Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_35

tripitaka_35

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:34

Description: tripitaka_35

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 401เสขพละ ๕ นค้ี ือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วริ ิยะ ปญญา อยู แตอินทรยี ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา ของเธอออน เพราะอินทรีย ๕นอ้ี อน เธอยอ มเปนอสังขารปรนิ พิ พายีเพราะกายแตกไป อยา งน้ีแล บคุ คลเปนอสงั ขารปรนิ พิ พายีเพราะกายแตกไป ภิกษุทั้งหลาย นแี้ ลบุคคล ๔ จําพวกมอี ยใู นโลก. จบสสงั ขารสตู รท่ี ๙ อรรถกถาสสงั ขารสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในสสงั ขารสตู รท่ี ๙ ดงั ตอไปน้ี :- บุคคลที่ ๑ ที่ ๒ เปนสุกขวปิ สสก ยงั สังขารนมิ ิตใหป รากฏดวยความเพียรเร่ยี วแรง. ในบคุ คลเหลานัน้ คนหน่ึง ยอมปรนิ พิ พานดว ยกเิ ลสปรนิ พิ พานในอตั ภาพน้ี เพราะอนิ ทรียคอื วปิ สสนามกี ําลัง คนหน่ึงปรินิพานไมไ ดใ นอตั ภาพน้ี เพราะอินทรยี ไมม ีกาํ ลัง ตอไดม ูลกรรมฐานน้นั เทา นนั้ ในอัตภาพลาํ ดับไป ยงั สงั ขารนมิ ิตใหป รากฏดวยความเพยี รเรย่ี วแรงแลวจึงปรนิ พิ พานดว ยกิเลสปรินิพพาน บุคคลที่ ๓ ท่ี ๔ เปนสมถยานกิ (สมถะนําไป).บรรดาบุคคลเหลานั้น พึงทราบวา คนหนึ่งทํากเิ ลสใหส ิ้นไปในอตั ภาพน้ีเพราะอนิ ทรียมีกําลังดว ยไมต อ งใชค วามเพยี รเรี่ยวแรง คนหน่งึ ทํากิเลสใหสิน้ ไปไมไดอ ัตภาพในโลกนี้ เพราะอนิ ทรียไ มมกี าํ ลงั ตอ ไดมูลกรรมฐานน้นัเทา น้ัน ในอัตภาพลําดับไปทาํ กเิ ลสใหสิน้ ไปดวยไมต องใชความเพยี รเรี่ยวแรงดังน.ี้ จบอรรถกถาสสงั ขารสูตรท่ี ๙

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 402 ๑๐. ยคุ นัทธสูตร วา ดวยมรรค ๔ ประการ [๑๗๐] สมยั หนง่ึ พระอานนทอยู ณ โฆสติ าราม กรงุ โกสมั พีทา นเรียกภิกษทุ ัง้ หลายในทน่ี น้ั มา ฯลฯ แสดงธรรมวา อาวุโสท้ังหลายสหธรรมกิ ผใู ดผหู นง่ึ เปน ภกิ ษุกต็ าม ภิกษณุ กี ต็ าม พยากรณ การบรรลุพระอรหัตในสาํ นกั ของเรา ดว ยมรรค ๔ โดยประการท้ังปวง หรอื วาดวยมรรคใดมรรคหนึง่ ในมรรค ๔ น้ัน มรรค ๘ เปน ไฉน ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยั นี้บาํ เพ็ญวิปสสนามีสมถะเปนเบื้องหนา เมือ่ เธอบาํ เพญ็ วปิ ส สนามีสมถะเปน เบอ้ื งหนา อยู มรรคยอ มบังเกดิ ข้ึน เธอสองเสพเจริญกระทาํ ใหมากซึง่ มรรคนนั้ เมอื่ เธอสอ งเสพเจรญิ การทําใหม ากซ่งึ มรรคนัน้ อยู ยอ มละสงั โยชนไ ด อนุสัยกย็ อ มสิน้ ไป อกี อยา งหน่ึง ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยั นบี้ ําเพญ็ สมถะมวี ิปสสนาเปนเบ้อื งหนา เมอื่ เธอบาํ เพญ็ สมถะมวี ิปสสนาเปน เบื้องหนาอยู มรรคยอมบังเกิดข้นึ เธอสองเสพเจรญิ กระทําใหมากซงึ่ มรรคนั้น เม่อื เธอสอ งเสพเจรญิ การทาํใหมากซ่งึ มรรคนั้นอยู ยอมละสังโยชนได อนสุ ัยก็ยอมส้นิ ไป อีกอยางหนง่ึ ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นีบ้ าํ เพญ็ สมถะและวิปส สนาเปนคูกนั ไป เม่อื เธอบาํ เพ็ญสมถะและวิปส สนาเปน คกู ันไปอยู มรรคยอมบงั เกิดข้นึเธอสองเสพเจริญกระทาํ ใหมากซึง่ มรรคนั้นเมือ่ เธอสอ งเสพเจรญิ กระทาํ ใหมากซ่ึงมรรคนน้ั อยู ยอมละสังโยชนไ ด อนสุ ัยกย็ อ มส้นิ ไป อีกอยางหน่ึง ใจของภกิ ษปุ ราศจากอุทธจั จะในธรรมแลว สมยั นั้นจติ นัน้ ยอ มตงั้ มั่น หยดุ นิง่ อยูภายในเปน หนงึ่ แนว แนเปนสมาธิ มรรคยอมเกิดแก

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 403ภกิ ษนุ ้ัน เธอสอ งเสพเจรญิ กระทาํ ใหม ากซ่ึงมรรคนัน้ เมือ่ เธอสอ งเสพเจริญกระทําใหมากซ่งึ มรรคนนั้ ยอมละสงั โยชนไ ด อนสุ ยั กย็ อ มสิน้ ไป อาวุโสทั้งหลาย ผใู ดผูห นึง่ เปน ภิกษกุ ็ตาม ภกิ ษุณกี ต็ าม มาพยากรณการบรรลุพระอรหตั ในสาํ นักของเรา ดว ยมรรค ๔ นี้ โดยประการทง้ั ปวง หรือดวยมรรคใดมรรคหนึ่งใน ๔ มรรคน้นั . จบยุคนันธสูตรท่ี ๑๐ จบปฏปิ ทาวรรคที่ ๒ อรรถกถายุคนัทธสตู ร พงึ ทราบวินิจฉยั ในยุคนทั ธสตู รที่ ๑๐ ดังตอไปน้ี :- บทวา สมถปพุ พฺ งคฺ ม ไดแก ทาํ สมถะไปเบ้อื งหนา คือ ใหเ ปนปุเรจาริก. บทวา มคฺโค สฺชายติ ไดแ ก โลกุตรมรรคท่ี ๑ ยอ มเกดิ ข้นึ .บทวา โส ต มคฺค . ความวา ช่ือวาอาเสวนะเปนตน ไมมีแกมรรคอันเปนไปในขณะจติ เดยี ว. แตเมือยังมรรคท่ี ๒ ใหเกิดขึ้น ทานกลา ววา เธอสอ งเสพเจริญทาํ ใหมากซึ่งมรรคนนั้ นนั่ แล. บทวา วปิ สสฺ นา ปพุ ฺพงคฺ มไดแ กทําวปิ ส สนาไปเบื้องหนา คอื ใหเ ปนปุเรจาริก บทวา สมถ ภาเวติความวา โดยปกติผไู ดวปิ ส สนาตงั้ อยใู นวิปสสนา ยอ มยงั สมาธิใหเ กดิ ข้นึ . บทวา ยุคนทธฺ  ภเวติ ไดแ ก เจริญทําใหเปนคูตดิ กนั ไป. ในขอนน้ั ภิกษไุ มส ามารถจะใชจติ ดวงน้ันเขาสมาบตั ิ แลว ใชจติ ดวงนั้นนัน่ แลพิจารณาสงั ขารได. แตภิกษุนี้เขา สมาบตั ิเพยี งใด ยอ มพิจารณาสงั ขารเพียงนั้น พจิ ารณาสงั ขารเพียงใด ยอ มเขาสมาบัตเิ พียงนนั้ . ถามวา อยางไร.

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 404ตอบวา ภกิ ษุเขา ปฐมฌาน ครั้นออกจากปฐมฌานแลว พจิ ารณาสังขารท้งั หลายครัน้ พจิ ารณาสงั ขารทัง้ หลายแลว เขาทตุ ิยฌาน ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตน-สมาบตั ิ ครน้ั ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบตั แิ ลว พจิ ารณาสังขาร-ทัง้ หลาย ดวยอาการอยา งนี้ ภกิ ษุนชี้ อื่ วา เจรญิ ปฐมวิปส สนาใหเ ปนคตู ิดกนั ไป.บทวา ธมฺมทุ ธฺ จฺจวิคคฺ หติ  ความวา อันอทุ ธัจจะไดแกวิปสสนปู กิเลส ๑๐ในธรรมคอื สมถะและวปิ สสนาจบั แลว คือ จบั ดแี ลว . ดว ยบทวา โหติ โสอาวโุ ส สมโย นที้ า นกลา วถงึ กาลทไี่ ดส ปั ปายะ ๗. บทวา ยนตฺ  จติ ตฺ ไดแ ก จติ ท่กี าวลงสูวิถแี หงวิปส สนาในสมยั ใดเปนไปแลว . บทวา อชฺฌตตฺ  -เยว สนฺตฏิ ติ ความวา จิตกาวลงสวู ถิ แี หงวปิ สสนาแลว หยุดอยใู นอารมณอนั ไดแ ก อารมณภ ายในนนั้ นั่นเอง. บทวา สนนฺ สิ ีทติ ไดแ ก นิ่งโดยชอบดวยอํานาจของอารมณ. บทวา เอโกทิ โหติ ไดแก จติ มีอารมณเ ปน หนึ่ง.บทวา สมาธิยติ ไดแ กจ ิตตง้ั ไวโ ดยชอบ คือต้งั ไวด แี ลว . คําท่ีเหลอื ในสตู รน้ีมีเนอ้ื ความงายทง้ั นั้น. จบอรรถกถายคุ นัทธสูตรท่ี ๑๐ จบปฏปิ ทาวรรควรรณนาท่ี ๒ รวมพระสตู รที่มีในวรรคน้ี คือ ๑. สังขิตตสตู ร ๒. วติ ถารสตู ร ๓. อสุภสตู ร ๔. ปฐมขมสตู ร๕. ทุตยิ ขมสตู ร ๖. อภุ ยสตู ร ๗. โมคคัลลานสตู ร ๘. สารปี ุตตสูตร๙. สสังขารสตู ร ๑๐. ยุคนทั ธสูตร และอรรถกถา.

