Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_34

tripitaka_34

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_34

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 401บทวา เถตา แปลวา มน่ั คง อธิบายวา มีถอ ยคํามั่นคง. คนผูหน่งึ เปนผูไมม ถี อ ยคาํ ม่ันคง เหมือนการยอมผาดว ยขมน้ิ เหมอื นหลักทป่ี กไวบ นกอง-แกลบ และเหมอื นลกู ฟกทว่ี างไวบนหลงั มา แตอ กี ผหู น่ึง มีถอ ยคาํ ม่นั คงเหมือนรอยจารึกบนแผนดนิ และเหมือนเสาอินทขลี ะ ถงึ จะเอาดาบตดั ศีรษะกไ็ มย อมพูดเปนคาํ สอง. คนผนู ้ี ช่ือวา เถตะ. มถี อยคาํ ม่นั คง. บทวาปจจฺ ยิกา ไดแกว างใจได อธบิ ายวา. เชอ่ื ถอื ได. เพราะคนบางคน เชอ่ื ถือไมได คือเมื่อถูกเขาถามวา คาํ นใี้ ครพูด พอตอบวา คนโนนพูด กจ็ ะถงึความเปนผอู นั เขาพงึ พดู วา อยา เช่ือคาํ พดู ของมนั แตคนผหู น่ึง พูดเชือ่ ถือไดคอื เมอื่ ถกู ถามวา คาํ นี้ใครพดู พอตอบวา คนโนน พูด ก็จะถึงการรบั รองวาถา คนนัน้ พดู ขอนีก้ ็ถอื เปนประมาณได บดั นี้ไมม ขี อ ท่จี ะตองทกั ทวง คาํ น้ีเปน อยา งนี้ อยา งน.้ี คนผูน้ี เรียกวา เปน ทีว่ างใจได. บทวา อวิส วาทกาโลกสฺส มีอธบิ ายวา ไมพ ูดลวงโลก เพราะพูดแตค วามจรงิ เทานัน้ . เหตแุ หงความประมาทกลาวคือ เจตนา ที่จะดมื่ นํา้ เมาคือ สรุ าและเมรัยชอ่ื วา สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน. บทวา เอกภตฺติกา ความวา อาหารมี ๒ เวลา คือ อาหารทีจ่ ะตอ งรับประทานในเวลาเชา ๑ อาหารท่จี ะตอ งรับประทานในเวลาเยน็ ๑ บรรดาอาหารท้ังสองอยางน้ัน อาหารที่จะรบั ประทานในเวลาเชา กาํ หนดโดยเวลาภายในเท่ยี งวัน (สวน) อาหารที่จะรบั ประทานในเวลาเยน็ นอกนกี้ าํ หนดโดยเวลาแตเ ลยเทีย่ งไป จนถึงเวลาอรณุ ข้นึ . เพราะฉะน้ันในเวลาภายในเทย่ี งถึงจะรับประทาน ๑๐ ครงั้ ก็ชื่อวา มกี ารรับประทานอาหารเวลาเดยี ว. พระ-ผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา เอกภตตฺ กิ า ทรงหมายถงึ การรบั ประทานอาหารภายในเวลาเที่ยงวัน. การรบั ประทานอาหารในเวลากลางคนื ชื่อวา รตตฺ ิ ผูเ วนจากการรบั ประทานอาหารในเวลากลางคืนน้นั เพราะฉะนน้ั จึงชื่อวา

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 402รตตฺ ูปรตา. การรับประทานอาหารในเวลาเลยเท่ยี งวนั ไป จนถึงเวลาพระ-อาทติ ยต กดิน ชื่อวา การรับประทานอาหารในเวลาวกิ าล ผชู ื่อวาเวน จากวกิ าลโภชน เพราะเวนจากการรบั ประทานอาหารในเวลาวกิ าลนน้ั . การดูทช่ี ่ือวา เปนขา ศึก คอื เปน ศัตรู เพราะอนุโลมตามคําสอนไมได(ขัดตอ ศาสนา) เพราะฉะนน้ั จึงชอ่ื วา วิสูกทัสสนะ การฟอนราํ การขับรองการดดี สีตเี ปา แมด วยสามารถแหงการฟอ นดว ยตนเอง และการใหผูอนื่ ฟอนเปนตน และการดกู ารรา ยรําเปนตน ทีเ่ ปนไปแลวโดยทีส่ ุด แมดวยสามารถแหงการรําแพนของนกยงู เปนตน ที่เปน ขา ศึก เพราะฉะนั้น จงึ ช่อื วา นัจจ-คตี วาทติ วิสกู ทัสสนะ. กก็ ารประกอบการฟอ นเปนตน ดวยตนเองก็ดี การใหผูอ ่นื ประกอบกด็ ี การดูการฟอนเปนตน ที่เขาประกอบแลวกด็ ี ไมควรแกภิกษุภิกษุณีเลย. ในบรรดามาลาเปนตน ดอกไมอยา งใดอยางหนง่ึ ช่ือวา มาลา.คนั ธชาต อยา งใดอยา งหน่ึง ชอื่ วา ของหอม. เคร่อื งประเทืองผวิ ช่อื วาวิเลปนะ. ในบรรดาสิ่งเหลา นั้น เม่อื ประดับประดา ชอ่ื วา ทดั ทรง. เมอื่เสรมิ สว นทบี่ กพรอง ชือ่ วา ตกแตง. เมอื่ ยนิ ดี ดวยของหอมกด็ ี ดว ยเคร่อื งประเทืองผวิ กด็ ี ช่อื วา ประดับประดา. เหตุ พระผูมพี ระภาคเจาตรัสเรียกวา ฐานะ. อธิบายวา เพราะฉะน้นั มหาชนกระทาํ การทดั ทรงดอกไมเ ปนตนเหลา น้นั ดว ยเจตนาคือความเปน ผทู ุศีลอันใด พระอรหันตทั้งหลายเปนผเู วน จากทุศีลเจตนานน้ั . ที่นงั่ ท่ีนอนเกินขนาด ตรสั เรียกวา อุจจาสยนะ. เคร่อื งปลู าดที่เปน อกัปปยะ (ไมส มควร) ชอื่ วา มหาสยนะ อธิบายวา พระอรหนั ตท้ังหลายเปนผูเ วนจากที่นัง่ ทีน่ อนสงู และทน่ี ั่งท่นี อนใหญน น้ั . บทวา กีว-มหปฺผโล ความวา มีผลมากขนาดไหน. แมใ นบทท่เี หลอื กม็ นี ัยนีเ้ หมือนกนั .

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 403 บทวา ปหุตฺสตฺตรตนาน ความวา ประกอบดว ยรตนะกลาวคือแกว มากมาย อธบิ ายวา ปราบพ้ืนชมพทู วปี ทั้งสิน้ ใหเ ปนเหมือนหนากลอง แลวเทรตนะทั้ง ๗ ลงสูงเทา สะเอว. บทวา อิสสฺ ริยาธปิ จฺจ ความวา (เสวยราชสมบัต)ิทเ่ี ปน ใหญหรอื เปนอธบิ ดี ท้งั โดยความเปนอสิ ระ ทงั้ โดยความเปน อธิบดีไมใ ชเปน ใหญ หรือเปนอธบิ ดี โดยความเปนพระราชาที่หนักพระทัย ชื่อวาเสวยไอศวรรยาธิปต ย เพราะไมมอี าชญากรรมที่รา ยแรง (คดีอุกฉกรรจ)ดงั น้ีบาง. บทวา รชชฺ  กา รยฺย ไดแ ก เสวยจักรพรรดิราชสมบัติเหน็ปานน้.ี คาํ วา องคฺ าน เปนตน เปน ชือ่ ของชนบทเหลา นั้น. บทวา กลนาคฺฆติ โสฬสึ ความวา แบง บญุ ในการอยูจําอโุ บสถ ตลอดวันและคืนหนง่ึออกเปน ๑๖ สว นแลว จกั รพรรดริ าชสมบัติ ยังมีคาไมถงึ สวนเดียว จาก๑๖ สวนนน้ั . อธิบายวา ผลวบิ ากของสว นท่ี ๑๖ ของอโุ บสถคนื หนึง่ มากกวาจักรพรรดริ าชสมบตั ิ ของพระเจา จกั รพรรดนิ ั้น. บทวา กปณ ไดแกเ ล็กนอย. บทวา อพรฺ หฺมจรยิ า ไดแก จากความประพฤติอนั ไมประเสริฐ.บทวา รตฺตึ น ภุ เฺ ชถ วิกาลโภชน ความวา เม่อื เขา จําอุโบสถไมควรบริโภคอาหารในเวลากลางคนื และอาหารในเวลากลางวัน อนั เปนเวลาวิกาล. บทวา มเฺ จ ฉมาย ว สเยถ สนถฺ เต มีอธิบายวาควรนอนบนเตียงทเี่ ปน กปั ปย ะ. มเี ทาสงู ศอกกาํ หรือพื้นท่ี ๆ เขาเทไวด ว ยปูนขาวเปนตน หรือบนสนั ถัด ที่เขาปลู าดดว ยหญา ใบไมห รือฟางเปน ตน .บทวา เอต หิ อฏ งคฺ กิ มาหุโปสถ ความวา นกั ปราชญเรียกอุโบสถท่ีผูไมล ะเมิดปาณาตบิ าตเปน ตน เขาจาํ แลวอยา งน้ี วา เปนอุโบสถประกอบดวยองค ๘ เพราะประกอบดวยองค ๘ ประการ. สวนผูท เ่ี ขาจาํ อุโบสถประกอบดว ยองค ๘ นน้ั คิดวา พรุงนี้เราจักรกั ษาอโุ บสถ แลวควรตรวจสอบสงิ่ ที่ตองจดั มอี าหารเปน ตนวา เราตอ ง

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 404กระทาํ อยางนี้ อยางนี้ ในวนั น้ีทีเดยี ว. ในวนั อุโบสถควรเปลง วาจาสมาทานองคอโุ บสถ ในสํานกั ของภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก หรอื อบุ าสิกา ผูรูลักษณะของศลี ๑๐ แตเชา ๆ. สวนผไู มร ูบาลี ควรอธิษฐานวา พุทฺธปฺ ตฺต อุโปสถ อธฏิ ามิ(ขาพเจา ขออธษิ ฐาน องคอุโบสถทีพ่ ระพทุ ธเจา ทรงบัญญัติไวแลว ). เมอ่ื หาคนอ่ืนไมได ก็ควรอธษิ ฐานดว ยตนเอง. สว นการเปลงวาจา ควรทําโดยแท ผเู ขา จาํ อโุ บสถ ไมพึงวิจารการงาน อนั เนือ่ งดวยความบกพรองของคนอ่นื ผคู าํ นงึ ถึงผลไดผ ลเสียไมค วรปลอ ยเวลาใหลวงเลยไป. สว นผไู ดอาหารในเรอื นแลว ควรบริโภคเหมอื นภิกษุผไู ดอาหารประจาํ แลว ตรงไปวหิ ารฟงธรรม หรอื มนสกิ ารอารมณ (กัมมัฏฐาน) ๓๘ ประการ อยางใดอยา งหน่ึง. บทวา สุทสฺสนา ไดแ ก เหน็ ไดชัดด.ี บทวา โอภาสย ไดแ กสอ งสวา งอยู. บทวา อนปฺ ริยนตฺ ิ แปลวา โคจรไป. บทวา ยาวตา ไดแกสูทม่ี ปี ระมาณเทาใด. บทวา อนฺตลิกฺขคา ไดแ กล อยไปสูอากาศ. บทวาปภาสนฺติ แปลวา สอ งแสงสวาง คือเปลง รัศมี. บทวา ทิสา วโิ รจนาไดแ ก สอ งแสงสวา งไปในทศิ ทงั้ ปวง. อกี นยั หน่ึง บทวา ปภาสนฺติ แปลวาสวางจาไปท่วั ทกุ ทศิ .๑ บทวา วิโรจนา เทา กับ วโิ รจมานา แปลวาสองสวาง. บทวา เวฬรุ ิย ความวา พระผมู พี ระภาคเจา ถึงจะตรสั บทวามณีไวแลว (แต) ก็ทรงแสดงถึงความเปน แกว มณี โดยกําเนดิ ไวดว ยบทวาเวฬรุ ยิ  นี.้ ดวยวา แกวไพฑรู ย ท่ีมสี เี หมือนไมไ ผ ทเี่ กิดได ๑ ป ชือ่ วา๑. ปาฐะวา อถวา ปภาสนตฺ ิ ทสิ า วิทิสา โอภาสนฺตตี ิ วิโรจมานา ฉบับพมาเปน อถวาปภาสนฺตีติ ทสิ าหิ ทสิ า โอภาสนฺติ วิโรจนาติ วโิ รจมานา.

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 405แกวมณโี ดยกาํ เนิด. พระผมู ีพระภาคเจาตรสั อยางน้ี ทรงหมายถึงแกว มณีโดยกําเนิดนน้ั . บทวา ภทฺทก เทา กบั ลทธฺ ก แปลวา งดงาม. บทวาสงคฺ ิสวุ ณฺณ ไดแกท องทงี่ อกขนึ้ มีสณั ฐานดังเขาโค. บทวา กาฺจน ไดแกทองทเ่ี กดิ จากเขา คือทองคําทเ่ี กดิ บนภูเขา. บทวา ชาตรูป ไดแกท องทม่ี ีสีเหมือนพระฉววี รรณของพระศาสดา. บทวา หฏก ไดแกทองทีม่ ดแดงคาบมาบทวา นานภุ วนฺติ แปลวา ยังไมถ งึ . บทวา จนทฺ ปปฺ ภา เปนปฐมาวภิ ัติลงในอรรถแหง ฉฏั ฐีวิภัติ. อธิบายวา (ไมถ ึงสวนท่ี ๑๖) แหงแสงจันทร.บทวา อุปวสสฺ ุโปสถ ไดแ กเ ขาจาํ อุโบสถ. บทวา สขุ ุทฺริยานิ ไดแกมีสขุ เปนผล คอื เสวยความสขุ . บทวา สคคฺ มฺเปนฺติ าน ไดแ กเขาถึงฐานะ กลา วคอื สวรรค อธิบายวา ไมม ีใครตาํ หนิ ยอมเกิดในเทวโลก. คาํทีเ่ หลือท่มี ไิ ดกลา วไวใ นระหวา ง ๆ ในพระสูตรนี้น้ัน พงึ ทราบโดยทาํ นองท่ีกลา วแลวนั่นแล. จบอรรถกถาอุโปสถสูตรที่ ๑๐ จบมหาวรรควรรณนาท่ี ๒ รวมสตู รทีม่ ีในวรรคน้ี คอื ๑. ตติ ถสตู ร ๒. ภยสตู ร ๓. เวนาคสูตร ๔. สรภสตู ร ๕.กาลามสูตร ๖. สาฬหสูตร ๗. กถาวตั ถสุ ูตร ๘. ตติ ถยิ สูตร ๙. มลู สูตร๑๐. อโุ ปสถสตู ร และอรรถกถา.

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 406 อานนั ทวรรคที่ ๓ ๑. ฉนั นสตู ร วา ดวยโทษแหงกุศลมูล [๕๑๑] คร้งั นนั้ ปริพาชกชื่อฉนั นะ เขาไปหาทา นพระอานนท ฯลฯกลาวกะทา นพระอานนทวา อาวุโสอานนท แมพวกทา นก็บญั ญตั กิ ารละราคะโทสะ โมหะหรือ. ทา นพระอานนทต อบวา อาวโุ ส พวกขาพเจา นะสิ บญั ญัติการละราคะโทสะ โมหะ. ฉ. ก็พวกทานเหน็ โทษในราคะ โทสะ โมหะอยา งไร จึงบญั ญัติการละราคะ โทสะ โมหะ. อา. คนท่ีเกดิ ราคะ โทสะ โมหะแลว อันราคะ โทสะ โมหะครอบงําแลว มจี ิตอันราคะ โทสะ โมหะจับเสยี รอบแลว ยอ มคิดเพอื่ทาํ ตนใหลาํ บากบา ง เพอ่ื ทาํ ผอู นื่ ใหล ําบากบา ง เพื่อทาํ ใหลําบากดวยกนัท้ังสองฝายบา ง ยอมรสู กึ ทุกขโ ทมนสั ในใจบา ง ครนั้ ละราคะ โทสะ โมหะเสียไดแ ลว เขายอ มไมคดิ เพื่อทาํ ตนใหลําบาก ฯลฯ ไมร สู กึ ทกุ ขโ ทมนัสในใจ. คนท่เี กดิ ราคะ โทสะ โมหะแลว ยอมประพฤติทุจริตทางกายทางวาจา ทางใจ ครั้นละราคะ โทสะ โมหะเสียไดแ ลว เขายอ มไมป ระพฤติทุจรติ ทางกาย ทางวาจา ทางใจเลย.* เปน ทีวาพวกเขาบญั ญัติอยูแลวเหมือนกัน หรือบญั ญัติมากอน

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 407 คนทีเ่ กดิ ราคะ โทสะ โมหะแลว ยอ มไมร ูประโยชนต นบา งประโยชนผ ูอ ่นื บา ง ประโยชนท้ังสองฝายบา งตามจรงิ ครน้ั ละราคะ โทสะโมหะเสยี ไดแลว เขายอมรปู ระโยชนตนบา ง ประโยชนผ อู น่ื บา ง ประโยชนทัง้ สองฝายบางตามจริง. ราคะ โทสะ โมหะเปนเครอื่ งทาํ ใหมดื ทําใหบอด ทําใหเ ขลาปดปญ ญา เปน ฝายขัดขวาง ไมเปน ทางนิพพาน พวกขาพเจา เหน็ โทษในราคะ โทสะ โมหะน้ีแล อาวุโส จงึ บัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะ ฉ. มหี รือ อาวุโส มรรคา มหี รอื ปฏิปทา เพอื่ ละราคะ โทสะ โมหะนนั่ . อา. มี อาวุโส. ฉ. คืออะไร. อา. คอื อรยิ มรรคทอี่ งค๘ น้ีเทา นนั้ อะไรบาง สมั มาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มา-สมาธิ นี้แล อาวุโส มรรคา นีป้ ฏิปทา เพือ่ ละราคะ โทสะ โมหะนน่ั . ฉ. ดีอยู อาวุโส มรรคา ดอี ยู ปฏิปทา เพ่ือละราคะ โทสะ โมหะน่ัน ก็ควรแลว อาวโุ สอานนท ทพ่ี วกทา นจะไมป ระมาท. จบฉันนสูตรท่ี ๑

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 408 อานันทวรรควรรณนาท่ี ๓ อรรถกถาฉนั นสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในฉนั นสูตรท่ี ๑ แหง วรรคที่ ๓ ดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา ฉนฺโน ไดแก ปรพิ าชกผูมีผาปกปด (รางกาย) ผูมชี อ่ือยางน้ี. บทวา ตมุ เฺ หป อาวุโส ความวา ฉันนปริพาชกถามวา ดกู อนอาวุโส พวกเราบัญญัติการละกเิ ลส มีราคะเปนตน อยา งใด แมท า นท้ังหลายก็บัญญัติอยา งนัน้ หรือ ? ลําดบั นน้ั พระเถระคดิ วา ปรพิ าชกนก้ี ลา วกะพวกเราวา เราทัง้ หลายบัญญตั ิการละราคะเปน ตน แตการบัญญัตกิ ารละราคะเปนตนนี้ ไมมีในลัทธภิ ายนอก ดังน้ี จึงกลา วคํามีอาทวิ า มย โข อาวโุ สดงั น.้ี ศพั ทวา โข ในคาํ วา มย โข อาวุโส นั้น เปนนบิ าตใชในความหมายวา หา ม อธบิ ายวา พวกเราเทาน้ันบัญญตั ไิ ว. ลาํ ดับน้ัน ปรพิ าชกคิดวา พระเถระน้ี เมื่อจะคดั ลัทธภิ ายนอกออกไป จึงกลาววา พวกเราเทานนั้สมณะเหลา นีเ้ ห็นโทษอะไรหนอ จงึ บญั ญตั ิการละราคะเปน ตน เหลานไี้ ว.ลาํ ดบั นน้ั ฉนั นปริพาชก เมอื่ จะเรยี นถามพระเถระ จงึ กลาวคํามีอาทวิ า กึปน ตมุ ฺเห ดงั น้ี. พระเถระเมือ่ จะพยากรณแกเ ขา จึงกลา วคาํ มอี าทวิ า รตฺโต โขอาวโุ ส ดังนี.้ บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา อตตฺ ตฺถ ความวา ประโยชนของตนทงั้ ในปจ จบุ ัน และสมั ปรายภพ ทงั้ ทเี่ ปนโลกยิ ะและโลกุตระ. แมในประโยชนของผอู น่ื และประโยชนทงั้ สอง ก็มนี ยั นเ้ี หมือนกนั . พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในบทวา อนฺธกรโณ เปนตน ดงั ตอ ไปน.้ี ราคะชื่อวา อนธฺ กรโณ

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 409เพราะทาํ ผูทมี่ ีราคะเกิดขนึ้ ใหมดื บอด โดยหามการรู การเหน็ ตามความเปนจรงิ . ชอื่ วา อจกฺขกุ รโณ เพราะไมท ําใหเกดิ ปญ ญาจกั ษุ. ชือ่ วาอฺ าณกรโณ เพราะไมก ระทําใหเ กดิ ญาณ. ชือ่ วา ปฺานิโรธโิ กเพราะปญญาท้ัง ๓ อยางเหลา นี้ คือ กมั มสั สกตปญ ญา (ปญญาท่รี ูวา สัตวม ีกรรมเปนของตน) ฌานปญ ญา (ปญญาที่เกิดจากการเพง ) และวปิ ส สนาปญญา (ปญญาพจิ ารณาเหน็ แจง ) ดับไป โดยไมท าํ ใหเปน ไป. ชื่อวาวิฆาตปกฺขิโก เพราะเปนไปในฝก ฝายแหงความเดอื ดรอ น กลา วคอื ทุกขเพราะอํานวยผลท่ไี มน า ปรารถนาเทาน้นั . ชื่อวา อนิพฺพานส วตตฺ นิโกเพราะไมยังการดับกเิ ลสใหเ ปนไป. บทวา อล จ ปนาวุโส อานนทฺอปปฺ มาทาย ความวา ฉนั นปริพาชก อนโุ มทนาถอ ยคาํ ของพระเถระวาขา แตทา นพระอานนทผ ูมีอายุ ถา หากปฏปิ ทาแบบนีม้ อี ยูไ ซร ก็เพียงพอเหมาะสม เพือ่ ทานทั้งหลายจะไมป ระมาท ทา นทั้งหลายจงบาํ เพญ็ ความไมประมาทเถดิ ดงั น้ีแลว หลกี ไป. ในพระสตู รนี้ พระอานนทเถระเจากลาวถงึอริยมรรค ทีเ่ จือดว ยโลกตุ ระไวแ ลว . คาํ ทเ่ี หลอื ในพระสตู รนี้ มีใจความงายทง้ั น้นั ฉะน้แี ล. จบอรรถกถาฉันนสตู รที่ ๑

พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 410 ๒. อาชีวกสูตร วาดว ยความดี ๓ อยา ง [๕๑๒] สมยั หนงึ่ ทานพระอานนทอยทู ว่ี ดั โฆสติ าราม กรุงโกสัมพีครัง้ นนั้ คฤหบดีสาวกของอาชวี กผหู นึง่ เขาไปหาทา นพระอานนท ครัน้ เขา ไปถึงแลว อภวิ าททานพระอานนทแ ลวนง่ั ณ ท่ีควรสว นหนึ่ง คฤหบดีนน้ั แลนั่ง ณท่คี วรสวนหนึง่ แลว ถามทา นพระอานนทวา ทา นพระอานนทผเู จรญิ เราสองพวก ธรรมของพวกใครเปน สวากขาตะ (กลาวด)ี พวกใครเปนผูปฏบิ ตั ิดีแลวในโลก พวกใครเปนผดู ําเนินดีแลวในโลก ทา นคฤหบดี ถา เชนนนั้ อาตมาจกั ยอนถามทา นในขอนี้ ทานพอใจอยางใด พึงตอบอยางนน้ั ทานสําคญั ขอนีว้ า กระไร บคุ คลเหลาใดแสดงธรรมเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ ธรรมของบุคคลเหลา นัน้ เปนสวากขาตะหรอื ไมหรือวาทา นมีความเหน็ อยา งไรในขอ น.้ี ทานผูเ จริญ บุคคลเหลา ใดแสดงธรรมเพ่อื ละราคะ โทสะ โมหะธรรมของบุคคลเหลา นนั้ เปนสวากขาตะ ขาพเจามคี วามเหน็ อยางนี้ในขอ นี.้ ทา นสาํ คัญขอนี้วา กระไร ทา นคฤหบดี บุคคลเหลา ใดปฏบิ ตั เิ พื่อละราคะ โทสะ โมหะ บคุ คลเหลา นน้ั เปนผปู ฏิบตั ดิ ีแลว ในโลกหรือไมหรือวา ทา นมคี วามเห็นอยางไรในขอ นี.้ ทา นผูเ จริญ บคุ คลเหลา ใดปฏบิ ัติเพื่อละราคะ โทสะ โมหะบคุ คลเหลาน้ัน เปน ผูปฏบิ ัติดแี ลว ในโลก ขาพเจามีความเห็นอยา งนีใ้ นขอ นี.้ ทา นสําคัญขอ นวี้ า กระไร ทา นคฤหบดี ราคะ โทสะ โมหะบุคคลเหลา ใดละไดแลว มีมูลอนั ขาดแลว ทําใหเหมอื นตาลยอดดวนแลว
















































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook