Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_27

tripitaka_27

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_27

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 309 อรรถกถาสูตรท่ี ๙-๑๐ ราหลุ สูตรท่ี ๑ และ ราหุลสตู รที่ ๒ มเี นอ้ื ความดังกลาวแลว ในราหุลสังยตุ . กส็ ูตรทง้ั ๒ นี้ ลวนมาในท่ีน้ี กเ็ พราะเหตุผลที่วาวรรคนเี้ ปนเถรวรรค น่ันแล. จบ อรรถกถาเถรวรรคที่ ๔ รวมพระสูตรท่ีมีในวรรคน้ี คอื ๑. อานนทสูตร ๒. ตสิ สสตู ร ๓. ยมกสูตร ๔. อนรุ าธสูตร๕. วักกลสิ ูตร ๖. อัสสชสิ ตู ร ๗. เขมกสูตร ๘. ฉนั นสูตร ๙. ราหุลสูตรที่ ๑ ๑๐. ราหุลสตู รที่ ๒

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 310 ปุปผวรรคท่ี ๕ ๑. นทีสตู ร วา ดว ยเหตใุ หถ งึ ความพินาศ [๒๓๗] กรงุ สาวตั ถ.ี ณ ท่ีน้นั แล พระผมู ีพระภาคเจาตรสั เรียกภกิ ษทุ ัง้ หลายมา แลวตรัสวา ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย แมน้ําไหลไปจากภูเขา พดั เอาหญา ใบไม และไมเปนตน ไปภายใต ไหลไปสูทีไ่ กล มีกระแสอันเชี่ยว ถาตน เลาท้ังหลาย พึงเกิดข้ึน ที่ริมฝง ทัง้ สองขางแหงแมนํ้าน้นั ตนเลาเหลานั้น คงยอยลงไปสแู มน้าํ นัน้ บา ง ถา หญา คาท้งั หลาย พึงเกดิ ขน้ึ หญา คาเหลานั้น คงจะยอ ยไปสแู มนํ้านัน้ บางถาหญา มุงกระตา ยท้งั หลาย พงึ เกิดข้ึน หญามุงกระตา ยเหลา นั้นคงจะยอ ยไปสแู มน้ําบาง ถา หญาคมบางพึงเกดิ ขึ้น หญา คมบางเหลา นน้ั คงยอยลงไปสูแมน ํ้าบา ง ถาตนไมท ้ังหลายพงึ เกดิ ขึน้ ตน ไมเหลานน้ั คงเอนลงไปสูแมน ํ้านั้นบา ง บรุ ุษเมอ่ื ถูกกระแสนํ้านนั้ พัดไปถา เขาจะพึงจบั ตน เลาไซร ตนเลาเหลาน้ัน คงหลดุ ลอยไป เขาจะพงึถงึ ความพินาศ อนั มกี ารหลดุ แหงตนเลานั้นเปนเหตบุ าง ถา เขาจะพึงจับหญาคาบาง หญา มงุ กระตา ยบาง หญาคมบางบา ง ตน ไมบ างไซรหญาคาเปนตน เหลานั้น จะพึงหลุดไป บุรุษนน้ั จะถึงความพินาศอันมีการหลุดลอยนนั้ เปนเหตุ แมฉ นั ใด. ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ปถุ ชุ นผูไมไดส ดบั แลว ก็ฉันนน้ั เหมือนกนั นั่นแล ไมเ หน็ พระอรยิ เจา ไมฉ ลาดในธรรมของพระอรยิ เจา ไมไดรับคําแนะนาํ ในธรรมของพระอริยเจาไมเห็นสัตบุรุษ ไมฉลาดในธรรมของสตั บุรุษ ไมไดร บั คําแนะนาํ ในธรรมของสตั บรุ ษุ ตามเห็นรูปโดยความเปน อัตตา เหน็ อัตตามีรูป

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 311เหน็ รปู ในอัตตา หรอื เห็นอตั ตาในรปู (ถา ) รปู นั้นของเขายอยยับไปเขาจกั ถึงความพนิ าศ อนั มคี วามยอยยับนนั้ เปน เหต.ุ ปถุ ชุ นนนั้ ตามเห็นเวทนา... สัญญา... สงั ขาร... ตามเห็น วญิ ญาณ โดยความเปน อัตตาเห็นอัตตามีวญิ ญาณ เห็นวญิ ญาณในอตั ตา หรอื เห็นอัตตาในวิญญาณถาวญิ ญาณนัน้ ของปุถชุ นนั้น ยอยยับไป เขาจะพงึ ถงึ ความพินาศอนั มคี วามยอ ยยบั นัน้ เปนเหต.ุ [๒๓๘] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทง้ั หลายจะสําคญั ความขอนน้ัเปนไฉน รปู เท่ยี งหรอื ไมเท่ยี ง ? ภกิ ษทุ งั้ หลายกราบทลู วา ไมเทยี่ ง พระเจาขา. ภ. เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ เที่ยงหรอื ไมเ ทย่ี ง ? ภ. ไมเ ท่ยี งพระเจาขา. ภ. เพราะเหตนุ นั้ แล ภิกษุท้ังหลาย ฯลฯ อรยิ สาวกผไู ดส ดบั แลวเห็นอยอู ยา งนี้ ฯลฯ รูชดั วา ฯลฯ กจิ อนื่ เพอื่ ความเปนอยา งน้ี มิไดม .ี จบ นทีสูตรที่ ๑ อรรถกถาปุปผวรรคที่ ๕ อรรถกถานทสี ูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัย ในนทสี ุตรที่ ๑ ดังตอไปน้ี :- บทวา ปพฺพเตยยฺ า แปลวา เปน ไปในภูเขา. บทวา โอหาริณีความวา พัดพาหญา ใบไม และทอ นไม เปนตน ทหี่ ลนลงไป ๆ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 312ในกระแสนา้ํ ลงมาขางลา ง. บทวา ทูรงฺคมา ความวา มีปกติไหลไปได (ไกล) ถึง ๔๐๐ โยชน ๕๐๐. โยชน นับต้ังแตท่ี (เรม่ิ )ไหลออก. บทวา สฆี โสตา แปลวา มกี ระแสเช่ียวกราก. บทวา กาสาเปน ตน หมายถึง ติณชาติท้งั หมด. บทวา รกุ ฺขา ไดแก ตน ไมล มลุกมีตน ละหุงเปน ตน. บทวา เต น อชโฺ ฌลมเฺ พยฺยุ ความวา ตนไมเ หลานน้ัแมเ กิดอยรู มิ ฝงน้ํา เอนลงไป มยี อดระนํ้า หอยยอยอยู อธิบายวาหอยยอ ยอยเู บื้องบนน้ํา. บทวา ปลชุ ฺเชยยฺ ุ ความวา พึงหลนลงไปบนศรี ษะ พรอมกบัดินติดราก บรุ ษุ น้นั ถกู หญา เลาเหลา นั้น (ลม) ทับแลว มนี ํา้ ปนทรายปนดินไหลเขา ปาก (เขา) กจ็ ะพึงประสบกับความพินาศอยา งหนัก. ในบทวา เอวเมว โข น้ี มอี ธบิ ายวา :- พาลปุถุชนท่ีอาศยั วฏั ฏะ พงึ เห็นเหมือนบุรุษทีต่ กลงไปในกระแสนํ้า. เบญจขนั ธท ่ีทุรพลพึงเห็นเหมือนตนเลาเปน ตน ที่เกิดอยตู ามรมิ ฝง ท้ังสองขาง. การที่พาลปถุ ุชนไมรู (ตามความเปนจรงิ ) วา ขันธเหลา นไี้ มใชสหายของเรา แลวยึดถอื ไวด ว ยการยดึ ถือ ๔ อยา ง พงึ เห็นเหมือนการท่ีบุรุษนนั้ ยดึ (ตนไม) เพราะไมร วู า ตนไมเหลาน้ีแมย ึดไวแลว กจ็ ักไมส ามารถรบั นํ้าหนักเราไวไ ด. การเกดิ ขึน้ แหงความพนิ าศมโี สกะเปนตน แกพ าลปถุ ุชนในเพราะขนั ธท ่ยี ึดไวดวยความยดึ ถือ ๔ อยางแปรปรวนไป พงึ ทราบวาเหมอื นการทบี่ รุ ษุ (นนั้ ) เกดิ ความพินาศ เพราะตนไมท ่ยี ดึ ไวๆ หลุดไป. จบ อรรถกถานทสี ูตรที่ ๑

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 313 ๒. ปปุ ผสตู รวาดว ยพระพุทธองคไมข ดั แยงกับโลก [๒๓๙] กรงุ สาวัตถี. กส็ มัยน้นั แล พระผูมีพระภาคเจาตรสั เรียกภกิ ษุท้ังหลายมาแลวตรัสวา ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย เราตถาคตไมกลา วขดั แยงกับโลก แตชาวโลกกลาวขัดแยงกับเราตถาคต.ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ผกู ลา วเปน ธรรม จะไมกลา วขดั แยงกับใคร ๆในโลก. สิ่งใดทบี่ ัณฑิตในโลกสมมตวิ า ไมม ี แมเราตถาคตก็กลา วสง่ิ นั้นวาไมม.ี สง่ิ ใดทบ่ี ัณฑติ ในโลกสมมตวิ ามี แมเ ราตถาคตกก็ ลา ววาม.ีดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย สิ่งทบ่ี ณั ฑติ ในโลกสมมตวิ า ไมม ี ซึ่งเรากก็ ลาววาไมมี นน้ั คอื อะไร ? คือรปู ที่เที่ยงยง่ั ยนื สืบตอ กันไป มคี วามไมแปรปรวนเปนธรรมดา บณั ฑิตในโลกสมมติวา ไมม ี แมเ ราตถาคตก็กลาวรูปนนั้ วา ไมม ี เวทนา... สญั ญา... สงั ขาร... วิญญาณ เทยี่ ง ย่ังยนืสบื ตอกนั ไป มีความไมแ ปรปรวนเปนธรรมดา ท่บี ณั ฑิตทงั้ หลายในโลกสมมตวิ า ไมมี แมเ ราตถาคตกก็ ลา ววญิ ญาณนั้นวา ไมม ี. ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย น้ีแลคอื สงิ่ ท่บี ัณฑิตในโลกสมมติวา ไมมี ซงึ่ เราตถาคตก็กลา ววา ไมม .ี ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย สิง่ ที่บัณฑติ ในโลกสมมตวิ า มีซึ่งเราตถาคตกลา ววามี คืออะไร ? ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย คอื รปู ไมเ ทย่ี งเปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ทบ่ี ณั ฑติ ทงั้ หลายในโลกสมมติวามี แมเ ราตถาคตกก็ ลา วรปู นนั้ วามี เวทนา... สญั ญา...สงั ขาร... วญิ ญาณไมเทีย่ ง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาทีบ่ ัณฑติ ทั้งหลายในโลกสมมติวามี แมเ ราตถาคตก็กลาววิญญาณนั้นวามี. ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย นแ้ี ลคอื ส่งิ ที่บัณฑติ ท้งั หลายในโลกสมมตวิ า มีซ่งึ เราตถาคตกลา ววาม.ี

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 314 [๒๔๐] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในโลก มีโลกธรรม พระตถาคตยอ มตรัสรู ยอมบรรลุ คร้นั แลว ก็บอก แสดง บญั ญัติ แตง ต้ัง เปดเผยกระทําใหต้นื . ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย โลกธรรมในโลกคืออะไร ?พระตถาคตเจา ตรสั รู บรรลธุ รรมน้นั คร้นั แลว ก็บอก แสดง บญั ญัติแตงตัง้ เปด เผย จําแนก กระทาํ ใหต ้ืน ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย โลกธรรมในโลกคอื รูป พระตถาคตเจา ตรัสรู ทรงบรรลุ รูปน้ัน คร้ันแลว ก็ทรงบอกแสดง บัญญตั ิ แตงตง้ั เปด เผย จําแนก กระทาํ ใหต ืน้ . ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลายเมอื่ พระตถาคตเจาบอก แสดง บัญญตั ิ แตง ตัง้ เปด เผย จําแนก กระทําใหต นื้ อยอู ยางน้ี ผใู ดไมร ู ไมเห็น เราตถาคตจะทาํ อะไรเขา ผซู ่ึงเปนคนพาล เปนปุถชุ น เปน คนบอด ไมม ีจกั ษุ ไมรไู มเห็นอยู. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย โลกธรรมในโลก คอื เวทนา... สัญญา... สังขาร...วิญญาณ พระตถาคตเจา ตรัสรู ทรงบรรลุวญิ ญาณนนั้ ครนั้ แลวกท็ รงบอก แสดง บัญญัติ แตงต้งั เปด เผย จาํ แนก กระทําใหต้ืน.ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย เมอ่ื ตถาคต บอก แสดง บญั ญตั ิ แตง ตั้ง เปด เผยกระทาํ ใหต ้นื อยอู ยางน้ี ผใู ดไมรไู มเหน็ เราจะไปวา อะไรเขา ผเู ปนคนโง เปนปถุ ชุ น เปนคนบอด ไมม ีจกั ษุ ไมรไู มเ ห็นอย.ู [๒๔๑] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมกด็ ีดอกบุณฑรกิ กด็ ี เกิดขนึ้ แลวในนา้ํ ขึ้นพน นา้ํ ตัง้ อยู แตไมแปดเปอ นดวยนํ้า แมฉ นั ใด ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย พระตถาคต ก็เชนนน้ั เหมือนกนั แลเกิดแลวในโลก เจรญิ แลว ในโลก ครอบงําโลกอยู แตโลกไมแปดเปอนเราได. จบ ปุปผสตู รท่ี ๒

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 315 อรรถกถาปุปผสูตรท่ี ๒ พึงทราบวินิจฉัย ในปปุ ผสูตรท่ี ๒ ดังตอไปนี้ :- บทวา วิวทติ ความวา ชาวโลกเมอ่ื กลาววา เที่ยง เปน สุขเปน อตั ตา สวยงาม ชอื่ วายอมกลาวขดั แยง กับเราตถาคตผกู ลา วอยูตามสภาพเปนจริงวา ไมเทย่ี ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา ไมสวยงาม บทวา โลกธมฺโม ไดแก ขันธปญจกะ (ขันธ ๕) กข็ นั ธปญ จกะนนั้ เรียกวา โลกธรรม เพราะมีการแตกสลายเปน สภาพ. ดวยบทวา กินตฺ ิ กโรมิ ความวา พระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงวา เราตถาคตจะทําอยา งไร ? เพราะวา เราตถาคตมีหนา ทีอ่ ยูเฉพาะก็แตการบอกขอ ปฏบิ ัติ สว นการบําเพ็ญขอปฏบิ ัติเปน หนาทข่ี องกุลบตุ รทั้งหลาย. ดวยเหตผุ ลดังกลา วมานี้ (สรปุ ไดว า) พระผูมีพระภาคเจาตรัสโลกไว ๓ ในสตู รน้ี คอื ตรัสสัตวโลกไวใ นคํานว้ี า นาห ภกิ ฺขเวโลเกน (ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เราตถาคตไมกลา วขดั แยง กับโลก)ตรสั สงั ขารโลกไวในคําน้ีวา อตฺถิ ภกิ ฺขเว โลเก โลกธมฺโม (ดกู อนภิกษุทั้งหลาย มโี ลกธรรมอยูในโลก) (และตรัส) โอกาสโลกไวใ นคาํ น้ีวา ตถาคโต โลเก ขาโต โลเก ส วฑโฺ ฒ (พระตถาคตอบุ ัตแิ ลว ในโลกทรงเจรญิ เตบิ โตแลวในโลก). จบ อรรถกถาปุปผสูตรที่ ๒

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 316 ๓. เผณปณฑสูตรวา ดว ยขันธ ๕ เปรยี บดวยฟองนํ้าเปน ตน [๒๔๒] สมยั หนึง่ พระผูมพี ระภาคเจา ประทับทฝ่ี ง แมน ํ้าคงคาเมอื งอโยธยา. ณ ท่ีน้ันแล พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสเรียกภกิ ษุทงั้ หลายมาแลวตรัสวา ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย แมน้ําคงคานี้ พัดพาเอาฟองนา้ํกอนใหญม า บรุ ุษผมู ีตาดี จะพึงเพงพินิจพจิ ารณาดโู ดยแยบคายซึ่งฟองนํา้ จาํ นวนมากนน้ั เมือ่ เขาเพง พินจิ พิจารณาดูโดยแยบคายฟองนํ้านน้ั พงึ ปรากฏเปน ของวา ง เปน ของเปลา หาสาระมิไดเลยสาระในฟองน้าํ น้นั จะพึงมีไดอ ยางไร แมฉ ันใด. ดกู อนภิกษุทัง้ หลายรปู อยางใดอยา งหนึ่ง ท้ังท่เี ปน อดตี เปน อนาคต และปจจบุ ัน ฯลฯหรืออยทู ไ่ี กลที่ใกล กฉ็ ันนัน้ เหมอื นกนั ภกิ ษุเพงพนิ ิจพิจารณาดูรูปน้นัโดยแยบคาย เม่ือเธอเพงพนิ ิจพจิ ารณาดโู ดยแยบคาย รูปน้นั ก็จะปรากฏเปนของวา ง เปนของเปลา หาสาระมิไดเลย สาระในรปู จะพงึ มไี ดอยา งไร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย. [๒๔๓] ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย เมื่อฝนเมด็ ใหญต กอยูใ นสรทสมยัตอ มน้ําจะเกดิ ขนึ้ และดับไปในน้ํา บรุ ุษผูมตี าดี จะพงึ เพงพิจารณาดูตอ มนํา้ นั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเพง พจิ ารณาดูโดยแยบคาย ตอมน้าํ น้นัก็จะปรากฏเปน ของวาง เปน ของเปลา หาสาระมิไดเลย สาระในตอ มนํา้จะพึงมีไดอ ยางไร ภกิ ษทุ ั้งหลาย ฉนั ใด. ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย เวทนาอยางใดอยา งหนึ่ง ทง้ั ท่เี ปน อดีต อนาคต และปจจบุ ัน ฯลฯ หรอื อยูในที่ไกลทีใ่ กล กฉ็ ันนน้ั เหมือนกนั ภกิ ษุเพงพินิจพิจารณาดูเวทนานน้ัโดยแยบคาย เม่อื เธอเพงพินจิ พจิ ารณาดโู ดยแยบคาย เวทนานั้นจะปรากฏเปนของวา ง เปนของเปลา เปน ของหาสาระมไิ ดเ ลย สาระในเวทนา จะพึงมีไดอ ยา งไร ภิกษุทัง้ หลาย.

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 317 [๒๔๔] ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย เมอ่ื เดอื นสดุ ทา ยแหงฤดคู ิมหันตดํารงอยแู ลว ในเวลาเท่ียง พะยับแดดเตน ระยบิ ระยบั บุรษุ ผมู ตี าดี พึงเพงพินิจพจิ ารณาดพู ะยับแดดน้นั โดยแยบคาย เมอ่ื เขาเพงพนิ จิ พิจารณาดูโดยแยบคาย พะยบั แดดนั้นจะปรากฏเปนของวา งทีเดียว ฯลฯ ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย สาระในพะยบั แดด จะพึงมไี ดอยา งไร แมฉนั ใด.ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย สัญญาอยา งใดอยา งหนงึ่ ฯลฯ กฉ็ ันนนั้ เหมือนกนั แล. [๒๔๕] ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย บรุ ษุ ผูมคี วามตองการดวยแกน ไมเสาะหาแกน ไม เท่ียวแสวงหาแกนไม ถือเอาผึง่ ทีค่ มเขาไปปา เขามองเหน็ ตน กลว ยใหญ ลําตนตรง ยงั ใหม ยงั ไมเกดิ หยวกแขง็ ในปานัน้เขาพึงตัดตน กลวยน้นั ทีโ่ คน คร้ันตดั โคนแลว ก็ทอนปลาย ครั้นทอนปลายแลว ก็ลอกกาบออก เมื่อลอกกาบกลว ยนั้นออก แมแตก ระพ้ีเขากจ็ ะไมไ ดในตนกลว ยน้ัน จะไดแ กนมาแตไหน ? บุรษุ ผูมีตาดีคงเพงพนิ จิ พิจารณาดตู นกลวยนน้ั โดยแยบคาย เมอื่ เพง พนิ จิ พิจารณาดูโดยแยบคาย ตน กลวยก็จะปรากฏวา เปนของวาง เปน ของเปลาไมมีแกน เลย ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย แกน ในตนกลวยนนั้ จะมไี ดอยา งไรฉันใด. ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย สงั ขารเหลา ใดเหลา หน่ึง ทง้ั ทเี่ ปนอดีตท้ังท่ีเปนอนาคต ทั้งทเี่ ปนปจ จุบนั หรอื ที่มีอยใู นท่ีไกลหรือทีใ่ กลก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุ เพงพินิจพจิ ารณาดู สงั ขารนั้นโดยแยบคายเมื่อเธอเพงพินิจพจิ ารณาดูโดยแยบคาย สงั ขารน้นั จะปรากฏเปนของวา ง เปนของเปลา หาสาระมไิ ดเลย ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย สาระในสังขารทงั้ หลาย จะพึงมไี ดอยางไร ? [๒๔๖] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย นกั เลนกล หรอื ลูกมือของนกั เลนกลแสดงมายากลที่ส่แี ยก บรุ ษุ มีตาดี พงึ เพงพินจิ พจิ ารณาดมู ายากลนนั้

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 318โดยแยบคาย เมอื่ เขาเพงพินจิ พิจารณาดโู ดยแยบคาย มายากล กจ็ ะปรากฏเปนของวา ง เปน ของเปลา ไมจ ริงเลย ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลายความจรงิ (สาระ) ในมายากล จกั มีไดอยา งไร ฉันใด. ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย วิญญาณอยางใดอยา งหนงึ่ ทง้ั ทีเ่ ปนอดตี ท้ังที่เปนอนาคตทัง้ ท่ีเปนปจ จบุ ัน ฯลฯ หรืออยูในทีไ่ กลทใ่ี กล กฉ็ ันน้ัน เหมอื นกันแลภิกษุเพงพนิ จิ พจิ ารณาดวู ญิ ญาณนนั้ โดยแยบคาย เมอ่ื เธอเพงพนิ ิจพิจารณาดูโดยแยบคาย วิญญาณกจ็ ะปรากฏเปน ของวา ง เปนของเปลาหาสาระมิได ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย อรยิ สาวกผูสดับแลว เห็นอยอู ยางน้ีจะเบือ่ หนา ยในรูปบาง ในเวทนาบา ง ในสญั ญาบา ง ในสังขารทงั้ หลายบา ง ในวญิ ญาณบา ง เมอื่ เบื่อหนายยอมคลายกําหนดั เพราะคลายกาํ หนดัจิตยอ มหลุดพน เมอ่ื หลุดพน แลว ก็มีญาณวา เราหลุดพน แลว รูชดั วาฯลฯ กิจอืน่ เพือ่ ความเปนอยางน้มี ไิ ดมี. พระผูมีพระภาคเจา ผสู ุคตศาสดา ครั้นไดตรัสเวยยากรณพจนแลว จงึ ไดตรสั คาถาประพันธตอไปวา [๒๔๗ ] พระพทุ ธเจาผูเปนเผาพันธุแหงพระอาทติ ย ทรงแสดงรูป อปุ มาดวยฟองนา้ํ เวทนา อปุ มา ดว ยตอ มน้าํ สญั ญาอุปมาดวยพะยับแดด สังขาร อปุ มาดว ยตนกลวย และวิญญาณอุปมาดวย มายากล. ภกิ ษุเพงพนิ จิ พิจารณา (เบญจขันธ) อยู โดยแยบคาย ดว ยประการใด ๆ เบญจขนั ธยอม ปรากฏเปนของวาง เปน ของเปลา ดวยประการ น้นั ๆ แกเธอผเู ห็นอยโู ดยแยบคาย กก็ ารละ ธรรม ๓ อยา ง ทพี่ ระผูมพี ระภาคเจา ผทู รงมี

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 319 ปญญาเสมอแผนดิน ทรงปรารภกายนีแ้ ลว แสดงไว เธอทั้งหลาย จงดรู ปู ท่เี ขาท้งิ แลวเถดิ . อายุ ไออนุ และวิญญาณ ละกายนีไ้ ปเม่อื ใด เมอ่ื นนั้ กายน้จี ะถูกเขาทอดทิ้ง นอนอยู ไมมจี ิตใจ เปน เหยอ่ื ของสตั ว. การสบื เน่ืองกันน้ีเปน เชนน้ี นี้เปน มายากล ที่คนโงพราํ่ เพอ ถึง ขนั ธ เรา ตถาคตกลาววา เปน เพชฌฆาต ตนหน่ึง สาระใน เบญจขันธน ไี้ มม ี ภกิ ษุผปู รารภความเพยี รแลว มสี ติ สมั ปชัญญะ พงึ พจิ ารณาขนั ธท ้ังหลาย อยา งน้ี ท้ังกลางวนั ทงั้ กลางคืน. ภกิ ษุเม่อื ปรารถนา อจตุ บิ ท (นิพพาน) พึงละสงั โยชน ท้งั ปวง ทําท่ีพึ่งแกต น ประพฤติดุจบุคคลผูมี ไฟไหมศ รี ษะ ฉะนัน้ ดังนี้. จบ เผณปณ ฑสตู รท่ี ๓ อรรถกถาเผณปณ ฑสตู รที่ ๓ พึงทราบวนิ จิ ฉัย ในเผณปฌ ฑสตู รท่ี ๓ ดังตอ ไปน้ี :- บทวา คงฺคาย นทิยา ตีเร๑ ความวา พวกชาวเมอื งอโยธยาเห็นพระตถาคตมภี กิ ษจุ าํ นวนมากเปน บริวาร เสด็จเทย่ี วจารกิ มาถงึ๑. ปาฐะวา คงคฺ าย นทยิ า ตีเร ฉบบั พมาเปน คงฺคาย นทยิ า ตีเรติ แปลตามฉบบั พมา .

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 320เมอื งของตน จึงไดช วยกนั สรา งวัด ถวายพระศาสดาใน (ภูมิ) ประเทศท่เี ดยี รดาษไปดว ยไพรสณฑใหญ ตรงทีแ่ หง หน่ึง ซึง่ มีแมนาํ้ คงคาไหลวน.พระผมู พี ระภาคเจาประทบั อยใู นวิหารนนั้ พระสงั คตี กิ าจารย หมายเอาวหิ ารนนั้ จึงกลาววา คงคฺ าย นทยิ า ตีเร ดงั น.้ี บทวา ตตรฺ โข ภควา ภกิ ขฺ ู อามนฺเตสิ ความวา พระผมู -ีพระภาคเจาประทับอยใู นวหิ ารนนั้ เวลาเย็นเสด็จออกจากพระคนั ธกฏุ ีไปประทบั น่ังบนบวรพทุ ธอาสนท่ีชาวเมืองจดั ถวายไว ณ รมิ ฝงแมน า้ํ คงคา ทอดพระเนตรเหน็ ฟองนา้ํ ใหญล อยมาในแมน้าํ คงคาจึงทรงดําริวา เราจักกลาวธรรมขอ หนึ่งทเ่ี กี่ยวเน่ืองกบั เบญจขนั ธในศาสนาของเราดังน้ี แลว ไดตรสั เรียกภกิ ษทุ ัง้ หลายผนู ั่งแวดลอมอย๑ู . บทวา มหนตฺ  เผณปณฑฺ  ความวา ฟองนาํ้ เรมิ่ ตั้งแตมีขนาดเทา ผลพุทราและลอรถในคราวแรกกอ ตวั ๆ แลว เมอ่ื ถกู กระแสนํ้าพดั พาไปกก็ อตวั ใหญข้ึนตามลําดบั จนมขี นาดเทายอดภูเขา ซึง่ สตั วเปนจาํ นวนมากมงี ูนํ้าเปนตน อาศยั อยู ไดแก ฟองนา้ํ ท่ใี หญถึงปานนี้. บทวา อาวเหยฺย แปลวา พึงนํามา. ก็ฟองนา้ํ นี้น้ัน ยอ มสลายตัวไปตรงทีท่ กี่ อตวั บา ง ลอยไปไดหนอยหนง่ึ จงึ สลายตวั บา ง ลอยไปไดไ กลเปน โยชนหน่งึ สองโยชนเปน ตนแลวจึงสลายตัวบาง แตถ ึงแมจะไมส ลายตวั ในระหวางทางถงึ ทะเลหลวงแลวก็ยอ มสลายตวั เปน แนแ ทท ีเดยี ว. บทวา นชิ ฺฌาเยยฺย แปลวา พงึ จองดู. บทวา โยนิโส อุปปรกิ เฺ ขยยฺ แปลวา พงึ ตรวจดตู ามเหต.ุ๑. ปาฐะวา ปวาเรตุวา ฉบับพมาเปน ปริวาเรตวุ า แปลตามฉบับพมา .

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 321 บทวา กิหฺ ิ สิยา ภิกฺขเว เผณปณ เฺ ฑ สาโร ความวา ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ชอ่ื วา ในฟองน้ําจะพึงมสี าระไดอยางไร ? ฟองนํ้าจะพึงยอ ยยับสลายตัวไปถา ยเดยี ว. รูป บทวา เอวเมว โข ความวา ฟองนํ้าไมมสี าระ (แกน ) ฉันใดแมรปู กไ็ มม ีสาระฉนั น้ันเหมือนกัน เพราะเวน จากสาระคอื เท่ยี ง สาระคอื ยง่ั ยนื และสาระคอื อัตตา. เปรียบเหมอื นวา ฟองนาํ้ นัน้ ใคร ๆ ไมสามารถจะจบั เอาดว ยความประสงคว า เราจกั เอาฟองนา้ํ นท้ี ําภาชนะหรอื ถาด แมจ ับแลวกไ็ มใหส าํ เร็จประโยชนน ัน้ ได ยอ มสลายตวั ทันทีฉันใด แมรูปกฉ็ ันนั้นใคร ๆ ไมสามารถยึดถอื ไดวา เราหรอื ของเรา แมย ึดถือแลว กค็ งอยูอยางนัน้ ไมได ยอ มเปน เชนกบั ฟองนํา้ อยา งนี้ทีเดียว คอื ไมเทีย่ งเปนทุกข เปนอนัตตา ไมส วยงามเอาเลย. อกี อยา งหนึง่ เปรียบเหมือนวา ฟองนาํ้ มีชอ งเลก็ ชองนอยพรนุ ไปเชื่อมตอดว ยท่ตี อหลายแหง เปน ท่ีอยูอาศัยของสัตวจ ํานวนมากมงี นู ้าํเปนตน ฉนั ใด แมร ูปก็ฉนั น้นั มีชองเลก็ ชอ งนอ ย พรุนไป เชอ่ื มตอ ดวยท่ีตอ หลายแหง ในรูปนห้ี มูหนอน ๘๐ เหลา อาศัยอยูกันเปน ตระกลูทีเดียว รูปนัน้ นน่ั แล เปน ทงั้ เรือนเกดิ เปนทงั้ สวม เปน ทง้ั โรงพยาบาลเปนท้ังปา ชา ของหมูห นอนเหลา นนั้ หมูห นอนเหลา นน้ั ยอมไมไ ปทํากิจทง้ั หลายมคี ลอดลูกเปน ตน ในท่อี ืน่ รปู เปน เหมือนฟองน้ําดว ยอาการอยางนบี้ าง. อนึ่ง เปรยี บเหมอื นวา ฟองนา้ํ แตแ รกก็มีขนาดเทา ผลพทุ รา

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 322และลอรถ (ตอมาไดกอ ตัวใหญข้นึ ) จนมีขนาดเทา ยอดภูเขาตามลาํ ดับฉนั ใด แมรูปกฉ็ ันนนั้ เบ้อื งแรกมีขนาดเทา กลละ (ตอ มาไดก อ ตัวใหญข นึ้ )ตามลาํ ดับ จนมขี นาดวาหน่งึ บาง มขี นาดเทา ยอดเขาเปน ตน ดวยอาํ นาจแหง กระบือ และชา งเปนตน บา ง มีขนาด ๑๐๐ โยชน ดวยอาํ นาจแหงปลาและเตาเปน ตน บาง. รูปเปนเหมือนฟองนาํ้ ดวยอาการอยางนีบ้ า ง. อนงึ่ เปรียบเหมือนวาฟองนํ้าพอกอ ตวั ขึ้นแลว ก็สลายตัวบางลอยไปไดหนอยหน่ึงก็สลายตวั บา ง ลอยไปไดไกลสลายตัวบาง แตพ อถึงทะเลแลวก็สลายตวั แนแ ททีเดียว ฉันใด แมร ูปกฉ็ ันนั้นเหมอื นกนัสลายตวั เมือ่ คราวเปนกลละบา ง เมอ่ื คราวเปน อัมพุทะเปนตนบา งแตแมจ ะไมสลายตัวลงกลางคันมีอายุอยูตอ ไปไดถ ึง ๑๐๐ ป ครั้นถงึ๑๐๐ ป ก็สลายตัวแนแททเี ดยี ว รปู อยูในวถิ ที างของมรณะร่ําไปรูปเปน เหมอื นฟองน้าํ ดว ยอาการอยางนี้บา ง. เวทนา แมใ นบทวา กิ หฺ ิ สยิ า ภิกขฺ เว เวทนาย สาโร เปน ตน พึงทราบวินิจฉยั ดงั ตอ ไปน้ี :- พงึ ทราบวา เวทนาเปน ตน เหมือนกับตอมนํา้ เปนตน อยางนค้ี อืเหมือนอยา งวา ตอ มนาํ้ ไมม สี าระฉนั ใด ถึงเวทนาก็ไมมสี าระแมฉันนน้ั . เหมือนอยา งวา ตอมนา้ํ นั้นไมม ีกาํ ลงั จบั ควาไมได ใคร ๆไมส ามารถจะจับควา ตอ มนา้ํ นนั้ มาทําแผนกระดานหรือทีน่ งั่ ไดตอ มนํ้าท่ีจับควาแลว กส็ ลายตวั ทนั ทฉี ันใด แมเวทนากฉ็ นั นั้นไมม กี ําลงัจบั ควาไมได ใคร ๆ ไมส ามารถจะจับควาไวด ว ยสาํ คัญวา เทย่ี งหรือย่งั ยนื แมจ ับควาไดแลว กค็ งอยูอยางน้ันไมได เวทนาช่อื วาเปนเหมอื น

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 323ฟองนํ้าเพราะจับควาไวไ มไดอยางนบี้ า ง. อน่งึ เปรียบเหมือนวา ตอมนํา้ ยอมเกิดและสลายตัวในเพราะหยดนา้ํ นัน้ ๆ อยไู ดไมน าน ฉนั ใด แมเ วทนาก็ฉนั นน้ั ยอมเกดิ และสลายตัวไป อยูไดไ มนาน ในขณะช่ัวลัดนว้ิ มอื เดียว เกิดแลวตบั ไปนับไดแสนโกฏคิ รัง้ . อนงึ่ เปรยี บเหมอื นวา ฟองน้าํ เกดิ ขึ้นไดเพราะอาศัยเหตุ ๔อยาง คือ พื้นน้ํา หยดนํา้ ระลอกน้าํ และลมท่ีพดั มาใหรวมตวั กันเปนกลุมกอน ฉนั ใด แมเ วทนาก็ฉนั นนั้ เกิดขนึ้ ได เพราะอาศยั เหตุ ๔ อยา งคือ วัตถุ อารมณ ระลอกกเิ ลส และการกระทบกันดว ยอาํ นาจผัสสะเวทนาเปนเหมือนตอ มนาํ้ ดว ยอาการอยา งน้บี าง. สญั ญา แมส ญั ญาก็ชอื่ วา เปน เหมือนพยับแดดเพราะอรรถวา ไมม ีสาระ๑อนง่ึ ชื่อวาเปน เหมอื นพยับแดดเพราะอรรถวา อันใคร ๆ จบั ควาไมไ ดเพราะใคร ๆ ไมส ามารถจะจบั ควา เอาพยบั แดดนน้ั มาดื่ม อาบ หรอืบรรจใุ หเตม็ ภาชนะได. อีกอยา งหน่ึง เปรียบเหมอื นวา พยับแดดยอมเตนยิบยับปรากฏเหมอื นมีลูกคล่ืนเกิดฉันใด แมสญั ญาแยกประเภทเปนนลี สญั ญาเปน ตนก็ฉนั น้นั ยอมไหวตวั คือเตน ยิบยบั เพอื่ ประโยชนแกการเสวยอารมณ มีรปู สเี ขยี วเปนตน.๑. ปาฐะวา อสานาฏเน ฉบับพมาเปน อสารกฏเน แปลตามฉบับพมา

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 324 อนง่ึ เปรยี บเหมือนวา พยบั แดดยอมหลอกลอ คนจํานวนมากใหห ลง ใหพ ดู วา ปรากฏเหมอื นแมน ้าํ มนี ้ําเตม็ ฉนั ใด แมสญั ญากฉ็ ันน้นัยอมหลอกลอคนจํานวนมากใหหลงใหพ ูดวา รูปนสี้ เี ขียวสวยงามเปน สขุ เทีย่ ง. แมใ นรปู สเี หลอื งเปน ตน ก็มนี ัย (ความหมายอยา งเดียวกนั )น้แี ล. สัญญาช่อื วาเหมือนกับพยบั แดด เพราะทาํ ใหหลงอยา งน้ีบาง. สงั ขาร บทวา อกุกฺกชุ กชาต ไดแ ก ไมม แี กน เกดิ อยใู นภายใน.แมสังขารท้ังหลายก็ชือ่ วา เปน เหมอื นตนกลว ย เพราะอรรถวา ไมม ีสาระ (แกน) อนึง่ ช่อื วา เปนเหมอื นตนกลวย เพราะอรรถวาจับควา ไมได. เปรยี บเหมอื นวา ใคร ๆ ไมสามารถจะจับควาอะไร ๆ จากตน กลว ยแลว นําเขา ไปใชประโยชนเ ปน กลอนเรอื นเปนตน แมน ําเขาไปใชป ระโยชนแลว กจ็ ะไมเปนอยา งนัน้ (ไมเปนไปตามประสงค) ฉนั ใดแมสังขารทั้งหลายกฉ็ ันน้นั ใคร ๆ ไมสามารถจะยึดถือวาเที่ยงเปน ตน ไดแมย ดึ ถอื แลวกไ็ มเ ปนอยา งน้นั . อน่ึง เปรียบเหมือนวา ตนกลวยเปนทีร่ วมของกาบจาํ นวนมากฉันใด สงั ขารทั้งหลายแมฉ นั นัน้ เปน ทร่ี วมของธรรมมาก. อนง่ึ เปรยี บเหมือนวา ตน กลวยมีลกั ษณะตา ง ๆ กนั คือกาบภายนอกสเี ปนอยางหนง่ึ กาบใน ๆ ถัดจากกาบนนั้ เขา ไปกม็ ีสีเปนอีกอยา งหนง่ึ ฉันใด แมใ นสังขารขนั ธก ฉ็ นั นนั้ เหมือนกนัผัสสะมีลักษณะเปน อยา งหน่ึง (เจตนาเปนตน ก็มลี กั ษณะเปนอกี

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 325อยา งหนึง่ ) แตค ร้นั รวมเจตนาเปน ตน เขาแลว จงึ เรียกวา สงั ขารขนั ธอยา งเดยี ว เพราะฉะนน้ั สงั ขารขันธเปนเหมอื นตน กลวยอยา งนบี้ าง บทวา จกขฺ ุมา ปุริโส ความวา มีจักษุดี ดว ยจักษุทงั้ สองคอืมังสจกั ษุ และ ปญ ญาจกั ษุ. อธิบายวา แมม ังสจกั ษุของบุรษุ นั้นก็บริสทุ ธ์ิปราศจากตอตอมก็ใชไ ด แมปญญาจกั ษุ ก็สามารถมองเห็นวาไมม ีสาระกใ็ ชได. วิญญาณ แมวญิ ญาณก็ชือ่ วา เปรยี บเหมือน มายา เพราะหมายความวาไมม สี าระ อน่ึง ชื่อวาเปรียบเหมอื นมายา เพราะหมายความวาจบั ควาไมไ ด. เปรยี บเหมือนวา มายา ปรากฏเร็ว ช่ัวเวลาเล็กนอย๑ ฉันใดวิญญาณกฉ็ ันนั้น เพราะวาวญิ ญาณนน้ั เปน ของมีชว่ั เวลานอ ยกวา และปรากฏเรว็ กวามายานนั้ ก็คนจงึ เปน เหมือนเดินมา เปนเหมอื นยนื อยู(และ) เปน เหมอื นนง่ั ดวยจติ ดวง (เดยี วกัน) นัน้ น่ันแล. แตว า ในเวลาไป จิตเปน ดวงหนง่ึ ในเวลามาเปนตน จิตเปน อีกดวงหนึง่ วิญญาณเปน เหมอื นมายาอยา งนีบ้ า ง. อนึ่ง มายายอมลอลว งมหาชน ใหม หาชนยึดถือ อะไร ๆ ตา ง ๆวา นี้ ทองคาํ นเี้ งิน น้แี กว มุกดา แมว ิญญาณก็ลอลวงมหาชน ใหมหาชนยดึ ถือวา เปนเหมอื นเดินมา เปนเหมือนยืนอยู (และ) เปนเหมอื นนัง่ อยูดวย จิต (ดวงเดียวกนั ) นั้น นั่นแล ในเวลามา จติ กเ็ ปนดวงหนึง่๑. ปาฐะวา อติ รา ฉบบั พมา เปน อติ ตฺ รา แปลตามฉบับพมา .

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 326ในเวลาไปเปน ตน จิตก็เปน อกี ดวงหนงึ่ วิญญาณเปน เหมือนมายาอยางน้ีบาง. แกค าถาสรปู บทวา ภรู ิปฺเน ความวา มปี ญ ญาละเอียด และมปี ญ ญากวา งขวาง ไพบูลย. บทวา อายุ ไดแ ก ชวี ติ นิ ทรยี . บทวา อสุ มฺ าไดแ ก เตโชธาตเุ กิดจากกรรม. บทวา ปรภตตฺ  ไดแก เปนเหยอื่ของหมูหนอนเปน ตน ชนิดตาง ๆ. บทวา เอตาทิสาย สนฺตาโน ความวาประเพณีของผูตายนี้เปนเชน นี้ จะสืบตอ กนั ไป จนกวาจะถึงปา ชา .บทวา มายาย พาลลาปนี ความวา ขันธนีน้ ้นั ชอ่ื วา วิญญาณขันธนี้ชือ่ วา เปนมายาที่มหาชนผโู งเขลา พราํ่ เพอถงึ . บทวา วธโก ความวาเพชฌฆาต กลา วคอื ขันธน ้ี เปนไดด วยเหตุ ๒ ประการ คือ ดวยการฆา กนั เอง ๑ โดยพระบาลีวา ๑ เม่อื ขนั ธมอี ยู ผูฆา ก็ปรากฏดังน้ี ๑. อธิบายวา ปฐวธี าตอุ ยา งเดยี ว๒ เมอื่ แตกสลายกพ็ าเอาธาตุที่เหลือแตกสลายไปดว ย ธาตทุ ง้ั หลายมอี าโปธาตุเปน ตน กเ็ หมือนกัน. สว นรูปขันธ เมอ่ื แตกสลาย ก็พาเอาอรูปขนั ธแตกสลายไปดว ยในอรูปขนั ธก็เหมอื นกนั คอื เวทนาเปนตน (เมอื่ แตกสลาย) กพ็ าเอาสญั ญาเปน ตน (แตกสลายไปดว ย).๑. ปาฐะวา ปฺ ายตปิ  ฉบบั พมา เปน ปฺายตตี ิป แปลตามฉบบั พมา .๒.ปาฐะวา เอตาหิ ฉบบั พมา เปน เอกาหิ แปลตามฉบบั พมา

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 327 ก็ในที่นพ้ี ึงทราบวา เบญจขันธเปน ตวั สงั หารกนั และกนั อยา งนี้คอื อรูปขันธท ้งั ๔ กบั รปู ซึง่ เปน ทีอ่ าศัยของอรูปขันธ ทัง้ ๔ นนั่(ตางก็สงั หารกนั แลกนั ). อนง่ึ เมือ่ ขนั ธทัง้ หลายมีอยู การฆา การจองจาํ และการตดั(มอื เทา ) เปน ตน จึงมี พึงทราบวา เบญจขนั ธเ ปน ผฆู า เพราะเม่ือขันธเหลา นม้ี ี การฆา จึงมอี ยางนี้บา ง. บทวา สพฺพส โยค ไดแก สังโยชนทั้งหมด ๑๐ อยาง. บทวา อจจฺ ตุ  ปท หมายถึง นิพพาน. จบ อรรถกถาเผณปณฑสูตรท่ี ๒ ๔. โคมยปณฑสูตรวา ดว ยความไมเทย่ี งแทแนน อนแหงขนั ธ ๕ [๒๔๘] กรงุ สาวตั ถี. คร้ังนน้ั แล ภกิ ษุรปู หน่งึ เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา ฯลฯ. ภิกษรุ ูปนนั้ ครั้นนง่ั ณ ท่ีควรสว นขางหนึง่ไดกราบทลู พระผมู พี ระภาคเจาดังตอ ไปน้ี ขา แตพระองคผ เู จรญิมอี ยหู รอื ไม รูปบางอยา ง ทเ่ี ที่ยง ยั่งยืน สืบตอ กนั ไป ไมม ีความแปรปรวนเปน ธรรมดา จกั ดาํ รงคงท่ีอยูอยางนั้นเอง เสมอดวยสง่ิ ท่ีย่งั ยนื ทั้งหลาย ขาแตพ ระองคผ ูเจริญ จะมีหรือไม เวทนาบางอยา งที่เปน ของเทย่ี ง ยั่งยนื สืบตอ กนั ไป ไมมีความแปรปรวนเปนธรรมดาจักดาํ รงคงท่อี ยอู ยา งน้นั เอง เสมอดวยส่ิงที่ยง่ั ยนื ทงั้ หลาย ขา แตพ ระองคผูเจริญ จะมหี รอื ไม สญั ญาบางอยา ง ทีเ่ ปนของเท่ียง... ขา แตพ ระองคผเู จรญิ จะมหี รือไม สงั ขารบางอยาง ทีเ่ ปนของเทีย่ ง ยั่งยนื สืบตอกนั ไป

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 328มีความไมแปรปรวนเปน ธรรมดา จักดํารงคงทอ่ี ยูอยา งนน้ั เองเสมอดวยสิ่งทยี่ ่งั ยนื ทัง้ หลาย ขา แตพ ระองคผเู จรญิ จะมหี รอื ไมวิญญาณบางอยาง ท่เี ปนของเทยี่ ง ยัง่ ยืน สบื ตอกนั ไป มคี วามไมแปรปรวนเปน ธรรมดา จกั ดํารงคงอยูอ ยางนนั้ เอง เสมอดว ยสงิ่ ท่ียง่ั ยืนทั้งหลาย. พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุ ไมม ีเลย รูปบางอยา งท่ีเปน ของเท่ียง ย่งั ยืน สบื ตอ กันไป ไมมีความแปรปรวนเปน ธรรมดาจกั ดํารงคงที่อยอู ยางน้ันเอง เสมอดว ยสง่ิ ทีย่ ่งั ยืนท้งั หลาย. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ไมมีเวทนาอะไรบางอยาง... สัญญาบางอยา ง...สังขารบางอยาง... วิญญาณบางอยา ง ทเี่ ปนของเที่ยง ยง่ั ยนื สืบตอ กันไปไมมีความแปรปรวนเปนธรรมดา จักดํารงคงที่อยูอยางนัน้ เอง เสมอดว ยส่งิ ท่ียั่งยืนท้ังหลาย. [๒๔๙] ครง้ั น้ันแล พระผูมีพระภาคเจา ทรงหยิบกอ นโคมยั เล็ก ๆข้นึ มาแลว ไดต รสั กะภกิ ษุนนั้ ดงั ตอ ไปน้วี า. ดูกอ นภกิ ษุ ไมมอี ตั ภาพทไ่ี ดแลว แมป ระมาณเทาน้ีเลย ทเี่ ปนของเที่ยง ยง่ั ยนื สบื ตอกันไป ไมมีความแปรปรวนเปนธรรมดาจักดาํ รงคงทอ่ี ยอู ยา งน้ันเอง เสมอดว ยสง่ิ ทีย่ ่งั ยนื ทงั้ หลาย ดูกอนภิกษุแมผ วิ า จักไดมีอตั ภาพทไี่ ดม าประมาณเทานี้ ทเ่ี ปนของเที่ยง ย่ังยืนติดตอ กนั ไป ไมม คี วามแปรปรวนเปนธรรมดาแลว ไซร การอยูประพฤตพิ รหมจรรยน ี้ เพอ่ื ความสิ้นไปแหง ทุกขโ ดยชอบ ก็จะไมป รากฏ.ดกู อนภกิ ษุ เพราะเหตทุ ่ีไมมเี ลย อตั ภาพท่ไี ดม าแลวประมาณเทาน้ีทีจ่ ะเปน ของเทีย่ ง เปนของยั่งยนื ติดตอ กันไป มีความไมแ ปรปรวนเปนธรรมดา ฉะนั้นการอยูป ระพฤตพิ รหมจรรย เพอ่ื ความสิ้นไปแหง ทุกขโดยชอบ จงึ ปรากฏ.

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 329 [๒๕๐] ดกู อนภกิ ษุ เรือ่ งเคยมีมาแลว เราตถาคตไดเปนขตั ตยิ ราช ไดรบั มรุ ธาภเิ ษกแลว . ดกู อนภกิ ษุ เราตถาคตผูเปนขตั ติยราชไดรับมรุ ธาภเิ ษกแลว ไดมพี ระนคร ๘๔,๐๐๐ พระนคร มีกสุ าวดรี าชธานีเปนนครเอก. มปี ราสาท ๘๔,๐๐๐ หลัง มีธรรมปราสาท เปน ปราสาทเอก. มพี ระตาํ หนัก ๘๔,๐๐๐ หลัง มพี ระตาํ หนักมหาพยหุ ะ เปนพระตําหนกั เอก. มีพระราชบลั ลงั ก ๘๔,๐๐๐ บลั ลงั ก ทาํ ดวยงาสลับดวยแกน จันทนแดง ประดบั ดว ยทองและเงนิ ลาดดว ยผา โกเชาวมขี นยาวเกนิ ๔ องคลุ ี ลาดดวยผา กมั พลขาว ทาํ ดวยขนแกะ มขี นทง้ั๒ ดาน ลาดดว ยเครอ่ื งลาด ทําดวยขนแกะมีดอกทึบ มเี ครื่องลาดอยางดีทาํ ดวยหนังชะมด มเี พดานสแี ดง มหี มอนสแี ดงทัง้ สองดาน (ดา นศีรษะและดา นเทา ) มีชา งตน ๘๔,๐๐๐ เชอื ก มีคชาภรณท าํ ดว ยทองมธี งทอง คลุมศีรษะดวยขายทอง มีพญาชา งอุโบสถเปนชางทรง.มีมาตน ๘๔,๐๐๐ ตวั มเี ครอ่ื งประดบั ทาํ ดวยทอง คลุม (หลัง) ดวยขา ยทอง มีวลาหกอศั วราชเปน มา ทรง. มรี ถทรง ๘๔,๐๐๐ คนั มีเคร่อื งประดบั ทาํ ดวยทอง มธี งทาํ ดวยทอง ปกปดดวยขายทองมีเวชยนั ตราชรถ เปนรถทรง. มีรตั นะ ๘๔,๐๐๐ ดวง มแี กวมณเี ปนดวงเอก. มีพระสนมนารี ๘๔,๐๐๐ นาง มีพระนางภัททาเทวีเปนพระสนมเอก. มกี ษตั ริย ๘๔,๐๐๐ องค ตามเสดจ็ มปี รณิ ายกแกวเปน ประมขุ . มแี มโ คนม ๘๔,๐๐๐ ตัว มีผาทุกูลพัสตรเ ปน ผา คลมุ หลังมภี าชนะสาํ รดิ ทาํ ดวยเงนิ สําหรบั รองรดี นม. มผี า ๘๔,๐๐๐ โกฏิเปน ผาเปลอื กไมเ น้ือละเอยี ด เปนผาไหมเนอ้ื ละเอียด เปนผากมั พลเนอ้ื ละเอยี ด เปนผา ฝายเน้อื ละเอียด มสี พุ รรณภาชน ๘๔,๐๐๐ ที่ ซ่ึงเจา หนา ท่หี อ งเครือ่ ง นําเขาไปเทียบ เชา เย็น. [๒๕๑] ดูกอ นภกิ ษุ กบ็ รรดาพระนคร ๘๔,๐๐๐ นครเหลาน้นั

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 330นครที่เราครอง มนี ครเดียวเทานน้ั คือกุสาวดรี าชธานี. บรรดาปราสาท๘๔,๐๐๐ หลงั เหลาน้ัน ปราสาทท่เี ราครอบครองสมัยนน้ั มหี ลงั เดียวเทา นน้ั คอื ธรรมปราสาท. บรรดาพระตําหนัก ๘๔,๐๐๐ ตาํ หนักเหลานัน้ แล ตาํ หนักท่ีเราครอบครองสมยั นัน้ มีหลังเดียวเทา นัน้ คอืพระตาํ หนักมหาพยหู ะ. บรรดาพระราชบลั ลงั ก ๘๔,๐๐๐ บัลลังกเหลานนั้ แล บลั ลังกทเี่ ราน่งั สมยั นั้น คอื บัลลังกง า หรือบัลลังกไ มแกนจนั ทน หรอื บลั ลังกทอง หรอื บัลลังกเงนิ . บรรดาชางตน ๘๔,๐๐๐เชือกเหลาน้ัน ชางทเี่ ราทรงสมยั นัน้ มเี ชอื กเดยี วเทานั้น คอื พระคชาธารชอ่ื อโุ บสถ. บรรดามา ตน ๘๔,๐๐๐ ตวั เหลา น้นั แล มา ทเ่ี ราทรงสมยั นน้ัมตี วั เดียวเทา นั้น คอื วลาหกอัศวราช. บรรดาราชรถ ๘๔,๐๐๐ คันเหลานนั้ แล รถทีเ่ ราท้ังสมัยน้ัน มีคันเดียวเทา นัน้ คือ เวชยันตราชรถ.บรรดาสนมนารี ๘๔,๐๐๐ นางเหลา นั้นแล สนมนารที ่เี รายกยองสมยั นัน้มีคนเดยี วเทา น้นั คอื นางกษตั รยิ  หรือหญิงทมี่ กี าํ เนดิ จากกษัตริยแ ละพราหมณ. บรรดาพระภูษา ๘๔,๐๐๐ โกฏคิ ู เหลาน้นั แล คูพระภษู าที่เราใชส มยั นน้ั มีคูเดียวเทา น้นั คือ พระภูษาเปลอื กไมเนื้อละเอยี ดพระภษู าไหมเนือ้ ละเอยี ด พระภูษากมั พลเนื้อละเอียด หรอื พระภูษาฝา ยเนือ้ ละเอียด. บรรดาพระสุพรรณภาชน ๘๔,๐๐๐ สํารับเหลาน้ันแล พระสพุ รรณภาชนสํารับเดียวเทานน้ั ทเี่ ราเสวย จุขา วสุกทะนานหนง่ึ เปนอยางมาก และกบั แกงพอเหมาะแกขา วสุกน้นั .ดูกอ นภิกษุ สังขารทง้ั ปวงเหลาน้ัน ทีเ่ ปน อดีตก็ดบั ไปแลว แปรปรวนไปแลว ดวยประการดงั นี้แล สงั ขารทั้งปวงไมเ ที่ยงอยางนี้ สังขารทงั้ ปวงไมย ั่งยืน ไมเ ชื่อฟง อยางนีแ้ ล. ดูกอ นภกิ ษุ ก็ความไมเ ท่ยี งน้ี พอเพียงแลว เพอ่ื จะเบ่ือหนา ย เพอื่ จะคลายกาํ หนดั เพ่ือจะหลุดพน ในสังขารทั้งปวง. จบ โคมยปณ ฑสูตรที่ ๔

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 331 อรรถกถาโคมยปณ ฑสตู รที่ ๔ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในโคมยปณฑสูตรที่ ๔ ดังตอไปนี้ :- บทวา สสสฺ ตสิ ม ไดแก เสมอดวยสง่ิ ท่ียง่ั ยนื ท้ังหลายมภี ูเขาสเิ นรุ แผนดนิ ใหญ พระจันทรและพระอาทิตย เปนตน. บทวา ปริตตฺ  โคมยปณ ฺฑ ไดแก กอนโคมยั (มูลโค)มีประมาณนอ ยขนาดเทา ดอกมะซาง. ถามวา กก็ อนโคมัยนี้ พระผูมีพระภาคเจาไดม าจากไหน ? ตอบวา พระองคท รงหยบิ มาจากกอนโคมยั ที่ภกิ ษรุ ูปนนั้ นํามาเพ่อื ตอ งการใชฉาบทา (เสนาสนะ). อาจารยบางพวกกลาววา ก็พึงทราบวา กอ นโคมัย พระผมู ี-พระภาคเจา ทรงใชฤ ทธบิ์ ันดาลใหมาอยใู นพระหตั ถ กเ็ พ่ือใหภกิ ษไุ ดเขา ใจความหมาย (ของพระธรรมเทศนา) ไดแ จม แจง. บทวา อตฺตภาวปฏลิ าโภ ไดแ ก ไดอตั ภาพ. บทวา นยทิ พรฺ หมฺ จริยวาโส ปฺ าเยถ ความวา ช่อื วา การอยปู ระพฤติมรรคพรหมจรรยนีไ้ มพงึ ปรากฏ เพราะวามรรคเกิดขนึ้ ทาํ สงั ขารท่เี ปนไปในภูมิ ๓ ใหชะงกั ก็ถา วา อัตภาพเพียงเทานี้ จะพงึ เที่ยงไซรมรรคแมเกดิ ขึน้ ก็จะไมส ามารถทาํ สังขารวฏั ใหชะงกั ได เพราะเหตุนัน้การอยูประพฤตพิ รหมจรรยจ ะไมพึงปรากฏ. บัดน้ี เพอ่ื จะทรงแสดงวา ถาสงั ขารอะไรจะพึงเท่ยี งไซร สมบัติที่เราเคยครอบครอง เมือ่ ครงั้ เปน พระเจามหาสุทสั สนะ กจ็ ะพึงเที่ยงดวย แตสมบัติแมน้ันก็ไมเ ทย่ี ง พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสคาํ วาภูตปพุ ฺพาห ภิกขฺ ุ ราชา อโหสึ เปนตน.

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 332 บรรดาบทเหลานน้ั บทวา กุสาวตรี าชธานิปฺปมขุ านิ ความวากุสาวดีราชธานี เปน ใหญกวานครเหลานนั้ อธบิ ายวา ประเสรฐิ สุดกวานคร (อนื่ ) ทัง้ หมด. บทวา สารมยานิ คือ สาํ เรจ็ ดวยแกนไมจันทนแ ดง. ก็พระเขนย๑ สําหรบั บลั ลงั กเหลานั้นลวนทําจากดายทัง้ สิน้ . บทวาโคนกตถฺ ตานิ ความวา บลั ลังกท ง้ั หลายปลู าดดว ยผา ขนแกะสีดาํซึง่ มขี นยาวเกนิ ๔ น้ิว ที่คนท้ังหลายเรียกกันวา ผาขนแกะมหาปฏ ฐิยะ.บทวา ปฏิกตฺถตานิ ความวา บลั ลงั กท้ังหลายปลู าดดว ยผา กมั พลสขี าวท่ที าํจากขนสตั ว ซึ่งมีขนทั้ง ๒ ดา น. บทวา ปฏลกิ ตถฺ ตานิ ความวาบัลลงั กท ัง้ หลายปลู าดดว ยเครือ่ งปูลาดขนสัตวม ดี อกหนา. บทวากทลิมคิ ปวรปจฺจตถฺ รณานิ ความวา บัลลังกท ้ังหลายปลู าดดวยพระบรรจถรณช น้ั ยอด ทาํ จากหนงั ชะมด. เลากนั วา เคร่อื งลาดชนิดนั้น คนทง้ั หลายเอาหนังชะมด ลาดทบั บนผา ขาว แลว เยบ็ ทํา. บทวา สอตุ ฺตรจฉฺ ทนานิ ความวา บัลลังกทง้ั หลาย พรอ มทัง้(ติด) หลังคาเบ้อื งบน อธิบายวา พรอมทั้งเพดานสแี ดงที่ติดไวเ บื้องบน. บทวา อภุ โตโลหติ กูปธานานิ ความวา พระเขนยสีแดงที่วางไวสองขา งของบัลลงั ก คือ พระเขนยหนุนพระเศยี ร๒ และพระเขนยหนุนพระบาท. ในบทวา เวชยนฺตรถปปฺ มขุ านิ นม้ี ีอธบิ ายวา รถของพระราชานั้นชอื่ วา เวชยันตะ มดี มุ ลอ ทําดวยแกวอนิ ทนิลและแกวมณี มกี าํ (ซ่ลื อ )ทําดว ยแกว ๗ ประการ มกี งทาํ ดว ยแกวประพาฬ มเี พลาทําดวยเงิน๑. ปาฐะวา ทาม ฉบบั พมา เปน อปุ ธาน แปลตามฉบบั พมา๒. ปาฐะวา สีสูปขานฺจ ฉบบั พมาเปน สีสปู ธานฺจ แปลตามฉบบั พมา

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 333มีงอนทําดวยแกวอินทนลิ และแกวมณี มีทบู ทาํ ดว ยเงิน รถนั้นจดั เปนรถทรง คือเปนเลศิ แหง รถเหลา นั้น. บทวา ทุกูลสนทฺ นานิ ไดแ ก มผี า ทุกูลพสั ตรเปน ผา คลมุ หลัง.* บทวา ก สปู ธานานิ ไดแ ก ภาชนะสําหรับรีดนม ทําดวยเงนิ .** บทวา วตถฺ โกฏิสหสสฺ านิ น้ี พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสหมายถงึพระภษู าทีร่ าชบุรษุ นาํ ไป ในเวลาประทบั ยนื สรงสนานดว ยคดิ วาพระองคจ ักทรงใชพ ระภษู านนั้ ตามพระราชประสงค. บทวา ภตฺตาภิหาโร ไดแ ก พระกระยาหารท่พี งึ นาํ เขาไปเทยี บ. บทวา ยมห เตน สมเยน อชฺฌาวสามิ ความวา เราอยใู นนครใด นครนั้นกเ็ ปน นครแหงหนึ่งน่นั แล (ในบรรดานคร ๘๔,๐๐๐ นคร)(สว น) ประยูรญาตทิ เ่ี หลอื มพี ระราชโอรสและพระราชธดิ าเปนตนและคนที่เปนทาส กอ็ าศยั อยูดว ย. แมใ นปราสาทและเรอื นยอดเปนตน ก็มีนยั (ความหมายเดยี วกนั )นแ้ี ล. แมในพระราชบัลลงั กเปน ตน พระเจา มหาสุทสั สนะ ก็ทรงใชเองเพยี งพระราชบัลลงั กเดียว บัลลงั กท เี่ หลอื เปนของสาํ หรับพระราชโอรสเปนตน ทรงใชสอย. บรรดาพระสนมทั้งหลาย กม็ พี ระสนมคนเดียวเทา น้นัทปี่ รนนบิ ตั ถิ วาย. ท่เี หลอื เปนเพียงบรวิ าร. หญิงที่เกดิ ในครรภของนางพราหมณี (ผเู ปนมเหส)ี ของกษตั รยิ กด็ ี หญิงท่ีเกดิ ในครรภข องเจา หญิง (ผูเปนภรรยา) ของพราหมณกด็ ีช่อื วา เวลามิกา.๑. ปาฐะวา ทุกูลสนทฺ นาติ ฉบบั พมาเปน ทุกูลสนถฺ รานิ แปลตามฉบบั พมา .๒.ปาฐะวา รชตฺมย โลหภาชนานิ ฉบับพมา เปน รชตมยโทหภาชนานิ แปลตามฉบบั พมา .

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 334 ดวยบทวา ปรทิ หามิ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงวา เรานุงผาคูเ ดยี วเทา นน้ั ท่เี หลอื เปนของพวกราชบุรุษที่เที่ยวแวดลอม จาํ นวน๑,๖๘๐,๐๐๐ คน. ดวยบทวา ภุ ชฺ ามิ พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงวา เราเสวยขาวสุกประมาณ ๑ ทะนานเปนอยางสูง ทเี่ หลอื เปนของราชบรุ ุษทเ่ี ทีย่ วแวดลอ ม จํานวน ๘๔,๐๐๐ คน. กข็ าวสกุ ถาดเดียว พอคน ๑๐ คนกินได. พระผูมีพระภาคเจาครัน้ ทรงแสดงสมบัติ เมื่อคร้ังเปนพระเจามหาสุทัสสนะนอี้ ยา งนี้แลวบัดนเี้ มอื่ จะทรงแสดงวา สมบตั ิ นัน้ ไมเท่ียง จงึ ตรัสคําวา อิติ โข ภิกขฺ ุเปนตน บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา วปิ รณิ ตา ไตแก (สังขารทงั้ หลาย)ถึงความเปน สภาพหาบัญญัติมไิ ด เพราะละปกติ เปรยี บเหมือนประทีปดับฉะนนั้ . บทวา เอว อนจิ จฺ า โข ภิกฺขุ สงขฺ าร ความวา ที่ชอื่ วา ไมเทีย่ งเพราะหมายความวา มีแลวกลับไมม ีอยา งน.้ี เปรยี บเหมือน บุรษุ พึงผกู บันไดไวทตี่ น จําปาซงึ่ สงู ถึง ๑๐๐ ศอกแลว ไตข ้นึ ไปเกบ็ เอาดอกจําปา ท้งิ บันไดไตลงมาฉนั ใด พระผมู พี ระภาคเจากเ็ ปนฉันน้นั เหมือนกัน ดวยเหตุเพียงดังวา คอื เสด็จข้ึนสูสมบตั ขิ องพระเจามหาสุทัสสนะ ซงึ่ กนิ เวลานานหลายแสนโกฏิป เปนเหมือนทรงผูกบันได (ไตข้นึ ไป) ทรงถอื เอาอนจิ จลักษณะที่อยใู นที่สดุ แหงสมบัตแิ ลว เสดจ็ ลงมาเหมือนทรงทิ้งบนั ได (ไตลงมา) ฉะนัน้ . บทวา เอว อธวุ า ความวา เวนจากความเปน สภาพยงั่ ยนือยา งน้นั เหมือนตอมนาํ้ เปนตน ฉะนั้น.

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 335 บทวา เอว อนสฺสาสิกา ความวา เวนจากความนา ยนิ ดีอยางนนั้เหมอื นนํ้าด่ืมที่ด่ืมในความฝน๑ และเหมือนกระแจะจนั ทนที่ตนไมไดลูบไลฉ ะน้ัน. พระผมู ีพระภาคเจาตรัสอนจิ จลกั ษณะไวใ นสูตรน้ี ดังพรรณนามานี.้ จบ อรรถกถาโคมยปณฑสูตรท่ี ๔ ๕. นขสิขาสูตรวา ดว ยความไมเ ท่ยี งแทแ นน อนแหงขันธ ๕ [๒๕๒] กรงุ สาวตั ถ.ี ทีพ่ ระเชตวนาราม. ภกิ ษุนน้ั นั่ง ณท่ีควรสว นขา งหนึง่ แลว ไดทูลคําน้กี ะพระผมู ีพระภาคเจาวา ขา แตพระองคผเู จริญ จะมีหรอื ไม รูปบางอยางที่เปน ของเทีย่ ง ยัง่ ยนื สืบตอกันไป ไมม คี วามแปรปรวนเปนธรรมดา จักดํารงคงอยอู ยา งนน้ั นั่นเองเสมอดวยสิง่ ที่ยั่งยนื ทั้งหลาย ? จะมีหรอื ไม พระเจา ขา เวทนาบางอยา ง ทีเ่ ปนของเท่ยี ง ยง่ั ยนืสบื ตอ กนั ไป ไมม คี วามแปรปรวนเปนธรรมดา จักดาํ รงคงอยูอยา งนั้นเองเสมอดว ยสงิ่ ทย่ี ัง่ ยืนทง้ั หลาย ? จะมีหรือไม พระเจาขา สญั ญาบางอยา ง ฯลฯ สงั ขารบางอยางฯลฯ วญิ ญาณบางอยาง ท่ีเปน ของเทีย่ ง ยงั่ ยนื สืบตอกันไป มีความไมแปรปรวนเปนธรรมดา จกั ดาํ รงคงอยูอ ยางนัน้ นน่ั เอง เสมอดวยส่ิงท่ีย่งั ยืนทัง้ หลาย ?๑. ปาฐะวา สวุ นิ เิ ก ฉบบั พมา เปน สปุ น เก แปลตามฉบับพมา .

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 336 พระผูมพี ระภาคเจาตรัสตอบวา ไมมีเลยภกิ ษุ รปู บางอยางทเ่ี ปน ของเทยี่ ง ยั่งยนื สบื ตอ กนั ไป มีความไมแ ปรปรวนเปน ธรรมดาจักดาํ รงคงอยูอยางนัน้ นน่ั เอง เสมอดวยสง่ิ ท่ยี ง่ั ยนื ทั้งหลาย. ไมม ีเลยภกิ ษุ เวทนาบางอยาง... สญั ญาบางอยา ง... สงั ขารบางอยาง...วญิ ญาณบางอยา ง ทจี่ ะเปนของเทยี่ ง ยงั่ ยืน สบื ตอกันไป มคี วามไมแปรปรวนเปน ธรรมดา จกั ดาํ รงคงอยูอยางน้ันน่ันเอง เสมอดวยสิง่ ท่ียัง่ ยนื ท้ังหลาย. [๒๕๓] คร้งั น้นั แล พระผูม ีพระภาคเจา ทรงใชป ลายพระนขาชอนฝนุ ขึ้นนดิ หนอย แลวไดตรสั คาํ ดังนี้กะภิกษุน้ันวา :- ดกู อ นภิกษุ ไมม รี ปู แมป ระมาณเทานเี้ ลย ท่ีเปน ของเที่ยง ยัง่ ยืนสบื ตอ กนั ไป มคี วามไมแปรปรวนเปนธรรมดา จกั ดาํ รงคงอยอู ยา งนน้ันั่นเอง เสมอดวยสง่ิ ทยี่ ัง่ ยืนทงั้ หลาย. ดูกอ นภิกษุ ผิวา จักไดม รี ปู แมเ พยี งเทา น้ี ทเ่ี ปน ของเทีย่ ง ย่งั ยนืสืบตอกันไป มีความไมแ ปรปรวนเปนธรรมดาแลวไซร ก็จะไมปรากฏการอยปู ระพฤตพิ รหมจรรยน ้ี เพ่ือความสิ้นทุกขโดยถูกตอ ง. แตเพราะเหตทุ ไ่ี มมรี ูป แมม ปี ระมาณเทานแ้ี ล ทเี่ ปนของเทย่ี ง ยง่ั ยนื สืบตอ กนั ไปมีความไมแปรปรวนเปน ธรรมดา ฉะน้ันการอยูประพฤตพิ รหมจรรยเพื่อความสิน้ ทกุ ขโ ดยถกู ตอ ง จงึ ปรากฏ. ดูกอนภกิ ษุ ไมม ีเวทนาแมม ปี ระมาณเทา น้ีแล ที่เปนของเทย่ี งยงั่ ยืน สืบตอกนั ไป มคี วามไมแปรปรวนเปน ธรรมดา จักดํารงคงอยูอยางนั้นนน่ั เอง เสมอดวยสิง่ ท่ีย่งั ยนื ทั้งหลาย. ดกู อ นภกิ ษุ ผวิ า จักไดมี เวทนาแมเพียงเทา น้ี ท่ีเปน ของเท่ยี งยง่ั ยืน สบื ตอกนั ไป มคี วามไมแ ปรปรวนเปน ธรรมดาแลว ไซร ก็จะ

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 337ไมปรากฏการอยปู ระพฤติพรหมจรรยนี้ เพื่อความสิน้ ทกุ ขโดยถูกตองแตเพราะเหตุที่ไมม เี วทนามีประมาณเทาน้ี ท่ีเปน ของเทีย่ ง ยง่ั ยนืสืบตอ กันไป มีความไมแ ปรปรวนเปนธรรมดา ฉะนัน้ การอยปู ระพฤติพรหมจรรย เพือ่ ความส้ินทุกขโ ดยถูกตอ ง จงึ ปรากฏ. ดกู อ ภกิ ษุ ไมม สี ญั ญาแมมีประมาณเทา น้แี ล... ไมม ีสังขารทง้ั หลายแมม ปี ระมาณเทา นแ้ี ล ที่เปนของเทย่ี ง ยงั่ ยนื สบื ตอกันไป ไมมีความแปรปรวนเปนธรรมดา จักดาํ รงคงอยูอ ยางน้นั นัน่ เอง เสมอดว ยสง่ิ ที่ยง่ั ยนื ทัง้ หลาย. ดูกอนภิกษุ ผวิ า จกั ไดมีสังขารทัง้ หลาย แมม ีประมาณเทาน้ีซึ่งเปน ของเท่ยี ง ยงั่ ยืน สบื ตอกันไป ไมมีความแปรปรวนเปนธรรมดาแลว ไซร การอยูประพฤติพรหมจรรย เพือ่ ความส้นิ ทุกขโดยชอบก็จะไมปรากฏ แตเ พราะเหตทุ ี่ไมมีสังขารท้ังหลาย แมมีประมาณเทา น้ีทีเ่ ปน ของเทีย่ ง ยง่ั ยนื ติดตอกันไป มีความไมแ ปรปรวนเปนธรรมดาฉะน้ันการอยปู ระพฤติพรหมจรรยเพ่อื ความส้ินทุกขโดยถูกตอ งจงึ ปรากฏ. ดูกอนภิกษุ ไมม วี ญิ ญาณแมมีประมาณเทาน้ี ซ่ึงจะเปนของเทย่ี งยั่งยนื สืบตอกันไป ไมมคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา จักดาํ รงคงอยูอยา งนนั้ น่นั เอง เสมอดวยสงิ่ ที่ยั่งยนื ทั้งหลาย. ดูกอนภิกษุ ผวิ า จักไดมีวญิ ญาณมีประมาณเทาน้ี เปน ของเทีย่ งย่ังยนื ติดตอ กนั ไป ไมมคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาแลว ไซรกจ็ กั ไมปรากฏการประพฤติพรหมจรรยน ี้ เพื่อความสน้ิ ไปแหง ทุกขโดยถกู ตอง แตเพราะเหตุทไ่ี มมีวิญญาณแมม ปี ระมาณเทา นี้ ซง่ึ จะเปนของเทีย่ ง ย่ังยนื สบื ตอ กนั ไป ไมมีความแปรปรวนเปน ธรรมดา ฉะนนั้

พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 338การอยปู ระพฤติพรหมจรรย เพอ่ื ความสิ้นทุกขโ ดยถูกตอง จงึ ปรากฏ. [๒๕๔] พระผูม พี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนภิกษุ เธอจะสาํ คัญความขอน้เี ปนไฉน รูปเที่ยงหรือไมเ ท่ยี ง ? ภ.ิ กราบทูลวา ไมเ ที่ยงพระเจา ขา . ภ. เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เท่ียงหรอื ไมเ ทย่ี ง ? ภ.ิ ไมเทีย่ ง พระเจาขา. ภ. ดกู อนภกิ ษุ... เพราะเหตุนนั้ แล อรยิ สาวกผูไดส ดับแลวเหน็ อยอู ยางน.้ี .. รูช ดั วา ... กจิ อืน่ เพือ่ ความเปน อยางนีม้ ิไดม ี. จบ นขสขิ าสูตรที่ ๔ อรรถกถานขสิขาสตู รที่ ๕ คาํ ทงั้ หมด ในนขสขิ าสูตรท่ี ๕ มนี ัย (ความหมาย) ดังกลาวแลว แล. จบ อรรถกถานขสิขาสูตรที่ ๕ ๖. สามทุ ทกสูตรวา ดว ยความไมเที่ยงแทแนน อนแหง ขันธ ๕ [๒๕๕] กรงุ สาวัตถี. เชตวนาราม. ภกิ ษนุ ัน้ นง่ั ณ ที่สมควรสว นขางหนึง่ แลว ไดทลู คําดงั ตอไปน้ี กะพระผมู พี ระภาคเจาวาขาแตพระองคผเู จรญิ มีหรือไม รปู บางอยาง ท่เี ปนของเท่ียง ยั่งยืนสบื ตอ กันไป ไมม คี วามแปรปรวนเปนธรรมดา จกั ดํารงคงอยอู ยา งน้ันนนั่ เอง เสมอดว ยสงิ่ ทีย่ งั่ ยืนทง้ั หลาย ?

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 339 มีอยหู รือไมพระเจา ขา เวทนาบางอยาง... สัญญาบางอยาง...สังขารท้งั หลายบางอยา ง... วญิ ญาณบางอยา ง ทเ่ี ปนของเทยี่ ง ยงั่ ยนืสบื ตอกนั ไป ไมมคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา จกั ดํารงอยูอยา งนั้นนั่นแล เสมอดว ยสิง่ ทยี่ ่งั ยนื ทง้ั หลาย ? พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา ไมม เี ลยภิกษุ รูปบางอยางท่ีเปนของเท่ียง ยัง่ ยืน สบื ตอกนั ไป มีความไมแ ปรปรวนเปนธรรมดาจกั ดํารงคงอยูอยางนัน้ นนั่ เอง เสมอดวยสง่ิ ทย่ี ัง่ ยนื ท้งั หลาย. ไมมีเลยภกิ ษุ เวทนาบางอยาง... สัญญาบางอยาง... สงั ขารทง้ั หลายบางอยาง... วญิ ญาณบางอยาง ทจ่ี ะเปน ของเทีย่ ง ย่ังยืน สืบตอ กนั ไปมคี วามไมแ ปรปรวนเปน ธรรมดา จกั ดํารงคงอยอู ยางนน้ั น่ันเองเสมอดวยสงิ่ ท่ยี งั่ ยนื ท้งั หลาย. จบ สามุททกสูตรท่ี ๖ อรรถกถาสามุททสกสูตรที่ ๖ สามุททกสูตรที่ ๖ พระผมู พี ระภาคเจาตรสั แลว ตามอัธยาศยัของผูที่จะตรัสรูโดยประการน้นั . จบ อรรถกถาสามทุ ทกสูตรที่ ๖ ๗. คัททลู สตู รท่ี ๑ วา ดว ยอปุ มาขันธ ๕ ดวยเสาลามสุนขั [๒๕๖] กรุงสาวตั ถ.ี ในพระเชตวนั วหิ าร. พระผมู ี-พระภาคเจา ตรสั วา กอ นภิกษุท้งั หลาย สงสารน้ี มีทส่ี ุดเบือ้ งตน

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 340ท่ใี คร ๆ ตามไป รไู มไดแลว เงื่อนตน (ของสงสาร) ไมป รากฏ สําหรับสัตวท้งั หลาย ผมู ีอวชิ ชาเปน เครือ่ งกางก้ัน มีตณั หาเปนเครอื่ งผกู ไวทอ งเที่ยวไปมาอย.ู ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย สมัยทมี่ หาสมทุ รเหอื ดแหง ไมมนี ้ํายงั มอี ยู แตเ ราตถาคต ไมกลา ววา สัตวท้ังหลายผูมีอวชิ ชาเปน เคร่ือง-กางกั้น มีตณั หาเปน เครือ่ งผกู ไว ทองเทีย่ วไปมาอยู จะกระทําทีส่ ุดแหงทกุ ขไดเลย. ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย สมยั ท่ีภูเขาสิเนรุราช ถูกไฟไหมพนิ าศไปไมปรากฏ ยงั มอี ยู. แตเราตถาคตไมก ลาววา สตั วทงั้ หลาย ผูม ีอวิชชาเปน เคร่อื งกางกน้ั มตี ณั หาเปนเครือ่ งผกู มัด ทองเทยี่ วไปมาอยูจะทาํ ทสี่ ุดแหง ทุกขไ ดเลย. ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย สมัยท่ผี นื แผนดนิ ใหญ ถกู ไฟไหมพนิ าศไปไมปรากฏ ยังมีอย.ู แตเราตถาคตไมก ลา ววา สัตวท้งั หลาย ผูมอี วิชชาอวิชชาเปนเครื่องกางกน้ั มตี ัณหาเปนเครอื่ งผูกไว ทองเท่ยี วไปมาอยูจะทําท่ีสดุแหง ทกุ ขไดเ ลย. [๒๕๗] ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย สุนัขทเ่ี ขาลา มเชอื กแลว ถกู ลาม-ไวที่เสาอันมนั่ คง ยอมวงิ่ วนหลักหรือเสาน้นั เอง แมฉ นั ใด ปุถุชนผูไ มไ ดส ดบัไมไ ดเ ห็นพระอรยิ เจา ไมฉลาดในอริยธรรม ฯลฯ ไมไ ดรับแนะนําในสัปปุริสธรรม กฉ็ ันนน้ั เหมือนกัน ตามเห็นรปู โดยความเปน อัตตา. ตามเหน็ เวทนา... สญั ญา... สงั ขาร... วิญญาณ โดยความเปนอตั ตา ตามเหน็อัตตาวามีวิญญาณตามเห็นวญิ ญาณในอตั ตาหรือตามเห็นอัตตาในวิญญาณ.เขาจะแลน วนเวยี น รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ อย.ู เมือ่ เขาวนเวยี น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู กจ็ ะไมพ นจากรปู

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 341จากเวทนา จากสัญญา จากสงั ขาร จากวิญญาณ จะไมพน จาก ชาติชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาส. เราตถาคตกลา ววาเขาจะไมพนไปจากทกุ ข. ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย อรยิ สาวกผูฟง แลว ผูไดเหน็ พระอริยเจาทงั้ หลาย ฯลฯ ผูไ ดรับแนะนําในธรรมของสัตบุรุษทงั้ หลาย จะไมตามเหน็ รปู โดยเปน อตั ตา. จะไมต ามเห็นเวทนา... สญั ญา... สังขาร...จะไมต ามเห็นวญิ ญาณ โดยความเปน อัตตา ไมต ามเหน็ อัดตาวา มวี ญิ ญาณไมต ามเห็นวญิ ญาณในอัตตา ไมตามเห็นอตั ตาในวิญญาณ เธอจะไมแลนวนเวยี นรปู อยู จะไมแลน วนเวียน เวทนา... สัญญา... สังขาร... วญิ ญาณอยู เธอเม่อื ไมว ่ิงวนเวียนรปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ อยู ก็จะพน จากรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ จะพน จากชาติ ชรา มรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส เราตถาคตกลา ววา เขาจะพนไปจากทุกข. จบ คทั ทลู สูตรท่ี ๑ อรรถกถาคัททลู สูตรที่ ๑ พึงทราบวินจิ ฉยั ในคทั ทลู สตู รที่ ๑ ดังตอ ไปน้ี :- บทวา ย มหาสมทุ โฺ ท ความวา ในสมัยใด เมื่อพระอาทติ ยดวงที่ ๕ อุทัยข้นึ มหาสมทุ ร (ทะเลหลวง) กจ็ ักเหือดแหง . บทวา ทุกขฺ สสฺ อนตฺ กิรยิ  ความวา เราตถาคตไมก ลาว๑ถึงการกระทาํ ท่ีสุด คือ การส้ินสดุ แหง วัฏฏทกุ ขข องสตั บุรษุ ผยู งั มิได๑. ปาฐะวา วทามิ ฉบับพมาเปน น วทามิ แปลตามฉบับพมา

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 342แทงตลอดอริยสจั จ ๔ แลว ถูกอวิชชารอยรดั ไวแลว . บทวา คทฺทูลพนโฺ ธ ไดแก สนุ ัขที่ถูกลามโซ. บทวา ขีเล คือ ทเี่ สาใหญท่ียงั ไมไ ดต อกลงในแผนดนิ . บทวา ถมฺเภ คอื ที่เสา (เล็ก) ทฝี่ งไว. ในบทวา เอวเมว โข นี้ พึงทราบอธบิ ายดังตอ ไปน้ี :- คนพาลที่อาศยั วฏั ฏะ พงึ ทราบวา เปรียบเหมือนสนุ ขั . ทฏิ ฐิ พงึ ทราบวา เปรียบเหมือนโซต รวน. สักกายะ พงึ ทราบวา เปรียบเหมอื นเสา. การหมนุ ไปตามสักกายะของปถุ ชุ นผถู กู ผูกติดไวที่กายของตนดว ยทฏิ ฐิและตณั หา พึงทราบวา เหมือนการวงิ่ วนรอบเสาของสุนขั ตัวท่ถี กู ลามโซและเชอื กไวต ดิ กับเสา. จบ อรรคกถาคัททลู สูตรท่ี ๑ ๘. คัททลู สูตรที่ ๒วา ดวยอุปมาขนั ธ ๕ ดวยเสาลามสนุ ขั [๒๕๘] กรงุ สาวัตถ.ี ทเี่ ชตวนาราม. ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลายสงสารนี้ มที ีส่ ุดเบอื้ งตนอนั บคุ คลตามไปรไู มไ ดแลว เงอ่ื นตนแหงสงสารจะไมป รากฏ แกส ตั วท ้ังหลายผูมีอวิชชาเปน เครอ่ื งกางกัน้มีตัณหาเปน เครอ่ื งผกู ไว ทอ งเทีย่ วไปมาอยู. ดกู อ นภิกษุทั้งหลายสนุ ขั ท่เี ขาลา มเชือกแลว ถูกลา มไวที่หลกั หรือเสาอันม่ันคง. ถา มนั จะว่ิงไซร กจ็ ะวง่ิ วนหลักหรอื เสาน้นั ถาจะยืนไซร ก็จะยนื ชดิ หลักหรือ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 343เสานนั้ นน่ั เอง ถา จะนอนไซร ก็จะนอนชดิ หลักหรอื เสานนั้ เอง แมฉ นั ใดกอนภิกษุท้ังหลาย ปุถุชนไมไดสดบั แลว ก็ฉันน้ันเหมือนกนั ยอมตามเหน็ รปู วา นัน่ ของเรา เราเปน นัน่ น่นั เปน อตั ตาของเรา ยอ มตามเหน็เวทนา... สญั ญา... สงั ขาร... วิญญาณ วา นน่ั ของเรา เราเปนนน่ันัน่ เปนอตั ตาของเรา. แมห ากเขาจะเดนิ ไปไซร ก็จะเดนิ ใกลป ญจุปาทาน-ขันธเ หลา นี้แหละ แมหากจะยืนไซร กจ็ ะยืนติดปญ จปุ ทานขนั ธเ หลา น้ีแหละ แมห ากจะนงั่ ไซร ก็จะนงั่ ติดปญ จปุ าทานขนั ธเหลา นี้แหละ. เพราะฉะน้นั แลภกิ ษุท้ังหลาย เธอทัง้ หลายพึงพิจารณาจติ ของตนเนือง ๆอยา งนี้วา จติ น้ีเศราหมอง เพราะราคะ โทสะ โมหะ มาแลว ตลอดกาลนาน. วา ดว ยความเศรา หมองและผองแผว แหง จติ [๒๕๙] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สตั วท ั้งหลาย จะเศราหมองเพราะจิตเศราหมอง สัตวท ัง้ หลายจะผองแผว เพราะจติ ผอ งแผว. ดกู อ น-ภิกษทุ ัง้ หลาย เธอทง้ั หลายเห็นไหม จิตทช่ี ่ือวา จรณะ (จิตรกรรม) ? ภิกษุทงั้ หลายกราบทูลวา เหน็ พระเจาขา . ภ. ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย จรณจติ (จิตรกรรม) แมนนั้ แลจติ น้ันนน่ั แหละคดิ แลว . กอนภิกษุทัง้ หลาย จติ นั่นเอง ยังวจิ ติ รกวาจรณจติ (จติ รกรรม) แมนน้ั แล. เพราะฉะนนั้ แลภิกษุทัง้ หลาย เธอทงั้ หลายพึงพิจารณาจติ ของตนเนอื ง ๆ วา จิตน้ี เศราหมอง เพราะราคะ โทสะ โมหะ มานมนานแลว . ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย สัตวทง้ั หลายจะเศรา หมอง เพราะจิตเศราหมอง จะผองแผว เพราะจิตผองแผว.ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย เราไมพจิ ารณาเหน็ สัตวอื่นแมเ หลา เดยี วทจี่ ะวจิ ิตรเหมอื นสัตวเ ดยี รจั ฉานเหลา นี้นะภกิ ษทุ ง้ั หลาย. ภิกษุทัง้ หลายสตั ว














Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook