Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_35

tripitaka_35

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:34

Description: tripitaka_35

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 101ดวยอริยวงศ เกี่ยวดว ยปณ ฑบาตสนั โดษ. บทเปนตน วา วณณฺ วาที ดังน้ีพึงทราบโดยนยั ทก่ี ลาวแลว . ในบทวา เสนาสเนน น้ี พงึ รูจกั เสนาสนะ พึงรจู กั เขตเสนาสนะพึงรจู ักสันโดษดว ยเสนาสนะ พึงรูจักธดุ งคทเ่ี กยี่ วดวยเสนาสนะ. ในขอเหลานั้น ขอ วา เสนาสนะ ไดแ ก เสนาสนะ ๑๕ เหลา นี้ คือ ๑. เตียง ๒. ตัง่ ๓. ฟกู ๔. หมอน ๕. วิหาร ๖. เรือนมงุ ดานเดียว ๗. ปราสาท ๘. ปราสาทโลน ๙. ถาํ้ ๑๐. ที่เรน ๑๑. ปอม ๑๒. เรอื นโถง ๑๓. พุมไผ ๑๔. โคนตน ไม ๑๕. หรอื ที่ ๆ พวกภกิ ษหุ ลีกออกไป. ขอวา เขตแหง เสนาสนะ ไดแก เขต ๖ คอื โดยสงฆบ าง คณะบา ง ญาติบา ง มติ รบาง ทรัพยของตนบาง ผา บังสุกลุ บาง. ขอวา เสนาสนสันโดษ ไดแ ก สนั โดษในเสนาสนะ ๑๕ มวี ิตกั ก-สันโดษเปน ตน. สนั โดษเหลาน้นั พึงทราบโดยนยั ทีก่ ลาวแลว ในบิณฑบาต.

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 102สวนธุดงค ๕ ท่ีเก่ียวดว ยเสนาสนะ คอื อารัญญกิ งั คะ รกุ ขมลู ิกงั คะอพั โภกาสิกงั คะ โสสานิกังคะ ยถาสันถตกิ ังคะ. เรอื่ งพสิ ดารของธดุ งคเหลาน้ัน กลา วไวแลวในคมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรค. ภกิ ษผุ บู ําเพ็ญมหาอริยวงศเ กี่ยวดว ยเสนาสนะสนั โดษ ยอ มรกั ษาธดุ งค ๕ เหลา นน้ั ไวไ ด เมือ่ รกั ษาธุดงคเหลานี้ยอมช่ือวา เปน ผสู ันโดษดว ยมหาอรยิ วงศเ กย่ี วดวยเสนาสนะสนั โดษสวนคลิ านปจ จยั ก็อยใู นบณิ ฑบาตนน่ั เอง. ภกิ ษพุ ึงยนิ ดใี นคิลานปจ จัยนั้นดวยยถาลาภสนั โดษ ยถาพลสันโดษ ยถาสารปุ ปสนั โดษเทา นนั้ . เนสัชชิ-กังคะ ยอมจัดเขาอรยิ วงศข อยนิ ดใี นภาวนา ดว ยประการฉะน.้ี สมดงั คําท่ีทา นกลาววา ปฺจ เสนาสเน วุตตฺ า ปจฺ อาหารนิสสฺ ติ า เอโก วริ ยิ สฺุตฺโต เทวฺ จ จวี รนิสฺสติ า ธดุ งค ๕ อยา ง ทา นกลา วไวใ น เสนาสนะ ๕ อยาง อาศยั อาหาร อยา งหนึง่ ประกอบดว ยความเพียร และ ๒ อยาง อาศัยจีวร ดังน้ี. พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั อริยวงศคือจีวรสันโดษเปนขอแรก เหมือนทรงปลู าดแผน ดิน เหมอื นทรงทําทองทะเลใหเตม็ และเหมือนทรงขยายอากาศใหกวา งออกแลว จึงตรัสปณ ฑปาตสันโดษเปน ขอ ทีส่ อง เหมือนทรงใหพ ระจนั ทรอุทัยขึ้น และเหมอื นทรงทาํ พระอาทิตยใหโ ลดข้ึน ตรสั อรยิ วงศค อื เสนาสนะ-สนั โดษเปนขอ ทสี่ าม เหมือนทรงยกภเู ขาสิเนรุ บดั นี้ เพื่อตรสั อรยิ วงศคอื ยินดีในภาวนาเปน ขอที่สี่ ที่ประดบั ดว ยนยั พันหนง่ึ ทรงเรมิ่ เทศนาวา ปุนจ ปร ภกิ ขฺ เว ภกิ ฺขุ ภาวนาราโม โหติ เปน ตน . ในบทวา ภาวนาราโมน้นั ความยนิ ดี ชอื่ วา อารามะ อธิบายวาความยินดยี ิ่ง. ชือ่ วา ภาวนารามะ เพราะภิกษุน้ัน ยินดีในภาวนาการเจริญ

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 103ชอ่ื วาภาวนารตะ เพราะยินดีแลว ในภาวนา. ชอ่ื วาปหานารามะ เพราะยินดใี นปหานะการละ ๕ อยาง อีกอยา งหน่ึง ชื่อวา ภาวนารามะ เพราะเจรญิ อยจู ึงยนิ ดีชื่อวา ปหานารามะ เพราะละอยจู ึงยนิ ดี. ในภาวนาและปหานะนี้ พงึ ทราบความอยางนี.้ จริงอยู ภกิ ษุนเี้ จรญิ สตปิ ฏฐาน ๔ อยยู อ มยินดี อธบิ ายวา ยอ มไดความยินดี. เจริญสัมมปั ปธาน ๔ อยกู ็เหมือนกนั เม่ือเจรญิ อทิ ธิบาท ๔อินทรยี  ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อนปุ ส สนา ๗ มหาวปิ สสนา ๑๘ โพธ-ิปก ขิยธรรม ๓๗ เจรญิ การแจกอารมณ ๓๘ อยูยอมยนิ ดี ยอ มไดความยนิ ด.ีอนงึ่ ละกิเลสมีกามฉันทะเปน ตนอยู ก็ยินดไี ดค วามยินด.ี สว นในอริยวงศ๔ เหลา นี้ วนิ ยั ปฎกทั้งสิน้ เปน อนั ตรัสดว ยธดุ งค ๑๓ และความสันโดษดวยปจจัย ๔ ดว ยอรยิ วงศสามขอ แรกกอ น. สองปฎกที่เหลือ ตรสั ดวยอริยวงศขอยนิ ดใี นภาวนา. ก็ภิกษุเมือ่ กลา วอรยิ วงศข อยินดีในภาวนานี้ พงึ กลาวโดยเนกขมั มบาลใี นปฏิสัมภิทามรรค พงึ กลา วโดยปริยายแหงทสตุ ตรสตู รในทฆี นิกาย พงึ กลาวโดยปรยิ ายแหงสตปิ ฏฐานสูตรในมัชฌมิ นิกาย พึงกลา วโดยปรยิ ายแหง นทิ เทสในอภธิ รรม. บรรดาคาํ เหลา น้ัน คําวา ปฏิสมฺภิทามคเฺ ค เนกฺขมฺมปาลยิ าไดแก พึงกลา วตามเนกขมั มบาลใี นปฏสิ ัมภทิ ามรรคอยางน้ีวา เธอเมือ่ เจรญิเนกขัมมะ กย็ ินดี ละกามฉันทะ กย็ นิ ดี เมือ่ เจรญิ อพั ยาบาท ก็ยนิ ดี ละพยาบาทก็ยินดี เม่ือเจริญอาโลกสัญญา ก็ยนิ ดี ละถีนมทิ ธะ กย็ นิ ดี เมือ่ เจริญอวิกเขปะความไมฟ งุ ซา น กย็ นิ ดี ละอทุ ธัจจะ ก็ยนิ ดี เม่ือเจริญธัมมวิวัฏฐานะการกาํ หนดธรรม กย็ ินดี ละ วิจิกิจฉา กย็ นิ ดี เมื่อเจริญญาณ กย็ ินดี ละอวิชชา กย็ ินดีเมอ่ื เจริญปราโมทย กย็ นิ ดี ละอรตคิ วามรษิ ยา กย็ ินดี เมอ่ื เจรญิ ปฐมฌานก็ยนิ ดี ละนิวรณ ๕ ก็ยนิ ดี เมอื่ เจริญทตุ ยิ ฌาน กย็ นิ ดี ละวติ กวจิ าร กย็ นิ ดีเมอื่ เจริญตตยิ ฌานก็ยนิ ดี ละปติ ก็ยนิ ดี เมื่อเจริญจตตุ ถฌานก็ยนิ ดี ละสุข

พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาที่ 104ทุกข ก็ยินดี เมอ่ื เจรญิ อากาสานัญจายตนสมาบตั กิ ็ยินดี ละรูปสัญญา ปฏิฆ-สญั ญา นานตั ตสัญญา กย็ ินดี เมือ่ เจรญิ วญิ ญาณัญจายตนสมาบตั ิ ฯลฯเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ก็ยินดี ละอากญิ จัญญายตนสัญญากย็ นิ ดี. เมือ่ เจริญอนิจจานุปส สนา กย็ ินดี ละนิจจสัญญากย็ ินดี เมอื่ เจริญทกุ ขานปุ สสนา กย็ นิ ดี ละสุขสญั ญากย็ นิ ดี เมื่อเจริญอนตั ตานุปส สนา ก็ยินดีละอัตตสญั ญาก็ยินดี เม่อื เจรญิ นพิ พทิ านุปสสนา ก็ยินดี ละนนั ทิกย็ นิ ดีเมื่อเจริญวริ าคานปุ สสนา กย็ ินดี ละราคะก็ยินดี เมือ่ เจรญิ นิโรธานุปสสนาก็ยินดี ละสมทุ ัยกย็ นิ ดี เมื่อเจรญิ ปฏนิ สิ สคั คานุปส สนา กย็ ินดี ละอาทานะกย็ นิ ดี เมือ่ เจรญิ ขยานปุ สสนา กย็ นิ ดี ละฆนสญั ญากย็ นิ ดี เมื่อเจริญวยา-นปุ สสนา กย็ นิ ดี ละอายุหนะเห็นวา เจริญขึน้ กย็ นิ ดี เมื่อเจรญิ วิปริณามา-นุปสสนา ก็ยินดี ละธวุ สัญญาก็ยินดี เมือ่ เจรญิ อนิมติ ตานปุ สสนา กย็ ินดีละนมิ ติ ก็ยินดี เมื่อเจรญิ อปั ปณิหติ านปุ สสนา กย็ ินดี ละปณธิ ิก็ยินดี เมอื่ เจริญสุญญตานปุ สสนา กย็ ินดี ละอภนิ ิเวสกย็ ินดี เม่ือเจรญิ อธปิ ญ ญาธรรมวปิ ส สนาก็ยินดี ละสาราทานาภินิเวสกย็ นิ ดี เม่ือเจริญยถาภูตญาณทสั สนะ ก็ยินดีละสมั โมหาภินเิ วสก็ยนิ ดี เมอ่ื เจริญอาทีนวานปุ ส สนา กย็ ินดี ละอาลยาภนิ เิ วสกย็ ินดี เมอ่ื เจรญิ ปฏิสงั ขานุปส สนา กย็ นิ ดี ละอัปปฎสิ งั ขะกย็ ินดี เมื่อเจรญิววิ ัฎฎานปุ ส สนา กย็ ินดี ละสังโยคาภนิ เิ วสกย็ นิ ดี เม่ือเจรญิ โสดาปต ติมรรคกย็ นิ ดี ละกิเลสทต่ี ้ังอยแู หง เดียวอนั มรรคเหน็ แลวกย็ ินดี เมือ่ เจริญสกทาคามมิ รรค ก็ยนิ ดี ละกิเลสอยา งหยาบกย็ ินดี เมอื่ เจรญิ อนาคามมิ รรค ก็ยินดีละกเิ ลสที่รวมดวยอนสุ ัยก็ยนิ ดี เม่ือเจรญิ อรหัตมรรค ก็ยินดี ละสรรพกิเลสกย็ นิ ดี ดงั น.ี้ คําวา ทฆี นิกาเย ทสตุ ตฺ รสตุ ฺตนฺตปริยาเยน ไดแ ก พึงกลาวโดยปรยิ ายแหง ทสุตตรสตู รในทีฆนกิ ายอยา งน้วี า เม่ือเจรญิ ธรรมอยา งหน่ึง

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 105กย็ นิ ดี ละธรรมอยางหนง่ึ กย็ นิ ดี ฯลฯ เมือ่ เจริญธรรม ๑๐ กย็ นิ ดี ละธรรม๑๐ กย็ ินดี เมือ่ เจรญิ ธรรมอยางหน่งึ ก็ยินดเี ปน ไฉน ? คอื กายคตาสติท่ีประกอบดว ยความแชม ชน่ื ช่ือวา เจริญธรรมอยางหน่งึ ก็ยนิ ดี เมอื่ ละธรรมอยางหน่งึ กย็ ินดเี ปนไฉน ? คอื อัสมมิ านะ ชอื่ วา ละธรรมอยา งหนง่ึ นก้ี ็ยนิ ดีเมอ่ื เจริญธรรม ๒ ก็ยนิ ดเี ปนไฉน ? ฯลฯ เม่ือเจรญิ ธรรม ๑๐ ก็ยินดเี ปนไฉนคอื กสณิ ายตนะ ๑๐. ช่ือวาเจริญธรรม ๑๐ เหลานี้ก็ยินด.ี เมื่อละธรรม ๑๐ก็ยนิ ดีเปน ไฉน ? คอื มิจฉัตตะ ๑๐ ชอ่ื วา ละธรรม ๑๐ เหลาน้ีก็ยนิ ดี ภกิ ษุเปนผมู ภี าวนาเปน ทยี่ นิ ดอี ยา งนี้แล. คําวา มชฺฌิมนิกาเย สตปิ ฏานสุตฺตนตฺ ปรยิ าเยน ไดแ กพงึ กลาวโดยปริยายแหงสตปิ ฏ ฐานสตู ร ในมชั ณิมนิกายอยางนว้ี า ดูกอนภิกษุท้ังหลาย หนทางนี้เปนหนทางไปอันเอก ฯลฯ เขาไปตง้ั อยเู ฉพาะหนา แกเ ธอแตเพยี งสกั วาญาณ แตเ พียงสกั วา ความอาศยั ระลึก. เธอยอมมสี นั ดานอันตัณหาและทิฏฐิไมอ าศัยอยู และไมถอื มน่ั อะไร ๆ ในโลก. ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลายภิกษุเปน ผูมีภาวนาเปนทีย่ ินดี ยนิ ดีแลวในภาวนาอยา งนแี้ ล. เปนผูมีปหานะเปนที่ยินดี ยินดีแลวในปหานะ. อกี ขอหนึ่ง ภกิ ษเุ มือ่ เดนิ กร็ ูชดั วา เรากาํ ลังเดิน. ฯลฯ อีกขอ หนึ่ง เหมอื นอยางวา ภิกษุพึงเห็นสรรี ะทเ่ี ขาท้งิ ไวแ ลวในปา ชา ฯลฯ เปน ของผุ เปนจณุ . เธอก็นอมเขา มาสูกายนแ้ี ลวา ถึงรางกายนีก้ ม็ ีอยางนเ้ี ปน ธรรมดาเปน อยางนี้ ไมลว งความเปนอยางน้ีไปได.อยา งนี้ ภิกษยุ อ มพิจารณาเห็นกายในกายเปนภายในบาง ฯลฯ ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษเุ ปน ผูมภี าวนาเปน ท่ยี ินดีอยา งนแ้ี ล. คําวา อภธิ มเฺ ม นิทฺเทสปริยาเยน บณั ฑติ พึงกลาวโดยปรยิ ายแหง นทิ เทสอยางนวี้ า เธอเมอ่ื เหน็ สงั ขตธรรมแมท้งั ปวง โดยความเปน ของ

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 106ไมเ ที่ยง เปนทกุ ข เปน โรค เปน ผี โดยความเปน สังกเิ ลส เศราหมองยอ มยนิ ด.ี ภิกษุเปน ผูมภี าวนาเปนทีย่ ินดีอยางนีแ้ ล. บทวา เนวตตฺ านกุ กฺ  เสติ ความวา ภิกษุยอ มไมท ําการยกตนอยา งนี้วา เมื่อเราทาํ กรรมในวปิ สสนาวาไมเท่ียง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตามาตลอด๖๐ ป ๗๐ ป ถงึ ปจ จบุ นั น้ี ใครเลา จะเปน ผเู สมอเราดังน้ี. บทวา โน ปรวมฺเภติ ความวา ยอ มไมท าํ การขมคนอืน่ อยางนวี้ า แมเ พียงวิปสสนาวาไมเ ท่ียง เปน ทุกขดังนี้ กไ็ มม ี ทําไมพวกเหลา นจ้ี งึ ละเลยกมั มัฏฐานเที่ยวไปดงั นี.้ บททีเ่ หลือมีนัยอนั กลา วแลวท้ังน้ัน. บทวา อิเม โข ภกิ ขฺ เว จตฺตาโร อรยิ ว สา ความวา พระผูม ีพระภาคเจา ทรงยกั เย้อื งพระสูตรวา ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย อรยิ วงศ ๔ เหลา นี้เปน วงศข องพระอริยะ เปนเช้ือสายของพระอริยะ เปนทางของพระอรยิ ะ เปนหนทางไปของพระอรยิ ะ ดังนี้ บดั น้ี เมื่อทรงแสดงอิสระโดยภกิ ษุผูบําเพญ็มหาอริยวงศ จงึ ตรสั วา อิเมหิ จ ปน ภิกฺขเว เปน ตน . ในบทเหลา น้นับทวา เสฺวว อรตึ สหติ ความวา เธอเทา นั้น ยอมย่าํ ยคี รอบงาํ ความไมยนิ ดี ความไมยินดียิ่ง ความเออื มระอาเสียได. บทวา น ต อรติ สหติความวา ช่อื วา ความไมยินดี ในการเจริญอธิกุศล ในเสนาสนะท่สี งัดนน้ั ใดความไมย นิ ดนี ั้น ยอมไมสามารถจะยํ่ายีครอบงําภกิ ษนุ น้ั ได. บทวา อรตริ -ติสโห ความวา ภิกษุผูมปี ญญายอมยา่ํ ยี สามารถครอบงาํ ความไมย นิ ดีและความยนิ ดใี นกามคณุ ๕. บดั นี้ เมือ่ ทรงถือเอายอดธรรมดว ยคาถาท้งั หลาย จึงตรสั คําวา นารตีเปนตน. ในบทเหลาน้ัน บทวา ธีร คอื ผมู ีความเพียร. บทวา นารตีธรี ส หติ น้เี ปนคํากลาวเหตุแหง บทแรก. เพราะเหตุทค่ี วามไมย ินดี ไมย า่ํ ยีภิกษผุ ูมปี ญ ญา คือ ยอมไมสามารถจะยํา่ ยี คือ ครอบงาํ ภิกษุผูมปี ญญาได

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 107ฉะน้ัน ความไมยินดจี ึงหาย่ํายภี ิกษผุ ูมีปญ ญาไดไม. บทวา ธโี ร หิ อรตสึ โหความวา เพราะเหตทุ ่ภี กิ ษเุ ปนผูขม ความไมย นิ ดไี ด ช่อื วา ผูมีปญ ญา เพราะขมความไมยนิ ดีได ฉะนั้น เธอจงึ ขม ความไมยนิ ดีได. บทวา สพพฺ กมมฺ -วิหายิน ความวา ภิกษุผสู ละกรรมเปน ไปในภูมสิ ามท้งั ปวงแลว คือ ตัดขาดทางรอบดา นแลว . บทวา ปนุณณฺ  โก นวิ ารเย ความวา ราคะกด็ ีโทสะกด็ ี อะไรเลาจะมาขดั ขวางผบู รรเทากิเลสทงั้ หลายไดแ ลว . บทวา เนกฺขชมโฺ พนทสฺเสว โก น นินฺทิตุมรหติ ความวา ใครเลาจะติบุคคลนนั้ผหู ลดุ พน จากโทษทจ่ี ะพงึ ติ ดุจแทงทองคาํ ธรรมชาติทเ่ี รียกวา ชมพูนุท.บทวา พฺรหฺมนุ าป ปส สิโต ความวา ถงึ พรหมก็สรรเสรญิ บุคคลนั้น.เวลาจบเทศนา ภกิ ษสุ หี่ มื่นรปู ก็ดํารงอยใู นพระอรหตั . จบอรรถกถาอรยิ วังสสตู รที่ ๘ ๙. ธัมมปทสูตร วา ดว ยธรรมบทท่บี ณั ฑิตสรรเสริญ ๔ [๒๙] ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรมบท (ขอธรรม) ๔ ขอ นีป้ รากฏวาเปน ขอ ธรรมอนั เลิศ ยัง่ ยืนเปน แบบแผนมาแตเกากอ น ไมถ ูกทอดทงิ้ แลวไมเคยถูกทอดทิ้งเลย (ในอดตี กาล) ไมถ ูกทอดทิง้ อยู (ในปจจบุ ันกาล)จักไมถูกทอดท้ิง (ในอนาคตกาล) สมณพราหมณท งั้ หลายที่เปนผูรูไ มค ัดคานแลว ธรรมบท ๔ ขอ คอื อะไรบา ง คอื อนภิชฌา อพยาบาท สัมมาสติสมั มาสมาธิ นีแ้ ลธรรมบท ๔ ขอ ที่ปรากฏวาเปน ขอ ธรรมอนั เลิศ ฯลฯสมณพราหมณทั้งหลายท่เี ปนผูรไู มค ดั คา นแลว.

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 108 พึงเปนผไู มมอี ภชิ ฌา มีใจไมพ ยา บาท มีสติ มีจิตแนว แน มั่นอยใู นภายใน. จบธมั มปทสตู รที่ ๙ อรรถกถาธัมมปทสตู ร พงึ ทราบวินิจฉัยในธรรมปทสูตรท่ี ๙ ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา ธมมฺ ปทานิ คอื สวนแหงธรรม. ในบทวา อนภชิ ฺฌาเปนตน พงึ ทราบอนภิชฌา โดยเปน ขาศึกของอภิชฌา. อัพยาบาทโดยเปนขาศกึ ของพยาบาท สมั มาสติโดยเปนขา ศกึ ของมจิ ฉาสติ พึงทราบสมั มาสมาธิโดยเปน ขา ศึกของมจิ ฉาสมาธ.ิ บทวา อนภิชฺฌาลุ คือไมมีตัณหา. บทวา อพยฺ าปนฺเนน เจตสาความวา มจี ิตไมล ะปกติภาพตลอดกาลทงั้ ปวง. บทวา สโต เอกคฺคจติ ตฺ สสฺความวา ผูประกอบดวยสตมิ จี ิตแนว แนในอารมณเ ดียว. บทวา อชฺฌตตฺ สสุ มาหิโต ความวา ผูมจี ิตต้งั มนั่ อยดู ว ยดีในภายในแนน อน. ตรสั วัฏฏะและววิ ัฏฏะไวทั้งในพระสูตร ทงั้ ในคาถา. จบอรรถกถาธมั มปทสตู รท่ี ๙

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 109 ๑๐. ปรพิ าชกสูตร วาดว ยตรสั ธรรม ๔ แกปริพาชก [๓๐] สมยั หนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ ภเู ขาคชิ ฌกฎูกรุงราชคฤห สมัยน้นั ปรพิ าชกผูม ชี ือ่ เสยี งปรากฏหลายคนอยูท ีอ่ ารามปรพิ าชกแทบฝงแมน ้าํ สัปปนี คอื ปริพาชกช่ืออันนภาระ ช่ือวธระ ช่อื สกุลทุ ายแิ ละปริพาชกมีช่ือเสียงปรากฏอ่นื อกี ครงั้ นนั้ เวลาเยน็ พระผูม ีพระภาคเจา เสดจ็ออกจากที่เรนแลว เสดจ็ ไปอารามปรพิ าชกน้ัน คร้ันเสด็จถึงแลว ประทบั นง่ั ณอาสนะท่ีเขาจัดไวแ ลว จึงตรัสกะปรพิ าชกทัง้ หลายวา ปริพาชกท้งั หลาย ธรรมบท ๔ ขอ นี้ ปรากฏวาเปนขอธรรมอนั เลิศฯลฯ สมณพราหมณทั้งหลายทีเ่ ปนผรู ไู มค ัดคานแลว ธรรมบท ๔ ขอคอือะไรบาง คอื อนภิชฌา อพยาบาท สัมมาสติ สมั มาสมาธิ นีแ้ ลธรรมบท ๔ ขอ ทีป่ รากฏวาเปน ขอธรรมอันเลิศ ฯลฯ สมณพราหมณทัง้ หลายทเี่ ปน ผูร ูไมค ดั คา นแลว. ปรพิ าชกท้ังหลาย ผใู ดจะพงึ กลาววา ขา พเจาจักเลกิ ถอนธรรมบทคอื อนภิชฌาเสียแลว บัญญัติ (แตงตงั้ ยกยอง) สมณะหรือพราหมณผ ูม ีอภชิ ฌาผกู าํ หนดั กลา ในกามทั้งหลาย (วาเปนคนด)ี ดังนี้ ในชอ่ื น้เี ราจะวากะผูน้ันวา จงมา จงกลา ว จงพดู เถดิ เราจะคอยดูอานุภาพ ปรพิ าชกท้งั หลายขอที่ผูน น้ั นะ จักเลกิ ถอนธรรมบทคอื อนภิชฌาเสียแลว บญั ญัตสิ มณะหรอืพราหมณผมู อี ภิชฌาผูมคี วามกาํ หนดั กลา ในกามท้งั หลาย (วาเปนคนดี นัน่เปน ไปไมได.

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 110 ปรพิ าชกท้ังหลาย ผูใ ดจะพึงกลา ววา ขาพเจา จกั เลิกถอนธรรมบทคอื อพยาบาทเสียแลว บญั ญตั ิสมณะหรือพราหมณผ มู จี ิตพยาบาทมีน้ําใจดุราย(วาเปน คนดี) ดงั นี้ ในขอนี้เราจะวา กะผนู นั้ วา จงมา จงกลา ว จงสําแดง เราจะคอยดูอานภุ าพ ปริพาชกท้ังหลาย ขอท่ผี ูนัน้ นะ จกั เลิกถอนธรรมบทคืออพยาบาทเสยี แลว บญั ญตั ิสมณะหรือพราหมณผูมีจติ พยาบาทมนี ํา้ ใจดรุ า ย (วาเปนคนด)ี นน่ั เปน ไปไมได ปรพิ าชกท้งั หลาย ผใู ดจะพงึ กลาววา ขา พเจา จกั เลิกถอนธรรมบทคือสมั มาสตเิ สยี แลว บัญญตั สิ มณะหรอื พราหมณผูหลงลมื สติ ไมม สี ัมปชัญญะ(วา เปน คนด)ี ดงั น้ี ในขอ นีเ้ ราจะวากะผูนัน้ วา จงมา จงกลา ว จงพูดเถดิเราจะคอยดอู านภุ าพ ปริพาชกท้ังหลาย ขอทผ่ี นู น้ั นะ จักเลิกถอนธรรมบทคือสมั มาสติเสียแลว บญั ญัติสมณะหรือพราหมณผหู ลงลืมสตไิ มม สี ัมปชญั ญะ(วา เปนคนด)ี น่ันเปน ไปไมได. ปริพาชกทงั้ หลาย ผใู ดจะพงึ กลา ววา ขาพเจา จักเลกิ ถอนธรรมบทคอื สมั มาสมาธิเสยี แลว บญั ญตั สิ มณะหรอื พราหมณผ ูไมม ีสมาธิ มจี ติ หมุนไปผิด(วาเปนคนด)ี ดงั น้ี ในขอนีเ้ รากะวา กะผูนน้ั วา จงมา จงกลา ว จงพดู เถิดเราจะคอยดูอานุภาพ ปริพาชกท้งั หลาย ขอ ทผ่ี ูน ัน้ นะ จักเลกิ ถอนธรรมบทคือสมั มาสมาธิเสียแลว บัญญตั ิสมณะหรอื พราหมณผูไมมสี มาธิ มีจิตหมนุไปผดิ (วาเปน คนด)ี นน่ั เปน ไปไมได. ปรพิ าชกทง้ั หลาย ผใู ดมาสาํ คัญเหน็ ธรรมบท ๔ ขอ นีว้ า เปนขอควรติควรคดั คาน ผูนนั้ ยอ มไดรบั คําติฉนิ อนั สมแกเ หตุ ตกอยใู นฐานะอันนาติเตยี น ๔ ประการในปจ จุบันนี้ ๔ ประการคอื อะไรบา ง คอื

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 111 ถาผูนัน้ ติเตยี นคัดคานธรรมบทคอื อนภชิ ฌาไซร สมณะหรอื พราหมณเหลาใด เปน ผมู อี ภิชฌามีความกาํ หนดั กลาในกามทงั้ หลาย สมณะหรือพราหมณเหลา น้ันกต็ อ งเปน ทบ่ี ูชา... เปนที่ยกยอ งของผูนั้น ถาผูนั้นตเิ ตยี นคัดคา นธรรมบทคืออพยาบาทไซร สมณะหรอื พราหมณเหลา ใด เปนผมู ีจติ พยาบาทมใี จดรุ า ย สมณะหรือพราหมณเหลา นน้ั กต็ องเปนท่บี ชู า . . . เปนทยี่ กยองของผูน ัน้ ถา ผูน ัน้ ตเิ ตียนคดั คา นธรรมบทคอื สมั มาสตไิ ซร สมณะหรือพราหมณเหลา ใดเปน ผหู ลงลมื สติไมมสี มั ปชญั ญะ สมณะหรือพราหมณเหลานั้นกต็ อ งเปน ท่บี ชู า. . . เปน ทีย่ กยองของผนู ้ัน ถาผูนัน้ ติเตยี นคดั คานธรรมบทคือสมั มาสมาธไิ ซร สมณะหรือพราหมณเหลา ใดเปน ผไู มมีสมาธิ มีจติ หมุนไปผดิ สมณะหรือพราหมณเหลา นน้ั กต็ อ งเปนท่ีบูชา. . . เปน ท่ยี กยอ งของผูนั้น ผใู ดมาสําคญั เหน็ ธรรมบท ๔ ขอ น้วี า เปน ขอควรติควรคัดคาน ผูนั้นยอ มไดรบั คาํ ติฉินอันสมแกเหตุ ตกอยใู นฐานะทน่ี า ติเตียน ๔ ประการน้ี ในปจ จุบนั นแ่ี ล ปริพาชกท้ังหลาย แมแ ตปริพาชกชือ่ วัสสะและภญั ญะ ชาวชนบทอุกกละ ผูเ ปน อเหตุกวาทะ อกริ ยิ วาทะ นัตถิกวาทะ ยงั ไมสาํ คัญเห็นธรรมบท๔ ขอ น้ีวาเปนขอควรตคิ วรคัดคาน นนั่ เพราะเหตอุ ะไร เพราะกลัวถกู นินทาวารายและเกลียดชัง ผไู มพยาบาท มีสตทิ กุ เม่ือ มใี จ ต้งั ม่นั ในกายใน ศึกษาในอนั กาํ จดั อภชิ ฌา เรยี กวา ผูไมประมาท. จบปริพาชกสูตรท่ี ๑๐ จบอุรเุ วลวรรคท่ี ๓

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 112 อรรถกถาปริพาชกสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในปริพาชกสูตรที่ ๑๐ ดังตอ ไปนี้ :- บทวา อภิฺ าตา ไดแก ผมู ีช่ือท่ีรจู กั กันคอื ปรากฏ. บทวาอนฺนภาโร เปน ตน เปนช่ือของปรพิ าชกเหลา นั้น. บทวา ปฏสิ ลฺลานาวุฏโิ ต ไดแก พระผูมีพระภาคเจา เสด็จออกจากผลสมาบตั .ิ กผ็ ลสมาบตั ิน้นัทานประสงคว า ท่ีเรนในทนี่ ี้. บทวา ปจฺจกขฺ าย คอื คัดคาน. บทวาอภิชฺฌาลุ คือผูมีตณั หา. บทวา กาเมสุ ติพพฺ สาราค ความวา ผูม ีราคะความกําหนดั มากในวตั ถุกาม. บทวา ตมห ตตฺถ เอว วเทยฺย ความวาเมือ่ เขากลาวคาํ น้นั เราจะกลา วอยางน้ใี นเหตนุ ้ัน . บทวา ปฏิกฺโกสติ พพฺ มฺเยยฺ ความวา ผใู ดมาสําคญั วาควรคัดคาน คือวาควรหาม. บทวาสหธมมฺ ิกา ไดแกพ รอ มกบั เหตุ บทวา วาทานปุ าตา ความวา กเ็ บยี ดเบียนวาทะทป่ี ระกอบดว ยธรรม ก็ตกไปตามวาทะทีไ่ มประกอบดวยธรรม อธิบายวาประพฤติตามวาทะ. บทวา คารยฺหา านา คือปจจัยอนั ควรตเิ ตียน. บทวาอาคจฉฺ นตฺ ิ คอื ยอมเขาถึง. บทวา อุกกฺ ลา คอื ชาวชนบทอุกกละ. บทวา วสสฺ ภฺา คอืปรพิ าชก ๒ คน ชือ่ วัสสะ และภัญญะ. บทวา อเหตกุ วาทา ความวาทัง้ ๒ คนเปน ผูมวี าทะเปน ตน อยา งน้ีวา เหตุไมม ี ปจ จยั ไมม ี เพ่ือความหมดจดแหงสัตวท ง้ั หลายดังน้.ี บทวา อกริ ิยวาทา ความวา ผูมีวาทะปฏเิ สธกิริยวาทะอยา งนวี้ า เม่ือบุคคลทาํ อยู บาปไมชื่อวาอันบุคคลทําดังน้.ี บทวานตถฺ ิกวาทา ความวา ผูมวี าทะเปน ตน อยา งนี้วา ทานที่ทายกใหแ ลวไมม ผี ลดงั น้ี . คนทัง้ ๒ เหลาน้นั เปน ผดู ิ่งลงในทัสนะทงั้ ๓ เหลา น.้ี ถามวา ก็ใน

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 113คนเหลา นัน้ กําหนดไดอยา งไร ? ตอบวา ก็ผใู ดถือลัทธเิ หน็ ปานนี้ นั่งสาธยายพจิ ารณาอยใู นสถานที่พกั กลางคืนและทพี่ ักกลางวนั มิจฉาสตขิ องผนู ั้นยอมต้งั ม่ันอยใู นอารมณน ั้นวา เหตไุ มม ี ปจ จัยไมม ี เมื่อบุคคลทําอยู บาปยอมไมช อ่ื วา อันบคุ คลทาํ ฯลฯ ทานทท่ี ายกใหแลวไมม ผี ล ฯลฯ เพราะกายแตกยอ มขาดสูญ ดงั นี้ จิตยอมแนวแน ชวนจิตท้ังหลายยอ มแลน ไป ในชวนจติที่หน่งึ ผูนนั้ ยังเปน ผแู กไขได ในชวนจติ ทีส่ องเปนตน กอ็ ยางนน้ั ในชวนจิตทเี่ จ็ด ผนู ั้นแมพระพุทธเจาท้งั หลายก็แกไขไมไ ดไ มก ลบั มา ยอ มเปน เชนเดยี วกับอรฏิ ฐภกิ ษแุ ละกณั ฏกสามเณร. บรรดาทสั นะ ๓ อยา งนั้น บางคนหยัง่ สทู สั นะเดยี ว บางคน ๒ ทสั นะ บางคน ๓ ทสั นะ เขายอ มช่อื วานยิ ตมิจฉาทิฏฐิกะทัง้ นนั้ เขาตองหา มทางสวรรค และตองหา มทางพระนิพพานไมค วรจะไปสูส วรรค ในลําดบั แหงอัตภาพนัน้ จะตองกลาวไปไย ถงึ พระ-นิพพานเลา . อธบิ ายวา สตั วผ ูน้ีเปน ผเู ฝาแผน ดิน ชอ่ื วาเปน ตอในวฏั ฏะ.โดยมากสตั วเ ห็นปานนไี้ มอ อกจากภพ. ถึงวสั สะ และภญั ญะปริพาชกกเ็ ปนเชน น.้ี บทวา นินฺทาพฺยาโรสนาอุปารมฺภภยา ความวา เพราะตนกลวันนิ ทา กลวั เกลยี ดชัง และกลัวเขาวา รายดงั นี้ . บทวา อภชิ ฌฺ าวนิ เย สิกฺข ความวา พระอรหัต เรยี กวาธรรมเคร่ืองกาํ จดั อภชิ ฌา ผูศึกษาในพระอรหตั อยู เรยี กวา ผูไ มประมาทดังนี.้ ตรัสท้ังวฏั ฏะท้ังววิ ัฏฏะไวใ นพระสตู รแลว จึงตรสั ผลสมาบัตไิ วในพระคาถา ดวยประการฉะนี้. จบอรรถกถาปริพาชกสตู รท่ี ๑๐ จบอุรุเวลวรรควรรณนาท่ี ๓

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 114 รวมพระสูตรท่มี ีในอรุ เุ วลวรรคนี้ คือ ๑. ปฐมอรุ เุ วลสูตร ๒. ทตุ ิยอรุ เุ วลสตู ร ๓. โลกสตู ร ๔ กาฬก-สูตร ๕. พรหมจริยสตู ร ๖. กุหสตู ร ๗. สันตฏุ ฐสิ ูตร ๘. อรยิ วังสสูตร๙. ธัมมปทสตู ร ๑๐. ปริพาชกสตู ร และอรรถกถา.

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 115 จักกวรรคที่ ๔ ๑. จักกสูตร วาดวยจกั ร ๔ [๓๑] ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย จักร (คือธรรมดุจลอ รถ) ๔ ประการนี้เปน เหตุใหเ ทวดาและมนษุ ยทัง้ หลายผูประกอบพรอ มแลว ไดจกั ร (ทจี่ ะหมนุนําไปสูความเจรญิ ) ๔ ประการ เปนเหตุใหเ ทวดาและมนุษยทั้งหลายผปู ระกอบพรอ มแลว ถงึ ความใหญค วามไพบลู ยใ นโภคทรพั ยทั้งหลายไมน านเลย จักร๔ ประการ คืออะไร คือ ปฏิรปู เทสวาสะ (ความอยูในถ่ินที่เหมาะ) ๑สัปปรุ สิ ูปส สยะ (ความพึง่ พงิ สตั บรุ ษุ ) ๑ อตั ตสมั มาปณธิ ิ (ความตั้งตนไวช อบ) ๑ ปพุ เพกตปญุ ญตา (ความเปน ผูมีความดีอันไดทาํ ไวก อ น) ๑น้แี ลจักร ๔ ซงึ่ เปน เหตใุ หเ ทวดาและมนุษยท ้ังหลายผปู ระกอบพรอ มแลวไดจกั ร ๔ ประการ เปนเหตุใหเทวดาและมนษุ ยท้งั หลายผปู ระกอบพรอ มแลวถึงความใหญความไพบลู ยในโภคทรพั ยท งั้ หลายไมนานเลย นรชนพึงอยูในถนิ่ ทเี่ หมาะ พึงทาํ อารยชนใหเ ปนมิตร ถงึ พรอมดว ยความ ตง้ั ตนไวชอบ มคี วามดีอันไดท ําไวก อ น ขาวเปลือก ทรัพย ยศ เกียรติ และความ สขุ ยอมพรั่งพรูมาสนู รชนผนู น้ั . จบจักกสตู รท่ี ๑






































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook