรรณภมู ิ ตราบกระทงั่ ถงึ ยุคอาณาจกั รพกุ าม (Pagan) เรืองอานาจเท่านน้ั (ประมาณครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๑) ท่พี ทุ ธศาสนาเถรวาทไดห้ ยงั่ รากลกึ ลงสู่วฒั นธรรมพมา่ และกลายเป็นศาสนาแห่งรฐั ของพมา่ นบั แต่นนั้ การแตกนิกายของคณะสงฆพ์ ม่า การแตกนิกาย (gaing) ของพุทธศาสนาในพม่านน้ั มคี วามเก่าแก่เท่าๆ กบั ประวตั ิศาสตรค์ ณะสงฆแ์ ห่ง พม่าเลยทีเดียว พระเจา้ อนุวตั ร (Anawrahta) แห่งอาณาจกั รพกุ ามไดร้ วบรวมคณะสงฆใ์ หเ้ ป็นปึกแผ่นภายใต้ แนวทางของสานกั “ชนิ อรหนั ” (Shin Arahan) ทาใหพ้ ุทธศาสนาของพม่าเกดิ เอกภาพข้นึ ประมาณหน่ึงศตวรรษ ต่อมาในสมยั พระเจา้ อุษนา (Uzana) คณะสงฆไ์ ดแ้ ยกออกเป็นสองฝ่ายคือ อรญั วาสี (พระป่ า) กบั คามวาสี (พระ บา้ น) คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๕ พระบา้ นไดร้ บั การอุปถมั ภจ์ ากราชสานกั อินวา (Inwa) ในตอนบนของพม่า ส่วน ตอนล่างของพม่านน้ั พระเจา้ ธรรมเจดีย์ (Dhammaceti) แห่งเมอื งบาโก (Bago) ไดร้ วบรวมคณะสงฆใ์ หเ้ ป็น ปึกแผ่น โดยการใหพ้ ระสงฆอ์ ุปสมบทใหม่ทง้ั หมดภายใตพ้ ุทธศาสนานิกายมหาวหิ าร (Mahavihara) จากศรลี งั กา (ประมาณ ค.ศ. ๑๔๘๐) ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๖ และ ๑๗ พระสงฆพ์ ม่าโดยรวมเกดิ ความย่อหย่อนในพระธรรมวนิ ยั ราชวงศโ์ คน บวง (Konbaung) จงึ ไดเ้ขา้ มาตรวจสอบคณะสงฆ์ จนเกดิ เป็นเอกภาพข้นึ มาอกี ประมาณ 7 ทศวรรษ คณะสงฆพ์ มา่ เกดิ แตกแยกออกเป็นนิกายต่างๆ อกี ครงั้ หน่ึง เมอ่ื อูจาการา (U Jagara) เจา้ สานกั พระป่าชเว กงิ (Shwegyin) ผูเ้คร่งครดั ในพระวนิ ยั ไดร้ บั นิมนตจ์ ากพระเจา้ มนิ ดง (Mindon) ใหเ้ขา้ ไปพานกั ในเมอื งมณั ฑเลย์ (Mandalay) อนั เป็นเมอื งหลวงในปี ค.ศ. ๑๘๖๐ โดยพระเจา้ มนิ ดงทรงใหค้ ามนั่ ว่า คณะสงฆข์ องท่านจะไดอ้ ยู่อย่าง
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เป็นเอกเทศโดยไม่ตอ้ งปะปนกบั พระสงฆอ์ ่นื ๆ ทาใหเ้กดิ เป็น “นิกายชเวกิง” (Shwegyin Gaing) ข้นึ ในเวลาต่อมา ขณะเดยี วกนั พระสงฆท์ ่เี หลอื ทง้ั หมด ซ่งึ เป็นพระสงฆส์ ่วนใหญ่ของประเทศ และอยู่ภายใตก้ ารปกครองของสมเด็จ พระสงั ฆราช (Thathanabaing) กไ็ ดก้ ลายเป็น “นิกายธุธรรมะ” (Thudhamma Gaing) นบั แต่นน้ั พระพทุ ธศาสนาในพม่าไดแ้ ตกแยกออกเป็นนิกายย่อยอ่นื ๆ อกี มากมาย เช่น ธรรมานุธรรมะ มหาดวายะ (Dhammanudhamma Mahadwaya), ไวลูวุน (Weiluwun), ธรรมวินัยนุโลม มูลาดวายะ (Dhammavinayanuloma Muladwaya), ธรรมยุตกิ ะ (Dhammayuttika), จาตุภูมกิ ะ มหาสติปฏั ฐาน เฮนเกทวนิ (Catubhummika Mahasatipatthana Hngettwin), คณะวมิ ตุ กาโด (Ganavimut-Gado) และ อนุกจองั ดวายะ (Anaukchaung Dwaya) เป็นตน้ นิกายเหลา่ น้ีแตกต่างกนั เพยี งรายละเอยี ดของพระวนิ ยั และขอ้ วตั รปฏบิ ตั เิ ท่านนั้ นิกายในประเทศเมยี นม่าร์ มี ๓ นิกายย่อย : ๑) ธุธมั มนิกาย (Thudhamma Nikaya) ๒) ชเวกินนิกาย (Shwekyin Nikaya) ๓) ทวาร นิกาย (Dvara Nikaya) เมอ่ื พม่าไดร้ บั เอกราชในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ นนั้ นิกายธุธรรมะและนิกายชเวกิน ไดก้ ลายเป็น นิกายหลกั ของพมา่ โดยนิกายชเวกงิ กา้ วหนา้ มากทส่ี ุดในแงข่ องการจดั องคก์ รและการมรี ะเบยี บแบบแผนท่รี ดั กุม การปฏริ ูปคณะสงฆใ์ นพม่า ตลอดประวตั ิศาสตรน์ นั้ พม่าไดพ้ ยายามชาระสะสางพุทธศาสนาใหบ้ ริสุทธ์ิดว้ ยการปฏิรูปคณะสงฆ์ ซ่ึง รวมถงึ การกลบั ไปหาพระวนิ ยั ดง้ั เดิม และการจดั องคก์ รสงฆเ์ สยี ใหม่เพอ่ื ใหเ้กิดเอกภาพข้นึ ชาวพมา่ ไดย้ กย่องพระ เจา้ อนุวตั รแหง่ อาณาจกั รพกุ าม ว่าเป็นกษตั ริย์ \"ธรรมราชา\" (Dhammaraja) พระองคแ์ รก ผูท้ รงอุปถมั ภค์ า้ จนุ พทุ ธ ศาสนาเถรวาทและทรงรวบรวมคณะสงฆใ์ หเ้ป็นปึกแผ่น นบั จากนนั้ อีก ๘ ศตวรรษ กษตั รยิ เ์ กือบทุกพระองคแ์ ห่ง อาณาจกั รพกุ าม (Pagan) พนิ ยา (Pinya) อินวา (Inwa) ทวนคู (Toungoo) อมรปุระ (Amarapura) และมณั ฑเลย์ (Mandalay) ทางตอนเหนือของพม่า และอาณาจกั รบาโก (Bago) ของมอญทางตอนลา่ งของพมา่ ไดพ้ ยายามเจรญิ รอยตามอดุ มคตขิ อง “ธรรมราชา” ดว้ ยการปกป้องคุม้ ครองพทุ ธศาสนา และสง่ เสรมิ สนบั สนุนคณะสงฆ์ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๕ พระเจา้ ธรรมเจดียแ์ ห่งอาณาจกั รบาโกของมอญ (ผูท้ รงเคยผนวชมาก่อน) ทรงปฏริ ูป พทุ ธศาสนาโดยการกาหนดใหค้ ณะสงฆเ์ คร่งครดั ในพระวนิ ยั และทรงใหพ้ ระสงฆบ์ วชใหม่อีกครง้ั หน่ึงในนิกายมหา วหิ าร (Mahavihara) จากศรลี งั กา อนั กลายเป็นแบบฉบบั ของการปฏริ ูปคณะสงฆข์ องพม่าในเวลาต่อมา นบั เป็นการ ยา้ บทบาทหนา้ ทข่ี องผูป้ กครองทม่ี ตี ่อคณะสงฆต์ ามแบบอย่างพระจกั รพรรดอิ โศกมหาราชแห่งอนิ เดยี ในอกี สศ่ี ตวรรษต่อมา พระเจา้ มนิ ดง (Mindon) ทรงเปิดการประชุมสงั คายนาพทุ ธศาสนาครง้ั ท่ี ๕ ข้นึ ในปี ค.ศ. ๑๘๗๑ โดยทรงโปรดใหพ้ ระสงฆผ์ ูท้ รงคุณวุฒิตรวจสอบพระไตรปิฎกใหถ้ ูกตอ้ ง แลว้ โปรดใหจ้ ารึก พระไตรปิฎกทง้ั หมดลงบนแผ่นหนิ อ่อน ซง่ึ รูจ้ กั กนั ต่อมาว่า “ศิลาจารกึ แห่งมณั ฑเลย”์ (Mandalay Inscriptions) ต่อมาพระเจา้ ธบิ าว (Thibaw) กษตั ริยอ์ งคส์ ุดทา้ ยของพม่าทรงโปรดใหส้ มเดจ็ พระสงั ฆราชและพระสงฆ์ อาวุโสชนั้ นาอน่ื ๆ ว่ากลา่ วตกั เตอื นคณะสงฆม์ ใิ หย้ ่อหยอ่ นในพระวนิ ยั และมใิ หป้ ระพฤตติ นแบบอลชั ชี (นกั บวชนอก รตี )
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พทุ ธศาสนากบั สงั คมพม่ายุคสมยั ใหม่ ตลอดระยะเวลาเกอื บ ๖๐ ปีภายใตล้ ทั ธิอาณานิคม นโยบายการไม่ยุ่งเก่ยี วกบั ศาสนาขององั กฤษทาใหเ้กิด ช่องวา่ งในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั กบั ศาสนาข้นึ การอุปถมั ภค์ า้ จนุ ของรฐั ทม่ี ตี ่อพทุ ธศาสนาไดห้ ยุดชะงกั ไป อย่างไร กต็ าม ความเคร่งครดั ในพระธรรมวินยั ของพระสงฆพ์ ม่าก็กลายเป็นส่วนหน่ึงท่กี ่อใหเ้ กิดความรูส้ กึ ชาตินิยมข้นึ ใน เวลาต่อมา การก่อตง้ั สภากลางสามคั คีสงฆ์ (General Council of Sangha Samaggi, GCSS) ข้นึ ในปี ค.ศ. ๑๙๒๒ โดยมจี ุดมงุ่ หมายท่จี ะปฏริ ูปองคก์ รคณะสงฆเ์ พ่อื การต่อสูท้ างการเมอื งนน้ั ไม่อาจดงึ ดูดพระสงฆส์ ่วนใหญ่ ได้ ทง้ั ๆ ทเ่ี กดิ กระแสชาตนิ ิยมอย่างรุนแรงข้นึ มาในพมา่ ระหว่างการยดึ ครองของญป่ี ่นุ ในสงครามโลกครง้ั ทส่ี อง (ค.ศ. ๑๙๔๒-๔๕) รฐั บาลของ ดร.บาเมยี ว (Dr.Ba Maw) ทญ่ี ่ปี ่นุ หนุนหลงั อยู่ ไดจ้ ดั ตงั้ สภากลางสงฆท์ ุกนิกาย (Grand Council of the Sangha of All Orders) ข้นึ เพ่อื รวมพระสงฆพ์ ม่าในทุกนิกายใหเ้ป็นหน่ึงเดียว ภายหลงั จากท่อี งั กฤษไดเ้ ขา้ ยดึ ครองพม่าอีกครง้ั หน่ึงในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ ผูน้ าพระสงฆ์ (sayadaw) ทางตอนล่างของพม่าไดพ้ ยายามท่ีจะฟ้ืนฟูสภากลางสงฆข์ ้นึ มาใหม่ แต่ก็ไม่ สามารถเอาชนะความแตกต่างทางนิกายได ้ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๗ ออง ซาน (Aung San) ผูน้ าพมา่ ประสบความสาเร็จในการเจรจาทก่ี รุงลอนดอน เพอ่ื ให้ มกี ารเลอื กตงั้ ข้นึ ในพม่า ออง ซาน (Aung San) ไดร้ บั ชยั ชนะในการเลอื กตง้ั แต่กถ็ ูกลอบสงั หารเสียก่อน และ กลายเป็นวรี บรุ ุษของการต่อสูเ้พ่อื เอกราช อูนุ (U Nu) ไดเ้ขา้ มาสานงานต่อ จนกระทงั่ พม่าไดร้ บั เอกราชจากองั กฤษ ในวนั ท่ี ๔ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๘ ทศวรรษท่ี ๑๙๕๐ นายกรฐั มนตรีอูนุไดพ้ ยายามฟ้ืนฟูพทุ ธศาสนา ทาใหพ้ ทุ ธศาสนากลายเป็นสถาบนั หลกั ในโครงสรา้ งของรฐั มกี ารสงั คายนาพทุ ธศาสนาครง้ั ท่ี ๖ ในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ อูนุพยายามผลกั ดนั นโยบาย \"พทุ ธสงั คม นิยม\" (Buddhist Socialism) ในแบบฉบบั ของพมา่ โดยรฐั จะใหห้ ลกั ประกนั ในดา้ นปจั จยั ส่ี (อาหาร เคร่อื งนุ่งห่ม ทอ่ี ยู่อาศยั และยารกั ษาโรค) แก่ประชาชน และพทุ ธศาสนาใหแ้ นวทางในดา้ นจติ ใจและจรยิ ธรรม ความพยายามของ อนู ุยงั ไมป่ ระสบผลสาเรจ็ นกั กเ็ กดิ รฐั ประหารข้นึ ก่อน รฐั บาลทหารพมา่ ไดแ้ ยกตวั ออกจากเร่อื งของศาสนา โดยปลอ่ ย ใหค้ ณะสงฆด์ าเนินการดา้ นศาสนาไปตามลาพงั การชมุ นุมเรียกรอ้ งของชาวพทุ ธประสบความสาเร็จ ในวนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๘๐ เมอ่ื มกี ารผ่าน ร่างกฎหมาย ๓ ฉบบั (การจดั ระเบยี บคณะสงฆ์ การแกไ้ ขความขดั แยง้ ดา้ นพระวนิ ยั และการถือหนงั สอื สุทธิของ พระสงฆ)์ การลงมติ ๔ ขอ้ (การปฏิรูประบบการสอบพระปริยตั ิธรรม การหา้ มพมิ พพ์ ระพุทธรูปและเจดียใ์ นส่ิง ตพี มิ พท์ ไ่ี มเ่ หมาะสม การหา้ มบุคคลภายนอกพกั อาศยั ในเขตสงฆ์ และการจบั พระปลอมสึก) และการเลอื กตงั้ องคก์ รศาสนาท่ี สาคญั อีก ๓ แห่ง ทง้ั น้ี เพ่ือรกั ษาพระศาสนาใหบ้ ริสุทธ์ิ รุ่งเรือง และยงั่ ยนื ภายหลงั การชุมนุม เจดียม์ หาวิชายะ (Mahavijaya) ไดถ้ กู สรา้ งข้นึ บนเนินเขาเลก็ ๆ ตรงขา้ มกบั เจดยี ช์ ะเวดากอง เพ่อื เป็นท่รี ะลกึ ถงึ การรวมตวั ครงั้ สาคญั ของคณะสงฆพ์ มา่ ออง ซาน ซูจี (Aung San Suu Kyi) บุตรสาวของออง ซาน (Aung San) วรี บรุ ุษของพม่า ไดร้ บั ชยั ชนะ อยา่ งท่วมทน้ ในการเลอื กตงั้ ปี ค.ศ. ๑๙๙๐ แต่รฐั บาลทหารกลบั ลม้ การเลอื กตงั้ นนั้ และกกั ตวั ออง ซาน ซูจี ไวท้ บ่ี า้ น
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ จนนาไปสู่การประทว้ งจากนกั ศึกษา พระสงฆ์ และประชาชนพมา่ อย่างกวา้ งขวาง โดยไดร้ บั การสนบั สนุนในทางสากล จากนานาประเทศกระทงั่ สถานการณ์เขา้ สู่ยุคปจั จบุ นั ๕.๗ สงั คายนาและนิกายในประเทศไทย สงั คายนาครง้ั ท่ี ๘ ทาในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจา้ ตโิ ลกราช แห่งนครเชียงใหม๑่ ๑๖ ไดอ้ าราธนาพระภกิ ษุผูท้ รงไตรปิฎกหลายรอ้ ยรูป ใหช้ ่วยชาระพระไตรปิฎกจากอกั ษรลา้ นนาสู่ภาษาบาลี ทาท่ีวดั โพ ธาราม เป็นเวลา ๑ ปี จงึ ทาสงั คายนาสาเรจ็ ครงั้ น้ีนบั ว่าเป็นสงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ ในประเทศไทย สงั คายนาครง้ั ท่ี ๙ ทาในประเทศไทย เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๓๑-๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬา โลก ปฐมกษตั ริยแ์ ห่งบรมราชจกั รีวงศ์ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ไดท้ รงอาราธนาพระสงฆใ์ หช้ าระพระไตรปิฎก ในครง้ั น้ีมี พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กบั ราชบณั ฑิตาจารยอ์ ุบาสก ๓๒ คน ช่วยกนั ชาระพระไตรปิฎก แลว้ จดั ใหม้ กี ารจารึกลงใน ใบลาน๑๑๗ สงั คายนาครง้ั น้ีสาเรจ็ ภายใน ๕ เดอื น ครงั้ น้ีนบั วา่ เป็นสงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ ในประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๓๖ สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั การท่ี ๕ ไดจ้ ดั พมิ พ์ พระไตรปิฎกโดยคดั จากตวั อกั ษรขอม ในคมั ภรี ใ์ บลานปรวิ ตั รเป็นอกั ษรไทย แลว้ ชาระแกไ้ ขพมิ พเ์ ผยแพร่ ๓๙ เล่ม และในปี พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๓ ในสมยั รชั การท่ี ๗ กไ็ ดจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปิฎกฉบั สยามรฐั ข้นึ และไดพ้ ระราชทานไป นานาประเทศ๑๑๘ ประวตั ิการสงั คายนา ๙ ครงั้ ตามท่ีปรากฏในหนงั สอื สงั คีติยวงศ์ ซ่ึงสมเด็จพระวนั รตั รจนาไวน้ ้ี ภิกษุชิ นานนั ทะ ศาสตราจารยภ์ าษาบาลี และพทุ ธศาสตรแ์ ห่งสถาบนั ภาษาบาลี ทน่ี าลนั ทา ไดน้ าไปเล่าไวเ้ป็นภาษาองั กฤษ ในหนงั สอื ๒๕๐๐ ปี แห่งพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ซง่ึ พมิ พข์ ้นึ ในโอกาสฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ ในอนิ เดยี ดว้ ย ความรูเ้ร่อื งการชาระและการพมิ พพ์ ระไตรปิฎกในประเทศไทย มคี วามสาคญั สาหรบั พทุ ธศาสนิกชนชาว ไทยโดยเฉพาะ ขา้ พเจา้ จงึ จะกลา่ วถงึ เร่อื งน้ีค่อนขา้ งละเอยี ดอกี ครง้ั หน่ึง เมอ่ื ไดก้ ลา่ วถงึ เรอ่ื งอน่ื ๆ เสรจ็ แลว้ นิกายในประเทศไทย พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยเป็นนิกายเถรวาท คณะสงฆไ์ ดแ้ บง่ ลกั ษณะการบรหิ ารออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ๑. มหานิกาย คณะสงฆอ์ งคค์ ณะใหญ่ของเถรวาทดง้ั เดมิ ๒. ธรรมยตุ กิ นิกาย นิกายธรรมยุติ ตง้ั ข้นึ โดยพระวชริ ญาณเถระ (เจา้ ฟ้ามงกฏุ : พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาล ท่ี ๔ ขณะดารงพระยศเป็นเจา้ ฟ้ามงกุฏ) ขณะท่ผี นวชอยู่ไดท้ รงศรทั ธาเลอ่ื มใสในจริยาวตั รของพระมอญ ช่อื ซาย ฉายา พทุ ธฺ วโส จงึ ไดท้ รงอุปสมบทใหม่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๒ ไดต้ ง้ั คณะธรรมยุตขิ ้นึ ในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ แลว้ เสด็จมา ประทบั ทว่ี ดั บวรนิเวศวหิ าร และตง้ั เป็นศูนยก์ ลางของคณะธรรมยุติ ๑๑๖ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๗๔. ๑๑๗ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๒-๑๓. ๑๑๘ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎก ประวตั ิและความสาคญั , หนา้ ๑๘-๒๐.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง นิกายธรรมยุต ตงั้ ข้นึ มาเพ่ือปฏริ ูปพระพุทธศาสนา ฟ้ืนฟูดา้ นวตั รปฏบิ ตั ิของสงฆ์ เป็นเคร่ืองเตือนพุทธ สาวกของพระองคว์ ่า พงึ องิ อยู่กบั พระธรรม เป็นนิกายทม่ี คี วามเป็นเหตผุ ลและวทิ ยาศาสตร์ แก่นของพระศาสนา สจั ธรรมอนั ลึกซ้ึงท่ีจะนาไปสู่ความหลุดพน้ ขอ้ สาคญั คาสอนในพระพุทธศาสนาไม่มอี ะไรขดั แยง้ กบั ความเจริญทาง วทิ ยาศาสตรส์ มยั ใหม่ สง่ิ ทว่ี ทิ ยาศาสตรค์ น้ พบนน้ั เป็นสง่ิ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงหยงั่ รูเ้มอ่ื ๒๐๐๐ ปีมาแลว้ พระองคท์ รง รเิ ร่มิ วางระเบยี บแบบแผน ในดา้ นการปฏริ ูปทางพระพทุ ธศาสนาหลายประการ ดงั น้ี ๑. ทรงตง้ั ธรรมเนียมนมสั การพระเชา้ คา่ ทเ่ี รียกว่าทาวตั รเชา้ ทาวตั รคา่ เป็นประจา และทรงพระราชนิพนธ์ บทสวดเป็นภาษาบาลี เป็นคาถา เป็นจุณณิยบท ซง่ึ ใชแ้ พร่หลายมาจนถงึ ปจั จุบนั น้ี มกี ารรกั ษาศีลอโุ บสถ และแสดง พระธรรมเทศนาเวลาเกา้ โมงเชา้ และบ่ายสามโมงเยน็ ในวนั ธรรมสวนะและวนั อโุ บสถ เดอื นละ ๔ ครงั้ ๒. ทรงปฏริ ูปการเทศนแ์ ละการอธิบายธรรมทรงเร่ิมการเทศนาดว้ ยฝีพระโอษฐ์ ชวนใหผ้ ูฟ้ งั เขา้ ใจง่ายและ เกิดศรทั ธา ไม่โปรดเขยี นหนงั สอื ไวเ้ทศนน์ อกจากน้ียงั ทรงฝึกหดั ศิษยใ์ หป้ ฏบิ ตั ิตาม ทรงอธิบายเพอ่ื ใหค้ นเขา้ ใจใน เน้ือหาของหลกั ธรรม เผยแพร่หลกั ธรรมสู่ราษฎร อธิบายหลกั อนั ยุ่งยากซบั ซอ้ น คณะสงฆธ์ รรมยุตไดเ้ พม่ิ บทสวด มนตภ์ าษาไทยลงไป ทาใหค้ นนิยมฟงั เป็นอนั มาก ๓. ทรงกาหนดวนั มาฆบูชาเป็นวนั สาคญั ทางศาสนาิิิ่ มข้นึ จากวนั วสิ าขบูชา ทรงพระราชนิพนธค์ าบูชา และวางระเบยี บใหเ้ดินเวยี นเทียนและสดบั พระธรรมเทศนา ทรงชกั นาใหบ้ าเพญ็ กศุ ลตามเทศกาลต่างๆ เช่น ถวาย สลากภตั ร ตกั บาตรนา้ ผ้งึ ถวายผา้ จานาพรรษา ๔. ทรงแกไ้ ขการรบั ผา้ กฐนิ ใหถ้ กู ตอ้ งตามพทุ ธบญั ญตั ิ คือเร่มิ แต่การซกั ตดั เยบ็ ยอ้ ม ใหเ้สร็จภายในวนั เดยี วกนั ๕. ทรงแกไ้ ขการขอบรรพชา และการสวดกรรมวาจาในอุปสมบทกรรมใหถ้ ูกตอ้ งย่ิงข้ึน เช่น ระบุนาม อปุ สมั ปทา และนามอปุ ชั ฌายะ ซง่ึ เป็นภาษาบาลใี นกรรมวาจา การออกเสยี ง อกั ษรบาลี ทรงใหถ้ ือหลกั การออกเสยี ง ใหถ้ กู ฐานกรณข์ องอกั ขระตามหลกั บาลไี วยากรณ์ ๖. ทรงวางระเบยี บการครองผา้ คือการนุ่งห่มของภิกษุสามเณร ใหป้ ฏบิ ตั ไิ ปตามหลกั เสริยวตั รในพระวนิ ยั เพ่ือใหส้ ุภาพเรียบรอ้ ย (เดิมพระธรรมยุตครองจีวรห่มแหวก แต่ตอนปลายรชั กาลพระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ไดเ้ปลย่ี นมาห่มคลุม (ห่มหนีบ) ตามแบบพระสงฆม์ หานิกาย ครน้ั ถงึ รชั กาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เสวยราชย์ จึงไดก้ ลบั มาห่มแหวกตามเดิม) ทรงวางระเบียบการกราบไหวข้ องพระภิกษุสามเณร และ ระเบยี บอาจารยะมารยาท ตอ้ งวางตวั ใหน้ ่าเลอ่ื มใสศรทั ธา สงั วรในกริ ยิ ามารยาทและขนบธรรมเนียม ๗. ทรงใหพ้ ระสงฆธ์ รรมยุต ศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมใหแ้ ตกฉาน สามารถแสดงธรรมเทศนา สงั่ สอน สามารถ แยกระหว่างความเช่อื ทม่ี เี หตุผล และความเช่อื ในส่งิ ทไ่ี มส่ ามารถอธิบายได้ การศึกษาในดา้ นวปิ สั สนาธุระ ไม่ใช่รบั รู้ เฉพาะสมถะวธิ ีอนั เป็นเบ้อื งตน้ แต่ใหร้ บั รูไ้ ปถงึ ขน้ั วปิ สั สนากรรมฐาน การปฏบิ ตั ิตามพระวนิ ยั ทรงใหถ้ อื หลกั ว่าส่งิ ใดทส่ี งสยั และน่ารงั เกยี จไมค่ วรกระทาโดยเดด็ ขาด พงึ เคารพพระวนิ ยั อยา่ งเคร่งครดั ๘. ทรงเหน็ ความสาคญั ในการศึกษาหา ความรูส้ าขาอน่ื ๆ ของพระสงฆ์ จึงทรงอนุญาตใหพ้ ระสงฆเ์ ขา้ ศึกษา ภาษาองั กฤษกบั หมอแคสเวล (Reverend Jesse Caswell) ตามความสนใจ ทาใหม้ กี ารสบื สานการเขา้ ศึกษาหา ความรูเ้พม่ิ เตมิ ของพระสงฆม์ าจนถงึ ปจั จบุ นั
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๕ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ นบั ไดว้ ่าพระองคท์ รงเป็นผูป้ ระทานกาเนิดพระสงฆน์ ิกายธรรมยุต โดยทรงจดั วางระเบยี บแบบแผนและ ธรรมยุติกวตั รข้นึ สาเร็จ ซ่ึงทรงปฏิบตั ิไปดว้ ยความกลา้ หาญ ไม่ทรงย่อทอ้ ต่ออุปสรรค แมว้ ่าจะมคี วามพยายาม ทาลายลา้ งพระสงฆน์ ิกายน้ี ดงั เช่นใหส้ กึ พระอปุ ชั ฌายข์ องพระองค์ และกลนั่ แกลง้ พระสงฆน์ ิกายธรรมยุต อย่างไรก็ ตามพระสงฆน์ ิกายธรรมยุต กเ็ ป็นทศ่ี รทั ธาของราษฎรทุกชน้ั ข้นึ ตามลาดบั การก่อเกดิ ของธรรมยุติกนิกายยงั ผลใหม้ ี การฟ้ืนฟูและส่งผลท่เี ป็นคุณแก่พระพทุ ธศาสนา การพยุงรกั ษาพระพทุ ธศาสนาเท่าท่กี ระทากนั ใน รชั กาลก่อนๆ ใน สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ การฟ้ืนฟูและทานุบารุงพระพทุ ธศาสนาม่งุ เนน้ ไปทางพระปริยตั ิธรรม และก่อสรา้ งปฏสิ งั ขรณ์ ดา้ นศาสนวตั ถเุ ป็นสว่ นใหญ่ แต่ศาสนบคุ คลยงั ไม่ไดร้ บั การฟ้ืนฟูอย่างจริงจงั กรณีท่มี ผี ูป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ผิ ดิ พระวนิ ยั ก็ทรงใชพ้ ระราชอานาจป้องกนั ปราบปรามใหส้ กึ จากสมณเพศ ยงั ไม่ไดเ้ ขา้ ไปแกไ้ ขในวงการสงฆ์ ดงั นน้ั การท่สี มเด็จ เจา้ ฟ้ามงกุฎ ทรงตง้ั คณะสงฆข์ ้นึ และมวี ตั รปฏบิ ตั ทิ เ่ี คร่งครดั ถูกตอ้ งตามพระวนิ ยั ปฏบิ ตั ใิ นส่งิ ท่ถี กู ตอ้ งดีงาม ศึกษา พระปรยิ ตั ิธรรมอย่างเขา้ ใจแจ่มแจง้ นบั ไดว้ ่าทรงฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนาในส่วนทบ่ี กพร่องของพระสงฆไ์ ทยท่มี มี าแต่ โบราณ ใหส้ มบูรณ์ทงั้ พระวนิ ยั ปิฎกและพระสุตตนั ตปิฎกซ่งึ เป็นการสบื ต่ออายุของพระพทุ ธศาสนาใหเ้จริญรุ่งเรือง อย่างบรบิ รู ณข์ ้นึ ในประเทศไทย ๕.๘ นิกายสาคญั ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ภายหลงั การปรินิพพานของพระพทุ ธเจา้ เกิดการแตกแยกในหมสู่ าวกเป็น ๒ ฝ่าย เน่ืองจากความคิดเห็น เกย่ี วกบั พระธรรมวนิ ยั และอดุ มการณ์ในแนวทางปฏบิ ตั ไิ มส่ อดคลอ้ งกนั นิกายทส่ี าคญั ๒ นิกาย คอื ๑. นิกายเถรวาท หรอื หนี ยาน มคี วามหมายว่ายานเลก็ หรอื หลุดพน้ ไปคนเดียว นิกายหนี ยานน้ีจะยดึ มนั่ และถอื รกั ษาคาสอนของพระพุทธเจา้ และพระวนิ ยั อย่างเคร่งครดั นิกายหีนยานน้ีมผี ูน้ บั ถือแพร่หลายในฝ่ายใต้ ไดแ้ ก่ ประเทศลงั กา ไทย มอญ เมยี นม่าร์ ลาว เขมร เป็นตน้ ๒. นิกายอาจารยิ วาท หรือ มหายาน มคี วามหมายว่า ยานใหญ่ ซ่งึ มชี ่อื เรียกกนั หลายช่อื ไดแ้ ก่ มหาสงั ฆิ กะ เอกยาน อนุตรยาน พทุ ธยาน หรือโพธิสตั วยาน นิกายน้ีไมย่ ึดถอื พระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา้ อย่างเคร่งครดั มากนกั มกี ารปรบั ปรุงพระวินยั และคาสอนใหเ้หมาะสมกบั บคุ คลและสภาพแวดลอ้ ม นิกายมหายานน้ีมผี ูน้ บั ถอื ใน แถบประเทศจนี เวยี ดนาม เกาหลี ญป่ี ่นุ และทเิ บต เป็นตน้ นิกายเถรวาท หรือหินยาน เป็นนิกายเก่าแก่ท่สี ุด ยึดถอื พระธรรมวนิ ยั เดิมอย่างเคร่งครดั นบั ถือมากใน กลมุ่ ประเทศ ศรลี งั กา เมยี นมาร์ ไทย เขมร และ สปป.ลาว ซง่ึ ไดจ้ าแนกออกเป็นนิกายใหญ่ๆ ได้ ๓ กลมุ่ คอื ๑. นิกายเถรวาท หรอื หนิ ยาน เป็นนิกายเก่าแก่ทส่ี ุด ยดึ ถอื พระธรรมวนิ ยั เดิมอย่างเคร่งครดั นบั ถอื มากใน ไทย พมา่ เขมร ลาว ศรลี งั กา ๒. นิกายมหายาน ภกิ ษุบางรูปไม่เหน็ ดว้ ยและไมย่ อมรบั สงั คายนามาตงั้ แต่ครง้ั แรก และเหตุการณเ์ ช่นน้ีก็ เกดิ ข้นึ กบั หลายสงั คายนา มกี ลมุ่ แยกตวั ทาสงั คายนาต่างหาก เป็นการแตกแยกทางความคิดและนิกาย ๓. นิกายวชั รยาน เกดิ จากพระพทุ ธศาสนามหายาน ทแ่ี ยกออกเป็นนิกายประมาณ ๔ นิกาย คอื ๑) นิกายศูนยวาทหรอื มาธยมกิ ผูก้ ่อ ตงั้ คือ คุรุนาคารชนุ
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๒) นิกายวชิ ญานวาทหรอื โยคาจาร ผูก้ ่อตงั้ คือ ทา่ นไมตรนี าถ ๓) นิกายจติ อมตวาท ๔) นิกายพทุ ธตนั ตระ หรอื มนตรยานซง่ึ ต่อมาไดพ้ ฒั นาเป็นวชั ระยานคมั ภรี ข์ องพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ~ Theravada of Buddhism เถรวาท: (Theravada) โดยศพั ทแ์ ปลว่า “ตามแนวทางของพระเถระ” เป็นช่ือของนิกายท่เี ก่าแก่ท่สี ุดใน ศาสนาพทุ ธ ฝ่ายมหายานเรยี กนิกายน้ีวา่ หนี ยาน นิกายเถรวาทเป็นนิกายหลกั ท่ไี ดร้ บั การนบั ถือในประเทศศรีลงั กา (ประมาณ ๗๐% ของประชากรทง้ั หมด และประเทศในแผ่นดนิ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ไดแ้ ก่ ไทย กมั พชู า ลาว และเมยี นม่ารน์ ิกายเถรวาทไดร้ บั การนบั ถอื เป็นส่วนนอ้ ยในประเทศจนี และเวยี ดนาม โดยเฉพาะในมณฑลยูนนาน เนปาล บงั กลาเทศท่เี ขตจิตตะกอง เวยี ดนาม ทางตอนใตใ้ กลช้ ายแดนกมั พูชา มาเลเซียมีนบั ถือทางตอนเหนือของประเทศ มศี าสนิกส่วนใหญ่เป็นเช้ือสายไทย และสงิ หล ตวั เลขผูน้ บั ถอื ศาสนาพทุ ธนิกายเถรวาทอยู่ทป่ี ระมาณ ๑๐๐ ลา้ นคน สาหรบั ประเทศไทยมผี ูน้ บั ถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทประมาณ ๙๔ เปอรเ์ ซ็นตข์ องประชากรทง้ั หมด (ขอ้ มลู จากกรมศาสนา เฉพาะประชากรอิสลามในประเทศไทยมไี ม่นอ้ ยกว่า ๑๐ ลา้ นคน คิดเป็นสดั ส่วนไมน่ อ้ ยกว่า ๑๕ เปอรเ์ ซน็ ตข์ องประชากรไทย ไมน่ บั ผูน้ บั ถอื ศาสนาครสิ ต์ ฮินดู สกิ ข์ และไมม่ ศี าสนา จึงเป็นไปไดว้ ่าชาวพทุ ธใน ประเทศไทย อาจมไี มถ่ งึ ๘๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ของจานวนประชากรทงั้ หมด) นิกายเถรวาทไดร้ บั การนบั ถอื คู่กบั นิกายอาจรยิ วาท (คอื นิกายมหายาน ในปจั จบุ นั ) ความเป็ นมาของนิกายเถรวาท การแพร่กระจายของพทุ ธศาสนาเถรวาทลทั ธิลงั กาวงศ์เขา้ สู่เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ หลงั จากพระโคตม พทุ ธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานได้ ๓ เดือน พระสาวกผูไ้ ดเ้คยสดบั สงั่ สอนของพระองคจ์ านวน ๕๐๐ รูป กป็ ระชุม ทาปฐมสงั คายนา ณ ถา้ สตั บรรณคูหา ใกลเ้มอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ ใชเ้ วลาสอบทานอยู่ ๗ เดือน จึงประมวลคา สอนของพระพทุ ธเจา้ ไดส้ าเรจ็ เป็นครง้ั แรก นบั เป็นบ่อเกดิ ของคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกภาษาบาลี คาสอนท่ีลงมติกนั ไวใ้ น ครง้ั ปฐมสงั คายนาและไดน้ บั ถอื กนั สบื มา เรียกว่า เถรวาท แปลว่า คาสอนท่วี างไวเ้ป็นหลกั การโดยพระเถระ คาว่า เถระ ในท่นี ้ีหมายถงึ พระเถระผูป้ ระชุมทาสงั คายนาครง้ั แรก และพระพทุ ธศาสนาซ่งึ ถอื ตามหลกั ท่ไี ดส้ งั คายนาครงั้ แรกดงั กล่าว เรียกว่า นิกายเถรวาท อนั หมายถึง คณะสงฆก์ ลุ่มท่ยี ดึ คาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ ทงั้ ถอ้ ยคา และ เน้ือความทท่ี า่ นสงั คายนาไวโ้ ดยเคร่งครดั ตลอดจนรกั ษาแมแ้ ต่ตวั ภาษาดง้ั เดมิ คือภาษาบาลี คณะสงฆเ์ ถรวาทในแต่ละประเทศ ไดแ้ บง่ ยอ่ ยออกเป็นหลายนิกาย โดยยงั คงยดึ ถอื พระธรรมวนิ ยั เดียวกนั ประเทศบงั กลาเทศ - สงั ฆราชนิกาย (Sangharaj Nikaya) - มหาสถพรี นิกาย (Mahasthabir Nikaya) ประเทศเมียนม่าร์ - สุธมั มนิกาย (Thudhamma Nikaya) - ชเวจนิ นิกาย (Shwekyin Nikaya)
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๗ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง - ทวารนิกาย (Dvara Nikaya) ประเทศศรลี งั กา - สยามนิกาย (Siam Nikaya) - มลั วตั ตะ (Malwaththa) -อสั คิรยิ ะ (Asgiriya) - วาทุลวิลา (Waturawila) หรือมหาวิหารวามสีกาสยาโมวนาวาสนิกาย (Mahavihara Vamshika Shyamopali Vanavasa Nikaya) - อมรปรุ นิกาย (Amarapura Nikaya) - ธรรมรกั ษติ (Dharmarakshitha) - คนั ดุโบดา (Kanduboda) หรอื นิกายชเวจนิ (Swejin Nikaya) - ตโปวนะ (Tapovana) หรอื กลั ยาณวงศ์ (Kalyanavamsa) - รามญั นิกาย (Raman Nikaya) - กลั ดุวา (Galduwa) หรอื กลั ยาณโยคศรามายะ สมั สตายะ(Kalyana Yogashramaya Samsthava) - เดวดูวา (Delduwa) ประเทศไทย, ประเทศกมั พชู า และประเทศมาเลเซยี (ในกล่มุ ชาวไทย) - มหานิกาย (Maha Nikaya) - ธรรมยุตกิ นิกาย (Dharmmayuttika Nikaya) เน่ืองจากภาษามคธท่ใี ชบ้ นั ทกึ คาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ นนั้ ครน้ั กาลเวลาล่วงไปก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษา โบราณ ยากทจ่ี ะเขา้ ใจไดท้ นั ทสี าหรบั นกั ศึกษารุ่นหลงั ๆ จงึ ไดม้ ผี ูเ้ช่ยี วชาญนิพนธช์ ้ีแจงความหมายเรียกว่าอรรถกถา เมอ่ื นกั ศึกษารูส้ กึ วา่ อรรถกถายงั ไมช่ ดั เจนก็มผี ูเ้ช่ยี วชาญนิพนธฎ์ กี าข้นึ ช้แี จง ความหมาย และมอี นุฎกี าสาหรบั ช้แี จง ความหมายของฎกี าอีกต่อหน่ึง ผูเ้ช่ียวชาญเฉพาะปญั หากน็ ิพนธช์ ้แี จงเฉพาะปญั หาข้นึ เรยี กว่า ปกรณ์ เหล่าน้ีถือว่า เป็นคมั ภีรพ์ ระพทุ ธศาสนาทงั้ ส้นิ แต่ทว่ามนี า้ หนกั นอ้ ยกว่าพระไตรปิฎก เพราะถือว่าเป็นความเห็นส่วนตวั ของผู้ ตคี วาม ผูศ้ ึกษาจะเหน็ กบั บางคมั ภรี ์ และไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั บางคมั ภรี ก์ ไ็ ด้ ไมถ่ อื ว่ามคี วามเป็นพทุ ธศาสนิกมากนอ้ ยกว่า กนั เพราะเร่อื งน้ี พระไตรปิฎก~Tipitaka คือ คมั ภรี ค์ าสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ แบง่ เป็น ๓ หมวด คือ ๑. พระสุตตนั ตปิฎก รวมคาสอนของพระพทุ ธเจา้ และพระสาวก ๒. พระวนิ ยั ปิฎก ศีลของพระภกิ ษุ และพธิ กี รรมทางศาสนา ๓. พระอภธิ รรมปิฎก รวมหลกั ธรรมชน้ั สูง พระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทเป็นภาษามคธ ฝ่ายมหายานเป็นภาษาสนั สกฤต หลกั ธรรมท่ี สาคญั ไดแ้ ก่ อรยิ สจั ๔ คอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ ไดแ้ ก่ ๑. ทกุ ข์ คอื ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ไดแ้ ก่ ความเกดิ แก่ เจบ็ ตาย ๒. สมทุ ยั คือ ตน้ เหตทุ ท่ี าใหเ้กดิ ทุกข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ ประการ
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๘ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๓. นิโรธ คอื ความดบั ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ การหมดกเิ ลส คือ นิพพาน ๔. มรรค คือ ทางดบั ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ อรยิ มรรค มอี งค์ ๘ ๕.๙ การทาสงั คายนาของพทุ ธศาสนาฝ่ ายมหายาน การทาสงั คายนาฝ่ ายมหายาน ซ่ึงเป็นคนละสายกบั ฝ่ ายเถรวาท ในคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกของฝ่ ายเถรวาท โดยเฉพาะสุตตนั ตปิฎก ไดม้ คี าแปลในภาษาจีน ซ่งึ แสดงว่าฝ่ายมหายาน ไดม้ เี อกสารของฝ่ายเถรวาทอยู่ดว้ ยจงึ ควร จะไดส้ อบสวนดูวา่ ความเป็นมาแหง่ พระไตรปิฎกนน้ั ทางฝ่ายมหายานไดก้ ลา่ วถงึ ไวอ้ ยา่ งไร เมอ่ื กล่าวตามหนงั สือพุทธประวตั ิและประวตั ิสงั ฆมณฑลพทุ ธศาสนา สมยั แรกตามฉบบั ของธิเบต ซ่งึ ชาว ต่างประเทศไดแ้ ปลไวเ้ป็นภาษาองั กฤษ ไดก้ ลา่ วถงึ การสงั คายนา ๒ ครงั้ คือครง้ั ท่ี ๑ และครงั้ ท่ี ๒ ในอนิ เดยี ดงั ทร่ี ู้ กนั อยูท่ วั่ ไป แต่มขี อ้ ทน่ี ่าสงั เกตคือ ในสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ หลกั ฐานฝ่ายเถรวาท ว่าสงั คายนาพระธรรมกบั พระวนิ ยั พระอานนท์ เป็นผูต้ อบ คาถามเก่ยี วกบั พระธรรม จงึ หมายถงึ วา่ พระอานนทไ์ ดว้ สิ ชั นาทงั้ สุตตนั ตปิฎกและอภธิ รรมปิฎก แต่ในฉบบั ของธเิ บต กล่าวว่า “พระมหากสั สปะ เป็ นผูว้ ิสชั ชนาอภธิ มั มปิ ฎก, ส่วนพระอานนท์ วิสชั นาสุตตนั ตปิ ฎก และ พระอุบาลี วสิ ชั นาวนิ ยั ปิฎก” กบั ไดก้ ลา่ วพสิ ดารออกไปอกี วา่ “ทาการสงั คายนา พระสุตตนั ตปิฎกก่อน พอพระอานนทเ์ ลา่ เร่อื ง ปฐมเทศนาจบ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ไดย้ นื ยนั ว่าถกู ตอ้ งแลว้ เป็นพระสูตรทท่ี ่านไดส้ ดบั มาเอง แมเ้มอ่ื กล่าวสูตรท่ี ๒ (อนตั ตลกั ขณสูตร) จบพระอญั ญาโกณฑญั ญะ กใ็ หค้ ารบั รองเช่นกนั รายละเอยี ดอย่างอ่นื ทเ่ี หน็ ว่าฟนั่ เฝือ ไดง้ ด ไมน่ ามากลา่ วในทน่ี ้ี มขี อ้ สงั เกตอกี อย่างหน่ึงกค็ ือในหนงั สอื ท่อี า้ งถงึ น้ีใชค้ าว่า มาติกา (มาตฺริกา) แทนคาว่า อภธิ มั ม ปิฎก” ในสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ฉบบั มหายานของธเิ บต ไดก้ ลา่ วคลา้ ยคลงึ กบั หลกั ฐานของฝ่ายเถรวาทมาก ทง้ั ไดล้ ง ทา้ ยว่า ท่ปี ระชมุ ไดล้ งมติ ตาหนิขอ้ ถอื ผดิ ๑๐ ประการของภกิ ษุชาววชั ชี อนั แสดงว่าหลกั ฐานของฝ่ายมหายานกลบั รบั รองเรอ่ื งน้ี ผูแ้ ปล (คอื Rockhill) อา้ งว่า ไดส้ อบสวนฉบบั ของจนี ซง่ึ มผี ูแ้ ปลเป็นภาษาองั กฤษแลว้ ก็ไมป่ รากฏว่า กล่าวถงึ อะไร นอกจากจบลงดว้ ยการตาหนิขอ้ ถอื ผดิ ๑๐ ประการนน้ั ศาสตราจารย์ ดร.นลิ นกั ษะ นกั วชิ าการดา้ น ประวตั ศิ าสตรแ์ ละศาสนา อาจารยป์ ระจามหาวทิ ยาลยั กลั กตั ตา อินเดีย ไดพ้ ยายามรวบรวมหลกั ฐานฝ่ายมหายาน เก่ยี วดว้ ยสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ไวอ้ ย่างละเอยี ดเป็น ๓ รุ่นคือ รุ่นแรก รุ่นกลาง และรุ่นหลงั แมร้ ายละเอยี ดปลกี ย่อย ในหลกั ฐานนนั้ ๆ จะมตี ่างกนั ออกไปก็ตาม แต่ก็เป็นอนั ตกลงว่า ฝ่ายมหายานไดร้ บั รองการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ และ ครงั้ ท่ี ๒ ร่วมกนั โดยเหตุท่คี มั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาฝ่ ายมหายานมกั จะมีอะไรต่ออะไรต่างออกไปจากของเถรวาท เม่อื เกิด ปญั หาวา่ คมั ภรี เ์ หลา่ นน้ั มมี าอยา่ งไร กม็ กั จะมคี าตอบวา่ มกี ารสงั คายนาของฝ่ายมหายาน คมั ภรี เ์ หลา่ นนั้ เกิดข้นึ จาก ผูท้ ส่ี งั คายนา ซง่ึ เป็นผูท้ รงคุณวุฒไิ ดร้ ูไ้ ดฟ้ งั มาคนละสายกบั ฝ่ายเถรวาท เมอ่ื ตรวจสอบจากหนงั สอื ของฝ่ายมหายาน แมจ้ ะพบว่าสงั คายนาผสมกบั ฝ่ายมหายานนนั้ เกิดเม่ือสมยั พระเจา้ กนิษกะประมาณ พ.ศ.๖๔๓ กจ็ รงิ แต่ขอ้ อา้ งต่างๆ มกั จะพาดพงิ ไปถงึ สงั คายนา ครง้ั ท่ี ๑ และท่ี ๒ คือมคี ณะ
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๒๙ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ สงฆอ์ กี ฝ่ายหน่ึง ทาสงั คายนาแขง่ ขนั อกี ส่วนหน่ึง คือ ปฐมสงั คายนาฝ่ ายมหายาน คอื สงั คายนาครงั้ แรกทพ่ี ระมหากสั สปะเป็นประธานนนั้ กระทาท่ถี า้ สตั ตบรรณ คูหา ขา้ งภูเขาเวภารบรรพต เมืองราชคฤห์ มคี ากล่าวของฝ่ายมหายานว่า ภกิ ษุทง้ั หลาย ผูม้ ไิ ดร้ บั เลือกเป็นการก สงฆ์ (คือสงฆผ์ ูก้ ระทาหนา้ ท่ี) ในปฐมสงั คายนาซ่งึ มพี ระมหากสั สปะ เป็นประธานนน้ั ไดป้ ระชุมกนั ทาสงั คายนาข้นึ อกี ส่วนหน่ึง เรียกว่า สงั คายนานอกถ้า (พาหริ สตั ตบรรณคูหา) และโดยเหตทุ ่ภี กิ ษุผูท้ าสงั คายนานอกถา้ มจี านวน มาก จงเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า สงั คายนามหาสงั ฆิกะ คือของสงฆห์ ม่ใู หญ่ หรือกลุ่ม “อาจริยปรมั ปราสงั ฆะ” หรือ “เถรวงั สะปฏปิ ทา” ทตุ ยิ สงั คายนาฝ่ ายมหายาน คอื การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ เป็นการทาสงั คายนา โดยกลุม่ ของมหาสงั ฆิกะ มเี ร่อื ง เล่าว่า เม่อื ภิกษุวชั ชีบุตร ถือวินยั ย่อหย่อน ๑๐ ประการและพระยสะ กากณั ฑกบุตร ไดช้ กั ชวนคณะสงฆใ์ นภาค ต่างๆ มาร่วมกนั ทาสงั คายนา ชาระมลทินโทษแห่งพระศาสนาวินิจฉยั ช้ีว่าขอ้ ถือผิด ๑๐ ประการนนั้ มหี า้ มไวใ้ นพระ วนิ ยั อย่างไร แลว้ ไดท้ าสงั คายนา ในขณะเดียวกนั พวกภิกษุวชั ชีบุตรซ่งึ มอี ยู่เป็นจานวนมาก ก็ไดเ้ รยี กประชุมสงฆ์ ถงึ ๑๐,๐๐๐ รูป ทาสงั คายนาของตนเองท่เี มอื งกุสุมปุระ (ปาตลบี ตุ ร) ใหช้ ่อื ว่ามหาสงั คีติ คือมหาสงั คายนาเป็นเหตใุ ห้ เกดิ นิกายมหาสงั ฆกิ ะซง่ึ แมจ้ ะยงั ไม่นบั ว่าเป็นมหายานโดยตรง แต่กน็ บั ไดว้ ่าเป็นเบ้อื งตน้ แห่งการแตกแยกจากฝ่ายเถร วาท มาเป็นมหายานในกาลต่อมา การสงั คายนาครงั้ น้ีไดแ้ กไ้ ขเปลย่ี นแปลงของเดมิ ไปไมน่ อ้ ย นอกจากน้ี ยงั มีขอ้ ความปรากฏในคมั ภรี ฝ์ ่ ายพระพทุ ธศาสนามหายาน ว่า ๑. สงั คายนาครง้ั แรก ท่มี พี ระมหากสั สปะเป็นประธานกระทาท่ถี า้ สตั ตบรรณคูหานน้ั มคี ากล่าวของภกิ ษุ กลุ่มมหายาน ว่าภิกษุทงั้ หลายผูม้ ไิ ดร้ บั เลือกเป็นการกสงฆ์ ไดป้ ระชุมกนั ทาสงั คายนาข้นึ อีกส่วนหน่ึง เรียกว่า สงั คายนานอกถ้า (พาหริ คูหา สงฺคีติ) และโดยเหตุทภ่ี ิกษุผูท้ าสงั คายนานอกถา้ มจี านวนมาก จึงเรียกว่า สงั คายนา มหาสงั ฆกิ ะ (มหาสงฺฆิกสงฺคายนา) คือของสงฆห์ ม่ใู หญ่ เร่อื งน้ีปรากฏในประวตั ิของหลวงจีนเฮ่ยี นจงั ผูเ้ดินทางไปดู การพระพทุ ธศาสนาในอินเดีย และกล่าวดว้ ยว่า ในการสงั คายนาครง้ั น้ี แบ่งออกเป็น ๕ ปิฎก คือ พระสูตร, พระ วนิ ยั , พระอภธิ รรม, ปกณิ ณกะ และธารณี แต่หลกั ฐานของการทาสงั คายนา นอกถ้า (พาหิรคูหา สงฺคายนา) หรอื “สงั คายนานอกประวตั ศิ าสตร”์ ครง้ั ท่ี ๑ น้ีน่าจะเป็นการกล่าวสบั สนกบั เหตุการณ์ท่เี กดิ ขนานกบั การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ หรอื อกี นยั หน่ึงเอาเหตุการณใ์ น สงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ ไปเป็นครงั้ ท่ี ๑ กลา่ วคอื ๒) การสงั คายนาของมหาสงั ฆกิ ะ มเี ร่อื งเลา่ ว่าเมอ่ื ภกิ ษุวชั ชีบตุ ร ถอื วนิ ยั ย่อหย่อน ๑๐ ประการ และพระย สะ กากณั ฑกบตุ ร ไดช้ กั ชวนคณะสงฆใ์ นภาคต่างๆ มาร่วมกนั ทาสงั คายนา ชาระมลทนิ โทษแห่งพระศาสนาวนิ ิจฉยั ช้ี ว่า ขอ้ ถอื ผดิ ๑๐ ประการนน้ั มหี า้ มไวใ้ นพระวนิ ยั อย่างไร แลว้ ไดท้ าสงั คายนา ในขณะเดยี วกนั พวกภกิ ษุวชั ชบี ตุ ร ซง่ึ มอี ยู่เป็นจานวนมาก ก็ไดเ้ รียกประชมุ สงฆถ์ งึ ๑๐,๐๐๐ รูป ทาสงั คายนาของตนเองทเ่ี มอื งกสุ ุมปรุ ะ (ปาตลบี ุตร) ใหช้ อ่ื ว่ามหาสงั คตี ิ คอื มหาสงั คายนาเป็นเหตใุ หเ้กดิ นิกายมหาสงั ฆกิ ะ ซง่ึ แมจ้ ะยงั ไม่นบั ว่าเป็นมหายานโดยตรง แต่ก็ นบั ไดว้ า่ เป็นเบ้อื งตน้ แห่งการแตกแยกจากฝ่ายเถรวาทมาเป็นมหายานในกาลต่อมา การสงั คายนาครง้ั น้ี ไดแ้ กไ้ ขเปลย่ี นแปลงของเดมิ ไปไมน่ อ้ ย หลกั ฐานของฝ่ายมหายานบางเล่ม ไดก้ ล่าวถงึ กาเนิดของนิกายมหาสงั ฆิกะ โดยไมก่ ลา่ วถงึ วตั ถุ ๑๐ ประการกม็ ี
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง แต่กลา่ วว่าขอ้ เสนอ ๕ ประการ ของมหาเทวะเก่ียวกบั พระอรหนั ตว์ ่ายงั มไิ ดด้ บั กิเลสโดยสมบูรณ์ เป็นตน้ เป็นเหตใุ หเ้กดิ การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ แลว้ พวกมหาสงั ฆกิ ะ กแ็ ยกออกมาทาสงั คายนาของตน ๑๑๙ การทาสงั คายนาของนิกายสพั พตั ถกิ วาท การสงั คายนาของพระเจา้ กนิษกะ ประมาณในปีพุทธศกั ราช ๖๔๓ (ค.ศ. ๑๐๐) พระเจา้ กนิษกะผูม้ อี านาจ อยู่ในอินเดยี ภาคเหนือไดส้ นบั สนุนใหม้ กี ารสงั คายนา ซง่ึ อาจกล่าวไดว้ ่า เป็นสงั คายนาแบบผสม ณ เมอื งชาลนั ธร หรอื บางแห่งกลา่ ววา่ เมอื งกาษมรี ะ ในหนงั สือจดหมายเหตุของหลวงจีนเฮ่ียนจงั เล่าว่าพระเจา้ กนิษกะหนั มาสนใจพระพุทธศาสนา และ ตารบั ตาราแห่งศาสนาน้ี จงึ ใหอ้ าราธนาพระภกิ ษุ ๑ รูปไปสอนทกุ ๆ วนั และเน่ืองจากภกิ ษุแต่ละรูปท่ไี ปสอนก็สอน ต่างๆ กนั ออกไป บางครงั้ ก็ถงึ กบั ขดั กนั พระเจา้ กนิษกะทรงลงั เลไม่รูจ้ ะฟงั ว่าองคไ์ หนถูกตอ้ ง จงึ ปรึกษาขอ้ ความน้ี กบั พระเถระผูม้ นี ามว่า ปารสวะ ถามว่า คาสอนท่ถี กู ตอ้ งนนั้ คืออนั ใดกนั แน่ พระเถระแนะนาใหแ้ ลว้ พระเจา้ กนิษกะ จงึ ตกลงพระทยั จดั ใหม้ กี ารสงั คายนา ซง่ึ มภี กิ ษุสงฆน์ ิกายต่างๆ ไดร้ บั อาราธนาใหม้ าเขา้ ประชุม พระเจา้ กนิษกะโปรด ใหส้ รา้ งวดั เป็นทพ่ี กั พระสงฆไ์ ด้ ๕๐๐ รูป ผูจ้ ะพงึ เขยี นคาอธบิ ายพระไตรปิฎก คาอธบิ ายหรืออรรถกถาสุตตนั ตปิฎก มี ๑๐๐,๐๐๐ โศลก, อรรถกถาวนิ ยั ปิฎก ๑๐๐,๐๐๐ โศลก และอรรถกถาอภธิ รรมอนั มนี ามว่า อภธิ รรมวภิ าษา มี จานวน ๑๐๐,๐๐๐ โศลก กไ็ ดแ้ ต่งข้นึ ในสงั คายนาครง้ั น้ีดว้ ย เมอ่ื ทาสงั คายนาเสร็จแลว้ ก็ไดจ้ ารกึ ลงในแผ่นทองแดง เก็บไวใ้ นหีบศิลา แลว้ บรรจุไวใ้ นเจดียท์ ่สี รา้ งข้นึ โดยเฉพาะเพ่อื การน้ีอีกต่อหน่ึง มีขอ้ สงั เกต คือกาหนดกาลของ สงั คายนาครง้ั น้ี ท่ปี รากฏในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาฝ่ายธิเบต กล่าวว่ากระทาในยุคหลงั กว่าท่หี ลวงจนี เฮ่ยี นจงั กล่าว ไว้ แต่เร่ือง พ.ศ. ท่เี ก่ียวกบั เหตกุ ารณ์ในพระพุทธศาสนา กม็ ขี อ้ โตแ้ ยง้ ผดิ เพ้ยี นกนั อยู่มใิ ช่แห่งเดียว จึงเป็นขอ้ ท่ี ควรจะไดพ้ จิ ารณาสอบสวนในทางทค่ี วรต่อไป การสงั คายนาครง้ั น้ี เป็นของนิกายสพั พตั ถิกวาท ซ่ึงแยกสาขาออกไปจากเถรวาท แต่ก็มีพระของฝ่ าย มหายานร่วมอยู่ดว้ ย จงึ เท่ากบั เป็นสงั คายนาผสม สงั คายนานอกประวตั ศิ าสตร์ ยงั มสี งั คายนาอีกครงั้ หน่ึง ซ่งึ ไม่ปรากฏในประวตั ิศาสตร์ (outside historical council) และไม่ไดก้ าร รบั รองทางวชิ าการดา้ นพทุ ธศาสนา จากผูศ้ ึกษาคน้ ควา้ ทางพระพทุ ธศาสนา อาจถือไดว้ ่าเป็นความเช่ือถือปรมั ปราสืบ ต่อกนั มาของพทุ ธศาสนิกชนฝ่ายมหายานในจนี และญ่ปี ่นุ คือสงั คายนาของพระโพธิสตั วม์ ญั ชศุ รี กบั พระโพธิสตั วไ์ มเต รยะ (พระศรีอรยิ เมตไตรย) ทง้ั น้ีปรากฏตามหลกั ฐานในหนงั สอื ประวตั ิศาสตรย์ ่อแห่งพระพทุ ธศาสนา ๑๒ นิกายของ ญ่ปี ุ่นซ่งึ ไม่ไดบ้ อกกาลเวลา สถานท่ี และรายละเอียดไว้ ท่นี ามากล่าวไวใ้ นท่นี ้ี พอเป็นเคร่ืองประดบั ความรูเ้ ก่ียวกบั ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกในทม่ี าต่างๆ เท่าทจ่ี ะคน้ หามาได้ เป็นอนั ว่าไดก้ ล่าวถึงการสงั คายนาทง้ั ของฝ่ายเถรวาท และของมหายานไว้ พอเป็นแนวทางใหท้ ราบความ เป็นมาแห่งคาสอนทางพระพุทธศาสนา และโดยเฉพาะคมั ภีร์พระไตรปิฎก ทง้ั ไดพ้ ยายามรวบรดั กล่าว เพราะ ไมเ่ ช่นนนั้ จะกลายเป็นตอ้ งแต่งประวตั ศิ าสตรค์ วามเป็นมาแห่งพระพทุ ธศาสนาขนาดใหญ่ไวใ้ นทน่ี ้ี ๑๑๙ ดร.ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ , เอกสารประกอบการสอนรายวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน, (พษิ ณุโลก : โฟกสั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หนา้ ๑๒- ๑๓.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๑ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง โดยความจริงแลว้ พระพทุ ธศาสนามหายาน ไดเ้ร่มิ ก่อตวั ตงั้ แต่หลงั พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานได้ ๓ เดือนแลว้ หลงั จากนนั้ ต่อมา ๑๐๐ ปี ก็จดั ระบบคณะสงฆอ์ ีกครง้ั หน่ึง ทน่ี ครไพสาลี เหตผุ ลในการชาระพระธรรมวนิ ยั ครงั้ น้ี ก็ เพ่ือช้ีชดั ลงไปว่า บทบญั ญตั ิจริงๆ ท่ีโตแ้ ยง้ กนั ทางพระวินยั นน้ั ท่ถี ูกตอ้ งแทจ้ ริงเป็นอย่างไร ทาไมจึงไม่สามารถ ยอมรบั ในหลกั การดงั กลา่ วเช่นน้ีได้ จึงเป็นเหตุนาไปสู่ความแตกแยกทางความคิดมากข้นึ ตามลาดบั ใชร้ ะยะเวลา เพยี ง ๑๕๐ ปีเท่านนั้ กป็ รากฏเหตกุ ารณต์ ่างๆ ข้นึ ในพระพทุ ธศาสนามากมาย เช่น มลี ทั ธนิ ิกายเกดิ ข้นึ ถงึ ๑๘ นิกาย จนเป็นเหตใุ หพ้ ระเจา้ อโศกมหาราช โดยใหค้ ณะสงฆท์ าการสงั คายนา ครงั้ ท่ี ๓ ท่เี มอื งปาฏลบี ุตร เพราะความวุ่นวาย ทเ่ี กดิ จากภยั ภายในทางความคิดทแ่ี ตกต่าง การปลอมบวชของพวกลทั ธภิ ายนอก ทเ่ี หน็ แก่ลาภสกั การะ มงุ่ การดารง ชพี ไมม่ งุ่ แก่นธรรม พระเจา้ อโศกมหาราช เมอ่ื ชาระเส้ยี นหนามและปดั กวาดขยะอนั เป็นส่วนเกินในพระพทุ ธศาสนา ออกไปในระดบั หน่ึงแลว้ กไ็ ดจ้ ดั อบรมและส่งพระธรรมทูตออกไปประกาศศาสนา โดยแบง่ ออกเป็น ๙ สาย ดว้ ยกนั สง่ิ ทน่ี ่าสงั เกตเกย่ี วกบั สาเหตขุ องการสงั คายนาทกุ ครง้ั พอประมวลได้ ๔ ประเด็นคอื ๑. ขอ้ ขดั แยง้ กนั ทว่ี า่ สง่ิ ทค่ี ณะสงฆส์ ่วนใหญ่ปฏบิ ตั เิ ช่นน้ี ถกู ตอ้ งตามหลกั ธรรมะ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว้ ใช่ หรอื ไม?่ ๒. ขอ้ ขดั แยง้ กนั ท่วี ่า ส่งิ ท่คี ณะสงฆส์ ่วนใหญ่ปฏบิ ตั เิ ช่นน้ี ถูกตอ้ งตามหลกั พระวนิ ยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว้ ใช่หรอื ไม?่ ๓. ขอ้ ขดั แยง้ กนั ทว่ี ่า ส่งิ ทค่ี ณะสงฆส์ ่วนใหญ่ปฏบิ ตั ิเช่นน้ี ถูกตอ้ งตามหลกั ธรรมะและวนิ ยั ทเ่ี หลา่ อาจารย์ สงั่ สอนกนั อยูต่ ามลาดบั ใช่หรอื ไม?่ ๔. ขอ้ ขดั แยง้ กนั ท่ีว่า วิธีการศึกษาเรียนรูศ้ าสนา การเผยแผ่พระพุทธศาสนา หลกั การทางานเพ่ือพระ ศาสนา และเป้าหมายสูงสุดของพระศาสนา ทป่ี ฏบิ ตั กิ นั อยู่เช่นน้ี ถูกตอ้ งตามหลกั พระธรรมะและวนิ ยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว้ เหลา่ อาจารยส์ งั่ สอนไว้ ใช่หรอื ไม?่ ๑๒๐ เมอ่ื เหตกุ ารณด์ งั กลา่ วหาขอ้ ยุตกิ นั ไมไ่ ด้ ตกลงกนั ไมไ่ ด้ พดู คุยกนั ไมร่ ูเ้ร่อื ง การหาแนวทางยุตคิ วามขดั แยง้ เพอ่ื หาจดุ ร่วมเชงิ สมานฉนั ทไ์ มไ่ ด้ ความแตกแยกในหมสู่ งฆก์ ็เกิดตามมา และนบั วนั ทวคี วามรุ่นแรงข้นึ เร่อื ยๆ กล่าว กนั ว่าหม่สู งฆส์ ่วนหน่ึง ท่ไี ม่เหน็ ดว้ ยกบั การสงั คายนาในครง้ั ท่ี ๓ น้ี ไดอ้ อกเดินทางม่งุ หนา้ ข้นึ สู่ทางตอนเหนือของ อนิ เดยี หลงั จากนนั้ ประมาณ ๓๐๐ ปีเศษ การสงั คายนา ครง้ั ท่ี ๔ กเ็ กิดข้นึ โดยการสนบั สนุนจากพระเจา้ กณิษกะ มหาราช ทเ่ี มอื งแคชเมยี ร์ (รฐั จามแู ละแคชเมยี ร์ ทางตอนเหนือของอนิ เดียในปจั จุบนั ตดิ กบั ประเทศปากสี ถานและ อฟั กานิสถาน) ประมาณปี พ.ศ. ๖๕๐๑๒๑ ความมนั่ คงของมหายาน : นกั ประวตั ิศาสตรศ์ าสนา ต่างก็ยนื ยนั ตรงกนั ว่า การทาสงั คายนาท่เี มอื งราช คฤหสั ถน์ นั้ เป็นเร่อื งของมหายาน และการทาสงั คายนาทเ่ี มอื งแคชเมยี ร์ เป็นเร่อื งของมหายานโดยตรง ขอ้ ยนื ยนั ใน ๑๒๐ บญุ ย์ นิลเกษ, พระพุทธศาสนามหายานเขา้ สู่ประเทศไทย เล่ม ๑, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑, (เชียงใหม่ : หจก. เชยี งใหม่ บ.ี เอส. การพมิ พ,์ ๒๔๔๑), หนา้ ๙-๑๐. ๑๒๑ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๐.
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๒ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ เร่อื งน้ีพสิ ูจนท์ ราบไดจ้ ากท่ี พระเจา้ กณิษกะมหาราช ไดห้ นั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา หลงั จากการฟงั เทศนข์ องพระ มหาเถระ ชอ่ื ปารศั วะ และพระองคไ์ วว้ างการทาสงั คายนาในครงั้ น้ีอยา่ งเต็มท่ี รูปแบบการสงั คายนา ประกอบดว้ ยผูท้ รงคุณวุฒิ ๓ ฝ่ าย คอื ๑. พระอรหนั ต์ ๕๐๐ รูป ๒. พระโพธสิ ตั ว์ ๕๐๐ รูป ๓. บณั ฑติ และนกั ปราชญ์ ๕๐๐ คน กล่มุ คณะสงฆ์ ผูน้ าในการทาสงั คายนา อกี จานวน ๕ รูป ๑. พระวสุมติ ร ๒. พระธรรมตาระ ๓. พระศรโี ฆษะ ๔. พระพทุ ธเทวะ ๕. พระอศั วโฆษ พระผูน้ าท่ีเป็นตน้ กาเนิดและตน้ ความคิดของมหายาน ท่ีมีช่ือเสียงในครงั้ น้ี ก็คือ พระอัศวโฆษ (Asvaghosha) เป็นชาวเมอื งสาเกต ใกลเ้มอื งสาวตั ถี เจา้ ของผลงานคมั ภรี ม์ หากาพยพ์ ุทธจรติ คมั ภรี ส์ ุนทรานนั ทะ และอน่ื ๆ อกี หลายเลม่ ขอ้ สรุปและขอ้ ยุตขิ องการทาสงั คายนาในครง้ั น้ี ไดแ้ ก่การจารกึ อธิบายพระไตรปิฎก (อรรถกถา) ซ่งึ มหายาน เรยี กวา่ “วภิ าษาศาสตร”์ เป็นภาษาสนั สกฤต ใส่ไวใ้ นแผน่ ทองคา๑๒๒ ดงั น้ี ๑. จารกึ พระวนิ ยั จานวน ๑๐,๐๐๐ แผน่ ๒. จารกึ พระสูตร จานวน ๑๐,๐๐๐ แผ่น ๓. จารกึ พระอภธิ รรม จานวน ๑๐,๐๐๐ แผน่ รวมทง้ั หมด จานวน ๓๐,๐๐๐ แผน่ แผ่นทองจารึกทง้ั หมด พระเจา้ กณิษกะมหาราช ใหส้ รา้ งเจดียห์ ิน เพอ่ื เก็บรกั ษาไวโ้ ดยตรงเป็นการเฉพาะ นอกจากนนั้ ยงั ไดส้ รา้ งวดั สงั ฆาราม ใกลก้ บั เจดยี ห์ นิ อนั เป็นทพ่ี กั อาศยั ของพระสงฆไ์ ดม้ ากกว่า ๕๐๐ รูปอกี ดว้ ย อาณาจกั รคนั ธาระ ท่ีปกครองโดยพระเจา้ กณิษกะมหาราช มอี าณาบริเวณกวา้ งใหญ่ไพศาล ครอบคลุม พ้นื ทช่ี มพทู วปี เกอื บทง้ั หมด รวมประเทศอฟั กานิสนิสถน ปากสี ถานและบงั คลาเทศทงั้ หมดเช่นกนั เน่ืองจากดินแดน คนั ธาระ เป็นศูนยก์ ลางการคา้ ระหว่างอาหรบั กบั จีนและตะวนั ออกกลาง นบั ตง้ั แต่ดินแดนตอนใตร้ ฐั เซยี ลงมา ถงึ ดนิ แดนมองโกเลยี และจนี เน่ืองดว้ ยเหตแุ ละปจั จยั ทเ่ี อ้อื อานวยในหลายๆ ดา้ น เช่น เศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื ง เช่นน้ีมหายานจึง มโี อกาสขยายตวั ไดอ้ ย่างกวา้ งขวางครอบคลุมเอเชยี เกอื บทงั้ หมด หากแต่เกดิ ภยั จากศาสนาอ่นื คุมคามในเวลาต่อมา พทุ ธศาสนามหายานคงมโี อกาสครอบคลมุ เอเชียเกอื บทงั้ หมดในปจั จบุ นั ๑๒๒ บญุ ย์ นลิ เกษ, พระพทุ ธศาสนามหายานเขา้ สูป่ ระเทศไทย เลม่ ๑, หนา้ ๑๑-๑๒.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณส์ งั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๓ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง เหตกุ ารณ์หลงั ทาสงั คายนา พระพทุ ธศาสนาไดเ้กิดการแบง่ แยกออกเป็นนิกายต่างๆ ถงึ ๑๘ นิกายหรอื มากกว่านน้ั ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒ ส่วนมากเป็นนิกายเล็กๆ ไม่ค่อยมีบทบาทมากนกั นิกายท่ีไดร้ บั ความนบั ถือและมีอิทธิพลมากท่ีสุดในระยะ ๕ ศตวรรษแรกไดแ้ ก่เถรวาทนิกาย ซ่ึงยึดถือปฏิบตั ิตามมติปฐมสงั คายนาเป็นหลกั สาคญั และนิกายน้ีเองยงั ได้ แตกแยกออกเป็นนิกายเลก็ ๆ อกี ถงึ ๑๒ นิกาย ดงั นนั้ การศึกษาหลกั ธรรมท่สี าคญั ท่สี ุดจึงสามารถคน้ หาไดจ้ ากเภทธรรมมตจิ กั รศาสตร์ (หมวดธรรมทว่ี ่า ดว้ ยเร่อื งกงลอ้ ในทรรศนะทเ่ี หน็ ต่างของธรรมะ) ในฝ่ายสนั สกฤตและกถาวตั ถขุ องฝ่ายบาลซี ง่ึ เป็นหลกั ธรรมของฝ่าย สาวกยานหรอื เถรวาทนิกาย ส่วนนิกายต่างๆ ทแ่ี ตกแยกออกจากนิกายเถรวาท เราไมส่ ามารถหาหลกั ฐานไดอ้ ย่างสมบูรณ์เพยี งพอ นิกาย อน่ื ๆ ทพ่ี อจะคน้ หาหลกั ธรรมไดล้ ะเอยี ดพอสมควรคือ นิกายสรวาสตวิ าทนิ ซ่งึ ส่วนใหญ่คณาจารยจ์ ีนไดแ้ ปลจกภาษา สนั สกฤตและบาลี เป็นภาษาจีนและทิเบต หลกั ธรรมของนิกายสรวาสติวาทินเราสามารถศึกษาไดจ้ ากนิกาย มหายาน เพราะไดร้ วมหลกั ธรรมทส่ี าคญั ของสรวาสตวิ าทนิ อยูด่ ว้ ย นิกายนอกจากทก่ี ล่าวมาปรากฏว่ามหี ลกั ฐานหลงเหลอื ตกทอดมาถงึ ปจั จุบนั นอ้ ยมาก จนไมส่ ามารถยดึ ถอื เป็นหลกั สาคญั ได้ แต่นิกายมหาสงั ฆกิ ะและกง่ิ กา้ นของนิกายทแ่ี ตกแยกออกไป มบี ทบาทสาคญั มากในการก่อกาเนิด พระพทุ ธศาสนานิกายมหายานข้นึ แต่ลทั ธิอสิ ระและเป็นท่รี วมหลกั ธรรมสาคญั ๆ ของทุกๆ นิกายในพระพทุ ธศาสนา จงึ นบั ไดว้ า่ นิกายมหายาน เป็นขมุ กาลงั ทส่ี าคญั มากทส่ี ุดของพระพทุ ธศาสนา สาเหตทุ ีเ่ ป็นบ่อเกิดมหายานนนั้ มเี หตุการณ์ความเป็นไปของพระพทุ ธศาสนาในยุคแรกและต่อมาใน ระหวา่ งสมยั ท่พี วกกุษาณะ กาลงั แผ่อิทธิพลอยู่ทางอนิ เดยี เหนือ และพวกอนั ธะ กาลงั เจรญิ รุ่งเรืองและเสวยอานาจ ทางอินเดียตอนใต้ ในราวพุทธศตวรรษ ท่ี ๖-๗ ไดม้ ีเหตุการณ์เปล่ียนแปลงหลายประการปรากฏข้ึนใน พระพุทธศาสนานนั้ คือ การถอื กาเนิดของลทั ธินิกายใหม่ ซ่ึงไม่ยอมอยู่ร่วมอาณตั ิดว้ ยกบั ลทั ธินิกาย ๑๘ ซ่งึ กาลงั เจรญิ แขง่ กนั อยูล่ ทั ธนิ ิกายใหมน่ ้ี เรยี กตนเองวา่ ‚ลทั ธิมหายาน‛ การปรากฏข้ึนของนิกายมหายานนบั เป็นวิวฒั นาการ และเป็นงานปฏิรูปในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ของ พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาในสมยั ดงั้ เดมิ หลกั ธรรมคาสอน มลี กั ษณะเป็นสจั จนิยม มนุษยภาพนิยม ปติฏ ฐานนิยมและเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ไดเ้ ปล่ยี นแปลงไปเป็นอภิปรชั ญาในสมยั ๑๘ นิกาย และไดก้ ลายเป็น อภปิ รชั ญาและตรรกวทิ ยาอยา่ งสมบูรณแ์ บบ สมยั ลทั ธิมหายานเกิดข้นึ นิกายมหายานจึงเป็นผลแห่งการตีความหลกั ธรรมอนั เกิดจากจินตนาการอนั ไพศาลเป็นอภิปรชั ญาเป็นตรรกวทิ ยาและวรรณคดี และศิลปะย่งิ ใหญ่ตลอดจนหลกั ธรรมทต่ี อ้ งอารมณ์ของชนทุก ชนั้ ในซกี โลกตะวนั ออก มหายานเกดิ ข้นึ จากคณะสงฆ์ ๑๘ นิกาย พระพทุ ธศาสนาไดแ้ ตกแยกออกเป็นนิกายต่างๆ เน่ืองมาจาก ความวบิ ตั แิ ห่ง สลี สามญั ญตา และทิฏฐสิ ามญั ญตา นบั ตงั้ แต่พทุ ธศตวรรษท่ี ๑ เป็นตน้ มา ในสมยั นนั้ สงั ฆมณฑล แบง่ แยกออกเป็น ๑๘ นิกายใหญ่ และมสี าขาปลกี ย่อยแยกแยะออกมาอกี ต่างนิกายต่างมอี ุดมทศั นะทางหลกั ธรรม และวตั รปฏิบตั ผิ ิดแผกกนั และแต่ละนิกายย่อมมศี ูนยก์ ลางของคณะมหายานก็มลี กั ษณะอย่างเดียวกนั คือเกิดข้นึ
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๔ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ เพราะมที ศั นะในเรอ่ื งอุดมคติต่างจากพวกนิกาย ๑๘ จงึ ตอ้ งแยกออกมาเป็นคณะใหม่ คณาจารยใ์ นมหายานในสมยั ตน้ ๆ ลว้ นแต่เป็นภกิ ษุในนิกาย ๑๘ มาก่อน ในภายหลงั จึงแยกตนออกมาตง้ั นิกายมหายาน โดยเฉพาะอย่างย่ิง คณาจารยใ์ นนิกายมหาสงั ฆิกะ นิกายทง้ั ๑๘ มดี งั ต่อไปน้ี๑๒๓ ๑. นิกายสถวริ วาท ๒. นิกายมหาสงั ฆกิ วาท ๓. นิกายเอกพั โยหารกิ าวาท ๔. นิกายโลกตุ ตรวาทนิ ๕. นิกายโคกลุ กิ วาท ๖. นิกายพหุสสุตวิ าท ๗. นิกายปญั ญตั วิ าท ๘. นิกายมหสิ าสกิ วาท ๙. นิกายวชั ชบี ตุ ร ๑๐. นิกายสรวาสตวิ าทนิ ๑๑. นิกายธรรมคุปตะ ๑๒. นิกายกสั สปิกวาท ๑๓. นิกายเสาตรนตกิ ะ ๑๔. นิกายเจตวิ าท ๑๕. นิกายสมติ ยิ วาท ๑๖. นิกายเหมวนั ตะ ๑๗. นิกายสุตตวาท ๑๘. นิกายอนั ธกะ เหลา่ น้ี ต่อมาแตกเพม่ิ ออกไปอีก ๔ นิกาย รวมเป็น ๒๒ นิกาย คือ ๑๙. นิกายปรเสลยิ ะและอุตตรเสลยิ ะ ๒๐. นิกายอตุ ตรปถะ ๒๑. นิกายวภิ ชั ชวาทนิ ๒๒. นิกายเวตลุ ลลกะ๑๒๔ ต่อมาบางนิกายย่อยกไ็ ดพ้ ฒั นาการมาเป็นมหายาน โดยเฉพาะนิกายมหาสงั ฆิกะและบางส่วนก็ยงั คงเป็นเถร วาทหรอื หนิ ยานเช่นเดมิ ๑๒๓ Karl H. Potter, ed., Encyclopedia of Indian Philosophy, Vol. VIII., (Delhi : Motilal Banarsidass Publishers Private Limited, 1999), pp. 23-24. ๑๒๔ Karl H. Potter, ed., Op. Cit., pp. 25-27.
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๕.๑๐ ความแตกตา่ งของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทกบั มหายาน การเฟ้นหาความต่างน้ีเพอ่ื ความรู้ ไมใ่ ช่เพอ่ื สรา้ งความไมพ่ ออกพอใจต่อกนั และกนั ทงั้ มหายานและเถรวาท ต่างกม็ สี ายเลอื ดอนั เดยี วกนั พสิ ูจนไ์ ดจ้ ากหลกั คาสอนทเ่ี ป็นแกนหลกั สาคญั เช่น อริยสจั ๔ ปฏจิ จสมปุ บาท ความ หลุดพน้ พระโคตมพทุ ธเจา้ จะมคี วามแตกต่างกนั ก็แต่เพียงปลกี ย่อย ไม่ใช่สารตั ถะสาคญั เปรียบเหมอื น พ่นี อ้ ง ทอ้ งแมเ่ ดยี วกนั เมอ่ื เจริญวยั ต่างคนต่างไป ทากจิ การงานต่างๆ ย่อมมวี ธี ีการ และรสนิยมในการดาเนินชีวติ เพ่อื ความ อยู่รอดทไ่ี มเ่ หมอื นกนั แต่กย็ งั เป็นพเ่ี ป็นนอ้ งเป็นสายเลอื ดเดียวกนั ย่อมจะตดั ขาดจากกนั ไมไ่ ด้ ต่อไปน้ีขอนาขอ้ คดิ เหน็ ของบูรพาจารยท์ ่ที ่านแสดงใหเ้หน็ ความแตกต่างๆ ระหวา่ ง ๒ นิกาย ดงั ต่อไปน้ี ๑. นิกายมหายาน เป็นนิกายท่มี หี ลกั ปฏบิ ตั ิเพ่อื ช่วยมหาชนใหม้ ากทส่ี ุด โดยไมค่ านึงถงึ ตนเอง ในบางครงั้ ชาวมหายานอาจจะตอ้ งยอมตกนรก ถา้ หากว่าการกระทานน้ั ๆ จะเป็นการช่วยชีวติ ของสรรพสตั วไ์ วไ้ ด้ เถรวาทไม่มี คาสอนในลกั ษณะน้ี ๒. มหายาน จะไมร่ ีบด่วนไปสู่ความดบั ทุกขจ์ นกว่าจะช่วยสรรพสตั วใ์ หพ้ น้ ทุกข์ ดงั นน้ั ชาวมหายานจึงมี ปณิธานท่วี ่า ‚หากยงั มีสตั วท์ ่ตี อ้ งตกทกุ ขไ์ ดย้ ากอยู่ กจ็ กั ไม่ขอปรารถนาบรรลพุ ทุ ธภมู ิ‛ ส่วนนิกายเถรวาทตอ้ งการ การหลดุ พน้ จากวฏั ฏะทุกขอ์ ย่างรีบด่วน ๓. นิกายมหายาน เช่อื ว่าหลงั จากท่พี ระพทุ ธองคป์ รินิพพานแลว้ พระองคย์ งั คงมอี ยู่และรบั รูเ้ร่อื งราวต่างๆ ในโลกน้ี และจะเสด็จกลบั มาสู่โลกน้ีอีกเพ่ือโปรดสรรพสตั ว์ นิกายเถรวาทปฏิเสธเร่ืองราวของพระพุทธองคห์ ลงั ปรนิ ิพพานว่ามอี ยูห่ รอื ไมม่ อี ยู่ ๔. นิกายมหายาน เช่ือว่าสตั วท์ ง้ั หลายมจี ิตเป็นสากล หรือพุทธภาวะท่แี จ่มจรสั ปราศจากกิเลส ส่วนนิกาย เถรวาทไมย่ อมรบั ในเร่อื งน้ี ๕. มหายานมองพระพทุ ธพจนใ์ นแง่ปรชั ญา วิพากษว์ ิจารณ์ความหมายพระพุทธพจนไ์ ปในแง่ต่างๆ ตาม ความคิดของบุคคลแต่ละบุคคล ปรบั ปรุงธรรมวินยั ไปตามกาลเทศะ เพ่ือความเหมาะสมแก่ประชาชนและ สง่ิ แวดลอ้ ม เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่พระพทุ ธศาสนา มกี ารแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจนี แลว้ ใชต้ น้ ฉบบั นนั้ เป็นหลกั เถรวาท ยดึ มนั่ อยู่ในธรรมวนิ ยั อนั เป็นคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ตามแบบเดิมตงั้ แต่ครง้ั ปฐมสงั คายนา ไม่ ยอมเปลย่ี นแปลง ยกพระธรรมวนิ ยั ไวใ้ นฐานะอนั สูงส่งและศกั ดิสิทธ์ิ แมพ้ ระไตรปิฎกก็ไม่เปลย่ี นแปลง คงรกั ษา ของเดิมซ่งึ เป็นภาษามคธเอาไวเ้ป็นหลกั เป็นธรรมนูญของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ใครจะแปลเป็นภาษาอะไรก็ แปลไป แต่ไมท่ ้งิ ของเดมิ คงรกั ษาของเดมิ ภาษามคธเป็นหลกั ๖. มหายาน ตง้ั บุคคลเป็นแกนกลางคานึงถงึ สติปญั ญาความคิดความรูแ้ ละความสามารถของบุคคลเป็น เกณฑ์ แทนทจ่ี ะปรบั บคุ คลใหเ้ขา้ หาพระพทุ ธพจน์ แต่ปรบั พระพทุ ธพจนเ์ ขา้ หาบุคคล เพ่อื ประโยชนแ์ ก่การเผยแพร่ พระพทุ ธศาสนา ผ่อนปรนจนบางนิกายอนุมตั ใิ หพ้ ระสงฆม์ คี รอบครวั ได้ เพ่อื ประโยชนท์ างการเผยแพร่ เถรวาทตงั้ พระพทุ ธพจนเ์ ป็นแกนกลาง แลว้ ดงึ บคุ คลใหเ้ขา้ หาพระพทุ ธพจน์ โดยอา้ งเหตผุ ลเป็นเคร่อื งจงู ใจ ๗. มหายาน ตงั้ เป้าหมายไวง้ า่ ยๆ โดยใชห้ ลกั จิตวทิ ยาชน้ั สูงจูงใจคนคือ ปรบั พระพทุ ธพจนใ์ หเ้ขา้ กบั บคุ คล ใหค้ นทวั่ ไปมคี วามรูส้ กึ ว่าพทุ ธภาวะนน้ั อยู่แค่เอ้อื ม เพราะมอี ยู่ในทกุ คนแลว้ ดงั นนั้ บุคคลทุกเพศทุกวยั กอ็ าจบรรลุ พทุ ธธรรมได้ โดยไมต่ อ้ งอาศยั วธิ ีท่ยี ากมากหรอื การปฏบิ ตั ิมากนกั เถรวาทตงั้ เป้าหมายและวธิ ีเพ่อื บรรลุเป้าหมายไว้
บทท่ี ๕ ‚เหตุการณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๖ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง สูงและยาก ตอ้ งอาศยั ความตง้ั ใจจริง ๆ จึงจะกลา้ ดาเนินการตามเป้าหมายและบรรลุตรงเป้าหมายนนั้ ทาใหส้ ามญั ชนโดยทวั่ ไปมองพระพทุ ธศาสนาในสง่ิ สูงสุดยากทจ่ี ะเขา้ ถงึ ๘. มหายาน ถอื ปรมิ าณเป็นสาคญั โดยถอื ว่าคุณภาพย่อมเกดิ จากปรมิ าณโดยตง้ั สมมติฐานไวว้ ่า ในจานวน ผูศ้ ึกษา หรือใฝ่ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรมเป็นจานวนมากนน้ั ย่อมจะมอี ยู่จานวนหน่ึงท่เี ขา้ ถึงพทุ ธธรรม และย่อมรูแ้ จง้ เห็นจริงในพุทธธรรมเองได้ เถรวาทมุ่งท่ีปจั เจกภาพหรือคุณภาพเฉพาะบุคคล คือ เร่ิมท่ีตนแลว้ จึงไปหาผูอ้ ่ืน หมายถงึ ว่าเถรวาทถอื คุณภาพเป็นสาคญั ๙. เก่ยี วกบั อดุ มคตใิ นการดาเนินงาน การเผยแพร่เถรวาทม่งุ ทต่ี นเองก่อน คือตนเองตอ้ งรูก้ ่อนแลว้ จึงสอน จงึ ช่วยผูอ้ ่นื มฉิ ะนน้ั จะนาอะไรไปช่วยเขาเมอ่ื ตนเองยงั ไมม่ อี ะไร ยงั ไมร่ ูอ้ ะไร มหายาน วางอดุ มคตจิ ูงใจไวก้ ่อนวา่ ตอ้ งบาเพญ็ ตนเพอ่ื ผูอ้ ่นื ก่อน เพ่อื ตนเองทหี ลงั มปี ณิธานว่าจะช่วยขนสตั วใ์ หพ้ น้ โอฆสงสารบรรลุธรรมจนหมดส้นิ ก่อน ตนจงึ ขอบรรลธุ รรมเป็นคนสุดทา้ ย ๑๐. ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมพี ระสงฆเ์ ป็นแกนกลางในการยึดมนั่ ของประชาชน พระสงฆจ์ รรโลง พระพทุ ธศาสนา เป็นผูน้ า พทุ ธบรษิ ทั อ่นื เป็นผูต้ าม ในฝ่ ายมหายาน ศูนยก์ ลางของการนับถือมิไดม้ ีจากดั ในคณะสงฆเ์ ท่าน้ัน คนทุกคนมีส่วนจรรโลง พระพุทธศาสนา เหตุผลคือพระโพธิสตั ว์ของฝ่ ายมหายานจะมีทงั้ บรรพชิต ทงั้ คฤหสั ถ์ ช่วยกันประกาศ พระพทุ ธศาสนา ๑๑. เถรวาท ถอื เรอ่ื งอรยิ สจั เป็นสาคญั มหายาน ถอื เรอ่ื งบารมเี ป็นสาคญั เพอ่ื ความเป็นพระโพธสิ ตั ว์ ๑๒. เถรวาท มีพระพุทธเจา้ พระองค์เดียว คือพระสมณโคดม หรือพระศากยมุนี มหายาน ถือว่า พระพทุ ธเจา้ มมี าก ประดุจเมด็ กรวดทรายในมหาสมทุ ร (เพ่อื จูงใจใหค้ นพอใจปรารถนาเป็นพระโพธิสตั ว์ ใหเ้หน็ ว่า ไมย่ ากจนเกนิ ไปจนน่าทอ้ ) บางนิกายแสดงวา่ มพี ระพทุ ธเจา้ องคด์ ง้ั เดมิ คอื อาทพิ ทุ ธ (ดุจปราตมนั ของพราหมณ์) เมอ่ื อาทพิ ทุ ธพทุ ธเจริญญาณ เกิดเป็นฌานิพทุ ธ คือพระพทุ ธเจา้ เกิดจากฌานของอาทิพุทธอีกเป็นอนั มาก เช่นพระไวโร จนพทุ ธะ อกั โขภยพุทธะ อโฆสทิ ธิพทุ ธะ รตั นสมั ภวพทุ ธะ ไภสชั ชคุรุพุทธะ อมติ ตาภาพทุ ธะ เป็นตน้ เฉพาะอมติ ตาภะพทุ ธะน้ี เมอ่ื เป็นมานุสสพี ทุ ธ คอื เป็นพระพทุ ธเจา้ ในร่างมนุษย์ (อวตาร) กค็ อื พระศรศี ากยมนุ ีพทุ ธนนั่ เอง ๑๓. เถรวาท มคี วามม่งุ หมายเพ่อื บาเพญ็ อตั ตตั ถาจริยา คือประโยชนส์ ่วนตน ญาตตั ถจรยิ าประโยชน์ ต่อเพอ่ื นมนุษย์ โลกตั ถจรยิ า คือประโยชนต์ ่อสตั วโ์ ลก โดยเหน็ ว่าการ่เี ราจะช่วยผูอ้ ่นื ได้ เราตอ้ งช่วยตวั เองใหม้ หี ลกั ก่อน การท่ีเราจะช่วยคนตกนา้ เราตอ้ งว่ายนา้ เป็นก่อนการท่เี ราจะช่วยนาสตั วใ์ หข้ า้ มโอฆสงสารได้ เราตอ้ งมเี รือคือ ตอ้ งรูโ้ พธปิ กั ขยิ ธรรมก่อน ก็โพธิปกั ขยิ ธรรม คนจะรูไ้ ดก้ ต็ อ้ งตรสั รูส้ าเร็จเป็นพระพทุ ธเจา้ หรอื เป็นพระอรหนั ต์ เมอ่ื ยงั ไมส่ าเรจ็ กย็ งั ไมร่ ู้ เมอ่ื ไมร่ ูก้ เ็ ทา่ กบั ว่ายงั ไมม่ เี รอื เมอ่ื ไมม่ เี รอื จะใชอ้ ะไรส่งสตั วข์ า้ มโอฆะไดค้ ตขิ องเถรวาทเป็นอย่าง น้ี มหายาน มงุ่ ความเป็นพระโพธสิ ตั ว์ หรือพทุ ธภูมิ เพ่อื บาเพญ็ โลกตั ถะจริยาไดเ้ตม็ ท่ี คือมงุ่ ช่วยผูอ้ ่นื เป็นจุดสาคญั และแสดงว่ามพี ระโพธสิ ตั วห์ ลายองค์ เช่น พระอวโลกเิ ตศวร, พระมญั ชุศรี, พระวชั รปราณี, พระกษติ ิครรภ, พระสุ มนั ตรภทั ร และ พระอรยิ เมตไตรยเป็นตน้ เป็นตวั อย่าง เพอ่ื จูงใจใหค้ นปรารถนาเป็นพระโพธิสตั ว์ ๑๔. เถรวาทมี บารมี ทจ่ี ะใหส้ าเรจ็ บรรลุสมั มาสมั โพธญิ าณ เป็นพระพทุ ธเจา้ ๑๐ ประการมที าน, เนกขมั มะ, ปญั ญา ,วริ ิยะ, สจั จะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา, ขนั ติ มหายาน มบี ารมอี นั ใหถ้ งึ ความสาเร็จเป็นพระโพธสิ ตั ว์
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๗ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ และเป็น ปฏปิ ทาของพระโพธสิ ตั ว์ ๖ ประการ คือ ทาน ศีล วริ ยิ ะ ขนั ติ ฌาน ปญั ญา (บา้ งก็ว่ามี ๑๐ เหมอื นกบั ของ เถรวาท) ๑๕. เถรวาท พระอรหนั ตอ์ ยู่จบกิจในพรหมจรรยแ์ ลว้ ส้ินกิเลสแลว้ ส้ินความสงสยั รูว้ ่าตนบรรลุพระ อรหตั ผลดว้ ยตนเอง โดยมติ อ้ งมคี นบอก มคี วามรูใ้ นอริยมรรค อริยผล ไม่ฝนั ปรินิพพานแลว้ ก็ดบั หมดทงั้ กาย สงั ขาร วจสี งั ขาร จติ สงั ขาร (อนุปาทเิ สสนิพพาน) ไมเ่ กดิ อกี ถอื ว่าเหนือกว่าพระโพธสิ ตั ว์ เพราะส้นิ กิเลสแลว้ ไม่ตอ้ ง ศึกษาอีกแลว้ แต่พระโพธสิ ตั วย์ งั มกี ิเลสยงั ตอ้ งศึกษาและ พระเถรวาทจะไม่ไหวร้ ูปพระโพธิสตั ว์ เพราะถอื ว่ายงั ไม่ เป็นพระภกิ ษุ มหายาน พระอรหนั ตย์ งั ฝนั อย่างคนมรี าคะ เพราะถูกมารยวั่ ยงั ความไม่รูใ้ นอรยิ มรรค อริยผลยงั ตอ้ ง สงสยั ใน อรยิ มรรค อริยผล เป็นตน้ จะรูว้ ่าตนบรรลุตอ้ งมผี ูบ้ อก ปรินิพพานแลว้ ยงั เกิดอกี แต่เกดิ เพอ่ื สาเร็จเป็น พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ถอื ว่าสูพ้ ระโพธสิ ตั วไ์ มไ่ ด้ เพราะเหน็ วา่ พระโพธสิ ตั วม์ โี อกาสช่วยสตั วโ์ ลกไดม้ ากกวา่ ๑๖. เถรวาท ในกายสาม เถรวาทยอมรบั แต่ ธรรมกาย กบั นิรมาณกายบางส่วน นอกนนั้ ไมร่ บั มหายาน รบั ทง้ั สามคือ ทงั้ ธรรมกาย ไดแ้ ก่พระธรรม สมั โภคกายคือ กายจาลอง หรือกายอวตารของพระพุทธเจา้ คือ พระพุทธเจา้ เป็นพระกกุสนั ธบา้ ง โกนาคมะบา้ ง กสั สปะบา้ ง ศากยมุนีบา้ งเป็นตน้ ลว้ นเป็นสมั โภคกายของ พระพุทธเจา้ องคเ์ ดิมทงั้ นน้ั นิรมาณกายคือ กายท่ตี อ้ งแก่ เจ็บปรนิ ิพพาน เป็นกายท่พี ระพทุ ธเจา้ องคเ์ ดิมสรา้ งข้นึ เพ่อื เป็นเคร่ืองสอนคนใหเ้ หน็ ความจริงของชีวิต แต่พระพุทธองคท์ ่แี ท้ ท่อี งคเ์ ดิมนน้ั ไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นน้ี เช่น พระอมติ ตาภาพทุ ธะมกี ายจาลองเป็นพระศากยมนุ ี แต่พระอมติ ตาพทุ ธะนน้ั เป็นอมตะอยูท่ แ่ี ดนสุขาวดี ๑๗. เถรวาท อาศยั พระไตรปิฎก คือธรรมวินยั ยุติตามะ ปฐมสงั คายนาเป็นหลกั และไม่มพี ระสูตรอะไร เพ่ิมเติม มหายาน ธรรมวินยั ของเดิมก็มี และมกี ารเพ่ิมพระสูตรใหม่ในภายหลงั จากการทาปฐมสงั คายนาเช่น ปรชั ญาปารมติ าสูตร สุขาวดยี ูหสูตร สทั ธธรรมปณุ ฑรกิ สูตร ลงั กาวตารสูตร เป็นตน้ แมป้ ฐมเทศนากม็ ไิ ดม้ คี รง้ั เดียว พระพทุ ธศาสนา วชั ระยาน ~ Vajarayana เป็นท่ที ราบกนั ดีว่าพระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงหมนุ กงลอ้ พระธรรมจกั ร ๓ ครงั้ ดว้ ยกนั หมายความ ท่านไดเ้ทศนา ในหลกั ใหญ่ๆ ไว้ ๓ เร่ือง ๓ วาระ ครงั้ แรกท่ีเมอื ง สารนาถ แคว้ นพาราณสี ครง้ั ท่ี ๒ ท่ี กฤตธาราโกติ แคว้ นรา ชคฤห์ ครงั้ ท่ี ๓ ท่ไี วศาลี ครง้ั แรกเทศนาเก่ียวกบั พุทธศาสนาฝ่ายเถระวาท ครง้ั ท่ี ๒ และครง้ั ท่ี ๓ ท่านไดเ้ ทศนา เก่ยี วกบั มหายานในมหายานไดม้ กี ารเปล่ยี นแปลงอย่างมากใน เร่อื งของอุดมคตกิ ารหลุดพน้ ของสรรพสตั วท์ งั้ หมด เป็นอดุ มคตขิ องมหายานอดุ มคตนิ ้ี เรยี กว่า โพธจิ ติ หรอื จติ รูแ้ จง้ การพฒั นาโพธิ จิตข้นึ เพ่ือตอ้ งการสาเร็จรูแ้ จง้ เป็นพระพุทธเจา้ เพ่ือประโยชน์ สุ ขของสรรพสตั วท์ งั้ หมด บคุ คลใดท่มี อี ดุ มคติน้ีและปฏบิ ตั ิอดุ มคติน้ีบุคคล นนั้ ก็คือพระโพธิสตั ว์ ซ่งึ การตายแลว้ เกิดใหม่เป็นทย่ี อมรบั กนั ใน หมชู่ าวพทุ ธดว้ ยกนั แต่กม็ คี วามคดิ เหน็ ทแ่ี ตกต่างในพทุ ธศาสนิกแต่ละนิกายฉะนน้ั ถา้ เรายอมรบั ในเร่อื งการตายแลว้ เกดิ ใหมก่ ห็ มายความว่าในแต่ละครงั้ แห่งการเกิดตอ้ งมบี ุพการี ๑ กลุ่ม ในการเวยี นว่ายตายเกิดในวฏั ฏะสงสารน้ีแต่ ละคนไดม้ บี ุพการีมาแลว้ เป็นจานวนท่นี บั ไม่ถว้ นและดว้ ยเหตผุ ลน้ีตอ้ งยอมรบั ว่าสรรพสตั วท์ ่บี งั เกดิ ข้นึ ไดเ้คย ดารง สถานะภาพความเป็นบพุ การมี านบั ครง้ั ไม่ถว้ น ฉะนน้ั การแสวงหาทางหลุดพน้ จึงควรเป็นไป พรอ้ มกนั หรือใหบ้ ุพการี ไปก่อนแลว้ เราค่อยหลุดพน้ ตามไปน่ีคอื ความเป็นพระโพธสิ ตั ว์
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พระอาจารยช์ าว ทิเบตไดก้ ล่าวไวใ้ นศตวรรษท่ี ๑๔ ว่า \"ความทุกขท์ งั้ หมดเกิดข้ึนจากการเห็นแก่ตวั ความสุขทงั้ หมด เกิดข้นึ จากการหวงั ดีใหผ้ ูอ้ นื่ มคี วามสุข‛ ฉะนน้ั การแลกความสุขของตนเปลย่ี นกบั ความทกุ ขข์ อง ผูอ้ น่ื เป็นหนา้ ทข่ี องพระโพธสิ ตั วพ์ ระโพธสิ ตั วต์ อ้ งประกอบไปดว้ ยบารมี ๖ ประการ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวว้ ่าไมม่ บี าป ใดใหญ่หลวงเท่าความแคน้ ไมม่ คี วามดใี ดเทยี บไดก้ บั ความอดทน เมอ่ื เราไดเ้กดิ ข้นึ มาความสมดุลกไ็ ดห้ ายไป ฉะนน้ั จึงแยก ความเป็นมหายานและวชั ระยานออกจากกนั ไม่ไดเ้ ลย พระพทุ ธเจา้ ไดส้ อน เร่ืองของวชั ระ ยานไวต้ ง้ั แต่สมยั พทุ ธกาล เช่น กาลจกั ระ ตนั ตระ ซ่งึ เป็นบทปฏบิ ตั ติ นั ตระชนั้ สูง พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ทศนาหลงั จากได้ บรรลุสมั มาสมั โพธิญาณแลว้ ๑ ปี พระพุทธเจา้ ไดเ้ ทศนาสอนแก่พระโพธิสตั วท์ ่บี าเพ็ญในภูมทิ ่สี ูง ฉะนนั้ คาสอน ตนั ตระจึงถือว่าเป็นคาสอนลบั เฉพาะ แมค้ าสอนของมหายานเองก็มกี ารปฏบิ ตั ิไม่มากนกั ในสมยั พทุ ธกาล คาสอน มหายานเป็นท่เี ร่ิม สนใจปฏบิ ตั ิในช่วงของท่านคุรุนาคารชุน ในปื ค.ศ.๑ ท่านนาคารชุน ไดป้ ฏบิ ตั ิคาสอนตนั ตระได้ อย่างเป็นเลศิ ท่านไดเ้ ขยี นเร่ืองการปฏิบตั ิตนั ตระเร่ืองกูเยียซามจู าตนั ตระ ในศตวรรษท่ี ๑๖ ท่าน ธารานาถ ธารา นาถชาวทเิ บตไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ่า ท่านคุรุนาคารชนุ ไดเ้ขยี นคาสอนเก่ยี วกบั ตนั ตระ ไวม้ ากเพยี งแต่ช่วงท่ที ่านมชี ีวติ อยู่ไม่ เป็นท่นี ิยมและแพร่หลาย ทิเบตเร่ิมรบั คาสอนจากอินเดีย ในช่วงศตวรรษท่ี ๗-๘ ในช่วงนน้ั การปฏิบตั ิตนั ตระใน อินเดียไดพ้ ฒั นาข้นึ ถึงจุดสูงสุดไปจนถงึ ศตวรรษท่ี ๑๒ เมอ่ื ทิเบตรบั คาสอนวชั ระยานจากอินเดียในช่วงท่เี จริญ สูงสุด ทเิ บตจงึ รบั คาสอน อย่างเต็มท่กี ารปฏิบตั ิใน วชั ระยานมเี งอ่ื นไขสาคญั อยู่หน่ึงขอ้ คือก่อนทจ่ี ะศึกษาปฏบิ ตั ิ ตนั ตระ จะตอ้ งไดร้ บั การมนตราภเิ ษกจากวชั ราจารย์ ผูซ้ ่งึ ไดส้ าเร็จรูแ้ จง้ แลว้ ถา้ ไม่มกี ารมนตราภิเษกแลว้ ถงึ แมจ้ ะ ปฏบิ ตั อิ ย่างไรกต็ ามจะไมไ่ ดร้ บั ผลเตม็ ท่ี ฉะนนั้ ผูส้ นใจต่อการปฏบิ ตั วิ ชั ระยานจะตอ้ งไดร้ บั การมนตราภเิ ษกจากวชั รา จารยเ์ สยี ก่อน ถามว่าคาสอน วชั ระยาน คืออะไร เพ่ืออะไร คาสอนวชั ระยานมไี วส้ าหรบั ผูท้ ่มี พี ้นื ฐานปญั ญาจาก มหายานเป็นอยา่ งดี จึงสามารถเขา้ ใจคาสอนอนั ลกึ ซ้งึ ได้ เช่น ถา้ เราตอ้ งการสาเร็จความเป็นพทุ ธะในชาตนิ ้ีชาติเดียว ตอ้ งศึกษาปฏบิ ตั คิ าสอนตนั ตระเท่านน้ั ท่จี ะบรรลุวตั ถปุ ระสงคน์ ้ีได้ เหมอื นกบั การบนิ โดยเคร่อื งบนิ ในปจั จุบนั น้ีเรา สามารถบนิ ในระยะทางไกลๆ ไดด้ ว้ ยเวลา อนั สนั้ แค่ชวั่ โมงแทนทจ่ี ะเดินดว้ ยเท่าเปลา่ เป็นเดือน เป็นทร่ี ูก้ นั ว่าในทเิ บต ท่านมลิ าเรปะท่าน ไดบ้ รรลุสาเร็จไดใ้ นช่วงชีวติ ของท่านดว้ ยการปฏบิ ตั ิตนั ตระ แลว้ ตนั ตระคืออะไรตนั ตระ ตนั ตระ โดยความหมายของคาแปลว่าความต่อเน่ือง อนั เป็นคาสอนการ ปฏิบตั ิระดบั สูงซ่ึงพระพุทธเจา้ ไดส้ อนศิษยใ์ น วงจากดั เท่านน้ั การปฏิบตั ิตนั ตระไม่มใี ครไดพ้ ูด ไดศ้ ึกษา ไดป้ ฏิบตั ิโดยไม่มอี าจารยแ์ ละไม่ไดร้ บั การมนตราภิเษ กจากอาจารยก์ ่อน แมว้ ่าเป็นพระโพธสิ ตั วท์ ไ่ี ดป้ ฏบิ ตั ิมามาก เขา้ ใจเป็นอย่างดีกไ็ ม่สามารถทจ่ี ะพูด ศึกษาหรือปฏบิ ตั ิ ตนั ตระไมผ่ ่านการมนตราภเิ ษก การปฏบิ ตั ติ นั ตระเหมอื นกบั แพทย์ ทม่ี คี วามชานาญมากสามารถท่จี ะเอาสารพษิ หรือ ยาพษิ มาสกดั เพ่อื เป็นยารกั ษาโรคใหมๆ่ ได้ และมปี ระสทิ ธภิ าพสูง ในการปฏบิ ตั ิตนั ตระจะมกี ารนาความรูส้ ึกทเ่ี ป็น ลบมาแปลงใหเ้กิดเป็น พลงั ท่เี ป็นบวก ไดเ้ ป็นท่เี ขา้ ใจกนั ไดว้ ่าในสภาพของการรูแ้ จง้ จะไมถ่ กู ทาลายดว้ ยพลงั ท่ี เป็น ลบต่างๆ ไม่มีพิษใดๆ ท่จี ะทาใหส้ ภาพการรูแ้ จง้ น้ีเป็นพิษไปดว้ ย สภาพการรูแ้ จง้ น้ีเป็นสภาพซ่งึ ไม่มขี อ้ แตกต่าง ระหว่างดีกบั ไมด่ แี ละอย่างไรคาสอนวชั ระยาน การปฏบิ ตั ิวชั ระยานสามารถ ทาใหเ้ราสามารถบรรลุถงึ จุดนนั้ ไดด้ ว้ ย เวลาอนั สน้ั แต่คาถามก็มอี ยู่ว่ามมี นุษยส์ กั ก่ีคนท่ตี อ้ ง การบรรลุรูแ้ จง้ เพอ่ื ประโยชนข์ องผูอ้ ่ืนทงั้ หมด คาสอนต่างๆ ในตนั ตระไดถ้ กู บนั ทกึ ไวด้ ว้ ยวธิ กี าร ซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั สงั่ ไวเ้ราสามารถ ศึกษาตนั ตระไดจ้ ากคาสอนต่างๆ ท่พี ระ
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๓๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง อาจารยช์ าว อนิ เดียไดบ้ นั ทึกไวแ้ ละไดแ้ ปลทงั้ หมดสู่ภาษาทเิ บต เน่ืองจากคาสอนดงั้ เดมิ ท่เี ป็นภาษาสนั สฤตไดส้ ูญ หาย และถกู ทาลายไปนานแลว้ ฉะนน้ั เราสามารถศึกษาตนั ตระไดจ้ ากภาษาทเิ บต เท่านนั้ ในปจั จบุ นั ภาษาทเิ บตจงึ มี ความสาคญั มากเน่ืองจากไดบ้ นั ทกึ และไดแ้ ปลคาสอนต่างๆ ท่เี ป็นสนั สฤตดงั้ เดมิ ไวอ้ ย่างครบถว้ นพทุ ธศาสนาได้ เขา้ สู่ทเิ บตในสมยั กษตั ริยส์ องซนั กมั โปเรืองอานาจ ดว้ ยความสนพระทยั อนั เป็น ทุนเดิมอยู่แลว้ พรอ้ มทง้ั ยงั ไดร้ บั การ แรงหนุนจากพระมเหสชี าวจนี และเนปาลซง่ึ เป็นชาวพทุ ธ ท่เี คร่งครดั ถงึ แมว้ ่าพทุ ธศาสนาจะถกู ขดั ขวางจากลทั ธบิ อน อนั เป็นลทั ธิดง้ั เดิม พระพทุ ธศาสนาเขา้ สู่ทเิ บตทงั้ จากอนิ เดยี และจนี ไดม้ บี นั ทกึ ไวใ้ นประวตั ศิ าสตรข์ องทเิ บตว่าได้ เกดิ การสงั คายนาพทุ ธศาสนา ณ กรุงลาซา เป็นการสงั คายนาระหว่างนิกายเซน็ ของจีน และวชั ระยานจากอินเดยี ใน รชั สมยั พระเจา้ ทซิ องเดต็ เชน ชาวทเิ บตเลอ่ื มใสในวชั ระยานมากกว่า ดงั นน้ั พทุ ธศาสนา วชั ระยานจึงลงรากฐานมนั่ คง ในทเิ บตสบื มา พระเจา้ ทซิ องเดต็ เชนไดท้ รงนิมนต์ ศานตรกั ษติ ภกิ ษุชาวอินเดียและคุรุปทั มสมภพเขา้ มาเพ่อื แผ่แพร่ พระธรรม โดยเฉพาะ คุรุปทั มสมภพไดเ้ ป็นท่ีเล่ือมใสศรทั ธาของชาวทิเบตอย่างมากจนไดย้ กย่องท่าน ว่าเป็น พระพทุ ธเจา้ องคท์ ่ี ๒ และขานนามท่านว่ากูรูรนิ โปเช่ หรือแปลว่าพระอาจารยผ์ ูป้ ระเสรฐิ กูรูรนิ โปเช่ ไดร้ ่วมกบั ศานต รกั ษิตสรา้ งวดั สมั เยข้นึ ในปี ค.ศ.๗๘๗ และไดเ้ ร่ิมมีการอุปสมบทพระภิกษุชาว ทิเบตข้นึ เป็นครงั้ แรก ในความ อปุ ถมั ภข์ องพระเจา้ ทซิ องเด็ตเชน ทงั้ น้ียงั ไดจ้ ดั นกั ปราชญ์ ชาวทเิ บตเขา้ ร่วมในการแปลพระพุทธธรรมเป็นภาษาธิ เบตดว้ ยอยา่ งมากมาย สรปุ ทา้ ยบท สง่ิ ทท่ี าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเสอ่ื มและเจรญิ ในสมยั พทุ ธกาล พระพทุ ธองคท์ รงแนะนาใหต้ รวจสอบอรรถโดย อรรถ และตรวจสอบพยญั ชนะโดยพยญั ชนะ นอกจากน้ียงั ไดต้ รสั ถงึ ปจั จยั แห่งความเส่อื มของพระสทั ธรรม เกิดมา จากหลายปจั จยั กล่าวคือ (๑) การเล่าเรียนสูตร ทเ่ี ลา่ เรียนกนั มาผดิ ๆ ตามลาดบั โดยบทพยญั ชนะทส่ี บื ทอดกนั มาไม่ ดี แมอ้ รรถแห่งบทพยญั ชนะท่ีสืบทอดกนั มาไม่ดี ก็เป็นการสืบทอดขยายความไม่ดี (๒) การเป็นผูว้ ่ายาก ประกอบดว้ ยธรรมเคร่อื งทาความเป็นผูว้ ่ายาก ไมอ่ ดทน ไมร่ บั คาพรา่ สอนโดยเคารพ (๓) เป็นพหูสูต เรยี นจบคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า แต่ไมถ่ ่ายทอดสูตรแก่ผูอ้ ่นื โดยเคารพ (๔) เป็นเถระ เป็นผูม้ กั มาก เป็นผูย้ ่อหย่อน เป็นผูน้ าในโอกกมนธรรม ทอดธุระในปวเิ วก ไม่ปรารภความเพยี ร เพ่อื ถึงธรรมท่ยี งั ไม่ถงึ เพ่อื บรรลุธรรมท่ยี งั ไม่ บรรลุ เพ่อื ทาใหแ้ จง้ ธรรมท่ยี งั ไม่ไดท้ าใหแ้ จง้ หม่คู นรุ่นหลงั พากนั ตามอย่างภกิ ษุผูเ้ป็นเถระเหล่านน้ั แมห้ ม่คู นรุ่น หลงั นน้ั ก็เป็นผูม้ กั มาก เป็นผูย้ ่อหย่อนเป็นผูน้ าในโอกกมนธรรม ทอดธุระในปวิเวก ไม่ปรารภความเพยี รเพ่ือถึง ธรรมทย่ี งั ไมถ่ งึ เพอ่ื บรรลุธรรมท่ยี งั ไมบ่ รรลุ เพอ่ื ทาใหแ้ จง้ ธรรมทย่ี งั ไมไ่ ดท้ าใหแ้ จง้ น้ีเป็นธรรมแห่งความเสอ่ื ม ฯ ในยุคหลงั พทุ ธปรินิพพานไม่นาน เพยี ง ๗ วนั ไดเ้ กิดเหตุการณ์กล่าวจาบจว้ งพระธรรมวนิ ยั โดยพระสุภทั ทวุฑฒ บรรพชติ หลงั จากนนั้ ไมน่ านหนกั พระมหาเถระมพี ระมหากสั สปะ เป็นตน้ เป็นประธานไดป้ รกึ ษาคณะสงฆส์ ่วนใหญ่ แลว้ ทาสงั คายนา เรยี กว่า “ปฐมสงั คายนา” กระทาภายในถา้ สตั ตบรรณคูหา (ในฝ่ายเถรวาท) ส่วน ในฝ่ายมหายาน ก็ มบี นั ทกึ ว่า มกี ารทาสงั คายนาต่างหากโดยคณะสงฆห์ ม่มู ากทไ่ี ม่เหน็ ดว้ ยกบั กลุ่มแรกเก่ียวกบั วตั ถุ ๘ ประการและ ไมไ่ ดร้ บั การคดั เลอื ก เรยี กว่า ปฐมสงั คีติ ส่วนพาหริ คูหา คือการทาปฐมสงั คายนานอกถา้ ฯ ในการทาสงั คายนาครง้ั
บทท่ี ๕ ‚เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท‛ ๔๔๐ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ท่ี ๒ ในฝ่ายเถรวาท ลงความเหน็ ว่าเกิดมาจากความเหน็ แตกแยกเร่อื งวตั ถุ ๑๐ ประการของภกิ ษุชาวเมอื งวชั ชี ส่วน ในฝ่ ายมหายาน บนั ทึกว่าเกิดมาจากความคิดเร่ืองธรรมะท่ีเป็นโลกุตตรธรรมของท่านพระมหาเทวะเร่ืองปญั หา พยากรณ์ ๕ ประการ ฯ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ ในฝ่ายเถรวาท มมี ติว่าเกดิ มาจากการปลอมบวชของพวกอลชั ชีในสมยั พระเจา้ อโศก โดยม่งุ ลาภสกั การะ อวดอา้ งและขายความเห็นเดิมท่ีติดตวั มาผิดๆ เผยแผ่ศาสนาไปทวั่ และพวก อลชั ชมี มี ากกว่าธรรมวาทมี ากถงึ ๖๐,๐๐๐ รูป เมอ่ื พระเจา้ อโศกจดั การเรอ่ื งความไม่ดี ไมง่ ามในสวงศก์ ารพระศาสนา เสรจ็ กไ็ ดส้ ่งพระธรรมทูตไปประกาศพระศาสนา ๙ สาย ส่วนมหายาน บนั ทกึ ว่าหลงั จากการทาตติยสงั คายนาไมน่ าน ก็มกี ารทาสงั คยนาของมหายาน โดยการสนบั สนุนจากพระเจา้ กณิษกะมหาราช ท่เี มอื งแคชเมยี ร์ (รฐั จามูและแคช เมยี ร์ ทางตอนเหนือของอนิ เดียในปจั จบุ นั ) เหตุผลมาจากความเหน็ ไมต่ รงกนั เร่อื งธรรมะ กลา่ วกนั ว่าตติยสงั คายนา มกี ารแต่งคมั ภรี ก์ ถาวตั ถุเพ่มิ เติมในช่วงน้ี ฯ เม่อื พระพุทธศาสนาเส่อื มจากอินเดีย ก็ไดไ้ ปเจริญรุ่งเรืองลงั กาทวีป เมยี นมา่ ร์ ไทยตามลาดบั จนถงึ ปจั จบุ นั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 661
Pages: