2 - 19 ธรรมปฏิบัติ ๕ สาย : อานาปานสติกดี ขวางทางเดนิ ของจติ ทจี่ ะเดนิ ไปตามทางภาวนา. ถา จะเปรยี บดงั ในอปุ มาขา งตน กเ็ ทากบั ทำใหแ สวงหากอ นหนิ ทอี่ าจจะใชล บั มดี ไมพ บนนั่ เอง. ไมไ ดล บั มดี แลว ไปถางปา นนั้ เรอื่ งจะเปน อยา งไรลองคดิ ดู. เพราะฉะนนั้ เปน อนั วา การตดั ปลโิ พธเหลา นย้ี อ มเปน บพุ พกจิ โดยแทจริง.(ค) การเลอื กสงิ่ แวดลอ ม ผจู ะปฏบิ ตั จิ ะตอ งรจู กั เลอื กสถานที่ และสง่ิ แวดลอ มอน่ื ๆ ทส่ี นบั สนนุ แกก ารปฏบิ ตั ขิ องตนใหด เี ทา ทจ่ี ะทำได. เพอ่ื รจู กั เลอื กสงิ่ แวดลอ มไดด ี กจ็ ำเปน จะตอ งรจู กั ตวั เองใหด เี สยี กอ นวา ตนเปน อยา งไร เขา กนั ไดห รอื เขา กนั ไมไ ดก บั สง่ิ ใด โดยธรรมชาต.ิ แมว า การทำกมั มฏั ฐาน จะมคี วามมงุ หมายถงึ การหลดุ พน เพอื่ อยเู หนอื ความยนิ ดยี นิ รา ยหรอื เหนอื การครอบงำของธรรมชาตกิ จ็ รงิ แตใ นขน้ั เตรยี มตวั นผี้ ปู ฏบิ ตั จิ ะตอ งหลกี เลย่ี งจากการครอบงำของธรรมชาติ ใหม ากทสี่ ดุ เทา ทจี่ ะทำได. เพราะฉะนนั้ จงึ จำเปน ทจี่ ะตอ งรจู กัอทิ ธพิ ลของ ธรรมชาตภิ ายนอก ซง่ึ เปน สง่ิ แวดลอ ม และรจู กั ธรรมชาตภิ ายใน คอื จรติ นสิ ยัของตนเอง วา มนั จะขดั กนั หรอื จะเขา กนั ไดอ ยา งไรและเพยี งไรเสยี กอ น. [ตอ งรจู รติ เพอื่ หาใหต รงกบั จรติ เฉพาะๆ] ธรรมชาตภิ ายในของตน ในทนี่ ้ี เรยี กสนั้ ๆ วา “จรติ ” หมายถงึ สงิ่ ทจี่ ติ เคยประพฤติมาจนเคยชนิ เปน นสิ ยั . เมอื่ รจู กั จรติ ของตนแลว ยอ มสามารถจะจดั จะทำ จะแสวงหรอื หลกีเลย่ี งไดต รงตามทคี่ วรจะเปน ในสง่ิ แวดลอ มทกุ ประการ. เกยี่ วกบั จรติ น้ี ทา นจำแนกไวเ ปน๖ คอื ราคจรติ โทสจรติ โมหจรติ สทั ธาจรติ พทุ ธจิ รติ และวติ กจรติ ๓ แตล ะอยา งๆ มีลกั ษณะอาการอยา งไร เขา กนั ไดห รอื เขา กนั ไมไ ดก บั สง่ิ ใด จะไดว นิ จิ ฉยั กนั ทลี ะขอ ดงั ตอ ไปนี้ (๑) ราคจรติ หมายถงึ นสิ ยั สนั ดานทหี่ นกั ไปในทางกำหนดั ยนิ ดหี รอื ละโมบ รกั สวยรกั งาม ยดึ มน่ั อยา งรนุ แรงในความเปน ระเบยี บเรยี บรอ ยตลอดถงึ การอยดู กี นิ ดี ดงั นเี้ ปน ตนมากเกนิ ไป เกย่ี วกบั จรติ นี้ ทา นแนะใหเ ลอื กสงิ่ แวดลอ มตนเองดว ยสง่ิ ทเี่ ปน ของปอน เชน ที่อยอู าศยั อยา งปอนๆ ไมน า ด.ู จวี รกเ็ นอ้ื เลว แลว ยงั แถมมกี ารปะชนุ หรอื ขาดกระรงุ กระรงิ่ .๓ วสิ ทุ ธมิ รรคแปลภาค ๑ ตอน ๒ หนา ๔๑-๕๙.
2 - 20 ธรรมปฏิบัติ ๕ สาย : อานาปานสติแมบ าตรกเ็ ปน อยา งเลว ตะปมุ ตะปำ เตม็ ไปดว ยรอยตอ หรอื การซอ ม. เลอื กทางบณิ ฑบาตทส่ี กปรกโสมม ไมม สี งิ่ ทเ่ี จรญิ ตาเจรญิ ใจ. รบั อาหารบณิ ฑบาตของคนยากจนชนดิ ทดี่ แู ลวนา ขยะแขยง และเลอื กไปในหมบู า นทม่ี คี นรปู รา งขรี้ ว้ิ ขเ้ี หร กริ ยิ าอาการกใ็ หห ยาบคาย ดงันเ้ี ปน ตน . สำหรบั อริ ยิ าบถประจำวนั กใ็ หม ากไปดว ยอริ ยิ าบถยนื และอริ ยิ าบถเดนิ หลกีเลย่ี งการนง่ั หรอื การนอนใหม ากทสี่ ดุ เทา ทจ่ี ะมากได. แมส งิ่ อนื่ ๆ กค็ วรระมดั ระวงั โดยหลกัเกณฑข อ เดยี วกนั ; ยกตวั อยา งเชน สขี องสงิ่ ทจ่ี ะใชส อย กค็ วรจะเปน สเี ขยี ว หรอื สเี ขยี วแกมดำ. แมท ส่ี ดุ แตก ารเลอื กสที จ่ี ะใชใ นการทำวงของกสณิ ในเมอ่ื จะเจรญิ กสณิ ภาวนา กค็ วรเลอื กสเี ขยี ว. สรปุ ความวา สง่ิ ตา งๆ สำหรบั คนราคจรติ นนั้ จะตอ งเปน ไปในทางปอนหรอืคล้ำ ไมส ดใสฉดู ฉาด จงึ จะเปน ไปในทางสบายตอ จรติ หรอื สง เสรมิ แกก ารปฏบิ ตั ,ิ มฉิ ะนน้ัจะเกดิ ความยงุ ยากขน้ึ ไมม ากกน็ อ ยโดยไมจ ำเปน เกย่ี วกบั สงิ่ ทข่ี ดั กนั กบั จรติ ของตน ในความมุงหมายท่ีจะเจริญกัมมัฏฐานภาวนา. (๒) โทสจรติ หมายถงึ จรติ นสิ ยั ทขี่ โ้ี กรธ ฉนุ เฉยี ว หงดุ หงดิ งา ย ทา นแนะสง่ิ ทสี่ บายสำหรบั ผมู โี ทสจรติ ไวใ นลกั ษณะทอี่ าจกลา วไดว า ตรงกนั ขา มจากสง่ิ ทส่ี บายของราคจรติ คอืทา นแนะใหท ำ หรอื มี หรอื ไปสแู ตส ง่ิ แวดลอ มทเ่ี ปน ระเบยี บเรยี บรอ ย สภุ าพ และสวยงามนา เจรญิ ตาเจรญิ ใจ เชน ทอี่ ยอู าศยั ควรสะอาดหมดจด เปน ระเบยี บเรยี บรอ ย ไมม อี ะไรที่เรา ใจใหเ กดิ ความหงดุ หงดิ จวี รกเ็ ปน ผา เนอ้ื ออ นเนอ้ื ดเี นอ้ื เกลย้ี ง สดี ี ไมม กี ลนิ่ ดงั นเี้ ปน ตน .เลอื กไปบณิ ฑบาตในหมบู า นทเ่ี จรญิ แลว ในความเปน ระเบยี บเรยี บรอ ย ความสะอาด ประณตีความมรี สนยิ มสงู และความพอเหมาะพอดอี นื่ ๆ เปน หมชู นทมี่ วี ฒั นธรรมดี มกี ริ ยิ ามารยาทดีดงั นเ้ี ปน ตน . รวมความกค็ อื ใหถ กู แวดลอ มอยดู ว ยสง่ิ ทไี่ มป อน แตค วามสะอาดและความเปน ระเบยี บเรยี บรอ ยตามทค่ี วร. แมใ นสว นอริ ยิ าบถ กอ็ ยใู นอริ ยิ าบถทเี่ ปน การพกั ผอ น เชนอริ ยิ าบถนงั่ หรอื อริ ยิ าบถนอน มากกวา อริ ยิ าบถยนื หรอื เดนิ . เรอื่ งเบด็ เตลด็ อนื่ ๆ กพ็ งึ เทยี บเคยี งโดยนยั อนั เดยี วกนั เชน เรอ่ื งสี กเ็ ปน สที ีส่ ดใสมสี เี ขยี วเปน ตน ซง่ึ ถอื วา เปน สงิ่ ทยี่ วั่อารมณน อ ยกวา สอี นื่ ดงั นเ้ี ปน ตน . (๓) โมหจรติ หมายถงึ จรติ นสิ ยั เปน ไปในทางทงี่ ว งซมึ มนึ ชา ไมค อ ยมคี วามโปรง ใจอยเู ปน ปรกติ. สงิ่ สบายสำหรบั บคุ คลประเภทนี้ ทา นแนะไวว า ตอ งเปน สงิ่ ทโ่ี ลง โถงสวา งไสว
2 - 21 ธรรมปฏิบัติ ๕ สาย : อานาปานสติเชน เสนาสนะทอ่ี ยู กค็ วรจะเปด โลง เหน็ ไดใ นระยะไกล ไมม อี ะไรกดี ขวาง และมแี สงสวา งมาก.เกยี่ วกบั จวี รมหี ลกั เกณฑอ ยา งเดยี วกนั คอื สะอาดเรยี บรอ ยและมสี สี นั ดี (เทา ทคี่ วรแกส มณะ).แมในเรื่องบิณฑบาต ก็มีหลักเกณฑไปในทางท่ีเจริญตาเจริญใจอยางเดียวกัน และทานแนะนำใหใ ชว ตั ถเุ ครอ่ื งใชส อยทม่ี ขี นาดใหญ แมท ส่ี ดุ แตด วงกสณิ กต็ อ งเปน ขนาดใหญม ากทสี่ ดุ เทา ทจ่ี ะทำได. ชอบอริ ยิ าบถอยา งเดยี วกนั กบั คนทม่ี รี าคจรติ . (๔) สทั ธาจรติ หมายถงึ นสิ ยั เชอื่ งา ยเชอ่ื ดาย หรอื หนกั ไปแตใ นทางความเชอื่ โดยสว นเดยี ว สง่ิ ทส่ี บายสำหรบั บคุ คลประเภทน้ี ตามทท่ี า นแนะไวเ ปน อยา งเดยี วกนั กบั สำหรบับคุ คลทมี่ โี ทสจรติ แตค วรจะเขา ใจไวว า ผมู สี ทั ธาจรติ ควรจะไดร บั สง่ิ แวดลอ มทเี่ ปน ไปในทางชวนใหข ยนั คดิ นกึ เสยี บา งกจ็ ะเปน การดี และควรอยใู กลก บั บคุ คลทสี่ ามารถใหค ำแนะนำทชี่ วนใหค ดิ นกึ อยา งถกู ตอ ง. (๕) พทุ ธจิ รติ หมายถงึ จรติ นสิ ยั ทชี่ อบเรยี นชอบรู คดิ นกึ ไปในทางศกึ ษา ไปในทางสตปิ ญ ญา เกยี่ วกบั บคุ คลประเภทนไี้ มส จู ะมปี ญ หาอนั เนอ่ื งดว ยสงิ่ แวดลอ ม ทา นถอื วา ผเู ปนพทุ ธจิ รติ จะเปน อยไู ดส บาย ไดท กุ แบบของจรติ อนื่ ๆ ทงั้ หมด. สรปุ ความวา ไมม อี ะไรทจี่ ะจำกดัรดั กมุ เหมอื นกบั บคุ คลทเี่ ปน ราคจรติ หรอื โทสจรติ โดยเฉพาะ. (๖) วติ กจรติ หมายถงึ สง่ิ ทฟ่ี งุ ซา นงา ย แตม ไิ ดห มายความวา ฟงุ ซา นไปในทางสติปญ ญา เปน แตเ พยี งการนกึ คดิ ทฟ่ี งุ ซา น หาทศิ ทางและหลกั เกณฑไ มค อ ยได. สงิ่ ทสี่ บายสำหรบั บคุ คลผมู จี รติ อยา งนี้ ตอ งเปน สง่ิ ทไี่ มย ว่ั ใหค ดิ ไมส นับสนนุ ใหค ดิ ไมช วนใหฉ งน หรอืไมม กั กอ ใหเ กดิ ปญ หาใดๆ ควรอยใู นทแี่ คบ แตเ กลย้ี งเกลาสะอาด อยใู นทมี่ แี สงสวา งพอสมควรมเี ครอื่ งใชส อยแตน อ ยทสี่ ดุ และงา ยทส่ี ดุ ไมส มาคมกบั บคุ คลทช่ี วนใหเ พอ เจอ มอี ริ ยิ าบถท่ีสบายอยา งเดยี วกบั ผเู ปน ราคจรติ แมส เี ปน ตน กอ็ ยา งเดยี วกนั . สรปุ ความวา ราคจรติ คอื ขมี้ กั กำหนดั ใหใ ชข องปอนแก. โทสจรติ ขม้ี กั โกรธ ใหใชข องเรยี บรอ ยสวยงามแก. โมหจรติ ขม้ี กั มดื มวั ใหใ ชส ภาพของความโลง โถงสวา งไสวแก.สทั ธาจรติ ขมี้ กั เชอ่ื งา ยไป ใชค วามมหี ลกั เกณฑม รี ะเบยี บทแี่ นน อนแก. พทุ ธจิ รติ หนกั ไปในทางความรู ใชค วามฉลาดของตวั เองแก. และ วติ กจรติ ใชส ภาพของสง่ิ แวดลอ ม ทไี่ มย ว่ัใหเ กดิ ความนกึ คดิ แก. เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั ไิ ดส ำรวจตวั เอง จนรจู กั จรติ นสิ ยั ของตนอยา งถกู ตอ ง ยอ ม
2 - 22 ธรรมปฏิบัติ ๕ สาย : อานาปานสติสามารถเลอื กสงิ่ แวดลอ มไดโ ดยไมย าก สามารถสนบั สนนุ การปฏบิ ตั ขิ องตนไดด ว ยตนเองอยา งมากมายทเี ดยี ว แมก ารเลอื กบทกมั มฏั ฐานบทใดบทหนงึ่ โดยเฉพาะ เพอื่ ใหถ กู จรติ นสิ ยั ของตน ก็ถือหลักเกณฑอยางเดียวกันน้ี เชน ราคจริต เลือกกัมมัฏฐานพวกอสุภกัมมัฏฐานพวกโทสจริต เลือกกัมมัฏฐานพวกพรหมวิหารหรืออัปปมัญญา และวรรณกสิณ ๔ พวกโมหจริต และวิตกจริต เลือกอานาปานสติกัมมัฏฐาน พวกสัทธาจริต เลือกกัมมัฏฐานพวกอนสุ สติ เชน พทุ ธานสุ สต,ิ พวกพทุ ธจิ รติ ไมส จู ะมกี ารจำกดั , สว นกสณิ ทเี่ หลอื และอรปู ฌาน ๔ เปน ธรรมทส่ี บายแกจ รติ ทง้ั ปวง. ในกรณที บี่ คุ คลคนหนง่ึ มจี รติ แสดงออกหลายจรติ ใหถ อื เอาจรติ ทอ่ี อกหนา หรอื แกก ลากวาจริตอื่น เปนหลักสำหรับการเลือกกอน แลวจึงถึงจริตที่ถัดไปเทาท่ีจะผอนผันกันได.เมอ่ื ไดก ลา วถงึ ธรรมชาตภิ ายใน คอื จรติ นสิ ยั แลว กค็ วรจะกลา วถงึ ธรรมชาตภิ ายนอก ซง่ึ เปนทต่ี งั้ แหง การเลอื กเฟน สบื ตอ ไป. [ธรรมชาตเิ ปน ทส่ี ปั ปายะ ในการปฏบิ ตั ]ิธรรมชาตภิ ายนอก ทจี่ ะตอ งเลอื กเฟน ในทน่ี เ้ี รยี กวา “สปั ปายธรรม” แปลวา สง่ิเปน ทส่ี บายสำหรบั บคุ คลผปู ฏบิ ตั ิ ทา นจำแนกไวเ ปน ๗ คอื :-(๑) อาวาสสปั ปายะ ทอ่ี ยสู บาย(๒) โคจรสัปปายะ ที่หาอาหารสบาย(๓) กถาสปั ปายะ ถอ ยคำสบาย(๔) ปคุ คลสปั ปายะ บคุ คลสบาย(๕) อาหารสัปปายะ อาหารสบาย(๖) อตุ สุ ปั ปายะ ฤดสู บาย(๗) อริ ยิ าบถสปั ปายะ อริ ยิ าบถสบาย๔แตล ะอยา งๆ มที างวนิ จิ ฉยั เกย่ี วกบั การเลอื ก ดงั ตอ ไปน้ี : ๑. อาวาสสปั ปายะ หมายถงึ ทอ่ี ยสู บาย นอกจากเปน การถกู กบั จรติ ดงั กลา วไวใ นเรอ่ื งของจรติ ๖ ประการขา งตน แลว ทา นยงั แนะใหเ ลอื กทอ่ี ยทู ป่ี ระกอบไปดว ยลกั ษณะเหลา๔ วสิ ทุ ธมิ รรคแปลภาค ๑ ตอน ๒ หนา ๑๐๐-๑๐๓.
2 - 23 ธรรมปฏบิ ัติ ๕ สาย : อานาปานสตินค้ี อื ไมใ หญเ กนิ ไป เพราะทำใหม กี ารดแู ลรกั ษามากเปน ตน , ไมใ หมเ กนิ ไป เพราะมเี รอื่ งท่ีจะตอ งทำมาก, ไมค ร่ำครา เกนิ ไปเพราะมอี นั ตรายจากตวั วตั ถนุ น้ั เอง หรอื จากสตั วเ ลอื้ ยคลานตา งๆ. ไมอ ยใู กลท างเดนิ เพราะจะถกู รบกวนดว ยบคุ คลและเสยี งของบคุ คลผเู ดนิ , ไมอ ยูใกลบ อ น้ำสาธารณะ เพราะจะถกู รบกวนจากบคุ คล หรอื จากการตกั น้ำของบคุ คลโดยเฉพาะเพศตรงกนั ขา ม, ไมอ ยใู นทที่ ม่ี ใี บไม หรอื ผกั หญา เปน ตน ทใ่ี ชเ ปน อาหารได เพราะจะถกู รบกวนจากคนหาผกั โดยเฉพาะทเ่ี ปน เพศตรงกนั ขา ม, ไมอ ยใู นทที่ มี่ ดี อกไมหรอื ผลไม เปน ตน ทใี่ ชประโยชนไ ด เพราะจะถกู รบกวนจากสตั วบ คุ คลทเ่ี นอ่ื งจากดอกไม หรอื ผลไม, ไมอ ยใู นทท่ี ่ีคนมงุ หมายจะได เพราะกอ ใหเ กดิ ศตั รู แลว ไดร บั ความรบกวนจากศตั รนู นั้ , ไมอ ยใู นสถานท่ีศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ เ่ี ปน ทบ่ี ชู าของประชาชน เพราะจะทำใหร ำคาญ; ไมอ ยใู กลต วั เมอื ง เพราะตวัเมอื งยอ มเปน ทางมาแหง การรบกวนทกุ ประการ, ไมอ ยใู กลแ หลง หาฟน หรอื ทที่ ำนาเปน ตนเพราะเปน การยากทจ่ี ะไมถ กู รบกวนดว ยเสยี ง หรอื จากบคุ คลโดยตรง, ไมอ ยใู กลส ง่ิ หรอืบคุ คลทเ่ี ปน วสิ ภาค แปลวา เขา กนั ไมไ ด เชน คนโกรธกนั หรอื เพศตรงกนั ขา มเปน ตน , ไมอ ยูใกลท า นำ้ เพราะเปน ทไี่ ปมาไมห ยดุ , ไมอ ยบู า นนอกปลายแดนเกนิ ไป, เพราะคนเหลา นน้ั ไมศรทั ธาทจ่ี ะสนบั สนนุ ไมเ ขา ใจแลว ยงั จะทำตนเปน ปฏปิ ก ษอ กี ดว ย, ไมอ ยทู พ่ี รมแดนของประเทศ เพราะเปน ถน่ิ ทตี่ อ งระวงั รกั ษาอยา งกวดขนั ของเจา หนา ทผ่ี รู กั ษา และมที างทจ่ี ะกระทบกระเทอื น ในเมอื่ เกดิ ปญ หาพรมแดนหรอื ชายแดนขน้ึ , ไมอ ยใู นทไี่ มม สี ปั ปายะ ๗ ประการขางตนดังกลาวแลว และไมอยูในที่ที่ไมอาจจะติดตอกับกัลยาณมิตร เชนอาจารยผูสอนกมั มฏั ฐาน. ทงั้ หมดนเ้ี ปน ตวั อยา งของทอี่ ยทู ค่ี วรหรอื ไมค วรอยู ซงึ่ เปน หลกั เกณฑส ำหรบัวนิ จิ ฉยั ในปญ หาอนั เกย่ี วกบั สถานทบ่ี ำเพญ็ สมณธรรมโดยตรง. เมอ่ื ไดส ถานทที่ ป่ี ราศจากโทษเหลา นน้ั แลว กเ็ รยี กวา มี อาวาสสปั ปายะ ซง่ึ อาจจะหมายถงึ สถานทที่ งั้ หมบู า น ทง้ั ปาหรอื ทง้ั วดั หรอื สว นแหง วดั หรอื แมแ ตเ พยี งกฏุ ิ กระตอ บ กระทอ ม หรอื ถ้ำ หรอื โคนไมห รอื หบุเหว ทอี่ ยเู ปน สว นตวั โดยเฉพาะจรงิ ๆ กต็ าม รวมความแลว กค็ อื ไมม อี ะไรรบกวนและสะดวกสำหรบั การปฏบิ ตั กิ มั มฏั ฐาน. ๒. โคจรสปั ปายะ หมายถงึ ทแ่ี สวงหาอาหารสบายโดยตรง และหมายถงึ ทแี่ สวงหาสง่ิ ทต่ี อ งการอน่ื ๆ โดยออ ม ตลอดถงึ การคมนาคม ทจ่ี ำเปน ตอ งใชเ กยี่ วกบั การปฏบิ ตั ธิ รรมโดย
2 - 24 ธรรมปฏบิ ัติ ๕ สาย : อานาปานสติเฉพาะ. เกย่ี วกบั โคจรสบายน้ี มหี ลกั สำคญั อยวู า พอทจ่ี ะแสวงหาอาหารไดโ ดยไมย าก หรอืยากเกนิ ไป และในทนี่ นั้ ๆ ไมม วี สิ ภาคารมณ โดยเฉพาะกค็ อื สง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ แกจ ติ ใจ ทำจติ ใจใหตกไปฝายต่ำหรือใหยอนระลึกนึกถึงความหลัง ซึ่งทำใหอยากกลับไปสูเพศต่ำ ดังนี้เปนตวั อยา ง. ทา นไดอ ปุ มาไวว า เหมอื นกบั โคตอ งไดท งุ หญา ทด่ี ี ไมม โี จร ไมม เี สอื ไมม โี รค หรอือปุ ท วะอนื่ ๆ. ถา ทโี่ คจรไมด ี กไ็ ดร บั อนั ตรายถงึ ตาย ซง่ึ เปน โวหารอปุ มาของการสกึ . ๓. กถาสปั ปายะ คำพดู สบาย หมายถงึ การไดย นิ ไดฟ ง สงิ่ ทดี่ มี ปี ระโยชน ขจดั ขอสงสยั ตา งๆ ได สนบั สนนุ แกก ารปฏบิ ตั ิ มคี วามไพเราะงดงามและถกู แกจ รติ นสิ ยั ของบคุ คลนน้ั โดยเฉพาะ แมแ ตเ สยี งสตั วบ างอยา ง สบายกม็ ี ไมส บายกม็ ี ไมต อ งกลา วถงึ เสยี งของมนษุ ยเ ลย. ฉะนน้ั เสยี งทอี่ กึ ทกึ ครกึ โครมหรอื สง่ิ ยวั่ ยวนตา งๆ ทด่ี งั มาจากระยะไกลนนั้ กถ็ กูจดั ไวใ นฐานะเปน อสปั ปายะ. ในทำนองตรงกนั ขา ม ถา หากวา ผปู ฏบิ ตั ไิ ดฟ ง ถอ ยคำทช่ี กั จงู จติ ใจหรอื ประเลา ประโลมใจใหอาจหาญราเริง และมีความรูความเขาใจเพิ่มขึ้นในหนาที่ของตัวแลว จัดวาเปนสปั ปายะ ในขอ นี้ โดยเฉพาะอยา งยง่ิ กค็ อื ถอ ยคำของกลั ยาณมติ รทพ่ี ร่ำแนะอยนู นั่ เอง. ๔. ปคุ คลสปั ปายะ หมายถงึ บคุ คลทแ่ี วดลอ มอยู ในฐานะเปน อาจารยห รอื กลั ยาณมติ รกด็ ี เพอ่ื นรว มการปฏบิ ตั ดิ ว ยกนั กด็ ี และผสู นบั สนนุ เชน ทายกทายกิ ากด็ ี ลว นแตเ ปน สภาค(ตรงกนั ขา มกบั วสิ ภาค) คอื เขา กนั ไดก บั บคุ คลผปู ฏบิ ตั นิ นั้ อยา งถกู ฝาถกู ตวั . อาจารยอ ยใู นฐานะชวยดึงข้ึนไป, เพ่ือนสหธรรมิกอยูในฐานแวดลอมใหปลอดภัย และเปนเพ่ือนเดินทาง,ผสู นบั สนนุ อยใู นฐานทช่ี ว ยผลกั ดนั ใหก า วไปเรว็ หรอื โดยสะดวก, เหลา นี้ คอื ใจความสำคญัของปคุ คลสปั ปายะ. ๕. อาหารสปั ปายะ หมายถงึ อาหารทถ่ี กู แกจ รติ นสิ ยั ของบคุ คลผปู ฏบิ ตั ติ ามหลกั เกณฑดงั กลา วแลว ในเรอื่ งของจรติ และทง้ั ยงั เปน อาหารทส่ี บายแกร า งกาย มคี ณุ สมบตั เิ พยี งพอท่ีจะหลอ เลย้ี งรา งกาย และปอ งกนั โรคเตม็ ตามความหมายของอาหารทด่ี ี และเปน อาหารทบ่ี คุ คลนนั้ บรโิ ภคดว ยปจ จเวกขณพ จิ ารณา และดว ยกริ ยิ าอาการทส่ี มควรแกผ ปู ฏบิ ตั ติ ามหลกั เกณฑทม่ี อี ยู. สว นทจี่ ะเปน อาหารเนอ้ื หรอื อาหารผกั ผลไม แปง ขา ว หรอื อะไรอน่ื นนั้ เปน เรอื่ ง
2 - 25 ธรรมปฏบิ ตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติเฉพาะคน เฉพาะสถาน หรอื เฉพาะกาลเวลา และเหตผุ ลสว นตวั อน่ื ๆ ซงึ่ ไมอ าจจะกลา วไวเปน สว นรวม แตถ า ไดม าตรงตามทร่ี า งกายหรอื จติ ใจของผปู ฏบิ ตั สิ มณธรรมตอ งการจรงิ ๆ แลวก็นับวาเปนอาหารสัปปายะอยางยิ่ง. ๖. อุตุสัปปายะ คือฤดูสบาย คำวาอุตุ หรือฤดูในท่ีนี้ ทานหมายถึงกาลเวลาท่ีเหมาะสม คอื เปน กาลเวลาทอี่ ำนวยใหเ กดิ สง่ิ แวดลอ มทดี่ ี คอื ทวิ ทศั นด ี อากาศดี อณุ หภมู ดิ ี และอะไรอน่ื ทเี่ นอื่ งกนั ทกุ อยา งดี ซง่ึ เราอาจรวมเรยี กไดว า ดนิ ฟา อากาศดนี นั่ เอง. เกย่ี วกบั เรอ่ื งน้ี มที างเลอื กเปน ๒ สถาน คอื ถา เปน การปฏบิ ตั ธิ รรมชวั่ ระยะ หรอื เปน การกำหนดจะตอ งลงมอื รเิ รม่ิ จะตง้ั ตน ลงมอื แรกเรม่ิ กด็ ี ทา นใหเ ลอื กฤดทู เี่ หมาะสมทส่ี ดุ เทา ทจี่ ะเลอื กได และเปนโอกาสทจี่ ะเลอื กเวลาหรอื สถานทไ่ี ดต รงตามความมงุ หมายยง่ิ ขนึ้ . ถา เปน การปฏบิ ตั ธิ รรมอยตู ลอดกาลแลว กม็ ที างเลอื กไดน อ ยลงแตก ย็ งั มที างทจี่ ะเลอื กไดว า จะทำกมั มฏั ฐานขอ ไหนตอนไหน หรือระยะไหนใหเครงครัดเปนพิเศษในเวลาไหน ในฤดูไหนอยูนั่นเอง; รวมทั้งอาจจะโยกยา ยสถานทห่ี รอื ประเทศ ใหไ ดร บั ดนิ ฟา อากาศ ทรี่ วมเรยี กกนั วา ฤดู ในทนี่ ต้ี รงตามความประสงคด ว ย เชน ฤดรู อ นจะควรอยทู ไ่ี หน ฤดหู นาวจะควรอยทู ไี่ หน ฤดฝู นจะควรอยทู ่ีไหน หรอื วา ถา เคลอื่ นยา ยไมไ ด เราจะดดั แปลงสถานทน่ี นั้ อยา งไรเพอื่ ใหไ ดร บั ผลอยา งเดยี วกนั . ทงั้ หมดนล้ี ว นแตร วมเรยี กวา อตุ สุ ปั ปายะ. ๗. อริ ยิ าปถสปั ปายะ คอื ทา นง่ั นอน ยนื เดนิ ในลกั ษณะใดเปน ทส่ี บายแกผ ใู ด ควรใชอ ริ ยิ าบถไหนใหม าก สำหรบั เขา. ถงึ รไู ดด ว ยการทดลองสงั เกตดดู ว ยตนเอง โดยถอื หลกัวา ในอริ ยิ าบถใด จติ เปน สมาธไิ ดง า ย และตง้ั มนั่ อยไู ดน านแลว ใหถ อื วา นน่ั เปน อริ ยิ าปถ-สปั ปายะแกผ นู นั้ , เพอ่ื ทำใหม ากเปน พเิ ศษ แลว จงึ ทำใหเ ปน ทท่ี ำไดท วั่ ไป แกอ ริ ยิ าบถทเ่ี หลอืตอ ภายหลงั . สรปุ ความวา สปั ปายะ ๗ ประการน้ี หมายถงึ ความเหมาะสม ของสง่ิ ทสี่ มั พนั ธก บัตน อยา งใกลช ดิ หรอื ไมม ที างจะหลกี เลยี่ งได คอื ทอ่ี ยู ทเ่ี ทยี่ ว เสยี งทไี่ ดย นิ คนเกยี่ วขอ งดว ย ปจ จยั ทเ่ี ลยี้ งชวี ติ และดนิ ฟา อากาศทห่ี ม หมุ ถา เลอื กใหเ หมาะสมทส่ี ดุ เพยี งไร ผนู นั้จะมจี ติ ใจแชม ชนื่ ผอ งใส ไมร จู กั เหนด็ เหนอื่ ยในการบำเพญ็ สมณธรรมของตน ทา นจงึ จดั ไวในฐานะเปนส่ิงที่ตองศึกษาและระมัดระวังเทาที่จะทำได.
2 - 26 ธรรมปฏบิ ัติ ๕ สาย : อานาปานสติ(ฆ) การเตรยี มตวั ทง้ั ทางหลกั วชิ า และทางปฏบิ ตั ิ การเตรยี มตวั เพอื่ การเจรญิ ภาวนา หรอื การปฏบิ ตั กิ มั มฏั ฐาน เกย่ี วกบั เรอื่ งนี้ มขี อ ควรสงั เกตอยู ๒ ประเภท : ประการแรกคอื หลกั วชิ า หรอื แนวทาง ทางฝา ยทฤษฎี ทม่ี อี ยอู ยา งเพียงพอท่ีทำใหสามารถดำเนินการฝายปฏิบัติใหตรงจุด ซึ่งจะตองมีการตระเตรียมดวยการศึกษามาแลว แลวนำมาวินิจฉัยวาตนจะตองตระเตรียมในทางปฏิบัติอยางไรและเทาไรสว นอกี ประเภทหนง่ึ กค็ อื การตระเตรยี มในทางปฏบิ ตั โิ ดยตรง.การเตรียมทางหลักวิชา เก่ียวกับหลักท่ัวๆ ไป ทางฝายทฤษฎี ที่ตองทราบเปนการลวงหนานั้นทานใหหัวขอไว ดงั ตอ ไปนี้ : ๑. สมาธคิ อื อะไร ?๕ คำตอบขอ นม้ี ไี ดต า งๆ กนั อาจจะมงุ หมายถงึ การทำ กริ ยิ าทที่ ำหรอื สง่ิ ทถี่ กู ทำ และผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการกระทำ ลว นแตเ รยี กวา สมาธไิ ปหมด. สว นความมงุ หมายอนั แทจ รงิ ทา นใหค ำจำกดั ความไวว า สมาธคิ อื กศุ ลจติ ทม่ี อี ารมณแ นว แน ดงั น้ีนเ่ี ปน การแสดงวา ทา นเพง เลง็ ถงึ ผลทเี่ กดิ ขนึ้ โดยตรง. สว นการทำ กพ็ ลอยมคี วามหมายไปตามนนั้ กลา วคอื การทำใหเ กดิ มกี ศุ ลจติ ทมี่ อี ารมณแ นว แนน นั่ เอง. ขอ ควรสงั เกตอยา งยง่ิอยตู รงคำทวี่ า กศุ ลจติ มไิ ดอ ยตู รงคำทว่ี า แนว แน แตอ ยา งเดยี ว เพราะเปน อกศุ ลจติ แมม ีอารมณแ นว แนก ก็ ลายเปน มจิ ฉาสมาธไิ ป. ดว ยเหตนุ แ้ี หละ สงิ่ ทจี่ ะใชเ ปน อารมณข องสมาธินน้ั ตอ งเปน อารมณซ ง่ึ เปน ทตี่ งั้ แหง กศุ ลจติ เสมอไป ทงั้ เจตนาในการทจ่ี ะทำสมาธิ กต็ อ งเปน สง่ิ ทบี่ รสิ ทุ ธมิ์ าแตเ ดมิ หรอื ประกอบดว ยปญ ญา หรอื สมั มาทฏิ ฐิ ดงั ทกี่ ลา วมาแลว ขา งตน . ๒. ไดช อ่ื วา สมาธิ เพราะมอี รรถ (ความหมาย) วา อยา งไร ? อธบิ ายวา อรรถวาตงั้ มนั่ ทงั้ สวนจติ และเจตสกิ . จติ ตง้ั มนั่ เพราะมเี จตสกิ ธรรมซงึ่ เปน ความตงั้ มน่ั เกดิ อยกู บั จติซงึ่ กำลงั เปน กศุ ลจติ โดยนยั ทกี่ ลา วแลว ในขอ หนง่ึ . คำวา ตงั้ มน่ั หมายความวา ตง้ั มน่ั อยใู นอารมณอ นั เดยี ว อนั อารมณอ นื่ แทรกแซงเขา มาไมไ ด อนั นวิ รณห รอื กเิ ลสครอบงำไมไ ด.๕ วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ หนา ๑-๑๕.
2 - 27 ธรรมปฏบิ ตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติ ๓. อะไรเปน ลกั ษณะ รส เครอื่ งปรากฏ และปทฏั ฐานของสมาธิ ? ตอบวา ลกั ษณะของสมาธิ คอื ความไมฟ งุ ซา น. รสของสมาธิ คอื การกำจดั ความฟงุ ซา น แลว มคี วามรสู กึ สงบ.เครอื่ งปรากฏหรอื เครอ่ื งสงั เกตของสมาธคิ อื ความไมห วน่ั ไหว และปทฏั ฐานของสมาธิ คอืความสขุ . เกย่ี วกบั ปทฏั ฐานนมี้ ขี อ ทคี่ วรระลกึ ไวเ สมอวา ตอ งมคี วามพอใจ สบายใจ อาจหาญรา เรงิ หรอื ปต ปิ ราโมทย ซงึ่ เปน ลกั ษณะอาการของความสขุ อยตู ลอดเวลา เปน สง่ิ ทสี่ งั เกตไดไมย าก และจะตอ งควบคมุ ใหค งมอี ยตู ลอดเวลา จงึ จะไดช อ่ื วา เปน ปทฏั ฐาน. ๔. สมาธนิ มี้ กี อ่ี ยา ง ? ขอ นเ้ี ปน ทางทฤษฎลี ว น และเลยไปเปน เรอื่ งของการบญั ญตั ิทางภาษา หรอื ทางตรรกะ ซง่ึ ไมต อ งสนใจกไ็ ด เพราะมมี ากมายเกนิ ไป ทราบแตห ลกั เกณฑยอ ๆ ไวบ า งกพ็ อ คอื จะตอบวา สมาธอิ ยา งเดยี วกไ็ ดห มายถงึ อาการทจ่ี ติ ตง้ั มน่ั . จะตอบวามี ๒ อยา งกไ็ ด โดยแบง เปน โลกยิ สมาธแิ ละโลกตุ ตรสมาธ.ิ หรอื แบง เปน สมาธเิ ฉยี ดๆ หรอืสมาธพิ น้ื ฐานทเ่ี รยี กวา อปุ จารสมาธ;ิ และสมาธแิ นว แน ทเี่ รยี กวา อปั ปนาสมาธิ ดงั นก้ี ไ็ ด;และมที างจำแนกโดยชอื่ อน่ื ๆ อกี เปน คๆู ไป. ทจ่ี ำแนกเปน ๓ อยา งนน้ั กค็ อื สมาธอิ ยา งหยาบอยา งกลาง อยา งละเอยี ด เปน ตน . ทจ่ี ำแยกเปน ๔ กจ็ ำแนกตามทส่ี มั ปยตุ กบั อทิ ธบิ าท ๔เปน ตน . ทจี่ ำแนกเปน ๕ กจ็ ำแนกตามองคแ หง ฌานดงั นเ้ี ปน ตน ; ซงึ่ เกยี่ วกบั หลกั วชิ าอยา งเดยี วกนั . ๕. อะไรเปน เครอ่ื งมวั หมองของสมาธิ ? ทา นระบคุ วามทจ่ี ติ กลบั ตกลงสกู ามและอกศุ ลธรรม เปน เครอ่ื งมวั หมองของสมาธ.ิ ขอ นเ้ี หน็ ไดว า หมายถงึ จติ ทเี่ ปน สมาธแิ ลว ในประเภทโลกยิ สมาธทิ ย่ี งั กลบั กำเรบิ ได เกยี่ วกบั การรกั ษาไมด หี รอื มเี หตกุ ารณอ ยา งอนื่ มาแทรกแซง. ๖. อะไรเปน ความผอ งแผว ของสมาธิ ? คำตอบกค็ อื อาการทตี่ รงกนั ขา มจากอาการในขอ ๕ หมายถงึ จติ ทไี่ มม วี ติ กอยา งอนื่ กำลงั รงุ เรอื งอยเู สมอ เพราะสหรคตะอยดู ว ยเจตสกิธรรมประเภทปญญา. ๗. เจรญิ สมาธอิ ยา งไร ? ขอ นเ้ี ปน ทางปฏบิ ตั ลิ ว นๆ จะยกไวก ลา วโดยละเอยี ดในตอนอนั กลา วดว ยการตระเตรยี มประเภทที่ ๒ ขา งหนา รวมความสน้ั ๆ กไ็ ดเ ปน หวั ขอ วา การเจรญิ โลกยิ สมาธเิ ชน น้ี การเตรยี มกค็ อื ชำระศลี ใหบ รสิ ทุ ธ์ิ ตดั ปลโิ พธตา งๆ ดงั ทก่ี ลา วแลว ใน
2 - 28 ธรรมปฏบิ ัติ ๕ สาย : อานาปานสติเรอ่ื งอนั วา ดว ยปลโิ พธ, ตดิ ตอ กบั อาจารยใ หถ กู วธิ ,ี ศกึ ษาและรบั เอากมั มฏั ฐาน, ไปอยใู นสถานทอ่ี นั สมควรแกก ารเจรญิ กมั มฏั ฐาน. ตดั ปลโิ พธหยมุ หยมิ แลว ทำการเจรญิ กมั มฏั ฐานตามวิธีท่ีจะไดแยกไวกลาวขางหนาเปนอีกแผนกหน่ึงตางหาก. ๘. อะไรเปน อานสิ งสข องสมาธิ ? การทราบอานสิ งสห รอื ผลทจี่ ะไดจ ากสงิ่ ทต่ี นทำเปน การลว งหนา นนั้ นอกจากเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ กำลงั ใจอยา งแรงกลา แลว ยงั เปน หลกัเกณฑท จี่ ะชว ยใหม กี ารจดั เตรยี มอยา งถกู ตอ งตรงตามทตี่ นตอ งการจรงิ ๆ อกี ดว ย. เนอ่ื งจากมสี มาธหิ ลายอยา งหลายประเภท อานสิ งสจ งึ มหี ลายอยา งหลายประเภทไปตาม ทา นแสดงอานสิ งสข องสมาธไิ วเ ปน ๕ อยา งดว ยกนั คอื ๑) ทฏิ ฐธรรมสขุ คอื สขุ ทนั ตาเหน็ ของบคุ คลทก่ี ำลงั อยใู นสมาธิ แตโ ดยเฉพาะอยา ง ยง่ิ นนั้ คอื ของพระอรหนั ตท กี่ ำลงั เขา อยใู นสมาธเิ พอื่ การพกั ผอ น ๒) มวี ปิ ส สนาเปน อานสิ งส หมายถงึ สมาธนิ น้ั ๆ เปน บาทฐานใหเ กดิ วปิ ส สนาตอ ไป คอื การเหน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา จนถงึ ขนาดทจี่ ติ หลดุ พน และปลอ ยวาง ๓) มอี ภญิ ญาเปน อานสิ งส ขอ นแ้ี ตกตา งไปจากขอ ที่ ๒ โดยใจความสำคญั กค็ อื วา แมจะไดวิปสสนา ก็มิไดหมายความวาจะตองมีอภิญญาเสมอไป จะตองมีการ ทำสมาธใิ หย งิ่ ไปกวา นน้ั หรอื พเิ ศษออกไปจากนน้ั จงึ จะทำอภญิ ญาใหเ กดิ ได การ ตระเตรยี มจงึ มากกวา กนั . อภญิ ญาในทน่ี ห้ี มายถงึ อทิ ธวิ ธิ มี ปี ระการตา งๆ ทเ่ี ปน ฝา ยกศุ ล ๔) มภี พอนั วเิ ศษเปน อานสิ งส ขอ นเี้ ลง็ ถงึ พรหมโลกเปน สว นใหญ ภพทต่ี ่ำกวา นน้ั ไมเ รยี กวา ภพอนั วเิ ศษ. สมาธทิ ง้ั ปวงยอ มเปน ปจ จยั นำไปสภู พทส่ี งู กวา กามภพ ดว ยกนั ทง้ั นนั้ ทา นจงึ ไดก ลา วอยา งน้ี. อยา งไรกต็ าม คำกลา วขอ น้ี แสดงรอ ง รอยใหเห็นวา เปนการกลาวที่กวางออกไปนอกวงของพุทธศาสนา ซึ่งตองการ จะออกจากภพ หรอื กำจดั ภพเสยี โดยสนิ้ เชงิ จงึ เปน การแสดงอยใู นตวั วา ไดร วม เอาเรอื่ งของสมาธกิ อ นพทุ ธศาสนา หรอื นอกพทุ ธศาสนาเขา มารวมดว ยกนั . น่ี เปน สงิ่ ทต่ี อ งเขา ใจไวใ หถ กู ตอ ง เพราะเปน ทางเกดิ แหง ตณั หาอปุ าทานไดโ ดยไมร สู กึ ตวั ยง่ิ ไปกวา อานสิ งสข อ ท่ี ๓
2 - 29 ธรรมปฏบิ ตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติ ๕) มนี โิ รธสมาบตั เิ ปน อานสิ งส นโิ รธสมาบตั ิ ไดร บั การยกยอ งวา เปน สมาบตั สิ งู สดุ ในบรรดาอตุ ตรมิ นษุ ยธรรมทแี่ สดงออกใหผ อู น่ื ทราบได ในฐานะเปน อาการของ การเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ ทตี่ นไดร บั และเปน คณุ สมบตั ทิ จี่ ดั ไวเ ฉพาะพระอนาคามแี ละ พระอรหนั ตบ างประเภทเทา นน้ั ไมอ ยใู นฐานะเปน วตั ถทุ ปี่ ระสงคท วั่ ไป เพราะ เปน สงิ่ ทไี่ มส าธารณะแกค นทว่ั ไป แมท เี่ ปน พระอรยิ เจา ไมจ ำเปน ตอ งวนิ จิ ฉยั กนั ในทนี่ ้ี : อานสิ งสท ง้ั ๕ อยา งน้ี เปน การบญั ญตั ขิ องอาจารยช นั้ หลงั กจ็ รงิ แต เปนทางพิจารณาใหเห็นลูทางแหงการเตรียมตัว เพ่ือทำสมาธิอยางใดอยางหน่ึง ตามความประสงคข องตนไดง า ยขนึ้ . เรอื่ งทตี่ อ งเตรยี มรใู นฝา ยทฤษฎี มอี ยโู ดยยอ เพยี งเทา นี้ ตอ ไปนเี้ ปน เรอ่ื งการเตรยี มประเภททเี่ ปน ตวั การปฏบิ ตั .ิการเตรียมทางปฏิบัติ การตระเตรียมฝายปฏิบัติ สำหรับโลกิยสมาธิ กลาวคือ สมาธิของบุคคลที่มิใชพระอรยิ เจา และหมายตลอดลงมาถงึ การรเิ รม่ิ ในระยะแรกของการทำสมาธนิ นั้ มหี วั ขอ ทท่ี า นนยิ มวางไวเ ปน หลกั ดงั ตอ ไปนี้ คอื :- ๑. การชำระศีลใหบริสุทธ์ิ หมายถึงการทำตนใหเปนผูที่ไมมีอะไรเปนเคร่ืองตะขิดตะขวงใจ หรอื รงั เกยี จตวั เอง ในเรอื่ งอนั เกยี่ วกบั ศลี ของตน. การวนิ จิ ฉยั ในประเดน็ นไ้ี ดก ลา วแลว ในตอนตน อนั กลา วถงึ บพุ พภาคขอ ทว่ี า ดว ยการแสดงอาบตั ิ ไมว นิ จิ ฉยั กนั ในทน่ี อี้ กี . ๒. การตดั ปลโิ พธตา งๆ ขอ นไี้ ดว นิ จิ ฉยั แลว ในตอนอนั กลา วถงึ ปลโิ พธ ๑๐ ประการขางตน. ๓. การตดิ ตอ กบั กลั ยาณมติ รหรืออาจารยผ ูส อนกมั มัฏฐานนั้น ทานพรรณนาไวยดื ยาว แตก เ็ ปน เรอื่ งเฉพาะถน่ิ เฉพาะยคุ และอนโุ ลมตามวฒั นธรรมของประเทศทแี่ ตง คมั ภรี นน้ั ในยคุ สมยั นนั้ ๆ ฉะนนั้ จงึ ไมอ าจจะนำมาใชไ ดโ ดยตรงตามตวั หนงั สอื ทก่ี ลา วไว ขนื ทำตามนน้ั กร็ งั แตจ ะเกดิ ความงมงาย หรอื เรอ่ื งขบขนั หลายอยา งหลายประเภท ดงั ทไ่ี ดน ำวนิ จิ ฉยัไวบ า งแลว ขา งตน . ในทนี่ ี้ จะสรปุ ไวแ ตใ จความวาใหร จู กั กาละเทศะ ในการเขา ไปตดิ ตอ กบั
2 - 30 ธรรมปฏบิ ัติ ๕ สาย : อานาปานสติอาจารย สรา งความเคารพนบั ถอื หรอื ความไวว างใจใหเ กดิ ขน้ึ อยา งมนั่ คงเสยี กอ น แลว แจงความจำนงตา งๆ ซง่ึ ทา นใหใ ชค วามอดทน แมเ ปน เวลานานตง้ั เดอื นๆ เพอื่ ใหส ง่ิ ตา งๆ เปนไปในลกั ษณะทส่ี ขุ มุ รอบคอบ ทง้ั ฝา ยศษิ ยแ ละฝา ยอาจารย ไมม อี าการอยา งรวบหวั รวบหางเหมอื นดงั ทท่ี ำกนั อยใู นบดั นี้ สงั เกตดกู พ็ อจะเขา ใจได เชน กวา อาจารยจ ะรจู กั นสิ ยั ของศษิ ย กก็ นิ เวลานานไมน อ ย และตอ งการอยปู ฏบิ ตั วิ ตั รฐากทอี่ ยใู กลช ดิ พอสมควรจงึ รไู ดด งั นี้เปน ตน . อกี ทางหนง่ึ ซง่ึ จะตอ งตระเตรยี มกค็ อื ขอ ทว่ี า ตนจะมโี อกาสตดิ ตอ กบั อาจารยไ ดมากนอ ยเพยี งไรตอ ไป. ถา อยปู ฏบิ ตั ใิ นสำนกั ของอาจารยก ไ็ มม ปี ญ หาอะไรนกั สงสยั เมอื่ ไรกถ็ ามได; แตถ า ตอ งอยใู นถน่ิ ทไี่ กลออกไป กต็ อ งมกี ารเตรยี ม วา จะรบั คำสง่ั สอนขอ ไหน เพยี งไรเพอ่ื ระยะเวลานานเทา ไร ซง่ึ เปน หนา ทฝี่ า ยอาจารยจ ะตอ งกำหนดใหอ ยา งเหมาะสม ทา นแนะไวอ ยา งละเอยี ด ตามลกั ษณะของการเปน อยใู นครง้ั โบราณวา บณิ ฑบาตแลว เลยมาสูสำนักอาจารย ๒ วันครั้งหน่ึงบาง ๓ วันครั้งหนึ่งบาง หรือ ๗ วันคร้ังหน่ึงบาง. ในตอนกลบั ออกบณิ ฑบาตจากสำนกั อาจารย ฉนั แลว จงึ เลยไปสำนกั ของตน ดงั นก้ี ย็ งั มี ซง่ึเปน หลกั เกณฑท เี่ หมาะสมแกค วามเปน อยขู องสมยั โบราณโดยตรง แตก ค็ วรนำมาพจิ ารณา หรอืดดั แปลงแกไ ข นำมาใชใ หเ ปน ประโยชนใ นสมยั น้ี ใหม ากเทา ทจ่ี ะมากได. การเตรยี มกไ็ ดแ กการตระเตรยี มใหเ ขา รปู กนั กบั การเปน อยนู น้ั ๆ นนั่ เอง. ในกรณที ต่ี อ งออกไปอยใู นทไ่ี กลออกไปจนถงึ กบั เรยี กวา อยตู า งเมอื ง ตา งจงั หวดั กนั นนั้ ทา นกไ็ ดแ นะนำใหม กี ารตระเตรยี มรบั กมั มฏั ฐานในครงั้ แรก และการตดิ ตอ ในครงั้ หลงั โดยวธิ ที เ่ี หมาะสมเฉพาะเรอื่ งยง่ิ ขน้ึ ไปอกีกค็ อื เปน หนา ทที่ เ่ี ราจะตอ งนำหลกั เกณฑเ หลา นนั้ มาดดั แปลงใหเ หมาะสมแกเ รอ่ื งชนดิ ทเ่ี ปนเรอื่ งพเิ ศษเหลา นใี้ หไ ดจ รงิ ๆ. ถา จดั ไมเ หมาะสมแลว จกั ตอ งเกดิ ความฟงุ ซา นขนึ้ แทรกแซงอยา งทจี่ ะขจดั ปด เปา ไมไ หวเอาทเี ดยี ว. เราควรพจิ ารณาดถู งึ ขอ ทที่ า นแนะไว ในบางกรณีทอ่ี าจารยก บั ศษิ ยจ ะพดู จากนั หรอื ซกั ถามกนั นน้ั ทา นแนะใหน ง่ั คนละฝา ยโคนไม หนั หลงั เขาหากนั ; หลบั ตาพดู กนั ดว ยความระมดั ระวงั ใหถ กู ตอ งรดั กมุ ตรงไปตรงมา เทา ทจ่ี ำเปน จะตอ งพดู ; เสรจ็ แลว ตา งคนตา งลกุ ไปจากทขี่ องตน ไมต อ งดหู นา กนั เลย ทงั้ นก้ี เ็ พราะประสงคจ ะตดัทางมาแหง ความฟงุ ซา นใหม ากทสี่ ดุ เทา ทจี่ ะทำไดน นั่ เอง. เมอื่ เราไดท ราบถงึ ความมงุ หมายตา งๆ เหลา นแี้ ลว เรากส็ ามารถทจ่ี ะเตรยี มสงิ่ ตา งๆ ในการตดิ ตอ กบั อาจารยท กุ ๆ ระยะ ได
2 - 31 ธรรมปฏบิ ตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติอยา งเหมาะสม นบั ตง้ั แตก ารมาตดิ ตอ , สรา งความคนุ เคย, รบั คำสง่ั สอนแนะนำ นำไปปฏบิ ตั ;ิ แลว ยงั ตอ งตดิ ตอ เพอ่ื แกไ ขขอ ขดั ขอ งและการทำใหก า วหนา สบื ไปตามลำดบั ไมม ที ี่สนิ้ สดุ ดงั น.้ี ๔. การศกึ ษากมั มฏั ฐาน ทา นแนะนำใหท ำ ๒ แผนก กมั มฏั ฐานประเภทหนงึ่ เรยี กวา กมั มฏั ฐานทวั่ ไป หรอื ตายตวั คงท่ี ไมต อ งเปลย่ี นแปลง และกมั มฏั ฐานอกี ประเภทหนง่ึ คอืกมั มฏั ฐานเฉพาะ ไดแ กก มั มฏั ฐานทม่ี งุ หมายจะทำใหไ ดโ ดยเรว็ ทส่ี ดุ ในฐานะเปน วตั ถทุ ปี่ ระสงค.กมั มฏั ฐานอยา งแรกทเ่ี รยี กวา ทวั่ ไปนน้ั ทา นหมายถงึ กมั มฏั ฐานทต่ี อ งทำทกุ วนั ใหเ หมาะแกน สิ ยัของผปู ฏบิ ตั ิ เชน เปน คนขลาดกต็ อ งเจรญิ กมั มฏั ฐานเมตตาทกุ วนั เปน ตน หรอื เปน คนราคจรติจะตอ งเจรญิ อสภุ กมั มฏั ฐาน เปน ตน เปน ประจำทกุ วนั หรอื คนมนี สิ ยั ประมาทเฉอ่ื ยชา จะตอ งเจรญิ มรณสตเิ ปน ประจำทกุ วนั กอ นแตท จี่ ะลงมอื เจรญิ กมั มฏั ฐานตวั จรงิ ทจี่ ะตอ งทำใหก า วหนาไปทกุ วนั ๆ แลว แตว า ตนกำลงั ปฏบิ ตั กิ มั มฏั ฐานขอ ใดอย.ู การเจรญิ เมตตากด็ ี อสภุ กมั มฏั ฐานกด็ ี มรณสตกิ ด็ ี ตอ งไดร บั การแนะนำเปน พเิ ศษตา งหาก ตามทอี่ าจารยจ ะเหน็ สมควร วา บคุ คลนน้ั ควรจะมกี มั มฏั ฐานอะไรเปน กมั มฏั ฐานเพอื่ ตวั หรอื คมุ ครองตวั หรอื ตกั เตอื นตวั เปน ประจำวนั ตา งหากไปจากกมั มฏั ฐานหลกั หรอื กมั มฏั ฐานทเ่ี ปน ตวั ความมงุ หมายจรงิ ๆ ทกุ คนตอ งไดรบั กมั มฏั ฐานเปน ๒ แผนกอยา งนี้ ตามทเ่ี หมาะสมดว ยการพจิ ารณาอยา งรอบคอบของอาจารยดงั ทก่ี ลา วแลว . ๕. การอยใู นวหิ ารทส่ี มควร ไดก ลา วแลว อยา งละเอยี ดขา งตน ไมจ ำเปน ตอ งวนิ จิ ฉยักนั อกี . ๖. การตดั ปลโิ พธหยมุ หยมิ หมายถงึ เรอ่ื งเลก็ ๆ นอ ยๆ ทจ่ี ะตอ งทำใหเ สรจ็ สนิ้ ไปเสยีกอ นจะลงมอื ทำกมั มฏั ฐาน เพอ่ื ไมเ ปน เรอื่ งกงั วลในขณะทท่ี ำกมั มฏั ฐานใหด ที ส่ี ดุ เทา ทจี่ ะทำไดสง่ิ เหลา นไ้ี ดแ กก ารปลงผม, โกนหนวด, ปะชนุ ซกั ยอ มจวี ร, การรมบาตร, การถา ยยา, และของเบด็ เตลด็ อนื่ ๆ เทา ทจ่ี ะทำใหเ สรจ็ ไปโดยสมควรแกบ คุ คลนน้ั ไมต อ งหว ง ไมต อ งกงั วลเปนระยะเทาที่จะกำหนดได. ๗. การเจรญิ สมาธภิ าวนาโดยตรง ขอ นไ้ี ดแ กก ารลงมอื ทำการเจรญิ สมาธิ ตาม
2 - 32 ธรรมปฏิบตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติหลกั เกณฑท ไี่ ดร บั ไป จนกวา จะถงึ ทส่ี ดุ มรี ายละเอยี ดดงั ทจ่ี ะไดบ รรยายตอ ไปขา งหนา . ทงั้ หมดนเ้ี ปน การตระเตรยี มทจี่ ะสมั พนั ธก นั ทงั้ ฝา ยทฤษฎี และทางฝา ยปฏบิ ตั ิ ซง่ึ จะตอ งทำใหดีท่ีสุดเทาท่ีจะทำได. (จบตอนอนั วา ดว ยบพุ พกจิ เบอ้ื งตน )ทำไมจงึ เจรญิ อานาปานสติ ? กอ นแตท เ่ี ราจะไดท ราบวา เราจะเจรญิ อานาปานสตกิ นั อยา งไรนน้ั ควรจะไดว นิ จิ ฉยั ในปญ หาทวี่ า ทำไมเราจงึ เลอื กเอาอานาปานสติ มาเปน กมั มฏั ฐานหลกั ในทนี่ กี้ นั เสยี กอ น ซงึ่เมอื่ ทราบแลว จะชว ยใหก ารเจรญิ อานาปานสตเิ ปน ไปไดง า ยขน้ึ . พงึ ทราบวา อานาปานสติเปน ชอื่ ของกมั มฏั ฐานอยา งหนง่ึ ในบรรดากมั มฏั ฐาน ๔๐ อยา ง. กมั มฏั ฐาน ๔๐ นน้ั แบง เปนหมวดๆ คอื ก. การเจรญิ กสณิ ๑๐ อยา ง ไดแ ก ปฐวกี สณิ (ดนิ ), อาโปกสณิ (นำ้ ), เตโชกสณิ (ไฟ),วาโยกสณิ (ลม), นลี กสณิ (สเี ขยี ว), ปต กสณิ (สเี หลอื ง), โลหติ กสณิ (สแี ดง), โอทาตกสณิ(สขี าว), อาโลกกสณิ (แสงสวา งจากดวงอาทติ ย) และปรจิ ฉนิ นกสณิ (ชอ งหรอื รู); ซงึ่ ทงั้ หมดนี้เปน กมั มฏั ฐานทห่ี นกั ไปในทางฝา ยรปู และมงุ หมายทจ่ี ะฝก ฝนจติ ไปในทางอทิ ธวิ ธิ มี าแตเ ดมิ ; ข. การเจรญิ อสภุ ๑๐ อยา ง คอื ศพแรกพอง, ศพขน้ึ เขยี ว, ศพหนองไหล, ศพขาดเปน ทอ น, ศพถกู สตั วก ดั กนิ , ศพหลดุ ออกเปน สว น, ศพแหลกละเอยี ด, ศพอาบไปดว ยเลอื ด,ศพเตม็ ไปดว ยหนอง และศพเหลอื แตก ระดกู , ซงึ่ มคี วามมงุ หมายหนกั ไปในทางกำจดั กามฉนั ทะเปนสวนใหญ; ค. การเจริญอนุสสติ ๑๐ อยาง คือ พุทธานุสสติ, ธัมมานุสสติ, สังฆานุสสติ,สลี านสุ สต,ิ จาคานสุ สต,ิ เทวตานสุ สติ (ระลกึ ถงึ ธรรมทที่ ำความเปน เทวดา), มรณานสุ สติ,กายคตาสติ, อานาปานสติ และ อปุ สมานสุ สติ (ระลกึ ถงึ คณุ พระนพิ พาน), ควรจะสงั เกตไวดว ยวา อานาปานสติ ทเ่ี รากำลงั จะกลา วถงึ อยนู ้ี มชี อื่ รวมอยใู นหมวดน;้ี ง. การเจรญิ พรหมวหิ าร ๔ อยา ง คอื เมตตาพรหมวหิ าร, กรณุ าพรหมวหิ าร, มทุ ติ า-
2 - 33 ธรรมปฏบิ ัติ ๕ สาย : อานาปานสติพรหมวหิ าร, อเุ บกขาพรหมวหิ าร; จ. การเจรญิ อรปู ฌาน ๔ อยา ง คอื อากาสานญั จายตนะ (กำหนดความไมม ที ส่ี นิ้ สดุของอากาศเปน อารมณ) , วญิ ญาณญั จายตนะ (กำหนดความไมม ที สี่ นิ้ สดุ ของวญิ ญาณธาตเุ ปนอารมณ), อากิญจัญญายตนะ (กำหนดความไมมีอะไรเปนอารมณ) และเนวสัญญานา-สญั ญายตนะ (กำหนดความมสี ญั ญากไ็ มใ ช และความไมม สี ญั ญากไ็ มใ ชเ ปน อารมณ), ซงึ่ ทง้ัหมดน้ี เปน อรปู ฌาน เปน สมาธิ เพอ่ื สมาบตั ชิ น้ั สงู แตไ มเ ปน ไปเพอ่ื วปิ ส สนา. สว นอกี ๒ อยา งทเ่ี หลอื คอื ฉ. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (กำหนดความเปน ปฏกิ ลู แหง อาหาร) และ ช. จตธุ าตวุ วฏั ฐานะ (การกำหนดพจิ ารณาโดยความเปน ธาตุ ๔). ๒ อยา งหลงั นี้เปน การพจิ ารณาคอ นไปทางปญ ญา. รวมทง้ั หมดเปน ๔๐ อยา งดว ยกนั , การทเี่ ลอื กเอาเพยี งอยา งหนงึ่ จาก ๔๐ อยา งนน้ั มเี หตผุ ลดงั ทจ่ี ะไดก ลา วตอ ไปน้ี :- ในบรรดาสมาธิภาวนา ซ่ึงมีอยูท้ังหมดดวยกันถึง ๔ ประเภทน้ัน อานาปานสติ-กมั มฏั ฐาน สามารถเปน สมาธภิ าวนาไดท งั้ ๓ ประเภท. สมาธภิ าวนา ๔ ประเภทเหลา นน้ัคือ : ๑. สมาธภิ าวนาเปน ไปเพอ่ื ทฏิ ฐธรรมสขุ วหิ าร การอยเู ปน สขุ ทนั ตาเหน็ . ๒. สมาธภิ าวนาเปน ไปเพอ่ื ญาณทสั สนะ (อนั เปน ทพิ ย หมายถงึ ความมหี ทู พิ ย, ตาทพิ ย, ฯลฯ), ๓. สมาธภิ าวนาเปน ไปเพอื่ ความสมบรู ณข องสตสิ มั ปชญั ญะ, และ ๔. สมาธภิ าวนาเปน ไปเพอื่ ความสน้ิ อาสวะโดยตรง, สำหรบั อานาปานสตภิ าวนา หรอื การเจรญิ อานาปานสตนิ น้ั ยอ มเปน ไปในสมาธภิ าวนาประเภทท่ี ๑ ประเภทที่ ๓ ประเภทที่ ๔ โดยสมบรู ณ เวน ประเภทที่ ๒ ซง่ึ ไมเ กย่ี วกบั ความดบั ทกุ ขแ ตป ระการใด. อานาปานสติ ยอ มเปน ไปในสมาธภิ าวนา ๓ ประเภท ดงั ทไี่ ดร ะบุแลว อยา งไรนน้ั จะชใ้ี หเ หน็ โดยละเอยี ดขา งหนา หรอื อาจเหน็ ไดแ มด ว ยตนเอง ในเมอ่ื ไดศ กึ ษาหรอื ปฏบิ ตั เิ รอ่ื งอานาปานสตจิ บไปแลว สว นกมั มฏั ฐานอน่ื ไมส ำเรจ็ ประโยชนก วา งขวางดงั
2 - 34 ธรรมปฏบิ ตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติเชน อานาปานสตนิ ี.้ ยง่ิ กวา นนั้ อานาปานสติ เปน กมั มฏั ฐานประเภททส่ี งบ และประณตีทงั้ โดยอารมณ และ ทง้ั โดยการกำจดั กเิ ลส. กมั มฏั ฐานอนื่ โดยเฉพาะกายคตาสติ แมเ ปนของคเู คยี งกนั กบั อานาปานสติ กห็ าเปน เชน นนั้ ไมค อื สงบและประณตี แตโ ดยการกำจดั กเิ ลสแตไ มส งบและประณตี ทางอารมณ. สว นอานาปานสตสิ งบประณตี โดยทางอารมณ คอื เปนอารมณข องกมั มฏั ฐานทเี่ ยอื กเยน็ สบาย ไมน า หวาดเสยี ว ไมน า ขยะแขยง ไมล ำบากแกก ารทำ แลว ยงั กำจดั กเิ ลสไดถ งึ ทสี่ ดุ ดว ย. อานาปานสตเิ ปน เชน น;ี้ สว นกายคตาสตนิ นั้ มอี ารมณนา หวาดเสยี ว นา ขยะแขยงเปน ตน และโดยเฉพาะอยา งยงิ่ คอื อสภุ กมั มฏั ฐานแลว ยอ มมีความหมายเปน อยา งนมี้ ากขนึ้ ถงึ ทส่ี ดุ . เนอ่ื งจากอานาปานสตมิ คี ณุ สมบตั ดิ งั กลา วนี้ จงึปรากฏวา ถกู แนะนำโดยพระผมู พี ระภาคเจา เองวา เหมาะแกท กุ คน และทรงสรรเสรญิ วา เปนกมั มฏั ฐานทพ่ี ระอรยิ เจา ทง้ั หลายรวมทงั้ พระองคด ว ยไดเ คยประสบความสำเรจ็ มาแลว และยงัคงใชเ ปน “วหิ ารธรรม” อยเู ปน ประจำอกี ดว ย. ยงิ่ ไปกวา นน้ั อกี , การเจรญิ อานาปานสติ เปน การเจรญิ ทสี่ ามารถทำตดิ ตอ กนั ไปไดโ ดยไมต อ งเปลย่ี นเรอ่ื ง หรอื ไมต อ งเปลย่ี นอารมณต ง้ั แตต น จนปลาย คอื สามารถเจรญิเพอื่ ใหเ กดิ สมาธใิ นระยะแรก และสมาธทิ เี่ จอื ปญ ญาในระยะกลาง และเกดิ ปญ ญาอนั สงู สดุ ที่ทำใหส น้ิ อาสวะไดใ นระยะสดุ ทา ยดว ยการเจรญิ อานาปานสตนิ นั่ เอง จนตลอดสาย. ถา เปนกมั มฏั ฐานอน่ื โดยเฉพาะเชน กสณิ กจ็ ะไปตายดา นอยแู คเ พยี งสมาธิ แลว กต็ อ งเปลยี่ นเปนเรอ่ื งอน่ื เพอ่ื เปน ขน้ั วปิ ส สนาตอ ไป. สว นอานาปานสตนิ น้ั เมอ่ื เจรญิ ครบทง้ั ๔ จตกุ กะ หรอืทง้ั ๑๖ ระยะแลว ยอ มสมบรู ณอ ยใู นตวั ทง้ั โดยสมาธแิ ละโดยวปิ ส สนา. ดงั ทไ่ี ดก ลา วแลว ขา งตน วา อานาปานสตเิ พยี งอยา งเดยี ว เปน สมาธภิ าวนาไดถ งึ ๓ประเภท ไมม กี มั มฏั ฐานขอ ใดทส่ี ะดวกเชน นี้ สบายเชน นี้ และไดร บั การยกยอ งสรรเสรญิ มากเชน น;้ี เพราะเหตนุ เ้ี อง เราจงึ เลอื กเอาอานาปานสตเิ ปน กมั มฏั ฐานหลกั เพอื่ การศกึ ษาและปฏบิ ตั โิ ดยตลอด. ทงั้ หมดนค้ี อื เหตผุ ลทวี่ า เจรญิ อานาปานสตทิ ำไม.ใครจะเปน ผเู จรญิ อานาปานสติ ? ตอ ไปนจ้ี ะไดว นิ จิ ฉยั กนั เปน พเิ ศษในปญ หาทว่ี า ใครจะเปน ผเู จรญิ อานาปานสต.ิ เกยี่ ว
2 - 35 ธรรมปฏบิ ัติ ๕ สาย : อานาปานสติกบั คำตอบขอ นี้ เราจะไดพ บวา ในสตู รนน้ั เอง พระผมู พี ระภาคเจา ไดท รงใชค ำวา “ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น”ี้ ซงึ่ ความหมายวา ไดแ ก บคุ คลผศู กึ ษาในศาสนานี้ เหน็ โลกเหน็ ทกุ ขอ ยา งนี้แลว ตองการจะดับทุกขตามวิธีนี้ คือตามวิธีแหงธรรมวินัยที่เราเรียกกันในบัดนี้วา“พทุ ธศาสนา” พระพทุ ธองคไ ดต รสั วา สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะท่ี ๔ มแี ตในธรรมวินัยนี้ เทานั้น หมายความวาผูพนทุกขตามแบบแหงธรรมวินัยนี้ ท่ีเราเรียกกันวาพระโสดาบนั พระสกทิ าคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ตน น้ั มแี ตใ นธรรมวนิ ยั ทมี่ กี ารปฏบิ ตั ิอยา งนเ้ี ทา นน้ั . ธรรมวนิ ยั อนื่ หรอื ลทั ธอิ นื่ ยอ มวา งจากสมณะเหลา น้ี ดงั นเี้ ปน ตน . ขอ นี้บง ความวา ผทู ม่ี งุ หมายจะดบั ทกุ ขต ามแบบแหง ธรรมวนิ ยั นนี้ น่ั แหละ คอื ผทู จี่ ะเจรญิ อานาปาน-สติ; เพราะฉะนั้น เขาจะตองทำตนใหเปนผูเหมาะสม ท้ังในทางที่จะศึกษาและในทางที่จะปฏบิ ตั ิ ดงั ทจ่ี ะไดก ลา วสบื ไป.วธิ เี จรญิ อานาปานสติ บดั นจ้ี กั ไดว นิ จิ ฉยั กนั ถงึ ขอ ทวี่ า จะเจรญิ อานาปานสตอิ ยา งไร สบื ไปตามลำดบั โดยหวั ขอ ดงั ตอ ไปนี้ :ที่มาของเร่ือง เกยี่ วกบั เรอ่ื งน้ี มบี าลพี ระพทุ ธภาษติ เปน หลกั อยโู ดยตรง เรยี กวา อานาปานสตสิ ตู รปรากฏอยใู นคมั ภรี ม ชั ฌมิ นกิ าย ตอนอปุ รปิ ณ ณาสก (พระไตรปฎ กบาลฉี บบั สยามรฐั เลม ๑๔หนา ๑๙๐ ขอ ๒๘๒) และมที ก่ี ลา วถงึ อยใู นทอี่ น่ื อกี มากแหง ในพระไตรปฎ ก ขอ ความทเ่ี ปนตวั ใจความสำคญั นนั้ มอี ยตู รงกนั หมดทกุ แหง . สว นบทประกอบเรอ่ื งเบด็ เตลด็ นน้ั ตา งกนับา งตามกรณี. สำหรบั สว นทเ่ี ราจกั ไดถ อื เอาเปน หลกั นน้ั คอื ตวั สตู รซงึ่ มขี อ ความทที่ รงแสดงถงึ วธิ กี ารเจรญิ อานาปานสตโิ ดยตรง จนกระทง่ั ถงึ ผลทเี่ กดิ อานาปานสตนิ น้ั เปน ทสี่ ดุ .หัวขอหรือใจความของเร่ือง. พระพทุ ธภาษติ ทเ่ี ปน อเุ ทศแหง เรอื่ งน้ี เรม่ิ ขนึ้ ดว ยคำวา “ภกิ ษทุ งั้ หลาย! ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ไปแลว สปู า กต็ าม ไปแลว สโู คนไมก ต็ าม ไปแลว สเู รอื นวา งกต็ าม นงั่ คขู าเขา มาโดย
2 - 36 ธรรมปฏบิ ตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติรอบแลว ตงั้ กายตรง ดำรงสตมิ น่ั . ภกิ ษนุ นั้ เปน ผมู สี ตอิ ยนู นั่ เทยี ว หายใจเขา , มสี ตอิ ยู หายใจออก” ดงั น.้ี ตอนตอ จากน้ี ไดต รสั ถงึ วธิ กี ำหนดลมหายใจเขา ออกอยา งไร และ การพจิ ารณาสงิ่ ใดอยทู กุ ลมหายใจเขา ออก จนครบ ๑๖ ระยะ; จดั เปน หมวดๆ ได ๔ หมวด หมวดละ ๔ระยะ ตอนตอจากน้ัน ก็ไดตรัสถึงผลท่ีเกิดขึ้นวา การทำเชนนั้นไดทำใหเกิดมีสติปฏฐานทงั้ ๔ และโพชฌงคท งั้ ๗ ขน้ึ มาโดยสมบรู ณไ ดอ ยา งไร แลว เกดิ วชิ ชาและวมิ ตุ ตซิ งึ่ เปน ความดบั ทกุ ขส นิ้ เชงิ ไดอ ยา งไร ในทสี่ ดุ . เพอ่ื สะดวกในการทำความเขา ใจ และเพอื่ เปน ไปอยา งถกู ตอ งตามหลกั เกณฑน นั้ ๆ โดยตรง จะไดย กเอาพระพทุ ธภาษติ เหลา นน้ั มาอธบิ ายทลี ะตอนตามลำดบั และในตอนหนงึ่ ๆ กจ็ ะอธบิ ายทลี ะขอ หรอื ทลี ะคำ ตามทเ่ี หน็ วา จำเปน . อานาปานสติภาวนาอานาปานสตขิ น้ั ที่ กมั มฏั ฐาน สตปิ ฏ ฐาน ๔ ไตรสิกขา ศลี๑-๒ สมถะ กายานปุ ส สนา สมาธิ๓-๔ ปญญา๕-๘ สมถะ + วปิ ส สนา เวทนานุปสสนา๙-๑๒ จติ ตานปุ ส สนา๑๓-๑๖ วปิ ส สนา ธมั มานปุ ส สนาอานาปานสตขิ นั้ ที่ ๑-๒ เปน การเจรญิ สตริ ะดบั ศลี เปน ศลี สกิ ขาขน้ั ที่ ๓-๔ เปน การเจรญิ สตใิ นระดบั สมาธิ เปน สมาธสิ กิ ขาตงั้ แตข นั้ ท่ี ๑-๔ เปน กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน ถอื วา เปน สมถกมั มฏั ฐานเมอื่ ขนั้ ท่ี ๔ สมบรู ณแ ลว ถอื วา สมถกมั มฏั ฐานสมบรู ณขนั้ ท่ี ๕-๘ เปน เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐานขน้ั ท่ี ๙-๑๒ เปน จติ ตานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐานขนั้ ที่ ๑๓-๑๖ เปน ธมั มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน เปน วปิ ส สนากมั มฏั ฐานลว นๆ๖๖ อานาปานสติ : วถิ แี หง ความสขุ ๒ อานาปานสติ ขนั้ ท่ี ๑-๘ หนา ๑๖.
2 - 37 ธรรมปฏบิ ตั ิ ๕ สาย : อานาปานสติการทำความเขาใจในเบื้องตน สำหรบั ตอนแรกนี้ เรมิ่ ดว ยขอ พทุ ธภาษติ วา “ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นไ้ี ปแลว สปู า กต็ าม ไปแลว สโู คนไมก ต็ าม ฯลฯ หายใจเขา -ออก” ดงั นี้ มคี ำอธบิ ายเปน ลำดบั ขอ ดงั น้ี : (ก) คำวา “ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น”้ี ไดว นิ จิ ฉยั แลว ในขอ ทว่ี า ใครเปน ผเู จรญิ อานาปาน-สติ. ในทนี่ ้ี สรปุ แลว กไ็ ดแ กพ ระสาวกผทู จ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามคำสงั่ สอนของพระผมู พี ระภาคเจาโดยเครง ครดั นน่ั เอง. (ข) คำวา “ไปแลวสูปาก็ตาม สูโคนไมก็ตาม สูเรือนวางก็ตาม”๗ นี้แสดงการทภ่ี กิ ษนุ นั้ เลอื กหาเสนาสนะทเ่ี หมาะแกก ารเจรญิ อานาปานสตสิ มาธิ เพราะวา จติ ของภกิ ษุนี้เคยซานไปในอารมณทั้งหลายมีรูปเปนตนเสียนาน จึงไมอยากจะกาวขึ้นสูอารมณของอานาปานสตสิ มาธิ คอยแตจ ะแลน ไปนอกทางอยา งเดยี ว ดจุ รถทเี่ ขาเทยี มดว ยโคโกงฉะนนั้ .เพราะฉะนนั้ คนเลย้ี งโคตอ งการจะฝก ลกู โคโกงตัวดมื่ นำ้ นมทัง้ หมดของแมโ คโกงเติบโตแลวพงึ พรากออกจากแมโ คนม ปก หลกั ใหญไ วส ว นหนง่ึ แลว เอาเชอื กผกู ไวท ห่ี ลกั นนั้ , คราวนน้ัลกู โคนนั้ ของเขาดน้ิ รนไปทางโนน ทางนี้ ไมอ าจหนไี ปได พงึ ยนื พงิ หรอื นอนองิ หลกั นน้ั นน่ั แลชื่อแมฉันใด; ภิกษุแมรูปน้ี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประสงคจะฝกฝนจิตที่ถูกโทษประทุษรายซ่ึงเจริญดวยการดื่มรสแหงอารมณมีรูปเปนตนมานานแลว พึงพรากออกจากอารมณมีรูปเปน ตน แลว เขา ไปสปู า หรอื โคนไม หรอื เรอื นวา งเปลา แลว พงึ เอาเชอื กคอื สตผิ กู ไวท หี่ ลกัคอื ลมอสั สาสะและปส สาสะนน้ั เมอื่ เปน เชน นน้ั จติ ของเธอนน้ั แมจ ะกวดั แกวง ไปทางโนนและทางนี้ก็ตาม เมื่อไมไดรับอารมณท่ีเคยชินมาในกาลกอน ไมสามารถจะตัดเชือกคือสติหนไี ปได ยอ มจดจอ และแนบสนทิ อารมณน นั้ แล ดว ยอำนาจอปุ จาระและอัปปนา. เพราะเหตนุ น้ั พระโบราณาจารยท งั้ หลายจงึ กลา ววา “คนจะฝก ลกู โค พงึ ผกู (มนั ) ไวท ห่ี ลกั ฉนั ใด พระโยคาวจรใน ศาสนานี้ ก็พึงผูกจิตของตนไวท่ีอารมณ (กัมมัฏฐาน) ใหม่ันดวยสติ ฉนั นน้ั .”๗ วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ หนา ๙๐-๙๗.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 642
Pages: