Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_34

tripitaka_34

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_34

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 229องค ๕ ละองค ๕ คอื อะไร คอื ละกามฉนั ทะ พยาบาท ถนี มิทธะอุทธัจจกุกกจุ จะ วจิ ิกจิ ฉา ผูม ีศีลนน้ั เปนผูละองค ๕ น้ี ประกอบดว ยองค๕ คอื อะไร คือ ประกอบดว ยสีลขันธ (กองศลี ) สมาธขิ นั ธ (กองสมาธ)ิปญญาขันธ (กองปญญา) วิมุตติขันธ (กองวมิ ตุ ติ) วิมตุ ติญาณทสั สนขนั ธ(กองวมิ ุตติญาณทัสนะ) อนั เปน อเสขะ ผมู ีศลี น้นั เปน ผูประกอบดวยองค เราตถาคตกลาววา ทานทใ่ี หใ นผูมศี ลี ที่ละองค ๕ ประกอบดว ยองค ๕อยา งนี้ มผี ลมาก ในโคเมียทั้งหลาย เชน แมโ คสดี าํ สขี าว สีแดง สีเขยี ว สดี า ง สปี กติ หรอื สีนกพิราบก็ตาม โคผู ซ่งึ ฝกแลว เปนโค ทนงาน มกี ําลัง ฝเ ทา ดี ยอ มเกิดในแมโ ค เหลานนั้ ไดท กุ เหลา คนท้ังหลายใชม นั ใน การหนักเทา นนั้ หาไดพ ิถพี ิถนั สขี องมันไม ฉนั เดียวกนั น่ันแล ในหมูมนุษย ในชนชาติใดชาตหิ น่ึง จะเปนชาตกิ ษัตริย พราหมณ แพศย ศูทร จณั ฑาล หรือ ปุกกสุ ะ บุคคลผูซ่ึงฝกตนแลว มีพรต อันดี ตั้งอยูในธรรม ถึงพรอ มดวยศีลพดู เปนสัจ มีใจประกอบดวยหริ ิ ละชาตแิ ละ มรณะแลว จบพรหมจรรยแ ลว ปลงของ หนักแลว ปลอดโปรง แลว เสร็จกจิ ไมมี

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 230 อาสวะ ถงึ ฝง แหง ธรรมทั้งปวง ดับกเิ ลส ไดเพราะไมย ึดถอื แลว ยอมเกดิ ในชาติ เหลานนั้ ไดท กุ ชาติ ทักษิณาทานที่ใหใน บคุ คลนั้นอันเปนเนื้อนาทป่ี ราศจากโทษ ยอมมผี ลไพบูลย สว นคนเขลาทรามปญ ญา มิไดส ดับ ไมรูจกั (บุญเขต) ใหทานไปภายนอก (เขต) ไมเ ขา ใกลสัตบุรุษทัง้ หลายเลย ฝา ยคนเหลาใดเขาใกลสตั บรุ ษุ ผูมี ปญ ญานบั วา เปน ปราชญ และศรัทธาของ เขามีรากฐานมน่ั คงในองคพ ระสุคต คน เหลา น้นั ยอ มไปเทวโลก มฉิ ะนน้ั เกิดใน สกุล ณ โลกนี้ กจ็ ะเปน บณั ฑิตไดบ รรลุ พระนิพพานโดยลาํ ดบั . จบชัปปสูตรท่ี ๗ อรรถกถาชัปปสูตร พึงทราบวินิจฉยั ในชัปปสตู รท่ี ๗ ดังตอไปนี้:- บทวา มหปผฺ ล แปลวา มีผลมาก. ในบทวา ธมมฺ สฺส จอนธุ มมฺ  พฺยากโรนฺติ น้ี พงึ ทราบอธบิ ายดงั ตอ ไปนี้ ถอ ยคาํ ทพี่ ระผมู ีพระภาคเจาตรสั แลว ช่ือวา พระธรรม. การตรสั ทบทวนซงึ่ ขอ ความที่ตรสัแลว ชื่อวา อนุธรรม.

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 231 บทวา สหธมฺมโิ ก ไดแ ก พรอมดว ยการณ พรอมดวยเหตุ. การถือตาม คือการคลอยตาม อธบิ ายวา การประพฤติตามถอ ยคาํ ช่ือวาวาทานุปาตะ. บทวา คารยฺห าน ไดแกเ หตุท่คี วรตําหน.ิ ทานกลา วอธิบายไววา การคลอ ยตามถอยคาํ ทม่ี เี หตุผล อันพระโคดมผเู จริญตรัสไวแ ลวไมนา จะถงึ เหตุท่คี วรตาํ หนไิ ร ๆ เลย. อีกอยางหนึง่ พราหมณถ ามวา การคลอยตามพฤติการณของวาทะทมี่ เี หตุ ซ่ึงคนเหลา นัน้ กลา วแลว จะถึงเหตุท่ีนา ตําหนอิ ะไร ๆ ไหม. บทวา อนตฺ รายกโร โหติ ความวา กระทาํ อันตราย คือความพินาศ คอื ใหไดรับความลําบาก ไดแ กใหเกิดความเดอื ดรอน. บทวาปาริปนถฺ ิโก ไดแ ก โจรท่ดี ักจ้ปี ลนคนเดนิ ทาง. บทวา ขโต จ โหติไดแกถ ูกขุด โดยขดุ คณุ ความดีทิ้งไป. บทวา อปุ หโต ไดแ ก ถกู ขจัดโดยการทาํ ลายคุณงามความดี. บทวา จนทฺ นกิ าย ไดแก ในบอนํ้าโคลนท่ไี มส ะอาด. บทวา โอฬคิ ลฺเล ไดแ ก (ทอ ) ทยี่ งั ไมไ ดลา งโคลน. บทวาโส จ ไดแก พระขณี าสพท่ที า นกลา วไวว า ทานผมู ศี ีลน้ัน. บทวา สีลก-ฺขนเฺ ธน แปลวา ดวยกองศลี . แมในบทท่เี หลือก็มนี ยั น้เี หมือนกนั . ก็ปจ จเวกขณญาณ พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั เรียกวา วมิ ุตตญิ าณทสั สนะ ในคําวาวมิ ตุ ฺติาณทสสฺ กนกฺขนเฺ ธน นี้. ปจ จเวกขณญาณนน้ั พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา อเสขะ เพราะเปนไปแลว แกพ ระอเสขะ. ญาณนอกน้ี แมต ัวเองก็เปน อเสกขะอยูแ ลว เพราะบรรลแุ ลว ในทส่ี ุดแหงสกิ ขา. อกี ทง้ั ญาณเหลานนั้กเ็ ปนโลกตุ ระ ปจ จเวกขณญาณเปนโลกิยะ. บทวา โรหิณึสุ ไดแ กมสี ีแดง. บทวา สรูปาสุ ไดแก มสี ีเสมอดวยลกู โคของตน. บทวา ปเรวตาสุ ไดแก มสี ีเหมอื นนกพิราบ. บทวา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 232ทนฺโต ไดแก หมดพยศแลว. โคตัวผู ชอ่ื วา ปุงฺคโว. บทวา โธรยฺโหไดแ ก โคใชงาน. บทวา กลฺยาณชวนกิ กฺ โม ไดแ ก ประกอบดวยเชาวไ วไหวพริบดี คอื ซอ่ื ตรง. บทวา นาสสฺ วณณฺ  ปรกิ ฺขเร ความวา ไมส นใจถึงสรี างกายของโคน้นั แตสนใจเฉพาะงาน คือการประกอบธรุ ะของมันเทานั้น. บทวา ยสฺมึ กสิ ฺมิฺจิ ชาตเิ ย ความวา เกดิ แลวในตระกลู ใด ๆบทวา ยาสุ กาสุจิป เอตาสุ ไดแ ก ในกําเนดิ อยางใดอยางหนง่ึ แยกประเภทเปน กษตั ริยเ ปน ตนเหลา น้ี. บทวา พรฺ หฺมจรยิ สสฺ เกวลี ความวาประกอบดวยการอยูจบพรหมจรรย อธิบายวา ประกอบดว ยความเปนผูบริบูรณดว ยพรหมจรรย. เพราะวา พระขณี าสพ ช่ือวา เปน ผูประพฤติพรหมจรรยท ้ังส้นิ ดวยเหตนุ ัน้ ทา นจึงกลาวคาํ น้ไี ว. บทวา ปนนฺ ภาโร ไดแ ก วางภาระแลว อธบิ ายวา วางภาระคอื ขันธภาระคือกิเลส และภาระคอื กามคณุ ลงไดแลว. บทวา กตกจิ โฺ จ คือ กระทํากิจดวยมรรคท้ัง ๔ เสร็จแลว . บทวา ปารคู สพฺพธมมฺ าน ความวาเบญจขันธ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ตรัสเรียกวา สรรพธรรม. ชื่อวา ปารคูเพราะถึงฝง. ๖ อยา ง คอื ฝง คืออภญิ าู ๑ ฝง คอื ปหานะ ๑ ฝง คอืฌาน ๑ ฝง คือภาวนา ๑ ฝง คือสัจฉิกิริยา ๑ ฝงคอื สมาบตั ิ ๑ แหงสรรพธรรมนัน้ . บทวา อนปุ าทาย ไดแกไมย ึดถอื . บทวา นิพพฺ โุ ตไดแก เวนจากความเรา รอนเพราะกิเลส. บทวา วิรเช ไดแ ก เวน จากธุลีคือ ราคะ โทสะ และโมหะ. บทวา อวิชานนตฺ า ไดแก ไมร จู ักบุญเขต. บทวา ทุมเฺ มธาไดแกไ มมีปญญา. บทวา อสฺสุตาวิโน ไดแก เวน จากการไดยินขอ วินจิ ฉัยเกีย่ วกับบุญเขต. บทวา พหิทฺธา ไดแก ภายนอกจากพระศาสนาน้ี. บทวา

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 233น หิ สนเฺ ต อปุ าสเร ความวา ไมเขา ไปหาพระพทุ ธเจา พระปจ เจกพุทธเจาและพระขณี าสพทงั้ หลาย ผเู ปน บรุ ุษสงู สุด. บทวา ธรี สมมฺ เต ไดแ กบณั ฑิตยกยอ งแลว ชมเชยแลว. ดว ยบทวา มลู ชาตา ปตฏิ ติ า นี้ ทรงแสดงถึงศรัทธาของพระโสดาบนั . บทวา กุเล วา อธิ ชายเร ความวาหรอื เกิดในตระกูลกษัตริย ตระกลู พราหมณ ตระกูลแพศย ในมนษุ ยโลกนี้.บคุ คุ ลนน้ี แ่ี หละชื่อวา มีกลุ สมบตั ิ ๓ ประการ. บทวา อนปุ ุพฺเพน นิพพฺ านอธิคจฺฉนตฺ ิ ความวา บําเพญ็ คุณธรรมเหลานี้ คือ ศลี สมาธิ ปญ ญาใหส มบูรณแลวบรรลพุ ระนพิ พาน ตามลําดับฉะน้แี ล. จบอรรถกาชัปปสูตรที่ ๗ ๘. ตกิ ณั ณสตู ร วา ดวยวิชชา ๓ ของพราหมณแ ละของพุทธ [๔๙๘] ครั้งนน้ั พราหมณช่ือตกิ ณั ณะ เขา ไปเฝา พระผมู ีพระ-ภาคเจา ฯลฯ พราหมณตกิ ัณณะนัง่ ณ ท่คี วรสวนหนึง่ แลว กลา วสรรเสริญพวกพราหมณผูไดวชิ ชา ๓ เฉพาะพระพกั ตรพระผมู ีพระภาคเจา วา พราหมณผูไดว ิชชา ๓ เปน อยา งนัน้ อยา งนี้ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสถามวา ดูกอนพราหมณ พราหมณท้งั หลายบัญญัติพราหมณผ ไู ดว ิชชา ๓ อยา งไรกัน. พราหมณต ิกณั ณะกราบทูลตอบวา ขา แตพระโคดมผเู จรญิพราหมณเปน ผไู ดก ําเนิดดีทง้ั ๒ ฝาย คือทง้ั ฝายมารดาท้ังฝายบดิ ามีครรภท ี่ถอื ปฏิสนธหิ มดจดดี ไมถ ูกคดั คานติเตยี นเพราะเรื่องกาํ เนดิ ถงึ ๗ ชว่ั ปู

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 234เลาเรียนจาํ มนตไ ด เจนจบไตรเพทพรอมทง้ั นิฆณั ฑุศาสตร และเกฏภ ศาสตรกับอักษรประเภท เปนหาทง้ั คัมภรี อ ติ หิ าส รตู วั บท รูคาํ แก (ในไตรเพทน้ัน)ปราดเปร่ืองในโลกายตศาสตร และมหาบุรษุ ลักษณศาสตร๑ ขาแตพ ระโคดมผูเ จรญิ พราหมณท้งั หลายยอมบัญญัติพราหมณผูไดวชิ ชา ๓ อยา งนี้แล. พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา พราหมณ พราหมณท ้ังหลายบัญญัติพราหมณผ ูไ ดว ชิ ชา ๓ อยางหนึ่ง แตผ ไู ดว ิชชา ๓ ในวนิ ัยของพระอริยะเปนอยางหน่งึ . ขาแตพ ระโคดมผูเ จรญิ ก็ผูไดวิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเปนอยา งไร สาธุ ผูไดวชิ ชา ๓ ในวนิ ยั ของพระอริยะเปน อยา งใด ขอพระโคดมผเู จริญทรงแสดงธรรมอยา งน้ันแกขา พระองคเ ถิด. พราหมณ ถากระนนั้ ทานจงฟง ทาํ ในใจใหด ี เราตถาคตจักกลาว. พราหมณต ิกัณณะรับพระพทุ ธพจนแ ลว พระผมู ีพระภาคเจาตรสัพระธรรมเทศนานวี้ า พราหมณ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม จากอกศุ ลธรรมทงั้ หลาย เขาปฐมฌานอนั ประกอบดว ยวติ ก วิจาร มปี ต ิ และสุขอนั เกิดแตวิเวกอยู๑. ไตรเพท พระเวททงั้ ๓ (ความรู ๓ อยาง) เปนช่ือคัมภรี แ สดงลัทธิไสยศาสตรด้ังเดิมของพราหมณ คอื อิรุพเพท (ฤคเวท) ๑ ยชพุ เพท (ยชุรเวท) ๑ สามเพท (สามเวท) ๑ นฆิ ัณฑศุ าสตร วา ดวยชื่อสงิ่ ของมีตนไมเปน ตน . เกฏภ ศาสตรวา ดวยกิรยิ าเปนประโยชนแกก ว,ี อักษรประเภท ทานวาไดแ ก \"ศกึ ษา\" และ \"นิรุกฺต\"ิ (ภาค ๑ ๆ แหง เวทางค ๖เวทางค ตาํ ราประกอบพระเวท สาํ หรับชว ยใหเขา ใจพระเวทชัดเจนข้นึ แบงเปน ๖ ภาค คอืกลั ป, วฺยากรณ (ไวยากรณ) , โชยฺ ตศิ าสตร (ตาํ ราดาว), ศึกษา, นิรกุ ตฺ ิ (อธิบายคําทย่ี าก),ฉนั โทวิจติ ิ (ตาํ ราฉนั ท) อิตหิ าส วา ดว ยพงศาวดารยดื ยาว มภี ารตยทุ ธเปน ตน อันกลาวประพนั ธไวแตก าลกอ น,ท่วี า \"เปน หา ท้ังคัมภรี อ ิตหิ าส\" นนั้ ทา นวา พระเวท ๓ เตมิ อาถรรพณเวทเปน ๔ กบั อติ ิหาสเปน ๕โลกายตศาสตร วา ดว ยเรอื่ งราวอันไมน าเช่ือ ถา บคุ คลอปุ กรณน ี้ไมค ิดทาํ บุญ มหาบุรุษลักษณศาสตร วาดว ยลกั ษณะของมหาบุรุษ

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 235 เพราะวติ กวจิ ารสงบไป เขา ทุติยฌานอนั เปนเครอื่ งผอ งใสในภายในประกอบดวยความใจเปนหนงึ่ ผุดข้นึ ไมมีวิตก ไมมวี ิจาร มีปต แิ ละสขุ อนัเกิดแตส มาธิอยู เพราะปต ิคลายไปดวย ภิกษุเพง อยูดว ย มีสติสัมปชญั ญะดว ย เสวยสุขทางกายดว ย เขา ตติยฌานซึ่งพระอริยะกลาว (ผไู ดต ตยิ ฌานนี้) วา ผูมสี ติเพง อยูเปน สขุ เพราะละสขุ (กาย) ไดดว ย เพราะละทกุ ข (กาย) ไดดวยเพราะโสมนัส (สุขใจ) และโทมนสั (ทุกขใจ) ดับไปกอ น เขาจตตุ ถฌาน ไมท กุ ขไมสุข มีความบรสิ ุทธิ์ ดว ยสติอันเกิดเพราะอเุ บกขาอย*ู ภิกษุนน้ั เม่ือจติ เปนสมาธบิ รสิ ทุ ธ์ิสะอาดไมม มี ลทนิ ปราศจากอปุ กิเลส เปน จติ ออ น ควรแกง าน ต้งั อยูไมห วัน่ ไหวอยางน้ีแลว นอมจิตไปเพือ่ ปุพเพนิวาสานุสตญิ าณ (วชิ ชาระลึกชาตไิ ด) เธอกร็ ะลกึ ชาตไิ ดอยา งอเนก คืออยา งไร คอื แต ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๕ ชาติถึง ๑๐ ชาติ ๒๐ ชาติ ๓๐ ชาติ ๔๐ ชาติ ๕๐ ชาติ กระท่งั ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ชาติ ๑๐,๐๐๐ ชาติ จนหลายสังวัฏฏกปั หลายวิวฏั ฏกัป และหลายสงั วฏั ฏววิ ฏั ฏกัป วา ในชาตโิ นน เรามีชื่ออยางนั้น มนี ามสกลุ อยางนน้ัมีผวิ พรรณอยางนั้น มีอาหารอยางนน้ั ไดเ สวยสขุ ทกุ ขอ ยางนั้น มีกาํ หนดอายุเทาน้ัน จุตจิ ากชาตินัน้ เกดิ ในชาตโิ นน ในชาติน้นั เรามชี อ่ื มนี ามสกลุ มีผวิ พรรณมอี าหารอยางน้นั ๆ ไดเสวยสขุ ทกุ ขอยางน้ัน มีกาํ หนดอายุเทานั้นจตุ จิ ากชาตนิ ัน้ มาเกิดในชาติน้ี เธอระลกึ ชาติไดอ ยางอเนกพรอ มทงั้ อาการ(คอื รูปรางทา ทางและความเปน ไปทต่ี า ง ๆ กัน มผี วิ พรรณตา งกันเปนตน )พรอ มทัง้ อุทเทส (คือสงิ่ สําหรับอางสําหรบั เรียก ไดแ กช ื่อและโคตร) อยางนี้* ฌาน ๔ นี้ ถา อานตามพระบาลนี ี้ ยังไมพ อจะใหเ ขาใจชัด จงดอู ธบิ ายในหนงั สือวสิ ทุ ธมิ รรค

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 236น่วี ชิ ชาที่ ๑ อนั ภิกษนุ ้ันไดบรรลุ อวิชชาหายไป วชิ ชาเกดิ ข้นึ ความมืดหายไป ความสวางเกดิ ขน้ึ (เปนผล) สมแกทภี่ ิกษุเปนผูไมป ระมาทมคี วามเพียร มตี นอันสง ไปอย๑ู (เดด็ เดยี่ ว) ภิกษนุ ้นั ครั้นจติ เปน สมาธบิ ริสุทธสิ์ ะอาด ไมม มี ลทนิ ปราศจากอุปกเิ ลส เปนจติ ออนควรแกงาน ต้ังอยูไมหวนั่ ไหวอยา งนแี้ ลว นอมจติ ไปเพ่ือจุตปู ปาตญาณ๒ (วิชชากาํ หนดรคู วามตายความเกิด) แหง สัตวท ้งั หลายเธอก็เห็นสัตวท ้งั หลายกําลังจตุ ิ กาํ ลงั อปุ บตั ิ เลว ดี ผิวพรรณงามผวิ พรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดวยจักษทุ พิ ยอ ันแจมใสเกินจกั ษุมนษุ ยสามัญรชู ดั วา สตั วท ้ังหลายเปนตามกรรม (ช้ีได) วา สตั วเหลา น้ี เจาขา ประกอบดวยกายทุจริต วจีทุจรติ มโนทุจรติ ตเิ ตียนพระอริยเจา มคี วามเห็นผิดกระทาํ กรรมไปตามความเห็นผดิ สตั วเ หลา นนั้ เพราะกายแตกตายไปกไ็ ปอบายทคุ ิติ วนิ ิบาต นรก หรือวา สัตวเ หลา นี้ เจาขา ประกอบดว ยกายสจุ รติวจสี จุ รติ มโนสุจริต ไมตเิ ตยี นพระอรยิ ะ มคี วามเห็นชอบ กระทํากรรมไปตามความเห็นชอบ สัตวเหลานน้ั เพราะกายแตกตายไป กไ็ ปสูสคุ ติโลกสวรรค เธอเห็นสตั วท ัง้ หลายกาํ ลงั จตุ ิ กาํ ลงั อุปบตั ิ เลว ดี ผิวพรรณงามผวิ พรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดว ยจักษทุ ิพยอ ันแจมใสเกนิ จกั ษุมนษุ ยส ามญัรชู ัดวา สัตวทง้ั หลายเปนตามกรรม อยา งน้ี น่ีวิชชาท่ี ๒ อนั ภกิ ษุน้ันไดบ รรลุอวิชชาหายไป วชิ ชาเกิดข้ึน ความมดื หายไป ความสวา งเกดิ ข้ึน (เปนผล)สมแกท ี่ภิกษเุ ปน ผูไมประมาทมีความเพยี ร มตี นอนั สง ไปอยู ภกิ ษนุ น้ั ครัน้ จิตเปนสมาธิบริสุทธส์ิ ะอาดไมม มี ลทนิ ปราศจากอปุ กเิ ลส เปน จติ ออ นควรแกง าน ตัง้ อยูไมหวัน่ ไหวอยา งนี้แลว นอ มจิตไปเพื่ออาสวกั ขยญาณ (วิชชาทําอาสวะใหส้ิน) เธอรูชัดตามจริงวา นีท้ กุ ข๑. เปนสํานวนอยา งหน่ึง หมายความวา อุทศิ รางกายและชีวิตเพ่ือทาํ การอนั นั้นใหส าํ เรจ็ จงได๒. ทพิ จักษุญาณ กเ็ รยี ก

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 237นีท้ กุ ขส มทุ ยั น้ีทุกขนโิ รธ น้ีทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา รูชัดตามจรงิ วาเหลา นีอ้ าสวะ นอ้ี าสวสมทุ ยั (เหตเุ กดิ อาสวะ) นอ้ี าสวนโิ รธ (ความดับอาสวะ) น้ีอาสวนิโรธคามินปี ฏิปทา (ทางไปถึงความดับอาสวะ) เม่ือเธอรูอยา งนเ้ี หน็ อยา งนี้ จิตก็พันท้ังกามาสวะ ท้งั ภวาสวะ ทง้ั อวิชชาสวะ คร้นั พนแลวก็มีญาณ (รู) วา พนแลว รูช ดั วา ชาตสิ ้ินแลว พรหม-จรรยไ ดอยจู บแลว กิจที่ควรทาํ ไดทําแลว กิจอน่ื (อันจะตองทาํ ) เพอ่ื ความเปน อยางนไ้ี มมอี กี นว่ี ิชชาที่ ๓ อันภิกษุน้นั ไดบ รรลุ อวิชชาหายไป วชิ ชาเกดิ ขน้ึ ความมืดหายไป ความสวา งเกิดข้ึน (เปน ผล) สมแกท ี่ภิกษุเปนผูไมป ระมาทมีความเพียรมตี นอันสงไปอยู จิตของพระโคดมองคใด ผูม ีศลี ไม ขนึ้ ลง* มีปญ ญา เพง พนิ จิ เปนจติ ตงั้ มนั่ แนว แนเปน วสี บณั ฑิตท้งั หลายกลา วพระ โคดมนั้นผเู ปน ปราชญข จัดความมืดเสยี ผู ไดว ชิ ชา ๓ ละมฤตยูละเลกิ บาปธรรม ท้ังปวงเสียไดว าเปน ผูมีประโยชนส าํ หรับ เทวดา มนษุ ยท ้งั หลาย* ศัพทน ข้ี าพเจา แปลตามอรรถกถา ดว ยเหน็ วามีบท \"นิปกสฺส\" แสดงปญญา\"ฌายโิ น\" แสดง สมาธิอยูในลําดบั พอครบไตรสกิ ขา และท่วี า \"มีศลี ไมขึน้ ลง\" นั้น ทา นอธิบายวา มีศลี เตม็ บริบรู ณเสมอ อนั เปน คุณของพระขีณาสพ ไมเ ด๋ียวเตม็ เด๋ียวพรองอยางปุถชุ น ถา ไมมุงความอยางนี้ จะแปลศัพทน ว้ี า \"ผูมปี กติไมข้นึ ลง\" กไ็ ด และอธบิ ายวา เปนผคู งท่ี แสดงอาการฟูขน้ึ ดว ยความยินดีและหอ เหีย่ วลงดว ยความยินรา ย ในเมอ่ื ประสบอิฎฐารมณ และอนิฏฐารมณ ดังพระบาลีในธรรมบทวา \" น อจุ ฺจาวจ ปณฺฑิตา ทสฺสยนติ บัณฑติ ทัง้ หลาย ยอ มไมแสดงอาการขึน้ ลง\" เปน คณุ ของพระขณี าสพเหมอื นกนั

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 238 บณั ฑติ ทง้ั หลายยอม นอบนอ มพระ- โคดมผูถงึ พรอมดว ยวชิ ชา๓ไมล ุมหลงอยู เปน พระพทุ ธะมพี ระสรีระเปน ครงั้ ท่ีสดุ ผใู ดรู (ระลกึ ) ชาตไิ ด เห็นสวรรค และอบาย และถงึ ธรรมท่ีส้ินชาตแิ ลว เปนมุนีสําเรจ็ ดว ยความรูยงิ่ โดยวิชชา ๓ น้ี พราหมณจึงเปนเตวชิ ฺโช (ผไู ดวิชชา ๓) เรากลา วผเู ชนน้ันวา ผไู ดว ิชชา ๓ หา กลา วตามคําที่พูดกันอยา งอ่ืนไม. พราหมณ ผูไดวิชชา ๓ ในวนิ ัยของพระอริยะเปนอยา งน้ีแล. ขา แตพระโคดมผเู จรญิ ผไู ดวิชชา ๓ ของพวกพราหมณเปนอยา งหนึ่งสวนผูไดวชิ ชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเปน อยา งหนง่ึ แตผูไดว ิชชา ๓ ของพวกพราหมณไ มถงึ เส้ยี วท่ี ๑๖ แหง ผไู ดว ชิ ชา ๓ ในวินัยของพระอริยะ ดจี ริง ๆพระโคดมผเู จริญ ฯลฯ ขอพระโคคมผเู จรญิ ทรงจําขา พระองคไ วว า เปนอุบาสกถึงสรณะแลว จนตลอดชีวติ ต้งั แตวนั นีไ้ ป. จบติกณั ณสูตรที่ ๘

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 239 อรรถกถาติกณั ณสตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉัย ในติกณั ณสตู รท่ี ๘ ดงั ตอ ไปน:ี้ - คาํ วา ติกณฺโณ เปน ชอ่ื ของพราหมณน้ัน. บทวา อปุ สงฺกมิความวา พราหมณคดิ วา ไดขา ววา พระสมณโคดมเปน บัณฑิต เราจกั ไปยงัสาํ นกั ของทา น ดงั นี้ รับประทานอาหารเชาแลว มีมหาชนหอ มลอ ม เขาไปเฝา พระผูมพี ระภาคเจา . บทวา ภควโต สมฺมุขา ความวา นั่งเบ้อื งหนาพระทศพล. บทวา วณณฺ  ภาสติ ความวา ถามวา เพราะเหตไุ ร จงึ กลา ว-สรรเสรญิ . ตอบวา ไดทราบวา กอ นแตน้ี พราหมณนั้นไมเ คยไปสาํ นกัของพระตถาคตเลย พราหมณจ งึ มคี วามคดิ อยางนว้ี า ธรรมดาพระพทุ ธเจาท้งั หลายเขา เฝาไดย าก เราทูลกอ นแลว จกั ตรสั หรอื ไมตรสั ก็ได ถา พระองคจักไมต รัสคราวน้ัน คนทัง้ หลายจักตอวา เราผพู ดู ในท่ีสมาคมอยา งน้วี า เหตไุ รทา นจงึ พดู ในทน่ี ี้ เพราะวา ทานไปยังสาํ นกั ของพระสมณโคดมแลว กย็ ังไมไดแมเพยี งการดํารสั ดว ย เพราะเหตุนน้ั พราหมณ เม่ือสาํ คญั อยูวา เราจักพนขอครหาไปไดด วยอบุ ายอยางนี้ จึงทูลขนึ้ พราหมณพดู สรรเสรญิ พราหมณทั้งหลายกจ็ ริง แตพูดถงึ วชิ ชาสามดวยความประสงคอ ยางเดียววา เราจักตอ(ลองเชิง) พระญาณของพระตถาคต. บทวา เอวมฺป เตวชิ ฺชา พฺราหฺมณา ความวา พราหมณผ ทู รงวิชชา ๓ เปนบัณฑิตอยางนี้ คือเปน นกั ปราชญอยางน้ี คอื เปนผฉู ลาดอยางน้ีคอื เปน พหูสูตอยา งน้ี หมายความวาเปน ผมู ีปกติกลาวอยา งน้ี อธิบายวา เปน ผูไดรบั สมมตอิ ยา งน.้ี ดวยบทวา อิตปิ  พระผูม ีพระภาคเจา ทรงแสดงการกําหนด

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 240อาการของบณั ฑติ เปนตน แหงพราหมณเหลานนั้ . กใ็ นขอนี้มอี ธบิ ายอยางน้วี าเปนบัณฑิต ดวยเหตุเทานี้ ฯลฯ เปน ผูไ ดรบั สมมติดว ยเหตุเทานี้. บทวา ยถา นบทวา ยถา กถ ปน พฺราหมฺ ณา นี้ เปนคําแสดงเหต.ุ บทวา กถ ปน เปน คําถาม. ขอ น้ีสมจรงิ ดังท่ีพระผมู พี ระภาคเจาตรัสไววา ดูกอนพราหมณ พราหมณท้งั หลายบัญญัติพราหมณผ ไู ดวิชชา ๓ไวอ ยางไร. ทานจงบอกเหตุทีจ่ ะใหร จู ักพราหมณผ ูไ ดว ชิ ชา ๓ นัน้ . พราหมณค รัน้ ไดฟ งดังนั้นแลว ดใี จวา พระสมั มาสมั พุทธเจาตรสั ถามในธรรมที่มีฐานะพอรไู ด ไมใชมีฐานะทีร่ ูไมไ ด จงึ ทลู คาํ เปน ตนวา อธิ โภโคตม ดงั น้ี. บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา อภุ โต ไดแกท ง้ั สองฝา ย. บทวามาติโต จ ปต ิโต จ ความวา ผูใดมีมารดาเปนพราหมณี มยี ายเปนพราหมณี แมยายชวดกเ็ ปนพราหมณี มบี ิดาเปน พราหมณ มปี เู ปน พราหมณแมปชู วดก็เปนพราหมณ ผนู น้ั ชื่อวาเกดิ ดแี ลว ทงั้ สองฝาย คอื ท้ังฝายมารดาและฝา ยบดิ า. บทวา ส สทุ ธฺ คหณิโก ความวา ผูใ ดมีทถ่ี ือกําเนดิ คือทองของมารดาบริสทุ ธิ์แลว ผูน้นั ช่อื วา สังสุทธเคราหณ.ี แตใ นคําวา สมเวปากินยิ าคหณยิ า น้ี พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสเรยี กวา การถอื เอาเตโชธาตุทเี่ กดิ แตกรรม. ในคาํ วา ยาว สตฺตมา ปตามหยคุ า น้ี มคี วามวา บิดาของบดิ าชอ่ื วา ปตามหะ. ยุค (ช้นั ) แหงปู ช่ือวา ปตามหยคุ (ชนั้ ป)ู . ประมาณแหงอายุ ทา นเรียกวา ยุค. ก็คําวา ยคุ นี้ เปนเพียงคาํ เรยี กกนั เทา นัน้ .แตโ ดยความหมายแลว ปตามหะนัน่ เอง ชื่อวา ปตามหยคุ . บรรพบุรุษแมทัง้ หมด ตอจากปต ามหยุคลงไป ก็เปนอนั หมายเอาดวยศัพทว า ปต ามหะน่ันเองเมอื่ เปน เชน นี้ ผทู ่ีชอ่ื วา สงั สุทธเคราหณี จะมีเพียง ๗ ชัว่ คน (เปน อยา งตา่ํ ).

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 241 อีกอยา งหน่งึ ทรงแสดงวา พราหมณผ ูอ ภุ โตสชุ าตนั้น จะไมถ กูคดั คา น ถูกตําหนิ ดว ยการกลา วอา งถงึ ชาต.ิ บทวา อกฺขิตโฺ ต ความวาไมถ กู ตามคัดคา นอยา งน้วี า ทานท้งั หลายจงนาํ คนผูน้ีออกไป คนผูนี้จะมีประโยชนอ ะไร. บทวา อนุปกกฺ ฏุ โ ความวา จะไมถูกตเิ ตยี น ไมเ คยถกู ดา หรอื ไมเคยถกู นินทา. ถามวา ดว ยเหตุไร. ตอบวา ดวยการกลาวอางถึงชาติ. อธบิ ายวา ดว ยการกลาวเหน็ ปานน้วี า คนนช้ี าติเลว แมด วยประการน.ี้ บทวา อชฺฌายโก นี้ พงึ ทราบความดังตอ ไปน้ี คาํ ครหาเกิดข้ึนแกพ ราหมณผ ูเ วนจากฌาน๑ ในกาลแหงปฐมกัป อยา งน้ีวา ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บดั นชี้ นเหลา นไ้ี มเพง อยู บดั นี้พวกชนเหลา นี้ ไมเ พง อยูอยา งน้ีแล อักขระวา อชฌฺ ายกา อชฌฺ ายกา (ผไู มเ พง หมายถงึ ผูแ ตงและสอนคมั ภรี ) จึงอบุ ัตขิ นึ้ เปนครั้งท่ี ๓.๒ แตในปจ จุบนั นี้ พราหมณชอื่ วาอชฌฺ ายโก เพราะศึกษาพระเวทนนั้ . คนท้ังหลายกลาวคาํ สรรเสริญ ดวยอรรถาธิบายน้ีวา พราหมณร ายมนต (พระเวท). พราหมณช่อื วา มนตฺ ธโรเพราะทรงจํามนต (พระเวท) ไวได. บทวา ติณฺณ เวทาน ไดแ กอริ พุ เพท ยชพุ เพท และสามเพท. พราหมณ ช่ือวา ปารคู เพราะถึงฝงดวยสามารถแหงการเลกิ ทอ งบน (คือทรงจําไดแลว). (ไตรเพท) พรอ มดวยนฆิ ัณฺศาสตร และเกฏภ ศาสตร ชือ่ วาสนิฆัณฑเุ กฏภ ะ. บทวา นิฆัณฑุ ไดแกศ าสตรทจ่ี าํ แนกชอ่ื (สิง่ ของตาง ๆ)คือ ศาสตรท ี่วาดว ยชื่อของตน ไมเปน ตน . บทวา เกฏภ  ไดแกศาสตรที่กาํ หนดอากัปกิรยิ า คือศาสตรทเี่ ปน อุปการะแกกวี. พระเวท พรอ มดวยประเภทของอกั ษร ชื่อวา สากขรปเภท. สกิ ขา และนริ ุตติ ชอ่ื วา อกั ขรปั ป-๑. ปาฐะวา ฐานวริ หติ าน ฉบับพมา เปน ฌานวริ หิตน แปลตามฉบบั พมา๒. อกั ขระที่ ๑ วา พราหมณาที่ ๒ วา ฌายิกา ฌายกิ า ที่ ๓ วา อชฺฌายกิ า อชฌฺ ายกิ า

พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 242เภทะ. บทวา อิตหิ าสปจฺ มาน ความวา พระเวท ชอ่ื วามีอติ ิหาสเปน ที่ ๕ เพราะมีอิติหาสทปี่ ระกอบดวยคําเชน น้ี วา อิต-ิ ห-อาส, อิต-ิ ห-อาส กลา วคือ คมั ภรี ป ุราณะ หรือกลาวคอื คัมภีรวาดว ยวชิ าของกษตั รยิ (นกั รบ) เปน ท่ี ๕. โดยนบั เอาอาถัพพนเวทเปนที่ ๔ แหง พระเวทเหลาน้นัซงึ่ มีอติ หิ าสเปน ท่ี ๕. ช่อื วา รูบ ท รไู วยากรณ เพราะจําทรง คอื รูท ง้ั ตัวบทท้งั พยากรณ (คาํ อธิบาย) ตัวบททเี่ หลอื นนั้ . วติ ัณฑวาทศาสตร (พูดกันเลน สนุกๆ) ทา นเรยี กวา โลกายตะบทวา มหาปร ิสลกฺขณ ไดแ กศาสตรท ี่มีบทรอยกรองประมาณ ๑๒,๐๐๐คมั ภีร ท่แี สดงลกั ษณะของมหาบรุ ษุ มพี ระพทุ ธเจา เปนตน ชอ่ื วา พุทธมนตประมาณ ๑๖,๐๐๐ บทคาถา มคี วามสามารถเปน เหตุใหร คู วามแตกตา งกันดงั นี้วา ผูประกอบดว ยลกั ษณะนี้ ชือ่ วา เปน พระพุทธเจา ดว ยลกั ษณะน้ีชื่อวาเปนพระปจเจกพุทธเจา ดว ยลักษณะนีช้ ่ือวาเปนพระอัครสาวกทง้ั สองดว ยลักษณะนช้ี ื่อวา เปนพระอสตี มิ หาสาวก ดวยลักษณะน้ีชอ่ื วา เปนพระ-พทุ ธมารดา ดว ยลกั ษณะน้ี ชื่อวา เปน พระพุทธบิดา ดวยลักษณะน้ีชอ่ื วาเปนอรรคอุปฏฐาก ดว ยลกั ษณะนี้ ช่อื วาเปน อรรคอุปฏ ฐายิกา และดว ยลักษณะน้ี ชอ่ื วา เปนพระเจา จักรพรรด.ิ บทวา อนวโย ไดแก เปนผูไ มบ กพรอง คอื เปน ผูบ ริบูรณใ นคัมภรี โลกายตะ และคัมภีรมหาปุริสลักษณะเหลา น้ี มีคําอธบิ ายวา ไมใ ชเปนผยู อหยอ น. คนผูไมสามารถจะจาํ ทรงศาสตรเหลานน้ั ไวได ท้ังโดยอรรถาธบิ ายและโดยคมั ภีร ผนู ั้น ชื่อวา ยอ หยอน. อยา งหนง่ึ บทวา อนวโย ตัดบทเปน อนุ อวโย ดวยอาํ นาจสนธิ ลบออุ ักษรออก (ฉะนัน้ ) อนุ - อวโยจงึ เปนอนวโย อธบิ ายวา มีศิลปบริบรู ณ.

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 243 พระผมู ีพระภาคเจา ทรงเหน็ พราหมณน้ันทูลอาราธนาอยู ทรงรูวาบัดนี้ เปน เวลาสมควรที่เราจะกลาวแกปญหาของพราหมณน้นั จึงตรัสคํานวี้ าเตนหิ ดงั น.้ี บทวา เตนหิ น้นั มีความหมายวา เพราะเหตุที่ทานขอรองเราไว ฉะนน้ั ทา นจงฟง. บทวา ววิ จิ ฺเจว กาเมหิ เปน ตน ไดอ ธบิ ายไวอยางพสิ ดารในคัมภีรว สิ ุทธิมรรคแลว ทีเดียว. แตใ นที่นี้ คําวา วิวิจเฺ จวกาเมหิ เปนตนน้ี พงึ ทราบวา พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไวแ ลว เพอ่ื ทรงแสดงถงึ ขอปฏิบัติทีเ่ ปน บุพภาคของวชิ ชาทัง้ ๒. บรรดาวชิ ชาทั้ง ๓ นั้น การพรรณนาวชิ ชาท้ัง ๒ ไปตามลําดบั บทก็ดี นัยแหง การเจรญิ วชิ ชาทงั้ ๒ กด็ ีไดใหพสิ ดารแลว ในคมั ภีรว ิสุทธมิ รรคเหมอื นกนั . กถาพรรณนาปพุ เพนิวาสานุสติญาณ บทวา ปมา วิชชฺ า ความวา วิชชา ช่ือวา ปฐมา เพราะเกิดข้นึคร้งั แรก. ท่ีชอื่ วา วิชชา เพราะอรรถวา กระทาํ ใหแ จมแจง แลว . ถามวากระทาํ อะไรใหแจม แจง. ตอบวา กระทาํ ขนั ธท เี่ คยอาศยั ในชาตกิ อนใหแจม แจง. โมหะท่ีปดบังปุพเพนวิ าสานุสตญิ าณนนั้ เพราะความหมายวาทําปพุ เพนิวาสานสุ ติญาณน้ันน่นั แหละไมใหแ จมชดั ตรสั เรียกวา อวชิ ชา.บทวา ตโม ความวา โมหะน้ันแล เรยี กวา ตมะ เพราะอรรถวา เปน เหตุปกปด . บทวา อาโลโก ความวา วชิ ชาน่ันแหละตรสั เรียกวา อาโลกะเพราะหมายความวา ทําความสวา งไสว. กใ็ นพระสูตรน้มี ุงความวา ไดบรรลุวิชชา ๓ แลว . คําท่ีเหลือ เปน คาํ กลาวสรรเสริญ. ก็ในขอนี้ ประกอบความวาเธอไดบ รรลวุ ิชชานแ้ี ลว ลาํ ดบั นัน้ อวชิ ชากเ็ ปนอนั เธอผบู รรลุวชิ ชาแลวกาํ จดั แลว อธิบายวา ใหพ นิ าศแลว . ถามวา เพราะเหตุไร. ตอบวา เพราะวชิ ชาเกดิ ขึ้นแลว. ในบททัง้ ๒ แมนอกน้ี ก็มีนยั อยางนแ้ี หละ.

พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 244 บทวา ยถา ในคาํ วา ยถา ต นี้ เปน อุปมา. บทวา ต เปนเพียงนบิ าต. ชื่อวา ไมป ระมาทแลว เพราะไมขาดสติ. ชือ่ วา มีความเพียร เพราะมีความเพยี รเคร่ืองเผากิเลส. ชือ่ วา มีตนอนั สงไปแลว เพราะไมอาลยั ใยดีในรางกายและชีวติ . ทา นอธบิ ายไวด ังน้ี ผูไ มป ระมาท มีความเพยี ร สงใจไปแลวอยู อวชิ ชา จะจางหายไป วชิ ชา จะเกดิ ขน้ึ ความมดื จะจางหายไป ความสวา งจะพึงเกิดขึ้น ฉนั ใด อวชิ ชาก็ฉันนนั้ เหมือนกนั เปน อันพราหมณน ี้ขจดั แลว วชิ ชาเกดิ ข้นึ แลว ความมดื เปนอันถูกขจัดแลว ความสวางเกิดข้ึนแลว . พราหมณนนั้ จงึ ไดรบั ผลอนั สมควรแกการประกอบความเพียรน้ันแลวฉะนแ้ี ล. จบอรรถกถาพรรณนาปุพเพนิวาสานสุ ติญาณ กถาพรรณนาจตุ ปู ปาตญาณ พึงทราบวินิจฉัยในกถาพรรณนาจตุ ูปปาตญาณ ดงั ตอไปน้ี วิชชาคอื ทิพจักขุญาณ ชื่อวา วชิ ชา. ความไมร ูทปี่ กปดจตุ แิ ละปฏิสนธิของสัตวท ้ังหลาย ชือ่ วา อวชิ ชา. คําท่เี หลือมีนัยดงั กลาวมาแลวนัน่ แล. จบกถาพรรณนาจตุ ูปปาตญาณ กถาพรรณนาอาสวักขญาณ พงึ ทราบวินิจฉัยในวชิ ชาที่ ๓ ดงั ตอ ไปน้ี ในบทวา โส เอว สมาหเิ ต จติ ฺเต พงึ ทราบวา ไดแ กจ ตตุ ถ-ฌานจิต อนั เปน บาทแหงวิปสสนา. บทวา อาสวาน ขยาณาย ความวาเพื่อประโยชนแ กอ รหัตมคั คญาณ เพราะอรหัตมรรค ทานเรียกวา ชอื่ วาธรรมเปน ทสี่ ้นิ ไปแหง อาสวะทั้งหลาย เพราะยังอาสวะท้ังหลายใหพ นิ าศ. และ

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 245อรหตั มคั คญาณ ในบทวา อาสวาน ขยาณาย นัน้ เรยี กวา ชอื่ วา ญาณเพราะนบั เน่ืองในพระอรหัตมรรคนน้ั . บทวา จิตฺต อภนิ ินฺนาเมติ ความวานอมจติ ไปในวิปสสนา. ในคํามอี าทิอยางนี้วา โส อิท ทุกข พงึ ทราบความอยางนี้วา เขายอ มรู คือ ยอมแทงตลอดทกุ ขสัจแมท ง้ั หมด ตามเปน จรงิโดยการแทงตลอดลักษณะพรอมดวยกจิ วา ทกุ ขมีเพยี งเทานี้ ไมมากไปกวา น้ีและรูค ือแทงตลอดตัณหา. อันใหเกิดทุกขน นั้ วา นเ้ี ปนเหตุใหเ กิดทุกขน น้ัตามความเปน จริง โดยการแทงตลอดลกั ษณะพรอมท้ังกิจ รคู อื แทงตลอดสถานท่ใี ดถึงแลว ทกุ ขแ ละสมุทัยทัง้ สองน้นั ดับไปทีน่ ้ัน คือ นพิ พานที่ทุกขและสมทุ ยั ท้งั สองนัน้ ไมเ ปนไปตามความจริง โดยการแทงตลอดลักษณะพรอมทง้ักิจ วา นีเ้ ปนความดบั ทุกข และรูคือแทงตลอดอรยิ มรรค ท่ใี หถึงนพิ พานนั้นตามความจรงิ โดยการแทงตลอดลักษณะพรอมทงั้ กิจวา นเี้ ปน ขอ ปฏิบัติใหถึงความดับทุกข. จบอรรถกถาพรรณนาอาสวักขยญาณ พระผมู ีพระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงสัจจะท้ังหลายโดยสรุปอยา งน้แี ลวตอ น้ี เมอื่ จะทรงแสดงสจั จะทงั้ หลายโดยออม ดว ยสามารถแหงกเิ ลส จงึ ตรัสคํามีอาทิวา อเิ ม อาสวา ดังน.้ี บทวา ตสสฺ เอว ชานโต เอว ปสฺสโต ความวา ของภิกษุน้ันผูรอู ยเู หน็ อยูอ ยา งน.ี้ พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสมรรคอันถึงที่สดุ พรอ มดว ยวิปสสนาไว (ในท่ีนี)้ . บทวา กามาสวา แปลวา จากกามาสวะ. ดว ยบทวา จติ ตฺ  วิมจุ จฺ ติ พระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงถงึ มคั คขณะ (ขณะจิตท่สี ัมปยุตดว ยมรรค) อธิบายวา ในขณะแหง มรรคจติ จิตกาํ ลงั หลุดพน. ในขณะแหงจติ ผล จติ เปน อนั หลดุ พนแลว . ดว ยบทวา วมิ ตตสมึ วิมตตมติ ิ

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 246าณ นี้ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงปจ จเวกขณญาณ. ดว ยคาํ ทั้งหลายมอี าทิวา ขีณา ชาติ ทรงแสดงภมู ิของพระขีณาสพน้นั . เพราะวา พระ-ขณี าสพน้ัน เมื่อพจิ ารณาดว ยญาณน้นั ยอมทราบขอ ความเปนตน วา ชาติสนิ้ แลว ดังน.ี้ ถามวา ก็ชาตชิ นดิ ไหนของพระขณี าสพนัน้ ส้ินไปแลว และทานจะรูวา ชาติน้ันสน้ิ ไปไดอ ยางไร. ตอบวา กอ นอน่ื อดีตชาติของทา นไมไดส ้นิ ไปแลว เพราะอดีตชาตินัน้ สนิ้ ไปกอนแลว ชาตอิ นาคตก็ไมสนิ้ เพราะไมมีการพยายามในอนาคต.ชาติปจจบุ นั กย็ งั ไมส้ิน เพราะชาตปิ จ จุบนั นัน้ ยงั มอี ยู แตช าตใิ ดที่แยกประเภทเปนขนั ธ ๑ ขันธ ๔ และขนั ธ ๕ จะพงึ เกิดข้นึ ในเอกโวการภพ จตุโวการภพและปญจโวการภพ เพราะไมไ ดอ บรมมรรค ชาตินั้นชื่อวา ส้นิ ไปแลว โดยการถึงความไมเกิดขึน้ เปน ธรรมดา เพราะไดอบรมมรรคแลว . ทานครั้นพจิ ารณากิเลสที่ละไดแ ลว ดว ยมัคคภาวนา เมอื่ รูวา กรรมถงึ จะมีอยู กไ็ มแตงปฏสิ นธติ อ ไป เพราะไมม ีกเิ ลสดังน้ี ชื่อวา รชู าตินัน้ . บทวา วสุ ิต ไดแ กอ ยจู บแลว คืออยเู สรจ็ สิ้นแลว อธิบายวา ทาํสาํ เรจ็ เสร็จสิ้นไปแลว. บทวา พฺรหมฺ จรยิ  ไดแก มคั คพรหมจรรย พระเสขะ๗ จําพวก พรอ มดว ยกัลยา ปถุ ชุ นทัง้ หลาย ชือ่ วา ยงั ประพฤติพรหมจรรยอยู(สว น) พระขีณาสพ ชอื่ วา อยูจบพรหมจรรยแ ลว เพราะฉะนั้น ทา นเม่ือพิจารณาการอยปู ระพฤตพิ รหมจรรยข องตน ยอ มรชู ัดวา พรหมจรรยเราอยูจบแลว . บทวา กต กรณยี  มีอธบิ ายวา กิจทง้ั ๑๖ อยา ง ดว ยสามารถแหง การบรรลุ โดยปรญิ ญากจิ ปหานกิจ สจั ฉกิ ริ ิยากจิ และภาวนากจิดว ยมรรคท้ัง ๔ ในสจั จะทั้ง ๔ อันทา นใหสําเร็จเสรจ็ สน้ิ แลว . เพราะวากัลยาณปถุ ชุ นเปน ตน กําลงั กระทาํ กิจนนั้ อยู สวนพระขณี าสพกระทาํ กจิ เสรจ็

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 247แลว เพราะฉะนัน้ ทานเม่อื พิจารณากิจทต่ี นจะตอ งทํา ยอมรชู ดั วา กิจที่ควรทําเราทําเสรจ็ แลว . บทวา นาปร อติ ถฺ ตตฺ าย ความวา ทา นยอมรูชดั วา กจิ คือการบาํ เพญ็ มรรค เพอ่ื ความเปน อยา งน้อี กี คอื เพือ่ ความเปน กิจ๑๖ อยาง หรือเพอ่ื ความส้ินกิเลสอยางน้ี ไมม แี กเรา. อกี อยา งหนงึ่ บทวา อติ ฺถตตฺ าย ความวา รชู ัดวา การสบื ตอแหง ขันธ อน่ื จากความเปนอยา งนี้ คือจากการสบื ตอ แหง ขนั ธ ที่มีอยใู นปจ จุบันมีประการอยา งน้ี นีไ้ มมแี กเรา เบญจขันธเหลา น้ี ท่ีเรากําหนดรูแลวยงั ดํารงอยู (แตเ ปน) เหมือนตน ไมท่มี ีรากขาดแลว เบญจขันธเหลา น้ันจักดับไปเพราะวิญญาณดวงสุดทา ยดับ เหมอื นเปลวไฟท่ีหมดเชื้อแลว ดับไปฉะนั้น. วิชชา คอื อรหัตมัคคญาณ ชอ่ื วา วิชชาในที่นี.้ อวิชชา ท่ีปด บงั อริยสัจ ๔ ไว ชอ่ื วา อวชิ ชา. คําท่เี หลือมนี ยั ดงั กลา วแลว. บทวา อนุจฺจาวจสลี สฺส ความวา ผูทมี่ ีศีล บางเวลาเส่อื ม บางเวลาเจรญิ ช่อื วา มศี ลี ลมุ ๆ ดอน ๆ. สว นพระขณี าสพมีศีลเจรญิ โดยสวนเดยี วเทานน้ั . เพราะฉะน้ัน ทานจึงชือ่ วา มศี ลี ไมลมุ ๆ ดอน ๆ บทวาวสภี ูต ไดแ ก ถึงความชํานาญ. บทวา สสุ มาหติ  ไดแกตัง้ ไวดวยดี คอืตงั้ ไวด ีแลวในอารมณ. บทวา ธรี  ไดแก ผสู มบรู ณดว ยปญญาท่จี ําทรง.บทวา มจจฺ หุ ายนิ  ไดแกล ะท้งิ มจั จรุ าชแลว ดํารงอย.ู บทวา สพฺพปฺปหายินไดแก ละบาปธรรมท้งั หมดแลว ดาํ รงอย.ู บทวา พุทฺธ ไดแ ก ตรัสรสู ัจจะทัง้ ๔. บทวา อนฺตมิ เทหธาร ความวา ทรงไวซึ่งรางกายครัง้ หลงั สุด.บทวา ต นมสสฺ นติ โคตม ความวา สาวกของพระพุทธเจาท้ังหลายนมัสการพระองคผ ูโคตมโคตร. อกี อยา งหน่งึ มอี ธิบายวา แมส าวกของพระพทุ ธเจา ทรงพระนามวา โคตมะ กช็ อ่ื วา โคตมะ เทวดาและมนุษยทั้งหลาย นมสั การสาวกผูช่ือวา โคตมะน้นั .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 248 บทวา ปุพเฺ พนิวาส ไดแ ก ขนั ธท อี่ ยอู าศยั ในชาตกิ อนสบื ตอ กันมาบทวา โยเวติ ความวา ผใู ดไมเส่อื ม คอื ไมต กต่ํา. ปาฐะวา โยเวทิ ดังน้ีกม็ ี อธิบายวา ผใู ดไดรูแลว คือทาํ ส่งิ ทีร่ ูแ ลวใหปรากฏดาํ รงอยู บทวาสคฺคาปายจฺ ปสฺสติ ความวา ผูน ้นั เห็นสวรรคช ้ันกามาวจร ๖ ช้ันพรหมโลก ๙ ช้นั และอบายท้ัง ๔. บทวา ชาตกิ ฺขย ปตฺโต ความวาบรรลอุ รหตั ผล. บทวา อภิ ฺ าโวสิโต ความวา อยูดวยการสน้ิ สดุ กจิเพราะร.ู มนุ ี คอื พระขณี าสพ ผปู ระกอบดว ยความเปน ผูรู ช่ือวา มนุ .ีบทวา เอตาหิ ความวา ดวยญาณทั้งหลาย มปี ุพเพนวิ าสานสุ ติญาณเปน ตนทที่ รงแสดงไวแลว ในหนหลงั . บทวา นาฺ  ลปต ลาปน ความวาแตเ ราตถาคตไมเรียกคนอนื่ ท่ีเรยี กเอาอยา ง ทค่ี นอื่นเรยี กวา เตวิชโฺ ช (ผูม ีวิชชา ๓) วาเปน เตวชิ ฺโช. อธบิ ายวา เราตถาคตเรยี กผรู ู โดยประจกั ษแกต นแลว บอกวชิ ชา ๓ แกผูอื่นดวย วาเปนผมู วี ิชชา ๓. บทวา กล แปลวาสวน. บทวา นาคฺฆติ แปลวา ไมถ ึง. บดั น้ี พราหมณเล่อื มใสพระพทุ ธพจนแลว เม่อื จะแสดงอาการของผูเลอื่ มใส จงึ ไดกลา วคํามอี าทวิ า อภกิ ฺกนฺตดังนี้. จบอรรถกถาติกณั ณสูตรท่ี ๘.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 249 ๙. ชานุสโสณีสตู ร วา ดว ยวิชชา ๓ ของพราหมณแ ละพุทธะ [๔๙๙] คร้งั น้นั แล ชานสุ โสณพี ราหมณไ ดเขาไปเฝาพระผูมพี ระ-ภาคเจาถึงทีป่ ระทบั ฯลฯ ครนั้ แลวไดกราบทลู วา ขาแตพ ระโคดมผเู จริญผใู ดมยี ญั สิง่ ท่พี ึงใหดว ยศรัทธา อาหารท่ีจะพงึ ใหแกค นอน่ื หรอื ไทยธรรมผนู ั้นควรใหท านในพราหมณผูไดว ชิ ชา ๓ พระผูมีพระภาคเจาตรัสถามวาดูกอ นพราหมณ กพ็ ราหมณท้งั หลายยอมบญั ญตั ิพราหมณว าไดวิชชา ๓ อยางไร. ชา. ขา แตพ ระโคดมผเู จริญ พราหมณในโลกนี้ เปนอภุ โตสุชาตท้งั ขา งฝายมารดาและฝา ยบดิ า มีครรภเปนที่ถือปฏสิ นธิ สะอาดดตี ลอด ๗ช่ัวบรรพบรุ ษุ ไมมีใครจะคัดคา นตเิ ตียนไดด วยอา งถงึ ชาติ เปนผูเลา เรียนทรงจํามนต รจู บไตรเพท พรอมทั้งคัมภรี นิฆัณฑุ คัมภีรเกฏภ ะ พรอมท้งัประเภทอักษรมีคมั ภรี อ ิตหิ าสเปน ท่ี ๕ เปนผเู ขาใจตัวบท เปนผเู ขาใจไวยากรณชาํ นาญในคัมภรี โลกายตะและตําราทาํ นายมหาปุริสลกั ษณะ ขา แตพ ระโคดม-ผเู จริญ กพ็ ราหมณท้งั หลายยอมบัญญัติพราหมณว าไดวิชชา ๓ อยางนแ้ี ล. พ. ดูกอนพราหมณ พราหมณท ง้ั หลายยอ มบัญญัติพราหมณวาไดวชิ ชา ๓ อยา งหนง่ึ ก็แหละผูไดวชิ ชา ๓ ในอรยิ วนิ ัยเปนอยางหน่งึ . ชา. ขาแตพ ระโคดมผูเจริญ ผูไดว ชิ ชา ๓ ในอรยิ วินยั ยอ มมีอยา งไร ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองคโ ปรดทรงแสดงธรรมแกข าพระองคตามท่ีผไู ดวิชชา ๓ มีในอรยิ วนิ ยั . พ. ดกู อ นพราหมณ ถา กระน้นั จงฟง จงใสใจใหดี เราจักกลาวชานสุ โสณีพราหมณท ลู รับพนระผูมีพระภาคเจาแลว พระผูมีพระภาคเจาจึงได

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 250ตรัสวา ดกู อ นพราหมณ ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี สงดั จากกาม ฯลฯ บรรลุจตุตถฌานอยู ภกิ ษนุ น้ั เมือ่ จิตเปนสมาธิ บริสุทธ์ผิ อ งแผว ไมม ีกเิ ลสปราศจากกิเลส ออ น ควรแกก ารงาน ต้งั มัน่ ไมหวน่ั ไหวอยา งนี้ ยอ มโนมนอมจติ ไปเพอื่ ปพุ เพนิวาสานุสตญิ าณ เธอยอมระลกึ ถงึ ชาติกอน ๆ ไดเปนอันมาก ฯลฯ วชิ ชาขอแรกเปน อันเธอไดบ รรลุแลว ดงั นี้ อวิชชาสูญไปวชิ ชาเกิดขน้ึ ความมดื สูญไป แสงสวา งเกิดขน้ึ เชนเดยี วกันกบั ของภกิ ษุผูไมป ระมาท มคี วามเพยี ร สงตนไปแลว อยู ฉะนั้น. ภิกษุนั้น เมื่อจติ เปนสมาธิบรสิ ทุ ธิ์ผอ งแผว ไมมกี ิเลส ปราศจากอปุกเิ ลส ออน ควรแกการงาน มั่นคงไมห วัน่ ไหวอยางน้ี ยอ มโนมนอมจิตไปเพ่อื รจู ุตแิ ละอปุ บตั ิของสัตวท ั้งหลาย เธอยอ มเห็นหมสู ัตว ฯลฯ ดวยทิพยจักษุอันบริสทุ ธ์ิลว งจักษุของมนษุ ย วิชชาขอ ทีส่ องยอ มเปน อันเธอไดบรรลแุ ลวดังน้ี อวิชชาสูญไป วชิ ชาเกดิ ขึน้ ความมดื สูญไป แสงสวา งเกดิ ขนึ้ เชนเดยี วกันกับของภกิ ษผุ ไู มป ระมาท มคี วามเพยี ร สง ตนไปแลวอยู ฉะนนั้ . ภกิ ษนุ ้ัน เม่ือจิตเปน สมาธิ บริสทุ ธ์ผิ อ งแผว ไมม กี เิ ลส ปราศจากอุปกเิ ลส ออ น ควรแกก ารงาน ตั้งมั่นไมห วั่นไหวอยางน้ี ยอมโนม นอ มจติ ไปเพอื่ อาสวกั ขยญาณ ยอ มรูชดั ตามความเปน จริงวา นท้ี ุกข ฯลฯ น้ที ุกขนโิ รธคา-มนิ ปี ฏปิ ทา เหลา นีอ้ าสวะ ฯลฯ น้ีขอ ปฏบิ ตั ิใหถ ึงความดับอาสวะ เมอ่ื เธอรูเ ห็นอยา งนี้ จติ ยอ มหลดุ พน แมกามาสวะ. แมจากภวาสวะ แมจากอวิชชาสวะเมอื่ จติ หลดุ พน แลว กม็ ญี าณหยัง่ รวู าหลุดพน แลว รชู ดั วา ชาติสน้ิ แลว พรหม-จรรยอยูจบแลว กจิ ทคี่ วรทาํ ทาํ เสร็จแลว กจิ อ่นื เพ่อื ความเปน อยางน้มี ไิ ดมีวชิ ชาขอท่ีสาม ยอมเปนอนั เธอไดบ รรลุแลว ดงั น้ี อวชิ ชาสูญไป วิชชาเกดิ ข้นึความมืดสญู ไป แสงสวา งเกดิ ขึน้ เชน เดยี วกนั กับของทภ่ี ิกษผุ ไู มประมาทมีความเพยี ร สงตนไปแลว อยู ฉะน้ัน.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook