Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_43

tripitaka_43

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_43

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 301 ในกาลจบเทศนา พระนางเขมาทรงดํารงอยูในพระอรหัต. เทศนาไดมีประโยชนแ มแกมหาชนแลว . พระศาสดาตรัสกะพระราชาวา \" มหา-บพิตร พระนางเขมาจะบวชหรือปรินพิ พาน จงึ ควร ?\" พระราชา. โปรดใหพระนางบวชเถดิ พระเจา ขา, อยา เลยดวยการปรินพิ พาน. พระนางบรรพชาแลว ก็ไดเ ปน สาวิกาผูเลิศ ดงั นแ้ี ล. เรื่องพระนางเขมา จบ.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 302 ๖. เร่ืองบุตรเศรษฐชี อ่ื อคุ คเสน [๒๔๕] ขอ ความเบ้อื งตน พระศาสดา เม่ือประทับอยใู นพระเวฬุวัน ทรงปรารภอคุ คเสนตรัสพระธรรมเทศนาน้วี า \" มุ จฺ ปเุ ร \" เปน ตน . อุคคเสนรักใครหญิงนักฟอน ไดย ินวา เมอื่ ครบปหรอื ๖ เดือนแลว พวกนกั ฟอ นประมาณ ๕๐๐ไปยังกรงุ ราชคฤห ทํามหรสพ (ถวาย) แดพ ระราชาตลอด ๗ วัน ไดเงนิ และทองเปน อันมาก, การตกรางวัลในระหวาง ๆ ไมมสี ้ินสุด. มหาชนตางก็ยนื บนเตียงเปน ตน ดมู หรสพ. ลําดับนนั้ ธิดานกั หกคะเมนคนหนึง่ ข้นึ ไปสูไมแ ปน หกคะเมนเบ้อื งบนของไมเ ปนนั้น เดนิ ฟอ นและขับรอ งบนอากาศ ณ ท่สี ดุ แหงไมแ ปน น้นั . สมยั นนั้ บตุ รเศรษฐีชื่ออุคคเสน ยืนอยบู นเตียงที่ (ตั้ง) ซอนๆกนั กบั ดว ยสหาย แลดูหญิงน้ัน มีความรกั เกดิ ข้นึ ในอาการทัง้ หลาย มกี ารแกวงมือและเทา เปน ตนของนาง ไปสูเ รือนแลว คดิ วา \" เราเมอ่ื ไดน างจงึ จกั เปนอย,ู เมื่อเราไมไดกจ็ ะตายเสยี ในทีน่ แ้ี หละ\" ดงั น้แี ลว กท็ าํ การตัดอาหาร นอนอยูบนเตียง; แมถ กู มารดาบดิ าถามวา \" พอ เจาเปน โรคอะไร ?\" ก็บอกวา \" เม่ือฉันไดลูกสาวของนกั ฟอนคนน้ัน ก็จะมชี วี ิตอยู,เมอ่ื ฉันไมได ก็จะตายเสียในทน่ี ี้น่ีแหละ,\" แมเมอื่ มารดาปลอบวา \" พอเจา อยา ทาํ อยา งนีเ้ ลย, พวกเราจักนํานางกุมารกิ าคนอน่ื ซึ่งสมควรแก

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 303ตระกูลและโภคะของพวกเรา มาใหแกเจา \" กย็ งั นอนกลาวอยางน้ันเหมือนกนั . อคุ คเสนไดน างนกั ฟอ นสมประสงค ลําดบั นั้นบดิ าของเขา แมออ นวอนเปนอันมาก เมือ่ ไมส ามารถจะใหเ ขายินยอมได จงึ เรียกสหายของนักฟอ นมา ใหทรพั ยพ ันกหาปณะแลวสงไปดวยสง่ั วา \" ทานจงรบั เอากหาปณะเหลา นแี้ ลว ใหลูกสาวของทานแกบ ตุ รชายของฉนั เถิด.\" นักฟอ นนัน้ กลาววา \" ขาพเจา รับเอากหาปณะแลว กใ็ หไมไ ด; ก็ถาวา บตุ รชาย (ของทา น) นน้ั ไมไ ดล กู สาว (ของขา พเจา ) น้แี ล ไมอาจจะเปน อยูไ ซร, ถา กระนัน้ บุตรของทา นจงเที่ยวไปกับดว ยพวกขาพเจาเถิด, ขา พเจา จกั ใหล กู สาวแกเ ขา.\" มารดาบดิ าบอกความนั้นแกบุตรแลว .เขาพูดวา \" ฉันจักเท่ียวไปกับพวกนกั ฟอ นน้นั \" ไมเอื้อเฟอ ถอยคาํ ของมารดาบดิ าเหลา นนั้ แมผอู อ นวอนอยู ไดออกไปยงั สํานักของนักฟอนแลว . นักฟอนนัน้ ใหล ูกสาวแกเขาแลว เทีย่ วแสดงศิลปะในบานนิคมและราชธานี กับดว ยเขาน่ันแหละ. ฝา ยนางนัน้ อาศัยการอยูร ว มกบั บตุ รเศรษฐีนัน้ ตอ กาลไมน านนักกไ็ ดบ ตุ ร เม่ือจะเยาบุตรนั้น จึงพดู วา \" ลูกของคนเฝาเกวียน, ลูกของคนหาบของ, ลกู ของคนไมรูอะไรๆ.\" ฝา ยบตุ รเศรษฐีนัน้ ขนหญามาใหโคทัง้ หลาย ในที่แหง ชนเหลา น้นัทําการกลบั เกวียนพักอยแู ลว , (และ) ยกเอาส่งิ ของท่ไี ดใ นท่ีแสดงศิลปะแลวนําไป, นยั วา หญิงน้ันหมายเอาบุตรเศรษฐนี ัน้ น่ันเอง เม่ือจะเยา บุตร

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 304จงึ กลาวอยา งนัน้ นั่นแล. บตุ รเศรษฐนี ัน้ ทราบความทนี่ างขับรองปรารภตน จึงถามวา \" หลอ นพูดหมายถงึ ฉันหรอื ?\" ภรรยา. จะ ฉันพดู หมายถงึ ทาน. บตุ รเศรษฐี. เมอื่ เชน น้ันฉันจักหนีละ. นางกลาววา \" ก็จะประโยชนอะไรของฉนั ดวยทา นผหู นไี ปหรือมาแลว \" ดังนีแ้ ลว กข็ ับเพลงบทนั้นน่ันแลเรื่อยไป. ไดย ินวา นางอาศยั รูปสมบัติของตน และทรพั ยซง่ึ เปนรายได จงึมิไดเ กรงใจบุตรเศรษฐนี ัน้ ในเร่ืองอะไร ๆ. บุตรเศรษฐีนัน้ คิดอยวู า \"นางนี้ มีการถือตวั เชนน้ี เพราะอาศัยอะไรเลาหนอ ?\" ทราบวา \" เพราะอาศยั ศลิ ปะ\" จึงคิดวา \" ชา งเถิด,เราก็จกั เรียนศลิ ปะ \" แลว ก็เขาไปหาพอ ตา เรยี นศิลปะอนั เปน ความรูของพอ ตานนั้ แสดงศิลปะ ในบา นนคิ มเปน ตนอยู มาถึงกรุงราชคฤหโดยลําดับ ใหป า วรองวา \" ในวนั ที่ ๗ แตว ันนี้ บุตรเศรษฐชี ่อื อคุ คเสนจักแสดงศิลปะแกชาวพระนคร.\" อุคคเสนแสดงศลิ ปะ ชาวพระนคร ใหผ กู เตยี งซอนๆ กนั เปนตนแลว ประชุมกันในวนั ท่ี ๗. ฝา ยอคุ คเสนน้นั ไดขึน้ ไปสูไมแ ปน (สงู ) ๖๐ ศอก ยืนอยบู นปลายไมแ ปน น้ัน. ในวันน้ัน พระศาสดาทรงตรวจดสู ัตวโลก ในเวลาใกลรงุ ทรงเหน็ อุคคเสนนัน้ เขา ไปในขา ยคือพระญาณของพระองค จึงทรงใคร-

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 305ครวญอยวู า \" เหตอุ ะไรหนอ ? จกั มี \" ไดทราบวา \" พรงุ นี้บุตรเศรษฐีจักยืนบนปลายไมเปน ดวยหวังวา \" จกั แสดงศลิ ปะ ' มหาชนจกั ประชุมกันเพอ่ื ดเู ขา, เราจกั แสดงคาถาประกอบดวยบท ๔ ในสมาคมน้นั ; การบรรลุธรรมจักมแี กสัตว ๘๔,๐๐๐ เพราะฟง ธรรมน้นั , แมอุคคเสนก็จกัตงั้ อยูในพระอรหัต.\" ในวันรงุ ขน้ึ พระองคท รงกําหนดเวลาแลว มีภกิ ษสุ งฆแวดลอมเสดจ็ เขา ไปยังกรุงราชคฤห เพื่อบณิ ฑบาต. ฝายอคุ คเสน เม่ือพระศาสดายังไมท นั เสดจ็ เขาไปภายในพระนครนน่ั แล จงึ ใหส ญั ญาดว ยนวิ้ มือแกมหาชน เพอ่ื ตอ งการใหเ อิกเกรกิ ยนื บนปลาไมแ ปน หกคะเมนในอากาศน่นั เองสน้ิ ๗ ครั้ง ลงมาแลวไดยนื บนปลายไมเ ปน อีก. อุคคเสนแสดงศิลปะแกพระมหาโมคคลั ลานะ ขณะนัน้ พระศาสดากาํ ลังเสด็จไปสพู ระนคร, ทรงกระทําโดยอาการทบ่ี ริษทั ไมแลดูเขา, ใหดูเฉพาะพระองคเทา นน้ั . อุคคเสนแลดูบริษทั แลว ถึงความเสยี ใจวา \" บรษิ ัทจะไมแลดเู รา \" จงึ คดิ วา \" ศลิ ปะนี้เราพงึ่ แสดง (ประจาํ ) ป, ก็เมือ่ พระศาสดาเสดจ็ เขาไปยังพระนครบรษิ ัทไมแลดูเรา แลดูแตพระศาสดาเทาน้ัน; การแสดงศิลปะของเราเปลา (ประโยชน) แลว หนอ.\" พระศาสดาทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสเรียกพระมหาโมค-คลั ลานะมาแลว ตรัสวา \"โมคคลั ลานะ เธอจงไป, พดู กะบุตรเศรษฐีวา\" นยั วา ทาน๑จงแสดงศลิ ปะ\" พระเถระไปยืนอยู ณ ภายใตไมแ ปน นน่ั แลเรยี กบุตรเศรษฐีมาแลว กลา วคาถานี้วา :-๑. คาํ วา ' ทาน ' ในทน่ี ี้ เปนปฐมบุรษุ .

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 306 \" เชิญเถดิ อุคคเสน บตุ รคนฟอ น ผูมีกาํ ลังมาก เชิญทา นจงด,ู เชญิ ทานทําความยินดีแกบรษิ ทั เถดิ , เชญิ ทานทาํ ใหมหาชนรา เรงิ เถิด.\" เขาไดย ินถอยคําของพระเถระแลว เปนผมู ใี จยินดี หวังวา \" พระ-ศาสดามพี ระประสงคจะดูศลิ ปะของเรา \" จงึ ยนื บนปลายไมแ ปน แลวกลาวคาถาน้วี า :- \" เชิญเถิด ทานโมคคัลลานะ ผมู ปี ญญามาก มี ฤทธิ์มาก เชิญทา นจงด,ู กระผมจะทําความยนิ ดีแก บริษทั , จะยังมหาชนใหราเริง.\" ก็แลครั้นกลาวอยา งน้นั แลว ก็กระโดดจากปลายไมแปน ขึน้ สูอากาศ หกคะเมน ๑๔ ครง้ั ในอากาศแลว ลงมายืนอยูบนปลายไมแปน(ตามเดมิ ). ลาํ ดบั น้ัน พระศาสดาตรัสกะเขาวา \" อุคคเสน ธรรมดาบณั ฑิตตอ งละความอาลัยรกั ใครใ นขนั ธทง้ั หลาย ทง้ั ทเ่ี ปนอดตี อนาคต และปจจบุ นั เสียแลว พนจากทุกขท ัง้ หลายมชี าติเปนตน จึงควร ดังน้แี ลว ตรสัพระคาถานีว้ า :- ๖. มุ จฺ ปเุ ร มุ จฺ ปจฉฺ โต มชฺเฌ มุ ฺจ ภวสสฺ ปารคู สพพฺ ตถฺ วมิ ตุ ฺตมานโส น ปนุ ชาตชิ ร อุเปหสิ ิ. \" ทานจงเปล้อื ง (อาลัย) ในกอ นเสยี จงเปล้ือง

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 307 (อาลยั ) ขา งหลังเสีย, จงเปลอื้ ง (อาลัย) ในทา ม- กลางเสีย, จึงเปน ผถู ึงฝงแหง ภพ มีใจหลุดพน ใน ธรรมทงั้ ปวง จะไมเ ขาถงึ ชาติและชราอีก.\" แกอ รรถ บรรดาบทเหลานัน้ สองบทวา มุฺจ ปุเร ความวา จงเปลื้องอาลยั คอื ความยินดี หมกมุน ปรารถนา ขลุกขลุย ความถอื ลบู คลาํความอยาก ในขนั ธท้ังหลายท่เี ปนอดตี เสีย. บทวา ปจฺฉโต ความวา จงเปลอ้ื งอาลยั เปนตน ในขันธท้ังหลายท่ีเปนอนาคตเสยี . บทวา มชเฺ ฌ ความวา จงเปลอ้ื งอาลยั เหลาน้นั ในขันธทง้ั หลายแมท ่ีเปนปจ จุบันเสยี . สองบทวา ภวสสฺ ปารคู ความวา เมื่อปฏบิ ัติไดอ ยา งนน้ั จักเปนผูถ งึ ฝง คือไปแลว สูฝง แหงภพแมท ้งั ๓ อยา งได ดวยอาํ นาจแหง อนักาํ หนดรู ละ เจริญ และทําใหแ จง ดวยปญ ญาอันยง่ิ มีใจพน แลวในสงั ขตธรรมทั้งปวง ตางดวยขันธ ธาตุ อายตนะ เปน ตน อยู ตอไปไมตอ งเขา ถึงชาติ ชรา และมรณะ. ในกาลจบเทศนา การตรสั รูธรรมไดม ีแกส ตั วท้งั ๘๔,๐๐๐ แลว. อคุ คเสนทลู ขอบรรพชาอุปสมบท ฝา ยบุตรเศรษฐี กําลงั ยนื อยบู นปลายไมแปน บรรลพุ ระอรหัตพรอ มดวยปฏสิ มั ภิทาแลว ลงจากไมแปนมาสทู ใี่ กลพระศาสดา ถวายบังคมดว ยเบญจางคประดษิ ฐ ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. ลาํ ดับนั้น

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 308พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถเบ้ืองขวาตรัสกะนายอุคคเสนน้นั วา \" ทานจงเปนภิกษมุ าเถดิ .\" อคุ คเสนนนั้ ไดเ ปนผทู รงไวซึ่งบรขิ าร ๘ ประหนง่ึพระเถระมพี รรษาตั้ง ๖๐ ในขณะนน้ั นน่ั เอง. ตอมา พวกภิกษุถามทานวา \" คณุ อคุ คเสน เมื่อคุณลงจากปลายไมแปน (สูง) ต้ัง ๖๐ ศอก ขึน้ ช่ือวาความกลวั ไมไ ดม หี รือ ? \" เมื่อทา นตอบวา \" คณุ ความกลวั ยอ มไมม ีแกผ มเลน,\" จงึ กราบทลู แดพ ระ-ศาสดาวา \" พระเจาขา พระอุคคเสนพูดอยวู า ' ผมไมกลวั ' เธอพูดไมจริง ยอ มอวดคุณวเิ ศษ\" พระศาสดาตรัสวา \" ภิกษทุ ง้ั หลาย พวกภิกษุผมู สี งั โยชนอ นั ตัดไดแลว เชน กับอคุ คเสนผบู ุตรของเรา หากลวั หาพรน่ั พรงึ ไม\" ดังนี้แลว ตรัสพระคาถานใ้ี นพราหมณวรรควา :- \" เรา กลาวผทู ่ีตดั สงั โยชนทั้งหมดได ไมส ะดงุ ผลู ว งกเิ ลสเปน เครื่องขอ ง ไมป ระกอบดว ยโยคะ กเิ ลสแลว วา เปน พราหมณ. ในกาลจบเทศนา การบรรลุธรรมพิเศษ ไดมีแลว แกชนเปนอันมาก. รุงขึ้นวันหน่ึง พวกภกิ ษุสนทนากันในโรงธรรมวา \" ผมู ีอายุท้ังหลาย เหตุคือการอาศยั ลูกสาวนักฟอน เที่ยวไปกับดวยนักฟอ นของภกิ ษุผถู ึงพรอมดว ยอปุ นสิ ยั แหง พระอรหตั อยางน้ี เปนอยา งไรหนอแล ?เหตแุ หง อุปนสิ ยั พระอรหตั เปนอยางไร ?\"

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 309พระศาสดาตรัสบอกอปุ นสิ ัยของพระอคุ คเสน พระศาสดาเสดจ็ มาแลว ตรสั ถามวา \" ภิกษทุ ั้งหลาย บดั นพี้ วกเธอนง่ั ประชุมกนั ดว ยเร่ืองอะไร ?\" เมอ่ื ภิกษเุ หลานัน้ กราบทูลวา \" ดวยเรอ่ื งช่อื น้ี \" ดังนี้แลว ตรสั วา \" ภกิ ษทุ ัง้ หลาย เหตุแมทงั้ สองนั่น อันอคุ คเสนน้ีผูเ ดยี วทาํ ไวแลว \" เมอื่ จะทรงประกาศเนอ้ื ความน้นั จงึ ทรงชกั อดตี นทิ านมา (ตรัส ) วา :- \" ดงั ไดส ดับมา ในอดตี กาล เมอื่ สพุ รรณเจดยี สาํ หรับพระกสั สป-ทศพล อนั เขากระทาํ อยู พวกกุลบุตรชาวพระนครพาราณสี บรรทุกของเคย้ี วของบรโิ ภคเปน อันมากในยานทง้ั หลาย กาํ ลังไปสเู จดียสถาน ดว ยตงั้ ใจวา \" พวกเราจกั ทาํ หตั ถกรรม\" พวกพระเถระองคห น่ึง กําลังเขา ไปเพ่อื บณิ ฑบาตในระหวางทางแลว . ลําดับนนั้ นางกลุ ธดิ าคนหน่งึ แลเห็นพระเถระแลว จงึ กลา วกะสามีวา \" นาย พระผเู ปนเจาของเราเขา มาอยูเพอ่ื บิณฑบาต, อนงึ่ ของเค้ยี วของบรโิ ภคของเราในยาน มเี ปน อนั มาก,นายจงนําบาตรของทา นมา, เราทง้ั สองจักถวายภิกษา.\" สามีน้ําบาตรมาแลว . ภรรยายังบาตรนน้ั ใหเ ตม็ ดวยของควรเคยี้ วของควรบริโภคแลวใหส ามวี างลงในมอื ของพระเถระ แมท้ังสองคนทาํ ความปรารถนาวา \"ทานเจาขา ดฉิ นั ทงั้ สองคนพงึ มสี วนแหงธรรมอันทานเหน็ แลว นน่ั เทียว.\"พระเถระแมน ั้น เปน พระขณี าสพ, เพราะฉะนน้ั เม่ือทานเล็งดู ทราบภาวะ คอื อันจะสําเร็จความปรารถนาของเขาทัง้ สองนน้ั แลว ไดท าํ การยิ้ม.หญงิ นนั้ เหน็ อาการนัน้ เขา จึงพูดกะสามีวา \" นาย พระคณุ เจาของเรายอ มทําอาการยิม้ , ทา นจักเปนเด็กนักฟอน.\" ผา ยสามขี องนางตอบวา\" นางผูเจรญิ กจ็ กั เปน อยา งนั้น\" ดงั นแ้ี ลว หลีกไป. นีเ้ ปน บุรพกรรมของเขาทงั้ สองนัน้ .

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 310 สามภี รรยานนั้ ดาํ รงอยูในอตั ภาพน้ันช่วั อายุแลว ก็เกดิ ในเทวโลกเคลอ่ื นจากที่นั้นแลว, หญงิ นน้ั เกิดในเรือนของคนนักฟอน, ชายเกดิ ในเรือนของเศรษฐ.ี พระอุคคเสนนัน้ เพราะความท่ีใหคําตอบแกภรรยานนั้ วา \" จักเปน อยางน้ัน นางผเู จรญิ \" จึงตอ งเที่ยวไปกบั พวกนกั ฟอ น,อาศยั บิณฑบาตทถี่ วายแลว แกพระเถรผูข ีณาสพ จงึ บรรลุพระอรหตั แลว, ฝายธดิ าของนักฟอนนั้น คิดวา \" อันใดเปน คติของสามขี องเรา,อนั น้ันเอง ก็เปน คติแมของเรา\" ดังนี้แลว บรรพชาในสาํ นกั ของภกิ ษณุ ีทงั้ หลายแลว ดาํ รงอยใู นพระอรหตั ดังนี้แล. เรื่องบุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน จบ.

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 311 ๗. เร่ืองจฬุ ธนคุ คหบณั ฑิต [๒๔๖] ขอ ความเบอื้ งตน พระศาสดา เมอ่ื ประทบั อยใู นพระเชตวัน ทรงปรารภภกิ ษุหนุมรูปหนึง่ ตรสั พระธรรมเทศนานี้วา \" วิตกกฺมถติ สฺส \" เปน ตน. ภกิ ษุหนมุ รกั ใครหญิงรนุ สาว ดงั ไดส ดบั มา ภิกษุหนุม รูปหน่งึ จบั สลากของตนในโรงสลาก ถือเอาขาวตม ตามสลากไปสโู รงฉัน ด่มื อย.ู ภกิ ษนุ ั้น ไมไ ดน ้ําในโรงฉนั น้นัไดไปยืนยังเรอื นหลงั หนึ่ง เพือ่ ตอ งการน้าํ , หญิงรุนสาวคนหนง่ึ ในเรอื นนั้น พอเหน็ ภิกษนุ ัน้ ก็เกิดความสเิ นหา กลาววา \" ทานผเู จริญ เม่อื มีความตอ งการดว ยนา้ํ ดืม่ ทา นพงึ มาในเรอื นน้แี หละ แมอีก.\" ตั้งแตน น้ั ภกิ ษุนนั้ ไมไดน าํ้ ดมื่ ในกาลใด, กไ็ ปเรอื นนนั้ นน่ั แลในกาลนน้ั . ฝา ยหญิงนัน้ รับบาตรของเธอแลว ถวายน้าํ ด่ืม. เมอ่ื กาลลว งไปดวยอาการอยางน้ัน รุงขึ้นวันหนึ่ง นางถวายแมข า วตม แลว นิมนตใหน ง่ัในเรือนน้ันแล ไดถ วายขา วสวยแลว . นางน่งั ณ ทีใ่ กลภ ิกษุน้นั แลวเอย ถอยคําขน้ึ วา \" ทา นผูเ จริญ ในเรอื นนี้ อะไร ๆ ชอื่ วา ยอมไมมีหามไี ม, ดิฉันยงั ไมไดแตคนจัดการเทานั้น.\" ภกิ ษนุ ั้น สดับถอ ยคาํ ของหญงิ นน้ั แลว โดย ๒-๓ วนั เทา นน้ัก็กระสันแลว . ภิกษุหนมุ ถกู นําตวั ไปเฝาพระศาสดา ตอมาวันหน่ึง พวกภกิ ษอุ าคันตุกะพบภกิ ษุนัน้ จงึ ถามวา \" ผูมอี ายุเหตไุ ร ? ทานจึงเปน ผผู อมเหลืองหนักขน้ึ ,\" เม่อื ภกิ ษุนนั้ ตอบวา \" ผมู ีอายุ

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 312ผมเปนผูกระสนั ,\" จึงนําไปสสู ํานักพระอาจารยและอุปชฌายะ. อาจารยและอุปชฌายแ มเหลาน้ัน ก็นําภกิ ษนุ ้ันไปสูส ํานักพระศาสดา กราบทลูความน้นั แลว.พระศาสดาทรงแสดงบุรพกรรมของภิกษุหนมุ น้ัน พระศาสดาตรสั ถามวา \" ภิกษุ นยั วา เธอเปนผูกระสนั จรงิ หรอื ?\"เม่ือภิกษนุ น้ั ทูลวา \" จรงิ \" จึงตรัสวา \" ภิกษุ เหตุไร ? เธอบวชในศาสนาของพระพุทธเจา ผปู รารภความเพยี รเชนดังเรา จงึ ไมใหเขาเรยี กตนวา ' พระโสดาบัน ' หรือ ' พระสกทาคามี ' กลับใหเขาเรียกวา' เปนผูกระสัน ' ได, เธอทํากรรมหนักเสียแลว\" จึงทรงซักถามวา\" เพราะเหตไุ ร ? เธอจึงเปนผกู ระสัน \" เมอ่ื ภกิ ษนุ ้นั ทูลวา \" ขาแตพระองคผ เู จรญิ หญิงคนหนึ่ง พูดกะขา พระองคอ ยา งน,้ี \" จงึ ตรสั วา\" ภกิ ษุ กริ ยิ าของนางนน่ั ไมน า อัศจรรย: เพราะในกาลกอ น นางละบณั ฑิตผูเลิศในชมพทู วีปท้งั สิ้นแลว ยังความสิเนหาในบรุ ษุ คนหน่งึ ซง่ึ ตนเหน็ครูเดียวน้นั ใหเกิดขึ้น ทําบณั ฑติ ผูเลศิ นนั้ ใหถึงความส้นิ ชีวิต\" อนั ภิกษุท้งั หลายทลู อาราธนาเพอ่ื ใหทรงประกาศเรอื่ งน้ัน จงึ ทรงทาํ ใหแจงซงึ่ความที่จฬู ธนุคคหบัณฑิต เรียนศิลปะในสํานักของอาจารยทิศาปาโมกขในกรงุ ตกั กสลิ า พาธิดาผูอ นั อาจารยน ้ันยนิ ดใี หแ ลว ไปสูกรงุ พาราณสีเม่ือตนฆา โจรตาย ๔๙ คน ดว ยลกู ศร ๔๙ ลกู ทป่ี ากดงแหงหนง่ึ , เมื่อลกู ศรหมดแลว จึงจับโจรผหู ัวหนา ฟาดใหล ม ลงทีพ่ ้นื ดิน. กลา ววา \" นางผเู จรญิ หลอนจงนําดาบมา,\" นาง (กลบั ) ทําความสิเนหาในโจรซึ่งตนเห็นในขณะนัน้ แลว วางดามดาบไวในมือโจร ใหโ จรฆา แลวในกาลเปนจูฬธนคุ คหบัณฑิต ในอดตี กาล และภาวะคอื โจรพาหญิงนนั้ ไป พลางคิด

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 313วา \" หญงิ น้เี หน็ ชายอนื่ แลว จักใหเ ขาฆา เราบางเชนเดยี วกบั สามีของตน,เราจกั ตอ งการอะไรดวยหญิงนี้\" เหน็ แมน ํ้าสายหน่ึง จึงพักนางไวท่ฝี ง น้ีถือเอาหอภัณฑะของนางไป สัง่ วา \" หลอ นจงรออยู ณ ทน่ี แี้ หละ จนกวาฉนั นาํ หอภัณฑะขามไป \" ละนางไว ณ พน่ี ั้นนนั่ เอง (หนี) ไปเสยี แลวตรัสจูฬธนคุ คหชาดก๑นีใ้ นปญจกนบิ าต ใหพิสดารวา:- \" พราหมณ ทา นถอื เอาภณั ฑะทั้งหมด ขามฝง ไดแ ลว, จงรบี กลบั มารับฉนั ใหขามไปในบดั นโ้ี ดยเร็ว บา งนะ ผูเ จริญ.\" \" แมนางงาม ยอมแลกฉัน ผมู ิใชผัว ไมได เชยชดิ ดวยผวั ผเู ชยชดิ มานาน, แมน างงาม พงึ แลกชายอน่ื แมด วยฉนั , ฉันจักไปจากทนี่ ใ้ี หไกล ท่ีสดุ ทีจ่ ะไกลได. \" \" ใครนี้ ทําการหวั เราะอยทู ี่กอตะไครนาํ้ , ในท่ีน้ี การฟอ นกด็ ี การขบั ก็ดี การประโคมกด็ ี ทบ่ี ุคคลจัด ตง้ั ข้นึ มิไดม ี, แมนางงาม ผูมตี ะโพกอนั ผึง่ ฝาย ทําไมเลา ? แมจงึ ซิกซ้ีในกาลเปน ท่ีรอ งไห. ๒\" \" สนุ ขั จ้งิ จอก ชาตชิ ัมพุกะ ผูโงเขลา ทราม ปญ ญา เจามีปญ ญานอย, เจา เส่ือมจากปลาและชน้ิ (เนอ้ื ) แลว ก็ซบเซาอยู ดุจสตั วกําพรา.\"๑. ข.ุ ชา. ๒๗/ขอ ๘๑๘. อรรถกถา. ๔/๑๕๐๖. ๒. โดยพยญั ชนะ แปลวา ในกาลใชก าลเปนทีห่ วั เราะ.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 314 \" โทษของคนเหลา อ่ืน เห็นไดงา ย, สว นโทษ ของตน เห็นไดยาก, หลอ นน่นั เอง เสือ่ มทั้งผัวท้งั ชู ซบเซาอยู แม (ย่ิง) กวาเรา.\" \" พระยาเน้อื ชาตซิ ัมพกุ ะ เรอ่ื งน้ัน เปน เหมือน เจา กลา ว. ฉันนั้น ไปจากท่นี ีแ้ ลว จักเปน ผไู ปตาม อาํ นาจของภสั ดาแนแท.\" \" ผใู ดพึงนาํ ภาชนะดินไปได, แมภ าชนะสาํ รดิ ผูนั้นก็พงึ นาํ ไปได; หลอนทําชัว่ จนช่าํ , ก็จักทาํ ช่วั อยา งน้ันแมอีก.\"แลว ตรสั วา \" ในกาลนั้น จูฬธนุคคหบัณฑิตไดเ ปนเธอ, หญงิ นั้นไดเปนหญงิ รนุ สาวน้ีในบัดน,้ี ทา วสกั กเทวราช ผูม าโดยรปู สนุ ัขจ้ิงจอก ทําการขม ข่นี างน้นั เปนเรานแี่ หละ\" แลวทรงโอวาทภิกษนุ ้ันวา \" หญิงน้นัปลงบณั ฑติ ผูเลิศในชมพทู วปี ท้งั สน้ิ จากชีวิต เพราะความสเิ นหาในชายคนหนง่ึ ซ่งึ ตนเห็นครูเดียวน้นั อยา งน้ี; ภกิ ษเุ ธอจงตัดตัณหาของเธอ อนัปรารภหญิงนัน้ เกิดขนึ้ เสยี \" ดังนแี้ ลว เมื่อจะทรงแสดงธรรมใหยงิ ขน้ึ ไปจึงทรงภาษิตพระคาถาเหลาน้วี า :- ๗. วิตกฺกมถติ สสฺ ชนฺตุโน ติพพฺ ราคสสฺ สภุ านปุ สฺสิโน ภยิ ฺโย ตณหฺ า ปวฑฺฒติ เอส โข ทฬหฺ  กโรติ พนฺธน . วิตกฺกูปสเม จ โย รโต อสภุ  ภาวยตี สทา สโต

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 315 เอส โข วฺยนตฺ กิ าหติ เอสจเฺ ฉจฉฺ ติ มารพนฺธน . \" ตณั หา ยอ มเจรญิ ย่งิ แกชนผถู กู วิตกยา่ํ ยี มี ราคะจดั เห็นอารมณวางาม, บคุ คลนน่ั แลยอมทํา เครอื่ งผูกใหม น่ั . สวนภกิ ษใุ ด ยนิ ดใี นธรรมเปนทีเ่ ขา ไประงับวิตก เจริญอสุภฌานอยู มีสติทกุ เมือ่ , ภกิ ษุ น่นั แล จกั ทาํ ตัณหาใหส ูญสิ้นได ภกิ ษุน่นั จะตัด เครอื่ งผกู แหงมารได.\" แกอรรถ บรรดาบทเหลา นั้น บทวา วิตกกฺ มถติ สสฺ ไดแ ก ผูถกู วติ ก ๓มีกามวติ กเปน ตน ยํา่ ยียิ่ง. บทวา ตพิ ฺพราคสสฺ คอื ผูมีราคะหนาแนน. บทวา สภุ านุปสสฺ ิโน ความวา ชอ่ื วา ผตู ามเหน็ อารมณว า \" งาม \"เพราะความเปนผูมใี จอันตนปลอ ยไป ในอารมณอ นั นา ปรารถนาทงั้ หลายดว ยสามารถแหง การยดึ ถือโดยสภุ นิมติ เปนตน . บทวา ตณหฺ า เปน ตน ความวา บรรดาฌานเปนตน แมฌานหน่งึยอมไมเจริญแกบคุ คลผเู หน็ ปานน้นั . โดยทีแ่ ท ตัณหาเกดิ ทางทวาร ๖ยอมเจรญิ ยง่ิ . บทวา เอส โข ความวา บุคคลนน่ั แล ยอมทําเคร่ืองผกู คอื ตัณหาชอื่ วา ใหมั่น. บทวา วิตกกฺ ปู สเม ความวา บรรดาอสภุ ะ ๑๐ ในปฐมฌานกลาวคือธรรมเปนที่ระงับมจิ ฉาวิตกท้ังหลาย.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 316 สองบทวา สทา สโต ความวา ภกิ ษุใด เปนผยู นิ ดยี ิง่ ในปฐมฌานน้ีชือ่ วา มีสติ เพราะความเปน ผูม สี ติตงั้ ม่ันเปน นติ ยเจรญิ อสุภฌานนั้นอย.ู บทวา พ๑ฺ ยนฺติกาหติ ความวา ภกิ ษนุ ่ัน จักทําตัณหาอันจะใหเ กิดในภพ ๓ ใหไ ปปราศได. บทวา มารพนธฺ ฺน ความวา ภิกษุนนั่ จักตดั แมเ คร่ืองผกู แหง มารกลาวคือวฏั ฏะอันเปน ไปในภมู ิ ๓ เสียได. ในกาลจบเทศนา ภกิ ษนุ ั้นดาํ รงอยใู นโสดาปต ติผลแลว , เทศนาไดมปี ระโยชนแมแ กบ ุคคลผูป ระชมุ กนั แลว ดังน้แี ล. เร่อื งจูฬธนุคคหบัณฑติ จบ.๑. บาลีเปน วฺยนตฺ ิกาหติ.

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 317 ๘. เรอื่ งมาร [๒๔๗] ขอ ความเบ้ืองตน พระศาสดา เม่อื ประทบั อยูในพระเชตวนั ทรงปรารภมาร ตรัสพระธรรมเทศนานวี้ า \"นฏิ  คโต\" เปนตน. มารแปลงเปนชา งรดั กระหมอ นพระราหลุ ความพิสดารวา ในวันหน่ึงเวลาวกิ าล พระเถระเปนอนั มากเขาไปสพู ระเชตวันมหาวหิ าร ไปถึงทเ่ี ปน ที่อยขู องพระราหลุ เถระแลวกไ็ ลทานใหลุกขนึ้ . ทา นเมอื่ ไมเ ห็นทเ่ี ปนทอี่ ยูในทอ่ี ่ืน จึงไปนอนท่หี นามุขพระ-คนั ธกฎุ ขี องพระตถาคต. คราวน้นั ทานผูมีอายนุ ั้นบรรลุพระอรหัตแลวไดเ ปน ผยู ังไมมพี รรษาเลย. มารชือ่ วสวัตดี ดาํ รงอยูในภพน่นั แหละ เห็นทา นผูมีอายนุ ั้นนอนท่ีหนา มุขพระคันธกฎุ ี จงึ คิดวา \" พระหนอ นอ ยผแู ทงใจของพระสมณ-โคดมนอนขางนอก, สวนพระองคผ ทมในภายในพระคนั ธกุฎ;ี เม่อื เราบีบคน้ั พระหนอ นอย พระองคเองก็จกั (เปนเหมือน) ถกู บบี ค้ัน (ดวย).\"มารน้นั นิรมติ เพศเปน พระยาชางใหญมา เอางวงรดั กระหมอมพระเถระแลวรองดุจนกกระเรยี นดว ยเสยี งดงั . พระศาสดาทรงแสดงเหตทุ ่ีพระราหุลไมก ลัว พระศาสดาผทมในพระคนั ธกฎุ ี ทรงทราบวาชางนน้ั เปน มาร จึงตรัสวา \" มาร คนเชน ทา นน้นั แมต้งั แสน กไ็ มส ามารถเพ่อื จะใหความกลวั เกดิ แกบ ตุ รของเราได, เพราะวา บตุ รของเรามปี กติไมสะดงุ มตี ณั หาไปปราศจากแลว มคี วามเพยี รใหญ มีปญญามาก\" ดงั น้แี ลว ไดท รงภาษิตพระคาถาเหลา น้วี า :-

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ที่ 318 ๘. นิฏ คโต อสนฺตาสี วตี ตโณหฺ อนงคฺ โณ อจฉฺ นิ ฺทิ ภวสลลฺ านิ อนตฺ ิโมย สมสฺ สฺ โย. วีตตโณฺห อนาทาโน นริ ุตตฺ ปิ ทโกวิโท อกฺขราน สนฺนปิ าต ชฺา ปพุ ฺพปรานิ จ ส เว อนตฺ มิ สารีโร มหาปโฺ  มหาปรุ โิ สติ วจุ จฺ ต.ิ \" (ผใู ด) ถงึ ความสําเร็จ มีปกตไิ มส ะดงุ มีตัณหา ไปปราศแลว ไมม กี เิ ลสเครอ่ื งยว่ั ยวนใจ ไดต ัดลูกศร อนั ใหไปสูภพทง้ั หลายเสยี แลว, กายน้ี (ของผูนน้ั ) ชอ่ื วามใี นท่สี ดุ . (ผูใด) มตี ณั หาไปปราศแลว ไมมี ความถือม่นั ฉลาดในบทแหง นริ ตุ ติ รทู ีป่ ระชุมแหง อกั ษรทงั้ หลาย. และรูเ บอ้ื งตน และเบอื้ งปลายแหง อักษรทง้ั หลาย. ผนู นั้ แล มสี รรี ะมีในที่สดุ เรายอ ม เรยี กวา ผมู ปี ญ ญามาก เปนมหาบุรษุ . แกอ รรถ บรรดาบทเหลา นนั้ สองบทวา นิฏ  คโต ความวา พระอรหตัชื่อวา ความสาํ เร็จของบรรพชติ ทัง้ หลาย ในพระศาสนาน,ี้ ถึง คอื บรรลุพระอรหตั น้นั . บทวา อสนฺตาสี คอื ผชู ่อื วาไมสะดุง เพราะไมม ีกเิ ลสเคร่อื งสะดุงคือราคะเปนตน ในภายใน. บาทพระคาถาวา อจฉฺ นิ ฺทิ ภวสลลฺ านิ คือ ไดต ดั ลูกศรอนั มีปกติใหไ ปสภู พทงั้ ส้นิ .

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 319 บทวา สมสุ ฺสโย คือ รา งกายนี้ ของผนู น้ั มีในที่สดุ . บทวา อนาทาโน คือ ผไู มมกี ารยึดถอื ในขนั ธเ ปนตน. บาทพระคาถาวา นริ ุตตฺ ปิ ทโกวโิ ท ความวา ผูฉ ลาดในปฏสิ มั ภทิ าแมท้ัง ๔ คอื ในนิรตุ ติ และบทท่เี หลือ. สองบาทพระคาถาวา อกขฺ ราน สนนฺ ปาต ชฺา ปพุ พฺ าปรานิ จความวา ยอมรูห มวดหมูแหงอักษร กลาวคอื ทป่ี ระชุมแหงอักษรท้งั หลายและรอู กั ษรเบ้อื งปลายดวยอกั ษรเบ้ืองตน และอกั ษรเบือ้ งตน ดวยอักษรเบือ้ งปลาย. ชื่อวา รจู กั อกั ษรเบอ้ื งปลายดว ยอกั ษรเบอ้ื งตน คือเมือ่ เบื้องตนปรากฏอยู ในทา มกลางและทสี่ ดุ แมไมปรากฏ, กย็ อ มรูไดว า \" น้ีเปนทามกลางแหงอกั ษรเหลา นี้, น้ีเปน ท่สี ดุ ,\" ช่ือวา ยอ มรูจกั อกั ษรเบอ้ื งตนดวยอักษรเบอ้ื งปลาย คอื เมื่อทส่ี ุดปรากฏอยู เมอื่ เบ้ืองตนและทามกลางแมไ มป รากฏ, ก็ยอมรูไดว า \" น้ีเปนทา มกลางแหง อกั ษรเหลา น้ัน, น้ีเปนเบอ้ื งตน\" เมื่อทา มกลางปรากฏอยู เม่อื เบอ้ื งตนและท่ีสุดแมไมป รากฏ,ยอ มทราบไดเ หมอื นกันวา \" น้เี ปนเบื้องตน แหง อกั ษรเหลา น้ัน, น้เี ปนที่สดุ .\" บทวา มหาปฺโ ความวา ทานผูมสี รีระตงั้ อยูในที่สุดนน่ั พระ-ศาสดาตรสั เรยี กวา ผูม ปี ญ ญามาก เพราะความเปน ผูประกอบดว ยปญ ญาอนั กาํ หนดถือเอาซึ่งอรรถ ธรรม นริ ุตติ และปฏิภาณ และศีลขนั ธเปนตนอันใหญ และตรัสวา เปนมหาบุรุษ เพราะความเปน ผมู ีจิตพนแลว โดยพระบาลีวา \" สารีบุตร เราเรียกผมู จี ิตพน แลว แล วา \" มหาบรุ ุษ.\"

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาท่ี 320 ในกาลจบเทศนา ชนเปนอันมากบรรลุอรยิ ผลทง้ั หลาย มีโสดา-ปต ติผลเปน ตน . ฝา ยมารผมู บี าปคดิ วา \" พระสมณโคดม ยอ มทรงรูจกั เรา\" แลวอันตรธานไปในที่นัน้ นน่ั เอง ดงั น้แี ล. เรอื่ งมาร จบ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนา ท่ี 321 ๙. เรอ่ื งอปุ กาชีวก [๒๔๘] ขอความเบ้อื งตน พระศาสดาทรงปรารภอาชีวกชอ่ื อปุ กะ ในระหวางทาง ตรสั พระ-ธรรมเทศนาน้ีวา \" สพพฺ าภิภู \" เปนตน. อุปกาชีวกทลู ถามพระศาสดา ความพสิ ดารวา ในสมัยหนึ่ง พระศาสดาทรงบรรลุพระสัพพัญ-ตุ ญาณแลว ทรงยังกาลใหลวงไปทีค่ วงไมโพธิ์ ๗ สัปดาห ทรงถอื บาตรและจีวรของพระองค เสดจ็ ดาํ เนนิ ไปส้ินทางประมาณ ๑๘ โยชนมงุ กรงุ -พาราณสี เพอ่ื ทรงยงั พระธรรมจักรใหเปนไป ไดทอดพระเนตรเห็นอาชวี กชอื่ อุปกะ ในระหวางทาง. ฝายอปุ กาชีวกนน้ั เห็นพระศาสดาแลว ทูลถามวา \" ผมู อี ายุ อนิ ทรยี ของทา นผองใสแล, ผิวพรรณก็บริสุทธ์ผิ ดุ ผอ ง; ผูมีอายุ ทา นบวชเฉพาะใคร ? ใครเปนศาสดาของทาน ? หรอื ทานชอบใจธรรมของใคร ?\" พระศาสดาตรสั ตอบอปุ กาชีวก ลาํ ดบั นั้น พระศาสดาตรัสวา \" เราไมม ีอุปช ฌายหรอื อาจารย\" ดังนี้แลว ตรัสพระคาถานแี้ กอ ปุ กาชวี กนั้น วา :- ๙. สพพฺ าภภิ ู สพพฺ วทิ หู มสมฺ ิ สพฺเพสุ ธมเฺ มสุ อนูปลติ โฺ ต สพฺพฺชโห ตณฺหกฺขเย วมิ ุตโฺ ต สย อภิฺ าย กมุททฺ เิ สยยฺ  ฯ \" เราเปน ผูครอบงําธรรมไดท้งั หมด รธู รรมทุก อยาง ไมต ิดอยูใ นธรรมทง้ั ปวง ละธรรมไดท กุ อยา ง

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หนาที่ 322 พนแลว ในเพราะธรรมเปน ทสี่ ้นิ ไปแหง ตณั หา รเู อง แลว จะพึงอา งใครเลา ? (วาเปนอุปช ฌายอาจารย) .\" แกอรรถ บรรดาบทเหลาน้นั บทวา สพฺพาภิภู คือ ครอบงาํ ธรรมอันเปนไปในภูมิ ๓ ไดท งั้ หมด. บทวา สพพฺ วทิ ู คือ ผมู ีธรรมอันเปน ไปในภูมิ ๔ ทั้งปวงอนั รแู ลว . สองบทวา สพเฺ พสุ ธมเฺ มสุ ความวา ผูอันตณั หาและทิฏฐิทั้งหลายฉาบทาไมไ ด ในธรรมอนั เปน ไปในภมู ิ ๓ แมท้งั สิ้น. บทวา สพฺพชฺ โห คือ ผลู ะธรรมอันเปน ไปในภมู ิ ๓ ทงั้ หมดดาํ รงอยู. สองบทวา ตณฺหกขฺ เย วมิ ุตฺโต คือผพู น แลว ในเพราะพระอรหตักลาวคอื ธรรมเปน ทส่ี ้ินไปแหงตณั หา ทตี่ นใหเ กดิ ขน้ึ แลว ในทีส่ ดุ แหงความส้นิ ไปแหง ตัณหา ดวยวมิ ุตตอิ ันเปน ของพระอเสขะ. สองบทวา สย อภิ ฺ าย คอื รธู รรมตางดวยอภญิ ไญยธรรมเปนตน ไดเองทเี ดยี ว. บทวา กมุททฺ ิเสยยฺ  ความวา เราจะพึงอา งใครเลา วา \" น้เี ปนอุปช ฌายหรอื อาจารยข องเรา. \" ในกาลจบเทศนา อุปกาชวี ก ไมย นิ ดี ไมคัดคานพระดํารัสของพระตถาคตเลย, แตเ ขาสัน่ ศรี ษะ แลบลนิ้ ยดึ เอาทางทเ่ี ดินไปคนเดียวไดไ ปยังที่เปน ทอ่ี าศัยอยูของนายพรานแหงใดแหงหนึ่งแลว ดงั น้แี ล. เรือ่ งอุปกาชวี ก จบ.
























































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook