Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_34

tripitaka_34

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_34

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 305ไมเ กดิ อกี ตอ ไปเปนธรรมดา โทสะ. เราละแลว ฯลฯ มอี ันไมเกดิ ขึน้ อกี ตอ ไปเปน ธรรมดา โมหะ เราละแลว ฯลฯ มอี นั ไมเกิดขึน้ อีกตอไปเปน ธรรมดาดกู อนพราหมณ เราเปน (ผูรทู ั่วถึง) อยา งนแ้ี ลว ถาเราจงกรม ท่ีจงกรมในสมัยนัน้ นั่น เปน ทีจ่ งกรมอริยะของเรา ถาเรายืน ทย่ี ืนในคราวนนั้ นน่ัเปนที่ยนื อริยะของเรา ถาเรานั่ง ที่นง่ั ในคร้งั นนั้ น่นั เปน อาสนะอรยิ ะของเรา ถาเรานอน ที่นอนในคราวน้นั นัน่ เปน อุจจาสยนมหาสยนะของเราน้แี ลพราหมณ อจุ จาสยนมหาสยนะอรยิ ะ ซงึ่ เรามีพอการ หาไดไ มย ากไดอยา งไมฝ ดเคืองในบัดน้ี นาอัศจรรย พระโคดมผเู จริญ ไมเ คยม.ี . .อันอจุ จาสยนมหาสยนะอรยิ ะเชน น้ี คนอื่นใครเลา จักมพี อการ หาไดไ มยาก ไดอยางไมฝ ด เคือง เวนแตพ ระโคดมผูเ จรญิ ดีจริงๆ พระโคดมผเู จรญิ ฯลฯ ขอพระโคดมผูเ จริญ ทรงจาํ ขา พระองคท ้ังหลายไววา เปนอุบาสกถงึ สรณะแลว ตลอดชีวติ ตงั้ แตว ันนไ้ี ป. จบเวนาคสตู รท่ี ๓ อรรถกถาเวนาคสตู ร พงึ ทราบวินิจฉยั ในเวนาคสูตรท่ี ๓ ดังตอ ไปนี้ :- จารกิ มี ๒ อยา ง บทวา โกสเลสุ ไดแ ก ในชนบททมี่ ชี ่ืออยางน้นั . บทวา จารกิ จรมาโน ไดแ ก (พระผูม พี ระภาคเจา ) เสด็จพุทธะดาํ เนนิ ไปสูท างไกล.ธรรมดาวา การเสด็จจารกิ ของพระผมู พี ระภาคเจา มีอยู ๒ อยา งคือ การเสด็จจาริกอยางรบี ดว น ๑ การเสดจ็ จารกิ อยา งไมร ีบดวน ๑. บรรดาการ

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 306เสดจ็ จาริก ๒ อยา งนั้น การที่พระผมู พี ระภาคเจาทรงเห็นบคุ คลผคู วรจะแนะนําใหร ไู ดแ มใ นท่ไี กลแลว ดว นเสด็จไปเพอ่ื ประโยชนใ นอนั ทจ่ี ะสอนบคุ คลนน้ั ใหรู ชอ่ื วา การเสดจ็ จาริกอยางรบี ดว น. การเสดจ็ จารกิอยางรีบดวนนน้ั พงึ เหน็ ในเวลาทเี่ สด็จไปตอ นรบั พระมหากสั สปะเปนตน .สวนการที่พระผมู ีพระภาคเจา เมื่อจะทรงอนเุ คราะหโลกดวยพุทธกจิ มีการเที่ยวบณิ ฑบาตเปน ตน เสด็จไปตามลาํ ดบั หมบู านวนั ละหนึ่งโยชน สองโยชนช่อื วา การเสด็จจารกิ อยา งไมร บี ดวน. พระผูมพี ระภาคเจา ทรงหมายเอาการเสด็จจาริกอยางไมร ีบดว นนี้จึงตรสั คําน้ีวา จาริกฺจรมาโน. กก็ ถาวาดวยการเสดจ็ จารกิ ไดกลาวไวแลวโดยพสิ ดารในอมั พัฏฐสตุ ตวรรณนา ในอรรถกถาทีฆนกิ าย ช่อื สมุ งั คลวลิ าสนิ ี. บานพราหมณ บทวา พฺราหฺมณคาโม ความวา หมบู า นที่พราหมณทงั้ หลายมาสโมสรกันก็ดี หมบู านทพ่ี ราหมณทัง้ หลายมาบริโภคก็ดี เรียกวา หมบู านพราหมณ(ทงั้ น้ัน). ในท่นี ้ี หมูบานท่ีพราหมณท งั้ หลายมาสโมสรกัน ประสงคเ อาวาเปน หมบู า นพราหมณ. บทวา ตทวสริ คอื เสดจ็ ไปในหมูบานพราหมณน ั้นอธบิ ายวา เสด็จถึงแลว . สวนการประทบั อยูมิไดกาํ หนดไวในท่นี ้.ี เหตุนั้น จงึควรทราบวา ในทไ่ี มไกลหมบู า นพราหมณนัน้ มีไพรสณฑแหงหน่งึ ซึ่งสมควรแกพ ระพุทธเจา ทง้ั หลาย พระศาสดาเสด็จไปยงั ไพรสณฑน ัน้ . บทวา อสโฺ สสุ ความวา (พราหมณคหบดีทงั้ หลาย) ฟง คอื ไดเขาไป ไดแ กทราบตามกระแสเสียงที่เปลงออกเปนคําพูดที่ถึงโสตทวาร. ศพั ทวา โข เปน นิบาต ใชใ นความหมายแหง อวธารณะ (หามความอ่นื ) หรอื ใน

พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 307ความหมายเพียงทาํ บทใหเตม็ . บรรดาความหมาย ๒ อยางน้ัน ดว ยความหมายแหงอวธารณะ พึงทราบเนือ้ ความดงั น้วี า พราหมณคหบดที ัง้ หลายไดย ินแลวทเี ดยี ว พราหมณคหบดเี หลานั้นมไิ ดม อี นั ตรายแหง การฟงอะไรเลย. และในการทําบทใหเต็ม (ปทปรู ณะ) พงึ ทราบแตเพียงวาเปน ความสละสลวยแหงพยัญชนะเทา นน้ั . ความหมายของสมณะ บดั นี้ เพอ่ื จะประกาศเน้อื ความที่พราหมณคหบดีท้ังหลายไดฟงแลวพระสังคีตกิ าจารยจงึ กลาวคาํ วา สมโณ ขลุ โภ โคตโม เปนตน ไว.ในบทเหลา นน้ั พึงทราบความวา บคุ คลช่ือวาเปน สมณะ เพราะมีบาปอันสงบแลว . ศัพทว า ขลุ เปน นิบาตใชใ นความหมายวา ไดฟ งสืบ ๆ มา.บทวา โภ เปนเพยี งพราหมณคหบดเี หลาน้ันรองเรียกกันและกนั . บทวาโคตโม เปนบทแสดงถึงพระผูม ีพระภาคเจา ดวยอํานาจโคตร. เหตนุ ้นัในบทวา สมโณ ขลุ โภ โคตโม น้ี พงึ เหน็ เนอ้ื ความอยางนวี้ าผูเ จรญิ ไดยนิ วา พระสมณะผูโคตมโคตร. สว นบทวา สกยฺ ปุตฺโต นี้เปนบทแสดงถงึ ตระกลู อนั สูงสง ของพระผูมพี ระภาคเจา . บทวา สกยฺ กุลาปพฺพชิโต เปน บทแสดงวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงผนวชดว ยศรัทธา. มคี ําอธบิ ายวา พระผมู พี ระภาคเจาไมถ กู ความเสอื่ มอะไรเลยครอบงํา ทรงละตระกูลนั้นทยี่ ังไมเส่อื มส้นิ เลย ทรงผนวชดวยศรทั ธา. บทวา ต โข ปน เปนทตุ ยิ าวภิ ัติใชในความหมายบงบอกวา เปนอยา งน.้ี อธิบายวา กข็ องพระโคดมผเู จรญิ นั้นแล. บทวา กลยฺ าโณไดแ ก ประกอบดวยคุณอนั งาม มีคําอธบิ ายวา ประเสริฐทีส่ ุด. บทวา

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 308กิตฺติสทโฺ ท ไดแก เกยี รตนิ ั่นเองหรือเสียงชมเชย. บทวา อพภฺ คุ คฺ โตไดแก ระบือไปถึงเทวโลก. ถามวา กติ ติศัพทร ะบือไปอยางไร. ตอบวาระบอื ไปวา อิติป โส ภควา ฯ เป ฯ พทุ โฺ ธ ภควา. ในพระบาลนี น้ัมบี ทสัมพนั ธดงั นี้ พระผมู พี ระภาคเจานัน้ เปน พระอรหนั ต แมเ พราะเหตุนี้เปนพระสมั มาสัมพุทธเจาแมเพราะเหตุน้ี ฯลฯ เปน พระผมู พี ระภาคเจา แมเพราะเหตนุ ี้. มีคาํ อธิบายวา เพราะเหตนุ ี้ดวย เพราะเหตนุ ี้ดวย. ในพระ-พุทธคุณนน้ั ทานตัง้ มาตกิ าไวโ ดยนัยเปน ตนวา พระผมู พี ระภาคเจา น้นั พงึทราบวา เปนพระอรหันต ดวยเหตุเหลา นค้ี ือ ๑. เพราะเปน ผูไกล (จากกิเลส) ๒. เพราะทรงทําลายขาศกึ ท้ังหลาย ๓. เพราะทรงหักซก่ี าํ ทัง้ หลาย ๔. เพราะเปน ผคู วรแกป จ จัยเปนตน ๕. เพราะไมม คี วามลับในการทําบาปดังนี้ แลวขยายบทเหลาน้ที กุ บททีเดยี ว ใหพิสดารในพทุ ธานสุ ตนิ ิเทศในปกรณพ เิ ศษช่อื วิสทุ ธมิ รรค. นกั ศึกษาพงึ ถอื เอาความพสิ ดารของบทเหลา นัน้ จากปกรณพ ิเศษ ชอ่ื วิสทุ ธมิ รรคนัน้ เทอญ. บทวา โส อิม โลก ความวา พระโคดมผเู จรญิ น้นั ... โลกนี.้ตอ ไปน้ี จะแสดงคาํ ท่จี ะพงึ กลาว. บทวา สเทวก ไดแก (สตั วโลก)พรอ มท้ังเทวดาทงั้ หลาย ชื่อวา สเทวกะ (สตั วโลก) พรอมท้งั มารอยา งน้ีชอื่ วา สมารกะ (สตั วโลก) พรอ มทงั้ พรหม ช่อื วา สพรหมกะ หมูสตั วพรอ มทั้งสมณพราหมณ ชอ่ื วา สสั สมณพราหมณี หมสู ัตวท ีช่ ่ือวา ปชา

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 309เพราะมีตวั ตนเกิดจากนาํ้ ซึง่ ปชานน้ั ปชาพรอ มท้งั เทวดาและมนษุ ยทง้ั หลายช่ือวา สเทวมนุสสะ. บรรดาคาํ เหลานน้ั ดวยคําวา สเทวกะ พึงทราบวามงุ ถึงเทวดาช้ันกามาจร ๕ ชนั้ ดว ยคําวา สมารกะ พึงทราบวา มุงถงึ เทวดาช้ันกามาวจรชน้ั ท่ี ๖. ดว ยคาํ วา สพรหมกะ พึงทราบวา มงุ ถึงพรหม. ดว ยคาํ วา สัสสมณพรามณี พงึ ทราบวา มุงถงึ สมณพราหมณผเู ปน ขา ศึกศตั รูตอ พระศาสนา และมงุ ถงึ สมณพราหมณผมู ีบาปอนั สงบแลว ผูลอยบาปแลว.ดว ยคาํ วา ปชา พงึ ทราบวา มุงถงึ สัตวโ ลก. ดวยคาํ วา สเทวมนุสสะพึงทราบวา มงุ ถงึ สมมติเทพและมนุษยที่เหลือ. ในทน่ี ี้ สตั วโลกพรอ มท้ังโอกาสโลก พงึ ทราบวา ทานถือเอาแลวดวย ๓ บท สัตวโลกคอื หมูส ตั ว พงึทราบวา ทา นถอื เอาแลว ดว ย ๒ บท ดงั พรรณนามาฉะน.ี้ อีกนัยหน่ึง โลกชั้นอรปู าวจร ทานถือเอาแลว ดว ยศพั ทว า สเทวกะเทวโลกช้นั กามาวจร ๖ ชัน้ ทา นถอื เอาแลวดว ยศพั ทวา สมารกะ โลกของรปู พรหม ทา นถือเอาแลว ดว ยศัพทวา สพรหมกะ มนษุ ยโลกพรอมท้ังบรษิ ทั๔ หรือสมมตเิ ทพ หรอื สัตวโลกทง้ั หมดทีเ่ หลือ ทา นถือเอาแลว ดวยศัพทว าสัสมณพราหมณะ เปนตน . ฝา ยพระโบราณาจารยท้งั หลายกลา ววา บทวาสเทวก ไดแ ก โลกที่เหลือพรอมท้ังเทวดาท้งั หลาย. บทวา สมารก ไดแ กโลกทเ่ี หลือพรอมทัง้ มาร. บทวา สพฺรหฺมก ไดแก โลกทเี่ หลือพรอมท้งัพรหม. เพ่ือจะประมวลสัตวท เ่ี ขาถงึ ภพ ๓ ท้งั หมดไวใ น ๓ บท ดวยอาการ๓ แลว กําหนดถอื เอาอกี ดว ย ๒ บท ทา นจงึ กลาววา สสสฺ มณพรฺ าหมฺ ณึปช สเทวมนุสฺส ดงั พรรณนามานี้. ทานกําหนดถือเอาธาตุ ๓ นั่นแลโดยอาการนน้ั ๆ ดว ยบท ๕ อยา งนีแ้ ล.

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 310 บทวา สย ในคําวา สย อภิฺา สจฉฺ กิ ตฺวา ปเวเทติ มีความวา ดวยพระองคเ อง คอื ไมมีคนอ่ืนแนะนาํ . บทวา อภิฺ า แปลวาดว ยอภญิ ญา อธบิ ายวา ทรงรูดวยพระญาณอนั ยิง่ . บทวา สจฺ ฉกิ ตวฺ า คือทรงทําใหป ระจกั ษช ัด. ทานทําการปฎเิ สธการคาดคะเนเปน ตน ดวยบทวาสจฺฉกิ ตฺวา นนั้ . บทวา ปเวเทติ คอื ทรงใหร ู ไดแ กท รงใหท ราบ คือทรงประกาศ. เบ้ืองตน - ทามกลาง - ที่สดุ บทวา โส ธมฺม เทเสติ อาทกิ ลฺยาณ ฯ ล ฯ ปริโยสานกลฺยาณความวา พระผมู พี ระภาคเจาน้นั ทรงอาศยั พระกรุณาในสตั วทั้งหลาย ถึงจะทรงงด (พระธรรมเทศนาไวช ัว่ คราว) แลวทรงแสดงความสขุ อนั เกดิ จากวิเวกอยางยอดเย่ยี ม.๑ ก็แล พระผูม พี ระภาคเจา เมอื่ จะทรงแสดงความสขุ อันเกดิจากวเิ วกนน้ั นอ ยบา ง มากบา ง ก็ทรงแสดงเฉพาะประการทีม่ คี วามงามในเบื้องตน เปน ตน เทานนั้ มีคาํ อธิบายวา ทรงแสดงทาํ ใหงามคอื ดี ไดแกไมใหม โี ทษเลย ทง้ั ในเบอ้ื งตน ทรงแสดงทําใหงามคอื ดี ไดแ กไมใหม โี ทษเลยทง้ั ในทา มกลางทง้ั ในท่สี ุด. ในขอนั้นมีอธิบายวา เบื้องตน ทามกลาง และทส่ี ดุของเทศนามอี ยู เบอ้ื งตน ทามกลาง และท่สี ุดของศาสนา (คําสอน) ก็มอี ยู. สําหรับเทศนากอน ในคาถา ๔ บท บทที่ ๑ ชือ่ วา เปนเบอื้ งตนสองบทจากนน้ั ชอ่ื วา เปน ทา มกลาง บาทเดียวในตอนทา ยชือ่ วา เปน ท่สี ุด.๑. ปาฐะวา หิตวฺ าป อนุตฺตร วเิ วกสขุ  เทเสติ ฏกิ าจารยไ ดขยายความออกไปวา พระผมู พี ระ-ภาคเจา กําลังทรงแสดงธรรม ขณะทบ่ี รษิ ทั ใหส าธุการ หรอื พจิ ารณาธรรม ตามทีไ่ ดฟ งแลวจะทรงงดแสดงธรรม ชั้นตนไวช ่วั คราวกอน ทรงเขา ผลสมาบตั ิ และทรงออกจากสมาบตั ิ ตามทีท่ รงกาํ หนดไวแลว จึงจะทรงแสดงธรรม ตอ จากทไ่ี ดหยุดพกั ไว.

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 311สาํ หรับพระสูตรที่มีอนสุ นธิเดียว คําข้ึนตน เปน เบ้ืองตน คาํ ลงทา ยวา อทิ มโวจเปน ทส่ี ุด ระหวางคาํ ข้นึ ตนและคาํ ลงทา ยท้งั สองเปน ทา มกลาง. สําหรับพระสูตรหลายอนุสนธิ อนุสนธิแรกเปนเบือ้ งตน อนุสนธสิ ุดทา ยเปนทส่ี ดุอนสุ นธเิ ดียวบา ง สองอนุสนธิบา ง อนุสนธิมาก (กวา ๑ หรอื ๒) บางในตอนกลางเปน ทามกลางท้ังหมด. สาํ หรับศาสนา (คําสอน) ศีล สมาธิ และวิปสสนา ชือ่ วา เปนเบ้ืองตน. สมจริงดงั พระดาํ รสั ที่พระผมู ีพระภาคเจาตรัสไววา ก็อะไรเปนเบื้องตนแหง กุศลธรรมท้งั หลาย ศลี ทบ่ี ริสุทธ์ิดี และทฏิ ฐทิ ี่ตรง (สัมมา-ทิฎฐิ) เปน เบอ้ื งตนแหงกศุ ลธรรมท้งั หลายเปน ตนดังนี้. สวนอริยมรรคทต่ี รัสไวอ ยางนว้ี า ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย มัชฌมิ าปฏปิ ทาที่ตถาคตตรัสรแู ลว มีอยู ดงั นี้ช่ือวา เปนทา มกลาง ผลและนิพพาน ชื่อวา เปนที่สดุ . ผล ทา นกลา ววาเปนทีส่ ดุ ในประโยคนว้ี า ดกู อ นพราหมณ เพราะเหตนุ นั้ แล ทานจงประพฤตพิ รหมจรรย น่ันเปน ฝง นัน่ เปนทส่ี ดุ . นิพพาน ทา นกลาววาเปนที่สุดในประโยคนว้ี า ดกู อนวสิ าขะผูมอี ายุ ทานอยูประพฤติพรหมจรรย ทห่ี ยง่ั ลงในนพิ พาน มนี พิ พานเปนทีไ่ ปในเบื้องหนา มนี พิ พานเปนท่ีสุด. ในทน่ี ี้ ทานประสงคเอาเบอ้ื งตน ทามกลางและทส่ี ุดของเทศนา.เพราะวา พระผมู พี ระภาคเจาเม่อื จะทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงศีลในเบอ้ื งตนทรงแสดงมรรคในทามกลาง แลว ทรงแสดงนิพพานในทสี่ ุด. ดว ยเหตนุ ัน้พระสงั คตี กิ าจารยจ ึงกลา ววา พระผมู ีพระภาคเจา น้นั ทรงแสดงธรรมงามในเบอื้ งตน งามในทามกลาง (และ) งามในทสี่ ดุ . เพราะเหตุนั้น พระธรรมกถกึ แมร ูปอน่ื ๆ เม่ือจะกลาวธรรม

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 312 ก็พงึ แสดงศีลในเบอ้ื งตน พงึ แสดง มรรคในทามกลาง พงึ แสดงนพิ พานใน ทีส่ ุด นี้ ชื่อวา เปนหลกั ทีด่ ขี อง พระธรรมกถกึ . บทวา สาตฺถ สพยฺ ฺชน ความวา ก็เทศนาของพระธรรมกถึกรูปใด อาศยั การพรรณนาถงึ ขา วตม ขา วสวย หญงิ และชายเปน ตน (อาศยัส่ิงเหลา นีเ้ ปน เหตจุ งู ใจจงึ แสดง) พระธรรมกถกึ นน้ั ไมช อ่ื วาแสดงธรรมท่ีพร่ังพรอมไปดวยอรรถ (ประโยชน) แต พระผูมพี ระภาคเจา ทรงละเทศนาเห็นปานนน้ั เสีย ทรงแสดงเทศนาท่ีอาศัยสติปฏฐาน ๔ เปน ตน เพราะเหตนุ ้นัพระสงั คีตกิ าจารยจงึ กลาววา ทรงแสดงธรรมท่ีพรั่งพรอ มดวยอรรถ(ประโยชน) .สวนเทศนาของพระธรรมกถกึ รูปใด ประกอบไปดวยพยัญชนะประการเดยี วเปนตน บาง มีพยญั ชนะหายไปทุกตัวบา ง ทงิ้ พยัญชนะทัง้ หมดและนคิ หิตเปน พยัญชนะไปหมดบา ง เทศนาพระธรรมกถกึ รูปนน้ั ช่อื วาไมมีพยัญชนะ เพราะมีพยัญชนะไมครบเหมอื นภาษาของพวกชาวปา มชี าวทมิฬ ชาวกริ ายตกะ และชาวโยนกเปนตน. แตว า พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงธรรม การทําพยัญชนะใหบรบิ ูรณ ไมท รงลบลางพยญั ชนะทงั้ ๑๐ชนดิ ท่ีกลา วไวอยางน้ีวา ความรเู รือ่ งพยญั ชนะมี ๑๐ ประการ คือ สิถลิ ๑ ธนิต ๑ ทฆี ะ ๑ รสั สะ ๑ ลหุ ๑ ครุ ๑ นิคหติ ๑ สมั พนั ธ ๑ ววฎั ิตะ ๑ วิมุตตะ ๑เพราะเหตนุ ้ัน พระสงั คตี ิกาจารยจ งึ กลาววา ทรงแสดงธรรมพรั่งพรอ มไปดวยพยัญชนะ.

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 313 คาํ วา เกวล ในบทวา เกวลปรปิ ณุ ฺณ น้ี เปน คําใชแ ทนคาํ วาสกล หมายถงึ ท้งั หมด. บทวา ปรปิ ุณณฺ  หมายถงึ ไมข าดไมเ กนิ . มีคําอธบิ ายดงั น้วี า พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงธรรมบรบิ รู ณท้งั หมดทีเดยี ว แมเทศนาเร่ืองเดยี วท่ไี มบรบิ รู ณก ็ไมมี. บทวา ปรสิ ุทฺธ ไดแก ไมม ีอุปกิเลส.อธิบายวา พระธรรมกถกึ รูปใดแสดงธรรมดว ยหวงั วา เราจกั ไดล าภหรือสกั การะเพราะอาลัยธรรมเทศนาน้ี เทศนาของพระธรรมกถึกรูปน้ัน ชอื่ วาไมบรสิ ทุ ธ์ิ. แตว า พระผูมพี ระภาคเจา ไมทรงมงุ หวังโลกามสิ ทรงมีพระทยัออนโยนดว ยการแผป ระโยชนเ กอ้ื กูลดว ยการเจรญิ เมตตา ทรงแสดงธรรมดวยพระทัยทดี่ ํารงอยูในการยกยอง เพราะเหตนุ ัน้ พระสงั คตี ิกาจารยจ ึงกลาววาทรงแสดงธรรมบรสิ ุทธิ์. บทวา พฺรหฺมจรยิ  . ในคําวา พรฺ หฺมจรยิ  ปกาเสตินี้ ไดแ ก ศาสนา (คําสอน) ทัง้ หมดทสี่ งเคราะหลงในไตรสิกขา เพราะเหตุนน้ั พระสังคีตกิ าจารยจ ึงกลา ววา ทรงประกาศพรหมจรรย. พึงเห็นเน้อื ความในบทนีอ้ ยางนว้ี า พระผูมีพระภาคเจาพระองคนัน้ทรงแสดงธรรมงามในเบ้ืองตน ฯลฯ บรสิ ทุ ธิ์ และเมอื่ ทรงแสดงอยา งนี้ ชอื่ วาทรงประกาศศาสนพรหมจรรยทงั้ ส้ินที่สงเคราะหลงในไตรสกิ ขา. บทวาพรฺ หมฺ จรยิ  ความวา จรยิ าทีช่ ื่อวา เปน พรหม เพราะหมายความวาประเสริฐท่สี ุด อีกอยางหน่งึ มคี ําอธิบายวา จริยาของทานผูประเสรฐิ ทัง้ หลายมีพระพทุ ธเจา เปนตน ชอื่ วา พรหมจรรย. บทวา สาธุ โข ปน ความวา กแ็ ล การเหน็ พระอรหันตทั้งหลายเปน ของดี. มีคาํ อธิบายวา นําประโยชนมาให นําความสุขมาให. บทวาตถารปู าน อรหต ความวา พระอรหนั ตท ง้ั หลาย เชน พระโคดมผเู จริญเปนบคุ คลท่ีเหน็ ไดยาก โดยใชเ วลานานถงึ หลายแสนโกฏกิ ปั (จงึ จะไดเหน็ ) มสี รีระดงึ ดูดใจแพรวพราวดวยมหาปุรสิ ลักษณะอนั งามเลศิ ๓๒ ประการ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 314ประดบั ประดาดว ยรัตนะ คือ อนพุ ยญั ชนะ ๘๐ ประการ แวดวงดว ยพระรัศมีทีแ่ ผซา นออกไปประมาณหน่งึ วา นา ทศั นาไมนอ ย มกี ระแสเสียงแสดงธรรมไพเราะยิ่งนัก ไดเ สียงเรยี กขาน (นาม) วา เปนพระอรหนั ตในโลก เพราะไดบ รรลคุ ุณตามเปนจริง. บทวา ทสฺสน โหติ ความวา แมเ พยี งลืมนยั นตาท่เี ปน ประกายดวยความเลือ่ มใสเปน ตน ข้นึ ดกู ็ยงั เปนการดี เพราะทาํ อธั ยาศัยอยา งนว้ี า กถ็ า วา เม่อื พระพทุ ธเจา เชน พระโคดมผเู จริญแสดงธรรมอย.ู ดว ยพระสรุ เสยี งดุจเสยี งพรหมซง่ึ ประกอบดว ยองค ๘ เราทั้งหลายจกั ไดฟ งสักบทหนึ่งไซร กจ็ ักเปน การดยี ง่ิ ขึ้นไปอีกทเี ดยี ว. บทวา เยน ภควา เตนปุ สงฺกมสึ ุ ความวา ชาวเวนาคปรุ ะท้ังหลายละทง้ิ การงานทกุ อยางมีใจยินด.ี ในบทวา อชฺ ลิมฺปณาเมตฺวา น้ีมอี ธิบายวา ชนเหลา ใดเขา กันไดกับท้ังสองฝา ย คอื ท้ังฝา ยสมั มาทิฏฐแิ ละมจิ ฉาทฏิ ฐิ ชนเหลา น้นั คิดอยา งนวี้ า ถาพวกมิจฉาทฏิ ฐจิ ักทกั ทว งพวกเราวาเพราะเหตไุ ร ทานทั้งหลาย จึงกราบพระสมณโคดม เราทงั้ หลายจกั ตอบพวกมจิ ฉาทิฏฐินน้ั วา แมดวยเหตุเพียงทาํ อัญชลี กจ็ ัดเปนการกราบดว ยหรือ ? ถาพวกสมั มาทฏิ ฐิจักทวงพวกเราวา เพราะเหตไุ ร ทา นท้ังหลายจึงไมกราบพระผมู ีพระภาคเจา เราทงั้ หลายจกั ตอบวา เพราะศีรษะกระทบพนื้ ดนิ เทาน้นัหรือจงึ จัดเปน การกราบ แมการประนมมือก็ถือเปนการกราบเหมือนกนั มใิ ชหรือ ? ประกาศชือ่ และโคตร บทวา นามโคตฺต ความวา ชาวเวนาคปรุ ะทัง้ หลายเมอ่ื กลา ววาขา แตพ ระโคดมผูเจรญิ ขา พเจาชอ่ื ทัตตะเปน บตุ รของคนโนน ช่ือมิตตะ เปน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 315บุตรของคนโนน มาในทีน่ ดี้ งั น้ี ช่ือวา ประกาศชอ่ื เม่ือกลาววา ขาแตพระโคดมผเู จริญ ขา พเจา ช่ือ วาเสฏฐะ ขาพเจาชื่อ กัจจายนะ มาในทน่ี ี้ ดงั น้ีชื่อวา ประกาศโคตร. เลากนั วา ชาวเวนาคปุระเหลา นั้นยากจน เปน คนแก ทาํ อยางนน้ั ก็ดวยหวงั วา เราทงั้ หลายจักปรากฏดว ยอาํ นาจชอื่ และโคตรในทา มกลางบริษัท.ก็แล ชาวเวนาคปรุ ะเหลาใดนง่ั น่ิง ชาวเวนาคปุระเหลานน้ั เปน คนตระหนี่เปน คนโง. บรรดาชนเหลาน้นั พวกท่ีตระหนค่ี ดิ วา เมือ่ เราทาํ การสนทนาปราศยั คําหน่งึ สองคาํ พระสมณโคดมก็จะคุนเคยดวย เม่อื มคี วามคุนเคยจะไมใหภ กิ ษาหน่ึง สองทัพพี กจ็ ะไมเหมาะ ดังน้ี เมื่อจะปลกี ตัวจากการสนทนาปราศยั น้นั จงึ นั่งนง่ิ . พวกคนโงน ง่ั น่ิงอยูในท่ีแหงหน่งึ เหมอื นกอ นดินทขี่ วา งลงเพราะความที่ตนเปน คนไมร.ู บทวา เวนาคปุรโิ ก ไดแ กช าวเมืองเวนาคบุรี.บทวา เอตทโวจ ความวา ชาวเมอื งเวนาคบุรมี องดพู ระสรรี ะของพระ-ตถาคตเจา ตงั้ แตป ลายพระบาทขึน้ ไปจนถงึ ปลายพระเกศา ก็เหน็ พระสรีระของพระตถาคตเจา ประดับประดาดวยมหาปุรสิ ลกั ษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งรงุ เรอื งดว ยอนุพยัญชนะ ๘๐ แวดลอมดวยพระพุทธรศั มีสเี ขม ๖ สี ซ่ึงเปลง ออกจากพระสรรี ะไปครอบคลมุ ประเทศ โดยรอบได ๘๐ ศอก จงึ เกิดความพศิ วงงงงวย เมือ่ จะกลา วสรรเสริญคุณจึงไดก ลา วอยางนี้ คอื ไดก ลา วคํามี อาทิวาอจฺฉรยิ  โภ โคตม. จติ ผองใสทําใหอ นิ ทรยี  ๕ ผอ งใส บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ยาวฺจิท นี้ เปน คําบง ถึงการกาํ หนดประมาณย่ิง. บทวา ยาวฺจทิ  นนั้ สมั พันธเ ขากบั บทวา วิปปฺ สนนฺ  .

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 316และ(อินทรียท้ังหลาย) ผองใสเพียงใด ชื่อวา ผองใสอยา งย่ิง อธิบายวา ผอ งใสยิง่ นัก. บทวา อินทฺ รฺ ิยานิ ไดแก อนิ ทรีย ๖ มจี กั ษุเปน ตน ก็ความที่อนิ ทรยี  ๖ นัน้ ผอ งใสไดป รากฏแลว แกพราหมณว จั ฉโคตร เพราะไดเหน็ความทีโ่ อกาสที่อนิ ทรยี  ๕ ตัง้ อยผู อ งใส. ก็เพราะเหตุทค่ี วามผอ งใสน้นั ยอมผอ งใสท่ีใจน่นั เอง เพราะสําหรับบคุ คลผูมจี ิตไมผ อ งใส ก็จะมอี นิ ทรียไมผองใสฉะนน้ั แมค วามผอ งใสแหง มนนิ ทรยี ก ไ็ ดป รากฏแกพ ราหมณวจั ฉโคตรนนั้ .พราหมณวัจฉโคตรมุงเอาความท่ีอินทรยี  ๖ ผองใส อยา งนน้ี ัน้ จึงกลา ววาวิปฺปสนฺนานิ อนิ ฺทฺริยาน.ิ บทวา ปริสุทธฺโธ ไดแ ก ไมมมี ลทนิ . บทวา ปรโิ ยทาโต ไดแกผดุ ผอ ง. บทวา สารท พทรปณฺฑฺ ไดแก ผลพุทราสุกเต็มท่ซี ่ึงเกดิ ในสรทกาล. แทจ ริง ผลพทุ ราสุกจัดน้ัน มที งั้ ใสท้งั ผดุ ผอง. บทวาตาลปกฺก ไดแ ก ผลตาลสกุ จดั . บทวา สมฺปติ พนธฺ นา ปมุตฺตไดแ ก หลดุ จากขั้วในขณะน้นั นั่นเอง. อธิบายวา เนอ้ื ท่เี พยี ง ๔ องคุลีของผลตาลสุกน้ันทีบ่ คุ คลปลิดออกจากขว้ั ทะลาย แลว หงายหนาขึ้นวางไวบ นแผน -กระดาน ยอ มปรากฏเปนสสี ดใสผุดผอ งแกบคุ คลผูแลดู. พราหมณว ัจฉโคตรหมายเอาผลตาลสุกนั้นแล จงึ กลาวอยา งนี.้ บทวา เนกขฺ  ชมโฺ พนท ไดแก แทง ทองชมพนู ุทซง่ึ มสี ีแดงกลา่ํ .บทวา ทกฺขกมมฺ ารปุตฺตสปุ ริกมมฺ กต ไดแก อันบุตรนายชางทองผูฉ ลาดตกแตงไวด แี ลว. บทวา อุกฺกามเุ ข สุกุลสมปฺ หฏ  ความวา ทองชมพนู ทุอนั นายชา งทองผูมฝี ม ือ หลอมในเตาของนายชา งทองแลวขดั อยางดี ดว ยการตี การรีด และการบนุ วด อธิบายวา ขดั ใหน วดไดท ี่. บทวา ปณฑฺ กุ มฺพเลนกิ ขฺ ติ ตฺ  ความวา อันนายชางทองผมู ฝี มือ ใชไ ฟลน ขัดถูดว ยเขย้ี วเสอื -

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 317เหลือง เอายางไมท าแลววางไวบ นผากัมพลสีแดง. บทวา ภาลเต ไดแกเปลง แสงเพราะมีแสงเกดิ เอง. บทวา ตปเต ไดแ ก สอ งสวาง เพราะกําจัดความมดื . บทวา วิโรจติ ไดแก แผไพโรจนโ ชตชิ ว ง อธิบายวา สงางาม. ในบทวา อจุ จฺ าสยนมหาสยนานิ นี้ มอี ธบิ ายดงั ตอ ไปนี้ ท่ีนอน(สูง) เกินขนาด ชอ่ื วา ทน่ี อนสูง. ท่นี อนท่เี ปน อกปั ปย ภัณฑ (ของที่ไมควรแกสมณะ) ท้งั ยาวและกวาง ชือ่ วา ที่นอนใหญ. บดั น้ี เม่ือจะแสดงท่นี อนสงู และทีน่ อนใหญน นั้ พราหมณวัจฉโคตรจงึ กลาวคําวา เสยยฺ ถที อาสนทฺ ิ เปน ตน. อธิบายเร่อื งอาสนะเปน ตน ในคาํ วา อาสนทฺ ิ เปนตน นั้นมอี ธบิ ายดงั ตอไปนี้ ท่ีช่อื วาอาสนั ทิ ไดแ ก อาสนะ (ทน่ี ่งั ) เกนิ ขนาด ท่ีชอื่ วา บัลลงั ก ไดแ กบัลลังก (เตยี งหรอื แทน) ทเี่ ขาทาํ โดยติดรปู สัตวร า ยไวท เ่ี ทา. ทช่ี อ่ื วาโคณกะ ไดแ ก ผา โกเชาวผืนใหญท ่มี ขี นยาว. เลากันวา ขนของผาโกเชาวผ นื ใหญนน้ั (ยาว) เกิน ๔ นิว้ . ท่ชี ่ือวา จิตติกา ไดแก เครือ่ งลาดขนแกะวจิ ติ รดวยรัตนะ. ที่ชอ่ื วา ปฏิกา ไดแก เครอ่ื งลาดสขี าวทาํ จากขนแกะ. ท่ชี ื่อวา ปฏลิกา ไดแก เครื่องลาดขนแกะมดี อกหนา ซึ่งเรยี กวา แผนมะขามปอม บาง. ทชี่ อ่ื วา ตูลิกา ไดแ ก เครอ่ื งลาดทําจาก-สาํ ลี ซ่งึ ยัดเตม็ ดวยสําลีชนดิ ใดชนดิ หน่ึงในสําลี ๓ ชนิด. ท่ีชอื่ วา วิกติกาไดแกเครื่องลาดขนแกะซ่งึ วิจิตรดวยรปู ราชสีห และเสอื โครง เปนตน . ท่ีชอื่ วาอทุ ธโลมี ไดแก เครอ่ื งลาดขนแกะท่ีมีชายทัง้ สองขา ง. อาจารยบางพวกกลาววา เครือ่ งลาดขนแกะทม่ี ีดอกนนู ข้ึนขางเดยี ว. ทช่ี อ่ื วา เอกันตโลมีไดแก เครือ่ งลาดขนแกะที่มีชายขางเดยี ว. อาจารยบางพวกกลาววา เครือ่ ง-

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 318ลาดขนแกะท่ีมีดอกนูนขึ้นท้ังสองขาง. ท่ชี ่อื วา กฏั ฐสิ สะ ไดแก เคร่ืองลาดทาํ จากไหม เย็บตดิ ดวยรตั นะ. ที่ชอื่ วา โกเสยยะ ไดแก เคร่อื งลาดคทําจากเสน ไหม เย็บตดิ ดว ยรัตนะเหมอื นกัน. ท่ชี ่ือวา กตุ ตกะ ไดแก เครอ่ื งลาดขนแกะขนาด ท่นี างระบํา ๑๖ นางใชย นื รายรําได. ทชี่ อื่ วา เครือ่ งลาดชางเปนตน ไดแกเ คร่ืองลาดทีล่ าดบนหลังชา งเปนตน และเครอ่ื งลาดทท่ี าํ แสดงเปนรูปชางเปน ตน . ทชี่ ื่อวา อชินัปปเวณิ ไดแ ก เครอื่ งลาดทีเ่ อาหนังเสอืดาวมาเย็บทาํ โดยขนาดเทา เตียง. บททเี่ หลอื มคี วามหมายดังกลาวแลว ในตอนตน นัน่ เอง. บทวา นิกามลาภี แปลวา (พระสมณโคดมผเู จริญ) มปี กตไิ ดตามปรารถนา คอื มปี กติไดทน่ี อนสูงและใหญตามที่ตอ งการ ๆ. บทวาอกิจฺฉลาภี แปลวา มปี กตไิ ดโ ดยไมยาก. บทวา อกสริ ลาภี แปลวามปี กตไิ ดท ีน่ อนอนั ไพบลู ย คือ มีปกตไิ ดท่ีนอนใหญ พราหมณวจั ฉโคตรกลาวหมายเอาวา พระสมณโคดมผูเ จริญ เห็นจะไดท่นี อนทโ่ี อฬารทเี ดียว.เลากนั วา พราหมณน ้ีตระหนกั ในการนอน (ชอบนอน). เขาเห็นวา อนิ ทรยี ของพระผมู ีพระภาคเจา ผองใสเปน ตน สําคัญอยวู า พระสมณโคดมน้ี นัง่ และนอนบนทน่ี อนสูง และทน่ี อนใหญเหน็ ปานนเ้ี ปนแนแ ท ดว ยเหตนุ ้นั อนิ ทรยี ท้ังหลายของทา นจึงผอ งใส ผิวพรรณจงึ บริสุทธ์ผิ ดุ ผอง จึงไดกลาวสรรเสริญคณุ ของเสนาสนะน้.ี ในบทวา ลทฺธา จ ปน น กปปฺ นฺติ น้ี มีอธบิ ายวาเพราะพระบาลีวา เครื่องลาดบางอยา งใชได อธิบายวา เครอ่ื งลาดแกมไหมลว นจะปูลาดแมบ นเตียงกใ็ ชได เครอ่ื งลาดทาํ ดวยผา ขนสตั วเ ปนตน จะปลู าดโดยใชเปน เครอื่ งปพู ื้นกใ็ ชไ ด จะตดั เทา ของอาสนั ทิ (แลว น่งั ) ก็ได จะทําลายรูปสัตวร ายของแทน (แลวนง่ั ) ก็ได จะฉกี อาสนะยดั นุน เอามาทําเปนหมอน

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 319กไ็ ด ดังนี้ เครอื่ งลาดแมเหลานีจ้ ึงควรโดยวิธีเดียวกัน แตเพราะอาศยั สิง่ ที่เปน อกัปปยะ เครือ่ งลาดท้งั หมดนน่ั แหละ พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา ไมส นควร.บทวา วนนฺต เยว ปจารยามิ ความวา เราตถาคตเขา ไปสปู าทเี ดียว. บทวายเทว คือ ยานิเยว (แปลวา เหลา ใด). บทวา ปลลฺ งฺก อาภุชิตฺวา คือน่งั ใหอาสนะตดิ กับขาออ นชดิ กนั ไปโดยชอบ. บทวา อชุ ุ กาย ปณธิ ายคือ ทั้งกายใหต รง ใหกระดูกสันหลัง ๑๘ ขอ เอาปลายจรดปลายกนั . บทวาปริมขุ  สตึ อุปฏเปตวฺ า ความวา ต้ังสติมุง ตรงตอพระกัมมัฏฐาน หรือทาํ การกาํ หนดและการนาํ ออก (จากทุกข) ใหป รากฏชัด. สมจริงดังคําที่ทา นกลาวไวดงั นี้ วา ศพั ทวา ปริ มีความหมายวา กาํ หนด ศพั ทว า มุขมคี วามหมายวา นําออก ศพั ทวา สติ มคี วามหมายวา ต้งั มัน่ ดว ยเหตุนั้นพระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรัสวา ต้ังสติไวเฉพาะหนา. บทวา อปุ สมฺปชฺชวิหรามิ ความวา เราตถาคตได คอื ทาํ ใหป ระจักษอ ยู. พระพุทธเจา เขาฌานเดินจงกรม บทวา เอวมฺภูโต ความวา (เราตถาคต) เปน ผูพรงั่ พรอ มดว ยฌานใดฌานหนง่ึ ในบรรดาฌานมปี ฐมฌานเปนตนอยา งน้.ี บทวา ทิพฺโพเม เอโส ตสมฺ ึ สมเย จงกฺ โม โหติ ความวา ก็การจงกรมของเราตถาคตผเู ขา รูปฌาน ๔ เดินจงกรมอยู ชอื่ วา เปน การจงกรมทพิ ย แมเ มอ่ืเราตถาคตออกจากสมาบตั ิเดินจงกรม การจงกรม (น้ัน) ชอื่ วา เปน การจงกรมทพิ ยเ หมือนกนั . แมในอิริยาบถท้ังหลายมีการยืนเปนตน กม็ ีนัยน้ีแล.ในการอยู ๒ อยา งนอกนี้กเ็ หมอื นกนั . บทวา โส เอว ปชานามิ ราโคเม ปหีโน ความวา พระผมู ีพระภาคเจาเมอ่ื จะทรงแสดงราคะทล่ี ะไดแ ลว

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 320ดวยอรหตั มรรค ณ มหาโพธิบัลลังกนน่ั เอง จึงตรสั วา โส เอว ปชานามิราโค เม ปหโี น ดงั น.ี้ แมในบททเี่ หลอื กม็ นี ยั นีแ้ ล. อนึ่ง ถามวาดว ยบทนี้เปนอันตรสั ถึงอะไร (ตอบวา ) พระผูมีพระภาคเจาตรัสถึงการพิจารณา(ปจ จเวกขณญาณ). พระผูมพี ระภาคเจาตรัสถงึ ผลสมาบัตดิ ว ยการพิจารณาแทจรงิ อริ ิยาบถมกี ารจงกรมเปนตน ของพระอรยิ ะผูเขาผลสมาบัตกิ ็ดี ผูออกจากสมาบัตกิ ด็ ี ชื่อวา เปน การจงกรมของพระอริยะเปนตน. บททเ่ี หลือในสูตรน้ี งา ยท้งั หมดแล. จบอรรถกถาเวนาคสูตรท่ี ๓ ๔. สรภสตู ร วา ดวยอฐานะ ๓ อยาง [๕๐๔] สมัยหนง่ึ พระผูมีพระภาคเจา ประทับ ณ ภเู ขาคิชฌกฏูใกลกรุงราชคฤห สมยั นั้นปริพาชกชอื่ สรภะ เปน ผูเล่ยี งไปจากพระธรรม-วินัยนไ้ี มนาน เขากลา ววาจาอยา งนใ้ี นประชมุ ชนในกรงุ ราชคฤหว า ธรรมของพวกสมณสักยบตุ ร เรารทู ่วั แลว ละ กเ็ พราะเรารทู ่ัวธรรมของพวกสมณสกั ยบตุ ร เราจงึ เลี่ยงมาเสียจากธรรมวินยั นนั้ อยางน้ี ครัง้ นน้ั ภกิ ษมุ ากรปู เวลาเชาครองสบงแลว ถือบาตรและจวี รเขา สูกรุงราชคฤหเ พ่ือบณิ ฑบาต ภิกษเุ หลา น้ันไดย นิ สรภปริพาชกกลาววาจาอยา งนใี้ นประชุมชนในกรงุ ราชคฤหว า ธรรมของพวกสมณสักยบุตร เรารูท่ัวแลว ละ ก็เพราะเรารูท่ัวธรรมของพวกสมณสกั ยบตุ ร เราจงึ เลี่ยงมาเสียจากธรรมวนิ ัยนั้นอยางน้ี ภกิ ษเุ หลาน้นั ครน้ั เท่ียวบิณฑบาตในกรุง

พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 321ราชคฤหแลว ภายหลังอาหารกลับจากบณิ ฑบาตแลว เขา ไปเฝา พระผูมีพระภาคเจา ครนั้ เขา ไปถงึ แลวถวายอภิวาทพระผมู ีพระภาคเจาแลว น่ัง ณทค่ี วรสวนหนงึ่ ภิกษุเหลา น้ันนง่ั ณ ท่คี วรสวนหน่งึ แลว กราบทูลพระผูม ีพระภาคเจา วา ขา แตพระองคผเู จรญิ ปรพิ าชกชื่อสรภะ เลย่ี งไปจากพระธรรมวนิ ยั นไี้ มน าน เขากลา ววาจาอยา งนีใ้ นประชุมชนในกรงุ ราชคฤหว าธรรมของพวกสมณสักยบุตร ฯลฯ จากธรรมวินัยนั้นอยางนี้ สาธุ ขอพระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระกรณุ าโปรดเสด็จไปอารามปริพาชกแทบฝงแมน้ําสัปปนีท่สี รภปริพาชกอยเู ถิด พระผูมีพระภาคเจาทรงรับดวยดษุ ณภี าพ คร้ันเวลาเย็น เสด็จออกจากที่เรนไปอารามปริพาชกแทบฝงแมน ้ําสัปปนี ที่สรภปรพิ าชกอยู ครนั้ถึงแลว ประทบั บนอาสนะที่เขาจัดไวแ ลว ครน้ั ประทบั แลว พระผูมีพระภาคเจาตรสั ถามสรภปรพิ าชกวา สรภะ ไดยนิ วา ทานกลา วอยา งน้จี ริงหรอื วาธรรมของพวกสมณสกั ยบตุ ร ฯลฯ จากธรรมวินยั นน้ั อยา งนี้ เมอื่ พระผูมีพระภาคเจา ตรัสถามอยางน้ีแลว สรภปรพิ าชกนิ่งเสยี พระผูมีพระภาคเจาตรัสถามสรภปรพิ าชกครั้งที่ ๒ วา พดู เถดิ สรภะธรรมของสมณสักยบตุ ร ทา นรทู ัว่ วา อยางไร ? ถาคําของทา นจกั ไมบรบิ รู ณเราจกั ชวยใหบ รบิ ูรณ แตถา คาํ ของทา นจกั บรบิ รู ณไซร เรากจ็ กั อนโุ มทนา แมค ร้ังที่ ๒ สรภปรพิ าชกก็คงนงิ่ อยู พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ถาม. . .เปนครั้งที่ ๓ วา สรภะ ธรรมของสมณสักยบุตร เราบัญญัตเิ อง พดู เถิด สรภะ ธรรมของสมณสกั ยบตุ รทา นรูทัว่ วา อยางไร ถาคําของทา นจักไมบรบิ ูรณ เราจักชวยใหบรบิ รู ณ แตถาคําของทา นจกั บริบรู ณไ ซร เราก็จักอนุโมทนา

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 322 แมครั้งที่ ๓ สรภปริพาชกกค็ งนง่ิ ทีนี้ ปรพิ าชกทงั้ หลายกลา วกะสรภปริพาชกวา อาวุโสสรภะ ทา นจะพงึ ขอรองขอใดกะพระสมณโคดม พระสมณโคดมกย็ อมใหข อ น้นั แกทานพูดเถิด อาวุโสสรภะ ธรรมของพวกสมณสักยบตุ ร ทานรูทั่ววาอยา งไรถา คาํ ของทานจกั ไมบ รบิ รู ณ พระสมณโคดมจักชว ยใหบริบูรณ แตถ าคําของทา นจกั บริบรู ณไ ซร พระสมณโคดมก็จักอนโุ มทนา เมอ่ื ปรพิ าชกท้ังหลายกลาวอยา งน้แี ลว สรภปริพาชกนิง่ อน้ั หมดสงาคอตกกมหนา ซบเซาไมมีปฏิภาณ นั่งอยู ลาํ ดบั นั้น พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแจง วา สรภปริพาชกนงิ่ อน้ัหมดสงา คอตกกม หนาซบเซาไมม ีปฏภิ าณแลว จงึ ตรัสกะปรพิ าชกเหลานน้ั วาปริพาชกทัง้ หลาย ผูใดจะพึงวาเราวา ทา นปฏิญญาวา เปน สมั มาสัมพทุ ธะแตธรรมเหลาน้ีทานยงั มไิ ดต รัสรแู ลว ดังนี้ เราจะพึงซักไซไ ลเลยี งผนู ั้นในขอนั้นอยางดี ผูนนั้ แลถกู เราซกั ไซไลเลยี งอยางดีเขา ยอ มเปนไปไมไ ดไมมที างเลยทเ่ี ขาจะไมต กอยูในฐานะ ๓ อยา งใดอยางหนงึ่ คือ จะตอ งพดูกลบเกล่ือนหรอื ออกนอกเรือ่ งนอกทางไปบา ง จะตอ งแสดงความขุนเคือง ความโกรธแคน ความนอ ยใจใหปรากฏบา ง จะตองนง่ิ อนั้ หมดสงา คอตกกมหนาซบเซาไมมปี ฏภิ าณเหมอื นอยางสรภปรพิ าชกบาง ปรพิ าชกทง้ั หลาย ผใู ดจะพึงวาเราวา ทานปฏญิ ญาวา เปน ขีณาสพแตอ าสวะเหลานน้ั ของทา นยงั ไมส ้นิ แลว ดงั น้ี เราจะพงึ ซกั ไซไ ลเลยี งผูนนั้ ในขอ น้ันอยา งดี ฯลฯ เหมือนอยางสรภปริพาชกบาง ปริพาชกท้งั หลาย ผูใดจะพงึ วา เราวา ทา นแสดงธรรมเพ่ือประโยชนอันใด ประโยชนอ ันนั้นไมเ ปน ทางส้นิ ทุกขโดยชอบแหง บุคคลผทู าํ ตาม ดังน้ีเราจะพงึ ซกั ไซไ ลเ ลยี งผูนัน้ ในขอ นน้ั อยางดี ฯลฯ เหมือนอยา งสรภปริพาชกบาง

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 323 พระผมู ีพระภาคเจา ครัน้ ทรงเปลงพระสงิ หนาท ๓ วาระแลว เสดจ็กลบั ไปทางอากาศ เม่ือพระผูมีพระภาคเจา เสด็จไปแลว ไมชา ปริพาชกเหลานั้นกร็ ุมกันถากถางสรภปริพาชกวา แนะ อาวโุ สสรภะ สุนัขจง้ิ จอกแกในปา ใหญทะยานใจวา จกั รอ งใหเ หมือนเสียงราชสีห กร็ อ งเปนเสียงสุนขั จ้ิงจอกนน่ั แหละ รองเปนเสยี งสนุ ขั ปาอยูนัน่ เองฉนั ใด ทานก็ฉันนนั้ แหละ อาวุโสสรภะ ลบั หลังพระ-สมณโคดมคยุ วา ขา จักบนั ลือสงิ หนาท ก.็ ..เสยี งสนุ ัขจ้งิ จอกน่นั แหละ...เสียงสุนขั ปา นนั่ เอง ไกตวั เมียกระหยมิ่ ใจวา จักขนั ใหเหมอื นเสียงไกต ัวผูก็ ...เสียงไกต วั เมียอยนู ่ันฉันใด ทานกฉ็ ันนั้นแหละ อาวโุ สสรภะ ลบั หลงัพระสมณโคดมคยุ วา ขา จกั ขนั กก็ ะตากนั่นเอง โค ในโรงวา ง ยอ มสําคัญวาเสยี ง ลกึ ฉันใด ทา นก็ฉันน้นั แหละ. อาวโุ สสรภะ ลับหลังพระสมณโคดมกส็ ําคญั วาเสียง (ของตวั ) ลกึ . คร้ังนนั้ แล ปริพาชกเหลา นน้ั ตา งชว ยกันเอาปฏกั คือวาจาท่มิ แทงสรภปริพาชกรอบขา ง. จบสรภสูตรที่ ๔ อรรถกถาสรภสูตร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในสรภสตู รท่ี ๔ ดังตอไปน้ี :- บทวา ราชคเห ไดแ ก ในพระนครอันมชี อ่ื อยา งน้ี. บทวา คิชฺฌกูเฏปพฺพเต ความวา ภูเขานนั้ มยี อดเหมือนนกแรง อีกอยา งหนึ่ง ชื่อวาคชิ ฌกฏู เพราะนกแรงอยูบนยอดของภเู ขานัน้ . ณ ภเู ขาคชิ ฌกูฏน้นั . ดวย

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 324บทวา คิชฺฌกูเฏ น้ี ทา นแสดงถงึ ที่ประทับของพระผูมีพระภาคเจา ผูทรงประทบั อยู โดยเอากรงุ ราชคฤหเปน โคจรคาม. อธิบายวา เขาสรางวิหารถวายพระตถาคตเจา บนภูเขาคิชฌกูฏ. ฉะนนั้ คําวา คิชฌฺ กูฏวิหาโร จงึ เปนช่ือของวหิ ารน้ัน. ในสมัยนนั้ ปริพาชกช่อื วา สรภะ นี้ อยู ณ ท่นี ั้น ฉะนี้แล. บทวา สรโภ นาม ปริพฺพาชโก อจิรปกกฺ นฺโต โหติ ความวาปริพาชกผมู ชี อ่ื อยางนี้วา สรภะ บวชแลว ในศาสนานี้ ไมน านกเ็ ลย่ี งออกไป.อธิบายวา ไมนานก็สึก. แทจรงิ เม่ือพระสัมมาสัมพุทธเจา เสดจ็ อุบัตขิ ึ้นในโลก เหลา เดยี รถียพากนั เสอ่ื มลาภ สักการะ. ลาภสกั การะมากมายเกดิ ขึ้นแกพ ระรตั นตรัย ดังเชน ท่ีพระธรรมสงั คาหกาจารยเ จากลาวไวว า กโ็ ดยสมัยนน้ั แล พระผมู ีพระภาคเจาเปนผอู นั ชนทั้งหลาย สักการะ เคารพนบนอบ บูชายาํ เกรงแลว เปนผไู ดร ับบริขาร คอื จวี ร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปจ จยเภสชั สว นอญั ญเดียรถยี ทง้ั หลาย (และ) ปรพิ าชกทง้ั หลาย ไมม ีผูสกั การะ เคารพ นบั ถือ บูชา และยําเกรง ไมไดรับบริขาร คอื จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจ จยเภสัช ดงั นฺ้ี อญั ญเดียรถีย ประมาณ ๕๐๐ เหลานนั้ ผูเสื่อมลาภและสกั การะอยา งนี้ นดั ประชมุ ในอารามของปริพาชกแหงหนง่ึ หารือกนั วา ทานผเู จริญทัง้ หลาย จําเดิมแตเ วลาท่ีพระสมณโคดมอบุ ตั ิข้นึ แลว พวกเรากลายเปน ผูเสอ่ื มจากลาภสกั การะ ทา นท้งั หลายจงใครค รวญหาโทษของพระสมณโคดมและสาวกของพระสมณโคดมสกั ขอหน่งึ กระจายโทษออกไป ตเิ ตียนคําสอน

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 325ของพระสมณโคดมน้ัน แลว จกั ยังลาภสักการะใหเกดิ ขน้ึ แกพวกเราทัง้ หลายอัญญเดยี รถยี เหลา นน้ั เมอ่ื ตรวจดูโทษ ไดพูดกันวา พวกเราไมส ามารถจะมองเหน็ โทษของพระสมณโคดม ในท่ี ๔ สถาน คือในทวาร ๓ และอาชีวะ๑ ได ทานท้งั หลายจงละฐานะทั้ง ๔ ไวกอ น แลว ตรวจดใู นฐานะอ่นื .ลําดบั น้นั ในระหวางพวกเดียรถียเหลา นน้ั เดียรถยี ค นหน่งึ กลา วอยางน้ีวาขาพเจาไมเห็นอุบายอยางอืน่ ก็แตว า สมณะเหลาน้ี ลงประชมุ กันทกุ กงึ่ เดือนปดประตูหนาตาง ไมใ หแมแตส ามเณรเขาไป ถงึ อุปฏ ฐากผูใกลช ดิ กไ็ มไดเห็น สมณะเหลา นี้ รา ยมายามนตท่ีทําใหคนหลงใหล แลว ทําใหค นกลับใจเขาเปน พวก. ถา เราทั้งหลาย จักสามารถนําเอามายามนตที่ทําใหค นหลงใหลนัน้ มาไดดวยอบุ ายน้ี ลาภสกั การะอนั โอฬาร จกั มีแกพวกเรา. เดยี รถยี แมอีกคนหนึง่ ไดล ุกขน้ึ กลา วอยา งนั้นเหมือนกัน. เดียรถียทงั้ หมด ไดมีวาทะเปนอยา งเดียวกนั . ตอ แตนนั้ เดยี รถียท้ังหมดพูดวา ผใู ดจกั สามารถนาํมายามนตน ัน้ มาได พวกเราจกั แตง ต้ังใหเปนหัวหนา ในลัทธขิ องพวกเราท้งั หลาย. ลําดบั นนั้ พวกเดยี รถยี ถ ามกันตัง้ แตค นสดุ ทา ยขน้ึ ไปวา ทานสามารถไหม ? ทา นสามารถไหม ? เม่ือสวนมากตอบวา ผมไมสามารถ ผมไมสามารถ จึงพากันถามสรภปรพิ าชกวา อาจารยค รบั ทา นอาจารยจ ักสามารถไหม ? เขาตอบวา การนํามายามนตน้ีมาไมใ ชเรื่องหนกั หนา ถา พวกทานจกั ยืนยนั ตามถอยคาํ ของตน แตง ต้ังเราเปนหัวหนา พวกเดียรถียกลาววาอยาหนักใจเลยทานอาจารย ทา นจงนํามายามนตมาเถิด ทา นทาํ สาํ เรจ็ แลวพวกผมแตง ต้ังใหเ ปน หวั หนา แน. เขาพูดวา ผจู ะนาํ มายามนตน ้ันมาได ไม

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 326ใชจะสามารถนาํ มาไดโ ดยการขโมย หรือปลนเอา แตตองทาํ เปน พวกเดียวกบัสาวกของพระสมณโคดม. คอื ตองไหวสาวกของพระสมณโคดม ทําวัตรปฏบิ ัติฉันอาหารในบาตรของสาวกแหงพระสมณโคดมเหลา นนั้ จงึ จะสามารถนํามาไดกิรยิ าของคนเชน นน้ี ้ัน พวกทา นพอใจหรอื เดยี รถียทงั้ หลายตอบวา ทานจงทําอยางใดอยา งหน่งึ นาํ มามอบใหพ วกเรา. สรภปริพาชกไดใ หส ัญญาแกป ริพาชกทั้งหลายวา ถา อยางนนั้ ทา นทัง้ หลายเหน็ ผมแลว ตองทาํ เปนเหมอื นไมเ ห็น แลวในวันที่สองจึงลกุ ขน้ึ แตเชา เขาไปยังมหาวิหาร ชอื่ วาคชิ ฌกูฏ กราบเทา ภกิ ษุทั้งหลาย ท่ตี นเห็นแลว ๆ ดว ยเบญจางคประดษิ ฐภกิ ษทุ ้ังหลายพดู กนั วา เดียรถียเหลาอน่ื กระดา ง หยาบคาย แตช ะรอยเดียรถียค นนี้ จกั เปนผมู ศี รัทธา มคี วามเล่ือมใสแลว. เขากลา ววา ทานเจาขาทานทง้ั หลายบวชแลวในสํานัก ทเ่ี หมาะสมทเี ดียว เพราะรู (ดี) แลว สว นผมไมไดใ ครครวญ เมอื่ แลนไปผดิ ทา จงึ เทยี่ วไปผดิ ในทศิ ทาง ที่ไมไดน ําสตั วออกจากทกุ ข. ก็ครั้นเขากลา วอยางนีแ้ ลว ไหวภิกษทุ กุ รปู ที่ตนเห็นแลว ๆเตรยี มนํา้ สําหรบั อาบเปนตน ไว ทําไมช ําระฟนใหเ ปน กัปปย ะ ลา งเทา ทา-นาํ้ มนั ใหไ ดภัตรที่เหลือแลวบรโิ ภค. พระมหาเถระรูปหน่งึ เหน็ เขาอยโู ดยทาํ นองน้ี จึงพูดวา ทานมีศรัทธาเลือ่ มใสแลว จะไมบวชหรอื เขาตอบวา ทา นผูเจรญิ ใครจกั ใหผมบวช เพราะพวกผมประพฤตติ นเปน ขา ศกึ ตอ พระคณุ ทานทัง้ หลายมาตลอดกาลนาน. พระเถระกลา ววา ถาทา นประสงคจ ะบวช เราก็จะบวชให แลวใหเขาบรรพชา. นบั แตวาระที่บวชแลว เขาไดท ําวัตรปฏบิ ตั เิ ปนนิตย พระเถระพอใจในวัตรปฏบิ ัติของเขา ไมน านกใ็ หเขาอปุ สมบท. ในวนั อุปสมบททา นเขาไปในโรงอโุ บสถ พรอมดว ยภกิ ษทุ ้ังหลาย เหน็ ภกิ ษุท้ังหลายยกยอ งพระปาฏิโมกขด วยอตุ สาหะมาก จงึ คิดวา ภกิ ษุเหลา น้ี รา ยมายามนตทท่ี าํ ใหค น

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 327หลงใหล แลว ทําใหกลบั ใจเขา เปนพวก. อีก ๒-๓ วัน เทา น้นั เราก็จกั สวดไดเธอไปสูบ ริเวณไหวพระอปุ ชฌายแลวเรยี นถามวา ทานขอรับ ธรรมนี้ช่ืออะไร ? พระอปุ ชฌายต อบวา ช่อื วา ปาฏโิ มกข. ทานขอรับ ปาฎิโมกขนี้เปนธรรมอันสูงสุดหรอื ? ถกู แลว คณุ สิกขานจี้ ะทรงไวได ซึง่ สาสนธรรมทั้งหมด. ทานขอรับ ถาสกิ ขาธรรมนี้ เปน ธรรมสงู สุดแลวไซร ผมจะเรยี นเอาสิกขาธรรมน่แี หละเสียกอน. พระเถระรบั คาํ วา เรยี นเถดิ คุณ เธอกําลงัเรยี นอยู พบปริพาชกท้ังหลาย ถูกเขาถามวา เปน อยา งไรอาจารย จึงบอกวาพวกทานอยาคดิ อะไรเลย อีก ๒-๓ วัน ผมจกั นาํ ไปให. ไมชา กเ็ รียนจนจบแลวพูดกบั อุปช ฌายวา มีเพยี งเทาน้ีหรือขอรับ หรอื แมอ ยา งอน่ื ก็ยงั ม.ีพระเถระตอบวา มเี ทา นเ้ี ทานัน้ แหละคุณ. ในวนั รุง ขึ้น เธอนงุ หมตามปกติถอื บาตรตามทาํ นองที่เคยถือ แลวออกจากอาราม ชือ่ วา คิชฌกฏู ไปยังอารามของปรพิ าชก ปริพาชกทัง้ หลายเหน็ เธอแลว พากันหอมลอ มเธอ ถามวาเปน อยางไรทานอาจารย ชะรอยจะไมสามารถนําเอามายามนตท ี่ทําใหคนหลงใหลมาไดกระมัง ? เธอตอบวา อยาหนกั ใจเลยอาวุโสทงั้ หลาย มายามนตทีท่ าํ ใหคนหลงใหลเรานํามาไดแ ลว ต้ังแตน้ไี ป เราทั้งหลายจักมลี าภสักการะมาก ทานทัง้ หลายจงสมคั รสมานสามัคคีกนั อยา ทะเลาะววิ าทกนั ปรพิ าชกทง้ั หลายกลาววา ขา แตทานอาจารย ถาทา นเรียนไดมาแลว ก็จงบอกมายามนตทที่ าํ ใหค นหลงใหลน้นั แกพ วกผมบาง. เธอสวดปาฏโิ มกขเร่มิ แตตน (จนจบ).ลําดับน้นั ปรพิ าชกทงั้ หมดเหลา น้ัน พดู กันวา มาเถิดทานผูเจริญทัง้ หลายพวกเราจะเขา ไปในพระนคร กลา วโทษของพระสมณโคดม. เม่อื ประตเู มอื งยงั ไมทนั เปด พากนั ไปใกลป ระตู เขา ไปกอ นใคร ๆ ท้ังหมดทางประตูทเ่ี ปดแลว . คําวา สรโภ นาม ปริพฺพาชโก อจริ ปกฺกนโฺ ต โหติ (ปริพาชก

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ตกิ นบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 328ชอ่ื วา สรภะ หลีกไปแลว ไมน าน) ดงั น้ี ทานกลา วหมายถึงปรพิ าชกนัน้ผหู ลบหลกี ไปดว ยทงั้ เพศของตน อยา งนี.้ ก็ในวันนน้ั พระผมู ีพระภาคเจา ทรงตรวจดูสตั วโ ลกในเวลาย่ํารงุไดท รงเหน็ เหตนุ ้ีวา วันนี้ สรภปริพาชกจักเทย่ี วไปในพระนคร แลว ทาํประกาศนยี กรรม (ประกาศเปารอง) เมอ่ื เธอกลา วคําตําหนพิ ระรตั นตรัย ชื่อวาโปรยยาพษิ ลง แลวไปสอู ารามแหง ปริพาชก ถงึ เราตถาคตกจ็ ักไป ณ ท่นี นั้เหมือนกนั บริษทั แมท งั้ ๔ จกั ประชุมกันในอารามของปริพาชกน้ันแล ในสมาคมนั้นจักมีคน ๘๔,๐๐๐ ไดด ื่มนํา้ อมฤต. ลาํ ดบั น้นั พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระดําริวา สรภปรพิ าชกจงมีโอกาส จงประกาศโทษตามชอบใจ แลวตรสั เรยี กพระอานนั ทเถระมา รับสั่งวา อานนท เธอจงไปบอกภิกษสุ งฆใ นมหาวหิ าร ๑๘ แหง ใหไปบิณฑบาตพรอมกบั เราตถาคต. พระเถระไดปฏบิ ัติดงั นน้ั แลว . ภกิ ษทุ ั้งหลายตางถือบาตรจวี ร หอมลอมพระตถาคตแลวเทียว.พระศาสดาทรงพาภิกษสุ งฆไปบิณฑบาต ทบ่ี านใกลประตูพระนคร ฝา ยสรภปรพิ าชกกเ็ ขาไปสพู ระนคร พรอ มดวยปรพิ าชกทั้งหลาย คร้นั ถงึ ทา มกลางหมูบ ริษทั ประตูพระราชวัง ประตูบา นอํามาตย และที่ถนน ๔ แยกเปนตนไดป ระกาศวา ธรรมของพวกสมณศากยบุตรทั้งหลาย เรารหู มดแลว ดังนี้เปน ตน ในที่นน้ั ๆ. คํามีอาทวิ า โส ราชคเห ปรสิ ติ เอว วาจ ภาสติ(สรภปรพิ าชกนน้ั กลาวคาํ อยา งน้ี ในบรษิ ัท ในกรงุ ราชคฤห) น้ี ทา นกลา วหมายถงึ การกลาวโทษนั้น. บรรดาบทเหลาน้นั ดวยบทวา อฺ าโตสรภปปรพิ าชกแสดงวา (ธรรมของพวกสมณศากยบุตร) เรารูแลว คือเขา ใจแลว ไดแกเ รยี นใหแจมแจง แลว. บทวา อฺ าย แปลวา รแู ลว. บทวาอปกฺกนโต ไดแกห ลกี ไป ทั้งๆ ทีย่ งั ทรงเพศน่นั แหละ. สรภปรพิ าชกน้นั

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนิกาย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ที่ 329เมื่อจะแสดงความน้ี จึงกลา วอยา งน้ีวา ก็ถา หากศาสนาของพระสมณโคคมจักมีสาระอะไรอยูบ า งแลวไซร เราก็จะไมหลกี ออกไป แตศ าสนาของพระสมณโคดมนนั้ ไรส าระ ไมม แี กนสาร สมณะทง้ั หลายรา ยมายามนตที่ทําใหค นหลงใหล จึงลวงชาวโลกอยูได. ๑ บทวา อถโข สมฺพหลุ า ภิกฺขู ความวา ครัง้ นั้นเมื่อปริพาชกน้ันกลา วอยอู ยา งน้ี ภกิ ษุฝา ยอรญั ญวาสี ๕๐๐ รูป ไมร วู าพระศาสดาเสดจ็ ไปบิณฑบาต ณ ที่ชอ่ื โนน จึงเขา ไปบณิ ฑบาตในกรุงราชคฤห ในเวลาภิกษาจารคาํ วา อถโข สพฺพหลุ า ภิกฺขู นี้ ทานกลา วหมายถงึ ภิกษเุ หลานั้น. บทวาอสฺโสุ แปลวา ไดยินแลว . บทวา เยน ภควา เตนุปสงกฺ มิ ความวาเขา ไปดวยตัง้ ใจวา พวกเราจักกราบทลู เรือ่ งน้ี แดพ ระทศพล บทวา สปิ ปฺ -นยิ า ตรี  ไดแกฝง แมนา้ํ ทีม่ ีชอ่ื อยา งน้ีวา สปิ ปนกิ า. บทวา อธิวาเสสิ ภควา ตุณหฺ ีภาเวน มีอรรถาธิบายวา ทรงไวซง่ึ ขันตใิ นภายใน ทรงรบั รไู วดวยจิตอยางเดียว โดยไมทรงไหวองคคอื กายและองคคือวาจา. พระผูมีพระภาคเจาครัน้ ทรงรับทราบ (โดยดษุ ณีภาพ)อยา งนแ้ี ลว ทรงพระดาํ ริตอไปวา วนั น้ี เราตถาคตเม่ือจะไปหักลา งวาทะของสรภปรพิ าชกควรจะไปเพียงผเู ดยี ว หรือมภี กิ ษสุ งฆห อมลอ มไปดวย. ลําดับนน้ัพระองคทรงตกลงพระทัยดงั นว้ี า ถาเราจักมีภกิ ษุสงฆแวดลอมไป มหาชนจกัคดิ อยา งนี้วา พระสมณโคดมเมื่อจะเขาไปสทู โ่ี ตว าทะ. กต็ องยกพวกไป ใชพลงัของบริษทั หกั ลา งวาทะทเ่ี กิดขน้ึ แลว ไมยอมใหฝ ายตรงขามโงหัวขนึ้ ไดเ ลยก็เมอื่ วาทะเกดิ ขน้ึ แกเราแลว กิจคอื การโตวาทะ โดยพาผอู ่นื ไปดว ย จะไมมีแกเ ราเลย เราผเู ดียวนี่แหละจะไปหักลางวาทะน้ัน. และการท่ีเราเปนพระ-พุทธเจา หกั ลางวาทะทีเ่ กดิ ขึน้ แกตนในปจจบุ นั นี้ ไมเ ปนของอัศจรรย เพราะ๑. ปาฐะวา ลาภ ขาทนตฺ ิ ฉบบั พมา เปน โลก ขาทนฺติ.

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนกิ าย ติกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 330ในเวลาทีเ่ ราบาํ เพ็ญพทุ ธจริยา ผูอืน่ ทีจ่ ะสามารถนําพาธุระแทนเรา แมเม่ือเกดิในอเหตุกปฏสิ นธิ ไมเ คยมแี ลว. กเ็ พอ่ื จะยงั ความขอ นใ้ี หช ัดเจน ควรนาํกัณหชาดก (มาแสดงประกอบ) ดว ยดงั นี้ เมอื่ ใด มงี านหนกั เม่อื ใด การเดนิ ทางลําบาก เมือ่ นน้ั เจาของก็จะเทยี มโค ชอ่ื กัณหะ โคกัณหะนนั้ จะตองนําธุระ นั้นไปโดยแท. เรอ่ื งโคกาฬกะ เลา กนั มาวา ในอดตี สมยั พอ คาเกวยี นผูหนึง่ พํานกั อยูในเรอื นของหญงิ แกค นหนึ่ง. ครั้งนั้นแมโ คนมตวั หนึง่ ของเขาไดต กลกู ในเวลากลางคืน.มนั ตกลูกเปน โคผูต วั หนง่ึ . จาํ เดมิ แตหญงิ แกเห็นลกู โคแลว เกิดความสเิ นหาอยา งลกู . ในวันรุง ขน้ึ บุตรของพอคา เกวยี นกลา ววา ทานจงรับคา เชา บา นของทาน. หญงิ แก พดู วา เราไมต อ งการสิง่ แลกเปลยี่ นอยา งอื่น ทา นจงใหลูกววั ตวั น้ี แกเราเถดิ . บุตรพอคา เกวยี นกลา ววา ทานจงรับมันไวเถิด แม.หญงิ แกร บั ลูกโคน้ันไวแลว ใหด่มื นม ใหขาวยาคู ภตั รและหญาเปน ตนเลยี้ งดูแลว. มนั เจรญิ เตบิ โตขน้ึ มรี ปู รางอว นพี สมบูรณดว ยกาํ ลงั และความเพยี รถงึ พรอ มดวยอาจาระ มีชอ่ื วา กาฬกะ. คร้นั ตอ มาเมอ่ื พอคาเกวยี นคนหนึง่เดนิ ทางมาพรอ มดว ยเกวยี น ๕๐๐ เลม ลอเกวยี นติดหลม อยใู นที่นา้ํ เซาะ.เขาพยายามเทียมวัว ๑๐ ตัว บา ง ๒๐ ตวั บาง กไ็ มสามารถจะฉุดเกวียนขึน้(จากหลม ) ได จงึ เขาไปหาโคกาฬกะ กลา ววา พอมหาจําเรญิ เราจักใหรางวัลแกเ จา ขอใหเจา ชว ยยกเกวียนของเราข้นึ ดวยเถิด กค็ รนั้ กลาวอยา งนแี้ ลวก็พาโคกาฬกะนั้นไป คิดวา โคอื่นจะสามารถลากแอกไป พรอมกับเกวยี นนี้

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 331ไมม ี จงึ ผกู เชือกเขาท่ีแอกเกวียน แลว เทียมโคกาฬกะนัน้ แตเ พียงตัวเดียวโคกาฬกะลากเกวียนนั้นขึน้ ไปจอดไวบนบก. นําเกวียนทั้ง ๕๐๐ เลม ข้นึ ไปไดโดยทํานองน้แี หละ. มันนําเกวียนเลม สดุ ทายข้นึ ไดแ ลว (พอเขาปลดออกจากแอก) กย็ กศีรษะขึ้นแสดงอาการเมอ่ื ยลา . พอ คา เกวยี นคดิ วา โคกาฬกะน้ีเมื่อฉดุ เกวยี นมปี ระมาณเทาน้ี ขน้ึ ไดไ มเ คยทําอยา งนี้ ชะรอยมนั จะทวงคา จา งดังนแี้ ลว จงึ หยบิ กหาปณะเทาจํานวนเกวยี น ผกู หอ เงิน ๕๐๐ กหาปณะไวทีค่ อของมัน. มันไมยอมใหผูอ ื่นเขาใกลต ัวมนั เดินตรงไปยังบานทเี ดยี ว.หญิงแกเห็นแลว ก็แกอ อก รวู าเปน กหาปณะ จึงพดู วา ลูกเอย เหตุไฉนเจาจงึ ทําอยา งน้ี เจา อยาเขา ใจวา แมน จี้ ักดํารงชีวติ อยูไ ดดว ยทรัพยท เี่ ราทาํ งานแลว นาํ มามอบให ดังนีแ้ ลว ใหโ คอาบนา้ํ ดวยน้ําอุน ชโลมตวั ดวยนาํ้ มนัแลวกลาวสอนวา ตอ น้ีไป เจา อยา ไดทาํ อยางนีอ้ ีก. พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระดาํ รวิ า เพราะวา ในเวลาท่ีเราบําเพญ็ พทุ ธจรยิ า ผูอนื่ ช่ือวา สามารถนาํ ธรุ ะแทนเราแมผ ูบงั เกดิ แลว ในอเหตุกปฏิสนธิ ไมเคยมีแลวดังนี้ ทรงหมายถึงเร่ืองทเ่ี ลามาน้แี หละ จงึ เสดจ็ ไปตามลาํ พงั พระองคเดยี ว. เพอ่ื จะแสดงเรอื่ งนน้ั ทา นจึงกลาวคาํ มอี าทวิ า อถโข ภควาสายณฺหสมย ปฏิสลฺลนา วฏุ  ิโต (ลาํ ดับนนั้ แล พระผูม พี ระภาคเจาเสดจ็ หลกี ออกจากทเี่ รน ในเวลาเย็นแลว ) ดังน้.ี บรรดาบทเหลา นั้น บทวาปฏสิ ลลฺ านา ความวา ทรงสํารวมจิตจากอารมณหยาบท้ังหลาย อธิบายวาออกจากผลสมาบตั ิ. บทวา เตนุปสงฺกมิ ความวา เมือ่ ปริพาชกท้งั หลายทําประกาศนียกรรม ทวั่ พระนคร แลวออกจากพระนครไปประชมุ กันท่ีอารามของปริพาชก นั่งสนทนากันถึงสีหนาทกถาอยางนว้ี า ปริพาชกทง้ั หลายถามวาทานสรภะ ถาพระสมณโคดมจักเสดจ็ มาแลวไซร ทานจกั ทําอยางไร สรภ-

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนา ท่ี 332ปริพาชกตอบวา ( ขา พเจาจะทําอยา งน้ีคือ) เมอ่ื พระสมณโคดม บันลือสีหนาทอยา งหนึง่ ขาพเจา จกั บันลอื ๒ อยาง เมือ่ พระสมณโคดม บนั ลือ๒ อยา ง ขา พเจา จักบนั ลอื ๔ อยา ง เมือ่ พระสมณโคดม บันลอื ๔ อยา งขาพเจา จักบนั ลอื ๕ อยาง เมอื่ พระสมณโคดม บันลือ ๕ อยา ง ขาพเจาจักบนั ลอื ๑๐ อยา ง เมอ่ื พระสมณโคดม บนั ลือ ๑๐ อยา ง ขาพเจาจักบันลอื๒๐ อยา ง เมอ่ื พระสมณโคดม บนั ลอื ๒๐ อยาง ขาพเจา จกั บนั ลอื ๓๐ อยา งเม่ือพระสมณโคดม บันลอื ๓๐ อยาง ขา พเจา จกั บนั ลอื ๔๐ อยาง เมอื่พระสมณโคดม บนั ลอื ๔๐ อยา ง ขาพเจา จกั บนั ลือ ๕๐ อยา ง เม่อื พระ-สมณโคดม บนั ลือ ๕๐ อยา ง ขาพเจาจกั บันลือ ๑๐๐ อยาง เมือ่ พระสมณ-โคดม บนั ลอื ๑๐๐ อยาง ขา พเจา จักบนั ลือ ๑,๐๐๐ อยางดังนี้ พระผูมีพระภาคเจาเสด็จเขาไปแลว . กพ็ ระผมู พี ระภาคเจา เมือ่ เสดจ็ เขาไป ทรงนงุ ผาสองช้นั ทเ่ี ขายอ มดีแลว ทรงหมสุคตมหาจวี ร ไดเ สด็จเขา ไปลําพังพระองคเดียวโดยทามกลางพระนคร เหมือนพระราชาผูปราศจากพลนกิ ร เพราะทางไปอารามของปร-ิพาชก อยกู ลางพระนคร มิจฉาทฏิ ฐิกบคุ คลทง้ั หลาย เห็นแลว พากันตามไปดวยคิดวา ปรพิ าชกทั้งหลาย กระทาํ ประกาศนียกรรม ระบโุ ทษของพระสมณ-โคดม ชะรอยพระองคจะเสด็จไป เพื่อใหปรพิ าชกเหลาน้นั ยนิ ยอมคลอยตาม.ฝา ยพวกสัมมาทฏิ ฐกิ บคุ คล ก็พากนั ติดตามไปดวยคิดวา พระสมั มาสมั พุทธเจาทรงถือเอาบาตร และจวี รเสด็จไปลาํ พังพระองคเ ดยี วเทานัน้ (ชะรอย) วันน้ีจกั มี มหาธรรมสงความ กบั สรภปริพาชก แมพ วกเราทั้งหลาย กจ็ ักรว มกนัเปนพยาน ในสมาคมน้ัน. เม่ือมหาชนกําลังดอู ยูนน่ั แหละ พระบรมศาสดาเสด็จเขาไปสูอ าราม ของปรพิ าชกแลว . ปรพิ าชกท้ังหลาย เห็นพระฉัพพรรณรังสีของพระสัมมาสมั พทุ ธเจาเปน ชอ พวยพุงผานลําตน คาคบ และกิง่ ของตน ไมท ั้งหลาย จึงพากนั

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ติกนิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาท่ี 333แหงนดดู ว ยคิดวา ในวันอนื่ ๑ ๆ ไมเ คยมโี อภาสเชนนีเ้ ลย นี่อะไรกนั หนอ.สรภปรพิ าชกฟง ดงั น้ันแลว กน็ ัง่ กมหนา ซบหัวลงระหวางเขา . ในสมัยนนั้พระผมู พี ระภาคเจา ครน้ั เสดจ็ เขา ไปยังอารามนน้ั อยา งนแ้ี ลว เสด็จประทบั นัง่บนอาสนะที่เขาปแู ลว . แทจริง พระตถาคตทรงเปน ผคู วรแกอาสนะ เพราะเสด็จอบุ ตั ิในตระกลู อนั เลศิ บนพ้นื ชมพูทวีป. ในทที่ ัว่ ๆ ไป เขาจะจัดอาสนะไวส าํ หรบั พระองคโดยเฉพาะ พระผูม พี ระภาคเจา ประทบั นั่งบนพทุ ธาอาสนมคี า มาก ท่ีเขาปูลาดแลว๒ อยา งน.ี้ บทวา เต ปริพพฺ าชกา สรภ ปริพพฺ าชก เอตทโวจุ ความวาไดยนิ วา เมือ่ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ตรัสคาํ เพียงเทานี้ กับสรภปริพาชกอยูนัน่ แหละ ภิกษสุ งฆผ ตู ามพระยุคลบาทของพระศาสดา กม็ าถงึ อารามของปรพิ าชก บรษิ ัทแมทั้ง ๔ ประชมุ กนั แลวในปริพาชการามนัน่ แล. ลําดับนั้นปรพิ าชกเหลา น้ันคิดวา นาอัศจรรยทพี่ ระสมณโคดม ไดเ สดจ็ มายังสํานกัของพวกเรา ผูเท่ียวไปแพรโทษ ทําประกาศนียกรรม ตลอดทวั่ ท้งั พระนครมาแลว ผเู ปน คเู วร เปน ศัตรู เปน ขาศึก ไมต รัสคาํ ทก่ี อ ใหเ กดิ การทะเลาะววิ าทแมน อ ยหนงึ่ แตก ลบั ตรัสมธรุ กถา ประหน่ึงวา ชโลมดวยนํา้ มนั ที่หุงสุกแลว ตัง้ ๑๐๐ ครง้ั ประหน่งึ ใหดื่มนาํ้ อมฤต จําเดมิ แตเวลาทไี่ ดเ สด็จมาแลว ดังนแี้ ลว ทกุ คนจึงไดท ลู คาํ น้ี คลอยตามพระสัมมาสมั พทุ ธเจา .บทวา อาเจยยฺ าสิ ความวา ทา นพงึ ขอ คือ พงึ ปรารถนา ไดแกตอ งการ. บทวา ตุณหฺ ภี โู ต ไดแก ถึงความเปน ผดู ษุ ณภี าพ. บทวามงกฺ ภุ โู ต ไดแ ก ถึงความส้นิ เดช. บทวา ปตฺตกขฺ นฺโธ ไดแก มคี อโนม ลง. บทวา อโธมโุ ข ไดแก (นัง่ ) กม หนา .๑. ปาฐะวา อฺโ ฉบับพมา เปน อฺทา.๒. ปาฐะวา ปฺตฺเต อาสเน ฉบบั พมา เปน ปฺตฺเต มหารเห พทุ ฺธาสเน.

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 334 บทวา สมฺมาสมฺพทุ ธสฺ ฺส เต ปฏิชานโต ความวา ทา นปฏิญาณอยางนว้ี า เราเปนพระสมั มาสัมพุทธเจา ธรรมทัง้ ปวง เราตถาคตตรัสรแู ลว.บทวา อนภิสมฺพุทธฺ า ความวา ชือ่ วา ธรรมเหลานี้ อนั ทานไมไ ดตรสั รแู ลว. บทวา ตตฺถ ไดแก ในธรรมท่พี ระองคท รงแสดงไวเ หลา นัน้อยา งน้ีวา เรายงั ไมไดต รัสรูแ ลว . บทวา อเฺ ฺน วา อฺ ปฏิจรสิ ฺสติ ความวา หรอื จักกลบเกล่อื นดวยคําอยา งหน่ึง ดวยถอ ยคาํ อีกอยางหนึง่ อธบิ ายวา ถกู ถามอยางหน่งึ จกั ตอบอกี อยางหน่งึ . บทวา พหิทฺธา กถ อปนาเมสสฺ ติความวา นาํ ถอ ยคํานอกประเดน็ อยา งอ่นื มากลบเกลื่อนดว ยคําเดิม. บทวาอปฺปจฺจย ไดแกความไมย ินดยี ิ่งคืออาการท่ไี มพอใจ. บทวา ปาตุกรสิ ฺสติไดแ ก จกั กระทาํ ใหปรากฏ. กใ็ นบรรดาฐานะ ๓ อยา งนนั้ ตรัสโทมนัสดวยอปจ จยศัพท ตรสั ความโกรธน่นั แหละ แยกประเภทเปนความโกรธอยางออน และความโกรธอยางแรง ดว ยบทท้งั สองขางตน . พระผมู ีพระภาคเจา ครนั้ ทรงบนั ลอื สีหนาท ดวยเวสารชั กรณธรรมขอแรกอยางน้แี ลว เมื่อจะทรงบันลอื สีหนาทดวยเวสารชั กรณธรรมขอ ๒เปน ตน ตอไปอีก จึงตรัสคาํ มีอาทวิ า โย โข ม ปรพิ พฺ าชก ดังนี้. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ยสฺส โข ปน เต อตถฺ าย ธมโฺ มเทสิโต ความวา จตุราริยสัจธรรม. อันพระองคทรงแสดงแลว เพ่ือประ-โยชนแกม รรคหรือผลใด. บทวา โส น นิยยฺ าติ ความวา ธรรมน้ันไมนาํ ไป คอื ไมเ ขา ถงึ (ความสุข) ทา นกลาวอธบิ ายวา ไมย ังประโยชนใหสําเร็จ. บทวา ตกกฺ รสสฺ มอี ธิบายวา แหง บุคคลผทู ําตาม คอื ผูบําเพญ็

พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ตกิ นิบาต เลม ๑ ภาค ๓ - หนาที่ 335ขอปฏิบตั ิ. บทวา สมฺมา ทุกขฺ กขฺ ยาย ความวา เพื่อความส้นิ ไปแหงวัฏทุกขท้ังส้นิ โดยเหตุ โดยนยั โดยการณะ. อีกอยา งหน่งึ บทวา ยสสฺโข ปน เต อตฺถาย ธมฺโม เทสโิ ต ความวา ธรรมอนั พระองคทรงแสดงเพอื่ ประโยชนใ ด คอือสุภกมั มฏั ฐาน เพ่ือประโยชนแกก ารบาํ บดั ราคะเมตตาภาวนา เพ่ือประโยชนแ กการกําจัดโทษะสจั ธรรม คือ มรณะ เพือ่ ประโยชนแ กการกาํ จดั โมหะอานาปานสติ เพอื่ ประโยชนแ กก ารกําจดั วิตกในบทวา โส น นยิ ยฺ าติ ตกฺกรสฺส สมมฺ า ทุกฺขกฺขยายมอี ธบิ ายดงั นี้ ธรรมน้นั ไมน ําไป คือไมเ ขาถงึ ไดแ กไมยงั ประโยชนใหสาํ เร็จเพอื่ ความสนิ้ ไปแหงวฏั ทุกข โดยชอบ คือ โดยเหตุ โดยนยั โดยการณะแกผ ปู ฏบิ ัติธรรมน้นั ตามทท่ี รงแสดงไว. บทวา เสยฺยถาป สรโภปรพิ ฺพาชโก ความวา เขาจักนั่งเหมอื นสรภปริพาชก ผนู ่งั ซบเซา หมดปฏภิ าณฉะนน้ั .เมื่อพระตถาคตเจา ทรงบนั ลอื สีหนาทดว ยบทท้งั ๓ อยา งน้ีแลว ทรงวกกลบั แสดงธรรม บริษัทประมาณ ๘๔,๐๐๐ ทีป่ ระชมุ กนั ณ สถานทนี่ ้ันไดด ่ืมน้ําอมฤต. พระศาสดาทรงทราบวา บรษิ ัทดื่มนาํ้ อมฤตแลว จึงเหาะขึน้ สูเวหาสเสด็จหลีกไป. เพื่อแสดงเนอ้ื ความนั้น ทา นจึงกลา วคํามีอาทวิ า อถโข ภควาดังน้.ี บรรดาบทเหลานนั้ บทวา สหี นาท ไดแก การบันลืออยา งประเสริฐคอื การบนั ลอื อยางไมเ กรงขาม ไดแ ก การบนั ลืออยา งหาผูเ ปรียบมิได บทวาเวหาส ปกกฺ ามิ ความวา พระผูม พี ระภาคเจา ทรงเขา จตตุ ถฌาน มี






























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook