Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_34

tripitaka_34

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_34

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 533บทวา ตทฺธมิ ตุ โฺ ต ไดแ กนอมใจไปในฌานนั้นแหละ. บทวา ตพพฺ หลุ วิ หารีไดแก อยกู ับฌานน้ันเปนสวนมาก. บทวา สหพยฺ ต อปุ ปชชฺ ติ ไดแกเขา ถงึ ความเปน สหาย อธิบายวา ยอมบังเกดิ ในเทวโลกนัน้ . คาํ มีอาทวิ า นิรยมฺป คจฺฉติ พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสหมายถงึ การไปนรกนน้ั ดวยสามารถแหงปรยิ ายอ่ืน เพราะไมพ น จากนรกเปนตน ไปไดเพราะวา เขาไมมอี กศุ ลกรรมท่มี กี ําลงั มากกวาอุปจารฌาน ซึง่ จะเปน เหตุใหเกดิ ในอบายติดตอกนั . บทวา ภควโต ปน สาวโก ไดแ กพ ระสาวกองคใดองคห นึง่ บรรดาพระสาวกผเู ปน พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามที ัง้ หลาย. บทวา ตสฺมึเยว ภเว ไดแก ในอรูปภพนน่ั เอง.บทวา ปรนิ ิพฺพายติ ความวา จะปรินิพพาน ดว ยปรนิ พิ พานท่ีหาปจ จัยมิได.ความเพียรเปนเครือ่ งประกอบอยา งยิง่ ชือ่ วา อธิปฺปายาโส คําที่เหลอื ในพระสูตรน้ี พงึ ทราบตามนัยที่กลาวมาแลว นนั่ แล. อนึ่ง ในพระสูตรน้ี ฌานที่จะเปน เหตใุ หอุปบัติ พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ไวสําหรบั ปถุ ชุ น สําหรับพระอรยิ สาวก ตรสั ท้งั ความทเ่ี ปน เหตใุ หอ ุปบตั นิ ่ันเอง ทง้ั ฌานท่เี ปน บาทแหงวปิ สสนาดวย. จบอรรถกถาอาเนญชสตู รท่ี ๔ ๕. อยสูตร วาดว ยวบิ ตั ิ ๓ และสมั ปทา ๓ [๕๕๗] ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย วิบตั ิ (ความเสยี ) ๓ น้ี วิบตั ิ ๓ คอือะไร คอื สีลวิบตั ิ (ความเสียทางศีล) จติ ตวิบตั ิ (ความเสียทางจติ ) ทฏิ ฐิ-วบิ ัติ (ความเสียทางทฏิ ฐิ)

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 534 สีลวิบัตเิ ปน อยา งไร ? คนลางคนในโลกน้ี เปน คนมักทําปาณาติบาตอทินนาทาน กาเมสุมจิ ฉาจาร มักพูดมสุ าวาท ปส ุณาวาจา (คาํ สอเสยี ด)ผรสุ วาจา (คาํ หยาบ) สมั ผัปปลาป (คําเหลวไหล) นเี่ รียกวา สีลวบิ ัติ จติ ตวบิ ัตเิ ปนอยางไร ? คนลางคนในโลกนี้ เปน คนมอี ภิชฌา(เห็นแกไ ด) มใี จพยาบาท นเ่ี รียกวา จิตตวิบัติ ทฏิ ฐิวบิ ตั เิ ปนอยา งไร ? คนลางคนในโลกนี้ เปนมิจฉาทฎิ ฐิมคี วามเหน็ วิปรติ (ผดิ จากคลองธรรม) วา (๑) ทานไมม ผี ล (๒) การบชู าไมม ผี ล (๓) การบวงสรวงไมมผี ล (๔) ผลวบิ ากของกรรมดแี ละชัว่ ไมม ี (๕)โลกนีไ้ มมี (๖) โลกอ่นื ไมม ี (๗) มารดาไมมี (๘) บิดาไมม ี (๙) สตั วทีเ่ ปน โอปปาตกิ ะไมม ี (๑๐) สมณพราหมณผ ูดาํ เนนิ ถูกทางผปู ฏบิ ัตชิ อบท่ีกระทาํ ใหแ จงดว ยปญ ญาอนั ย่งิ ดว ยตนเองแลว สอนโลกน้แี ละโลกอ่นื ใหรูไมม ใี นโลก นีเ่ รียกวา ทิฏฐวิ ิบตั ิ สตั วท ้งั หลายเพราะกายแตกไปยอมเขา ถงึ อบายทคุ ตวิ ินบิ าตนรก เหตุ-สลี วิบตั ิบาง เหตจุ ติ ตวิบัตบิ าง เหตทุ ิฏฐิวิบตั บิ าง น้ีแล ภกิ ษุทัง้ หลาย วบิ ัติ ๓ ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย สัมปทา (ความถงึ พรอม) ๓ น้ี สัมปทา ๓คอื อะไร คอื สีลสมั ปทา จติ ตสมั ปทา ทิฏฐสิ มั ปทา สีลสัมปทาเปน อยางไร ? คนลางคนในโลกน้เี ปนผูเวนจากปาณา-ตบิ าต อทินนาทาน กาเมสมุ ิจฉาจาร เวน จากมสุ าวาท ปสณุ าวาจา ผรุสวาจาสมั ผัปปลาป นี้เรียกวาสลี สัมปทา จิตตสมั ปทาเปน อยา งไร ? คนลางคนในโลกน้ไี มมอี ภิชฌา ไมม ีใจพยาบาท นเี่ รียกวา จติ ตสัมปทา

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 535 ทฏิ ฐิสมั ปทาเปนอยา งไร ? คนลางคนในโลกนี้ เปน สัมมาทิฏฐิมีความเห็นไมวปิ ริตวา (๑) ทานมีผล (๒) การบชู ามผี ล (๓) การบวงสรวงมผี ล (๔) ผลวิบากของกรรมดแี ละช่วั มี (๕) โลกนม้ี ี (๖) โลกอน่ื มี (๗)มารดามี (๘) บดิ ามี (๙) สัตวทีเ่ ปนโอปปาตกิ ะมี (๑๐) สมณพราหมณผูดําเนินถูกทาง ผูป ฏบิ ตั ิชอบ ท่ีกระทาํ ใหแจงดวยปญญาอนั ยง่ิ ดว ยตนเองแลว สอนโลกน้ีและโลกอ่ืนใหรมู อี ยูใ นโลก น่เี รียกวาทฏิ ฐิสัมปทา สตั วทัง้ หลายเพราะกายแตกตายไป ยอ มเขา ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค เหตุ-สลี สมั ปทาบา ง เหตจุ ติ ตสมั ปทาบาง เหตทุ ิฏฐิสัมปทาบาง นแ้ี ล ภกิ ษุท้ังหลาย สมั ปทา ๓. จบอยสตู รที่ ๕ อรรถกถาอยสตู ร พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในอยสูตรที่ ๕ ดงั ตอไปนี้ :- บทวา สีลวปิ ตตฺ ิ ไดแก อาการท่ศี ีลวิบตั ิ. แมใ นบทที่เหลอื กม็ นี ัยนี้แหละ. ดว ยบทวา นตฺถิ ทินฺน พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั หมายเอาความที่ทานท่ีใหแ ลว ไมม ีผล. การบูชาใหญ เรียกวา ยิฏะ. ลาภสักการะทเ่ี พยี งพอทรงประสงคเ อาวา หุตะ. มจิ ฉาทฏิ ฐิบคุ คล หา มยฏิ ะ และหตุ ะ ท้ังสองนน้ั วา ไมมผี ลเลย. บทวา สุกฏทกุ ฺกฏาน ไดแ ก กรรมท่ที าํ ดแี ละทําช่วัอธิบายวา ไดแ กกุศลกรรม และอกุศลกรรม. ดว ยบทวา ผล วปิ าโกมจิ ฉาทฏิ ฐบิ คุ คลกลาวสง่ิ ท่เี รยี กวา ผล หรือ วิบาก วา ไมม .ี

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 536 บทวา นตฺถิ อย โลโก ความวา โลกนีไ้ มม สี ําหรับผทู ี่ตัง้ อยูในโลกหนา . บทวา นตถฺ ิ ปโร โลโก ความวา โลกหนาไมม ีแมส ําหรับผูต ัง้ อยใู นโลกน.ี้ มิจฉาทิฏฐบิ ุคคล แสดงวา สตั วทัง้ หมด (ตายแลว ) ยอมขาดสญู ในโลกนั้น ๆ นัน่ เอง. ดวยบทวา นตฺถิ มาตา นตถฺ ิ ปตามจิ ฉาทิฏฐบิ ุคคล กลาวโดยสามารถแหง การปฏบิ ตั ิชอบ และการปฏิบัติผิดในมารดา บดิ า เหลา นนั้ วา ไมม ีผล. บทวา นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกาความวา ขนึ้ ชื่อวาสัตว ท่ีจะจุตแิ ลวเกดิ ไมม ี. ความบริบรู ณ ช่ือวา สมฺปทาความท่ีศลี บริบรู ณไ มบ กพรอ ง ช่อื วา สลี สมั ปทา. แมในบทท้งั สองที่เหลอืก็มนี ัยนเี้ หมอื นกนั . บทวา อตฺถิ ทินฺน เปนตน นักศึกษาพึงถือเอาโดยนัยท่ตี รงขามกบั ท่ีกลาวมาแลว. จบอรรถกถาอยสตู รที่ ๕ ๖. อปณณกสูตร วา ดว ยวบิ ตั ิ ๓ และสมั ปทา ๓ [๕๕๘] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย วิบตั ิ ๓ น้ี วบิ ตั ิ ๓ คอื อะไร คือสีลวบิ ตั ิ จิตตวิบตั ิ ทิฏฐิวบิ ตั ิ สลี วบิ ัตเิ ปน อยางไร ? คนลางคนในโลกนี้ เปน ผูมกั ทําปาณาตบิ าตฯลฯ สมั ผัปปลาป นีเ้ รยี กวา สีลวิบตั ิ จติ ตวบิ ัติเปนอยางไร ? คนลางคนในโลกนีเ้ ปน ผูมอี ภิชฌา มใี จพยาบาท นี่เรยี กวา จติ ตวิบัติ

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 537 ทิฏฐิวบิ ตั ิเปน อยางไร ? คนลางคนในโลกนีเ้ ปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ มคี วามเหน็ วปิ ริตวา (๑) ทานไมมีผล ฯลฯ สอนโลกน้แี ละโลกอ่ืนใหร ูไมม ใี นโลกนเ่ี รยี กวา ทิฏฐิวบิ ัติ สัตวท ้งั หลายเพราะกายแตกตายไป ยอมเขา ถึงอบายทคุ ติวนิ บิ าตนรกเหตสุ ลี วบิ ตั บิ า ง เหตุจติ ตวบิ ัตบิ า ง เหตุทิฏฐวิ บิ ตั ิบาง เปรียบเหมือนลกู บาศกซดั ข้ึนแลว ยอ มกลับมาตั้งอยูโ ดยทีใ่ ด ๆ ก็กลบั มาตงั้ อยอู ยางดี ฉันใด สัตวทั้งหลายเพราะกายแตกตายไป ฯลฯ เหตทุ ฏิ ฐิวบิ ัติบาง ฉันน้นั เหมือนกัน นแี้ ล ภิกษทุ งั้ หลาย วิบตั ิ ๓ ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย สัมปทา ๓ นี้ สมั ปทา ๓ คอื อะไรบา ง คือสลี สัมปทา จติ ตสัมปทา ทิฏฐสิ ัมปทา สีลสมั ปทาเปนอยา งไร ? คนลางคนในโลกนเี้ ปนผูเ วนจากปาณา-ตบิ าต ฯลฯ สมั ผัปปลาป น่ีเรียกวา สลี สัมปทา จติ ตสัมปทาเปน อยางไร ? คนลางคนในโลกนเี้ ปน ผไู มม ีอภิชฌาไมม ีใจพยาบาท นเี่ รียกวา จติ ตสมั ปทา ทฏิ ฐิสมั ปทาเปน อยา งไร ? คนลางคนในโลกน้เี ปนสัมมาทิฏฐิ มีความเหน็ ไมวิปรติ วา (๑) ทานมผี ล ฯลฯ สอนโลกนี้และโลกอ่นื ใหรู มอี ยูในโลก น่เี รียกวา ทิฏฐิสัมปทา สตั วท ัง้ หลายเพราะกายแตกตายไปยอ มเขาถงึ สุคติโลกสวรรค เหตุสีลสมั ปทาบา ง เหตุจิตตสัมปทาบา ง เหตทุ ิฏฐิสมั ปทาบา ง เปรียบเหมือนลูกบาศก ซดั ขึ้นแลว ยอมกลบั มาตั้งอยโู ดยทีใ่ ด ๆ ก็กลับมาตัง้ อยอู ยางดีฉนั ใด สตั วท ้งั หลายเพราะกายแตกตายไป ฯลฯ เหตทุ ฏิ ฐิสัมปทาบาง ฉันน้นัเหมือนกนั น้ีแล ภิกษทุ ัง้ หลาย สัมปทา ๓ จบอปณ ณกสตู รท่ี ๖

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 538 อรรถกถาอปณ ณกสูตร พงึ ทราบวินจิ ฉัยในอปณณกสูตรที่ ๖ ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา อปณฺณโก มณิ ไดแกล กู บาศก (ลกู สะกา) อันประกอบแลวดว ย เหล่ียม ๖ เหล่ียม. บทวา สุคตึ สคฺค ไดแก โลกคอื สวรรคในบรรดาสวรรค ๖ ชน้ั มชี น้ั จาตุมหาราชิกาเปน ตน อยางใดอยา งหนงึ่ .ในพระสตู รนี้ ตรัสธรรมท้ังสองประการ คือศีลและสมั มาทฏิ ฐิ คลกุ เคลา กนั ไป จบอรรถกถาอปณ ณกสูตรท่ี ๖ ๗. กัมมนั ตสูตร วาดว ยเรือ่ งวิบัติ ๓ และสมั ปทา ๓ [๕๕๙] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย วิบัติ ๓ น้ี วิบตั ิ ๓ คอื อะไรบา งคอื กมั มันตวบิ ตั ิ (ความเสยี ทางการงาน) อาชีววบิ ตั ิ (ความเสยี ทางอาชพี )ทิฏฐวิ บิ ัติ (ความเสยี ทางความเหน็ ) กัมมันตวิบัตเิ ปน อยา งไร ? คนลางคนในโลกน้ีเปน ผูมักทําปาณา-ติบาต ฯลฯ สัมผัปปลาป น่ีเรียกวา กัมมันตวิบตั ิ อาชีววิบตั เิ ปนอยา งไร ? คนลางคนในโลกนีเ้ ปนผูหาเลี้ยงชีพในทางผิด สําเร็จความเปนอยูโ ดยมจิ ฉาอาชีวะ น่ีเรียกวา อาชีววิบตั ิ ทิฏฐิวิบตั ิเปนอยางไร ? คนลางคนในโลกนี้เปนมจิ ฉาทฏิ ฐิ มีความเหน็ วปิ ริตวา ฯลฯ (๑) ทานไมมีผล ฯลฯ สอนโลกนีแ้ ละโลกอื่นใหรู ไมมีในโลก น่เี รยี กวา ทฏิ ฐิวบิ ตั ิ

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 539 นีแ้ ล ภกิ ษุทงั้ หลาย วิบัติ ๓ ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย สมั ปทา ๓ น้ี สมั ปทา ๓ คืออะไรบา ง คอืกมั มันตสัมปทา (ความดที างการงาน) อาชวี สัมปทา (ความดีทางอาชีพ)ทฏิ ฐสิ มั ปทา (ความดที างความเห็น) กัมมันตสัมปทาเปนอยา งไร ? คนลางคนในโลกนี้เปน ผูเวนจากปาณาตบิ าต ฯลฯ สัมผัปปลาป นีเ่ รียกวา กมั มันตสมั ปทา อาชวี สมั ปทาเปนอยางไร ? คนลางคนในโลกนี้เปน ผหู าเลี้ยงชีพในทางชอบ สําเร็จความเปน อยูโ ดยสมั มาอาชีวะ น่ีเรียกวา อาชวี สัมปทา ทิฏฐิสัมปทาเปน อยางไร ? คนลางคนในโลกน้เี ปนสมั มาทิฏฐิ มีความเหน็ ไมวิปรติ วา ทานมผี ล ฯลฯ สอนโลกนีแ้ ละโลกอนื่ ใหรูมี อยใู นโลกนเี่ รียกวา ทฏิ ฐิสัมปทา. นแี้ ล ภกิ ษทุ ัง้ หลาย สมั ปทา ๓ จบกมั มนั ตสูตรท่ี ๗* ๘. ปฐมโสเจยยสูตร วาดวยความสะอาด ๓ อยาง [๕๖๐] ดูกอนภิกษุท้งั หลาย โสไจยะ(ความสะอาด) ๓ นี้ โสไจยะ๓ คอื อะไรบาง คือ กายโสไจยะ (ความสะอาดทางกาย) วจโี สไจยะ(ความสะอาดทางวาจา) มโนโสไจยะ (ความสะอาดทางใจ) กายโสไจยะเปน อยางไร ? คนลางคนในโลกนี้เปน ผูเวน จากปาณา-ตบิ าต อทนิ นาทาน กาเมสุมิจฉาจาร น่ีเรียกวา กายโสไจยะ* กัมมนั ตสูตรท่ี ๗. มเี นื้อความงา ยทั้งนนั้

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 540 วจีโสไจยะเปน อยา งไร ? คนลางคนในโลกน้เี ปน ผเู วนจากมุสาวาทปส ณุ าวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาป น่ีเรยี กวา วจีโสไจยะ มโนโสไจยะเปนอยางไร ? คนลางคนในโลกนเี้ ปนผูไ มม อี ภิชฌาไมมใี จพยาบาท เปน สมั มาทิฏฐิ นเ่ี รยี กวา มโนโสไจยะ นแ้ี ล ภกิ ษุท้ังหลาย โสไจยะ ๓. จบปฐมโสเจยยสูตรท่ี ๘ อรรถกถาโสเจยยสตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในปฐมโสเจยยสูตรที่ ๘ ดงั ตอ ไปน้ี :- ความสะอาด ชือ่ วา โสเจยฺย . ความสะอาดใน กายทวาร ชื่อวากายโสเจยยฺ  . แมใ นบททัง้ สองท่เี หลอื ก็มีนัยนแี้ หละ. กใ็ นพระสตู ร ๔ สูตรเหลาน้ี ตามลําดบั พระผูมีพระภาคเจา ตรัสขอปฏิบตั สิ ําหรับผคู รองเรือนไวแ ลว. ถงึ พระอริยบุคคลผเู ปน โสดาบัน และพระสกทาคามี กใ็ ชได. จบอรรถกถาปฐมโสเจยยสตู รท่ี ๘ ๙. ทตุ ยิ โสเจยยสูตร วาดว ยความสะอาด ๓ อยาง [๕๖๑] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย โสไจยะ ๓นี้ โสไจยะ ๓ คอื อะไรบางคอื กายโสไจยะ วจีโสไจยะ มโนโสไจยะ กายโสไจยะเปน อยา งไร ? ภิกษใุ นพระธรรมวินัยน้เี ปน ผูเวน จากปาณาติบาต เวนจากอทินนาทาน เวน จากอพรหมจรรย (เมถุน) น่ีเรียกวากายโสไจยะ

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 541 วจโี สไจยะเปนอยา งไร ? ภิกษใุ นพระธรรมวินยั นเ้ี ปน ผูเวนจากมุสาวาท เวน จากปส ณุ าวาจา เวนจากผรุสวาจา เวน จากสมั ผัปปลาป น่เี รยี กวาวจีโสไจยะ มโนโสไจยะเปน อยางไร ? ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ัยนี้ (นวิ รณ ๕คอื ) กามฉันทะ (ความพอใจในกาม) กด็ ี พยาบาท (ความปองรา ย) ก็ดีถนี มิทธะ (ความทอ แทแ ละความงวง) ก็ดี อทุ ธจั จกุกกุจจะ (ความฟงุ ซานและความราํ คาญใจ) กด็ ี วิจิกจิ ฉา (ความเคลือบแคลง ลงั เล) ก็ดีมอี ยใู นใจ ก็รวู า กามฉนั ทะ ฯลฯ วจิ กิ จิ ฉา มอี ยูในใจของตน กามฉันทะฯลฯ วิจิกจิ ฉา ไมมอี ยูในใจ ก็รวู า กามฉันทะ ฯลฯ วิจิกิจฉา ไมมีอยูใ นใจของตน ยอมรูทางเกิดแหงกามฉันทะ ฯลฯ วิจิกิจฉาทยี่ งั ไมเ กดิ รูว ธิ ีละกามฉันทะ ฯลฯ วจิ กิ จิ ฉาทเี่ กดิ แลว และรูอบุ ายทาํ กามฉันทะ ฯลฯ วจิ ิกจิ ฉาท่ีละไดแ ลวมใิ หเ กดิ ตอ ไปดว ย น่ีเรยี กวา มโนโสไจยะ. เหลานแี้ ล ภกิ ษุทั้งหลาย โสไจยะ คือความสะอาด ๓ อยาง. บคุ คลผูสะอาดทางกาย สะอาดทาง วาจา สะอาดทางใจ ไมม อี าสวะ เปนคน สะอาดพรอ มดว ยคณุ ธรรมของคนสะอาด ปราชญท ้งั หลายกลา วบุคคลนนั้ วา ผูล า ง- บาปแลว. จบทุตยิ โสเจยยสูตรท่ี ๙

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนิกาย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 542 อรรถกถาทุตยิ โสเจยยสตู ร พึงทราบวินิจฉัยในทุติยโสเจยยสตู รที่ ๙ ดังตอไปน้ี:- บทวา อชฺฌตตฺ  ไดแกที่เปนไปในภายในแนนอน. นวิ รณ คอืกามฉันทะ ชอ่ื วา กามฉนั ทะ. แมในนวิ รณมีพยาบาทเปนตน กม็ ีนยั น้ีเหมือนกัน. คําที่เหลอื ในพระสตู รน้ี มีนัยดังกลา วแลวในหนหลังนน่ั แล. สว นในคาถา บทวา กายสจุ ึ ไดแกความสะอาดในกายทวาร หรอื ความสะอาดทางกาย. แมใ นบททัง้ สองทเี่ หลือ ก็มนี ยั นี้เหมือนกนั . บทวา นินฺหาตปาปกความวา ลา งคอื ชาํ ระบาปทงั้ หมดแลว ดํารงอย.ู ทัง้ โดยพระสูตรน้ี ท้งั โดยพระคาถา พระผูมีพระภาคเจาตรสั ถงึ พระขีณาสพอยางเดยี ว ฉะน้ีแล. จบอรรถกถาโสเจยยสตู รที่ ๙ ๑๐. โมเนยยสูตร วาดวยความเปน มุนี ๓ อยาง [๕๖๒] ดูกอนภิกษทุ ้งั หลายโมไนยะ (ความเปนมนุ ี คือนักปราชญ)๓นี้ โมไนยะ ๓ คืออะไรบา ง คอื กายโมไนยะ (ความเปน ปราชญทางกาย)วจีโมไนยะ (ความเปนปราชญทางวาจา) มโนโมไนยะ (ความเปนปราชญท างใจ) กายโมไนยะเปน อยา งไร ? ภิกษใุ นพระธรรมวินยั น้เี ปนผเู วน จากปาณาตบิ าต เวนจากอทินนาทาน เวนจากอพรหมจรรย นีเ้ รียกวา กาย-โมไนยะ

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 543 วจีโมไนยะเปนอยา งไร ? ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยั น้ีเปน ผเู วน จากมุสาวาท เวน จากปส ณุ าวาจา เวนจากผรสุ วาจา เวน จากสัมผปั ปลาป นเ้ี รยี กวาวจโี มไนยะ มโนโมไนยะเปนอยางไร ? ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยั นกี้ ระทําใหแจงซ่ึงเจโตวมิ ุตติปญญาวิมตุ ตอิ ันหาอาสวะมิได เพราะสิน้ อาสวะท้งั หลาย ดว ยปญ ญาอนั ยิง่ ดวยตนเองสาํ เร็จอยูในปจจุบนั น่ี น้เี รียกวามโนโมไนยะ นีแ้ ล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย โมไนยะ ๓. นิคมคาถา บคุ คลผูเปน ปราชญทางกาย เปน ปราชญทางวาจา เปนปราชญทางใจ หา อาสวะมไิ ด เปนปราชญพ รอมดวยคณุ ธรรมของปราชญ บัณฑิตกลาวบุคคลน้ัน วา ผูละบาปหมด. จบโมเนยยสตู รที่ ๑๐ จบอาปายิกวรรคที่ ๑ อรรถกถาโมเนยยสตู ร พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในโมเนยยสตู รที่ ๑๐ ดังตอ ไปน้ี :- ความเปนมุนี ช่ือวา โมเนยยะ. ความเปน มนุ ี คือความเปน สาธุชนไดแ กค วามเปน บณั ฑติ ในกายทวาร ช่ือวา กายโมเนยยะ. แมในบททง้ั สองที่เหลือ กม็ นี ยั นเ้ี หมือนกนั . บทวา อิท วจุ จฺ ติ ภกิ ขฺ เว กายโมเนยยฺ 

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 544ความวา จรงิ อยู การละกายทจุ รติ ๓ อยา งน้ี ชื่อวา กายโมเนยยะ. อนึ่งแมก ายสจุ ริต ๓ อยา ง กช็ อ่ื วา กายโมเนยยะ. ญาณทม่ี กี ายเปนอารมณ กช็ ื่อวากายโมเนยยะเหมือนกัน. การกําหนดรูกาย กช็ ่อื วา กายโมเนยยะ. มรรคท่ีสหรคตดวยปริญญา กช็ ื่อวา กายโมเนยยะ. การละฉันทราคะทางกายกช็ ่อื วา กายโมเนยยะ. การดับกายสังขาร และการเขาจตุตถฌาน ก็ชอ่ื วากายโมเนยยะ แมในวจโี มเนยยะ กม็ ีนัยนี้เหมือนกัน. สวนในวจีโมเนยยะ และมโนโมเนยยะ น้ีมีความแตกตา งกนัดงั ตอไปนี้ ในทีน่ ้ัน พึงทราบการเขา ทตุ ิยฌาน คอื การดับวจีสงั ขารวา ช่ือวาวจีโมเนยยะ เหมอื นการเขาจตุตถฌานในท่ีน.้ี คร้นั ทราบเน้อื ความในมโน-โมเนยยะ โดยนัยแมน ี้แลว ก็ควรทราบ การเขา สญั ญาเวทยติ นโิ รธ คอื การดบั จิตสงั ขารวา ช่อื วา มโนโมเนยยะ. บทวา กายมนุ ึ ไดแ กผ ูร ู คอื ผูส งู สดุ ไดแ กผูบ รสิ ทุ ธใ์ิ นกายทวารหรือผรู ูทางกาย. แมใ นบทท้ังสองท่ีเหลือ ก็มีนัยนีเ้ หมอื นกัน. บทวาสพพฺ ปปฺ หายิน ไดแ กพระขีณาสพ. เพราะวา พระขณี าสพช่ือวา สัพพปหายี(ผลู ะไดท้งั หมด) ฉะนแี้ ล. จบอรรถกถาโมเนยยสูตรที่ ๑๐ จบอาปายกิ วรรควรรณนาที่ ๒ รวมพระสตู รที่มีในวรรคนี้ คอื ๑. อาปายกิ สตู ร ๒. ทุลลภสตู ร ๓. อปั ปเมยยสูตร ๔. อาเนญช-สตู ร ๕. อยสูตร ๖. อปณณกสตู ร ๗. กัมมนั ตสตู ร ๘. ปฐมโสเจยยสตู ร๙. ทตุ ยิ โสเจยยสตู ร ๑๐. โมเนยยสตู ร และอรรถกถา.

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 545 กสุ ินาวรรคที่ ๓ ๑. กุสนิ ารสตู ร วาดว ยบณิ ฑบาตทม่ี ีผลมาก [๕๖๓] สมยั หนงึ่ พระผมู พี ระภาคเจา ประทับ ณ ราวปาชือ่ พลิหรณะ ใกลพระนครกุสินารา ฯลฯ ตรสั พระธรรมเทศนาวา ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภิกษุในพระธรรมวินยั นเี้ ขาไปอาศัยหมบู า นหรอื ตาํ บลแหง ใดแหง หนึง่ อยู คฤหบดหี รือบตุ รคฤหบดเี ขา ไปหาภกิ ษนุ ้ันนมิ นตร บั อาหารเชา ภกิ ษุจํานงอยูรบั นิมนต เม่ือลวงราตรีนั้น เวลาเชา เธอครองสบงแลว ถือบาตรและจีวรไปเรอื นของคฤหบดหี รือบุตรคฤหบดีนน้ัถงึ แลว น่ัง ณ อาสนะท่ีเขาจัดไว คฤหบดหี รือบตุ รคฤหบดี องั คาสเธอดว ยขาทนยี ะ (ของเค้ยี ว) โภชนียะ (ของกนิ ) อนั ประณตี ดว ยมอื ตน จนอม่ิ หนําพอเพียง เธอนึกชมวา ดีจรงิ คฤหบดหี รอื บตุ รคฤหบดผี ูน้ี เลยี้ งเราดวยขาทนียะโภชนียะอนั ประณีต ดว ยมือตน จนอ่มิ หนาํ พอเพียง นึกหวังตอ ไปวาโอหนอ คฤหบดีหรอื บุตรคฤหบดนี ี้ แมต อไปพึงเลีย้ งเราดว ยขาทนียะโภชนียะอันประณีตอยา งนี้ ดว ยมือตน จนอ่มิ หนาํ พอเพียงเถิด เธอติดใจหมกมนุ พัวพนัไมเ หน็ สวนทเ่ี ปนโทษ ไมมีปญญาสลัดออก ฉันบณิ ฑบาตน้ัน เธอตรกึ กามวิตกบาง ตรกึ พยาบาทวติ กบา ง ตรึกวหิ งิ สาวิตกบา ง ณ อาสนะท่ีน่งั ฉนั นนั้ภิกษทุ ้ังหลาย ทานท่ีใหแกภ กิ ษุชนิดนี้ เราหากลา ววา มผี ลมากไม เพราะเหตุอะไร เพราะภกิ ษเุ ปนผูมวั เมาอยู

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 546 ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ัยนเี้ ขาไปอาศัยหมูบา นหรอื ตําบลแหง ใดแหงหนง่ึ อยู คฤหบดีหรอื บุตรคฤหบดเี ขาไปหาภิกษุน้นันิมนตรบั อาหารเชา ฯลฯ คฤหบดหี รอื บตุ รคฤหบดนี ัน้ องั คาสเธอดวยขาทนยี ะโภชนยี ะอนั ประณีต ดว ยมอื ตน จนอิ่มหนําพอเพียง เธอไมนึกชมวา ดจี ริงฯลฯ จนอิม่ หนาํ พอเพียง ไมน กึ หวงั ตอ ไปวา โอหนอ ฯลฯ จนอม่ิ หนาํ พอเพียงเถดิ เธอไมตดิ ใจหมกมุนพัวพัน เหน็ สว นท่ีเปนโทษ มีปญญาสลัดออกไดฉนั บิณฑบาตน้นั เธอตรึกเนกขมั มวติ ก (ตรกึ ในทางพรากจากกาม) บางอพยาบาทวติ ก (ตรึกในทางไมพ ยาบาท) บาง อวหิ ิงสาวิตก (ตรกึ ในทางไมเบียดเบยี น) บา ง ณ อาสนะท่ีนงั่ ฉนั นัน้ ภิกษทุ ง้ั หลาย ทานทใี่ หแกภิกษุเชนน้ี เรากลาววา มผี ลมาก เพราะเหตุอะไร เพราะภิกษเุ ปนผูไ มม ัวเมาอยู. จบกสุ นิ ารสูตรท่ี ๑ กสุ ินารวรรควรรณนาที่ ๓ อรรถกถากสุ ินารสตู ร พึงทราบวินิจฉัยในกสุ นิ ารสูตรท่ี ๑ แหงวรรคที่ ๓ ดังตอไปนี้ :- บทวา กสุ ินารย ไดแ กใ นพระนครทีม่ ชี ือ่ อยา งนี.้ บทวา พลหิ ร-เณ วนสณฺเฑ ไดแกใ นไพรสณฑท่ีมีชือ่ อยางนี.้ ไดยนิ วา คนทงั้ หลายนาํพลกี รรมไป เพอื่ ทําพลีกรรมแกภ ตู ที่ไพรสณฑน้นั เพราะฉะนั้นไพรสณฑน ั้นชนทง้ั หลายจงึ เรยี กวา พลิหรณะ. บทวา อากงฺขมาโน ไดแกปรารถนาอย.ูบทวา สหตฺถา ไดแก ดว ยมอื ของตน. บทวา สมฺปวาเรติ ความวาหา มดว ยวาจาวา พอแลว พอแลว และดว ยการไหวมือ.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 547 บทวา สาธุ วต มาย ความวา ดีจริงหนอ (คหบดหี รือบตุ รแหง คหบดี) น้ี เลีย้ งเราใหอ มิ่ หนําสาํ ราญ. บทวา คธโิ ต ความวา ตดิ ใจดวยความยนิ ดีดว ยอํานาจตณั หา. บทวา มจุ ฉโิ ต ไดแก สยบแลวดว ยความสยบดวยอาํ นาจแหง ตณั หาน้นั เอง. บทวา อชโฺ ฌปนฺโน ความวากลนื ลงไปใหเ สร็จสน้ิ ดวยอาํ นาจแหงตัณหา. บทวา อนสิ ฺสรณปโฺ ความวา ภกิ ษผุ ลู ะฉนั ทราคะแลว ฉันภัตโดยฉดุ ตนออกจากความติดในรสจงึ จะชอ่ื วา ผมู ีปญ ญาเปน เครื่องสลดั ออก ภิกษุนไ้ี มเ ปนเชน นัน้ เธอยงั มีฉันทราคะอยู ฉนั อาหาร เพราะฉะน้ัน จึงชือ่ วา อนิสสฺ รณปโฺ (ผไู มมปี ญ ญาเปนเครือ่ งสลดั ออก). ธรรมฝา ยขาวบณั ฑติ พงึ ทราบ โดยผิดจากปริยายดังกลาวแลว . อน่ึง ในพระสูตรนี้พงึ ทราบวา พระองคตรัสเนกขมั ม-วติ กเปน ตน คละกันไปฉะน้แี ล. จบอรรถกถากุสนิ ารสูตรท่ี ๑ ๒. ภัณฑนสตู ร วาดวยเหตแุ หง ความบาดหมาง ๓ อยา ง [๕๖๔] ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุในทิศใด เกดิ แกง แยง ทะเลาะวิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันดวยหอกคอื ปาก แมแตนกึ ถึงทิศนน้ั กไ็ มเ ปนท่ีผาสกุ แกเรา ไมต อ งกลาวไปถึงการทภี่ กิ ษุเปนเชนน้นั เราแนใจวาเธอเหลานน้ั ละท้งิ ธรรม ๓ ประการ มวั ประกอบธรรม ๓ ประการ ละทิ้งธรรม๓ ประการคืออะไร คือ เนกขัมมวิตก อพยาบาทวิตก อวิหิงสาวิตก มัว-ประกอบธรรม ๓ ประการคอื อะไร คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วหิ ิงสาวิตกภกิ ษุท้งั หลาย ในทศิ ใด ภิกษเุ กดิ แกง แยง ทะเลาะวิวาทกัน ทมิ่ แทงกนั และกัน

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 548ดว ยหอกคอื ปาก แมแตน ึกถึงทิศนน้ั กไ็ มเปน ทผี่ าสุกแกเ รา ไมตองกลา วไปถึงในการท่ีภกิ ษเุ ปน เชนน้ัน เราแนใ จวา เธอเหลา นน้ั ละท้ิงธรรม ๓ ประการนี้มวั ประกอบธรรม ๓ ประการน้ี ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ในทศิ ใด ภกิ ษุพรอมเพรยี งกนั ชืน่ บานตอกันไมววิ าทกนั (กลมเกลยี วเปน อันหนึง่ อันเดยี วกัน) เปนประหนงึ่ วา นมประสมกบั นา้ํ มองดูกันและกันดว ยปยจกั ษุ (คอื สายตาของคนที่รกั ใครก ัน ) แมเ ราไปทางทิศนัน้ ก็เปน ที่ผาสุกแกเรา ไมต องกลาวเพยี งนกึ ในการที่ภกิ ษเุ ปนเชนนนั้ เราแนใ จวา เธอเหลานนั้ ละธรรม ๓ ประการเสยี ได ประกอบธรรม๓ ประการอยูม าก ละธรรม ๓ ประการคืออะไร คือ กามวิตก พยาบาทวติ กวิหิงสาวติ ก ประกอบธรรม ๓ ประการคอื อะไร คอื เนกขัมมวิตก อพยาบาท-วติ ก อวิหงิ สาวิตก ภกิ ษุทัง้ หลา ในทิศใด ภกิ ษพุ รอมเพรยี งกนั ชน่ื บานตอกนั ไมววิ าทกนั (กลมเกลยี วเปน อนั หน่ึงอันเดยี วกนั ) เปน ประหนง่ึ วานมประสมกบั น้ํา มองดูกันและกันดว ยปย จกั ษุ แมเ ราไปทางทิศน้นั กเ็ ปนที่ผาสกุ แกเ รา ไมตองกลา วเพยี งนกึ ในการท่ภี ิกษเุ ปนเชนนั้น เราแนใจวาเธอเหลาน้ันละธรรม ๓ ประการนีเ้ สียได ประกอบธรรม ๓ ประการน้อี ยมู าก. จบภณั ฑนสูตรที่ ๒ อรรถกถาภัณฑนสตู ร พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในภณั ฑนสูตรท่ี ๒ ดงั ตอ ไปน้ี :- บทวา ปชหึสุ แปลวา ยอ มละได. บทวา พหุลมก สุ ไดแกกระทําบอ ย ๆ. แมใ นพระสตู รน้ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั วิตก ๓ แมเ หลา น้ีคละกนั ไป. จบอรรถกถาภัณฑสูตรที่ ๒

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 549 ๓. โคตมสูตร วาดวยอาการทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงแสดงธรรม ๓ อยาง [๕๖๕] สมัยหน่งึ พระผูม ีพระภาคเจาประทับ ณ โคตมกเจดยี ใกลพ ระนครเวสาลี ฯลฯ ตรสั พระธรรมเทศนาวา ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย (๑) เราแสดงธรรมเพอ่ื ความรูยงิ่ เหน็ จรงิ มิใชเพ่ือความไมรยู ิ่งเห็นจริง (๒) เราแสดงธรรมประกอบดวยเหตุ มใิ ชไรเหตุ(๓) เราแสดงธรรมมีปาฏิหารยิ  (คือความอัศจรรยทผี่ ปู ฏบิ ัตติ าม ยอ มไดรบั ผลสมแกค วามปฏบิ ตั )ิ มใิ ชไมมีปาฏหิ ารยิ  ภกิ ษทุ งั้ หลาย เม่ือเราแสดงธรรมเพื่อความรูยง่ิ เห็นจรงิ มิใชเพ่อื ความไมร ูย ิง่ เหน็ จริง แสดงธรรมประกอบดว ยเหตุ มิใชไรเ หตุ แสดงธรรมมปี าฏหิ ารยิ  มใิ ชไมมีปาฏหิ ารยิ (เชนน้ัน) โอวาทานุศาสนีของเรา จึงควรท่ีบคุ คลจะพึงประพฤติกระทําตามและควรทที่ านทั้งหลาย จะยนิ ดี จะมีใจเปน ของตน จะโสมนสั วา พระผูม ีพระภาคเจา เปนผูตรัสรเู องโดยชอบแลว พระธรรมอนั พระผูมีพระภาคเจาตรสัดแี ลว พระสงฆเ ปน ผูปฏบิ ัติดีแลว. พระผมู พี ระภาคเจาตรัสพระธรรมเทศนานแ้ี ลว ภกิ ษเุ หลา นั้นช่นื ชมยนิ ดภี าษิตของพระผมู พี ระภาคเจายิง่ นกั กแ็ ลเมือ่ พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสไวยากรณเทศนานี้อยู สหสั สโี ลกธาตุ ไดห วนั่ ไหวแลว. จบโคตมสูตรท่ี ๓

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 550 อรรถกถาโคตมกเจติยสตู ร* พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในโคตมกเจตยิ สูตรที่ ๓ ดังตอ ไปน:ี้ - บทวา โคตมเก เจติเย ไดแกใ นทีอ่ าศยั (เทวสถาน) ของโคตมก-ยกั ษ. อธบิ ายวา ในปฐมโพธกิ าล โดยมาก พระตถาคตเจาประทบั อยูท ่ีเทวาลยั เทาน้นั เปน เวลาถึง ๒๐ พรรษาอยางนี้ คอื บางครงั้ ท่ีจาปาลเจดยี บางคร้ังท่ีสารนั ททเจดยี  บางคร้งั ทพ่ี หุปตุ ตเจดีย บางครั้งท่สี ตั ตมั พเจดยี แตในเวลาน้ี พระองคทรงอาศัยเมืองเวสาลี ประทับอยูแลว ในเทวสถานของโคตมกยกั ษ. ดวยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารยจ ึงกลา ววา โคตมเกเจติเย ดงั น.ี้ บทวา เอตทโวจ นี้ ความวา พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รสั คํานี้คอื พระสตู ร มอี าทวิ า อภิฺายาห ดังนี้. ก็แลในการบังเกดิ ขึ้นแหงเนื้อความ พระสตู รนี้ พึงทราบวา พระผูม ีพระภาคเจาตรัสไวแลว. ถามวาในการบังเกิดขนึ้ แตเ นื้อความไหน. ตอบวา ในการบงั เกิดขึน้ แหง เนอ้ื ความในมูลปรยิ ายสูตร. ไดท ราบวา พราหมณบรรพชิต จํานวนมาก เกดิ เมาความรขู น้ึเพราะอาศัยพระพทุ ธพจนท ีต่ นเคยเรยี นแลว ไมยอมไปโรงฟงธรรมดวยคดิ วาพระสมั มาสมั พทุ ธเจา เมือ่ จะตรสั ก็ตรสั คาํ ที่พวกเรารูแลวเทา น้ัน ไมต รัสคําที่พวกเรายงั ไมร ู ดังน.ี้ ภิกษุทง้ั หลายกราบทลู (ความนัน้ ) แกพ ระตถาคตเจาแลว พระศาสดาตรัสใหเ รียกภิกษเุ หลานน้ั มา ทรงถอื เอามุขปฏิญญา (การรับปากของภกิ ษเุ หลานั้น) แลวทรงแสดงมูลปรยิ ายสูตร ภกิ ษุเหลา นัน้ ไมไ ดเหน็ ท่ีมาทไี่ ป ของพระธรรมเทศนาเลย เม่ือไมเ ห็นกพ็ ากันคิดวา พระสัมมา-* พระสูตรเปน โคตมสูตร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook