Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_43

tripitaka_43

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_43

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 151 พระศาสดา ประทบั น่งั บนอาสนะอนั ตกแตงแลว. ทั้งภิกษุสงฆ ท้งัหมเู จา ลจิ ฉวีนั่งแวดลอมพระศาสดาแลว . แมทา วสักกเทวราชอนั หมเู ทวดาแวดลอมแลว ไดป ระทบั ยนื ในโอกาสสมควร. ฝายพระเถระเทีย่ วไปสพู ระ-นครทง้ั สนิ้ โดยลําดบั แลว มากับมหาชนผูห ายโรค ถวายบงั คมพระศาสดานงั่ แลว พระศาสดาทรงตรวจดบู รษิ ทั แลว ไดท รงภาษติ รัตนสูตรนนั้นน่ั เอง. ในกาลจบเทศนา การตรสั รูธ รรมไดมีแกส ตั วแ ปดหมืน่ สีพ่ ันแลว. พระศาสดา ทรงแสดงรตั นสตู รนนั้ เหมอื นกันตลอด ๗ วัน คอื แมในวนั รุงขนึ้ ก็ทรงแสดงอยา งน้นั ทรงทราบความทภ่ี ัยท้งั ปวงสงบแลวตรัสเตือนหมเู จา ลิจฉวีแลว เสดจ็ ออกจากเมอื งไพศาล.ี เจา ลจิ ฉวีทง้ั หลายทรงทาํ สกั การะทวีคณู นาํ เสด็จพระศาสดาไปสูฝง แมน ้าํ คงคาโดย ๓ วันอีก. พวกพระยานาคทําการบชู าพระศาสดา พระยานาคทัง้ หลายผเู กิดในแมน ้าํ คงคา คิดวา มนษุ ยทง้ั หลายยอมทาํสักการะแดพ ระตถาคต, เราท้ังหลายจะทาํ อะไรหนอ ?\" พระยานาคเหลา-นัน้ นริ มิตเรอื สาํ เรจ็ ดวยทองคาํ เงนิ และแกว มณี จัดต้ังบลั ลงั กส ําเร็จดวยทองคํา เงิน และแกว มณี ทาํ น้าํ ใหด าดาษดวยดอกปทมุ ๕ สี แลว ทูลออ นวอนพระศาสดา เพอื่ ประโยชนเสด็จข้นึ เรือของตน ๆ วา \" ขาแตพระองคผ เู จริญ ขอพระองคทรงทาํ การอนุเคราะหแมแกข า พเจาทง้ั หลายเถดิ .\" มนุษยแ ละนาคทั้งหลายยอมทาํ การบชู าพระตถาคต. เทวดาทั้งปวง ตงั้ ตนแตเ ทวดาผูสถิต ณ ภาคพ้นื ตลอดถงึ พรหม-โลกช้นั อกนฏิ ฐคดิ วา \" พวกเราจะทําอะไรหนอ ?\" แลว ทาํ สกั การะ.บรรดามนุษยแ ละอมนุษยเหลาน้นั นาคทัง้ หลายยกฉัตรซอน ๆ กนั ข้ึน

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 152ประมาณโยชนหน่ึง. ฉตั รทีซ่ อ น ๆ กัน อนั มนุษยและอมนุษยท ง้ั หลายคือนาคภายใต มนุษยที่พนื้ ดิน ภุมมัฏฐกเทวดาท่ีตน ไม กอไม และภูเขาเปนตน อากาสฏั ฐกเทวดาในกลางหาว ตา งก็ยกข้นึ แลว ต้ังตน แตนาคภพตลอดถึงพรหมโลก โดยรอบจักรวาล ดวยประการฉะน้ี. ในระหวางฉตั รมธี งชัย, ในระหวา งธงชยั มีธงแผนผา , ในระหวา ง ๆ แหงธงเหลานน้ัไดม เี ครื่องสักการะมีพวงดอกไม จณุ เครื่องอบ และกระแจะเปนตน.เทพบุตรท้ังหลายประดบั ประดาดวยเครื่องอลงั การท้งั ปวง ถือเพศแหง คนเลน มหรสพ ปา วรอ งเทีย่ วไปในอากาศ. ไดยนิ วา สมาคม ๓ แหง เทา น้ันคอื \" สมาคมในเวลาแสดงยมกปาฏิหารยิ  ๑ สมาคมในเวลาเสด็จลงจากเทวโลก ๑ สมาคมในเวลาลงสคู งคานี้ ๑ \" ไดเปนสมาคมใหญ. พระเจาพิมพิสารใหเตรียมรบั เสดจ็ พระพทุ ธเจา อีก ฝา ยพระเจา พมิ พสิ าร ทรงตระเตรียมสกั การะทวคี ณู จากสกั การะอันพวกเจาลิจฉวที าํ ไดทรงยนื แลดูการเสดจ็ มาของพระผมู พี ระภาคเจา อยููที่ฝง โนน. พระศาสดาทอดพระเนตรการบรจิ าคใหญ ของพระราชาท้ังหลายใน ๒ ฝงแหง แมน ้าํ คงคา และทรงทราบอธั ยาศัยของสตั วท ง้ั หลายมนี าคเปนตน แลวทรงนริ มิตพระพทุ ธนิรมติ พระองคหนง่ึ ๆ มีภกิ ษุองคละ ๕๐๐ เปนบริวารไวท่เี รือลําหนงึ่ ๆ. พระผมู ีพระภาคเจาน้ันอนั หมูนาคแวดลอ มแลว ไดประทับนัง่ ณ ภายใตแ หงเศวตฉัตรคันหนึง่ ๆ และตน กัลปพฤกษแ ละพวงระเบียบดอกไม. ทรงนริ มติ พระพทุ ธนริ มิตพระองคหนึง่ ๆ พรอมทง้ั บริวารในโอกาสแหง หนึ่ง ๆ แมใ นเทวดาทั้งหลายมีเทวดาช้นั ภมุ มัฏฐกะเปน ตน . เมอื่ หองจักรวาลท้งั สิน้ เกิดเปน ประหนึง่ วามีมหรสพอันเดยี วและมีการเลน อันเดยี ว ดวยประการฉะนแี้ ลว, พระศาสดา

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 153เม่ือจะทรงทําการอนุเคราะหแกน าคท้ังหลาย ไดเสดจ็ ข้ึนสเู รอื แกวลําหนง่ึ .แมบรรดาภิกษุทั้งหลายรูปหน่ึง ๆ กข็ นึ้ สเู รือลาํ หนง่ึ ๆ เหมอื นกัน. พระยานาคทัง้ หลาย นมิ นตภกิ ษุสงฆม พี ระพุทธเจาเปนประมขุ ใหเขาไปสูน าคภพ ฟงธรรมกถาในสํานักของพระศาสดาตลอดคืนยงั รงุในวนั ท่ี ๒ องั คาสภกิ ษสุ งฆม พี ระพทุ ธเจา เปน ประมุข ดวยของควรเคยี้ วดวยของควรบรโิ ภคอนั เปน ทพิ ย. พระศาสดาทรงทาํ อนโุ มทนาแลวออกจากนาคภพ อันเทวดาในจักรวาลทงั้ สน้ิ บชู าอยู ทรงขา มแมน ้าํ คงคาดวยเรอื ๕๐๐ ลําแลว . พระราชาทรงตอนรบั อัญเชญิ พระศาสดาใหเสดจ็ ลงจากเรือ ทรงทําสักการะทวคี ูณ จากสักการะอนั เจา ลจิ ฉวที ั้งหลายทาํ ในเวลาเสด็จมา นาํพระศาสดามาสูกรุงราชคฤห โดย ๕ วนั โดยนยั กอนน่นั แล. พวกภกิ ษชุ มพทุ ธานภุ าพ ในวันที่ ๒ พวกภกิ ษกุ ลับจากบณิ ฑบาตแลว ในเวลาเย็นน่งั ประชุมกันในโรงธรรม สนทนากนั วา \" นา ชม ! อานภุ าพของพระพทุ ธเจาทงั้ หลาย. นา ประหลาดใจ ! เทวดาและมนุษยท้ังหลายพากันเลือ่ มใสในพระศาสดา; พระราชาทงั้ หลายทรงทาํ พืน้ ทใ่ี หสมํ่าเสมอในหนทาง ๘ โยชนทงั้ ฝง นฝ้ี งโนนแหง แมน า้ํ คงคา เกล่ียทรายลงลาดดอกไมมสี ีตาง ๆ โดยสว นสูงประมาณเพียงเขา ดว ยความเล่ือมใสอนั เปน ไปแลวในพระพทุ ธเจา ,นาํ้ ในแมน ้าํ คงคาก็ดาดาษ ดวยดอกปทมุ ๕ สี ดวยอานุภาพนาค, เทวดาทง้ั หลายกย็ กฉัตรซอน ๆ กันขึน้ ตลอดถงึ อกนิฏฐภพ, หองจักรวาลท้ังส้ินเกดิ เปน เพยี งดงั วามเี ครอื่ งประดับเปน อนั เดยี ว และมมี หรสพเปนอนั เดียว.\"

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 154 พระศาสดาเสดจ็ มาแลวตรัสถามวา \" ภกิ ษุทัง้ หลาย บัดน้ี เธอทัง้ หลายน่งั ประชุมกันดว ยกถาอะไรหนอ ?\" เมอ่ื ภกิ ษเุ หลา นนั้ กราบทลู วา\" ดว ยกถาช่ือนี้,\" จึงตรสั วา \" ภิกษุทั้งหลาย เคร่อื งบูชาและลักการะน้ีมไิ ดบ งั เกดิ ขึน้ แกเ ราดวยพุทธานุภาพ, มิไดเ กิดขึ้นดว ยอานุภาพนาคและเทวดาและพรหม, แตว าเกิดดวยอานภุ าพแหง การบรจิ าคมีประมาณนอ ยในอดตี \" อันภกิ ษุทั้งหลายทลู ออ นวอนแลว ใครจะประกาศเน้ือความน้นัจงึ ทรงนาํ อดตี นทิ านมาตรสั วา :- เร่อื งสุสมิ มาณพ ในอดตี กาล ในเมืองตกั กสิลา ไดม พี ราหมณค นหนึ่งช่อื สังขะ.เขามบี ุตร (คนหน่ึง) เปนมาณพชอื่ สสุ มิ ะ มอี ายุยางเขา ๑๖ ป. ในวันหนงึ่ สุสมิ มาณพนนั้ เขา ไปหาบิดาแลว กลาววา \" พอ ผมปรารถนาจะเขาไปสเู มืองพาราณสีทอ งมนต.\" ลาํ ดบั น้ัน บิดากลา วกะเขาวา \" พอ ถากระนั้น พราหมณช่อื โนนเปน สหายของพอ เจา จงไปสสู ํานกั ของสหายนน้ั แลวเรยี นเถดิ .\" เขารบั คาํ วา \" ดลี ะ \" แลว ถึงเมอื งพาราณสีโดยลาํ ดับ เขา ไปหาพราหมณน น้ั แลว บอกความท่ตี นอันบดิ าสง มาแลว. ลําดบั นั้น พราหมณน้นั รับเขาไว ดว ยคดิ วา \" บุตรสหายของเรา \"แลวเร่มิ บอกมนตก ะเขา ผูมีความกระวนกระวายอันระงับแลว โดยวนั เจริญ๑สุสิมมาณพนน้ั เรยี นเร็วดว ย เรยี นไดม ากดว ย ทรงจํามนตท ีเ่ รยี นแลว ๆไมใหเ สอื่ มไป ราวกะวา นา้ํ มนั สหี ะอนั เขาเทไวในภาชนะทองคาํ ตอกาลไมนานนกั ไดเรียนมนตท งั้ หมดอันตนพงึ เรียนจากปากของอาจารย ทําการสาธยายอยู ยอมเหน็ เบือ้ งตนและทามกลางแหงศลิ ปที่ตนเรียนแลวเทา๑. คืนวนั ดี เปนวันมงคล.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 155น้นั , (แต) ไมเ ห็นท่สี ดุ . เขาเขาไปหาอาจารยแลว กลาววา \"ผมยอ มเห็นเบือ้ งตนและทา มกลางแหงศลิ ปนเี้ ทาน้นั , ยอ มไมเหน็ ทส่ี ดุ ,\" เมอ่ือาจารยก ลา ววา \"พอ แมฉันก็ไมเ ห็น,\" จงึ ถามวา \"ขาแตอ าจารย เม่อืเปน เชนนน้ั ใครจะรทู ่ีสดุ .\" เมอื่ อาจารยกลา ววา \"พอ ฤษีท้งั หลายเหลา น้นั ยอ มอยใู นปา อิสิปตนะ, ฤษเี หลานนั้ พึงร,ู เจาเขา ไปสูส าํ นักของทานแลว จงถามเถิด,\" จงึ เขาไปหาพระปจ เจกพุทธเจาทงั้ หลายแลว ถามวา\"ไดยินวา ทานทั้งหลายยอ มรทู ีส่ ุดหรอื ?\" ปจ เจก. เออ เราทง้ั หลายยอมรู สุสมิ ะ. ถา กระน้นั ขอทา นทง้ั หลาย จงบอกแกขา พเจา . ปจเจก. เราทง้ั หลายยอ มไมบ อกแกค นไมใชบรรพชติ , ถา ทา นมีประสงคด วยที่สุด, จงบวชเถิด. สุสิมมาณพนั้นรับวา \"ดลี ะ\" แลว บวชในสํานักพระปจเจกพุทธะเหลาน้นั . ลําดบั นน้ั พระปจ เจกพุทธะเหลา นัน้ กลาวแกทา นวา \"เธอจงศึกษาขอ นี้กอน\" แลวบอกอภิสมาจาริกวัตร โดยนัยเปนตนวา \"ทา นพึงนุง อยางนี้, พงึ หมอยางนี้.\" ทานศกึ ษาอยูในอภิสมาจาริกวตั รนั้นเพราะความทตี่ นมีอุปนสิ ัยสมบรู ณ ตอ กาลไมนานนักก็ตรสั รปู จเจกสัมโพธิปรากฏในเมอื งพาราณสที ง้ั ส้ิน เปนราวกะวา พระจันทรเ ต็มดวงปรากฏอยูในทองฟา ไดเ ปน ผูถ ึงความเปน ผูเลิศดวยลาภและเลิศดวยยศ. ทานไดปรนิ ิพพานตอกาลไมนานเลย เพราะความที่แหงกรรมซึ่งอาํ นวยผลใหเปนผูมีอายุนอยอนั ตนทําแลว. ลําดับนน้ั พระปจ เจกพุทธะทั้งหลาย และมหาชน (ชว ยกนั ) ทาํ สรีรกิจของทา นแลว ถือเอาธาตุประดษิ ฐานพระ-สถปู ไวใกลป ระตูพระนคร.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 156 ฝา ยสังขพราหมณ คดิ วา \" บุตรของเราไปนานแลว , เราจักรูความเปน ไปของเขา\" ปรารถนาจะเหน็ บุตรน้ัน จึงออกจากเมอื งตักกสิลา ถงึเมอื งพาราณสโี ดยลาํ ดบั เหน็ หมมู หาชนประชุมกนั แลว คิดวา \" ในชนเหลา น้ี แมคนหนงึ่ จักรูความเปนไปแหง บุตรของเราเปนแน. \" จงึ เขาไปหาแลว ถามวา \" มาณพชอื่ สุสิมะมาในทน่ี ้,ี ทา นทัง้ หลายทราบขา วคราวของเขาบางหรอื หนอ ?\" มหาชนตอบวา \" เออ พราหมณ เราร,ูสุสมิ มาณพนั้นสาธยายไตรเพท ในสํานกั ของพราหมณช่อื โนน บวชแลวทาํ ใหแจงซง่ึ ปจ เจกโพธปิ ญ ญา ปรนิ พิ พานแลว , นส้ี ถปู ของทานอนั เราทง้ั หลายใหตัง้ เฉพาะแลว .\" สังขพราหมณนน้ั ประหารพน้ื ดินดว ยมอืรอ งใหค ราํ่ ครวญแลว ไปยังลานพระเจดยี  ถอนหญาข้นึ แลว เอาผาหมนาํ ทรายมา เกล่ียลงท่ีลานพระเจดีย ประพรมดวยน้ําในลักจั่น ทาํ บูชาดวยดอกไมปา ยกธงแผน ผาดว ยผาสาฎก ผกู ฉตั รของตนในเบอ้ื งบนแหงพระสถูปแลว ก็หลีกไป. อานิสงสแหงการบรจิ าคสขุ พอประมาณ พระศาสดา ครั้นทรงนาํ อดตี นทิ านน้มี าแลว ตรสั วา \" ภิกษทุ ้งั หลายในกาลน้นั เราไดเ ปนสงั ขพราหมณ, เราไดถอนหญาในลานพระเจดยี  ของพระปจเจกพทุ ธะชอ่ื สสุ มิ ะ, ดวยผลแหงกรรมของเรานั้น ชนท้ังหลายจงึทาํ หนทาง ๘ โยชนใหป ราศจากตอและหนามทาํ ใหส ะอาด มพี ืน้ สม่าํ เสมอ,เราไดเกลยี่ ทรายลงในลานพระเจดยี น ัน้ , ดว ยผลแหง กรรมของเราน้นัชนท้งั หลายจงึ เกลยี่ ทรายลงในหนทาง ๘ โยชนแลว; เราทาํ การบูชาดวยดอกไมป า ที่พระสถูปนั้น, ดวยผลแหง กรรมของเรานั้น ชนทัง้ หลายจงึโปรยดอกไมสีตาง ๆ ลงในหนทาง ๘ โยชน, น้าํ ในคงคาในทปี่ ระมาณ

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 157โยชนห นงึ่ จึงดาดาษไปดวยดอกปทุม ๕ ส,ี เราไดประพรมพนื้ ที่ในลานพระเจดยี นน้ั ดว ยน้ําในลกั จน่ั , ดว ยผลแหง กรรมของเรานั้น ฝนโบก-ขรพรรษจงึ ตกลงในเมอื งไพศาล,ี เราไดยกธงแผนผา ขน้ึ และผกู ฉตั รไวบนพระเจดยี น น้ั , ดว ยผลแหง กรรมของเรานัน้ หองจกั รวาลท้งั สนิ้ จงึเปนราวกะวามีมหรสพเปนอันเดยี วกัน ดวยธงชัย ธงแผนผา และฉตั รซอน ๆ กนั เปน ตน ตลอดถึงอกนิฏฐภพ, ภกิ ษทุ ั้งหลาย เพราะเหตดุ ังนี้แลบชู าสกั การะนน่ั เกดิ ในแกเรา ดว ยพทุ ธานภุ าพกห็ าไม, เกดิ ขึ้นดวยอานภุ าพแหง นาคเทวดาและพรหมก็หาไม, แตว า เกิดขึ้นดว ยอานภุ าพแหง การบริจาคมีประมาณนอ ย ในอดตี กาล ดังนีแ้ ลว เมอ่ื จะทรงแสดงธรรมจงึ ตรสั พระคาถานีว้ า:-๑. มตฺตาสขุ ปริจจฺ าคา ปสฺเส เจ วิปุล สุข จเช มตตฺ าสุข ธโี ร สมปฺ สฺส วปิ ลุ  สขุ  . \" ถา บคุ คลพงึ เห็นสุขอันไพบูลย เพราะสละสุข พอประมาณเสยี , ผมู ีปญญา เมอ่ื เห็นสุขอันไพบลู ย ก็พงึ สละสุขพอประมาณเสีย [จึงจะไดพ บสขุ อนั ไพบลู ย] .\" แกอรรถ บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา มตฺตาสขุ ปรจิ ฺจาคา ความวา เพราะสละสุขเลก็ นอยพอประมาณ ท่ีพระผมู พี ระภาคเจาตรสั วา \"มตตฺ าสุข .\"สุขอนั โอฬาร ไดแกส ขุ คือพระนพิ พาน พระผูมพี ระภาคเจาตรสั วา สุขอนัไพบูลย. ความวา ถาบคุ คลพงึ เหน็ สขุ อนั ไพบูลยน นั้ . ทานกลาวคําอธบิ ายไวด งั นี้วา \" ก็ชือ่ วาสุขพอประมาณ ยอ มเกิด

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 158ขนึ้ แกบุคคลผูใหจ ดั แจงถาดโภชนะถาดหนง่ึ แลว บรโิ ภคอยู, สว นชอ่ื วานิพพานสุข อนั ไพบูลย คืออนั โอฬาร ยอ มเกดิ ขนึ้ แกบ ุคคลผสู ละสขุ พอประมาณนน้ั เสียแลว ทําอโุ บสถอยูบ า ง; ใหทานอยบู าง; เพราะเหตุนนั้ถาบุคคลเหน็ สุขอนั ไพบูลย เพราะสละสขุ พอประมาณนน้ั เสีย อยา งน้นั ,เมือ่ เชน นัน้ บัณฑติ เมอ่ื เห็นสุขอนั ไพบลู ยน่ันโดยชอบ ก็พึงสละสุขพอประ-มาณนน้ั เสยี . ในกาลจบเทศนา ชนเปนอันมากบรรลอุ รยิ ผลทัง้ หลาย มีโสดา-ปต ติผลเปน ตน ดงั น้ีแล. เรื่องบรุ พกรรมของพระองค จบ.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 159 ๒. เรื่องกุมารกิ ากนิ ไขไก [๒๑๕] ขอ ความเบ้ืองตน พระศาสดา เม่อื ประทบั อยใู นพระเชตวัน ทรงปรารภกุมารกิ าผูกินไขไกคนหน่งึ ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา \" ปรทุกฺขูปธาเนน \"เปนตน . แมไ กผูกอาฆาตในนางกมุ ารกิ า ไดย ินวา บานหนึง่ ชอ่ื ปณ ฑุระ อยไู มไกลเมอื งสาวตั ถี, ในบานนัน้ มีชาวประมงอยคู นหนงึ่ . เขาเมื่อไปยงั เมืองสาวัตถี เห็นไขเตา รมิ -ฝงแมน าํ้ อจิรวดีแลว ถือเอาไขเ ตา เหลาน้นั ไปสเู มืองสาวัตถีใหตม ในเรอื นหลังหนึง่ แลวเคยี้ วกิน ไดใหไ ขฟ องหนงึ่ แกก มุ ารกิ าในเรอื นนัน้ . นางเคยี้ วกนิ ไขเตานนั้ แลว จําเดิมแตนนั้ ไมป รารถนาซงึ่ ของควรเคย้ี วอยา งอ่ืน. คร้ังนนั้ มารดาของนาง ถือเอาไขฟ องหนึง่ จากท่ีแมไกไ ขแ ลว ไดให (แกนาง). นางเคีย้ วกนิ ไขฟองน้ันแลว อันความอยากในรสผกู แลวจําเดมิ แตนนั้ ก็ถอื เอาไขไ กมาเคี้ยวกนิ เองทีเดียว. ในเวลาตกฟอง แมไกเหน็ กมุ าริกานั้นถือเอาไขข องตนเคยี้ วกนิ อยู ถกู กมุ าริกานั้นเบียดเบียนแลวผกู อาฆาต ตั้งความปรารถนาวา \" บดั นเี้ ราเคลอื่ นจากอัตภาพนแ้ี ลว พึงเกดิ เปนยกั ษิณี เปนผูสามารถจะเค้ียวกินทารกของเจา \" ทํากาละแลวบงั เกิดเปนนางแมวในเรอื นน้นั นั่นเอง. การจองเวรกันใหเ กดิ ทุกข แมนางกุมาริกานอกนี้ ทาํ กาละแลว บังเกิดเปน แมไ กในเรือนน้ันเหมอื นกัน. แมไ กตกฟองท้ังหลายแลว. นางแมวมาเค้ียวกินฟองไขเหลา นัน้ แลว แมค รง้ั ที่ ๒ แมค รงั้ ที่ ๓ กเ็ คีย้ วกินแลว เหมอื นกัน. แมไก

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 160ทําความปรารถนาวา \" เจาเคี้ยวกินฟองไขท้งั หลายของเราตลอด ๓ คราวบดั น้ี ยังปรารถนาจะเค้ียวกนิ เรา, เราเคลอ่ื นจากอัตภาพนแ้ี ลว พึงไดเพือ่ เค้ียวกินเจา พรอมทงั้ ลูก \" เคล่อื นจากอตั ภาพนนั้ แลว บงั เกดิ เปนนางเสือเหลอื ง. ฝา ยนางแมวนอกน้ี ทาํ กาละแลวบังเกดิ เปนนางเนอ้ื . ในเวลานางเนื้อนัน้ คลอดแลว นางเสือเหลอื งกม็ าเค้ียวกินนางเน้ือนน้ั พรอมดว ยลกูทั้งหลาย. สองสัตวนน้ั เคี้ยวกินอยูอยา งน้ี ยงั ทุกขใ หเกิดขน้ึ แกกันและกันใน ๕๐๐ อัตภาพ ในท่สี ุดนางหนง่ึ เกิดเปน ยักษิณ,ี นางหนงึ่ เกดิ เปนกุลธดิ าในเมืองสาวัตถ.ี เบื้องหนา แตน ี้ พงึ ทราบโดยนยั ท่ีกลาวไวแลว ในพระคาถาวา\" น หิ เวเรน เวรานิ \" เปนอาทิ น่นั แล. แตใ นเร่ืองนี้ พระศาสดาตรัสวา \" ก็เวรยอมระงับดวยความไมมีเวร, ยอมไมร ะงบั ดว ยเวร,\" ดังนีแ้ ลว เมือ่ จะทรงแสดงธรรมแกช นแมท ้งั สองงจึงตรสั พระคาถานว้ี า :-๒. ปรทุกขปู ธาเนน โย อตตฺ โน สขุ มิจฺฉติ เวรส สคคฺ ส สฏโ  เวรา โส น ปริมุจฺจติ. \" ผใู ด ยอ มปรารถนาสขุ เพื่อตน เพราะกอ ทุกข ในผอู ืน่ , ผูน ั้น เปนผรู ะคนดวยเครือ่ งระคนคอื เวร ยอมไมพ น จากเวรได.\" แกอรรถ บรรดาบทเหลานน้ั บทวา ปรทุกฺขปุ ธาเนน ความวา เพราะกอทกุ ขในผูอ น่ื , อธิบายวา เพราะยังทุกขใ หเ กดิ ขนึ้ แกผ อู ่นื .

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 161 บาทพระคาถาวา เวรส สคฺคส สฏโ  ความวา บคุ คลนนั้ เปนผูระคนแลวดวยเคร่อื งระคนคือเวร อนั ตนทาํ ใหแ กก ันและกัน ดว ยสามารถแหงการดา และการดา ตอบ การประหารและการประหารตอบ เปน ตน. บาทพระคาถาวา เวรา โส น ปรมิ จุ ฺจติ ความวา ยอมถงึ ทกุ ขอยางเดียว ตลอดกาลเปนนิตย ดวยสามารถแหง เวร. ในกาลจบเทศนา นางยกั ษณิ ีตงั้ อยใู นสรณะท้ังหลาย สมาทานศลี ๕พนแลว จากเวร, ฝา ยกุลธดิ านอกนตี้ ง้ั อยูในโสดาปตตผิ ลแลว, เทศนาไดม ีประโยชนแมแกบคุ คลผปู ระชุมกนั แลว ดังน้แี ล. เรื่องกมุ ารกิ ากนิ ไขไก จบ.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 162๓. เรอ่ื งภิกษชุ าวนครภทั ทยิ ะ [๒๑๖] ขอความเบือ้ งตนพระศาสดา เมอื่ เสด็จอาศัยนครภทั ทิยะ ประทับอยใู นชาตยิ าวันทรงปรารภภกิ ษุชาวนครภัททยิ ะ ตรัสพระธรรมเทศนานวี้ า \" ย หิ กิจจฺ  \"เปน ตน . ภกิ ษลุ ะเลยสมณกจิดังไดส ดับมา ภิกษุชาวนครภทั ทิยะเหลา น้นั ไดเ ปน ผขู วนขวายในการประดับเขยี งเทา .สมจรงิ ตามทพี่ ระอุบาลเี ถระกลา วไววา \" กโ็ ดยสมยั นนั้ แล พวกภกิ ษุนครภัททยิ ะ ตามประกอบความเพยี รในการประดับเขียงเทา ชนิดตา ง ๆ กันอยู : ทําเองบา ง ใหคนอนื่ ทาํ บาง ซงึ่ เขยี งเทาหญาธรรมดาทาํ เองบาง ใหค นอืน่ ทําบา ง ซงึ่ เขียงเทา หญา ปลอ ง เขียงเทาหญา มงุ กระตายเขียงเทาตนแปง เขียงเทา ผากัมพล, ยอ มละทง้ิ อทุ เทส (ศึกษาเลาเรียนธรรมวินัย) ปริปุจฉา (การไตถ าม) อธิศีล (อินทรยี สงั วร) อธจิ ติ(สมถภาวนา) อธปิ ญญา (วปิ ส สนาภาวนา). ภกิ ษุทง้ั หลาย ตาํ หนิโทษความที่ทาํ เชน นนั้ ของภิกษุเหลา นั้น จึงกราบทลู แดพระศาสดา. พระศาสดาทรงตําหนโิ ทษแลวเทศนาพระศาสดา ทรงตเิ ตียนภกิ ษุเหลา นัน้ แลว ตรัสวา \" ภกิ ษทุ ้ังหลายเธอทงั้ หลายมาดวยกิจอยา งอืน่ แลว ขวนขวายในกจิ อยางอืน่ แล \" ดังน้ีแลวเมื่อจะทรงแสดงธรรม ไดต รัสพระคาถาเหลาน้วี า :-๓. ยหฺ ิ กิจจฺ  ตทปวทิ ธฺ  อกจิ ฺจ ปน กยริ ต๑ิอุนนฺ ฬาน ปมตตฺ าน เตส วฑฒฺ นฺติ อาสวา.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 163 เยสจฺ สุสมารทฺธา นิจจฺ  กายคตา สติ อกจิ ฺจนเฺ ต น เสวนฺติ กิจเฺ จ สาตจจฺ การิโน สตาน สมปฺ ชานาน อตถฺ  คจฉฺ นตฺ ิ อาสวา. \" ก็ ภิกษุละทิ้งสิ่งทคี่ วรทาํ , แตทําสิง่ ท่ีไมค วร ทํา; อาสวะ๑ทง้ั หลาย ยอ มเจริญแกภกิ ษเุ หลานั้น ผูม ี มานะประดจุ ไมอออนั ยกขน้ึ แลว ประมาทแลว; สวน สตอิ นั ไปในกาย อนั ภกิ ษุเหลา ใด ปรารภดวยดเี ปน นิตย, ภกิ ษุเหลานั้นมีปกติทําเนอื ง ๆ ในกิจที่ควรทํา ยอมไมเ สพสิ่งทีไ่ มควรทํา; อาสวะทง้ั หลายของภกิ ษุ เหลานั้น ผมู ีสติ มสี ัมปชญั ญะ ยอ มถงึ ความตัง้ อยู ไมไ ด.\" แกอรรถ บรรดาบทเหลา นนั้ สองบทวา ย หิ กจิ จฺ  ความวา กก็ รรมมอี าทิอยา งน้คี ือ การคุม ครองศีลขันธอนั หาประมาณมไิ ด การอยปู าเปนวัตร การรักษาธุดงค ความเปนผูยนิ ดใี นภาวนา ช่ือวา เปน กจิ อันควรทาํของภิกษุ จาํ เดิมแตกาลบวชแลว. แตภกิ ษุเหลานลี้ ะเลย คอื ทอดทงิ้ กิจที่ควรทําของตนเสยี . บทวา อกจิ จฺ  เปน ตน ความวา ก็การประดบั รม การประดบัรองเทา การประดับเขียงเทา บาตร โอ ธมกรก ประคดเอว อังสะ ชือ่ วาเปน กจิ ไมควรทําของภิกษุ. อธบิ ายวา ภกิ ษุเหลา ใดทาํ สิง่ นนั้ , อาสวะ๑. อาสวะมี ๔ คือ กามาสวะ อาสวะคือกาม ๑ ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๑ ทฏิ ฐาสวะ อาสวะคือความเห็นผดิ ๑ อวชิ ชาสวะ อาสวะคอื อวชิ ชา ๑.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 164ท้ัง ๔ ยอมเจริญแกภิกษเุ หลา น้ัน ผชู อ่ื วา มีมานะประดุจไมอ อ อันยกขึน้แลว เพราะการยกมานะเพียงดงั ไมออ เทีย่ วไป ช่ือวา ประมาทแลว เพราะปลอ ยสติ. บทวา สสุ มารทธฺ า ไดแก ประคองไวด ีแลว. สองบทวา กายคตา สติ ไดแก ภาวนาอนั เปน เคร่อื งตามเหน็ กาย. บทวา อกจิ ฺ จ ความวา ภิกษุเหลา น้นั ยอมไมเ สพ คือไมท ําส่งิ ที่ไมควรทาํ นั่น มกี ารประดบั รม เปน ตน . บทวา กจิ เฺ จ ความวา ในส่งิ อันตนพงึ ทํา คอื ในกรณียะ มีการคมุ ครองศลี ขนั ธอ ันหาประมาณมไิ ดเปน ตน จําเดิมแตก าลบวชแลว. บทวา สาตจฺจการโิ น ไดแก มปี กตทิ ําเนือง ๆ คือทําไมหยุด,อธบิ ายวา อาสวะแมท ั้ง ๔ ของภิกษุเหลา นน้ั ผูช อื่ วามีสติ เพราะไมอยูปราศจากสติ ผูช่ือวา มสี ัมปชญั ญะ เพราะสมั ปชัญญะ ๔ อยาง คอื' สาตถกสมั ปชญั ญะ สปั ปายสมั ปชญั ญะ โคจรสัมปชญั ญะ อสมั โมห-สัมปชญั ญะ ' ยอมถงึ ความต้ังอยไู มได คือถงึ ความสิ้นไป ไดแ ก ไมม .ี ในกาลจบเทศนา ภกิ ษเุ หลานัน้ ตงั้ อยใู นพระอรหัตแลว . เทศนาไดมีประโยชนแ มแ กบ ุคคลทป่ี ระชุมกนั แลว ดงั นแ้ี ล. เรอื่ งภิกษุชาวนครภทั ทยิ ะ จบ.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 165 ๔. เรื่องพระลกณุ ฏกภทั ทิยเถระ [๒๑๗] ขอ ความเบอ้ื งตน พระศาสดา เม่อื ประทบั อยใู นพระเชตวัน ทรงปรารภพระลกณุ ฏก-ภทั ทยิ เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานีว้ า \" มาตร ปต ร หนฺตวฺ า \"เปนตน. อาคนั ตกุ ภกิ ษเุ ขา เฝา พระศาสดา ความพิสดารวา วนั หน่งึ ภกิ ษุอาคันตกุ ะหลายรปู ดว ยกัน เขาไปเฝา พระศาสดา ผูประทับนงั่ ณ ทปี่ ระทบั กลางวนั ถวายบงั คมแลวนงั่ณ ทคี่ วรขางหนึง่ . ขณะนัน้ พระลกุณฏกภัททยิ เถระเดนิ ผา นไปในที่ไมไ กลแหง พระผูมีพระภาคเจา . พระศาสดา ทรงทราบวารจติ (คอื ความคดิ ) ของภิกษุเหลา นน้ั แลวตรัสวา \" ภิกษทุ ้งั หลาย พวกเธอเหน็ หรอื ? ภิกษนุ ้ีฆามารดาบิดาแลวเปน ผไู มมีทุกข ไปอยู \" เม่อื ภิกษุเหลา นน้ั มองดหู นากนั และกนั แลว แลนไปสคู วามสงสยั วา \" พระศาสดา ตรสั อะไรหนอแล ?\" จงึ กราบทลู วา\" พระองคตรสั คาํ นนั่ ชื่ออะไร ?\" เมอ่ื จะทรงแสดงธรรมแกภกิ ษุเหลา นนั้จึงตรัสพระคาถาน้ีวา:-๔. มาตร ปตร หนฺตวฺ า ราชาโน เทฺว จ ขตตฺ ิเย รฏ  สานุจร หนตฺ วฺ า อนโี ฆ ยาติ พฺราหมฺ โณ. \" บุคคลฆามารดาบดิ า ฆาพระราชาผเู ปน กษตั รยิ  ทง้ั สอง และฆา แวนแควน พรอ มดว ยเจาพนักงาน เก็บสวยแลว เปน พราหมณ ไมม ที ุกข ไปอยู.\"

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 166 แกอ รรถ บรรดาบทเหลา นั้น บทวา สานุจร ไดแก ผูเ ปน ไปกบั ดวยผจู ัดการสวยใหสาํ เรจ็ คอื เจาพนกั งานเกบ็ สวย. กใ็ นพระคาถานี้ บณั ฑติ พึงทราบวนิ ิจฉยั วา ตัณหา ชอื่ วา มารดาเพราะใหสตั วทั้งหลายเกิดในภพ ๓ เพราะบาลีวา \" ตัณหายังบุรษุ ใหเกดิ .\" อสั มมิ านะ๑ ชอ่ื วา บิดา เพราะอสั มิมานะอาศยั บิดาเกิดขึ้นวา \" เราเปน ราชโอรสของพระราชาชอื่ โนน หรือเปนบตุ รของมหาอํามาตยของพระราชาชือ่ โนน\" เปนตน. ทฏิ ฐิทกุ ชนดิ ยอมองิ สสั สตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิท้ังสอง เหมือนชาวโลกอาศยั พระราชาฉะนน้ั , เพราะฉะนัน้ สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิจึงชอ่ื วา พระราชาผกู ษตั ริยสองพระองค. อายตนะ ๑๒๒ ชือ่ วา แวนแควน เพราะคลา ยคลึงกบั แวนแควนโดยอรรถวากวา งขวาง. ความกําหนัดดวยอํานาจความยินดี ซงึ่ อาศัยอายตนะนั้น ดจุ บรุ ษุ เกบ็ สวย จัดการสวยใหส ําเร็จ ช่อื วาเจาพนักงานเก็บสวย. บทวา อนโี ฆ ไดแก ไมมีทุกข. บทวา พฺราหมฺโณ ไดแ กผูมอี าสวะสิน้ แลว . ในพระคาถานี้ มอี ธิบายดังน้ี \" ผูช่อื วา มีอาสวะสนิ้ แลว เพราะกเิ ลสเหลา นนั้ มตี ัณหาเปน ตน อันตนกาํ จัดได ดวยดาบคอื อรหตั มรรค-ญาณ จึงเปนผูไมม ีทกุ ข ไปอย.ู \" ในกาลจบเทศนา ภิกษเุ หลาน้นั ดาํ รงอยูในพระอรหตั แลว.๑. การถือวา เปนเรา. ๒. อายตนะภายใน ๖ มจี ักษเุ ปนตน . ภายนอก ๖ มรี ปู เปน ตน.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 167 (พระคาถาท่ี ๒) แมในพระคาถาท่ี ๒ เร่ืองกเ็ หมือนกบั เรอ่ื งกอ นนน่ั เอง. แมใ นกาลนั้น พระศาสดาทรงปรารภพระลกณุ ฏกภัททยิ เถระเหมอื นกนั เมื่อจะทรงแสดงธรรมแกภิกษเุ หลา นัน้ จึงตรสั พระคาถานวี้ า :- มาตร ปตร หนตฺ ฺวา ราชาโน เทวฺ จ โสตถฺ ิเย เวยฺยคฆฺ ปจฺ ม หนฺตฺวา อนโี ฆ ยาติ พฺราหฺมโณ. \" บุคคลฆา มารดาบดิ า ฆา พระราชาผูเ ปน พราหมณ ทง้ั สองไดแ ลว และฆาหมวด ๕ แหงนิวรณม ีวจิ ิกิจฉา- นวิ รณ เชน กับหนทางทเ่ี สือโครง เทีย่ วไปเปนท่ี ๕ แลว เปนพราหมณ ไมมีทุกข ไปอยู. \" แกอรรถ บรรดาบทเหลาน้นั สองบทวา เทฺว จ โสตฺถเิ ย คอื ผเู ปนพราหมณท้งั สองดว ย. ก็ในพระคาถาน้ี พระศาสดาตรสั สสั สตทฏิ ฐแิ ละอจุ เฉททฏิ ฐิใหเปนพระราชาผูเปนพราหมณทงั้ สอง เพราะพระองคเ ปน ใหญในพระธรรมและเพราะพระองคเ ปน ผฉู ลาดในวิธเี ทศนา. บัณฑติ พึงทราบวเิ คราะห ในบท เวยฺยคฆฺ ปฺจม นี้ วาหนทางที่เสอื โครงเทยี่ วไป มภี ัยรอบดา น เดินไปลาํ บาก ช่อื วาทางทเ่ี สือโครงเทย่ี วไปแลว. แมว จิ กิ จิ ฉานิวรณ ช่ือวาเปน ดจุ ทางทเ่ี สือโครงเที่ยวไปแลวเพราะความทว่ี ิจกิ ิจฉานิวรณน ัน้ คลา ยกบั ทนทางอนั เสือโครงเท่ียวไปแลว น้นั , วจิ กิ จิ ฉานวิ รณเ ชน กบั ทนทางท่เี สือโครงเที่ยวไปแลว นนั้ เปนที่ ๕ แหงหมวด ๕ แหงนวิ รณนั้น เพราะฉะน้ัน หมวด ๕ แหงนิวรณจึงชอื่ วามีวจิ กิ จิ ฉานีวรณ เชนกับทนทางทเี่ สือโครงเที่ยวไปแลว เปน ที่ ๕.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 168 ในพระคาถาที่ ๒ นี้ มีอธบิ ายดงั นีว้ า \" กบ็ ุคคลฆา หมวด ๕ แหงนวี รณมีวจิ กิ ิจฉานวี รณเชนกับทนทางท่เี สอื โครง เท่ียวไปแลวเปน ท่ี ๕ นี้ไมใ หม สี ว นเหลือ ดว ยดาบคืออรหตั มรรคญาณ เปนพราหมณ ไมม ีทุกขเทย่ี วไปอย.ู \" บททเ่ี หลือ เปนเชน กับบทท่ีมีในกอ นนน่ั แล ดังนีแ้ ล. เร่ืองพระลกุณฏกภัททิยเถระ จบ.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 169 ๕. เรอื่ งนายทารสุ ากฏิกะ [๒๑๘] ขอ ความเบอ้ื งตน พระศาสดา เมอื่ ประทบั อยใู นพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุตรของนายทารุสากฏกิ ะ ตรัสพระธรรมเทศนานว้ี า \" สปุ ปฺ พทุ ฺธ \" เปน ตน. เดก็ สองคนเลน ขลบุ ความพสิ ดารวา เดก็ ในพระนครราชคฤหสองคน คือ \" บุตรของบุคคลผเู ปนสมั มาทิฏฐิคนหนง่ึ บตุ รของบคุ คลผูเปนมิจฉาทฏิ ฐคิ นหน่ึง\"เลนขลบุ อยูดว ยกันเนอื ง ๆ. ในเด็กสองคนนัน้ บตุ รของบุคคลผูเ ปนสัมมาทิฏฐิ เมอื่ จะทอดขลุบ. ระลึกถึงพุทธานุสสติแลวกลา ววา \" นโมพุทธฺ สสฺ \" แลว จึงทอดขลุบ. เด็กนอกนีร้ ะลกึ เฉพาะพระคณุ ทงั้ หลายของพวกเดยี รถียแลว กลาววา \"นโม อรหนตฺ านิ \" แลว จงึ ทอด.ในเด็กสองคนนน้ั บตุ รของบคุ คลผเู ปน สมั มาทฏิ ฐิ ยอมชนะ, เดก็ คนนอกนี้ ยอ มแพ. บุตรของบุคคลผเู ปนมิจฉาทฏิ ฐินั้น เห็นกิริยาของบุตรผเู ปนสมั มาทิฏฐนิ ้ันแลว คดิ วา \" เพ่ือนคนนี้ ระลึกแลว อยางนน้ั กลา วแลวอยา งนัน้ ทอดขลุบไปจึงชนะเรา, แมเราก็จกั ทําอยางนน้ั (บา ง)\"ไดทําการสัง่ สมในพทุ ธานุสสติแลว . เดก็ ผูเปนสัมมาทฏิ ฐิไปปากบั บดิ า ภายหลังวันหน่งึ บดิ าของเด็กผเู ปน สัมมาทิฏฐินั้น เทยี มเกวียนแลว ไปเพ่อื ตองการไม ไดพ าเด็กแมน้นั ไปแลว บรรทุกเกวยี นใหเต็มแลวดวยไมในดง ขับมาอยู (ถงึ ) ภายนอกเมือง ปลอยโคไปในท่ีอนั มีความสาํ ราญดว ยน้ํา ในทใี่ กลปาชา แลว ไดก ระทาํ การจดั แจงภตั .

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 170 ลาํ ดับนนั้ โคของเขาเขาไปสูเ มืองกบั หมูโคทเ่ี ขา ไปสเู มอื งในเวลาเยน็ . ฝายนายสากฏกิ ะเทยี่ วติดตามโคอยู เขา ไปสเู มอื งแลว ในเวลาเย็นพบโคแลวจูงออกไปอยู ไมท นั ถงึ ประตู ก็เมอ่ื เขายังไมท ันถงึ นั่นแหละ,ประตปู ด เสยี แลว . ขณะนน้ั บตุ รของเขาผเู ดียวเทา นนั้ นอนแลว ในภายใตแหงเกวียนในสวนแหงราตรีกาวลงสคู วามหลบั แลว. เจริญพุทธานุสสติปอ งกันอมนุษยไ ด ก็กรุงราชคฤห แมตามปกติก็มากไปดว ยอมนุษย. อนึ่ง เดก็ น้ีก็นอนแลว ในที่ใกลแ หง ปาชา. พวกอมนุษยในทใ่ี กลแ หงปาชา นนั้ เหน็เขาแลว . อมนุษยค นหนง่ึ ผูเปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ เปน เสีย้ นหนามตอ พระ-ศาสนา, อมนุษยตนหนง่ึ เปน สัมมาทิฏฐิ. ในอมนษุ ยท งั้ สองน้ัน อมนุษยผูเปน มิจฉาทฏิ ฐกิ ลา ววา \" เด็กคนน้ีเปนภกั ษาหารของพวกเรา, พวกเราจงเคี้ยวกนิ เดก็ คนนี.้ \" อมนุษยผูเ ปนสัมมาทฏิ ฐินอกน้ี หา มอมนุษยผ เู ปน มิจฉาทิฏฐินัน้ ดวยคาํ วา \" อยา เลย,ทา นอยาชอบใจเลย.\" อมนษุ ยผเู ปนมิจฉาทฏิ ฐินั้น แมถกู อมนษุ ยผ ูเปนสมั มาทฏิ ฐิน้ันหามอยู กไ็ มเ อ้ือเฟอถอ ยคาํ ของเขา จับเทา เดก็ ครามาแลว . ในขณะนน้ั เดก็ นั้นกลา ววา \"นโม พทุ ธฺ สฺส\" เพราะความท่ีตนเปนผูส ง่ั สมในพุทธานุสสติ. อมนุษยก ลวั ภัยใหญ จงึ ไดถ อยไปยืนอยูแลว. อมนษุ ยรักษาและบํารงุ เด็กผูนอนในปา คนเดียว ลาํ ดับน้ัน อมนุษยผ ูเปนสมั มาทิฏฐินอกนี้ กลา วกะอมนษุ ยผ เู ปนมจิ ฉาทิฏฐนิ ้ันวา . \" พวกเราทําสิ่งอนั ไมค วรทาํ เสียแลว , พวกเราจงทาํทณั ฑกรรมเพอื่ เดก็ น้ันเสียเถิด\" ดงั นี้แลว ไดย ืนรักษาเดก็ น้นั . อมนษุ ย

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 171ผเู ปน มจิ ฉาทิฏฐิเขา ไปสูพ ระนคร ยงั ถาดโภชนะของพระราชาใหเ ตม็ แลวนาํ โภชนะมา. ตอ มา อมนุษยแมท ้งั สองเปน ประดุจวามารดาและบดิ าของเดก็ นัน้ปลกุ เดก็ นั้นใหลกุ ขนึ้ แลว ใหบริโภคโภชนะนัน้ ประกาศความเปนไปนัน้ แลว จารึกอักษรที่ถาดโภชนะ ดว ยอานุภาพของยกั ษ ดว ยอธษิ ฐานวา\" พระราชาเทา นั้น จงเหน็ อักษรเหลาน,ี้ คนอน่ื จงอยา เห็น\" ดงั น้แี ลวจึงไป. ในวันรงุ ขน้ึ พวกราชบุรษุ ทาํ ความโกลาหลอยูว า \" พวกโจรลกั เอาภณั ฑะคอื ภาชนะไปจากราชตระกูลแลว \" จึงปดประตูทั้งหลายแลวคน ดู เมื่อไมเห็นในพระนคร จึงออกจากพระนคร ตรวจดูขางโนนและขา งน้ี จงึ เห็นถาดอนั เปนวิการแหง ทองคําบนเกวียนทบี่ รรทุกฟน จึงจบัเด็กน้นั ดว ยความสําคัญวา \" เดก็ นีเ้ ปน โจร\" ดังนี้แลว แสดงแดพ ระราชา. เด็กถูกไตส วน พระราชาทอดพระเนตรเหน็ อักษรทง้ั หลายแลว ตรัสถามวา \" นี่อะไรกัน ? พอ.\" เด็กนนั้ กราบทูลวา \" ขาแตพ ระองคผ ูส มมติเทพขาพระองคไมทราบ, มารดาบิดาของขาพระองคม าใหบ รโิ ภคในราตรีแลวไดย นื รักษาอยู. ขาพระองคคิดวา ' มารดาบดิ ารกั ษาเราอยู\" จึงไมมีความกลวั เลย เขาถึงความหลับแลว , ขา พระองคท ราบเพยี งเทาน.้ี \" ลาํ ดบั นัน้ แมมารดาและบิดาของเด็กนน้ั ก็ไดไ ปสทู ่นี นั้ แลว. พระราชาทรงทราบความเปนไปนนั้ แลว ทรงพาชนทั้งสามนน้ั ไปสูสาํ นักพระศาสดา กราบทูลความเปนไปทั้งปวงแลว ทลู ถามวา \" ขาแต

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 172พระองคผเู จรญิ พุทธานสุ สตเิ ทานน้ั ยอ มเปนคณุ ชาตเิ ครื่องรกั ษาหรอืหนอแล ? หรอื วาอนุสสติอนื่ แมมธี ัมมานุสสติเปน ตน กเ็ ปน คุณชาติเครื่องรักษา.\" พระศาสดาทรงแสดงฐานะ ๖ลําดบั นั้น พระศาสดาตรสั แกพ ระราชาน้ันวา \" มหาบพติ ร พุทธา-นสุ สติอยางเดยี วเทานั้น เปน คุณชาตเิ ครือ่ งรกั ษาก็หามไิ ด, ก็จติ อนั ชนเหลาใดอบรมดแี ลวโดยฐานะ ๖. กิจดวยอันรกั ษาและปองกันอยา งอ่นืหรือดว ยมนตแ ละโอสถ ยอ มไมมีแกช นเหลา นนั้ ดงั น้แี ลว เมอ่ื จะทรงแสดงฐานะ ๖ ไดทรงภาษติ พระคาถาเหลาน้วี า :-๕. สุปปฺ พทุ ธฺ  ปพชุ ฌฺ นตฺ ิ ทา โคตมสาวกาเยส ทิวา จ รตฺโต จ นจิ จฺ  พุทธฺ คตา สต.ิปฺปพทุ ธฺ  พชุ ฌฺ นฺติ สทา โคตมสาวกาส ทวิ า จ รตฺโต จ นจิ ฺจ ธมมฺ คตา สต.ิปปฺ พุทธฺ  ปพชุ ฌฺ นฺติ สทา โคตมสาวกาส ทวิ า จ รตฺโต จ นิจจฺ  สงฺฆคตา สติ.ปฺปพุทฺธ ปพชุ ฌฺ นตฺ ิ สทา โคตมสาวกาส ทิวา จ รตโฺ ต จ นจิ จฺ  กายคตา สต.ิปปฺ พทุ ธฺ  ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกาส ทิวา จ รตโฺ ต จ อหึสาย รโต มโน.ปฺปพทุ ฺธ ปพุชฌฺ นตฺ ิ สทา โคตมสาวกาส ทิวา จ รตฺโต จ ภาวนาย รโต นโน.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 173 \" สตขิ องชนเหลา ใด ไปแลวในพระพุทธเจา เปน นิตย ทง้ั กลางวนั ทง้ั กลางคนื , ชนเหลา น้นั เปนสาวกของพระโคดม ต่ืนอยูดว ยดีในกาลทกุ เมื่อ. สตขิ องชนเหลาใด ไปแลว ในพระธรรมเปน นติ ย ท้ังกลางวนั ทง้ั กลางคืน, ชนเหลา น้นั เปน สาวกของ พระโคดม ตืน่ อยูดว ยดีในกาลทุกเมอื่ . สติของชนเหลาใด ไปแลว ในพระสงฆเปน นิตย ทง้ั กลางวันทงั้ กลางคนื , ชนเหลา น้ัน เปนสาวกของ พระโคดม ตื่นอยูด วยดีในกาลทกุ เมือ่ . สตขิ องชนเหลาใด ไปแลวในกายเปน นิตย ทง้ั กลางวันทงั้ กลางคืน, ชนเหลา นัน้ เปน สาวกของพระ- โคดม ตน่ื อยูดวยดใี นกาลทุกเมือ่ . ใจของชนเหลาใด ยนิ ดแี ลวในอนั ไมเ บยี ดเบียน ท้ังกลางวันทง้ั กลางคนื , ชนเหลานั้น เปน สาวกของ พระโคดม ต่ืนอยดู วยดใี นกาลทุกเมือ่ . ใจของชนเหลาใด ยินดแี ลวในภาวนา ทัง้ กลาง วนั ทงั้ กลางคนื , ชนเหลานัน้ เปน สาวกของพระโคดม ตืน่ อยูดวยดใี นกาลทุกเมอ่ื .\" แกอรรถ บรรดาบทเหลานัน้ บาทพระคาถาวา สุปปฺ พทุ ฺธ ปพุชฌฺ นฺติความวา ชนเหลา นัน้ ยดึ สตอิ ันไปแลวในพระพุทธเจา หลับอยูนน่ั เทยี วเมอ่ื ต่นื ชื่อวาตืน่ อยูดวยด.ี

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 174 บาทพระคาถาวา สทา โคตมสาวกา ความวา ชื่อวาเปนสาวกของพระโคดม เพราะความที่ตนเปน ผเู กิดแลวในท่สี ุดแหงการฟงแหงพระพทุ ธเจาผูโคตมโคตร (และ) เพราะความเปน คอื อนั ฟง อนุสาสนีของพระพทุ ธเจา พระองคน้นั น่นั แล. สองบทวา พุทฺธคตา สติ ความวา สตขิ องชนเหลา ใดปรารภพระพทุ ธคุณทงั้ หลายอนั ตา งดว ยคณุ มวี า \" อิตปิ  โส ภควา \" เปนตนเกดิ ขนึ้ อยู มีอยตู ลอดกาลเปนนติ ย, ชนเหลา น้นั ช่อื วา ตืน่ อยดู ว ยดแี มในกาลทกุ เมือ่ . กช็ นเหลานั้น เมื่อไมอาจ (เพอื่ จะกระทาํ ) อยา งนนั้ ไดทําซ่ึงพุทธานุสสตไิ วในใจ ในวันหน่งึ ๓ เวลา ๒ เวลา (หรอื ) แมเวลาเดยี ว ชอื่ วา ตน่ื อยูดวยดเี หมือนกนั . สองบทวา ธมมฺ คตา สต ความวา สตทิ ่ีปรารภพระธรรมคณุทง้ั หลาย อันตางดว ยคณุ มีวา \" สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม\" เปน ตนอันเกิดขึน้ อยู. สองบทวา สงฆฺ คตา สติ ความวา สติท่ปี รารภพระสงั ฆคุณทงั้ หลายอันตา งดว ยคณุ มวี า \" สปุ ฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ\" เปนตนอันเกิดขนึ้ อย.ู สองบทวา กายคตา สตคิ วามวา สติอันเกดิ ขน้ึ อยู ดวยสามารถแหง อาการ ๓๒ ดวยสามารถแหง การอยูใ นปา ชา ๙ ดว ยสามารถแหงรปู ฌานมีนีลกสิณอันเปน ไปในภายในเปน ตน. สองบทวา อหสึ าย รโต ความวา ยินดีแลวในกรุณาภาวนา(การเจรญิ กรณุ า) อนั พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั ไวอยางน้ีวา \" ภกิ ษุน้ันมีใจสหรคตดว ยกรุณา แผไ ปตลอดทศิ หน่งึ อย.ู \"

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 175 บทวา ภาวนาย ไดแก เมตตาภาวนา, จริงอยู ภาวนาทีเ่ หลอืแมท ้ังหมด พระผมู ีพระภาคเจาทรงประสงคเอาในบทวา \" ภาวนาย \"นี้ เพราะความทีก่ รุณาภาวนาพระองคต รสั ไวแลวในหนหลังแมโดยแท,ถึงดงั น้นั เมตตาภาวนาเทานั้น พระองคท รงประสงคเอาในบทวา\" ภาวนาย \" น,้ี คาํ ท่ีเหลือ ผศู ึกษาพงึ ทราบโดยนัยทก่ี ลา วแลว ในคาถาตนนั้นเทยี ว. ในกาลจบเทศนา ทารกนัน้ ดาํ รงอยใู นโสดาปตตผิ ล พรอมดวยมารดาและบิดาแลว. ครัน้ ภายหลัง ชนแมทง้ั หมดบวชแลว บรรลพุ ระ-อรหัต. เทศนาไดมปี ระโยชนแมแกช นผปู ระชมุ กนั แลว ดังนแ้ี ล. เรือ่ งนายทารสุ ากฏิกะ จบ.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 176 ๖. เรื่องภิกษุวัชชีบุตร [๒๑๙] ขอความเบื้องตน พระศาสดาเม่อื ทรงอาศัยกรงุ ไพศาลี ประทับอยูในปา มหาวัน ทรงปรารภภิกษผุ เู ปนโอรสของเจาวัชชรี ูปใดรูปหน่งึ ท่ีพระธรรมสงั คาห-กาจารย กลา วหมายเอาวา๑ \"ภิกษผุ ูเปน โอรสของเจา วัชชีรูปใดรูปหน่งึอยใู นราวปา แหงใดแหง หนงึ่ ใกลเ มอื งไพศาล.ี กโ็ ดยสมัยนัน้ แล ในกรุงไพศาลีมีการเลนมหรสพตลอดคืนยงั รุง. คร้ังนัน้ แล ภิกษุน้นั ไดย นิเสยี งกึกกองแหง ดนตรีทเ่ี ขาดีแลว และประโคมแลว คร่าํ ครวญอยู กลาวคาถานใี้ นเวลานัน้ วา :- \"พวกเราผเู ดยี ว ยอ มอยูใ นปา เหมอื นไมที่เขา ทง้ิ ไวแลวในปา, ในราตรีเชนน้ี บดั นี้ ใครเลา ? ทเ่ี ลวกวาพวกเรา.\"ตรสั พระธรรมเทศนานว้ี า \"ทปุ ปฺ พฺพชฺช ทรุ ภิรม \" เปน ตน. เสยี งกึกกอ งเปนปรปก ษต อ สมณเพศ ไดยินวา ภกิ ษนุ นั้ เปน ราชโอรสในแควน วชั ชี สละราชสมบัติท่ถี ึงแลว ตามวาระ บวชแลว ในกรงุ ไพศาล,ี เมือ่ ท่ัวทั้งพระนครอนั เขาประดับแลวดวยเคร่ืองประดับทัง้ หลาย มธี งชยั และธงแผนผาเปน ตน กระทําใหเนอื่ งเปนอันเดยี วกันกบั ชั้นจาตมุ หาราช, เม่อื วาระเปน ทเ่ี ลนมหรสพตลอดคนื ยงั รุง ในวันเพญ็ เปน ทบี่ านแหงดอกโกมุทเปนไปอย,ู ไดยนิเสียงกึกกองแหงดนตรี มกี ลองเปน ตนทเ่ี ขาตแี ลว และเสียงดนตรีมพี ิณเปน ตน ท่เี ขาประโคมแลว , เมือ่ พระราชาเจ็ดพันเจด็ รอยเจ็ดพระองค,๑. ส . ส. ๑๕/ ขอ ๗๘๓ วัชชปี ตุ ตสตู ร.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 177และขาราชบริพารทั้งหลาย มีอปุ ราชและเสนาบดเี ปน ตนของพระราชาเหลา นั้น ก็มีจาํ นวนเทา น้ันเหมือนกัน ซ่งึ มีอยใู นกรุงไพศาลี ประดับประดาแลว กา วลงสถู นนเพื่อตอ งการจะเลนนกั ษัตร, จงกรม (เดนิ กลับไปกลับมา) อยทู ่ีจงกรมใหญ ประมาณ ๖๐ ศอก เห็นพระจนั ทรเต็มดวงเดน อยูในกลางทองฟา ยืนพงิ แผน กระดาน ณ ทส่ี ดุ จงกรมแลว มองดูอัตภาพประดุจไมท ีเ่ ขาท้ิงไวใ นปา เพราะความท่ตี นเวนแลว จากผาสาํ หรบัโพกและเคร่ืองอลังการ คดิ อยูวา \"คนอืน่ ทเ่ี ลวกวาเรา มอี ยูห รอื หนอ ?\"แมป ระกอบดว ยคณุ มกี ารอยปู าเปน วัตรเปนตนตามปกติ ในขณะน้ัน ถกูความไมยินดยี ่งิ บีบคนั้ จึงกลาวอยา งนนั้ . เทวดากลา วคาถาใหเ กิดความสงั เวช ทานไดย นิ คาถานี้ ซึ่งเทวดาผสู งิ อยูในไพรสณฑนน้ั กลา วแลววา*:- \"ทา นผเู ดยี ว อยูใ นปา เหมอื นไมทเ่ี ขาท้งิ ไวใน ปา, ชนเปนอนั มาก ยอมกระหยง่ิ ตอทา นน้ัน ราว กะวา พวกสตั วนรก กระหยิม่ ตอชนท้งั หลาย ผไู ปสู สวรรคฉ ะน้ัน. ดว ยความประสงควา \"เราจกั ยังภกิ ษุนใ้ี หสังเวช\" ในวันรุงขน้ึเขา ไปเฝาพระศาสดา ถวายบงั คมแลว นั่ง. พระศาสดาทรงแสดงทกุ ข ๕ อยาง พระศาสดาทรงทราบเร่อื งนั้นแลว ประสงคจะประกาศความที่ฆราวาสเปน ทุกข จึงทรงรวบรวมทกุ ข ๕ อยางแลว ตรัสพระคาถานว้ี า :-๑. ส . ส. ๑๕/ขอ ๗๘๕.














































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook