พระสุตตันตปฎก อังคุตรนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 251 บคุ คลสงู มาแลว ตาํ่ ไปเปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ีเกิดในตระกลู สงู คือ ตระกูลกษตั ริยมหาศาล ฯลฯ บุคคลน้ันประพฤตทิ ุจรติ ดว ยกายวาจา ใจ ฯลฯ กายแตกตายไปยอ มเขา ถึงอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก อยา งนแี้ ลบุคคลสงู มาแลว ตํ่าไป บคุ คลสูงมาแลว สงู ไปเปนไฉน บคุ คลบางคนในโลกนเ้ี กิดในตระกูลสูง คือตระกลู กษัตรยิ มหาศาล ฯลฯ บคุ คลน้ันประพฤตสิ ุจริตดว ยกายวาจา ใจ ฯลฯ กายแตกตายไปยอมเขา ถงึ สคุ ติโลกสวรรค อยางนี้แล บุคคลสงู มาแลว สงู ไป ภิกษทุ งั้ หลาย นีแ้ ล บคุ คล ๔ จาํ พวก มปี รากฏอยใู นโลก. จบโอณตสูตรท่ี ๖ อรรถกถาโอณตสตู ร พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในโอณตสตู รที่ ๖ ดงั ตอไปน้ี :- บทวา โอณโตณโต ความวา บคุ คลตํ่ามาในปจ จบุ ัน กจ็ กั ตา่ํ ไปในอนาคต. บทวา โอณตุณณฺ โต ความวา บคุ คลตํ่ามาปจจุบัน จกั สงู ไปในอนาคต. บทวา อุณณฺ โตณโต ความวา บคุ คลสงู มาในปจจุบนั ก็จกัตํ่าไปในอนาคต. บทวา อณุ ฺณตุณณฺ โต ความวา บคุ คลสงู มาในปจจบุ นัก็จกั สูงไปในอนาคต. กค็ วามพิสดารแหง ความเหลา นน้ั พึงทราบโดยนยั อันกลาวไวก อ นแลว . จบอรรถถาโอณตสูตรที่ ๖
พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 252๗. ปุตตสตู ร วา ดวยสมณะ ๔ จาํ พวก[๘๗] ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย บคุ คล ๔ จาํ พวก ฯลฯ คอืสมณมจโล สมณะผไู มหวั่นไหวสมณปุณฑฺ รีโก สมณะบุณฑริกสมณปทโุ ม สมณะปทุมสมเณสุ สมณสขุ ุมมาโล สมณะสขุ ุมาลในหมูสมณะก็สมณะผไู มห วนั่ ไหวเปนอยางไร ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนีเ้ ปนพระเสขะ เปน ผยู ังตองปฏิบตั ิ ปรารถนาอยซู ง่ึ ธรรมอันเกษมจากโยคะอยา งเยีย่ มยอด เปรียบเหมอื นพระโอรสองคใหญข องพระราชา ผูเ ปนกษัตรยิ ม รุ ธา-ภิเษก เปน ผคู วรแกก ารอภเิ ษก แตยงั มิไดร บั อภเิ ษก ดาํ รงอยใู นตาํ แหนงพระยพุ ราช ฉนั ใด ภกิ ษเุ ปนพระเสขะเปน ผยู งั ตอ งปฏิบตั ิอยู ปรารถนาอยูซึ่งธรรมอันเกษมจากโยคะอยา งเย่ียมยอดฉนั นั้นเหมือนกัน อยางนแ้ี ล บุคคลเปน สมณะผไู มหว่นั ไหวบุคคลเปน สมณะบุณฑรกิ เปนอยางไร ? ภิกษใุ นพระธรรมวนิ ยั นี้เพราะส้นิ อาสวะท้งั หลาย ทําใหแ จวซง่ึ เจโตวิมุตติปญ ญาวิมุตติ อันหาอาสวะมไิ ด ดว ยปญ ญาอนั ยงิ่ ดว ยตนเอง สําเรจ็ อยูใ นปจ จบุ นั น่ี แตวา ไมไ ดถูกตองวิโมกข ๘ ดวย (นาม) กาย อยา งน้แี ล บุคคลเปนสมณะบุณฑรกิบคุ คลเปน สมณะปทมุ เปนอยา งไร ? ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยั นี้เพราะส้นิ อาสวะท้งั หลาย ทาํ ใหแ จง ซึง่ เจโตวิมตุ ติปญ ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด ดว ยปญ ญาอันยง่ิ ดว ยตนเอง สาํ เร็จอยใู นปจ จุบนั น่ี ทงั้ ไดถกู ตอ งวิโมกข๘ ดวย (นาม) กายดวย อยางนีแ้ ล บุคคลเปนสมณะปทมุ
พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 253 บุคคลเปนสมณะสขุ ุมาลในหมสู มณะเปนอยา งไร ? ภิกษใุ นพระธรรมวินยั น้ี บริโภคจีวร โดยนากมีผูวิงวอน (ใหบ รโิ ภค) ทบ่ี ริโภคโดยไมม ใี ครวิงวอน (ใหบริโภค) มีนอ ย บรโิ ภคบณิ ฑบาต เสนาสนะ คิลานปจ จยัโดยมากมีผูว งิ วอน (ใหบ ริโภค) ท่ีบรโิ ภคโดยไมมใี ครวงิ วอน (ใหบริโภค)มนี อย อน่ึง ภกิ ษนุ ั้น อยูก ับ เพ่ือนสพรหมจารเี หลาใด เพ่ือนสพรหมจารเี หลาน้ันยอมประพฤติตอภิกษนุ ั้นดวยกายกรรมที่นา เจรญิ ใจเปน สว นมาก ที่ไมนาเจรญิใจเปน สว นนอ ย ประพฤตติ อ ภิกษุนัน้ ดว ยวจีกรรม ...มโนกรรมที่นาเจรญิ ใจเปนสว นมาก ทไ่ี มนา เจริญใจเปน สว นนอย เพอื่ นสพรหมจารที ัง้ หลายยอมแสดงความยกยอ งนบั ถอื อยา งนาเจริญใจทั้งนนั้ ที่ทาํ อยา งไมน าเจรญิ ใจมีเปนสวนนอย อนง่ึ ทุกขเวทนาทัง้ หลาย ทมี่ ีนํา้ ดเี ปนสมุฏฐานก็ดี มเี สมหะเปนสมุฏฐานก็ดี มลี มเปนสมฏุ ฐานก็ดี ทีม่ นี ้าํ ดีเปนสนั นปิ าติกะ (คือเกิดแตดี เสมหะและลมรวมกันเปน สมุฏฐาน ซง่ึ เรียกวา สันนบิ าต) กด็ ี ทเ่ี กิดแตค วามเปลี่ยน-แปลงแหง ฤดูก็ดี เกดิ แตการบริหาร (รางกาย) ไมสม่ําเสมอ (คอื เปลย่ี นอิรยิ าบถไมเ สมอ) กด็ ี เกดิ เพราะถูกทํารา ย (เชน ถูกด)ี กด็ ี เกดิ ดว ยอํานาจวบิ ากของกรรมก็ดี ทกุ ขเวทนาเหลา นน้ั ไมเ กดิ มแี กภ กิ ษุนัน้ มากเลย เธอเปนผูม ีอาพาธนอ ย เธอไดตามตองการ ไดไ มยาก ไดไมลาํ บาก ซงึ่ ฌาน ๔อันเปน ธรรมเปนไปในจติ อันยง่ิ เปนธรรมเคร่ืองพักผอ นอยสู บายในอตั ภาพปจ จุบนั เพราะสน้ิ อาสวะทงั้ หลาย เธอกระทําใหแจง ซงึ่ เจโตวิมตุ ติปญ ญาวิมตุ ติอนั หาอาสวะมไิ ด ดว ยปญ ญาอนั ย่งิ ดว ยตนเอง สําเรจ็ อยูใ นปจจุบันนี่ อยา งนแี้ ล บคุ คลเปน สมณะสขุ มุ าลในหมูสมณะ ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย เมอ่ื จะเรยี กโดยชอบ จะพงึ เรยี กบุคคลใดวาเปนสมณะสขุ ุมาลในหมูสมณะ กพ็ งึ เรียกเราน้ีแหละวา เปน สมณะสขุ ุมาลในหมูสมณะแทจรงิ เราบริโภคจวี ร โดยมากมีผวู งิ วอน (ใหบรโิ ภค) ท่บี รโิ ภคโดย
พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 254ไมม ใี ครวงิ วอน (ใหบรโิ ภค) มีนอย เราบรโิ ภคบณิ ฑบาตเสนาสนะคิลานปจจัยโดยมากมผี วู งิ วอน (ใหบรโิ ภค) ท่บี ริโภคโดยไมม ีใครวงิ วอน (ใหบ ริโภค)มีนอย อนง่ึ เราอยูกับภิกษเุ หลา ใด ภกิ ษุเหลานั้นยอ มพระพฤตติ อเราดว ยกายกรรม วจกี รรม มโนกรรมที่นาเจริญใจเปน สว นมาก ท่ไี มนาเจริญใจเปน สว นนอย ภกิ ษุท้ังหลายยอ มแสดงความยกยอ งนับถือเราอยา งนาเจริญใจทัง้ นั้น ทที่ ําอยา งไมน าเจรญิ ใจมีเปน สวนนอ ย อนึ่ง ทุกขเวทนาท้งั หลายทม่ี ีนํา้ ดีเปน สมุฏฐานกด็ ี มเี สมหะเปน สมฏุ ฐานก็ดี มีลมเปนสมุฏฐานกด็ ีทเ่ี ปนสันนปิ าตกิ ะกด็ ี ทเี่ กดิ แตความเปลย่ี นแปลงแหง ฤดกู ด็ ี เกิดแตการบริหาร(รางกาย) ไมสมาํ่ เสมอกด็ ี เกดิ เพราะถูกทาํ รายกด็ ี เกิดดว ยอาํ นาจวบิ ากของกรรมก็ดี ทกุ ขเวทนาเหลานน้ั ไมเ กิดมีแกเ รามากเลย เราเปนผมู ีอาพาธนอ ยอนึ่ง เราไดตามตอ งการ ไดไมยาก ไดไ มลําบาก ซงึ่ ฌาน ๔ อัน เปนธรรมเปนไปในจติ อันย่ิง เปนธรรมเคร่อื งพักผอ นอยูสบายในอัตภาพปจ จบุ นั เพราะส้ินอาสวะทงั้ หลาย เราทําใหแจงซ่ึงเจโตวมิ ตุ ติปญญาวมิ ุตติ อันหาอาสวะมิได ดวยปญ ญาอันย่ิงดว ยตนเองสาํ เรจ็ อยใู นปจ จบุ ันน่ี ภิกษุทง้ั หลาย เมอื่จะเรยี กโดยชอบ จะพึงเรยี กบุคคลใดวา เปน สมณะสขุ มุ าลในหมูสมณะ ก็พึงเรียกเรานแี้ หละโดยชอบวา เปน สมณะสุขุมาลในหมูสมณะ น้แี ล ภกิ ษทุ ั้งหลาย บุคคล ๔ จําพวก มปี รากฏอยูใ นโลก. จบปตุ ตสูตรที่ ๗
พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 255 อรรถกถาปตุ ตสตู ร พึงทราบวินจิ ฉยั ในปุตตสูตรท่ี ๗ ดังตอ ไปน้ี :- บทวา สมณมจโล ไดแก สมณะไมหว่นั ไหว. ม อกั ษรทําบท-สนธติ อ บท. อธิบายวา นจิ จลสมณะ. ทรงแสดงพระเสขะแม ๗ จําพวกดวยบทน้ี. พระเสขะนนั้ ชื่อวาไมหวนั่ ไหว เพราะทา นตงั้ มนั่ ดวยศรทั ธาอันเปนมูลในพระศาสนา. บทวา สมณปุณฑฺ รโิ ก ไดเเก สมณะดังบัวขาว. ธรรมดาบวั ขาวเกดิ ในสระมีใบ ๙๙ ใบ. ทรงแสดงพระขณี าสพสุกวปิ สสกผบู าํ เพ็ญวปิ สสนาลว นดวยบทนี.้ ดวยวา พระขีณาสพสุกขวิปสสกน้นั ชื่อวาสมณะดังบัวขาว เพราะทา นมีคณุ ยงั ไมบรบิ ูรณ โดยทฌ่ี านและอภิญญาไมม ี. บทวาสมณปทโุ ม ไดแ ก สมณะดงั บัวหลวง. ธรรมดาบวั หลวง เกดิ ในสระมีใบครบรอยใบ. ทรงแสดงพระขีณาสพผูเปน อุภโตภาควิมตุ ดวยบทน.้ี ดวยวาพระขณี าสพอุภโตภาควิมตุ นัน้ ชือ่ วาสมณะดงั บวั หลวง เพราะทานมคี ณุบริบรู ณโ ดยที่มีฌานและอภิญญา. บทวา สมเณสุ สมณสุขมุ าโล ความวาบรรดาสมณะเหลาน้นั แมท ้ังหมด สมณะสุขมุ าลเปน ผมู ีกายและจิตออนโยนเวนความทกุ ขท างกายและทางจิต เปน ผูมสี ขุ โดยสว นเดียว. ทรงแสดงพระองคและสมณะสุขมุ าลเชน กับพระองค ดว ยบทวา สขุ มุ าลสมโณ น้ัน. คร้นั ทรงตั้งมาตกิ าหวั ขออยา งนีแ้ ลว บดั นี้ เม่ือจะทรงจาํ แนกไปตามลาํ ดบั จงึ ตรสั วา กถฺจ ภิกฺขเว เปนตน . ในบทเหลา นั้น บทวา เสกโฺ ขไดแก พระเสขะ ๗ จาํ พวก. บทวา ปฏปิ โท ไดแ ก เปนผูย งั ตองปฏบิ ตั .ิบทวา อนตุ ตฺ ร โยคกฺเขม ปฏ ยมาโน วหิ รติ ความวา กาํ ลังปรารถนาพระอรหตั . บทวา มทุ ฺธาภิสติ ตฺ สฺส ความวา เปน ผไู ดรบั น้าํ รดบนพระ-
พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 256เศียรคือกษตั รยิ ม ูรธาภเิ ษกอธิบายวา ไดท รงมรุ ธาภิเษกแลว . บทวา อาภเิ สโกไดแก เปนผคู วรทาํ การอภเิ ษก. บทวา อนภิสิตโฺ ต ไดแ ก เปน ผยู งั ไมไ ดอภเิ ษกกอ น. บทวา มจลปฺปตโฺ ต ไดแ ก ถงึ ภาวะดจุ ตําแหนงพระยพุ ราชมีความปรารถนามั่นคง (ไมคลอนแคลน) เพอ่ื ประโยชนแ กก ารอภิเษกเพราะเปนพระโอรสของพระราชา ผูเ ปนกษตั รยิ ม รุ ธาภเิ ษก เพราะเปนเชษฐโอรสบรรดาพระโอรสท้งั หลาย และเพราะยงั ไมไ ดอภิเษกกอน. ม อักษรเปนเพยี งนบิ าต. บทวา กาเยน ผสุ ติ วฺ า ความวา ถกู ตองแลวดวยนามกาย. บทวายาจิโตว พหุล จีวร ปริภุชฺ ติ ความวา สมณสขุ มุ าลโดยมากบรโิ ภคจีวรทท่ี ายกนอ มเขา ไปถวายดวยรอ งขออยางนวี้ า ทา นเจา ขา โปรดบรโิ ภคจวี รนี้ดงั น้แี ลว เฉพาะจวี รทเี่ ขาไมร องขอกน็ อ ยเหมอื นทานพระพักกลุ เถระ เฉพาะบณิ ฑบาต (อาหาร) ก็เหมอื นทานพระสิวลเี ถระในทางไปปา ไมต ะเคยี น.เฉพาะเสนาสนะกเ็ หมือนทานพระอานนทเถระในอัฏฐกนาครสูตร เฉพาะคลิ าน-ปจจัย กเ็ หมือนทา นพระปลินทวจั ฉเถระ. บทวา ตฺยสสฺ ตดั บทเปน เตอสฺส. บทวา มนาเปเนว ไดแ กอนั เปนทีต่ อ งใจ. บทวา สมทุ าจรนฺติความวา ทําหรือประพฤติกิจทค่ี วรทาํ . บทวา อปุ หาร อปุ หรนฺติ ความวาเพอื่ นพรหมจารีทง้ั หลาย ยอมนําเขาไป คือนอมเขา ไปซง่ึ สิ่งท่ีพอใจท้งั ทางกายและทางจิต. บทวา สนนฺ ิปาตกิ านิ ความวา อันเกิดเพราะการประชมุ กันแหงสมฏุ ฐานท้งั สาม. บทวา อตุ ปุ รณิ ามชานิ ความวา เกิดแตความเปลย่ี นแปลงแหงฤดคู อื แตฤดูทีห่ นาวเกินไปหรอื รอ นเกนิ ไป. บทวาวสิ มปรหิ ารชานิ ความวา เกดิ แตก ารบริหารไมส มํา่ เสมอ โดยมนี งั่ นานหรอืยนื นานเปนตน. บทวา โอปกฺกมกิ านิ ความวา เกิดเพราะถูกทาํ รายมกี ารฆา และการจองจําเปนตน . บทวา กมมฺ วปิ ากชานิ ความวา เกดิ ดว ย
พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 257สามารถแหงวิบากของกรรมที่ทาํ แลว ในกาลกอนอยา งเดียว แมเ วน จากเหตุเหลาน้.ี ในบทวา จตุนฺน ฌานาน นท้ี านประสงคกริ ิยาฌานเทาน้ัน ทั้งของพระขณี าสพทงั้ ของพระพทุ ธเจา ท้ังหลาย. บทท่เี หลอื มเี นือ้ ความงายท้ังนนั้ . จบอรรถกถาปตุ ตสูตรท่ี ๗๘. สังโยชนสูตรวาดวยสมณะ ๔ จาํ พวก[๘๘] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย บคุ คล ๔ จาํ พวกน้ี ฯลฯ คอืสมณมจโล สมณะผไู มหวนั่ ไหวสมณปณุ ฑฺ รีโก สมณะบุณฑรกิสมณปทโุ ม สมณะปทุมสมเณสุ สมณสุขุมาโล สมณะสุขุมาลในหมูสมณะบคุ คลเปนสมณะผูไ มห ว่นั ไหวเปนอยา งไร ? ภกิ ษุในพระธรรมวินัยนี้เพราะสิน้ สงั โยชน ๓ เปน พระโสดาบนั มอี นั ไมตกตาํ่ เปนธรรมดา เปน ผเู ท่ยี ง-แททีจ่ ะไดต รสั รูในขา งหนา อยางน้ีแล บุคคลเปน สมณะผูไมห วน่ั ไหวบคุ คลเปน สมณะบุณฑรกิ เปน อยางไร ? ภิกษใุ นพระธรรมวนิ ัยน้ีเพราะสิน้ สังโยชน ๓ เพราะราคะโทสะโมหะเบาบาง เปน พระสกทาคามี มาสูโลกนีอ้ กี คราวเดียว จกั ทําท่ีสดุ ทุกขไ ด อยา งน้แี ล บคุ คลเปนสมณะบณุ ฑรกิบคุ คลเปนสมณะปทุมเปน อยา งไร ? ภิกษใุ นพระธรรมวินัยนี้ เพราะสน้ิ สงั โยชนเ บอื้ งตาํ่ ๕ เปน โอปปาตกิ ะ ปรนิ ิพพานในโลกที่เกดิ นน้ั มีอันไมกลบั จากโลกน้ันเปนธรรมดา อยางนี้แล บคุ คลเปน สมณะปทุม
พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 258บคุ คลเปนสมณะสขุ ุมาลในหมสู มณะเปนอยางไร ? ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยั นี้ เพราะสน้ิ อาสวะท้ังหลาย การทาํ ใหแ จง ซึง่ เจโตวิมตุ ตปิ ญญาวิมตุ ติอนั หาอาสวะมิได ดวยปญญาอนั ยง่ิ ดว ยตนเอง สําเร็จอยูในปจ จบุ นั นี่ อยางนแ้ี ลบคุ คลเปนสมณะสุขมุ าลในหมูสมณะภิกษทุ ง้ั หลาย น้ีแล บคุ คล ๔ จาํ พวก มปี รากฏอยูในโลก. จบสังโยชนสตู รท่ี ๘อรรถกถาสังโยชนสูตรพงึ ทราบวินจิ ฉัยในสังโยชนสตู รท่ี ๘ ดังตอไปน้ี :-พระโสดาบัน เรียกวา สมณะผูไมหวน่ั ไหว เพราะทา นไดศรัทธาตง้ั ม่นั แลว ในพระศาสนา. พระสกทาคามี เรยี กวา สมณะดังบัวขาว ดุจบัวขาวเกิดในสระมใี บไมม าก เพราะทา นเปนผมู ีคณุ ยงั ไมมากนกั . พระอนาคามีเรียกวา สมณะดังบัวหลวง ดจุ บัวหลวงมีรอ ยใบเกดิ ในสระ เพราะทานมีคุณมากกวาน้นั . พระขีณาสพผถู งึ ความออนโยน เรียกวา สมณะสขุ ุมาล เพราะกเิ ลสทีท่ าํ ความกระดางทา นถอนไดแ ลว โดยประการทง้ั ปวง. จบอรรถกถาสงั โยชนสูตรที่ ๘ ๙. ทฏิ ฐสิ ูตรวา ดวยสมณะ ๔ จาํ พวก[๘๙] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๔ จําพวกนี้ ฯลฯ คอืสมณมจโล สมณะผไู มห วนั่ ไหว
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 259สมณปณุ ฑฺ รีโก สมณะบณุ ฑรกิสมณปทโุ ม สมณะปทมุสมเณสุ สมณสุขมุ าโล สมณะสขุ มุ าลในหมูสมณะกบ็ ุคคลเปน สมณะผูไมหวัน่ ไหวเปนอยา งไร ? ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยัน้เี ปน ผมู ีความเห็นชอบ มคี วามดาํ รชิ อบ มวี าจาชอบ มีการงานชอบ มีอาชพี ชอบ มีความพยายามชอบ มสี ติชอบ มีสมาธชิ อบ อยา งน้แี ล บุคคลเปนสมณะผูไมหวัน่ ไหวบคุ คลเปน สมณะบุณฑรกิ เปนอยา งไร ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ัยนี้เปน ผมู คี วามเห็นชอบ ฯลฯ มีสมาธิชอบ มญี าณชอบ มีวมิ ุตตชิ อบ แตไ มไดถูกตอ งวโิ มกข ๘ ดว ย (นาม) กาย อยา งนีแ้ ล บคุ คลเปนสมณะบณุ ฑริกบุคคลเปน สมณะปทุมเปนอยา งไร ? ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ัยนเี้ ปนผูมีความเหน็ ชอบ ฯลฯ มวี ิมตุ ติชอบ ทง้ั ไดถูกตองวโิ มกข ๘ ดวย (นาม) กายดวยอยางน้แี ล บคุ คลเปน สมณะปทุมบุคคลเปน สมณะสขุ ุมาลในหมูสมณะเปน อยางไร ? ภิกษุในพระ-ธรรมวนิ ัยน้ี บริโภคจีวร โดยมากมผี วู งิ วอน (ใหบรโิ ภค) ท่บี รโิ ภคโดยไมมผี ุวิงวอน (ใหบ รโิ ภค) มนี อย ฯลฯ อยา งนแี้ ล บคุ คลเปน สมณะสขุ ุมาลในหมสู มณะภิกษุทัง้ หลาย นแี้ ล บคุ คล ๔ จําพวกมีปรากฏอยูใ นโลก.จบทฏิ ฐิสตู รที่ ๙
พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 260อรรถกถาทิฏฐิสตู รพงึ ทราบวินิจฉัยในทฏิ ฐสิ ูตรท่ี ๙ ดงั ตอ ไปนี้ :-ดว ยบทเปน ตน วา สมมฺ าทฏิ ิโก ทรงหมายถงึ พระเสขะ ๗ จําพวกเหมือนในสตู รแรก ดวยอํานาจมรรคมีองค ๘. วาระทส่ี อง ตรสั พระ-ขณี าสพสุกขวิปสสกผบู าํ เพญ็ วปิ สสนาลวน พรอมดวยอรหัตผลญาณ และอรหตั ผลวิมตุ ติ ดวยอํานาจแหงมรรคมีองค ๑๐ หรือดวยอาํ นาจแหงมรรคมอี งค ๘. ในวาระทีส่ าม ตรัสพระขีณาสพผูเปน อภุ โตภาควมิ ุต. วาระที่ส่ีตรสั ถึงพระตถาคต และพระขีณาสพเชนกบั พระตถาคตอยางน้.ี ดงั นน้ัพระสตู รน้ี ตรัสดวยอาํ นาจบคุ คลทีก่ ลาวในสูตรแรก แตใ นพระสตู รน้ีตา งกนัเพยี งเทศนาเทานนั้ . อรรถกถาทฏิ ฐิสตู รท่ี ๙ ๑๐. ขันธสตู ร วา ดวยสมณะ ๔ จําพวก[๙๐] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย บคุ คล ๔ จาํ พวกน้ี ฯลฯ คือสมณมจโล สมณะผไู มหว่ันไหวสมณปุณฑฺ รีโก สมณะบณุ ฑริกสมณปทุโม สมณะปทมุสมเณสุ สมณสุขุมาโล สมณะสขุ มุ าลในหมสู มณะ
พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 261 ก็บุคคลเปน สมณะผูไมหวน่ั ไหวเปน อยางไร ? ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยัน้เี ปนพระเสขะ ยังไมสําเรจ็ มโนรถ ยังปรารถนาธรรมอนั เกษมจากโยคะอยา งยอดเยีย่ มอยู อยา งนแ้ี ล บคุ คลเปนสมณะผูไมหว่นั ไหว บุคคลเปน สมณะบณุ ฑริกเปน อยางไร ภกิ ษุในพระธรรมวินยั น้เี ปนผเู ล็งเห็นความเกดิ ขึ้น และความเสื่อมดับไปในอปุ าทานขันธ ๕ วา อยา งน้รี ปูอยา งน้คี วามเกิดขึน้ แหง รปู อยา งนค้ี วามดบั ไปแหง รูป อยางนี้เวทนา. . .สัญญา...สงั ขาร. . .วญิ ญาณ ฯลฯ อยา งน้ี ความดับไปแหงเวทนา. . .สญั ญา. . . สังขาร. . .วญิ ญาณ แตไมไดถูกตอ งวิโมกข ๘ ดวย (นาม) กาย อยางนีแ้ ลบคุ คลเปนสมณะบณุ ฑรกิ บุคคลเปนสมณะปทมุ เปนอยางไร ? ภกิ ษใุ นพระธรรมวินัยนีเ้ ปนผูเลง็ เหน็ ความเกิดขนึ้ และความดับไปในอปุ าทานขนั ธ ๕ วา อยา งนรี้ ูป ฯลฯอยางน้คี วามดบั ไปแหงเวทนา. . .สัญญา. . .สงั ขาร. . .วญิ ญาณ ทงั้ ไดถ กู ตองวโิ มกข ๘ ดวย (นาม) กายดวย อยางน้แี ล บุคคลเปน สมณะปทุม บคุ คลเปนสมณะสุขมุ าลในหมสู มณะเปน อยางไร ? ภกิ ษุในพระ-ธรรมวนิ ัยนี้ บรโิ ภคจวี ร โดยมากมีผูว ิงวอน (ใหบ รโิ ภค) ทบ่ี ริโภคโดยไมม ีผวู ิงวอน (ใหบ รโิ ภค) มนี อย ฯลฯ อยา งน้แี ล บคุ คลเปน สมณะสขุ ุมาลในหมสู มณะ ภิกษทุ ้ังหลาย นแี้ ล บุคคล ๔ จาํ พวก มปี รากฏอยใู นโลก. จบขันธสูตรท่ี ๑๐ จบมจลวรรคท่ี ๔
พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 262 อรรถกถาขนั ธสตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในขนั ธสูตรท่ี ๑๐ ดงั ตอ ไปนี้ :- วาระที่ ๑ ตรัสพระเสขบคุ คล ผยู ังไมเ ริม่ ความเพียรเพ่อื พระอรหตัยังดํารงอยูดวยความประมาท. วาระที่ ๒ ตรสั พระเสขบุคคล ผยู งั ไมไดฌ านแตเรมิ่ วิปส สนาอยูดว ยความไมป ระมาท. วาระท่ี ๓ ตรสั พระเสขบุคคล ผูเริม่วิปส สนาอยดู วยความไมป ระมาท ไดว ิโมกข ๘. วาระที่ ๔ ตรสั พระขณี าสพผูเ ปนสขุ ุมาลเปน อยางยิ่งแล. จบอรรถกถาขันธสูตรที่ ๑๐ จบมจลวรรควรรณนาท่ี ๔ รวมพระสูตรที่มใี นวรรคน้ี คือ ๑. ปาณาตปิ าตสูตร ๒. มสุ าสตู ร ๓. วัณณสตู ร ๔. โกธสตู ร๕. ตมสตู ร ๖. โอณตสูตร ๗. ปตุ ตสูตร ๘. สงั โยชนสูตร ๙. ทิฏฐิสตู ร๑๐. ขนั ธสูตร และอรรถกถา.
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 263 อสุรวรรคที่ ๕ ๑. อสรุ สตู ร วาดวยบุคคล ๔ จําพวก [๙๑] ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย บุคคล จาํ พวกนี้ ฯลฯ คอื อสุโร อสรุ ปริวาโร คนอสรู มอี สรู เปน บรวิ าร อสุโร เทวปริวาโร คนอสรู มเี ทวดาเปน บริวาร เทโว อสรุ ปริวาโร คนเทวดา มอี สูรเปนบรวิ าร เทโว เทวปรวิ าโร คนเทวดา มเี ทวดาเปน บรวิ าร กบ็ ุคคลเปนอสรู มอี สรู เปน บริวารเปน อยางไร บุคคลบางคนในโลกน้เี ปน คนทศุ ีลมีธรรมอันลามก แมบรษิ ทั ของเขาก็เปน คนทุศลี มีธรรมอันลามกเหมอื นกนั อยางน้ีแล บคุ คลเปน อสรู มีอสูรเปน บรวิ าร บคุ คลเปนอสูร มเี ทวดาเปน บริวารเปน อยางไร ? บุคคลบางคนในโลกนเี้ ปน คนทุศีลมธี รรมสนั ลามก แตบ ริษทั ของเขาเปนคนมศี ลี มีธรรมอนั งาม อยา งนแี้ ล บคุ คลเปนอสูร มีเทวดาเปน บรวิ าร บุคคลเปนเทวดา มอี สูรเปนบรวิ ารเปนอยา งไร ? บคุ คลบางคนในโลกนเ้ี ปนคนมีศีลมีธรรมอนั งาม แตบริษทั ของเขาเปน คนทุศลี มีธรรมอันลามก อยา งน้ีแล บคุ คลเปนเทวดา มอี สรู เปนบรวิ าร บุคคลเปน เทวดา มีเทวดาเปน บรวิ ารเปน อยางไร ? บุคคลบางคนในโลกน้ีเปน คนมศี ีลมีธรรมอนั งาม แมบ ริษทั ของเขากเ็ ปนคนมีศีล มีธรรมอนั งามดวย อยางนแี้ ล บุคคลเปน เทวดา มีเทวดาเปนบรวิ าร ภกิ ษุท้ังหลาย นีแ้ ลบคุ คล ๔ จาํ พวก มีปรากฏอยใู นโลก. จบอสรุ สตู รที่ ๑
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 264 อสรุ วรรควรรณนาท่ี ๕ อรรถกถาอสรุ สตู ร พึงทราบวนิ ิจฉยั ในอสรุ สูตรท่ี ๑ แหงวรรคที่ ๕ ดังตอไปน้ี :- บทวา อสุโร ไดแ กค นนาเกลยี ด เชน เดยี วกับอสรู . บทวา เทโวไดแก คนงามโดยคณุ กบั ทท่ี าํ ใหเกิดความผองใส เชน เดียวกบั เทวดา. จบอรรถกถาอสรุ สตู รท่ี ๑ ๒. ปฐมสมาธสิ ตู ร วา ดว ยบคุ คล ๔ จาํ พวก ท่ี ๑ [๙๒] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย บคุ คล ๔ จําพวกน้ี ฯลฯ คอื บุคคลบางคนในโลกนเ้ี ปนผูไดความสงบใจในภายใน แตไ มไ ดอ ธิปญ ญาและธมั ม-วปิ ส สนาพวก ๑ บางคนไดอธิปญ ญาและธัมมวิปส สนา แตไ มไดค วามสงบใจในภายในพวก ๑ บางคนไมไ ดท ง้ั ความสงบใจในภายใน ทงั้ ไมไดอธปิ ญญาและธมั มวิปสสนาพวก ๑ บางคนไดท้ังความสงบใจในภายใน ทงั้ อธิปญญาและธมั ม-วิปส สนาพวก ๑ ภกิ ษทุ ั้งหลาย นแี้ ล บุคคล ๔ จําพวก มีปรากฏอยใู นโลก. จบปฐมสมาธสิ ตู รท่ี ๒
พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 265 อรรถกถาปฐมสมาธิสตู ร พึงทราบวนิ ิจฉยั ในปฐมสมาธิสตู รท่ี ๒ ดังตอไปนี้ :- บทวา อชฌฺ ตตฺ เจโตสมถสฺส ไดแก อปั ปนาจิตตสมาธิในภายในของตน. บทวา อธิปฺาธมฺมวปิ สสฺ นาย ความวา วปิ ส สนาญาณท่ีกาํ หนดสงั ขารเปนอารมณ. ทแี่ ทวิปสสนาญาณนนั้ นับวา เปนอธิปญญา และเปน วิปสสนาในธรรมทัง้ หลายกลาวคอื ปญ จขันธ เพราะฉะนัน้ จึงเรยี กวาอธิปญ ญาธมั มวปิ ส สนา. จบอรรถกถาปฐมสมาธสิ ูตรท่ี ๒ ๓. ทุติยสมาธิสตู ร วาดว ยบุคคล ๔ จาํ พวก ท่ี ๒ [๙๓] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคล ๔ จาํ พวกน้ี ฯลฯ คอื บคุ คลบางคนในโลกนี้เปน ผไู ดความสงบใจในภายใน แตไ มไดอธปิ ญญาและธมั ม-วปิ ส สนา ฯลฯ บางคนไดทง้ั ความสงบใจในภายใน ท้งั อธิปญ ญาและธมั ม-วปิ ส สนา ในบุคคล ๔ จาํ พวกน้ัน บคุ คลใดท่ีไดความสงบใจในภายใน แตไมไ ดอธปิ ญญาและธัมมวปิ สสนา บุคคลนน้ั ควรต้งั อยูในความสงบใจในภายในแลวทําการประกอบความเพียรในอธปิ ญญาและธัมมวิปส สนาตอไป บคุ คลน้นักย็ อ มจะไดทัง้ ความสงบใจในภายใน ทงั้ อธปิ ญญาและธมั มวปิ สสนา
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 266 บคุ คลใดท่ไี ดอ ธปิ ญญาและธมั มวิปส สนา แตไมไ ดค วามสงบใจในภายใน บคุ คลนนั้ ควรตั้งอยใู นอธิปญ ญาและธัมมวปิ สสนาแลวทาํ การประกอบความเพียรในความสงบใจในภายใน ตอ ไป บคุ คลนนั้ ก็ยอมจะไดท้ังอธปิ ญ ญาและธัมมวปิ ส สนา ทง้ั ความสงบใจในภายใน บุคคลใดทไี่ มไ ดทั้งความสงบใจในภายใน ทั้งอธปิ ญ ญาและธมั ม-วิปส สนา บคุ คลนน้ั ควรกระทาํ ฉนั ทะ พยายาม อุตสาหะ พากเพยี รอยางแข็งขนั ไมทอ ถอย และทําสติสมั ปชัญญะอันยง่ิ เพ่ือใหไดก ุศลธรรมทัง้ ๒นนั้ จงได เปรยี บเหมือนคนทไี่ ฟไหมผ า ก็ดี ไหมศ รี ษะก็ดี พงึ กระทําฉนั ทะพยายาม อุตสาหะ พากเพียร ไมเ ฉื่อยเฉย และตั้งสตสิ มั ปชญั ญะอนั ยิง่เพือ่ จะดบั เสยี ซึง่ ผา หรอื ศีรษะ (ทไ่ี หมอ ยูน้ัน) ฉันใด บคุ คลน้ันกค็ วรกระทาํฉันทะ พยายาม อตุ สาหะ พากเพยี ร อยา งแขง็ ขัน ไมทอ ถอย และทาํ สติสมั ปชญั ญะอนั ยงิ่ เพ่อื ใหไดกศุ ลธรรมทั้ง ๒ นน้ั จงไดฉ ันน้นั ตอ ไป บคุ คลนัน้ ก็ยอมจะไดท ้งั ความสงบใจในภายใน ทง้ั อธิปญ ญาและธัมมวิปสสนา บุคคลใดที่ไดทง้ั ความสงบใจในภายในทง้ั อธปิ ญ ญาและธมั มวิปส สนาบคุ คลนน้ั ควรตง้ั อยูในกศุ ลธรรมทง้ั ๒ นน้ั แลวทาํ การประกอบความเพียรเพ่ือความสิ้นอาสวะยงิ่ ขึน้ ไป ภิกษุทง้ั หลาย น้แี ล บคุ คล ๔ จาํ พวก มปี รากฏอยูในโลก. จบทตุ ิยสมาธิสตู รท่ี ๓ อรรถกถาทุติยสมาธสิ ูตร พึงทราบ วินิจฉัยในทุติยสมาธสิ ตู รท่ี ๓ ดังตอไปน้ี :- บทวา โยโค กรณโี ย ความวา พงึ ทาํ ความประกอบขวนขวาย.บทวา ฉนฺโท คอื กตั ตุกมั ยตาฉันทะ ความพอใจใครจ ะทาํ . บทวา วายาโม
พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 267คือความเพียร. บทวา อุสสฺ าโห คือความเพียรย่งิ กวาวายามะนนั้ บทวาอุสฺโสฬฺหี ความวา ความเพียรมาก เสมอื นยกเกวยี นที่ติดหลม . บทวาอปฺปฏิวานี ไดแ ก ไมถ อยกลับ. จบอรรถกถาทตุ ิยสมาธิสูตรที่ ๓ ๔. ตติยสมาธิสูตร วา ดว ยบคุ คล ๔ จาํ พวก ท่ี ๓ [๙๔] ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๔ จาํ พวกน้ี ฯลฯ คอื บคุ คลบางคนในโลกนีเ้ ปน ผไู ดค วามสงบใจในภายใน แตไมไ ดอ ธปิ ญ ญาและธมั มวปิ ส สนา ฯลฯ บางคนไดทง้ั ความสงบใจในภายใน ท้งั อธิปญ ญาและธมั มวิปสสนา ในบคุ คล ๔ จาํ พวกนั้น บคุ คลใดทไี่ ดความสงบใจในภายใน แตไมไดอ ธิปญ ญาและธัมมวปิ ส สนา บคุ คลน้ันควรเขา ไปหาบคุ คลผไู ดอธิปญญาและธัมมวิปส สนาแลวไดถามวา สงั ขารท้งั หลาย จะพึงเห็นอยา งไร จะพงึกําหนดอยางไร จะพึงเห็นแจงอยา งไร บคุ คลผไู ดอธปิ ญญาและธัมม-วิปส สนา ยอมจะกลา วแกแกบ คุ คลน้นั ตามทตี่ นเหน็ ตามทต่ี นรูวา สงั ขารท้งั หลายพงึ เหน็ อยางน้ี พงึ กําหนดเอาอยา งนี้ พงึ เห็นแจง อยางนี้ ตอไปบุคคลนน้ั ก็ยอมจะไดทัง้ ความสงบใจในภายใน ทง้ั อธิปญ ญาและธมั มวิปส สนา บุคคลใดท่ไี ดอธปิ ญ ญาและธัมมวปิ ส สนา แตไมไดความสงบใจในภายใน บุคคลนน้ั ควรเขาไปหาบุคคลผไู ดความสงบใจในภายใน แลวไดถ ามวา จติ จะพึงดํารงไวอยางไร พึงนอมไปอยางไร พงึ ทําใหเปน อารมณเดยี วอยางไร
พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 268พงึ ทาํ ใหเ ปนสมาธอิ ยา งไร บคุ คลผูไ ดความสงบใจภายใน ยอมจะกลา วแกแกบ คุ คลนน้ั ตามทีค่ นเหน็ ตามที่ตนรวู า จิตพึงดํารงไวอ ยางนี้ พงึ นอมไปอยางนี้พงึ ทาํ ใหเปน อารมณเ ดียวอยา งนี้ พงึ ทาํ ใหเปน สมาธอิ ยางน้ี ตอไป บุคคลนั้นก็ยอ มจะไดทง้ั อธปิ ญญาและธัมมวิปสสนา ทงั้ ความสงบใจในภายใน บุคคลใดท่ไี มไ ดท งั้ ความสงบใจในภายใน ท้งั อธิปญ ญาและธมั ม-วปิ ส สนา บคุ คลนั้นควรเขา ไปหาบุคคลผไู ดธ รรมท้งั ๒ อยา งน้ัน แลว ไตถ ามวาจิตจะพงึ ดาํ รงไวอ ยางไร พงึ นอมไปอยางไร พึงทําใหเปนอารมณเดยี วอยา งไร พึงทาํ ใหเปน สมาธอิ ยางไร สงั ขารท้ังหลายจะพึงเห็นอยางไร พึงกําหนดเอาอยางไร พึงเห็นแจง อยา งไร บุคคลผไู ดธ รรมทง้ั ๒ อยางนน้ัยอมจะกลาวแกแ กบ ุคคลน้นั ตามทตี่ นเหน็ ตามทต่ี นรูวา จิตพึงดาํ รงไวอ ยา งนี้พึงนอ มไปอยางน้ี พงึ ทาํ ใหเ ปนอารมณเ ดียวอยางนี้ พึงทําใหเ ปนสมาธิอยา งนี้สงั ขารทั้งหลายพงึ เห็นอยางน้ี พึงกําหนดอยางน้ี พงึ เหน็ แจง อยา งนี้ ตอไปบคุ คลนั้น กย็ อ มจะไดค วามสงบใจภายในทัง้ อธปิ ญญาและธัมมวิปสสนา บุคคลใดที่ไดท้งั ความสงบใจภายใน ทง้ั อธิปญญาและธัมมวิปสสนาบุคคลนัน้ ควรต้งั อยูใ นกศุ ลธรรมทัง้ ๒ นัน้ แลว ทาํ การประกอบความเพียรเพือ่ ความสนิ้ อาสวะยิ่งขน้ึ ไป ภกิ ษุทง้ั หลาย นแ้ี ล บุคคล ๔ จําพวก มีปรากฏอยูในโลก. จบตติยสมาธสิ ูตรที่ ๔
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 269 อรรถกถาตติยสมาธิสตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในตตยิ สมาธสิ ูตรที่ ๔ ดังตอไปน้ี :- ในบทวา เอว โข อาวุโส สงขฺ ารา ทฏ พพฺ า เปนตนพึงเหน็ เนอื้ ความอยา งน้วี า ดกู อ นผมู ีอายุทัง้ หลาย ธรรมดาวา สงั ขารทัง้ หลายพึงพจิ ารณาโดยความเปนของไมเทียง พงึ กําหนดโดยความไมเ ที่ยง พงึ เห็นแจง โดยความไมเ ทีย่ ง โดยความเปนทกุ ข โดยความเปนอนัตตาก็อยา งนน้ัดังนี้. แมใ นบทวา เอว โข อาวุโส จติ ฺต สณฺ เปตพฺพ เปน ตนพงึ เหน็ เนื้อความอยางน้ีวา ดูกอนผมู อี ายทุ ัง้ หลาย จติ จะพึงดํารงอยไู ดดว ยอํานาจปฐมฌาน พึงนอมใจไปดวยอํานาจปฐมฌาน พงึ ทําอารมณใหเปน หน่ึงดวยอาํ นาจปฐมฌาน พึงใหเ ปนสมาธิดวยปฐมฌาน จติ จะพงึ ดํารงอยูไ ดด วยอาํ นาจทตุ ยิ ฌานเปนตน ก็อยา งนน้ั ดังน้.ี ในพระสูตร ๓ สตู รเหลา น้ี ตรสั สมถะและวปิ สสนาเปนโลกิยะและโลกตุ ระอยางเดยี ว. จบอรรถกถาตตยิ สมาธสิ ูตรที่ ๔ ๕. ฉวาลาตสูตร วาดว ยบุคคล ๔ จําพวก ที่ ๔ [๙๕] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย บคุ คล ๔ จาํ พวกนี้ ฯลฯ คือบุคคลไมป ฏิบัตเิ พ่อื ประโยชนตนและไมป ฏบิ ัตเิ พอื่ ประโยชนผอู ่นื พวก ๑ บุคคลปฏิบตั ิเพ่อื ประโยชนผ ูอ่นื แตไมป ฏบิ ตั ิเพือ่ ประโยชนค นพวก ๑ บคุ คลปฏบิ ัตเิ พ่ือ
พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 270ประโยชนตน แตไมปฏบิ ัติเพ่ือประโยชนผ ูอ นื่ พวก ๑ บุคคลปฏิบัติท้ังเพือ่ประโยชนต น ท้ังเพื่อประโยชนผ ูอืน่ พวก ๑ ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ดุนฟน เผาศพ ทีไ่ ฟไหมป ลาย ๒ ขาง ตรงกลางกเ็ ปอนคูถ ยอ มไมสําเรจ็ ประโยชนท จ่ี ะใชเ ปนเคร่อื งไมใ นบา นในปา ฉนั ใดเรากลา วบคุ คลผูไ มป ฏบิ ตั เิ พื่อประโยชนตน ไมป ฏิบตั เิ พื่อประโยชนผ ูอ่ืนนี้วามอี ปุ มาฉนั นั้น ในบุคคล ๒ พวก (ขา งตน) บุคคล (ที่ ๒) ผูปฏบิ ตั ิเพื่อประโยชนผูอื่น แตไ มปฏิบตั ิเพ่ือประโยชนต น ดีกวาประณีตกวา ในบคุ คล ๓ พวก (ขา งตน ) บคุ คล (ท่ี ๓) ผูป ฏิบตั ิเพ่อื ประโยชนตนแตไมป ฏิบัติเพ่อื ประโยชนผอู ื่น ดีกวาประณีตกวา ในบุคคลท้งั ๔ พวก บุคคล (ท่ี ๔) ผูป ฏิบตั ิทั้งเพ่อื ประโยชนต นทง้ั เพ่อื ประโยชนผ อู ื่น เปนผูเลิศ เปน ผูประเสริฐสุด เปนประธาน เปนผูอดุ ม เปนผสู ูงสดุ เปรียบเหมอื นนา้ํ นมโค นมสมดีกวานํ้านม เนยขน ดกี วา นมสมเนยใส ดกี วาเนยขน ยอดเนยใส (สัปปมัณฑะ) ดกี วา เนยใส ทง้ั หมดน้ันยอดเนยใส (สัปปม ณั ฑะ) นับวาเปน เลศิ ฉนั ใด ในบุคคลทง้ั ๔ จาํ พวกบคุ คลจําพวกที่ ผปู ฏิบัตทิ ัง้ เพอื่ ประโยชนตน ทง้ั เพอื่ ประโยชนผูอนื่เปนเลิศ เปน ประธาน เปน ผูอ ดุ ม เปน ผสู ูงสุด ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ภิกษทุ ้ังหลาย นี้แล บุคคล ๔ จาํ พวก มปี รากฏอยูใ นโลก. จบฉวาลาตสตู รที่ ๕
พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 271 อรรถกถาฉวาลาตสตู ร พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในฉวาลาตสูตรที่ ๕ ดังตอไปนี้ :- บทวา ฉวาลาต ไดแก ดนุ ฟนเผาศพในปาชา. บทวา มชเฺ ฌคูถคต ไดแก ตรงกลางก็เปอ นคถู . บทวา เนว คาเม กฏตฺถ ผรติความวา ไมสาํ เรจ็ ประโยชนท่จี ะใชเปน เครอ่ื งไมใ นบา น เพราะไมค วรนาํเขา ไปเพื่อประโยชนแกท พั สมั ภาระมี อกไก ไมก ลอนหลังคา เสา และบนั ไดเปน ตน ไมสําเร็จประโยชนท่ีจะใชเ ปนเครือ่ งไมใ นปา เพราะไมควรนําเขา ไปทําขาค้ํากระทอ มในนา หรอื ขาเตียง เม่อื จบั ที่ปลายทง้ั สองกย็ อมไหมมอืเมื่อจับทตี่ รงกลาง กเ็ ปอ นคูถ. บทวา ตถูปม ความวา บคุ คลนนั้ ก็เหมาะสมกนั . บทวา อภกิ ฺกนตฺ ตโร คอื ดีกวา . บทวา ปณตี ตโร คือสงู ุสดุ กวา. บทวา ควา ขรี ไดแ ก นํ้ามันแตแมโค. ในบทวา ขรี มหฺ าทธิ เปน ตน ความวา แตล ะอยา งเปน ของเลิศกวา กอ น ๆ. สว นสัปปมณั ฑะหวั เนยใสเปน ยอดเยย่ี มในนาํ้ มนั เปน ตนเหลา นัน้ แมท้ังปวง. ในบทวา อคโฺ คเปนตน พึงทราบวาเปน ผเู ลศิ ประเสรฐิ เปน ประมขุ สูงสุดและล้ําเลิศ ดวยคุณทง้ั หลาย. บคุ คลผทู ศุ ลี ตรสั เปรียบดว ยดุนฟนเผาศพ แตพึงทราบวาตรัสบุคคลผูมีสตุ ะนอ ย ผูละเลยการงานเปรียบดว ยโคดงั น.้ี จบอรรถกถาฉวาลาตสูตรท่ี ๕
พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 272 ๖. ราคสตู ร วา ดวยบุคคล ๔ จาํ พวกที่ ๕ [๙๖] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย บุคคล ๔ จําพวกน้ี ฯลฯ คือบุคคลปฏบิ ัตเิ พื่อประโยชนตน ไมปฏิบตั ิเพอื่ ประโยชนผ อู ่นื พวก ๑ บุคคลปฏิบตั ิเพอื่ ประโยชนผูอ่นื ไมปฏิบัติเพ่ือประโยชนต นพวก ๑ บคุ คลไมปฏิบตั ทิ ั้งเพ่อืประโยชนต นทงั้ เพือ่ ประโยชนผ อู นื่ พวก ๑ บุคคลปฏิบตั ทิ ั้งเพือ่ ประโยชนค นทง้ั เพ่ือประโยชนผูอ่นื พวก ๑ กบ็ คุ คลปฏิบัติเพ่ือประโยชนตน ไมปฏบิ ัตเิ พ่ือประโยชนผอู น่ื เปนอยางไร ? บุคคลบางคนในโลกน้ีเปนผูป ฏบิ ตั เิ พอื่ กําจดั ราคะ โทสะ โมหะดวยตนเอง แตไมชักชวนผูอ่นื เพ่อื กําจดั ราคะ โทสะ โมหะ อยางนแี้ ลบคุ คลปฏิบตั เิ พือ่ ประโยชนต น ไมปฏบิ ตั เิ พ่ือประโยชนผอู น่ื บุคคลปฏิบัตเิ พ่ือประโยชนผ ูอ นื่ ไมป ฏบิ ัตเิ พือ่ ประโยชนตน เปนอยา งไร บคุ คลบางคนในโลกน้เี ปน ผไู มป ฏบิ ัติเพอ่ื กาํ จัดราคะ โทสะ โมหะดว ยตนเอง แตชักชวนผอู นื่ กาํ จัดราคะ โทสะ โมหะ อยางนี้แล บคุ คลปฏบิ ัติเพ่ือประโยชนผ ูอ ่นื ไมป ฏิบตั เิ พ่อื ประโยชนต น บุคคลไมป ฏบิ ตั ทิ ้งั เพอื่ ประโยชนต น ทั้งเพอ่ื ประโยชนผูอื่น เปนอยางไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้เปนผไู มป ฏิบัตเิ พ่อื กาํ จัดราคะ โทสะ โมหะดว ยตนเอง ท้งั ไมช กั ชวนผูอ ่นื เพือ่ กําจัดราคะ โทสะ โมหะ อยา งน้แี ลบคุ คลไมป ฏิบตั ทิ ั้งเพื่อประโยชนต น ทั้งเพอ่ื ประโยชนผูอนื่ บคุ คลปฏบิ ตั ทิ ้ังเพอ่ื ประโยชนตน ทง้ั เพือ่ ประโยชนผ ูอื่น เปนอยา งไร ? บุคคลบางคนในโลกนปี้ ฏบิ ัติเพื่อกําจดั ราคะ โทสะ โมหะดว ยตนเองดว ย ชักชวนผูอ่นื เพื่อกาํ จดั ราคะ โทสะ โมหะดว ย อยางน้ีแล บคุ คลปฏิบตั ทิ ง้ั เพ่ือประโยชนต น ทงั้ เพือ่ ประโยชนผ ูอนื่ ภกิ ษุทั้งหลาย นี้แล บคุ คล ๔ จาํ พวก มปี รากฏอยใู นโลก. จบราคสูตรท่ี ๖
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 273 บททั้งปวงในราคสูตรท่ี ๖ มีเนื้อความงายทง้ั นน้ั . ๗. นสิ นั ติสตู ร วาดวยบคุ คล ๔ จําพวก ท่ี ๖ [๙๗] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคล ๔ จําพวกนี้ ฯลฯ คอื บุคคลปฏิบตั ิเพอ่ื ประโยชนต น ไมป ฏบิ ตั เิ พ่ือประโยชนผอู ื่นจําพวก ๑ บคุ คลปฏิบตั ิเพอ่ื ประโยชนผูอ่ืน ไมปฏิบัตเิ พอื่ ประโยชนต นจําพวก ๑ บคุ คลไมปฏบิ ตั ิท้ังเพอ่ื ประโยชนตน ทัง้ เพื่อประโยชนผอู ่ืนจาํ พวก ๑ บุคคลปฏิบัตทิ ้งั เพอ่ืประโยชนต นท้งั เพื่อประโยชนผ ูอ่นื จาํ พวก ๑ ก็แลบคุ คลปฏิบัตเิ พ่ือประโยชนตน ไมป ฏิบตั ิเพอ่ื ประโยชนผ ูอ่นืเปนอยา งไร ? บคุ คลบางคนในโลกนเ้ี ปน ผูรูไดเรว็ ในกศุ ลธรรมท้ังหลายทัง้ เปน ผูม อี ุปนิสัย ทรงจาํ ธรรมที่ฟง แลว ไวไ ด เปน ผูไ ตรตรองเนอ้ื ความแหง ธรรมที่ทรงจาํ ไว เปน ผูร อู รรถท่ัวถงึ แลว รูธ รรมทัว่ ถึงแลวปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ รรม แตไ มเ ปน ผมู ีวาจาไพเราะ ไมเปน ผูมีถอยคาํ ออนหวานไมประกอบดวยถอยคาํ ของชาวเมือง ถอยคาํ ทีส่ ละสลวย ไมมีโทษ ทําใหร ูเน้ือความงาย และไมแสดง (ธรรม) ใหเ พอ่ื นพรหมจารีเหน็ ชัด ใหสมาทานใหอาจหาญราเริง อยา งนี้แล บุคคลเปน ผปู ฏิบตั เิ พื่อประโยชนต น ไมปฏบิ ัติเพื่อประโยชนผอู นื่ บุคคลปฏบิ ตั ิเพอ่ื ประโยชนผูอื่น ไมปฏิบัตเิ พอ่ื ประโยชนตน เปนอยา งไร ? บคุ คลบางคนในโลกนีไ้ มเปน ผรู ไู ดเร็วในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย ทัง้ไมเปนผูมอี ุปนิสยั ทรงจาํ ธรรมทไ่ี ดฟ งแลว ไมเ ปนผูไตรต รองเน้อื ความแหงธรรมทท่ี รงจาํ ไวไ ด และหารอู รรถรธู รรมท่วั ถงึ แลวปฏบิ ัติธรรมสมควรแก
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 274ธรรมไม แตเ ปนผมู วี าจาไพเราะ มีถอ ยคําออ นหวาน ประกอบดวยถอยคาํของชาวเมือง ถอยคําท่สี ละสลวย ไมมโี ทษ ทําใหรเู นอื้ ความงายและแสดง(ธรรม) ใหเ พื่อนพรหมจารเี ห็นชัด ใหส มาทาน ใหอ าจหาญราเริง อยา งนแ้ี ลบคุ คลปฏบิ ตั ิเพอื่ ประโยชนผ ูอนื่ ไมป ฏิบัติเพ่ือประโยชนต น บุคคลไมป ฏบิ ัตทิ ้งั เพื่อประโยชนต น ทั้งเพ่ือประโยชนผ ูอน่ื เปนอยา งไร ? บุคคลบางคนในโลกน้ีไมเ ปนผรู ไู ดเรว็ ในกุศลธรรมทง้ั หลาย ท้งัไมเปน ผูมีอุปนิสัยทรงจาํ ธรรมท่ฟี ง แลว ไมเปนผไู ตรต รองเนอ้ื ความแหงธรรมทที่ รงจาํ ไวได และหารอู รรถรูธรรมทว่ั ถึงแลวปฏบิ ัติธรรมสมควรแกธ รรมไมซา้ํ ไมเปนผมู วี าจาไพเราะ ไมเ ปน ผมู ถี อ ยคําออ นหวานไมป ระกอบดวยถอยคําของชาวเมือง ถอ ยคาํ ท่ีสละสลวย หาโทษมิได ทาํ ใหร เู นอ้ื ความงายและไมแ สดง (ธรรม) ใหเพ่ือนพรหมจารเี ห็นชดั ใหส มาทาน ใหอ าจหาญราเรงิ อยางนแี้ ล บุคคลไมป ฏิบตั ิท้ังเพื่อประโยชนต น ทง้ั เพอ่ืประโยชนผอู ื่น บุคคลปฏิบัตทิ ง้ั เพือ่ ประโยชนต น ทง้ั เพอื่ ประโยชนผ อู น่ื เปน อยางไร?บุคคลบางคนในโลกนี้เปน ผูรไู ดเ รว็ ในกุศลธรรมทง้ั หลาย ทัง้ เปน ผูมีอปุ นิสยัทรงจําธรรมทีฟ่ งแลว ไวได เปนผไู ตรต รองเนอื้ ความแหง ธรรมทที่ รงจําไวแลว เปน ผูร อู รรถทว่ั ถึงแลว รธู รรมท่ัวถึงแลว ปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแกธ รรมเปนผูมวี าจาไพเราะ มีถอ ยคาํ ออ นหวาน ประกอบดว ยถอยคําของชาวเมืองถอ ยคาํ สละสลวย ปราศจากโทษ ทาํ ใหรูเน้อื ความงาย และเปน ผแู สดง(ธรรม) ใหเพอื่ นพรหมจารเี หน็ ชัด ใหสมาทาน ใหอาจหาญราเริงดว ยอยางน้ีแล บคุ คลปฏบิ ัติทัง้ เพ่อื ประโยชนต น ทงั้ เพ่อื ประโยชนผอู ื่น ภกิ ษุทั้งหลาย นแ้ี ล บคุ คล ๔ จําพวก มีปรากฏอยูใ นโลก. จบนสิ นั ตสิ ตู รที่ ๗
พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 275 อรรถกถานสิ ันติสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในนิสนั ติสตู รท่ี ๗ ดังตอ ไปนี้ :- บทวา ขิปฺปนสิ นฺติ ความวา บคุ คลต้ังใจฟง สามารถรูไดเรว็ .บทวา ธตานฺจ ธมฺมาน ความวา ธรรมทเี่ ปน บาลีแบบอยา ง ทรงจาํไดค ลองแคลว. บทวา อตฺถุปปริกขฺ ิ ความวา เปนผไู ตรตรองเน้ือความบทวา อตถฺ มฺ าย ธมมฺ มฺ าย ความวา รถู งึ อรรถกถาและบาล.ีบทวา ธมฺมานธุ มมฺ ปฏปิ นโฺ น โหติ ความวา เปน ผปู ฏิบตั ปิ ฏปิ ทาอันเปนสวนเบ้ืองตน พรอ มทั้งศีล. เปนธรรมอนั สมควรแกโลกตุ รธรรม ๙.บทวา โน จ กลยฺ าณวาโจ โหติ ความวา แตเ ปนคนพูดไมด ี. บทวาน กลฺยาณวากกฺ รโณ ความวา เปนคนมีเสยี งไมไ พเราะ. โน อกั ษรควรประกอบกบั บทวา โปรยิ า เปนตน . ความวา ไมเปนผปู ระกอบดว ยวาจาซึ่งสามารถชีแ้ จงใหเขาเขาใจเนอ้ื ความดวยบทและพยัญชนะอนั มิไดอยใู นคอเตม็ ดว ยคุณ ไมต ะกุกตะกัก ไมม ีโทษ. ในบทท้ังปวง ก็พงึ ทราบเน้อื ความโดยอบุ ายนี.้ จบอรรถกถานสิ นั ติสตู รที่ ๗ ๘. อัตตหติ สูตร วา ดวยบคุ คล ๔ จาํ พวก ท่ี ๗ [๙๘] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย บคุ คล จาํ พวกน้ี ฯลฯ คือ บคุ คลปฏบิ ตั เิ พอ่ื ประโยชนตน ไมปฏบิ ัตเิ พอ่ื ประโยชนผอู ืน่ จาํ พวก ๑ บคุ คลปฏิบัติ
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 276เพ่อื ประโยชนผ อู ่นื ไมปฏบิ ัตเิ พ่อื ประโยชนต นจําพวก ๑ บุคคลไมปฏิบตั ิทง้ั เพื่อประโยชนต น ทงั้ เพ่อื ประโยชนผูอน่ื จาํ พวก ๑ บุคคลปฏิบตั ทิ ั้งเพอ่ืประโยชนตน ท้ังเพอื่ ประโยชนผูอ ื่นจําพวก ๑ ภิกษทุ ้งั หลาย น้แี ล บคุ คล ๔ จําพวก มีปรากฏอยใู นโลก. จบอตั ตหติ สตู รท่ี ๘ อัตตหิตสตู รที่ ๘ ตรสั ดว ยอาํ นาจอธั ยาศยั แหงบคุ คลบา ง ดว ยความงามแหง เทศนาญาณของพระทศพลบาง. ๙. สิกขาสูตร วา ดว ยบคุ คล ๔ จาํ พวกที่ ๘ [๙๙] ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย บคุ คล ๔ จาํ พวกน้ี ฯลฯ คือ บคุ คลปฏบิ ตั เิ พอื่ ประโยชนต น ไมป ฏิบัติเพ่ือประโยชนผูอ นื่ จําพวก ๑ บุคคลปฏิบัติเพื่อประโยชนผ อู ่นื ไมปฏบิ ตั เิ พื่อประโยชนต นจําพวก ๑ บคุ คลไมปฏบิ ัติทง้ั เพื่อประโยชนต น ทง้ั เพื่อประโยชนผ อู ่ืนจําพวก ๑ บคุ คลปฏบิ ัตทิ ั้งเพ่อืประโยชนตน ท้ังเพื่อประโยชนผูอ ่ืนจาํ พวก ๑ กบ็ คุ คลปฏิบัตเิ พื่อประโยชนตน ไมปฏิบตั เิ พ่ือประโยชนผ อู ื่น เปนอยางไร ? บคุ คลบางคนในโลกนเ้ี ปน ผูละเวนจากปาณาติบาตดวยตนเอง แตไมชกั ชวนผูอน่ื เพื่อละเวนจากปาณาติบาต เปนผูละเวน จากอทนิ นาทานกาเมสมุ จิ ฉาจาร มสุ าวาท สุราเมรยมัชชปมาทฏั ฐานดว ยตนเอง แตไมช ักชวนผูอนื่ เพ่อื ละเวนจากอทนิ นาทาน กาเมสมุ ิจฉาจาร มสุ าวาท สรุ าเมรยมัชช-ปมาทัฏฐาน อยา งนแ้ี ล บุคคลปฏบิ ตั เิ พ่ือประโยชนต น แตไมป ฏิบตั ิเพื่อประโยชนผอู ่ืน
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 277 บุคคลปฏบิ ตั ิเพอื่ ประโยชนผอู ืน่ แตไมป ฏิบัตเิ พ่อื ประโยชนตน เปนอยางไร ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี ตนเองไมละเวนจากปาณาติบาต ฯลฯสรุ าเมรยมัชชปมาทัฏฐาน แตช ักชวนผอู ื่นเพือ่ ละเวน จากปาณาติบาต ฯลฯ สุราเมรยมัชชปมาทฏั ฐาน อยา งนีแ้ ล บุคคลปฏิบตั เิ พราะโยชนผอู ่ืน แตไมปฏบิ ตั ิเพ่อื ประโยชนตน บคุ คลไมปฏบิ ัติท้งั เพ่อื ประโยชนต น ทั้งเพอื่ ประโยชนผูอ ่นื เปนอยา งไร ? บคุ คลบางคนในโลกน้ี ตนเองก็ไมล ะเวนจากปาณาตบิ าติ ฯลฯสุราเมรยมชั ชปมาทฏั ฐาน ทั้งไมชกั ชวนผอู ืน่ เพอื่ ละเวน จากปาณาติบาต ฯลฯสรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐาน อยา งนี้แล บคุ คลไมป ฏบิ ตั ทิ ั้งเพอื่ ประโยชนตน ทั้งเพอ่ื ประโยชนผ อู น่ื บุคคลปฏิบัตทิ ั้งเพอื่ ประโยชนต นทงั้ เพ่ือประโยชนผอู ื่น เปน อยา งไร ?บุคคลบางคนในโลกนท้ี ้ังเวน จากปาณาติบาต ฯลฯ สรุ าเมรยมัชชปมาทัฏฐานดวยตนเอง ทง้ั ชักชวนผอู น่ื เพ่อื ละเวน จากปาณาตบิ าต ฯลฯ สรุ าเมรยมชั ช-ปมาทัฏฐาน อยางน้แี ล บคุ คลปฏิบตั ทิ ้งั เพ่ือประโยชนต น ท้ังเพ่อืประโยชนผ ูอืน่ ภิกษุทัง้ หลาย นีแ้ ล บคุ คล ๔ จําพวก มีปรากฏอยู ในโลก. จบสกิ ขาสูตรที่ ๙ สกิ ขาสูตรที่ ๙ ตรสั ดวยอาํ นาจแหง เวร ๕ ๑๐. โปตลยิ สตู ร วาดวยโปตลิยปริพาชก [๑๐๐] ครงั้ น้นั ปริพาชกชื่อโปตลยิ ะเขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจาฯลฯ พระผูม พี ระภาคเจาไดต รัสวา โปตลยิ ะ บุคคล จําพวกน้ี ฯลฯ
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 278คอื บคุ คลจําพวกหนง่ึ กลาวตคิ นท่ีควรติ ตามเร่อื งที่จริงท่ีแทต ามกาลอันควรแตไมก ลาวชมคนที่ควรชม ตามเรอื่ งท่จี ริงท่ีแทต ามกาลอนั ควรจาํ พวก ๑บุคคลจําพวกหนึ่งกลา วชมคนทคี่ วรชม ตามเรือ่ งที่จรงิ ทแ่ี ทต ามกาลอนั ควรแตไมก ลา วที่คนท่คี วรติ ตามเร่ืองทจี่ ริงท่ีแทต ามกาลอนั ควรจาํ พวก ๑ บคุ คลจําพวกหน่ึง ทง้ั ไมกลา วติคนทคี่ วรติ ทั้งไมกลาวชมคนทค่ี วรชม ตามเรื่องท่ีจรงิ ท่ีแทตามกาลอันควรจําพวก ๑ บคุ คลจําพวกหนงึ่ กลา วตคิ นท่ีควรติบางกลา วชมคนที่ควรชมบาง ตามเรอ่ื งที่จริงท่แี ทต ามกาลอนั ควรจําพวก ๑ นี้แลบคุ คล จาํ พวก มีปรากฏอยู ในโลก โปตลยิ ะ บรรดาบุคคล ๔ จาํ พวกนี้บุคคลจําพวกไหนชอบใจทา นวา ดกี วาประณตี กวา โปตลิยปริพาชกกราบทลู วา ขา แตพระโคดมผเู จรญิ บคุ คล ๔ จําพวกนี้ฯลฯ บรรดาบุคคล ๔ จาํ พวกนี้ บคุ คลจําพวกท่ที ้งั ไมก ลาวติคนท่คี วรติทั้งไมก ลาวชมคนทีค่ วรชม นช้ี อบใจขา พระพทุ ธเจา วาดีกวา สูงกวาเพราะเหตุไร เพราะเหตวุ าอุเบกขา (ความวางเฉย) นั่นเปนการดี พ. ตรัสคานวา โปตลยิ ะ บุคคล ๔ จาํ พวกนี้ ฯลฯ บรรดาบคุ คล๔ จาํ พวกน้ี บคุ คลจาํ พวกที่กลาวตคิ นทคี่ วรติบา ง กลาวชมคนทค่ี วรชมบาง ตามเรอื่ งทจ่ี รงิ ท่ีแทต ามกาลอนั ควร น้ีชอบใจเราวา ดีกวาประณีตกวา เพราะเหตอุ ะไร เพราะความเปนผูรูจ ักกาลในสถานนัน้ ๆ นัน่เปนการดี โปตลิยปริพาชกกราบทูลเห็นดวยตามพระพทุ ธดาํ รัส และประกาศคนเปน อุบาสกวา ขาแตพ ระโคคมผเู จรญิ บคุ คล ๔ จําพวกนี้ ฯลฯ บรรดาบคุ คล ๔ จาํ พวกนี้ บคุ คลจําพวกที่กลาวติคนที่ควรตบิ า ง กลา วชมคนท่ีควรชมบาง ตามเรือ่ งท่ีจริงท่ีแทตามกาลอันควร นช้ี อบใจขา พระพทุ ธเจา วาดีกวาประณีตกวา นน่ั เพราะเหตุอะไร เพราะเหตวุ า ความเปน ผูร จู กั กาลในสถานนนั้ ๆ น่ันเปนการดี ดีจรงิ ๆ พระโคดมผเู จรญิ พระโคดมผูเ จริญ
พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 279ประกาศธรรมหลายปรยิ าย เหมือนหงายของท่ีควํ่า เปด เผยของท่ปี ด บอกทางแกคนหลงทางหรือสอ งตะเกียงในเวลามืดใหค นมตี าดีไดเ ห็นรูปตาง ๆ ฉะนน้ัขาพระพุทธเจาขอถงึ พระโคดมผเู จรญิ กับพระธรรมและพระภิกษสุ งฆเ ปนสรณะขอพะระโคดมผูเจรญิ ทรงจาํ ขาพระพุทธเจาไววา เปน อุบาสกถงึ สรณะตลอดชีวิตตั้งแตวนั น้ไี ป. จบโปตลิยสตู รที่ ๑๐ จบอสรุ วรรคท่ี ๕ จบทตุ ิยปณ ณาสก อรรถกถาโปตลยิ สตู ร พึงทราบวินิจฉยั ในโปตลยิ สูตรท่ี ๑๐ ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา กาเลน ความวา ตามกาลอนั ควรอันเหมาะ. บทวา ขมติคือชอบใจ บทวา ยททิ ตตฺร ตตฺร กาลฺ ตุ า ความวา การรจู ักกาลในสถานท่ีนัน้ ๆ ทานแสดงวา การรกู าลนั้น ๆ แลว กลาวตคิ นทคี่ วรติและกลาวชมคนที่ควรชม เปนปกติของบัณฑติ ท้งั หลาย. จบอรรถกถาโปตลยิ สูตรท่ี ๑๐ จบอสวุ รรควรรณนาที่ ๕ จบทุตยิ ปณณาสก รวมพระสูตรที่มใี นวรรคนี้ คือ ๑. อสรุ สูตร ๒. ปฐมสมาธิสตู ร ๓. ทตุ ยิ สมาธสิ ูตร ๔. ตติย-สมาธิสูตร ๕. ฉวาลาตสูตร ๖. ราคสตู ร ๗. นสิ นั ติสตู ร ๘. อตั ตหติ -สูตร ๙. สกิ ขาสูตร ๑๐. โปตลิยสูตร และอรรถกถา.
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 280ตตยิ ปณณาสกวลาหกวรรคที่ ๑๑๐. ปฐมวลาหกสตู รวา ดว ยบุคคลเปรียบดวยวลาหก ๔[๑๐๑] สมัยหนง่ึ พระผูมพี ระภาคเจา ประทับอยู ณ พระวิหารเชตวนัอารามของทานอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี ใกลพระนครสาวตั ถี ณ ท่นี นั้ แล พระ-ผูมีพระภาคเจา ตรัสเรยี กภกิ ษทุ งั้ หลายวา ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ภกิ ษเุ หลา นน้ัทลู รบั ดาํ รสั พระผมู ีพระภาคเจา แลว พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรัสพระพทุ ธพจนน้ีวา ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย วลาหก (คือเมฆฝน) ๔ ประเภทนี้ วลาหก ๔ประเภทคอื อะไร คอืคชชฺ ติ า โน วสฺสิตา วลาหกคําราม แตไ มตกวสฺสิตา โน คชชฺ ติ า วลาหกตก แตไมค าํ รามเนว คชฺชติ า โน วสสฺ ิตา วลาหกไมค าํ ราม ไมต กคชฺชิตา จ วสสฺ ติ า จ วลาหกทั้งคาํ ราม ทง้ั ตกน้แี ล วลาหก ๔ ประเภทฉันเดยี วกนั นน่ั แล ภิกษทุ ้งั หลาย บคุ คลเปรียบดวยวลาหก ๔ จําพวกนี้มีปรากฏอยูใ นโลก บุคคลเปรียบดว ยวลาหก ๔ จาํ พวก คอื อะไร คอืบุคคลดจุ วลาหกคาํ ราม แตไมตก ๑ บุคคลดจุ วลาหกตก แตไมค ําราม ๑บุคคลดจุ วลาหกไมค ําราม ไมต ก ๑ บคุ คลดจุ วลาหกท้ังคํารามท้ังตก ๑
พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 281 กบ็ ุคคลดุจวลาหกคาํ ราม แตไมตกเปน อยางไร ? บคุ คลบางคนในโลกน้ีเปนคนชอบพูด แตไมทาํ อยา งน้แี ล บคุ คลดจุ วลาหกคําราม แตไ มต กดกู อ นภิกษุทั้งหลาย วลาหกคาํ ราม แตไมต กนน้ั ฉันใด เรากลา วบคุ คลนวี้ ามีอุปมาฉนั นัน้ บุคคลดจุ วลาหกตก แตไ มค ําราม เปน อยางไร ? บคุ คลบางคนในโลกนเ้ี ปน คนชอบทาํ ไมชอบพดู อยางนี้แล บุคคลดจุ วลาหก แตไมค าํ รามดูกอ นภิกษุทั้งหลาย วลาหกตก แตไ มคําราม นน้ั ฉนั ใด เรากลาวบคุ คลน้ีวามีอุปนาฉันนั้น บุคคลดจุ วลาหกไมค าํ ราม ไมต ก เปน อยา งไร ? บคุ คลบางตนในโลกนีเ้ ปน คนไมพดู ไมท ําเสยี เลย อยางน้แี ล บคุ คลดจุ วลาหกไมคาํ รามไมตก ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย วลาหกไมค าํ ราม ไมตก น้นั ฉันใด เรากลา วบคุ คลน้วี า มีอปุ มาฉนั นั้น บคุ คลดจุ วลาหกทัง้ คํารามท้งั ตก เปน อยางไร ? บคุ คลบางคนในโลกน้ีเปนคนชอบพดู ดว ยชอบทาํ ดว ย อยางน้ีแล บคุ คลดจุ วลาหกท้ังคาํ รามทงั้ ตก ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย วลาหกคาํ รามดวย ตกดวยน้นั ฉันใด เรากลาวบุคคลน้ีวามีอุปมาฉนั นนั้ ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย นแ้ี ล บคุ คลเปรียบดว ยวลาหก ๔ จาํ พวก มีปรากฏอยใู นโลก. จบปฐมวลาหกสูตรท่ี ๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 634
Pages: