Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๔๑  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๓) ประชากรของศรีลงั กามปี ระชากรประมาณ ๑๙ ลา้ นคน มหี ลายเช้อื ชาติ แต่ท่สี าํ คญั มี ๔ ไดแ้ ก่ สิงหล ประมาณรอ้ ยละ ๗๔, ทมฬิ ศรีลงั กา ประมาณรอ้ ยละ ๑๒.๖, ทมฬิ อินเดยี ประมาณรอ้ ยละ ๕.๕ แขกมวั ร์ ประมาณ รอ้ ยละ ๗.๑ และอ่นื ๆ ประมาณรอ้ ยละ ๐.๘ ๔) ศาสนาของศรีลงั กา ประชากรส่วนใหญ่นบั ถือพุทธศาสนา ประมาณรอ้ ยละ ๖๙.๓ ศาสนาฮินดู ประมาณรอ้ ยละ ๑๕.๕ ศาสนาอิสลาม ประมาณรอ้ ยละ ๗.๖ ศาสนาคริสต์ ประมาณรอ้ ยละ ๗.๕ และ อ่ืนๆ ประมาณรอ้ ยละ ๐.๑ ๕) สงั คมของศรีลงั กาสงั คมของชาวศรีลงั กาประกอบดว้ ยกลุ่มคนหลายเช้ือชาติ ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่ กลุ่มเช้ือ ชาติสิงหลและกลุ่มเช้ือชาติทมิฬ ทง้ั ๒ กลุ่มน้ีมีการขดั แยง้ กนั มานานโดยกลุ่มทมิฬพยายามเรียกรอ้ งใหม้ ีการ แบง่ แยกดินแดนภาคเหนือแลภาคตะวนั ออกเพ่อื ก่อตงั้ เป็นมาตุภูมทิ มฬิ ใหเ้ป็นอสิ ระจากรฐั บาลปจั จุบนั นอกจากน้ี ยงั มกี ลุ่มเช้ือสายแขกมวั ร์ ท่เี ป็นชาวมสุ ลมิ ซ่งึ เป็นกลุ่มท่มี าจากอินเดียและตะวนั ออกกลาง และพวกเช้ือสายดทั ช์ โปรตุเกส องั กฤษ ทาํ ใหส้ ภาพสงั คมของประเทศศรลี งั กา ประกอบดว้ ยเผ่าพนั ธุ์ วฒั นธรรม และประเพณีทม่ี คี วาม หลากหลาย ๖) การเมอื งของศรลี งั กา ประเทศศรีลงั กามกี ารปกครองโดยระบบประชาธปิ ไตย ประธานาธิบดเี ป็นประมขุ ของประเทศ ซง่ึ ไดร้ บั การเลอื กตง้ั จากประชาชนโดยตรง อยู่ในตาํ แหน่งคราวละ ๖ ปี เป็นผูม้ อี าํ นาจแต่งตงั้ และถอด ถอนนายกรฐั มนตรี มปี ญั หาการสูรบระหว่างเผ่าพนั ธุท์ เ่ี ป็นชาวสงิ หลและชาวทมฬิ ในคาบสมทุ รจาฟน่า เพอ่ื เรยี กรอ้ ง ใหม้ กี ารแบ่งแยกดินแดนภาคเหนือและตะวนั ออกของศรีลงั กาเป็นอิสระ กลุม่ ทก่ี ่อปญั หาใหก้ บั รัฐบาลศรีลงั กามาก ทส่ี ุด ไดแ้ ก่กลมุ่ แบง่ แยกดนิ แดนพยคั ฆท์ มฬิ อแี ลม ๗) เศรษฐกจิ ของศรลี งั กา รายไดข้ องประเทศเกดิ จากการส่งออกสนิ คา้ ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่เส้อื ผา้ สาํ เรจ็ รูป อญั มณี ชาสาํ เร็จรูป มะพรา้ ว อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ ยางพารา ธนาคารโลกไดจ้ ดั ใหป้ ระเทศศรีลงั กาใหเ้ ป็นประเทศท่ี ยากจนทส่ี ุดประเทศหน่ึงในจาํ นวน ๒๔ ประเทศทวั่ โลก ๘.๒.๒ พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรลี งั กา ประเทศศรีลงั กาเป็นประเทศท่ีมีคนส่วนใหญ่นบั ถือพระพุทธศาสนาและในกฎหมายรฐั ธรรมนูญของ ประเทศศรลี งั กากไ็ ดบ้ ญั ญตั ใิ หพ้ ระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาํ ชาตดิ ว้ ย ดงั นนั้ ในหวั ขอ้ น้ีจึงจาํ เป็นตอ้ งศึกษาความ เป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลงั กาเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจเป็นภาพโดยรวมก่อน ต่อจากนนั้ จึงจะไดศ้ ึกษาว่า พระพทุ ธศาสนาไดม้ อี ทิ ธิพลต่อประเทศศรลี งั กาในดา้ นสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง อยา่ งไรบา้ ง เป็นลาํ ดบั ต่อไป ความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนาในประเทศศรลี งั กา๒ ความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทตง้ั แต่ไดเ้ขา้ สูป่ ระเทศศรลี งั กาและมพี ฒั นาการมาตามลาํ ดบั จนถงึ ปจั จบุ นั มดี งั ต่อไปน้ี ๑) เผ่าสงิ หลเขา้ สู่ประเทศศรีลงั กา (ก่อน พ.ศ. ๑) ชนเผ่าสงิ หลเป็นกลุ่มแรกท่เี ขา้ สู่ประเทศศรีลงั กา ใน วนั ทพ่ี ทุ ธเจา้ เสดจ็ สูป่ รนิ ิพพานเป็นไปไดว้ ่าเจา้ ชายวชิ ยั ทเ่ี ป็นกษตั รยิ พ์ ระองคแ์ รกน่าจะไดน้ าํ เอาพระพทุ ธศาสนาเขา้ มา ๒ พระธรรมปิฎก (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต), พระพทุ ธศาสนาในเอเชีย, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หนา้ ๓๒๐-๓๒๘.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๔๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ดว้ ย ผูเ้ ขยี นยงั ไม่มขี อ้ มูลว่าสถานการณ์ของพระพทุ ธศาสนาในสมยั เจา้ ชายวชิ ยั เป็นกษตั ริยป์ กครองศรีลงั กาเป็น อยา่ งไร ๒) พระพทุ ธศาสนาสมยั พระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะ (พ.ศ. ๒๓๖-๒๗๖) พระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะ๓ กษตั ริย์ แหง่ เมอื งอนุราธปรุ ะซง่ึ เป็นผูม้ คี วามสนิทสนมกนั กบั พระเจา้ อโศกมหาราชแห่งชมพูทวปี เมอ่ื พระเจา้ อโศกมหาราชได้ อุปถมั ภก์ ารทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ เสร็จส้นิ แลว้ ก็ไดส้ ่งสมณทูตเขา้ มาประกาศพระพุทธศาสนาท่ปี ระเทศศรีลงั กาน้ี ดว้ ย คณะศาสนทูตสายน้ีไดแ้ ก่พระมหินทเถระ เป็นหวั หนา้ พรอ้ มดว้ ยคณะ เป็นพระภกิ ษุ ๔ รูป สามเณร ๑ รูป และอุบาสก ๑ คน เมอ่ื คณะของพระมหนิ ทเถระ มาถงึ ประเทศศรีลงั กาก็ไดร้ บั การตอ้ นรบั จากพระมหากษตั ริยแ์ ละ พสกนิกรเป็นอยา่ งดี ประวตั ศิ าสตรข์ องพระพทุ ธศาสนาในประเทศศรลี งั กาทแ่ี ทจ้ ริงจงึ เร่มิ ตน้ ในรชั กาลของพระเจา้ เท วานมั ปิยตสิ สะ ในสมยั น้ีพระพทุ ธศาสนาไดข้ ยายตวั เขา้ ไปสูส่ งั คมศรลี งั กาอย่างรวดเร็ว ไดม้ ผี ูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนา และเขา้ มาขออุปสมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็นจาํ นวนมาก เมอ่ื พระนางอนุฬาเทวมี เหสแี ละสตรีบรวิ ารจาํ นวนมากมี ความประสงคจ์ ะอุปสมบท พระเจา้ เทวานมั ปิยะติสสะจึงส่งใหค้ ณะทูตไปชมพูทวปี เพ่อื ทูลขอพระสงั ฆมติ ตาเถรี๔ ซง่ึ เป็นพระราชบตุ รตรขี องพระเจา้ อโศกมหาราช พระองคไ์ ดป้ ระราชทานใหต้ ามคาํ ทูลขอพระสงั ฆมติ าเถรไี ดเ้ดินทางมา ประดิษฐานภิกษุณีสงฆใ์ นศรีลงั กา พรอ้ มทงั้ นาํ ก่ิงพระศรีมหาโพธ์ิมาถวายแก่พระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะดว้ ยและได้ ปลูกไว้ ณ เมอื งอนุราธปุระ ซ่งึ เป็นตน้ ไมใ้ นประวตั ิศาสตรท์ ่ยี งั มีชีวิตมาใหเ้ ห็นอยู่ในปจั จุบนั ในสมยั น้ีพระเจา้ เท วานัมปิยติสสะ ไดท้ รงสรา้ งมหาวิหารและถูปาราม อนั เป็นเจดีย์องค์แรกไวใ้ หเ้ ป็นปูชนียสถานสาํ คัญทาง พระพทุ ธศาสนาทเ่ี มอื งอนุราธปรุ ะดว้ ยเหตกุ ารณภ์ ายหลงั จากส้นิ รชั กาลของพระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะแลว้ ประเทศศรี ลงั กากไ็ ดต้ กอยูภ่ ายใตอ้ าํ นาจการปกครองของกษตั รยิ ท์ มฬิ และกษตั รยิ อ์ ่นื ๆ อกี เป็นเวลาเกอื บรอ้ ยปี ๓) พระพุทธศาสนาสมยั พระเจา้ ทุฏฐคามณี (พ.ศ. ๓๘๒-๔๐๖) พระเจา้ ทุฏฐคามณี ไดท้ รงมีพระราช ศรทั ธาแรงกลา้ ในพระพทุ ธศาสนา ไดท้ รงสรา้ ง “โลหปราสาท ๗ ชน้ั ” เป็นโรงอุโบสถของมหาวหิ าร และไดท้ รงสรา้ ง มหาสถปู หรอื ทเ่ี รยี กว่า “เจดียร์ ุวนั เวลี” ข้นึ ไว้ ณ เมอื งอนุราธปุระดว้ ย ในรฐั กาลน้ีถงึ แมว้ ่าจะเป็นช่วงเวลาท่ไี มน่ าน นกั แต่กไ็ ดท้ าํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาไดม้ คี วามเจรญิ รุ่งเรอื งข้นึ อย่างมาก ๔) พระพุทธศาสนาสมยั พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั (พ.ศ.๔๓๙-๔๖๖) พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ไดข้ ้ึน ครองราชยใ์ นเมอื งอนุราธปรุ ะ รชั กาลน้ีเป็นยุคสาํ คญั อกี ยุคหน่ึงในประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในประเทศศรีลงั กา เน่ืองจากมเี หตกุ ารณส์ าํ คญั ไดเ้กดิ ข้นึ กบั พระพทุ ธศาสนา คอื เมอ่ื พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ข้นึ ครองราชยไ์ ดไ้ มน่ านพวก ทมฬิ กไ็ ดเ้ ขา้ ยดึ อาํ นาจการปกครองไดส้ าํ เรจ็ พรอ้ มกบั เขา้ ครองอนุราธปรุ ะอยู่เป็นเวลา ๑๔ ปี ในช่วงน้ีบา้ นเมอื งเกิด ยุคเข็ญกล่าวกนั ว่ามีความอดอยากถึงขนาดตอ้ งกินเน้ือของมนุษยด์ ว้ ยกนั เอง คณะสงฆ์ในขณะนั้นเกรงว่า พระพุทธศาสนาอาจสูญส้นิ จึงรวมกนั ได้ ๕๐๐ รูปมาประชุมกนั ท่ี “อลุวหิ าร” ณ หม่บู า้ น “มาตเล” ท่ปี ระชุมไดม้ ี มตใิ หจ้ ารกึ พทุ ธพจนล์ งในใบลานเป็นครงั้ แรก ทาํ ใหห้ ลกั คาํ สอนของพระพทุ ธศาสนาเป็นหลกั ฐานมนั่ คงตง้ั แต่บดั นนั้ เป็นตน้ มา ส่วนพระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ในระหว่างทถ่ี กู ยดึ อาํ นาจนน้ั พระองคแ์ ละขนุ พลผูต้ ดิ ตามจาํ นวนหน่ึงไดห้ นีไป ซุกซ่อนอยู่และในขณะนน้ั ก็ไดร้ บั ความช่วยเหลอื จาก “พระมหาติสสเถระ” เมอ่ื พระองคไ์ ดซ้ ่องสุมกาํ ลงั ไดจ้ าํ นวน ๓ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๗๐-๗๙. ๔ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๕๐.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๔๓  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง หน่ึง จงึ ไดเ้ขา้ ชงิ อาํ นาจจากพวกทมฬิ กลบั คืนมาเป็นของพระองคเ์ หมอื นเดมิ และไดท้ รงสรา้ ง “อภยั ครี วี ิหาร” ถวาย แด่พระมหาตสิ สะเถระดว้ ย เหตุการณ์ในครงั้ น้ีทาํ ใหค้ ณะสงฆฝ์ ่ายมหาวหิ ารเดิมไม่พอใจ อนั เป็นจุดเร่ิมตน้ ท่ที าํ ให้ คณะสงฆใ์ นประเทศศรลี งั กาแตกแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย คอื ๑) ฝ่ ายมหาวหิ าร เป็นฝ่ายท่มี มี าแต่ก่อน ซ่งึ เป็นผูย้ ดึ มนั่ ในคาํ สอนและแบบแผนประเพณีดง้ั เดมิ ๒) ฝ่ ายอภยั ครี ีวิหาร เป็นฝ่ายท่เี กดิ ข้นึ ภายหลงั คือ เกดิ ข้นึ ในสมยั รชั กาล ของพระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ซ่ึงไดช้ ่ือว่าเป็นพวก “นิกายธรรมรุจิ” มีความคิดเห็นเป็นอิสระ เปิดกวา้ งทางดา้ น ความคิด ยอมรบั ทศั นะใหม่ๆ จากต่างประเทศ เปิดโอกาสใหม้ กี ารศึกษาหลกั คาํ สอนทง้ั ท่เี ป็นของฝ่ายเถรวาทและ มหายาน อภยั คีรวี หิ ารน้ี จงึ ไดเ้ป็นศูนยก์ ลางทางพระพทุ ธศาสนาทม่ี คี วามสาํ คญั เป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ภายหลงั จากยุคน้ีไดม้ คี วามวุ่นวายทางการเมอื งซง่ึ เก่ยี วขอ้ งกบั พระสงฆอ์ ีกมากมาย จนทาํ ใหม้ หาวหิ ารเป็นวดั รา้ งไปช่วงหน่ึง และไดร้ บั การสรา้ งใหฟ้ ้ืนคืนมาในภายหลงั สาํ หรบั อภยั คีรวี หิ ารยงั เป็นศูนยก์ ลางทางพระพทุ ธศาสนาในเวลาต่อมา ๕) พระพทุ ธศาสนาสมยั พระเจา้ สริ เิ มฆวรรณ (พ.ศ. ๘๕๔) พระเจา้ สริ ิเมฆวรรณ ข้นึ ครองราชย์ พระองคม์ ี พระราชศรทั ธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เม่อื ข้นึ ครองราชยไ์ ด้ ๙ เดือน ไดม้ ีการอญั เชิญ “พระทาฐธาตุ” (พระเข้ยี วแกว้ ) จากทนั ตปรุ ะ ในคลงิ ครฐั มายงั ประเทศศรีลงั กา พระราชาไดโ้ ปรดใหร้ กั ษาไวภ้ ายในพระนคร และ นาํ ออกใหป้ ระชาชนไดน้ มสั การทอ่ี ภยั คีรีวหิ ารเป็นประจาํ ทกุ ปี (เมอื งท่ตี งั้ วหิ ารพระทนั ตธาตนุ ้ี ปจั จุบนั เรยี กว่า เมอื ง แกนด)ี ๖) พระพทุ ธศาสนาสมยั พระเจา้ มหานาม (พ.ศ. ๙๕๓-๙๕๗) พระเจา้ มหานาม ในรชั กาลน้ี พระพทุ ธโฆษา จาย์ ผูเ้ป็นพระอรรถกถาจารยท์ ่ยี ่งิ ใหญ่ ซง่ึ คนไทยท่ศี ึกษาพระพทุ ธศาสนาจะตอ้ งรูจ้ กั ช่ือเสียงของท่านเป็นอย่างดี ท่านไดอ้ อกเดนิ ทางมาจากชมพูทวีปเขา้ มาสู่ประเทศศรีลงั กา ไดพ้ าํ นกั อยู่ ณ มหาวหิ าร ท่านไดแ้ ปลอรรถกถาท่เี ป็น ภาษาสงิ หลในประเทศศรีลงั กาขณะนนั้ ใหก้ ลบั เป็นภาษามคธ ซ่งึ ภาษามคธน้ีเป็นภาษาทใ่ี ชส้ าํ หรบั บนั ทกึ หลกั คาํ สอน ของพระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท เช่น คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก คมั ภีรอ์ รรถกา คมั ภรี ฎ์ ีกา คมั ภีรโ์ ยชนา เป็นตน้ เม่อื กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ ขณะท่ี “หลวงจนี ฟาเหยี น” ขณะเดนิ ทางจากอนิ เดยี เพอ่ื กลบั ประเทศจีนโดยทางเรือท่านได้ แวะพกั ทป่ี ระเทศศรลี งั กา และไดบ้ นั ทกึ เหตกุ ารณใ์ นตอนน้ีไวด้ ว้ ยว่า ในอภยั คีรวี หิ ารมพี ระภกิ ษุจาํ นวน ๕,๐๐๐ รูป ส่วนในมหาวหิ ารมพี ระภกิ ษุจาํ นวน ๓,๐๐๐ รูป กล่าวไดว้ ่าประเทศศรีลงั กาในช่วงเวลาน้ีไดเ้ป็นศูนยก์ ลางการศึกษา พระพทุ ธศาสนาทส่ี าํ คญั อกี แห่งหน่ึงของโลก ในพทุ ธพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ การศึกษาพระอภธิ รรมไดร้ บั การนิยมและ รุ่งเรอื งข้นึ ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ ประเทศศรลี งั กาไดย้ า้ ยเมอื งหลวงจากอนุราธปุระ ไปตงั้ อยู่ในท่แี ห่งใหม่ช่อื ว่า “โป โลนนรุวะ หรอื ปุรตั ถิปุระ” จากน้ีเป็นตน้ ไปศูนยก์ ลางทางวฒั นธรรมของประเทศศรลี งั กากไ็ ดม้ ารวมอยู่ ณ เมอื ง หลวงทต่ี งั้ ข้นึ ใหมน่ ้ี ส่วนอนุราธปรุ ะกลายเป็นเมอื งเก่า มคี วามหมายไปในทางศกั ด์ิสทิ ธ์ิ เร่อื งของมหาวหิ ารและอภยั คีรวี หิ าร เป็นตน้ กจ็ างเลอื นลง ในสมยั น้ีเกิดนิยมยกย่องพระพวกปงั สุกูลกิ ะ (ถอื ผา้ ปงั สุกูลเป็นวตั ร) มกี ารนิยมนบั ถอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นศาสนาพราหมณ์มากข้นึ ศาสนาพราหมณ์มากข้นึ มกี ารสรา้ งเทวรูปเทวสถาน มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ิด กนั ย่ิงข้ึนระหว่างพระพุทธศาสนากบั ศาสนาพราหมณ์ ประกอบกบั ในยุคน้ีประเทศศรีลงั กาเกิดความวุ่นวาย ภายในประเทศ เน่ืองจากการรุกรานจากประเทศอินเดีย และเกิดจากความไม่สงบท่เี กดิ ข้นึ จากภายในประเทศดว้ ย ในระหว่างน้ีเองไดท้ าํ ใหภ้ กิ ษุณีสงฆส์ ูญส้ิน และขอ้ ปฏิบตั ิของพระสงฆใ์ นสมยั น้ีก็เส่อื มถอยและจาํ นวนพระสงฆ์ นอ้ ยลงเหตกุ ารณน์ ้ีไดเ้ป็นไปอยู่จนถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๔๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๗) พระพุทธศาสนาสมยั พระเจา้ วชิ ยั พาหุท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๖๐๙) พระเจา้ วิชยั พาหุท่ี ๑ พระองคท์ รงมพี ระราช ประสงคจ์ ะฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาใหม้ นั่ คงข้นึ มาอีก ทรงหาพระภกิ ษุท่อี ุปสมบทถูกตอ้ งตามพระธรรมวนิ ยั ไดแ้ ทบไม่ ครบ ๕ รูป จึงตอ้ งทรงใหอ้ าราธนาพระสงฆจ์ ากประเทศเมยี นม่ารท์ างตอนใตเ้ พ่ือมาทาํ อุปสมบทกรรมในประเทศศี ลงั กา ๘) พระพทุ ธศาสนาสมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุ (พ.ศ. ๑๖๙๗-๑๗๓๐) พระเจา้ ปรากรมพาหุ พระองคเ์ ป็นโอรส ของพระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ่ี ๑ ทรงเป็นทงั้ นกั รบและนกั ปกครองทม่ี คี วามสามารถ ทรงจดั การปกครองบา้ นเมอื งไดอ้ ย่างสงบ เรยี บรอ้ ย ไดท้ รงชาํ ระการพระพทุ ธศาสนาใหบ้ รสิ ุทธ์ิ คณะสงฆไ์ ดร้ วมเขา้ เป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั อีกครงั้ หน่ึง พระองค์ ไดท้ รงสถาปนา “สมเด็จพระสงั ฆราช” ปกครองสงฆท์ ง้ั ประเทศเป็นครงั้ แรก เป็นยุคท่ีมศี ิลปกรรมท่ีงดงาม ช่วงน้ี ประเทศศรีลงั กาไดก้ ลบั มาเป็นศูนยก์ ลางการศึกษาของพระพทุ ธศาสนาของโลกอกี ครง้ั หน่ึง แต่ภายหลงั จากรชั กาลน้ี แลว้ พวกทมฬิ จากประเทศอินเดียก็รุกรานเขา้ มาอกี และไดต้ ง้ั ถ่นิ ฐานอย่างมนั่ คงในประเทศศรลี งั กา และขยายอาณา เขตออกไปเร่อื ยๆ ชาวสงิ หลตอ้ งถอยร่นลงไปทางตอนใต้ และตอ้ งยา้ ยเมอื งหลวงอยู่บอ่ ยครงั้ เหตกุ ารณเ์ ช่นน้ีจึงทาํ ให้ พระพทุ ธศาสนาเจริญข้นึ ไดย้ าก ทาํ ไดก้ เ็ พยี งแต่ธาํ รงรกั ษาไวไ้ มใ่ หถ้ กู ทาํ ลายจนสูญส้นิ ไปเท่านน้ั เอง ๙) พระพทุ ธศาสนาสมยั ขาดพระท่จี ะรบั อปุ สมบทกรรมทป่ี ระเทศศรลี งั กา (พ.ศ. ๒๐๑๙) พระภกิ ษุคณะ หน่ึง ไดเ้ ดินทางจากประเทศเมียนม่ารเ์ พ่อื มารบั อุปสมบทกรรมท่ปี ระเทศศีลงั กา เม่อื ภิกษุคณะน้ีเดินทางกลบั ได้ นาํ เอาคมั ภีรท์ างพระพุทธศาสนาท่ีเป็นภาษาบาลีเท่าท่ีมีอยู่ในขณะนน้ั กลบั ไปยงั ประเทศของเมียนม่ารไ์ ดอ้ ย่าง ครบถว้ นดว้ ย ๑๐) พระพุทธศาสนาสมยั ชนชาติโปรตุเกสในศรีลงั กา (พ.ศ. ๒๐๕๐) ชนชาติโปรตุเกสเขา้ สู่ประเทศศรี ลงั กา ในระหวา่ งทป่ี ระเทศกาํ ลงั อ่อนแอเน่ืองจากการต่อสูแ้ ย่งชงิ อาํ นาจกนั ของคนสองเผ่า ชาวโปรตเุ กสก็ไดเ้ขา้ มาทาํ การคา้ ขาย และไดแ้ สวงประโยชนจ์ ากความขดั แยง้ ของคนสองเผ่านนั้ โดยการเขา้ ไปยดึ ดนิ แดนบางส่วนเขา้ มาไวใ้ น ครอบครองได้ ต่อจากนน้ั ก็ไดพ้ ยายามบบี บงั คบั ใหป้ ระชาชนท่อี ยู่ในดนิ แดนส่วนน้ี ใหเ้ปลย่ี นไปนบั ถอื ศาสนาครสิ ต์ นิกายคาทอลกิ ต่อมาถงึ กบั ยดึ อาํ นาจจากกษตั รยิ ข์ องประเทศศรีลงั กาได้ สถานการณเ์ ช่นน้ีไดท้ าํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนา เส่ือมทรามลง ถงึ กบั ว่าตอ้ งนาํ เอาพระสงฆจ์ ากประเทศเมยี นมา่ รเ์ ขา้ ประกอบอุปสมบทกรรมในประเทศศรีลงั กาอีก ครงั้ ในระยะน้ีชาวฮอลนั ดา ไดเ้ขา้ มาประกอบการคา้ ขายและมอี าํ นาจมากข้นึ ในดนิ แดนแถบน้ีดว้ ย ๑๑) พระพทุ ธศาสนาสมยั ชาวฮอลนั ดาในศรลี งั กา (พ.ศ. ๒๒๐๐) ชาวฮอลนั ดาช่วยศรีลงั กาขบั โปรตุเกศ ไดส้ าํ เร็จ ขณะท่ีชาวฮอลนั ดาไดป้ ระกอบการคา้ ขายและมอี าํ นาจมากข้นึ อยู่ในแถบน้ี ชาวศรีลงั กาไดต้ อ้ นรบั ชาว ฮอลนั ดา เพ่ือใหม้ าช่วยขบั ไล่ชาวโปรดตุเกส และปรากฏว่าขบั ไล่ไดเ้ ป็นผลสาํ เร็จ ต่อจากน้ันชาวฮอลนั ดาก็ ครอบครองดนิ แดนส่วนทย่ี ดึ ไวไ้ ดเ้ขา้ แทนท่โี ปรตเุ กส พรอ้ มกบั พยามประดิษฐานคริสตศ์ าสนานิกายโปรแตสแตนท์ ในดนิ แดนแถบน้ี และไดพ้ ยามผลกั ดนั พระพทุ ธศาสนาใหอ้ อกไปจากดนิ แดนแถบน้ี แต่กท็ าํ ไดไ้ มส่ าํ เรจ็ ๑๒) พระพทุ ธศาสนาแบบสยามนิกายเขา้ สู่ประเทศศรีลงั กา (พ.ศ. ๒๒๙๓) พระพุทธศาสนาแบบสยาม นิกายเขา้ สู่ประเทศศรลงั กา โดยมีพระสรณังกร ไดถ้ วายคาํ แนะนาํ กษตั รยิ ใ์ นสมยั นน้ั ใหส้ ่งคณะทูตไปยงั ประเทศ เทศไทย (สมยั อยุธยา: ตรงกบั รชั กาลของพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ) แลว้ นาํ พระภกิ ษุคณะหน่ึงจาํ นวน ๑๐ รูป มี “พระ อบุ าล‛ี เป็นหวั หนา้ มาประกอบอปุ สมบทกรรม ณ เมอื งแกนดี ไดม้ ผี ูเ้ขา้ อุปสมบทในครงั้ น้ีจาํ นวน ๓,๐๐๐ คน ส่วน

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๔๕  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พระสรณงั กร กไ็ ดร้ บั การอปุ สมบทใหมอ่ กี ครงั้ หน่ึงในคราวน้ีดว้ ยและท่านกไ็ ดร้ บั สถาปนาจากพระมหากษตั รยิ ใ์ หเ้ป็น สมเด็จพระสงั ฆราช การในครงั้ น้ีเป็นการประดิษฐานคณะสงฆ์ อุบาลีวงศ์ หรือสยามวงศ์ หรือสยามนิกาย ใน ประเทศศรลี งั กาดว้ ย ฮอลนั ดาครองอาํ นาจอยู่ไมน่ านกไ็ ดเ้ส่ือมอาํ นาจ ๑๓) พระพทุ ธศาสนาสมยั ประเทศองั กฤษปกครองประเทศศรลี งั กา (พ.ศ. ๒๓๔๐) ประเทศองั กฤษ ได้ เขา้ ครองอาํ นาจในแถบชายทะเลของประเทศศรลี งั กา และต่อมาอีก ๑๙ ปี ไดเ้ขา้ ยดึ อาํ นาจการปกครองจากกษตั ริย์ ศรลี งั กาไดส้ าํ เร็จ ระยะน้ีอาํ นาจการปกครองของประเทศศรีลงั กาไดต้ กอยู่กบั ประเทศองั กฤษทงั้ หมด และพรอ้ มกบั ไดท้ าํ สนธิสญั ญารบั ประกนั สิทธิของฝ่ ายศรีลงั กาและคุม้ ครองพระพุทธศาสนา ต่อมา พ.ศ. ๒๓๖๒ ไดเ้ กิดกบฏ รุนแรงข้นึ ในศรีลงั กา ครน้ั องั กฤษปราบกบฏสาํ เร็จ ก็ไดด้ ดั แปลงขอ้ ความในสนธิสญั ญาเสยี ใหม่ วงศก์ ษตั ริยข์ อง ประเทศศรลี งั กาท่มี มี าเป็นเวลานานก็ไดส้ ูญส้นิ ลง ในระยะทอ่ี งั กฤษปกครองประมาณ ๕๐ ปีแรก พระสงฆย์ งั ไดร้ บั อสิ รภาพในการดาํ เนินกจิ การในทางพระพทุ ธศาสนาอยู่อย่างปกติ ต่อจากนนั้ รฐั บาลของประเทศศรีลงั กาไดถ้ กู บจี าก คริสตศ์ าสนาใหย้ กเลิกความเก่ียวขอ้ งทุกประการในกิจการทางพระพุทธศาสนา บาทหลวงคริสเตียนดาํ เนิน การ เผยแพร่ศาสนาของตนเองและพรอ้ มกบั โจมตี ต่อตา้ นทาํ ลายพระพุทธศาสนาโดยมรี ฐั บาลต่างชาติสนบั สนุนอยู่ เบ้อื งหลงั เหตกุ ารณน์ ้ีไดด้ าํ เนินอยูน่ านกว่า ๓๐๐ ปี ๑๔) พระพทุ ธศาสนาสมยั ประเทศศรีลงั กาไดอ้ ิสรภาพคืนมาจากองั กฤษ (พ.ศ. ๒๔๙๐) ประเทศศรีลงั กา ไดอ้ สิ รภาพคืนมาจากองั กฤษ ขณะทร่ี ฐั บาลของประเทศศรีลงั กาถูกบบี จากศาสนาครสิ ตอ์ ยู่นน้ั ประชาชนกไ็ ดด้ ้นิ รน ต่อสูแ้ สวงหาอสิ สรภาพ เพอ่ื นาํ เอาศาสนาประจาํ ชาติของตนกลบั คืนมา เมอ่ื ไดอ้ ิสรภาพจากองั กฤษแลว้ ชาวศรลี งั กา กก็ ่อปฏกิ ริ ยิ ากระตนุ้ ใหเ้กดิ การฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนา เอาใจใส่ในการคุม้ ครองรกั ษาพระพทุ ธศาสนา และวฒั นธรรม ประจาํ ชาตขิ องตนของตนมากข้นึ จนทาํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกิดความเขม็ แขง็ มาจนถงึ บดั น้ีเปอรเ์ ซน็ ต๕์ ปจั จบุ นั คณะสงฆใ์ นประเทศศรลี งั กามี ๓ นิกาย คือ ๑) สยามนิกาย ๒) อมรปุระนิกาย และ ๓) รามญั นิกาย นิกายแรก คอื สยามนิกาย เป็นวงศท์ ส่ี บื จากสายของประเทศไทย ส่วน อมรปรุ ะนิกาย และ รามญั นิกาย เป็น วงศท์ ส่ี บื จากสายประเทศเมยี นมา่ ร์ สาํ หรบั อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาทม่ี มี าอย่างยาวนานไดม้ อี ทิ ธพิ ลต่อดา้ นสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง ในประเทศศรลี งั กาอย่างไรบา้ งเราจะไดศ้ ึกษาในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี ๘.๒.๓ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่มี ีตอ่ ประเทศศรลี งั กาในดา้ นสงั คม พระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ สูป่ ระเทศศีลงั กาอย่างเป็นทางการตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๓๖ จากนนั้ เป็นตน้ มาทาํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาได้ เขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลต่อสงั คมของประเทศศีลงั กาดงั น้ี ดา้ นสถาบนั ทางสงั คม พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อสถาบนั ต่างๆทางสงั คมของประเทศศรีลงั กา เช่น สถาบนั ครอบครวั สถาบนั การศึกษา สถาบนั ศาสนา เป็นตน้ พระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมีอิทธิพลต่อสถาบนั ครอบครวั เห็นไดจ้ ากการปฏิบตั ิต่อกนั ระหว่างคนในครอบครวั เดียวกนั ตามหลกั ของทิศ ๖ การปฏิสมั พนั ธใ์ น ลกั ษณะดงั กล่าวน้ีเป็นอิทธิพลท่ีไดร้ บั มาจากหลกั คําสอนทางพระพุทธศาสนา นอกจากน้ีหลกั คําสอนในทาง พระพทุ ธศาสนายงั ไดถ้ กู นาํ ไปบรรจไุ วใ้ นสถาบนั การศึกษาใหค้ นในชาตไิ ดศ้ ึกษาอีกดว้ ย วดั ในทางพระพทุ ธศาสนาเป็น ๕ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, (พษิ ณุโลก : บริษทั โฟกสั พร้ินต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘), หนา้ ๔๓๙-๔๔๗. .

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๔๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ สถาบนั ทางสงั คมท่สี าํ คญั ประชาชนของประเทศศรลี งั กาส่วนใหญ่ไดใ้ ชว้ ดั เป็นสถานทท่ี าํ บญุ ใหท้ าน รกั ษาศีล ศึกษา หลกั ธรรมในทางพระพุทธศาสนาจากปรากฏการณ์ดงั ท่ีกล่าวมาน้ีเป็นส่ิงท่ียืนยนั ไดว้ ่าพระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมี อทิ ธพิ ลต่อสถาบนั ทางสงั คมในประเทศศรลี งั กาเป็นอยา่ งมาก ดา้ นวฒั นธรรม วฒั นธรรมของคนในสงั คมส่วนใหญ่ของประเทศศรีลงั กา มรี ากฐานมาจากหลกั คาํ สอน ในทางพระพุทธศาสนา เช่น การเขา้ วดั ฟงั ธรรม รกั ษาศีล เจริญภาวนา ผูม้ อี ายุนอ้ ยใหก้ ารเคารพนบั ถอื ผูท้ ่มี อี ายุ มากกว่า ศิษยใ์ หก้ ารเคารพครู ลูกใหค้ วามเคารพพ่อแม่ การเขา้ ไปในสถานทส่ี าํ คญั ในทางพระพทุ ธศาสนาประชาชน ศรีลงั กาจะไม่สวมรองเทา้ เขา้ ไปอนั เป็นการแสดงออกถึงความเคารพในสถานท่ีเหล่านนั้ ซ่ึงเป็ นวฒั นธรรมของ ประชาชนในประเทศศรลี งั กา ซ่งึ ไดร้ บั อทิ ธิพลมาจากหลกั คาํ สอนในทางพระพทุ ธศาสนาจากปรากฏการณ์ดงั ท่กี ลา่ ว มาน้ีเป็นสง่ิ ทย่ี นื ยนั ไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลต่อวฒั นธรรมของคนในประเทศศรลี งั กาเป็นอย่างมาก ดา้ นพทุ ธศิลปะ พทุ ธศิลป์และศาสนสถานอนั เป็นศูนยร์ วมดา้ นจิตใจของคนส่วนใหญ่ในสงั คมศรีลงั กาได้ เกิดข้ึนเพราะความศรทั ธาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา การสรา้ งพุทธศิลปะและศาสนสถานต่างๆ มากมายมี วตั ถุประสงคเ์ พ่อื ถวายเป็นพุทธบูชาเก็บรกั ษาหลกั ฐานท่ที รงคุณค่าสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาไว้ อนุรกั ษ์ สืบทอด และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ต่อมาพทุ ธศิลปะและศาสนสถาน แบบต่างๆ ไดก้ ลายมาเป็นศิลปะแบบพทุ ธทท่ี รงคุณค่า อย่างยง่ิ ประเทศศรลี งั กาไดม้ ศี ิลปะแบบพทุ ธแบง่ ออกเป็น ๖แบบ คือ ๑) ศิลปะแบบอนุราชปพุ .ศ. ๑๐๖-๑๕๖๐, ๒) ศิลปะแบบโปโลนนารุวะ พ.ศ. ๑๕๖๐-๑๗๗๘, ๓) ศิลปะแบบทมั พเทณิษะยาปวุวะ และกรุ ุเนคละ พ.ศ. ๑๗๗๘-๑๘๘๔, ๔) ศิลปะแบบคมั ปาละหรอื คมั โปละ พ.ศ. ๑๘๘๔-๑๙๕๘ ๕) ศิลปะแบบชยั วรรธนปรุ ะหรอื โฏฎาฎ พ.ศ.๑๙๕๘-๒๑๔๐, และ ๖) ศิลปะแบบสริ ิวฒั นบุรหี รือแคนดีพ.ศ. ๒๑๔๐-๒๓๕๘ พุทธศิลปะทเ่ี ป็นศูนยร์ วมดา้ นจิตใจของคน ในสงั คมประเทศศรีลงั กาเหลา่ น้ีลว้ นไดร้ บั อทิ ธิมาจากหลกั คาํ สอนในทางพระพทุ ธศาสนา กล่าวคือ เป็นการสรา้ งข้นึ เพราะความเลอ่ื มใสศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา จากปรากฏการณด์ งั ท่กี ลา่ วมาน้ีเป็นส่งิ ทย่ี นื ยนั ไดว้ ่าพระพทุ ธศาสนา ไดเ้ขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลต่อพทุ ธศิลปะในประเทศศรลี งั กาเป็นอย่างมาก ๘.๒.๔ อทิ ธิพลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททม่ี ีต่อประเทศศรลี งั กาในดา้ นเศรษฐกจิ เศรษฐกจิ หมายถงึ งานอนั เก่ยี วกบั การผลติ การจาํ หน่ายจ่ายแจก และการบรโิ ภคใชส้ อยสง่ิ ต่างๆของชุมชน เศรษฐกจิ ของประเทศศรีลงั กามรี ายไดเ้ กดิ จากการส่งออกสนิ คา้ ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่เส้อื ผา้ สาํ เรจ็ รูป อญั มณี ชาสาํ เร็จรูป มะพรา้ ว อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ ยางพารา เป็นตน้ ธนาคารโลกไดจ้ ดั ใหป้ ระเทศศรีลงั กาเป็นประเทศท่ยี ากจนท่สี ุด ประเทศหน่ึงในจาํ นวน ๒๔ ประเทศทวั่ โลกสาํ หรบั หวั ขอ้ น้ีจะนาํ เสนอใหเ้หน็ ว่าพระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อ เศรษฐกจิ ของประเทศศรลี งั กาอย่างไรบา้ งซง่ึ มปี ระเดน็ ทน่ี าํ เสนอดงั น้ี ดา้ นการผลติ จากขอ้ มลู ดา้ นการผลติ สนิ คา้ ในประเทศศรีลงั กาพบว่า มสี นิ คา้ หลกั ทส่ี าํ คญั นาํ มาจดั ประเภท ไดด้ งั น้ี ๑) ประเภทเคร่ืองนุ่งห่ม ไดแ้ ก่ เส้ือผา้ สาํ เร็จรูป ๒) ประเภทเคร่ืองประดบั ไดแ้ ก่ อญั มณี ๓) ประเภท อุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ ไดแ้ ก่ อุปกรณ์คอมพิวเตอรแ์ ละ ๔) ประเภทผลิตผลทางการเกษตร ไดแ้ ก่ ชาสาํ เร็จรูป

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๔๗  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ มะพรา้ ว ยางพารา เป็นตน้ สินคา้ หลกั เหล่าน้ีมปี จั จยั การผลติ ส่วนใหญ่ไดม้ าจาภาคเกษตรกรรมและการทาํ เหมอื งแร่ เมอ่ื จะนาํ มาผลติ เป็นอตุ สาหกรรมประเภทต่างๆ จะตอ้ งใชท้ ง้ั เคร่อื งจกั รและแรงงานคนเขา้ มาเป็นส่วนหน่ึงในปจั จยั ของ การผลติ สนิ คา้ นน้ั ๆ ดว้ ย การผลติ สนิ คา้ ในประเทศศรลี งั กาส่วนใหญ่จะใชแ้ รงงานคนภายในประเทศและดงั ท่ไี ดก้ ล่าว มาแลว้ ว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศศรีลงั กานบั ถอื พุทธศาสนา ประมาณรอ้ ยละ ๖๙.๓และอีกประมาณรอ้ ยละ ๓๐.๗ เป็นผูท้ น่ี บั ถอื ศาสนาอ่นื เม่อื ภาคการผลติ สนิ คา้ ตอ้ งใชแ้ รงงานคน และคนส่วนใหญ่ในภาคของการผลติ สนิ คา้ เป็นผูท้ ่ีนบั ถือพระพุทธศาสนา เราจึงตอ้ งดูถึงความเช่ือมโยงในเร่ืองน้ีว่าพระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ ไม่มีอิทธิพลต่อ เศรษฐกจิ ในดา้ นการผลติ สนิ คา้ น้ีหรือไม่ ตามความเป็นจริงแลว้ พระพทุ ธศาสนาอาจไม่ไดเ้ป็นผูผ้ ลติ โดยตรง แต่เป็น ส่วนหน่ึงในปจั จยั การผลิตสินคา้ เหล่านน้ั เช่น หลกั ธรรมในทางพระพุทธศาสนาสอนใหค้ น มีความขยนั มีวินยั เสียสละ รบั ผิดชอบต่อหนา้ ท่ี เม่อื หลกั ธรรมเหล่าน้ีเขา้ ไปอยู่ในตวั คนท่เี ป็นปจั จยั การผลติ ก็จะช่วยใหก้ ารการผลติ มี ประสทิ ธภิ าพมากข้นึ ซง่ึ จะส่งผลในทางทด่ี ตี ่อเศรษฐกจิ ของชาติโดยรวม อน่ึง โบราณสถานและโบราณวตั ถทุ เ่ี ป็นพทุ ธศิลปะแบบต่างๆ ท่มี อี ยู่ในประเทศศรีลงั กามากมาย เช่น สถปู ถูปารามสถูปรุวลั เวลิ สถูปเชตวนารามทวารบาลศิลาท่รี ตั นปราสาทอฒั จนั ทรศ์ ิลา ณ วดั อภยั คีรีพระพุทธเจา้ ศากย มนุ ีศิลา ณ อวกนะสถปู กิริเวเหระสถปู กริ ิเวเหระวิหารลงั กาดิลกคลั วิหารคฑจะเทณิยะวหิ ารวหิ ารลงั กาดิลกคลั มาทุ วะเคทเิ คโปตคุลมาลคิ ะวหิ ารพระพุทธรูป ในสมยั ศิลปะแบบแคนดีเป็นตน้ เป็นสถานท่ดี ึงดูดใหช้ าวต่างชาติเขา้ ไป ท่องเทย่ี วในประเทศศรลี งั กามากมา เมอ่ื ชาวต่างชาติไดเ้ขา้ ไปเทย่ี วชมโบราณสถานต่างๆ เหลา่ น้ีกไ็ ดเ้งนิ เขา้ ไปใชจ้ ่าย ในประเทศศรีลงั กาดว้ ยทาํ ใหป้ ระเทศมรี ายไดท้ ่เี กิดจากการท่องเท่ยี วมากมาย ในประเด็นน้ีจึงสามารถกล่าวไดว้ ่า พระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อเศรษฐกจิ ของประเทศศรลี งั กาในดา้ นการผลติ สนิ คา้ ดว้ ย ดา้ นการจาหน่ายจ่ายแจก ดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้ ว่าเศรษฐกิจของประเทศศรีลงั กามรี ายไดท้ ่ีเกิดจากการ ส่งออกสนิ คา้ ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่ เส้อื ผา้ สาํ เรจ็ รูป อญั มณี ชาสาํ เร็จรูป มะพรา้ ว อปุ กรณค์ อมพวิ เตอร์ ยางพารา เป็นตน้ ผู้ คา้ ขายชาวศรลี งั กาส่วนใหญ่เป็นผูท้ น่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา อทิ ธพิ ลแนวคิดเก่ยี วกบั หลกั ของการคา้ ขาย หรือหลกั ของ การจาํ หน่ายจ่ายแจกท่ปี รากฏอยู่ในหลกั คาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนามีส่วนช่วยใหก้ ลุ่มพ่อคา้ ชาวพุทธเหล่านนั้ นาํ ไป ปฏบิ ตั ิใหธ้ ุรกิจประสบผลสาํ เร็จได้ เช่น หลกั ปาปณิกธรรม ๓ ประการ๖คือ หลกั อนั เป็นองคค์ ุณของพ่อคา้ ๓ อย่าง ไดแ้ ก่ ๑) จกั ขุมา เป็นผูม้ ีตาดี สอนใหน้ กั ธุรกิจเป็นผูร้ ูแ้ ละเช่ียวชาญเก่ียวกบั ชนิดของสินคา้ ดูของเป็น สามารถ คาํ นวณราคา กะทุนเก็งกาํ ไรไดแ้ ม่นยาํ ถกู ตอ้ ง ๒) วธูโร เป็นผูจ้ ดั เจนในธุรกิจ สอนใหน้ กั ธุรกิจเป็นผูร้ ูแ้ ละเช่ียวชาญ เก่ียวกบั แหล่งซ้ือ แหล่งขาย รูค้ วามเคลอ่ื นไหวและความตอ้ งการของตลาด มีความสามารถในการจดั ซ้ือและจดั จาํ หน่าย รูใ้ จและรูจ้ กั เอาใจลูกคา้ เป็นอย่างดี ๓) นิสสยสมั ปนั โน พรอ้ มดว้ ยแหล่งทุนเป็นทอ่ี าศยั สอนนกั ธุรกิจใหร้ ู้ วธิ ปี ฏบิ ตั ติ นเพอ่ื ใหเ้ป็นคนทน่ี ่าเชอ่ื ถอื เป็นท่ไี วว้ างใจในหมแู่ หล่งทนุ ใหญ่ๆ สามารถหาเงนิ มาลงทนุ หรือดาํ เนินกิจการ โดยงา่ ย ผูป้ ระกอบธุรกจิ ในประเทศศรลี งั กาส่วนใหญ่เป็นผูท้ น่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา เราจงึ ตอ้ งดูถงึ ความเช่อื มโยงใน เร่อื งน้ีว่าพระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ ไม่มอี ทิ ธพิ ลต่อเศรษฐกิจในดา้ นการจาํ หน่ายจ่ายแจกสนิ คา้ น้ีหรอื ไม่ ตามความเป็นจรงิ แลว้ พระพทุ ธศาสนาอาจไมไ่ ดเ้ป็นผูจ้ าํ หน่ายจ่ายแจกโดยตรง แต่เป็นส่วนหน่ึงท่ที าํ ใหก้ ารจาํ หน่ายจ่ายแจกสนิ คา้ และ ๖ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๐/๒๐/๑๖๓.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๔๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ บรกิ ารต่างๆ มคี วามน่าเช่อื ถือ ทงั้ ผูซ้ ้อื และผูข้ าย เช่นหลกั ธรรมในทางพระพทุ ธศาสนาสอนใหค้ นซ่อื สตั ยต์ ่อกนั สอน ใหค้ ู่คา้ มคี วามซอ่ื สตั ยต์ ่อกนั เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมขอ้ น้ีกจ็ ะก่อใหเ้กดิ ความไวว้ างใจกนั มากข้นึ ในการทจ่ี ะทาํ การคา้ ขายต่อกนั ซ่งึ จะส่งผลในทางท่ดี ตี ่อเศรษฐกิจของชาติโดยรวม ในประเด็นน้ีจงึ สามารถกล่าวไดว้ ่าพระพทุ ธศาสนาได้ เขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลต่อเศรษฐกจิ ของประเทศศรลี งั กาในดา้ นการจาํ หน่ายจ่ายแจกสนิ คา้ ดว้ ย ดา้ นการบริโภคใชส้ อย ไดก้ ล่าวมาแลว้ ว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศศรีลงั กานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ประมาณรอ้ ยละ ๖๙.๓ และอีกประมาณรอ้ ยละ ๓๐.๗ เป็นผูท้ ่นี บั ถอื ศาสนาอ่ืน ประชาชนชาวศรีลงั กาเหล่าน้ีเป็น ผูบ้ ริโภคใชส้ อยปจั จยั ส่แี ละส่งิ อาํ นวยความสะดวกต่างๆอย่างรูค้ ุณค่าไมว่ ่าจะเป็นการบริโภค การใชส้ อย การซ้อื หา หรอื การครอบครอง โดยม่งุ ใหเ้ขา้ ใจคุณค่าทแ่ี ทเ้ป็นประโยชนแ์ ก่ชีวติ อย่างแทจ้ ริง เหน็ ไดจ้ ากการบรโิ ภคอาหาร การ ใชส้ อยเคร่ืองนุ่งห่ม การสรา้ งท่อี ยู่อาศยั ของประชาชนชาวศรีลงั กาเป็นไปอย่างเรียบง่าย ผูเ้ขยี นเองไดม้ โี อกาสเขา้ ร่วมประชมุ สมั มนาทางวชิ าการกบั นกั วชิ าการของประเทศศรีลงั กาทไ่ี ดเ้ดนิ ทางมาประชุมท่ปี ระเทศไทยหลายครง้ั เช่น ในงานวสิ าขบูชาโลก ในงานประชมุ สมั มนาเผยแพร่ผลงานการวจิ ยั ท่ีมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั จดั ข้นึ ไดส้ งั เกตเหน็ การบรโิ ภคใชส้ อยปจั จยั สข่ี องนกั วชิ าการเหลา่ น้ีเป็นไปอย่างรูค้ ุณค่า เช่น การแต่งกายทงั้ สุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีส่วนใหญ่จะแต่งกายดว้ ยชดุ ประจาํ ชาติ แสดงใหเ้หน็ ถงึ ความไมเ่ ป็นผูท้ ่มี กี ารใชจ้ ่ายแบบฟ้งุ เฟ้อหรือ สุรุ่ยสุร่าย ลกั ษณะของการบริโภคใชส้ อยเช่นน้ีส่วนหน่ึงน่าจะไดร้ บั อิทธิพลจากหลกั คาํ สอนในทางพระพุทธศาสนา เพราะว่าในพระพทุ ธศาสนามหี ลกั คาํ สอนท่เี ก่ยี วกบั การบรโิ ภคใชส้ อยอยู่เป็นจาํ นวนมากเช่น หลกั การใชส้ อยปจั จยั ๔ หลกั ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ หลกั โภคอาทยิ ะ เป็นตน้ เป็นหลกั ธรรมท่ีสอนใหม้ นุษยบ์ ริโภคใชส้ อยส่ิงอาํ นวย ความสะดวกต่างๆ อยา่ งรูค้ ุณค่า ชาวศรลี งั กาท่นี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาไดศ้ ึกษาและเรยี นรูใ้ นหลกั คาํ สอนเหล่าน้ี เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมขอ้ น้ีกจ็ ะก่อใหเ้กดิ การบริโภคใชส้ อยสง่ิ ต่างๆ อย่างรูค้ ุณค่า ซง่ึ จะส่งผลในทางท่ดี ีต่อเศรษฐกจิ ของชาติโดยรวม ในประเด็นน้ีจึงสามารถกล่าวไดว้ ่าพระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อเศรษฐกจิ ของประเทศศรี ลงั กาในดา้ นการบรโิ ภคใชส้ อยสนิ คา้ ดว้ ย ๘.๒.๕ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่มี ตี ่อประเทศศรลี งั กาในดา้ นการเมือง ประวตั ศิ าสตรศ์ รลี งั กาเก่ยี วเน่ืองอยา่ งใกลช้ ิดกบั ความรุ่งเรอื งและความเสอ่ื มของพทุ ธศาสนา บนั ทกึ โบราณ ไดเ้ช่อื มโยงเหตกุ ารณท์ างศาสนาเขา้ กบั ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศ พทุ ธศาสนาทน่ี าํ เขา้ มาในลงั กาโดยมหนิ ทะเถระนน้ั ไดเ้จรญิ รุ่งเรอื ง และเปลย่ี นประเทศน้ีใหก้ ลายเป็นศูนยก์ ลางทางศาสนาทส่ี าํ คญั เจา้ ชายวิชยั (Prince Vijaya) กษตั ริยพ์ ระองค์แรกของศรีลงั กา ก่อตง้ั ราชอาณาจกั รทมั บาปนั นี (Tambapanni) ในปีท่ีพระพุทธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน โดยมีกษตั ริยส์ ืบต่อราชบลั ลงั กอ์ ีกประมาณ ๒๐ พระองค์ แต่นกั ประวตั ิศาสตรบ์ นั ทกึ ไวไ้ ดเ้ พยี ง ๑๖๕ พระองค์ เท่านนั้ กษตั ริยศ์ รีลงั กาเกอื บทง้ั หมดเป็นชาวสงิ หล มเี พยี ง ๒-๓ พระองคเ์ ท่านนั้ ท่เี ป็นชาวทมฬิ ปจั จบุ นั ประชากร ๒ ใน ๓ ส่วน หรือรอ้ ยละ ๗๕ ในศรีลงั กาเป็นชาว สิงหล นอกนนั้ เป็นทมฬิ และมวั ส์ ซ่งึ เป็นเลอื ดผสมระหว่างมสุ ลิม มาเลย์ และเบอรเ์ กอร์ (ผูม้ บี รรพบุรุษเช้ือสาย ตะวนั ตก)

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๔๙  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง การก่อตง้ั พุทธศาสนา เม่อื พระจกั รพรรดิอโศกมหาราชแห่งอินเดียทรงแต่งตง้ั โมคคลบี ุตรติสสะเถระ๗ (Moggaliputtatissa) ทาํ การปฏริ ูปพทุ ธศาสนา (๓๐๗ ก่อนครสิ ตศ์ กั ราช-ค.ศ.) และทรงส่งพระโสนะ (Sona) และ พระอตุ ตระ (Uttara) มาเผยแผ่พทุ ธศาสนายงั ดินแดนสุวรรณภูมิ พรอ้ มทง้ั ส่งมหนิ ทะเถระ (Mahinda) พระโอรส มายงั ลงั กาเพ่อื เผยแผ่พทุ ธศาสนานน้ั ตรงกบั รชั สมยั พระเจา้ เทวานมั ปิยะติสสะ (Devanampiyatissa) (๓๐๗- ๒๖๗ก่อนครสิ ตศ์ กั ราช-ค.ศ.) กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี ๗ แหง่ อนุราธปรุ ะ (Anuradhapura) ในศรลี งั กา คณะธรรมทูตของท่านมหนิ ทะประกอบดว้ ยพระภกิ ษุ ๔ รูป สามเณร ๑ รูป และฆราวาส ๑ คน ทง้ั หมด ไดร้ บั การตอ้ นรบั อย่างอบอ่นุ จากพระเจา้ เทวานมั ปิยะติสสะและชาวลงั กาทงั้ ปวง มปี ระชาชนจาํ นวนมากขออปุ สมบท และพระเจา้ แผ่นดนิ กท็ รงโปรดใหส้ รา้ งวหิ ารและศาสนสถานเป็นอนั มาก รวมทง้ั เจดยี ธ์ ูปะราม (Thuparama) ซ่งึ เป็น เจดยี แ์ หง่ แรกในลงั กา และโลหะปราสาท (Lohapasada) ซง่ึ เป็นเจดยี ท์ ส่ี รา้ งจากโลหะ๘ พระราชินีอนุละเทวี (Anuladevi) ทรงส่งราชทูตเพ่อื ทูลขอภกิ ษุณีสงั ฆมติ ตา (Sanghamitta) ราชธิดาของ พระเจา้ อโศกแห่งอนิ เดยี มาอปุ สมบทใหแ้ ก่ผูห้ ญงิ ลงั กา อนั เป็นจุดเร่มิ ตน้ ของภกิ ษุณีในศรลี งั กา เช่อื กนั ว่าภกิ ษุณีสงั ฆ มติ ตา ทรงนาํ ก่ิงพระศรีมหาโพธ์ิ (จากตน้ โพธ์ิเดิมท่ีพุทธคยา) มาปลูกไวท้ ่ีอนุราธปุระ๙ ซ่ึงปจั จุบนั กลายเป็นตน้ ไม้ ประวตั ิศาสตรท์ ่เี ก่าแก่ท่ีสุดในโลก (อายุกว่า ๒,๒๐๐ ปี) พระบรมสารีริกธาตุ ก็ถูกนาํ มายงั ลงั กาหลายครงั้ ดว้ ยกนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในช่วงเวลาทพ่ี ทุ ธศาสนาในอนิ เดียถกู ภยั คุกคามจากผูร้ ุกรานนอกศาสนา ‚คณะสงฆล์ งั กา‛ ไดแ้ บ่งออกเป็น ๒ นิกาย คือ นิกายมหาวหิ าร (Mahavihara) ฝ่ายเถรวาท และนิกายอภยั ครี ี (Abhayagiri) ฝ่ายมหายาน การดาํ รงอยูข่ องพทุ ธศาสนาทงั้ ๒ นิกาย แสดงถงึ พฒั นาการอนั มงั่ คงั่ และหลากหลาย ของพทุ ธศาสนามากกว่าจะเป็นความแตกแยก เมอ่ื ฟา-เสยี น (Fa Hsien) พระภกิ ษุชาวจนี ผูม้ ชี ่อื เสยี ง เดินทางมาถงึ ลงั กา (เม่อื คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๕) ท่านไดบ้ นั ทึกถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาโดยระบุว่า พระภิกษุฝ่ ายอภยั คีรีมี จาํ นวนถงึ ๕,๐๐๐ รูป และฝ่ายมหาวหิ ารอีก ๓,๐๐๐ รูป แต่สุดทา้ ยแลว้ มหายานไดค้ ่อยๆ เลอื นหายไปจากลงั กา พระพทุ ธศาสนาในช่วงกลยี คุ ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๑ พทุ ธศาสนาในลงั กาอยู่ในยุคเส่อื ม ส่วนหน่ึงมาจาก การรุกรานอย่างต่อเน่ืองจากอินเดียใต้ และอีกส่วนหน่ึงจากการแย่งชิงอาํ นาจกนั เองในหม่ผู ูน้ าํ ชาวสิงหล เมอ่ื ฝ่าย ทมฬิ ไดร้ บั ชยั ชนะ พทุ ธศาสนาก็ถงึ จดุ เสอ่ื มถอย ทาํ ใหส้ ถาบนั ภกิ ษุณีสูญหายไป และสถาบนั ภกิ ษุกเ็ กือบจะสูญส้นิ เมอ่ื พระเจา้ วชิ ยั พหุท่ี ๑ (Vijayabahu I) ปราบฝ่ายทมฬิ ไดส้ าํ เร็จ (ค.ศ. ๑๐๗๑) และข้นึ สู่อาํ นาจทเ่ี มอื งโปโลนนะรุ วะ (Polonnaruwa) ทรงประสงคจ์ ะฟ้ืนฟูพทุ ธศาสนาและคณะสงฆ์ แต่ขณะนนั้ ไม่มพี ระสงฆเ์ พยี งพอ พระองคจ์ ึง ทรงนิมนตพ์ ระสงฆ์ ๒๐ รูป จากภาคใตข้ องเมยี นมา่ ร์ มาร่วมประกอบพธิ อี ุปสมบท เพ่อื จดั ตงั้ คณะสงฆล์ งั กาข้นึ มา ใหม่ ต่อมาพระเจา้ ปรกรมพาหุท่ี ๑ (Parakramabahu I) (ค.ศ. ๑๑๕๓-๑๑๘๖) ทรงรวบรวมลงั กาใหเ้ ป็น ปึกแผ่น และทรงทาํ นุบาํ รุงพทุ ธศาสนาอย่างสาํ คญั โดยทรงปฏริ ูปวินยั ของคณะสงฆแ์ ละรวมนิกายท่หี ลากหลายให้ เป็นหน่ึงเดยี ว การปฏริ ูปครงั้ น้ีส่งผลใหเ้กิดการปฏริ ูปพทุ ธศาสนาทวั่ ทงั้ เอเชยี อาคเนย์ รวมทง้ั อาณาจกั รสุโขทยั ศิลา ๗ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๙๓-๑๐๖. ๘ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๑๐๒-๑๐๕. ๙ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๙๒.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๕๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ จารึกในสมยั สุโขทยั เปิดเผยใหท้ ราบว่า ช่วงเวลานนั้ กมั พชู า เมยี นม่าร์ รามญั (มอญ) และสยามต่างก็ส่งพระภิกษุ สงฆไ์ ปยงั ลงั กา เพอ่ื นาํ พระวนิ ยั ทเ่ี คร่งครดั กลบั มายงั ประเทศของตน ส้นิ รชั สมยั ของพระองค์ ลงั กาไดถ้ ดถอยเขา้ สูห่ ว้ งแห่งความสบั สนและปนั่ ป่วนท่ยี าวนาน ทาํ ใหว้ นิ ยั ของสงฆ์ ย่อหย่อนลง คณะสงฆเ์ กดิ เร่อื งอ้อื ฉาวจนนาํ ไปสู่การลาสกิ ขาเป็นอนั มาก นบั จากปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๕ เป็นตน้ ไป การแย่งชิงอาํ นาจภายในทาํ ใหโ้ ปรตุเกสและชาวต่างชาติอ่ืนๆ เขา้ มามบี ทบาทในลงั กามากข้นึ ในท่สี ุดลงั กาก็ตก เป็นอาณานิคมของตะวนั ตกยาวนานถงึ ๓๐๐ ปี อิทธิพลของมหาอานาจยุโรป ปี ค.ศ. ๑๕๑๗ โปรตเุ กสเป็นชาวยุโรปชาตแิ รกท่เี ขา้ มาปกั หลกั ท่เี มอื งท่าโค ลอมโบ (Colombo) ชาวโปรตุเกสไดย้ ่นื ขอ้ เรียกรอ้ งมากมายกบั กษตั ริยล์ งั กาจนนาํ ไปสู่การสูร้ บหลายครงั้ เมอ่ื ไม่ สามารถต่อสูก้ บั โปรตุเกสได้ กษตั ริยล์ งั กาจาํ ตอ้ งยอมจาํ นนและจ่ายค่าชดเชยสงครามใหแ้ ก่โปรตุเกส สงครามและ การสูร้ บยงั คงดาํ เนินอย่างต่อเน่ืองเป็นเวลาอีก ๑๐๐ ปี กระทงั่ ปี ค.ศ. ๑๖๓๒ โปรตเุ กสจงึ สามารถยดึ เมอื งท่าสาํ คญั ทงั้ หมดบนเกาะลงั กาได้ กองเรือของโปรตเุ กสไมเ่ พยี งแต่บรรทุกสนิ คา้ มาเท่านน้ั แต่ยงั บรรทุกกองทหารและบาทหลวงทต่ี ง้ั ใจจะมา เปลย่ี นคนพ้นื เมอื งใหห้ นั มานบั ถอื คาทอลกิ อีกดว้ ย จุดมงุ่ หมายน้ีบรรลุความสาํ เร็จเมอ่ื กษตั ริยส์ งิ หลซง่ึ มพี ระนามว่า ธรรมะปาละ ดอน จวน (Dhamapala Don Juan) ไดเ้ ขา้ รีตนบั ถือศาสนาคริตสใ์ นปี ค.ศ. ๑๕๔๒ ภายใตก้ าร ปกครองของโปรตเุ กส พทุ ธศาสนาถูกบ่อนทาํ ลายเป็นอนั มาก วดั พระพทุ ธรูป และแมแ้ ต่พระพทุ ธบาทบนเขาสุมนา (Sumana) ก็ถูกทาํ ลาย เพ่อื ปูทางไปสู่การสรา้ งส่งิ ก่อสรา้ งทางศาสนาอย่างใหม่ ขณะเดียวกนั กษตั ริยท์ ่เี มอื งแคนด้ี (Kandy) พระองคห์ น่ึงซ่ึงนบั ถือศาสนาพราหมณ์ก็ทรงจบั พระภิกษุและสามเณรสึกเป็นจาํ นวนมาก พรอ้ มทง้ั สงั่ ทาํ ลายเจดยี ์ วหิ าร และพระไตรปิฎก ลงั กาไดส้ ูญเสยี คณะสงฆอ์ กี เป็นครง้ั ทส่ี อง ในปี ค.ศ. ๑๖๕๗ ชาวดตั ชเ์ ขา้ มาแทนทโ่ี ปรตเุ กส แต่ไมเ่ ขา้ มากา้ วก่ายพทุ ธศาสนา จงึ มคี วามสมั พนั ธท์ ด่ี ีกบั พลเมอื งทอ้ งถน่ิ ภายใตก้ ารปกครองของดตั ช์ พทุ ธศาสนาไดฟ้ ้ืนตวั ข้นึ อกี ครง้ั หน่ึง เมอ่ื พระภกิ ษุสงฆจ์ าํ นวน ๓๐ รูป จากยะไข่ (Yakai) หรอื อารขา่ น (Arakan) ไดน้ าํ การอปุ สมบทกลบั เขา้ มาในอาณาจกั รแคนด้ใี นปี ค.ศ. ๑๖๙๗ ต่อมาลงั กาขาดแคลนพระสงฆอ์ ีกเป็นครงั้ ท่สี าม เหลอื เพยี งสามเณรจาํ นวนหน่ึงเท่านนั้ สามเณรสรณงั กร (Saranangara) ไดแ้ นะนาํ ใหก้ ษตั ริยล์ งั กาทูลขอพระสงฆจ์ ากพระเจา้ บรมโกษฐแ์ ห่งอยุธยา ภายใตก้ ารนาํ ของพระอุ บาลี (Upali) คณะสงฆส์ ยามไดล้ งเรือสินคา้ ชาวดตั ช์ และเดินทางมาถงึ แคนด้ีเพ่อื ประกอบพิธีอุปสมบทในปี ค.ศ. ๑๗๕๓ นบั เป็นการตงั้ สยามนิกายข้นึ เป็นครง้ั แรกในลงั กา และรุ่งเรอื งสบื ทอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั ในปี ค.ศ. ๑๗๙๗ องั กฤษไดเ้ ขา้ มาปกครองเมืองชายฝงั่ ทะเล และจบั พระเจา้ ศรีวิกรมราชสิงเห (Sri Wickramarajasinghe) ไดใ้ นวนั ท่ี ๑๘ กุมภาพนั ธ์ ค.ศ. ๑๘๑๕ ส่งผลใหร้ ะบอบกษตั ริยใ์ นลงั กาส้ินสุดลง การ เปล่ยี นนโยบายขององั กฤษเพ่ือเอาใจบาทหลวงชาวคริสตใ์ นการเผยแพร่ศาสนาคริสตบ์ นความสูญเสียของพุทธ ศาสนา ทาํ ใหช้ าวพทุ ธทวั่ ประเทศรวมตวั กนั เพอ่ื ต่อตา้ น ทกุ วนั น้ีชาวพทุ ธศรลี งั กายงั คงรูส้ กึ ถงึ ภยั คุกคามของต่างชาติ ในการทาํ ลายศาสนาประจาํ ชาตขิ องตน ชาวศรีลงั กาจงึ รูส้ กึ หวงแหนและพยายามอย่างยง่ิ ในการรกั ษาเอกลกั ษณท์ าง ศาสนาของตนไว้ ลงั กาอยู่ภายใตก้ ารปกครองขององั กฤษจนกระทงั่ ส้นิ สุดสงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ โดยไดร้ บั เอกราชใน ปี ค.ศ. ๑๙๔๘ รวมทง้ั หมดแลว้ องั กฤษปกครองศรลี งั กาอยูน่ านถงึ ๑๕๐ ปี

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๕๑  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ความรุ่งเรืองและความเส่ือมของพุทธศาสนาข้นึ อยู่กบั ปจั จยั หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างย่ิงเสถียรภาพ ทางการเมอื ง และการอุปถมั ภค์ าํ้ จุนจากพระเจา้ แผ่นดนิ พทุ ธศาสนาและคณะสงฆใ์ นลงั กาถกู คุกคามจนสูญหายไป ถึงสามครง้ั เน่ืองจากการแย่งชิงอาํ นาจภายในและการรุกรานจากภายนอก ในระยะเวลากว่า ๓๐๐ ปีท่ีลงั กาถูก ปกครองโดยชนชาตยิ ุโรป ๓ ชาติ มคี วามพยายามหลายครง้ั ท่จี ะทาํ ลายพทุ ธศาสนา และเปลย่ี นคนพ้นื เมอื งใหไ้ ปนบั ถอื ศาสนาคริสต์ เหตกุ ารณ์เหลา่ น้ี รวมทง้ั ความรูส้ กึ ภมู ใิ จและหวงแหนในมรดกวฒั นธรรมของตน เป็นแรงผลกั ดนั ใหช้ าวศรลี งั กาสว่ นใหญ่รูส้ กึ ถงึ ความจาํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งปกป้องศาสนาของตนอย่างกระตอื รอื รน้ กฎหมายรองรบั พระพทุ ธศาสนา ในกฎหมายรฐั ธรรมนูญของประเทศศรีลงั กาไดบ้ ญั ญตั ิใหพ้ ระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาํ ชาติดว้ ย ประเทศศรีลงั กามกี ารปกครองโดยระบบประชาธปิ ไตย ประธานาธิบดีเป็นประมขุ ของประเทศ ซง่ึ ไดร้ บั การเลอื กตงั้ จากประชาชนโดยตรงอยู่ในตาํ แหน่งคราวละ ๖ ปี เป็นผูม้ อี าํ นาจแต่งตงั้ และถอดถอนนายกรฐั มนตรี ในประเทศศรี ลงั กายงั มีปญั หาการสูร้ บระหว่างเผ่าพนั ธุท์ ่เี ป็นชาวสิงหลและชาวทมฬิ ในคาบสมทุ รจาฟน่า เพ่อื เรียกรอ้ งใหม้ กี าร แบ่งแยกดนิ แดนภาคเหนือและภาคตะวนั ออกของศรีลงั กาเป็นอสิ ระ กลุ่มทก่ี ่อปญั หาใหก้ บั รฐั บาลศรลี งั กามากทส่ี ุด ไดแ้ ก่ กลุม่ แบ่งแยกดินแดนพยคั ฆท์ มฬิ อีแลมสาํ หรบั ในหวั ขอ้ น้ีจะไดน้ าํ เสนอเก่ียวกบั ประเด็นท่วี ่าพระพทุ ธศาสนา ไดเ้ ขา้ ไปมอี ทิ ธิพลต่อดา้ นการเมอื งการปกครองของประเทศศรลี งั กาอย่างไรบา้ งเน้ือหาท่นี าํ เสนอในแต่ละประเดน็ มี ดงั น้ี ๘.๒.๕.๑ ดา้ นงานทเ่ี ก่ยี วกบั รฐั หรอื แผ่นดิน พระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ ไปมสี ่วนเก่ยี วขอ้ งกบั รฐั หรือแผ่นดนิ ใน ประเทศศรีลงั กามาในหลายดา้ น เช่นในยามบา้ เมอื งสงบเรียบรอ้ ยสถาบนั พระพทุ ธศาสนาก็จะทาํ หนา้ ทเ่ี ผยแผ่ธรรม เป็นสถานท่ใี หก้ ารศึกษากบั คนในชาติและเป็นสถานท่ใี หป้ ระชาชนเขา้ มาทาํ บุญ ใหท้ าน รกั ษาศีล เจริญภาวนา ใน ยามท่ีบา้ นเมอื งมีปญั หาพระสงฆใ์ นสถาบนั ทางพระพุทธศาสนาก็จะใหค้ าํ แนะนาํ และหากุศโลบายใหก้ บั ทางฝ่ าย บา้ นเมอื งกบั กเู้อกราชกลบั มาไดเ้สมอ เช่น ในยามท่บี า้ นเมอื งสงบ สมยั พระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะ (พ.ศ. ๒๓๖-๒๗๖) กษตั ริยแ์ ห่งเมอื งอนุราธปุระซง่ึ เป็นผูม้ คี วามสนิทสนมกนั กบั พระเจา้ อโศกมหาราชแห่งชมพทู วปี เมอ่ื พระเจา้ อโศก มหาราชไดอ้ ปุ ถมั ภก์ ารทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ เสรจ็ ส้นิ แลว้ กไ็ ดส้ ่งสมณทูตเขา้ มาประกาศพระพทุ ธศาสนาท่ปี ระเทศศรี ลงั กา ในสมยั น้ีพระพทุ ธศาสนาไดข้ ยายตวั เขา้ ไปสู่สงั คมศรีลงั กาอย่างรวดเร็ว ไดม้ ผี ูน้ บั ถือพระพทุ ธศาสนาและเขา้ มาขออปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็นจาํ นวนมาก พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การนบั ถอื และเป็นท่ศี รทั ธาเลอ่ื มของกษตั ริย์ และพสกนิกรในประเทศศรีลงั กาเป็นอย่างมาก พระพทุ ธศาสนาไดม้ คี วามสมั พนั ธก์ นั อย่างใกลช้ ิดกบั ฝ่ายอานาจกั ร เม่อื พระนางอนุฬาเทวีมเหสี และสตรีบริวารจาํ นวนมากในพระเจา้ เทวานมั ปิยะติสสะ มคี วามประสงคจ์ ะอุปสมบท พระเจา้ เทวานมั ปิยะติสสะ จงึ ไดส้ ่งใหค้ ณะทูตไปชมพูทวปี เพอ่ื ทูลขอพระสงั ฆมติ ตาเถรี ซง่ึ เป็นพระราชบตุ รตรีของ พระเจา้ อโศกมหาราช พระองคไ์ ดป้ ระราชทานใหต้ ามคาํ ทูลขอ พระสงั ฆมติ าเถรไี ดเ้ดินทางมาประดิษฐานภกิ ษุณีสงฆ์ ในประเทศศรีลงั กา พรอ้ มทงั้ นาํ ก่ิงพระศรีมหาโพธ์ิมาถวายแก่พระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะดว้ ย และไดป้ ลูกไว้ ณ เมอื ง อนุราธปุระ ซ่งึ เป็นตน้ ไมใ้ นประวตั ศิ าสตรท์ ย่ี งั มชี วี ิตมาใหเ้หน็ อยู่ในปจั จบุ นั ในสมยั น้ีพระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะ ได้ ทรงสรา้ ง มหาวหิ าร และ ถปู าราม อนั เป็นเจดียอ์ งคแ์ รกไวใ้ หเ้ป็นปูชนียสถานสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาท่เี มอื งอนุ ราธปุระดว้ ย เหตุการณ์ภายหลงั จากส้นิ รชั กาลของพระเจา้ เทวานมั ปิยตสิ สะแลว้ ประเทศศรลี งั กากไ็ ดต้ กอยู่ภายใต้

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๕๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง อาํ นาจการปกครองของกษตั ริยท์ มฬิ และกษตั ริยอ์ ่ืนๆ อกี เป็นเวลาเกือบรอ้ ยปี และในสมยั พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั (พ.ศ.๔๓๙-๔๖๖) สมยั น้ีเป็นช่วงบา้ นเมอื งเกดิ ปญั หา กลา่ วคือ เมอ่ื พระองคข์ ้นึ ครองราชยใ์ นเมอื งอนุราธปุระไดไ้ ม่ นานพวกทมฬิ ก็ไดเ้ ขา้ ยดึ อาํ นาจการปกครองในประเทศศรลี งั กาไดส้ าํ เรจ็ อีกครงั้ หน่ึง พรอ้ มกบั เขา้ ครองอนุราธปุระ อยู่เป็นเวลา ๑๔ ปี ส่วนพระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั ในระหว่างทถ่ี กู ยดึ อาํ นาจนน้ั พระองคแ์ ละขนุ พลผูต้ ิดตามจาํ นวนหน่ึง ไดห้ นีไปซุกซ่อนอยู่และในขณะนน้ั ก็ไดร้ บั ความช่วยเหลอื จาก “พระมหาติสสเถระ” เมอ่ื พระองคไ์ ดซ้ ่องสุมกาํ ลงั ได้ จาํ นวนหน่ึง จงึ ไดเ้ขา้ ชงิ อาํ นาจจากพวกทมฬิ กลบั คนื มาเป็นของพระองคเ์ หมอื นเดมิ และไดท้ รงสรา้ ง “อภยั คีรวี ิหาร” ถวายแด่พระมหาตสิ สะเถระดว้ ย สาํ หรบั อภยั คีรีวหิ ารน้ีไดก้ ลายมาเป็นศูนยก์ ลางทางพระพทุ ธศาสนาในเวลาต่อมา จะเหน็ ไดว้ ่าในขณะทป่ี ระเทศเสยี เอกราชใหก้ บั กลมุ่ อน่ื หรอื ต่างชาตหิ ลายครง้ั พระสงฆใ์ นสถาบนั ทางพระพทุ ธศาสนา จะเขา้ ไปใหค้ าํ แนะนาํ กบั ฝ่ายบา้ นเมอื งในการกอบกูเ้อกราชกลบั คืนมาอยู่เสมอ จากการศึกษาเก่ยี วกบั ประวตั ิศาสตร์ ของประเทศศรีลงั กาจะเห็นอิทธิพลของพระพุทธศาสนาทางดา้ นน้ีอย่างชดั เจนในประเด็นน้ีจึงสามารถกล่าวไดว้ ่า พระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลต่อการเมอื งของประเทศศรีลงั กาในดา้ นงานทเ่ี กย่ี วกบั รฐั หรอื แผ่นดนิ ดว้ ย ดา้ นการบริหารประเทศ เฉพาะท่ีเก่ียวกบั นโยบายในการบริหารประเทศในดา้ นน้ีเป็นงานท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กิจการอาํ นวยหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินในกฎหมายรฐั ธรรมนูญของประเทศศรีลงั กาไดบ้ ญั ญตั ิให้ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาํ ชาติ รฐั ไดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั สถาบนั ในทางพระพุทธศาสนา ศาสนสถานในทาง พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั ความคุม้ ครอง ไดร้ บั การอปุ ถมั ภด์ ูแล ไดร้ บั การทาํ นุบาํ รุงและการปฏสิ งั ขรจากรฐั การกระทาํ พิธีกรรมใดๆ ท่ีเป็นไปตามหลกั ความเช่ือในทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธในประเทศศรีลงั กาก็ไดร้ บั ความ คุม้ ครอง และการอาํ นวยความสะดวกจากรฐั เป็นอย่างดใี นช่วงทพ่ี ระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต)อธกิ ารบดี มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ในประเทศไทยและคณะ ไดเ้ ดินทางเขา้ ไปศึกษาดูงานท่ีเก่ียวขอ้ งกบั พระพุทธศาสนา การเขา้ ศึกษาดูงานในครง้ั น้ีไดร้ บั การตอ้ นรบั จากทางรฐั บาลของประเทศศรีลงั กา อย่างดีย่ิง ประธานาธบิ ดี ผูม้ อี าํ นาจสูงสุดในการบรหิ ารประเทศไดอ้ อกมาใหก้ ารตอ้ นรบั แสดงใหเ้หน็ ว่ารฐั ไดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั พระสงฆใ์ นพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากในประเด็นน้ีจึงสามารถกล่าวไดว้ ่าพระพทุ ธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อ การเมอื งของประเทศศรีลงั กาในดา้ นการบริหารประเทศเฉพาะท่เี ก่ียวกบั นโยบายในการบรหิ ารประเทศของรฐั บาล ดว้ ย ดา้ นการมีสว่ นรว่ มในทางการเมือง : การเมอื งในประเทศศรีลงั กาเปิดโอกาสใหพ้ ระสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนา เขา้ ไปมสี ทิ ธิเลอื กตงั้ มสี ทิ ธิรบั สมคั รเลอื กตงั้ ใหเ้ขา้ ไปเป็นผูแ้ ทนราษฎรรฐั สภาของประเทศศรีลงั กาในปจั จบุ นั น้ียงั มี พระสงฆท์ ไ่ี ดร้ บั การเลอื กตง้ั จากประชาชนเขา้ ไปเป็นผูแ้ ทนอยู่ แสดงใหเ้หน็ ว่าอิทธิพลของพระพทุ ธศาสนาไดม้ สี ่วน ร่วมทางการเมอื งการปกครองอย่างแทจ้ รงิ พระสงฆซ์ ่งึ ถือว่าเป็นเป็นบคุ ลากรในสถาบนั ทางพระพทุ ธศาสนาสามารถ เขา้ ไปทาํ หนา้ ท่เี ป็นผูแ้ ทนของประชาชนไดม้ สี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็ ในทางการเมอื งได้ มสี ่วนร่วมในการ ออกกฎหมายเพ่อื ใหฝ้ ่ายบริหารนาํ ไปใชเ้ป็นเคร่ืองมอื ในการบริหารประเทศไดด้ ว้ ย สาํ หรบั ในประเทศไทยกฎหมาย ของไทยยงั ไม่ใหพ้ ระสงฆใ์ นสถาบนั ทางพระพุทธศาสนาไปมสี ิทธิเลือกตงั้ มสี ิทธิรบั สมคั รเลือกตง้ั ใหเ้ ขา้ ไปเป็น

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๕๓  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ผูแ้ ทนราษฎร ในรฐั สภาเหมอื นกบั ประเทศศรีลงั กาในประเด็นน้ีจึงสามารถกล่าวไดว้ ่าพระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมี อทิ ธพิ ลต่อการเมอื งของประเทศศรลี งั กาในดา้ นการมสี ่วนร่วมในทางการเมอื งดว้ ย๑๐ ๘.๓ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในเมียนม่าร์ ๘.๓.๑ ขอ้ มลู พ้นื ฐานของประเทศเมยี นม่าร์ ดา้ นขอ้ มูลพ้ืนฐานของประเทศเมียนม่าร์มีประเด็นท่ีจะนํามาศึกษา ไดแ้ ก่ ขอ้ มูลเก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ ประชากร ศาสนา สงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง เน่ืองจากขอ้ มลู เหล่าน้ีจะทาํ ใหเ้ราทาํ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั สภาพของสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง ในประเทศเมยี นมา่ รไ์ ดด้ ยี ง่ิ ข้นึ ประเดน็ ดงั กลา่ วจะไดน้ าํ มาศึกษาดงั น้ี๑๑ ๑) ภมู ิศาสตร์ ตงั้ อยู่ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ทศิ เหนือจรดประเทศจีน ทศิ ตะวนั ออกจรดประเทศไทย ทศิ ใตจ้ รดทะเล ทศิ ตะวนั ตกจรดประเทศบงั คลาเทศพ้นื ทท่ี งั้ หมดของประเทศ ๖๕,๖๑๐ ตารางกโิ ลเมตร เมอื งหลวง เดมิ ชอ่ื ร่างกงุ้ ๒) ประวตั ิศาสตร์ ประวตั ิศาสตรข์ องเมยี นมา่ รไ์ ดก้ ล่าวถงึ คนกลุม่ แรกเขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐานอยู่บริเวณท่เี รียกว่า เมยี นมา่ รต์ าํ่ หรอื เมยี นมา่ รต์ อนลา่ ง คนกลมุ่ น้ีมชี ่อื เรยี กว่า พวกพะยู (Pyus) ไดส้ รา้ งอาณาจกั รโบราณข้นึ ในทางตอน ใตข้ องประเทศเมยี นม่าร์ โดยมเี มอื งหลวงหรือจุดศูนยก์ ลางเป็ นท่รี ูจ้ กั กนั ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๖ - ๑๒ ว่า ศรี เกษตร ต่อมาไดถ้ กู ชาวมอญฮินดู หรอื ตะเลง ทอ่ี าศยั อยู่ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกซง่ึ ถน่ิ อนั เป็นท่อี ยู่ของชาวมอญกลุม่ น้ีในสมยั นนั้ ไดแ้ ก่บรเิ วณจงั หวดั นครปฐมในประเทศไทยปจั จบุ นั เขา้ รุกรานไดช้ ยั ชนะเหนือดนิ แดนของอาณาจกั รศรี เกษตร เมอ่ื กลมุ่ มอญไดเ้ขา้ ยดึ ครองดนิ แดนสว่ นน้ีไดแ้ ลว้ กต็ ง้ั อาณาจกั รของตนเองข้นึ แทนท่อี าณาจกั รศรีเกษตรเดมิ ๒ อาณาจกั ร ไดแ้ ก่ อาณาจกั รพะโค (หงสาวด)ี และ อาณาจกั รสะเทมิ (สุธรรมวด)ี ต่อมาชาวมอญท่อี าศยั อยู่บรเิ วณ น้ีทง้ั หมดไดถ้ กู เรยี กช่อื รวมๆ ว่าชาวรามญั อาณาจกั รของชาวรามญั มคี วามเจรญิ รุ่งเรืองสบื มาจนถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ กไ็ ดเ้สอ่ื มอาํ นาจลง สาเหตุเน่ืองจากถูกชนเผ่าหน่ึง ช่อื ว่ามรมั มะ หรอื เมยี นม่าร์ (เผ่าทเิ บต-ดราวเิ ดียน) ซ่งึ ไดต้ ง้ั อาณาจกั อนั เรืองอาํ นาจของตนเองข้นึ ทางตอนเหนือ มเี มอื งหลวงอยู่ท่พี กุ าม และเรียกช่อื ประเทศของตนว่าพกุ าม เมอ่ื พระเจา้ อนุรุทธ หรือ อโนรธามงั ช่อ ไดข้ ้นึ ครองราชยเ์ ป็นกษตั ริยแ์ ห่งพกุ าม (พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐) พระองคไ์ ด้ กรฑี าทพั เขา้ ตเี มอื งสะเทมิ ไดม้ อี าํ นาจเหนือดินแดนเหลา่ น้ี เหตุการณ์ครง้ั น้ีไดท้ าํ ใหเ้มยี นม่ารร์ วมกนั เขา้ เป็นอาณาจกั เดียวกนั และมีความเจริญรุ่งเรืองสืบมาจนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๙อาณาจกั รพุกาม ก็ไดเ้ ส่ือมสลายลงเพราะถูก ทอดท้งิ ภายหลงั จากการรุกรานของ กุบไลข่าน ใน พ.ศ. ๑๘๓๐ หลงั จากน้ีการปกครองประเทศเมยี นม่ารม์ คี วาม ระสาํ่ ระสายเร่ือยมา จนถึง พ.ศ. ๒๓๖๗ ประเทศองั กฤษไดเ้ ขา้ มามีอาํ นาจในเมยี นม่าร์ ทาํ ใหร้ ะบบกษัตริยใ์ น เมยี นมา่ รส์ ้นิ สุดลง กษตั รยิ อ์ งคส์ ุดทา้ ยของเมยี นมา่ ร์ คอื พระเจา้ ธบี อ แห่งราชวงศอ์ ลองพญา ไดส้ ้นิ สุดลงเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๘ ประเทศเมยี นม่ารไ์ ดค้ ืนสู่เอกราช เกิดเป็นสหภาพเมยี นม่าร์ เม่อื วนั ท่ี ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ คือ เซ็น สญั ญาอสิ รภาพเมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ๑๐ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, (พษิ ณุโลก : บริษทั โฟกสั พร้ินต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘), หนา้ ๔๓๙-๔๗๒. ๑๑ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๔๗๒-๔๗๓.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๕๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๓) ประชากร เมยี นม่ารม์ ปี ระชากรประมาณ ...ลา้ นคน มหี ลายเช้อื ชาติ ไดแ้ ก่ ๑. เมยี นม่าร์ ส่วนใหญ่อยู่ แถบตอนกลางของประเทศ ๒. มอญ กลุ่มน้ีไดต้ งั้ อาณาจกั รของตนข้นึ ครง้ั แรกทเ่ี มอื ง สะเทิม และต่อมาภายหลงั สถาปนาอาณาจกั รของตนเองข้นึ ทเ่ี มอื งพะโคหรอื เมอื งหงษาวดี ต่อมาเกดิ สงครามระหว่างเมยี นมา่ ร-์ มอญ เมยี นม่าร์ ไดร้ บั ชยั ชนะและไดป้ กครองมอญในเวลาต่อมา ๓. กะเหรีย่ ง อยู่ทางตอนกลางของเมยี นมา่ ร์ และไดก้ ระจดั กระจาย ไปตามแถบลมุ่ นาํ้ อิรวดี ๔. ไทยใหญ่ บางทเี รยี กว่าพวกชาน หรอื ฉานอยู่บนทร่ี าบสูง ๕. คะชนิ อยู่ทางตอนเหนือ สุด ๖. ชนิ อยู่ทางตะวนั ตกของแมน่ าํ้ จนิ ตวนิ ซ่งึ แมน่ าํ้ สายน้ีไหลมารวมกบั แมน่ าํ้ อริ วดี ทางตอนใตข้ องเมอื งมณั ฑเล ๗. พวกยะไข่ อยูท่ างตะวนั ตกเฉียงใตข้ องเมยี นมา่ ร๑์ ๒ ๔) ศาสนา ประชากรสว่ นใหญ่นบั ถอื พทุ ธศาสนา ก่อนหนา้ ทช่ี าวเมยี นมา่ รจ์ ะนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา การนบั ถอื อนั เป็นคติ ดงั้ เดมิ ของชาวเมยี นม่ารน์ นั้ ไดแ้ ก่ การนบั ถอื ผี สาง นางไม้ การกราบไหวว้ ญิ ญาณหรอื ภูตผิ ปี ีศาจ ซ่งึ เรยี กกนั ว่า “นตั ‛ (Nate)๑๓ ‚นตั ‛ (Nate) ในคติความเช่อื ของชาวเมยี นม่ารน์ น้ั เป็นทงั้ พระภมู เิ จา้ ทเ่ี ทพดา ธรรมชาติ ผดี นิ ผฟี ้า ผลี ม ตลอดจนเจา้ เขา เจา้ ป่า เจา้ แมน่ าํ้ เจา้ ตน้ ไม้ รวมทง้ั เจา้ ประจาํ หมบู่ า้ น เจา้ ประจาํ เรอื น๑๔ ๕) สงั คม สงั คมของชาวเมยี นม่ารป์ ระกอบดว้ ยกลุ่มคนหลายเช้ือชาติ ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่ กลุ่มไทยใหญ่ ชาว กะเหร่ยี ง ทาํ ใหเ้กดิ มคี วามหลากหลายทางวฒั นธรรมและประเพณี ๖) การเมือง ประเทศเมยี นมา่ รม์ กี ารปกครองโดยระบบทหาร มปี ญั หากบั พรรคฝ่ายคา้ นซง่ึ มนี างอองซานซู จเี ป็นผูน้ าํ และมกี ารสูร้ บระหว่างเผ่ากะเหร่ียงท่เี ป็นชนกลุ่มนอ้ ย เพ่อื เรียกรอ้ งใหม้ กี ารแบ่งแยกดินแดนภาคเหนือ ไดร้ บั ความกดดนั จากนานาชาติในเร่อื งเพอ่ื ใหร้ ฐั บาลทะทหารปล่อยตวั ผูน้ าํ ฝ่ายคา้ น และรฐั บาลกาํ ลงั ถูกกดดนั จาก พลงั ของประชาชนและพระสงฆเ์ พ่อื ใหม้ ปี ระชาธปิ ไตยเกิดข้นึ โดยเรว็ ๗) เศรษฐกจิ รายไดข้ องประเทศเมยี นมา่ ร์ เกดิ จากการสง่ ออกสนิ คา้ ทส่ี าํ คญั ไดแ้ ก่ การท่องเทย่ี ว กา๊ ซธรรมชาติ อตุ สาหกรรมไม้ และประมง ๘.๓.๒ พระพทุ ธศาสนาในประเทศเมียนม่าร์ คนเมียนม่ารเ์ ช่ือว่าพระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ สู่ประเทศเมียนม่ารต์ ง้ั แต่การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ (พ.ศ.๒๓๕)ใน ประเทศอินเดียส้ินสุดลง เน่ืองจากในครง้ั นนั้ พระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ่งสมณทูตออกไปประกาศพระพุทธศาสนาใน ประเทศต่างๆ ทงั้ หมด ๙ สาย พระเจา้ อโศกมหาราชไดท้ รงส่ง พระโสณะ กบั พระอตุ ระ๑๕ ไปประกาศพระพทุ ธศาสนา ในดินแดนท่ชี ่อื ว่า สุวรรณภมู ิ ในยุคนน้ั สนั นิษฐานกนั ว่า ดนิ แดนสุวรรณภมู ใิ นยุคนน้ั ในปจั จบุ นั น่าจะเป็นดนิ แดนท่ี อยู่ในประเทศไทยและประเทศเมยี นมา่ ร์ แต่กไ็ มส่ ามารถกาํ ใหแ้ น่นอนลงไดว้ ่าเป็นทแ่ี ห่งได ทางประเทศเมยี นม่ารก์ ล่าว ว่า สุวรรณภูมใิ นยุคนนั้ กค็ ือ เมอื งสะเทมิ ทอ่ี ยู่ในประเทศเมยี นมา่ ร์ เมอ่ื ถามว่ามหี ลกั ฐานใดทพ่ี อจะเป็นสง่ิ ยนื ยนั ได้ ว่าสุวรรณภมู เิ ป็นท่เี มอื งสะเทมิ ก็ไม่มหี ลกั ฐานพอท่จี ะทาํ ใหป้ กั ใจเช่ือไดว้ ่า เมอื งสะเทมิ เป็นสะถานท่ี พระโสณะ กบั พระอุตระ ไดป้ ระดิษฐานพระพุทธศาสนาครงั้ แรกในสุวรรณภูมิ สาํ หรบั คนไทยกล่าวว่า สุวรรณภูมิในยุคนนั้ ก็คือ ๑๒ ไพโรจน์ โพธ์ิไทร, ภมู ิหลงั ของเมียนม่าร,์ (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๑), หนา้ ๒๕. ๑๓คาํ วา่ แนต หรอื นตั มาจากคาํ วา่ นาถ หรือ นาถะ ท่แี ปลว่า พระผูเ้ป็นเจา้ พระผูเ้ป็นใหญ่ของอนิ เดยี นนั่ เอง ดูรายละเอียดใน ส.พลาย นอ้ ย, เลา่ เร่อื งเมียนม่ารร์ ามญั , (กรุงเทพมหานคร : พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, สาํ นกั พมิ พ์ พมิ พค์ าํ , ๒๕๔๔), หนา้ ๙๖–๑๑๒. ๑๔ คลา้ ยกบั คตคิ วามเช่อื ของชาวไทยในภาคต่างๆ ดงั เช่น คตคิ วามเช่อื เร่อื งผบี า้ น ผเี รือนของชาวอสี าน หรอื เส้อื บา้ นของชาวเหนอื เป็นตน้ ๑๕ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๖๙.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๕๕  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง จงั หวดั นครปฐม ของประเทศไทย เมอ่ื ถามว่ามหี ลกั ฐานใดท่พี อจะเป็นสง่ิ ยนื ยนั ไดว้ ่าสุวรรณภมู เิ ป็นท่จี งั หวดั นครปฐม คนไทยก็จะอา้ งว่า มสี ญั ลกั ษณธ์ รรมจกั รและรูปกวางมอบ ซง่ึ ถือว่าเป็นสญั ลกั ษณท์ างพระพทุ ธศาสนา เป็นส่งิ ยนื ยนั ปจั จุบนั สญั ลกั ษณ์ดงั กล่าวไดถ้ ูกสรา้ งครอบไวด้ ว้ ยพระปฐมเจดียอ์ งคใ์ หญ่ ซ่งึ ปรากฏใหเ้ ห็นไดท้ ่ีจงั หวดั นครปฐม อย่างไรก็ตามในระยะแรกท่ี พระโสณะ กบั พระอุตระ ไดเ้ ขา้ มาประกาศพระพุทธศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ พระพุทธศาสนาก็มิไดม้ ีความเจริญแพร่หลายในดินแดนส่วนน้ีจนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๖ ก็ไดพ้ บหลกั ฐานว่า พระพทุ ธศาสนาไดเ้ผยแพร่เขา้ มาสูประเทศเมยี นมา่ รอ์ ย่างแน่นอนแลว้ เน่ืองจากว่าไดพ้ บหลกั ฐานสาํ คญั เป็นคาํ จารึก ดว้ ยภาษาบาลที ่ี ตารนาถ ในทางภาคใตข้ องประเทศเมยี นมา่ ร์ ความเป็ นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศเมียนม่าร์ : นกั ประวตั ิศาสตรช์ าวทิเบต๑๖ เล่าว่าไดม้ ีการ เผยแพร่หลกั คาํ สอนของพระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทในเมอื งทช่ี ่อื ว่า พะโคในประเทศเมยี นม่าร์ ตงั้ แต่สมยั ของพระ เจา้ อโศกมหาราชแลว้ ในเวลาต่อมาศิษยข์ องพระวสุพนั ธุ์ ไดน้ าํ พระพทุ ธศาสนานิกายมหายานเขา้ ไปเผยแพร่ใน ประเทศเมยี นม่ารอ์ กี จึงทาํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทและนิกายมหายานไดเ้ จริญเคียงคู่กนั อยู่เป็นเวลาหลาย รอ้ ยปี พระพทุ ธโฆษาจารยแ์ วะเยอื นเมืองสะเทมิ ประเทศเมยี นม่าร์ (พ.ศ. ๙๔๕) พระพทุ ธโฆษาจารย์ เมอ่ื ท่านได้ พาํ นกั อยู่ในประเทศศรีลงั กาก็ไดแ้ ปลคมั ภรี อ์ รรถกถาจากภาษาสิงหลใหม้ าเป็นภาษามคธ เมอ่ื ทาํ ภารกิจน้ีสาํ เร็จแลว้ ท่านไดอ้ อกเดินทางจากประเทศศรีลงั กามาท่ีเมอื งสะเทมิ ของประเทศเมียนม่าร์ พรอ้ มกบั ไดน้ าํ เอาไดน้ าํ คมั ภีรพ์ ระ ไตรปิฏกและคมั ภรี อ์ รรถกถาต่างๆ เขา้ มาเผยแพร่ในประเทศเมยี นม่ารด์ ว้ ย ตงั้ แต่บดั นน้ั เป็นตน้ มาปรากฏว่าการศึกษา ทางดา้ นภาษาบาลใี นเมยี นม่ารไ์ ดแ้ พร่หลายและเจริญข้นึ อย่างมาก มนี กั ปราชญท์ างดา้ นภาษาบาลหี ลายท่านไดเ้ขยี น ตาํ ราไวยากรณ์บาลแี ละแต่งตาํ ราดา้ นอภิธรรม ในบางเลม่ ทแ่ี ต่งในประเทศเมยี นม่ารน์ ้ีคณะสงฆไ์ ทยไดน้ าํ มาเป็นตาํ รา สาํ คญั เพ่อื ใชป้ ระกอบการศึกษาในหลกั สูตรแผนกบาลขี องคณะสงฆไ์ ทยดว้ ย การศึกษาพระพุทธศาสนาในแถบน้ีได้ เจรญิ รุ่งเรอื งเร่อื ยมา ระยะน้ี ชาวมอญฮนิ ดู หรอื ตะเลง ทอ่ี าศยั อยู่ในเมอื ง พะโค (หงสาวด)ี และเมอื งสะเทมิ (สุธรรม วด)ี และกลุ่มคนท่อี าศยั อยู่ในถ่นิ ใกลเ้คียงน้ีทงั้ หมด ท่เี รียกเป็นช่อื โดยรวมว่า “ชาวรามญั ” ไดน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนา แบบเถรวาท และในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ เมอื งสะเทมิ กไ็ ดเ้ป็นศูนยก์ ลางการศึกษาพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาท พระพุทธศาสนาสมยั พระเจา้ อนุ รุทธ หรือ อโนรธามงั ช่อ (พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐) ช่วงระยะเวลาท่ี พระพทุ ธศาสนาเถรวาทเจรญิ ข้นึ ในกลุ่มชาวรามญั นนั้ ปรากฏว่าไดม้ คี นอีกเผ่าหน่ึงเรยี กช่อื ว่า มรมั มะ หรือ เมียนม่าร์ (เผ่าทเิ บต-ดราวิเดยี น) กไ็ ดเ้ขา้ มาตง้ั อาณาจกั รอนั หน่ึงอนั เรืองอาํ นาจของตนข้นึ เรียกช่อื ประเทศของตนเองท่ตี งั้ ข้นึ น้ี ว่า พุกาม และไดต้ งั้ ช่ือของเมอื งหลวงว่า พุกาม เช่นเดียวกนั กบั ช่ือประเทศนน้ั เอง คนเผ่ามะรัมมะน้ีเป็นผูน้ บั ถือ พระพุทธศาสนามหายานแบบนิกาย ตนั ตระ กล่าวคือ แนวความคิดของพระพุทธศาสนานิกายน้ีมีหลกั การปฏิบตั ิ ใกลเ้คียงกบั ลทั ธิตนั ตระของศาสนาฮนิ ดู ตอนทไ่ี ดศ้ ึกษาประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในอินเดียช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ ก็จะเหน็ ว่าลทั ธนิ ้ีมหี ลกั ปฏบิ ตั ิทผ่ี ดิ แผกไปจากพระพทุ ธศาสนาแบบดงั้ เดิมเป็นอย่างมากซ่งึ เป็นสาเหตหุ น่ึงท่ที าํ ให้ พระพทุ ธศาสนาสูญส้นิ ไปจากประเทศอินเดียในระยะนนั้ เมอ่ื พทุ ธศาสนาแบบตนั ตระไดแ้ ผ่เขา้ สู่เมยี นมา่ ร์ โดยกลุ่ม ๑๖ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต),พระพทุ ธศาสนาในเอเชีย, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา,๒๕๔๐) หนา้ ๑๘๒-๑๘๓.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๕๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ของมรมั มะการปฏบิ ตั ิทเ่ี ส่อื มทรามแบบลทั ธิตนั ตระก็ติดตามเขา้ มาดว้ ย พระเจา้ อนุรุทธหรือ อโนรธามงั ช่อ ภายหลงั จากท่พี ระองคข์ ้นึ ครองราชยท์ ่เี มอื งพกุ ามแลว้ ไดม้ พี ระแห่งเมอื งสะเทิมรูปหน่ึงช่ือว่า พระอรหนั ต์ หรือ ธรรมทรรศี ไดเ้ ปล่ียนพระทยั ใหพ้ ระองค์หนั มานบั ถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอนั บริสุทธ์ิได้ เม่ือพระองค์ไดห้ นั มานับถือ พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทแลว้ ก็ทรงมพี ระราชศรทั ธาแรงกลา้ จงึ ไดม้ พี ระราชสาสน์ ไปขอคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาจาก กษตั ริยข์ องรามญั แห่งเมอื งสะเทมิ แต่ถูกปฏิเสธจากกบตั รยิ แ์ ห่งเมอื งสะเทิม พระองคจ์ ึงยกทพั ไปตีเมอื งสะเทิมจน ไดร้ บั ชยั ชนะพรอ้ มกบั ไดท้ รงนาํ พระไตรปิฏก ๓๐ จบ วตั ถุเคารพบูชาอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ กบั พระภิกษุผูร้ ูธ้ รรมแตกฉาน กลบั มายงั เมอื งพกุ ามดว้ ย ระยะน้ีไดท้ าํ ใหเ้มอื งต่างๆ ในประเทศเมยี นมา่ รท์ ง้ั หมดไดร้ วมกนั เป็นหน่ึงเดียว เมอื งพกุ าม ไดร้ บั เอาวฒั นธรรมต่างๆ ของเมอื งสะเทิม เช่น ตวั อกั ษร ภาษา วรรณคดี และศาสนา เป็นตน้ มาไวท้ ่ีเมืองสะเทิม ทง้ั หมด ระยะน้ีพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทไดเ้จริญข้นึ มาก พระเจา้ อนุรุทธ ไดท้ รงแลกเปล่ยี นศาสนทูตกบั ประเทศ ศรีลงั กา ทรงนาํ พระไตรปิฏกฉบบั สมบูรณ์มาจากประเทศศรีลงั กา ๓ จบ นาํ มาชาํ ระสอบทานกบั ฉบบั ท่ีไดจ้ ากเมอื ง สะเทมิ ทรงอุปถมั ภศ์ ิลปกรรมต่างๆ การบาํ เพญ็ พระราชกรณียกจิ ของพระองค์ ทาํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของ ชนชาวเมยี นม่ารท์ วั่ ทง้ั ประเทศ กษตั ริยอ์ งคต์ ่อๆ มาก็ไดเ้ จริญรอยตามพระองคใ์ นการทาํ นุบาํ รุงพระพุทธศาสนา สาํ หรบั ศาสนาพราหมณ์หรอื ฮินดูก็ไดเ้ส่อื มไปหมดในสมยั น้ี อาณาจกั รพกุ ามไดส้ ลายลงเพราะถูกทอดท้งิ หลงั จากกาน รุกรานของกบุ ไลขา่ น ใน พ.ศ. ๑๘๓๐ หลงั จากน้ีแมบ้ า้ นเมอื งจะระสาํ่ ระสายแต่พระพทุ ธศาสนากย็ งั เจริญรุ่งเรอื งสบื มา พระพุทธศาสนาสมยั พระเจา้ ธรรมเจดีย์ (พ.ศ. ๒๐๐๓-๒๐๓๔)สมยั พระเจา้ ธรรมเจดียน์ ้ีในเมยี นม่ารม์ ี คณะสงฆเ์ ถรวาท ๖ คณะ คือ จากเขมร ๑ นิกาย และ จากลงั กา ๕ นิกาย พระองคท์ รงอาราธนาพระสงฆม์ าจาก ประเทศศรีลงั กา แลว้ ใหพ้ ระสงฆ์เมียนม่าร์ทง้ั หมดอุปสมบทใหม่รวมเขา้ เป็นนิกายเดียวกนั ตงั้ แต่นั้นมา พระพทุ ธศาสนากป็ ระดษิ ฐานมนั่ คง การศึกษาพระอภธิ รรมกไ็ ดเ้จริญรุ่งเรอื งข้นึ และ สองศตวรรษต่อมา พระสงฆม์ ี ความขดั แยง้ กนั เร่อื งการครองจวี รออกนอกวดั เกดิ ข้นึ ทาํ ใหพ้ ระสงฆแ์ ตกแยกกนั ออกเป็น ๒ พวก คือ ฝ่ายห่มคลุม พวกหน่ึง กบั ฝ่ายหม่ ลดไหลข่ วาพวกหน่ึง พระมหากษตั รยิ โ์ ปรดฝ่ายห่มคลุม จึงไดท้ รงสถาปนา สมเด็จพระสงั ฆราช ข้นึ ปกครองสงฆ์ เพอ่ื ความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยในทางพระวนิ ยั ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ ไดม้ พี ระสงฆจ์ ากประเทศ ศรลี งั กา เขา้ มารบั อปุ สมบทกรรมใหมใ่ นประเทศเมยี นมา่ รแ์ ลว้ กลบั ไปตง้ั คณะสงฆแ์ บบเมยี นมา่ รใ์ นประเทศศรลี งั กา ระยะน้ีในประเทศเมยี นม่ารม์ กี ารแปลพระไตรปิฏกครง้ั ใหญ่ มกี ารสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕ โดยไดร้ บั พระบรมราชูปถมั ภ์ จาก พระเจา้ มินดง ณ เมอื งมนั ตะเล ใน พ.ศ.๒๔๑๔ และไดจ้ ารึกพุทธพจนท์ งั้ ๓ ปิฏก ลงในแผ่นหนิ อ่อน ๗๒๙ แผน่ พระพุทธศาสนาสมยั องั กฤษ มอี าํ นาจในเมยี นม่าร์ (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๔๙๑) ประเทศเมยี นม่ารไ์ ดต้ กเป็น อาณานิคมของประเทศองั กฤษ เม่อื พ.ศ. ๒๓๖๗ องั กฤษไดเ้ ขา้ ไปมอี าํ นาจในการปกครองเมยี นม่าร์ ทาํ ใหร้ ะบบ กษตั ริยเ์ มยี นม่ารส์ ้นิ สุดลง คือ กษตั ริยอ์ งคส์ ุดทา้ ยของเมยี นม่าร์ คือพระเจา้ ธบี อ แห่งราชวงศอ์ ลองพญาไดส้ ้นิ สุด วงศล์ งเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๘ พระพทุ ธศาสนาหลงั จากไดร้ บั เอกราชคืนมาจากประเทศองั กฤษ (พ.ศ. ๒๔๙๑) ประเทศเมยี นมา่ ร์ ไดล้ ง นามในสญั ญาอิสรภาพ วนั ท่ี ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ และไดร้ บั เอกราชคืนจากประเทศองั กฤษเม่อื วนั ท่ี ๒๔ มกราคม ๒๔๙๑ หลงั จากนน้ั ประเทศเมยี นม่ารไ์ ดเ้ ปล่ยี นระบบการปกครองมาเป็นแบบสาธารณรฐั ดา้ นคณะสงฆ์

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๕๗  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ตาํ แหน่งสมเดจ็ พระสงั ฆราชกไ็ ดถ้ กู ยกเลกิ ไป รฐั บาลไดแ้ ต่งตงั้ ประมขุ สงฆข์ ้นึ ใหมส่ าํ หรบั นิกายสงฆท์ งั้ ๓ นิกายของ เมยี นม่ารน์ ิกายละ ๑ รูป พระภกิ ษุและปราชญข์ องประเทศเมยี นม่ารเ์ ป็นผูท้ ่มี คี วามรูแตกฉานในพระธรรมวนิ ยั ได้ แต่งตาํ ราทางพระพทุ ธศาสนาข้นึ มาเป็นจาํ นวนมาก รฐั บาลของประเทศเมยี นม่ารก์ ็ไดเ้ ป็นเจา้ ภาพจดั การสงั คายนา ครง้ั ท่ี ๖ ข้นึ ทก่ี รุงร่างกงุ้ เน่ืองในโอกาสฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ ในครงั้ น้ีประเทศเมยี นมา่ รไ์ ดอ้ าราธนาพระสงฆแ์ ละ ผูแ้ ทนชาวพทุ ธในประเทศต่างๆ เขา้ ร่วมเป็นจาํ นวนมาก ภายหลงั การสงั คายนาเสร็จกไ็ ดจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปิฏกคมั ภรี ์ อรรถกถา และปกรณพ์ เิ ศษต่างๆ ข้นึ ใหม่ ใหบ้ ริสุทธ์ิบรบิ ูรณเ์ ท่าทจ่ี ะทาํ ได้ ใหม้ คี ุณภาพเพยี งพอทจ่ี ะใชเ้ป็นหลกั ฐาน อา้ งอิงในเชิงวชิ าการทางดา้ นพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ไดอ้ ย่างมนั่ ใจปัจจุบนั คมั ภีรท์ างพระพุทธศาสนาใน ประเทศเมยี นม่ารไ์ ดถ้ ูกนาํ ไปใชเ้ ป็นหลกั ฐานอา้ งอิงในหลายประเทศ เช่น ในประเทศไทย คราวท่มี หาวทิ ยาลยั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั จดั ทาํ พระไตรปิฎกฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ก็ไดน้ ําคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกจาก ประเทศเมยี นมา่ รม์ าเป็นส่วนหน่ึงในการชาํ ระสอบทานกบั ฉบบั ทม่ี อี ยู่ในประเทศไทยดว้ ย ๘.๓.๓ อทิ ธิพลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่มี ีตอ่ ประเทศเมยี นม่ารใ์ นดา้ นสงั คม สงั คมของชาวเมยี นม่ารป์ ระกอบดว้ ยกลุ่มคนหลายเช้อื ชาติ ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่ กลุม่ ไทยใหญ่ ชาวกะเหร่ยี ง ทาํ ใหเ้กดิ มี ความหลากหลายทางวฒั นธรรมและประเพณีพระพทุ ธศาสนาเถรวาทไดเ้ขา้ ไปสู่ประเทศเมยี นมา่ รเ์ ป็นเวลานานหลาย ศตวรรษแลว้ เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ สูป่ ระเทศเมยี นมา่ รแ์ ลว้ ชาวเมยี นมา่ รส์ ่วนใหญ่ก็ไดน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาจน กลายมาเป็นศาสนาประจาํ ชาติ ส่วนอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่มี ตี ่อประเทศเมยี นม่ารใ์ นดา้ นสงั คมอย่างไร เราจะตอ้ งแยกออกพจิ ารณาในแต่ละดา้ นดงั น้ี ดา้ นสถาบนั ทางสงั คม พระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อสถาบนั ทางสงั คมของประเทศเมยี นม่ารด์ งั น้ี คือ ผูท้ ่นี บั ถือพระพุทธศาสนาซ่ึงเป็นคนส่วนใหญ่ของสงั คมไดน้ าํ เอาหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาเขา้ ใชใ้ นการ ดาํ เนินชวี ติ ของคนในครอบครวั เช่น พอ่ แมท่ เ่ี ป็นหวั หนา้ ครอบครวั ตอ้ งอนุเคราะหล์ ูกๆ ตามหลกั ของทศิ ๖ และเมอ่ื ลูกไดร้ บั การอนุเคราะหด์ งั กลา่ วมาแลว้ กจ็ ะกระทาํ ความดตี อบแทนการปฏสิ มั พนั ธใ์ นลกั ษณะดงั กล่าวน้ีเป็นอิทธิพลท่ี ไดร้ บั มาจากหลกั คาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนา สถาบนั การศึกษา หลกั คาํ สอนในทางพระพทุ ธศาสนาไดถ้ ูกนาํ ไปบรรจุ ไวใ้ นสถาบนั การศึกษาใหค้ นในชาตไิ ดศ้ ึกษาดว้ ย สถาบนั ศาสนาพระพทุ ธศาสนาไดเ้ป็นศาสนาประจาํ ชาติ เพราะคน ในสงั คมสว่ นใหญ่ของประเทศศรลี งั กานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เป็นตน้ ดา้ นวฒั นธรรมวฒั นธรรมของคนในสงั คมส่วนใหญ่ของประเทศเมียนม่ารม์ รี ากฐานมาจากหลกั คาํ สอน ในทางพระพุทธศาสนา เช่น การเขา้ วดั ฟงั ธรรม รกั ษาศีล เจริญภาวนา ผูม้ อี ายุนอ้ ยใหก้ ารเคารพนบั ถอื ผูท้ ่มี อี ายุ มากกว่า ศิษยใ์ หก้ ารเคารพครู ลูกใหค้ วามเคารพพ่อแม่ เป็นตน้ ดา้ นพทุ ธศิลปะ พทุ ธศิลปะ และศาสนสถานอนั เป็นศูนยร์ วมดา้ นจติ ใจของ คนสว่ นใหญ่ในสงั คมเมยี นมา่ รไ์ ดเ้กดิ ข้นึ เพราะความศรทั ธาเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา การสรา้ งพทุ ธศิลปะ และศาสนสถานต่างๆ มากมายมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือถวายเป็นพุทธบูชา เก็บรกั ษาหลกั ฐานท่ีทรงคุณค่าสาํ คญั ทาง พระพทุ ธศาสนาไว้ อนุรกั ษ์ สบื ทอด และเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ต่อมาพทุ ธศิลปะและศาสนสถาน แบบต่างๆ ได้ กลายมาเป็นศิลปะแบบพทุ ธทท่ี รงคุณค่าอย่างย่งิ ... ส่งิ เหล่าไดเ้ ป็นศูนยด์ า้ นจติ ใจของคนในสงั คมเมยี นม่ารไ์ ดเ้ ป็น อย่างดี

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๕๘ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๘.๓.๔ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่มี ตี อ่ ประเทศเมียนม่ารใ์ นดา้ นเศรษฐกจิ เศรษฐกจิ ของประเทศเมยี นมา่ รร์ ายไดข้ องประเทศส่วนใหญ่เกิดจากการส่งออกสินคา้ ท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่ การ ทอ่ งเทย่ี ว กา๊ ซธรรมชาติ อุตสาหกรรมไม้ และประมง สาํ หรบั ประเดน็ ท่วี ่าพระพทุ ธศาสนาไดเ้ขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลต่อดา้ น เศรษฐกจิ ของประเทศเมยี นมา่ รอ์ ย่างไรหรอื ไมเ่ ราจะไดท้ าํ การศึกษาวเิ คราะหด์ งั น้ี ดา้ นการผลิตพระพุทธศาสนาอาจไม่ไดเ้ ป็นผูผ้ ลิตโดยตรง แต่เป็นส่วนหน่ึงในปจั จยั การผลิต เช่น หลกั ธรรมในทางพระพทุ ธศาสนาสอนใหค้ นขยนั ตรงเวลา เสยี สละ รบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ี เมอ่ื หลกั ธรรมเหล่าน้ีเขา้ ไป อยู่ในตวั คนท่เี ป็นปจั จยั การผลติ ก็จะช่วยใหก้ ารการผลติ มปี ระสทิ ธิภาพมากข้นึ ซ่งึ จะส่งผลในทางท่ดี ีต่อเศรษฐกิจ ของชาตโิ ดยรวม ดา้ นการจาหน่ายจา่ ยแจก พระพทุ ธศาสนาอาจไมไ่ ดเ้ป็นผูจ้ าํ หน่ายจ่ายแจก โดยตรง แต่เป็นสว่ นหน่ึงท่ที าํ ใหก้ ารจาํ หน่ายจ่ายแจกสนิ คา้ และบริการต่างๆ มคี วามน่าเช่อื ถอื ทงั้ ผูซ้ ้อื และ ผูข้ าย เช่นหลกั ธรรมในทางพระพทุ ธศาสนาสอนใหค้ นซ่อื สตั ยต์ ่อกนั เมอ่ื ปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมขอ้ น้ีก็จะก่อใหเ้ กิด ความไวว้ างใจกนั มากข้นึ ในการทจี ะทาํ การคา้ ขายต่อกนั ซง่ึ จะส่งผลในทางทด่ี ตี ่อเศรษฐกจิ ของชาติโดยรวม ดา้ นการบริโภคใชส้ อยพระพทุ ธศาสนามหี ลกั คาํ สอนท่เี ก่ียวกบั การบโภคใชส้ อยอยู่เป็นจาํ นวนมาก เช่น หลกั การบรโิ ภคใชส้ อยปจั จยั ส่ี หลกั ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะประโยชน์ หลกั โภคอาทยิ ะ เป็นตน้ เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมขอ้ น้ีกจ็ ะก่อใหเ้กดิ การบรโิ ภคใชส้ อยสง่ิ ต่างๆ อยา่ งรูค้ ุณค่า ซง่ึ จะสง่ ผลในทางทด่ี ตี ่อเศรษฐกจิ ของชาตโิ ดยรวม ๘.๓.๕ อทิ ธิพลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททม่ี ีตอ่ ประเทศเมียนม่ารใ์ นดา้ นการเมือง ประเทศเมยี นม่ารม์ ีการปกครองโดยระบบทหาร มปี ญั หากบั พรรคฝ่ ายคา้ นซ่งึ มีนางอองซานซูจีเป็นผูน้ ํา และมกี ารสูร้ บระหว่างเผ่ากะเหร่ยี งทเ่ี ป็นชนกลุ่มนอ้ ย เพ่อื เรยี กรอ้ งใหม้ กี ารแบ่งแยกดนิ แดนภาคเหนือ ไดร้ บั ความ กดดนั จากนานาชาติในเร่ืองเพ่อื ใหร้ ฐั บาลทะทหารปล่อยตวั ผูน้ าํ ฝ่ายคา้ น และรฐั บาลกาํ ลงั ถูกกดดนั จากพลงั ของ ประชาชนและพระสงฆเ์ พ่อื ใหม้ ปี ระชาธิปไตยเกิดข้นึ โดยเร็วประเด็นท่วี ่าพระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อดา้ น การเมอื งการปกครองของประเทศเมยี นมา่ รอ์ ย่างไรหรอื ไม่เราจะไดท้ าํ การศึกษาวเิ คราะหด์ งั น้ี ดา้ นงานท่ีเก่ียวกบั รฐั หรือแผ่นดินเป็นสถาบนั ท่ีทาํ ใหช้ าติมนั่ คง พระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ มาสูประเทศ เมยี นม่ารต์ ง้ั แต่การแรกเร่ิมตงั้ ประเทศ ในขณะท่ปี ระเทศเสยี เอกราชใหก้ บั กลุ่มอ่นื หรือต่างชาตหิ ลายครง้ั พระสงฆ์ ในทางพระพุทธศาสนาเขา้ จะเขา้ ไปใหค้ าํ แนะนํากบั ฝ่ ายบา้ นเมืองในการกอบกูเ้ อกราชกลบั คืนมาอยู่เสมอ จาก การศึกษาเกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศเมยี นมา่ รจ์ ะเหน็ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาทางดา้ นน้ีอย่างชดั เจน ดา้ นการบริหารประเทศเฉพาะท่ีเก่ียวกบั นโยบายในการบริหารประเทศเป็นสถาบนั สาํ คญั ของชาติ พระพุทธศาสนาไดเ้ ป็นศาสนาประจาํ ชาติของประเทศเมียนม่าร์ มีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครอง เพราะทง้ั นกั การเมอื งและประชาชนต่างใหค้ วามเคารพนบั ถอื จนเป็นศูนยร์ วมดา้ นจติ ใจทส่ี าํ คญั อยา่ งยง่ิ ของชาติ

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๕๙  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ดา้ นการมีส่วนร่วมในทางการเมืองการเมอื งในประเทศเมยี นม่ารเ์ ปิดโอกาสใหพ้ ระสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนา เขา้ ไปมีสิทธิเลือกตง้ั มีสิทธิรบั สมคั รเลือกตง้ั ใหเ้ ขา้ ไปเป็นผูแ้ ทนราษฎรในรฐั สภาได้ ถือไดว้ ่าอิทธิพลของ พระพทุ ธศาสนาไดม้ สี ว่ นร่วมทางการเมอื งการปกครองอยา่ งแทจ้ รงิ ๑๗ ๘.๔ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย ๘.๔.๑ ขอ้ มลู พ้นื ฐานของประเทศไทย ประเทศไทย หรือราชอาณาจกั รไทย เป็นรฐั ท่ีตงั้ อยู่ในทวีปเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตม้ ีพรมแดนทางทิศ ตะวนั ออกตดิ ลาวและกมั พชู า ทศิ ใตต้ ิดอ่าวไทยและมาเลเซียทศิ ตะวนั ตกติดทะเลอนั ดามนั และเมยี นมา่ ร์ และทศิ เหนือติดเมยี นม่ารแ์ ละลาวโดยมแี ม่นาํ้ โขงกน้ั เป็นบางช่วงมเี มอื งหลวงช่อื กรุงเทพมหานคร มภี าษาไทย เป็นภาษา ราชการ ส่วนภาษาอ่นื ท่มี กี ารใชอ้ ยู่บา้ ง เช่น ภาษาองั กฤษ ภาษาจนี ภาษาญ่ีป่นุ เป็นตน้ มรี ะบอบประชาธปิ ไตยแบบ รฐั สภา และระบอบราชาธปิ ไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนูญ ประเทศมพี ้นื ทท่ี ง้ั หมด ๕๑๔,๐๐๐ กม.หรือ ๑๙๘,๔๕๗ ไมลเ์ ป็น พ้นื นาํ้ ๐.๔ เปอรเ์ ซน็ ต์ มปี ระชากร๖๕.๙๘ลา้ นคน (ปี พ.ศ. ๒๕๔๙) ใชส้ กลุ เงนิ บาท (฿) (THB) ลกั ษณะภูมิประเทศ ประเทศไทยมีสภาพทางภูมศิ าสตรท์ ่ีหลากหลายภาคเหนือประกอบดว้ ยเทือกเขา จาํ นวนมาก จุดทส่ี ูงทส่ี ุด คือดอยอนิ ทนนท์ (๒,๕๗๖ เมตร) ในจงั หวดั เชยี งใหมภ่ าคตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็นท่รี าบ สูงโคราชตดิ กบั แมน่ าํ้ โขงทางดา้ นตะวนั ออกภาคกลางเป็นท่รี าบลุ่มแมน่ าํ้ เจา้ พระยา ซง่ึ สายนาํ้ ไหลลงสู่อ่าวไทยภาคใต้ มจี ดุ ทแ่ี คบลง ณ คอคอดกระแลว้ ขยายใหญ่เป็นคาบสมทุ รมลายู ภมู ิอากาศ ภมู อิ ากาศของไทยเป็นแบบเขตรอ้ นอากาศรอ้ นท่สี ุดในเดือนเมษายน-พฤษภาคมโดยจะมฝี นตก และเมฆมากจากลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใตใ้ นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม-เดอื นตลุ าคม ส่วนในเดอื นพฤศจิกายนถึง กลางเดือนมีนาคม อากาศแหง้ และหนาวเย็นจากลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือยกเวน้ ภาคใตท้ ่มี ีอากาศรอ้ นช้ืน ตลอดทง้ั ปี ชนชาติ ในประเทศไทย ถอื ไดว้ า่ มคี วามหลากหลายทางเช้อื ชาตมิ ที ง้ั ชาวไทย ชาวไทยเช้อื สายลาว ชาวไทย เช้อื สายมอญ ชาวไทยเช้อื สายเขมรรวมไปถงึ กลมุ่ ชาวไทยเช้อื สายจีน ชาวไทยเช้อื สายมลายู ชาวชวา(แขกแพ)ชาวจาม (แขกจาม) ชาวเวยี ด ไปจนถงึ ชาวเมยี นมา่ ร์ และชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ เช่นชาวกะเหร่ยี ง ชาวลซี อ ชาวอ่าข่า ชาวอีกอ้ ชาวมง้ ชาวเยา้ รวมไปจนถึงชาวส่วยชาวกูบ ชาวกวย ชาวจะราย ชาวระแดว์ ชาวข่า ชาวขมุซ่ึงมีในปจั จุบนั ก็มี ความสาํ คญั มาก ต่อวถิ ชี วี ติ และวฒั นธรรมไทยในปจั จบุ นั จึงแบ่งเป็นประชากรชาวไทย ๗๕ เปอรเ์ ซน็ ต์ ชาวไทยเช้อื สายจนี ๑๔ เปอรเ์ ซน็ ต์ และอ่นื ๆ ๑๑ เปอรเ์ ซน็ ต์ ศาสนา ประชากรของไทยประมาณรอ้ ยละ ๙๕ ของประชากรไทยนบั ถอื ศาสนาพทุ ธซง่ึ เป็นศาสนาทค่ี นส่วน ใหญ่ในชาตินบั ถอื คือนิกายเถรวาทศาสนาอิสลามประมาณรอ้ ยละ ๔ (ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยทางภาคใตต้ อนล่าง ) ศาสนาครสิ ตแ์ ละศาสนาอน่ื ๆ ประมาณรอ้ ยละ ๑ ๑๗ ๑๗ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๗๔๗-๗๘๐.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๖๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ๘.๔.๒ พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย พระพุทธศาสนาเขา้ สู่ประเทศไทย เม่ือประมาณ พ.ศ. ๒๓๖ ร่วมสมยั กบั ประเทศ ศรีลงั กาเม่ือทาํ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ โดยการนาํ ของพระโมคคลั ลบี ุตรติสสเถระ อปุ ถมั ภกโ์ ดยพระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ่งพระอรหนั ต์ ออกไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาจาํ นวน ๙ สาย ประเทศไทยเป็นสายท่ี ๘ โดยมพี ระโสณะ และ พระอตุ ตรเถระ เป็น หวั หนา้ ในขณะนนั้ ประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนท่เี รียกว่าสุวรรณภูมซิ ง่ึ มขี อบเขตรวมกนั อยู่ในดนิ แดนแห่งน้ี ๗ ประเทศ ไดแ้ ก่ ไทย เมยี นมา่ ร์ ศรลี งั กา ญวน กมั พชู า ลาว มาเลเซยี ซง่ึ สนั นิษฐานว่ามใี จกลางอยู่ทจ่ี งั หวดั นครปฐม ของไทยเน่ืองจากไดพ้ บโบราณวตั ถทุ ส่ี าํ คญั เช่น พระปฐมเจดยี ์ และรูปธรรมจกั รกวางหมอบเป็นหลกั ฐานสาํ คญั แต่ เมยี นมา่ รก์ ็สนั นิษฐานว่ามใี นกลางอยู่ทเ่ี มอื งสะเทิม ภาคใตข้ องเมยี นมา่ ร์ ศาสตราจารยร์ ิสเดวดิ ส์ อธิบายอาณาเขต ของสุวรรณภมู วิ า่ เรม่ิ ตง้ั แต่รามญั ประเทศไปจนจดเมอื งญวน และตง้ั แต่เมยี นมา่ รไ์ ปจนถงึ แหลมมลายู คือประเทศ ทต่ี งั้ อยู่ระหว่างอนิ เดยี กบั จนี ดงั นน้ั ไมว่ า่ ไทยจะอา้ งว่าดนิ แดนสุวรรณภมู อิ ยู่ในประเทศไทย หรอื เมยี นม่ารอ์ า้ งว่าอยู่ ในดนิ แดนของตน ถา้ ถอื ตามมตขิ องศาสตราจารยร์ สิ เดวดิ สแ์ ลว้ ถูกดว้ ยกนั ทง้ั สองฝ่าย พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รุ่งเรอื ง ตามยุคสมยั ต่อไปน้ี สมยั ทวาราวดี ดินแดนแห่งอาณาจกั รสุวรรณภมู ิ หรือทเ่ี รียกกนั ว่า ‚แหลมทอง‛ ซง่ึ พระโสณะกบั พระอุตต ระไดเ้ ดินทางมาประดิษฐานพระพทุ ธศาสนานน้ั ตามจดหมายเหตุของหลวงจีนเห้ียนจงั เรียกว่า \"ทวาราวดี\" เป็น อาณาจกั รขนาดใหญ่ตงั้ อยู่ระหว่างเมอื งศรีเกษตร คือ เมยี นม่าร์ กบั เมอื งอิศาสนบุรี คือเขมร ไทยสนั นิษฐานว่า นครปฐมเพราะมโี บราณสถานและโบราณวตั ถตุ ่างๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ ศิลารูปพระธรรมจกั รเป็นตน้ ปรากฏว่าเป็น หลกั ฐานประจกั ษพ์ ยานอยู่ พระพทุ ธศาสนาทเ่ี ขา้ มาในครงั้ น้ีเป็นแบบเถรวาทดงั้ เดมิ พทุ ธศาสนิกชนไดม้ คี วามศรทั ธา เลอ่ื มใสบวชเป็นพระภกิ ษุจาํ นวนมากและไดส้ รา้ งสถูปเจดยี ไ์ วส้ กั การะบูชา เรยี กว่า สถปู รูปฟองนาํ้ เหมอื นสถปู สาญ จใี นอนิ เดยี ทพ่ี ระเจา้ อโศกทรงสรา้ งข้นึ ศิลปะในยุคน้ีเรยี กว่า ศิลปะแบบทวาราวดี สมยั อาณาจกั รอา้ ยลาว พระเจา้ กนิษกะมหาราช ทรงอปุ ถมั ภส์ งั คายนาครง้ั ท่ี ๔ ฝ่ายมหายาน ณ เมอื งชลนั ธร ในชมพูทวีปตอนเหนือ ไดส้ ่งสมณทูตไปประกาศศาสนายงั เอเชียกลาง พระเจา้ ม่ิงต่ีกษตั ริยจ์ ีนทรงรบั พระพทุ ธศาสนาไปเผยแผ่ในจีน และไดส้ ่งทูตมาเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ขนุ หลวงเมา้ กษตั รยิ อ์ าณาจกั รอา้ ยลาวคณะ ทูตไดน้ ําเอาพระพุทธศาสนามาดว้ ย ทาํ ใหห้ วั เมืองไทยทง้ั ๗๗ มีราษฎร ๕๑,๘๙๐ครอบครวั หนั มานับถือ พระพทุ ธศาสนาแบบมหายานเป็นครงั้ แรก สมยั ศรวี ิชยั พ.ศ. ๑๓๐๐ อาณาจกั รศรีวชิ ยั ในเกาะสุมาตราเจรญิ รุ่งเรอื งในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ ไดแ้ ผ่ อาํ นาจเขา้ มาถึงจดั หวดั สุราษฎรธ์ านี กษตั ริยศ์ รีวิชยั ทรงนบั ถือพุทธศาสนาแบบมหายานพระพุทธศาสนาแบบ มหายานจึงไดแ้ ผ่เขา้ มาสู่ภาคใตข้ องไทย ดังหลกั ฐานท่ีปรากฏคือเจดีย์พระบรมธาตุไชยาพระบรมธาตุ นครศรธี รรมราช และรูปหลอ่ พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกิเตศวรและพระพมิ พด์ นิ ดบิ ท่ีทาํ ซ่อนไวใ้ นถาํ้ เขตจงั หวดั นครศีธรรม ราช ตรงั และพทั ลงุ ไปจนถงึ ไทรบรุ แี ละปตั ตานี สมยั ลพบรุ ี พ.ศ. ๑๕๕๐ กษตั รยิ ก์ มั พชู าแหง่ ราชวงศส์ ุริยวรมนั เรอื งอาํ นาจนนั้ ไดแ้ ผ่อาณาเขตขยายออกมา ทวั่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทยประมาณ พ.ศ. ๑๕๔๐ และไดต้ งั้ ราชธานีเป็นท่อี าํ นวยการ ปกครองเมอื งต่างๆ ในดนิ แดนดงั กลา่ วข้นึ หลายแห่ง เช่นเมืองลพบรุ ี ปกครองเมอื งทอ่ี ยู่ในอาณาเขตทวาราวดี ส่วน

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๖๑  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ขา้ งใต้ เมืองสุโขทยั ปกครองเมอื งท่อี ยู่ในอาณาเขตทวาราวดสี ่วนขา้ งเหนือ เมืองศรเี ทพ ปกครองหวั เมอื งทอ่ี ยู่ตาม ลมุ่ แมน่ าํ้ ป่าสกั เมอื งพมิ าย ปกครองเมอื งทอ่ี ยูใ่ นทร่ี าบสูงตอ้ นขา้ งใต้ เมืองสกลนคร ปกครองเมอื งอนั อยู่ในแผ่นดิน สูงขา้ งตอนเหนือ ในบรรดาเมอื งต่างๆ เหล่าน้ี เมืองลพบุรี หรือละโวถ้ ือว่าเป็นเมอื งสาํ คญั ท่สี ุดกษตั ริยก์ มั พูชาทรงนบั ถือ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานซ่งึ มสี ายสมั พนั ธก์ บั อาณาจกั รศรีวชิ ยั และมหายานในสมยั น้ีผสมกบั ศาสนาพราหมณ์ มากประชาชนในถ่ินน้ี จึงไดร้ บั พระพุทธศาสนาทง้ั แบบเถรวาทท่ีสืบมาแต่เดิมดว้ ยกบั แบบมหายานและศาสนา พราหมณท์ เ่ี ขา้ มาใหมด่ ว้ ยทาํ ใหม้ ผี ูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนา ๒ แบบ และมพี ระสงฆท์ งั้ สองฝ่ายคือฝ่ายเถรวาทและฝ่าย มหายานและภาษาสนั สกฤตอนั เป็นภาษาหลกั ของศาสนาพราหมณแ์ ละพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานกไ็ ดเ้ร่ิมเขา้ มามี อิทธิพลในดา้ นภาษาและวรรณคดีไทยตงั้ แต่นน้ั มา และพระพุทธศาสนสถานท่เี ป็นท่ปี ระจกั ษพ์ ยานใหไ้ ดศ้ ึกษาถงึ ความเป็นมาแห่งพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยครง้ั นนั้ คือพระปรางคส์ ามยอดท่จี งั หวดั ลพบุรี ปราสาทหนิ พมิ ายท่ี จงั หวดั นครราชสมี าและปราสาทหนิ เขาพนมรุง้ ทจ่ี งั หวดั บรุ ีรมั ย์ เป็นตน้ ส่วนพระพทุ ธรูปทส่ี รา้ งในสมยั นนั้ กเ็ ป็นแบบ ขอมถอื เป็นศิลปะอยู่ในกลมุ่ ศิลปะสมยั ลพบรุ ี พระพทุ ธศาสนาสมยั เถรวาทแบบพกุ าม พระเจา้ อนุรุทธมหาราชหรืออโนรธามงั ช่อ กษตั รยิ พ์ กุ ามเรืองอาํ นาจ ทรงรวบรวมเอาเมยี นม่ารก์ บั รามญั เขา้ เป็นอาณาจกั รเดียวกนั แลว้ แผ่อาณาเขตเขา้ มาถงึ อาณาจกั รลา้ นนา ลา้ นชา้ ง ลพบุรี และทวาราวดีพระองคท์ รงนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาท และทรงทาํ นุบาํ รุงและเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบพกุ ามอย่างจริงจงั ส่วนชนชาติ ไทย หลงั จากอาณาจกั รอา้ ยลาวสลายตวั กไ็ ดม้ าตง้ั อาณาจกั รน่านเจา้ ถงึ ประมาณ พ.ศ. ๑๒๙๙ ขนุ ทา้ วกวาโอรสขนุ บรมแห่งอาณาจกั รน่านเจา้ ไดส้ ถาปนาอาณาจกั รโยนกเชียงแสนในสุวรรณภูมหิ ลงั จากนนั้ คนไทยก็กระจดั กระจาย อยู่ทวั่ ภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทยปจั จบุ นั เมอ่ื กษตั รยิ พ์ กุ าม (กมั พชู า) เรือง อาํ นาจคนไทยท่อี ยู่ในเขตอาํ นาจของขอม ก็ไดร้ บั ทง้ั ศาสนาและวฒั นธรรมของเขมรไวด้ ว้ ยส่วนทางลา้ นนาก็ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากขอมเช่นเดยี วกนั คือเมอ่ื อาณาจกั รพกุ ามของกษตั ริยเ์ มยี นมา่ รเ์ ขา้ มาครอบครองดนิ แดนแถบน้ีดงั เหน็ ว่า มปี ูชนียสถานแบบเมยี นมา่ รห์ ลายแห่ง และเจดียท์ ม่ี ฉี ตั รอยู่บนยอดและฉตั รท่ี ๔ มมุ ของเจดยี ์ และอกั ษรจารึกพระ ธรรมกม็ ลี กั ษณะคลา้ ยกบั อกั ษรของพกุ าม(เมยี นมา่ ร)์ รวมทง้ั วฒั นธรรมการแต่งกายของชนพ้นื เมอื ง กไ็ ดร้ บั อิทธิพล มาจากพกุ ามแบบเมยี นมา่ รเ์ ช่นเดียวกนั สมยั สุโขทยั หลงั จากอาณาจกั รพุกามและกมั พูชาเส่ือมอาํ นาจลงคนไทยจึงไดต้ งั้ ตวั เป็นอิสระไดก้ ่อตง้ั อาณาจกั รข้นึ เอง ๒ อาณาจกั ร ไดแ้ ก่ อาณาจกั รลา้ นนาอยู่ทางภาคเหนือของไทยและอาณาจกั รสุโขทยั มศี ูนยก์ ลาง อยู่ท่จี งั หวดั สุโขทยั ปจั จุบนั เม่อื พ่อขุนรามคาํ แหงเสด็จข้นึ ครองราชยท์ รงสดบั กิตติศพั ทข์ องพระสงฆล์ งั กาจึงทรง อาราธนาพระมหาเถระสงั ฆราชซ่ึงเป็นพระเถระชาวลงั กาท่มี าเผยแผ่อยู่ท่นี ครศรธี รรมราชมาเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ในกรุงสุโขทยั พระพทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศไ์ ดเ้ ขา้ มาเผยแผ่ในประเทศไทย ถงึ ๒ ครง้ั คอื ครงั้ ท่ี ๑ ในสมยั พ่อขนุ รามคาํ แหง เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๒๐ พ่อขนุ รามคาํ แหงข้นึ ครองราชย์ ทรงสดบั กติ ติศพั ท์ ของพระลงั กาวงศ์ จงึ ทรงอาราธนาพระมหาสงั ฆราชจากนครศรีธรรมราช มาจาํ พรรษา ณ วดั อรญั ญกิ ในกรุงสุโขทยั

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๖๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง พระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบลงั กาวงศจ์ ึงเจริญรุ่งเรืองตงั้ แต่นนั้ มา ดงั ความทป่ี รากฏในศิลาจารึกพ่อขนุ รามคาํ แหง มหาราชว่า ‚พ่อขุนรามคาํ แหงทรงกระทาํ โอยทานแก่มหาเถรสงั ฆราช ปราชญเ์ รียนจบพระไตรปิฎก หวั กก๊ กว่าปู่ครู ในเมอื งน้ี ทกุ ตนลุกแต่นครศรธี รรมราชมา‛ ระยะแรกพระพทุ ธศาสนามี ๒ นิกาย คือนิกายเดิมและนิกายลงั กาวงศ์ แต่ในทส่ี ุดกร็ วมกนั ได้ และพระพทุ ธศาสนามหายานกเ็ สอ่ื มไปในทส่ี ุด นอกจากน้ีพระองคย์ งั ไดน้ าํ พระพทุ ธสหิ งิ คซ์ ง่ึ สรา้ งในลงั กาข้นึ มาจากนครศรีธรรมราชไว้ ณ กรุงสุโขทยั ศิลปะแบบลงั กาจึงเขา้ มาแทนศิลปะแบบมหายาน เช่น เจดยี ว์ ดั พระมหาธาตุนครศรีธรรมราชแปลงรูปเป็นสถูปแบบลงั กา ครงั้ ท่ี ๒ พ.ศ. ๑๘๙๗ ในสมยั พญาลิไท กษตั ริยอ์ งคท์ ่ี ๕ แห่งกรุงสุโขทยั ทรงอาราธนาพระมหาสามี สงั ฆราชเมอื งลงั กา นามว่า สุมนะ เขา้ มายงั สุโขทยั เม่อื พ.ศ. ๑๙๐๔ พระองคท์ รงผนวชชวั่ คราว ณ วดั อรญั ญิก ทรงพระราชนิพนธห์ นงั สอื เตภมู กิ ถา หรอื ไตรภมู พิ ระร่วง ทรงสงั่ สอนประชาชนดว้ ยพระองคเ์ อง และเผดียงสงฆเ์ ขา้ ไปเรยี นพระไตรปิฎกในปราสาท ทรงสรา้ งพระบรมธาตุบรรจุพระบรมสารรี ิกธาตแุ ละทรงปลูกตน้ พระศรีมหาโพธิและ ทรงจดั ระเบยี บคณะสงฆอ์ อกเป็น ๒ ฝ่ ายคอื คามวาสี และอรญั ญวาสี พระพทุ ธศาสนาในสมยั น้ีเจริญรุ่งเรืองมาก กษตั ริยท์ ุกพระองค์ทรงปกครองบา้ นเมืองโดยธรรม มีความสงบร่มเย็น ประชาชนเป็นอยู่โดยผาสุกศิลปะสมยั สุโขทยั ไดร้ บั การกล่าวขานว่างดงามมาก โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมยั สุโขทยั มลี กั ษณะงดงาม ไม่มศี ิลปะสมยั ใด เหมอื น พระพทุ ธศาสนาสมยั ลา้ นนา ปี พ.ศ. ๑๘๓๙ พระเจา้ มงั รายมหาราช ทรงสรา้ งราชธานีข้นึ ช่อื ว่า \"นพบรุ ศี รีนครพงิ คเ์ ชยี งใหม่\"ไดต้ งั้ ถ่นิ ฐาน ณ ลุ่มแม่นาํ้ ปิง ไดส้ รา้ งเมอื ง สรา้ งวงั และวดั ข้นึ ทรงทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาไดส้ รา้ งวดั ต่างๆ มากมาย ทง้ั ท่ี เป็นฝ่ายคามวาสี และอรญั ญวาสจี นพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรอื งเมอื งต่างๆ ในอาณาจกั รลา้ นนา เช่นเชียงราย ลาํ พูน ลาํ ปาง แพร่น่าน พะเยาต่างกม็ คี วามเจรญิ รุ่งเรือง โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ดา้ นพระพทุ ธศาสนาพธิ ีกรรมและความเช่อื ทาง ศาสนามอี ทิ ธพิ ลต่อชาวลา้ นนาอยา่ งมากในรชั สมยั ของพระเจา้ ตโิ ลกราชแห่งเชียงใหม่ไดท้ าํ การสงั คายนาพระไตรปิฎก ครง้ั แรกของประเทศไทยข้นึ ณ วดั มหาโพธาราม ( วดั เจด็ ยอด) เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๐๒๐ในสมยั ลา้ นนา ไดเ้กิดมพี ระเถระ นกั ปราชญช์ าวลา้ นนาหลายรูปท่านเหล่านนั้ ไดร้ จนาคมั ภีรส์ าํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาไวเ้ ป็นจาํ นวนมากไดแ้ ก่ พระ สริ ิมงั คลาจารยพ์ ระญาณกติ ตเิ ถระ พระรตั นปญั ญา พระโพธริ งั สพี ระนนั ทาจารยแ์ ละพระสุวรรณรงั สี พระพทุ ธศาสนาในสมยั อยธุ ยา พระพุทธศาสนาในสมยั อยุธยาไดร้ บั อิทธิพลของพราหมณ์เขา้ มามาก พิธีกรรมต่างๆ ไดป้ ะปนพิธีของ พราหมณ์ เนน้ ความขลงั ความศกั ด์ิสทิ ธ์ิ และอทิ ธิปาฏหิ าริยม์ เี ร่อื งไสยศาสตรเ์ ขา้ มาปะปนอยู่มาก ประชาชนม่งุ เร่อื ง การบุญการกุศลสรา้ งวดั วาอาราม สรา้ งปูชนียวตั ถุ บาํ รุงศาสนาเป็นส่วนมาก ในสมยั อยุธยาตอ้ งประสบกบั ภาวะ สงครามกบั เมยี นมา่ รจ์ นเกดิ ภาวะวกิ ฤตทางศาสนาหลายครง้ั ประวตั ศิ าสตรอ์ ยุธยาแบง่ เป็น ๔ ตอนไดแ้ ก่ อยุธยาตอนแรก (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) ในสมยั พระบรมไตรโลกนาถ ทรงปกครองบา้ นเมอื งดว้ ยความสงบร่มเย็น ทรงทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนา ทรงผนวชเป็นเวลา ๘ เดือน เม่อื พ.ศ. ๑๙๙๘ และทรงใหพ้ ระราชโอรสกบั พระราชนดั ดาผนวชเป็นสามเณรดว้ ย

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๖๓  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ สนั นิษฐานว่าเป็นการเร่ิมตน้ ของประเพณีการบวชเรียนของเจา้ นายและขา้ ราชการในรชั สมยั ของพระองค์ ไดม้ กี าร รจนาหนงั สอื มหาชาตคิ าํ หลวง ใน พ.ศ. ๒๐๒๕ สมยั อยุธยาตอนทส่ี อง ( พ.ศ. ๒๐๓๔ - ๒๑๗๓) สมยั น้ีไดม้ คี วามนิยมในการสรา้ งวดั ข้นึ ทงั้ กษตั รยิ แ์ ละประชาชนทวั่ ไปนิยมสรา้ งวดั ประจาํ ตระกูล ในสมยั พระเจา้ ทรงธรรมไดพ้ บพระพทุ ธบาทสระบรุ ีทรงใหส้ รา้ งมณฑปครอบพระพทุ ธบาทไว้ และโปรดใหช้ มุ ชนราชบณั ฑติ แต่งกาพยม์ หาชาตเิ มอ่ื พ.ศ. ๒๑๗๐ และโปรดใหส้ รา้ งพระไตรปิฎกดว้ ย สมยั อยธุ ยาตอนทส่ี าม (พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๓๑๐) พระมหากษตั ริยท์ ่มี พี ระนามย่งิ ใหญ่ท่สี ุดในศตวรรษน้ี ไดแ้ ก่สมเดจ็ พระณารายณ์มหาราช พระองคท์ รงมี บทบาทอยา่ งมากทง้ั ต่อฝ่ายอาณาจกั รและศาสนจกั ร ทรงส่งเสรมิ พระพทุ ธศาสนาอย่างแรงกลา้ สมยั น้ีพวกฝรงั่ เศสได้ เขา้ มาตดิ ต่อกบั ไทย และไดพ้ ยายามเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาและทูลขอใหพ้ ระณารายณเ์ ขา้ รีต แต่พระองคท์ รงมนั่ คง ในพระพุทธศาสนา ทรงนําพาประเทศชาติรอดพน้ จากการเป็นเมืองของฝรงั่ เศสไดเ้ พราะมีพระราชศรทั ธาต่อ พระพทุ ธศาสนาอยา่ งจรงิ จงั สมยั อยุธยาตอนท่สี ่ี (พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๑๐) พระมหากษตั ริยท์ ่ีทรงมบี ทบาทมากในยุคน้ีไดแ้ ก่สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศทรงเสวยราช เม่อื พ.ศ. ๒๒๗๕การบวชเรียนกลายเป็นประเพณีท่ีปฏิบตั ิสืบต่อกนั มาถึงยุคหลงั ถึงกบั กาํ หนดใหผ้ ูท้ ่ีจะเป็นขุนนางมี ยศถาบรรดาศกั ด์ิตอ้ งเป็นผูท้ ผ่ี ่านการบวชเรียนมาเท่านนั้ จึงจะทรงแต่งตงั้ ตาํ แหน่งหนา้ ท่ใี หใ้ นสมยั น้ีไดส้ ่งพระภกิ ษุ เถระชาวไทยไปฟ้ืนฟูพุทธศาสนาในประเทศลงั กาตามคาํ ทูลขอของกษตั ริยล์ งั กาเม่อื พ.ศ. ๒๒๙๖ จนทาํ ใหพ้ ุทธ ศาสนากลบั เจรญิ รุ่งเรืองในลงั กาอีกครงั้ จนถงึ ปจั จุบนั และเกิดนิกายของคณะสงฆไ์ ทยข้นึ ในลงั กา ช่อื ว่านิกายสยาม วงศ์ นิกายน้ียงั คงมอี ยูถ่ งึ ปจั จบุ นั พทุ ธศาสนาในสมยั กรุงธนบรุ ี ปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาถูกเมียนม่าร์ยกทพั เขา้ ตีจนบา้ นเมืองแตกยบั เยินเมียนม่ารไ์ ดท้ าํ ลาย บา้ นเมอื งเสยี หายย่อยยบั เก็บเอาทรพั ยส์ นิ ไปกวาดตอ้ นประชาชนแมก้ ระทงั่ พระสงฆไ์ ปเป็นเชลยเป็นจาํ นวนมากวดั วาอารามถูกเผาทาํ ลายครนั้ ต่อมาพระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงเป็นผูน้ าํ ในการกอบกูอ้ ิสระภาพสามารถกอบกูเ้ อกราช จากเมยี นมา่ รไ์ ด้ ทรงตงั้ ราชธานีใหมค่ ือเมอื งธนบุรี ทรงครองราชย์ และปกครองแผ่นดินสบื มาทรงบูรณะปฏสิ งั ขรณ์ วดั วาอารามและสรา้ งวดั เพม่ิ เตมิ อกี มากทรงรบั ภาระบาํ รุงพระพทุ ธศาสนารวบรวมคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกจากหวั เมอื งมา คดั เลอื กจดั เป็นฉบบั หลวงแต่ไมย่ งั ทนั เสร็จบริบูรณ์กส็ ้นิ รชั กาลเสยี ก่อนต่อมา พ.ศ. ๒๓๒๒ กองทพั ไทยไดอ้ ญั เชิญ พระแกว้ มรกตจากเวยี งจนั ทนม์ ายงั ประเทศไทยภายหลงั พระองคถ์ กู สาํ เรจ็ โทษเป็นอนั ส้นิ สุดสมยั กรุงธนบรุ ี พทุ ธศาสนาในสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๑ (๒๓๒๕-๒๓๕๒) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสดจ็ ข้นึ ครองราชยเ์ มอ่ื ปี พ.ศ.๒๓๒๕ ต่อจากพระเจา้ ตากสนิ มหาราช ทรงยา้ ยเมอื งจากธนบุรี มาตง้ั ราชธานีใหมเ่ รยี กช่ือว่า ‚กรุงเทพมหานคร อมรรตั นโกสนิ ทร‛์ ทรงสรา้ งและปฏสิ งั ขรณ์วดั ต่างๆเช่นสรา้ งวดั พระศรีรตั นศาสดาราม วดั สุทศั นเทพวราราม วดั สระเกศ และวดั พระเชตุพนฯ เป็นตน้ ทรงโปรดใหม้ กี ารสงั คายนาพระไตรปิฎกครง้ั ท่ี ๙ และถือเป็นครง้ั ท่ี ๒ ใน

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๖๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ประเทศไทย ณ วดั มหาธาตุ ไดม้ ีการสอนพระปริยตั ิธรรมในพระบรมมหาราชวงั ตลอดจนตามวงั เจา้ นายและ บา้ นเรือนของขา้ ราชการผูใ้ หญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆข์ ้นึ เพอ่ื จดั ระเบยี บการปกครองของสงฆใ์ หเ้รียบรอ้ ย ทรง จดั ใหม้ ีการสอบพระปริยตั ิธรรมทรงสถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราชองคแ์ รกของกรุงรตั นโกสินทร์ โดยสถาปนา พระสงั ฆราช (ศร)ี เป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราช เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๕๒ รชั กาลท่ี ๒ (๒๓๕๒- ๒๓๖๗) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั เสด็จข้ึนครองราชยเ์ ม่ือพ.ศ. ๒๓๕๒ เป็นทรงทาํ นุบาํ รุงส่งเสรมิ พระพทุ ธศาสนาเหมอื นอย่างพระมหากษตั ริยไ์ ทยแต่โบราณในรชั สมยั ของพระองค์ ไดท้ รงสถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราชถงึ ๓ พระองค์ คือสมเด็จพระสงั ฆราช (ม)ี สมเดจ็ พระสงั ฆราช ( สุก )และสมเด็จ พระสงั ฆราช ( สอน )ในปี พ.ศ. ๒๓๕๗ ทรงจดั ส่งสมณทูต ๘ รูป ไปฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนาในประเทศลงั กาไดจ้ ดั ใหม้ ี การจดั งานวนั วสิ าขบูชาข้นึ เป็นครงั้ แรกในสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทรเ์ มอ่ื พ.ศ. ๒๓๖๐ ซ่งึ แต่เดมิ ก็เคยปฏบิ ตั ถิ อื กนั มาเมอ่ื ครงั้ กรุงสุโขทยั แต่ไดข้ าดตอนไปตงั้ แต่เสยี กรุงศรีอยุธยาแก่เมยี นม่าร์ จึงไดม้ กี ารฟ้ืนฟูวนั วิสาขบูชาใหม่ไดโ้ ปรดใหม้ ี การเปลย่ี นแปลงแกไ้ ขวธิ กี ารสอบไลป่ รยิ ตั ธิ รรมข้นึ ใหม่ ไดข้ ยายหลกั สูตร๓ ชนั้ คือ เปรียญตรี -โท - เอก เป็น ๙ ชน้ั คอื ชน้ั ประโยค ๑ - ๙ รชั กาลท่ี ๓ (๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดใหม้ กี ารสรา้ งพระไตรปิฎกฉบบั หลวงเพ่ิมจาํ นวนข้ึนไวอ้ ีกหลายฉบบั ครบถว้ นกว่ารชั กาลก่อนๆ โปรดใหแ้ ปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยทรง บูรณะปฏสิ งั ขรณว์ ดั วาอารามหลายแห่งและสรา้ งวดั ใหม่ คือวดั เทพธดิ าราม วดั ราชราชนดั ดาและวดั เฉลมิ พระเกียรติ ไดต้ ง้ั โรงเรียนหลวงข้นึ เป็นครงั้ แรกเพ่อื สอนหนงั สอื ไทยแก่เด็กในสมยั น้ีไดเ้ กดิ นิกายธรรมยุติข้นึ โดยพระวชริ ญาณ เถระ (เจา้ ฟ้ามงกุฏ)ขณะท่ผี นวชอยู่ไดท้ รงศรทั ธาเลอ่ื มใสในจริยาวตั รของพระมอญช่ือ ซาย ฉายา พทุ ฺธวโํ ส จึงได้ ทรงอุปสมบทใหม่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๒ ไดต้ ง้ั คณะธรรมยุติข้นึ ในปีพ.ศ. ๒๓๗๖ แลว้ เสด็จมาประทบั ท่วี ดั บวรนิเวศ วหิ ารและตง้ั เป็นศูนยก์ ลางของคณะธรรมยุติ รชั กาลท่ี ๔ (๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๔ เม่อื ทรงเป็นเจา้ ฟ้า มงกฎุ ไดผ้ นวช๒๗ พรรษาแลว้ ไดล้ าสกิ ขาข้นึ ครองราชยเ์ มอ่ื พระชนมายุ ๕๗ พรรษา ใน พ.ศ.๒๓๙๔ ดา้ นการพระ ศาสนา ทรงพระราชศรทั ธาสรา้ งวดั ใหมข่ ้นึ หลายวดั เช่นวดั ปทมุ วนารามวดั โสมนสั วหิ าร วดั มกฎุ กษตั รยิ าราม วดั ราช ประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และวดั ราชบพิตรเป็นตน้ ตลอดจนบูรณะวดั ต่างๆ อีกมาก โปรดใหม้ ีพระราชพิธี \"มาฆบชู า\"ข้นึ เป็นครง้ั แรก ใน พ.ศ. ๒๓๙๔ ณ ทว่ี ดั พระศรรี ตั นศาสดาราม จนไดถ้ อื ปฏบิ ตั สิ บื มาจนถงึ ทกุ วนั น้ี รชั กาลท่ี ๕ (๒๔๑๑ - ๒๔๕๓)พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เสด็จข้นึ ครองราชย์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๑ ทรงยกเลกิ ระบบทาสในเมอื งไทยไดส้ าํ เร็จ ทรงสรา้ งวดั ใหม่ข้นึ คือวดั วดั ราชบพิตร วดั เทพศิรินทราวาส วดั เบญจม บพิตร วดั อษั ฎางนิมติ ร วดั จุฑาทศิ ราชธรรมสภาและวดั นิเวศนธ์ รรมประวตั ิ ทรงบูรณะวดั มหาธาตุ และวดั อ่นื ๆ อีก ทรงนิพนธว์ รรณกรรมทางพทุ ธศาสนาจาํ นวนมากโปรดใหม้ กี ารเร่มิ ตน้ การศึกษาแบบสมยั ใหมใ่ นประเทศไทย โดยให้ พระสงฆร์ บั ภาระช่วยการศึกษาของชาตคิ รน้ั พ.ศ. ๒๔๒๗ ไดจ้ ดั ตง้ั โรงเรียนสาํ หรบั ราษฎรข้นึ เป็นแห่งแรก ณ วดั มหร รณพารามถึงปี พ.ศ. ๒๔๑๔ โปรดใหจ้ ดั การศึกษาแก่ประชาชนในหวั เมอื ง โดยจดั ตง้ั โรงเรียนในหวั เมอื งข้นึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๕ มพี ระบรมราชโองการประกาศตงั้ กรมธรรมการเป็นกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการปจั จุบนั ) โปรดให้ มกี ารพิมพพ์ ระไตรปิฎกดว้ ยอกั ษรไทยจบละ ๓๙ เล่ม จาํ นวน ๑,๐๐๐ จบ พ.ศ. ๒๔๓๒ โปรดใหย้ า้ ยท่รี าชบณั ฑิต

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๖๕  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง บอกพระปริยตั ิธรรมแก่พระภิกษุสามเณรจากในวดั พระศรีรตั นศาสดาราม ออกมาเป็นบาลีวิทยาลยั ช่ือมหาธาตุ วทิ ยาลยั ท่วี ดั มหาธาตุ และต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ไดป้ ระกาศเปล่ยี นนามมหาธาตุวทิ ยาลยั เป็นมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั เป็นท่ศี ึกษาพระปรยิ ตั ิธรรมและวชิ าการชนั้ สูงของพระภกิ ษุสามเณรปี พ.ศ. ๒๔๓๖ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจดั ตง้ั ‚มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ‛ ข้นึ เพ่อื เป็นแหลง่ ศึกษาพระพทุ ธศาสนาแก่พระภกิ ษุ สามเณรฝ่ายธรรมยุตนิ ิกายพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงเสด็จเปิดในปีเดยี วกนั รชั กาลท่ี ๖ (๒๔๕๓- ๒๔๖๘) พระบาทสมเด็จพระมงกฏุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั เสดจ็ ข้นึ ครองราชย์ ทรงพระปรีชา ปราดเปร่ืองในความรูท้ างพระศาสนามากทรงนิพนธห์ นงั สอื แสดงคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนาหลายเร่ือง เช่น เทศนา เสือป่าพระพุทธเจา้ ตรสั รูอ้ ะไร เป็นตน้ ถึงกบั ทรงอบรมสงั่ สอนอบรมขา้ ราชการดว้ ยพระองคเ์ องทรงโปรดใหใ้ ช้ พทุ ธศกั ราช (พ.ศ.) แทน ร.ศ. เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๖ ใหเ้ ปลย่ี นกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงเปลยี่ นวธิ ีการสอบบาลสี นามหลวงจากปากเปลา่ มา เป็นขอ้ เขยี นเป็นครงั้ แรกพ.ศ. ๒๔๖๙ ทรงเรม่ิ การศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมใหมข่ ้นึ อกี หลกั สูตรหน่ึง เรียกว่า \"นกั ธรรม\" โดยมกี ารสอนครง้ั แรกเมอ่ื เดอื นตลุ าคม ๒๔๕๔ ตอนแรกเรียกว่า \"องคข์ องสามเณรรูธ้ รรม\"พ.ศ. ๒๔๖๒ ถงึ พ.ศ. ๒๔๖๓ โปรดใหพ้ ิมพค์ มั ภรี อ์ รรถกถาแห่งพระไตรปิฎกและอรรถกถาชาดกและคมั ภรี อ์ ่นื ๆ เช่นวิสุทธิมรรค มลิ นิ ท ปญั หา เป็นตน้ รชั กาลท่ี ๗ (๒๔๖๘ - ๒๔๗๗) พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงโปรดใหม้ กี ารทาํ สงั คายนา พระไตรปิฎกข้นึ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๖๘ – ๒๔๗๓ เพ่อื ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๖ เป็นการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ ในเมืองไทยแลว้ ทรงจดั ใหพ้ ิมพพ์ ระไตรปิฎกฉบบั สยามรฐั ชุดละ ๔๕ เล่ม จาํ นวน ๑,๕๐๐ ชุด และพระราชทานแก่ประเทศต่างๆประมาณ ๕๐๐ ชุด โปรดใหย้ า้ ยกรมธรรมการกลบั เขา้ มารวมกบั กระทรวงศึกษาธิการและเปล่ยี นช่ือกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิมโดยมีพระราชดาํ ริว่า ‚การศึกษาไม่ควรแยกออกจากวดั ‛ ต่อมาปีพ.ศ. ๒๔๗๑ กระทรวงธรรมการประกาศเพม่ิ หลกั สูตรทางจริยศึกษา สาํ หรบั นกั เรยี นไดเ้ปิดใหฆ้ ราวาสเรยี นพระปริยตั ธิ รรม แผนกธรรมโดยจดั หลกั สูตรใหม่ เรียกว่า ‚ธรรมศึกษา‛ ใน รชั สมยั รชั กาลท่ี ๗ ไดม้ ีการเปล่ียนแปลงการปกครองครงั้ ย่ิงใหญ่ของไทยเม่ือคณะราษฎร์ไดท้ าํ การปฏิวตั ิ เปล่ยี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชเป็นระบอบประชาธิปไตย เม่อื วนั ท่ี ๒๔ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงสละราชสมบตั เิ ม่อื พ.ศ. ๒๔๗๗ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยูห่ วั อานนั ทมหดิ ลข้นึ ครองราชยเ์ ป็นรชั กาลท่ี ๘ รชั กาลท่ี ๘ (๒๔๗๗ - ๒๔๘๙) พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่อยู่หวั อานนั ทมหิดล เสด็จข้นึ ครองราชยเ์ ป็น รชั กาลท่ี ๘ ในขณะพระพระชนมายุ เพยี ง ๙ พรรษาเท่านน้ั และยงั กาํ ลงั ทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศจึงมผี ูส้ าํ เร็จ ราชการแทนพระองคใ์ นดา้ นการศาสนาไดม้ กี ารแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย แบง่ เป็น ๒ ประเภท คอื ๑. พระไตรปิฎก แปลโดยอรรถ พมิ พเ์ ป็นเล่มสมดุ ๘๐ เล่ม เรียกว่าพระไตรปิฎกภาษาไทยแต่ไม่เสร็จ สมบรู ณ์ และกระทาํ ต่อจนเสรจ็ เมอ่ื งานฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ เมอ่ื ปีพ.ศ. ๒๕๐๐ ๒. พระไตรปิฎก แปลโดยสาํ นวนเทศนา พมิ พใ์ บลาน แบ่งเป็น ๑๒๕๐ กณั ฑ์ เรียกว่าพระไตรปิฎกฉบบั หลวง เสรจ็ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๒ พ.ศ. ๒๔๘๔ ไดเ้ปลย่ี นช่อื กระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ และกรมธรรม

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๖๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง การเปล่ยี นเป็นกรมการศาสนา และในปีเดียวกนั รฐั บาลไดอ้ อก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เม่อื วนั ท่ี ๑๔ ตุลาคม เพ่อื ใหก้ ารปกครองคณะสงฆม์ คี วามสอดคลอ้ งเหมาะสมกบั การปกครองแบบใหม่พ.ศ. ๒๔๘๘ มหามกุฎ ราชวิทยาลยั ซ่ึงตงั้ ข้ึนและพ.ศ. ๒๔๓๖ ไดป้ ระกาศตง้ั เป็นมหาวิทยาลยั สงฆช์ ่ือ \"สภาการศึกษามหามกุฏราช วทิ ยาลยั \" เมอ่ื วนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม ๒๔๓๖ สมยั รชั กาลท่ี ๙ (ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ จนถงึ ปจั จุบนั ) พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดช ได้ เสด็จข้นึ ครองราชยเ์ ป็นราชกาลท่ี๙ สืบต่อมา ทรงมพี ระราชศรทั ธาในพระพุทธศาสนา และทรงเป็นศาสนูปถมั ภก ทรงใหก้ ารอุปถมั ภแ์ ก่ทุกศาสนาและทรงปกครองบา้ นเมืองโดยสงบร่มเย็น ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ ในรชั สมยั รชั กาลปจั จบุ นั ไดม้ กี ารส่งเสรมิ พทุ ธศาสนาดา้ นต่างๆ มากมายดงั น้ี ดา้ นการศึกษาประชาชนไดส้ นใจศึกษาพทุ ธศาสนามากข้นึ ตามลาํ ดบั ไดม้ กี ารจดั ตงั้ สมาคม มลู นิธิทางพทุ ธ ศาสนาเพอ่ื การศึกษามากมาย มกี ารจดั ตง้ั ชมรมพทุ ธศาสตรใ์ นมหาวทิ ยาลยั และสถาบนั การศึกษาต่างๆ พ.ศ. ๒๔๙๐ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ซ่งึ ตงั้ ข้นึ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๓๒ ไดป้ ระกาศตง้ั เป็นมหาวิทยาลยั สงฆใ์ นวนั ท่ี ๙ มกราคม ๒๔๙๐ และเปิดการศึกษาในวนั ท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๙๐ ต่อมาการศึกษาของพระสงฆไ์ ดร้ บั การยกระดบั การศึกษาข้นึ เป็นระดบั มหาวิทยาลยั ไดแ้ ก่ มหาวทิ ยาลยั สงฆ์ ทงั้ ๒ แห่ง คือมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั และมหามกุฏราชวิทยาลยั ไดเ้ ปิดการเรียนการสอนระดบั อุดมศึกษาแก่ พระภิกษุสามเณรในระดบั ปริญญาตรีและไดม้ ีพระราชบญั ญัติกําหนดวิทยฐานะผูส้ ําเร็จการศึกษาวิชาการ พระพทุ ธศาสนา เม่อื ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๒๗ ต่อมาไดม้ พี ระราชบญั ญตั ิมหาวทิ ยาลยั สงฆท์ ง้ั ๒ แห่งเมอ่ื พ.ศ.๒๕๔๐ มี ช่อื ว่า \"พระราชบญั ญตั ิมหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ และ พระราชบญั ญตั มิ หาวิทยาลยั มหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ในส่วนมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดม้ วี ทิ ยาเขต รวม ๑๑ วิทยาเขต ไดแ้ ก่ วิทยาเขตหนองคาย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช วิทยาเขตเชียงใหม่ วิทยาเขตขอนแก่น วิทยาเขต นครราชสมี า วิทยาเขตอุบลราชธานี วิทยาเขตสุรนิ ทร์ วิทยาเขตพะเยา วทิ ยาเขตแพร่ วทิ ยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส และวทิ ยาเขตนครสวรรค์ วิทยาลยั สงฆ์ ๑๖ แห่ง ไดแ้ ก่ วทิ ยาลยั สงฆล์ าํ พนู วทิ ยาลยั สงฆเ์ ลย วทิ ยาลยั สงฆน์ ครพนม วทิ ยาลยั สงฆพ์ ทุ ธชนิ ราช วิทยาลยั สงฆบ์ ุรีรมั ย์ วิทยาลยั สงฆป์ ตั ตานี วทิ ยาลยั สงฆน์ ่านเฉลมิ พระเกยี รติ วทิ ยาลยั สงฆ์ พทุ ธโสธร วทิ ยาลยั สงฆ์ เชยี งราย วิทยาลยั สงฆล์ าํ ปาง วทิ ยาลยั สงฆศ์ รีสะเกษ วิทยาลยั สงฆพ์ ทุ ธปรชั ญาศรีทวารวดี วิทยาลยั สงฆช์ ยั ภูมิ วิทยาลยั สงฆพ์ ่อขุนผาเมอื ง วิทยาลยั สงฆร์ อ้ ยเอ็ด วิทยาลยั สงฆร์ าชบุรี๑๘ นอกจากนนั้ ยงั มี โครงการขยายหอ้ งเรียนและหน่วยวทิ ยบรกิ ารกระจายอยู่ทวั่ ประเทศ และมวี ทิ ยาลยั สมทบในต่างประเทศดว้ ย ส่วนการศึกษาในระดบั มธั ยมศึกษา ไดม้ กี ารจดั ตง้ั โรงเรียนปริยตั ิธรรมแผนกสามญั ระดบั มธั ยมศึกษา ตอนตน้ และมธั ยมศึกษาตอนปลาย เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ไดม้ กี ารจดั ตง้ั โรงเรียนพทุ ธศาสนาวดั อาทติ ยข์ ้นึ เป็นแห่งแรก ณ มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั เพอ่ื เปิดการสอนพทุ ธศาสนาแก่เดก็ และเยาวชนและไดข้ ยายไปทวั่ ประเทศ ๑๘ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , [ออนไลน]์ , แหลง่ ขอ้ มลู : http://www.mcu.ac.th/site/ [๙ เมษายน ๒๕๖๑]

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๖๗  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ดา้ นการเผยแผ่ไดม้ กี ารเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาอย่างจรงิ จงั ทง้ั ในและต่างประเทศในประเทศไทยไดม้ อี งคก์ ร เผยแผ่ธรรมในแต่ละจงั หวดั โดยไดจ้ ดั ตง้ั พทุ ธสมาคมประจาํ จงั หวดั ข้นึ ส่วนพระสงฆไ์ ดม้ บี ทบาทในการเผยแผ่มากข้นึ โดยใชส้ อ่ื ของรฐั เช่น โทรทศั น์ วทิ ยุ เป็นตน้ กระทรวงศึกษาธกิ ารไดก้ าํ หนดใหว้ ชิ าพระพทุ ธศาสนาเป็นวชิ าภาคบงั คบั แก่นกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษาตง้ั แต่ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ ถงึ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ พระสงฆจ์ ึงไดม้ บี ทบาทในการเขา้ ไป สอนในโรงเรียนต่างๆ มีการประยุกตก์ ารเผยแผ่ธรรมในรูปแบบต่างๆ เช่นการบรรยายปาฐกถา และเขยี นหนงั สือ อธบิ ายพทุ ธธรรมมากข้นึ ทงั้ ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ มพี ระเถระท่เี ป็นนกั ปราชญเ์ กิดข้นึ ไดแ้ ก่ ท่านพทุ ธทาสภกิ ขุ และพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต) เป็นตน้ ในต่างประเทศไดม้ กี ารสรา้ งวดั ไทยเป็นจาํ นวนมากเช่นวดั ไทยพทุ ธคยาประเทศอนิ เดยี เป็นวดั ไทยแห่งแรก ในต่างประเทศต่อมาไดม้ กี ารสรา้ งวดั ไทยในประเทศตะวนั ตกเช่น วดั พุทธประทีป ณ กรุงลอนดอนพระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยู่หวั ทรงเสด็จเปิดเมอ่ื วนั ท่ี ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ นบั เป็นวดั ไทยวดั แรกในประเทศตะวนั ตกต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ไดม้ กี ารสรา้ งวดั แห่งแรกในประเทศสหรฐั อเมริกาท่นี ครลอสแองเจลสิ รฐั แคลฟิ อเนีย ช่ือว่า วดั ไทย ลอสแองเจลสิ ปจั จบุ นั มวี ดั ไทยในสหรฐั อเมริกาประมาณ ๑๕ วดั นอกจากนนั้ ไดม้ อี งคก์ ารเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในต่างประเทศ และมสี มชั ชาสงฆใ์ นสหรฐั อเมริกาไดจ้ ดั ให้ มกี ารอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศข้นึ ประจาํ ทุกปีโดยมหาเถรสมาคมไดม้ อบใหม้ หาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั เป็นผูด้ าํ เนินการอบรม เพอ่ื ส่งไปเผยแผ่พทุ ธศาสนาในต่างประเทศปจั จุบนั น้ีมชี าวต่างประเทศไดห้ นั มา สนใจพทุ ธศาสนากนั เป็นจาํ นวนมาก ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ไดม้ กี ารจดั ตง้ั สาํ นกั งานองคก์ ารพทุ ธศาสนิกสมั พนั ธแ์ ห่งโลกข้นึ ณ ประเทศไทย (พ.ส.ล.) เพอ่ื เป็นศูนยก์ ลางของชาวพทุ ธทวั่ โลก ๘.๔.๓ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่มี ตี อ่ ในประเทศไทยดา้ นสงั คม ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม พระพทุ ธศาสนาเป็นรากฐานของวฒั นธรรมไทย วิถชี ีวติ ของคนไทยไดเ้ ก่ยี วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนาตงั้ เกิด จนตาย และหลกั คาํ สอนของพระพทุ ธศาสนามสี ่วนในการขดั เกลาอุปนิสยั ของคนไทย ทาํ ใหค้ นไทยรกั ความสงบ มี ความเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ มเี มตตาอารียต์ ่อกนั และดว้ ยเหตุท่พี ระพุทธศาสนาอยู่คู่กบั ชาติไทยมานานจึงมีอิทธิพลต่อ สงั คมไทยเกอื บทกุ ดา้ น ดา้ นภาษา ภาษาไทย ส่วนใหญ่มรี ากฐานมาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตซ่งึ เป็นภาษาท่ไี ดร้ บั อทิ ธิพลมาจาก พระพทุ ธศาสนา เน่ืองจากพระพทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทใชภ้ าษาบาลี ส่วนพระพทุ ธศาสนามหายานใชภ้ าษาสนั สกฤต เป็นหลกั เมอ่ื คนไทยนบั ถือพระพทุ ธศาสนากร็ บั เอาวฒั นธรรมดา้ นภาษาดว้ ยภาษาท่ใี ชก้ นั อยู่ในปจั จุบนั ทง้ั ช่ือคน ช่ือสถานท่ีและช่ือเรียกส่ิงต่างๆ ลว้ นมรี ากศพั ทภ์ าษาบาลแี ทบทงั้ ส้ิน เช่นคาํ ว่า โทรศพั ท์ โทรทศั น์ มหาวิทยาลัย ธนาคาร เกษตรกรรม รฐั บาล อดิศกั ด์ิ ศุภลกั ษณ์ วราพรรณ ธารินทรท์ ศั นศึกษาวิถี เป็นตน้ และไดก้ ลายเป็น ภาษาไทยจนคนไทยเขา้ ใจว่าเป็นภาษาไทยดงั้ เดมิ ดา้ นวรรณกรรม วรรณคดีไทยก็ไดร้ บั อิทธิพลจากพระพทุ ธศาสนาและคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนายงั เป็นท่มี า แหลง่ ใหญ่ของบทประพนั ธแ์ ละกวนี ิพนธต์ ่างๆ ลว้ นไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากพระพทุ ธศาสนาทง้ั โดยตรงและโดยออ้ ม

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๖๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ดา้ นศิลปกรรม ไทยไดร้ บั ความสนใจจากชาวต่างชาติว่าเป็นเมอื งท่มี ศี ิลปะงดงามยากท่จี ะหาชาติใดเหมอื น ศิลปะท่ปี รากฏลว้ นแต่มคี วามประณีตสวยสดงดงามตรงึ ตาตรึงใจแก่ผูพ้ บเห็น ซ่งึ ศิลปกรรมเหล่านน้ั ไดร้ บั อิทธพิ ลมา จากพระพทุ ธศาสนาเช่นวดั วาอารามต่างๆ สวยสดงดงาม ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ทง่ี ดงาม ละเอยี ดอ่อนเขยี นเร่อื งราวใน พระพทุ ธศาสนา และชาดกต่างๆ นอกจากนน้ั ศิลปะทางดนตรกี เ็ น่ืองอยู่ดว้ ยกนั กบั พระพทุ ธศาสนาวดั เป็นแหลง่ กาํ เนิด และอนุรกั ษศ์ ิลปะดนตรี ดว้ ยวดั เป็นศูนยก์ ลางชุมชนจึงเป็นแหลง่ กาํ เนิดหรือปรากฏตวั ของดนตรีในโอกาสงานต่างๆ ทงั้ งานมงคลและอวมงคล ดา้ นการศึกษา การศึกษาของไทยในอดีตมวี ดั เป็นศูนยก์ ลางในการใหก้ ารศึกษา มพี ระภกิ ษุเป็นครูสอน วชิ าการความรูต้ ่างๆ แก่ประชาชน ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ทรงจดั การศึกษาแบบใหมข่ ้นึ ในหวั เมอื งโปรดใหพ้ ระสงฆเ์ ป็น ครูสอน และถอื ว่าคนท่ผี ่านการบวชเรียนมาแลว้ เป็นผูท้ ม่ี คี วามรูจ้ ึงกาํ หนดใหค้ นท่จี ะเขา้ รบั ราชการตอ้ งผ่านการบวช เรียนมาก่อน จึงเกิดประเพณีบวชเรยี นข้นึ และเมอ่ื รฐั ไดน้ าํ เอาระบบการศึกษาแบบใหมเ่ ขา้ มา ทาํ ใหบ้ ทบาทของวดั ท่ี เคยเป็นศูนยก์ ลางลดนอ้ ยลงแต่พระสงฆก์ ็ยงั มสี ่วนในการจดั การศึกษาชุมชน เช่นเป็นผูอ้ ปุ ถมั ภโ์ รงเรยี นยกท่วี ดั ให้ ตงั้ เป็นโรงเรยี น จงึ มโี รงเรยี นทต่ี งั้ ข้นึ ในวดั มากมาย แมโ้ รงเรยี นสาํ หรบั ประชาชนแห่งแรกกต็ ง้ั ในวดั คือโรงเรียนวดั ม หรรณพาราม กรุงเทพมหานคร ดา้ นสงั คมสงเคราะห์ วดั เป็นสถานสงเคราะหป์ ระชาชนตง้ั แต่อดีตจนถึงปจั จุบนั ดงั จะเห็นว่า วดั เป็น ศูนยก์ ลางชุมชน ใหก้ ารสงเคราะหแ์ ก่ชมุ ชนเช่น เป็นทป่ี รึกษาปญั หาชีวติ สาํ หรบั คนมปี ญั หาทางดา้ นจิตใจมพี ระเป็น จิตแพทย์ เป็นสถานพยาบาล แก่ผูป้ ่วยไข้ แมป้ จั จุบนั วดั หลายแห่งกลายเป็นท่พี ่งึ พงิ ทง้ั ทางกายและทางใจของคนผู้ ตดิ เช้ือเอดสว์ ดั เป็นศาลไกล่เกลย่ี ขอ้ พิพาทของชาวบา้ น วดั เป็นสถานบนั เทิงร่นื เริงต่างๆ ของชุมชน เมอ่ื มปี ระเพณี ต่างๆและท่สี าํ คญั วดั เป็นสถานสงเคราะหท์ ่สี าํ คญั ทางดา้ นจิตใจแก่ประชาชนทุกระดบั เพราะพระพุทธศาสนาเป็น ประดุจขมุ ทรพั ยท์ ่ที รงคุณค่ามหาศาลเป็นท่พี ง่ึ แก่คนตงั้ แต่ระดบั ทต่ี อ้ งการความสุขใจสงบใจจากพธิ กี รรมความเช่ือ จนถงึ ผูท้ ต่ี อ้ งการหลกั ธรรมแก่นแทข้ องพระพทุ ธศาสนา ดา้ นพิธีกรรม พระพุทธศาสนาเป็นแหล่งกาํ เนิดพิธีกรรมและวนั สาํ คญั ต่างๆพิธีกรรมส่วนใหญ่ของไทย ไดม้ าจากความเช่ือเก่ียวกบั พระพุทธศาสนาเช่นพิธลี อยกระทง พธิ ีทาํ บุญวนั สารทไทย พธิ ีสงกรานต์ วนั มาฆบูชา วนั วสิ าขบชู า วนั อาสาฬบูชา วนั เขา้ พรรษา ออกพรรษา ๘.๔.๔ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทท่มี ีต่อในประเทศไทยดา้ นเศรษฐกจิ พระพุทธศาสนามีหลกั คาํ สอนท่เี ก่ียวกบั เศรษฐกิจเป็นจาํ นวนมากโดยไดช้ ้ีแนะวิธีการการดาํ รงชีพอย่าง ถูกตอ้ งและนาํ มาซ่งึ ความสุขทง้ั แก่บุคคลและสงั คม นอกจากน้ีพระพทุ ธศาสนายงั ไดส้ อนหลกั การดาํ เนินชีวติ ดว้ ย สมั มาอาชวี ะไดแ้ ก่การประกอบการงานอาชพี ทส่ี ุจรติ และหลกั ธรรมท่ที าํ ใหป้ ระสบความสาํ เรจ็ ในกจิ กรรมต่างๆ ไดแ้ ก่ ๑) การรูป้ ระมาณในการบริโภค ใชจ้ ่าย ไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย (โภชเนมตั ตญั ํุตา)คือใหด้ าํ รงตนแบบ พอเพียง ซ่งึ เป็นคาํ สอนท่ีมอี ิทธิพลต่อความคิดความเช่ือของประชาชนมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงในภาวะเศรษฐกิจ ถดถอย ๒) หลกั ทจ่ี ะทาํ ใหก้ ารทาํ งานประสบความสาํ เรจ็ ไดแ้ ก่ ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะประโยชนห์ รอื หวั ใจเศรษฐี ไดแ้ ก่ -อฏุ ฐานสมั ปทา ความขยนั หมนั่ เพยี รในการทาํ งาน

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๖๙  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ -อารกั ขสมั ปทา การประหยดั อดออมทรพั ยท์ ่ไี ดม้ า โดยใชจ้ ่ายเท่าทจ่ี าํ เป็น -กลั ยาณมติ ตตา การรูจ้ กั คบคนดี ไมค่ บคนชวั่ -สมชวี ติ า การรูจ้ กั สภาพทางเศรษฐกจิ รูฐ้ านะทางการเงนิ ของตน การใชจ้ ่ายแต่พอดี นอกจากน้ี พระพทุ ธศาสนาไดม้ บี ทบาทในการแกไ้ ขปญั หาแก่ประชาชนในยามท่เี กิดวกิ ฤตทางเศรษฐกิจดงั จะเห็นว่าประเทศไทยของเราไดป้ ระสบปญั หาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่ก็ยงั อยู่กนั อย่างสงบสุขคนท่ีเคยทาํ งาน ตาํ แหน่งหนา้ ทด่ี ๆี เมอ่ื ตกงานกท็ าํ ใจได้ และพรอ้ มทจ่ี ะทาํ อาชีพอ่นื แมจ้ ะเป็นอาชีพทม่ี รี ายไดน้ อ้ ย ไม่มเี กียรตกิ ต็ าม ไมก่ ่อความวุ่นวายสรา้ งความเดือดรอ้ นใหก้ บั บา้ นเมอื งพยายามหาทางออกอย่างถูกตอ้ งท่เี ป็นเช่นน้ีกเ็ พราะว่าประเทศ ไทยเรามพี ้นื ฐานดี อนั ไดแ้ ก่พ้นื ฐานทางสงั คมและวฒั นธรรมดี หรอื ท่บี างท่านเรียกว่าทนุ ทางสงั คม อนั ไดแ้ ก่มฐี าน ทางเศรษฐกจิ ทม่ี นั่ คงโดยเฉพาะการเกษตร ฐานทางทรพั ยากรธรรมชาตกิ ็มนั่ คง เรามที รพั ยากรของประเทศมากมาย มดี ินดี นาํ้ ดี เหมาะแก่การเพาะปลูก และยงั มฐี านทางวฒั นธรรมแข่งแกร่ง คือเรามพี ระพุทธศาสนาเป็นวฒั นธรรม ทางดา้ นจิตใจสามารถแกป้ ญั หาในยามวิกฤตได้ วฒั นธรรมแบบพุทธไดโ้ อบอุม้ สงั คมไทยใหส้ งบร่มเย็นไดด้ ว้ ย องคป์ ระกอบ ๒ ประการ คือ ๑) องคก์ รทางพุทธศาสนาเป็นท่ีพ่ึงของสงั คมในยามวิกฤตปจั จุบนั วดั หลายแห่งเป็นศูนยก์ ลางในการ ช่วยเหลอื ชาวบา้ นดว้ ยการใชว้ ดั เป็นสถานสงเคราะห์ ฝึกอาชีพ และกิจกรรมต่างๆ แก่ผูต้ กงานเป็นทพ่ี ง่ึ สาํ หรบั ผูต้ ก งาน เป็นสนามกฬี าสาํ หรบั เยาวชน (ในโครงการลานวดั ลานใจ ลานกฬี า ) โดยมพี ระสงฆเ์ ป็นผูน้ าํ ๒) หลกั ธรรมทางพทุ ธศาสนาสามารถประยุกตใ์ ชก้ บั สถานการณป์ จั จุบนั ไดอ้ ย่างเหมาะสมมอี ิทธิพลต่อวิถี ชวี ติ ของคนไทยทาํ ใหไ้ มเ่ กดิ ความวุ่นวายในสงั คม หลกั ธรรมเหลา่ นน้ั ไดแ้ ก่ - ความเมตตาปราณี เอ้อื เฟ้ือเผอ่ื แผ่ต่อเพอ่ื นมนุษยด์ ว้ ยกนั มกี ารช่วยเหลอื คนตกงานดว้ ยวธิ ีการต่างๆ เช่นช่วยจดั หางานให้ จดั โรงทานอาหารฟรีและใหก้ าํ ลงั ใจในการต่อสูช้ ีวิตทง้ั จากการแนะนําของผูใ้ กลช้ ิดและจาก สอ่ื มวลชนต่างๆ - การใหอ้ ภยั และโอนอ่อนผ่อนตาม เม่อื มปี ญั หาเกิดข้นึ เช่นปญั หาระหว่างลูกจา้ งกบั นายจา้ งหรือ ระหว่างหน่วยงานเอกชนกบั รฐั ทต่ี อ้ งปิดกจิ การ กไ็ มม่ เี หตกุ ารณร์ ุนแรงเกดิ ข้นึ ดว้ ยการถอ้ ยทถี อ้ ยอาศยั กนั - ความสนั โดษ แมจ้ ะถกู ออกจากงานทท่ี าํ ก็ยนิ ดี เตม็ ใจท่จี ะทาํ งานอ่นื แมจ้ ะมรี ายไดน้ อ้ ยกว่ากย็ นิ ดที าํ เคยเป็นผูจ้ ดั การบรษิ ทั มาก่อน แต่มาขบั รถแทรกซก่ี ท็ าํ ไดเ้คยเป็นพนกั งานธนาคารแลว้ มาขายกลว้ ยทอดกท็ าํ ไดก้ ารรู้ ประมาณในการใชจ้ ่าย มงุ่ ใหป้ ระหยดั ทาํ ใหเ้กดิ เศรษฐกจิ แบบพอเพยี ง - ความสมานสามคั คีความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของประชาชนในชาติในอนั ท่จี ะพรอ้ มใจกนั กอบกู้ เศรษฐกิจใหก้ ลบั มาอยู่ดีกินดีแมจ้ ะเสยี สละเงนิ ทองบริจาคช่วยชาตกิ ็เต็มใจท่จี ะบริจาคดงั ท่กี ลา่ วมาจะเหน็ ว่าพุทธ ศาสนามบี ทบาทต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมากมายทง้ั ในอดีต และปจั จบุ นั แมว้ ่าพทุ ธศาสนาไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปมบี าท ในทางเศรษฐกจิ โดยตรงแต่กม็ บี ทบาทและอทิ ธใิ นทางออ้ ม โดยเฉพาะทางดา้ นจติ ใจ อนั เป็นพ้นื ฐานสาํ คญั ๘.๔.๕ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาททม่ี ีตอ่ ในประเทศไทยในดา้ นการเมือง พระพทุ ธศาสนามอี ทิ ธิพลต่อการเมอื งการปกครองอย่างมากโดยเฉพาะในอดีต สมยั ท่มี กี ารปกครองแบบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชอนั มพี ระมหากษตั รยิ เ์ ป็นผูท้ รงใชอ้ าํ นาจในการปกครองบา้ นเมอื งโดยเดด็ ขาดแต่ดว้ ยทรงมนั่ คง

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๗๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ต่อหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ทรงปกครองบา้ นเมอื งโดยธรรมทรงประกอบดว้ ยทศพิธราชธรรม ทรงสนพระทยั ในการทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาและทรงเป็นพทุ ธนามกะ จงึ สามารถใชธ้ รรมะปกครองอย่างสงบร่มเยน็ ในบางคราว ท่บี า้ นเมอื งตกอยู่ในภาวะสงคราม พระพุทธศาสนากเ็ ขา้ มามบี ทบาทในการกูช้ าติบา้ นเมอื งเช่นใชว้ ดั เป็นท่ฝี ึกอาวุธ ทหาร มพี ระสงฆเ์ ป็นผูใ้ หข้ วญั และกาํ ลงั ใจแก่ทหารและชาวบา้ นก่อนออกศึกดงั กรณีชาวบา้ นบางระจนั ไดร้ บั ขวญั และกาํ ลงั ใจจากหลวงพ่อธรรมโชติ สามารถเอาชนะขา้ ศึกไดป้ จั จุบนั การปกครองระบอบประชาธิปไตย อนั มี พระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมขุ และทรงเป็นพทุ ธนามกะ ทรงมพี ระราชศรทั ธาในบวรพทุ ธศาสนาอย่างแรงกลา้ ทรงเป็น แบบอย่างท่ดี ีแก่ประชาชน ทรงเป็นทเ่ี คารพสกั การะของประชาชนชาวไทยพระองคท์ รงใชห้ ลกั ธรรมทางพุทธศาสนา มาปฏบิ ตั ิและเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนชาวไทย ยามท่บี า้ นเมอื งประสบปญั หาภาวะวิกฤตก็ทรงเป็นห่วงบา้ นเมอื ง ดงั เช่นเกดิ ภาวะเศรษฐกจิ ตกตาํ่ ทรงแนะนาํ ใหป้ ระชาชนหนั มาปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมทางพทุ ธศาสนาดว้ ยการมชี วี ติ อยู่ อย่างพอดี เศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายพระสงฆเ์ ป็นส่อื กลางระหว่างรฐั กบั ประชาชน เน่ืองจาก พระสงฆเ์ ป็นผูท้ อ่ี ยู่ใกลช้ ดิ กบั ประชาชนเป็นท่เี ช่อื ถอื ของประชาชน ดงั นนั้ วดั จึงเป็นศูนยก์ ลางระหว่างประชาชนกบั รฐั เมอ่ื มกี จิ การต่างๆ ของรฐั เช่นการประชุม การเลอื กตง้ั ก็ใชว้ ดั เป็นสถานทร่ี าชการชวั่ คราวและพระสงฆย์ งั เป็นสอ่ื ใน การสรา้ งความเขา้ ในเร่ืองการปกครองแก่ประชาชนเช่นการเผยแพร่ข่าวสารเร่ืองประชาธิปไตยแก่ประชาชน เร่ือง รฐั ธรรมนูญในโอกาสต่างๆ เช่นในการเทศนาสงั่ สอนมกั จะสอดแทรกความรูท้ างการเมอื งการปกครองแก่ประชาชน ดว้ ย ๘.๕ อทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศลาว ๘.๕.๑ ขอ้ มลู พ้นื ฐานของประเทศลาว นครหลวงเวียงจนั ทน์ (ลาว : ,ນະຄອນຫຼ ວງວຽງຈັ ນ นะ คอนหลวงเวยี งจนั ) เป็นนครหลวงของประเทศลาว และเป็น เขตท่ีตงั้ ของกรุงเวียงจนั ทน์ ซ่ึงเป็นทง้ั เมืองหลวงของลาว และเมืองเอกของเขตการปกครองดงั กล่าว ต้งั อยู่ทาง ตอนกลางของประเทศ มีเขตติดต่อกบั หนองคายของ ประเทศไทย เช่ือมต่อคมนาคมดว้ ยสะพานมติ รภาพ ไทย- ลาว แห่งท่ี ๑ นครหลวงเวียงจนั ทน์เป็นเขตปกครองท่ีมี ความเจริญของเมืองมากท่ีสุดในบรรดาเขตการปกครอง ระดบั บนสุด ๑๗ แห่งของประเทศลาว ก่อตงั้ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยแยกออกมาจากแขวงเวยี งจนั ทน์ เดิมช่อื ‚กาํ แพงนครเวยี งจนั ทน‛์ ( )ກຳແພງນະຄອນວຽງຈັ ນ ก่อนจะ เปลย่ี นช่อื เป็น ‚นครหลวงเวียงจนั ทน‛์ ประเทศสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว มพี ้นื ท่ี ๒๓๖,๘๐๐ ตาราง กโิ ลเมตร (ประมาณครง่ึ หน่ึงของประเทศไทย) มเี มอื งหลวง คือนครหลวงเวยี งจนั ทนม์ ปี ระชากรประมาณ๕.๖ลา้ นคน (ปี ๒๕๔๘) ประกอบดว้ ยลาวลุ่มรอ้ ยละ ๖๘ ลาวเทิงรอ้ ยละ ๒๒ ลาวสูงรอ้ ยละ ๙ รวมประมาณ ๖๘ ชนเผ่า ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศรอ้ ยละ ๗๕ นบั ถอื ศาสนาพทุ ธ รอ้ ยละ ๑๖-๑๗ นบั ถอื ผี ท่เี หลอื นบั ถอื ศาสนาครสิ ต์

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๗๑  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน) และอสิ ลาม (ประมาณ ๓๐๐คน) โดยมภี าษาลาวเป็นภาษาราชการมรี ูปแบบการปกครอง คือระบอบสงั คมนิยมคอมมิวนิสตโ์ ดยพรรคการเมอื งเดียว คือพรรคประชาชนปฏวิ ตั ิลาวซ่งึ เป็นองคก์ รท่มี อี าํ นาจ สูงสุดตง้ั แต่ลาวเร่มิ ปกครองในระบอบสงั คมนิยม เมอ่ื วนั ท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๑๘ โดยแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๖ แขวง และ ๑ เขตปกครองพเิ ศษ (นครหลวงเวยี งจนั ทน)์ แขวงท่สี าํ คญั ไดแ้ ก่เวยี งจนั ทน์ สะหวนั นะเขต หลวงพระ บาง จาํ ปาสกั คาํ มว่ นโดยถอื วนั ท่ี ๒ ธนั วาคมของทกุ ปีเป็นวนั ชาติ เวียงจนั ทน์ หรือ เวียนเทียน (Vientiane) ในสาํ เนียงชาวตะวนั ตก เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว และเป็นศูนยก์ ลางความเจริญทง้ั หมดของประเทศ ณ ปจั จุบนั มคี วามเปล่ยี นแปลง ค่อนขา้ งชดั เจน ตกึ ใหญ่ๆ ในอดตี ไดร้ บั การปรบั ปรุง ดูแลรกั ษา และก่อสรา้ งเพ่มิ เติม บา้ นเรือนสวยงามหลงั ใหญ่ใน รูปแบบสไตลส์ เปนมใี หเ้หน็ หลากหลายควบคู่กบั สถาปตั ยกรรมแบบชิโน-โปรตกุ ิส (Sino-Portuguese) ถนนหนทาง เร่ิมมกี ารขยายและตดั ใหม่เพ่มิ เติม มรี ะบบสาธารณูปโภคพ้นื ฐานท่ีอาํ นวยความสะดวกเพ่ิมมากข้นึ แต่ก็ยงั คงไว้ ดว้ ยวถิ ชี วี ติ ขนบธรรมเนียมประเพณีอนั ดงี ามตลอดจนธรรมชาตแิ ละความเป็นเมอื งทเ่ี งยี บสงบ อนั เป็นเสน่หท์ เ่ี รยี บ งา่ ยของเวยี งจนั ทน๑์ ๙ ศูนยก์ ลางการคา้ อญั มณีและเคร่ืองประดับเวียงจนั ทน์ มนตเ์ สน่หข์ องประเทศลาวอาจมิใช่เพียง ศิลปะวฒั นธรรม ประเพณีแบบดง้ั เดมิ หากแต่การแต่งกายยงั บง่ บอกถงึ เอกลกั ษณท์ ส่ี าํ คญั ของลาว ท่มี รี ายละเอียด สะทอ้ นถงึ วถิ ชี ีวติ ของชาวลาวโบราณแห่งลุ่มแมน่ าํ้ โขงไดเ้ป็นอย่างดี ซ่ึงผูห้ ญิงส่วนใหญ่ยงั คงยดึ รูปแบบการสวมใส่ ผา้ ซน่ิ และเครอ่ื งประดบั เงนิ อย่างเขม็ ขดั สรอ้ ยคอ กาํ ไล ต่างหู เขา้ ชดุ กนั ไดอ้ ยา่ งงดงาม ตลาดเชา้ ถือเป็นศูนย์กลางการคา้ อญั มณีและเคร่ืองประดบั ของเวียงจนั ทน์มากว่า ๒๐ ปี รูปแบบ เคร่ืองประดบั ท่วี างขายในตลาดเชา้ ส่วนใหญ่ เป็นเคร่ืองประดบั ทอง เคร่ืองประดบั เงนิ เคร่ืองประดบั เพชร และ เคร่อื งประดบั พลอย รวมทงั้ พลอยร่วง เงนิ แท่ง และแผ่นทองคาํ ๙๙% ท่นี ิยมนาํ มาสลกั ช่อื กนั ชาวลาวนิยมสวมใส่ เครอ่ื งประดบั ต่างๆ ตามแต่โอกาสทเ่ี หมาะสม ส่วนใหญ่นิยมสวมใส่เคร่อื งประดบั เงนิ ในชีวติ ประจาํ วนั เน่ืองจากเป็น เคร่อื งประดบั ท่เี หมาะกบั ชุดแต่งกายประจาํ ชาติลาวเป็นอย่างมาก รองลงมาคือ เคร่อื งประดบั ทองคาํ ๒๔ กะรตั ซ่งึ นิยมทงั้ เพ่อื สวมใส่ในชีวิตประจาํ วนั และเพ่อื การออม ส่วนในโอกาสร่วมงานสงั สรรคต์ ่างๆ ชาวลาวจะนิยมสวมใส่ เครอ่ื งประดบั อญั มณี โดยเฉพาะเครอ่ื งประดบั เพชร โดยวตั ถดุ บิ ทใ่ี ชผ้ ลติ เคร่อื งประดบั เช่น ทองคาํ เงนิ เพชร และ พลอยบางส่วนมาจากภายในประเทศลาว และบางส่วนนาํ เขา้ ทงั้ จากไทย สวติ เซอรแ์ ลนด์ เบลเยยี ม และ รสั เซยี เป็น ตน้ บรรยากาศรา้ นคา้ อญั มณีในตลาดเชา้ เคร่ืองประดบั ทองคาํ ส่วนใหญ่เป็นทองคาํ ๙๘-๙๙ เปอรเ์ ซ็นต์ ออกสีเหลอื งอมสม้ งดงามอร่ามตา มลี วดลายท่โี ดดเด่นเป็นเอกลกั ษณ์ มคี วามประณีตสวยงาม ดงั รูปแบบดงั้ เดิม ของเวยี งจนั ทนท์ เ่ี รยี กว่า ลายเมอื งหลวง ซง่ึ ชาวเวยี งจนั ทนถ์ อื ว่าเป็นลายของเจา้ มหาชวี ติ หรอื พระเจา้ แผ่นดินของ ลาวนนั่ เอง ราคาขายเคร่ืองประดบั ทองคาํ จะอยู่ทบ่ี าทละประมาณ ๓,๑๘๐,๐๐๐ กีบ หรือคิดเป็นเงนิ ไทย ๑๑,๕๐๐ บาท โดยทองคาํ ทใ่ี ชน้ าํ มาข้นึ รูปเป็นเคร่อื งประดบั สว่ นใหญ่ผูป้ ระกอบการจะตอ้ งซ้อื จากธนาคารแหง่ ชาตลิ าวเทา่ นน้ั ๑๙ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๗๗-๔๘๙.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๗๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ชุดเคร่ืองประดบั ทองคาลายเมืองหลวง เคร่ืองประดบั เงนิ ส่วนใหญ่มรี ูปแบบเป็นเคร่ืองประดบั เงนิ ลว้ น ประกอบดว้ ยเน้ือเงนิ ๙๒.๕ เปอรเ์ ซน็ ต์ มลี วดลายงดงามแบบลาวแท้ อาทิ ลายเมอื งหลวง ลายฉลุ และบางช้นิ งาน อาจมีการลงยา หรือประดบั ดว้ ยมารค์ าไซต์ (Marcasite) โดยเคร่ืองประดบั เงินส่วนใหญ่ท่ีชาวลาวนิยม คือ สรอ้ ยคอ กาํ ไลขอ้ มอื เขม็ ขดั และต่างหู ซง่ึ ราคาของเครอ่ื งประดบั เงนิ จะคดิ ตามจาํ นวนนาํ้ หนกั เป็นกรมั ราคากรมั ละ ประมาณ ๒๕-๓๐ บาท แต่เคร่อื งประดบั เงนิ บางช้ิน อาทิ กาํ ไลขอ้ มอื จะขายตามราคาท่ตี ง้ั ไวเ้ฉพาะข้นึ อยู่กบั แต่ละ รา้ น ทงั้ น้ีผูป้ ระกอบการชาวลาวจะตอ้ งซ้อื เงนิ แทง่ ทจ่ี ะนาํ มาทาํ เป็นเครอ่ื งประดบั เงนิ จากธนาคารแห่งชาตลิ าวเช่นกนั เคร่ืองประดบั เพชร มีการออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่ส่องประกายแวววาวเจิดจรัส ประเภทของ เคร่ืองประดบั เพชรส่วนมากมกั จะเป็นสรอ้ ยเพชร จ้ีเพชร และแหวนเพชรท่ีประดบั อยู่บนตวั เรือนทองคาํ หรือ ทองขาว ซ่ึงเพชรท่ีใชใ้ นการตกแต่งเคร่ืองประดบั ส่วนใหญ่จะนาํ เขา้ จากเบลเยียม ในขณะท่ีบางส่วนก็นําเขา้ จาก รสั เซีย เคร่ืองประดบั พลอย มีรูปแบบแตกต่างไปตามสไตลข์ องแต่ละรา้ น ทง้ั ท่ีเป็นชุดเคร่ืองประดบั และ เคร่ืองประดบั แฟชนั่ ซ่ึงวตั ถุดิบพลอยท่ีนาํ มาใชส้ ่วนใหญ่นาํ มาจากแหล่งพลอยเขตหว้ ยทราย แขวงบ่อแกว้ ใน ประเทศลาว อาทิ โกเมน ไพลนิ มรกต และนิล นอกจากน้ียงั นาํ เขา้ พลอยชนิดอ่นื เช่น บษุ ราคมั จากไทย ทบั ทมิ จาก พมา่ และพลอยชนิดอน่ื จากสวติ เซอรแ์ ลนด์ เป็นตน้ เพอ่ื มาเจยี ระไนและตกแต่งบนตวั เรอื นเครอ่ื งประดบั จากอารยธรรมลา้ นชา้ งจวบจนปจั จุบนั รูปแบบอญั มณีและเคร่ืองประดบั ลาวยงั คงไวซ้ ่ึงเอกลกั ษณ์ เฉพาะตวั ตามวิถชี ีวติ ดง้ั เดิม ดว้ ยการรงั สรรคช์ ้ินงานเคร่ืองประดบั ไดอ้ ย่างวิจิตรสวยงาม และยงั สะทอ้ นถึงความ เป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม และวฒั นธรรมของชาวลาวทส่ี บื ทอดต่อกนั มาไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ปจั จุบนั ลาวถือเป็นประเทศท่ีมแี หล่งทรพั ยากรธรรมชาติ ซ่ึงอุดมไปดว้ ยวตั ถุดิบพลอยสีและโลหะมีค่า จาํ นวนมหาศาล หากเพยี งแต่ยงั ไม่ไดม้ กี ารสาํ รวจและนาํ มาใชอ้ ย่างเต็มท่ี จึงอาจกล่าวไดว้ ่า ลาวมศี กั ยภาพทางดา้ น วตั ถดุ บิ อญั มณีและเคร่อื งประดบั เป็นอย่างมาก ซง่ึ จะเป็นโอกาสดีทไ่ี ทยจะใชป้ ระโยชนจ์ ากมติ รภาพความสมั พนั ธท์ ่ี กระชบั แนบแน่นระหว่างไทย-ลาว ในการสรา้ งความร่วมมอื ระหว่างกนั ดา้ นการใชว้ ตั ถุดิบพลอยสีจากลาว อาทิ โกเมน ไพลนิ มรกต และนิล โดยการแลกเปลย่ี นความรู้ ความสามารถในการออกแบบ และการผลติ สนิ คา้ อญั มณี และเคร่ืองประดบั ไทยใหแ้ ก่ผูป้ ระกอบการชาวลาว เพ่อื เป็นอีกหนทางหน่ึงท่มี ปี ระโยชนต์ ่อการพฒั นาและส่งเสริม อตุ สาหกรรม อญั มณีและเคร่อื งประดบั ไทยใหเ้ติบโตอย่างยงั่ ยนื ระบบเศรษฐกจิ ประเทศสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาวไดเ้ร่มิ ปฏริ ูปจากระบบเศรษฐกิจแบบสงั คม นิยมสู่ระบบเศรษฐกิจเสรีการตลาด ตามนโยบาย ‚จนิ ตนาการใหม่‛ เมอ่ื ปี ๒๕๒๙ สร สกลุ เงนิ ประเทศสาธาณะรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวใชส้ กุลเงนิ กบี เป็นสกลุ เงนิ ประจาํ ชาติ

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๗๓  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ หอพระแกว้ นครหลวงเวยี งจนั ทร์ พระธาตหุ ลวง นครหลวงเวยี งจนั ทร์ พระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศลาว มคี วามเก่าแก่ไม่นอ้ ยไปกว่าของไทย แต่พุทธศาสนาของลาวมี ความโดดเด่นและน่าสนใจในแงท่ ว่ี ่าสามารถปรบั ตวั ใหเ้ขา้ กบั สงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื งสมยั ใหมไ่ ดเ้ป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างย่งิ พุทธศาสนาแสดงบทบาทอย่างสาํ คญั ในการต่อสูก้ บั การครอบครองของจกั รวรรดินิยมญ่ีป่นุ ใน ยุคสงครามโลกครงั้ ทส่ี อง และจกั รวรรดนิ ิยมฝรงั่ เศสในยุคอาณานิคม และยงั สามารถปรบั ตวั ใหเ้ขา้ กบั ระบอบสงั คม นิยมในลาวยุคใหมไ่ ดเ้ป็นอยา่ งดอี กี ดว้ ย อาณาจกั รลาวกอ่ กาเนิดข้ึนประมาณครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๓ โดยในปี พ.ศ.๑๘๕๙ เจา้ ชายฟ้ างุม้ ประสูตแิ ละ ทรงเติบโตข้นึ ในพระราชวงั ของอาณาจกั รนครวตั อนั ย่งิ ใหญ่ พระองคอ์ ภเิ ษกสมรสกบั เจา้ หญิงแห่งอาณาจกั รขอม และกลายเป็นชาวพทุ ธเถรวาทผูเ้คร่งครดั ในปี พ.ศ. ๑๘๙๖ พระเจา้ ฟ้ างุม้ ทรงก่อตง้ั อาณาจกั รลา้ นชา้ งข้ึน โดยมี หลวงพระบางเป็ นเมืองหลวง แต่ก็ยงั เป็นรฐั บรรณาการของอาณาจกั รขอม ต่อมาเม่ือขอมเส่ือมลงลา้ นชา้ งจึง กลายเป็นอาณาจกั รอิสระ ลา้ นชา้ งซ่ึงเป็นราชอาณาจกั รในพทุ ธศาสนา ไดก้ ลายเป็นศูนยก์ ลางการศึกษาพุทธศาสนาท่สี าํ คญั พุทธ ศาสนาในลา้ นชา้ งมีเอกลกั ษณ์ของลาวโดยเฉพาะ โดยผสมผสานเขา้ กบั ลทั ธิ “วิญญาณนิยม” ของทอ้ งถ่ิน และ แนวคิดเร่ืองการแบ่งชนชนั้ ทางสงั คมจาก “จกั รวาลวิทยา” ของอินเดีย พระเจา้ แผ่นดินและขุนนางสมควรแก่การ เคารพ การเสยี ภาษใี ห้ และการรบั ใชจ้ ากพสกนิกร เน่ืองจาก “บุญ” ทส่ี งั่ สมมาจากชาติปางก่อน และจากการอปุ ถมั ภ์ คาํ้ จนุ พทุ ธศาสนา นอกจากน้ีความเช่อื ในเรอ่ื งนรกสวรรคแ์ ละภพภมู ติ ่างๆ กไ็ ดร้ บั อิทธพิ ลจาก หนังสอื “ไตรภมู ิพระ ร่วง” ของสุโขทยั ต่อมาอาณาจกั รลา้ นชา้ งเส่อื มลง เน่ืองจากการต่อสูแ้ ย่งชิงอาํ นาจกนั ภายใน การสงครามทง้ั กบั ไทยและ เวียดนาม และการยึดครองของพม่า หลงั จากท่ขี บั ไล่พม่าออกไปไดส้ าํ เร็จ พระเจา้ โสลิกนวงศ์ (King Souligna Vongsa) ทรงข้นึ ครองราชย์ (เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๑๘๐) และทรงยา้ ยเมอื งหลวงไปยงั เวยี งจนั ทร์ โดยทรงครองราชยอ์ ยู่ นานถงึ ๕๗ ปี พระองคท์ รงเจริญสมั พนั ธไมตรกี บั รฐั เพ่อื นบา้ น และทรงมชี ่อื เสยี งในดา้ นการปกครองทเ่ี ท่ยี งธรรม ชาวยุโรปกลมุ่ แรกทเ่ี ดนิ ทางมาถงึ เวยี งจนั ทน์ ไดร้ ายงานถงึ ความรุ่งเรอื งของนครและสง่ิ ก่อสรา้ งทางศาสนาอนั วจิ ติ ร ความเท่ยี งธรรมอนั น่าสรรเสริญของพระเจา้ โสลกิ นวงศ์ ไดก้ ่อใหเ้กิดโศกนาฏกรรมข้นึ แก่อาณาจกั รลา้ น ชา้ ง เมอ่ื พระโอรสเพยี งองคเ์ ดยี วของพระองค์ ตอ้ งโทษประหารชวี ติ ในความผดิ ฐานล่อลวงภรรยาของขนุ นางระดบั สูง

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๗๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ เมอ่ื พระเจา้ โสลกิ นวงศส์ ้นิ พระชนมใ์ นปี พ.ศ. ๒๒๓๗ จงึ ขาดรชั ทายาทสบื สนั ตตวิ งศ์ ทาํ ใหเ้กดิ ศึกแย่งชงิ ราชบลั ลงั ก์ ข้นึ โดยมเี วยี ดนามและไทยหนุนหลงั คนละฝ่าย อาณาจกั รลา้ นชา้ งจงึ แตกออกเป็นสองเสย่ี ง ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๘ เวยี งจนั ทน์ หลวงพระบาง และจมั ปาสกั ไดก้ ลายเป็ นศตั รูต่อกนั โดยเวยี งจนั ทน์ ไดร้ บั การสนบั สนุนจากเวยี ดนาม หลวงพระบางไดร้ บั การสนบั สนุนจากพมา่ ส่วน จมั ปาสกั ไดร้ บั การสนบั สนุนจาก ไทย แทนท่จี ะร่วมมือกนั ขบั ไล่อิทธิพลของต่างชาติ รฐั ลาวเหล่าน้ีกลบั สนบั สนุนต่างชาติใหเ้ ขา้ มาปราบคู่แข่งของ ตนเอง ในท่สี ุดพม่าสามารถขบั ไล่เวียดนามออกจากเวียงจนั ทนไ์ ด้ แต่สุดทา้ ยพม่าก็สูญเสียอาํ นาจทง้ั หมดในลาว ใหแ้ ก่ไทยในรชั สมยั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชหรือสมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี ผูท้ รงอญั เชิญพระแกว้ มรกตจาก เวยี งจนั ทนไ์ ปสู่ราชอาณาจกั รไทยในปี พ.ศ. ๒๓๒๑๒๐ ๘.๕.๒ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว เมอ่ื สมยั อาณาจกั รอา้ ยลาว เม่อื ประมาณ พ.ศ. ๖๑๒ ประเทศลาวก็ไดน้ บั ถอื พทุ ธศาสนาแบบมหายานมา ก่อน เมอ่ื ถูกจีนรุกราน จึงไดอ้ พยพมาอยู่ในเมอื งลา้ นชา้ งประมาณ พ.ศ. ๑๒๙๐ ก็กลบั มาเป็นนบั ถอื ผีสางเทวดา ดงั เดิมอีกต่อมาเม่อื เจา้ สุวรรณคาํ ผงข้นึ เสวยราชย์ เม่อื พ.ศ. ๑๘๙๕-๑๘๙๖ ทรงมีพระโอรส ๖ พระองค์ ใน ๖ พระองคน์ นั้ เจา้ ฟ้างมุ้ มลี กั ษณะผดิ แผกจากพระโอรสองคอ์ ่นื คือมฟี นั และล้นิ เป็นสดี าํ โหรทาํ นายว่าเป็นกาลกนิ ีจึงได้ นาํ ไปลอยแพ บงั เอิญแพไดม้ าถงึ เมอื งขอม (กมั พชู า) ไดร้ บั การเล้ยี งดูจากพระมหาปาสมนั ตเถระ ต่อมาไดเ้ ขา้ ถวาย ตวั เป็นมหาดเลก็ ในราชสาํ นกั ของพระเจา้ อนิ ทปตั ถ์ และไดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั พระธิดาของพระเจา้ อินทปตั ถ์ พระนามว่า พระนางแกว้ ยอดฟ้า (ฟ้าหญิงคาํ หยาด) ต่อมาบดิ าใหไ้ ปตีเมืองลา้ นชา้ ง และสามารถยึดเมอื งลา้ นชา้ งไดใ้ นปีพ.ศ. ๑๘๙๖ แลว้ ข้นึ ครองราชย์ เป็นกษตั ริยอ์ งคท์ ่ี ๒๓ ของราชวงศล์ า้ นชา้ งทรงพระนามว่า พระเจา้ ฟ้างมุ้ แหลง่ หลา้ ธรณี แผ่อาณาเขตออกไปอย่างกวา้ งขวางพระพทุ ธศาสนาไดเ้ ขา้ มาสู่อาณาจกั รลา้ นชา้ งในยุคน้ี กล่าวคือพระนางแกว้ ยอด ฟ้าพระมเหสผี ูท้ รงเคยนบั ถอื พระพุทธศาสนามาก่อนเม่อื ครง้ั อยู่ในเมืองขอมทรงเห็นประชาชนนบั ถือผสี างเทวดา และฆ่าสตั วบ์ ูชาเซ่นสรวงจึงไดท้ ูลขอใหพ้ ระเจา้ ฟ้างุม้ ไปอญั เชิญพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ในอาณาจกั รลา้ นชา้ งพระ เจา้ ฟ้างมุ้ ทรงเหน็ ดว้ ย จงึ ใหท้ ูตไป ทูลขอนิมนตพ์ ระสงฆเ์ ขมรเขา้ มาเผยแผ่ในประเทศลาวและพระนางยงั ไดข้ อรอ้ ง ทางเขมรไดจ้ ดั ส่งพระสงฆม์ าประกาศศาสนาแบบเถรวาทซ่งึ มพี ระมหาปาสามานเจา้ เป็นประมขุ เขา้ มาเผยแผ่ในลา้ น ชา้ ง พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ผยแผ่มาสู่ประเทศลาวและไดร้ บั การอุปถมั ภอ์ ย่างดีจากพระเจา้ ฟ้างมุ้ เน่ืองจากพระเจา้ ฟ้างุม้ เคยไดร้ บั อุปการะจากพระมหาปาสามานเถระเมอ่ื ครงั้ ทรงพระเยาวด์ ว้ ยพระมหาปาสามานเถระและคณะได้ เดนิ ทางออกจากเมอื งกมั พชู า เมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๙๐๒ ไปตามลาํ ดบั จนถงึ เมอื งแกพรอ้ มกบั นาํ เอาพระพุทธรูปปางหา้ ม ญาติ ช่อื พระบาง และพระไตรปิฎกไปดว้ ย เพอ่ื ทจ่ี ะถวายแก่พระเจา้ ฟ้างมุ้ เมอ่ื คณะสงฆเ์ ดินทางมาถงึ เวยี งจนั ทนเ์ จา้ เมอื งจนั ทนไ์ ดน้ ิมนตพ์ กั สมโภชพระบางอยู่ ๓ คืน ๓ วนั แลว้ คณะสงฆก์ เ็ ดินทางต่อไปยงั เวยี งคาํ อาราธนาพระเถระ ไปในเมอื ง ประชาชนไดม้ าสมโภชนพระบางกนั ๓ คืน ๓ วนั ครนั้ จะเดนิ ทางต่างปรากฏว่าพระพทุ ธรูปไม่สามารถ ยกไปไดจ้ ึงเส่ยี งทายว่าเทวดาอารกั ษค์ งปรารถนาจะใหพ้ ระบางอยู่ท่เี วยี งคาํ พระเถระและผูต้ ิดตามไดเ้ ดนิ ทางไปยงั ๒๐ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ และ เสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๘๙-๔๙๔..

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๗๕  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เมอื งเชยี งทอง ครง้ั ถงึ เชยี งทองไดเ้ขา้ เฝ้าพระเจา้ ฟ้างมุ้ และพระมเหสพี ระเถระและคณะจงึ ไดเ้ ผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ในลาวจนเจรญิ รุ่งเรอื งประดิษฐานมนั่ คงสบื มา๒๑ สมยั ของพระเจา้ ฟ้างุม้ นนั้ เต็มไปดว้ ยศึกสงคราม ทาํ ใหช้ าวลาวท่มี นี ิสยั รกั สงบเกิดความเบอ่ื หน่ายจนใน ทส่ี ุดพรอ้ มใจกนั ขบั พระเจา้ ฟ้างมุ้ ออกจากราชสมบตั ิ และอภเิ ษกพระราชโอรสทรงพระนามว่า “พญาสามแสนไท” ข้นึ เป็นพระเจา้ แผ่นดิน และพระองค์ทรงอภิเษกกบั เจา้ หญิงแห่งอาณาจกั รกรุงศรีอยุธยาซ่ึงทาํ ใหม้ ีการจดั ระเบียบ บา้ นเมอื งตามแบบแผนวิธีการท่ไี ดร้ บั จากประเทศไทยเป็นอนั มากในดา้ นการพระพทุ ธศาสนา พญาสามแสนไท ทรง ทาํ นุบาํ รุงพระพุทธศาสนาใหเ้จริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากเช่นทรงสรา้ งวดั มโนรมย์ วดั อุโบสถ หอสมดุ โรงเรียนปริยตั ิ ธรรม เป็นตน้ และทรงเจริญพระราชไตรีกบั ทางกรุงศรีอยุธยา ตลอดจนถงึ กมั พูชา เวยี ดนามซ่งึ ถือไดว้ ่าในสมยั น้ีเป็น สมยั แห่งการจดั สรรบา้ นเมอื ง และการสรา้ งความมนั่ คงเป็นปึกแผน่ อย่างมาก๒๒ สมยั พระเจา้ วชิ ลุ ราชาธิปตั (พ.ศ. ๒๐๔๔-๒๐๖๓) บา้ นเมอื งอยู่ในภาวะสงบกษตั ริยท์ รงเอาใจใส่ทาํ นุบาํ รุง พุทธศาสนา ไดส้ รา้ งวดั วาอารามต่างๆ เช่นสรา้ งวดั บรมมหาราชวงั เวียงทอง วดั วิชุลราช เพ่อื อญั เชิญพระบางจาก เวยี งคาํ มาประดิษฐานท่วี ดั น้ีต่อมาทรงสรา้ งวดั โพธ์ิสบ เพ่อื เป็นอนุสรณ์แก่พระราชธิดาท่ไี ดส้ วรรคตไปในรชั สมยั พระเจา้ โพธสิ ารราช (พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๐๙๐) พระองคเ์ ป็นผูเ้คร่งครดั ทางพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างยง่ิ ไดท้ รงมพี ระราช โองการใหพ้ ลเมอื งเลกิ นบั ถือผีสางเทวดา เลกิ ทรงเจา้ เขา้ ผีทวั่ พระราชอาณาจกั รทรงใหร้ ้ือศาลหลวง ศาลเจา้ ผีเส้ือ เมอื งทรงเมอื ง และใหห้ นั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาแทนทรงสรา้ งวดั สุวรรณเทวโลกแต่เน่ืองจากประเพณีการนบั ถอื ผี นนั้ มมี านานมากและไดฝ้ งั เขา้ ไปในจติ ใจของประชาชนทวั่ ไป จงึ ยากทจ่ี ะเลกิ อยา่ งเดด็ ขาดได้ ครนั้ ต่อมาทางอาณาจกั รลา้ นนาว่างกษตั ริยป์ กครอง จึงไดอ้ ญั เชิญเจา้ ไชยเชษโฐ หรือเชษฐวงั โส พระโอรส ของพระเจา้ โพธิสาร ไปครองนครลา้ นนา เมอ่ื ปีพ.ศ. ๒๐๘๙พระเจา้ โพธิสารเสดจ็ สวรรคตเม่อื พ.ศ. ๒๐๙๐ ดว้ ยถูก ชา้ งลม้ ทบั ขณะประพาสป่าทรงกลบั นครไดเ้พยี ง ๓ สปั ดาหก์ ็สวรรคต เมอ่ื สวรรคตแลว้ พระโอรสทงั้ หลายต่างแย่งชิง ราชสมบตั ิกนั อาณาจกั รลาวไดแ้ ตกเป็น ๒ ฝ่าย คือ อาณาจกั รฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้ พระเจา้ ไชยเชษโฐแห่งลา้ นนาจึง ยกทพั ตีกรุงลา้ นชา้ ง และไดอ้ ญั เชิญพระแกว้ มรกตท่ปี ระดิษฐานอยู่ท่วี ดั บุปผารามเชียงใหม่ รวมทงั้ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ (พระสิงค)์ และพระแกว้ ขาวไปดว้ ย เม่อื เสดจ็ ถงึ ลา้ นชา้ งทรงยดึ ราชสมบตั จิ ากเจา้ ครองนครทงั้ สองได้ ดว้ ยความเกรง กลวั ของเจา้ ครองนครทง้ั สองจึงทรงครองนครทงั้ สองซ่ึงเรียกว่า กรุงศรีสตั นาคตหตุ พระองคจ์ ึงข้นึ ครองราชสมบตั ิ นบั เป็นมหาราชองคท์ ่ี ๒ ของลาว ทท่ี รงพระปรชี าสามารถ ทรงพระนามว่า ‚พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช‛ พระพทุ ธศาสนาใน ยุคของพระเจา้ เชษฐาธิราช นบั ว่ามคี วามเจริญสูงสุดทรงไดส้ รา้ งวดั สาํ คญั มากมาย ในกาํ แพงเมืองมวี ดั อยู่ประมาณ ๑๒๐ วดั และยงั ไดส้ รา้ งวดั พระแกว้ ซง่ึ เป็นท่ปี ระดิษฐานของพระแกว้ มรกต ท่นี าํ มาจากเมอื งเชียงใหม่ ในสมยั น้ีไดม้ ี การแต่งวรรณกรรมหลายเร่ืองเช่น สงั สินชยั การเกต พระลกั พระราม เป็นตน้ สมยั น้ีราชอาณาจกั รไทยไดม้ ี ความสมั พนั ธล์ าวอยา่ งแน่นแฟ้นไดร้ ่วมมอื กนั เพอ่ื ต่อสูก้ บั เมยี นมา่ ร์ ไดส้ รา้ งเจดยี ์ “พระธาตุศรีสองรกั ” ในอาํ เภอด่าน ซา้ ย จงั หวดั เลย เพอ่ื เป็นอนุสรณ์ แหง่ ความเป็นพเ่ี ป็นนอ้ งกนั ของสองอาณาจกั ร ๒๑ คณาจารย์ มจร., ประวตั ิพระพทุ ธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘), หนา้ ๑๖๘-๑๖๙. ๒๒ เร่อื งเดยี วกนั .

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๗๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราชไดท้ รงยา้ ยเมอื งหลวงจากเมอื งเชียงคาํ มาอยู่ท่เี วียงจนั ทนไ์ ดป้ ระดิษฐานพระแกว้ มรกต และพระแซกคาํ (พระพุทธสิหิงค์ หรือพระสงิ ค)์ ไวท้ ่ีเวียงจนั ทน์ เรียกว่าเวียงจนั ทน์ลา้ นชา้ งส่วนพระบาง ประดิษฐานไวท้ ่เี มอื งเชยี งทองจงึ ไดช้ ่อื ว่าหลวงพระบางมาจนถงึ บดั น้ี บางครง้ั ก็เรยี กช่อื ว่าลา้ นชา้ งหลวงพระบางและ ไดส้ รา้ งวดั เป็นทป่ี ระดษิ ฐานพระแกว้ มรกตข้นึ เป็นพเิ ศษ พระองคไ์ ดท้ รงสรา้ งพระธาตุหลวงซ่งึ ถอื เป็นสถาปตั ยกรรม ช้นิ ยอดเยย่ี มของลาวเมอ่ื พ.ศ. ๒๑๐๙ ซง่ึ ต่อมาไดถ้ ูกพวกปลน้ จากยูนานทาํ ลายเสยี หายไปมากนอกจากพระองคจ์ ะ ไดท้ รงสรา้ งพระธาตอุ น่ื ๆ และพระพทุ ธรูปสาํ คญั ๆ อกี มากมายเช่น พระเจา้ องคต์ ้อื ทเ่ี วยี งจนั ทน์ พระเจา้ องคต์ ้อื ท่ี อาํ เภอท่าบ่อจงั หวดั หนองคาย พระสุก พระเสริม พระใส พระอินทรแ์ ปลง พระองคแ์ สน ทรงสรา้ งวดั พระธาตุท่ี จงั หวดั หนองคาย และพระธาตุท่ีจมนาํ้ โขงอยู่ พระธาตุบงั พวน อาํ เภอเมืองหนองคายสรา้ งวดั ศรีเมอื ง จงั หวดั หนองคาย และพระประธานในโบสถ์ นามว่า พระไชยเชษฐาพระศรีโคตรบูร ท่แี ขวงคาํ ม่วน พระธาตุอิรงั ท่แี ขวง สุวรรณเขต (สุวรรณเขต) พระธาตุศรีสองรกั อาํ เภอด่านซา้ ย จงั หวดั เลย และทรงปฏสิ งั ขรณพ์ ระธาตพุ นมเป็นตน้ พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช ทรงประคบั ประคองนําราชอาณาจกั รลา้ นชา้ งผ่านพน้ ภยั การเป็นเมืองข้นึ ของ เมยี นมา่ รไ์ ปไดต้ ลอดรชั สมยั ของพระองค์ แมว้ ่าในขณะน้ันอาณาจกั รลา้ นนา (เสยี แก่เมยี นมา่ ร์ พ.ศ. ๒๑๐๑) และ อาณาจกั รศรีอยุธยา (เสียแก่เมยี นม่าร์ พ.ศ. ๒๑๐๗) ตอ้ งตกเป็นเมอื งข้นึ ของเมียนม่ารแ์ ลว้ แต่หลงั จากพระองค์ สวรรคตในปี พ.ศ. ๒๑๑๔ พอมาถงึ พ.ศ. ๒๑๑๗-๒๑๑๘ พระเจา้ หงสาวดบี เุ รงนอง ไดย้ กทพั มาตีลาวและไดร้ บั ชยั ชนะและทรงนําโอรสองคเ์ ดียวของพระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช ซ่งึ ประสูติในปีท่ีสวรรคตไวเ้ ป็นประกนั ท่หี งสาวดีดว้ ย ต่อจากนน้ั มาหลายปีแผ่นดินลาวก็วุ่นวายดว้ ยเร่ืองราชสมบตั ิจนพ.ศ. ๒๑๓๔ พระเถระเจา้ อาวาสวดั ต่างๆ จึงได้ ประชมุ กนั ลงมตใิ หส้ ง่ ทตู ไปเชญิ เจา้ ชายหน่อแกว้ โกเมนซง่ึ เป็นตวั ประกนั อยู่ประเทศเมยี นม่ารก์ ลบั มาครองราชย์ และ ในเวลานน้ั พระเจา้ บุเรงนองสวรรคตลงเมยี นม่ารเ์ ร่ิมอ่อนแอลง และเจา้ หน่อแกว้ โกเมนข้นึ ครองราชยส์ มบตั ิ พ.ศ. ๒๑๓๕ และ ประกาศอสิ รภาพไมข่ ้นึ กบั เมยี นมา่ รต์ ่อไป พระเจา้ สุริยวงศาเป็นกษตั รยิ ท์ ม่ี คี วามปรชี าสามารถและเขม้ แขง็ สามารถปกครองใหล้ าวสงบเรยี บรอ้ ยได้ ในสมยั น้ีวฒั นธรรมรุ่งเรือง ศิลปกรรม ดนตรี ประติมากรรมต่างๆ เจริญแพร่หลายหลงั จากส้นิ ราชกาลของพระเจา้ สุรยิ วงศา ใน พ.ศ. ๒๒๓๕ อาณาจกั รลาวไดแ้ ตกเป็น ๒ อาณาจกั ร คือ เมอื งหลวงพระบาง กบั เมอื งเวียงจนั ทน์ ทงั้ ๒ อาณาจกั รต่างระแวงกนั และคอยหาโอกาสแย่งชิงอาํ นาจกนั จนถงึ กบั ไปผูกมติ รกบั ต่างประเทศเพอ่ื กาํ จดั กนั และกนั เช่น ฝ่ายหน่ึงเขา้ กบั เมยี นม่าร์ ฝ่ายหน่ึงเขา้ กบั ไทยหรอื ฝ่ายหน่ึงเขา้ กบั ไทยฝ่ายหน่ึงเขา้ กบั ญวน เป็นตน้ จน ในทส่ี ุดเมอ่ื ไทยสมยั พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ซง่ึ เป็นมติ รกบั หลวงพระบางกูเ้อกราชจากเมียนมา่ รไ์ ดแ้ ลว้ กย็ กทพั มาตี เวียงจนั ทน์ ซ่ึงเป็นพนั ธมิตรของเมียนม่ารเ์ ขา้ ยึดครองไดใ้ น พ.ศ. ๒๓๒๑ และไดน้ ําเอาพระแกว้ มรกตไปยงั อาณาจกั รไทยดว้ ย อาณาจกั รเวยี งจนั ทนไ์ ดส้ ลายตวั ลงเป็นดนิ แดนของไทยใน พ.ศ. ๒๓๗๑ ส่วนอาณาจกั รหลวง พระบาง ซ่งึ เป็นเมอื งออกของไทยไดส้ ่งทูตไปอ่อนนอ้ มและมอบบรรณาการแก่เวียดนาม พ.ศ. ๒๓๗๔ กลายเป็น ขอ้ อา้ งของฝรงั่ เศส ผูเ้ขา้ ยดึ ครองเวียดนามในสมยั ต่อมาท่จี ะเขา้ ครอบครองลาวต่อไปดว้ ยอาณาจกั รลาวไดต้ กเป็น อาณานิคมของฝรงั่ เศส โดยลาํ ดบั เร่มิ แต่ พ.ศ. ๒๔๓๖ จนหมดส้นิ ใน พ.ศ. ๒๔๔๗ ลาวถกู ฝรงั่ เศสครอบครองอยู่

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๗๗  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ๔๕ ปี จึงไดเ้อกราชกลบั คืนโดยสมบูรณ์ เม่อื วนั ท่ี ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒ มชี ่อื เป็นทางการว่า ‚พระราชอาณาจกั ร ลาว‛ ๒๓ พระพทุ ธรูปทส่ี าคญั ในประเทศลาว พระเจา้ องคต์ ้อื พระพุทธรูปองคน์ ้ี ไดก้ ่อสรา้ งมาแต่ดึกดาํ บรรพม์ ีพระ รูปงดงามน่าเล่อื มใส สรา้ งในสมยั พระเจา้ ไชยเชษฐาธิ ราชครองเมอื งเวียงจนั ทร์ พระสงฆใ์ นวดั ศรีชมภูองค์ ต้อื ไดป้ ระชมุ ปรกึ ษาหารือกนั ลงมติจะหล่อพระพุทธรูป องคน์ ้ีข้นึ ในบา้ นนาํ้ โมง (เดิมเรียกว่าบา้ นนาํ้ โหม่ง) เพ่ือ เป็นทเ่ี คารพสกั การะแก่อนุชนรุ่นหลงั ต่อๆ มา เมอ่ื ตกลง กนั แลว้ จึงไดช้ กั ชวนบรรดาพุทธศาสนิกชนทงั้ หลาย เพ่อื เร่ียไรทองเหลืองบา้ ง ทองแดงบา้ ง ตามแต่ผูท้ ่มี จี ิตศรทั ธา จากทอ้ งทอ่ี าํ เภอและจงั หวดั ใกลเ้คียง ไดท้ องหนกั ต้ือหน่ึง (มาตราโบราณภาคอีสานถอื ว่า ๑๐ ชงั่ เป็นหมน่ื ๑๐ หมน่ื เป็นแสน ๑๐ แสนเป็นลา้ น ๑๐ ลา้ นเป็นโกฏิ ๑๐ โกฏิเป็นหน่ึงกือ ๑๐ กือเป็น หน่ึงต้ือ) พระสงฆแ์ ละชาวบา้ นจึง พรอ้ มกนั หลอ่ เป็นส่วนๆ ในวนั สุดทา้ ยเป็นวนั หลอ่ ตอนพระเกศ ในตอนเชา้ ไดย้ กเบา้ เทแลว้ แต่ไมต่ ดิ เมอ่ื เอาเบา้ เขา้ เตาใหม่ ทองยงั ไมล่ ะลายดีกพ็ อดีเป็นเวลาจวนพระจะฉนั เพล พระทงั้ หมดจงึ ท้งิ เบา้ เขา้ เตาหรือท้งิ เบา้ ไวใ้ นเตาแลว้ ก็ ข้นึ ไปฉนั เพลบนกุฏิฉนั เพลเสร็จแลว้ ลงมาหมายจะเทเบา้ ท่ีคา้ งไวก้ ลบั ปรากฏเป็นว่ามีผูเ้ ทติด และตอนพระเกศ สวยงามกว่าท่ตี อนจะเป็น เป็นอศั จรรยส์ บื ถามไดค้ วามว่า (มชี ายผูห้ น่ึงนุ่งห่มผา้ ขาวมายกเบา้ นน้ั เทจนสาํ เร็จ) แต่ ดว้ ยเหตุท่เี บา้ นน้ั รอ้ นเมอ่ื เทเสร็จแลว้ ชายผูน้ น้ั จงึ วง่ิ ไปทางเหนือบา้ นนาํ้ โมงมผี ูเ้ห็นยืนโลเลอยู่ริมหนองนาํ้ แห่งหน่ึง แลว้ หายไป (หนองนาํ้ นน้ั ภายหลงั ชาวบา้ นเรยี กว่าหนองโลเลมาจนถงึ ปจั จบุ นั น้ี และชายผูน้ นั้ กเ็ ขา้ ใจกนั ว่าเป็นเทวดา มาช่วยสรา้ ง) เมอ่ื ไดน้ าํ พระพทุ ธรูปทห่ี ลอ่ แลว้ มาประดษิ ฐานไวใ้ นวดั มขี นุ นางชน้ั ผูใ้ หญ่แห่งเมอื งเวยี งจนั ทรม์ าเท่ยี ว บา้ นนาํ้ โมงสองท่านช่อื ว่า ทา่ นหมน่ื จนั ทร์ กบั ท่านหมน่ื ราม ทงั้ สองท่านน้ีไดเ้หน็ พระเจา้ องคต์ ้อื ก็เกดิ ศรทั ธาเลอ่ื มใส ทจ่ี ะช่วยเหลอื จึงไดช้ ่วยกนั ก่อฐาน และทาํ ราวเป็นการส่งเสริมศรทั ธาของผูส้ รา้ ง ครน้ั เมอ่ื ขนุ นางทงั้ สองไดก้ ลบั ถงึ เมอื งเวยี งจนั ทรแ์ ลว้ ไดก้ ราบทูลพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชซง่ึ ครองเมอื งเวยี งจนั ทรใ์ นเวลานนั้ พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชได้ เสด็จมาทอดพระเนตรก็ทรงเกิดศรทั ธาจึงไดส้ รา้ งวิหารประดิษฐานกบั แบ่งปนั เขตแดนใหเ้ป็นเขตขา้ ทาสบรวิ ารของ พระเจา้ องคต์ ้อื ดงั น้ี ๑. ทางตะวนั ออกถงึ บา้ นมะก่องเชยี งขวา (ทางฝงั่ ซา้ ยตรงขา้ ม อาํ เภอโพนพสิ ยั ) ๒. ทางตะวนั ตกถงึ บา้ นหวากเมอื งโสม (อาํ เภอนาํ้ โสม จงั หวดั อดุ รธานี) ๓. ทางทศิ ใตถ้ งึ บา้ นบอ่ เออื ดหรอื บอ่ อาด (อยูใ่ นอาํ เภอเพญ็ จงั หวดั อดุ รธานี) ๔. ทางเหนือไม่ปรากฏหลกั ฐานชดั เจน คาดว่าน่าจะเป็น บา้ นพานพรา้ ว อาํ เภอศรีเชียงใหม่ จงั หวดั หนองคาย และเมอื ง กนิ ายโม้ ส.ป.ป.ลาว ในปจั จบุ นั ๒๓ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๘๙-๔๙๖.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๗๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พลเมอื งท่อี ยู่ในเขตขา้ ทาสของพระเจา้ องคต์ ้อื ตง้ั แต่เดมิ มาตอ้ งเสยี ส่วยสาอากรใหแ้ ก่ทางราชการ แต่เม่อื ตกเป็นขา้ ทาสของพระเจา้ องคต์ ้ือ โดยผูใ้ ดประกอบอาชีพทางใดก็ใหน้ าํ ส่งิ นนั้ มาเสียส่วยใหแ้ ก่วดั ศรีชมพูองคต์ ้ือ ทง้ั ส้นิ เช่น ผูใ้ ดเป็นช่างเหลก็ ก็ใหน้ าํ เคร่ืองเหลก็ มาเสยี ผูใ้ ดทาํ นากใ็ หน้ าํ ขา้ วมาเสยี ผูใ้ ดทาํ นาเกลอื ก็ใหเ้อาเกลอื มา เสียทางวดั ก็มพี นกั งานคอยเก็บรกั ษาและจาํ หน่ายประจาํ เสมอ ท่ดี า้ นหนา้ ของพระวหิ ารมตี วั หนงั สือไทยนอ้ ยหรือ หนงั สอื ลาวเดยี๋ วน้ีอยู่ดว้ ย แต่เวลาน้ีเก่าและลบเลอื นมากอ่านไม่ไดค้ วามตดิ ต่อกนั พระเจา้ องคต์ ้ือเป็นพระพทุ ธรูป ขนาดใหญ่หล่อดว้ ยทองสมั ฤทธ์ิฝีมอื ช่างฝ่ายเหนือและลา้ นชา้ งผสมกนั นบั เป็นพระพทุ ธรูปท่ีมลี กั ษณะงดงามมาก เป็นพระประธานซง่ึ สรา้ งดว้ ยทองสมั ฤทธ์ิองคใ์ หญ่ทส่ี ุดในจงั หวดั นงั่ ขดั สมาธิปางมารวชิ ยั หนา้ ตกั กวา้ ง ๓ เมตร ๒๙ เชนติเมตร สูง ๔ เมตร ประดิษฐานอยู่ท่ีวดั ศรีชมภู องคต์ ้ือ ตาํ บลนาํ้ โมง อาํ เภอท่าบ่อ จงั หวดั หนองคาย เป็น พระพทุ ธรูปท่ศี กั ด์ิสทิ ธ์ิท่มี ปี ระชาชนทงั้ สองฝงั่ แม่นาํ้ โขง เคารพนบั ถือมาก สรา้ งในสมยั ใดและใครเป็นผูส้ รา้ งไม่มี ประวตั แิ น่ชดั แต่พอจะถอื หลกั ฐานไดด้ งั น้ี หลกั ฐานการสรา้ งท่ชี าวบา้ นเช่ือถอื กนั ทุกวนั น้ีซ่งึ ไดจ้ ากศิลาจารึกเขยี นเป็นตวั ธรรม เป็นภาษาไทยนอ้ ยมี รอยเลอะเลอื น แต่พอเกบ็ ขอ้ ความไดด้ งั น้ี ประวตั ิในหินศิลาจารึกเร่ืองหลวงพ่อพระเจา้ องค์ต้ือ บา้ นนํา้ โมง ถอดความจากอกั ษรตวั ธรรม หรือ ภาษาไทยนอ้ ยไดว้ า่ ดงั น้ี ๑. สรา้ งเมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๑๐๕ พระวรรษา ๒. พระชยั เชษฐา เป็นลูกเขยพระยาศรีสุวรรณ ภรรยาของพระชยั เชษฐาคือ พระนางศรีสมโพธิ มลี ูก ๔ คน เป็นชาย ๓ คน เป็นหญงิ ๑ คน ๓. พระชยั เชษฐา เกดิ ทเ่ี มอื งเวยี งคุก ภรรยาเกดิ ทเ่ี มอื งจาํ ปา (บา้ นนาํ้ โมง) ในปจั จบุ นั น้ี ๔. นามวดั โกศีล สรา้ งได้ ๑ ปี ๓ เดอื น สมภาร ชอ่ื พระครูอนิ ทราธริ าช อายุ ๓๔ ปี พรรษา ๑๕ มพี ระอยู่ ดว้ ย ๑๒ รูป สามเณร ๕ รูป ๕. ทางวดั โกศีล ทางยาว ๑ เสน้ ๕ วา กวา้ ง ๑ เสน้ ๑๐ วา ๖. วดั โกศีล เป็นวดั ทส่ี าํ คญั มากกงจกั รเกดิ ทว่ี ดั น้ี พระชยั เชษฐาจงึ เลอ่ื มใสจงึ ชกั ชวนคณะท่มี ศี รทั ธารวม ๘ คน สรา้ งพระพทุ ธรูปใหญ่หนา้ ตกั กวา้ ง๓ เมตร สูง ๔ เมตร รายนามบคุ คลทงั้ ๘ คือ พระชยั เชษฐา ทา้ วอินทราธิราราช ทา้ วเสนากสั สะปะ ทา้ วอินทร ทา้ วเศษสุวรรณ ทา้ วพระยาศรี ทา้ วดามแดงทพิ ย์ ทา้ วอนิ สรไกรยสทิ ธ์ิ รวมเป็นคน ๑๒ ภาษาทม่ี าร่วมกนั สรา้ ง พระชยั เชษฐาเป็นคนหลอ่ ๗. พระชยั เชษฐาจึงป่าวรอ้ งบริวาร ๕๐๐ คนมาช่วยหล่อ เป็นทองเหลอื ง เงนิ และคาํ ผสมกนั นาํ้ หนกั ได้ หน่ึงต้อื ทาํ พธิ หี ลอ่ เทา่ ไรก็ไมส่ าํ เรจ็ ต่อเมอ่ื พระอนิ ทรแ์ ละเทพยุดา ๑๐๘ องคม์ าช่วยหลอ่ จงึ สาํ เรจ็ ๘. วดั โกศีล ตงั้ อยู่ริมแมน่ าํ้ โขง สรา้ งอยู่ ๗ ปี ๗ เดือน จงึ สาํ เรจ็ เป็นหลวงพ่อองคต์ ้อื ๙. เมอ่ื หล่อแลว้ มี อภนิ ิหารเป็นสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ถิ งึ ๑๐๐ อยา่ ง ๑๐. พระพทุ ธรูปองคน์ ้ีส้นิ เงนิ ๑๐๕,๐๐๐ ชงั่ ๑๑. บา้ นท่ขี ้นึ เป็นบริวารมี ๑๓ บา้ นคือ เมอื งเวียงคุก กองนาง กาํ พรา้ จินายโม้ ปากโค พรานพรา้ ว ศรี เชยี งใหมห่ นองคุง้ ยางคาํ หนองแซงศรี สามขา ท่าบอ่ พรา้ ว บอ่ โอทะนา

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๗๙  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ขอ้ วนิ ิจฉยั ในศลิ าจารึก ในหลกั ศลิ าจารกึ ขอ้ ท่ี ๑ ว่า สรา้ งเมอ่ื พ.ศ. ๑๐๕ นน้ั ขดั ต่อความเป็นจริง เพราะพระพทุ ธศาสนาเร่ิมแพร่ เขา้ มาในประเทศไทย เม่อื พ.ศ. ๓๐๐ ล่วงแลว้ เลข พ.ศ. ขา้ งหนา้ ท่ลี บเลอื นนนั้ คงจะเป็น พ.ศ. ๒๑๕๐ เพราะใน ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๐๕ อยู่ในระยะรชั สมยั ของพระไชยเชษฐาแห่งเมอื งเวยี งจนั ทร์ ซง่ึ เป็นระยะไลเ่ ลย่ี กนั กบั ท่พี ระไชย เชษฐา ไดร้ ่วมกบั กรุงศรอี ยุธยาสรา้ งเจดีย์ ศรสี องรกั ษข์ ้นึ ทอ่ี าํ เภอดา้ นซา้ ย ในจงั หวดั เลย ปจั จุบนั น้ีก็ยงั คงอยู่พอจะ อนุมานไดว้ ่า ผูส้ รา้ งวดั ศรชี มภอู งคต์ ้อื คงเป็นพระเจา้ ชยั เชษฐาแน่ ในศิลาจารกึ ขอ้ ท่ี ๒ ทว่ี ่า พระชยั เชษฐา เป็นลูกพระยาศรสี ุวรรณนนั้ ขดั กบั พระราชพงศาวดาร เพราะพระ ชยั เชษฐาธริ าช ซง่ึ เป็นเจา้ ผูค้ รองเวยี งจนั ทรน์ นั้ เป็นบุตรพระยาโพธสิ าร ดงั แจง้ ในพงศาวดาว่า พระยามหาพรหมราช เจา้ เมอื งเชียงใหม่ ถงึ แก่พลิ าลยั เม่อื พ.ศ. ๒๐๘๒ พระโอรสทรงนามว่า เจา้ ทรายดาํ ไดค้ รองเชยี งใหม่อยู่ ๓ ปี ก็ ทวิ งคต ไมม่ โี อรสราชนดั ดา สบื สนั ตวิ งศ์ เสนาบดเี มอื งเชยี งใหม่ ลงไปเฝ้าพระเจา้ ลา้ นชา้ ง พระเจา้ ลา้ นชา้ งพรอ้ มเจา้ เชษฐาวงศ์ ไปเยย่ี ม พระศพถงึ เชียงใหม่ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๙๑ เสนาพฤฒามาตย์ พรอ้ มกนั ยกราชสมบตั ิใหเ้จา้ เชษฐวงศ์ เป็นเจา้ เชียงใหม่ ทรงพระนามว่า พระชยั เชษฐาธิราช พระยาโพธิสารเสด็จกลบั หลวงพระบางได้ ๒ ปี ก็ทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๐๙๓ พระชยั เชษฐษธริ าช จงึ กลบั ไปครองนครลา้ นชา้ ง (จากหนงั สอื ฝงั่ ขวาแม่นาํ้ โขง) ขอ้ น้ีไม่มหี ลกั ฐาน พระยาศรี สุวรรณกลั ป์พระยาโพธสิ ารอาจเป็นคนๆ เดยี วกนั กไ็ ด้ ในศลิ าจารกึ ขอ้ ท่ี ๓ วา่ พระชยั เชษฐาเกดิ ทเ่ี มอื งเวยี งคุก ไมน่ ่าเป็นไปได้ เพราะพระยาโพธิสารธรรมมกิ ราช บิดาครองราชยส์ มบตั ิอยู่ท่ีนครลา้ นชา้ ง หลวงพระบาง พระชยั เชษฐาตอ้ งเกิดท่ีลา้ นชา้ ง ส่วนเวียงคุกน้ันมา เจรญิ รุ่งเรอื งข้นึ ทหี ลงั เมอ่ื พระเจา้ ชยั เชษฐาไดข้ ้นึ ครองราชยส์ มบตั ิทเ่ี วยี งจนั ทนแ์ ลว้ แลว้ ทว่ี ่าภรรยาเกิดท่เี มอื งจาํ ปา นาํ้ โมงนน้ั ไกลความจรงิ มาก เพราะพระอคั รมเหสขี องพระเจา้ ชยั เชษฐ เป็นธิดาพระเจา้ เชยี งใหม่ หรอื ว่าจะเป็นภรรยา นอ้ ย ขอ้ น้ีไมม่ หี ลกั ฐานยนื ยนั ในศิลาจารกึ ขอ้ ๔ ชอ่ื วดั วา่ วดั โกศีล นน้ั น่าจะเป็นโกสยี ม์ ากกว่า แต่ปจั จบุ นั น้ี ช่อื วดั ศรชี มภอู งคต์ ้อื

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๘๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ในศลิ าจารกึ ขอ้ ๕ เขตวดั ทางยาวและทางกวา้ งแคบกว่าท่กี ลา่ วไวใ้ นศิลาจารึก ทง้ั น้ีเขา้ ใจว่า ทางหนา้ วดั นาํ้ เซาะทางทศิ เหนือและทศิ ใตใ้ หแ้ คบลง (เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๘๙) ไดต้ รวจสอบวดั ดูปรากฏว่า แคบไม่ตรงกบั ศิลาจารึกแต่ ปจั จบุ นั น้ีทางวดั ไดซ้ ้อื ขยายออกไปมากแลว้ ทางดา้ นทศิ เหนือและทศิ ตะวนั ตก ในศิลาจารึกขอ้ ๖ ว่า กงจกั รเกิดข้นึ นนั้ คงมรี ูปกงจกั รอนั เป็นรูปธรรมจกั ร ซง่ึ มตี ามวดั เก่า ในสมยั ก่อน แต่ปจั จบุ นั น้ีหาดูไมไ่ ดแ้ ลว้ ในศิลาจารึกขอ้ ๗ พระชยั เชษฐามบี ริวารถึง ๕๐๐ น้ี ตอ้ งเป็นท่เี ช่ือไดว้ ่าเป็นพระชยั เชษฐาผูค้ รองนคร เวยี งจนั ทนแ์ น่ การนบั นาํ้ หนกั และจาํ นวนในสมยั ก่อนนนั้ เขานบั สบิ -รอ้ ย-พนั -หม่นื -แสน-ลา้ น-โกฏิ-ต้ือ แต่ถา้ หมายถึง จาํ นวน ก็เติมอะสงไขยเขา้ ไปอีกเป็นอนั ดบั สุดทา้ ย เพราะฉะนนั้ คาํ ว่า ต้อื จึงเป็นนาํ้ หนกั ทม่ี ากทส่ี ุดแลว้ การสรา้ ง พระมานานถงึ ๗ ปี ๗ เดือน เหน็ จะรวมนาํ้ หนกั ท่แี น่นอนไม่ได้ พระก็องคใ์ หญ่ทส่ี ุดในสมยั นน้ั สรา้ งก็ยาก หมด เปลอื งก็มาก เพ่อื ใหส้ มกบั ความยากลาํ บากจึงกาํ หนดเอาว่า สรา้ งดว้ ยทองหนกั ๑ ต้ือ ซ่งึ ความจริงสมยั นนั้ จนถึง สมยั น้ีกไ็ มม่ ใี ครรูจ้ รงิ ๆ ว่า คาํ วา่ โกฏิ และต้อื นน้ั มคี ่าเทา่ ใดกนั แน่ คงนบั กนั ไปอย่างนนั้ เอง การหล่อพระศกั ด์สิ ิทธ์ิ มกั จะเป็นพระอินทรห์ รือตาปะขาวมาช่วยจึงสาํ เร็จ ทงั้ น้ีเพราะเหตุผล ๒ ประการ คือ ประการแรกตอ้ งการจะใหค้ นนบั ถอื ประการทส่ี องสมยั นน้ั คนดมี วี ชิ าอยู่ไม่ค่อยได้ เพราะจะถูกรงั แก จงึ แกลง้ ปกปิดไวว้ ่า เป็นเทวดามาหลอ่ ในศิลาจารกึ ขอ้ ๘ ว่า วดั โกศีลตง้ั อยู่ริมนาํ้ โขงนนั้ เป็นความจริง เพราะตามธรรมดาแม่นาํ้ ย่อมคดเค้ียว และ เกดิ มคี ุง้ นาํ้ ข้นึ นาํ้ โขงซง่ึ กวา้ งราว ๑ กม.เศษ ไหลผ่านศรเี ชียงใหมพ่ งุ่ ไปปะทะ ตอนใตน้ ครเวยี งจนั ทน์ จนิ ายโมแ่ ละบ่อโอทะนา เมอ่ื ปะทะฝงั่ ลาวแลว้ กระแสนาํ้ กก็ ลบั พ่งุ มาปะทะฝงั่ ไทย ตอนใตท้ า่ บอ่ กระแสนาํ้ จะไหลปะทะสลบั ฝงั่ กนั เช่นน้ีเร่อื ยไป เมอ่ื ถงึ หนา้ นาํ้ ราวๆ เดอื น ๗-๙ นาํ้ จะเต็มฝงั่ หรือลน้ ฝงั่ กระแสนาํ้ ในแม่นาํ้ โขงจะไหลเช่ียวเร็วประมาณ ๑๕.๒๐ กม. ทเี ดียวฝงั่ ทถ่ี ูกปะทะก็จะพงั ฝงั่ ตรงขา้ มตอนใตค้ ุง้ นาํ้ นาํ้ จะไหลค่อยและวน ดนิ จะตกตะกอนเมอ่ื นาํ้ ลดกจ็ ะเกดิ เป็นดนิ งอกทุกปี วดั นาํ้ โมงกเ็ ช่นเดียวกนั เดิมตง้ั อยู่ริมโขง จรงิ แต่อยู่ใตค้ ุง้ นาํ้ ตรงขา้ มกบั จนิ ายโมแ่ ละบอ่ โอทะนา ดนิ หนา้ วดั จงึ งอกออกเร่อื ยมาเราจงึ เหน็ กนั ว่า วดั นาํ้ โมงจะอยู่ ห่างจากตลง่ิ แมโ่ ขงไปทุกทอี ยา่ งเช่นทุกวนั น้ี ในศิลาจารึกขอ้ ๙ เมอ่ื หล่อแลว้ มอี ภินิหารเป็นส่งิ ศกั ด์ิสิทธ์ิถึง ๑๐๐ อย่างนน้ั ในขอ้ น้ีความเช่ือถือของ ชาวเมอื งเช่อื มนั่ ว่า มผี หี รอื เทวดารกั ษา คนนบั ถอื มาก บางคนเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่วยไปขอนาํ้ มนตม์ ากินก็หายได้ คนไม่มลี ูก ไปขอกม็ ไี ด้ อะไรต่อมอิ ะไรรอ้ ยแปดมากกว่า ๑๐๐ อยา่ งเสยี อกี ในศิลาจารึกขอ้ ๑๐ ว่า การสรา้ งส้นิ เงนิ ไปถงึ ๑๐๕,๐๐๐ ชงั่ แต่ถา้ จะคิดถงึ ค่าราคาแห่งพระพทุ ธรูปงาม องคน์ ้ี ในปจั จบุ นั แลว้ มคี ่าเหลอื ท่จี ะคณานบั ได้ เมอ่ื ผูใ้ ดเขา้ ไปใกลเ้ฉพาะพระพกั ตรแ์ ลว้ จะหายทกุ ขโ์ ศกทนั ที พระ พกั ตรอ์ มย้มิ นิดๆ พระเนตรลมื สนิท พระนลาฏกวา้ งพระร่างอูม ส่วนพระกายนงั่ ตรงไดส้ ่วนสดั ประทบั อยู่ในท่าสงบ ผนิ พระพกั ตรไ์ ปทางทศิ ตะวนั ออก ทาํ ใหผ้ ูไ้ ดพ้ บเหน็ องคพ์ ระองคต์ ้อื เกิดมโนภาพคลา้ ย ๆ เขา้ ไปนงั่ อยู่เฉพาะพระ พกั ตรข์ องสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทาํ ใหเ้กดิ ความปีติและมศี รทั ธาข้นึ ทนั ที อนั เป็นธรรมาภนิ ิหารเกิดข้นึ แก่ผูท้ ่ี

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๘๑  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ไดพ้ ลเหน็ ซง่ึ ส่งิ เหล่าน้ีมคี ่ายง่ิ กว่าสมบตั ใิ ด ๆ ทท่ี ่านโบราณาจารยว์ างราคาไวถ้ งึ ๑๐๕,๐๐๐ ชงั่ ขา้ พเจา้ คิดว่ายงั ถูก ไป ในศิลาจารึกขอ้ ๑๑ นน้ั แสดงใหเ้ห็นว่า เป็นวดั ซ่งึ พระเจา้ ชยั เชษฐาเป็นผูส้ รา้ งแน่ เพราะมบี ริวารถงึ ๑๓ บา้ น วดั ทจ่ี ะมบี รวิ ารไดต้ อ้ งเป็นวดั หลวง ชาวบา้ นเหลา่ นน้ั ตอ้ งส่งส่วยแก่วดั โดยไม่ตอ้ งกระทาํ กิจใดๆ แก่ทางราชการ คงเป็นแต่ขา้ ของพระองคต์ ้ือเช่นเดียวกบั ขา้ พระธาตุพนม ซ่ึงยงั คงถือเป็นประเพณีมาจนทุกวนั น้ี ในวนั เทศกาล นมสั การพระองคต์ ้อื ชาวบา้ นทเ่ี ป็นขา้ จะตอ้ งนาํ เครอ่ื งมาสกั การบชู า ถา้ มฉิ ะนนั้ ผหี รอื เทวดาผูร้ กั ษาจะลงโทษ๒๔ ปาฏหิ ารยิ ข์ องพระเจา้ องคต์ ้อื มเี ร่อื งเลา่ กนั วา่ ครง้ั หน่ึงพวกฮ่อไดย้ กทพั ขา้ มโขงมาข้นึ ทฝ่ี งั่ วดั นาํ้ โมง เพ่อื หวงั จะทาํ ลายพระองคต์ ้อื อนั เป็น ทเ่ี คารพสกั การะของปวงชนแถบนน้ั เพ่อื เป็นการทาํ ลายขวญั ของพวกชาวบา้ น ขณะท่ขี า้ ศึกไดจ้ ว้ งขวานฟนั ลงไปท่ี พระชานุของพระองคต์ ้ือนน้ั ก็ปรากฏเสียงรอ้ งออกจากพระโอษฐ์ และมีพระโลหิตไหลออกจากแผลท่ีพระชานะ พรอ้ มกบั มนี าํ้ พระเนตรไหลซมึ ออกมาเป็นทน่ี ่าเวทนายง่ิ นกั ขา้ ศึกเป็นอศั จรรยเ์ ช่นนน้ั กเ็ กรงจะเกิดภยั จึงไดร้ ีบยกทพั กลบั แต่กป็ รากฏว่าพวกฮ่อถงึ แก่ความตายจนหมดส้นิ ทกุ วนั น้ีแผลเป็นทพ่ี ระชานุกย็ งั ปรากฏอยู่ ในสมยั ก่อนผูค้ นสญั จรไปมาจะสวมรองเทา้ เขา้ ไปในวดั ไมไ่ ดจ้ ะตอ้ งมอี นั เป็นไปโดยประการต่างๆ แมแ้ ต่ เจา้ นาย ท่เี ขา้ มาถอื นาํ้ พิพฒั นสตั ยา จะสวมรองเทา้ เขา้ ไปในวิหารนนั้ ก็ไม่ได้ ถา้ บุคคลใดฝ่าฝืนก็จะไดร้ บั โทษโดย ประการต่างๆ เช่นเจบ็ ป่วยโดยกระทนั หนั เป็นตน้ บุคคลทไ่ี ม่มบี ุตรธิดาสบื สกุล มดี อกไมธ้ ูปเทียนหรอื เคร่อื งสกั การะอย่างอ่นื มาทูลขอบตุ รธิดาจากพระองค์ บุคคลผูน้ น้ั ก็จะไดก้ ุลบุตรธิดาสืบสกุล สมความม่งุ มาดปรารถนา แต่บุตรธิดาท่ีพระองคป์ ระทานใหแ้ ลว้ นน้ั บดิ า มารดาจะทาํ โทษหรือเฆ่ยี นตโี ดยประการใดๆ ไมไ่ ด้ ตอ้ งสงั่ สอนเอาโดยธรรมเท่านนั้ บุคคลผูใ้ ดของหาย เช่น เงนิ ทอง โค กระบอื เป็นตน้ มดี อกไมธ้ ูปเทยี นเคร่ืองสกั การะมาบูชาบวงสรวง เพ่ือใหไ้ ดส้ ่ิงของนน้ั คืนมา ก็จะไดค้ ืนมาสมประสงค์ ทรพั ยส์ มบตั ิของใครหาย ไม่ทราบว่าผูใ้ ดมาลกั ขโมยเอไป เจา้ ของทรพั ยม์ คี วามสงสยั ผูใ้ ด ก็นาํ บุคคลผูน้ น้ั มาทาํ สตั ยส์ าบานต่อพระพกั ตรข์ องพระเจา้ องคต์ ้ือ ถา้ บุคคลนน้ั ไม่ไดเ้ อาก็ไม่เป็นอะไร แต่ถา้ บุคคลนนั้ เอาไปจริงๆ แต่ปฏเิ สธไม่ยอมรบั ตามความเป็นจริง บุคคลผูน้ นั้ ก็จะไดร้ บั โทษ เช่น เจบ็ ป่วยหรอื อาจถงึ แก่ความตายได้ บุคคลผูใ้ ดไปศึกสงครามไดม้ าบนบานขอใหพ้ ระเจา้ องคต์ ้ือคุม้ ครอง บคุ คลผูน้ นั้ ก็จะปลอดภยั ประสพแต่ ความสวสั ดมี ชี ยั กลบั มา และบคุ คลผูใ้ ดมคี วามปรารถนาอยากจะใหม้ คี วามเจริญรุ่งเรอื งในชีวติ นาํ เคร่อื งสกั การะมา บูชาพระเจา้ องคต์ อ้ ขออานุภาพของพระองคต์ ้ือคุม้ ครอง และบนั ดาลใหเ้ กิดมคี วามเจริญรุ่งเรืองในการประกอบ อาชพี ทส่ี ุจริต บคุ คลผูน้ นั้ กจ็ กั เจรญิ สมความม่งุ มาดปรารถนาทุกประการ อน่ึง การเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่วยจนถงึ กบั ลม้ หมอน นอนเส่ือไปมาไม่ได้ บางคนก็ใหญ้ าติพ่ีนอ้ งไปบูชาแผ่นทองปิดองคห์ ลวงพ่อใหญ่ หรือพรพุทธรูปจาํ ลอง ตง้ั จิต อธษิ ฐานปิดตรงทเ่ี จบ็ ปวดนนั้ ปรากฏว่าโรคนน้ั ไดห้ ายไปดงั จติ อธษิ ฐาน ๒๔ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ และเสถยี ร สระทองให,้ ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๘๙-๔๙๑.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๘๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ สกุ พระเสริม พระใส พระสุก พระใส พระเสรมิ พระสุก พระเสริม พระใส หลอ่ ข้นึ จากทองสีสุก (โลหะสาํ ฤทธ์ิท่ีมที องคาํ เป็นส่วนผสมหลกั ) เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๑๐๙ (อา้ งจากการทอ่ งเทย่ี วของ สปป. ลาว) ยอ้ นไปในรชั สมยั ของพระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช ช่วงปี พ.ศ. ๒๐๙๓-๒๑๑๕ แห่งอาณาจกั รลา้ นชา้ ง ศรีสตั นาคนหตุ ทรงมพี ระราชธดิ า ๓ พระองค์ พระราชธดิ าพระองคโ์ ต ทรงพระนามวา่ สุก พระราชธดิ าพระองคก์ ลาง ทรง พระนามว่า เสริม(หรือ เสิม) และพระราชธิดาพระองคเ์ ลก็ ทรงพระนามว่าใส ในปี พ.ศ. ๒๑๐๙ พระธิดาทง้ั ๓ พระองคไ์ ดท้ รงร่วมกนั สรา้ งพระพทุ ธรูปประจาํ พระองคข์ ้นึ ๓ องคเ์ พ่อื สบื ทอดพระพทุ ธศาสนา และเพ่อื ความเป็นสริ ิ มงคล โดยมขี นาดลดหนนั่ กนั ตามลาํ ดบั ในพิธีการหล่อพระพุทธรูปทง้ั ๓ องค์น้ัน พระภิกษุและฆราวาส ช่วยกนั ทาํ การสูบเตาหลอมทองอยู่ตลอดถึง ๗ วนั แต่ทองก็ยงั ไม่ ละลาย พอถึงวนั ท่ี ๘ มเี พยี งพระภกิ ษุสูงอายุรูปหน่ึงกบั สามเณรรูป หน่ึงสูบเตาอยู่ กป็ รากฏมชี ีปะขาวคนหน่ึงมาอาสาสูบเตาแทนพระและ เณร แต่วนั นนั้ ญาติโยมต่างเห็นบรรดาชีปะขาวสูบเตาอยู่เป็นจาํ นวน มาก เม่ือพระภิกษุและสามเณรฉนั เพลเสร็จแลว้ ก็จะไปสูบเตาต่อ ปรากฏว่าไดม้ ีผูเ้ ททองลงเบา้ ทงั้ ๓ จนเรียบรอ้ ยแลว้ แต่ไม่เห็น ชปี ะขาวอยู่แมแ้ ต่คนเดยี ว การหล่อพระพุทธรูปทง้ั ๓ องค์ สาํ เร็จลง ดว้ ยดีอย่างน่าอศั จรรย์ พระราชธิดาเสริม สุก และใส ต่างถวายนาม

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๘๓  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ของตนเป็นนามของพระพทุ ธรูป ไดแ้ ก่ พระเสรมิ เป็นพระพทุ ธรูปประจาํ พระราชธิดาองคพ์ ่ี พระสุกเป็นพระพทุ ธรูป ประจาํ พระราชธิดาองคก์ ลาง และพระใสเป็นพระพทุ ธรูปประจาํ พระราชธดิ าองคส์ ุดทอ้ ง สมเด็จ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ทรงลงความเห็นเก่ียวกบั พระพทุ ธรูปทง้ั ๓ องคน์ ้ีว่า พระสุก พระ เสริม พระใส เป็นพระพุทธรูปลาวลา้ นชา้ งทง่ี ดงามย่งิ กว่าพระพุทธรูปองคอ์ ่ืนๆ และทรงสนั นิษฐานเร่อื งการสรา้ งเป็น ๒ ประการ คือ อาจจะเป็นพระพทุ ธรูปทส่ี รา้ งจากเมอื งหน่ึงเมอื งใดทางตะวนั ออกของอาณาจกั รลา้ นชา้ ง และต่อมาตก อยู่ในเขตลา้ นชา้ ง หรือ อาจสรา้ งข้นึ ในเขตลา้ นชา้ งโดยฝีมอื ช่างลาวพุงขาวท่ีประดิษฐานพระสุก พระเสริม พระใส คราวแรกประดษิ ฐานอยู่ ณ เมอื งเวยี งจนั ทร์ นานเทา่ ไรไม่ปรากฏ ครน้ั พ.ศ. ๒๓๒๑ เมอ่ื รชั กาลพระเจา้ กรุงธนบรุ ี ได้ เกิดสงคราม ข้นึ ระหว่างกรุงธนบุรกี บั กรุงศรีสตั นาคนหุต (เวยี งจนั ทร)์ ครนั้ นนั้ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬา โลก ดาํ รงพระยศเป็นสมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก ไดเ้ป็นจอมพลยกทพั มาตเี วยี งจนั ทร์ พระเจา้ ธรรมเทวงศจ์ ึงได้ อนั เชิญไปไวท้ เ่ี มอื งเชยี งคาํ ครน้ั ต่อมาดว้ ยเหตุใดไมท่ ราบได้ พระใสจงึ ถูกอญั เชิญมาประดษิ ฐานไวท้ ่วี ดั โพนชยั เมอื ง เวยี งจนั ทรอ์ กี ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๓ ครง้ั เจา้ อนุวงศ์ เจา้ ผูค้ รองอาณาจกั รลา้ นชา้ ง ก่อกบฏ คิดประกาศเอกราชไม่ขอข้นึ ตรงต่อกรุงรตั นโกสนิ ทรอ์ ีกต่อไป พระองคท์ รงโปรดใหส้ มเด็จพระบวรราชเจา้ มหาศกั ดิพลเสพเป็นแม่ทพั ยกทพั ไปปราบ และไดต้ งั้ ค่ายทหารท่เี มอื งพานพรา้ ว ทหารไทยเขา้ ตีเมอื งเวยี งจนั ทนจ์ น เจา้ อนุวงศห์ นีไปจากเวียงจนั ทน์ ในครงั้ นน้ั ไดอ้ ญั เชิญพระพทุ ธรูปท่มี ชี ่ือเสียงโด่งดงั มาจากเมอื งเวยี งจนั ทนห์ ลาย องค์ ไดแ้ ก่ พระแซกคา พระฉนั สมอ พระเสรมิ พระสกุ พระใส พระแก่นจนั ทน์ พระเงนิ หล่อ พระเงนิ บุ พระสรง น้า มาเก็บรกั ษาไวท้ ่เี มอื งพานพรา้ ว และ ไดม้ กี ารสรา้ งพระเจดียเ์ พ่อื ประดิษฐานจารกึ พระนาม พระเจดียป์ ราบเวยี ง ต่อมาเจา้ อนุวงศไ์ ดร้ ่วมกบั พวกญวนเขา้ ยดึ เมอื งเวยี งจนั ทนค์ ืนและตีค่ายพานพรา้ ว ทหารฝ่ายเจา้ อนุวงศไ์ ดท้ าํ การร้อื พระเจดยี ป์ ราบเวยี ง และนาํ พระพทุ ธรูปทบ่ี รรจอุ ยู่ทง้ั หมดกลบั เวยี งจนั ทน์ ต่อมาทหารไทยเขา้ ยดึ ค่ายพานพรา้ วคืน และตีเมอื งเวยี งจนั ทน์ ทาํ ลายเมอื งเวยี งจนั ทน์ กาํ แพงเมอื ง ป้อมเมอื ง และหอคาํ จนกลายเป็นทะเลเพลงิ เหลอื ไว้ แต่วดั สสี ะเกดและสถานทศ่ี กั ด์ิสทิ ธ์ปิ ระจาํ เมอื งบางแห่ง และไดม้ กี ารนาํ พระพทุ ธรูปจาํ นวนหน่ึงขา้ มกลบั มาฝงั่ ไทย

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๘๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง การอญั เชิญ พระสุก พระเสรมิ พระใส จากเมอื งเวยี งจนั ทน์ หลวงพอ่ พระสุก (องคจ์ าลอง) นับต้ังแต่การอัญเชิญองค์พระพุทธรูปท้งั ๓ ล่องมาทางแม่นํ้าโขงในคร้ังตน้ กรุง รตั นโกสนิ ทรน์ น้ั องคพ์ ระสุกไดจ้ มลงในแม่นาํ้ โขงจนถงึ ปจั จุบนั น้ี โดยหลายสบิ ปีก่อนหนา้ น้ี ไดเ้ คยมกี ารประกอบพธิ อี ญั เชญิ องคพ์ ระสุกข้นึ จากนาํ้ เพ่อื จะไดน้ าํ มาประดิษฐานไวค้ ู่ เคียงกบั พระใส แต่ก็ไม่เป็นผลสาํ เร็จ ชาวบา้ นและพระภิกษุท่ีอยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ‚ในขณะท่พี ธิ อี ญั เชิญเร่ิมข้นึ องคพ์ ระสุกค่อยๆ ลอยโผลพ่ น้ นาํ้ ข้นึ มาเองไดป้ ระมาณหนา้ อกขององคพ์ ระ แต่แลว้ ก็ กลบั จมลงไปอีก‛ สรุปคือไม่สามารถอญั เชญิ ข้นึ มาได้ แมต้ ่อมามคี วามพยายามทาํ พธิ ีอัญเชิญอีก แต่กไ็ ม่ประสบ ผลสาํ เรจ็ ซง่ึ เหตกุ ารณน์ ้ีนน้ั อาจเป็นเพราะ องคพ์ ระสุกไดจ้ มอยูใ่ นนาํ้ เป็นเวลาชา้ นานทาํ ใหด้ ินทบั ทมไม่สะดวกในการ ทจ่ี ะอนั เชญิ ไดโ้ ดยง่าย อกี อย่างหน่ึงอาจเป็นเพราะชาวบา้ นแถวนนั้ ไม่ยนิ ยอมใหน้ าํ ข้นึ จากนาํ้ ดว้ ยเพราะเกรงกลวั ต่อ ภยนั ตรายอนั จะพึงมีมา เน่ืองดว้ ยประชาชนในทอ้ งถ่ิน (รวมทงั้ ถ่ินอีสานส่วนมากดว้ ย) เช่ือว่าเหตุท่ีไม่สามารถ อญั เชิญองคพ์ ระสุกข้นึ จากนาํ้ ไดเ้ ป็นผลสาํ เร็จนนั้ เป็นเพราะพญานาคไม่อนุญาต และหรือหากอญั เชิญข้นึ มาได้ พญานาคอาจไมพ่ อใจ และบนั ดาลเหตเุ ภทภยั ต่างๆ นานาใหเ้กดิ ข้นึ มเี ร่ืองเล่าเป็นตาํ นานต่อกนั มาว่า พบพระพุทธรูปในถาํ้ แห่งหน่ึงบนภูเขาควาย (เน่ืองจากชาวเมืองไดน้ าํ ไป ซ่อนไวเ้ พ่ือหนีภยั สงคราม) จึงนําข้นึ ประดิษฐานบนแพไมไ้ ผ่อญั เชิญมาทางลาํ นาํ้ งึมออกลาํ นาํ้ โขง เม่อื ถึงบริเวณ ปากนาํ้ งมึ เฉียงกบั บา้ นหนองกุง้ เมอื งหนองคาย (ปจั จุบนั อยู่ในเขตอาํ เภอโพนพิสยั ) เกิดพายุฝนตกหนกั พดั แท่นท่ี ประดษิ ฐานพระสุกจมนาํ้ สถานทน่ี นั้ ต่อมาจึงเรยี กว่า ‘เวนิ แท่น’ และในทใ่ี กลๆ้ กนั องคพ์ ระสุกจมก็หายไปในแมน่ าํ้ โขง และสถานท่นี นั้ ต่อมาเรียกว่า ‘เวนิ พระสุก’ หรอื ‘เวนิ สุก’ ส่วนพระเสริมและพระใสได้ อญั เชิญมาถงึ เมอื งหนองคาย อย่างปลอดภยั โดยมกี ารเลา่ ขานถงึ เหตทุ พ่ี ระสุกจมนาํ้ ทเ่ี วนิ สุก บา้ นหนองกงุ้ อาํ เภอโพนพสิ ยั ว่าพระราชธิดาสุก พระราช ธิดาพระองค์โตของพระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจกั รลา้ นชา้ งศรีสตั นาคนหุต ไดไ้ ปเกิดเป็นพระมเหสีของ พญานาคในเมอื งบาดาลท่มี คี วามศรทั ธาต่อองคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซ่งึ คือ พญานาคทพ่ี ่นบงั่ ไฟเป็นพทุ ธบูชาในวนั

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๘๕  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ออกพรรษา พระมเหสมี คี วามปรารถนาทจ่ี ะดูแลเองเพราะเป็นพระพทุ ธรูปประจาํ ตวั ของพระนาง จงึ ไดบ้ นั ดาลใหเ้กดิ พายุฝน จนทาํ ใหเ้รอื แพทอ่ี ญั เชญิ มาล่มลงและนาํ พระสุกไปดูแลเองท่เี มอื งนาคบาดาลใตล้ าํ นาํ้ โขง๒๕ นอกจากน้ีบางกเ็ ช่อื ว่า เหลา่ พญานาค นน้ั เป็นผูท้ ม่ี คี วามเคารพ และศรทั ธาในพระพทุ ธเจา้ มาก หลงั จากท่มี ี การสรา้ งพระพทุ ธรูปข้นึ ท่เี มอื งลา้ นชา้ ง ประเทศลาว ความทราบถงึ เหล่าพญานาค ทอ่ี ยู่เมอื งบาดาล จึงไดแ้ ปลงกาย เป็นมนุษยข์ ้นึ ไปขอพระพทุ ธรูปกบั เจา้ เมอื งลา้ นชา้ ง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพ่อื ไปไหวส้ กั การะบูชา ท่เี มอื งบาดาล เป็นเหตใุ หเ้มอ่ื มกี ารขนยา้ ยผา่ นลาํ นาํ้ โขง พระสุกจงึ จมลงนาํ้ เพยี งองคเ์ ดยี ว ดว้ ยเหตุน้ีหลายคนเช่อื ว่าเหตุท่ี อญั เชิญพระสุกข้นึ มาจากลาํ นาํ้ โขงไมส่ าํ เร็จก็เพราะพระมเหสพี ญานาค ท่ี เป็นอดีตราชธดิ าองคใ์ หญ่พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช ซง่ึ เป็นเจา้ ของพระสุกไม่อนุญาต จึงทาํ ใหอ้ ญั เชญิ ข้นึ มาไมส่ าํ เร็จ แต่ถา้ เมอ่ื ใดทพ่ี ญานาคอนุญาตกจ็ ะสามารถอญั เชิญไดส้ าํ เรจ็ ในปจั จบุ นั น้ีองคพ์ ระสุกก็ยงั จมอยู่ใตแ้ ม่นาํ้ โขง ต่อมาประมาณปี ๒๕๓๕ พระครูพิสยั กจิ จาทร เจา้ อาวาส วดั หลวง และเจา้ คณะอาํ เภอโพนพสิ ยั พรอ้ มดว้ ยญาตโิ ยม มคี วามประสงคจ์ ะก่อสรา้ งเจดียเ์ ป็นท่ปี ระดิษฐานหลวง พ่อพระสุก ซ่งึ เป็นพระพุทธรูปองคจ์ าํ ลอง จากองคจ์ ริงท่จี มอยู่ใตล้ าํ นาํ้ โขง เพ่อื ใหพ้ ทุ ธศาสนิกชนท่เี ล่อื มใสศรทั ธา ไดม้ าเคารพกราบไหว้ สกั การะ จึงไดร้ วบรวมปจั จยั ต่างๆ และเร่มิ ก่อสรา้ งเจดยี ไ์ วภ้ ายในวดั หลวง เมอ่ื วนั ท่ี ๙ ม.ค. ๒๕๓๕ แลว้ เสรจ็ เมอ่ื ๘ ต.ค. ๒๕๓๖ ใชง้ บประมาณทง้ั ส้นิ ๒,๒๕๐,๐๐๐ บาท หลงั จากนนั้ ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ประหลายเกิดข้นึ คือภายในเจดียอ์ นั เป็นท่ปี ระดิษฐานพระสุกจาํ ลอง คอื บรเิ วณเพดานเหนือองคพ์ ระสุกจาํ ลองไดม้ นี าํ้ ไหลหยดออกมาจากปล่องเพดานตลอดปี ซ่งึ ไม่ทราบว่านาํ้ ดงั กลา่ ว มาจากไหน พระครูพสิ ยั กจิ จาทร เจา้ อาวาสวดั หลวง จงั หวดั หนองคาย ไดใ้ หช้ ่างข้นึ ไปสาํ รวจดูบริเวณยอดเจดียว์ ่ามี รอยรวั่ หรอื มนี าํ้ ขงั อยู่หรอื ไม่ เน่ืองจากเกรงว่าจะทาํ ใหย้ อดเจดียท์ รุด และทาํ ใหพ้ ้นื เจดียไ์ ดร้ บั ความเสยี หาย แต่ก็ไม่ ปรากฏว่ามนี าํ้ ขงั อยู่ และไมม่ รี อยรวั่ รอยรา้ วใดๆ เกดิ ข้นึ ซ่งึ สรา้ งความแปลกประหลาดใจเป็นอย่างย่งิ ช่างหลายคน พยายามท่ีจะหาวธิ ีแกไ้ ขแต่ก็ไม่หาย ซ่ึงในปจั จุบนั ก็ยงั ไม่มีใครทราบว่านาํ้ ดงั กล่าวมาจากไหน และหยดลงมาได้ อย่างไร จนกระทงั่ ไดม้ ีการพาร่างทรงมาประทบั ทรง โดยร่างทรงกล่าวว่า “เหตุทีม่ นี า้ หยดเกิดข้นึ ตลอดเวลานนั้ เนือ่ งจาก มพี ญานาคตนหน่ึง นานา้ มาหลอ่ เล้ยี งและปกปกั รกั ษาองคพ์ ระพทุ ธรูปหลวงพ่อพระสุกอยู่ ไม่ใหเ้กิดเหตุ เภทภยั ข้นึ ” พระเสริมนน้ั ประดิษฐานอยู่ท่ีวดั โพธ์ิชยั ส่วนพระใสประดิษฐานอยู่ท่ีวดั หอก่อง (วดั ประดิษฐธ์ รรมคุณ) ต่อมายุครชั กาลท่ี ๔ พระบาทสมเด็จพระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั พระอุปราชแห่งกรุงรตั นโกสนิ ทรส์ มยั นนั้ พระองคท์ รงมี พระราชประสงคท์ ่จี ะอญั เชิญพระเสรมิ มาประดิษฐานยงั พระบวรราชวงั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั จึง โปรดเกลา้ ฯ ใหข้ นุ วรธานี และขา้ หลวง (เหมน็ ) ไปอญั เชิญพระเสริมและพระใสมายงั พระนคร เมอ่ื ครงั้ อญั เชิญพระ เสริมและพระใสมายงั พระนครนน้ั กล่าวกนั ว่าพระใสแสดงปาฏิหาริย์ เกวยี นท่ปี ระดิษฐานพระใสหกั ลงตรงหนา้ วดั โพธ์ิชยั ซ่อมก็หกั อีก ววั ลากเกวียนไม่ยอมเดิน ทง้ั เชิญและบวงสรวงก็ไม่เป็นผล สุดทา้ ยทหารจึงอญั เชิญพระใส ประดษิ ฐานทว่ี ดั โพธ์ิชยั แทน ส่วนพระเสรมิ อญั เชญิ ไปกรุงเทพฯ ๒๕ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ ประวตั พิ ระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสมั มนาพระพุทธศาสนา, (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พร้นิ ต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๘), หนา้ ๓๓-๓๖.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๘๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ (ปจั จบุ นั หลวงพ่อพระใสเป็นพระพทุ ธรูปคู่บา้ นคู่เมอื งของจงั หวดั หนองคายประดษิ ฐานท่วี ดั โพธ์ิชยั อาํ เภอ เมอื ง) ต่อมาเม่อื พระบาทสมเด็จพระป่ินเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๔๐๘พระบาทสมเด็จพระ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั จึงโปรดใหอ้ ญั เชิญพระเสริมจากพระบวรราชวงั ไปประดษิ ฐานยงั พระวหิ ารวดั ปทมุ วนาราม ชาว ลาวลา้ นชา้ งไดม้ าเฝ้ากราบไหวบ้ ูชาพระเสรมิ ตลอดทงั้ วนั ช่อื เสยี งพระเสรมิ กระจายไปทวั่ เขตพระนคร ว่ามพี ระใหญ่ ลา้ นชา้ งองคส์ าํ คญั ถกู อญั เชิญมาไวใ้ นกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ผูค้ นทวั่ สารทศิ ต่างแหแ่ หนกราบไหวบ้ ูชาทงั้ วนั ๒๖ วนั เวลาผ่านไปนาน ๒๐๐ กวา่ ปี ช่อื เสยี งพระเสรมิ ลมื หายไปตามกาลเวลา...... รายละเอยี ดเกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตรพ์ ทุ ธศาสนาลาว เร่ืองพระสุก พระเสริม พระใส พระแสน พระสายน์ (พระใส) ๑. ประวตั สิ มยั แรกสรา้ ง ในสมยั ท่อี าณาจกั รศรสี ตั นาคนหุตลา้ นชา้ งร่มขาวกาํ ลงั เจริญรุ่งเรืองอยู่นนั้ มีกษตั รยิ พ์ ระองคห์ น่ึงทรงพระ นามว่า พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช พระองคท์ รงครองราชย์ อยู่ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๙๓-๒๑๑๕ ในช่วงแรกของการกา้ ว ข้นึ สู่ราชบลั ลงั กพ์ ระองคท์ รงไดร้ บั การอภิเษกใหเ้ป็นกษตั ริยผ์ ูป้ กครองลา้ นนาเชียงใหม่ แต่ดว้ ยเหตทุ ่พี ระราชบดิ า ของพระองคท์ รงเสด็จสวรรคต ดว้ ยอุบตั ิเหตุอย่างกะทนั หนั พระองคจ์ งึ เสด็จกลบั มาครองราชยส์ มบตั ทิ ่กี รุงศรีสตั นาคนหุตลา้ นชา้ งร่มขาว (หลวงพระบาง) อกี ครง้ั ความทใ่ี นยุคสมยั ดงั กลา่ วอาณาจกั รลา้ นชา้ งตอ้ งทาํ สงครามกบั พม่าอยู่หลายครง้ั และเหตทุ เ่ี มอื งหลวงพระ บางกอ็ ยู่ในชยั ภมู ทิ ง่ี า่ ยต่อการรุกรานของพมา่ ดงั นนั้ พระองคจ์ ึงไดป้ รกึ ษาบรรดาพระสงั ฆราชและมขุ มนตรเี พ่อื ยา้ ย เมอื งหลวงมาอยู่ทน่ี ครเวียงจนั ทร์ และทรงไดอ้ พยพผูค้ นจากเมอื งหลวงพระบาง แพร่ น่าน พะเยา และเชียงใหม่ บางส่วนมาไวท้ ่เี วยี งจนั ทรแ์ ละเมอื งใกลเ้คียง เช่น เมอื งศรีเชยี งใหม่ กองนาง ท่าบ่อ เวียงคุก หนองคาย ปากหว้ ย หลวง (โพนพสิ ยั ) เป็นตน้ ในปี พ.ศ.๒๑๐๖ พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชนนั้ ทรงเป็นพระมหากษตั ริยท์ ่ที รงพระปรชี าสามารถเป็นอย่าง ยง่ิ ทง้ั ในดา้ นการศึก สงครามการปกครองบา้ นเมอื งอีกทงั้ ยงั ทรงเป็นพระมหากษตั ริยผ์ ูท้ รงธรรมดว้ ยทรงเป็นหน่อเน้ือกษตั ริยพ์ ระองค์ เดยี วทท่ี รงปรารถนา ความเป็นพระพทุ ธเจา้ ในอนาคต (พทุ ธภมู )ิ ดว้ ย ความทท่ี รงเป็นทง้ั นกั รบผูก้ ลา้ หาญและราชา ผูท้ รงธรรมจึงเป็นทเ่ี คารพยาํ เกรง ของแว่นแควน้ ใกลเ้คียงเป็นเหตุใหม้ ผี ูน้ าํ พระราชธิดามาถวายเป็นขา้ บาทปาทจา รกิ ามากมาย ในสว่ นของพระมเหสนี น้ั นอกจากทรงอภเิ ษกสมรสกบั เจา้ นางตนทพิ ย์ เจา้ นางตนคาํ พระราชธิดากษตั ริย์ เชียงใหมแ่ ลว้ พระองคท์ รงอภเิ ษกสมรสกบั ธิดาของพระยาแสนสุรินทรว์ ่างฟ้า (ชาวเมอื งหนองคาย) ผูเ้ ป็นเสนาบดี คู่บารมขี องพระองคน์ ามว่า พระนางจอมมณี ผูใ้ หก้ าํ เนิดพระธดิ าสุก เสริม ใส และพระหน่อเมอื งซง่ึ พระนางจอม มณีน้ีพระองคท์ รงสถาปนาไวใ้ นตาํ แหน่งอคั รมเหสผี ูท้ เ่ี ป็นท่โี ปรด ปรานของพระองคแ์ ละพระนางยอดคาํ ทพิ ยผ์ ูเ้ป็น พระราชมารดาของพระองคย์ ่งิ นกั ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากทรงสรา้ งวดั จอมมณีหรือวดั มณีเชษฐารามเป็นอนุสรณ์ใหเ้ป็นท่ี ประกอบการกศุ ลของพระนาง ส่วนพระราชธดิ าของพระองคท์ ง้ั ๓ คือพระราชธิดาสุก พระราชธิดาเสริม และพระราช ๒๖ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๓๖-๔๒.

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๘๗  ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ธดิ าใส นนั้ ก็ทรงเป็นท่โี ปรดปรานของพระองคเ์ ช่นเดยี วกนั และความท่พี ระองคเ์ ป็นผูท้ ่เี อาพระทยั ในการใหก้ ารทาํ นุ บาํ รุงพระพทุ ธศาสนาโดยประการต่างๆ ก็เป็นเหตุใหพ้ ระธิดาทง้ั ๓ ไดเ้ ป็นผูม้ อี ธั ยาศยั ในการบาํ เพ็ญพระราชกุศล เช่นเดียวกบั พระราชบดิ าโดยทรงเอาพระทยั ในการบาํ เพญ็ พระราชกุศลมปี ระการต่างๆ ดงั ปรากฏว่าทกุ คราวท่พี ระ ราชบดิ าทรงเสด็จไปทรงประกอบพระราชกิจทางพระศาสนา พระราชธิดาทง้ั ๓ พระองคก์ ็ทรงเสด็จไปร่วมการกศุ ล นน้ั ทกุ ครง้ั หลงั จากท่ีทรงยา้ ยเมอื งหลวงและอพยพผูค้ นลงมาท่ีเมอื งเวียงจนั ทรแ์ ลว้ พระองคก์ ็ใหส้ ร้างเมอื งเสร็จ จากนน้ั กท็ รงสรา้ งบูรณะปฎสิ งั ขรณ์วดั วาอารามหลายแห่ง ทงั้ ภายในเวยี งจนั ทรแ์ ละฝงั่ เมอื งหนองคาย เช่น วดั พระ ธาตหุ ลวง วดั ป่ามหาพทุ ธวงศ์ วดั ป่าฤาษสี งั หรณ์ วดั พระธาตุบงั พวน วดั พระธาตุโพนจิกเวยี งววั (พระธาตบุ )ุ วดั ศรี เมอื ง (เมอื งหนอง) วดั ศรคี ูณเมอื ง วดั พระธาตหุ นองคาย วดั พระไชยเชษฐาบา้ นกวนวนั วดั จอมมณี วดั โพธ์ิชยั หรือ วดั ผผี วิ วดั ถาํ้ สุวรรณคูหา (จงั หวดั หนองบวั ลาํ ภู) วดั พระธาตุหนองสามหมน่ื (จ.หนองบวั ลาํ ภู) วดั พระธาตุศีโคตร (เมอื งทา่ แขก) วดั พระธาตพุ นม เป็นตน้ นอกจากนน้ั ในปี พ.ศ. ๒๑๐๗ ทรงโปรดใหอ้ ญั เชญิ พระเจา้ แสนสามหมน่ื มา จากเมอื งหลวงพระบางเพ่อื มาประดิษฐานไวท้ ่หี อไตรกลางเมอื งเวียงจนั ทรเ์ พ่อื ใหป้ ระชาชนไดเ้ คารพสกั การะตาม กาลานุกาล ในปี พ.ศ.๒๑๐๙ หลงั จากท่ีพระองคท์ รงใหส้ รา้ งเจดียศ์ รีธรรมาโศกราช หรือพระธาตุหลวงเสร็จแลว้ พระองคก์ ็ทรงดาํ ริว่าการท่ที รงปรารถนาพทุ ธภูมนิ น้ั จะสาํ เร็จไดก้ จ็ ะตอ้ งหล่อ พระขนาดใหญ่สกั องคห์ น่ึงและทาํ บุญ เน่ืองดว้ ยการหลอ่ พระขนาดใหญ่นนั้ สกั ครง้ั หน่ึงเพอ่ื เป็นพทุ ธบูชาและเพ่อื บญุ กุศลท่ยี ง่ิ ใหญ่อนั จะเป็นบารมสี ่งเสริม ใหพ้ ระองคไ์ ดบ้ รรลุความปรารถนานนั้ โดยงา่ ย เมอ่ื มพี ระราชดาํ รเิ ช่นนน้ั แลว้ ก็ทรงป่าวประกาศแก่อาณาประชาราษฎร์ ทง้ั มวลว่า พระองคจ์ ะสรา้ งพระใหญ่ท่เี รียกว่า พระองคต์ ้ือ ถา้ หากผูใ้ ดมจี ิตเป็นกุศลปรารถนาจะร่วมพระบารมกี ็ ขอใหม้ าร่วมงานและถา้ มที องจะมาบริจาคร่วมสรา้ งพระองคต์ ้อื กส็ ามารถจะสามารถร่วมได้ เมอ่ื ทรงประกาศเช่นนน้ั แลว้ ประชาชนในแวน่ แควน้ ต่างกด็ ใี จท่จี ะไดร้ ่วมทาํ บญุ สรา้ งบารมพี รอ้ มกบั พระราชาจึงไดพ้ ากนั เปล่งสาธุการพรอ้ ม ทง้ั อาสาท่จี ะทาํ บุญ โดยนยั ต่างๆ บางพวกอาสาจะเป็นแรงงานหาฟืน บางพวกอาสาจะเป็นเจา้ ภาพอาหาร บางพวก ปรารถนาจะถวายทองเพอ่ื หลอ่ พระ ฯลฯ ดงั นนั้ ขา่ วการทาํ บญุ สรา้ งพระจงึ ไดก้ ลายมาเป็นเร่อื งทช่ี าวเมอื งพากนั ยนิ ดี และชน่ื ชม ในพระบารมขี องพระราชาของตนเป็นยง่ิ นกั เม่ือพระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช ทรงประกาศการสรา้ งพระอนั เป็นมหากุศลครง้ั ย่ิงใหญ่ เช่นนน้ั แลว้ ฝ่ าย พระธิดาทง้ั ๓ พระองค์ คือ พระราชธิดาสุก พระราชธิดาเสริม และพระราชธดิ าใส เมอ่ื ไดย้ นิ ข่าวอนั เป็นมงคล เช่นนน้ั กท็ รงปลาบปล้มื ยนิ ดแี ละทรงมพี ระราชหฤทยั ร่วมกนั ทจ่ี ะไดร้ ่วมสรา้ งกศุ ลไปพรอ้ มกบั พระราชบดิ าดว้ ยการ สรา้ งพระพทุ ธรูป และฝากพระนามไวใ้ นพระศาสนาบา้ ง เมอ่ื ดาํ รเิ ช่นนน้ั จึงไดพ้ ากนั เขา้ เฝ้าพระราชบดิ า เพอ่ื ขอพรใน การสรา้ งพระร่วมบารมดี งั กล่าว ฝ่ายพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชครน้ั ทรงทราบเจตนารมยข์ องพระธิดาเช่นนน้ั กท็ รงยนิ ดี และทรงอนุญาตในการปรารภบุญของพระราชธดิ าทงั้ ๓ ดว้ ย เมอ่ื พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช ทรงประกาศการกุศลแลว้ ก็ทรงมพี ระราชกระแสรบั สงั่ ใหฝ้ ่ายเจา้ หนา้ ทจ่ี ดั เตรยี ม สถานท่ีหล่อพระ คือบริเวณวดั อินแปง กลางเมืองเวียงจนั ทรแ์ ละใหช้ ่างปนั้ ลงมอื ปน้ั หุ่นพระพุทธรูป ๔ องค์ คือ พระองคต์ ้ือ สาหรบั พระองค์ และพระสุกสาหรบั พระธดิ าองคใ์ หญ่ พระเสริมสาหรบั พระธิดาองคร์ อง และพระใส

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๘๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง สาหรบั พระธิดาองคเ์ ล็ก ในการปนั้ หุ่นพระนน้ั พระองคท์ รงใหช้ ่างปน้ั ฝีมือดีท่ีทรงอพยพมาจากเมอื งหลวงพระบาง เมอื งเชยี งใหม่และหวั เมอื งทางเหนือเป็นผูล้ งมอื ปนั้ โดยพระพทุ ธรูปแต่ละองค์ จะมพี ทุ ธลกั ษณะท่ไี มเ่ หมอื นกนั และ มขี นาดลดหลนั่ กนั ตามลาํ ดบั กลา่ วคอื พระองคต์ ้อื มขี นาดใหญส่ ุด ถดั จากนนั้ กเ็ ป็ นพระสุก พระเสริม และพระใส ท่ี สาํ คญั ทรงมพี ระราชบญั ชาว่าใหช้ ่างปน้ั ใหง้ ดงามตามความสามารถท่ีตนมอี ยู่ และในระหว่างช่างปน้ั กาํ ลงั ลงมอื นนั้ พระธิดาทงั้ ๓ พระองคก์ ็ทรงเสด็จพระราชดาํ เนินไปเพ่อื ทอดพระเนตรการปนั้ โดยตลอด กล่าวเฉพาะพระใสนน้ั พวก ช่างปน้ั ไดร้ บั คาํ แนะนาํ จากพระสงั ฆราชว่าในอนาคตพระพทุ ธรูปองคน์ ้ีจาํ ตอ้ งใชใ้ นการแห่แหน เพ่อื กิจบางอย่างตาม ประเพณีของชาวเมอื ง เช่น การขอฝนในคราวทฝ่ี นไม่ตกตอ้ งตามฤดูกาล เป็นตน้ จึงควรทาํ ห่วงไวใ้ ตฐ้ านพระดว้ ย เมอ่ื ไดร้ บั คาํ แนะนาํ เช่นนน้ั พวกช่างปน้ั พระใสจงึ ไดป้ นั้ ห่วงกลมโตขนาดน้ิวมอื ไวท้ ่ฐี านใตอ้ งคพ์ ระ อน่ึง การทช่ี ่างปนั้ พระตามศิลปะ ท่ตี นชาํ นาญประการหน่ึง หรอื การทช่ี ่างปน้ั พระตามความตอ้ งการของผูส้ รา้ งประการหน่ึง เพราะเหตุ ดงั กลา่ วจงึ ทาํ ใหพ้ ระพทุ ธรูปทงั้ ๔ องค์ มพี ทุ ธลกั ษณะทไ่ี ม่เหมอื นกนั ตง้ั แต่คราวท่พี ระราชาทรงประกาศกิจอนั เป็นกุศลดว้ ยการสรา้ งพระแลว้ ประชาชนต่างก็พากนั นาํ เอาทอง มาร่วมบริจาคกนั เป็นจาํ นวนมาก ฝ่ ายเจา้ หนา้ ท่ีพระคลงั หลวงจึงไดป้ ระกาศงดรบั บริจาคทองเม่อื ใกลถ้ ึงวนั งาน จากนน้ั เมอ่ื ช่างปนั้ หุ่นพระเสรจ็ แลว้ ฝ่ายช่างหล่อกไ็ ดเ้ร่ิมลงมอื หลอมทอง แต่เน่ืองจากทองท่เี จา้ หนา้ ท่เี บกิ จากคลงั หลวงและท่ปี ระชาชนนาํ มาร่วมบริจาคนน้ั มจี าํ นวนมาก ดงั นนั้ การหลอมทองจึงจาํ เป็นตอ้ งใชผ้ ูค้ นมาช่วยงานเป็น จาํ นวนมากเพียงลาํ พงั เจา้ หนา้ ท่จี ึงไม่เพียงพอ ดงั นนั้ จึงมพี ระราชกระแสรบั สงั่ ใหบ้ รรดาขา้ โอกาส (เลกวดั ) และ ประชาชนทวั่ ไปผูป้ วารณาอุทิศแรงกายมาร่วมบุญนนั้ เขา้ มาช่วยงานเจา้ หนา้ ท่ดี ว้ ย ซ่งึ การหลอมทองนนั้ เป็นไปดว้ ย ความยากลาํ บากทงั้ น้ีเพราะทองมจี าํ นวนมากและมวี ตั ถหุ ลายประเภททาํ ใหท้ องไม่ละลาย ฝ่ายเจา้ หนา้ ท่แี ละบรรดา เลกวดั ประชาชนทวั่ ไปจึงไดพ้ ากนั มาร่วมงานช่วยกนั หลอมทองกนั อย่างขะมกั เขมน้ แต่แมว้ ่าจะใชค้ วามพยายาม อยา่ งไรทองกไ็ มห่ ลอมละลายเป็นเน้ือเดยี วกนั สกั ที ทงั้ ทป่ี ระชาชนและเจา้ หนา้ ทใ่ี ชเ้วลากว่า ๗ วนั ในการสูบเตา อน่ึง การท่ที องไม่ละลายนน้ั ไดส้ รา้ งความกดดนั ใหก้ บั บรรดาเจา้ หนา้ ท่แี ละประชาชน รวมถึงพระสงฆส์ ามเณรผูม้ สี ่วน ร่วมในการทาํ งานในครงั้ นน้ั เป็นอย่างมากทงั้ น้ี ก็เพราะเกรงในพระราชอาชญาของพระเจา้ แผ่นดนิ หากว่าไม่สามารถ หลอมทองใหเ้ป็นเน้ือเดียวกนั ทนั กาํ หนดการเสด็จมาประกอบพธิ เี ททองหล่อพระในวนั ท่ที รงกาํ หนด ไดพ้ อเวลาล่วง เขา้ สู่วนั ท่ี ๘ ประชาชนและเจา้ หนา้ ท่ที ง้ั หมดจึงไดเ้ ร่งกนั ทาํ งานกนั อย่างเต็มท่ี พอถึงเวลาใกลเ้ท่ยี งทุกคนจึงพากนั กลบั บา้ นไปพกั เหน่ือยเหลอื แต่หลวงตากบั สามเณรนอ้ ยทก่ี าํ ลงั สูบเตาอยู่ ในระหว่างนนั้ ปรากฏมชี ีปะขาวคนหน่ึงมา ขอช่วยงานและบอกใหห้ ลวงตากบั สามเณร นอ้ ยข้นึ ไปฉนั เพลได้ เมอ่ื หลวงตากบั สามเณรนอ้ ยข้นึ มาฉนั เพลแลว้ ประชาชนท่มี าถวายอาหารก็เห็นชี ปะขาวจาํ นวนมากช่วยกนั ทาํ งาน เมอ่ื หลวงตากบั สามเณรและประชาชนลงมาดูก็ ปรากฏวา่ ทองทง้ั หมดหลอมเป็นเน้ือ เดียวกนั เรียบรอ้ ย ซ่งึ เหตุการณด์ งั กลา่ วไดส้ รา้ งความอศั จรรยแ์ ก่ผูพ้ บเหน็ เป็น อย่างยง่ิ จงึ เป็นอนั วา่ ในวนั นน้ั ทองกพ็ รอ้ มและเป็นไปตามกาํ หนดการเสดจ็ มาเททองของพระราชาพอดี ส่วนเจา้ หนา้ ท่ี ท่มี หี นา้ ท่ีรบั ผิดชอบในดา้ นต่างๆ เช่นฝ่ ายพธิ ีการและฝ่ ายสถานท่ีก็ไดเ้ ตรียมสถานท่ีและกาํ หนดการต่างๆ มกี าร

บทท่ี ๘ “อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนค”์ ๕๘๙  ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ นิมนตพ์ ระและบรรดาโหราจารย์ พราหมณาจารยม์ าจนครบ รวมถงึ ส่งิ ของทใ่ี ชใ้ นพิธีบวงสรวงประกอบการเททอง อยา่ งครบถว้ นสมบูรณ๒์ ๗ พระใส วดั โพธ์ชิ ยั จงั หวดั หนองคาย ฝ่ ายพระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช เม่ือทรงราบว่าเจา้ หนา้ ท่ีไดเ้ ตรียมสถานท่ี พิธีกรรมและกาํ หนดการต่างๆ เรยี บรอ้ ยแลว้ ก่อนจะถงึ เวลาพระองคไ์ ดท้ รงนุ่งขาวห่มขาวเสด็จเขา้ ไปในหอ้ งไหวพ้ ระเพ่อื ทาํ สมาธแิ ละอธิษฐานต่อ เทวดาอารกั ษ์ พญานาคผูร้ กั ษาเมอื งตามจารีตอนั เป็นกิจท่ีบูรพกษตั ริยใ์ นอดีตทรงปฏิบตั ิมา เม่อื ไดเ้ วลาตรงตาม มหาฤกษม์ หาชยั แลว้ พระองคก์ ็ไดท้ รงมอบภารกิจในการปกครองบา้ นเมอื งให้ (มอบอาํ นาจให)้ กบั พระอคั รมเหสี หากเกิดเหตุการณ์ใดๆ ข้นึ ในระหว่างน้ีพระอคั รมเหสีสามารถสงั่ การแทนไดท้ ุกอย่าง จากนนั้ จึงไดเ้ สด็จไปท่ีลาน ประกอบพิธี ณ วดั อินแปงซ่งึ มบี รรดาพระสงฆแ์ ละพระบรมวงศานุวงศม์ พี ระนางยอดคาํ ทพิ ย์ พระราชมารดาของ พระองค์ พระธิดาสุก เสรมิ ใส และขา้ ราชการชนั้ ผูใ้ หญ่รวมถงึ มขุ มนตรีและประชาชนรออยู่เป็นจาํ นวนมาก เมอ่ื ได้ ฤกษย์ ามเหมาะสมตามคตขิ องโบราณจารยแ์ ลว้ พระองคก์ ไ็ ดเ้สด็จข้นึ สู่หอพธิ ี (บนั ไดหรือหา้ งรา้ นท่เี จา้ พนกั งานทาํ ข้นึ เพอ่ื ใหพ้ ระองคเ์ สดจ็ ข้นึ ไปเททองหลอ่ ) ทจ่ี ะเททองจากเบา้ หลอ่ ทก่ี าํ ลงั รอ้ นอยู่ ทรงจบั พระขรรคด์ ว้ ยพระหตั ถข์ า้ งซา้ ย เอาพระหตั ถเ์ บ้อื งขวารบั เอาเบา้ ตม้ ทองซง่ึ กาํ ลงั แดงๆ ทช่ี ่างเอาเหลก็ คบี ส่งมาใหน้ นั้ ดว้ ยพระหตั ถเ์ ปล่าๆ เมอ่ื รบั แลว้ กท็ รงเทลงในห่นุ ทเ่ี ตรยี มไวด้ ว้ ยอาการเหมอื นกบั จบั หมวกมาสวมใส่พระเกศฉะนน้ั โดยไม่มอี าการว่ารอ้ นและหนกั แก่ ประการใด เม่อื ช่างส่งใหเ้ ท่าไหร่พระองคก์ ็รบั เอาดว้ ยพระหตั ถเ์ ปล่าๆ แลว้ เทใส่เบา้ หลอมดว้ ยพระองคเ์ องจนหมด จากนน้ั พระองคก์ ไ็ ดเ้ สด็จไปยงั หุ่นพระพทุ ธรูปอีก ๓ องค์ ทเ่ี ตรียมไวค้ ือพระสุก พระเสริม และพระใส โดยทรงเท ทองลงในเบา้ พระทง้ั ๓ องคจ์ นครบโดยอาการเช่นเดียวกบั ท่ที รงเททองพระองคต์ ้ือ เมอ่ื พระองคท์ รงเททองเสรจ็ แลว้ พระสงฆก์ ไ็ ดอ้ นุโมทนาประพรมนาํ้ พระพทุ ธมนตแ์ ก่ พระพุทธรูปท่ที รงหล่อจากนน้ั ทรงสนทนากบั บรรดาขา้ ราชการและผูม้ าร่วมงานจาก นน้ั กไ็ ดเ้สดจ็ นิวตั สิ ู่พระนคร รุ่งเชา้ พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช พรอ้ มดว้ ยพระนางยอดคาํ ทพิ ยพ์ ระราชมารดา พระนาง เจา้ จอมมณีพระอคั รมเหสี พรอ้ มพระธดิ าทง้ั ๓ รวมถงึ พระบรมวงศานุวงศก์ ไ็ ดเ้สดจ็ ออกประทบั ท่วี ดั อินแปง เพ่อื บาํ เพญ็ กุศลฉลอง พระพทุ ธรูปจากนน้ั กเ็ สด็จกลบั ฝ่าย ๒๗ ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๒-๔๕.

บทท่ี ๘ “อทิ ธิพลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ เอเชียตะวนั ออก‛ ๕๙๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ เจา้ หนา้ ท่ีก็ไดท้ าํ การแกะบลอ๊ คพระพุทธรูป ทงั้ ๔ องคจ์ ากนนั้ ก็ทาํ การซ่อมขดั แต่งทงั้ ฐานและองคพ์ ระจนเสร็จ จากนน้ั ทรงมพี ระกระแสรบั สงั่ ใหเ้คลอ่ื นยา้ ยพระพทุ ธรูปทง้ั หมดไปไว้ ณ วดั ต่างๆ ดงั น้ี พระองคต์ ้อื อญั เชิญไปไวท้ ่ี วดั ศรพี มู สว่ นพระสุก พระเสรมิ พระใสนน้ั อญั เชญิ ไปไวท้ ว่ี ดั โพนชยั และพระพทุ ธรูปทงั้ ๔ องคก์ ็ประดิษฐานไว้ ณ วดั ดงั กลา่ วนบั ตงั้ แต่นนั้ เป็นตน้ มา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๑๓ ภายหลงั จากสรา้ งเสร็จแลว้ พม่าไดย้ กกองทพั ข้นึ มาถงึ เวยี งจนั ทน์ ครง้ั ท่ี ๒ พระยาแสนสุรินทรค์ ว่างฟ้า เสนาบดีผูใ้ หญ่ไดก้ ราบทูลถึงแผนการรบกบั พม่าดว้ ยการยา้ ยคนและทรพั ยส์ นิ มคี ่า ออกจากเมอื งเพ่อื ใหเ้มอื งกลายเป็นเมอื งรา้ งก่อนทจ่ี ะยกกาํ ลงั เขา้ ลอ้ มปราบ เมอ่ื เวลาท่พี ม่าอดโซเพราะขาดเสบยี ง อาหาร ในแผนการครง้ั น้ีกเ็ ชอ่ื ว่ามกี ารเคลอ่ื นยา้ ยพระพทุ ธรูปทง้ั ๓ องค์ คือ พระสุก พระเสรมิ พระใส ออกจาก เมอื งโดยเคลอ่ื นยา้ ยข้นึ ไปทางเมอื งเวียงนาํ้ งมึ และอาจนาํ ไปซ่อนไวใ้ นถาํ้ บนภูเขาควายเมอ่ื เสร็จส้นิ สงครามจึงนาํ กลบั มาไวท้ เ่ี ดมิ ๒๘ ๒. เหตกุ ารณ์สมยั พระเจา้ อยั ยโกโพธสิ ตั วเ์ จา้ (พระยาแสนสุรนิ ทร)์ -พระเจา้ สรุ ยิ วงศาธรรมิกราช เมอ่ื พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราชทรงสวรรคตแลว้ พระยาแสนสุรนิ ทรค์ ว่างฟ้าก็ข้นึ ครองราชยเ์ ป็นกษตั ริยใ์ นช่วงปี พ.ศ. ๒๑๑๕–๒๑๘๑ และในสมยั นน้ั บา้ นเมอื งก็ไดม้ กี ารทาํ สงครามกบั พมา่ และตวั ของท่านก็ถูกจบั ไปเป็นเชลย และ เมอื งเวยี งจนั ทนก์ ต็ กเป็นเมอื งข้นึ ของพมา่ ในปี พ.ศ. ๒๑๑๗ และทางรฐั พม่าไดส้ ่งพระมหาอุปราชวรวงั เสนา เป็นพระเจา้ แผ่นดินแทน พอถงึ พ.ศ. ๒๑๒๒ พระเจา้ มหาอุปราชวรวงั โสกต็ อ้ งเผชิญกบั สงครามจากกบฎ ซง่ึ อา้ งตวั ว่าเป็นพระไชยเชษฐาธิราช ทย่ี กข้นึ มา จากอตั ตะปือ มาตีเวยี งจนั ทนจ์ นเป็นเหตุใหพ้ ระองคห์ นีไปจมนาํ้ สวรรคตในแมน่ าํ้ โขง จนทางพมา่ ตอ้ งส่งพระเจา้ สุมงั คลอยั โกโพธิสตั วก์ ลบั มาครองเมอื ง ซ่งึ ในสมยั น้ีก็ไมไ่ ดม้ กี ารบนั ทกึ ใดๆ เก่ยี วกบั พระพทุ ธรูปทง้ั ๓ องคแ์ ต่ประการ ใด พ.ศ. ๒๑๔๑ พระวรวงศาธรรมริ าช เสดจ็ ข้นึ ครองราชและไดป้ ระกาศอสิ ระภาพจากรฐั พมา่ ต่อมา พ.ศ. ๒๑๖๕–๒๑๘๑ ตงั้ แต่พระมหาอุปราชพระโอรสพระเจา้ วรวงศาฯ ข้นึ ครองราชยม์ าถงึ พระ บนั ฑติ โพธสิ ารและรชั สมยั พระหมอ่ มแกว้ ในช่วงระยะเวลา ๑๖ ปี มแี ต่เร่อื งวุ่นวายทางการเมอื ง ซง่ึ ความวุ่นวาย ทางการเมอื งดงั กลา่ วมหี ลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรบ์ นั ทกึ เอาไวว้ า่ ‚เมอ่ื นครเวยี งจนั ทน์ เกดิ ความไมส่ งบ สง่ิ หน่ึงมาจากพระเจา้ พน่ี อ้ งแย่งชิงกนั เป็นพระเจา้ แผ่นดิน และลอบ ประหตั ประหารกนั อยูเ่ รอ่ื ยมา ญาตพิ น่ี อ้ งและเสนาขา้ ราชการทจ่ี งรกั ภกั ดีต่อเจา้ สุริยกุมาร จงึ พรอ้ มใจกนั เอาเจา้ สุริย กมุ ารหนีไปซอ่ นอยู่ทภ่ี เู ขาควาย แลว้ ชกั ชวนประชาชนทอ่ี ยูใ่ นเขตนนั้ เขา้ เป็นพรรคพวกไดเ้ป็นอนั มาก‛ ๒๘ ประพฒั น์ ศรีกูลกจิ ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว : เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสมั มนาพระพทุ ธศาสนา, หนา้ ๔๕-๔๘.