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 405 สัญเจตนยิ วรรคท่ี ๓ ๑๐. เจตนาสตู ร วา ดวยความไดอัตภาพ ๔ ประการ [๑๗๑] ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย เม่ือกายมอี ยู สุขทุกขท ่ีเปน ภายใน(เกิดข้นึ แกตน) ยอ มเกิดขน้ึ เพราะกายสญั เจตนา (ความจงใจทําทางกาย)เปน เหตุ หรือเมอื่ วาจามอี ยู สขุ ทุกขท่ีเปน ภายในยอ มเกิดขนึ้ เพราะวจีสญั -เจตนา (ความจงใจทําทางวาจา) เปนเหตุ หรือเมอื่ ใจมอี ยู สุขทุกขท ่ีเปนภายในกย็ อมเกดิ ขนึ้ เพราะมโนสญั เจตนา (ความจงใจทาํ ทางใจ) เปน เหตุอกี อยางหนึ่ง เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จยั บคุ คลยอมปรุงแตง กายสังขารวจีสงั ขาร มโนสังขาร อันเปนปจ จยั ใหสุขทกุ ขภ ายในนั้นเกิดขึ้นดว ยตนเองบา ง คนอ่ืนปรงุ แตงกายสังขาร วจีสังขาร มโนสงั ขารของบคุ คลนั้นอันเปน ปจจยั ใหส ขุ ทุกขภายในเกดิ ข้ึนแกบคุ คลนัน้ บาง บคุ คลนัน้ รอู ยูปรุงแตงกายสังขาร วจีสงั ขาร มโนสงั ขารน้นั อันเปน ปจจยั ใหส ขุ ทุกขภายในเกิดข้นึ บา ง บุคคลน้ันไมร ู ปรุงแตง กายสังขาร วจสี ังขาร มโนสังขารนนั้ อันเปน ปจจยั ใหสขุ ทกุ ขภ ายในเกิดข้ึนบาง ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย อวชิ ชายอมตดิ ตามไปในธรรมเหลา นี้ เพราะอวชิ ชาดับส้นิ ไปไมเ หลือ กาย วาจา ใจ ยอมไมเ ปนปจจยัใหสขุ ทุกขภ ายในนั้นเกิดขนึ้ แกบุคคลนัน้ เขตอนั เปน ปจ จยั ใหส ุขทกุ ขภายในนั้นเกิดขึน้ ยอ มไมม ี วตั ถุ อายตนะ อธิกรณะ อันเปนปจ จัยใหสุขทกุ ขภายในน้นั เกดิ ข้นึ กย็ อมไมม ี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 406 ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย ความไดอัตภาพ ๔ น้ี ความไดอ ตั ภาพ ๔ คอือะไรบา ง คือ ความไดอัตภาพทีส่ ญั เจตนาของตนนาํ ไป มใิ ชส ญั เจตนาของผอู ่นื นําไปก็มี ความไดอ ัตภาพทสี่ ญั เจตนาของผูอ ่นื นาํ ไป มิใชสญั เจตนาของคนนาํ ไปก็มี ความไดอตั ภาพที่สัญเจตนาของคนนําไปบา ง สัญเจตนาของผอู ื่นนาํ ไปบางกม็ ี ความไดอตั ภาพทสี่ ญั เจตนาของตนนาํ ไปกม็ ใิ ช สญั เจตนาของผูอ น่ื นาํ ไปก็มิใชกม็ ี ภกิ ษุทั้งหลาย นีแ้ ลความไดอัตภาพ ๔ เนือ้ พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสอยา งนี้แลว พระสารบี ุตรกราบทลู ขึน้ วาขา แตพระองคผูเ จริญ ธรรมทพ่ี ระผูม พี ระภาคเจา ตรัสโดยยอนี้ ขาพระพทุ ธเจาทราบเน้ือความกวา งออกไปอยา งนี้คือ ในความไดอ ตั ภาพ ๔ นัน้ ความไดอตั ภาพท่ีสญั เจตนาของตนนาํ ไป มิใชส ัญเจตนาของผูอืน่ นําไปนี้ การจุตจิ ากอตั ภาพนั้นแหงเหลาสัตว (ผไู ดอ ัตภาพนนั้ ) ยอ มมีเพราะสญั เจตนาของตนเปน เหตุ ความไดอัตภาพที่สัญเจตนาของผอู ่นื นาํ ไป. มใิ ชส ญั เจตนาของตนนาํ ไปนี้ การจตุ ิจากอัตภาพน้นั แหงเหลา สตั ว (ผไู ดอ ัตภาพน้นั ) ยอ มมเี พราะสัญเจตนาของผูอ ืน่ เปน เหตุ ความไดอตั ภาพที่สัญเจตนาของตนนําไปบางสัญเจตนาของผอู ืน่ นาํ ไปบา งน้ี การจุติจากอัตภาพน้ันแหงเหลาสัตว (ผไู ดอัตภาพนั้น) ยอมมเี พราะสญั เจตนาของตนบา ง สญั เจตนาของผอู ืน่ บางเปนเหตุสว นความไดอตั ภาพท่ีสญั เจตนาของตนนําไปก็มใิ ช สญั เจตนาของผอู ่นื นาํ ไปก็มใิ ชน ี้ เหลาสตั ว (ผูไดอตั ภาพนน้ั ) ไดแ กเ ทวดาจําพวกไหน. พ. ตรสั ตอบวา ไดแกเทวดาเหลา เนวสัตานาสญั ญายตนะ. พระสารีบตุ รกราบทลู ถามตอไปวา อะไรหนอเปนเหตุ เปนปจ จัยพระพุทธเจาขา ท่ีทาํ ใหเ หลาสตั วบ างพวกผูจ ตุ จิ ากอัตภาพ (เนวสญั ญานา-สญั ญายตนะ) นนั้ แลว เปน อาคามี มาสูอตั ภาพอยา งน้อี ีก อนงึ่ อะไรหนอเปน เหตุเปน ปจ จัย ท่ที ําใหเหลา สัตวบ างพวกผจู ตุ ิจากอตั ภาพนนั้ แลว เปนอนาคามี ไมม าสอู ัตภาพอยา งนี้อีก.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 407 พ. ตรัสตอบวา บคุ คลละสังโยชนเ บอื้ งตาํ่ ยังไมได แตไ ดเ นว-สญั ญานาสญั ญายตนะในปจ จุบนั น้ี บคุ คลนน้ั ตดิ ใจยินดปี ล้ืมเปรมดวยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยัง้ อยใู นเนวสญั ญานาสัญญายตนะนน้ั ปกใจในเนวสัญญานาสญั ญายตนะน้ัน ชํ่าอยดู ว ยเนวสัญญานาสญั ญายตนะนั้นไมเ สือ่ ม จนทาํ กาลกิริยา ยอมไปเกิดอยูรวมกบั เทวดาเหลาเนวสญั ญานาสัญ-ญายตนะ บคุ คลน้ันจุติจากอัตภาพนั้นยอ มเปนอาคามี มาสูอ ัตภาพอยา งนอี้ ีกสว นบคุ คลบางคนละสงั โยชนเบื้องตาํ่ ไดแลว ไดเ นวสัญญานาสัญญายตนะในปจ จุบนั นี้ บคุ คลนนั้ ติดใจยนิ ดีปลม้ื ใจดวยเนวสัญญานาสญั ญายตนะนน้ั ฯลฯไมเ สื่อม จนทํากาลกิริยา ยอ มไปบงั เกิดอยูร วมกบั เทวดาเหลาเนวสัญญานาสญั ญายตนะ บคุ คลนัน้ จตุ ิจากอัตภาพน้ันยอ มเปน อนาคามี ไมมาสอู ตั ภาพอยา งนอี้ กี ดูกอนสารบี ุตร นแ่ี ลเปน เหตุเปนปจจัยทท่ี าํ ใหเหลา สัตวบ างพวกจตุ จิ ากอัตภาพน้ันแลวเปน อาคามี มาสูอัตภาพอยา งน้อี กี บางพวกจตุ จิ ากอัตภาพนนั้ แลว เปนอนาคามี ไมม าสอู ตั ภาพอยางนีอ้ กี . จบเจตนาสูตรที่ ๑ สญั เจตนยิ วรรควรรณนาท่ี ๓ อรรถกถาเจตนาสูตร พึงทราบวนิ ิจฉัยในเจตนาสตู รที่ ๑ แหง วรรคท่ี ๓ ดังตอไปน้ี :- บทวา กาเย ไดแ ก เมื่อกายทวาร อธบิ ายวา เม่ือความเคลือ่ นไหวทางกายมีอยู. ในบทวา กายสเฺ จตนาเหตุ เปน ตน ความสาํ เรจ็ แหง เจตนา

พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 408ในกายทวารช่ือวา กายสัญเจตนา (ความจงใจทาํ ทางกาย) กายสัญเจตนานนั้มี ๒๐ อยาง คอื กามาวจรกุศล ๘ อยาง อกศุ ล ๑๒ อยาง. วจสี ญั เจตนา(ความจงใจทาํ ทางวาจา) ก็เหมอื นกัน มโนสญั ญเจตนา (ความจงใจทาํทางใจ) ก็เหมือนกัน. อนงึ่ แมม หคั คตเจตนา ๙ ก็ไดในบทน้ี. บทวากายสเฺ จตนาเหตุ ไดแก เพราะกายสัญเจตนาเปนปจ จยั . บทวา อปุ ปฺ ชชฺ ติอชฺฌตตฺ  สขุ ทกุ ฺข ไดแ ก สขุ เกดิ ขนึ้ ภายในตนเพราะกศุ ลกรรม ๘ เปนปจจัย ทกุ ขเ กิดข้นึ เพราะอกุศลกรรม ๑๒ เปน ปจจัย. แมในทวารทเี่ หลอื ก็มีนยั น้เี หมือนกนั . บทวา อวชิ ฺชาปจจฺ ยา วา ไดแก เพราะอวิชชาเปนเหตุ.จริงอยู ถาวา อวิชชาทถ่ี ูกปกปดไวเ ปนปจจยั เม่อื เปนเชน นัน้ เจตนาอันเปนปจจัยแหงสุขและทุกขในทวาร ๓ ยอมเกดิ ขึ้น. นที้ านกลา วดว ยอาํ นาจปจจยัอันเปน มูล ดว ยประการฉะนี้. ในบทวา อวชิ ฺชาปจจฺ ยา วา สาม วา เปนตน บุคคลอันคนอื่นไมไดใช เม่ือปรงุ แตง ดวยตนเอง ชื่อวา ปรงุ แตง กายสังขารเอง. ชกั ชวนคนอ่นื ใหป รุงกายสงั ขารใด คนอืน่ ช่อื วา ปรงุ กายสงั ขารน้นั ของเขา.ก็บคุ คลใดรกู ศุ ลวา เปนกุศล รอู กุศลวา เปน อกศุ ล รูกศุ ลวบิ ากวาเปนกศุ ลวบิ ากรอู กศุ ลวิบากวา เปนอกศุ ลวบิ าก ยอมปรงุ สงั ขาร ๒๐ อยางในกายทวารบุคคลน้ีชอ่ื วา รูปรุงสงั ขาร บุคคลใดไมร อู ยางน้ปี รงุ สังขาร บุคคลนี้ ช่ือวา ไมรูปรงุ สังขาร. แมในทวารท่เี หลือก็นยั นเ้ี หมอื นกัน. ในขอ น้ันพงึ ทราบการการทําโดยไมรูต ัวดงั นี้. พวกเด็กรนุ คดิ วาเราจะทํากิจท่มี ารดาบดิ าทาํ ไว จงึ ไหวเจดยี  บชู าดวยดอกไม ไหวหมูภ กิ ษุสงฆแมทั้งที่เขาไมรูวาเปน กุศล การกระทําน้ันกเ็ ปน กุศลทง้ั นน้ั . สัตวเ ดียรัจฉานมเี น้ือและนกเปน ตน กเ็ หมอื นกนั ฟงธรรม ไหวสงฆ ไหวเจดยี  ทงั้ ท่ีมนั รบู างไมร บู าง กระทาํ นัน้ กเ็ ปน กุศลเหมือนกนั . แตพ วกเด็กรนุ เอามือและเทา

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 409เตะดมี ารดาบิดา ยกมอื ขูต ะคอกขวางกอ นดนิ ดา . แมโคไลตามหมูภ ิกษุ. เหลาสนุ ขั ไลต ามกดั . สหี ะและพยคั ฆเปน ตน ไลตามฆา. ทั้งที่มันรบู า งไมร ูบา งพงึ ทราบวาเปน อกุศลกรรม. บดั น้ี พึงรวบรวมเจตนาอันประมวลลงในทวารแมท้ัง ๓. ถามวาอยางไร. ตอบวา ในกายทวาร เจตนาทท่ี ําดว ยตนเองเปน มูล ๒๐ ทค่ี นอนื่ ใชเปน มลู ๒๐ ท่รี ูตวั เปน มลู ๒๐ ทไี่ มรูตัวอยเู ปนมูล ๒๐ รวมเปน เจตนา ๘๐.ในวจที วารก็เหมอื นกัน. แตใ นมโนทวาร วกิ ปั หนง่ึ ๆ วกิ ปั ละ ๒๙ (๔ วกิ ัป)รวมเปน ๑๑๖. ดงั น้นั เจตนาแมท ้งั หมดในทวาร ๓ มสี องรอ ยเจ็ดสิบหก(๒๗๖) เจตนาแมท้ังหมดนั้น ยอมนบั ไดวา เปน สงั ขารขนั ธท ั้งนัน้ การเสวยอารมณส ัมปยุตดว ยสงั ขารน้ันเปนเวทนาขนั ธ อาการรจู าํ เปน สญั ญา จติเปนวิญญาณขันธ กายเปน อุปาทารูป ธาตุ ๔ ที่เปน ปจจัยแหงอปุ าทารมณเปน ภูตรปู ๔ ขันธ ๕ ดังกลา วมาเหลา น้ี ช่อื วา ทุกขสจั . บทวา อิเมสุภิกขฺ เว ธมฺเมสุ อวชิ ชฺ านปุ ตติ า ความวา อวชิ ชาตกไปแลว ในเจตนา-ธรรมมปี ระเภทดงั กลา วแลว เหลา น้ี ดว ยอาํ นาจสหชาตปจจยั และอุปนสิ สย-ปจ จยั . เปน อันทานแสดงถงึ วฏั ฏะและอวิชชา ท่เี ปนมลู แหงวฏั ฏะ ดว ยอาการอยางนี้. บัดนี้ พระผมู พี ระภาคเจา เมื่อจะทรงสรรเสรญิ พระขณี าสพผเู จริญวิปสสนาดว ยเหตเุ พียงเทา นแี้ ลว บรรลพุ ระอรหตั จึงตรสั วา อวชิ ชฺ ายเตฺววอเสสวิราคนโิ รธา ดังนเี้ ปน อาทิ. ในบทเหลานั้น บทวา อเสสวริ าค-นิโรธา ไดแ ก สํารอกโดยไมเหลอื และดบั โดยไมเหลอื . บทวา โส กาโยน โหติ ความวา การกระทําทางกายของพระขีณาสพ ยอ มปรากฏเปน ตนอยางน้ี คอื การกวาดลานเจดยี  การกวาดลานโพธ์ิ การกาวไปและการถอยกลับ การทําวัตรปฏบิ ตั ิ. แตในกายทวาร เจตนา ๒๐ ของพระขณี าสพน้ัน

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 410ยอ มถงึ ความเปน กิจไมม ีวิบากเปน ธรรมดา. ดว ยเหตุนน้ั ทานจึงกลา ววา โสกาโย น โหติ ยมปฺ จฺจยาสสฺ ต อปุ ฺปชชฺ ติ อชฺฌตตฺ  สุขทุกขฺ (กายอันเปนปจจยั ใหสขุ ทกุ ขภ ายในของพระขณี าสพน้นั เกดิ ไมม)ี เจตนาอนัเปนไปในกายทวาร ทา นประสงคว า กายในท่ีนี.้ แมในสองบททเ่ี หลือก็นัยนี้เหมือนกนั . แมบทมอี าทิวา เขตฺต ดังนี้ ก็เปนช่อื ของกรรมท้ังทีเ่ ปนกุศลและอกศุ ลน่ันแล. จริงอยู สขุ และทุกขน นั้ ทา นกลาววา ชื่อวา เขต เพราะอรรถกถาวา เปนทีง่ อกแหงวบิ าก ช่อื วา วตั ถุ เพราะอรรถวา เปนพนื้ ท่ีต้งัช่อื วา อายตนะ เพราะอรรถวาเปนเหตุ ชือ่ วา อธิกรณะ เพราะอรรถวาเปนเรอื่ งราว. พระศาสดา คร้นั ทรงแสดงกรรมอนั ประมวลลงดว ยทวาร ๓ โดยฐานะประมาณเทา น้แี ลว บดั น้ี เพอื่ จะทรงแสดงถึงฐานะอันเปนผลของกรรมนั้นจึงตรัสวา จตตฺ าโรเม ภกิ ฺขเว ดงั นี้ เปนอาท.ิ ในบทนนั้ บทวา อตตฺ ภาว-ปฏลิ าภา ไดแก อตั ภาพทท่ี นไดแลว. บทวา อตตฺ สเฺ จตนา กมติไดแ ก เจตนาทตี่ นดําริไวย อมนําไป คอื ยอมเปนไป. ในบทมอี าทิวาอตตฺ สฺเจตนาเหตุ เตส สตตฺ าน ตมหฺ า กายา จุติ โหติ (การจุติจากกายนน้ั ของสตั วทัง้ หลายเหลานั้นยอมมี เพราะสญั เจตนาของคนเปน เหต)ุไดแก พวกเทพผเู ปน ขฑิ ฑาปโทสิกะ (มุงแตจ ะเลน. ) ยอมจุตเิ พราะสญั เจตนาของตนเปน เหต.ุ ดวยวา เม่ือทวยเทพเหลาน้นั ดมื่ ดํ่าอยูในความพอใจของทิพยในสวนนนั ทวัน จติ รลดาวนั และปารสุ กวันเปน ตน เหน่ือยออ น ลืมด่ืมและบรโิ ภค. เขายอมแหงไปเพราะขาดอาหาร เหมอื นดอกไมท ่เี หวีย่ งไปในแดด. มโนปโทสิกา (ทวยเทพผทู ํารายทางใจ) ยอมจตุ เิ พราะสญั เจตนาของผอู ่ืนเปน เหตุ ไดแ ก ทวยเทพช้ันจาตุมมหาราชกิ า ไดย นิ วา บรรดาทวยเทพเหลาน้ัน เทพบุตรองคหนึง่ หมายจกั เลนนักขตั ฤกษ จึงพรอมดว ย

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 411บรวิ าร ขึ้นรถไปตามทาง ทน่ี ้นั เทพบตุ รอกี องคหนง่ึ ออกไปเห็นเทพบุตรนั้นกาํ ลังไปขา งหนา จงึ โกรธวา อะไรกันพอเอย คนขอทานผเู ห็นเทพบุตรองคหนงึ่ ทาํ เหมือนไมเ คยเหน็ แลวเหอผยองราวกระบวนแหไปตามถนน. เทพ-บุตรผูเดนิ ไปขางหนา เหลียวดูเหน็ เทพบุตรนนั้ โกรธ คดิ วา ข้นึ ช่ือวา คนโกรธรไู ดง า ย ครั้นรูวาเทพบตุ รนั้นโกรธจรงิ จึงโกรธตอบวาทา นโกรธจักทําอะไรเราได เราไดส มบตั ิน้ีมาดว ยอํานาจทานและศลี เปน ตน ไมใชไ ดมาดวยอํานาจของทา น กเ็ มอ่ื เทพบุตรองคหนึง่ โกรธ อีกองคหน่งึ ไมโ กรธยังรักษาไวไ ดแตเ ม่อื ทง้ั สองโกรธ ความโกรธของเทพบุตรองคห นง่ึ เปน ปจจยั ของอกี องคห น่งึความโกรธของเทพบุตรองคน ้ันก็เปน ปจจัยของเทพบุตรอกี องคหนง่ึ เพราะฉะน้นั เทพบตุ รทัง้ สองยอมจตุ ทิ ง้ั ทีส่ นมเทพอัปสรครา่ํ ครวญอย.ู มนุษยท ั้งหลายยอมจุตเิ พราะสัญเจตนาของตนและสัญเจตนาของผูอ น่ืเปน เหตุ อธบิ ายวา มนุษยท ้ังหลายยอ มจุติ เพราะเหตแุ หงสญั เจตนาของตนและแหงสัญเจตนาของผอู ื่น. จริงอยู มนุษยท้งั หลายครัน้ โกรธแลว กเ็ อามือบา งเทาบา ง ทบุ ตตี นดว ยตนเอง ผกู ดวยเคร่ืองผูกคอื เชือกเปนตน บา ง ตดั ศีรษะดวยดาบบา ง กินยาพิษบาง ยอ มกระโดดเหวบาง กระโดดนา้ํ บาง เขากองไฟบาง เอาทอ นไมศสั ตราประหาร แมค นอนื่ ใหตายบาง. สญั เจตนาของตนก็ดีสัญเจตนาของผูอืน่ ก็ดี ยอ มเปนไปในมนษุ ยเหลา น้นั ดวยอาการอยางน.ี้ บทวา กตเม เตน เทวา ทฏพพฺ า ความวา จะพึงเหน็ ทวยเทพเหลานัน้ เปน ไฉน หรือความวาจะพึงเห็นทวยเทพดว ยอัตภาพนน้ั เปน ไฉนดังน้ีบา ง. ถามวา เพราะเหตุไร พระเถระจึงถามปญ หานี้ การกลา วดวยตนเองยังไมพอหรอื . ตอบวา ยงั ไมพอ. กบ็ ทนเ้ี ปน ปญ หาพทุ ธวิสัยโดยสภาวะของปญหา เพราะเหตนุ น้ั พระเถระจงึ ไมก ลาว. บทวา เตน ทฏ พพฺ า ไดแกพงึ เหน็ ดวยอัตภาพน้นั . ก็ปญ หาน้ยี อมไดในกามาวจรบาง รูปาวจรบาง

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 412ในเบื้องตํ่า แตต รัสกําหนดดวยภวัคคพรหม เปน อนั ตรัสโดยสิน้ เชงิ เพราะเหตุนัน้ พระผูม ีพระภาคเจาจงึ ตรสั อยางน.ี้ บทวา อาคนฺตาโร อติ ถฺ ตตฺ ไดแก เปน ผกู ลบั มาสคู วามเปน อยา งน้ี คอื สคู วามเปนกามาวจรและเบญจ-ขนั ธนน่ั เอง หาไดเ กดิ ในภพนัน้ ไม มิไดเ กดิ ในภพเบื้องบน. บทวา อนาคน-ฺตาโร อติ ฺถตตฺ  ไดแก เปนผูไ มกลับมาสขู ันธบญั จกนค้ี อื เปนผูไมเกดิ ในเบือ้ งตา่ํ อธิบายวา เปน ผูเ กิดในภพนัน้ บาง เปนผูเกิดในเบื้องบนบาง เปนผูปรนิ พิ พานในภพนนั้ น่ันเองบาง. ในบทนพี้ ึงทราบสัตวผเู กิดในเบ้ืองบน แมดวยอํานาจสตั วท ั้งหลายผเู กิดแลวในภพชนั้ ตํา่ . ก็ขันธบญั จกนไี้ มมีในภวัคค-พรหม. คาํ ที่เหลอื ในบททงั้ ปวงงายท้ังนนั้ แล. จบอรรถกถาเจตนาสตู รท่ี ๑ ๒. วิภัตตสิ ูตร วา ดวยพระสารีบุตรปฏิญญาวา ไดปฏสิ ัมภทิ า ๔ [๑๗๒] พระสารบี ตุ ร เรยี กภิกษุท้งั หลายมา ฯลฯ กลาววา อาวุโสท้งั หลาย ขา พเจาอปุ สมบทไดก ึ่งเดอื นก็ไดทาํ ใหแจง อตั ถปฏิสัมภทิ า ธมั มปฏ-ิสัมภทิ า นิรุตตปิ ฏสิ มั ภิทา ปฏิภาณปฏสิ ัมภิทา โดยเปนสว น โดยพยญั ชนะขา พเจา บอก แสดง แตง ต้ัง เปดเผย จาํ แนกทาํ ใหต ้ืน ซ่ึงอัตถปฏิสัมภิทาธมั มปฏิสัมภิทา นริ ุตตปิ ฏสิ มั ภิทา ปฏภิ าณปฏิสัมภิทานน้ั ไดโดยอเนกปริยายผใู ดมคี วามสงสยั หรอื เคลือบแคลง เชิญถามขา พเจา ขา พเจาจกั กลา แกพระศาสดาผูท รงฉลาดเลศิ ในธรรมทงั้ หลาย ก็ประทับอยตู อหนาเราท้ังหลาย. จบวิภตั ตสิ ตู รที่ ๒

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 413 อรรถกถาวภิ ตั ติสูตร พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในวภิ ตั ตสิ ตู รท่ี ๒ ดงั ตอไปน้ี :- บทวา อตถฺ ปฏสิ มฺภทิ า ไดแก ญาณอันถึงความแตกฉานในอรรถทัง้ หลาย ๕. บทวา โอธโิ ส คอื โดยเหตุ. บทวา พยฺ ฺชนโส คือ โดยอักษร.บทวา อเนกปรยิ าเยน คอื โดยเหตหุ ลายอยา ง. บทวา อาจิกฺขามิ แปลวาบอก บทวา เทเสมิ คือ บอกกลาวทาํ ใหป รากฏ. บทวา ปฺ าเปมิ คือใหเ ขาร.ู บทวา ปฏ เปมิ คอื กลาวยกข้ึนใหเ ปนไปแลว บทวา วิวรามิคอื บอกแบบเปดเผย. บทวา วภิ ชามิ คือ บอกแบบจําแนก. บทวาอุตตฺ านีกโรมิ คือ บอกทาํ ขอท่ีลกึ ซ้งึ ใหต นื้ . บทวา โส ม ปฺเหนไดแก ผูนน้ั จงเขา ไปถามปญ หาเรา. บทวา อห เวยยฺ ากรเณน ความวาขา พเจา จกั ยังจติ ของผูน นั้ ใหยินดีดว ยการแกป ญหา. บทวา โย โน ธมมฺ านสกุ สุ โล ความวา พระศาสดาผูทรงฉลาดเลศิ ในธรรมทเ่ี ราบรรลุแลว พระองคประทับอยูต อ หนาเรา ตรสั วา ผิวา อัตถปฏสิ มั ภิทา เรายังไมท ําใหเจาดูกอนสารบี ตุ ร เธอจงทาํ ใหแจง กอ นแลว จกั ทรงหามเสีย. เพราะเหตนุ ั้นพระสารบี ุตรช่ือวา นง่ั ตอ พระพักตรพระศาสดา บันลอื สีหนาท. พงึ ทราบความในบทท้งั หมดดว ยอุบายน.ี้ ก็และในปฏสิ ัมภทิ าเหลานี้ ปฏสิ มั ภิทา ๓ เปนโลกิยะ อัตถปฏิสมั ภทิ า เปนทั้งโลกิยะและโลกุตระ ดวยประการฉะนี.้ จบอรรถกถาวภิ ัตตสิ ูตรที่ ๒

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 414 ๓. โกฏฐติ สตู ร วา ดว ยผสั สายตนะ ๖ ดับไมเ หลือ [๑๗๓] คร้ังน้ันพระมหาโกฏฐติ ะไปหาพระสารีบุตร ฯลฯ ถามพระสารบี ตุ รวา อาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดบั ไปไมเหลอื แลว อะไร ๆ อน่ืยงั มีหรอื . พระสารบี ุตรตอบวา ไมใชอ ยางนน้ั อาวโุ ส. มหา. เพราะผัสสาตนะ ๖ ดบั ไปไมเหลอื แลว อะไร ๆ อ่นื ไมมีหรือ. สา. ไมใชอ ยา งน้นั . มหา. เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับไปไมเ หลือแลว อะไร ๆ อ่ืนยังมีกม็ ิใชไมมีบางหรือ. สา. ไมใ ชอ ยางน้นั . มหา. เพราะผสั สายตนะ ๖ ดับไปไมเ หลอื แลว อะไร ๆ อ่ืนยังมกี ็มิใชไมม กี ม ใิ ชหรอื . สา. ไมใชอยา งนนั้ . มหา. เม่ือขาพเจาถามวา เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับไปไมเ หลือแลวอะไรอน่ื ยงั มหี รอื ทานกต็ อบวา ไมใ ชอ ยา งนน้ั ...ไมม หี รือ กว็ าไมใ ช. ..มบี า งไมมีบา งหรอื กว็ า ไมใช. ..มีก็มใิ ชไมมกี ็มิใชห รอื ก็วาไมใช ก็ความแหงคําทก่ี ลา วน้ีจะพงึ เขา ใจไดอ ยางไร. สา. ดูกอนอาวุโส เมื่อกลา ววา เพราะผสั สายตนะ ๖ ดบั ไปไมเ หลอืแลว อะไรอ่ืนยงั มีอกี ดงั นี้ ช่ือวา ทําเรอื่ งไมเปนไมเ นน่ิ ชาใหเ นิ่นชา เมอ่ื กลาววาเพราะผัสสายตนะ ๖ ดับไปไมเหลือแลว อะไร ๆ อ่ืนไมม ี ... มีบา งไมม ีบาง

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 415... มกี ม็ ิใชไ มม ีก็มใิ ช ดงั น้ี ๆ กช็ ื่อวา ทาํ เรื่องทไ่ี มเนนิ่ ชา ใหเ นิ่นชา นี่แนะอาวุโส ผัสสายตนะ ๖ ยังเปน ไปอยเู พียงใด ปปญจธรรม (ธรรมอันทําใหเนน่ิ ชา ) ก็ยงั เปนไปอยูเพยี งนัน้ ปปญ จธรรมยังเปนไปอยูเพียงใด ผัสสาย-ตนะ ๖ กย็ ังเปน ไปอยอู ยางน้นั ผสั สายตนะ ๖ ดับไปไมเหลือแลว ปปญจ-ธรรมกด็ ับรํางบั ไป. จบโกฏฐิตสูตรที่ ๓ อรรถกถาโกฏฐิตสตู ร พึงทราบวินจิ ฉยั ในโกฏฐติ สตู รที่ ๓ ดงั ตอไปน้:ี - บทวา ผสสฺ ายตนาน ไดแก บอเกิดแหง ผัสสะ. อธบิ ายวา ทีท่ ่ีเกดิ แหงผัสสะ. บทวา อตฺถฺ  กิ จฺ ิ ความวา ทา นมหาโกฏฐติ ะถามวาเมื่อผัสสายตนะเหลาน้ันดับ โดยไมเหลอื กิเลสไรๆ นอกจากนัน้ แมจ าํ นวนนอยยงั มีอยูหรือ. แมในบทวา นตฺถฺ  กิ จฺ ิ ทา นมหาโกฏฐิตะก็ถามวากิเลสแมจาํ นวนนอ ยก็ไมมีหรือ. แมในสองบทที่เหลอื กน็ ยั น้ีเหมอื นกนั . ทา น-มหาโกฎฐิตะถามปญหาแม ๔ ขอเหลา นดี้ ว ยอาํ นาจสสั สตทิฏฐิ อจุ เฉททิฏฐิเอกัจจสัสสตทิฏฐิ (ความเหน็ วา เทียงเปนบางอยาง) และอมราวกิ เขปทฏิ ฐิ(ความเหน็ ดนิ้ ไดไ มต ายตัว). ดวยเหตุน้นั พระเถระ (พระสารบี ุตร) เมอ่ื จะคัดคา นปญหาทีท่ านมหาโกฏฐิตะถามแลว ถามอีก จงึ กลา ววา มาเหว ดงั น้.ีคําวา หิ ในคําน้ี (มาเหว ) เปนเพยี งนิบาต. อธิบายวา ทานอยาพดู อยางนี.้ทา นมหาโกฏฐติ ะถามโดยอาการมีสสั สตทิฏฐิเปน ตน วา สง่ิ ใด ๆ อ่นื ดวยอํานาจการเขา ไปถือวา มอี ตั ตามีอยูหรือ คอื ชอื่ วา อิตตาไร ๆ อน่ื มีอยหู รอื . ถามวาก็พระเถระ (พระมหาโกฏฐติ ะ) นเี้ ปนอัตตูปลัทธถิ อื ลัทธิวา มีอตั ตา หรอื .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 416ตอบวา ไมใชอตั ตูปลทั ธิ แตภ กิ ษุรปู หนงึ่ ซ่ึงนั่งอยูในทนี่ นั้ มีลัทธอิ ยางน้ี ภิกษุนัน้ ไมอาจถามได. ทานมหาโกฏฐติ ะถามอยางนีเ้ พอื่ จะใหพ ระสารบี ุตรแก ลัทธิในที่น้นั . พระมหาโกฏฐติ ะ คดิ วา พระมหาสาวกทงั้ หลายแกป ญหาน้ี แมใ นพทุ ธกาลแกผูทจี่ กั มีลัทธอิ ยางน้ใี นอนาคตกาล จงึ ถามเพือ่ ตัดโอกาสที่จะพดู กนั . บทวา อปปฺ มจฺ  ปปฺเจติ ไดแก ไมท าํ ความเนิน่ ชา ในทอ่ี ันควรทาํ ใหเน่ินชา คือหนว งทางอนั ไมค วรหนวง. บทวา ตาวตา ปจฺ สสฺ -คติ ความวา คติแหงผสั สายตนะ ๖ ยงั มอี ยูเพียงใด คติแหง ปปญจธรรม(ธรรมอันทาํ ใหเน่นิ ชา ) อนั ตา งดว ย ตัณหา ทฏิ ฐิ มานะกย็ งั มอี ยเู พียงน้นับทวา ฉนนฺ  อาวุโส ผสฺสายตนาน อเสสวิราคนิโรธา ปปฺจนิโรโธปปจฺ วูปสโม (ดกู อนผอู าวโุ ส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับดว ยสาํ รอกโดยไมเ หลอื ปปญ จธรรมก็ดับ ปปญจธรรมก็ระงับไป) ความวา เมื่ออายตนะ ๖เหลานี้ ดับโดยประการทั้งปวง แมปปญจธรรมก็เปน อันดบั ไป เปนอันระงับไป แตในอรูปภพ ผัสสายตนะ ๕ ของเทวดาผเู ปน ปถุ ุชนดับไปกจ็ รงิถงึ ดงั นั้น เพราะผสั สายตนะท่ี ๖ ยงั ไมดับ ปปญ จธรรมแม ๓ กช็ อื่ วา ยงั ละไมไ ด. ก็และทานกลา วปญ หานี้ ดวยสามารถปญ จโวหารภพ ของสตั วทม่ี ีขันธ ๕ เทานนั้ . จบอรรถกถาโกฏฐิตสตู รที่ ๓

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 417 ๔. อานนทสตู ร วาดว ยอายตนะดับไมเ หลอื [๑๗๔] ครงั้ นัน้ แล ทานพระอานนทเ ขา ไปหาทานพระมหาโกฏฐติ ะถงึ ท่ีอยู ไดปราศรยั กบั ทา นพระมหาโกฏฐติ ะ ครน้ั ผานการปราศรัยพอใหระลกึ ถงึ กนั ไปแลว น่ัง ณ ท่คี วรสว นขางหนึง่ ครั้นแลวไดถามทา นพระ-มหาโกฏฐิตะวา ดูกอนอาวโุ ส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนทิ โดยสํารอกไมเหลือ อะไร ๆ อน่ื มอี ยูหรอื ? ทา นพระมหาโกฏฐติ ะกลาววา ดูกอนอาวโุ สอยา ไดก ลา วอยางนั้น. อา. ดกู อนอาวโุ ส เพราะผสั สายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสาํ รอกไมเหลืออะไร ๆ อนื่ ไมมีอยูหรือ มหา. ดกู อนอาวุโส อยา ไดก ลาวอยางนัน้ . อา. ดูกอ นอาวุโส เพราะผสั สายตนะ ๖ ดับสนทิ โดยสาํ รอกไมเ หลอือะไรอื่น ๆ มอี ยูด วย ไมม อี ยดู วยหรอื ? มหา. ดกู อ นอาวโุ ส อยา ไดกลาวอยา งนั้น. อา. ดูกอ นอาวโุ ส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนทิ โดยสาํ รอกไมเหลอือะไร ๆ อน่ื มอี ยูกม็ ใิ ช ไมม ีอยกู ็มใิ ชห รอื ? มหา. ดกู อนอาวโุ ส อยา ไดกลา วอยางน้นั . อา. ผมถามวา เพราะผัสสายตนะ ๖ ดบั สนิทโดยสํารอกไมเหลืออะไร ๆ อื่นมอี ยหู รือ ทา นกลา ววา ดกู อนอาวโุ ส อยา ไดก ลา วอยา งน้นัผมถามวา ดูกอ นอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดบั สนทิ โดยสํารอกไมเ หลอือะไร ๆ อนื่ ไมม หี รอื ทา นก็กลา ววา ดูกอนอาวุโส อยาไดกลาวอยนู นั้ผมถามวา ดกู อ นอาวโุ ส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสาํ รอกไมเ หลือ

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 418อะไร ๆ อื่นมีอยูด ว ย ไมมีอยูด ว ยหรอื ทานกก็ ลา ววา ดกู อนอาวุโส อยาไดกลาวอยางนน้ั ผมถามวา ดูกอ นอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนทิ โดยสํารอกไมเ หลอื อะไร ๆ อ่นื มีอยูกม็ ิใช ไมม ีอยูก็มใิ ชห รือ ทา นกก็ ลา ววาดูกอ นอาวโุ ส อยาไดกลาวอยางนั้น ดกู อ นอาวุโส กเ็ น้อื ความแหง คาํ ตามที่ทานกลาวแลวน้ี จะพงึ เหน็ ไดอยางไร ? มหา. อาวุโส เม่อื กลาววา เพราะผัสสายตนะ ๖ ดบั สนทิ โดยสาํ รอกไมเ หลอื อะไร ๆ อืน่ มีอยูห รือ...ไมม ีอยูหรือ...มีอยูดวย ไมมีอยูด วยหรอื... มอี ยูก็มิใช ไมมีอยกู ็มใิ ชหรอื ดงั น้ี ชื่อวาทําความไมเน่นิ ชา ใหเน่ินชาผสั สายตนะ ๖ ยังดําเนนิ ไปเพยี งใด ปปญจธรรมกด็ ําเนนิ ไปเพยี งน้ัน ปปญ จ-ธรรมยงั ดําเนินไปเพยี งใด ผสั สายตนะ ๖ ก็ดาํ เนินไปเพียงนนั้ ดกู อนอาวโุ สเพราะผัสสายตนะ ๖ ดบั สนิทโดยสํารอกไมเ หลอื ปปญ จธรรมกด็ บั สนิทสงบระงับ. จบอนนทสูตรท่ี ๔* ๕. อุปวานสูตร วาดวยการกระทําทีส่ ุดทุกข [๑๗๕] ครงั้ น้ันแล ทา นพระอปุ วานเขาไปหาทานพระสารีบุตรถงึทอ่ี ยู ไดป ราศรัยกับทา นพระสารบี ุตร ครั้นผา นการปราศรยั พอใหร ะลกึ ถึงกันไปแลว นั่ง ณ ทค่ี วรสวนขางหน่งึ ครัน้ แลวไดถ ามทา นพระสารบี ุตรวาดกู อ นอาวุโส บคุ คลกระทําที่สุดแหงทุกขด วยวชิ ชาหรอื หนอ ? ทานพระ-สารบี ตุ รกลา ววา ดกู อ นอาวโุ ส ไมใ ชอ ยา งนนั้ .* สูตรที่ไมมอี รรถกถา

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 419 อุ. ดกู อนอาวโุ ส บุคคลกระทาํ ท่สี ุดแหงทุกขดว ยจรณะหรือ ? สา. ดูกอนอาวโุ ส ไมใ ชอ ยางนัน้ . อ.ุ ดูกอ นอาวุโส บุคคลกระทาํ ทสี่ ดุ แหงทกุ ขดวยวชิ ชาและจรณะหรือ ? สา. ดูกอ นอาวุโส ไมใชอ ยางน้นั . อ.ุ ดูกอนอาวุโส บุคคลกระทําที่สดุ แหงทุกขอ่ืนจากวิชชาและจรณะหรือ ? สา. ดูกอ นอาวุโส ไมใชอยางนัน้ . ผมถามวา ดกู อนอาวุโส บคุ คลกระทําทสี่ ดุ แหง ทกุ ข ดวยวิชชาหรือทานกลา ววา ดูกอนอาวโุ ส ไมใชอยา งน้ัน ผมถามวา ดูกอนอาวโุ ส บคุ คลกระทาํ ทส่ี ุดแหง ทุกขด ว ยจรณะหรือ... ดว ยวชิ ชาและจรณะหรอื ... อน่ื จากวิชชาและจรณะหรอื ทานก็กลา ววา ดกู อ นอาวุโส ไมใชอ ยางนน้ั ดูกอ นอาวุโส ก็บคุ คลกระทําทส่ี ุดแหง ทกุ ขไดอ ยา งไรเลา ? สา. ดกู อ นอาวโุ ส ถา บคุ คลจักกระทาํ ท่สี ดุ แหง ทุกขไดด วยวิชชาแลว ไซร ก็จักเปน ผูม ีอปุ าทานเทียวกระทําทสี่ ุดแหง ทุกขได ถาบคุ คลจักกระทําที่สุดไดด วยจรณะแลวไซร ก็จกั เปนผมู อี ุปาทานเทยี วกระทําทสี่ ดุ แหงทกุ ขไ ดถาบุคคลจกั กระทาํ ทส่ี ดุ แหงทุกขไ ดด ว ยวชิ ชาและจรณะไซร กจ็ ักเปน ผูมีอปุ าทานเทียวกระทาํ ท่สี ุดแหง ทกุ ขได ถาบุคคลจักการทําทีส่ ดุ แหง ทุกขไ ดนอกจากวชิ ชาและจรณะไซร ปุถชุ นกจ็ ักกระทาํ ทีส่ ุดแหง ทกุ ขไ ด เพราะปุถุชนเวน จากวชิ ชาและจรณะ ดกู อ นอาวโุ ส บคุ คลผูม จี รณะสมบรู ณจ งึ รจู ึงเหน็ตามความเปนจริง ยอ มกระทําที่สดุ แหงทกุ ขได. จบอุปวานสูตรที่ ๕

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 420 อรรถกถาอปุ วานสตู ร พึงทราบวินิจฉยั ในอุปวานสตู รท่ี ๕ ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา วชิ ฺชายนฺตกโร โหติ ความวา บุคคลทาํ ท่ีสุดวัฏทกุ ขไ ดดวยวิชชา คือทาํ ทางวฏั ทกุ ขท งั้ ส้นิ ใหข าดเสยี สิ้นต้งั อยู. แมในบทที่เหลอื กน็ ยั น้ีเหมือนกัน. บทวา สอปุ าทาโน แปลวา เปน ผูยังมีความยดึ ถืออย.ู บทวาอนฺตกโร อภวสิ ฺส คือบุคคลจกั ทาํ ที่สุดแหงวัฏทุกขอ ยไู ด. บทวา จรณ-สมปฺ นโฺ น คอื ถงึ พรอมแลวดวยจรณธรรม ๑๕ ประเภท. บทวา ยถาภูตชาน ปสสฺ  อนฺตกโร โหติ ความวา บุคคลรูเ หน็ ดว ยมรรคปญญาตามความเปนจริงแลว ชอื่ วา เปน ผูท ําที่สุดแหง วัฏทกุ ขต้ังอยู เพราะฉะนนั้พระสารีบตุ รเถระ จงึ ใหปญ หาจบลงดว ยอดธรรมคือพระอรหัต. จบอรรถกถาอุปวานสตู รที่ ๕ ๖. อายาจนสูตร วา ดว ยบรษิ ทั ๔ ปรารถนา [๑๗๖] ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุผูมศี รทั ธาเมอ่ื ปรารถนาโดยชอบพึงปรารถนาอยางนวี้ า ขอเราจงเปน เชน พระสารีบตุ ร และพระโมคคลั ลานะเถดิ ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย สารีบุตรและโมคคัลลานะนเี้ ปน ตราชู เปนประมาณแหงภกิ ษุท้งั หลายผสู าวกของเรา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษณุ ผี ูมศี รทั ธา เมอ่ืปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอยา งนว้ี า ขอเราจงเปน เชนพระเขมาภิกษุณี

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาที่ 421และพระอบุ ลวรรณาภิกษณุ เี ถดิ ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย เขมาภกิ ษุณแี ละอบุ ล-วรรณาภกิ ษณุ นี ้ีเปนตราชู เปน ประมาณแหงภกิ ษณุ ีทัง้ หลายผูสาวกิ าของเราดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย อุบาสกผูมีศรทั ธา เม่ือปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอยา งน้วี า ขอเราจงเปน เชน จิตตคฤหบดีและหัตถกอบุ าสกชาวเมืองอาฬวเี ถดิดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย จิตตคฤหบดแี ละหตั ถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีนเ้ี ปนตราชูเปน ประมาณแหงอุบาสกท้งั หลายผูเปนสาวกของเรา ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลายอบุ าสกิ าผูมศี รัทธาเมือ่ ปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอยางน้วี า ขอเราจงเปนเชน นางขชุ ชุตราอบุ าสกิ า และนางเวฬกุ ัณฏกนี นั ทมารดาเถิด ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย นางขุชชตุ ราอบุ าสิกา และนางเวฬกุ ณั ฏกีนนั ทมารดานเี้ ปน ตราชูเปนประมาทของอบุ าสิกาท้ังหลายผูส าวิกาของเรา. จบอายาจนสูตรท่ี ๖ อายาจนสูตรที่ ๖ พงึ ทราบโดยนยั ท่ีกลา วแลวในอรรถกถาเอกนิบาตในหนหลัง. ๗. ราหุลสูตรวาดว ยตรัสสอนพระราหุลใหม นสิการธาตุกรรมฐาน [๑๗๗] ครั้งนั้นแล ทานพระราหลุ เขา ไปเฝาพระผูม ีพระภาคเจาถึงท่ปี ระทบั ถวายบงั คมพระผูม พี ระภาคเจาแลว น่งั ณ ท่ีควรสว นขางหนงึ่ครั้นแลว พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรัสกะทา นพระราหุลวา ดูกอ นราหุลปฐวธี าตทุ ่ีเปนภายในกด็ ี เปนภายนอกก็ดี ปฐวธี าตุนน้ั กเ็ ปน แตสกั วา ปฐวธี าตุเทานน้ั พงึ เหน็ ปฐวีธาตุน้นั ดว ยปญ ญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยา งนวี้ า

พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 422น่นั ไมใชของเรา น่ันไมเปน เรา นน่ั ไมใ ชตัวตนของเรา เพราะเหน็ ดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยางนัน้ จติ ยอมเบื่อหนา ยในปฐวีธาตุ ยอมคลายกําหนดั ในปฐวีธาตุ ดูกอ นราหลุ อาโปธาตทุ ีเ่ ปนภายในกด็ ี เปนภายนอกก็ดี อาโปธาตนุ ัน้ กเ็ ปน แตสักวาอาโปธาตเุ ทา น้นั พงึ เหน็ อาโปธาตุนนั้ ดว ยปญ ญาอนั ชอบตามความเปนจริงอยา งนวี้ า นนั่ ไมใชข องเรา นน่ั ไมเปน เรานั่นไมใชต วั ตนของเรา เพราะเห็นดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปนจริงอยางน้นั จิตยอมเบื่อหนายในอาโปธาตุ ยอ มคลายกาํ หนัดในอาโปธาตุดูกอนราหุล เตโชธาตทุ เ่ี ปน ภายในกด็ ี เปนภายนอกกด็ ี เตโชธาตนุ ้นั กเ็ ปนแตสกั วา เตโชธาตุเทานน้ั พึงเห็นเตโชธาตนุ นั้ ดวยปญญาอันชอบตามความเปน จริงอยา งน้ีวา นั่นไมใ ชข องเรา น่นั ไมเปนเรา นัน่ ไมใชต ัวตนของเราเพราะเห็นดวยปญญาอนั ชอบตามความจริงอยางน้ัน จิตยอ มเบอื่ หนายในเตโชธาตุ ยอ มคลายกําหนดั ในเตโชธาตุ ดูกอนราหุล วาโยธาตุท่เี ปน ภายในกด็ ี เปนภายนอกกด็ ี วาโยธาตุนัน้ กเ็ ปน แตสักวา วาโยธาตุเทา นั้น พงึ เหน็วาโยธาตุนัน้ ดว ยปญ ญาอนั ชอบตามความเปน จรงิ อยางน้ีวา น่นั ไมใชของเรานน่ั ไมเปนเรา นนั่ ไมใ ชต ัวตนของเรา เพราะเหน็ ดว ยปญ ญาอันชอบตามความเปนจริงอยา งนนั้ จิตยอ มเบือ่ หนา ยในวาโยธาตุ ยอมคลายกาํ หนัดในวาโยธาตุดูกอนราหุล เพราะเหตุทภี่ ิกษุพิจารณาเห็นวา มิใชต ัวตน ไมเนื่องในตนในธาตุ ๔ นี้ ภิกษุน้ีเรากลาววา ตดั ตณั หาไดแ ลว รอื้ ถอนสังโยชนเ สียไดกระทาํ ที่สุดแหง ทกุ ขไดแลว เพราะละมานะไดโดยชอบ. จบราหลุ สตู รที่ ๗

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 423 อรรถกถาราหลุ สตู ร พงึ ทราบวินิจฉัยในราหลุ สูตรท่ี ๗ ดงั ตอไปน้ี :- บทวา อชฌฺ ตตฺ ิกา ไดแก ปฐวีธาตุใน ๒๐ สวน มผี มเปนตนมลี ักษณะแข็ง. บทวา พาหิรา ไดแ ก พงึ ทราบปฐวธี าตใุ นแผน หนิ และภเู ขาเปน ตน อนั ไมเ นอ่ื งดว ยอนิ ทรยี  เปนภายนอกมีลกั ษณะแขง็ . พึงทราบธาตแุ มทเี่ หลือโดยนัยนี.้ บทวา เนต มม เนโสหมสฺมิ น เม โส อตตฺ า(นนั่ ไมใ ชของเรา น่ันไมใชเปนเรา น่นั ไมใชอตั ตาของเรา) นี้ ทานกลาวดว ยอํานาจการปฏิเสธความยึดถือ. ดว ยตัณหามานะและทิฏฐิ. บทวา สมฺ-มปฺปฺาย ทฏ พฺพ ไดแก พงึ เหน็ ดวยมรรคปญญาโดยเหตุโดยการณ. บทวา ทสิ วฺ า ไดแก เหน็ ดว ยมรรคปญญา พรอมดว ยวปิ ส สนา.บทวา อจเฺ ฉชชฺ ิ ตณหฺ  ไดแ ก ตัดตัณหาทีพ่ งึ ฆา ดวยมรรคพรอ มดวยมูล.บทวา วิวฏฏยิ สฺโชน ไดแ กร ้อื คอื เพิกถอนละสงั โยชน ๑๐ อยา ง.บทวา สมมฺ ามานาภสิ มยา ไดแ ก เพราะละมานะ ๙ อยา ง โดยเหตุโดยการณ.บทวา อนตฺ มกาสิ ทกุ ขฺ สสฺ ไดแ ก กระทาํ วัฏทุกขใ หข าดทาง อธบิ ายวากระทาํ แลวยังต้งั อยู พระศาสดาตรัสวิปสสนาไวใ นราหุลวาทสตู รในสงั ยุตตนิกายดว ยประการฉะนี้. แมในจฬู ราหุโลวาทสตู รกต็ รัสวิปสสนาไว. ตรสั การเวนจากมุสาวาทของภกิ ษหุ นุมไวในราหุโลวาทสตู ร ณ อมั พลัฏฐิการาม. ตรสัวิปส สนาเทา น้นั ในมหาราหโุ ลวาทสตู ร. ตรัสจตโุ กฏกิ สญุ ญตาไวในองั คคุ ตร-นิกายน.้ี จบอรรถกถาราหุลสตู รที่ ๗

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 424 ๘. ชัมพาลสี ูตร วาดว ยบคุ คล ๔ จาํ พวก [๑๗๘] ดกู อนภิกษุท้งั หลาย บุคคล ๔ จาํ พวกนี้ มีปรากฏอยใู นโลก๔ จาํ พวกเปนไฉน ? ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี บรรลุเจโตวมิ ตุ ตอิ ันสงบอยา งใดอยา งหนึ่งอยู ภิกษุนนั้ มนสกิ ารสักกายนโิ รธ(ความดับสักกายะ คือ วัฏฏะอัน เปน ไปในภมู ิ ๓) เมือ่ เธอมนสิการสักกาย-นโิ รธอยู จิตของเธอยอมไมแ ลน ไป ไมเ ล่อื มใส ไมตง้ั อยู ไมนอมไปในสกั กายนิโรธ เมอ่ื เปนเชน นี้ ภิกษนุ นั้ แลไมพงึ หวังไดส กั กายนโิ รธ บรุ ษุ มีมอื เปอ นยางเหนียวจับกิง่ ไม มอื ของเขานั้นพงึ จับตดิ กง่ิ ไมอยู แมฉนั ใดภิกษุบรรลเุ จโตวมิ ตุ ตอิ นั สงบอยางใดอยา งหนง่ึ อยู ก็ฉันนัน้ เหมือนกันแลเธอยอ มมนสิการสักกายนิโรธ เม่อื เธอมนสกิ ารสกั กายนิโรธอยู จติ ยอมไมแลนไป ไมเลอ่ื มใส ไมต้งั อยู ไมนอมไปในสักกายนิโรธอยู เมอื่ เปน เชน น้ีภิกษนุ ัน้ แลไมพงึ หวังไดส กั กายนิโรธ. อน่ึง ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี บรรลุเจโตวมิ ตุ ติอันสงบอยา งใดอยางหนึง่ อยู ภกิ ษนุ ัน้ ยอมมนสกิ ารสกั กายนิโรธ เมือ่ เธอมนสิการสักกายนิโรธอยูจติ ยอ มแลนไป ยอ มเลอื่ มใส ยอ มตัง้ อยู ยอ มนอมไปในสักกายนโิ รธ เม่อืเปนเชนน้ี ภิกษนุ นั้ แลพึงหวงั ไดสักกายนโิ รธ บรุ ษุ มีมอื หมดจดจับกิ่งไม มอืของเขาน้นั ไมพึงจับติดอยทู ก่ี งิ่ ไม แมฉันใด ภิกษุบรรลเุ จโตวิมตุ ตอิ ันสงบอยา งใดอยา งหน่ึงอยู กฉ็ ันนัน้ เหมอื นกนั แล เธอยอ มมนสกิ ารสกั กายนิโรธเมื่อเธอมนสกิ ารสกั กายนโิ รธ จติ ยอมแลนไปยอ มเล่ือมใส ยอมต้ังอยู ยอ มนอ มไปในสกั กายนโิ รธ เมอ่ื เปน เชน นี้ ภกิ ษุน้ันแลพึงหวงั ไดส ักกายนโิ รธ.

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 425 อนึ่ง ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี บรรลุเจโตวิมตุ ติอนั สงบอยา งใดอยา งหน่ึงอยู ภกิ ษนุ ัน้ ยอ มมนสกิ ารถึงการทาํ ลายอวชิ ชา เม่ือเธอมนสกิ ารถงึ การทาํ ลายอวิชชาอยู จิตยอมไมแ ลน ไป ไมเ ลอ่ื มใส ไมต ั้งอยู ไมน อมไปในการทําลายอวิชชา เมอื่ เปน เชน นี้ ภกิ ษุน้ันแลไมพ ึงหวังไดก ารทาํ ลายอวชิ ชา บอนํา้ ใหญนบั ไดหลายป คนพึงปดทางไหลเขาของบอ น้ํานัน้ เสีย และเปด ทางไหลออกไวทัง้ ฝนก็ไมต กเพม่ิ เดมิ ตามฤดูกาล เม่ือเปน อยางนี้ บอนาํ้ ใหญน น้ั กไ็ มพ งึ หวังทจี่ ะมีนา้ํ ลน ขอบออกไปได แมฉนั ใด ภิกษบุ รรลเุ จโตวมิ ตุ ติอันสงบอยา งใดอยางหน่งึ อยู กฉ็ นั นนั้ เหมือนกนั เธอยอ มมนสิการถงึ การทาํ ลายอวิชชา เมอ่ืเธอมนสกิ ารถงึ การทําลายอวชิ ชาอยู จิตยอ มไมแลนไป ไมเลือ่ มใส ไมตั้งอยูไมน อ มไปในการทาํ ลายอวชิ ชา เมอื่ เปนเชนนี้ ภิกษุน้นั แลไมพงึ หวังไดก ารทําลายอวิชชา อนึ่ง ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี บรรลเุ จโตวมิ ตุ ตอิ นั สงบอยางใดอยางหน่ึงอยู ภิกษนุ ้นั มนสกิ ารถงึ การทาํ ลายอวชิ ชา เน้ือเธอมนสิการถึงการทาํ ลายอวิชชาอยู จติ ยอ มแลน ไป ยอ มเลอ่ื มใส ยอ มตง้ั อยู ยอ มนอ มไปในการทาํ ลายอวิชชา เมื่อเปนเชน นี้ ภกิ ษนุ ัน้ พึงหวงั ไดก ารทาํ ลายอวิชชา บอ นํา้ ใหญนบั ไดห ลายป คนพึงเปด ทางไหลเขา ของบอน้ําน้ัน ไว และปด ทางไหลออกเสยีท้งั ฝนกต็ กเพมิ่ เติมตามฤดกู าล เม่ือเปนอยา งนี้ บอ น้าํ ใหญน้นั ก็พงึ หวังท่จี ะมีนาํ้ ลน ขอบออกไปได แมฉ ันใด ภิกษุบรรลุเจโตวมิ ุตตอิ ันสงบอยางใดอยา งหนง่ึอยู ก็ฉนั น้นั เหมอื นกนั ภิกษนุ ้นั ยอ มมนสิการถงึ การทาํ ลายอวิชชา เมอื่ เธอมนสิการถงึ การทําลายอวชิ ชาอยู จติ ยอมแลน ไป ยอ มเลอ่ื มใส ยอมตงั้ อยู ยอ มนอ มไปในการทําลายอวชิ ชา เมอื่ เปนเชน นี้ ภิกษนุ น้ั แลพึงหวังไดการทําลายอวชิ ชา. ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย บคุ คล ๔ จําพวกเหลา น้ี มปี รากฏอยใู นโลก. จบชมั พาลีสตู รที่ ๘

พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 426 อรรถกถาชมั พาลีสูตร พึงทราบวินจิ ฉัยในชมั พาลีสตู รที่ ๘ ดงั ตอไปนี้ :- บทวา สนตฺ  เจโตวมิ ตุ ตฺ ึ ไดแก สมาบตั ิ ๘ อยางใดอยางหนึง่บทวา สกกฺ ายนโิ รธ ไดแ ก ดับสกั กายะอนั ไดแกวฏั ฏะท่ีเปนไปในภูมิ ๓อธิบายวา นิพพาน. บทวา น ปกฺขนทฺ ติ ไดแ ก ไมแ ลนไปดวยอํานาจอารมณ. แมใ นบทท่เี หลอื ก็นัยน้เี หมือนกนั บทวา น ปาฏิกงโฺ ข ไดแกไมพงึ หวังได. บทวา ลปคเตน ไดแก เปอ นยางเหนียว. ก็และในความน้ี ควรนาํ มาเปรียบดวยบรุ ษุ ผูป ระสงคจะขามไปฝง โนน .เขาวาบรุ ุษผูห นงึ่ ประสงคจ ะขา มไปฝง โนน ของแมน ํ้า ซงึ่ มีกระแสเชีย่ วจดั มากเตม็ ไปดว ยปลาราย คดิ วา ฝง ในนา รังเกยี จ มภี ยั เฉพาะหนา ฝง นอกเปน ทีเ่ กษมปลอดภัย เราจะทําอยางไรดหี นอ จึงจกั ขามไปฝง โนน ได เห็นตนกุม ๘ ตนตง้ั อยเู รยี งกัน จึงแนใ จวา เรานาจะไปตามลําดบั ของตน ไมน ้ไี ด ข้ึนชอื่ วาตน กมุ มีก่ิงเกลีย้ ง มือจะจับกง่ิ ยดึ ไวไมได จึงเอายางของตนไทรและตน เลยี บเปนตน ตน ใดตนหนงึ่ ทามอื และเทา เอามือขวาจับก่งิ หนงึ่ ไว. มอื ก็ตดิ ท่ีก่งินั้นเอง. เอามอื ซา ย เทาขวา เทาซาย จับเกาะก็ตดิ อกี เพราะเหตนุ ั้น มือและเทา แมทงั้ ๔ ก็ติดอยูทก่ี ิง่ นัน้ นั่นเอง. เขาหอ ยหัวลง เม่ือฝนตกลงบนแมน ํ้า เขาก็จมลงในกระแสแมน า้ํ ทีเ่ ตม็ กลายเปนเหย่ือจระเขเ ปน ตน . ในขอนนั้ กระแสแหงสงสารพึงเหน็ ดุจกระแสน้ํา. พระโยคาวจรดุจบรุ ษุ ประสงคจ ะขา มฝงกระแสนาํ้ สักกายะดจุ ฝง ใน นิพพานดุจฝง นอก สมาบัติ ๘ ดจุ ตนกมุ๘ ตนทตี่ ัง้ เรยี งอยู การไมช ําระธรรมที่เปน อนั ตรายตอฌานและวิปส สนาใหหมดจดแลว เขาสมาบตั ิดจุ เอามือที่เปอ นยางเหนียวจบั กง่ิ ไม เวลาท่ถี กู ความ

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 427ตดิ ใจคลอ งไวในปฐมฌาน ดุจเอามือและเทาเกย่ี วตดิ ไวท่ีกง่ิ ไมห อ ยหวั ลงเวลาทก่ี ิเลสเกดิ ในทวาร ๖ ดจุ ฝนตกกระแสนํา้ เวลาทผ่ี ูจมอยใู นกระแสสงสาร เสวยทุกขในอบาย ๔ ดุจเวลาท่ผี ูจ มลงในกระแสแมน า้ํ ท่เี ต็ม เปนเหยอ่ื ของจระเขเ ปนตน. บทวา สุทฺเธน หตเฺ ถน ไดแ ก ดวยมอื ท่ีลางสะอาดดแี ลว. แมในความขอ นี้ก็พึงเปรยี บเทยี บเชน นัน้ เหมือนกนั . บุรษุ ผปู ระสงคจ ะขามฝง คิดวาขนึ้ ชื่อวา ตนกุมก่ิงเกล้ียง ผทู ่จี ับ ดว ยมือท่สี กปรกมอื กพ็ งึ คดิ จงึ ลางมอื และเทาใหสะอาด แลว จับกิง่ หน่งึ ขึ้นตนท่ี ๑ ลงจากตนท่ี ๑ ขน้ึ ตนท่ี ๒ ฯลฯ ลงจากตนท่ี ๗ ข้นึ ตนท่ี ๘ ลงจากตนท่ี ๘ แลวกถ็ ึงพืน้ ท่ีปลอดภัย ณ ฝง โนน .ในขอน้ัน เวลาท่พี ระโยคีคิดวา เราจกั เขา สมาบตั ิ ๘ ครน้ั ออกจากสมาบัตแิ ลวจักยึดเอาพระอรหตั ใหไดดังน้ี พึงทราบดจุ เวลาทบ่ี ุรุษนั้นคิดวา เราจักขา มไปฝง โนนดว ยตน ไมเ หลา นี้ การชําระธรรมอันเปนอนั ตรายตอฌานและวปิ สสนาแลว เขาสมาบัติ ดจุ การยึดก่งิ ไมด วยมือสะอาด เวลาเขาปฐมฌาน ดุจเวลาข้ึนตนไมตนที่ ๑ ในตน ไมเ หลา นัน้ เวลาท่ไี มถ ูกความตดิ ใจผูกไวในปฐมฌานออกจากปฐมฌานนนั้ แลวเขา ทุติยฌาน ฯลฯ ดจุ เวลาลงจากตน ไมต นที่ ๑ แลวข้นึ ตน ที่ ๒ ฯลฯ เวลาที่ไมถกู ความตดิ ใจผูกไวในอากิญจญั ญายตนสมสมาบัติออกจากอากญิ จญั ญายตนสมาบัตินน้ั แลว เขาเนวสญั ญานาสัญญายตนสมาบัติดจุ ลงจากตนไมตนที่ ๗ แลวขึน้ ตนท่ี ๘ เวลาทไี่ มถกู ความติดใจผกู ไวในเนวสญั ญานาสัญญายตนะ ออกจากสมาบัติแลว พิจารณาสังขารบรรลุพระ-อรหตั ดุจเวลาทบี่ รุ ษุ ลงจากตนไมต นท่ี ๘ แลวกไ็ ปถงึ ฝง โนนอันเปนพน้ื ที่มีความปลอดภยั . บทวา อวิชฺชาปฺปเภท มนสิกโรติ ไดแกภิกษมุ นสิการพระอรหตักลา วคอื ธรรมเคร่ืองทําลายอวชิ ชาใหญห นาทบึ อันเปน ความไมร ูในฐานะ ๘

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 428อวชิ ชา ๘. บทวา น ปกฺขนทฺ ติ ไดแก ไมแลน ไปโดยอารมณ. บทวาชมพฺ าลี ไดแ ก บอ นา้ํ ขนาดใหญเปนทขี่ ังน้าํ ซึง่ ไหลออกจากหมบู าน. บทวาอเนกวสฺสคณกิ า ไดแก บอน้าํ ช่ือวา อเนกวสฺสคณิกา เพราะมีบอน้าํเกิดขึ้นนับไดหลายป เพราะบอ น้าํ นน้ั เกดิ ขนึ้ ในเวลาที่หมูบา นหรอื นครเกดิ ขึน้ .บทวา อายมุขานิ ไดแก ลาํ รางไหลเขา ๔ แหง . บทวา อปายมขุ านิไดแ ก ชองไหลออก. บทวา น ปาลิปฺปเภโท ปาฏิกงโฺ ข ไดแ ก ไมพงึ หวังที่จะมนี ้ําลนขอบออกไปได เพราะวา นํา้ ทีเ่ ออ ข้ึนจากนั้น หาทาํ ลายขอบแลว พดั เอาหยากเย่อื ไปลงสูม หาสมุทรไดไม เพอ่ื ไขความนใ้ี หแ จมแจง ควรนําเรือ่ งคนแสวงหาสวนมาเปรยี บ. มีเร่อื งเลาวา กลุ บุตรชาวเมอื งคนหนงึ่ แสวงหาสวนไดเ หน็ บอ ใหญไมไ กลไมใ กลจากเมืองนกั . เขาเขาใจวา ณ ท่ีนีจ้ กั เปนสวนนา ร่นื รมย จงึ ถอื เอาจอบปดทาง ๔ ดานแลว เปดชองใหนา้ํ ไหล. ฝนไมตกเพมิ่ . น้ําทีเ่ หลอื ก็ไหลไปตามชองน้าํ ไหล ชิน้ หนังและผา ขรี้ ้ิวเปนตน ก็เกิดเนา ในทนี่ น้ั เอง. ชนทงั้ หลายกห็ ยุดอยรู อบ ๆ ไมยอมเขา ไป. แมท ี่เขา ไปก็ตอ งปดจมูกเดินหลีกไป. ลวงไป ๒-๓ วนั เขามาถอยไปฝน แลดูไมอ าจเขา ไปไดแ ลว ก็หลีกไป. ในขออปุ มานัน้ โยคาวจรพึงเห็นดุจกลุ บุตรชาวเมอื ง. กายคอื มหาภตู รูป ๔ ดุจเวลาทกี่ ุลบตุ รผแู สวงหาสวนเหน็ บอ นาํ้ ใหญใกลประตูบา น เวลาทต่ี นไมไ ดนาํ้ คอื การฟง ธรรม ดุจเวลาท่ปี ดทางนํา้ ไหลเขาเวลาที่สละความสํารวมในทวาร ๖ ดุจเวลาทีเ่ ปดทางนํ้าไหลออก เวลาท่ีไมไดกรรมฐานเปน ที่สบาย ดุจเวลาที่ฝนไมตกถูกตอ งตามฤดูกาล เวลาท่ีคุณภายในเส่ือม ดจุ เวลาทน่ี าํ้ ท่เี หลอื ไหลไปทางน้าํ ไหลออก เวลาที่ไมส ามารถทําลายขอบคันคืออวชิ ชาไดด วยอรหตั มรรคแลว กําจัดกองกเิ ลสเสยี ทาํ พระนพิ พานใหแจง

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 429ดุจเวลาทีน่ าํ้ เออ แลวไมสามารถทําลายขอบคันพัดพาหยากเยือ่ ลงไปมหาสมทุ รได เวลาทีเ่ ตม็ ไปดวยกเิ ลสมีราคะเปน ตนในภายใน ดุจช้นิ หนงั และผา ขรี้ วิ้เปน ตน เนาอยใู นบอ นาํ้ น่นั เอง เวลาที่บคุ คลผมู คี วามพรอ มเพรียงในวัฏฏะเพลิดเพลินในวัฏฏะ ดจุ เวลาท่เี ขามาเหน็ (บอนาํ้ ) แลว มีความรอนใจกลับไป. บทวา ปาลปิ ปฺ เภโท ปาฏิกงโฺ ข ไดแก พงึ หวงั นํา้ ลน ขอบบอไปได. อธบิ ายวา จรงิ อยู นา้ํ ที่เออจากนั้นจักสามารถทําลายขอบบอ แลวพัดหยากเยอื่ ลงไปสมู หาสมุทรได. แมในขอน้ีกพ็ ึงนาํ ขอเปรียบเทยี บนน้ั มาได.เวลาท่ีไดฟงธรรมเปน ทสี่ บาย พึงทราบดจุ เวลาท่เี ปด ทางนา้ํ ไหลออกในบอ น้ําน้ัน เวลาสาํ รวมในทวาร ๖ ตัง้ ม่ันแลว ดจุ เวลาที่ปดทางไหลออก เวลาท่คี นไดกรรมฐานเปน ทส่ี บาย ดจุ เวลาทฝี่ นตกตอ งตามฤดกู าล เวลาคนทําลายอวิชชาเสียไดด วยอรหัตมรรคแลว กําจดั กองกเิ ลส ทํานพิ พานใหแจง ดุจเวลาน้าํ ไหลเออ ขนึ้ ทาํ ลายขอบคนั พัดเอาหยากเยือ่ ลงไปสูมหาสมุทร เวลาทีเ่ ตม็ เปยมดวยโลกุตรธรรมในภายใน ดุจเวลาที่สระเต็มเปยมดวยนา้ํ ท่เี ขาไปทางนาํ้ไหลเขา เวลาท่ีข้ึนสูธรรมปราสาท นงั่ เอิบอ่ิมผลสมาบตั ิมนี พิ พานเปน อารมณดจุ การทบี่ ุคคลสรางร้วั ไวโดยรอบ แลวปลกู ตน ไม สรางปราสาทในทา มกลางสวน หานักฟอ นมาบาํ รุงบําเรอแลว น่งั บริโภคอาหารทดี่ .ี คําท่เี หลือในบทน้ีมเี น้ือความงายทั้งนั้น. กเ็ ทศนาตรัสคละกนั ทั้งโลกิยะและโลกตุ ระ. จบอรรถกถาชัมพาลสี ตู รที่ ๘

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 430 ๙. นิพพานสูตร วา ดว ยสัญญา ๔ [๑๗๙] ครัง้ นนั้ แล ทา นพระอานนทเขา ไปหาทา นพระสารบี ตุ รถึงทอี่ ยู ไดปราศรัยกับทานพระสารีบุตร ครงั้ ผา นการปราศรยั พอใหระลกึ ถึงกันไปแลว นั่ง ณ ทีค่ วรสวนขา งหน่ึง ครนั้ แลวไดถามทานพระสารีบตุ รวาดูกอ นอาวุโสสารีบตุ ร อะไรหนอเปน เหตุเปนปจจัยใหสัตวบ างพวกในโลกน้ี ไมปรินิพพานในปจ จุบัน ? ทา นพระสารบี ตุ รตอบวา ดูกอนอาวุโสอานนท สตั วท้งั หลายในโลกนี้ ไมทราบชดั ตามความเปน จรงิ วา น้หี าน-ภาคยิ สญั ญา (สัญญาฝายเสอ่ื ม) นฐ้ี ิติภาคิยสญั ญา (สญั ญาฝายดาํ รงอยู)นวี้ เิ สสภาคยิ สัญญา (สัญญาฝา ยวเิ ศษ) นีน้ ิพเพธภาคิยสญั ญา (สญั ญาฝา ยชาํ แรกกเิ ลส) ดกู อนอาวุโสอานนท นแี้ ลเปน เหตุเปนปจจัยใหส ตั วบ างพวกในโลกนี้ ไมป รนิ พิ พานในปจ จบุ ัน อา. ดกู อนอาวุโสสารบี ตุ ร ก็อะไรเลา เปนเหตเุ ปน ปจจยั ใหสตั วบางพวกในโลกน้ี ปรินพิ พานในปจ จบุ นั ? สา. ดูกอ นอาวุโสอานนท สัตวทั้งหลายในโลกน้ี ยอ มทราบชดั ตามความเปนจรงิ วา นหี้ านภาคยิ สญั ญา นีฐ้ ิติภาคิยสัญญา นีว้ ิเสสภาคยิ สญั ญา.นี้นพิ เพธภาคิยสัญญา ดูกอ นอาวุโสอานนท น้แี ลเปนเหตเุ ปน ปจ จัยใหส ัตวบางพวกในโลกน้ี ปรนิ ิพพานในปจ จุบัน. จบนพิ พานสตู รท่ี ๙

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 431 อรรถกถานิพพานสูตร พึงทราบวินจิ ฉัยในนพิ พานสตู รท่ี ๙ ดังตอ ไปน้ี :- ในบททั้งหลายมีอาทิวา หานภาคิยา สฺ า พึงทราบความโดยนัยท่ที า นกลา วไวแลวในอภิธรรมนัน่ แล อยางน้วี า การมนสกิ ารดว ยสัญญาอันสหรคตดวยกาม ยอมทําผูไดปฐมฌานใหฟุงซาน สัญญาก็ชอ่ื หานภาคินี(สญั ญาฝายเสอ่ื ม). บทวา ยถาภูติ นปฺปชานาติ ไดแ ก ไมรดู ว ยมรรค-ญาณตามความเปน จรงิ . จบอรรถกถานพิ พานสูตรท่ี ๙ ๑๐. มหาปเทสสตู ร วา ดว ยมหาประเทศ ๔ [๑๘๐] สมยั หนงึ่ พระผมู พี ระภาคเจาประทับอยู ณ อานันทเจดียใกลโภคนคร ณ ท่นี น้ั แล พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั เรียกภกิ ษทุ ัง้ หลายวา ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษเุ หลา นนั้ ทลู รับพระผูมพี ระภาคเจา แลว พระผูมพี ระภาคเจาไดต รัสวา ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย เราจกั แสดงมหาประเทศ ๔ นี้ เธอท้ังหลายจงฟง จงใสใ จใหดี เราจกั กลา ว ภิกษุเหลา นั้นทูลรับพระผูม ีพระภาคเจา แลวพระผมู พี ระภาคเจาไดตรสั วา ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็มหาประเทศ ๔ เปนไฉน ? ภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ พงึ กลาวอยา งนีว้ า ดูกอนอาวโุ ส ขอน้ขี า พเจาไดสดับมาไดรบั มาเฉพาะพระพักตรพ ระผมู พี ระภาคเจา วา น้ีเปนธรรม น้เี ปนวินัย

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 432นี้เปน คําสงั่ สอนของพระศาสดา ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย เธอทั้งหลายไมพึงยินดีไมพงึ คัดคา นคาํ กลาวของภิกษุน้นั ครั้นแลว พงึ เรยี นบทและพยัญชนะเหลาน้ันใหดี แลวพึงเทยี บเคียงในพระสูตร พงึ สอบสวนในพระวินัย ถาเมอ่ื เทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินยั บทและพยญั ชนะเหลา นน้ั เทยี บเคียงกนัไมไ ดใ นพระสูตร สอบสวนกนั ไมไ ดใ นพระวนิ ัย ในขอ น้พี งึ ลงสันนษิ ฐานไดว า น้มี ใิ ชค ําของพระผมู ีพระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจาแนแ ท ภิกษุน้ีรับมาผิดแลว เธอท้งั หลายพึงท้ิงคาํ นเ้ี สยี ทเี ดียว อนง่ึ ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ีพงึ กลาวอยางนี้วา ดกู อ นอาวโุ ส ขอนีข้ าพเจา ไดส ดบั มา ไดรบั มาเฉพาะพระพกั ตรพระผมู พี ระภาคเจาวา น้ีเปน ธรรม นเี้ ปน วนิ ัย น้เี ปนคําสั่งสอนของพระศาสดา ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย เธอทั้งหลายไมพ ึงยนิ ดี ไมพ งึ คัดคา นคํากลา วของภกิ ษุน้นั ครั้นแลวพงึ เรยี นบทและพยัญชนะเหลา น้นั ใหด ี แลวเทยี บเคียงในพระสตู ร สอบสวนในพระวนิ ัย ถา เมอื่ เทียบเคียงในพระสตู รสอบสวนในพระวนิ ัย บทและพยญั ชนะเหลานั้น เทียบเคียงกันไดใ นพระสูตรสอบสวนกันไดในพระวนิ ยั ในขอ นพ้ี งึ ลงสนั นิษฐานไดวา นเ้ี ปนคาํ ของพระ-ผมู พี ระภาคอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจาแนแท และภกิ ษุน้ีรับมาดีแลว ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย น้ีเปนมหาประเทศขอที่ ๑ เธอทั้งหลายพึงทรงจาํ ไว. อนงึ่ ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ พึงกลาวอยา งนว้ี า สงฆอยใู นอาราสชือ่ โนน พรอมทง้ั พระเถระพรอมท้งั ทา นทเี่ ปนประธาน ขาพเจาไดสดบั มาไดรบั มาเฉพาะหนา สงฆน้นั วา นเ้ี ปน ธรรม นเ้ี ปน วนิ ัย น้เี ปน คาํ สง่ั สอนของพระศาสดา ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เธอทงั้ หลายไมพ งึ ยนิ ดี ไมพึงคดั คา นคาํ กลา วของภิกษนุ นั้ ครั้นแลวพึงเรียนบทและพยญั ชนะเหลา นน้ั ใหดี แลวเทยี บเคยี งในพระสูตร สอบสวนในพระวนิ ัย ถา เมอ่ื เทยี บเคียงในพระสตู ร สอบสวนในพระวินัย บทและพยญั ชนะเหลาน้ัน เทยี บเคยี งกันไมไ ดในพระสตู ร สอบสวน

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 433กนั ไมไดในพระวนิ ยั ในขอน้พี ึงลงสันนษิ ฐานไดวา นี้มใิ ชคําของพระผมู ีพระภาคอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา แนแ ท และสงฆนัน้ รบั มาผดิ แลว เธอทง้ั หลายพึงทิ้งคําน้ีเสียทเี ดยี ว อนึ่ง ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ พึงกลาวอยา งน้วี าสงฆอยูใ นอาวาสชือ่ โนน พรอ มท้ังพระเถระพรอมทง้ั ทานท่ีเปนประธานขา พเจา ไดส ดับมา ไดร ับมาเฉพาะหนา สงฆน น้ั วา นเ้ี ปน ธรรม นเ้ี ปนวินัยน้ีเปน คําสั่งสอนของพระศาสดา ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย เธอทงั้ หลายไมพ งึ ยินดีไมพ ึงคัดคานคาํ กลาวของภิกษนุ ั้น ครนั้ แลว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหลา น้นัใหดี แลว เทยี บเคยี งในพระสตู ร สอบสวนในพระวินยั ถา เม่อื เทยี บเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวนิ ัย บทและพยญั ชนะเหลาน้ันเทยี บเคียงกันไดในพระสตู ร สอบสวนกนั ไดใ นพระวินัย ขอนพี้ ึงลงสันนษิ ฐานไดว า นีเ้ ปน คาํของพระผมู พี ระภาคอรหัตสัมมาสมั พุทธเจาแนแ ท และสงฆน นั้ รบั มาดีแลวดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย นเ้ี ปน มหาประเทศขอท่ี ๒ เธอท้งั หลายพงึ ทรงจาํ ไว. อนึ่ง ภิกษใุ นธรรมวินยั น้ี พงึ กลา วอยางนีว้ า ภิกษผุ เู ปน พระเถระมากดวยกันอยูในอาวาสชื่อโนน เปน พหูสตู ชํานาญในนกิ าย ทรงธรรมทรงวินยั ทรงมาติกา ขา พเจา ไดส ดับมา รบั นาเฉพาะหนา พระเถระเหลานนั้... ขาพเจา ไดสดบั มารบั มาเฉพาะหนาพระเถระเหลานั้นวา น้ีเปน ธรรม น้เี ปนวนิ ัย น้ีเปนคําส่งั สอนของพระศาสดา ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เธอท้ังหลายไมพึงยนิ ดี ไมพงึ คัดคานคํากลาวของภกิ ษนุ นั้ คร้ันแลว พงึ เรยี นบทและพยัญชนะเหลานน้ั ใหดี แลวพงึ เทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวินยั ถา เนอื้เทียบเคยี งในพระสูตร สอบสวนในพระวนิ ัย บทและพยญั ชนะเหลา น้ันเทียบเคยี งกันไดใ นพระสูตร สอบสวนกันไดในพระวนิ ยั ในขอน้ีพงึ ลงสนั นษิ ฐานไดวา น้ีเปน คําของพระผมู พี ระภาคอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจาพระองคน้นั แนแท

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 434และพระเถระเหลานน้ั รบั มาดแี ลว ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย นเ้ี ปน มหาประเทศขอท่ี ๓ เธอท้ังหลายพงึ ทรงจําไว. อนงึ่ ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ พงึ กลา วอยา งนว้ี า ภกิ ษุผเู ปน เถระรูปหนึ่งอยใู นอาวาสชอ่ื โนน เปน พหูสูต ชํานาญในนกิ าย ทรงธรรม ทรงวนิ ัยทรงมาตกิ า ขา พเจา ไดส ดับมา ไดรบั มาเฉพาะหนาพระเถระรปู นน้ั ... ขาพเจาไดสดับมา ไดรับมาเฉพาะหนาพระเถระรูปนน้ั วา นี้เปนธรรม นีเ้ ปนวนิ ัยนเี้ ปน คาํ สงั่ สอนของพระศาสดา ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เธอทงั้ หลายไมพึงยินดีไมพ งึ คดั คานคํากลา วของภกิ ษนุ ้นั คร้ันแลว พงึ เรียนบทและพยัญชนะเหลานั้นใหดี แลวพงึ เทียบเคียงในพระสูตร สอบสวนในพระวนิ ยั ถา เม่ือเทียบเคยี งในพระสตู ร สอบสวนในพระวนิ ยั บทและพยญั ชนะเหลา น้นั เทียบเคยี งกันไดในพระสตู ร สอบสวนกันไดใ นพระวินยั ในขอ นพ้ี ึงลงสนั นิษฐานไดว า นีเ้ ปนคาํ ของพระผมู ีพระภาคอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจาพระองคน ้นั แนแท และพระ-เถระรูปน้นั รบั มาดแี ลว ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย น้เี ปน มหาประเทศขอ ที่ ๔ เธอท้ังหลายพึงทรงจําไว. ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย มหาประเทศ ๔ น้ีแล. จบมหาปเทสสตู รที่ ๑๐ จบสัญเจตนิยวรรคท่ี ๓ อรรถกถามหาปเทสสตู ร พึงทราบวนิ ิจฉัยในมหาปเทสสตู รที่ ๑๐ ดงั ตอ ไปน้ี :- บทวา โภคนคเร วหิ รติ ไดแก ในปรนิ ิพพานสมัย พระผมู ีพระภาคเจาเสด็จจารกิ ไปนครน้นั แลว ประทับอยู. บทวา อานนฺทเจติเย

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 435ไดแก ในวหิ ารอันต้ังอยูตรงสถานทเี่ ปนภพของอานนั ทยักษ. บทวา มหาป-เทเส แปลวา โอกาสใหญหรอื ขอ อา งใหญ อธบิ ายวา เหตใุ หญ ทก่ี ลาวอางคนใหญ ๆ มีพระพุทธเจา เปนตน . บทวา เนว อภนิ นฺทติ พฺพ ความวาภาษติ นัน้ อันเธอทง้ั หลายผรู าเรงิ ยินดี ใหส าธุการแลวไมพ งึ ฟง กอ นอยา เพงิ่เช่อื เพราะเมอ่ื มีผกู ระทาํ อยางน้ี ภกิ ษนุ ัน้ แมจะถกู ตอ วาในภายหลงั วา คาํ น้ีไมสม ก็ยังกลา ววา เมื่อกอนนี้เปน ธรรม บดั นี้ ไมใ ชธรรมเสียแลวหรอื ดงั นี้แลว ไมย อมสละลทั ธ.ิ บทวา นปปฺ ฏกิ ฺโกสิตพพฺ  ไดแกไ มพงึ กลาวกอนวาคนโงน้พี ูดอะไร. เพราะเมอื่ กลาวอยางนแ้ี ลว ภิกษนุ น้ั จักไมก ลา วถงึ แมขอ ที่ถกู และไมถ ูก. ดว ยเหตุนน้ั พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั วา อนภนิ นทฺ ิตวฺ าอปปฺ ฏิกโฺ กสติ วฺ า ดังน.้ี บทวา ปทพฺยฺชนานิ ไดแก พยญั ชนะกลา วคือบท. บทวาสาธุก อคุ คฺ เหตฺวา ไดแก เรยี นดว ยดีวา ทานกลา วบาลไี วใ นทนี่ ี้ กลา วความไวในท่ีน้ี กลา วอนสุ นธไิ วในท่นี ้ี กลาวคําตน คําปลายไวในท่ีน้ี ดังนี.้ บทวา สุตเฺ ต โอตาเรตพพฺ านิ ไดแ ก พงึ เทียบเคยี งกนั ในพระสตู ร. บทวา วนิ เย สนทฺ สฺเสตพฺพานิ ไดแกพ ึงสอบสวนในพระวินยั .ในท่ีน้ีทา นกลา ววินยั วาเปน สูตร ดังท่ีทา นกลาวไวใ นสตุ ตวภิ งั คว า คัดคานไวในทไ่ี หน คดั คานไวในกรงุ สาวตั ถี. ขันธกะทานเรียกวา วนิ ยั ดังทท่ี านกลาวไวว า โกสมฺพยิ  วนิ ยาติสาเร ดงั น้ี. ไมย ึดถือเอาแมวินัยปฎ กอยางน้ี แตถือเอาวินัยปฎกอยา งนี้วา อภุ โตวิภงั คเ ปน พระสูตร ขันธกะแลปรวิ ารเปนพระวนิ ยั ดังน.ี้ อีกอยางหน่ึง ถอื เอาปฎ กสองอยา งน้คี อื สุตตันตปฎกเปนพระสูตร วินยั ปฎกเปนพระวนิ ัย. หรือวาไมถ ือเอาปฎกสามอยางนีก้ อน คือสตุ ตนั ตปฎก และอภธิ ัมมปฎ กเปนพระสตู ร วนิ ัยปฎกเปน พระวินัย จริงอยู

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 436ชื่อวา พุทธพจนทไ่ี มมชี ่อื วา สูตรมอี ยู คือ ชาดก ปฏสิ มั ภิทา นเิ ทศสตุ ตนบิ าต ธรรมบท อุทาน อติ วิ ุตตกะ วมิ านวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถาเถรคี าถา อปทาน แตพระสุทินนเถระคัดคานพทุ ธพจนนัน้ ทั้งหมดวาพทุ ธพจนท ีไ่ มม ชี ื่อวาสูตรน้นั ไมมดี ังน้ี แลว กลา ววาปฎ ก ๓ เปนพระสูตรแตว นิ ัยเปนการณะ. เมอื่ จะแสดงถึงการณะตอจากนน้ั จงึ กลา วสตู รนีว้ าดูกอ นโคตมี ทานพึงรูธรรมเหลาใด ธรรมเหลานี้ยอ มเปนไปเพ่ือประกอบดว ยราคะ ไมเปนไปเพอื่ อปราศจากราคะ ยอมเปนไปเพอื่ สังโยชน ไมเ ปนไปเพ่อื ปราศจากสงั โยชน ยอ มเปนไปเพ่ือความยึดมัน่ ไมเ ปน ไปเพ่อื ความไมยึดม่นั ยอ มเปนไปเพ่อื ความเปนผมู กั มาก ไมเปน ไปเพ่ือความเปน ผูม ักนอ ยยอ มเปนไปเพ่ือความไมส ันโดษ ไมเปน ไปเพอ่ื ความสันโดษ ยอ มเปนไปเพ่อื ความเกียจคราน ไมเปน ไปเพ่อื ปรารภความเพียร ยอมเปน ไปเพอื่ ความคลกุ คลี ไมเ ปนไปเพอ่ื ความวเิ วก ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความสะสม ไมเ ปนไปเพอ่ื ความไมส ะสม ดกู อ นโคตมี ทานพงึ รโู ดยสว นเดียววา นไ้ี มใ ชธ รรมนไี้ มใ ชว ินยั นีไ้ มใ ชค าํ สอนของพระศาสดา ดังน้ี ดูกอนโคตมี ทา นพงึ รูธรรมเหลาใด ธรรมเหลา นี้ ยอมเปนไปเพ่ือความปราศจากราคะ ไมเ ปน ไปเพ่ือความมรี าคะ ยอ มเปนไปเพอ่ื ปราศจากสงั โยชน ไมเปนไปเพ่อื สังโยชนยอมเปน ไปเพ่อื ความไมย ึดมั่น ไมเ ปนไปเพ่ือความยึดมัน่ ยอมเปน ไปเพ่อืความมกั นอย ไมเ ปนไปเพอ่ื ความมกั มาก ยอมเปนไปเพือ่ ความสันโดษ ไมเปน ไปเพื่อความไมส ันโดษ ยอมเปนไปเพ่อื ความปรารภความเพียร ไมเปนไปเพือ่ ความเกยี จครา น ยอ มเปน ไปเพื่อวิเวก ไมเ ปนไปเพ่อื ความคลุกคลียอ มเปน ไปเพื่อความไมส ะสม ไมเ ปน ไปเพื่อความสะสม ดูกอนโคตมี ทา นพงึ รโู ดยสวนเดียววา นเ้ี ปน ธรรม น้เี ปนวินยั นีเ้ ปนคาํ ส่งั สอนของพระศาสดา.เพราะฉะนัน้ ความในขอ น้จี งึ มีดงั นีว้ า บทวา สตุ เฺ ต ไดแ ก พึงเทียบเคยี ง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 437ในพุทธพจนค อื ปฎก ๓. บทวา วนิ เย น้ี ไดแ ก พึงสอบสวนในเหตุแหง การกําจัดกเิ ลส มีราคะเปนตน อยางหนง่ึ . บทวา น เจว สุตฺเต โอตรนตฺ ิ ความวา บทพยญั ชนะท้งั หลายไมมาในทไี่ หน ๆ ตามลําดบั ในพระสตู ร ยกเปลอื กขึ้นแลว ปรากฏชัดวามาจากคมั ภรี  คุฬหเวสสนั ตระ คฬุ หอุมมคั คะ คฬุ หวนิ ยั และเวทัลลปฎกอยา งใดอยางหน่ึง (เปน คัมภีรป ายมหายาน). ก็บทพยัญชนะท่มี าแลวอยา งนี้ และไมปรากฏในการนํากิเลสมรี าคะเปน ตน ออกไป กพ็ งึ ท้ิงเสยี . ดว ยเหตนุ ัน้ พระ-ผมู ีพระภาคเจา จึงตรสั วา อิติ หิท ภิกฺขเว ฉฑฺเฑยฺยาถ ดังน้.ี พึงทราบความในบททกุ บท โดยอบุ ายน.ี้ บทวา อทิ  ภกิ ฺขเว จตุตฺถ มหาปเทสธาเรยฺยาถ ความวา ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย เธอทั้งหลายพงึ ทรงจําไว ซ่งึโอกาสเปน ทีป่ ระดิษฐานธรรมขอท่ี ๔ นีไ้ ว. จบอรรถกถามหาปเทสสตู รท่ี ๑๐ จบสญั เจตนิยวรรควรรณนาที่ ๓ รวมพระสตู รทีม่ ใี นวรรคนี้ คือ ๑. เจตนาสตู ร ๒. วิภัตตสิ ูตร ๓. โกฏฐิตสูตร ๔. อานนทสตู ร๕. อปุ วานสูตร ๖. อายจนสูตร ๗. ราหุลสูตร ๘. ชัมพาลสี ูตร ๙.นิพพานสูตร ๑๐. มหาปเทสสตู ร และอรรถกถา.


























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook