Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_27

tripitaka_27

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_27

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 232(ทนั ทที ่ีเห็น) ใจก็สงบเยอื กเยน็ ประหนึง่ ความรอ นท่ี ถูกดบั ดว ยน้าํ พันหมอ.ไดย ืนอยใู กลพระคาสดา. นับแตน้นั มา ชา งนัน้ กท็ ําวตั รปฏบิ ตั ิถวายพระศาสดา ถวายน้ําบว นพระโอษฐ นาํ นา้ํ สรงมาถวาย ถวายไมส ีฟน กวาดบริเวณนําผลไมมรี สอรอ ยจากปา มาถวายพระคาสดา. พระศาสดาก็ทรงเสวย.คืนวนั หนง่ึ พระศาสดาเสด็จจงกรมแลวประทบั นั่งบนแผนหิน.ฝา ยชา งพลายกย็ นื อยใู นทใี่ กลๆ . พระคาสดาทรงเหลยี วมองดานพระปฤษฎางคแ ลว มองไมเห็นใคร ๆ เลย เหลยี วมองดา นหนาและดา นพระปรศั วท งั้ สอง ก็มองไมเ ห็นใคร ๆ เลยอยา งน้ัน (เหมอื นกัน). ขณะนัน้ พระองคเกดิ พระดํารขิ ึ้นวา สุขแทหนอ ท่เี ราตถาคตอยแู ยกจากภิกษุผูกอความบาดหมางกันเหลาน้นั . ฝายชางพลายก็คิดถึงเหตเุ ปน ตน วา ไมม ชี างเหลา อ่นื คอยเคี้ยวกินก่ิงไมทีเ่ ราโนม ลง แลวเกิดความคิดข้นึ วา สขุ แทหนอทีเ่ ราอยูชา งเดยี ว เราไดทําวัตรถวายพระศาสดา. พระศาสดาตรวจดูพระดาํ รขิ องพระองคแลวทรงดําริวา จติของเราตถาคตเปน เชน นก้ี อน จิตของชา งเปนเชน ไรหนอแล ทรงเห็นจติ ของชา งน้นั เปน เชน นัน้ เหมือนกัน จงึ ทรงดําริวา จิตของเราทง้ั สองเหมือนกัน ดังน้ีแลว ทรงเปลง อุทานน้ีวา จติ ของชางตัวประเสรฐิ ผูมีงางอน กับจติ อันประเสรฐิ (ของเราตถาคต) นี้ ยอ มเขากันได (และ) ไมว าจะเปน ใคร ถา ยินดอี ยูในปา (จติ ของเขากบั จิตของเราตถาคตยอ มเขา กันไดท้งั นั้น)

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 233 บทวา อถโข สมพุ หุลา ภกิ ขฺ ู ความวา ครั้งนัน้ เมอ่ื พระตถาคตประทับอยูในปา ปาลิเลยยกะน้นั ดังพรรณนามานี้ ภกิ ษุ ๕๐๐ รูปที่จําพรรษาอยูใ นทศิ ท้งั หลาย. บทวา เยนายสมฺ า อานนฺโท ความวา (ภิกษเุ หลาน้ัน)ไมสามารถจะไปสาํ นักพระศาสดาตามธรรมดาของตนได จงึ เขา ไปหาพระอานนทจนถึงที่อยู. ศาสนาธรรม บทวา อนนฺตรา อาสวาน ขโย ความวา อรหัตตผลตอ จากมรรค. บทวา วจิ ยโส แปลวา ดว ยการวิจัย อธบิ ายวา กําหนดดว ยญาณซงึ่ สามารถวจิ ยั ถงึ สภาวะของธรรมเหลา น้ัน ๆ. บทวา ธมฺโม หมายถึง ศาสนธรรม. พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงธรรมกําหนดสว นเหลาใดมอี าทิวา สตปิ ฏ ฐาน ๔ ไว เพือ่ตองการประกาศสวนเหลา น้ัน พระองคจึงตรสั (พระพทุ ธพจนนีไ้ ว) . ปฏจิ จสมุปบาทยอ ย บทวา สมนปุ สสฺ นา ไดแก การพิจารณาเหน็ ดวยทฏิ ฐิ. บทวา ส ขาโร โส ไดแก สงั ขารคือทิฏฐินั้น. บทวา ตโตโช โส สงฺขาโร ความวา สงั ขารน้นั เกดิ จากตัณหานน้ั อธิบายวา ในบรรดาจติ ทสี่ มั ปยุตดวยตณั หา สังขารนนั้ยอ มเกิดในจิต ๔ ดวง.

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 234 บทวา สาป ตณฺหา ไดแ ก ตณั หาซงึ่ เปนปจ จัยของสงั ขารคือทิฏฐินนั้ . บทวา สาป เวทนา ไตแก เวทนาซง่ึ เปน ปจ จัยของตัณหานั้น. บทวา โสป ผสโฺ ส ไดแ ก สมั ผัสอนั เกิดจากอวชิ ชาซึง่ เปนปจจัยของเวทนานัน้ . บทวา สาป อวชิ ชฺ า ไดแ ก อวิชชาอนั สัมปยตุ ดวยผัสสะนน้ั . ถา มเี รา บรขิ ารของเรากม็ ี บทวา โน จสุส โน จ เม สิยา ความวา ถาเราไมพึงมีไซรแมบ รขิ ารของเรากไ็ มพ ึงมดี ว ย. บทวา น ภวสิ สฺ ามิ น เม ภวสิ สฺ ติ ความวา ก็ถาแมใ นอนาคตเราจักไมม ีไซร เม่ือเปน เชน น้ี แมบ รขิ ารของเรากจ็ ักไมม ดี ว ย. พระผูม ีพระภาคเจา เสด็จมาใหภ ิกษุนัน้ สลัดทิ้งทฏิ ฐิท่ียึดถอื ไวแลว ๆ ตามอัธยาศยั บคุ คลบาง ตามการยักยา ยเทศนาบาง. ในบทวา ตโตโช โส สงขฺ าโร พึงทราบอธบิ ายวา :- ถามวา ในจิตท่สี มั ปยุตดวยตัณหาไมมวี จิ กิ จิ ฉาเลย (แลว )สังขารคือวจิ กิ ิจฉาจะเกดิ จากตัณหาไดอ ยางไร ? ตอบวา สังขารคือวิจิกจิ ฉาเกิดจากตัณหากเ็ พราะยังละตณั หาไมได. อธิบายวา เมอื่ ตณั หาใดยังละไมไ ด สงั ขารคือวิจกิ ิจฉาน้นั ก็เกดิ ข้นึ พระผูมพี ระภาคเจาทรงหมายเอาตัณหานัน้ จงึ ตรสั คํานี้วาตโตโช โส สงขฺ าโร.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 235 แมใ นทฏิ ฐกิ ็ไดน ยั (ความหมาย) อยางเดียวกนั น้.ี เพราะธรรมดาวา สัมปยุตตทิฏฐิ ยอมไมม ีในจติ ตปุ บาท ๔ ดวง. อนง่ึ สมั ปยตุ ตทิฏฐนิ ้นั เกดิ ขึน้ เพราะละตณั หาใดไมไดหมายเอาตณั หาน้ัน ความหมายนี้จึงใชไดแมใ นทฏิ ฐนิ ้นั รวมความวาพระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วปิ สสนาจนถึงอรหัตตผลไวใ นฐานะ ๒๓ ในสูตรน.ี้ จบ อรรถกถาปาลิเลยยสูตรที่ ๙ ๑๐. ปณุ ณมสูตร วาดวยอุปาทานขันธ ๕ [๑๘๒] สมยั หน่ึง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ มิคารมาตุ-ปราสาท ในพระวหิ ารบพุ พาราม ใกลพ ระนครสาวตั ถี พรอมดว ยภกิ ษสุ งฆเปนอันมาก กใ็ นสมยั นัน้ แล ในคืนวนั อุโบสถขึ้น ๑๕ คาํ่ เปนวันเพญ็ มีพระจนั ทรเต็มดวง พระผมู ีพระภาคเจาอันภิกษุสงฆห อ มลอ มแลว ประทบั นงั่ อยใู นท่แี จง . [๑๘๓] คร้งั นนั้ ภกิ ษรุ ปู หนึ่งลุกจากอาสนะ หมจีวรเฉวยี งบาขา งหนงึ่ แลว ประนมมอื ไปทางทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจา ไดกราบทูลพระผมู พี ระภาคเจา วา ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ ขา พระองคจ ะพงึ ทูลถามเหตปุ ระการหนึ่งกะพระผูมีพระภาคเจา ถาพระผูมพี ระภาคเจาทรงประทานโอกาสท่จี ะพยากรณป ญ หาแกข า พระองค พระผูมี-พระภาคเจาตรสั ตอบวา ดูกอ นภิกษุ ถาเชนนน้ั เธอจงน่ัง ณ อาสนะของตน แลว ถามปญ หาท่ีเธอมงุ จาํ นงเถิด ภกิ ษุนน้ั รับพระดาํ รัสของพระผมู ีพระภาคเจาแลวนง่ั ณ อาสนะของตน ทลู ถามปญ หาพระผมู ี-พระภาคเจาวา ขาแตพระองคผเู จรญิ อุปาทานขนั ธ ๕ ไดแ กอ ปุ าทาน-

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 236ขันธคือรปู ๑ อปุ าทานขนั ธคอื เวทนา ๑ อปุ าทานขนั ธค อื สญั ญา ๑อุปาทานขนั ธค อื สังขาร ๑ อปุ าทานขนั ธคอื วญิ ญาณ ๑ เหลานใ้ี ชไ หมพระเจาขา ? พ. ดกู อนภกิ ษุ อุปาทานขนั ธ ๕ ไดแก อปุ าทานขนั ธ คือ รปู ,เวทนา สญั ญา, สงั ขาร, วิญญาณ เหลานแี้ หละภกิ ษ.ุ วาดวยมูลแหงอปุ าทานขันธ ๕ [๑๘๔] ภิกษุน้ัน ชืน่ ชมอนุโมทนาภาษติ ของพระผมู พี ระภาคเจาวา ดแี ลวพระเจา ขา แลว ไดทลู ถามปญหาที่ยง่ิ ขนึ้ ไปวา อปุ าทานขันธ ๕เหลานแ้ี ล มอี ะไรเปน มลู เหตุ พระเจาขา ? ภ. ดูกอ นภกิ ษุ อุปาทานขนั ธ ๕ เหลา นแ้ี ล มฉี ันทะเปนมลู เหตุ ฯลฯ ภ.ิ อุปาทานก็อันนั้น และอุปาทานขนั ธ ๕ กอ็ นั นน้ั หรือวาอปุ าทานอื่นจากอุปาทานขนั ธ ๕ พระเจา ขา ? ภ. ดกู อ นภกิ ษุ อุปาทานก็อันนนั้ และอปุ าทานขนั ธ ๕ กอ็ นั น้นัหามไิ ด และอปุ าทานขันธอ ืน่ จากอปุ าทานขนั ธ ๕ กห็ ามิได แตฉันทราคะในอปุ าทานขันธ ๕ เหลานัน้ เปนตัวอปุ าทาน. วา ดวยฉันทราคะในอุปาทานขนั ธ ๕ [๑๘๕] ภกิ ษนุ ัน้ ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจาวา ดีแลว พระเจา ขา แลว ไดทลู ถามปญหาที่ย่งิ ข้ึนไปวา ขา แตพระองคผูเจริญ กฉ็ นั ทราคะในอปุ าทานขันธ ๕ แตกตางกนั หรือ พระผูม-ีพระภาคเจาตรัสตอบวา ตา งกนั ภกิ ษุ ดังน้ีแลวไดต รสั ตอไปวา ดูกอ น

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 237ภกิ ษุ บุคคลบางคนในโลกน้ี มคี วามปรารถนาอยา งนวี้ าในอนาคตกาลขอเราพงึ มีรปู เชนนี้ พึงมีเวทนาเชน นี้ พงึ มสี ญั ญาเชนน้ี พงึ มสี งั ขารเชนนี้ พึงมีวญิ ญาณเชน น.้ี ดกู อนภิกษุ ฉันทราคะในอุปาทานขันธ ๕ตา งกนั ดว ยประการฉะน้แี ล. วา ดวยเหตุทเี่ รียกวา ขนั ธ ๕ [๑๘๖] ภกิ ษุนัน้ ชืน่ ชมอนโุ มทนาภาษติ ของพระผมู พี ระภาคเจาวา ดแี ลว พระเจา ขา แลว ไดทูลถามปญหาทยี่ ิ่งขนึ้ ไปวา ขา แตพ ระองคผูเ จริญ ดว ยเหตเุ พยี งเทา ไรหนอ ขันธจ งึ ช่อื วาขนั ธ? ภ. ดูกอนภกิ ษรุ ปู อยางใดอยางหนงึ่ ท้ังท่เี ปน อดีต อนาคต และปจจุบัน เปน ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบกด็ ี ละเอยี ดก็ดี เลวก็ดีประณตี กด็ ี มใี นทไ่ี กลกด็ ี ในทีใ่ กลก ็ดี น้ีเรียกวา รูปขันธ เวทนาอยางใดอยางหนงึ่ ฯลฯ นี้เรียกวาเวทนาขันธ สญั ญาอยางใดอยา งหนึ่ง ฯลฯนเ้ี รียกวา สญั ญาขันธ สังขารอยา งใดอยางหนง่ึ ฯลฯ น้ีเรียกวาสงั ขารขนั ธ วิญญาณอยางใดอยางหนึ่ง ทงั้ ท่ีเปน อดตี อนาคต และปจจบุ ัน เปนภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบกด็ ี ละเอยี ดก็ดี เลวก็ดีประณีตก็ดี มใี นที่ไกลกด็ ี ในทใ่ี กลก็ดี น้เี รยี กวาวิญญาณขันธดกู อนภกิ ษุ ดว ยเหตมุ ปี ระมาณเทา นีแ้ ล ขันธจ งึ ชอื่ วาขันธ. วาดว ยเหตุปจ จัยแหง ขนั ธ ๕ [๑๘๗] ภิกษุน้ัน ช่นื ชมอนโุ มทนาภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจาวา ดีแลวพระเจา ขา แลวไดท ูลถามปญหาท่ยี ่งิ ขนึ้ ไปวา ขา แตพ ระองคผเู จริญ อะไรหนอเปนเหตเุ ปนปจจัยทําใหรปู ขันธ, เวทนาขันธ,สญั ญาขันธ, สงั ขารขนั ธ, วญิ ญาณขันธ, ปรากฏ ?

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 238 ภ. ดกู อ นภกิ ษุ มหาภูตรูป ๔ แล เปน เหตเุ ปนปจ จัยทาํ ใหรปู ขนั ธป รากฏ ผสั สะเปน เหตุเปน ปจจยั ทาํ ใหเ วทนาขันธป รากฏ ผัสสะเปน เหตเุ ปนปจจยั ทาํ ใหส ญั ญาขนั ธปรากฏ ผสั สะ เปน เหตเุ ปนปจจยัทําใหส ังขารขนั ธป รากฏ นามรปู เปนเหตุเปน ปจ จยั ทาํ ใหว ิญญาณขนั ธปรากฏ. วาดว ยเหตเุ กดิ สักกายทิฏฐิ [๑๘๘] ภกิ ษุนั้น ชนื่ ชมอนโุ มทนาภาษติ ของพระผมู ีพระภาคเจาวา ดีแลวพระเจาขา แลวไดทูลถามปญหาท่ยี ่ิงขึน้ ไปวา ขาแตพ ระองคผูเจริญ สักกายทฏิ ฐมิ ไี ดอ ยา งใดหนอ? ภ. ดูกอ นภิกษุ ปถุ ุชนในโลกนี้ ผูยังมไิ ดสดบั เปนผไู มไ ดเหน็พระอรยิ เจา ไมฉ ลาดในอริยธรรม ไมไ ดรับแนะนําในอริยธรรมเปน ผูไมไ ดเ หน็ สตั บรุ ุษ ไมฉ ลาดในสปั ปรุ สิ ธรรม ไมไ ดรบั แนะนําในสปั ปรุ ิสธรรม ยอมเหน็ รปู โดยความเปน อตั ตา ยอ มเห็นอัตตามรี ูป ยอ มเห็นรูปในอตั ตา ยอมเหน็ อตั ตาในรูป ยอมเหน็ เวทนาโดยความเปน อตั ตายอมเหน็ อตั ตามเี วทนา ยอ มเห็นเวทนาในอัตตา ยอ มเห็นอตั ตาในเวทนายอ มเหน็ สัญญาโดยความเปนอตั ตา ยอมเหน็ อัตตามีสญั ญา ยอ มเหน็สัญญาในอตั ตา ยอมเหน็ อตั ตาในสญั ญา ยอมเหน็ สงั ขารโดยความเปนอัตตา ยอ มเห็นอตั ตามสี ังขาร ยอมเหน็ สังขารในอัตตา ยอมเหน็ อตั ตาในสังขาร ยอ มเห็นวญิ ญาณโดยความเปน อตั ตา ยอมเหน็ อัตตามวี ญิ ญาณยอ มเหน็ วญิ ญาณในอตั ตา ยอมเห็นอตั ตาในวิญญาณ ดูกอ นภิกษุสกั กายทิฏฐิมีไดด ว ยอาการเชน นีแ้ ล.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 239 วาดวยเหตุจะไมม ีสกั กายทฏิ ฐิ [๑๘๙] ภกิ ษนุ ้นั ชน่ื ชมอนุโมทนาภาษติ ของพระผูม พี ระภาคเจาวา ดีแลวพระเจาขา แลว ไดทูลถามปญ หาทยี่ ิง่ ขึ้นไปวา ขา แตพ ระองคผูเจรญิ สักกายทฏิ ฐยิ อมไมม ไี ดอ ยา งไร? ภ. ดูกอนภกิ ษุ อริยสาวกในธรรมวนิ ัยนี้ ผูไดสดบั แลว เปน ผูไดเหน็ พระอริยเจา ฉลาดในอรยิ ธรรม ไดรับแนะนําแลวเปน อยางดีในอรยิ ธรรม เปน ผไู ดเหน็ สัตบรุ ษุ ฉลาดในสปั ปรุ ิสธรรม ไดรบั แนะนําแลวเปน อยางดใี นสัปปุรสิ ธรรม ยอมไมเ หน็ รูปโดยความเปนอตั ตาไมเ หน็ อัตตามรี ูป ไมเ หน็ รูปในอตั ตา หรือไมเ ห็นอัตตาในรปู ยอมไมเหน็ เวทนาโดยความเปนอัตตา ไมเ หน็ อัตตามีเวทนา ไมเห็นเวทนาในอตั ตา หรอื ไมเห็นอัตตาในเวทนา ยอมไมเ หน็ สัญญาโดยความเปนอตั ตา ไมเ ห็นอัตตามีสัญญา ไมเหน็ สญั ญาในอตั ตา หรือไมเ หน็อัตตาในสญั ญา ยอมไมเ หน็ สังขารโดยความเปน อตั ตา ไมเห็นอัตตามีสังขาร ไมเ ห็นสังขารมใี นอัตตา หรอื ไมเ หน็ อัตตาในสงั ขาร ยอ มไมเ ห็นวญิ ญาณโดยความเปนอตั ตา ไมเ ห็นอตั ตามวี ิญญาณ ไมเห็นวิญญาณในอตั ตา หรือไมเห็นอตั ตาในวิญญาณ ดูกอนภิกษุ สักกายทฏิ ฐิยอมไมม ดี ว ยอาการเชนนแ้ี ล.วา ดวยคณุ โทษและอบุ ายสลดั ออกซ่งึ อุปาทานขนั ธ [๑๙๐] ภิกษุนน้ั ช่ืนชมอนโุ มทนาภาษติ ของพระผมู ีพระภาคเจาวา ดีแลว พระเจาขา แลว ไดท ูลถามปญหาทย่ี งิ่ ข้ึนไปวา ขาแตพ ระองคผเู จริญ อะไรหนอเปนคุณ เปน โทษของรูป, เวทนา, สญั ญา, สงั ขาร,วิญญาณ เปนการสลัดออกซึ่งรูป ซ่ึงเวทนา ซง่ึ สญั ญา ซ่งึ สังขารซ่ึงวญิ ญาณ?

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 240 ภ. ดูกอ นภกิ ษุ สขุ โสมนัส อาศัยรูปเกิดข้ึน นี้เปน คณุ ของรูปรูปไมเที่ยง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา นเี้ ปน โทษของรูปการกําจดั ฉันทราคะ การละฉันทราคะในรูปเสียได นีเ้ ปน การสลดั ออกซ่ึงรูป สุขโสมนสั อาศัยเวทนาเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยสัญญาเกิดขน้ึ ฯลฯอาศัยสังขารเกดิ ขึ้น อาศยั วญิ ญาณเกดิ ขึน้ นีเ้ ปนคณุ ของวิญญาณวญิ ญาณไมเท่ียง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา นีเ้ ปนโทษของวิญญาณ การกาํ จัดฉนั ทราคะ การละฉันทราคะในวญิ ญาณเสยี ไดนเี้ ปนการสลดั ออกซงึ่ วญิ ญาณ. วา ดวยการไมม ีอหงั การ มมงั การ และมานานุสัย [๑๙๑] ภิกษุนัน้ ชื่นชมอนโุ มทนาภาษติ ของพระผมู พี ระภาคเจาวา ดแี ลว พระเจา ขา แลว ไดทูลถามปญ หาท่ียิง่ ขนึ้ ไปอีกวา ขาแตพระองคผ ูเจรญิ เม่อื บคุ คลรูอยอู ยา งไร เห็นอยูอยางไร จงึ จะไมม ีอหงั การ มมงั การ และมานานสุ ัย ในกายทีม่ ีวญิ ญาณน้ี และในสรรพนิมติ ภายนอก? ภ. ดูกอ นภกิ ษุ รูปอยางใดอยา งหนงึ่ ท้ังที่เปน อดตี อนาคตและปจจบุ นั เปนภายในกด็ ี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอยี ดก็ดี เลวก็ดีประณีตกด็ ี มีในท่ีไกลกด็ ี ในทีใ่ กลก็ดี อรยิ สาวกยอมพจิ ารณาเห็นรปู ทงั้ หมดนนั้ ดวยปญ ญาอันชอบ ตามความเปนจรงิ อยา งน้วี านัน่ ไมใชของเรา เราไมเ ปน นนั่ นัน่ ไมใ ชอ ัตตาของเรา เวทนาอยางใดอยางหน่ึง สัญญาอยางใดอยางหนง่ึ สังขารอยา งใดอยางหนงึ่ วิญญาณอยา งใดอยา งหนึง่ ทงั้ ท่ีเปนอดตี อนาคต และปจจุบนั เปนภายในกด็ ีภายนอกก็ดี หยาบกด็ ี ละเอียดกด็ ี เลวก็ดี ประณตี กด็ ี มีในที่ไกลกด็ ีในทใี่ กลก ็ดี อริยสาวกยอมพจิ ารณาเห็นวญิ ญาณทง้ั หมดนั้น ดว ยปญ ญาอันชอบตามความเปนจรงิ อยา งน้ีวา นน่ั ไมใชข องเรา เราไมเปน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 241น่ัน นน่ั ไมใชอัตตาของเรา ดกู อนภิกษุ เมื่อบุคคลรอู ยอู ยางน้ี เห็นอยูอยางนแี้ ล จึงจะไมม ีอหังการ มมงั การ และมานานสุ ยั ในกายทีม่ ีวิญญาณนีแ้ ละสรรพนมิ ติ ภายนอก. วา ดวยกรรมท่ีอนัตตากระทาํ จะถูกตอ งอตั ตา [๑๙๒] กโ็ ดยสมยั นน้ั แล ภกิ ษุรูปหนง่ึ ไดเกิดความปรวิ ติ กแหง ใจขน้ึ วา ทา นผูเ จรญิ ท้ังหลาย ไดยนิ วา ดว ยประการดงั น้ีแลรปู เปน อนตั ตา เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ เปน อนัตตา กรรมที่อนตั ตากระทําแลว จักใหผลแกอตั ตาไดอ ยางไร. ครั้งนน้ั แล พระผูม-ีพระภาคเจา ทรงทราบความปรวิ ติ กแหง ใจของภกิ ษนุ ัน้ ดวยพระทัยแลวไดตรสั เรียกภกิ ษทุ งั้ หลายมาตรสั วา ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ขอท่ีโมฆบุรษุ บางคนในธรรมวนิ ัยนี้ เปนผตู กอยใู นอาํ นาจอวิชชา มีใจถกูตณั หาครอบงํา จะพึงสาํ คัญสตั ถุศาสน วาเปน คําสอนท่คี วรคดิ ใหตระหนักวา ทานผูเจรญิ ท้ังหลาย ไดย ินวา ดวยประการดงั นแี้ ลรูปเปน อนัตตา เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ เปน อนตั ตา กรรมที่อนตั ตากระทําแลว จักใหผ ลแกอ ัตตาไดอยา งไร? นเี้ ปน เหตุ (ฐานะ)ทจ่ี ะมีได ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอันเราไดแ นะนาํ ไวแ ลวดว ยการทวนถามในธรรมนน้ั ๆ ในบาลปี ระเทศนนั้ ๆ จะสาํ คญั ความขอ นนั้ เปนไฉน รูปเทีย่ งหรือไมเ ที่ยง? ภิกษุเหลา น้นั กราบทูลวาไมเทีย่ ง พระเจาขา. ภ. เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เท่ยี งหรอื ไมเท่ียง ภิ. ไมเทยี่ ง พระเจาขา. ภ ก็สิง่ ใดไมเ ท่ียง สงิ่ น้นั เปน ทกุ ขหรือเปนสุขเลา .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 242 ภ.ิ เปนทุกข พระเจา ขา . ภ. ก็ส่งิ ใดไมเท่ยี ง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาควรหรอื ทจี่ ะตามเห็นส่ิงนั้นวา น่นั ของเรา เรานนั่ เปน นนั่ เปน ตวั ตนของเรา. ภิ. ไมควรเห็นอยา งน้ัน พระเจาขา . ภ. เพราะเหตนุ ั้นแล ฯลฯ อรยิ สาวกผไู ดส ดับแลว เห็นอยูอยางนี้ฯลฯ ยอมทราบชัดวา ฯลฯ กิจอน่ื เพือ่ ความเปน อยา งนมี้ ิไดม ี ฉะนแ้ี ล. จบ ปุณณมสูตรท่ี ๑๐ จบ ขชี ชนยี วรรคที่ ๓ อรรถกถาปุณณมสูตรท่ี ๑๐ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในปุณณมสตู รที่ ๑๐ ดังตอ ไปนี้ :- บทวา ตทหโุ ปสเถ เปนตน ไดอธบิ ายไวแ ลว อยางพสิ ดารในปวารณาสตู ร. พระถามปญ ญาเรื่องเบญจขันธ บทวา กิ จฺ ิ เทส ไดแ ก เหตบุ างอยา ง. ถามวา เพราะเหตุไร พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสั อยางนว้ี าเธอจงนง่ั บนอาสนะของตนแลวถามปญ หาท่เี ธอจํานงหมายเถิด. ตอบวา พระผมู ีพระภาคเจาตรสั อยา งน้เี พราะทรงทราบวาไดย ินวา ภิกษนุ ้ันมภี ิกษเุ ปน บรวิ าร ๕๐๐ รปู ก็เมื่อภกิ ษุรปู ท่ีเปน

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 243อาจารยยนื ๑ ทูลถามปญหาอยู ถาภกิ ษุ (๕๐๐ รูป) นัน้ นัง่ กเ็ ปน การทาํความเคารพในพระศาสดา (แต) ไมเปนการทําความเคารพในอาจารยถายืน กเ็ ปน การทําความเคารพในอาจารย (แต) ไมเปนการทําความเคารพในพระศาสดา เมอ่ื เปน เชน น้ี จติ ของภกิ ษุเหลา นนั้ กจ็ กั ฟงุ ซานพวกเธอจักไมส ามารถรองรับพระธรรมเทศนาได แตเ ม่ือภิกษรุ ูปท่ีเปนอาจารยนน้ั นั่งถาม จติ ของภิกษุเหลาน้นั จักแนวแน (ในอารมณเดียว)พวกเธอกจ็ กั สามารถรองรบั พระธรรมเทศนาได. บทวา อิเม นุ โข ภนเฺ ต ความวา พระเถระน้อี ันใคร ๆไมค วรพดู (ตาํ หน)ิ วา ผทู ่ีเปนอาจารยข องภิกษตุ ้ัง ๕๐๐ รูป ไมรแู มเพียงเบญจขันธ เนื่องจากวา การท่ีเธอเมื่อถามปญหาจะถามเหมอื นคนรูอ ยางน้ีวา อปุ าทานขนั ธ ๕ เหลา นี้ ไมใชอ ปุ าทานขันธเ หลาอื่นไมเ หมาะเลย เพราะฉะนนั้ ทา นจงึ ถามเหมอื นคนไมรู. อนึง่ แมอ นั เตวาสิกท้ังหลายของทา นนั้น จักพากันคิดวาอาจารยข องพวกเราไมพ ดู วา เรารู แตเ ทยี บเคียงกับพระสพั พัญตุ ญาณกอ นแลว จงึ พดู ดงั นีแ้ ลว สําคัญคําสอนของทา นวา ควรฟง ควรเช่ือถือแมเพราะเหตุนัน้ ทานจึงถามเหมอื นคนไมร .ู เบญจขนั ธม ฉี นั ทะเปน มลู เหตุ บทวา ฉนฺทมลู กา คอื (เบญจขนั ธ) มฉี ันทะ คอื ตณั หาเปน มูล. บทวา น โข ภกิ ฺขุ ตฺเว อุปาทาน เต จ ปจฺ ปุ าทานกขฺ นธฺ าความวา เพราะเหตุทเี่ บญจขันธทพี่ นไปจากฉันทราคะไมมี ฉะนั้น๑. ปาฐะวา วติ กฺเก ปจุ ฉฺ นเฺ ต ฉบับพมา เปน ฐติ เก ปุจฺฉนฺเต แปลตามฉบับพมา

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 244พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรสั พระพุทธพจนบทน้ีไว. แตเพราะเหตุทไ่ี มม ีอปุ าทานท่ีพน ไปจากขนั ธท้งั โดยสหชาตปจจัยหรอื โดยอารัมมณปจจยัฉะนัน้ พระผมู ีพระภาคเจาจึงไมตรสั วา ปาทานมนี อกจากปาทานขนั ธ ๕.เพราะวา เมือ่ จิตท่สี มั ปยุตดวยตณั หาเปน ไปอยู รปู ทม่ี ีจติ นน้ั เปนสมุฏฐานช่ือวา รูปขนั ธ. เวนตณั หาเสยี อรูปธรรมทเ่ี หลือจดั เปน ขันธ ๔รวมความวา ไมมีอปุ าทานท่พี นไปจากขนั ธท ั้งโดยสหชาตปจ จัยอนง่ึ ไมมอี ุปาทานท่ีพนไปจากเบญจขนั ธทงั้ โดยอารมั มณปจ จยัเพราะอปุ าทานทําขนั ธใดขันธห น่ึงในบรรดาเบญจขนั ธมรี ูปเปนตนใหเ ปน อารมณเกดิ ข้ึน. ฉนั ทราคะมตี าง ๆ กนั บทวา ฉนฺทราคเวมตตฺ ตา แปลวา ความทีฉ่ ันทราคะมตี า ง ๆ กนั . บทวา เอว โข ภิกฺขุ ความวา ความทฉ่ี นั ทราคะมตี า ง ๆ กันพงึ มไี ด เพราะฉันทราคะทม่ี ีรูปเปนอารมณอ ยางนี้ กจ็ ะไมท าํ ขันธใดขันธหน่งึ ในบรรดาขันธม เี วทนาขันธเ ปน ตน ใหเปนอารมณ. บญั ญตั ิ บทวา ขนฺธาธวิ จน คือ น้ีเปนบัญญตั ิของขนั ธทง้ั หลาย๑.กบ็ ัญญตั นิ ้ีไมสบื ตออนุสนธกิ ันเลย ไมสบื ตออนุสนธกิ นั ก็จริง ถึงกระน้ันคําถามกม็ ีอนสุ นธิ (ตอเน่ืองกัน) คําวสิ ชั นากม็ อี นุสนธิ (ตอเนอื่ งกัน). ถงึ พระเถระน้ี ทลู ถาม (ปญ หากะพระผูมพี ระภาคเจา)ตามอัธยาศยั ของภิกษเุ หลา นน้ั ๆ ฝา ยพระศาสดาก็ทรงแก (ปญหา)ตามอธั ยาศัยของภิกษุเหลาน้นั เหมอื นกัน.๑. ปาฐะวา ขนฺธาติ อย ปฺตฺติ ฉบับสีหลเปน ขนธฺ าน อย ปฺ ตตฺ ิ แปลตามฉบับสหี ล

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 245 บทที่เหลือในทท่ี กุ แหง มีความหมายงา ยทงั้ น้ัน. จบอรรถกถาปณุ ณมสตู รท่ี ๑๐ กแ็ ล ในสูตรแตละสูตรของวรรคนี้ (มี) ภิกษุ ๕๐๐ รูป ไดส ําเรจ็เปนพระอรหนั ตแล. จบอรรถกถาขัชชนียวรรคที่ ๓ รวมพระสตู รท่มี ใี นวรรคนี้ คือ ๑. อสั สาทสูตร ๒. สมุทยสูตรท่ี ๑ ๓. สมุทยสูตรที่ ๒๔. อรหนั ตสตู รท่ี ๑ ๕. อรหนั ตสตู รท่ี ๒ ๖. สหี สตู ร ๗. ขัชชนยิ สตู ร๘. ปณ โฑลยสูตร ๙. ปาลิเลยยกสูตร ๑๐. ปุณณมสตู ร.

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 246 เถรวรรคที่ ๔ ๑. อานันทสตู รวา ดวยปจจัยใหมแี ละไมใหมตี ัณหามานะทิฏฐิ [๑๙๓] ขา พเจา ไดสดับมาแลว อยางนี้ :- สมัยหนึง่ พระผมู ีพระภาคเจาประทบั อยู ณ พระวหิ ารเชตวนัอารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวตั ถี. ณ ทีน่ ้นั แล ทา นพระอานนทเถระเรยี กภกิ ษุทงั้ หลายมาแลว กลา ววา ดูกอ นอาวโุ สท้งั หลาย. ภกิ ษุเหลานนั้ รบั คาํ ทานพระอานนทแลว. ทานพระอานนทจงึ ไดก ลาววา ดกู อ นอาวโุ สท้งั หลาย ทา นพระปณุ ณมนั ตานีบตุ รมีอุปการะมากแกพวกเราเหลาภิกษใุ หม ทานกลา วสอนพวกเราดวยโอวาทอยางน้ีวา ดูกอ นทา นอานนท เพราะถอื ม่นั จงึ มตี ณั หา มานะทิฏฐวิ า เปนเรา เพราะไมถ ือมน่ั จึงไมม ีตณั หา มานะ ทิฏฐิวา เปน เราเพราะถือมน่ั อะไร จงึ มีตณั หา มานะ ทฏิ ฐวิ า เปน เรา เพราะไมถอื ม่ันอะไร จึงไมมีตณั หา มานะ ทฏิ ฐวิ า เปน เรา เพราะถอื มนั่ รูป เวทนาสญั ญา สังขาร วิญญาณ จึงมีตณั หา มานะ ทิฏฐวิ า เปน เรา เพราะไมถอื มั่นรูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ จงึ ไมมีตัณหา มานะทฏิ ฐิวา เปนเรา ดูกอนทา นอานนท เปรยี บเหมอื นสตรีหรือบุรษุ รุนหนมุ รุน สาว มนี สิ ยั ชอบแตง ตัว สองดเู งาหนาของตนทก่ี ระจก หรือท่ีภาชนะนา้ํ อันใสบรสิ ุทธ์ิผุดผอง เพราะยึดถือจึงเห็น เพราะไมยึดถือจึงไมเหน็ ฉันใด ดูกอนทา นอานนท เพราะถือมัน่ รปู เวทนา สัญญาสงั ขาร วญิ ญาณ จงึ มตี ัณหา มานะ ทฏิ ฐวิ า เปนเรา เพราะไมถอื มั่นรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ จึงไมม ีตัณหา มานะ ทิฏฐิวาเปน เรา ฉันน้นั เหมือนกนั แล ดูกอ นทานอานนท ทานจะสาํ คญั ความ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 247ขอนัน้ เปน ไฉน รูปเท่ียงหรอื ไมเ ท่ียง. อ. ไมเที่ยง อาวโุ ส. ป. เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เทยี่ งหรือไมเทีย่ ง. อ. ไมเท่ียง อาวุโส ฯลฯ. ป. เพราะเหตนุ แ้ี ล อริยสาวกผสู ดับแลว เหน็ อยูอ ยา งนี้ ฯลฯรูชัดวา ฯลฯ กจิ อื่นเพ่อื ความเปนอยางนี้มิไดม ี (โดยเหตุน้แี ล ขาพเจาจงึ กลาววา ) ดกู อนอาวุโส ทา นพระปณุ ณมนั ตานีบตุ ร เปนผมู ีอุปการะมากแกพ วกเราเหลาภิกษุใหม ทา นสอนพวกเราดวยโอวาทนี้ กเ็ ราไดตรสั รธู รรม เพราะฟงธรรมเทศนานีข้ องทา นพระปุณณมนั ตานบี ตุ ร. จบอานนั ทสตู รท่ี ๑ เถรวรรคที่ ๔ อรรถกถาอานันทสตู รท่ี ๑ พึงทราบวินจิ ฉัย ในอานนั ทสูตรท่ี ๑ แหงเถรวรรค ดังตอไปน้ี :- พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร บตุ รของนางพราหมณี ชอ่ื มันตานี ชอ่ื มันตานีบุตร. บทวา อปุ าทาย แปลวา อาศัย คือ ปรารภ ไดแก มงุ หมายคอื อิงแอบ. บทวา อสฺมตี ิ โหติ ความวา มธี รรมเครื่องเนิ่นชา ๓ อยางคือ ตณั หา มานะ และทิฏฐิ ท่ีเปนไปอยา งนี้วา อสั มิ (เรามี เราเปน ).

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 248 บทวา ทหโร แปลวา คนหนมุ . บทวา ยวุ า ไดแก ถงึ พรอ มดวยความเปนหนุม . บทวา มณฺฑกชาตโิ ย แปลวา มีการแตงตัวเปน สภาพ คอืมีปกติชอบแตงตัว. บทวา มุขนิมิตตฺ  แปลวา เงาหนา. ก็เงาหนานนั้ อาศยั กระจกเงาทใี่ สสะอาดจงึ ปรากฏ. ถามวา ก็เมอื่ บุคคลมองดกู ระจกเงาใสสะอาดน้ัน เงาหนา ของตนปรากฏ หรือเงาหนาของคนอื่นปรากฏเลา ? อาจารยท ง้ั หลายกลา ววา ถาเงาหนาจะพึงเปน ของตนไซร(ไฉน) จะตอ งปรากฏเปน หนา อนื่ (อีกหนา หนง่ึ ) และถา เงาหนา เปนของผอู ื่น (อีกหนาหนึ่ง) ไซร ก็จะตอ งปรากฏไมเ หมือนกันโดยสเี ปนตนเพราะฉะน้ัน เงาหนาน้นั จงึ ไมเ ปนท้ังของตน ท้ังของคนอน่ื แตว ารูปทเี่ ห็นในกระจกนนั้ อาศัยกระจก จึงปรากฏ. ถามวา ถาจะมเี งาหนาใดปรากฏในนาํ้ เงาหนา นนั้ ปรากฏไดเพราะเหตุไร ? ตอบวา ปรากฏได เพราะมหาภูตรูป (น้าํ ) เปน ของใสสะอาด. บทวา ธมโฺ ม จ เม อภิสเมโก ความวา พระอานนทเถระกลาววา ผมไดบ รรลธุ รรมคอื สัจจะ ๔ ดว ยญาณ ผมจึงสาํ เร็จเปนพระโสดาบนั . จบ อรรถกถาอานนั ทสตู รที่ ๑

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 249 ๒. ติสสสตู รวาดวยปจจัยใหเกิดและไมใ หเกดิ โสกะ [๑๙๔] กรุงสาวตั ถี ฯลฯ กส็ มัยน้นั ทานพระติสสะซ่ึงเปนโอรสของพระปตจุ ฉาของพระผูม ีพระภาคเจาบอกแกภ กิ ษหุ ลายรปูอยา งนีว้ า ดูกอนอาวุโสทั้งหลาย กายของขา พเจาเปนดจุ ภาระอันหนกั โดยแท แมท ิศทั้งหลายไมปรากฏแกข า พเจา แมธ รรมท้ังหลายไมแจมแจงแกขาพเจา ถนี มทิ ธะยอมครอบงําจติ ของขา พเจาอยูขาพเจาไมยินดีประพฤตพิ รหมจรรย และความสงสยั ในธรรมทั้งหลายยอ มเกดิ มีแกขาพเจา . [๑๙๕] ครั้งนั้นแล ภิกษุหลายรปู พากันเขาไปเฝา พระผูม -ีพระภาคเจาถึงทีป่ ระทับ ถวายบังคมแลวน่งั ณ ท่ีควรสวนขางหนึง่ครน้ั แลว จงึ กราบทลู วา ขาแตพระองคผ เู จริญ ทานตสิ สะผเู ปน โอรสของปตุจฉาของพระผมู พี ระภาคเจา บอกแกภ กิ ษหุ ลายรูปวา อาวุโสทัง้ หลายกายของขาพเจา เปน ดจุ ภาระอันหนกั โดยแท แมท ศิ ทง้ั หลายยอมไมปรากฏแกข าพเจา แมธ รรมท้งั หลายกไ็ มแ จมแจง แกขา พเจา ถีนมิทธะยอ มครอบงําจติ ของขา พเจาอยู ขา พเจาไมย นิ ดปี ระพฤตพิ รหมจรรยและความสงสยั ในธรรมทัง้ หลาย ยอมเกดิ มีแกข าพเจา ครั้งนน้ั แลพระผมู ีพระภาคเจา ตรัสเรยี กภกิ ษรุ ปู หนึง่ มาแลว รบั สงั่ วา ดกู อ นภกิ ษุเธอจงไปเรียกตสิ สภิกษตุ ามคาํ ของเราวา ทานติสสะ พระศาสดารับสงั่ ใหหาทา น ภิกษุนัน้ รับพระดํารัสแลวเขาไปหาทา นตสิ สะถึงท่ีอยูแลวบอกแกทานตสิ สะอยา งน้วี า ทา นตสิ สะ พระศาสดารับส่งั ใหหาทา นทา นพระติสสะรบั คําภกิ ษนุ ้นั แลว เขาไปเฝา พระผูมีพระภาคเจา ถึงทป่ี ระทับ ถวายบังคมแลวน่ัง ณ ทค่ี วรสว นขางหนึง่ ครน้ั แลวพระผมู ี-

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 250พระภาคเจาไดต รัสถามทานพระตสิ สะวา ดกู อ นติสสะ ทราบวาเธอไดบ อกแกภกิ ษุหลายรปู วา ดูกอนอาวโุ สทัง้ หลาย กายของขาพเจาเปน ดุจภาระอนั หนกั โดยแท ฯลฯ และความสงสยั ในธรรมท้ังหลายยอมเกดิ มแี กขาพเจา จริงหรือ ทานพระติสสะกราบทูลวา จรงิ อยา งนน้ัพระเจา ขา. ภ. ดกู อนตสิ สะ เธอจะสําคญั ความขอ น้นั เปนไฉน โสกะปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั และอปุ ายาส ยอมบงั เกิดแกบ คุ คลผูไมปราศจากความกําหนัด ความพอใจ ความรกั ใคร ความกระหาย ความเรา รอ นความทะเยอทะยานในรปู เพราะความท่รี ูปน้นั แปรปรวนเปน อยางอนื่ ไปใชไหม ? ต. ใช พระเจาขา. ภ. ดลี ะ. ๆ ตสิ สะ ก็ขอ นย้ี อ มเปน อยา งนี้ สาํ หรบั บุคคลผูไมป ราศจากความกําหนัดในรปู ดูกอนตสิ สะ เธอจะสาํ คัญความขอ นั้นเปน ไฉน โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัสและอปุ ายาส ยอมเกดิ ข้ึนแกบ ุคคลผไู มปราศจากความกาํ หนดั ความพอใจ ความรักใครความกระหาย ความเรารอ น ความทะเยอทะยาน ในเวทนา ในสัญญาในสังขาร ในวิญญาณ เพราะวญิ ญาณนั้นแปรปรวนเปนอยางอน่ื ไปใชไ หม? ต. ใช พระเจา ขา . ภ. ดลี ะ ๆ ติสสะ ก็ขอ นย้ี อ มเปนอยา งน้ี สาํ หรับบุคคลผยู ังไมป ราศจากความกาํ หนดั ในวิญญาณ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook