Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_05

tripitaka_05

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:32

Description: tripitaka_05

Search

Read the Text Version

พระวินัยปฎก ภิกขนุ ีวิภงั ค เลม ๓ - หนาท่ี 1 พระวินยั ปฎ ก เลม ๓ ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค ขอนอบนอ มแดพ ระผมู พี ระภาคอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระองคน นั้ ปาราชิกกณั ฑ ปาราชกิ สิกขาบทท่ี ๑ เรื่องภิกษสุ ุนทรีสนุ ทรี [๑]โดยสมยั นัน้ พระผมู พี ระภาคพทุ ธเจา ประทบั อยู ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครัง้ นน้ั นายสาฬหะหลานของมิคารมาตา มคี วามประสงคจะสรางวิหารถวายภิกษุณสี งฆ จงึ เขา ไปหานางภิกษุณที งั้ หลาย แจงความประสงคว า แมเจา กระผมอยากจะสรางวหิ ารถวายภิกษุณสี งฆ ขอแมเจา จงโปรดใหภ กิ ษุณผี ูอาํ นวยการกอ สรางรูปหน่ึงแกกระผม ครงั้ นน้ั มีสาวสีพ่ น่ี อ ง ชือ่ นันทา ๑ ช่อื นันทาวดี ๑ ชอ่ื สุนทรนี นั ทา ๑ชื่อถุลลนันทา ๑ บวชอยใู นสาํ นักภิกษณุ ี บรรดาภิกษณุ ีทง้ั สนี่ น้ั ภิกษุณีสนุ ทรีนันทา เปนบรรพชิตสาวทรงโฉมวไิ ล นาพิศพึงชม เปน บัณฑติ เฉียบแหลมมีปรชี า ขยัน ไมเ กียจคราน กอปรดวยปญ ญาเลอื กฟนอนั เปน ทางดาํ เนินในการงานนั้น ๆ สามารถพอทจ่ี ะทาํ กจิ การงานนั้น ๆ ใหล ลุ ว งไป จึงภิกษณุ สี งฆไดส มมตภิ กิ ษณุ สี นุ ทรนี ันทาใหเปนผอู าํ นวยการกอสรา งแกนายสาฬหะ หลาน

พระวินัยปฎก ภิกขุนวี ิภังค เลม ๓ - หนา ท่ี 2มิคารมาตา ตอมาภิกษุณสี ุนทรีนนั ทา ไปสเู รือนของนายสาฬหะ หลานมคิ าร-มาตาเสมอ โดยแจง วา จงใหม ีด จงใหข วาน จงใหผง่ึ จงใหจ อบ จงใหสิ่วแมน ายสาฬหะ หลานมิคารมาตา กไ็ ปสสู ํานักนางภกิ ษณุ เี สมอ เพื่อทราบกิจการทีท่ ําแลว ท่ียังมิไดท าํ เขาท้ังสองไดม จี ติ ปฏิพทั ธ เพราะเหน็ กันอยเู สมอครั้นนายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ไมไ ดโอกาสทจี่ ะประทุษรายภกิ ษณุ ีสุนทรี-นันทา จงึ ไดตกแตงภัตตาหารถวายภกิ ษุณีสงฆ เพือ่ มุงจะประทษุ รา ยภิกษณุ ีสุนทรนี นั ทานั้น แลว ใหป อู าสนะในโรงฉนั จดั อาสนะสาํ หรับภิกษณุ ีทั้งหลายท่ีแกกวาภกิ ษุณสี ุนทรนี นั ทาไวส วนหนง่ึ สาํ หรับภกิ ษณุ ที ้งั หลายทอ่ี อนกวาภิกษุณีสุนทรนี ันทาไวส วนหนงึ่ จดั อาสนะสําหรบั ภกิ ษุณีสุนทรีนันทาไวในสถานท่อี ันกาํ บงั นอกฝาเรอื น ใหภิกษณุ ผี ูเถระทัง้ หลายพงึ เขา ใจวา นางน่ังในสํานักพวกภิกษณุ ีผนู วกะ แมภ กิ ษณุ ผี ูนวกะทงั้ หลายก็พงึ เขา ใจวา นางนง่ั อยูในสํานกั พวกภกิ ษุณผี เู ถระ. ครน้ั จัดเสร็จแลว ไดใ หค นไปแจงภัตกาลแกภ กิ ษณุ สี งฆ วาไดเ วลาอาหารแลว เจาขา ภตั ตาหารเสรจ็ แลว . ภิกษณุ สี นุ ทรีนนั ทาทราบไดด วี า นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ไมไดทาํ อะไรมากมาย ไดต กแตง ภตั ตาหารไวถวายภกิ ษณุ ีสงฆ ดว ยเธอมีความประสงคจ ะประทษุ รายเรา ถาเราไป ความอ้อื ฉาวจักมแี กเ รา จึงใชภกิ ษุณีอนั เตวาสินีไปดว ยสัง่ วา เธอจงไปนําบิณฑบาตมาใหเรา และผูใดถามถงึ เราเธอจงบอกวา อาพาธ. ภิกษุณีอันเตวาสินรี บั คําสั่งของภกิ ษณุ ีสนุ ทรนี นั ทาแลว . สมัยนั้น นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ยืนคอยอยทู ซี่ มุ ประตูขา งนอกถามถงึ ภิกษุณีสุนทรนี ันทาวา แมเ จา สุนทรนี นั ทาไปขางไหน ขอรับ แมเจา สนุ ทรีนนั ทา ไปขางไหน ขอรบั .

พระวินัยปฎ ก ภกิ ขุนวี ิภงั ค เลม ๓ - หนาท่ี 3 เม่ือเขาถามถงึ อยางนี้แลว ภกิ ษณุ อี นั เตวาสินีของภิกษณุ ีสุนทรีนันทาตอบกะเขาดงั นว้ี า อาพาธคะ ดฉิ ันจักนาํ บณิ ฑบาตไปถวาย. เขาคิดวา การทเ่ี ราไดตกแตง อาหารถวายภิกษุณสี งฆ กเ็ พราะเหตแุ หงแมเจา สุนทรนี ันทา จึงสั่งคนใหเลีย้ งดูภกิ ษุณีสงฆแ ลว เล่ียงไปทางสํานกั ภกิ ษณุ ีสงฆ. กส็ มยั นน้ั ภกิ ษณุ สี ุนทรีนันทายืนคอยมองนายสาฬหะ หลานมคิ าร-มาตาอยูขางนอกซุมประตูวดั นางเหน็ เขาเดนิ มาแตไ กลจงึ หลบเขา สูสํานกั นอนคลุมศีรษะอยบู นเตียง. ครั้นเขาเขาไปหาแลว ไดถ ามนางวา แมเ จาไมสบายหรอื ขอรับทําไมจงึ จาํ วดั เสยี เลา. นางตอบวา นาย การทสี่ ตรีรักใครกบั คนทเี่ ขาไมรกั ตอบ ยอ มเปนเชน นแ้ี หละคะ . เขากลาววา ทําไมผมจะไมรกั แมเจา ขอรับ แตผ มหาโอกาสท่จี ะประทษุ รายแมเจาไมไ ด แลวมคี วามกําหนัด ไดถ งึ ความเคลาคลงึ ดวยกายกบัภกิ ษุณีสุนทรีนนั ทา ผมู คี วามกาํ หนดั . ก็สมัยนัน้ แล ภกิ ษุณีรปู หน่ึงผูช ราทุพพลภาพ เทาเจบ็ นอนอยไู มหางจากภิกษุณสี นุ ทรนี ันทา ไดแ ลเห็นสาฬหะ หลานมิคารมาตา ถงึ ความเคลา คลงึ ดว ยกายกับภิกษณุ ีสนุ ทรีนันทาผูก าํ หนดั ครน้ั แลว จึงเพงโทษ ตเิ ตียนโพนทะนาวา ไฉนแมเจาสุนทรนี นั ทา จึงไดม ีความกาํ หนัด ยนิ ดกี ารเคลา-คลงึ ดวยกายของบุรุษบคุ คลผกู าํ หนดั เลา แลว ไดแจง เร่ืองนน้ั แกภ กิ ษุณีทั้งหลายบรรดาภิกษุสผี ูมีความมกั นอย สันโดษ มคี วามละอาย มีความรังเกยี จ ผูใครตอสิกขาตางก็เพงโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา ไฉน แมเ จาสุนทรีนนั ทา จงึ

พระวนิ ัยปฎก ภิกขนุ ีวิภงั ค เลม ๓ - หนาท่ี 4ไดมคี วามกําหนัดยนิ ดีการเคลาคลึงดวยกายของบุรษุ บคุ คลผูก าํ หนัดเลา แตเจาเรือ่ งนนั้ แกภ ิกษุท้งั หลาย ภิกษเุ หลานั้นพากันเพงโทษ ติเตียน โพนทะนาวาไฉน ภิกษุณีสนุ ทรีนันทาจึงไดมีความกําหนัด ยินดีการเคลา คลงึ ดวยกายของบุรษุ บคุ คลผูม คี วามกําหนัดเลา แลว กราบทูลเร่อื งนั้นแดพระผูมพี ระภาคเจา . ประชุมสงฆท รงสอบถาม ลําดับนนั้ พระผมู พี ระภาคเจารบั สงั่ ใหป ระชมุ ภกิ ษสุ งฆ ในเพราะเหตเุ ปน เคามูลนนั้ ในเพราะเหตแุ รกเกิดนนั้ แลว ทรงสอบถามภกิ ษุทงั้ หลายวา ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย ขา ววา ภกิ ษณุ ีสนุ ทรนี ันทามคี วามกาํ หนดั ยนิ ดีการเคลา คลงึ ดวยกายของบรุ ษุ บุคคลผูกาํ หนดั จรงิ หรอื . ภกิ ษทุ ้งั หลายกราบทูลวา จริง พระพทุ ธเจา ขา . ทรงตเิ ตียนแลวบัญญตั ิสกิ ขาบท พระผูมพี ระภาคพทุ ธเจา ทรงติเตยี นวา ดกู อนภิกษุทั้งหลาย การกระทาํ ของภกิ ษณุ สี นุ ทรีนันทาไมเ หมาะ ไมสม ไมควร ไมใชก จิ ของสมณะใชไมไดไ มค วรทํา ไฉนภกิ ษณุ สี นุ ทรีนนั ทาจึงไดม คี วามกําหนดั ยนิ ดกี ารเคลา -คลงึ ดว ยกายของบรุ ุษบคุ คลผกู าํ หนดั เลา การกระทาํ ของนางนนั่ ไมเ ปนไปเพ่ือความเลือ่ มใสของชุมชนท่ียงั ไมเล่ือมใส หรอื เพือ่ ความเล่อื มใสยิ่งของชมุ ชนท่ีเลือ่ มใสแลว โดยทแ่ี ทก ารกระทาํ ของนางเปนไปเพ่ือความไมเลือ่ มใสของชมุ ชนทยี่ ังไมเลอ่ื มใส และเพ่อื ความเปน อยางอืน่ ของชนบางพวกทเ่ี ลือ่ มใสแลวครั้นพระองคทรงตเิ ตยี นภกิ ษณุ ีสุนทรีนันทาโดยอเนกปรยิ ายแลว จึงตรัสโทษแหงความเปน คนเล้ียงยาก ความเปน คนบํารงุ ยาก ความเปนคนมกั มาก ความเปน คนไมส ันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจครา น ตรสั คณุ แหง ความเปน

พระวนิ ัยปฎก ภิกขุนวี ิภงั ค เลม ๓ - หนา ที่ 5คนเลยี้ งงา ย ความเปน คนบํารงุ งาย ความมักนอ ย ความสนั โดษ ความขัดเกลา ความกาํ จัด อาการทนี่ า เลอื่ มใส การไมส ะสม การปรารถนาความเพยี ร โดยอเนกปริยาย แลว ทรงทําธรรมีกถาทส่ี มควรแกเรือ่ งนน้ั ท่ีเหมาะสมแกเรือ่ งนั้น แกภ ิกษุทัง้ หลาย แลว รับสัง่ วา ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เพราะเหตุนั่นแล เราจักบญั ญตั สิ กิ ขาบทแกภิกษณุ ที ง้ั หลาย อาศัยอาํ นาจประโยชน ๑๐ ประการ คือ เพ่ือความรับวาดีแหง สงฆ ๑ เพ่ือความสาํ ราญแหงสงฆ ๑ เพอื่ ขมภิกษุณผี เู กอยาก ๑ เพ่ืออยูสาํ ราญแหงภกิ ษณุ ผี มู ีศีลเปนที่รัก ๑ เพ่ือปองกนั อาสวะอันจะบงั เกดิ ในปจ จบุ นั๑ เพ่ือกําจดั อาสวะอันจกั บังเกิดในอนาคต ๑ เพ่อื ความเลือ่ มใสของชมุ ชนทย่ี งัไมเ ลื่อมใส ๑ เพือ่ ความเลื่อมใสยิ่งของชมุ ชนท่ีเลื่อมใสแลว ๑ เพอื่ ความตง้ั มนั่แหง พระสัทธรรม ๑ เพือ่ ถอื ตามพระวินัย ๑. ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย กแ็ ลพวกภกิ ษุณีจงยกสกิ ขาบทนี้ข้นึ แสดงอยา งนี้วาดังนี้ :- พระบญั ญตั ิ ๕.๑. อนง่ึ ภิกษุณีใด มีความกาํ หนดั ยนิ ดีการลูบกด็ ีคลําก็ดี จบั กด็ ี ตองกด็ ี บีบเคลน ก็ดี ของบุรษุ บคุ คลผูกาํ หนดัใตร ากขวญั ลงไป เหนอื เขาข้ึนมา แมภกิ ษุณีนี้กเ็ ปน ปาราชกิ ช่อือพุ ภชานมุ ัณฑลกิ า หาสงั วาลมไิ ด. เรอ่ื งภิกษุณีสุนทรีนนั ทา จบ

พระวนิ ยั ปฎก ภิกขนุ วี ภิ ังค เลม ๓ - หนา ที่ 6 สกิ ขาบทวิภังค [๒] บทวา อนง่ึ . . .ใด ความวา ผูใ ด คือผเู ชนใด มกี ารงานอยางใด มีชาติอยา งใด มีอารมณอ ยางใด เปน เถระกต็ าม เปนนวกะกต็ ามเปนมัชฌิมะกต็ าม นีพ้ ระผมู พี ระภาคเจาตรสั วา อนง่ึ . . .ใด. บทวา ภกิ ษุณี ความวา ทีช่ ่อื วา ภกิ ษณุ ี เพราะอรรถวาเปน ผขู อ,ชอ่ื วา ภกิ ษณุ ี เพราะอรรถวา ประพฤติภิกขาจริยวัตร, ชื่อวา ภิกษุณี เพราะอรรถวา ทรงผืนผาทถ่ี ูกทําลายแลว, ชอ่ื วา ภิกษุณี โดยสมญา, ชือ่ วา ภกิ ษุณีโดยปฏิญญา, ช่ือวา ภิกษุณี เพราะอรรถวา เปน เอหิภกิ ษุณ,ี ชอื่ วา ภกิ ษุณี เพราะอรรถวาเปน ผอู ุปสมบทแลว ดวยไตรสรณคมน, ชอ่ื วา ภิกษณุ ี เพราะอรรถวาเปน ผูเจริญ, ชื่อวา ภิกษุณี เพราะอรรถวา เปนพระเสขะ, ชื่อวา ภิกษุณี เพราะอรรถวา เปนพระอเสขะ,ช่อื วา ภิกษุณี เพราะอรรถวา เปนผูอ ันสงฆสองฝายพรอ มเพรียงกนั อุปสมบทใหดวยญตั ติจตุตถกรรม อนั ไมก ําเรบิ ควรแกฐ านะ, บรรดาภกิ ษณุ เี หลานั้น ภิกษณุ ที ี่สงฆสองฝายพรอ มเพรียงกนั อปุ สมบทใหดว ยญัตติ-จตุตถกรรม อนั ไมกําเรบิ ควรแกฐานะ นี้ชอ่ื วา ภิกษณุ ี ที่ทรงประสงคในอรรถนี้ . ท่ชี ่ือวา มีความกําหนดั ไดแกห ญงิ หรือชายมคี วามกําหนัดมาก มีความเพง เล็ง มีจิตปฏิพทั ธ. ทชี่ ือ่ วา บรุ ษุ บคุ คล ไดแก มนุษยผ ูชาย ไมใ ชย กั ษผ ูชาย ไมใชเปรตผชู าย ไมใชสัตวดิรัจฉานตัวผู เปนคนรูค วาม เปน ผูสามารถ เพ่อื ถงึความเคลาคลึงดว ยกาย. บทวา ใตร ากขวญั ลงไป คอื เบือ้ งต่าํ แหง รากขวัญลงไป. บทวา เหนอื เขา ขึน้ มา คือ เบือ้ งบนแหง มณฑลเขาขน้ึ มา.

พระวนิ ัยปฎ ก ภกิ ขนุ วี ภิ ังค เลม ๓ - หนาท่ี 7 ท่ีชือ่ วา ลูบ คือ เพียงลบู ไป. ทชี่ ือ่ วา คลาํ คือ จับเบา ๆ ไปขา งโนน ขางน้ี ทช่ี ือ่ วา จบั คือ เพียงจบั ตวั . ที่ชอื่ วา ตอง คอื เพยี งถูกตองตัว. บทวา ยินดี . . . การบบี เคลน กด็ ี คือยนิ ดีการรับตอ งอวยั วะแลวบีบเคลน บทวา แมภ ิกษณุ นี ้ี พระผมู พี ระภาคเจา เทยี บเตยี งภิกษณุ รี ปู กอน. อปุ มาดวยบรุ ุษถูกตัดศีรษะ คําวา เปนปาราชกิ อธบิ ายวา บุรุษถูกตดั ศรี ษะแลว ไมอ าจมสี รรี ะคุมกันนั้นเปน อยู ชื่อแมฉันใด ภกิ ษุณีก็ฉันนนั้ เหมือนกัน มีความกําหนัดยนิ ดี การลูบก็ดี คลาํ กด็ ี จบั ก็ดี ตอ งก็ดี บบี เคลน กด็ ี ของบรุ ุษบุคคลผูกาํ หนัด ไดรากขวัญลงไป เหนือเขาขนึ้ มา ยอมไมเ ปน สมณะ ไมเปน ธดิ าของพระศากยบตุ ร เพราะเหตนุ ้ันจึงตรัสวา เปน ปาราชกิ . บทวา หาสังวาสมไิ ด ความวา ทชี่ อ่ื วา สังวาส ไดแ กก รรมทีพ่ งึกระทาํ รวมกัน อุเทศทพ่ี งึ สวดรว มกนั ความเปนผมู ีสิกขาเสมอกนั นี้ชอื่ วาสังวาส สังวาสนัน้ ไมม ีรว มกับภกิ ษุณนี ัน้ เพราะเหตนุ ั้นจึงตรสั วา หาสังวาสมไิ ด. บทภาชนีย [๓] เมอื่ ทงั้ สองฝายมีความกาํ หนัด ฝายใดฝา ยหนงึ่ ถูกกายดวยกายใตร ากขวญั ลงไป เหนอื เขา ขึ้นมา ภกิ ษุณตี องอาบตั ปิ าราชกิ ถูกของท่เี นอื่ งดวยกาย ดว ยกาย ตองอาบัตถิ ุลลจั จัย ถกู กายดว ยของทีเ่ น่ืองดว ยกาย ตอ ง

พระวินัยปฎก ภกิ ขนุ วี ิภงั ค เลม ๓ - หนา ที่ 8อาบตั ิถุลลัจจัย ถูกของทเี่ น่ืองดวยกาย ดวยของที่เนือ่ งดวยกาย ตอ งอาบัติทกุ กฏถกู กายดวยของท่ีโยนให ตองอาบตั ทิ ุกกฏ ถูกของทีเ่ นอ่ื งดว ยกาย ดวยของท่ีโยนให ตอ งอาบัติทกุ กฏ ถูกของทีโ่ ยนให ดว ยของทีโ่ ยนให ตองอาบตั ิทกุ กฏ. [๔] กายตอ กายถูกกนั เหนอื รากขวัญขึน้ ไป ใตเ ขาลงมา ภิกษณุ ีตอ งอาบัตถิ ลุ ลจั จัย ของทเ่ี นืองดวยกายกับกายถกู กัน ตองอาบตั ทิ กุ กฏ กายกับของที่เนอ่ื งดว ยกายถูกกนั ตอ งอาบัติทกุ กฏ ของท่ีเนือ่ งดว ยกาย กับของท่ีเน่ืองดวยกายถกู กนั ตอ งอาบัติทุกกฏ โยนของไปถกู กาย ตอ งอาบัติทุกกฏ ของที่โยนไปถกู ของทเ่ี น่อื งดวยกาย ตองอาบัติทุกกฏ ของทโี่ ยนไปถูกของที่โยนมาตองอาบตั ิทกุ กฏ. [๕] ฝายหน่ึงมีความกําหนัด กายตอ กายถกู กัน ใตรากขวญั ลงไปเหนอื เขาข้ึนมา ภกิ ษุณตี อ งอาบัติถลุ ลัจจยั กายถกู ของท่ีเนอื งดวยกาย ตอ งอาบัติทุกกฏ ของทเี่ นือ่ งดวยกายถกู กาย ตอ งอาบตั ทิ กุ กฏ ของท่ีเนือ่ งดวยกายถูกของทเี่ น่อื งดวยกาย ตองอาบัติทุกกฏ ของท่โี ยนไปถกู กาย ตองอาบัติทุกกฏของทโี่ ยนไปถกู ของที่เนื่องดวยกาย ตอ งอาบตั ิทุกกฏ ของทโ่ี ยนไปถกู ของท่ีโยนมา ตอ งอาบัติทกุ กฏ. [๖] กายถูกกาย เหนือรากขวญั ข้นึ ไป ใตเขาลงมา ตอ งอาบัตทิ ุกกฎกายถกู ของท่เี นอ่ื งดวยกาย ตองอาบัติทกุ กฎ ของท่เี น่ืองดว ยกายถูกกาย ตองอาบัติทกุ กฏ ของที่เน่อื งดว ยกายถกู ของทีเ่ นอ่ื งดว ยกาย ตอ งอาบตั ทิ ุกกฏ โยนของถูกกาย ตองอาบตั ทิ ุกกฏ โยนของถกู ของท่เี นือ่ งดว ยกาย ตองอาบตั ิทุกกฏของท่ีโยนไปถูกของทโ่ี ยนมา ตองอาบัตทิ กุ กฏ. [๗] เมือ่ ทั้งสองฝา ยมคี วามกําหนัด จับตองกายดวยกาย ของยักษก็ดี เปรตกด็ ี บัณเฑาะกกด็ ี สตั วด ริ จั ฉานทม่ี กี ายคลา ยมนุษยกด็ ี ใตร ากขวัญลงมา เหนือเขา ข้นึ ไป ตอ งอาบัตถิ ลุ ลจั จัย กายถูกของทเี่ น่อื งดว ยกาย ตอ ง

พระวนิ ยั ปฎก ภิกขนุ ีวิภงั ค เลม ๓ - หนาที่ 9อาบัตทิ ุกกฏ ของที่เนื่องดว ยกายถกู กาย ตองอาบตั ทิ ุกกฏ ของท่ีเนื่องดวยกายถกู ของทีเ่ น่ืองดว ยกาย ตอ งอาบตั ิทกุ กฏ โยนของถกู กาย ตองอาบัตทิ กุ กฏโยนของถูกของทเ่ี นอ่ื งดวยกาย ตองอาบัตทิ กุ กฏ ของทโ่ี ยนไป ถูกของทโี่ ยนมาตอ งอาบัติทุกกฏ. [๘] ถกู กายดว ยกาย เหนือรากขวัญข้นึ ไป ใตเ ขาลงมา ตองอาบตั ิทุกกฏ กายถกู ของที่เน่ืองดว ยกาย ตองอาบตั ิทุกกฏ ของท่ีเนือ่ งดว ยกายถูกกายตอ งอาบัติทกุ กฏ ของที่เน่อื งดวยกาย ถกู ของท่เี น่ืองดวยกาย ตอ งอาบัตทิ กุ กฏโยนของถูกกาย ดวยอาบัติทกุ กฏ โยนของถูกของท่เี นือ่ งดว ยกาย ตอ งอาบตั -ิทุกกฏ ของทโี่ ยนไปถกู ของท่โี ยนมา ตองอาบัติทุกกฏ. [๙] ฝายหน่ึงมีความกําหนัด ถูกกายดวยกาย ใตรากขวญั ลงมาเหนอื เขาข้ึนไป ตอ งอาบัตทิ ุกกฏ กายถกู ของท่เี นอ่ื งดวยกาย ตองอาบัตทิ กุ กฎของท่ีเน่ืองดว ยกายถูกกาย ตองอาบัติทุกกฏ ของทเ่ี นือ่ งดว ยกายถูกของทเี่ นอ่ื งดว ยกาย ตอ งอาบัตทิ กุ กฏ โยนของถูกกาย ตอ งอาบตั ิทุกกฏ โยนของถกู ของที่เน่ืองดว ยกาย ตอ งอาบตั ิทุกกฏ โยนของไปถกู ของทโี่ ยนมา ตองอาบัตทิ ุกกฏ. [๑๐] กายถูกกาย เหนือรากขวัญข้นึ ไป ใตเขาลงมา ตองอาบัตทิ กุ กฏกายถูกของที่เน่ืองดวยกาย ตอ งอาบัติทกุ กฏ ของทีเ่ นอื่ งดวยกายถูกกาย ตอ งอาบัตทิ กุ กฏ ของทเี่ น่อื งดว ยกายถกู ของทเี่ น่ืองดว ยกาย ตองอาบัติทกุ กฏ โยนของไปถกู กาย ตองอาบัตทิ ุกกฎ โยนของถกู ของทีเ่ นอื่ งดวยกาย ตองอาบตั ิทกุ กฏ ของที่โยนไปถกู ของทโ่ี ยนมา ตอ งอาบตั ทิ กุ กฏ. อนาปต ตวิ าร [๑๑] ภกิ ษณุ ีไมต ัง้ ใจ ๑ เผลอ ๑ ไมร ตู ัว ๑ ไมย นิ ดี ๑ วกิ ลจรติ ๑มีจิตฟุงซาน ๑ กระสับกระสายเพราะเวทนา ๑ ภิกษณุ ีอาทิกมั มกิ า ๑ ไมตองอาบัติแล. ปาราชิกสกิ ขาบทที่ ๑ จบ

พระวินยั ปฎก ภกิ ขนุ วี ิภังค เลม ๓ - หนา ท่ี 10 สมนั ตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวนิ ัยปฎ ก อรรถกถาปาราชกิ กัณฑ ในภิกขุนวี ภิ งั ค เพราะมาถงึ ลาํ ดบั แหงการสังวรรณนา ภิกขนุ ีวิภงั ค ของพวกภิกษณุ ี ท่พี ระธรรม สงั คาหกาจารยท ้งั หลาย ไดร อยกรองไวใน ลําดบั แหง ภิกขุวภิ งั ค ฉะนั้น เพื่อทําการ พรรณนาบทที่ยงั ไมเคยมมี ากอน ในปาราชิก แหง ภกิ ขนุ วี ภิ งั คน ั้น จงึ มกี ารสงั วรรณนา เรมิ่ ตน ดงั ตอไปน้ี. ปาราชกิ สิกขาบทที่ ๑ แกอ รรถปฐมปาราชกิ สิกขาบทของพวกภิกษณุ ี ในคาํ วา เตน สมเยน พทุ โฺ ธ ภควา สาวตถฺ ยิ  วิหรติ ฯ เป ฯสาฬโฺ ห มิคารนตตฺ า น้ี คาํ วา สาฬฺโห เปน ชือ่ ของมิคารนัดดานั้นเพราะเขาเปนหลานของนางวสิ าขามคิ ารมารดา. ดว ยเหตุน้ัน พระธรรมสังคาหกาจารยจึงกลาววา มิคารนตฺตา. บทวา นวกมมฺ ิก แปลวา ผอู าํ นวยนวกรรม. บทวา ปณฺฑติ า แปลวา ผูประกอบดว ยความเปน บณั ฑติ . บทวา พยฺ ตฺตา แปลวา ประกอบดวยความเปน ผเู ฉียบแหลม.

พระวนิ ยั ปฎ ก ภิกขนุ วี ิภังค เลม ๓ - หนา ท่ี 11 บทวา เมธาวนิ ี ไดแก ผปู ระกอบดวยปญ ญามสี ติเปน หลกั ในการเรียนบาลี (และ) ดวยสตปิ ญญาเปน หลกั ในการเรียนอรรถกถา. บทวา ทกฺขา แปลวา ผหู ลกั แหลม ความวา ผมู ีปกติ ทํางานท่ีควรทาํ ไดรวดเรว็ ไมผ ดิ พลาด. บทวา อนลสา แปลวา ผปู ราศจากความเกยี จครา น. บทวา ตตฺรูปายาย แปลวา เปนทางดําเนนิ ในการงานเหลา น้ัน. บทวา วีม สาย แปลวา ดวยปญญาเลือกเฟน การงานทค่ี วรทาํ . บทวา สมนฺนาคตา แปลวา ประกอบพรอม. สองบทวา อล ส วธิ าตุ ไดแ ก เปนผสู ามารถเพื่อทาํ การงานนนั้ . สองบทวา อล ส วธาตุ ไดแก เปน ผูสามารถแมจะจัดการอยา งนี้วา การงานน้จี งเปน อยา งน้ี และการงานนี้จงเปนอยางนน้ั . สองบทวา กตากต ชานติ ุ คอื เพอ่ื รูงานท่ีทาํ แลว และยังมไิ ดท าํ . บทวา เต มีความวา ชนทัง้ สองนั้น คือ ภกิ ษุณสี นุ ทรีนนั ทากบันายสาฬหะนนั้ . บทวา ภตฺตคฺเค คือ ในสถานทีอ่ ังคาส. บทวา นิกฺกุฑฺเฑ คอื เปนท่ลี กึ ซอ นเรนอันแสดงใหเหน็ คลายมุมฉาก. สามบทวา วิสสฺ โร เม ภวิสฺสติ มคี วามวา เสยี งอือ้ ฉาวจักมแี กเรา คือ จกั มเี สยี งฉาวโฉตาง ๆ แกเ รา. บทวา ปฏิมาเนนตฺ ี แปลวา คอยดูอย.ู บทวา กยาห ตดั บทเปน กึ อหึ แปลวา ทําไม ผม (จะไมรักแมเ จา เลา ขอรบั )

พระวนิ ยั ปฎก ภิกขุนีวภิ งั ค เลม ๓ - หนา ที่ 12 บทวา ชราทพุ พฺ ลา คือ ทพุ พลภาพเพราะชรา. บทวา จรณคิลานา คอื ประกอบดว ยโรคเทา เจบ็ . บทวา อวสสฺ ุตา มคี วามวา เปน ผูมคี วามกาํ หนดั คอื เปย กชมุอยูดว ยความกําหนดั ในการเคลาคลงึ กาย. แตใ นบทภาชนะแหง บทวา อวสสฺ ุตาน้ัน พระผมู ีพระภาคเจาทรงหมายเอาราคะนั้นทเี ดียวจึงตรัสคําวา สารตฺตาเปน ตน . บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา สารตฺตา คอื ผูมีความกําหนดั อยา งหนกั ดวยกายสังสัคคราคะ ดุจผา ถูกยอ มดว ยสี ฉะนัน้ . บทวา อเปกฺขวตี มคี วามวา ผปู ระกอบดว ยความเพงเลง็ ท่ีเปน ไปในบรุ ุษน้นั ดว ยอํานาจแหง ความกาํ หนัดนัน้ นัน่ แหละ. บทวา ปฏิพทธจฺ ิตฺตา ไดแ ก เปน ผมู จี ิตดจุ ถกู ความกําหนดั นนั้ผกู พนั ไวใ นบรุ ุษนัน้ . แมใ นวภิ ังคแหง บทท่ี ๒ ก็มีนัยอยางนี้. บทวา ปุรสิ ปคุ คฺ ลสสฺ ไดแก บคุ คลกลาวคอื บรุ ุษ. บทวา อธกขฺ ก คอื ใตรากขวัญลงไป. บทวา อพุ ภฺ ชานมุ ณฺฑล คือ เหนอื มณฑลเขา ทั้งสอง ขึ้นมา. แตในบทภาชนะ พระผูม พี ระภาคเจาตรสั ไวโดยลําดับแหง บททีเดียววา เหฏกฺ-ขก อปุ ริชานุมณฑฺ ล ใตร ากขวัญเหนอื มณฑลเขา ดังน.้ี กใ็ นบทวา อปุ ริชานมุ ณฺฑล นี้ แมเ หนอื ศอกขึน้ มา ทา นก็สงเคราะหเขา ดวยเหนือมณฑลเขา ขนึ้ มาเหมอื นกัน. คาํ ทเี่ หลอื บณั ฑติ พึงทราบโดยนยั ดงั ทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจา ตรัสไวแลวในมหาวิภงั คน ั่นแล. สองบทวา ปรุ ิมาโย อุปาทาย มคี วามวา ทรงเทียบเคยี งภกิ ษุณี๔ รูป ผูตอ งอาบตั ปิ าราชิกกบั ดวยปาราชิกท่ีท่วั ไป (๔ มีเมถนุ เปน ตน ).

พระวนิ ัยปฎ ก ภกิ ขนุ ีวิภังค เลม ๓ - หนา ที่ 13 ก็คาํ วา อุพภฺ ชานมุ ณฑฺ ิกา นี้ เปน เพียงชื่อแหงอาบัตปิ าราชกิ นี;้เพราะฉะนน้ั พระผูมีพระภาคเจา จงึ มไิ ดทรงวจิ ารณไ วในบทภาชนะ.พระผูม ีพระภาคเจา คร้ันทรงจาํ แนกสิกขาบทที่พระองคท รงแสดงไวโ ดยลาํ ดบัแหงบทอยางนีแ้ ลว บดั น้ี เพ่ือทรงแสดงชนดิ แหง อาบตั โิ ดยความตางกนั แหงความเปน ผูมีความกําหนดั เปน ตน จึงไดต รสั คาํ วา อภุ โต อวสสฺ เุ ต เปนตน . วาดว ยทงั้ สองฝายมคี วามกาํ หนดั จบั ตองกายเปน ตน ในคาํ วา อุภโ ต อวสฺสเุ ต เปน ตน น้นั มวี นิ ิจฉัยดงั ตอ ไปน้ี :- คาํ วา อภุ โต อวสสฺ ุเต คือ เมอ่ื ทั้งสองฝา ยมคี วามกาํ หนัด.ความวา เมือ่ ภกิ ษณุ แี ละบุรุษเปน ผมู คี วามกําหนดั ดว ยกายสงั สัคคราคะ. สามบทวา กาเยน กาย อามสติ มคี วามวา ภกิ ษุณีจับตอ งกายของบรุ ุษสวนใดสว นหนงึ่ ดว ยกายตามท่ีกาํ หนดไว หรอื วา บุรุษจบั ตอ งกายของภิกษุณตี ามทก่ี าํ หนดไว ดวยกาย (ของตน) สว นใดสว นหนึ่ง. เปน ปาราชกิแกภ กิ ษุณีแมโดยประการทั้งสอง. สองบทวา กาเยน กายปฏพิ ทธฺ  คือ (ภกิ ษณุ ีถกู ตอง) ของเนื่องดวยกายของบรุ ุษดวยกายของตน มปี ระการดงั กลาวแลวน่ันแล. ในบทวา อามสติ นี้ มีวนิ ิจฉัยวา ภิกษุณี จงจบั ตอ งเองหรือจงยินดกี ารจับตองของบรุ ุษน้ันก็ตามที เปนถลุ ลัจจยั เหมอื นกัน . สองบทวา กายปฏพิ ทเฺ ธน กาย ไดแก ภกิ ษุณีจับตอ งกายของบรุ ุษ ดวยของเน่ืองดวยกายมีประการดังกลาวแลวของตน. แมในบทวา อามสติ นี้ ก็มีวนิ ิจฉยั วา ภิกษุณีจงจับตอ งเองหรือจงยินดีการจบั ตองของบรุ ษุ ก็ตามที เปน ถุลลัจจัยท้ังนนั้ . แมในบทที่เหลอื ก็พงึ ทราบวินจิ ฉยั โดยนยั น้แี ล. แตถาเปนภกิ ษกุ ับภิกษุณีดวยกัน ในภกิ ษกุ บั

พระวนิ ยั ปฎ ก ภกิ ขนุ วี ภิ ังค เลม ๓ - หนา ที่ 14ภิกษุณีนน้ั ถา ภิกษุณจี ับตอง ภกิ ษุเปนผนู งิ่ ไมไ หวตงิ แตยนิ ดีดวยจิต พระวินัย-ธรไมควรปรับภกิ ษุดว ยอาบัต.ิ ถาภิกษจุ บั ตอง ภกิ ษุณีเปน ผูน ง่ิ ไมไหวติงแตย ินดี (ยอมรบั ) ดว ยจติ อยางเดียว แมไมใหส ว นแหงกายไหว พระวินัยธรกพ็ งึ ปรับดวยปาราชกิ ในเขตแหง ปาราชิก ดวยถลุ ลจั จยั ในเขตแหง ถลุ ลจั จยัดวยทุกกฏในเขตทุกกฏ. เพราะเหตุไร ? เพราะพระผูมพี ระภาคเจา ตรสั ไววายินดกี ารเคลา คลงึ ดว ยกาย. นี้เปน วนิ ิจฉยั ในอรรถกถาทั้งหลาย. ก็เมื่อมวี นิ ิจฉยัอยางน้ี ความทีส่ กิ ขาบทน้มี กี ารทําเปนสมฏุ ฐาน ไมปรากฏใหเห็น เพราะเหตุนน้ั ความทีส่ ิกขาบทมกี ารทําเปน สมุฏฐานน้ัน บัณฑิตพึงทราบวา พวกอาจารยกลาวไวโ ดยนยั คอื ความทส่ี ิกขาบทนัน้ มีการทาํ เปน สมุฏฐานทงั้ น้ันเปนสว นมาก. บทวา อุพฺภกฺขก แปลวา เบื้องบนแหง รากขวญั ทั้งสอง. บทวา อโธชานมุ ณฑฺ ล แปลวา ภายใตแหง มณฑลเขาท้งั สอง. อนึ่งแมเหนอื ขอ ศอกข้ึนมา ทา นกส็ งเคราะหเขาดวยเหนอื มณฑลเขา เหมือนกนั ในบทวา อโรชานมุ ณฑล น.ี้ ในคํา เอกโต อวสฺสุเต นี้ พระผมู ีพระภาคเจาตรัสคาํ วา เอกโตไวโดยไมแปลกกัน แมก ็จริง, ถึงอยางนนั้ บณั ฑติ พงึ ทราบวา เมื่อภกิ ษุณีมีความกําหนดั เทานั้น ความตา งแหงอาบตั ิน้ี พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรัสไว. ในสกิ ขาบทนี้ มีวินจิ ฉยั ต้งั แตต นดังตอไปน้ี :- ภิกษณุ ีกาํ หนดั ดว ยความกําหนดั ในการเคลา คลึงกาย ถงึ บุรุษก็อยา งน้นั เหมือนกนั เมื่อมีความยินดใี นการเคลา คลึงกาย ในกายประเทศต้งั แตร ากขวญั ลงมา เหนือมณฑลเขาข้นึไป เปนปาราชิกแกภ ิกษณุ .ี ภิกษุณีมคี วามกาํ หนดั ในการเคลา คลึงกาย. ฝายบรุ ุษมคี วามกาํ หนัดไมเ มถุน หรือมีความรักอาศัยเรอื น หรือมีจติ บรสิ ทุ ธ์ิกต็ าม

พระวินัยปฎก ภิกขนุ ีวิภังค เลม ๓ - หนาท่ี 15ที เปน ถลุ ลจั จัย ทงั้ นัน้ . ภิกษณุ มี ีความกําหนดั ในเมถนุ , ฝา ยบรุ ุษมีความกําหนัดในการเคลาคลึงกาย หรือมีความกําหนัดในเมถุนหรอื มคี วามรกั อาศัยเรือน หรือมีจิตบริสุทธก์ิ ต็ ามที เปนทกุ กฏ. ภกิ ษุณมี คี วามรักอาศยั เรอื น,ฝา ยบรุ ุษมีจิตอยา งใดอยางหนง่ึ ในฐานะ ๔ ทีก่ ลาวแลวเปนทกุ กฏเหมอื นกนั .ภิกษุณีมีจิตบริสทุ ธ,์ิ แตบรุ ษุ มีจิตอยางใดอยางหน่ึง ในฐานะ ๔ ทก่ี ลา วแลวไมเปน อาบตั ิ. แตถ า เปน ภกิ ษุ กบั ภิกษณุ ี ทง้ั สองฝา ยมีความกาํ หนัดในการเคลา คลึงกาย, ฝายภกิ ษุเปน สังฆาทเิ สส, ภิกษณุ ีเปน ปาราชกิ . ภิกษุณมี คี วามกําหนดั ในการเคลา คลงึ กาย, ฝา ยภกิ ษมุ คี วามกาํ หนัดในเมถุนก็ดี ความรกัอาศัยเรอื นกด็ ี เปน ถลุ ลจั จยั แกภ กิ ษุณี เปน ทุกกฏแกภิกษ.ุ ทัง้ สองฝา ยมคี วามกาํ หนดั ในเมถุนกด็ ี มีความรกั อาศัยเรอื นกด็ ี เปน ทกุ กฏเหมือนกนั แมท ั้งสองฝา ย. ฝา ยใดมจี ิตบริสทุ ธ์ิ ในฐานะ (มกี ารจบั ตองเปนตน ) ใด, ฝายน้นั ไมเปนอาบัตใิ นฐานะนนั้ . แมทง้ั สองฝายมจี ิตบรสิ ุทธ์กิ ไ็ มเ ปน อาบัตแิ มท้งั สองฝาย. ในบทวา อนาปตฺติ อสฺจจิ ฺจ เปนตน มีวนิ ิจฉยั วา ภกิ ษณุ ีจบั ตอ งผิดพลาดไปกด็ ี สง ใจไปทางอ่ืนก็ดี ไมรวู า ผนู ี้เปนชาย หรือหญิงก็ดี ถงึ ถกู บรุ ษุ นั้นถกู ตองก็ไมย นิ ดผี ัสสะน้นั กด็ ี แมเม่อื มกี ารจับตอ งกไ็ มเ ปนอาบตั .ิ คาํ ทีเหลือในบททง้ั ปวง ตนื้ ทง้ั น้นั . สิกขาบทน้ี มสี มฏุ ฐานดจุ ปฐมปาราชกิ (ของภกิ ษ)ุ เปนกิรยิ า สัญญา-วิโมกข สจติ ตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกศุ ลจติ มีเวทนา ๒ ดงั นแ้ี ล. อรรถกถาปาราชกิ สิกขาบทที่ ๑ จบ

พระวินยั ปฎ ก ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค เลม ๓ - หนาที่ 16 ปาราชิกสกิ ขาบทที่ ๒ เร่อื งภกิ ษุณสี ุนทรีนันทา [๑๒] โดยสมยั นนั้ พระผูมีพระภาคพทุ ธเจา ประทับอยู ณ พระ-เชตวนั อารามของอนาถบิณฑกิ คหบดี เขตพระนครสาวตั ถี คร้ังนน้ั ภิกษุณีสุนทรีนันทามีครรภก ับนายสาฬหะ หลานมคิ ารมาตา ไดป กปดไวจ นมีครรภออน ๆ เมือ่ ครรภแกแ ลว จงึ สกึ ออกมาตลอดบตุ ร ภกิ ษุณีทงั้ หลายไดถามเรอื่ งนน้ั กบั ภิกษุณีถุลลนนั ทาวา แมเ จา นางสนุ ทรนี ันทาสึกไมนานนกั ก็คลอดบุตร ชะรอยนางจะมีครรภท้งั เปนภกิ ษุณีกระมัง เจา ขา. ถลุ . อยา งนั้น เจา ขา . ภิก. กแ็ มเ จารอู ยวู า ภกิ ษณุ ลี วงอาบัติปาราชกิ เหตไุ ฉนจึงไมโ จทดว ยตน ไมบ อกแกคณะเลา . ถลุ . โทษอนั ใดของเธอ นัน่ เปนโทษของดิฉนั การเสอื่ มเกียรตอิ ันใดของเธอ นน่ั เปนการเสือ่ มเกยี รตขิ องดิฉนั การเสือ่ มยศอันใดของเธอ นัน่ เปนการเส่ือมยศของดฉิ ัน การเสอ่ื มลาภอันใดของเธอ นั่นเปนการเส่ือมลาภของดฉิ ัน ไฉนดฉิ ันจักบอกโทษของตน การเส่อื มเกยี รติของตน การเสอ่ื มยศของตน การเสื่อมลาภของตน แกคนเหลา อืน่ เลา . บรรดาภิกษุณีทเี่ ปน ผมู กั นอย. . . ตา งก็เพง โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวาแมเจา ถลุ ลนนั ทารูอยูซ่ึงภกิ ษณุ ลี ว งอาบัติปาราชิก ไฉนจึงไมโ จทดว ยตน ไมบอกแกคณะเลา แลว แจงเรอื่ งนัน้ แกภ กิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทลูความเรื่องนนั้ แดพ ระผูมพี ระภาคเจา .

พระวนิ ัยปฎ ก ภิกขนุ ีวภิ งั ค เลม ๓ - หนา ที่ 17 ประชุมสงฆทรงสอบถาม ลาํ ดับน้ัน พระผมู พี ระภาคเจารบั สงั่ ใหป ระชมุ ภิกษสุ งฆ ในเพราะเหตุเปนเคา มลู น้นั ในเพราะเหตุแรกเกิดนนั้ ทรงทําธรรมกี ถา แลวทรงสอบถามภิกษุทงั้ หลายวา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขาววา ภกิ ษณุ ถี ุลลนันทา รูอยวู า ภกิ ษุณีลวงอาบตั ปิ าราชกิ ไมโ จทดวยตน ไมบอกแกค ณะ จรงิ หรือ. ภิกษทุ ง้ั หลายกราบทูลวา จรงิ พระพุทธเจา ขา. ทรงติเตียนแลวบัญญตั ิสกิ ขาบท พระผูมพี ระภาคเจา ทรงติเตียนวา ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทารอู ยวู าภิกษณุ ีลวงอาบตั ปิ าราชิก ไฉนจึงไมโจทดวยตน ไมบอกแกคณะ การกระทาํ ของเธอน่นั ไมเปนไปเพือ่ ความเล่ือมใสของชมุ ชนท่ียังไมเล่ือมใส หรอื เพ่ือความเลอื่ มใสย่ิงของชุมชนทเ่ี ล่อื มใสแลว โดยท่แี ท การกระทาํ ของเธอน่นั เปนไปเพอ่ื ความไมเ ล่ือมใสของชมุ ชนท่ียงั ไมเลื่อมใส และเพอ่ื ความเปนอยา งอ่ืนของชนบางพวกท่เี ลื่อมใสแลว . . . ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็แลพวกภกิ ษณุ ี จงยกสกิ ขาบทนี้ข้ึนแสดงอยางนว้ี า ดงั น้ี :- พระบญั ญัติ ๖. ๒. อนึง่ ภิกษณุ ีใด รูอ ยวู าภิกษณุ ีลวงอาบตั ิปาราชิก ไมโจทดว ยตน ไมบอกแกคณะ ในเวลาท่ภี กิ ษุณนี ัน้ ยังดาํ รงเพศอยูก็ดีเคลอื่ นไปแลวก็ดี ถกู นาสนะแลว ก็ดี ไปเขา รตี เดียรถยี เสียก็ดี ภายหลังนางจงึ บอกอยางนว้ี า แมเจา เจา ขา เมอ่ื กอ นดิฉนั รจู กั ภกิ ษณุ ี

พระวินยั ปฎก ภิกขุนีวิภังค เลม ๓ - หนาที่ 18น่ันไดด ที ีเดียววา นางเปน พห่ี ญิง นอ งหญงิ มคี วามประพฤติเชน นี้และมีความประพฤติเชน นนั้ แตด ฉิ นั ไมโจทดว ยตน ไมบอกแกค ณะแมภ ิกษณุ นี ี้ก็เปน ปาราชิก ช่อื วัชชปฏิจฉาทิกา หาสงั วาสมไิ ด. เรือ่ งภกิ ษุณีสนุ ทรนี ันทา จบ สกิ ขาบทวิภังค [๑๓] บทวา อน่ึง. . . ใด ความวา ผูใ ด คอื ผเู ชน ใด. . . บทวา ภกิ ษุณี ความวา ทชี่ อ่ื วา ภกิ ษณุ ี เพราะอรรถวา เปนผูขอ. . .น้ชี ่ือวา ภิกษณุ ี ทที่ รงประสงคใ นอรรถนี.้ ท่ีช่ือวา รูอยู คือ รเู องก็ดี คนอ่ืนบอกแกเธอกด็ ี เจาตัวบอกก็ดี. คําวา ลวงอาบตั ิปาราชิก คือ ตองอาบัตปิ าราชิกขอใดขอหน่งึ ในปาราชิก ๘. คาํ วา ไมโ จทดวยตน คอื ไมโ จทเอง. คําวา ไมบ อกแกคณะ คอื ไมบอกแกภิกษุณอี น่ื ๆ. [๑๘] พากยวา ในเวลาทภ่ี กิ ษุณนี ้ัน ยงั ดํารงเพศอยูก็ดี เปนตน อธบิ ายวา ภกิ ษณุ ผี ูดํารงอยูในเพศของตน ตรสั เรียกวา ผยู งั ดาํ รงเพศอยูผถู งึ มรณภาพ ตรสั เรยี กวา ผูเ คล่อื นไป ผสู กึ เองกต็ าม ถกู ผูอ นื่ นาสนะเสียกต็ าม ตรสั เรยี กวา ผถู กู นาสนะ เขาไปสูล ัทธเิ ดียรถยี  ตรัสเรยี กวา เขา รตีเดียรถยี . [๑๕] สองพากยว า ภายหลังนางจึงบอกอยา งนว้ี า แมเ จาเจา ขา เม่ือกอ นดิฉันรจู กั ภกิ ษุณนี ่ันไดดที ีเดยี ววา นางเปน พหี่ ญิง

พระวนิ ยั ปฎ ก ภกิ ขุนวี ิภงั ค เลม ๓ - หนาที่ 19นอ งหญงิ มคี วามประพฤตเิ ชนนี้ และมีความประพฤติเชนนี้ แตดฉิ ันไมโจทดว ยตน นนั้ คือ ไมโ จทเอง. คําวา ไมบ อกแกคณะ คอื ไมบอกแกภิกษุณอี ืน่ ๆ. [๑๖] บทวา แมภิกษณุ นี ี้ พระผูมพี ระภาคเจาตรัสเทียบเคียงภกิ ษณุ ีรปู กอน. อปุ มาดว ยใบไมเหลอื ง คําวา เปนปาราชกิ มอี ธิบายวา ใบไมเหลอื งหลดุ จากข้วั แลวไมควรเพ่อื จะเปนของเขยี วสดขนึ้ ได ชื่อแมฉ ันใด ภกิ ษณุ ีกฉ็ ันน้ันแหละ รูอยวู าภิกษณุ ลี ว งปาราชกิ ธรรมแลว เม่อื เธอทอดธรุ ะวา จักไมโ จทดวยตน จกั ไมบอกแกค ณะดงั นเ้ี ทานั้น ยอมไมเปนสมณะ ไมเ ปน ธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตนุ ้นั จึงตรัสวา เปนปาราชิก. บทวา หาสงั วาสมไิ ด ความวา ทีช่ ่อื วา สังวาส ไดแกก รรมที่พึงทาํ รว มกนั อุเทศท่พี ึงสวดรว มกนั ความเปนผูมสี กิ ขาเสมอกัน นี้ชื่อวาสังวาส สังวาสนนั้ ไมม รี วมกับภกิ ษุณีนนั้ เพราะเหตนุ นั้ จงึ ตรัสวา หาสงั วาสมิได. อนาปตติวาร [๑๗] ภกิ ษุณไี มบอกดว ยเกรงวา ความบาดหมาง ความทะเลาะความแกงแยง ความววิ าท จักมแี กสงฆ ๑ ไมบ อกดวยเขาใจวา สงฆจักแตกกนั สงฆจ ักราวรานกนั ๑ ไมบอกดว ยแนใ จวา ภกิ ษณุ ีนีเ้ ปน คนรา ยกาจหยาบคาย จักทําอนั ตรายแกชีวิต หรอื พรหมจรรย ๑ ไมพ บภกิ ษุณอี ื่น ๆ ท่ีสมควรจะบอก จึงไมบ อก ๑ ไมป ระสงคจะปกปด แตย ังมิไดบ อก ๑ ไมบ อกดว ยสําคญั วา จกั ปรากฏดว ยการกระทาํ ของเขาเอง ๑ ภกิ ษณุ ีวกิ ลจรติ ๑ ภิกษุณีอาทกิ มั มิกา ๑ ไมตองอาบตั แิ ล. ปาราชกิ สิกขาบทที่ ๒ จบ

พระวินัยปฎ ก ภิกขุนวี ิภงั ค เลม ๓ - หนาท่ี 20 อรรถกถาปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ วนิ จิ ฉัยในปาราชิกสิกขาบทท่ี ๒ พงึ ทราบดงั น้ี :- แกอ รรถปาฐะบางตอนในทตุ ยิ ปาราชิก บทวา กจฺจโิ น สา ตัดบทเปน กจฺจิ นุ สา แปลวา ชะรอยนาง (จะมีครรภท ัง้ เปนภกิ ษุณกี ระมัง ?) บทวา อวณฺโณ แปลวา มใิ ชคุณ. บทวา อกติ ฺติ แปลวา การตําหน.ิ บทวา อยโส ไดแก ความเสยี บรวิ าร, อีกอยางหน่ึง ไดแก การติเตียนลบั หลงั . คาํ วา สา วา อาโรเจติ ไดแ ก นางภิกษุณีผูซงึ่ ตอ งปาราชกิ แลวไมบอกดวยตนเองก็ด.ี ขอ วา อฏนฺน ปาราชิกาน อฺตร ไดแ ก ปาราชกิ ๔ ที่สาธารณะกบั ภกิ ษทุ ้ังหลาย และเฉพาะปาราชิก ๔ ท่ีไมท่วั ไปอยางใดอยางหนง่ึ .และปาราชกิ น้ี พระผูมีพระภาคเจาทรงบัญญตั ใิ นภายหลัง เพราะฉะน้นั จึงตรสั ไวในวิภงั คว า อฏนนฺ  . แตบัณฑติ พึงทราบวา พระสงั คตี ิกาจารยทั้งหลายจดั ตัง้ ปาราชกิ นีไ้ วใ นโอกาสน้ี ก็เพราะเปนคูก ับสกิ ขาบทกอน. สองบทวา ธุร นกิ ขฺ ติ ฺตมตเฺ ต คอื พอเมอ่ื เธอทอดธรุ ะเสยี ก็กถาพสิ ดารในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพงึ ทราบโดยนยั ดังไดกลา วแลว ในทฏุ ลุ ล-

พระวินยั ปฎ ก ภกิ ขนุ ีวิภงั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 21สกิ ขาบท ในสัปปาณวรรคน้ันแล. แตมีความแปลกกันเพียงเทาน้ีวา จรงิ อยูในทฏุ ลุ ลสิกขาบทน้นั เปนปาจิตตีย, ในบทน้เี ปนปาราชกิ . คําทเ่ี หลอื เปนเชน เดียวกันทัง้ นั้น. แมคาํ วา วชฺชปฏจิ ฺฉาทกิ า นี้ ก็เปน เพียงช่อื แหงปาราชิกน้ีเทา น้นั .เพราะฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจา จึงไมทรงวิจารณไวในบทภาชนะ. คาํ ที่เหลอื ในสิกขาบทน้ี ตืน้ ท้งั นั้น. สิกขาบทน้ี มกี ารทอดธรุ ะเปนสมฏุ ฐาน เกิดขน้ึ ทางกายวาจากับจติเปนอกิริยา สัญญาวโิ มกข สจติ ตกะ โลกวชั ชะ กายกรรม วจีกรรม อกศุ ลจิตทุกขเวทนา ดังน้ีแล. อรรถกถาปาราชกิ สิกขาบทที่ ๒ จบ

พระวนิ ัยปฎก ภิกขนุ ีวิภงั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 22 ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ เร่อื งภิกษณุ ีถุลลนันทา [๑๘] โดยสมยั น้นั พระผมู ีพระภาคพุทธเจา ประทบั อยู ณ พระ-เชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑิกคหบดี เขตพระนครสาวตั ถี คร้ังนนั้ ภกิ ษณุ ีถลุ ลนันทาพระพฤติตามพระอริฎฐะผเู ผา พรานแรง ทถี่ กู สงฆพ รอมเพรียงกนั ยกเสียแลว บรรดาภกิ ษณุ ีทีเ่ ปนผูมักนอ ย . . . ตางก็เพงโทษตเิ ตยี นโพนทะนาวาไฉนแมเจา ถุลลนนั ทาจงึ ไดพระพฤติตามพระอรฏิ ฐะผเู ผา พรานแรง ซงึ่ ถกู สงฆผูพรอ มเพรียงกันยกเสยี แลวเลา... แลวกราบทลู เร่ืองนั้นแดพระผูม ีพระภาคเจา. ทรงสอบถาม พระผูม พี ระภาคเจาทรงสอบถามภกิ ษุท้ังหลายวา ดูกอนภิกษทุ งั้ หลายขา ววา ภกิ ษุณีถลุ ลนนั นทาประพฤตติ ามอรฏิ ฐภกิ ษผุ เู ผาพรานแรง ซงึ่ ถกูสงฆผ ูพรอมเพรยี งกนั ยกเสยี แลว จริงหรือ. ภกิ ษุทง้ั หลายกราบทลู วา จริง พระพทุ ธเจา ขา. ทรงติเตยี นแลว บัญญัติสิกขาบท พระผูม ีพระภาคพทุ ธเจาทรงตเิ ตียนวา ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย ไฉนภกิ ษณุ ถี ุลลนนั ทา จึงไดประพฤตติ ามอริฏฐภกิ ษุผูเผา พรานแรง ซึ่งถกู สงฆผพู รอมเพรยี งกันยกเสียแลวเลา การกระทําของเธอนั่น ไมเ ปน ไปเพือ่ ความเล่ือมใสของชมุ ชนท่ยี งั ไมเ ล่ือมใส. . . ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย กแ็ ลภิกษณุ ที ้งั หลาย จงยกสิกขาบทน้ีขึน้ แสดงอยา งนีว้ า ดงั น้ี :-

พระวินัยปฎ ก ภกิ ขนุ ีวภิ ังค เลม ๓ - หนาที่ 23 พระบัญญตั ิ ๗. ๓. อน่งึ ภิกษณุ ใี ด พงึ ประพฤตติ ามภิกษผุ ถู ูกสงฆพรอมเพรียงกนั ยกเสยี แลว ตามธรรม ตามวนิ ัย ตามสตั ถศุ าสน ผูไมเออ้ื เฟอ ไมทําคืนอาบตั ิ มไิ ดทาํ ภกิ ษผุ มู ีสงั วาสเสมอกนั ใหเปน สหายภิกษุณนี ัน้ อนั ภิกษณุ ที ้งั หลายพึงวา กลา วอยา งนี้วา แมเ จา ภกิ ษุน่นั แล อันสงฆผูพรอ มเพรียงกันยกเสียแลว ตามธรรม ตามวินยัตามสตั ถศุ าสน เปนผไู มเ อื้อเฟอ ไมท ําคืนอาบตั ิ มไิ ดท าํ ภิกษผุ ูมีสงั วาสเสมอกันใหเปน สหาย แมเจาอยาประพฤตติ ามภิกษนุ ัน่ เลยแลภิกษุณีน้ัน อนั ภิกษุณีท้งั หลายวา กลา วอยอู ยา งน้ี ยังยกยองอยูอยา งน้นั เทยี ว ภกิ ษณุ นี น้ั อันภกิ ษุณีทงั้ หลายพงึ สวดสมนภุ าสกวา จะครบสามจบ เพอ่ื ใหสละกรรมนัน้ เสยี หากนางถูกสวดสมนุภาสกวาจะครบสามจบอยู สละกรรมน้นั เสยี การสละไดอยางนี้ น่ันเปนการดี หากนางไมสละเสยี แมภกิ ษุณนี ั้นกเ็ ปนปาราชิก ชื่ออกุ ขติ ตานุวตั ติกา หาสังวาสมไิ ด. เร่อื งภิกษุณีถุลลนนั ทา จบ สกิ ขาบทวิภงั ค [๑๙] บทวา อนึ่ง. . .ใด ความวา ผใู ด คอื ผเู ชน ใด. . . บทวา ภิกษณุ ี ความวา ที่ช่อื วา ภกิ ษณุ ี เพราะอรรถวาเปน ผูขอ. . .น้ชี ื่อวา ภกิ ษณุ ี ทีท่ รงประสงคในอรรถนี้. สงฆท ช่ี อื่ วา พรอ มเพรียงกนั คอื มสี ังวาสเสมอกัน อยูในสีมาเดียวกนั .

พระวินยั ปฎก ภิกขนุ ีวภิ งั ค เลม ๓ - หนาที่ 24 ที่ช่ือวา ถูกยกเสียแลว คอื ถูกยกเสียในเพราะไมเหน็ อาบัติ ในเพราะไมท ําคนื อาบัติ หรอื ในเพราะไมส ละทฏิ ฐิบาป. สองบทวา ตามธรรม ตามวินัย คือ โดยธรรมอันใด โดยวินัยอนั ใด. บทวา ตามสัตถศุ าสน คอื ตามคาํ สัง่ สอนของพระผูช ํานะกิเลสไดแ ก พระพทุ ธศาสนา. ที่ชือ่ วา ไมเ อ้ือเฟอ คอื ไมเ ชื่อสงฆ บุคคล หรอื กรรม. ท่ชี ่ือวา ไมท าํ คืนอาบตั ิ คอื ถกู สงฆย กเสียแลว สงฆยังไมเ รียกเขา หม.ู ท่ชี ่ือวา มิไดทําภกิ ษุผูมสี ังวาสเสมอกันใหเ ปนสหาย คอื ภกิ ษุทง้ั หลายผมู สี งั วาสเสมอกนั ตรัสเรยี กวาภิกษุผูสหาย ภิกษนุ นั้ ไมรว มกบั ภิกษุผูสหายเหลานน้ั เพราะเหตนุ ั้นจึงตรัสวา มิไดทําภกิ ษุผมู ีสังวาสเสมอกันใหเปนสหาย. บทวา พงึ ประพฤติตามภกิ ษนุ ั้น ความวา ภกิ ษุณีนนั้ มีความเห็นอยางใด มคี วามพอใจอยา งใด มีความชอบใจอยา งใด แมภ ิกษุณีนั้นกม็ คี วามเหน็ อยา งน้นั มคี วามพอใจอยางนนั้ มีความชอบใจอยา งนัน้ . [๒๐] บทวา ภกิ ษุณนี นั้ ไดแ ก ภกิ ษุณีผปู ระพฤติตามภิกษุ ผูถูกสงฆย กเสียแลว นน้ั บทวา อันภิกษณุ ที ้ังหลาย ไดแก ภิกษุณีเหลาอน่ื คอื ภิกษุณีทไ่ี ดเ ห็นไดยนิ ท้ังหลาย พงึ วากลา วดังน้วี า แมเ จา ภิกษุน้นั แล อนั สงฆผ ูพรอมเพรยี งกนั ยกเสยี แลว ตามธรรม ตามวินยั ตามสัตถศุ าสน เปนผไู มเอ้ือเฟอ ไมท ําคืนอาบตั ิ มไิ ดท าํ ภิกษุผมู สี งั วาสเสมอกนั ใหเปน สหาย แมเจา

พระวินัยปฎก ภกิ ขุนวี ิภงั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 25อยา ประพฤตติ ามภิกษนุ น่ั พงึ วากลา วแมค รงั้ ท่ี ๒ พึงวา กลาวแมคร้ังที่สามหากนางสละได การสละไดดัง่ นี้ นน่ั เปน การดี หากไมสละ ตอ งอาบตั ิทุกกฏภิกษุณที ้งั หลายทราบเรอ่ื งแลวไมวากลา ว ตองอาบตั ทิ กุ กฏ ภิกษณุ นี ัน้ อนัภกิ ษณุ ีทง้ั หลายพึงคุมตวั ไปสทู า มกลางสงฆ แลววา กลาววา แมเ จา ภกิ ษนุ ่ันแลอันสงฆผ ูพรอ มเพรยี งกนั ยกเสียแลว ตามธรรม ตามวินยั ตามสตั ถศุ าสนเปน ผไู มเ อ้ือเฟอ ไมทาํ คืนอาบตั ิ มไิ ดทาํ ภิกษผุ มู ีสงั วาสเสมอกนั ใหเ ปน สหายแมเ จาอยา ประพฤติตามภิกษุนนั่ เลย พงึ วา กลา วแมค รัง้ ที่ ๒ พึงวากลาวแมคร้งั ที่ ๓ หากเธอสละได การสละไดดง่ั น้ี นั่นเปน การดี หากไมสละ ตองอาบัติทกุ กฏ. [๒๑] ภกิ ษณุ ีน้ัน อนั ภิกษุณที ง้ั หลายพงึ สวดสมนุภาส ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ก็แลภกิ ษุณีท้งั หลายพึงสวดสมนุภาสอยางน้.ี ภิกษณุ ผี ฉู ลาด ผูสามารถ พงึ ประกาศใหสงฆทราบดว ยญัตตจิ ตตถุ -กรรมวาจา วา ดงั น้ี :- กรรมวาจาสมนุภาส แมเ จา เจา ขา ขอสงฆจงฟง ดฉิ นั ภิกษุณมี ีช่ือน้ผี ูนีป้ ระพฤติตามภกิ ษุผูอนั สงฆพรอมเพรียงกนั ยกเสยี แลว ตามธรรม ตามวินัยตามสตั ถุศาสน ไมเ อ้ือเฟอ ไมท าํ คนื อาบัติ มิไดทาํ ภิกษผุ มู ีสงั วาสเสมอกนั ใหเ ปน สหาย นางยงั ไมยอมสละวตั ถุนนั้ ถาความพรอ มพรง่ั ของสงฆถงึ ที่แลว สงฆพ ึงสวดสมนภุ าสภกิ ษุณผี ูม ชี อ่ื นี้ เพ่ือใหสละวตั ถุนัน้ น้เี ปน ญตั ต.ิ แมเจา เจา ขา ขอสงฆจ งฟงดิฉัน ภกิ ษณุ มี ีช่อื นผี้ นู ปี้ ระพฤติตามภกิ ษผุ อู ันสงฆพรอ มเพรียงกันยกเสียแลว ตามธรรม ตามวนิ ัย

พระวนิ ยั ปฎ ก ภิกขนุ ีวภิ ังค เลม ๓ - หนาท่ี 26ตามสตั ถุศาสน ไมเออ้ื เฟอ ไมท าํ คนื อาบัติ มไิ ดทําภิกษุผมู ีสงั วาสเสมอกันใหเปน สหาย นางยังไมยอมสละวตั ถุนั้น สงฆส วดสมนุภาสภิกษณุ ผี ูมีชอื่ นี้ เพ่อื ใหส ละวัตถนุ ้นั การสวดสมนภุ าสภิกษณุ ผี ูม ีชือ่ น้ี เพื่อใหส ละวตั ถุนัน้ ชอบแกแมเ จา ผใู ด แมเ จา ผูน น้ั พึงเปนผนู ิ่ง ไมชอบแกแ มเจา ผูใด แมเ จา ผูนน้ั พงึ พูด. ดิฉนั กลา วความนี้เปนครั้งที่สอง. . . ดิฉันกลา วความนี้เปน คร้งั ทส่ี าม. . . ภกิ ษณุ มี ชี ื่อนี้ อันสงฆส วดสมนภุ าสแลว เพ่ือใหสละวตั ถุนนั้ ชอบแกส งฆ เหตนุ ้ันจงึ น่ิง ดิฉันทรงความน้ีไวดว ยอยา งน้ี. [๒๒] จบญตั ติ ตองอาบตั ทิ ุกกฏ จบกรรมวาจาสองคร้ัง ตองอาบตั ิถลุ ลัจจยั จบกรรมวาจาครง้ั สดุ ตอ งอาบตั ิปาราชกิ . [๒๓] บทวา ภกิ ษุณแี มน ี้ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสเทยี บเคยี งภกิ ษุณีรปู กอ น. ทรงอุปมาดว ยศลิ าแตก คาํ วา เปนปาราชิก มีอธบิ ายวา ศลิ าหนาแตกสองเสย่ี งแลวเปนของกลบั ตอกันสนทิ ไมไ ดฉ นั ใด ภิกษุณกี ฉ็ ันน้นั แล อันสงฆสวดสมนภุ าสอยูถงึ ครง้ั ที่สาม ยังไมสละ ยอ มไมเ ปนสมณะ ไมใ ชธดิ าของพระศากยบตุ รเพราะเหตนุ ้ัน จึงตรัสวา เปน ปาราชกิ . บทวา หาสงั วาสมไิ ด ความวา ทชี่ ือ่ วา สงั วาส ไดแ กก รรมทพี่ งึทาํ รว มกัน อุเทศที่พึงสวดรว มกัน ความเปนผมู ีสิกขาเสมอกัน นัน่ ชอ่ื วาสงั วาส สังวาสน้ันไมม ีรวมกบั ภิกษุนัน้ เพราะเหตุน้ันจงึ ตรัสวา หาสังวาสมิได.

พระวินัยปฎก ภกิ ขนุ วี ิภงั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 27 บทภาชนยี  ตกิ ปาราชิก [๒๔] กรรมเปน ธรรม ภกิ ษณุ ีสําคญั วา กรรมเปนธรรม ไมส ละตองอาบตั ิปาราชกิ . กรรมเปนธรรม ภิกษุณีสงสัย ไมส ละ ตอ งอาบัตปิ าราชกิ . กรรมเปน ธรรม ภิกษุณีสาํ คญั วากรรมไมเปนธรรม ไมสละ ตองอาบตั ิปาราชิก. ตกิ ทุกกฏ กรรมไมเ ปนธรรม ภกิ ษณุ สี ําคญั วา กรรมเปนธรรม. . .ตองอาบตั ิทุกกฏ. กรรมไมเ ปนธรรม ภกิ ษณุ สี งสัย. . . ตองอาบัตทิ กุ กฏ. กรรมไมเปน ธรรม ภกิ ษณุ ีสําคัญวา กรรมไมเปนธรรม. . .ตอ งอาบตั ิทกุ กฏ. อนาปต ตวิ าร [๒๕] ยังไมถ กู สวดสมนภุ าส ๑ ยอมสละเสีย ๑ วิกลจรติ ๑ อาท-ิกัมมกิ า ๑ ไมต องอาบัตแิ ล. ปาราชกิ สิกขาบทที่ ๓ จบ

พระวนิ ยั ปฎ ก ภกิ ขุนวี ภิ งั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 28 อรรถกถาปาราชกิ สิกขาบทท่ี ๓ วนิ จิ ฉยั ในปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๓ พึงทราบดงั น้ี :- แกอ รรถปาฐะบางตอนในปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๓ บทวา ธมฺเมน ไดแ ก ตามวตั ถุท่เี ปน จริง. บทวา วินเยน ไดแก โจทแลวให ๆ การ. กบ็ ทภาชนะแหงสองบทวา ธมฺเมน วนิ เยน น้ัน พระผูมีพระภาคเจาตรสั ไว เพ่อื ทรงแสดงเพียงอธบิ ายนวี้ า ผทู ่ถี กู สงฆย กวัตรตามธรรมดาตามวินยั เปนผูถกู ยกวตั รชอบแลว . บทวา สตฺถุ สาสเนน ไดแก โดยญตั ติสมั ปทาและอนุสาวนา-สัมปทา. แตใ นบทภาชนะแหงบทวา สตถฺ ุ สาสเนน นนั้ ตรสั เพียงคําไวพจนเทานั้นวา โดยชนิ ศาสน คอื โดยพทุ ธศาสน. ในคาํ วา สงฺฆ วา คณ วา เปนตน มีวินฉิ ัยดงั น้ี :- ไมเช่อื คอืไมป ระพฤตติ ามสงฆผ ซู ง่ึ ทาํ กรรม คณะ คอื บุคคลมากคน หรอื บคุ คลคนเดยี วผูนับเนื่องในสงฆน ั้น หรอื กรรมน้นั อธิบายวา ไมย ังความเอื้อเฟอ ใหเกดิ ข้ึนในสงฆเปน ตนนนั้ . ในคําวา สมานส วาสกา ภกิ ฺขู วจุ ฺจนฺติ สหายา โส เตหิ สทธฺ ึนตถฺ ิ นี้ มีวนิ จิ ฉัยดงั น้ี :- ธรรมนี้ คอื กรรมอยา งเดยี วกัน อเุ ทศอยา งเดยี วกัน ความเปน ผูมีสิกขาเสมอกัน ชอ่ื วา สงั วาสกอน. สงั วาสแหง ภิกษุเหลานั้นเสมอกัน; เหตุน้นั ภกิ ษุเหลา น้ันจงึ ช่อื วา มสี ังวาสเสมอกนั . ภกิ ษุทงั้ หลาย.เหน็ ปานนี้ ตรสั เรียกวา สหาย เพราะมภี าวะท่ีเปนไปรว มกันในสงั วาสน้ันแหงภิกษุ.

พระวนิ ยั ปฎก ภกิ ขุนวี ภิ ังค เลม ๓ - หนา ที่ 29 บดั นี้ สังวาสซ่ึงเปน เหตใุ หต รัสเรียกภิกษเุ หลา น้ัน วา ผมู ีสงั วาสเสมอกัน ไมม ีแกภิกษผุ ูถ ูกสงฆยกวตั รน้ัน รว มกบั ภกิ ษุเหลา นน้ั และเหลาภกิ ษุทเี่ ธอไมม สี งั วาสนัน้ รว มดวย เปนอนั เธอมิไดท าํ ใหเปนสหายของตน.เพราะเหตุนน้ั พระผูมพี ระภาคเจา จึงไดตรัสวา ภิกษุทง้ั หลายผมู สี งั วาสเสมอกัน เรียกวา เปนสหายกนั ภิกษนุ ั้นไมร ว มกบั ภกิ ษุสหายเหลานั้น; เพราะเหตุนน้ั จงึ เรียกวา มไิ ดทาํ ภิกษุผูมสี ังวาสเสมอกันใหเปนสหาย. คําทเ่ี หลอืตืน้ ทั้งน้ัน เพราะมนี ยั ดังไดกลาวแลว ในสังฆเภทสกิ ขาบทเปนตน . สกิ ขาบทน้ี มีการสวดสมนุภาสเปน สมุฏฐาน เกดิ ข้นึ ทางกาย วาจากบั จิต เปนอกริ ยิ า สญั ญาวโิ มกข สจิตตกะ โลกวชั ชะ กายกรรม วจีกรรมอกศุ ลจติ ทกุ ขเวทนา ดังนแี้ ล. อรรถกถาปาราชกสิกขาบท ๓ จบ

พระวินยั ปฎ ก ภิกขุนวี ิภงั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 30 ปาราชกิ สิกขาบทท่ี ๔ เรื่องภกิ ษุณฉี ัพพคั คยี  [๒๖] โดยสมัยน้ัน พระผมู ีพระภาคพุทธเจา ประทบั อยู ณ พระ-เชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครัง้ นน้ั ภกิ ษณุ ีฉพั พคั คยี ม ีความกาํ หนัด การท่ีบุรุษบคุ คลผกู ําหนดั จับมือบาง จบั ชายผาสังฆาฏิบา ง ยนื ดวยบา ง สนทนาดวยบา ง ไปสทู น่ี ดั แนะกันบา ง ยินดกี ารทบี่ รุ ษุมาหาตามนัดบา ง เขา ไปสทู มี่ งุ ดวยกันบาง ทอดกายเพื่อประโยชนแ กบ ุรุษนนั้เพ่ือประสงคจะเสพอสัทธรรมนัน้ บาง บรรดาภิกษณุ ีทเี่ ปน ผมู ักนอย. . . ตางก็เพงโทษ ติเตยี น โพนทะนาวา ไฉนภิกษณุ ีฉัพพคั คีย จงึ ไดมีความกําหนดัยินดีการทีบ่ ุรุษบคุ คลผูกาํ หนดั จบั มอื บา ง จับชายผา สงั ฆาฎบิ าง ยนื ดวยบา งสนทนาดวยบา ง ไปสูท ี่นัดแนะกันบาง ยนิ ดีการทีบ่ ุรุษมาหาตามนัดบา ง เขาไปสทู ม่ี ุงดวยกนั บา ง ทอดกายเพ่ือประโยชนแกบ รุ ุษนั้น เพ่ือประสงคจ ะเสพอสัทธรรมนน้ั บางเลา . . .แลว กราบทลู เรื่องนนั้ แดพ ระผมู ีพระภาคเจา. ทรงสอบถาม ลําดับนั้น พระผมู พี ระภาคเจาทรงสอบถามวา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลายขา ววา ภกิ ษุณีฉพั พัคคียมคี วามกําหนัด ยนิ ดีการทบี่ ุรุษบคุ คลผกู าํ หนดั จบั มือบาง จับชายผา สังฆาฏิบา ง ยนื ดวยบาง สนทนาดว ยบา ง ไปสูท ่ีนดั แนะกนับาง ยนิ ดกี ารท่ีบรุ ษุ มาหาตามนดั บาง เขา ไปสทู ม่ี งุ ดวยกนั บาง ทอดกายเพอ่ืประโยชนแ กบ ุรษุ นัน้ เพอื่ ประสงคจะเสพอสัทธรรมนนั้ บา ง จรงิ หรือ. ภิกษุทง้ั หลายกราบทลู วา จรงิ พระพทุ ธเจา ขา.

พระวนิ ัยปฎก ภิกขนุ วี ภิ งั ค เลม ๓ - หนาที่ 31 ทรงติเตยี นแลวบัญญัติสกิ ขาบท พระผูมีพระภาคเจา ทรงตเิ ตยี นวา ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ไฉนภกิ ษณุ ีฉพั พคั คยี จ ึงมคี วามกําหนัด ยนิ ดีการทบ่ี ุรุษบุคคลผกู าํ หนดั จบั มอื บา ง จับชายผา สังฆาฏบิ า ง ยืนดว ยบาง สนทนาดวยบา ง ไปสทู ่ีนดั แนะกันบา ง ยินดีการทีบ่ ุรษุ มาหาตามนดั บาง เขาไปสูที่มงุ ดวยกนั บา ง ทอดกายเพอื่ ประโยชนแกบ ุรษุ นนั้ เพ่ือประสงคจะเสพอสัทธรรมนน้ั บา ง การกระทาํ ของพวกนางน่ันไมเ ปน ไปเพือ่ ความเล่ือมใสของชุมชนทีย่ งั ไมเ ลอ่ื มใส. . . ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ก็แลภกิ ษุณีทัง้ หลาย จงยกสิกขาบทนขี้ ้ึนแสดงอยางนี้ วาดังนี้ :- พระบญั ญตั ิ ๘.๔. อนึ่ง ภิกษณุ ีใด มีความกาํ หนัด ยนิ ดีการที่บรุ ษุ บุคคลผกู าํ หนดั จบั มอื กด็ ี จบั ชายผาสังฆาฏกิ ็ดี ยนิ ดว ยกด็ ี สนทนาดว ยก็ดี ไปสทู น่ี ัดหมายกนั ก็ดี ยนิ ดีการทบี่ ุรษุ มาหาตามนดั กด็ ี เขา ไปสูทมี่ งุ ดว ยกันกด็ ี ทอดกายเพอ่ื ประโยชนแ กบรุ ษุ นั้น เพือ่ ประสงคจะเสพอสัทธรรมนัน้ ก็ดี แมภ กิ ษุณีนีก้ ็เปน ปาราชกิ ชอ่ื อัฏฐวัตถุกาหาสังวาสมไิ ด. เร่ืองภิกษณุ ฉี ัพพัคคีย จบ สิกขาบทวภิ ังค [๒๗] บทวา อนึง่ . . .ใด ความวา ผูใด คือผเู ชน ใด. . . บทวา ภกิ ษณุ ี ความวา ทช่ี ่อื วา ภิกษณุ ี เพราะอรรถวาเปนผขู อ. . .น้ชี อ่ื วา ภิกษุณี ท่ีทรงประสงคใ นอรรถน้ี.

พระวนิ ัยปฎ ก ภิกขนุ ีวิภังค เลม ๓ - หนาท่ี 32 ท่ีชื่อวา มคี วามกาํ หนัด คอื มีความยนิ ดีย่ิง มีความเพงเลง็ มีจติ ปฏพิ ทั ธ. ท่ีชอ่ื วา ผกู ําหนัด คือ กาํ หนดั นกั แลว มีความเพงเลง็ มีจติปฏพิ ทั ธ. ท่ชี ่อื วา บุรษุ บุคคล ไดแ กม นุษยผ ชู าย ไมใ ชยักษผ ชู าย ไมใชเปรตผชู าย ไมใ ชส ตั วด ิรัจฉานตัวผู เปน ผูรคู วาม เปนผสู ามารถเพอ่ื ถงึ ความเคลา คลึงดว ยกาย. บทวา ยินดกี ารจบั มือก็ดี ความวา ท่ีช่ือวา มือ กําหนดต้งั แตขอ ศอกถึงปลายเลบ็ ภิกษุณียินดกี ารจบั อวัยวะเหนอื รากขวญั ข้นึ ไป ใตเ ขา ลงมา เพ่อื ประสงคจ ะเสพอสทั ธรรมนั่น ตอ งอาบัติถลุ ลัจจัย. บทวา ยนิ ดีการจบั ชายผา สงั ฆาฏกิ ็ดี คือ ยินดกี ารจบั ผา นงุ กด็ ีผาหมกด็ ี เพอ่ื ประสงคจะเสพอสัทธรรมนัน่ ตอ งอาบัตถิ ลุ ลจั จัย. บทวา ยินดว ยกด็ ี ความวา ยนื อยูในระยะชว งมอื ของบุรษุ เพือ่ประสงคจะเสพอสทั ธรรมนั่น ตองอาบัติถุลลัจจัย. บทวา สนทนาดวยกด็ ี ความวา ยนื พดู อยูใ นระยะชวงมอื ของบุรุษ เพือ่ ประสงคจะเสพอสัทธรรมนน่ั ตองอาบัตถิ ุลลจั จัย. บทวา ไปสทู ่ีนัดแนะกันกด็ ี ความวา บรุ ุษพดู นดั วา โปรดมาสสู ถานที่ชือ่ น้ี ดังนี้ ภกิ ษุณีไปเพือ่ ประสงคจ ะเสพอสทั ธรรมนัน่ ตองอาบตั ิทุกกฏทุก ๆ กา ว พอยางเขา ระยะชว งมือของบรุ ุษ ตอ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จัย. บทวา ยินดีการที่บุรษุ มาหาตามนดั กด็ ี ความวา ยนิ ดกี ารมาตามนดั ของบุรษุ เพื่อประสงคจะเสพอสัทธรรมนนั่ ตอ งอาบตั ิทกุ กฏ พอยา งเขา ระยะชวงมือ ตอ งอาบัตถิ ุลลจั จยั .

พระวินัยปฎ ก ภิกขุนีวภิ งั ค เลม ๓ - หนา ที่ 33 บทวา เขา ไปสูทมี่ ุงดว ยกนั กด็ ี ความวา พอยางเขาสสู ถานที่อนัมุงไวด ว ยวตั ถุอยา งใดอยา งหนง่ึ เพื่อประสงคจะเสพอสทั ธรรมนนั่ ตอ งอาบัติถลุ ลัจจัย. บทวา ทอดกายเพือ่ ประโยชนแกบรุ ษุ นนั้ กด็ ี ความวา อยใู นระยะชวงมอื ของบรุ ษุ แลว ทอดกายเพ่ือประสงคจะเสพอสทั ธรรมนั่น ตองอาบัติถลุ ลจั จัย. [๒๘] บทวา แมภ กิ ษณุ ีน้ี พระผมู พี ระภาคเจาตรัสเทียบเคยี งภิกษณุ ีรูปกอน. อปุ มาดวยตาลยอดดว น บทวา เปน ปาราชกิ มีอธบิ ายวา ตน ตาลมยี อดดว นแลว ไมอาจงอกอีกได ชือ่ แมฉ นั ใด ภกิ ษุณกี ฉ็ ันนน้ั เหมือนกนั ทาํ วตั ถุถงึ ท่ี ๘ ไมใ ชสมณะไมใชธดิ าของพระศากยบตุ ร เพราะเหตุน้นั จึงตรัสวา เปน ปาราชกิ . บทวา หาสังวาสมไิ ด ความวา ท่ชี ่อื วา สงั วาส ไดแ กก รรมทพ่ี ึงทาํรว มกัน อุเทศท่พี ึงสวดรวมกัน ความเปน ผูมีสกิ ขาเสมอกัน นชี้ ือ่ วาสังวาสสังวาสนน้ั ไมมีรวมกับภิกษุณีนั้น เพราะเหตุนัน้ จงึ ตรัสวา หาสงั วาสมิได. อนาปตติวาร [๒๙] ไมจงใจ ๑ เผลอสติ ๑ ไมรตู วั ๑ ไมยนิ ดี ๑ วกิ ลจริต ๑ มีจติฟุงซา น ๑ กระสับกระสา ยเพราะเวทนา ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไมตองอาบตั แิ ล. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ จบ

พระวนิ ัยปฎก ภกิ ขุนวี ิภังค เลม ๓ - หนาที่ 34 [๓๐] แมเจาทั้งหลาย ธรรมคือปาราชิก ๘ สิกขาบท๑ ดฉิ ันยกขนึ้แสดงแลวแล ภิกษุณตี องอาบตั ิปาราชกิ อยา งหนง่ึ แลว ยอ มไมไ ดอยูรวมกบัภิกษณุ ที งั้ หลาย ในภายหลัง เหมอื นในกาลกอ น เปน ปาราชิกหาสังวาสมิไดดิฉนั ขอถามแมเจา ทง้ั หลายในอาบตั ิปาราชกิ เหลา นน้ั วา แมเจาทง้ั หลายบรสิ ุทธ์ิแลว หรือ ดิฉนั ขอถามแมค รั้งท่ีสองวา แมเ จา ท้ังหลายบริสุทธแิ์ ลว หรอื ดิฉันขอถามแมครั้งทสี่ ามวา แมเจา ท้ังหลายบริสุทธิ์แลวหรือ แมเ จา ทง้ั หลายเปน ผูบริสุทธิ์ในอาบตั ิปาราชิกเหลา นี้แลว เหตนุ ัน้ จึงนิ่ง ดฉิ ันทรงความนีไ้ วดว ยอยา งนแี้ ล. ปาราชิกกัณฑ จบ๑. สิกขาบทที่ ๕ ถงึ ๘ เหมือนของภิกษุ แตใชสํานวนตา งโดยควรแกเ พศ สว นในอภุ โตปาติ-โมกข นบั สว นหนง่ึ ท่เี หมอื นของภิกษุ ตั้งเปนจาํ นวนครบ ๔ แลว จึงนับสว นของภกิ ษุณตี อจนครบ ๔.

พระวนิ ัยปฎ ก ภกิ ขุนีวิภังค เลม ๓ - หนาที่ 35 อรรถกถาปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๔ วนิ จิ ฉัยในปาราชกิ สิกขาบทที่ ๔ พึงทราบดงั น้ี :- แกอรรถบางปาฐะและบางเร่ืองในจตุตถปาราชกิ บทวา อวสฺสตุ า ไดแ ก ผูกําหนัดดวยกายสังสัคคราคะ ดวยอาํ นาจมติ ตสนั ถวะ กลาวคอื ความยินดีทางโลกยี . แมในบทท่ี ๒ กน็ ัยนี้น่นั แล. ก็ในคาํ วา ปุรสิ ปุคคฺ ลสสฺ หตฺถคคฺ หณ วา เปน ตน มวี ินิจฉัยวาการจับมือท่ีบุคคลผชู ายทาํ แลว ตรัสเรียกวา การจบั มือแหง บุรษุ บุคคล. แมในการจับชายผาสังฆาฎิ กน็ ยั น้ีเหมือนกนั . แตการจบั มอื และการจับแมอยา งอนื่ ในเขตทีไ่ มเปน ปาราชกิ บัณฑติ พงึ ทราบวา ทา นรวมเขาเปน อันเดียวกนัเรียกวา การจบั มอื ในคําวา หตถฺ คฺคหณ นี้. ดว ยเหตุนน้ั แล ในบทภาชนะแหงบทวา ทตถฺ คฺคหณ นัน้ พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา สองบทวาหตถฺ คฺคหณ วา สาทเิ ยยยฺ มีความวา ที่ช่ือวามือ กาํ หนดตั้งแตข อ ศอกไปจนถงึ ปลายเล็บ, ภกิ ษณุ ียินดีการจบั อวัยวะเหนือรากขวญั ขึน้ ไป ใตมณฑลเขาลงมา เพ่อื ประสงคจ ะเสพอสทั ธรรมน่ัน ตองอาบตั ิถลุ ลจั จัย. แตในบทวาอสทฺธมฺโม น้ี การเคลาคลงึ กาย พึงทราบวา อสัทธรรม ไมใชเ มถนุ ธรรม.แทจ ริงถลุ ลจั จยั หาใกลเ คยี งตอเมถุนธรรมไม. อนึ่ง แมคาํ วา เปน ผูรคู วามเปนผสู ามารถเพือ่ ถงึ ความเคลา คลงึ กาย กเ็ ปนเครอื่ งสาธกได ในบทวา อสทฺ-ธมโฺ มน.ี้ หากผทู วง จะพึงทว งวา คําท่ที านกลา ววา การเคลา คลงึ กาย พงึ ทราบวา อสทั ธรรม กผ็ ิดจากเสทโมจนคาถา ที่ตรัสไวในคมั ภรี ปริวารนี้วา

พระวนิ ัยปฎ ก ภิกขุนวี ภิ ังค เลม ๓ - หนาที่ 36 ไมเ สพเมถุนธรรมนน้ั ในสตรี ๓ จํา- พวก ทีพ่ ระผูมีพระภาคเจา ตรัสไว ในบรุ ษุ ๓ จําพวก คนไมประเสรฐิ ๓ จาํ พวก และ บัณเฑาะก ๓ จาํ พวก และไมป ระพฤติเมถุน ในอวัยวะเคร่อื งเพศ. แตความขาดยอ มมี เพราะเมถนุ ธรรมเปน ปจจัย, ปญหาขอนี้ ทานผูฉ ลาดทง้ั หลายคดิ กนั แลว ดงั น.ี้ แกวา ไมผ ิด เพราะกายสังสัคคะ เปน บุรพภาคแหงเมถุน. จริงอยูในปรวิ ารนน่ั แหละ ไดตรัสสกิ ขาบท ๕ มสี ุกกวิสัฎฐิเปนตน วา เปน บุรพภาคแหง เมถนุ ธรรมอยางน้วี า ขอ ท่ีวา พึงทราบบุรพภาคแหง เมถนุ ธรรม ไดแกสุกกวสิ ฏั ฐิมสี ี มสี ีมาก กายสังสัคคะ ทฎุ ลุ ลวาจา วนมนุปปทานะ อัตตกามปารจิ ริยา (๑การมอบดอกไมใบไม การใหของขวญั ) เพราะเหตนุ ัน้กายสงั สัคคะ จึงช่อื วา เปน ปจจยั เพราะเปน บุรพภาคแหงเมถนุ ธรรม. บณั ฑิตพงึ ทราบเนือ้ ความในคําวา เฉชฺช สยิ า เมถนุ ธมฺมปจจฺ ยาน้ี โดยปริยายนี้ ดว ยประการฉะน.้ี บณั ฑิตพึงทราบวินจิ ฉยั ในบททั้งปวงโดยอบุ ายน้.ี อีกนยั หนงึ่ ในบทภาชนะแหงสองบทวา สงฺเกต วา คจเฺ ฉยฺยนี้ สองบทวา อิตฺถนฺนาม อาคจฺฉ มีความวา ทา นจงมาสสู ถานทมี่ ีช่ืออยางน.้ี๑. วนมนปุ ฺปทาน วิมต;ิ เปน คมนุปปฺ าทนนตฺ ิ สฺจรติ ฺต .

พระวินัยปฎก ภิกขุนวี ภิ งั ค เลม ๓ - หนาท่ี 37 ขอวา อฏฐ ม วตฺถุ ปริปูเรนฺตี อสฺสมณี โหติ มีความวาภิกษุณีทําวตั ถทุ ่ี ๘ ใหเต็มบริบูรณ โดยนยั ใดนยั หนงึ่ จะเปนโดยอนโุ ลมหรอื โดยปฏโิ ลม หรอื โดยค่นั เปน ตอนก็ตาม เปนผูมิใชส มณี. สว นภกิ ษณุ ีใดทําวัตถุเดยี ว หรอื ๗ วตั ถใุ หเต็มแมตงั้ ๗ คร้ัง จะเปนผูชอื่ วา มิใชส มณหี ามิไดเลย, ภกิ ษณุ ีน้นั แสดงอาบัติที่ตอ งแลว ยอ มพนได. อกี นยั หนง่ึ ในสิกขาบทนี้บัณฑติ . พงึ ทราบอาบตั ทิ ่คี วรนับ. สมจริงดงั คาํ ท่พี ระผูมพี ระภาคเจา ตรัสไววาอาบัตทิ แ่ี สดงแลวควรนบั (วาแสดงแลว) กม็ ี อาบัติท่แี สดงแลว ไมค วรนับ(วาแสดงแลว ) กม็ ี. ในคําวา เทสิตา คณนูปกา เปน ตน นน้ั มวี นิ ิจฉัยดงั ตอ ไปน้ี :-อาบัติท่ภี ิกษุณที าํ การทอดธรุ ะ แสดงวา บัดนเี้ ราจักไมตอ ง จัดวา ควรนบั คือถงึ การนับวาไดแสดงแลว ไมเปนองคแหงปาราชิก. เพราะฉะนนั้ ภกิ ษณุ ใี ดตองอาบัตติ วั หน่งึ ทําการทอดธรุ ะ แสดงแลว กลับตองอีกดวยอาํ นาจแหงกิเลส, กลบั แสดงอกี . ภกิ ษุณนี นั้ แมเมื่อทาํ วตั ถทุ งั้ ๘ ใหเ ตม็ อยา งนี้ ก็ไมเปนปาราชิก. กภ็ กิ ษณุ ใี ดตอ งแลว แสดงท้ัง ๆ ทยี่ งั มีความอุตสาหะวา เราจักตอ งวตั ถอุ ยางอืน่ แมอ ีก, อาบตั ินน้ั ของภกิ ษุณนี น้ั ไมค วรนบั , แมเธอแสดงแลว กไ็ มเ ปน อนั แสดงเลยคอื ยังไมถ ึงการนบั วา ไดแ สดงแลว ยังเปนองคแ หงปาราชิกอยูทเี ดยี ว, พอเมื่อวัตถทุ ่ี ๘ ครบบรบิ ูรณ เธอก็เปน ปาราชิก. คาํ ท่ีเหลือ ต้ืนทั้งน้ันแล. สิกขาบทนี้ มีการทอดธรุ ะเปน สมุฏฐาน เกิดขึ้น ทางกายวาจากับจิตเปนกริ ิยา สัญญาวโิ มกข สจติ ตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจกี รรม อกุศลจติมีเวทนา ๒ ดังน้แี ล. อรรถกถาปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๔ จบบรบิ ูรณ ตามวรรณนานกุ รมแล.

พระวินยั ปฎ ก ภิกขุนีวภิ งั ค เลม ๓ - หนา ท่ี 38 สรูปปาราชิก ๘ บัณฑติ พึงเหน็ เน้ือความในคาํ วา อุทฺทฏิ า โข อยฺยาโย อฏปาราชิกา ธมฺมา น้ี อยา งนี้วา ขา แตแมเ จาทัง้ หลาย ! ธรรม คอื ปาราชิก๘ สิกขาบท ขาพเจายกขน้ึ แสดงแลว แล โดยเพยี งเปน ปาฎิโมกขุทเทสอยา งน้ีคือ ปาราชกิ ๔ ทีท่ ว่ั ไป ซึ่งทรงปรารภพวกภิกษุบญั ญัตไิ ว และปาราชกิ ๔เหลา น.ี้ คาํ ทเ่ี หลือมนี ัยดงั ที่กลาวแลว นมหาวิภังคน ั้นแลว . อรรถกถาปาราชิกกัณฑใ นภกิ ขุนวี ิภงั คในอรรถกถาพระวนิ ยั ปฎก ชือ่ วาสมนั ตปาสาทิกา จบ
























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook