Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_35

tripitaka_35

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:34

Description: tripitaka_35

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 561กาเมสุมจิ ฉาจาร พดู เท็จ พดู สอเสียด พดู คําหยาบ พูดเพอเจอ มีอภชิ ฌามีจติ พยาบาท มคี วามเหน็ ผดิ นเ้ี รียกวา คนมธี รรมชั่ว. คนมธี รรมชัว่ ยิง่ กวาคนมธี รรมชั่วเปนไฉน ? บุคคลบางคนตนเองเปนผูทําปาณาตบิ าต ฯลฯ มีความเหน็ ผิด ยังชกั ชวนผูอื่นใหท ําอยา งนนั้ ดวยนี้เรียกวา คนมีธรรมชว่ั ยงิ่ กวาคนมีธรรมชั่ว. คนมธี รรมดเี ปน ไฉน บคุ คลบางคนเปนผูเวน จากปาณาตบิ าต ฯลฯมคี วามเหน็ ชอบ นีเ้ รยี กวา คนมธี รรมดี. คนมีธรรมดยี ิง่ กวา คนมีธรรมดี เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนตนเองเปน ผูเวน จากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเห็นชอบ ยังชกั ชวนผูอ่ืนใหเ ปน อยางนั้นดวย นี้เรยี กวา คนมธี รรมดยี ิ่งกวาคนมีธรรมดี. จบตตยิ ปาปธัมมสูตรที่ ๙ อรรถกถาตตยิ ปาปธัมมสูตร พึงทรามวนิ จิ ฉัยในตตยิ ปาปธมั มสตู รท่ี ๙ ดงั ตอไปนี้ :- บทวา ปาปธมมฺ  ไดแ ก ธรรมลามก. บทวา กลยฺ าณธมมฺ  ไดแกธรรมอัน ไมม ีโทษ. คําท่เี หลอื ในสูตรนงี้ ายทงั้ น้นั . จบอรรถกถาตติยปาปธัมมสตู รท่ี ๙

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 562 ๑๐. จตตุ ถปาปธัมมสูตร วาดวยบคุ คลผูมธี รรมลามก [๒๑๐] ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เราจกั แสดงคนมธี รรมชวั่ และคนมีธรรมช่ัวย่ิงกวา คนมีธรรมชั่ว กบั คนมธี รรมดี และคนมธี รรมดียงิ่ กวาคนมีธรรมดี ทา นทัง้ หลายจงพึง ทําในใจใหด ี เราจกั กลา ว ภิกษทุ ั้งหลายรบั พระพุทธพจนแลว พระผูม ีพระภาคเจาตรัสวา คนมีธรรมช่วั เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ีเปนผูมคี วามเหน็ ผิด ดาํ ริผิดเจรจาผดิ ทาํ การงานผิด เลย้ี งชีวติ ผิด เพียรผดิ ต้งั สตผิ ดิ ทาํ สมาธิผิดมญี าณผดิ มวี มิ ุตติผิด นี้เรยี กวา คนมธี รรมชว่ั . คนมธี รรมชว่ั ยง่ิ กวา คนมธี รรมชวั่ เปนไฉน ? บคุ คลบางคนตนเองเปน ผมู คี วามเหน็ ผดิ ฯลฯ มวี ิมตุ ตผิ ดิ ยังชกั ชวนผอู น่ื ใหเ ปนอยางนัน้ ดวยนเ้ี รยี กวา คนมธี รรมชั่วยิง่ กวาคนมธี รรมช่ัว. คนมธี รรมดี เปน ไฉน ? บุคคลบางคนเปนผูม คี วามเห็นชอบ ฯลฯมวี ิมตุ ตชิ อบ น้เี รียกวา คนมธี รรมด.ี คนมีธรรมดียิง่ กวาคนมีธรรมดี เปน ไฉน ? บุคคลบางคนตนเองเปนผูมีความเห็นชอบ ฯลฯ มวี มิ ุตติชอบ ยังชักชวนผอู น่ื ใหเปนอยางนน้ั ดวยนี้เรยี กวา คนมธี รรมดยี ง่ิ กวาคนมีธรรมดี. จบจตตุ ถปาปธัมมสูตรที่ ๑๐ จบสปั ปุริสวรรคท่ี ๑ แมในอรรกถาจตุตถปาปธัมมสตู รที่ ๑๐ ก็มีนัยนี้เหมอื นกนั . ในวรรคน้ี ทา นกลาวถงึ ปฏปิ ทาของผคู รองเรอื นในสูตรแมท ้งั ๑๐. หากคฤหสั ถเปน พระโสดาบนั พระสกทาคามี ยอมควรเหมือนกัน. จบสปั ปุริสวรรควรรณนาที่ ๑

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 563 รวมพระสตู รทีม่ ีในวรรคน้ี คือ ๑. สิกขาปทสูตร ๒. อสั สทั ธสูตร ๓. สัตตกมั มสตู ร ๕. ทส-กมั มสูตร ๕. อัฏฐงั คิกสูตร ๖. ทสมัคคสูตร ๗. ปฐมปาปธมั มสตู ร๘. ทุติยปาปธมั มสูตร ๙. ตตยิ ปาปธมั มสตู ร ๑๐. จตุตถปาปธมั มสตู รและอรรถกถา.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 564 โสภนวรรคท่ี ๒ ๑. ปริสาสตู ร วาดว ยบคุ คลผปู ระทุษรา ยบรษิ ทั ๔ จาํ พวก [๒๑๑] ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย บคุ คลผปู ระทษุ รายบรษิ ทั ๔ จาํ พวกน้ี๔ จําพวกเปน ไฉน คือ ภกิ ษุผูท ุศลี มธี รรมอนั ลามก ชื่อวา ประทุษรายบรษิ ัท ๑ ภิกษณุ ีผทู ุศีล มีธรรมอันลามก ชื่อวา ประทษุ รา ยบรษิ ัท ๑อุบาสกผทู ุศีล มีธรรมอนั ลามก ช่ือวา ประทุษรา ยบริษัท ๑ อุบาสิกาผทู ศุ ลีมีธรรมอันลามก ช่ือวา ประทษุ รา ยบริษัท ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย บุคคล๔ จาํ พวกนี้แล เปนผูป ระทษุ รา ยบรษิ ัท. บุคคลผูทําบริษทั ใหง าม ๔ จําพวก ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคลผทู ําบรษิ ัทใหง าม ๔ จาํ พวกนี้ ๔ จําพวกเปนไฉน คอื ภิกษุผมู ีศลี มธี รรมอนั งาม ช่ือวา ผทู าํ บริษทั ใหง าม ๑ภกิ ษุณผี มู ศี ีล มีธรรมอันงาม ชอ่ื วา ผูทําบริษทั ใหงาม ๑ อุบาสกผูมีศีลมธี รรมอนั งาม ชอื่ วา ผูทําบริษทั ใหง าม ๑ อบุ าสกิ าผมู ศี ีล มธี รรมอนั งามชื่อวา ผทู าํ บรษิ ทั ใหงาม ๑ ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย บุคคลผูทําบรษิ ทั ใหงาม ๔จําพวกนแี้ ล. จบปรสิ าสูตรท่ี ๑

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 565 โสภนวรรควรรณนาที่ ๒ อรรถกถาปรสิ าสูตร พึงทราบวนิ ิจฉยั ในปริสาสูตรที่ ๑ แหง วรรคท่ี ๒ ดังตอ ไปน้ี :- ชอื่ วา ปรสิ ทสู นะ เพราะประทุษรา ยบรษิ ัท. ช่ือวา ปรสิ โสภนะเพราะยังบรษิ ัทใหง าม. จบอรรถกถาปริสาสตู รท่ี ๑ ๒. ทฏิ ฐิสูตร วาดวยบุคคลผูประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ [๒๐๒] ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการเหมือนถูกนํามาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื กายทจุ ริต ๑วจที ุจริต ๑ มโนทจุ รติ ๑ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ๑ ดกู อนภิกษุท้ังหลาย บุคคลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการนีแ้ ล เหมอื นถูกนาํ มาโยนลงในนรก. ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย บคุ คลผูป ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เหมอื นถกู เชิญมาประดิษฐานไวใ นสวรรค ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คอื กายสุจริต ๑วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑ สมั มาทิฏฐิ ๑ ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย บคุ คลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการนแี้ ล เหมือนถูกเชิญมาประดษิ ฐานไวในสวรรค. จบทิฏฐิสูตรที่ ๒

พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 566 อรรถกถาทิฏฐิสตู ร พึงทราบวนิ ิจฉัยในทิฏฐิสตู รท่ี ๒ ดังตอไปน้ี :- มจิ ฉาทิฏฐิ แมน ับเนือ่ งอยใู นมโนทจุ ริต ทา นกลา วไวต า งหากก็เพราะมีโทษมาก สวนสัมมาทิฏฐทิ านกลาวดว ยเปน ปฏปิ ก ษตอ มิจฉาทิฏฐิน้นั . จบอรรถกถาทฏิ ฐสิ ตู รท่ี ๒ ๓. อกตัญญตาสูตร วา ดว ยบุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ [๒๑๓] ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผูป ระกอบดวยธรรม ๔ ประการเหมอื นถกู นาํ มาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คือ กายทจุ รติ ๑วจที จุ ริต ๑ มโนทจุ รติ ๑ ความเปน คนอกตญั ูอกตเวที ๑ ดกู อนภิกษุทัง้ หลายบุคคลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล เหมอื นถกู นาํ มาโยนลงในนรก. ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย บุคคลผปู ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เหมอื นถูกเชญิ มาประดิษฐานไวใ นสวรรค ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คอื กายสจุ รติ ๑วจสี จุ ริต ๑ มโนสุจริต ๑ ความเปนคนกตัญูกตเวที ๑ ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลายบคุ คลผปู ระกอบดวยธรรม ๔ ประการน้แี ล เหมือนถกู เชิญมาประดษิ ฐานไวใ นสวรรค. จบอกตัญุตาสตู รที่ ๓

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 567 อรรถกถาอกตญั ูตาสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในอกตญั ตุ าสูตรท่ี ๓ ดังตอไปนี้ :- บทวา อกตฺตุ า อกตเวทิตา ไดแ ก ดว ยความไมรูคณุ ทา นดวยความไมตอบแทนคุณทา น. แมท ้งั สองบทน้นั โดยเน้อื ความก็อยางเดยี วกนันั้นเอง. แมใ นสุกปกษ (ธรรมฝา ยด)ี กน็ ยั นี้เหมอื นกนั . จบอรรถกถาอกตญั ตุ าที่ ๓ ๔. ปาณาตปิ าตสตู ร วา ดวยบคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ [๒๑๔] ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการเหมือนถกู นํามาโยนลงในนรก ฯลฯ คอื บุคคลเปน ผทู าํ ปาณาตบิ าต อทิน-นาทาน กาเมสุมจิ ฉาจาร มสุ าวาท บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนแี้ ล เหมือนถูกนํามาโยนลงในนรก. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เหมอื นถกู เชญิ มาประดิษฐานไวใ นสวรรค คือบุคคลเปนผูเวน จากปาณาติบาต เวนจากอทนิ นาทาน เวนจากกาเทสมุ ิจฉาจาร เวน จากมุสาวาท บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนีแ้ ล เหมือนถกู เชิญมาประดิษฐานไวในสวรรค. จบปาณาติปาตสูตรท่ี ๔

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 568 ปาณาตปิ าตสตู รที่ ๔ ทา นกลาวดว ยกรรมกเิ ลส ๔ และธรรมเปนปฏิปก ษต อกรรมกเิ ลสน้นั . ๕. ปฐมมคั คสตู ร วา ดวยบุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ [๒๑๕] ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการเหมอื นถกู นาํ มาโยนลงในนรก ฯลฯ คอื บุคคลเปนผูมีความเห็นผิด มีความดําริผิด เจรจาผิด ทาํ การงานผดิ บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนแี้ ล เหมอื นถกู นํามาโยนลงในนรก. ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ เหมือนถูกเชญิ มาประดษิ ฐานไวในสวรรค ฯลฯ คือ บคุ คลเปนผูมีความเหน็ ชอบมีความดาํ รชิ อบ เจรจาชอบ ทําการงานชอบ บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ประการน้ีแล เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไวในสวรรค. จบปฐมมคั คสตู รท่ี ๕ ปฐมมัคคสูตรที่ ๕ ทา นกลาวดว ยมิจฉัตตะ ๔ เบื้องตน แหง สกุ ปกษ(สมั มตั ตะ)

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 569 ๖. ทุตยิ มคั คสูตร วาดว ยบุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ [๒๑๖] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเหมือนถกู นํามาโยนลงในนรก ฯลฯ คือ บุคคลเปน ผูเลย้ี งชีพผดิ เพยี รผิดตัง้ สติผิด ทาํ สมาธิผิด บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการน้แี ล เหมือนถกู นํามาโยนลงในนรก. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ เหมือนถูกเชญิ มาประดิษฐานไวใ นสวรรค ฯลฯ คอื บุคคลเปน ผเู ล้ียงชีพชอบ เพยี รชอบต้งั สตชิ อบ ทําสมาธิชอบ บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เหมือนถกูเชญิ มาประดิษฐานไวในสวรรค. จบทุตยิ มัคคสูตรที่ ๖ ทตุ ิยมคั คสูตรที่ ๖ ทานกลาวดวยมิจฉัตตะ ๔ ที่เหลือ. ๗. ปฐมโวหารปถสูตร วาดวยบุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ [๒๑๗] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเหมอื นถูกนาํ มาโยนลงในนรก ฯลฯ คอื บคุ คลเปนผกู ลาววา เหน็ ในส่งิ ทไ่ี มไดเ หน็ ๑ กลาววาไดย ินในสงิ่ ทีไ่ มไดย นิ ๑ กลาววาไดทราบในสิง่ ท่ไี มทราบ ๑กลา ววา รูใ นสิ่งทไ่ี มร ู ๑ บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนีแ้ ลเหมอื นถกู นาํ มาโยนลงในนรก ฯลฯ

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 570 บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ เหมอื นถกู เชญิ มาประดษิ ฐานไวในสวรรค ฯลฯ คือ บคุ คลเปนผกู ลา ววาไมเ หน็ ในสง่ิ ทีไ่ มไดเหน็ ๑กลา ววา ไมไ ดย นิ ในส่งิ ท่ไี มไ ดย ิน ๑ กลาววา ไมท ราบในส่งิ ทไ่ี มท ราบ ๑กลาววาไมร ใู นสิง่ ท่ไี มร ู ๑ บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการน้ีแลเหมอื นถกู เชญิ มาประดษิ ฐานไวในสวรรค. จบปฐมโวหารปถสตู รที่ ๗ ปฐมโวหารปถสูตรที่ ๗ ทา นกลา วอนรยิ โวหารและอริยโวหาร ๘. ทุติยโวหารปถสูตร วา ดว ยบคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ [๒๑๘] ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการเหมือนถูกนาํ มาโยนลงในนรก ฯลฯ คอื บุคคลเปนผกู ลาววาไมเ ห็นในสิ่งที่ไดเ หน็ ๑ กลาววา ไมไ ดย นิ ในส่งิ ท่ไี ดย ิน ๑ กลาววา ไมทราบในสิ่งท่ีไดทราบ ๑กลา ววา ไมรูในสงิ่ ที่รู ๑ บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนี้แล เหมือนถูกนํามาโยนลงในนรก ฯลฯ บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เหมอื นถูกเชญิ มาประดษิ ฐานไวในสวรรค ฯลฯ คอื บุคคลเปน ผกู ลา ววา เห็นในสงิ่ ที่ไดเห็น ๑ กลา ววาไดย นิ ในส่งิ ท่ไี ดย ิน ๑ กลา ววาทราบในสงิ่ ทีไ่ ดท ราบ ๑ กลา ววา รใู นสิง่ ท่ีไดรู ๑ บุคคลผูประกอบดว ยธรรม ๔ ประการน้แี ล เหมือนถกู เชิญมาประ-ดิษฐานไวใ นสวรรค. จบทตุ ยิ โวหารปถสูตรท่ี ๘

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 571 ๙. อหริ ิกสตู ร วา ดว ยบคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ [๒๑๙] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเหมอื นถกู นาํ มาโยนลงในนรก ฯลฯ คอื บุคคลเปน ผูไมม ีศรทั ธา ๑ ทุศลี ๑ไมมหี ริ ิ ๑ ไมมโี อตตัปปะ ๑ บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการน้ีแลเหมือนถูกนาํ มาโยนลงในนรก ฯลฯ บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เหมือนถกู เชญิ มาประดิษฐานไวใ นสวรรค ฯลฯ คอื บุคคลเปน ผมู ศี รัทธา ๑ มศี ีล ๑ มีหริ ิ ๑ มโี อต-ตัปปะ ๑ บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนี้แล เหมือนถกู เชญิ มาประดษิ ฐานไวในสวรรค. จบอหิรกิ สตู รที่ ๙ ๑๐. ทุปญญาสตู ร วา ดวยบคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ [๒๒๐] ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการเหมอื นถูกนํามาโยนลงในนรก ฯลฯ คอื บุคคลเปน ผูไ มม ีศรัทธา ๑ ทศุ ีล ๑เกียจครา น ๑ ไมม ีปญ ญา ๑ บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการน้แี ลเหมอื นถูกนาํ มาโยนลงในนรก ฯลฯ บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ เหมอื นถกู เชิญมาประดิษฐานไวใ นสวรรค ฯลฯ คือ บุคคลเปน ผมู ศี รทั ธา ๑ มศี ลี ๑ ทาํ ความเพยี ร ๑

พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 572มีปญ ญา ๑ บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล เหมอื นถกู เชิญมาประดิษฐานไวใ นสวรรค จบทุปญ ญาสตู รท่ี ๑๐ จบโสภนวรรคที่ ๒ ในสตู รท่ี ๘-๙-๑๐ ทานกลา วดว ยอสทั ธรรมอนั เปน ปฏปิ กษต อ สกุ ก-ธรรมน้นั . ก็ธรรมเปน สกุ กปก ษ ทา นกลาวคละท้งั โลกิยะและโลกตุ ระในสตู รท้งั ปวง. ใน ๙ สูตรทา นกลา วในมรรค ดงั นี้กจ็ รงิ ถึงดังนั้นกย็ อ มไดมรรค ๓และผล ๓. จบโสภนวรรควรรณนาที่ ๒ รวมพระสูตรท่มี ีในวรรคนี้ คือ ๑. ปริสาสตู ร ๒. ทิฏฐสิ ตู ร ๓. อกตญั สู ูตร ๔. ปาณาตปิ าต-สูตร ๕. ปฐมมคั คสูตร ๖. ทุติยมคั คสตู ร ๗. ปฐมโวหารปถสูตร๘. ทตุ ิยโวหารปถสตู ร ๙. อหิริกสตู ร ๑๐. ทปุ ญญาสตู ร และอรรถกถา.

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 573 ทจุ ริตวรรคท่ี ๓ ๑. ทุจรติ สูตร วา ดวยวจที จุ รติ และสจุ ริต [๒๒๑] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย วจีทจุ รติ ๔ อยางน้ี ๔ อยา งเปนไฉนคอื คําเทจ็ ๑ คําสอเสยี ด ๑ คําหยาบ ๑ คําเพอเจอ ๑ ดกู อนภิกษุทั้งหลายวจีทุจรติ ๔ อยางนีแ้ ล. ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย วจีสจุ รติ ๔ อยางน้ี ๔ อยางเปน ไฉน คอืคาํ จรงิ ๑ คําไมสอ เสยี ด ๑ คาํ ออนหวาน ๑ คาํ พอประมาณ ๑ ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย วจสี จุ รติ ๔ อยา งน้ี. จบทุจริตสูตรท่ี ๑ ๒. ทิฏฐิสตู ร วาดว ยคนพาลและบณั ฑติ [๒๒๒] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย คนพาลผูป ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปนผไู มฉลาด เปน อสัปบรุ ษุ ยอมบริหารตนใหถ ูกขจดั ถูกทาํ ลาย เปนคนมีโทษ วิญูชนตเิ ตียน และยอมประสบกรรมมิใชบ ญุ เปนอนั มาก ธรรม๔ ประการเปนไฉน คอื กายทุจรติ ๑ วจีทจุ ริต ๑ มโนทจุ ริต ๑ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ๑ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย คนพาลผูประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล เปนผูไมฉ ลาด เปนอสปั บุรุษ ยอ มบริหารตนใหถ ูกขจัด ถูกทาํ ลาย เปนคนมีโทษวิญชู นตเิ ตียน และยอมประสบกรรมมใิ ชบ ญุ เปน อนั มาก.

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 574 ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย บณั ฑิตผปู ระกอบดว ยธรรม ประการ เปนผูฉลาด เปน สปั บรุ ุษ ยอ มบริหารคนไมใหถูกขจัด ไมใหถกู ทําลาย ไมมีโทษวญิ ชู นไมต เิ ตียน และยอมไดป ระสบบญุ เปนอนั มาก ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื กายสจุ ริต ๑ วจีสุจรติ ๑ มโนสุจริต ๑ สมั มาทิฏฐิ ๑ ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย บณั ฑิตผปู ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการนีแ้ ล เปน ผฉู ลาดเปนสัปบรุ ษุ ยอมบริหารคนไมใ หถ ูกขจดั ไมใ หถ ูกทําลาย ไมม ีโทษ วญิ ูชนไมติเตียน และยอ มไดป ระสบบญุ เปนอนั มาก. จบทฏิ ฐิสตู รท่ี ๒ ๓. อกตัญสู ตู ร วาดวยคนพาล และบัณฑิต [๒๒๓] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย คนพาลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการเปน ผูไมฉ ลาด เปน อสปั บรุ ษุ ยอมบริหารตนใหถกู ขจดั ถกู ทาํ ลาย เปนผูมีโทษ วญิ ชู นติเตียน และยอ มประสบกรรมมใิ ชบ ุญเปนอันมาก ธรรม๔ ประการเปน ไฉน คอื กายทจุ ริต ๑ วจีทุจริต ๑ มโนทุจริต ๑ ความเปนคนอกตญั ูอกตเวที ๑ ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย คนพาลผูประกอบดว ยธรรม๔ ประการนีแ้ ล เปน ผูไมฉลาด เปนอสัปบุรษุ ยอมบรหิ ารตนใหถูกขจดัถกู ทําลาย เปน ผูมีโทษ วญิ ูชนติเตยี น และยอ มประสบกรรมมใิ ชบญุ เปนอันมาก. ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย บัณฑติ ผปู ระกอบดวยธรรม ๔ ประการ เปนคนฉลาด เปนสปั บุรุษ ยอ มบรหิ ารตนไมใ หถูกขจัด ไมใ หถกู ทําลาย ไมม ีโทษ

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 575วญิ ชู นไมติเตียน และยอ มประสบบญุ เปนอนั มาก ธรรม ๔ ประการเปน ไฉนคือ กายสุจรติ ๑ วจีสจุ ริต ๑ มโนสจุ รติ ๑ ความเปน คนกตัญูกตเวที ๑ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย บัณฑิตผูป ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการนแี้ ล เปน คนฉลาด เปน สัปบุรุษ ยอ มบรหิ ารคนไมใหถกู ขจดั ไมใ หถูกทาํ ลาย ไมม ีโทษวญิ ชู นไมตเิ ตยี น และยอมประสบบญุ เปนอันมาก. จบอกตัญสู ตู รท่ี ๓ ๔. ปาณาตปิ าตสตู ร วาดว ยคนพาลและบัณฑติ [๒๒๔] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปนคนพาล ฯลฯ และยอมประสบกรรมอนั ไมเปน บุญมาก ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื บคุ คลเปน ผทู าํ ปาณาตบิ าต อทนิ นาทาน กาเมสุ-มิจฉาจาร มุสาวาท บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล เปนคนพาล ฯลฯ และยอมประสบกรรมอนั ไมเ ปน บญุ มาก บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เปน บณั ฑิต ฯลฯ และไดบุญมากดวย ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื บคุ คลเปน ผเู วน จากปาณา-ตบิ าต ฯลฯ เวน จากมสุ าวาท บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการน้แี ลเปน บัณฑติ ฯลฯ และไดบ ญุ มาก. จบปาณาตบิ าตสตู รที่ ๔

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 576 ๕. ปฐมมัคคสูตร วาดว ยคนพาลและบัณฑติ [๒๒๕] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปนคนพาล ฯลฯ และไดป ระสบส่ิงอนั ไมเ ปน บญุ มากดวย ธรรม ๔ ประการเปน ไฉนคอื บคุ คลเปน ผูมีความเห็นผิด ๑ ดาํ รผิ ดิ ๑ เจรจาผดิ ๑ ทาํ การงานผดิ ๑ บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนแี้ ล เปน คนพาล ฯลฯและไดประสบสิง่ อนั ไมเ ปนบุญมาก บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ เปนบัณฑิต ฯลฯ และไดบุญมากดวย ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื บุคคลเปนผมู คี วามเหน็ ชอบ ๑ดําริชอบ เจรจาชอบ ทําการงานชอบ ๑ บุคคลประกอบดวยธรรม๔ ประการนแี้ ล เปนบณั ฑติ ฯลฯ และไดบุญมาก. จบปฐมมัคคสตู รที่ ๕ ๖. ทุตยิ มคั คสูตร วา ดว ยคนพาลและบัณฑิต [๒๒๖] ดกู อนภิกษุท้งั หลาย บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปน คนพาล ฯลฯ และไดป ระสบสิง่ อนั ไมเปนบุญมาก ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื บุคคลเปน ผูเ ล้ียงชพี ผิด ๑ เพยี รผิด ๑ ตั้งสติผดิ ๑ ทาํสมาธผิ ดิ ๑ บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการน้ีแล เปนคนพาล ฯลฯและไดป ระสบสิง่ อันไมเปน บญุ มาก

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาที่ 577 บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เปน บณั ฑติ ฯลฯ และไดบ ญุมากดวย ธรรม ๔ ประกอบคืออะไร ? คือ บคุ คลเปน ผูเล้ียงชีพชอบ ๑เพียรตอบ ๑ ต้งั สติชอบ ๑ ทาํ สมาธิชอบ ๑ บุคคลประกอบดวยธรรม๔ ประการนแ้ี ล เปนบณั ฑติ ฯลฯ และไดบ ุญมาก. จบทุตยิ มัคคสตู รท่ี ๖ ๗. ปฐมโวหารปถสตู ร วา ดว ยคนพาลและบณั ฑติ [๒๒๗] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปน คนพาล ฯลฯ และไดประสบส่งิ อันไมเปนบญุ มาก ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื บุคคลเปนผกู ลา ววา เห็นในส่งิ ทไ่ี มเห็น ๑ กลาววาไดย นิในสิ่งท่ไี มไ ดยนิ ๑ กลา ววา ทราบในสิง่ ท่ีไมทราบ ๑ กลาววารใู นส่ิงทไี่ มร ู ๑ บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล เปน คนพาล ฯลฯและไดป ระสบสง่ิ อนั ไมเปน บุญมาก. บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เปนบณั ฑิต ฯลฯ และไดบุญมากดวย ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คือ บคุ คลกลา ววาไมไดเ หน็ ในสงิ่ที่ไมไ ดเ หน็ ๑ กลาววาไมไ ดยินในสิ่งท่ีไมไดย นิ ๑ กลาววาไมทราบในส่งิ ท่ไี มทราบ ๑ กลาววาไมร ใู นสิ่งทไี่ มรู ๑ บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล เปนบัณฑติ ฯลฯ และไดบ ญุ มาก. จบปฐมโวหารปถสตู รท่ี ๗

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 578 ๘. ทตุ ิยโวหารปถสูตร วา ดว ยคนพาลและบัณฑิต [๒๒๘] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปน คนพาล ฯลฯ และไดประสบสิง่ อนั ไมเ ปนบญุ มาก ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คือ บุคคลเปนผูกลา ววา ไมเห็นในส่งิ ท่ไี ดเ ห็น ๑ กลาววาไมไ ดยินในสิ่งทีไ่ ดยนิ ๑ กลาววาไมท ราบในสิ่งทไี่ ดทราบ ๑ กลาววาไมร ูใ นสิ่งที่รู ๑ บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการน้แี ล เปนคนพาลฯลฯ และไดป ระสบสิง่ อันไมเปนบญุ มาก. บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ เปน บณั ฑติ ฯลฯ และไดบ ญุมากดวย ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื บุคคลกลา ววาเหน็ ในสิง่ ที่ไดเหน็ ๑ กลาววาไดย นิ ในสิ่งท่ีไดยิน ๑ กลา ววา ทราบในส่ิงท่ีไดทราบ ๑ กลาววา รใู นสงิ่ ท่ีรู ๑ บคุ คลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล เปน บณั ฑิต ฯลฯ และไดบ ญุ มาก. จบทุตยิ โวหารปถสตู รท่ี ๘

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 579 ๙. อหริ กิ สตู ร วาดว ยคนพาลและบณั ฑิต [๒๒๙] ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปนคนพาล ฯลฯ และไดป ระสบสง่ิ อนั ไมเ ปน บุญมาก ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คือ บุคคลเปนผไู มมีศรทั ธา ๑ ทุศลี ๑ ไมมีหิริ ๑ ไมม ีโอตตัปปะ ๑ บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการน้แี ล เปน คนพาล ฯลฯและไดป ระสบสิ่งอนั ไมเ ปน บุญมาก. บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เปนบัณฑติ ฯลฯ และไดบุญมาก ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คือ บุคคลเปนผูมีศรทั ธา ๑ มศี ีล ๑มีหริ ิ ๑ มีโอตตปั ปะ ๑ บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนี้แล เปนบณั ฑิต ฯลฯ และไดบ ญุ มาก. จบอหิริกสตู รที่ ๙ ๑๐. ทุปญญสตู ร วาดว ยคนพาลและบัณฑติ [๒๓๐] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปน คนพาล ฯลฯ และไดป ระสบส่ิงอันไมเ ปนบญุ มาก ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คอื บคุ คลเปน ผไู มม ีศรทั ธา ๑ ทุศลี ๒ เกียจครา น ๑ปญ ญาทราม ๑ บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล เปน คนพาล ฯลฯและไดป ระสบสิ่งอนั ไมเ ปนบญุ มาก.

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 580 บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการ เปนบัณฑติ ฯลฯ และไดบญุ มาก ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คือ บุคคลเปน ผมู ีศรทั ธา ๑ มศี ลี ๑มคี วามเพียร ๑ มปี ญญา ๑ บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนี้แลเปนบัณฑิต ฯลฯ และไดบุญมาก. จบทุปญ ญสตู รท่ี ๑๐ ๑๑. กวสี ตู ร วา ดว ยกวี ๔ จาํ พวก [๒๓๑] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย กวี ๔ จาํ พวกเหลานี้ กวี ๔ เปนไฉนคือ จนิ ฺตากวิ ผูแตง โดยความคดิ สุตกวิ ผแู ตงโดยไดฟ งมา อตถฺ กวิ ผแู ตง ตามเนื้อความ ปฏภิ าณกวิ ผแู ตง โดยปฏิภาณ จบกวสี ตู รท่ี ๑๑ จบทจุ รติ วรรคที่ ๓

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 581 ทจุ ริตวรรควรรณนาที่ ๓ ทจุ ริตสตู รท่ี ๑ เปนตนแหงวรรคท่ี ๓ มเี นื้อความงายทง้ั นนั้ . ในกวสี ูตรที่ ๑๐ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ดังตอ ไปน้ี ผูท ี่คิดแลวจงึ แตงบทกวี ช่ือวาจินตากว.ี ผูท่ฟี งแลว จงึ แตงบทกวี ช่ือวา สตุ กว.ี ผทู อ่ี าศัยความแลวแตง บทกวี ช่ือวา อัตถกว.ี ผูทแ่ี ตงโดยปฏิภาณของตนในขณะนัน้ เอง ดุจพระวงั -คีสเถระ ช่ือวา ปฏิภาณกวี. จบทุจรติ วรรควรรณนาท่ี ๓ รวมพระสูตรทีม่ ใี นวรรคนี้ คอื ๑. ทุจริตสตู ร ๒. ทิฏฐสิ ตู ร ๓. อกตัญูสตู ร ๔. ปาณาติปาต-สูตร ๕. ปฐมมคั คสตู ร ๖. ทตุ ยิ มัคคสตู ร ๗. ปฐมโวหารปถสตู ร๘. ทุตยิ โวหารปถสูตร ๙. อหริ กิ สตู ร ๑๐. ทปุ ญญสตู ร ๑๑. กวสี ูตรและอรรถกถา.

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 582 กรรมวรรคท่ี ๔ ๑. สงั ขติ ตสตู ร วา ดว ยกรรม ๔ ประเภท [๒๓๒] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย กรรม ๔ ประเภทนี้ เราทําใหแ จงดว ยปญ ญาอนั ย่งิ ดวยตนเองแลว จงึ ประกาศใหท ราบ กรรม ๔ ประเภทเปนไฉนคือ กรรมดํา มวี บิ ากดาํ ก็มี กรรมขาว มวี บิ ากขาวกม็ ี กรรมท้ังดําท้ังขาว มีวิบากทั้งดําท้งั ขาวกม็ ี กรรมไมด าํ ไมขาว มีวิบากไมด าํไมขาว เปน ไปเพือ่ สิ้นกรรมกม็ ี น้ีแล กรรม ๔ ประเภท เราทาํ ใหแ จงดว ยปญ ญาอนั ย่ิงดวยตนเองแลว จึงประกาศใหทราบ. จบสังขิตตสตู รท่ี ๑

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 583 กรรมวรรควรรณนาที่ ๔ อรรถกถาสงั ขติ ตสตู ร พึงทราบวนิ ิจฉัยในสงั ขติ ตสูตรท่ี ๑ แหง วรรคที่ ๔ ต้ังตอไปน้ี :- บทวา กณหฺ  ไดแก กรรมดาํ คือ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐. บทวากณหฺ วปิ าก ไดแก มวี ิบากดํา เพราะใหเ กิดในอบาย. บทวา สุกกฺ  ไดแ กกรรมขาว คือ กศุ ลกรรมบถ ๑๐. บทวา สุกฺกวปิ าก ไดแ ก มีวิบากขาวเพราะใหเ กิดในสวรรค. บทวา กณหฺ  สกุ ฺก ไดแ ก กรรมคละกนั . บทวากณฺหสุกฺกวิปาก ไดแก มวี บิ ากทงั้ สุขและทกุ ข. จริงอยู บุคคลทาํ กรรมคละกนั แลว เกิดในกําเนดิ เดยี รจั ฉานดว ยอกศุ ลในฐานะเปนมงคลหัตถีเปน ตนเสวยสขุ ในปจ จุบนั ดว ยกุศล. บุคคลเกดิ แมในราชตระกลู ดวยกุศล ยอ มเสวย-ทุกขใ นปจจุบนั ดว ยอกศุ ล. บทวา อกณหฺ  อสุกฺก ทา นประสงคเอามรรค-ญาณ ๔ อนั ทาํ กรรมใหสนิ้ ไป. จรงิ อยู กรรมนน้ั ผวิ า เปน กรรมดํา กพ็ ึงใหวบิ ากดํา ผิวา เปน กรรมขาว พงึ ใหวิบากขาว แตทไี่ มด ํา ไมขาว เพราะไมใหวบิ ากทงั้ สอง ดังกลาวมาน้ีเปนใจความในขอน.ี้ จบอรรถกถาสังขิตตสูตรที่ ๑

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 584 ๒. วิตถารสตู ร วาดวยกรรม ๔ ประการ [๒๓๓] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทาํ ใหแ จงดวยปญญาอนั ยงิ่ เองแลว ประกาศใหท ราบ กรรม ๔ ประการเปนไฉน คอืกรรมดํา มีวบิ ากดําก็มี กรรมขาวมีวิบากขาวก็มี กรรมท้งั ดําทั้งขาวมีวิบากทง้ั ดําทัง้ ขาวกม็ ี กรรมไมดําไมข าวมีวบิ ากไมดําไมขาว ยอมเปน ไปเพื่อความสนิ้ กรรมกม็ ี. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมดํามีวบิ ากดาํ เปน ไฉน บุคคลบางคนในโลกน้ี ยอมปรงุ แตง กายสงั ขารอันมีความเบยี ดเบยี น ยอมปรุงแตง วจสี ังขารอันมีความเบยี ดเบยี น ยอ มปรงุ แตง มโนสงั ขารอันมีความเบยี ดเบียน ครัน้ แลวยอมเขา ถงึ โลกทม่ี ีความเบียดเบียน ผัสสะอนั มีความเบียดเบียนยอ มถกู ตองบคุ คลนัน้ ผูเขาถงึ โลกทม่ี คี วามเบยี ดเบียน เขาอันผัสสะที่มคี วามเบียดเบยี นถูกตอ งนนั้ ยอ มไดเสวยเวทนาท่ีมีความเบยี ดเบยี น เปน ทกุ ขโ ดยสว นเดียวเปรียบเหมอื นสัตวนรก นี้เราเรียกวา กรรมดํามีวิบากดํา. ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย กก็ รรมขาวมวี ิบากขาวเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกน้ี ยอ มปรุงแตง กายสังขาร. . . วจสี ังขาร . ..มโนสงั ขารอันไมมคี วามเบยี ดเบยี น คร้ันแลวยอ มเขา ถึงโลกท่ไี มมคี วามเบียดเบียน ผสั สะอนั ไมมีความเบยี ดเบยี นยอมถกู ตอ งบคุ คลน้นั ผเู ขาถงึ โลกทไ่ี มมคี วามเบียดเบียนเขาอนั ผัสสะท่ไี มมคี วามเบยี ดเบียนถูกตอ งแลว ยอมไดเ สวยเวทนาอนั ไมมคี วามเบียดเบียน เปนสุขโดยสว นเดียว เปรยี บเหมือนเทพช้ันสภุ กณิ หะ น้เี ราเรยี กวากรรมขาวมีวบิ ากขาว.

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 585 ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ก็กรรมทงั้ ดาํ ทั้งขาวมวี บิ ากท้งั ดาํ ทง้ั ขาวเปนไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ยอมปรงุ แตงกายสงั ขาร. . . วจสี ังขาร . . . มโนสงั ขารอันมีความเบียดเบยี นบา ง ไมม คี วามเบยี ดเบยี นบา ง ครั้นแลว ยอมเขาถงึ โลกท่ีมีความเบียดเบียนบา ง ไมมคี วามเบียดเบยี นบา ง ผัสสะอนั มีความเบยี ดเบียนบาง ไมมคี วามเบยี ดเบียนบาง ยอ มถกู ตองบุคคลนั้น ผเู ขาถึงโลกทีม่ คี วามเบยี ดเบยี นบาง ไมมีความเบียดเบียนบา ง เขาอนั ผสั สะทม่ี คี วามเบียดเบยี นบา งไมมีความเบียดเบียนบา งถูกตอ งแลว ยอมไดเ สวยเวทนาอนั มคี วามเบียดเบียนบาง ไมมีความเบยี ดเบียนบาง มีทัง้ สขุ และทงั้ ทุกขร ะคนกนั เปรยี บเหมอื นมนุษย เทพบางพวก และวินิปาตกิ สัตวบางพวก นีเ้ ราเรียกวา กรรมทั้งดําทง้ั ขาว มีวบิ ากทงั้ ดําทง้ั ขาว. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กก็ รรมไมด าํ ไมข าวมวี ิบากไมตํา่ ไมข าวยอมเปนไปเพ่ือความส้นิ กรรมเปน ไฉน เจตนาใดเพือ่ ละกรรมดาํ อันมีวิบากดําในบรรดากรรมเหลานัน้ กด็ ี เจตนาใดเพ่ือละกรรมขาวอนั มีวบิ ากขาวกด็ ี เจตนาใดเพ่ือละกรรมทั้งดาํ ทง้ั ขาวมีวบิ าก ทง้ั ดําทั้งขาวกด็ ี นเี้ ราเรยี กวา กรรมไมดําไมขาวมีวบิ ากไมดําไมข าว ยอ มเปน ไปเพื่อความสิ้นกรรม. ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย กรรม ๔ ประการนีแ้ ล เรากระทาํ ใหแจงดวยปญ ญาอนั ย่ิงเองแลวประกาศใหท ราบ. จบวิตถารสตู รท่ี ๒ อรรถกถาวติ ถารสูตร พงึ ทราบวินิจฉยั ในวติ ถารสตู รที่ ๒ ดังตอไปนี้ :- บทวา สพฺยาปชฺฌ คือ มโี ทษ. บทวา กายสงฺขาร ไดแกเจตนาในกายทวาร. บทวา อภสิ งฺขโรติ ไดแกพอกพนู คอื ประมวลมา.

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาที่ 586แมในสองบทท่ีเหลือกน็ ยั นเี้ หมอื นกนั . บทวา สพยฺ าปชฌฺ  โลก ไดแ กโลกมที ุกข. บทวา สพยฺ าปชฺฌา ผสสฺ า ไดแก ผัสสะเปน วิบากมีทกุ ข.บทวา สพฺยาปชฺฌ เวทน เวทยิ ติ ไดแ ก เสวยเวทนามวี ิบาก เปนไปกบั ดว ยความเบยี ดเบยี น. บทวา เอกนฺตทุกขฺ  ไดแก เปน ทกุ ขโดยสวนเดียวเทาน้นั คอื ไมเ จอื ดวยสขุ . บทวา เสยยฺ ถาป ในบทน้วี า เสยยฺ ถาป สตตฺ า เนรยกิ า พึงเหน็ วาเปนนบิ าตลงในอรรถวา ตวั อยา ง. ดวยบทนน้ั ทรงแสดงถึงสตั วนรกอยา งเดียว ก็สตั วอื่นชื่อวาจะเห็นคลายกับสัตวนรกนัน้ ไมม ี. พึงทราบความในบททง้ั ปวงโดยวธิ ีอบุ ายน้ี. กใ็ นบทมีอาทิวา เสยยฺ ถาป มนสุ สฺ า จะวา ถงึ มนษุ ยกอน สุขเวทนายอมเกดิ ตามเวลา ทกุ ขเวทนากเ็ กิดตามเวลา. สว นในบทนี้วา เอกจฺเจ จเทวา พงึ เหน็ วาเทวดาช้นั กามาวจร จริงอยู เทวดาเหน็ เทวดาผมู ีศกั ดยิ์ ง่ิ กวากามาวจรเทพเหลานั้น ยอมถึงทุกขต ามเวลาดว ยกิจ มีอาทวิ า ตองลุกจากทน่ี งั่ตอ งลดผาหมทําผา เฉวียงบา ตองประคองอัญชลี. เม่ือเสวยทิพยสมบตั ิ ยอ มถงึ สุขตามเวลา. ในบทวา เอกจเฺ จ จ วนิ ิปาตกิ า พงึ เห็นวาเวมานิกเปรตบางจาํ พวก. เวมานิกเปรตเหลานั้น เสวยสขุ ในเวลาหนึง่ ทุกขใ นเวลาหนึง่ชว่ั นิรนั ดร กส็ ัตวท ้งั หลายมี นาค ครฑุ ชาง และมา เปน ตน ยอมมีทัง้ สุขและทกุ ข เกล่ือนกลนเหมือนมนุษย. ในบทวา ปหานาย ยา เจตนา น้ีพงึ ทราบมรรคเจตนาอนั ใหถ งึ วฏั ฏะและววิ ฏั ฏะ. จรงิ อยู มรรคเจตนาน้ันยอมเปนไปเพอ่ื ความสิน้ กรรม. จบอรรถกถาวติ ถารสตู รท่ี ๒

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 587 ๓. โสณกายนสูตร วา ดว ยกรรมและวบิ ากของกรรม [๒๓๔] คร้งั นนั้ แล พราหมณชอ่ื สขิ าโมคคัลลานะ เขา ไปเฝา พระ-ผูม ีพระภาคเจา ถงึ ทีป่ ระทบั ไดป ราศรัยกับ พระผมู พี ระภาคเจา ครนั้ ผานการปราศัยพอใหระลกึ ถงึ กนั ไปแลว น่ัง ณ ที่ควรสวนขางหนึง่ ครัน้ แลวไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพ ระโคดมผูเจริญ หลายวันมาแลวโสณกายนมาณพไปหาขา พระองค คร้นั แลวไดกลาววา พระสมณโคดมยอ มทรงบัญญตั กิ ารไมก ระทาํ กรรมทง้ั ปวง กแ็ ลเม่ือบัญญตั ิการไมกระทาํ กรรมทง้ั ปวง ชอื่ วากลา วความขาดสูญแหงโลก ขาแตพระโคดมผเู จรญิ โลกนี้มีกรรมเปน สภาพ ดํารงอยดู วยการกอกรรมมใิ ชหรอื พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอนพราหมณ เราไมร สู ึกวา ไดเ ห็นโสณกายนมาณพเลย ที่ไหนจะไดป ราศยั เห็นปานน้ีกนั เลา ดูกอนพราหมณ กรรม ๔ ประการน้ี เรากระทาํใหแจง ดวยปญ ญาอนั ยงิ่ เองแลว ประกาศใหท ราบ ๔ ประการเปนไฉน คอืกรรมดํามวี ิบากดําก็มี กรรมขาวมีวบิ ากขาวกม็ ี กรรมท้ังดําท้งั ขาวมวี บิ ากท้ังดาํทง้ั ขาวก็มี กรรมไมดาํ ไมข าว มวี ิบากไมดาํ ไมขาว ยอ มเปนไปเพื่อความส้ินกรรมกม็ ี. ดูกอ นพราหมณ กก็ รรมดํามวี บิ ากดาํ เปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ยอมปรุงแตงกายสังขาร... วจสี ังขาร. . . มโนสงั ขารอันมคี วามเบียดเบยี น...เขาอันผัสสะทีม่ คี วามเบียดเบียนถูกตองแลว ยอ มไดเสวยเวทนาอันมีความเบียดเบยี นเปนทกุ ขโ ดยสวนเดยี ว เหมือนสัตวนรก นเี้ ราเรยี กวา กรรมดํามวี ิบากดํา.

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 588 ดูกอนพราหมณ ก็กรรมขาวมีวบิ ากขาวเปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกน้ี ปรงุ แตง กายสงั ขาร. . . วจีสังขาร. . . มโนสงั ขาร อนั ไมมคี วามเบียดเบยี น ... เขาอนั ผสั สะทไ่ี มม ีความเบยี ดเบียนถกู ตองแลว ยอ มไดเ สวยเวทนาอันไมม คี วามเบียดเบยี น เปนสุขโดยสว นเดียว เหมอื นพวกเทพ-สภุ กิณหะ นีเ้ ราเรยี กวา กรรมขาวมีวบิ ากขาว. ดกู อ นพราหมณ กก็ รรมทั้งดําท้ังขาว มีวบิ ากท้ังดาํ ท้ังขาวเปนไฉนบุคคลบางคนในโลกน้ี ปรุงแตง กายสังขาร. . .วจีสงั ขาร. . . มโนสังขารอนั มีความเบยี ดเบยี นบาง ไมมีความเบียดเบยี นบา ง. . . เขาอันผัสสะอันมคี วามเบียดเบยี นบา ง ไมม คี วามเบียดเบยี นบาง ถูกตองแลว ยอ มไดเสวยเวทนาอนั มีความเบียดเบียนบา ง ไมมีความเบยี ดเบียนบา ง มที งั้ สุขและทุกขร ะคนกันเหมือนมนุษย เทพบางพวก และวนิ ิปาตกิ สัตวบ างพวก นเ้ี ราเรียกวา กรรมท้ังดาํ ทัง้ ขาวมีวิบากทง้ั ดําทง้ั ขาว. ดูกอ นพราหมณ ก็กรรมไมด าํ ไมข าว มวี บิ ากไมด ําไมข าว ยอ มเปนไปเพ่อื ความส้นิ กรรม เปน ไฉน เจตนาใดเพอื่ ละกรรมดาํ มวี บิ ากดาํ ในบรรดากรรมเหลา นัน้ ก็ด.ี .. น้เี ราเรียกวา กรรมไมดาํ ไมขาว มีวิบากไมดาํ ไมขาว ยอ มเปนไปเพอื่ ความส้นิ กรรม. ดูกอนพราหมณ กรรม ๔ ประการ นีแ้ ล เราทําใหแจง ดวยปญญาอันยง่ิ เองแลวประกาศใหท ราบ. จบโสณกายนสูตรท่ี ๓

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 589 อรรถกถาโสณกายนสตู ร พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในโสณกายนสตู รท่ี ๓ ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา สขิ าโมคฺคลลฺ าโน ไดแก พราหมณโ มคคลั ลานโคตรมีแหยมใหญต งั้ อยกู ลางศรี ษะ. บทวา ปรุ ิมานิ ไดแก วันกอน ตง้ั แตว ันที่ลว งไปแลว. พงึ ทราบวนั ย่งิ กวาวนั กอ น จําเดิมแตวันทีส่ องเปน ตน. บทวาโสณกายโน ไดแ ก อนั เตวาสิกของพราหมณน ั้นน่นั เอง. บทวา กมฺมสจฺจายโภ โลโก ไดแก โลกนมี้ ีกรรมเปนสภาพ. บทวา กมมฺ สมารมฺภฏายีความวา โลกนี้ดาํ รงอยูด วยการกอ กรรม คอื เพม่ิ พูนกรรมต้งั อยู มใิ ชไมเพ่มิ พูน. บทวา อจุ ฉฺ ชิ ฺชติ คอื แสดง. คาํ ท่เี หลือมนี ยั ดังกลา วแลว ในหนหลงั นน่ั แล. จบอรรถกถาโสณกายนสตู รที่ ๓ ๔. สิกขาบทสตู ร วาดว ยกรรมและวบิ ากของกรรม [๒๓๕] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทาํ ใหแ จงดวยปญญาอนั ย่งิ เองแลวประกาศใหท ราบ ๔ ประการเปนไฉน คอื กรรมดาํมีวบิ ากดาํ ก็มี กรรมขาวมีวิบากขาวกม็ ี กรรมทัง้ คาํ ท้งั ขาวมีวบิ ากท้งั ดําท้ังขาวกม็ ี กรรมไมด าํ ไมขาวมีวบิ ากไมด าํ ไมขาว ยอมเปนไปเพอ่ื ความสิ้นกรรมกม็ ี.

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 590 ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย กก็ รรมดาํ มวี บิ ากดําเปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกน้ี เปน ผฆู าสัตว ลักทรัพย ประพฤตผิ ิดในกาม พูดเท็จ ด่มื น้ําเมาคือสุราและเมรยั อนั เปน ทตี่ ้ังแหง ความประมาท นี้เราเรียกวา กรรมดํามวี บิ ากดํา. ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ก็กรรมชาวมีวบิ ากขาวเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เปน ผูงดเวน จากการฆาสัตว จากการลกั ทรัพย จากการประพฤติผดิในกาม จากการพูดเท็จ จากการดม่ื นาํ้ เมา คือ สุราและเมรัยอันเปนท่ตี ั้งแหงความประมาท นเ้ี ราเรียกวา กรรมขาวมวี บิ ากขาว. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กก็ รรมท้งั ดําทั้งขาวมวี ิบากทง้ั คาํ ทั้งขาวเปน ไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ยอมปรุงแตง กายสงั ขารอันมีความเบียดเบียนบาง ไมม ีความเบยี ดเบียนบาง ฯลฯ นเ้ี ราเรยี กวา กรรมทงั้ ดําทัง้ ขาว มวี ิบากทัง้ ดาํทั้งขาว. ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย กก็ รรมไมดําไมขาว มีวบิ ากไมด าํ ไมขาว ยอ มเปนไปเพ่ือความสิ้นกรรมเปน ไฉน ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย เจตนาใดเพื่อละกรรมดาํ อนั มวี บิ ากดําในบรรดากรรมเหลาน้นั ก็ดี ฯลฯ น้เี ราเรียกวา กรรมไมด ําไมขาว มวี ิบากไมด าํ ไมขาว เปนไปเพอื่ ความสน้ิ กรรม. ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย กรรม ๔ ประการนีแ้ ล เรากระทําใหแ จงดวยปญญาอันยิ่งเองแลวประกาศใหทราบ. จบสิกขาปทสูตรท่ี ๔

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 591 สกิ ขาปทสตู รท่ี ๔ เปนตน มีความงายท้งั นน้ั . กใ็ นองคม รรคท้งั หลายทา นกลา ววา เพราะพระโยคาวจรเขา ไปต้ังสติไวแลวกําหนดดว ยปญ ญา ฉะน้ันท้งั สองนนั่ แหละเปนกรรม ทเี่ หลือเปนองคเ ทานั้นไมใชก รรม. แมในโพชฌงคก็นยั น้ีเหมือนกัน. สว นในอภธิ รรมทานพรรณนากรรมทง้ั หมดนนั้ วา เปนกรรมอันสมั ปยตุ ดว ยเจตนา โดยไมแ ปลกกัน. ๕. อรยิ มคั คสตู ร วา ดว ยกรรมและวิบากของกรรม [๒๓๖] ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทาํ ใหแ จงดว ยปญ ญาอันยง่ิ เองแลว ประกาศใหท ราบ ๔ ประการเปน ไฉน คือ กรรมดํามวี ิบากดํากม็ ี กรรมขาวมีวิบากขาวก็มี กรรมทัง้ ดาํ ทง้ั ขาวมวี บิ ากทั้งดําทั้งขาวกม็ ี กรรมไมด าํ ไมข าว มวี บิ ากไมดาํ ไมข าว ยอมเปน ไปเพื่อความส้ินกรรมกม็ ี ดูกอนภิกษุท้ังหลาย กก็ รรมดํามวี ิบากดาํ เปน ไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เปนผูฆามารดา ฆาบิดา ฆาพระอรหันต มีจติ ประทุษรายตอพระ-ตถาคต ยังพระโลหติ ใหหอขน้ึ ทาํ ลายสงฆใ หแ ตกกนั น้ีเราเรียกวา กรรมดาํมีวิบากดํา. ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย กก็ รรมขาวมีวบิ ากขาวเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกน้ี เปน ผงู ดเวน จากการฆา สตั ว จากการลกั ทรพั ย จากการประพฤตผิ ดิในกาม จากการพดู เท็จ จากการพดู สอ เสียด จากการพดู คําหยาบ จากการพูดเพอ เจอ ไมมากไปดว ยความเพง เล็ง มจี ิตไมพยาบาท มคี วามเห็นชอบนเี้ ราเรียกวา กรรมขาวมวี ิบากขาว.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 592 ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ก็กรรมทง้ั ดําท้ังขาว มีวบิ ากทั้งดาํ ทง้ั ขาวเปน ไฉนบุคคลบางคนในโลกน้ี ยอมปรุงแตงกายสงั ขาร อันมคี วามเบียดเบียนบางไมมีความเบียดเบียนบา ง ฯลฯ นีเ้ ราเรียกวา กรรมทั้งดาํ ท้งั ขาว มวี บิ ากทง้ั ดาํ ทัง้ ขาว. ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมไมด ําไมขาว มวี ิบากไมดาํ ไมขาว ยอมเปนไปเพื่อความสนิ้ กรรมเปน ไฉน เจตนาใดเพ่อื ละกรรมดําอันมวี บิ ากดาํ ในบรรดากรรมเหลานัน้ กด็ ี ฯลฯ น้ีเราเรียกวา กรรมไมดําไมขาว ยอมเปนไปเพื่อความส้นิ กรรม. ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เรากระทําใหแ จงดวยปญ ญาอนั ย่งิ เองแลวประกาศใหทราบ. จบอริยมัคคสูตรท่ี ๕ ๖. โพชฌังคสตู ร วาดวยกรรมและวิบากของกรรม [๒๓๗] ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทาํ ใหแจงดว ยปญ ญาอนั ยิ่งเองแลว ประกาศใหทราบ ๔ ประการเปนไฉน คือกรรมดาํ มีวบิ ากดําก็มี กรรมขาวมีวิบากขาวกม็ ี กรรมทัง้ ดาํ ท้ังขาวมีวิบากท้งั ดําทง้ั ขาวกม็ ีกรรมไมดําไมขาวมวี ิบากไมด าํ ไมขาว ยอ มเปนไปเพื่อความสิน้ กรรมก็มี. ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย กก็ รรมดํามีวิบากดําเปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกนี้ ยอมปรงุ แตง กายสังขารอันมคี วามเบียดเบยี น ฯลฯ นีเ้ ราเรียกวา กรรมดาํ มีวบิ ากดาํ .

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 593 ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย ก็กรรมขาวมวี บิ ากขาวเปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกนย้ี อ มปรุงแตงกายสังขารอนั ไมมคี วามเบียดเบียน ฯลฯ น้ีเราเรียกวากรรมขาวมวี ิบากขาว. ดูกอนภิกษุท้ังหลาย กก็ รรมท้ังดาํ ท้ังขาว มวี ิบากท้ังดาํ ทั้งขาวเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ยอ มปรงุ แตงกายสังขารอนั มคี วามเบียดเบยี นบา งไมม คี วามเบียดเบยี นบาง ฯลฯ นีเ้ ราเรยี กวา กรรมท้งั ดําทง้ั ขาว มีวบิ ากทั้งดาํ ทงั้ ขาว. ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไมดาํ ไมข าว มวี บิ ากไมดําไมขาว ยอมเปน ไปเพอ่ื ความสน้ิ กรรมเปนไฉน สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ น้เี ราเรยี กวา กรรมไมดําไมขาว กรรมไมด าํ ไมข าว มวี บิ ากไมดําไมข าว ยอมเปนไปเพอ่ื ความส้ินกรรม. ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย กรรม ๔ ประการนแ้ี ล เราทําใหแ จงดวยปญ ญาอนั ยง่ิ เองแลว ประกาศใหทราบ. จบโพชฌงั คสตู รท่ี ๖ ๗. สาวชั ชสูตร วา ดวยกรรมและวบิ ากของกรรม [๒๓๘] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทาํ ใหแจงดวยปญญาอนั ยิ่งเองแลว ประกาศใหท ราบ ๔ ประการเปนไฉน คอื กรรมดาํ มีวบิ ากดาํ กม็ ี กรรมขาวมวี ิบากขาวกม็ ี กรรมทัง้ ดําทั้งขาวมีวบิ ากทัง้ ดําทั้งขาวก็มีกรรมไมดําไมข าวมีวบิ ากไมดาํ ไมข าว ยอมเปน ไปเพอ่ื ความส้นิ กรรมกม็ ี.

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 594 ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ก็กรรมคาํ นี้วิบากดาํ เปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกนยี้ อมปรุงแตง กายสงั ขาร อันมคี วามเบยี ดเบยี น ฯลฯ นเี้ ราเรียกวากรรมดํามีวิบากดํา. ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย กก็ รรมขาวมวี ิบากขาวเปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกน้ี ยอ มปรงุ แตง กายสังขารอันไมม ีความเบียดเบียน ฯลฯ น้เี ราเรียกวากรรมขาวมีวบิ ากขาว. ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ก็กรรมทั้งคําทงั้ ขาว มีวบิ ากทั้งคําทั้งขาวเปนไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ยอ มปรงุ แตงกายสังขารอนั มคี วามเบียดเบยี นบาง ไมมีความเบยี ดเบียนบาง ฯลฯ นเี้ ราเรียกวา กรรมทงั้ ดาํ ทงั้ ขาว มวี ิบากท้ังดําท้งั ขาว. ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย ก็กรรมไมดํามขาว มวี บิ ากไมดาํ ไมข าว ยอ มเปน ไปเพ่ือความสิ้นกรรมเปนไฉน สตสิ มั โพชฌงค ธรรมวิจยสัมโพชฌงควริ ิยสัมโพชฌงค ปต ิสัมโพชฌงค ปส สัทธิสมั โพชฌงค สมาธสิ ัมโพชฌงคอเุ บกขาสัมโพชฌงค นีเ้ ราเรยี กวา กรรมไมดําไมข าว มีวบิ ากไมดาํ ไมขาวยอมเปนไปเพอื่ ความสิ้นกรรม. ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย กรรม ๔ ประการ นีแ้ ล เราทําใหแจง ดว ยปญ ญาอันยิง่ เองแลวประกาศใหทราบ. จบสาวัชชสูตรท่ี ๗ ๘. อัพยาปชฌสตู ร วาดวยกรรมและวิบากของกรรม [๒๓๙] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย บุคคลผปู ระกอบดวยธรรม ๔ ประการยอมเกดิ ในนรก เหมอื นถูกนาํ มาทิง้ ลง ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คือ กาย-

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 595กรรมอันมีโทษ ๑ วจีกรรมอันมีโทษ ๑ มโนกรรมอนั มโี ทษ ๑ ทิฏฐอิ ันมีโทษ ๑ บคุ คลผูป ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล ยอ มเกดิ ในนรกเหมือนถกู นํามาทง้ิ ลง. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย บุคคลผูประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ ยอ มเกดิในสวรรคเหมอื นเชิญมาประดิษฐานไว ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คอื กาย-กรรมอนั ไมมโี ทษ ๑ วจีกรรมอันไมมีโทษ ๑ มโนกรรมอันไมมีโทษทฏิ ฐิอนั ไมมโี ทษ ๑ บุคคลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล ยอ มเกิดในสวรรคเ หมือนเชญิ มาประดิษฐานไว จบอัพยาปชฌสูตรที่ ๘ ๙. สปั ปรุ สิ สูตร วา ดว ยกรรมและวบิ ากของกรรม [๒๔๐] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย บคุ คลผปู ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการยอ มเกิดในนรกเหมอื นถกู นํามาท้ังลงธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คอื กายกรรมอันมีความเบยี ดเบยี น ๑ วจกี รรมอนั มคี วามเบียดเบยี น ๑ มโนกรรมอนั มีความเบียดเบยี น ๑ ทฏิ ฐอิ ันมคี วามเบียดเบียน ๑ บุคคลผปู ระกอบดว ยธรรม๔ ประการนี้แล ยอ มเกิดในนรกเหมือนถูกนาํ มาท้ิงลง. ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย บคุ คลผปู ระกอบดวยธรรม ๔ ประการ ยอ มเกดิในสวรรคเ หมือนเชิญมาประดิษฐานไว ธรรม ๔ ประการเปน ไฉน คอื กายกรรมอัน ไมมีความเบียดเบยี น ๑ วจกี รรมอันไมมคี วามเบยี ดเบยี น ๑ มโน-

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 596กรรมอันไมมีความเบยี ดเบยี น ๑ ทิฏฐอิ นั ไมมีความเบียดเบยี น ๑ บุคคลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล ยอมเกิดในสวรรคเ หมอื นเชญิ มาประดษิฐานไว. จบสปั ปุริสสตู รที่ ๙ ๑๐. สมณสูตร วา ดวยสมณะ ๔ [๒๔๑] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย สมณะมใี นธรรมวินยั นเ้ี ทานั้น สมณะท่ี ๒ มีในธรรมวนิ ัยน้ี สมณะท่ี ๓ มใี นธรรมวนิ ยั น้ี สมณะท่ี ๔ มใี นธรรมวินัยน้ี ลทั ธิอ่ืนวา งจากสมณะทง้ั ๔ เธอท้ังหลายจงบันลือสีหนาทโดยชอบอยางน้ีเถิด ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็สมณะเปน ไฉน ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี เพราะสน้ิสังโยชน ๓ เปน พระโสดาบัน มีอันไมต กต่ําเปนธรรมดา เปน ผูเ ท่ยี งท่จี ะตรสั -รูในเบอื้ งหนา นส้ี มณะ ท่ี ๑. ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ก็สมณะที่ ๒ เปน ไฉน ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ีเพราะสิ้นสังโยชน ๓ และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เปนพระสกทาคา-มี มาสโู ลกน้คี ราวเดยี วทา นัน้ แลว กระทําทีส่ ุดทกุ ขไ ด น้ีสมณะท่ี ๒. ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ก็สมณะที่ ๓ เปนไฉน คือภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้เพราะโอรมั ภาคิยสงั โยชน ๕ สิ้นไป เปนอปุ ปาติกะ (เปน พระอนาคามี) จกัปรินิพพานในภพนัน้ มีอันไมก ลบั จากโลกนนั้ เปนธรรมดา นส้ี มณะท่ี ๓.

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาที่ 597 ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ก็สมณะท่ี ๔ เปน ไฉน ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ีกระทําใหเเจงซง่ึ เจโตวิมตุ ติ ปญญาวิมตุ ติ อนั หาอาสวะมิได เพราะอาสวะทง้ั หลายสนิ้ ไป ดว ยปญ ญาอันยง่ิ เองในปจจุบันเขาถึงอยู นีส้ มณะที่ ๔. ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย สมณะ ที่ ๑ มใี นธรรมวินยั นี้เทานน้ั สมณะที่ ๒ท่ี ๓ ท่ี ๔ มใี นธรรมวนิ ัยนี้ ลัทธอิ น่ื วา งจากสมณะทง้ั ๔ เธอท้ังหลายจงบันลอื สีหนาทโดยชอบอยา งน้เี ถิด. จบสมณสูตรท่ี ๑๐ อรรถกถาสมณสูตร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในสมณสูตรที่ ๑๐ ดงั ตอไปนี้ :- บทวา อเิ ธว คือในศาสนานเ้ี ทาน้ัน. ก็ความไมแ นน อนนพ้ี งึ ทราบแมใ นบทท่เี หลอื . จริงอยู แมส มณะท่ี ๒ เปน ตน ก็มีอยูในศาสนานเี้ ทานั้นไมมีในศาสนาอื่น. บทวา สุฺ า แปลวา วา งเปลา. บทวา ปรปฺปวาทาไดแก ทิฏฐิ ๖๒ อนั มาแลว ในพรหมชาลสตู ร แมทง้ั หมดเหลา น้ี คอืสสั สตวาทะ เอกัจจสัสสตกิ ะ ๔ อนั ตานนั ตกิ ะ ๔ อมราวกิ เขปกะ ๔อธิจจสมปุ ปนนิกะ ๒ สัญญวี าทะ ๑๖ อสัญญีวาทะ ๘ เนวสญั ญนี าสญั ญวี าทะ ๘อจุ เฉทวาทะ ๗ ทฏิ ฐธมั มนิพพานวาทะ ๕ วาทะของผอู ่ืนนอกจากธรรม -วนิ ัยนี้ ชือ่ ปรัปปวาทะ. วาทะแมทั้งหมดเหลาน้ัน วา งเปลา จากสมณะผูต ั้งอยูในผล ๔ เหลาน้ี ท้งั วาทะเหลานัน้ ก็ไมม อี ยใู นธรรมวินยั น.ี้ อนงึ่วาทะเหลานัน้ มิใชวางเปลาจากสมณะเหลา นีอ้ ยา งเดยี วเทา น้นั ทง้ั ยังวางจากสมณะแม ๑๒ คอื สมณะผูตั้งอยใู นมรรค บางสมณะผปู รารภวิปส สนาเพอ่ื






Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook