พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 155 อรรถกถาอนจิ จสตู รที่ ๔ ในอนิจจสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดงั ตอ ไปน้ี :- บทวา ฉนฺโท ไดแ ก ความพอใจดวยอาํ นาจตณั หา. จบ อรรถกถาอนจิ จสูตรที่ ๔ ๕. ทกุ ขสตู รวาดว ยการละความพอใจในสิ่งทเ่ี ปน ทกุ ข [๑๔๓] กรุงสาวัตถี ฯลฯ ภกิ ษรุ ปู หนึ่งเขา ไปเฝาพระผมู -ีพระภาคเจาถงึ ทีป่ ระทับ ถวายอภวิ าทแลว นงั่ ณ ที่ควรสว นขา งหนง่ึคร้นั แลว ไดก ราบทลู พระผมู ีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผูเ จริญขอพระผูม ีพระภาคเจาโปรดประทานพระวโรกาส โปรดแสดงพระธรรมเทศนาโดยสังเขปแกข า พระองค ทีข่ าพระองคไ ดสดบั แลวฯลฯ มใี จม่ันคงอยูเถิด. พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนภกิ ษุ ส่งิ ใดแลเปนทกุ ขเธอควรละความพอใจในสง่ิ น้นั เสยี . ภ.ิ ขาแตพระผมู ีพระภาคเจา ขา พระองคทราบแลว ขาแตพระสุคต ขาพระองคท ราบแลว. พ. ดูกอ นภกิ ษุ กเ็ ธอรูซง้ึ ถึงอรรถแหง คาํ ที่เรากลาวแลวอยางยอ โดยพิสดารไดอยา งไรเลา ? ภ.ิ ขาแตพระองคผูเ จริญ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ เปนทกุ ข ขาพระองคค วรละความพอใจในสิ่งน้นั ๆ เสยี
พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 156ขา พระองครซู ้ึงถึงอรรถแหงพระดํารัสทพ่ี ระผูมพี ระภาคเจาตรัสแลวอยางยอ โดยพิสดารอยางนีแ้ ล. พ. ดีแลว ๆ ภิกษุ เธอรูซ้งึ ถึงอรรถแหง คําท่ีเรากลา วแลวอยา งยอ โดยพสิ ดารอยางดีแลว ดูกอ นภิกษุ รูป เวทนา สัญญาสังขาร และวญิ ญาณ เปนทกุ ข ควรละความพอใจในส่งิ นั้น ๆ เสยีเธอพงึ ทราบอรรถแหง คาํ ท่ีเรากลาวแลวอยา งยอ โดยพิสดารอยา งน้ีเถดิ ฯลฯ ภกิ ษุรูปนน้ั ไดเปน พระอรหนั ตองคห น่งึ ในจํานวนพระอรหนั ตทัง้ หลาย. จบ ทุกขสตู รที่ ๕ ๖. อนัตตสตู รวา ดว ยการละความพอใจในสิ่งเปนอนัตตา [๑๔๔] กรุงสาวตั ถ.ี ภิกษุรปู หนง่ึ เขาไปเฝาพระผมู -ีพระภาคเจา ถึงที่ประทบั ถวายอภิวาทแลวนง่ั ณ ทีค่ วรสวนขา งหน่ึงครัน้ แลว ไดกราบทูลพระผมู ีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผ ูเจริญขอพระผูม พี ระภาคเจาโปรดประทานพระวโรกาส โปรดแสดงพระธรรมเทศนาโดยสงั เขปแกขา พระองค ที่ขาพระองคไดส ดบั แลวฯลฯ มใี จม่นั คงอยูเถดิ . พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา ดูกอ นภกิ ษุ ธรรมใดแลเปน อนัตตาเธอควรละความพอใจในธรรมน้นั เสยี . ภ.ิ ขา แตพระผมู พี ระภาคเจา ขาพระองคท ราบแลว ขาแตพระสุคต ขา พระองคท ราบแลว.
พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 157 พ. ดูกอ นภกิ ษุ กเ็ ธอรซู งึ้ ถงึ อรรถแหงคําที่เรากลาวแลวอยางยอ โดยพิสดารไดอ ยา งไรเลา. ภิ. ขาแตพ ระองคผเู จรญิ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ เปนอนตั ตา ขา พระองคควรละความพอใจในสงิ่ น้นั ๆ เสียขาพระองคร ซู ้ึงถงึ อรรถแหงพระดาํ รัสที่พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั แลวอยา งยอ โดยพสิ ดารอยา งนีแ้ ล. พ. ดแี ลว ๆ ภิกษุ เธอรซู ง้ึ ถงึ อรรถแหง คาํ ที่เรากลา วอยางยอโดยพิสดารอยา งดีแลว ดกู อนภิกษุ รปู เวทนา สญั ญา สังขารและวญิ ญาณ เปน อนัตตา ควรละความพอใจในธรรมน้ัน ๆ เสียเธอพงึ ทราบอรรถแหง คาํ ท่ีเรากลาวแลว อยา งยอ โดยพสิ ดารอยางน้ีเถดิ ฯลฯ ภิกษนุ ั้นไดเ ปน พระอรหันตองคห นึง่ ในจาํ นวนพระอรหันตท ้งั หลาย. จบ อนตั ตสตู รที่ ๖อรรถกถาทุกขสตู รท่ี ๕ - อนัตตสตู รที่ ๖ แมในทกุ ขสูตรท่ี ๕ และอนัตตสูตรที่ ๖ ก็นัยนเี้ หมอื นกนั . จบ อรรถกถาทุกขสตู รท่ี ๕ - อนตั ตสูตรท่ี ๖ ๗. อนตั ตนยิ สูตรวาดว ยการละความพอใจในส่งิ มใิ ชข องตน [๑๔๕] กรงุ สาวัตถี. ภกิ ษรุ ูปหนึ่งเขาไปเฝา พระผูม-ีพระภาคเจาถงึ ทีป่ ระทับ ถวายอภวิ าทแลว นงั่ ณ. ที่ควรสว นขา งหนึ่งครนั้ แลว ไดกราบทลู พระผูมีพระภาคเจาวา ขา แตพ ระองคผูเจรญิ
พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 158ขอพระผมู ีพระภาคเจา โปรดประทานพระวโรกาส โปรดแสดงพระธรรมเทศนาโดยสังเขปแกข าพระองค ที่ขา พระองคไ ดสดบั แลวฯลฯ มีใจมั่นคงอยเู ถิด. พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา ดกู อนภกิ ษุ สง่ิ ใดแลมใิ ชเ ปน ของตนเธอควรละความพอใจในสิ่งนัน้ เสยี . ภ.ิ ขาแตพ ระผูม ีพระภาคเจา ขาพระองคทราบแลว ขา แตพระสคุ ต ขาพระองคทราบแลว . พ. ดูกอนภกิ ษุ กเ็ ธอรซู งึ้ ถงึ อรรถแหง คําทีเ่ รากลา วแลวอยางยอ โดยพสิ ดารไดอ ยา งไรเลา . ภิ. ขาแตพระองคผเู จรญิ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ มิใชเ ปนของตน ขาพระองคค วรละความพอใจในสภาวะนั้นๆเสีย ขา พระองครซู ้งึ ถึงอรรถแหง พระดาํ รสั ทีพ่ ระผูมีพระภาคเจาตรัสแลว อยางยอ โดยพสิ ดารอยา งน้แี ล. พ. ดีแลว ๆ ภกิ ษุ เธอรูซง้ึ ถงึ อรรถแหงคําทเ่ี รากลา วอยา งยอโดยพิสดารอยางดแี ลว ดกู อนภิกษุทั้งหลาย รูป เวทนา สญั ญา สังขารและวิญญาณ มิใชเปน ของตน ควรละความพอใจในสภาวะนั้น ๆ เสยีเธอพึงทราบอรรถแหงคาํ ทเ่ี รากลาวแลวอยางยอ โดยพสิ ดารอยา งน้ีเถิด ฯลฯ ภกิ ษรุ ปู นน้ั ไดเปน พระอรหนั ตองคห นงึ่ ในจํานวนพระอรหันตทงั้ หลาย. จบ อนัตตนิยสตู รท่ี ๗
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 159 อรรถกถาอนัตตนิยสตู รที่ ๗ ในอนตั ตนิยสตู รที่ ๗ มวี ินจิ ฉยั ดังตอไปนี้ :- บทวา อนตตฺ นิย ไดแ ก มิใชของของตน อธบิ ายวา สญู จากความเปนบริขารของตน. จบ อรรถกถาอนตั ตนิยสตู รท่ี ๗ ๗. รชนยิ สัณฐิตสูตรวาดว ยการละความพอใจในสิ่งจูงใจใหก ําหนดั [๑๔๖] กรงุ สาวตั ถ.ี ภิกษุรปู หนึ่งเขาไปเฝาพระผูม-ีพระภาคเจา ถึงทป่ี ระทับ ถวายอภวิ าทแลวน่งั ณ ที่ควรสว นขางหน่งึครนั้ แลว ไดกราบทลู พระผมู ีพระภาคเจาวา ขา แตพ ระองคผ ูเจรญิขอพระผมู พี ระภาคเจา โปรดประทานพระวโรกาสโปรดแสดงพระธรรมเทศนาโดยสังเขปแกข า พระองค ทข่ี าพระองคไ ดส ดบั แลวฯลฯ มใี จมน่ั คงอยเู ถิด. พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา ดูกอ นภกิ ษุ ส่งิ ใดแลจงู ใจใหกําหนดัเธอควรละความพอใจในสง่ิ นนั้ เสีย ภ.ิ ขาแตพระผมู ีพระภาคเจา ขา พระองคทราบแลว ขาแตพระสุคต ขาพระองคทราบแลว . พ. ดูกอนภกิ ษุ กเ็ ธอรูซงึ้ ถึงอรรถแหงคาํ ท่เี รากลาวแลวอยางยอ โดยพสิ ดารไดอยา งไรเลา. ภ.ิ ขา แตพ ระองคผเู จรญิ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ลว นจูงใจใหก าํ หนัด ขาพระองคค วรละความพอใจในสิง่ น้ัน ๆ
พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 160เสีย ขาพระองคร ซู ึ้งถงึ อรรถแหงพระดํารสั ทพ่ี ระผูมพี ระภาคเจาตรสัแลวอยางยอ โดยพสิ ดารอยางน้แี ล. พ. ดแี ลว ๆ ภกิ ษุ เธอรซู ง้ึ ถึงอรรถแหงคาํ ทีเ่ รากลา วแลวอยางยอ โดยพิสดารอยางดีแลว ดกู อนภิกษุ รูป เวทนา สัญญาสงั ขาร และวญิ ญาณแลว ลวนจงู ใจใหกาํ หนดั ควรละความพอใจในสิ่งนั้น ๆเสีย เธอพึงทราบอรรถแหง คาํ ทเี่ รากลา วแลวอยางยอ โดยพิสดารอยางนี้เถิด ฯลฯ ภกิ ษรุ ปู นัน้ ไดเปนพระอรหนั ตอ งคห นึง่ ในจาํ นวนพระอรหนั ตท้ังหลาย. จบ รชนยิ สณั ฐิตสูตรท่ี ๘ อรรถกถารชนิยสัณฐิตสูตรที่ ๘ ในรชนยี สัณฐิตสูตรท่ี ๘ มวี นิ จิ ฉยั ดังตอไปนี้ :- บทวา รชนยี สณฺ ิต ไดแ ก ต้งั อยูโดยอาการอันเปนทตี่ ง้ั แหงความยินดี อธบิ ายวา ต้งั อยโู ดยความเปน ปจจัยแหง ราคะ. จบ อรรถกถารชนยิ สัณฐติ สูตรท่ี ๘ ๙. ราธสูตรวา ดว ยการไมมีอหังการมมงั การและมานานสุ ัย [๑๔๗] กรงุ สาวัตถ.ี ณ ที่นนั้ แล ทา นพระราธะไดเ ขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจา ถงึ ท่ีประทับ ครน้ั แลว ไดท ลู ถามพระผมู พี ระภาคเจาวา ขา แตพระองคผเู จริญ บคุ คลรูเหน็ อยางไร จึงจะไมม ีอหังการมมังการ และมานานสุ ัย ในกายทีม่ ีวิญญาณนี้ และในสรรพนมิ ติ ภายนอก.
พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 161 พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา ดกู อนราธะ รูปอยางใดอยา งหน่ึงท้งั ทเ่ี ปนอดตี อนาคต และปจ จบุ ัน เปนภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรอื ประณีต อยใู นที่ไกลหรอื ใกล อริยสาวกยอมพจิ ารณาเห็นรปู ท้งั หมดนนั้ ดว ยปญญาอันชอบตามความเปนจริง อยา งนี้วานัน่ ไมใชข องเรา เราไมเปนนน่ั นน่ั ไมใชอ ตั ตาของเรา เวทนาอยางใดอยา งหนึ่ง สัญญาอยางใดอยางหน่งึ สงั ขารเหลา ใดเหลาหน่ึง วิญญาณอยางใดอยา งหนง่ึ ทัง้ ทเี่ ปน อดตี อนาคต และปจจุบนั ฯลฯ อยใู นท่ีไกลหรือใกล อรยิ สาวกยอ มพิจารณาเห็นวญิ ญาณท้งั หมดนน้ั ดว ยปญ ญาอนั ชอบ ตามความเปน จริงอยา งนว้ี า นั่นไมใ ชของเรา เราไมเ ปนน่ันนนั่ ไมใชอัตตาของเรา ดูกอนราธะ บุคคลรเู หน็ อยา งน้ีแล จงึ ไมมีอหังการมมังการ และมานานสุ ัย ในกายที่มีวิญญาณน้ี และในสรรพนมิ ิตภายนอกฯลฯ ทา นพระราธะไดเปนพระอรหันตอ งคหน่งึ ในจาํ นวนพระอรหันตทัง้ หลาย. จบ ราธสูตรที่ ๙ ๑๐. สรุ าธสูตรวาดว ยการมีใจปราศจากอหังการมมังการและมานานสุ ัย [๑๔๘] กรงุ สาวตั ถ.ี ณ ทีน่ ั้นแล ทา นพระสุราธะไดท ลู ถามพระผมู ีพระภาคเจาวา ขา แตพ ระองคผูเ จริญ เม่ือบคุ คลรูเ ห็นอยา งไรจึงจะมใี จปราศจากอหงั การ นมังการ และมานานุสยั ในกายทมี่ วี ิญญาณนี้และในสรรพนิมติ ภายนอก กา วลว งมานะดวยดี สงบระงับ พน วเิ ศษแลว. พระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา ดกู อ นสุราธะ รปู อยา งใดอยางหนึง่ทั้งทเ่ี ปนอดีต อนาคต และปจจุบนั ฯลฯ อยใู นท่ีไกลหรือใกล อรยิ สาวก
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 162พิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนน้ั ดวยปญญาอันชอบ ตามความเปน จรงิอยางน้วี า น่นั ไมใชของเรา เราไมเ ปนนั่น นั่นไมใชอ ตั ตาของเราดงั นแ้ี ลว เปนผูหลดุ พนเพราะไมถ อื มัน่ เวทนาอยางใดอยางหนึง่สญั ญาอยางใดอยา งหนง่ึ สังขารเหลาใดเหลา หนึ่ง วิญญาณอยา งใดอยา งหน่งึ อริยสาวกพิจารณาเห็นวิญญาณท้ังหมดนน้ั ดว ยปญ ญาอนั ชอบ ตามความเปนจรงิ อยางนว้ี า น่นั ไมใชของเรา เราไมเปนนั่นน่ันไมใชอัตตาของเรา ดงั นี้แลว เปน ผูหลุดพนเพราะไมถ ือมน่ั ดกู อ นสรุ าธะ บคุ คลเม่อื รูเห็นอยางน้ีแล จึงจะมีใจปราศจากอหังการ มมงั การและมานานุสยั ในกายทม่ี ีวญิ ญาณน้ี และในสรรพนมิ ิตภายนอกกาวลว งมานะดวยดี สงบระงับ พน วิเศษแลว ฯลฯ ทา นพระสุราธะไดเปนพระอรหนั ตอ งคห นึง่ ในจํานวนพระอรหนั ตท ้ังหลาย. จบ สรุ าธสตู รท่ี ๑๐ จบ อรหันตวรรคที่ ๒อรรถกถาราธสตู รท่ี ๙ และสรุ าธสูตรท่ี ๑๐ ราธสูตรที่ ๙ และสรุ าธสตู รที่ ๑๐ พึงทราบตามนัยทก่ี ลา วแลวในราหุลสังยุตแล. จบ อรรถกถาอรหนั ตวรรคท่ี ๒ รวมพระสตู รทมี่ ใี นวรรคน้ี คอื ๑. อุปาทยิ สตู ร ๒. มญั ญมานสตู ร ๓. อภินนั ทมานสตู ร๔. อนจิ จสตู ร ๕. ทกุ ขสตู ร ๖. อนตั ตสตู ร ๗. อนัตตนยิ สตู ร ๘. รชนยิ -สณั ฐติ สูตร ๙. ราธสูตร ๑๐. สุราธสตู ร.
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 163 ขัชชนยิ วรรคที่ ๓ ๑. อสั สาทสตู รวา ดว ยคณุ โทษของขันธ ๕ และอุบายสลดั ออก [๑๔๙] กรงุ สาวัตถี. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ปถุ ชุ นผูไมไดส ดับแลว จะไมร ชู ัดตามความเปน จริง ซึ่งคณุ โทษ ของรปู ,เวทนา, สัญญา, สงั ขาร, วิญญาณ และอุบายเครอ่ื งสลดั ออกซงึ่ รปู ,เวทนา, สญั ญา, สงั ขาร, วญิ ญาณ. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย สวนอรยิ สาวกผูไดสดับแลว จะรชู ัดตามความเปนจรงิ ซึ่งคณุ โทษ ของรูป, เวทนา,สญั ญา, สังขาร, วิญญาณ และอุบายเครอ่ื งสลัดออกซึง่ รูป, เวทนา,สัญญา, สังขาร, วญิ ญาณ. จบ อสั สาทสตู ร ๒. สมทุ ยสตู รท่ี ๑ วาดวยการเกดิ ดับแหง ขันธ ๕ [๑๕๐] กรงุ สาวตั ถี. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย ปุถชุ นผูไมไ ดสดบั แลว จะไมทราบชดั ตามความเปน จรงิ ซึง่ ความเกดิ ความดับคุณ โทษ ของรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ. และอุบายเคร่อื งสลดั ออกซ่งึ รูป, เวทนาม สญั ญา, สังขาร, วญิ ญาณ. ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย สว นอรยิ สาวกผูไดส ดบั แลว จะรูชดั ตามความเปนจริงซง่ึ ความเกดิ ความดบั คณุ โทษ ของรปู , เวทนา, สญั ญา, สังขาร,วิญญาณ. และอุบายเครอื่ งสลดั ออกซง่ึ รปู , เวทนา, สญั ญา, สงั ขาร,วิญญาณ. จบ สมทุ ยสตู รท่ี ๑
พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 164 ๓. สมทุ ยสตู รท่ี ๒วา ดว ยการรู ความเกิดดับแหง ขนั ธ ๕ [๑๕๑] กรุงสาวตั ถ.ี ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย อริยสาวกผูไดส ดับแลว จะรชู ัดตามความเปนจริง ซ่ึงความเกิด ความดับ คณุ โทษของรูป, เวทนา, สญั ญา, สังขาร, วิญญาณ. และอบุ ายเคร่ืองสลัดออกซงึ่ รปู , เวทนา, สญั ญา, สังขาร, วิญญาณ. จบ สมทุ ยสตู รที่ ๒ อรรถกถาขชั ชนิยวรรค ใน ๓ สูตรแรกของขชั ชนิยวรรค พระผูม ีพระภาคเจาไดตรสัอรยิ สัจ ๔ ไวท ้ังนนั้ . ๔. อรหนั ตสตู รท่ี ๑ วา ดว ยพระอรหันตเ ปนผูเลิศในโลก [๑๕๒] กรุงสาวัตถ.ี ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย รูปไมเ ทยี่ งฯลฯ เวทนาไมเท่ยี ง ฯลฯ สัญญาไมเ ทย่ี ง ฯลฯ สังขารไมเทย่ี ง ฯลฯวิญญาณไมเท่ยี ง สิ่งใดไมเทย่ี ง ส่งิ นน้ั เปนทกุ ข สงิ่ ใดเปน ทกุ ข ส่ิงนั้นเปน อนตั ตา ส่ิงใดเปนอนตั ตา สงิ่ น้ันควรเหน็ ตามความเปน จริง ดว ยปญ ญาอันชอบ อยางนว้ี า น่นั ไมใ ชของเรา เราไมใ ชน ัน่ นั่นไมใ ชอ ตั ตาของเรา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูไดส ดับแลว เหน็ อยอู ยางน้ีจะเบ่อื หนายท้งั ในรูป ท้ังในเวทนา ทง้ั ในสัญญา ทงั้ ในสังขาร ทง้ั ในวญิ ญาณ เมื่อเบื่อหนาย จะคลายกาํ หนัด เพราะคลายกาํ หนัด จติ จะหลุดพน เม่ือหลดุ พนแลว จะมีญาณหย่งั รูวา หลุดพนแลว จะรชู ดั วาชาตสิ ้ินแลว พรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ท่ีควรทาํ ทาํ เสร็จแลว กิจอน่ื
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 165เพอ่ื ความเปนอยางนม้ี ไิ ดม ี. ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย พระอรหนั ตท ั้งหลายเปนผเู ลศิ เปน ผูประเสริฐสุดในโลก กวาสัตวช ั้นสัตตาวาสและภวัคคพรหม. พระผมู ีพระภาคเจา ผสู ุคตศาสดา ครนั้ ไดตรัสไวยากรณภาษติ นี้จบลงแลว จงึ ไดตรัสคาถาประพนั ธต อ ไปวา [๑๕๓] พระอรหันตท้ังหลาย มคี วาม สขุ หนอ เพราะทานไมมตี ณั หา ตัดอสั มิมานะไดเ ด็ดขาด ทําลายขายคือโมหะไดแลว. พระอรหันตเหลา น้นั ถึงซง่ึ ความไมห วัน่ ไหว มีจิตไมข นุ มวั ทานเหลา นน้ั ไมแ ปดเปอ นแลว ดว ยเครือ่ งแปดเปอ นคอื ตณั หาและ ทิฏฐิในโลก เปนผูประเสรฐิ ไมมอี าสวะ เปน สตั - บุรษุ เปน พุทธชโิ นรส กําหนดรเู บญจขนั ธ มี สทั ธรรม ๗ เปน โคจร ควรสรรเสรญิ เปนมหาวรี ผู สมบูรณด วยรัตนะ ๗ ประการ ศึกษาแลวในไตร- สกิ ขา ละความกลวั และความขลาดไดเ ด็ดขาด แลว ยอมทอ งเที่ยวไป โดยลําดบั . ทานมหานาคผู สมบูรณดว ยองค ๑๐ ประการเหลาน้แี ล มจี ติ ตัง้ มั่น ประเสรฐิ สดุ ในโลก. ทานเหลานั้นไมม ตี ณั หา. อเสขญาณ ไดเ กิดขึ้นแลว แกท าน. ทา นมีรางกายน้ีเปนครงั้ สุดทาย ไมตองอาศยั ผอู ่นื ในคุณที่เปน แกน สารแหง พรหมจรรย. ทา นเหลาน้นั ไมห วั่นไหว เพราะมานะ หลดุ พนจากภพใหม ถึงอรหัตตภูมแิ ลว ชนะเดด็ ขาด แลวในโลก.ทา นเหลา นัน้ ไมม คี วามเพลิดเพลินอยใู น สว นเบอ้ื งบน ทามกลางและเบือ้ งลาง เปน พทุ ธผยู อด เยย่ี มในโลก บนั ลอื สหี นาทอย.ู
พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 166 ๔. อรรถกถาอรหันตสตู รที่ ๑ พึงทราบวินจิ ฉยั ในอรหันตสตู รท่ี ๔ ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา ยาวตา ภกิ ขฺ เว สตฺตาวาสา ความวา ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลายชอื่ วา สัตตาวาส มีอยูประมาณเทา ใด. บทวา ยาวตา ภวคคฺ ความวาชื่อวา ภวัคคพรหม (พรหมสถติ ยอ ยูในภพสูงสดุ ) มอี ยปู ระมาณเทา ใด.บทวา เอเต อคฺคา เอเต เสฏา ความวา พระอรหันตทั้งหลายเหลา น้นันบั วา เปนเลิศ และประเสริฐท่ีสุด บทวา ยททิ อรหนโฺ ต คอื เยเมว๑อรหนโฺ ต นาม (แปลวา ชอ่ื วา พระอรหนั ตเ หลานี้ใดแล) แมพ ระสตู รนี้กพ็ ึงทราบวา เพ่ิมพนู ความยินดีและเรา ใจโดยนยั กอนนัน่ แล. บทวาอถาปร เอตทโวจ ความวา พระผมู ีพระภาคเจาไดต รัสพระดาํ รัสน่นัคอื พระดํารัสมีอาทิวา สุขิโน วต อรหนฺโต (พระอรหันตท งั้ หลายเปน สุขแทหนอ) ดว ยคาถาท้ังหลายทกี่ ําหนดแสดงความหมายน้ัน และทกี่ าํ หนดแสดงความหมายพิเศษ. คณุ สมบัติพเิ ศษของพระอรหันต บรรดาบทเหลา นั้น บทวา สุขิโน คือ (พระอรหันตท้งั หลาย)เปนสุขดว ยความสุขอนั เกิดจากการเขา ฌาน ดวยความสุขอนั เกิดจากการบรรลุมรรค และดวยความสขุ อันเกิดจากการบรรลผุ ล. บทวา ตณหฺ า เตส น วิชชฺ ติ ความวา พระอรหันตเ หลา นัน้ไมม ีตัณหาท่ีเปน ตัวการใหเกดิ ทกุ ข (ท่ีจะตองไดรบั ) ในอบาย.พระอรหนั ตเหลานัน้ ช่อื วา เปน สขุ แทท ีเดียว เพราะไมม ที กุ ขท ่ีมตี ณั หาเปนมลู แมน ี้ ดว ยประการฉะน้.ี๑. ปาฐะวา เยเมว ฉบับพมา เปน เย อเิ ม
พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 167 บทวา อสมฺ ิมาโน สมุจฺฉินโฺ น ความวา อสั มมิ านะ (ความ-สาํ คัญวา เรามีอยู) ๙ อยาง (พระอรหันต) ตดั ไดขาดแลว ดว ยอรหตั ตมรรค. บทวา โมหชาล ปทาลิต ความวา ขายคอื กเิ ลส (พระอรหนั ต)ทาํ ลายแลวดว ยญาณ. บทวา อเนช ไดแ ก พระอรหตั ตเปนเครื่องละตณั หา กลาวคอืเอชา๑ . บทวา อนปุ ลติ ฺตา ไดแก (พระอรหันต) ไมถูกฉาบไล ดว ยเครอื่ งฉาบไล คือ ตัณหาและทฏิ ฐ.ิ บทวา พรฺ หมฺ ภูตา แปลวา ประเสริฐทส่ี ดุ . บทวา ปริ ฺาย ไดแก กาํ หนดรแู ลวดว ยปริญญา ๓. ในบทวาสตฺตสทฺธมฺมโคจรา มีวิเคราะหว า สทั ธรรม ๗ ประการเหลานี้ คือศรทั ธา ๑ หิริ ๑ โอตตปั ปะ ๑ พาหสุ ัจจะ ๑ ความเปน ผปู รารภความเพียร ๑ ความเปน ผูมสี ตติ ัง้ มั่น ๑ ปญ ญา ๑ เปน อารมณข องพระอรหันตเหลา น้ัน เหตนุ ้ันพระอรหันตเ หลา น้ันจงึ ชอื่ วา มสี ัทธรรม ๗เปน อารมณ. บทวา สตฺตรตนสมปฺ นนฺ า ไดแ ก ประกอบดวยรัตนะคือ โพชฌงค๗ ประการ. บทวา อนุวิจรนตฺ ิ ความวา แมเหลา โลกยิ มหาชนก็เทีย่ วถามอยรู าํ่ ไป. กใ็ นสูตรนี้ ทา นมุงถึง อาจาระทป่ี ราศจากขอระแวงสงสยั ของพระขีณาสพทงั้ หลาย ดวยเหตนุ ้นั แล พระผูมพี ระภาคเจาจึงตรัสวาปหนี ภยเภรวา (ผูละความกลวั ธรรมดาและความกลวั ขัน้ รนุ แรงไดแ ลว ).๑. ปาฐะวา อเนชาสงขฺ าตาย แตฉบบั พมาเปน เอชาสงฺขาตาย แปลตามฉบบั พมา
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 168 ในบทวา ปหีนภยเภรวา นนั้ มีอธิบายวา ความกลวั ข้นั ธรรมดาชือ่ วา ภยั ความกลวั ข้ันรนุ แรงชือ่ วา เภรวะ. บทวา ทสหงฺเคหิ สมปฺ นนฺ า ไดแก ประกอบดวยองคท เี่ ปน อเสขะ. บทวา มหานาคา ไดแ ก เปน มหานาคดวยเหตุ ๔ ประการ. บทวา สมาหิตา ไดแก (มีใจมนั่ คง) ดว ยอุปจารสมาธแิ ละอปั ปนาสมาธิ บทวา ตณหฺ า เตส น วชิ ฺชติ ความวา พระอรหนั ตเหลานั้นไมมแี มตณั หาที่ทาํ (สตั วโ ลก) ใหเปนทาสซ่งึ พระรฐั บาลเถระกลาวไวอยางน้ีวา ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระผมู ีพระภาคเจาพระองคน น้ั ตรัสไวแลววา สัตวโลกพรองอยู (เปน นติ ย) ไมรูจกั อ่ิม เปน ทาสแหง ตณั หาดังน้ีแล. พระผูมีพระภาคเจา แสดงภาวะท่ีพระขีณาสพทง้ั หลายเปนไทดว ยบทวา ตณหฺ า เตส น วิชชฺ ติ น.้ี บทวา อเสกขฺ ลาณ ไดแก ญาณในอรหัตตผล. บทวา อนตฺ โิ มย สมสุ ฺสโย แปลวา อตั ตภาพนม้ี เี ปนครงั้ สดุ ทา ย. บทวา โย สาโร พฺรหมฺ จริยสสฺ ความวา ผลชอื่ วา เปนสาระแหงพรหมจรรยคอื มรรค. บทวา ตสฺมึ อปรปจจฺ ยา ความวา ดํารงอยใู นอริยผลนน้ัแทงตลอดโดยประจักษ (ดวยตนเอง) ทีเดยี ววา สมบตั นิ ้ีไมใ ชส มบัติของผอู ื่น. บทวา วธิ าสุ น วกิ มปฺ นตฺ ิ คือ ไมห ว่ันไหวในสวนแหงมานะ ๓. บทวา ทนฺตภมู ึ ไดแ ก อรหัตตผล.
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 169 บทวา วิชติ าวิโน ไดแก ชํานะกิเลสทง้ั หลายมีราคะเปนตนอยางเด็ดขาด. ในบทวา อุทฺธ เปนตน พึงทราบวนิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้ :- (ในรางกาย) ปลายผม พระผูมีพระภาคเจาตรัสเรยี กวาเบือ้ งบน (อุทธฺ ) ฝา เทา ตรัสเรยี กวา เบือ้ งลา ง (อปาจ)ี กลางลาํ ตวัตรสั เรียกวา เบือ้ งขวาง (ติริย ) (ในอารมณ) อารมณทีเ่ ปน อดีตตรสั เรยี กวา เบื้องบน อารมณท่เี ปนอนาคตตรสั เรียกวา เบือ้ งลาง อารมณทเี่ ปนปจจบุ นั ตรสั เรยี กวาเบอ้ื งขวาง. อกี อยางหน่ึง (ในโลก) เทวโลกตรัสเรียกวา เบอื้ งบน อบายโลกตรสั เรยี กวา เบือ้ งลา ง มนุสสโลก ตรสั เรยี กวา เบอื้ งขวาง. บทวา นนทฺ ิ เตส น วิชฺชติ ความวา พระอรหนั ตเหลา นั้นไมม ตี ณั หาในฐานะเหลา นั้น หรือเมื่อวาโดยยอ (ก็คอื ) ไมม ตี ณั หาในขันธทง้ั หลาย ท้ังท่เี ปนอดตี อนาคต และปจ จบุ นั . ในสตู รนี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงถึงวา พระอรหันตทั้งหลาย ไมมตี ัณหาที่เปน มลู รากของวฏั ฏะ บทวา พุทฺธา ไดแ ก ผรู สู ัจจะ ๔. ในพระคาถานี้ มีการประมวลสหี นาทดังไปน้ี :- พระขณี าสพทง้ั หลายสถิตยอยเู บือ้ งหลงั ภพ (ผูขา มภพไดแ ลว)ยอ มบันลือสหี นาท๑ กลาวคือ บนั ลอื อยา งไมห วาดกลัววา เราทั้งหลาย๑. ปาฐะวา นทนตฺ ขีณาสวาน โหติ ฉบบั พมา เปน สีหนาท นทนฺติ ขณี าสวาแปลตามฉบบั พมา
พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 170อยเู ปน สุขดว ยวมิ ตุ ตสิ ขุ ตัณหาที่ทําใหอ ยูเปน ทุกขเราทั้งหลายละไดแลวขนั ธ ๕ เราทัง้ หลายกาํ หนดรูแลว ตณั หาทท่ี าํ ใหส ตั วโลกเปนทาสและตณั หาที่เปนมูลของวัฏฏะ นับวา เราทงั้ หลายละไดแ ลว เราทง้ั หลายเปน ผทู ไ่ี มม ีใครยงิ่ ไปกวา (และ) ไมเหมอื นใคร ชอ่ื วา พทุ ธะ (สาวกพทุ ธ)เพราะรสู ัจจะ ๔. จบ อรรถกถาอรหันตสตู รที่ ๑ ๕. อรหันตสูตรท่ี ๒ วาดวยพระอรหันตเ ปนผเู ลศิ ในโลก [๑๕๔] กรุงสาวัตถ.ี ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย รปู ไมเ ท่ียงฯลฯ เวทนาไมเ ทย่ี ง ฯลฯ สญั ญาไมเท่ยี ง ฯลฯ สงั ขารไมเท่ยี ง ฯลฯวญิ ญาณไมเ ท่ยี ง สง่ิ ใดไมเ ท่ียง ส่งิ นัน้ เปน ทุกข สงิ่ ใดเปนทุกข สง่ิ นนั้เปนอนตั ตา สิง่ ใดเปนอนตั ตา สง่ิ นน้ั ควรเหน็ ตามความเปนจรงิ ดวยปญ ญาอันชอบ อยา งน้วี า นนั่ ไมใ ชข องเรา เราไมใชน ่ัน น่ันไมใ ชอตั ตาของเรา. ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย อริยสาวกผูไดส ดบั แลว เห็นอยูอยา งน้ี จะเบ่ือหนา ยท้ังในรูป ท้งั ในเวทนา ทั้งในสัญญา ท้ังในสังขารทัง้ ในวิญญาณ เมือ่ เบอ่ื หนา ย ยอมคลายกําหนดั เพราะคลายกําหนดัจิตจะหลุดพน เม่ือหลุดพนแลว จะมีญาณหยั่งรวู า หลุดพนแลว จะรูชดัวา ชาตสิ ้ินแลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กิจท่คี วรทํา ทําเสรจ็ แลวกิจอนื่ เพื่อความเปน อยางนม้ี ไิ ดม ี. ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย พระอรหันตทงั้ หลายเปนผูเลิศ เปน ผูประเสริฐสุดในโลก กวา สัตตาวาสและภวคั คพรหม. จบ อรหันตสตู รที่ ๒
พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 171 อรรถกถาอรหันตสตู รท่ี ๒ สูตรที่ ๕ เมอื่ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสใหเปน รอยแกว ลวน ๆไมม คี าถา กต็ รัสตามอธั ยาศัยของผฟู งผูจ ะตรัสรู. จบ อรรถกถาอรหนั ตสตู รที่ ๒ ๖. สหี สตู รวาดว ยอปุ มาพระพุทธเจากับพญาราชสหี [๑๕๕] กรุงสาวตั ถ.ี ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย พญาสีหมฤคราชเวลาเยน็ ออกจากท่อี าศยั แลว กเ็ หยยี ดกาย ครนั้ แลวก็เหลยี วแลดูทิศทง้ั ๔ โดยรอบ แลวกไ็ ดบันลือสหี นาท ๓ ครัง้ จงึ ออกเดินไปเพ่อื หากนิ .ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย พวกสตั วดริ จั ฉานทกุ หมเู หลาไดย นิ เสยี งพญาสีห-มฤคราชบนั ลอื สีหนาทอยู โดยมากจะถงึ ความกลวั ความตกใจ และความสะดุง จาํ พวกท่อี าศัยอยูในรู จะเขารู จําพวกทอ่ี าศัยอยูในน้าํจะดาํ นํา้ จําพวกทีอ่ าศัยอยูใ นปา จะเขาปา จาํ พวกปก ษีจะบินข้ึนสูอากาศ. ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลายถึงพระยาชางทั้งหลายของพระมหากษตั ริยซงึ่ ลามไวดว ยเครื่องผูก คือ เชือกหนงั ทเ่ี หนยี ว ในคามนิคมและราชธานีกจ็ ะสลัดทาํ ลายเครอ่ื งผูกเหลา นน้ั จนขาด กลวั จนมตู รคถู ไหลหนีเตลดิ ไป. ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย พญาสหี มฤคราชมีฤทธศิ์ ักดานุภาพย่ิงใหญก วาสตั วด ริ ัจฉานทงั้ หลายเชนนแ้ี ล. [๑๕๖] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ฉันนั้นเหมอื นกนั เม่ือพระตถาคต-อรหันตสัมมาสมั พุทธเจา ทรงถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแลว ทรงรูแจงซ่ึงโลก ทรงเปนสารถฝี ก บรุ ษุ ท่คี วรฝก ไมมผี ูอืน่ ยงิ่ กวาทรงเปน ศาสดาของเทวดาและมนุษยท ง้ั หลาย ทรงเบิกบานแลว
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 172เปน ผจู าํ แนกธรรม เสด็จอบุ ัตขิ น้ึ ในโลก พระองคท รงแสดงธรรมวารปู เปน ดังน้ี เหตเุ กิดขน้ึ แหง รูปเปน ดงั น้ี ความดบั แหงรปู เปนดังนี้เวทนาเปนดังน้ี ฯลฯ สญั ญาเปนดงั น้ี ฯลฯ สังขารเปน ดงั น้ี ฯลฯวญิ ญาณเปนดงั น้ี เหตุเกิดข้ึนแหงวญิ ญาณเปนดังน้ี ความดับแหงวิญญาณเปนดงั นี้. ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย แมเ ทวดาท้งั หลายท่มี ีอายยุ ืนมีวรรณะงาม มากดวยความสุข ซง่ึ ดํารงอยูไดนานในวมิ านสงูไดสดับธรรมเทศนาของพระตถาคตแลว โดยมากตางก็ถงึ ความกลัวความสงั เวช ความสะดงุ วา พอมหาจําเรญิ ทง้ั หลายเอย นยั วาเราท้ังหลาย เปน ผูไมเที่ยงแท แตไ ดเ ขาใจวา เทยี่ ง เราทงั้ หลายเปนผไู มย ง่ั ยืนเลย แตไ ดเขา ใจวา ยัง่ ยืน เราทัง้ หลายเปนผไู มแนนอนเลยแตไดเ ขาใจวา แนน อน พอ มหาจาํ เริญทง้ั หลาย.ไดทราบวา ถึงพวกเราก็เปน ผูไมเ ท่ยี ง ไมย่ังยืน ไมแ นนอน นับเนื่องแลว ในกายตน. ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ตถาคตมฤี ทธศ์ิ กั ดานุภาพยิง่ ใหญกวาโลก กบั ทง้ั เทวโลกเชน น้แี ล. พระผมู พี ระภาคเจา ผสู คุ ตศาสดา ครั้นไดตรสั ไวยากรณภาษิตนี้จบแลว จงึ ไดตรัสคาถาประพนั ธตอไปวา [๑๕๗] เมอ่ื ใด พระพทุ ธเจา ผเู ปน ศาสดา หาบุคคลเปรียบมิได ตรัสรดู ว ยปญญาอันยิ่งแลว ทรงประกาศธรรมจกั ร คอื ความเกดิ พรอมแหง กายตน ความดบั แหงกายตน และอัฏฐังคกิ มรรค อันประเสรฐิ อันใหถึงความสงบทุกข แกส ตั วโลก กบั ทั้งเทวโลก. เมือ่ น้นั แมถึงเทวดาทง้ั หลาย ผูมอี ายยุ นื มีวรรณะงาม มยี ศ ก็กลวั ถึงความ
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 173 สะดงุ วา ทานผูเจรญิ ท้งั หลาย ไดย นิ วา พวกเรา ไมเทย่ี ง ไมล ว งพนกายตนไปได ดังน้ี เพราะได สดับถอ ยคาํ ของพระอรหนั ตผ ูหลดุ พน ผคู งท่ี เหมือนหมมู ฤคสะดุงตอ พญาสหี มฤคราช ฉะนน้ั . จบ สีหสตู ร อรรถกถาสหี สตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉัยในสหี สูตรที่ ๖ ดังตอ ไปนี้ :- ราชสีห ๔ จาํ พวก บทวา สโี ห ไดแก ราชสีห ๔ จาํ พวก คอื ติณราชสห จําพวก ๑.กาฬราชสีห จาํ พวก ๑ ปณฑรุ าชสหี จาํ พวก ๑ ไกรสรราชสหี จาํ พวก ๑. บรรดาราชสีห ๔ จาํ พวกน้ัน ตณิ ราชสหี (มีรูปรา ง) เปน เหมือนแมโค สีคลา ยนกพริ าบ และกนิ หญา เปนอาหาร. กาฬราชสหี (มีรูปรา ง) เปน เหมือนแมโ คดาํ กินหญาเปนอาหารเหมือนกนั . ปณ ฑรุ าชสีห (มีรปู รา ง) เปนเหมอื นแมโ คสีคลายใบไมเ หลืองกินเนื้อเปนอาหาร. ไกรสรราชสหี ประกอบดวย (ลักษณะคอื ) ดวงหนา (ทส่ี วยงาม)เปนเหมอื นมีใครเอานํา้ ครงั่ มาแตงเติมไว หางที่มีปลาย (สวยงาม)และปลายเทา ทง้ั ๔ ต้ังแตศรี ษะของราชสีหน ้ันลงไป มีแนวปรากฏอยู๓ แนว ซึ่งเปนเหมือนมใี ครมาแตม ไว ดว ยสนี ้ําครั่ง สีชาด และ
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 174สหี ิงคุ (แนวท้งั ๓ นั้น) ผา นหลังไป สุดทภ่ี ายในขาออ น เปนวงทกั ษิณาวรรต. ก็ทตี่ น คอของไกรสรราชสหี นน้ั มขี นขน้ึ เปนพวง เหมือนวงไวดวยผา กัมพล ราคาตั้งแสน (สวน) ท่ที ี่เหลอื (ภายในรา งกาย) มสี ีขาวบริสุทธิ์เหมอื นแปง ขา วสาลี และผงจุรณแ หงสงั ข. บรรดาราชสีหท ง้ั ๔ จาํ พวกนี้ ไกรสรราชสีหน้ี พระผมู -ีพระภาคเจา ทรงประสงคเ อาแลว ในสูตรน.ี้ บทวา มคิ ราชา ไดแ ก ราชาแหงหมเู นื้อ. บทวา อาสยา แปลวา จากที่อยู อธิบายวา ไกรสรราชสหี ยอมออกไปจากถ้าํ ทอง หรือจากถํา้ เงิน ถ้าํ แกวมณี ถ้ําแกวผลึกและถํ้ามโนสิลา. ก็ไกรสรราชสหี น้ี เมอื่ จะออกไป (จากทอี่ ย)ู ยอ มออกไปดวยเหตุ๔ ประการ คือ ถูกความมดื เบียดเบียนออกไปเพอ่ื ตองการแสงสวา งปวดอจุ จาระปสสาวะออกไปเพือ่ ตองการถายอุจจาระปสสาวะ ถกูความหวิ บีบคนั้ ออกไปเพือ่ ตอ งการลา เหย่ือ หรอื ถูกนํา้ สมภพ (อสจุ ิ)บบี คั้น (เกดิ ความกําหนดั ) ออกไปเพ่อื ตองการเสพอสทั ธรรม (รวม-ประเวณ)ี แตในสูตรนพี้ ระผมู ีพระภาคเจาทรงประสงคเอาวาไกรสรราชสหี ออกไปเพ่ือตอ งการหาเหยอ่ื . บทวา วชิ มฺภติ ความวา ไกรสรราชสีหวางเทา หลงั สองเทาไวเ สมอกันบนแผน ทอง แผน เงิน แผนแกว มณี แผนแกวผลกึ และมโนสิลา อยา งใดอยางหนึ่งแลวเหยียดเทาหนาออก หดสว นหลังของรา งกายเขา แลว ยดื สว นหนาออกไปโกง หลังชูคอ คลา ยจะสง เสยี งเหมือนฟา รอง พลางสลัดฝนุ ที่ตดิ อยูตามรา งกายออกไปชอ่ื วาเย้อื งกราย.
พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 175 กแ็ ละไกรสรราชสหี จ ะวง่ิ กลบั ไปกลับมาอยูบนพื้นดินทเี่ ยอ้ื งกราย(น้ันเอง) เหมือนลกู วัวรุน ตะกอ ฉะนั้น ก็เม่ือมนั ว่งิ อยู รา งกายจะปรากฏอยใู นท่มี ดื เหมือนทอนฟน (ถกู ขวาง) หมุนควา งอยฉู ะน้นั . ในบทวา อนุวิโลเกติ มีอธบิ ายวา :- ถามวา เพราะเหตไุ ร ไกรสรราชสหี จ ึงชําเลอื งดซู า ยขวา. ตอบวา เพราะมคี วามเอน็ ดใู นสัตวอ ่ืน. วา กันวา เมอื่ ไกรสรราชสีหน ัน้ บันลอื สหี นาท สัตวท ัง้ หลายเชน ชา ง กวาง และกระบอื ซ่งึ กาํ ลงั เท่ยี ว (หากิน) ใกลทซี่ งึ่ ไมราบเรยี บท้ังหลายมีขอบปากเหวเปน ตน ก็จะ (ตกใจแลว) พลดั ตกลงไปในเหวก็ไดไกรสรราชสีหชาํ เลอื งดซู า ยขวาก็เพราะเอ็นดตู อ สตั วเ หลา น้นั . ถามวา กไ็ กรสรราชสหี นนั้ ทําหนาทอี่ ยา งนายพรานกินเนอื้สตั วอน่ื อยเู ปนประจํา ยังจะมีความเอน็ ดูดว ยหรอื ? ตอบวา ใชแลว ยังมอี ยู. เปนความจรงิ ไกรสรราชสีหนั้น ไมยอมจับสัตวเลก็ สัตวน อยเปน อาหารของตน เพราะคิดวา เรื่องอะไรจะตองใหสตั วจ ํานวนมากถกู ฆาตาย อยางนช้ี ือ่ วา ทําความเอ็นด.ู สมดวยคาํ ทก่ี ลาวไวด งั นีว้ า ขออยา ทําใหส ตั วเ ล็กสตั วน อยท่ีอยูตามสถานท่ที ข่ี รุขระ (ไมร าบเรยี บ) ตอ งไดรับความกระทบกระเทอื นดว ยเลย. บทวา สีหนาท นทติ ความวา อนั ดับแรก ไกรสรราชสีหจะบนั ลือ (สีหนาท) ท่ีไมกอใหเ กิดความนา กลัว ๒ ครัง้ ก็แลเมื่อมนั ยืนบนั ลอื(สีหนาท) บนพน้ื ดนิ ท่ีเย้อื งกรายอยูอ ยางน้นั เสียง (บนั ลอื ) กจ็ ะกอง
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 176กระห่มึ เปนเสยี งเดียวกันไปรอบทิศตลอดพืน้ ท่ี ๓ โยชน หมสู ตั ว๒ เทา และ ๔ เทา ท่ีอยภู ายในพนื้ ที่ ๓ โยชน ไดย นิ เสียงบันลอื อยางกองกระหม่ึ น้ันของไกรสรราชสีหนน้ั แลว ก็จะไมส ามารถจะยนื อยูในท่ีเดมิ ได.บทวา โคจราย ปกฺกมติ ความวา ไปลาเหยื่อ. ไกรสรราชสหี ไ ปลาเหยื่อดว ยวิธอี ยางไร ? อธิบายวา ไกรสรราชสีหน ัน้ ยืนอยูบนพื้นดนิ ท่ีตนเยื้องกรายเมอ่ื กระโจนไปทางดา นขวา ดา นซา ย หรือดา นหลงั กจ็ ะ (กระโจน)ไปถึงพ้ืนทไ่ี ดป ระมาณอสุ ภะหน่ึง เม่ือกระโจนขึ้นขางบน ก็จะกระโจนขน้ึ ไปได ๔ อสุ ภะบาง ๘ อุสภะบาง เมื่อจะโลดแลน ตรง ๆหนา บนพ้ืนที่ทเี่ รยี บเสมอ ก็จะโลดแลนไปไดต ลอดพนื้ ที่ประมาณ๑๖ อุสภะบาง ประมาณ ๒๐ อุสภะบาง เม่อื จะโลดแลนจากฝง แมน ้ําหรอื จากภูเขา กจ็ ะโลดแลน ไปไดตลอดพนื้ ท่ปี ระมาณ ๖๐ อุสภะบางประมาณ ๘๐ อสุ ภะบาง. (เมื่อวง่ิ ไป) ในระหวางทางเหน็ ตน ไมห รือภเู ขาเขาแลว เมื่อจะเลีย่ งตนไมห รือภูเขานนั้ ก็จะเล่ียงไปทางขางซายขางขวาหรือขางบนไดป ระมาณอสุ ภะหนง่ึ . แตพอบันลอื สีหนาทครง้ั ท่ี ๓ พรอ มกับการบนั ลือนัน้ แล ก็จะปรากฏในท่ี ๓ โยชนครนั้ ไปได ๓ โยชนแลว ก็จะกลบั มาหยดุ ยนื ฟง เสียงสะทอนเสียงบนั ลือของตนเอง. ไกรสรราชสหี หลีกออกไป (จากทอ่ี ย)ู ดวยความเรว็ อยางน.้ี บทวา เยภุยฺเยน ไดแ ก ปาเยน (แปลวา โดยมาก). บทวาภย ส เวค สนตฺ าส ทั้งหมดเปนชอ่ื ของความหวาดสะดงุ กลัวแหงจตินั่นเอง. เพราะวา สัตวจ าํ นวนมากไดฟงเสียงราชสหี แลว ยอม (ตกใจ)กลวั . ท่ไี มกลวั มีจํานวนนอย.
พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 177 ถามวา กส็ ัตวจ าํ นวนนอ ยพวกนนั้ คอื พวกไหนบาง ? ตอบวา สัตวพวกน้ันคือ ราชสหี ดว ยกัน ๑ ชางอาชาไนย ๑มา อาชาไนย ๑ โคอสุ ภะอาชาไนย ๑ บุรษุ อาชาไนย ๑ พระขีณาสพ ๑ ถามวา ก็เพราะเหตไุ ร สัตวพ วกนน้ั จึงไมกลวั ? ตอบวา ราชสหี ดว ยกนั ทไ่ี มก ลวั กเ็ พราะคิดวา เราเสมอเหมือนกันดวยชาติ โคตร ตระกูล และความกลา หาญ. ชางอาชาไนยเปนตน ทีไ่ มก ลัว กเ็ พราะตนเองมีสกั กายทฏิ ฐิรุนแรง.(สวน) พระขณี าสพไมก ลัวเพราะทา นละสกั กายทฏิ ฐไิ ดแ ลว. บทวา พิลาสยา ไดแก สัตวทอ่ี ยใู นรู คอื อยูรูเปน ประจํามีงู พังพอน และเหย้ี เปนตน . บทวา ทกาสยา ไดแกสัตวทอี่ ยูในนาํ้(สตั วน ํา้ ) มปี ลาและเตาเปน ตน . บทวา วนาสยา ไดแ ก สัตวท ่ีอยูในปา(สตั วปา) มีชาง มา กวาง และเน้อื เปนตน . บทวา ปวสิ นตฺ ิ ความวาเขา ไปพลางมองดทู างดวยคดิ วา จักมาจับเอาในบดั นี้. บทวา ทฬฺเหหิแปลวา มน่ั คง. บทวา วรตฺเตหิ แปลวา เชอื กหนัง. ในบทวา มหทิ ฺธโิ กเปนตน พึงทราบวินิจฉยั ดงั ตอ ไปน้ี :- พงึ ทราบวา ไกรสรราชสหี มีฤทธม์ิ าก ดวยการยนื อยูบ นพื้นดินที่ตนเย้อื งกรายแลว กระโจนไปขางขวาเปนตน ไดป ระมาณอสุ ภะหน่ึงกระโจนไปตรงดา นหนาไดประมาณ ๒๐ อุสภะหนึง่ เปนตน. พึงทราบวา ไกรสรราชสหี ม ศี กั ด์ิมาก ดวยการเปนเจาแหงมฤคทีเ่ หลือท้งั หลาย.พึงทราบวา ไกรสรราชสหี มอี านุภาพมาก เพราะเหลา สัตวทีเ่ หลอื ไดฟงเสยี งในท่ปี ระมาณ ๓ โยชน รอบทิศแลว จะพากนั หนไี ป. บทวา เอวเมวโข มอี ธบิ ายวา พระผมู ีพระภาคเจาตรัสถึงพระองคว า เปน เหมอื นอยา งนนั้ ๆ ในสูตรน้ัน ๆ (คือ)
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 178 อนั ดับแรก ในสูตรน้วี า ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย คาํ วา สหี ะ น้ีแลเปนช่ือของตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา พระผมู พี ระภาคเจาตรสั ถงึ พระองคว าเปน เหมอื นราชสหี . ในสูตรนี้วา ดูกอนสนุ ักขัตตะ คาํ วา นายแพทยผ ูผาตดั น้ีแลเปน ชือ่ ของตถาคต พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั ถงึ พระองควา เปน เหมอื นนายแพทย. ในสูตรนี้วา ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย คาํ วาพราหมณน ี้แลเปน ชื่อของตถาคต พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสถึงพระองควา เปน เหมอื นพราหมณ. ในสตู รนีว้ า ดกู อ นติสสะ คาํ วา บรุ ุษผฉู ลาดในหนทางนแ้ี ลเปน ชอื่ ของตถาคต พระผูมพี ระภาคเจาตรสั ถึงพระองควา เปนเหมอื นมคั คเุ ทศก. ในสูตรน้ีวา ดกู อ นเสละ เราตถาคตเปน พระราชา พระผูมี-พระภาคเจา ตรัสถงึ พระองควา เปน เหมือนพระราชา. แตใ นสตู รน้ี พระผูมพี ระภาคเจา เมอ่ื จะตรสั ถงึ พระองควาเปน เหมือนราชสีหแ ล จึงไดตรสั ไวอ ยา งน้ี. ในพระดํารสั นน้ั มี (ขอเปรียบเทยี บ) เหมือนกันดงั ตอ ไปน้ี :- เวลาทีพ่ ระตถาคตเจาทรงกระทาํ อภินิหาร (ปรารถนาพทุ ธภูม)ิแทบบาทมลู ของพระทีปง กรพุทธเจา แลวทรงบาํ เพญ็ บารมีมาสิน้ เวลานับไมถ วน ในภพสดุ ทายทรงทําหมืน่ โลกธาตุใหห วน่ั ไหวดว ยการถอืปฏสิ นธิ และดว ยการประสูตอิ อกจากพระครรภของพระมารดา(ตอมา) ทรงเจรญิ วัยไดเสวยสมบตั ิเชนทพิ ยสมบัติประทับอยูในปราสาท ๓ หลงั พึงเห็นวา เหมอื นกบั เวลาทรี่ าชสีหอยใู นถํา้ ทอี่ ยูมีถ้ําทองเปน ตน ฉะนั้น.
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 179 เวลาที่พระตถาคตเจา ทรงมา กณั ฐกะมนี ายฉันนะเปนพระสหายเสดจ็ ออกทางพระทวาร (นคร) ที่เทวดาเปด ถวาย ผา นเลย (ไมส น-พระทยั ) ราชสมบัตทิ ้ัง ๓ ทรงครองผา กาสาวะทีพ่ รหมนอมเกลาถวายแลว (อธิษฐานพระทยั ) ถอื บวช ณ ริมฝง แมน า้ํ อโนมานที เมอื่ มีพระชนมายไุ ด ๒๙ พระพรรษา (ตอ จากนน้ั ) ในวันที่ ๗ เสด็จไปยังเมอื งราชคฤห เสดจ็ เท่ียวบณิ ฑบาตในเมอื งราชคฤหน ้นั แลว (มาประทบั )เสวยพระกระยาหารทีเ่ งอ้ื มเขาช่อื ปณ ฑวะ จนกระทัง่ ถึง (เวลา) ที่ทรงประทานปฏิญญาแตพระราชา (พิมพิสาร) เพอื่ วาครน้ั ตรัสรูพระสัมมาสมั โพธิญาณแลว จะไตเ สด็จมายงั แควน มคธกอ นเพอื่ นพึงเห็นวา เหมอื นเวลาท่รี าชสีหอ อกจากถ้ําทอ่ี ยูมีถ้าํ ทองเปนตน ฉะนน้ั . เวลาเรมิ่ ต้งั แตท่ีพระตถาคตเจาทรงประทานปฏิญญา (แด-พระราชา) แลว เขา ไปหา อาฬารดาบสกาลามโคตร กระทั่งถึงเวลาเสวยขา ว (มธุ) ปายาสทนี่ างสชุ าดาถวายโดย (ปน เปน ) กอ น ๔๙ กอ นพงึ ทราบวาเหมือนเวลาท่ีราชสหี ป ดกาย ฉะน้นั . การทีพ่ ระตถาคตเจา ทรงรบั หญา ๘ กํามอื ที่โสตถิยพราหมณ(ถวาย) ในเวลาเย็น อันเทวดาในหมนื่ จักรวาลทรงสดดุ ี (พระเกียรตคิ ณุ )(และ) บชู าดวยเครอื่ งบูชามขี องหอมเปน ตน ทรงทาํ ประทกั ษณิ(เสด็จเวียนขวา) โพธิพฤกษ ๓ รอบ แลว ทรงกา วข้ึนสโู พธบิ ลั ลงั กทรงลาดหญา เปน เครือ่ งลาด (รองนั่ง) บนทส่ี ูง ๑๔ ศอก แลว ประทับนงั่ อธิฏฐาน จาตุรงคปธาน (ความเพยี รมอี งค ๔) ทนั ใดนัน้ เองทรงกาํ จดั มาร และพลพรรคของมารไดแลว ทรงชาํ ระวชิ ชา ๓ ใหบริสุทธิ์ ในยามทั้ง ๓ ทรงพิจารณาทัง้ อนุโลมและปฏโิ ลม ดว ยการ
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 180พจิ ารณาญาณค๑ู (ยมกญาณ) คอื ปหานญาณ และสมทุ ยญาณ แหงปฏิจจสมุปบาท เมอ่ื ทรงแทงตลอดพระสัพพญั ุตญาณแลวทาํ หม่นืโลกธาตใุ หห ว่ันไหว . ดวยอานุภาพแหงพระสัพพัญตุ ญาณนั้น พึงทราบวา เหมือนการที่ราชสหี ส ะบัดสรอ ยคอ ฉะน้นั . การที่พระตถาคตเจาทรงแทงตลอดพระสพั พัญุ ตญาณแลวประทับอยทู ีค่ วงโพธิ สน้ิ ๗ สัปดาห เสวยพระกระยาหาร คอื กอนขา วมธุปายาส ๔๙ กอ น วันละกอนหมดแลว (จากนน้ั เสด็จประทับ)ณ ควงไมอชปาลนิโครธ ทรงรับคําอาราธนาของทาวมหาพรหมทที่ ลูขอใหทรงแสดงธรรม แลว ประทบั อยู ณ ควงไมอชปาลนิโครธนนั้(เอง) ในวันที่ ๑๑ (จากวันที่ประทบั อยู ณ ควงไมอ ชปาลนโิ ครธ)ทรงดาํ รวิ า วนั พรุงนีจ้ ะเปนวนั เพญ็ อาสาฬหะแลว เวลาเชามดื ทรงราํ พึงวา เราควรแสดงธรรมแกใครกอ น (พอ) ทรงทราบวา อาฬารดาบสและอุททกดาบสมรณภาพแลว จึงไดต รวจดูทานเบญจวัคคยี เพ่ือตองการจะ (เสดจ็ ไป) แสดงธรรมโปรด พึงเห็นวา เหมอื นเวลาทร่ี าชสีหตรวจดูทศิ ท้งั ๔ ฉะนั้น. เวลาท่ีพระตถาคตเจาทรงอมุ บาตรและจวี รของพระองคเสดจ็ออกไปจากตนอชปาลนโิ ครธ ภายหลงั เสวยพระกระยาหารแลว ดว ยทรงดาํ รวิ า จกั หมุนลอธรรมโปรดเบญจวคั คยี ดังนี้ แลวเสด็จพทุ ธดําเนินเปนระยะทาง ๑๘ โยชน พงึ เห็นวาเหมอื นเวลาที่ราชสหี เดนิ ทางไปลาเหย่ือเปน ระยะทาง ๓ โยชน ฉะนนั้ .๑. ปาฐะวา ปฏจิ ฺจสมุปฺปาทปหานสมทุ ยยมกญาณปฏเน ปฏเ นตฺ สฺส ฉบบั พมาเปนปฏจิ จฺ สมปฺ ปฺ าทมหาสมุทฺท ยมกาณมนถฺ เนน มนฺเถนฺตสสฺ แปลวา ทรงยา่ํ มหาสมุทร คือปฏจิ จสมุปบาท ท้งั อนโุ ลมและปฏโิ ลม โดยการย่ําดว ยญาณทั้งคู
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 181 เวลาทพ่ี ระตถาคตเจาเสด็จพทุ ธดําเนินไปเปน ระยะทาง๑๘ โยชน แลว ประทบั น่งั ขดั สมาธิอยา งสงา ผาเผยเกล้ียกลอ มพระปญ จวคั คีย อันหมเู ทวดาที่ (มา) ประชุมกนั จากหมื่นจักรวาลหอมลอ ม ทรงหมุนลอ ธรรมโดยนยั เปน ตนวา \" ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลายสว นสุดโตงทั้งสองเหลา นี้อนั บรรพชติ ไมค วรเสพ\" พึงทราบวาเหมอื นเวลาทรี่ าชสีหบนั ลือสีหนาท ฉะนน้ั . ก็แล เม่อื พระตถาคตเจา ทรงแสดงธรรมจักรนอ้ี ยู พระสรุ เสยี งแสดงธรรมของราชสีหคือพระตถาคต ดังไดยินไปทั่วหม่ืนโลกธาตุเบ้ืองลาง ดังไปถงึ อเวจี เบอื้ งบนดงั ไปถึงภวัคคพรหม. เวลาที่พระตถาคตเจาตรสั สอนธรรมแสดงลักษณะ ๓ จําแนกสัจจะ ๔ พรอ มทงั้ อาการ ๖ จนกระท่ังถงึ พันนยั เหลา เทวดาทม่ี ีอายุยนื เกดิ ความสะดงุ กลัวดว ยญาณ พงึ ทราบวาเหมือนเวลาที่สัตวเลก็ สตั วนอยตองสะดุงกลัวเพราะเสยี งราชสหี ฉะนน้ั . บทวา ยทา คอื ยสมฺ ึ กาเล (ในกาลใด). บทวา ตถาคโตพึงทราบอธิบายดังตอไปน้ี :- พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต ดว ยเหตุ ๘ ประการ คือ:- (๑) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะหมายความวา เสด็จมาแลวอยา งนน้ั (๒) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะหมายความวา เสดจ็ ไปแลว อยา งน้นั (๓) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะหมายความวา เสด็จมาถงึลักษณะที่จริงแท.
พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 182 (๔) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะหมายความวา ตรสั รูธรรมที่จริงแท ตามความเปนจรงิ . (๕) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงมีปกติเหน็ จริง. (๖) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงมปี กตติ รสั จรงิ . (๗) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงมีปกติทําจรงิ . (๘) ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะหมายความวา ครอบงํา. ความพสิ ดารของพระนามเหลานั้นไดกลาวไวห มดแลวท้ังในอรรถกถาพรหมชาลสูตร ทง้ั ในอรรถกถามูลปริยายสูตร. บทวา โลเก ไดแ ก ในสตั วโลก. บทวา อปุ ฺปชชฺ ติ ความวาพระตถาคตเจา ช่ือวา กําลงั เสดจ็ อบุ ตั ิขนึ้ อยู เริ่มตัง้ แตต ง้ั ความปรารถนา(พุทธภูม)ิ จนกระทัง่ ถึง (ประทบั นั่ง ณ) โพธบิ ัลลังก หรอื (บรรลุ)อรหตั ตมรรคญาณ แตเ ม่อื บรรลุอรหตั ตผลแลว ชอ่ื วา เสด็จอุบตั ิขึน้ แลว บทท้ังหลายมบี ทวา อรห สมมฺ าสมฺพุทโฺ ธ เปน ตน ขาพเจา(พระพทุ ธโฆษาจารย) ไดอธบิ ายไวแ ลว อยา งพสิ ดารในพทุ ธานสุ สต-ินทิ เทส ในปกรณพ ิเศษช่อื วา วิสุทธมิ รรค. บทวา อติ ิ รูป ความวา นค้ี อื รปู รปู มีเทานี้ ไมมรี ปู นอกเหนอืไปจากน.้ี ดวยพระดํารัสเพยี งเทา นี้ ยอ มเปนอันพระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงถงึ มหาภูตรูป ๔ และรปู ทอ่ี าศยั มหาภตู รูป ๔ (อุปาทายรูป)ทง้ั หมด ทัง้ โดยสภาวะ ทงั้ โดยความเปน จริง ทัง้ โดยที่สุด ทั้งโดยการกาํ หนด ทั้งโดยการเปลีย่ นแปลง.
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 183 บทวา อิติ รปู สสฺ สมทุ โย ความวา นี้ชอ่ื วา การเกดิ ขึ้นแหง รปู .ก็ดวยพระดํารัสเพียงเทา นี้ ยอ มเปน อนั พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงถึงคาํ ท้ังหมดมอี าทิวา เพราะอาหารเกดิ รูปจงึ เกดิ . บทวา อติ ิรปู สสฺ อฏ งฺคโม ความวา นีช้ ื่อวา ความดบั แหง รูป. แมดวยพระดาํ รัสน้ยี อมเปนอนั พระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงถึงคําทงั้ หมดมีอาทิวา เพราะอาหารดบั รูปจึงดับ. แมใ นบทวา อิติ เวทนา เปนตนก็มนี ัยน้เี หมือนกัน. บทวา วณณฺ วนฺโต แปลวา มี (ผวิ ) พรรณ (ผุดผอง)ดว ยผิวพรรณของรางกาย. บทวา ธมมฺ เทสน สุตฺวา ความวา สดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคต ทปี่ ระดบั ดวยลักษณะ ๕๐ ในขนั ธ ๕น.ี้ บทวา เยภยุ ฺเยน ไดแ ก ในโลกน้ี เวนเทวดาท่ีเปนพระอรยิ สาวก.อธิบายวา เทวดาทีเ่ ปน พระอรยิ สาวกเหลา น้นั ไมเกิดแมความกลวัคือความสะดงุ แหง จติ เพราะทานเปน พระขณี าสพ ทง้ั ไมเกิดความสงั เวชดว ยญาณ เพราะบุคคลผูสงั เวชไดบ รรลผุ ลทีจ่ ะพงึ บรรลไุ ดดวยความเพยี รแลว โดยอุบายอันแยบคาย แตเ ทวดานอกน้ใี สใจถึงภาวะท่ไี มเ ท่ยี ง ตามท่ีพระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวว า \"ดูกอ นภกิ ษุ ก็ความหวาดสะดงุ น้นั มอี ยู\" จงึ เกดิ ๑ แมค วามกลัว คอื ความหวาดสะดงุ แหงจติทง้ั เกดิ ๑ ความกลวั เพราะญาณในเวลาท่ีวปิ สสนาแกกลา. คําวา โภ นั้น เปนเพยี งการเรยี กรองกนั ตามธรรมดาเทานน้ั . บทวา สกฺกายปริยาปนฺนา แปลวา เนือ่ งดวยเบญจขันธ. เม่ือพระสมั มาสัมพุทธเจา ทรงช้ีโทษแหง วฏั ฏะ๒ แลวทรงแสดงพระธรรม-๑. ฉบบั พมา เปน อปุ ฺปชฺชติ ไมมี น แปลตามฉบบั พมา๒. ปาฐะวา ปตฺตโทส ฉบบั พมา เปน วฏฏโทส แปลตามฉบับพมา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 184เทศนา กระทบไตรลักษณแ กเทวดาเหลา นน้ั อยู ญาณภยั จงึ กาวลงดวยประการฉะน.้ี บทวา อภิฺ าย แปลวา รแู ลว. บทวา ธมมฺ จกฺก หมายเอา ปฏเิ วธญาณบา ง เทศนาญาณบา ง. พระญาณท่ีเปน เหตุใหพระผมู ีพระภาคเจา ผปู ระทบั นั่ง ณโพธิบัลลังก ไดแ ทงตลอด (อริย) สจั จะ ๔ พรอ มท้งั อาการ ๖ไดค รบ ๑,๐๐๐ นัย ช่ือวา ปฏิเวธญาณ. พระญาณทเี่ ปนเหตุใหพ ระผมู ีพระภาคเจา ทรงประกาศธรรมจกั ร ท่มี ปี ริวัต ๓ (และ) มอี าการ ๑๒ ชอ่ื วา เทศนาญาณ. พระญาณทัง้ สองนน้ั เปนญาณทเี่ กดิ (ภาย) ในพระทัยของพระทศพลเทานัน้ บรรดาพระญาณทง้ั สองนั้น เทศนาญาณ ควร(กําหนด) ถือเอาในที่นี.้ ก็แล เทศนาญาณนี้น้นั พึงทราบวา ตราบใดทีโ่ สดาปตติผลยังไมเ กดิ แกพระอญั ญาโกณฑัญญเถระ พรอ มท้ังพรหม ๑๘ โกฏิตราบน้นั ยังไมช ือ่ วา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงประกาศ ตอ เม่อืโสดาปตติผลเกิดแลว (น่นั แล) จงึ ช่อื วา ทรงประกาศแลว . บทวา อปปฺ ฏิปุคคฺ โล แปลวา ปราศจากบคุ คลทีจ่ ะแมนเหมอื น. บทวา ยสสฺสิโน ไดแก ถงึ พรอมดว ยบริวาร. บทวา ตาทิโน ไดแ ก ผเู ปน เชน เดยี วกนั ดว ยโลกธรรม มลี าภและเสื่อมลาภเปน ตน . จบ อรรถกถาสีหสตู ร
พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 185 ๗. ขชั ชนิยสตู ร วาดวยสิ่งท่ถี ูกขนั ธ ๕ เค้ียวกนิ [๑๕๘] กรงุ สาวตั ถี. ฯลฯ ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย จรงิ อยูสมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลาหน่ึง เมือ่ ตามระลึกถงึ นพเพนิวาส(ชาติกอ น) เปนจํานวนมาก ก็จะระลึกไดต ามลาํ ดับ สมณะหรือพราหมณท้ังปวงนน้ั ก็จะตามระลึกถึงอุปาทานขันธ ๕ หรอื ขนั ธใดขนั ธหน่ึงบรรดาขนั ธเ หลาน.ี้ อุปาทานขันธ ๕ เปน ไฉน? คอื จะตามระลึกถงึ รปูดงั น้ีวา ในอดตี กาล เราเปนผูมรี ปู อยางน้ี จะตามระลกึ ถงึ เวทนาดังนี้วาในอดีตกาลเราเปน ผูม เี วทนาอยา งน้ี จะตามระลึกถึงสญั ญาดังนว้ี าในอดตี กาล เราเปนผมู สี ญั ญาอยางนี้ จะตามระลึกถงึ สังขารดงั นีว้ าในอดีตกาล เราเปนผมู ีสังขารอยางนี้ จะตามระลึกถึงวญิ ญาณดงั นีว้ าในอดีตกาล เราเปนผูมวี ิญญาณอยา งน้.ี [๑๕๙] กอ นภิกษุท้ังหลาย เพราะอะไรจงึ เรียกวา รูป? เพราะสลายไปจงึ เรียกวารูป สลายไปเพราะอะไร? สลายไปเพราะหนาวบา งเพราะรอนบา ง เพราะหิวบา ง เพราะระหายบา ง เพราะสมั ผสั แหงเหลือบ ยุง ลม แดด และสตั วเ ลอ้ื ยคลานบา ง. ดกู อนภิกษทุ ้ังหลายเพราะอะไรจึงเรยี กวาเวทนา? เพราะเสวยจึงเรียกวา เวทนา เสวยอะไร? เสวยอารมณส ุขบาง เสวยอารมณทกุ ขบ า ง เสวยอารมณไมใชทุกขไ มใชส ุขบาง ดูกอนภิกษุท้ังหลาย เพราะอะไรจงึ เรยี กวาสญั ญา? เพราะจาํ ไดหมายรจู งึ เรยี กวาสัญญา จําไดหมายรูอะไร?จําไดห มายรสู เี ขียวบา ง สีเหลอื งบา ง สีแดงบา ง สีขาวบาง. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรยี กวา สงั ขาร? เพราะปรงุ แตงสงั ขตธรรม
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 186จงึ เรียกวา สงั ขาร ปรุงแตง สังขตธรรมอะไร? ปรุงแตงสงั ขตธรรมคอื รปู โดยความเปน รปู ปรงุ แตงสงั ขตธรรม คือ เวทนา โดยความเปนเวทนา ปรุงแตงสงั ขตธรรม คือ สญั ญา โดยความเปนสัญญาปรุงแตง สงั ขตธรรม คือ สังขาร โดยความเปน สังขาร ปรุงแตงสังขตธรรม คอื วญิ ญาณ โดยความเปนวญิ ญาณ. ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลายเพราะอะไรจงึ เรียกวาวิญญาณ? เพราะรูแจง จงึ เรยี กวาวิญญาณรแู จง อะไร? รแู จง รสเปรย้ี วบาง รสขมบาง รสเผด็ บาง รสหวานบา งรสข่นื บา ง รสไมขื่นบา ง รสเคม็ บา ง รสจดื บา ง. [๑๖๐] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ในขอนั้น อริยสาวกผูไดส ดบั แลวยอ มพิจารณาเหน็ ดงั นวี้ า บดั นี้เราถกู รปู กินอยู แมใ นอดตี กาล เรากถ็ ูกรูปกนิ แลว เหมือนกับท่ถี ูกรูปปจ จุบนั กนิ อยูในบดั นี้ กเ็ รานแี้ ล พงึ ชื่นชมรูปอนาคต แมในอนาคตกาล เราก็คงจะถูกรปู กิน เหมอื นกบั ท่ีถกู รปูปจจบุ นั กินอยใู นบดั นี้ เธอพิจารณาเหน็ ดงั น้ีแลว ยอมไมม ีความอาลัยในรปู อดตี ยอ มไมช่ืนชมรูปอนาคต ยอ มปฏบิ ตั เิ พอื่ เบ่ือหนาย เพอื่คลายกาํ หนดั เพอ่ื ความดบั รปู ปจจุบนั . อรยิ สาวกผูไ ดสดบั แลวยอมพจิ ารณาเหน็ ดังนวี้ า บดั น้เี ราถูกเวทนากนิ อยู... บดั น้ีเราถกู สัญญากินอย.ู .. บดั นเ้ี ราถกู สังขารกนิ อย.ู .. บดั นีเ้ ราถูกวญิ ญาณกนิ อยูแมใ นอดีตกาล เราก็ถกู วิญญาณกินแลว เหมอื นกบั ที่ถกู วิญญาณปจ จุบนั กนิ อยูในบดั น้ี ก็เราน้ีแล พงึ ช่นื ชมวญิ ญาณอนาคต แมใ นอนาคตกาล เราก็คงจะถกู วญิ ญาณกนิ อยู เหมอื นกบั ที่ถกู วญิ ญาณปจ จุบันกนิ อยูในบดั น้ี เธอพจิ ารณาเหน็ ดงั นแ้ี ลว ยอ มไมมีความอาลยัในวญิ ญาณ แมท่เี ปน อดีต ยอ มไมช นื่ ชมวญิ ญาณอนาคต ยอ มปฏิบัตเิ พ่อืความเบือ่ หนาย เพ่อื คลายกําหนดั เพื่อความดับวญิ ญาณปจจบุ ัน.
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 187 [๑๖๑] ภ. กอนภิกษุทงั้ หลาย เธอท้ังหลายจะสาํ คญั ความขอนนั้เปนไฉน รปู เท่ียงหรือไมเ ทีย่ ง? ภกิ ษุเหลานั้นกราบทูลวา ไมเ ทยี่ งพระเจา ขา . ภ. ก็ส่งิ ใดไมเ ทีย่ ง สิง่ นั้นเปน ทุกขหรอื เปน สขุ เลา? ภ.ิ เปนทกุ ข พระเจา ขา . ภ. ก็สิ่งใดไมเ ที่ยง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรอื หนอทจี่ ะตามเห็นสิง่ นัน้ วา นัน่ ของเรา เราเปน น่นั นัน่ เปนอตั ตาของเรา. ภิ. ไมค วรเหน็ อยางน้ัน พระเจาขา. ภ. เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ เทย่ี งหรอื ไมเท่ียง? ภิ. ไมเทยี่ ง พระเจา ขา . ภ. กส็ ิง่ ใดไมเที่ยง สง่ิ นัน้ เปนทุกขหรอื เปน สขุ เลา? ภิ. เปนทุกข พระเจา ขา . ภ. กส็ ่งิ ใดไมเ ทย่ี ง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรือหนอที่จะตามเหน็ สิ่งนน้ั วา นัน่ ของเรา เราเปน นัน่ นั่นเปนอัตตาของเรา. ภ.ิ ไมค วรเห็นอยา งน้ัน พระเจาขา . [๑๖๒] ภ. กอ นภิกษุทั้งหลาย รปู อยา งใดอยางหนงึ่ ทง้ั ท่ีเปน อดตี อนาคต และปจ จุบนั เปนภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยใู นทไ่ี กลหรอื ใกล รูปท้งั หมดน้ันเธอทง้ั หลายพงึ เหน็ ดวยปญญาอันชอบ ตามความเปนจรงิ อยางน้วี า
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 188นน่ั ไมใชของเรา เราไมเ ปน นั่น นน่ั ไมใ ชอัตตาของเรา. เวทนาอยางใดอยา งหน่งึ สัญญาอยางใดอยา งหนึ่ง สงั ขารอยางใดอยางหนงึ่ วิญญาณอยางใดอยางหนงึ่ ทัง้ ท่ีเปน อดีต อนาคต และปจ จุบัน ฯลฯ อยูในทีไ่ กลหรอื ใกล วิญญาณท้งั หมดน้นั เธอทงั้ หลายพงึ เหน็ ดว ยปญ ญาอนั ชอบตามความเปน จรงิ อยางนี้วา น่ันไมใชของเรา เราไมเ ปนนัน่น่นั ไมใ ชอัตตาของเรา. ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย อรยิ สาวกนี้เราตถาคตเรยี กวา จะปราศจากสะสม สัง่ สม (วฏั ฏะ) จะละทงิ้ ไมถ อื ม่ันจะกระจาย ไมรวบรวมเขา ไว จะทําใหม อดไมก อ ไหล กุ โพลงขน้ึ . [๑๖๓] อรยิ สาวกจะปราศจากสง่ั สม ไมส่ังสมอะไร? จะปราศจากสงั่ สมรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ไมสั่งสมรปูเวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ จะละทิ้งอะไร? ไมถือม่ันอะไร?จะละทง้ิ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ไมถือม่นั รูป เวทนาสญั ญา สังขาร วิญญาณ จะกระจายอะไร? ไมรวบรวมอะไรไว?จะกระจายรูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ไมรวบรวมรปู เวทนาสัญญา สงั ขาร วิญญาณเขาไว จะทาํ อะไรใหม อด? ไมกออะไรใหลุกโพลงขึ้น? จะทาํ รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ใหมอด ไมกอรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใหล ุกโพลงขนึ้ . ดูกอนภกิ ษุท้ังหลายอริยสาวกผไู ดสดบั แลว เห็นอยูอยางน้ี จะเบ่ือหนายทง้ั ในรูป ทงั้ ในเวทนา ทั้งในสญั ญา ทั้งในสังขาร ทัง้ ในวิญญาณ เม่ือเบ่อื หนา ย ยอ มคลายกาํ หนดั เพราะคลายกาํ หนัด จะหลุดพน เม่อื หลดุ พน แลวจะมญี าณหย่งั รวู า หลุดพนแลว รชู ดั วา ชาติส้ินแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจทีค่ วรทาํ ทําเสรจ็ แลว กิจอื่นเพอ่ื ความเปนอยา งนี้มไิ ดม.ีดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษนุ เี้ ราเรียกวา จะไมส่ังสม (และ) ไมปราศจาก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 616
Pages: