Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_27

tripitaka_27

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_27

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 463 ภิ. ไมพ ึงเกิดทฏิ ฐิอยา งนัน้ เลย พระเจาขา. ภ. ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย เมอ่ื ใดแล อริยสาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหลานี้ ชือ่ วา เปนอันละความสงสยั แมในทุกข แมใ นทุกขสมุทัยแมใ นทุกขนโิ รธ แมในทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา เมอ่ื นน้ั อริยสาวกน้ีเราเรียกวา เปน พระโสดาบัน มีความไมต กต่ําเปน ธรรมดา เปน ผูเทีย่ งที่จะตรสั รูในเบอ้ื งหนา. จบ โสอตั ตสูตร ๔. โนจเมสิยาสูตร [๔๒๓] กรุงสาวตั ถ.ี พระผูมพี ระภาคเจาตรัสถามวา ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เม่อื อะไรหนอมีอยู เพราะอาศัยอะไร เพราะยดึ ม่นั อะไรจงึ เกิดทฏิ ฐิอยา งน้ีวา เราไมพ ึงมี และบรขิ ารของเราไมพ งึ มี เราจักไมม ีและบริขารของเราจกั ไมมี ดงั นี้ ? ภกิ ษทุ ้ังหลายกราบทูลวา ขาแตพระองคผูเจรญิ ธรรมของขาพระองคท้ังหลาย มพี ระผูม พี ระภาคเจา เปนรากฐาน ฯลฯ พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เมอ่ื รปู มีอยูเพราะถือม่ันรูป เพราะยึดม่ันรปู จึงเกิดทิฏฐิขนึ้ อยา งนีว้ า เราไมพงึ มีและบรขิ ารของเราไมพึงมี เราจกั ไมมี และบริขารของเราจักไมมีเมอื่ เวทนามอี ยู... เมอื่ สญั ญามีอยู... เม่อื สังขารมีอยู. .. เมอ่ื วญิ ญาณมอี ยูเพราะถือมั่นวิญญาณ เพราะยดื มัน่ วิญญาณ จงึ เกิดทิฏฐิขน้ึ อยางน้วี าเราไมพ งึ มี และบรขิ ารของเราไมพ ึงมี เราจกั ไมมี และ บรขิ ารของเราจกั ไมม.ี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 464 [๔๒๔] ภ. กอ นภิกษทุ งั้ หลาย เธอจะสําคัญความขอ นั้นเปนไฉน รปู เที่ยงหรอื ไมเ ทย่ี ง ? ภิ. ไมเทยี่ ง พระเจา ขา. ภ. กส็ ง่ิ ใดไมเท่ยี ง สง่ิ นัน้ เปน ทุกขห รอื เปนสขุ เลา ? ภิ เปน ทุกข พระเจา ขา. ภิ. ก็ส่ิงใดไมเ ท่ียง เปน ทกุ ข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถ อื มน่ั สง่ิ น้ัน พงึ เกดิ ทิฏฐขิ น้ึ อยางนวี้ า เราไมพ ึงมี และบรขิ ารของเราไมพ งึ มี เราจกั ไมมี และบรขิ ารของเราจกั ไมมี ใชไ หม ? ภ.ิ ไมพ งึ เกิดทฏิ ฐขิ ้นึ อยางนัน้ เลย พระเจา ขา . ภ. เวทนา... สัญญา... สงั ขาร... วิญญาณเทย่ี งหรือไมเท่ียง ? ภ.ิ ไมเ ทีย่ ง พระเจา ขา . ภ. ก็ส่ิงใดไมเ ทยี่ ง สงิ่ น้นั เปนทกุ ขหรอื เปนสขุ เลา ? ภิ. เปน ทกุ ข พระเจา ขา . ภ. ก็ส่ิงใดไมเที่ยง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาเพราะไมถ อื มั่นสิ่งนั้น พงึ เกดิ ทฏิ ฐิขึ้นอยางนว้ี า เราไมพึงมี และบรขิ ารของเราไมพงึ มี เราจักไมม ี และบรขิ ารของเราจกั ไมมี ใชไ หม ? ภิ. ไมพ งึ เกิดทฏิ ฐิอยางนัน้ เลย พระเจาขา . ภ. แมสง่ิ ท่บี คุ คลเหน็ แลว ฟง แลว ทราบแลว รแู จงแลว ถึงแลวแสวงหาแลว ใครครวญแลว ดวยใจ สง่ิ นน้ั เทย่ี งหรือไมเ ทีย่ ง ? ภ.ิ ไมเที่ยง พระเจา ขา. ภ. กส็ ่ิงใดไมเ ทย่ี ง สิง่ นนั้ เปน ทุกขหรือเปนสขุ เลา ?

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 465 ภ.ิ เปนทุกข พระเจาขา . ภ. กส็ ิ่งใดไมเทีย่ งเปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถ อื ม่ันสง่ิ นน้ั พงึ เกดิ ทฏิ ฐขิ ึน้ อยา งน้ีวา เราไมพงึ มี และบริขารของเราไมพึงมี เราจกั ไมม ี และบรขิ ารของเราจกั ไมมี ใชไหม ? ภิ. ไมพึงเกดิ ทิฏฐิอยา งนั้นเลย พระเจาขา. ภ. ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย เมื่อใดแล อริยสาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหลา น้ี ช่ือวา เปนอนั ละความสงสัยแมในทุกข แมในทกุ ขสมทุ ยั แมใ นทกุ ขนโิ รธ แมใ นทุกขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทา ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เม่อื นั้น อริยสาวก น้ีเราเรียกวา เปน พระโสดาบันมีความไมตกต่ําเปน ธรรมดา เปน ผูเท่ียงที่จะตรัสรใู นเบ้ืองหนา . จบ โนจเมสยิ าสูตร อรรถกถาเอตงั มมสตู รท่ี ๒ ถงึ โนจเมสิยาสตู รท่ี ๔ ในบทวา ทฏิ  เปนตน พึงทราบวนิ จิ ฉัยดังตอ ไปนี้ :- อารมณท่ีเหน็ ได (ทิฏ ) ไดแก รูปายตนะ, อารมณท ่ไี ดยินได(สุต ) ไดแก สัททายตนะ, อารมณท่ีทราบได (มุต ) ไดแก คนั ธายตนะรสายตนะ (และ) โผฏฐัพพายตนะ. ก็คนั ธายตนะ รสายตนะ (และ)โผฏฐัพพายตนะ นน้ั เรียกวา อารมณท ท่ี ราบได (มตุ  ) เพราะตอ ง (ให)มาถึง (ปสาทรูป) กอนจงึ จะรับได. อายตนะ ๗ ท่ีเหลอื ชือ่ วา วญิ ญาณ บทวา ปตตฺ  ไดแ ก อารมณท ีแ่ สวงหาหรอื ไมแ สวงหากต็ าม(แต) ประจวบเขา.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 466 บทวา ปรเิ ยสติ  ไดแ ก อารมณท่แี สวงหาแลว ท่มี าประจวบเขาหรอื ไมประจวบเขา ก็ตาม. บทวา อนุวิจริต มนสา ไดแก อารมณทีจ่ ติ ตามเคลาแลว จรงิ อยู๑ อารมณในโลก แสวงหาแลว จงึ ประจวบเขาก็มีแสวงหาแลว แตไ มป ระจวบเขาก็มี ไมไ ดแสวงหา แตประจวบเขากม็ ีไมไ ดแสวงหา แลวไมไ ดประจวบเขากม็ .ี บรรดาอารมณเหลา น้ัน อารมณท ีแ่ สวงหาจงึ พบช่อื วา ปตฺต(อารมณท ี่ประจวบเขา) แสวงหา แตไมพบ ชอ่ื วา ปริเยสติ (อารมณท ี่แสวงหา) ไมไดแสวงหาแตพบก็ดี ไมไดแสวงหาแลว ไมพ บก็ดี ชื่อวามนสานุจริต (ตามใครค รวญดวยใจ) อีกอยางหนึ่ง อารมณท่แี สวงหาแลว พบบา ง ทไ่ี มไดแ สวงหาแตพ บบาง ชอื่ วา ปตฺต เพราะหมายความวา ประจวบเขาแลว อารมณที่แสวงหาแลว แตไ มพบเลย ชือ่ วา ปริเยสิต (อารมณท แี่ สวงหาแลว)อารมณท ไี่ มไ ดแสวงหา ไมไ ดพบ ช่ือวา มนสานจุ ริต (ตามใครค รวญดว ยใจ) หรือวาอารมณท งั้ หมดน้ี ช่ือวาตามใครครวญดว ยใจท้ังน้ัน. จบ อรรถกถาสตู รที่ ๒ ถงึ สูตรที่ ๔๑. ปาฐะวา โลกสฺมึ หิ ปรเิ ยสติ ฺวา ปตตฺ  ป ฯลฯ มนสานจุ รติ  นามฉบบั พมาเปน :- โลกสมฺ ึ หิ ปริเยสิตฺวา ปตตฺ มปฺ  อตถฺ ,ิ ปริเยสิตฺวา โนปตฺตมป,อปริเยสติ วฺ า ปตฺตมฺป, อปริเยสติ ฺวา โนปตตฺ มฺป. ตตฺถ ปริเยสิตฺวา ปตฺต ปตฺต นาม, ปรเิ ยสิตวฺ าโนปตตฺ  ปรเิ ยสติ  นาม. อปริเยสติ วฺ า ปตตฺ ฺจ อปริเยสติ วฺ า โนปตฺตยฺจ มนสานุวจิ รติ  นาม.อถวา ปรเิ ยสิตวฺ า ปตฺตมฺป อปริเยสติ วฺ า ปตฺตมปฺ  ปตฺตฏเฐน ปตฺต นาม, ปริเยสิตฺวา โนปตฺตเมวปริเยสติ  นาม, อปรเิ ยสติ วฺ า โน ปตตฺ  มนสานวุ จิ ริต นาม สพฺพ วา เอต มนสา อนุวจิ ริตเมว.แปลตามฉบับพมา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 467 ๕. นัตถทิ ินนสตู ร [๔๒๕] กรงุ สาวตั ถี. พระผมู พี ระภาคเจาตรสั ถามวา ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย เม่ืออะไรหนอมอี ยู เพราะถือมน่ั อะไร เพราะยดื ม่ันอะไรจึงเกิดทิฏฐขิ ้นึ อยางน้ีวา ทานไมมผี ล การบูชาไมม ผี ล การเซนสรวงไมมีผล ผลวบิ ากแหงกรรมทท่ี าํ ดี ทําชั่วไมม ี โลกน้ไี มม ี โลกหนา ไมม ีมารดาไมมี บิดาไมม ี สตั วโอปปาตกิ ะไมมี สมณพราหมณผ ดู ําเนินชอบปฏบิ ตั ิชอบกระทําโลกนีแ้ ละโลกหนาใหแจง ดวยปญ ญาอันย่งิ แลวสอนผูอ่ืนใหร ูแจง ไมม ีในโลก คนเรานี้ เปน แตป ระชมุ แหง มหาภตู รปู ทั้ง ๔เมื่อใดทํากาลกิรยิ า เม่อื นนั้ ธาตดุ นิ กไ็ ปตามธาตดุ ิน ธาตนุ ํา้ กไ็ ปตามธาตนุ าํ้ ธาตไุ ฟกไ็ ปตามธาตไุ ฟ ธาตุลมกไ็ ปตามธาตลุ ม อินทรียทัง้ หลายยอมเลอื่ นลอยไปในอากาศ บุรุษ ๔ คน รวมเปน ๕ ทง้ั เตียงที่หามเขาไปรอยเทาปรากฏอยูเพยี งแคปา ชา (ตอมา) กก็ ลายเปนกระดูกสีเทาสีนกพิลาป การเซนสรวงมีเถา เปนท่ีสุด ทานนี้คนเขลาบัญญตั ไิ วคาํ ของคนบางพวกที่พดู วา มีผล ลว นเปน คําเปลา คําเท็จ คําเพอเพราะกายสลาย ทงั้ พาล ท้ังบณั ฑิตยอมขาดสูญ พนิ าศสิ้น หลังจากตายไปยอมไมม .ี ภกิ ษทุ ้งั หลายกราบทูลวา ขา แตพระองคผูเ จรญิธรรมทงั้ หลายของขา พระองคท ้งั หลายมีพระผมู ีพระภาคเจา เปนรากฐาน ฯลฯ. ภ. ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย เมื่อรปู มอี ยู เพราะถือมนั่ รูป เพราะยดึ ม่ันรูป จงึ เกดิ ทิฏฐิขนึ้ อยา งน้ีวา ทานไมมผี ล การบชู า ไมมีผล ฯลฯเพราะกายสลาย ทัง้ พาล ทัง้ บณั ฑิต ยอมขาดสูญ พนิ าศสนิ้ หลังจากตายไป ยอมไมมี เม่ือเวทนามอี ยู ฯลฯ เมอื่ สัญญามอี ยู ฯลฯ เม่อื สังขารมีอยู ฯลฯ เมอื่ วิญญาณมอี ยู เพราะถอื ม่ันวญิ ญาณ เพราะยืดมน่ั วิญญาณ

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 468จึงเกดิ ทฏิ ฐิข้ึนอยางน้วี า ทานไมม ีผล การเซนสรวงไมม ผี ล ฯลฯเพราะกายสลาย ทง้ั พาลท้งั บณั ฑติ ยอมขาดสูญ พนิ าศส้ิน หลังจากตายไป ยอ มไมม ี. [๔๒๖] ภ. ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย เธอท้ังหลายจะสาํ คญั ความขอ น้นัเปนไฉน รูปเที่ยงหรือไมเทย่ี ง ? ภิ. ไมเ ท่ียง พระเจาขา . ภ. ก็สงิ่ ใดไมเ ท่ียงเปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถอื ม่นั ส่ิงนั้น จะพึงเกดิ ทิฏฐขิ น้ึ อยางนว้ี า ทานไมมีผล การบชู าไมม ีผล ฯลฯ เพราะกายสลาย ทงั้ พาล ทัง้ บณั ฑิต ยอ มขาดสูญพินาศส้นิ หลงั จากตายไป ยอมไมม ี ใชไ หม ? ภ.ิ ไมพ ึงเกิดทิฏฐขิ ้ึนอยา งนัน้ เลย พระเจาขา. ภ. เวทนา... สัญญา... สงั ขาร... วญิ ญาณเทยี่ งหรอื ไมเท่ียง ? ภ.ิ ไมเทย่ี ง พระเจา ขา. ภ. ก็สิง่ ใดไมเ ทีย่ งเปนทุกข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถอื มัน่ สิง่ นนั้ จะพงึ เกดิ ทิฏฐขิ นึ้ อยา งนวี้ า ทานไมม ผี ลการบชู าไมมีผล ฯลฯ เพราะกายสลาย ทง้ั พาลทั้งบัณฑติ ยอมขาดสญูพินาศสิ้น หลงั จากตายไป ยอมไมมี ใชไหม ? ภิ. ไมพ งึ เกดิ ทฏิ ฐิขึน้ อยางนัน้ เลย พระเจาขา. ภ. แมสง่ิ ท่บี คุ คลเหน็ แลว ฟงแลว ทราบแลว รูแจงแลว ถงึ แลวแสวงหาแลว ใครค รวญแลว ดว ยใจ สงิ่ น้ันเที่ยง หรอื ไมเ ท่ียง ? ภ.ิ ไมเที่ยง พระเจา ขา. ภ. ก็ส่งิ ใดไมเทีย่ ง สง่ิ น้ันเปนทุกขห รือเปนสุขเลา ?

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 469 ภิ. เปน ทุกข พระเจา ขา. ภ. ก็สิง่ ใดไมเ ทีย่ ง เปน ทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถือมั่นสง่ิ นน้ั จะพึงเกิดทิฏฐขิ น้ึ อยา งนี้วา ทานไมม ผี ลการบชู าไมม ีผล ฯลฯ เพราะกายสลาย ทง้ั พาลทงั้ บัณฑิตยอมขาดสูญพินาศสิน้ หลงั จากตายไป ยอ มไมม ี ใชไหม ? ภิ. ไมพงึ เกดิ ทฏิ ฐิขึ้นอยางน้ันเลย พระเจาขา. ภ. ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย เมอื่ ใดแล อรยิ สาวกละความสงสยัในฐานะ ๖ เหลาน้ี ช่ือวาเปนอันละความสงสยั แมในทุกข แมในทกุ ขสมทุ ัย แมใ นทกุ ขนโิ รธ แมในทุกขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา เมือ่ น้นัอรยิ สาวกน้เี ราตถาคตเรยี กวา เปน พระโสดาบัน มคี วามไมต กตํา่เปนธรรมดา เปนผูเทย่ี งทีจ่ ะตรัสรเู ปนเบอ้ื งหนา . จบ นตั ถิทนิ นสูตร อรรถกถานตั ถิทนิ นสูตรที่ ๕ ในบทวา นตถิ ทนิ ฺน เปนตน มอี ธิบายดงั ตอ ไปน้ี :- ดว ยบทวา นตถฺ ิ ทินนฺ  บุคคลผูเปน มิจฉาทิฏฐิทัง้ หลายกลา วหมายถึงวา ทานทีใ่ หแลว ไมม ผี ล. การบชู าใหญ เรียกวา ยิฏฐะ. ในบทวา หุต พระผูม พี ระภาคเจา ทรงประสงคเ อาลาภพักการะมาก. บุคคลผูเ ปนมจิ ฉาทิฏฐิทง้ั หลาย ปฏเิ สธบญุ กรรมท้งั สองอยา งนั้น โดยหมายเอาวา. ไมม ผี ลเลย. บทวา สกุ ฏทกุ กฺ ฏาน ไดแ ก แหง กรรมท่ีทําดแี ละทําช่ัว อธิบายวา แหง กศุ ลกรรม และอกศุ ลกรรมทั้งหลาย.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 470 บทวา ผล วิปาโก ความวา สิ่งใดทีเ่ รยี กวา ผล หรอื วบิ ากบคุ คลผเู ปน มจิ ฉาทิฏฐิ ยอมกลาวส่ิงนั้นวา ไมม.ี บทวา นตฺถิ อย โลโก ความวา โลกนีส้ าํ หรับผอู ยใู นปรโลก ไมม .ี บทวา ปรโลโก ความวา โลกอน่ื สําหรับผทู ีอ่ ยูในโลกนี้ ก็ไมม .ีอุจเฉทวาทีบุคคล ยอมแสดงวา สรรพสัตวย อมขาดสญู ในโลกน้ันน่ันแล. อจุ เฉทวาทีบุคคล กลาววา นตถฺ ิ มาตา ปต า (มารดาไมมีบิดาไมม )ี ดังน้ี เปนเพราะ (เขาถอื วา) ไมมีผล การปฏบิ ัตชิ อบ และการปฏบิ ัตผิ ดิ ในมารดาบดิ าเหลา นนั้ . อจุ เฉทวาทบี ุคคลกลา ววา นตถฺ ิ สตฺตา โอปปาติกา (สัตวท ้งั หลายผูเปนโอปปาตกิ ะไมม ี) ดังน้ี เพราะความเชอ่ื วา ช่อื วาสัตวทจี่ ุติแลวจะอบุ ัติข้ึน (อีก) ไมม ี. บทวา จาตุมฺมหาภตู ิโก ความวา เกดิ มาจากมหาภูตรปู ๔ บทวา ปฐวี ปฐวีกาย ไดแก ปฐวธี าตุ ภายใน (ไปเปน ) ปฐวีธาตุภายนอก. บทวา อนุเปติ แปลวา เขา ถึง. บทวา อนปุ คจฉฺ ติ เปนไวพจนข องบทวา อนเุ ปตินนั้ นนั่ แหละ หมายความวา แซกซึมเขา ไปดังน้ีบา ง๑ ดวยบทแมท ้ังสอง ผเู ปน มิจฉาทิฏฐยิ อ มแสดงวา เขาถึง คอืเขาไปถงึ . ในธาตุทเ่ี หลือ มอี าโปเปนตน ก็มนี ัย (ความหมาย)อยางเดยี วกันนแ้ี ล. บทวา อินทฺ ฺริยานิ ความวา อนิ ทรียท ้งั หลายมีใจเปนที่ ๖ ยอมลอยไปสูอากาศ.๑. อรรถกถา อนุยาติ อนคุ จฉฺ ตีติ ตสฺเสว เววจน อนุคจฺฉตีติ อตฺโถ. ฉบบั พมา วา อนเุ ปตตี ิอนยุ าติ อนปุ คจฺฉตตี ิ ตสเฺ สว เววจน อนุคจฺฉตีตปิ  อตฺโถ. แปลตามฉบับพมา

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 471 บทวา อาสนฺทิปจฺ มา ความวา (บรุ ษุ ๔ คน) กับทง้ั เตยี งที่(คนตาย) นอน เปนที่ ๕. อธบิ ายวา เตยี ง และบุรษุ ๔ คน ผยู นื แบกเตียง๔ ขา. บทวา ยาว อาฬาหนา แปลวา จนกระทงั่ ถึงปาชา . บทวา ปทานิ ความวา รอยเทา คือคุณความดี (และความชัว่ )๑ที่เปนไปโดยนัยมอี าทวิ า ทา นผูน ้ีไดเปนผมู ศี ีลดีอยา งนี้ ทา นผูน ี้ เปนผทู ุศีลอยางนี.้ อกี อยางหนง่ึ รา งกายนน่ั เอง ทานประสงคเอาวา รอยเทาในทน่ี ี้. บทวา กาโปตกานิ แปลวา มีสดี ังนกพิราบ อธบิ ายวา มสี ดี งัปก นกพิราบ. บทวา ภสสฺ นตฺ า คือ ภสมฺ นตฺ า (แปลวามีเถาเปน ทีส่ ุด) อกี อยางหนง่ึภสฺมนฺตา นแ้ี ล คือ บาลี (เดิม). บทวา อาหตุ ิโย ความวา ทานทบี่ คุ คลใหแลว แยกประเภทเปนของรบั แขกและเคร่ืองสักการะ เปน ตน ทง้ั หมดลวนมเี ถาเปนท่ีสดุ ท้ังน้ันไมไดผ ลยิง่ ไปกวา น้นั . บทวา ทตตฺ ปุ ปฺ ฺ ตฺต คอื ทานพวกคนโงบญั ญัติไว. มคี ําอธบิ ายดังนีว้ า พวกมจิ ฉาทฏิ ฐิแสดงวา ทานนพี้ วกคนโง คือคนไมรูบญั ญตั ิไว หาใชค นฉลาดบัญญัติไวไม คนโงใ ห(ทาน) คนฉลาดรบั (ทาน). จบ อรรถกถานตั ถทิ ินนสตู รที่ ๕๑. พมา วา ปวตตฺ านิ คณุ าคุณปทานิ. แปลตามพมา . แตอรรถกถาวา ปวตตฺ า คุณปทาน.ิ

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 472 ๖. กโรโตสตู ร [๔๒๗] กรุงสาวตั ถี. พระผูมพี ระภาคเจาตรัสถามวา ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เมอ่ื อะไรมีอยู เพราะถอื ม่ันอะไร เพราะยึดมนั่ อะไรจงึ เกิดทฏิ ฐิขนึ้ อยา งนว้ี า เมื่อบคุ คลทําเอง ใชใหผูอืน่ ทํา ตัดเอง ใชใ หผอู น่ื ตดั เดือดรอ นเอง ทาํ ผอู ่ืนใหเดอื ดรอน เศรา โศกเอง ทาํ ผอู ่ืนใหเศรา โศก ลําบากเอง ทําผอู นื่ ใหล าํ บาก ดิน้ รนเอง ทําใหผอู ื่นดิ้นรนฆา สัตว ลกั ทรพั ย ตัดทต่ี อ ปลนไมใหเหลอื ทําโจรกรรมในเรอื นหลังเดยี ว ซมุ อยทู ีท่ างเปลย่ี ว ทาํ ชภู รยิ าเขา พูดเท็จ ผูทําไมช่อื วา ทําบาปแมหากผูใดจะใชจักร ซ่งึ มีคมโดยรอบเหมือนมดี โกน สงั หารเหลาสตั วในปฐพนี ้ี ใหเปน ลานเปนกองมงั สะอนั เดียวกัน บาปทม่ี กี ารทาํ เชน น้ันเปน เหตุ ยอ มไมมีแกเขา ไมม บี าปมาถงึ เขา แมหากบคุ คลจะไปยังฝง ขวาแหง แมนาํ้ คงคา ฆาเอง ใชใ หผ อู ่ืนฆา ตดั เอง ใชใ หผ อู ่ืนตดั เดือดรอ นเองทาํ ผอู ่ืนใหเ ดือดรอน บาปทม่ี ีการทาํ เชนน้นั เปน เหตุ ยอมไมมแี กเขาไมมีบาปมาถงึ เขา แมหากบคุ คลจะไปยังฝง ซายแหง แมนํ้าคงคาใหทานเอง ใชผ ูอ่ืนใหให บูชาเอง ใชผอู ื่นใหบชู า บุญทีม่ กี ารทาํ เชน นน้ัเปนเหตุ ยอ มไมม ีแกเ ขา ไมม ีบญุ มาถงึ เขา บุญท่ีเน่อื งดว ยการใหทานการทรมานอินทรีย ความสาํ รวม การกลา วคาํ สตั ย ไมม ีแกเ ขาไมม บี ุญมาถงึ เขา ? ภกิ ษุเหลานนั้ กราบทูลวา ขา แตพ ระองคผ เู จริญ ธรรมของขาพระองคทง้ั หลายมพี ระผมู พี ระภาคเจาเปน รากฐาน ฯลฯ. ภ. ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย เมือ่ รูปมีอยู เพราะถอื มั่นรปู เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดทฏิ ฐขิ ึ้นอยา งนีว้ า เมื่อบุคคลทาํ เอง ใชใหผอู น่ื ทําฯลฯ บญุ ท่เี นื่องดวยการใหทาน การฝก ฝนอนิ ทรยี  การสาํ รวม การ

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 473กลาวคําสัตย ไมมแี กเ ขา ไมม ีบญุ มาถงึ เขา เม่อื เวทนามอี ยู...เม่อื สญั ญามีอยู... เมอ่ื สังขารมีอยู. .. เม่ือวิญญาณมอี ยู เพราะถือมั่นวิญญาณ เพราะยดึ มนั่ วญิ ญาณ จึงเกดิ ทิฏฐิข้ึนอยางนีว้ า เม่อื บคุ คลทําเอง ใชผ ูอนื่ ใหทํา ฯลฯ บุญที่เนอื่ งดว ยการใหท าน การฝก ฝนอินทรียความสํารวม การกลาวคําสตั ย ไมม แี กเขา ไมมีบญุ มาถงึ เขา. [๔๒๘] ภ. ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย เธอท้ังหลายจะสาํ คัญความขอ นั้นเปนไฉน รปู เทย่ี งหรอื ไมเท่ียง ? ภ.ิ ไมเ ท่ยี งพระเจา ขา . ภ. ก็สิง่ ใดไมเ ท่ยี ง สง่ิ นัน้ เปนทุกข หรือเปน สขุ เลา ? ภ.ิ เปน ทุกขพระเจา ขา. ภ. ก็ส่งิ ใดไมเทย่ี งเปน ทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถอื มั่นสงิ่ นัน้ จะพึงเกิดทิฏฐิขึ้นอยางน้วี า เมือ่ บคุ คลทาํ เองใชใ หผ อู ื่นทาํ ฯลฯ บุญท่ีเนอื่ งดวยการใหท าน การฝก ฝนอนิ ทรียความสาํ รวม การกลา วคาํ สัตย ไมมแี กเขา ไมมีบญุ มาถึงเขา ใชไ หม ? ภิ. ไมพงึ เกิดทิฏฐิข้นึ อยา งนั้นเลย พระเจา ขา. ภ. เวทนา... สัญญา... สงั ขาร... วญิ ญาณ เทย่ี งหรอื ไมเ ทีย่ ง ? ภิ. ไมเท่ียงพระเจา ขา. ภ. กส็ งิ่ ใดไมเ ท่ียง สงิ่ นัน้ เปนทกุ ข หรอื เปน สขุ เลา ? ภ.ิ เปนทุกขพ ระเจา ขา. ภ. กส็ งิ่ ใดไมเ ทีย่ งเปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาเพราะไมถอื มน่ั ส่งิ น้นั จะพงึ เกดิ ทิฏฐิขึน้ อยางนว้ี า เมอ่ื บคุ คลทําเอง

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 474ใชผูอ ื่นใหทํา ฯลฯ บุญทเ่ี นือ่ งดวยการใหทาน การฝกฝนอนิ ทรยี ความสาํ รวม การกลาวคําสตั ย ไมม ีแกเ ขา ไมมบี ญุ มาถงึ เขา ใชไ หม ? ภิ. ไมพ งึ เกดิ ขึ้นอยางน้ันเลย พระเจาขา. ภ. แมสิ่งท่บี ุคคลเหน็ แลว ฟง แลว ทราบแลว รูแจงแลว ถงึ แลวแสวงหาแลว ใครค รวญแลว ดว ยใจ สงิ่ น้นั เท่ียงหรือไมเ ท่ียง ? ภ.ิ ไมเ ทย่ี งพระเจาขา. ภ. กส็ ่งิ ใดไมเ ทยี่ ง สงิ่ นัน้ เปน ทุกข หรอื เปน สขุ เลา ? ภิ. เปนทุกขพ ระเจาขา. ภ. กส็ ิ่งใดไมเ ทีย่ งเปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาเพราะไมถ อื มัน่ สง่ิ นั้น จะพงึ เกิดทิฏฐขิ ึน้ อยางน้วี า เมื่อบุคคลทําเองใชใหผ ูอ ่ืนทาํ ฯลฯ บญุ ที่เนื่องดว ยการใหทาน การฝกฝนอินทรียความสํารวม การกลา วคําสตั ย ไมมแี กเขา ไมมบี ุญมาถึงเขา ใชไหม ? ภ.ิ ไมพ ึงเกิดขน้ึ อยา งนน้ั เลย พระเจา ขา. ภ. ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เมือ่ ใดแล อรยิ สาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหลานี้ ช่ือวา เปนอันละความสงสัยแมในทกุ ข แมใ นทุกขสมุทัยแมใ นทุกขนโิ รธ แมใ นทุกขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา เมื่อนนั้ อรยิ สาวกนี้เราตถาคตเรียกวา เปน พระโสดาบนั มีความไมต กตํา่ เปนธรรมดาเปนผูเ ที่ยงทีจ่ ะตรัสรเู ปนเบือ้ งหนา . จบ กโรโตสูตร

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 475 อรรถกถาโรโตสตู รที่ ๖ บทวา กโรโต คอื ทาํ ดวยมือของตนเอง. บทวา การยโต คือ ใหเ ขาทาํ ตามคาํ สง่ั (ใชใหท าํ ). บทวา ฉนิ ทฺ โต คอื ตัดอวยั ะทง้ั หลาย มมี ือเปนตน ของบคุ คลอนื่ . บทวา เฉทาปยโต คอื เบยี ดเบยี นดวยอาชญา. บทวา โสจยโต ความวา ทาํ ความเศรา โศกแกบ ุคคลอนื่ เองก็ดีใชใ หผ ูอน่ื ทํากด็ ี ดว ยทุจริตกรรม มลี กั ของของบคุ คลอ่ืนไปเปน ตน. บทวา กลิ มโต ความวา ทาํ ตัวเองใหลาํ บากกด็ ี ทําผูอน่ื ใหลาํ บากกด็ ี ดว ยการงดใหอ าหาร และการถกู กักขังในเรือนจาํ เปน ตน. บทวา ผนทฺ โต ผนฺทาปยโต ความวา ในเวลาเบยี ดเบยี นบคุ คลอื่นผูดนิ้ รนอยู ชื่อวาท้ังทาํ ตวั เองใหด ิ้นรน ท้ังทาํ ใหบคุ คลอืน่แมน้นั ดิ้นรน ดวย. บทวา ปาณมตปิ าตาปยโต ความวา ฆา สตั วเ องก็ดี ใชใหผูอ นื่ฆา กด็ .ี ในทุกๆบท กพ็ ึงทราบความหมาย ดว ยอาํ นาจเหตุแหง การกระทาํ อยา งน้แี ล. บทวา สนธฺ ึ ไดแ ก ท่ตี อ ของเรือน. บทวา นิลฺโลป ไดแก การปลน สะดมใหญ. บทวา เอกาคารกิ  ไดแ ก การลอมเรือนหลงั เดยี วแลว ปลน . บทวา ปริปนเฺ ถ ไดแก ดักอยทู ีท่ างหลวง เพอ่ื ตีชิงผคู นท่ีผานไปผานมา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 476 ดว ยบทวา กรโต น กรยี ติ ปาป อกิรยิ วาทีบคุ คลท้งั หลายยอ มแสดงวา เมอ่ื บคุ คลแมทาํ อยูดว ยความสําคัญวา เราทาํ บาปอยา งใดอยา งหนงึ่ บาปก็ไมเปน อนั ทาํ บาปไมมี เปน แตว า สตั วท้งั หลายมีความสาํ คญั อยางน้วี า เราทํา. บทวา ขุรปรยิ นเฺ ตน ความวา ดว ยคมมีดโกน หรือดวยปลาย(ทคี่ ม) เชนกับคมมดี โกน. บทวา เอก ม สขล ไดแ ก กองเนอ้ื กองเดยี วกัน. บทวา ปุ ชฺ  เปนไวพจน ของบทวา ม สขล นน้ั นนั่ แล. บทวา ตโตนิทาน ไดแก มีการทาํ ใหเ ปนลานเน้ือเดียวกันเปน เหตุ. บทวา ทกฺขิณ ความวา มนษุ ยบนฝง ขวาเปนคนโหดรา ยทารุณพระผูมีพระภาคเจา ทรงหมายเอามนุษยเหลา นนั้ จึงตรสั คาํ วา หนนฺโตเปน ตน . มนุษยบนฝง ซา ย เปน ผมู ีศรัทธาเล่ือมใส เปน พทุ ธมามกะธรรมมามกะ สงั ฆมามกะ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงหมายเอามนษุ ยเหลานนั้ จงึ ตรสั คําวา ททนโฺ ต เปน ตน. บรรดาบทเหลานั้น บทวา ยชนโฺ ต ไดแ ก ทาํ การบชู าใหญ. บทวา ทมน คอื ดวยการฝก อินทรีย ไดแก ดวยอุโบสถกรรม. บทวา ส ยเมน คือ ดว ยการรกั ษาศีล. บทวา สจฺจวชฺเชน คอื ดว ยการกลา วคาํ สัตย. บทวา อาคโม แปลวา การมา อธิบายวา ความเปน ไป. อกริ ยิ วาทบี ุคคล ปฏเิ สธการทาํ บญุ และบาปอยางส้ินเชงิ . จบ อรรถกถากโรโตสตู รที่ ๖

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 477 ๗. เหตุสตู ร [๔๒๙] กรงุ สาวัตถ.ี พระผูมพี ระภาคเจาตรัสถามวา ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย เมอื่ อะไรมอี ยู เพราะถือมน่ั อะไร เพราะยึดม่ันอะไรจึงเกดิ ทฏิ ฐิข้นึ อยา งนีว้ า ไมม ีเหตุ ไมม ปี จจยั เพอื่ ความเศราหมองแหงสตั วทั้งหลาย สตั วท้ังหลายหาเหตุมิได หาปจ จัยมิได ยอมเศราหมองเอง ไมม เี หตุ ไมม ีปจจัย เพ่ือความบริสุทธแ์ิ หงสตั วท้ังหลายสัตวทง้ั หลายหาเหตมุ ไิ ด หาปจ จัยมไิ ด ยอมบริสทุ ธ์เิ อง ไมม กี าํ ลงัไมมคี วามเพียร ไมม ีเรีย่ วแรงของบรุ ุษ ไมมคี วามบากบน่ั ของบรุ ุษสตั วทง้ั ปวง ปาณะทัง้ ปวง ภูตทง้ั ปวง ชีวะทงั้ ปวง ลว นไมม อี ํานาจไมม กี ําลัง ไมม คี วามเพยี ร แปรไปตามภาวะแหง ความแนน อนและความไมแนนอน ยอ มเสวยสุขเสวยทกุ ขใ นอภิชาติทง้ั ๖ เทา นนั้ ?ภกิ ษทุ ั้งหลายกราบทูลวา ขา แตพ ระองคผูเจรญิ ธรรมของขา พระองคทัง้ หลาย มีพระผมู ีพระภาคเจา เปน รากฐาน ฯลฯ. ภ. ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เม่อื รปู มีอยู เพราะถอื มัน่ รปู เพราะยดึ มน่ั รูป จึงเกดิ ทิฏฐขิ น้ึ อยางนว้ี า ไมมเี หตุ ไมมีปจจัย ฯลฯ ยอ มเสวยสุขเสวยทกุ ขในอภิชาตทิ ้งั ๖ เทานน้ั เมือ่ เวทนามีอยู...เมื่อสัญญามีอยู... เม่ือสังขารมีอยู... เมือ่ วิญญาณมอี ยู เพราะถอื ม่ันวิญญาณเพราะยึดมั่นวญิ ญาณ จงึ เกดิ ทฏิ ฐิขน้ึ อยา งน้ีวา ไมมเี หตุ ไมมีปจจยั ฯลฯเสวยสขุ เสวยทกุ ขใ นอภชิ าตทิ ัง้ ๖ เทานั้น. [๔๓๐] ภ. ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย เธอจะสําคัญความขอ นั้นเปน ไฉนรปู เทีย่ งหรือไมเท่ียง ? ภิ. ไมเ ที่ยงพระเจา ขา

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 478 ภ. ก็สิ่งใดไมเ ทยี่ ง สิง่ นั้นเปนทุกข หรอื เปนสุขเลา ? ภ.ิ เปนทุกขพระเจา ขา. ภ. ก็สิ่งใดไมเท่ียง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาเพราะไมถ ือมน่ั สงิ่ น้นั จะพงึ เกิดทฏิ ฐิขน้ึ อยา งนว้ี า ไมมเี หตุ ไมม ีปจจัยฯลฯ เสวยสุขเสวยทกุ ขใ นอภิชาติทงั้ ๖ เทา นน้ั ใชไหม ? ภ.ิ ไมพ งึ เกดิ ข้นึ อยา งน้ันเลย พระเจา ขา. ภ. เวทนา... สัญญา... สังขาร... วญิ ญาณเท่ียงหรือไมเ ทย่ี ง ? ภิ. ไมเที่ยงพระเจาขา. ภ. กส็ งิ่ ใดไมเ ทย่ี ง สง่ิ น้นั เปน ทุกข หรอื เปนสุขเลา ? ภิ. เปน ทกุ ขพระเจา ขา. ภ. กส็ ่งิ ใดไมเท่ยี ง เปน ทุกข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดาเพราะไมถอื ม่นั สิ่งน้นั จะพงึ เกดิ ทิฏฐขิ ึ้นอยางนี้วา ไมมเี หตุ ไมมีปจจัยฯลฯ เสวยสุขเสวยทุกขในอภิชาตทิ ้ัง ๖ เทา นน้ั ใชไ หม ? ภ.ิ ไมพ ึงเกดิ ขึ้นอยางนั้นเลย พระเจา ขา. ภ. แมส งิ่ ทีบ่ คุ คลเห็นแลว ฟงแลว ทราบแลว รแู จง แลว ถึงแลวแสวงหาแลว ใครค รวญแลว ดว ยใจ สิ่งน้นั เท่ียงหรือไมเท่ยี ง ? ภ.ิ ไมเ ท่ียงพระเจา ขา. ภ. กส็ งิ่ ใดไมเทยี่ ง สง่ิ นัน้ เปนทกุ ข หรอื เปน สขุ เลา ? ภิ. เปน ทุกขพ ระเจาขา . ภ. กส็ ง่ิ ใดไมเทยี่ ง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถือมัน่ สง่ิ นนั้ จะพงึ เกดิ ทฏิ ฐิข้นึ อยา งน้ีวา ไมมีเหตุ ไมม ีปจจยั

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 479ฯลฯ เสวยสุขเสวยทกุ ขใ นอภิชาติทงั้ ๖ เทาน้ัน ใชไหม ? ภ.ิ ไมพ ึงเกดิ ขึ้นอยา งนนั้ เลย พระเจาขา. ภ. ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล อรยิ สาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ น้ี ชอ่ื วาเปนอนั ละความสงสยั แมใ นทกุ ข แมใ นทกุ ขสมทุ ัยแมในทุกขนโิ รธ แมใ นทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา เมื่อนั้น อรยิ สาวกนี้เราตถาคตเรียกวา เปน พระโสดาบัน มีความไมตกต่ําเปนธรรมดาเปน ผูเท่ยี งทีจ่ ะตรสั รูเปน เบื้องหนา. จบ เหตุสตู ร ๗. อรรถกถาเหตสุ ตู รท่ี ๗ บทวา ปจจฺ โย ในบทนวี้ า นตถฺ ิ เหตุ นตฺถิ ปจจฺ โย เปน ไวพจนของเหตนุ น่ั เอง. อเหตุกวาทีบุคคล พากนั ปฏเิ สธปจจยั แหง ความเศราหมองแหงสังกเิ ลสธรรมทัง้ หลาย มกี ายทุจรติ เปน ตน และปจจัยแหง ความบริสทุ ธิ์แหงโวทานธรรมทง้ั หลาย มกี ายสุจริตเปน ตน ดวยบททง้ั สอง (นตถฺ ิเหตุ นตฺถิ ปจจฺ โย). สัตวท ั้งหลายเหลาน้ี ดาํ รงอยใู นพลังของตนอันใด แลว จงึ บรรลุถึงความเปนเทวดาบาง ความเปนมารบา ง ความเปนพรหมบา งสาวกโพธญิ าณบาง พระสัพพญั ตุ ญาณบา ง อเหตุกวาทีบคุ คลปฏเิ สธพลงั น้นั ดว ยบทวา นตถฺ ิ พล . บทอืน่ ท้งั หมดมีอาทคิ ือ นตฺถิ วิริย เปนไวพจนของกันและกนัทัง้ นัน้ แตบทเหลานท้ี จ่ี ัดแยกกันไวตา งหาก กโ็ ดยจะปฏิเสธคําพดู ท่ีเปน ไปอยา งนี้วา ผลนี้พงึ บรรลไุ ดด วยความเพยี รนน้ั ผลนีพ้ งึ บรรลดุ ว ย

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 480เรีย่ วแรงของบรุ ุษ ผลน้ีพงึ บรรลดุ วยความบากบั่นของบุรุษ. อเหตุกวาทบี คุ คล หมายถงึ สัตวท ้งั หลายไมม เี หลือหลอ มี อฐูโค และฬาเปนตน ดวยบทวา สพเฺ พ สตตฺ า. อเหตุกวาทบี คุ คล กลา ววา สพเฺ พ ปาณา ดว ยอาํ นาจจดุ มงุ หมายมีอาทคิ อื สตั วม อี นิ ทรียอ ยางเดียวกนั . อเหตกุ วาทบี คุ คล กลาววา สพเฺ พ ภตู า หมายเอาสตั วทัง้ หลายที่เกดิ แลวในกระเปาะฟองไข และมดลูก. อเหตุกวาทีบคุ คล กลา ววา สพเฺ พ ชีวา หมายเอา พืชท้งั หลายมีขาวสาลี ขา วเหนยี ว และขา วละมานเปน ตน อธิบายวา ในสง่ิ ทมี่ ีชวี ิตเหลานนั้ พืชเหลาน้ันทีส่ าํ คญั กันวาเปนชีวะ เพราะความท่มี นั งอกข้ึนได. บทวา อวสา อพลา อวิรยิ า ความวา สิ่งที่มีชวี ติ เหลา น้นัไมมีอาํ นาจ พลัง หรอื วิริยะของตนเอง. ในบทวา นจิ ตสิ งฺคตภิ าวปรณิ ตา น้ี พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา นิยติ ไดแก ความเปน ผมู โี ชคดแี ละโชคราย. บทวา สงฺคติ ไดแ ก การไปในอภิชาติ (กาํ เนดิ ) นน้ั ๆ บรรดาอภิชาติ ๖ อยา ง. บทวา ภาโว ไดแ ก สภาวะน่ันเอง. สงิ่ ที่มชี ีวติ ทงั้ หลาย แปรปรวนไป คอื ถึงภาวะนานาประการตามสภาพแหง ความมีโชคดี และโชคราย และสภาพแหง การไป(ในอภชิ าติตางๆ). แทจรงิ อเหตุกวาทีบุคคลแสดงวา ผใู ดจะตอ งเปนไปอยางใด ผูน้ันก็จะตอ งเปน ไปอยางนั้นทีเดยี ว (แต) ผใู ดจะไมเ ปน ไป

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 481อยางใด ผูนัน้ กจ็ ะไมเปน อยางนั้น แนน อน. ดวยบทวา ฉเสวฺ วาภชิ าตีสุ อเหตุกวาทีบคุ คลแสดงวา ส่งิ ทม่ี ีชีวิตทั้งหลาย ดาํ รงชีวติ เสวยสขุ และทุกขอ ยูในอภชิ าติ ๖ เทานน้ัไมมถี มู ิสําหรบั เสวยสขุ และทกุ ขแหง อืน่ . จบ อรรถกถาเหตุสูตร ๘. มหาทฏิ ฐสิ ตู ร วาดว ยมิจฉาทฏิ ฐิ [๔๓๑] กรุงสาวัตถ.ี พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั ถามวา ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย เมือ่ อะไรมีอยู เพราะถอื ม่นั อะไร เพราะยดึ ม่นั อะไรจงึ เกดิ ทฏิ ฐขิ ้นึ อยา งนว้ี า สภาวะ ๗ กองน้ี ไมมใี ครทํา ไมมีแบบอยางอนัใครทํา ไมม ีใครเนรมิต ไมมแี บบอยางอันใครเนรมิต เปน สภาพไมมีผลตั้งอยมู นั่ คงดจุ ยอดภูเขา ตง้ั อยมู นั่ คงดจุ เสาระเนยี ด สภาวะ ๗ กองนนั้ไมห ว่ันไหว ไมแ ปรปรวน ไมเ บยี ดเบยี นกนั แลกัน ไมอาจใหเ กิดสขุหรือทกุ ขแกก นั แลกัน สภาวะ ๗ กองเปนไฉน ? ไดแก กองดิน กองนํ้า กองไฟ กองลม สขุ ทุกข ชวี ะ. สภาวะ๗ กองน้ี ไมม ใี ครทาํ ไมมแี บบอยา งอันใครทํา ไมมีใครเนรมติ ไมมีแบบอยา งอันใครเนรมติ เปน หมัน ตงั้ อยมู น่ั คงดุจยอดภเู ขา ต้งั อยมู น่ั คงดจุ เสาระเนยี ด สภาวะ ๗ กองน้นั ไมหวน่ั ไหว ไมแ ปรปรวน ไมเบียดเบียนกนั แลกนั ไมอาจใหเกดิ สุขหรือทุกขแกกันแลกัน แมผใู ดจะเอาศสั ตราอยางคมตดั ศีรษะกัน ไมช่อื วา ใครปลงชีวิตใคร เปนแตศ สั ตราสอดเขาไปตามชอ ง ระหวา งสภาวะ ๗ กอง เทา นน้ั อนง่ึ กาํ เนดิ ท่ีสําคญั มี๑,๔๐๖,๖๐๐ กาํ เนดิ , ๕๐๐ กรรม, ๕ กรรม, ๓ กรรม, กรรมสมบูรณ,

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 482กรรมคร่ึงๆกลางๆ, ปฏิปทา ๖๒, อันตรกัลป ๖๒, อภชิ าติ ๖,ปุริสภมู ิ ๘, อาชีวะ ๔,๙๐๐ ปริพาชก ๔,๙๐๐ นาควาส ๔,๙๐๐อินทรยี  ๒,๐๐๐ นรก ๓,๐๐๐ รโชธาตุ ๓๖, สญั ญีครรภ ๗,อสญั ญีครรภ ๗, นคิ ัณฐครรภ ๗, สภาวทพิ ย ๗, มนุษย ๗, ปศาจ ๗,สระ ๗, ปวฏุ ใหญ ๗, ปวฏุ ๗๐๐, เหวใหญ ๗, เหวนอย ๗๐๐,มหาสุบิน ๗, สุบิน ๗๐๐, มหากลั ป ๘๔๐,๐๐๐ เหลาน้ี ทัง้ พาลและบัณฑติ เรรอ นทองเท่ยี วไปแลว จักทาํ ทส่ี ุดทกุ ขได ความหวงั วาเราจกั อบรมกรรมทย่ี ังไมอ ํานวยผลใหอาํ นวยผล หรอื เราสมั ผัสถูกตองกรรมที่อํานวยผลแลว จกั ทําใหส ุดส้นิ ดว ยศีล ดว ยพรต ดว ยตบะหรอื ดวยพรหมจรรยน้ี ไมมใี นท่นี น้ั สขุ ทุกขท ีท่ าํ ใหม ที ีส่ ุดไดเหมือนตวงของใหห มดดว ยทะนาน ยอมไมม ีในสงสารดว ยอาการอยา งนี้เลย ไมมีความเสือ่ มและความเจริญ ไมมีการเลือ่ นขึน้ และลดลงพาลและบณั ฑิตเรร อ นไป สิน้ สุขและทุกขเ อง เหมอื นกลุม ดา ยทบ่ี คุ คลขวางไป ยอ มคลห่ี มดไปเอง ฉะนั้น. ภกิ ษุทัง้ หลายกราบทลู วา ขาแตพระองคผ เู จริญ ธรรมของขา พระองคทง้ั หลาย มพี ระผูม ีพระภาคเจา เปนรากฐาน ฯลฯ. ภ. ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย เมอ่ื รูปมีอยู เพราะถือมนั่ รปูเพราะยึดมั่นรูป จงึ เกิดทฏิ ฐิขน้ึ อยางนี้วา สภาวะ ๗ กองเหลา นี้ ไมม ีใครทํา ไมมแี บบอยา งอันใครทาํ ฯลฯ พาลและบณั ฑติ เรร อนไป สน้ิ สุขและทุกขเอง เหมือนกลมุ ดา ยทบี่ คุ คลขวา งไป ยอมคลีห่ มดไปเองฉะนัน้ เมือ่ เวทนามอี ยู... เมอ่ื สัญญามอี ยู... เมื่อสังขารมีอยู... เมอื่วิญญาณมอี ยู. เพราะถือมน่ั วิญญาณ เพราะยดึ มัน่ วญิ ญาณ จึงเกดิทฏิ ฐิขนึ้ อยา งนีว้ า สภาวะ ๗ กองเหลานี้ ไมมีใครทาํ ไมมีแบบอยางอนั

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 483ใครทํา ฯลฯ พาลและบัณฑิตเรรอ นไป สิ้นสขุ และทุกขเอง เหมอื นกลมุ ดายท่บี ุคคลขวางไป ยอ มคลห่ี มดไปเอง ฉะนัน้ . ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เธอจะสําคญั ความขอนนั้ เปน ไฉน รูปเท่ียงหรือไมเที่ยง ? ภ.ิ ไมเท่ยี งพระเจา ขา . ภ. ก็สิ่งใดไมเ ทยี่ ง สิง่ น้นั เปน ทุกข หรือเปน สุขเลา ? ภิ. เปน ทกุ ขพระเจา ขา. ภ. ก็สิง่ ใดไมเ ทีย่ ง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดาเพราะไมถ ือมัน่ สง่ิ น้นั จะพึงเกดิ ทิฏฐิขึ้นอยา งนวี้ า สภาวะ ๗ กองเหลา น้ีไมมใี ครทํา ไมมแี บบอยา งอนั ใครทํา ฯลฯ พาลและบัณฑติ เรร อนไปสน้ิ สุขและทุกขเอง เหมือนกลุมดายทีบ่ คุ คลขวา งไป ยอมคลห่ี มดไปเองฉะนน้ั ใชไหม ? ภิ. ไมพงึ เกิดขึ้นอยา งนนั้ เลย พระเจา ขา. ภ. ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย เวทนา...สัญญา...สังขาร...วญิ ญาณ...เทีย่ งหรอื ไมเท่ียง ? ภิ. ไมเทีย่ งพระเจาขา . ภ. กส็ ่งิ ใดไมเทีย่ ง ส่ิงนัน้ เปนทกุ ข หรอื เปน สขุ เลา ? ภ.ิ เปนทุกขพ ระเจา ขา . ภ. ก็สง่ิ ใดไมเ ที่ยง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถ อื มน่ั ส่ิงนั้น จะพงึ เกิดทฏิ ฐิข้นึ อยา งนว้ี า สภาวะ ๗ กองเหลานี้ไมม ใี ครทํา ไมมีแบบอยา งอันใครทํา ฯลฯ พาลและบัณฑติ เรร อ นไป

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 484สนิ้ สขุ และทกุ ขเ อง เหมอื นกลุมดายที่บุคคลขวางไป ยอมคลี่หมดไปเองฉะนนั้ ใชไหม ? ภิ. ไมพงึ เกิดขึน้ อยางนั้นเลย พระเจา ขา. ภ. สิง่ ใดทไี่ ดเ ห็นแลว ไดยินแลว ไดทราบแลว รแู จงแลวบรรลุแลว แสวงหาแลว คน ควา แลวดว ยใจ แมสงิ่ น้นั เทย่ี งหรือไมเท่ียง ? ภ.ิ ไมเ ท่ยี งพระเจา ขา . ภ. กส็ ่งิ ใดไมเ ท่ียง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถ ือมัน่ ส่งิ น้นั จะพึงเกิดทิฏฐขิ น้ึ อยา งนว้ี า สภาวะ ๗ กองเหลา นี้ไมมใี ครทํา ไมมแี บบอยา งอนั ใครทาํ ฯลฯ พาลและบัณฑติ เรร อ นไปส้ินสขุ แลทุกขเอง เหมือนกลุมดา ยท่ีบคุ คลขวา งไป ยอ มคล่ีหมดไปเองฉะน้นั ใชไ หม ? ภิ. ไมพ งึ เกิดขึน้ อยางน้ันเลย พระเจา ขา . ภ. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย เมอื่ ใดแล อรยิ สาวกละความสงสยั ในฐานะ ๖ น้ี ชอื่ วา เปนอนั ละความสงสัยแมใ นทุกข แมใ นทุกขสมุทัยแมใ นทุกขนโิ รธ แมในทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา เม่ือนั้น อรยิ สาวกน้ีเราตถาคต เรียกวา เปน พระโสดาบนั มคี วามไมตกต่ําเปน ธรรมดาเปนผูเทย่ี งทจี่ ะตรสั รเู ปนเบอื้ งหนา. [๔๓๓] กรงุ สาวัตถ.ี พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสถามวา ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย เมื่ออะไรมอี ยู เพราะถือมัน่ อะไร เพราะยึดม่ันอะไรจงึ เกิดทฏิ ฐขิ ึ้นอยา งน้ีวา โลกเท่ยี ง ? ภิกษุทงั้ หลายกราบทลู วา ขาแตพระองคผ ูเ จรญิ ธรรมของขา พระองคท้ังหลาย มีพระผมู ีพระภาคเจาเปน รากฐาน ฯลฯ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 485 ภ. ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย เม่อื รปู มอี ยู เพราะถอื มัน่ รูป เพราะยึดม่ันรปู จึงเกิดทิฏฐขิ นึ้ อยา งน้ีวา โลกเทยี่ ง เม่อื เวทนามีอยู... เม่ือสัญญามอี ยู. .. เมื่อสงั ขารมอี ย.ู .. เมอ่ื วญิ ญาณมอี ยู เพราะถือม่นัวญิ ญาณ เพราะยดึ มน่ั วิญญาณ จงึ เกดิ ทฏิ ฐิขึน้ อยางน้วี า โลกเที่ยง. จบ มหาทิฏฐิสตู ร ๙. สสั สตทฏิ ฐิสูตร วา ดว ยความเหน็ วา โลกเท่ียง [๔๓๔] ภ. ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เธอจะสาํ คัญความขอ น้นั เปน ไฉนรปู เทย่ี งหรอื ไมเทย่ี ง ? ภ.ิ ไมเ ที่ยงพระเจาขา. ภ. กส็ ิ่งใดไมเ ท่ยี ง ส่ิงนัน้ เปนทุกข หรือเปนสขุ เลา ? ภิ. เปน ทุกขพ ระเจา ขา . ภ. ส่ิงใดไมเที่ยง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถือมนั่ สิง่ นัน้ จะพึงเกดิ ทิฏฐขิ ึน้ อยา งน้วี า โลกเทย่ี ง ใชไ หม ? ภิ. ไมพ งึ เกดิ ขน้ึ อยา งน้ันเลย พระเจาขา. ภ. เวทนา... สญั ญา... สังขาร... วิญญาณ เทีย่ งหรอื ไมเที่ยง ? ภ.ิ ไมเ ท่ยี งพระเจาขา . ภ. กส็ ่งิ ใดไมเ ทย่ี ง สิง่ น้นั เปน ทกุ ข หรอื เปนสุขเลา ? ภิ. เปน ทกุ ขพระเจาขา .

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 486 ภ. กส็ งิ่ ใดไมเ ที่ยง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถ อื ม่นั สงิ่ น้ัน จะพึงเกดิ ทฏิ ฐขิ ้นึ อยา งน้วี า โลกเทย่ี ง ใชไหม ? ภิ. ไมพงึ เกิดขน้ึ อยา งนนั้ เลย พระเจา ขา . ภ. สิง่ ใดที่ไดเ ห็นแลว ไดยินแลว ไดทราบแลว รแู จง แลวบรรลแุ ลว คนควาแลวดวยใจ แมส ่ิงนนั้ เทย่ี งหรอื ไมเทีย่ ง ? ภิ. ไมเ ทยี่ งพระเจา ขา. ภ. กส็ ง่ิ ใดไมเท่ียง ส่งิ นั้นเปน ทุกข หรือเปน สุขเลา ? ภิ. เปนทกุ ขพระเจาขา. ภ. กส็ ิง่ ใดไมเท่ียง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาเพราะไมถ ือมั่นสิ่งน้นั จะพึงเกิดทฏิ ฐขิ นึ้ อยา งนีว้ า โลกเท่ียง ใชไหม ? ภิ. ไมพงึ เกดิ ข้นึ อยา งน้นั เลย พระเจา ขา . ภ. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย เมื่อใดแล อรยิ สาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหลานี้ ช่อื วาเปนอันละความสงสัยแมในทุกข แมในทกุ ขสมทุ ัย แมในทุกขนโิ รธ แมใ นทกุ ขนิโรธคามินปี ฏิปทา เมือ่ นน้ัอรยิ สาวกผนู ้ี เราตถาคตเรียกวา เปน พระโสดาบนั มคี วามไมต กตา่ํ เปนธรรมดา เปน ผเู ท่ยี งทจี่ ะตรสั รูเ ปนเบือ้ งหนา . จบ สัสสตทฏิ ฐิสูตร ๑๐. อสัสสตทิฏฐสิ ตู ร วา ดว ยความเห็นวา โลกไมเท่ยี ง [๔๓๕] กรงุ สาวตั ถ.ี พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสถามวา ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เมอ่ื อะไรมีอยู เพราะถอื มนั่ อะไร เพราะยดึ มน่ั อะไร

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 487จงึ เกิดทฏิ ฐิขน้ึ อยางนวี้ า โลกไมเ ทย่ี ง ? ภิกษทุ ั้งหลายกราบทลู วา ขาแตพระองคผเู จรญิ ธรรมของขา พระองคท ้ังหลาย มีพระผูมีพระภาคเจาเปน รากฐาน ฯลฯ ภ. ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย เม่ือรูปมอี ยู ฯลฯ เมอ่ื เวทนามีอยู ฯลฯเมอ่ื สัญญามอี ยู ฯลฯ เมอื่ สังขารมีอยู ฯลฯ เม่ือวิญญาณมอี ยู ฯลฯวิญญาณเที่ยงหรือไมเทยี่ ง ? ภิ. ไมเทย่ี งพระเจา ขา ฯลฯ ภ. เพราะไมถ ือม่นั ส่ิงนน้ั จะพึงเกิดทิฏฐขิ นึ้ อยางน้ีวา โลกไมเ ท่ียงใชไ หม ? ภิ. ไมพ งึ เกดิ ขึ้นอยา งนั้นเลย พระเจา ขา . ภ. สิ่งใดท่ีไดเ ห็นแลว ไดย ินแลว ไดทราบแลว รูแ จง แลวบรรลุแลว แสวงหาแลว คน ควา แลว ดว ยใจ สิ่งนน้ั เที่ยงหรอื ไมเ ที่ยงเลา ? ภิ. ไมเ ที่ยงพระเจาขา ฯลฯ. ภ. เพราะไมถอื มัน่ สง่ิ น้นั จะพงึ เกดิ ทิฏฐิข้ึนอยางน้วี าโลกไมเ ทย่ี ง ใชไ หม ? ภ.ิ ไมพึงเกิดขึน้ อยางนนั้ เลย พระเจา ขา . ภ. ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เมือ่ ใดแล อรยิ สาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหลา นี้ ชื่อวา เปน อนั ละความสงสัยแมในทกุ ข แมใ นทุกขสมุทัย แมในทุกขนิโรธ แมใ นทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทาอริยสาวกผูนี้ เราตถาคตเรยี กวา เปนพระโสดาบนั มีความไมตกตํ่าเปนธรรมดาเปน ผเู ท่ียงท่จี ะตรสั รเู ปนเบ้ืองหนา. จบ อสัสสตทฏิ ฐิสตู ร

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 488๘-๑๐ อรรถกถามหาทฏิ ฐสิ ูตรเปน ตน ถงึ สตู รที่ ๑๐ บทวา อกฏา คอื (กายท้งั ๗) ไมม ีใครสราง. บทวา อกฏวธิ า คือ ไมมีใครทาํ การจัดแจง (ใหส ราง) อธิบายวาแมทใ่ี คร ๆ ใหทาํ ดวยบอกวา จงทาํ อยางน้ี กไ็ มม .ี บทวา อนมิ มฺ ิตา คอื ไมมใี ครเนรมติ แมด ว ยฤทธิ์. บทวา อนิมฺมิตวิธา คือ การจดั แจง ไมม ีใครเนรมิตแลว. อธบิ ายวา ไมใชท ใ่ี คร ๆ ควรเนรมติ ได ปาฐะวา อนิมมฺ ติ พฺพา ดงั น้ีบา ง. บทวา วฺฌา คอื ไมม ีผล ไดแ ก ไมใ หเ กิดผลอะไร ๆ เหมือนสัตวเ ลีย้ งทเ่ี ปนหมนั และตาลท่ีเปนหมนั (ตาลตัวผู) เปนตน๑ บทวา กูฏฏา ความวา ยนื หยัดอยเู หมอื นยอดภเู ขา (เพราะเหตุน้ัน)จึงช่อื วา กูฏัฏฐา บทวา เอสกิ ฏฐายฏิ ฐิตา ตั้งอยู เปน เหมอื นตัง้ อยดู ุจเสาระเนยี ดเพราะเหตนุ ้นั จงึ ช่อื วา เอสกิ ฏฐ ายฏิ ฐติ า อธบิ ายวา เสาระเนยี ดท่ีฝง ดีแลว ตัง้ มนั่ ไมหวนั่ ไหวฉันใด กายกต็ ั้งอยฉู นั นั้น. บทวา น อิ ฺชนฺติ ความวา ไมห ว่ันไหว ตงั้ อยมู ั่นคงดุจเสาระเนียดฉะนนั้ บทวา น วิปริณมนฺติ ความวา ไมล ะปกต.ิ บทวา น อฺมฺ พยฺ าเธนฺติ ความวา ไมเ บยี ดเบยี นกันและกัน. บทวา นาล แปลวา ไมส ามารถ.๑. อรรถกถาเปน วชฌฺ าติ ป สุวชฌฺ า ตาลาทโย วิย. ฉบบั พมา เปน วฺฌปสุวฌฺ ตาลาทโย วยิ .บาลีเปน วฺฌา แปลตามฉบบั พมา

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 489 ในบทวา ปฐวีกาโย เปนตน มีอธบิ ายวา ปฐวีนน่ั แล ชื่อวาปฐวกี ายะ (กองดิน) หรอื ปฐวีสมูหะ (มลู ดิน). บทวา สตฺตนนฺ  เตวฺ ว กายาน มีความวา ศัสตราทฟ่ี น ลงไปในกองถ่ัวเขยี วเปน ตน ยอ มแทรกเขา ไปในระหวางถว่ั เขียวเปน ตน ฉนั ใดศสั ตรากแ็ ทรกเขา ไปในระหวาง คือทางชอง ไดแ ก ทางที่วา งของกายทงั้ ๗ ฉันน้นั . ในการฆาน้ัน พวกมิจฉาทิฏฐิแสดงวา จะมแี ตเ พยี งหมายรอู ยูอยา งเดยี วเทานน้ั วา เราปลงผนู ีจ้ ากชีวติ (ฆา สตั ว) . มิจฉาทิฏฐิกบุคคล (ผูน ยิ มในลทั ธนิ ี้) พากนั แสดงการปลงใจเช่ือแบบไรประโยชน (ทไ่ี ดม า) ดวยเหตเุ พียงการตรึกแตเ พยี งอยางเดยี ว (โดยใชหลกั ตกั กวทิ ยาเพยี งอยา งเดียว) วา กาํ เนิดใหญ คือกําเนดิ ที่สาํ คญั มี ๑,๔๐๐,๐๐๐ รวมกบั กาํ เนดิ อ่นื อีก ๖,๖๐๐ และกรรมอกี ๕๐๐ ดวยบทวา โยนิปมุขสตสหสสฺ านิ. แมใ นบทวา ปจฺ จ กมมฺ านิ ตีณิ จ กมมฺ านิ (กรรม ๕ และกรรม ๓) เปน ตน ก็มีนยั (ความหมายอยางเดียวกนั ) น้ี. ฝายอาจารยบ างพวกกลา ววา มิจฉาทฏิ ฐกิ บคุ คลทง้ั หลายกลา วถงึ กรรม ๕ ดวยอาํ นาจอินทรีย ๕ กลาวถงึ กรรม ๓ ดวยอาํ นาจกายกรรม เปน ตน. สวนในบทวา กมเฺ ม จ อฑฺฒกมเฺ ม จ (กรรมและกรรมครึง่ หนึง่ )น้ีมีอธบิ ายวา กายกรรมและวจกี รรมของเจา ลัทธินัน้ ไดช ่อื วา เปน กรรมมโนกรรม ไดช ่ือวา เปนกรรมครง่ึ หนึง่ . มิจฉาทิฏฐกิ บุคคลกลา ววา ปฏปิ ทา มี ๖๒ ดว ยบทวา ทวฏปิ ฏปิ ทา.

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 490 บทวา ทวฺ ฏ นตฺ รกปฺปา ความวา ในกัปใหญกปั หนงึ่ มีกัปช่ือวาอันตรกัป (กัปยอ ย) ๖๔ กปั . แตวา เจาลทั ธิน้ี ไมร ูกัปอนื่ อกี ๒ กัป (สงั วฏั ฏฐายีกปั ๑ววิ ฏั ฏฐายีกปั ๑) จึงกลา วอยา งน้ี. มจิ ฉาทฏิ ฐิกบุคคลกลา วถึง อภชิ าติ (กาํ เนดิ ) ๖ เหลา น้ี คอืกัณหาภิชาติ ๑ นีลาภิชาติ ๑ โลหติ าภิชาติ ๑ หลิททาภิชาติ ๑สกุ กาภชิ าติ ๑ ปรมสกุ กาภชิ าติ ๑ ดว ยบทวา ฉฬาภชิ าตโิ ย. มจิ ฉาทฏิ ฐกิ บุคคลกลาววา บรรดากาํ เนิดทงั้ ๖ นั้น โอรัมภิก-กําเนดิ (การเกดิ เปนนายพรานแกะ) สกู รกิ กาํ เนดิ (การเกิดเปนนายพรานสุกร) สากณุ ิกกําเนดิ (การเกิดเปนนายพรานนก) มาควกิ กําเนดิ(การเกิดเปน นายพรานเนื้อ) ลุทธกาํ เนดิ (การเกดิ เปนนายพราน)มจั ฉมาฏกกาํ เนดิ (การเกดิ เปนชาวประมง) โจรกําเนิด (การเกิดเปนโจร) โจรฆาฏกําเนิด (การเกดิ เปน เพชฌฆาต ฆาโจร) พนั ธนาคาริก-กําเนิด (การเกดิ เปน เจาหนา ทเ่ี รือนจํา) กห็ รือวา การงานท่ีต่าํ ตอ ยเหลาอื่นอยางใดอยา งหนึง่ นี้ ชอ่ื วา กัณหาภชิ าติ (กาํ เนดิ ดํา). กําเนดิ ภกิ ษุ มิจฉาทฏิ ฐกิ บุคคลกลาววา นีลาภิชาติ (กาํ เนดิ เขียว)ไดยินวา ภกิ ษเุ หลานน้ั ใสห นามลงไปในปจ จัย ๔ แลวจงึ ฉัน (อาหาร)และภิกษุทัง้ หลายกเ็ ล้ียงชีวิตอยูดวยอาศยั หนาม ก็บาลดี ังวามานี้เปนบาลีของภิกษนุ ั้นนนั่ แล. อกี อยางหนงึ่ เขากลา วกนั วา นกั บวชทงั้ หลาย เปนเหมือนอยูในดงหนาม จึงมีชื่ออยา งนี้ (กณฺ กวุตฺตกิ า) เขากลาววา พวกนคิ รนถท ีใ่ ชผาผืนเดยี ว ช่อื วา ลหิตาภชิ าติ(กําเนิดแดง) วา กนั วา นคิ รนถพวกนี้บริสทุ ธ์กิ วา ๒ พวกแรก.

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 491 เขากลาววา สาวกของอเจลกะท่เี ปนคฤหสั ถ นงุ ขาวหม ขาวช่ือวา หลิทฺทาภิชาติ (กาํ เนดิ เหลอื ง) นิครนถทั้งหลาย ทาํ พวกสาวกท่ีเปน คฤหสั ถ ผูถวายปจ จยั ของตน ใหมีความสาํ คัญกวาพวกนคิ รนถดว ยกัน ดวยอาการอยา งน้.ี เขากลาววา พวกอาชีวกผชู าย พวกอาชีวกผูห ญิง นีช้ ่อื วาสุกกาภิชาติ วา กันวา อาชวี กท้งั หญิงและชายเหลา น้นั บริสทุ ธิก์ วา๔ พวกแรก. เขากลาววา เจา ลัทธิ ชอ่ื นันทะ วจั ฉะ สงั กจิ จะ มักขลิโคสาลชอ่ื วา ปรมสกุ กาภิชาติ. วากนั วา เจาลัทธิเหลา น้ัน บริสทุ ธ์กิ วา พวกอื่นทงั้ หมด. มิจฉาทิฏฐกิ บุคคลกลาววา ภูมิ (ระดับของการเจริญเตบิ โต)ของคนมี ๘ ภูมิเหลา นค้ี อื มนั ทภูมิ ๑ ขฑิ ฑาภูมิ ๑ วมี งั สกภมู ิ ๑อุชฺคตภมู ิ ๑ เสขภูมิ ๑ สมณภูมิ ๑ ชานนภูมิ ๑ ปนนภมู ิ ๑ ดวยบทวาอฏฐ ปรุ ิสภมู โิ ย. บรรดาภมู ิทัง้ ๘ น้นั ตลอด (เวลา) ๗ วัน จาํ เดมิ แตวนั เกิดสตั วทงั้ หลายนบั วายงั ออ นแอ โงเงา เพราะออกมาจากสถานทค่ี บั แคบเขาวา นีช้ ือ่ วา มันทภูม.ิ สวนสตั วเ หลา ใดมาจากทุคคติ สัตวเหลา นน้ั ชอบรองไหบอยๆและรองดังดว ย (สว น) สัตวเ หลา ใดมาจากสคุ ติ สตั วเ หลา น้ันหวนระลึกถึงสุคตินนั้ แลว ก็ชอบหัวเราะ นช้ี อ่ื วา ขิฑฑาภมู .ิ การจบั มือหรอื เทา ของมารดาบิดา (หรอื ) จบั เตียงหรือตง่ั แลววางเทา ลงเหยียบพน้ื ชือ่ วา วิมงั สกภูมิ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 492 เวลาทส่ี ามารถเดินได ชื่อวา อชุ ุคตภมู ิ ระยะเวลาท่ศี กึ ษาศิลปะ. ช่อื วา เสขภมู ิ. เวลาทอี่ อกจากเรือนบวช ช่ือวา สมณภูมิ เวลาทมี่ ีความรเู พราะสองเสพ (ศกึ ษามาจาก) อาจารย ช่อื วาชานนภูม.ิ เขากลาวถึงสมณะผูไมฉลาดอยางนีว้ า กภ็ กิ ษุเปนผพู ลัดตก(จากประโยชน) เสยี แลว (เพราะ) พระชินเจา หาตรสั อะไรไวด วยไมน้ชี ่อื วา ปนนภมู .ิ บทวา เอกูนป ฺ าส อาชวี สเต ไดแก วิธีดาํ เนนิ ชีวติ ๔,๙๐๐ บทวา ปริพพฺ าชกสเต ไดแ ก การบวชเปน ปริพพาชก ๑๐๐. บทวา นาควาสสเต ไดแก นาคมณฑล ๑๐๐. บทวา วเี ส อนิ ฺทรฺ ิยสเต ไดแ ก อนิ ทรยี  ๒,๐๐๐ บทวา ตึเส นริ ยสเต ไดแก นรก ๓,๐๐๐ มจิ ฉาทฏิ ฐกิ บุคคลกลาวหมายถงึ หลงั มอื และหลงั เทา เปนตนซ่ึงเปนทโ่ี ปรยธุลีลงิ ดวยบทวา รโชธาตุโย. กลา วหมายถงึ อฐู โค ฬา แพะ สตั วเ ล้ยี งเนื้อ และกระบือ ดวยบทวาสตตฺ สฺ ีคพภฺ า. กลาวหมายถึง ขาวสาลี ขาวเปลอื ก ขา วเหนยี ว ขาวละมานขาวฟาง ลูกเดือย และหญา กับแก ดวยบทวา อสฺ คี พภฺ า. กลาวหมายถงึ ตนออ ย ตน ไผ และตนออเปนตน ซ่งึ มีตน (ใหม)งอกขนึ้ ท่ีตา ดว ยบทวา นิคณฺ ิคพฺภา.

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 493 บทวา สตตฺ ทิพฺพา ไดแ ก เทพจํานวนมาก กม็ ิจฉาทิฏฐิกบคุ คลนัน้ เรยี ก (เทพเหลานนั้ ) วาสตั ว. แมม นษุ ยก็มจี าํ นวนมาก เขากเ็ รยี ก(มนุษยเหลาน้ัน) วา สตั ว. บทวา สตตฺ ปสาจา ไดแ ก ปศ าจจาํ นวนมากมาย มจิ ฉาทิฏฐกิ บุคคลก็เรยี ก (ปศาจจาํ นวนมากเหลา นัน้ ) วาสัตว๑ บทวา สรา ไดแก สระใหญ เขากลา วหมายถงึ สระกณั ณมุณฑะสระรถการะ สระอโนดาต สระสหี ปปาตะ สระมณฑากนิ ี สระมจุ จลนิ ทและสระกณุ าละ. บทวา ปวุฏา ไดแ ก หวง๒ บทวา ปปาตา ไดแกเหว ใหญ๒ บทวา ปปาตสตานิ ไดแก เหวเล็ก ๗๐๐. บทวา สปุ น า ไดแก สบุ ินใหญ ๗. บทวา สปุ นสตานิ ไดแ ก สุบินเลก็ ๗. บทวา มหากปปฺ โน ไดแ ก มหากปั ทั้งหลาย ในขอ นี้ เจาลทั ธินนั้ มีความเหน็ ดังนวี้ า เมื่อบุคคลเอาปลายหญาคาจมุ นา้ํ ออกจากสระใหญ ๑ สระ โดย ๑๐๐ ป ตอน้ํา ๑ หยด แลว ทาํสระนัน้ ใหแ หง ถงึ ๗ คร้ัง (อยางน)ี้ จดั เปนมหากัป ๑. พาลและบัณฑิต๑. อรรถกถาวา สตฺต ทพิ ฺพาติ พหเุ ทวา โสมนสตตฺ าติ วทติ มนสุ ฺสาป อนนฺตา สตฺตาติ วทต.ิสตตฺ ปส าจาติ มหนฺตมหนตฺ า สตตฺ าติ วทติ. ฉบบั พมาเปน สตฺต เทวาติ พหู เทวา, โส ปนสตตฺ าติ วทติ. มนุสฺสาป อนนตฺ า, โส สตฺตาติ วทติ. สตตฺ เปสาจาติ ปส าจา มหนฺตมหนฺตา,สตตฺ าติ วทต.ิ แปลตามฉบบั พมา.๒. ฉบบั พมาเปน ปวุฏาติ คณฐฺ ติ า. ปปาตาติ มหาปปาตา.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 494ปลอ ยใหม หากัปเห็นปานน้ี สน้ิ ไปได ๘,๔๐๐,๐๐๐ มหากัป แลวก็จะทําที่สดุ ทกุ ขไ ด. เชื่อกนั วา ในระยะเวลาระหวางนนั้ แมบ ัณฑิตกไ็ มส ามารถจะบรสิ ทุ ธิไ์ ด ทง้ั คนพาลก็ไมเลยจากนั้นไปได. บทวา สีเลน วา ไดแ ก ดว ยศลี ของอเจลกะหรือดว ยศลี อยา งอื่นชนิดใดชนิดหนงึ่ แมดว ยวตั รก็เชนน้นั เหมอื นกนั . บทวา ตเปน ความวา ผใู ดคดิ วา เราเปน บัณฑติ แลว บริสทุ ธิ์ในระยะเวลาระหวา ง (มหากัปเหลานัน้ ) ผูนั้นชอ่ื วาทํากรรมทย่ี งัไมสกุ งอม ใหสุกงอม ดว ยการบาํ เพ็ญตบะ. ผใู ดคดิ วา เขาเปนพาลดังนีแ้ ลว ลว งเลยเวลากําหนดดงั กลาวแลวไป ผนู ั้นช่ือวา ไดสัมผัสกรรมท่ียงั ไมส ุกงอมแลว ทาํ ใหส้ินสุดไปได. บทวา เหว นตฺถิ คอื เอว นตถฺ ิ. กก็ รรมท้ังสองอยางน้นั เจา ลัทธิแสดงวา ใครๆไมสามารถจะทําได. บทวา โทณมเิ ต แปลวา เปนเหมอื นตวงดวยทะนาน. บทวา สุขทกุ ฺเข คอื สุขทุกฺข (แปลวา สุขและทุกข) บทวา ปริยนฺตกเต คอื (สังสารวฏั ) ถกู ทาํ ใหมีทสี่ ดุ ไดตามเวลามีกาํ หนดดังกลา วแลว . บทวา นตฺถิ ทายนวฑฺฒเน คอื ไมมีความเสอ่ื มและเจรญิอธิบายวา สงั สารวัฏของบัณฑิตก็ไมเ สื่อม (สนิ้ สดุ ลง) ของคนพาลก็ไมเจรญิ (ยืดออกไป). บทวา อกุ ฺก สาวก เส นี้เปนไวพจนข องความเสื่อมและความเจรญิเหมือนกัน.

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 495 บัดนี้ เมื่อจะใหค วามหมายนัน้ สาํ เร็จดว ยอุปมา พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรสั คําวา เสยฺยถาป นาม เปน ตน. บรรดาบทเหลานัน้ บทวา สุตฺตคุเฬ ไดแ ก กลมุ ดา ยท่ีกรอไวกําลงั คลคี่ ลายออกไปนัน่ เอง. ดวยบทวา ปเลติ เจาลทั ธแิ สดงวา กลมุ ดา ยท่วี าง (เง่อื นหนึง่ ) ไวบนภูเขา หรอื บนยอดไม แลวขวา งไป จะคลคี่ ลายไปตามขนาด(ความยาว) ของดาย เม่อื ดา ยหมดแลว ก็จะหยดุ ลงในที่นน้ั แหละไมไปตอ ฉนั ใด พาลและบัณฑิตกฉ็ นั นน้ั เหมือนกนั เม่อื แกไขไปก็จะส้นิ สดุ ความสุขความทุกขได ตามอาํ นาจกาลเวลา คือจะผา นพนสุขทกุ ขไปได ตามกาลเวลาดงั กลา วแลว. จบ อรรถกถาสูตรท่ี ๘ ถงึ สตู รที่ ๑๐. ๑๑. อันตวาสูตร วา ดวยความเห็นวา โลกมีท่ีสุด [๔๓๖] กรงุ สาวัตถ.ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสถามวา ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย เมอ่ื อะไรมอี ยู เพราะถอื ม่นั อะไร เพราะยดึ มัน่ อะไรจึงเกดิ ทฏิ ฐขิ ึน้ อยา งน้ีวา โลกมที ี่สุด. ภกิ ษทุ ้งั หลายกราบทูลวาขา แตพระองคผ ูเจริญ ธรรมของขา พระองคท้งั หลาย มีพระผมู พี ระภาคเจาเปน รากฐาน ฯลฯ เปนผูเที่ยงท่จี ะตรสั รูเปน เบอื้ งหนา. จบ อันตรวาสตู ร

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 496 ๑๒. อนันตวาสูตร วาดว ยความเหน็ วา โลกไมมีทีส่ ุด [๔๓๗] กรงุ สาวัตถี. พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั ถามวา ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย เมือ่ อะไรมีอยู เพราะถือมนั่ อะไร เพราะยึดมนั่ อะไรจึงเกดิ ทิฏฐขิ ้ึนอยางน้ีวา โลกไมมที ่ีสุด ภกิ ษทุ งั้ หลายกราบทูลวาขาแตพ ระองคผ ูเจรญิ ธรรมของขา พระองคท ้ังหลาย มีพระผูมพี ระภาคเจาเปน รากฐาน ฯลฯ เปน ผเู ทีย่ งทจ่ี ะตรัสรูเปน เบ้อื งหนา . จบ อนนั ตวาสูตร ๑๓. ตังชีวงั ตงั สรีรังสูตรวาดว ยความเห็นวา ชีพกบั สรรี ะเปนอันเดียวกัน [๔๓๘] กรุงสาวัตถ.ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสถามวา ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย เมอ่ื อะไรมีอยู เพราะถือม่นั อะไร เพราะยึดม่นั อะไรจงึ เกิดทิฏฐิข้นึ อยางนี้วา ชีพก็อันนัน้ สรรี ะก็อันน้นั ภกิ ษุทงั้ หลายกราบทูลวา ขาแตพ ระองคผ เู จรญิ ธรรมของขาพระองคทัง้ หลายมพี ระผูมี-พระภาคเจา เปนรากฐาน ฯลฯ เปนผูเ ทยี่ งทีจ่ ะตรสั รูเปน เบือ้ งหนา. จบ ตงั ชวี งั ตงั สรีรงั สูตร ๑๔. อญั ญังชีวงั อญั ญงั สรรี ังสูตรวา ดว ยความเห็นวา ชพี กบั สรีระเปนคนละอยา ง [๔๓๙] กรงุ สาวัตถี. พระผูมีพระภาคเจาตรสั ถามวา ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย เมอื่ อะไรมอี ยู เพราะถือมัน่ อะไร เพราะยดึ มน่ั อะไรจึงเกิดทิฏฐขิ ึน้ อยางนว้ี า ชพี เปน อยา งอ่ืน สรีระเปน อยางอืน่ .








Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook