Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_11

tripitaka_11

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:39

Description: tripitaka_11

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 101เทศนาไดแกก ารแสดงซง่ึ บาลีนน้ั อันกําหนดไวอ ยางดีดว ยใจ ปฏเิ วธไดแ กค วามหยั่งรูบาลี และเน้ือความของบาลตี ามความเปน จรงิ กเ็ พราะธรรม อรรถ เทศนา และปฏเิ วธเหลาน้ี ในปฎกทั้ง ๓ น้ี ผมู ีปญญานอ ยท้ังหลาย หยัง่ รูไดย าก และเปน ท่ีพงึ่ ไมไ ด เหมือนมหาสมทุ ร สัตวเล็กทัง้ หลาย มกี ระตา ยเปน ตน พ่งึ ไมไ ดฉะนัน้ จึงเปน ของลกึ ซง้ึ .ในปฎ ก ๓ น้ี พึงทราบคมั ภรี ภาวะทั้ง ๔ อยาง ในแตละปฎ กดวยประการฉะน้ี. อกี นยั หนงึ่ ธรรมไดแ กเ หตุ ขอนส้ี มดวยพระพทุ ธพจนทตี่ รสั ไววาญาณในเหตุ ชือ่ ธรรมปฏิสัมภทิ า. อรรถไดแกผลแหง เหตุ ขอ นี้สมดวยพระพุทธพจนท่ตี รัสไวว า ญาณในผลแหง เหตุ ชอื่ อรรถปฏิสัมภิทาเทศนาไดแกบ ญั ญัติ อธิบายวา การแสดงธรรมตามสภาวธรรม อกี อยา งหน่งึ การแสดงดวยอาํ นาจอนโุ ลมและปฏิโลม สงั เขปและพสิ ดารเปนตนเรียกวา เทศนา. ปฏเิ วธไดแกการตรัสรู และปฏเิ วธนน้ั เปนไดท ง้ัโลกยิ ะ ทัง้ โลกุตตระ ไดแกความรูจริงไมเ ปลยี่ นแปลง ในเหตทุ ั้งหลายสมควรแกผล ในผลทัง้ หลายสมควรแกเ หตุ ในบญั ญตั ิทงั้ หลายสมควรแกท างแหงบญั ญัติ โดยอารมณ และโดยความไมห ลง สภาวะแหง ธรรมท้งั หลายนนั้ ๆ ท่กี ลาวแลว ในปฎกนัน้ ๆ ไมวปิ ริต กลา วคอื บัณฑิตกําหนดเปน มาตรฐาน ควรแทงตลอด. สภาวธรรมทีม่ เี หตใุ ด ๆ กด็ ี สภาวธรรมท่มี ีผลใด ๆ ก็ดี เน้อื ความทคี่ วรใหร ูดวยประการใด ๆ ยอ มเปน เปา หมายสาํ คญั แหง ญาณของผูฟ งทง้ั หลาย เทศนานใ้ี ด ที่สอ งเนื้อความนน้ั ใหกระจา งดว ยประการนั้น ๆกด็ ี ปฏเิ วธใดกลา วคอื ความรจู รงิ ไมว ิปริตในปฎ ก ๓ น้ี อยา งหน่ึง สภาวะ

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 102แหงธรรมทั้งหลายน้ัน ๆ ท่ีไมว ปิ ริต กลา วคอื ที่บัณฑิตกาํ หนดเปนมาตรฐาน ควรแทงตลอด คณุ ชาตนีท้ ง้ั หมด ผูมีปญ ญาทรามทัง้หลาย ซึ่งมิไดส่ังสมกศุ ลสมภารไว หย่งั รูไดย าก และพง่ึ ไมได เหมือนมหาสมทุ ร สัตวเ ลก็ ทั้งหลาย มีกระตา ยเปนตน พึ่งไมได เพราะเหตุน้ันสภาวธรรมท่มี ีเหตหุ รือสภาวธรรมทมี่ ีผลนน้ั ๆ จงึ ลึกซึ้ง คมั ภรี ภาวะทง้ั ๔อยาง ในปฎ ก ๓ น้ี แตล ะปฎก ผูศึกษาพงึ ทราบในบดั นี้ แมด ว ยประการฉะน.้ี กค็ าถาน้วี า พงึ แสดงประเภทของเทศนา ประเภทของศาสนา ประเภทของกถา และสิกขา ปหานะ คัมภีรภาพ ตามสมควรในปฎ กเหลาน้ัน ดงั นี้เปนคาถามีเนอื้ ความอนั ขา พเจา กลาวแลวดว ยคาํ มีประมาณเทานี้. สวนประเภทแหง การเลา เรียน ๓ อยาง ในปฎก ๓ ในคาถาน้วี า ภิกษยุ อ มถึงซ่งึ ประเภทแหงปรยิ ัติใด ซงึ่ สมบตั ิใด แมซง่ึ วบิ ัติใด ในปฎ กใด ดวยอาการใด พึงแสดง ซงึ่ ประเภทแหงปริยัตทิ ัง้ หมดแมนน้ั ดวยอาการ น้ัน ดงั นี้ พงึ ทราบตอ ไป. จรงิ อยู การเลา เรยี นมี ๓ อยา ง คอื อลคทั ทปู มาปริยตั ิ การเลา เรยี นเหมือนจับงขู างหาง นิสสรณตั ถปรยิ ตั ิ การเลาเรียนมวี ตั ถปุ ระสงคเพื่อออกไป ภณั ฑาคาริกปรยิ ตั ิ การเลา เรยี นของพระอรหันตเปรียบดวยขุนคลัง. ในปริยตั ิ ๓ ประเภทนัน้ ปริยัติใด ท่ีบุคคลเรียนผดิ ทาง คือเรียนเพราะเหตมุ ีตเิ ตยี นผอู น่ื เปน ตน ปรยิ ตั นิ ้ี ช่อื อลคัททูปมา ซ่งึ พระผมู ี

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 103พระภาคเจา ทรงมงุ หมายตรสั ไววา ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย บรุ ุษผตู องการงูแสวงหางู เท่ียวคน หางู เขาพึงพบงูใหญ พึงจบั ขนด หรอื จบั ทางงนู ่ันนัน้งูนน้ั พึงเลีย้ วกลบั มากดั มือหรอื แขน หรืออวยั วะนอยใหญทใี่ ดทห่ี นึง่ ของบุรษุ นัน้ บรุ ุษนั้นพึงถงึ ตายหรอื ทกุ ขปางตาย เพราะการถกู งกู ดั นัน้ เปนเหตุขอ นน้ั เปนเพราะเหตุไร ? ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ขอ นัน้ เปนเพราะเขาจับงูผดิ วธิ ี ฉนั ใด ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย โมฆบุรษุ บางพวกในศาสนาน้ี กฉ็ นั นนั้เหมอื นกนั ยอมเลาเรยี นธรรมคอื สตุ ตะ เคยยะ ฯ ล ฯ เวทลั ละ โมฆบุรษุเหลา นั้นครั้นเลา เรยี นธรรมนัน้ แลว ไมพ ิจารณาเน้อื ความของธรรมเหลานน้ั ดวยปญ ญา เม่อื โมฆบรุ ุษเหลานนั้ ไมพ จิ ารณาเนอื้ ความดว ยปญญา ธรรมเหลา นัน้ ยอมไมทนตอการเพงพินจิ โมฆบุรษุ เหลาน้ัน มวี ตั ถุประสงคเพ่อืติเตียนผอู ่ืน และมวี ัตถปุ ระสงคเ พือ่ เปลือ้ งตนจากการกลาวรา ยนนั้ ๆ จึงเลาเรยี นธรรม โมฆบุรษุ เหลา นน้ั เลาเรยี นธรรมเพอื่ ประโยชนแ หงธรรมใด ยอมไมไ ดประโยชนแ หง ธรรมนน้ั ธรรมเหลา น้นั ท่โี มฆบรุ ุษเหลา นั้นเรยี นผิดทาง ยอมเปน ไปเพอื่ อนั ตรายอันไมเก้อื กูล เพ่อื ความทกุ ขต ลอดกาลนาน ขอ นั้นเปนเพราะเหตุไร ? ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลายขอ นนั้ เปน เพราะธรรมทงั้ หลายอันโมฆบุรุษเหลา น้ันเรียนผดิ ทาง ดงั น้.ี สวนปริยตั ใิ ด ท่บี คุ คลเรยี นถกู ทาง คอื หวงั ความบรบิ ูรณแ หง คุณมสี ีลขันธเ ปน ตนเทา นั้น เรียนแลว มไิ ดเรียนเพราะเหตมุ กี ารติเตียนผูอนื่เปนตน นี้ชื่อ นิสสรณตั ถปรยิ ตั ิ ซ่งึ พระผมู พี ระภาคเจาทรงมงุ หมายตรัสไวว า ธรรมเหลา น้ันท่ีบุคคลเหลา น้ันเรียนถกู ทาง ยอมเปน ไปเพื่อประโยชนเ ก้ือกลู เพ่อื ความสขุ ตลอดกาลนาน ขอ นนั้ เปนเพราะเหตุไร ?ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย เพราะธรรมทัง้ หลายบุคคลเหลาน้ันเรยี นถกู ทาง.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 104 สว นพระอรหันตผ ูมขี ันธอันกําหนดรูแลว มกี ิเลสอนั ละไดแ ลวมมี รรคอันอบรมแลว มพี ระอรหตั ตผลอนั แทงตลอดแลว มนี ิโรธอนั ทาํ ใหแจงแลว ยอมเรียนซึ่งปรยิ ตั ใิ ด เพื่อตอ งการรกั ษาประเพณี เพอ่ื ตอ งการอนุรกั ษพ ุทธวงศโดยเฉพาะ นช้ี อื่ ภัณฑาคาริกปริยตั .ิ อนึง่ ภิกษุปฏบิ ัติดใี นพระวนิ ยั อาศยั สีลสมั ปทา ยอ มบรรลวุ ิชชา ๓เพราะทานกลา วประเภทแหงวชิ ชา ๓ เหลาน้นั ไวใ นพระวินยั นน้ั . ภิกษุปฏบิ ตั ดิ ีในพระสูตร อาศยั สมาธิสมั ปทา ยอมบรรลอุ ภิญญา ๖ เพราะทา นกลาวประเภทแหง อภญิ ญา ๖ เหลา นัน้ ไวในพระสตู รน้ัน ภิกษุปฏิบัติดีในพระอภิธรรม อาศยั ปญญาสัมปทา ยอมบรรลุปฏิสัมภิทา ๔เพราะทา นกลา วประเภทแหงปฏสิ ัมภทิ า ๔ ไวในพระอภธิ รรมนัน้ เหมือนกนั . ภกิ ษปุ ฏบิ ตั ดิ ใี นปฎก ๓ เหลา นั้น ยอ มบรรลสุ มบตั ติ างดว ยวชิ ชา ๓อภญิ ญา ๖ และปฏิสัมภทิ า ๔ เปนตน นี้ตามลาํ ดบั ดว ยประการฉะน้.ี สว นภิกษปุ ฏบิ ัตชิ ัว่ ในพระวนิ ัย ยอมมคี วามสําคัญวา ไมมีโทษในผัสสะท้งั หลาย มกี ารถกู ตอ งส่งิ ทมี่ ีวิญญาณครองเปนตน ทต่ี อ งหา ม โดยมลี ักษณะคลายคลงึ กับการถูกตองวัตถมุ เี คร่ืองปลู าดและผาหม อันมีสมั ผสั สบายทท่ี รงอนญุ าตไวเ ปน ตน . สมดวยคําทพ่ี ระอริฏฐะกลา วไววาเรารูทัว่ ถึงธรรมที่พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงแลว วาเปนธรรมทาํอนั ตราย แกธรรมเหลา น้ันไมอ าจเพื่อเปน อันตรายแกผ ูสองเสพไดเลยดงั นี้. แตนนั้ ภิกษุนัน้ ยอมถึงความเปน ผูทศุ ลี . ภกิ ษปุ ฏบิ ัติช่วั ในพระสตู ร ไมรคู วามมุงหมายในพระบาลีมอี าทวิ าดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย บคุ คล ๔ พวกเหลาน้ี มีอยู ปรากฏอยู ดงั น้ี ยอ มถอื เอาผดิ ๆ ทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจาทรงมุงหมายตรัสไววา บคุ คลยอม

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 105กลาวตูเราทง้ั หลายดว ย ยอมขดุ ซ่งึ ตนดว ย ยอ มประสบสิง่ ท่ีมใิ ชบ ุญเปนอนัมากดว ย ดวยการทคี่ นถอื ผิด ดงั น.ี้ แตน ั้น ภกิ ษุน้นั ยอ มถงึ ความเปนมจิ ฉาทฏิ ฐ.ิ ภิกษุปฏิบตั ิชว่ั ในพระอภธิ รรม เมอื่ คดิ ธรรมฟงุ เกนิ ไป ยอมคดิแมเ รอื่ งทไี่ มค วรคิด แตน้ันยอ มถงึ จิตวิปลาส สมดว ยพทุ ธภาษิตท่ตี รัสไวว า ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย บคุ คลคิดอยซู ง่ึ เรือ่ งไมค วรคิดทงั้ หลายเหลา ใดพึงเปน ผูมีสวนแหงความเปน บา เสยี จริต เรือ่ งไมควรคดิ ท้งั หลายเหลานี้๔ ประการ บคุ คลไมค วรคดิ เลย ดงั น้.ี ภกิ ษุปฏิบัติช่ัวในปฎ ก ๓ เหลา น้ี ยอ มถึงความวิบตั ติ า งดว ยความเปน ผทู ศุ ีล ความเปนมจิ ฉาทฏิ ฐิ และจิตวปิ ลาสนต้ี ามลาํ ดับ ดวยประการฉะน.ี้ คาถาแมน้ีวา ภิกษุยอมถึงซึง่ ประเภทแหงปริยตั ใิ ด ซึ่งสมบัตใิ ด แมซ ง่ึ วิบัตใิ ด ในปฎกใด ดวยอาการใด พึงแสดง ซงึ่ ประเภทแหง ปรยิ ัตทิ ัง้ หมดแมน ัน้ ดว ยอาการนั้น ดงั นี้เปน คาถามีเน้อื ความอัน ขาพเจา กลาวแลวดว ยคาํ มปี ระมาณเทา น.้ี ครัน้ ทราบปฎ กทั้งหลายโดยประการตาง ๆ แลว ผูศ ึกษาพึงทราบพระพทุ ธพจนนวี้ า มี ๓ อยา ง ดวยอํานาจแหง ปฎกเหลาน้นั ดวยประการฉะนี้. พระพทุ ธพจนมี ๕ ประเภท ดว ยอํานาจแหง นกิ าย นับอยา งไร ?ความจรงิ พระพุทธพจนทง้ั หมดเลยน้นั มี ๕ ประเภท คือ ทีฆนิกายมัชฌิมนกิ าย สงั ยุตตนกิ าย อังคตุ ตรนิกาย ขุททกนกิ าย. บรรดานกิ าย ๕

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 106น้นั ทฆี นกิ าย คืออะไร ? คอื นิกายที่มสี ูตร ๓๔ สูตร มพี รหมชาลสตู รเปน ตน จัดเปน ๓ วรรค. นกิ ายใด มีสตู ร ๓๔ สตู ร จดั เปน ๓ วรรค นิกายท่ี ๑ นี้ ชอื่ ทฆี นกิ าย มชี ื่อวาอนโุ ลม ก็เพราะเหตุไร นกิ ายที่ ๑ น้ี จึงเรียกวา ทีฆนกิ าย ? เพราะเปนท่ีประชมุ และเปนทอ่ี ยขู องสตู รท้ังหลายที่มีขนาดยาว. จรงิ อยู หมแู ละท่อี ยูทานเรียกวา นกิ าย. กใ็ นขอท่นี ิกายศพั ทห มายถงึ หมู และท่อี ยนู ้ีมีอุทาหรณเปน เครอ่ื งสาธกทั้งทางศาสนาและทางโลก มอี าทิอยา งนี้วาดกู อนภิกษุท้ังหลาย เราไมพ ิจารณาเห็นหมูอน่ื แมห มหู นึ่ง ซึง่ ผิดแผกแตกตางกันเหมอื นหมสู ัตวเ ดยี รฉาน และเหมือนที่อยูของกษัตรยิ โ ปณกิ ะทอ่ี ยขู องกษตั รยิ จิกขัลลกิ ะเลย ดังน้ี. เนื้อความของคําในความทีน่ กิ ายท้ัง ๔ ท่ีเหลอื เรยี กวานิกาย บณั ฑิตพึงทราบโดยนยั ทกี่ ลา วแลว อยา งนี้. มชั ฌิมนกิ าย คอื อะไร ? คอื นิกายที่มีสตู ร ๑๕๒ สตู ร มมี ลู ปรยิ าย-สตู รเปนตน มขี นาดปานกลาง จดั เปน ๑๕ วรรค ในนิกายใด มีสตู ร ๑๕๒ สูตร จัดเปน ๑๕ วรรค นกิ ายนน้ั ช่อื มัชฌิมนิกาย. สังยุตตนิกาย คอื อะไร ? คอื นิกายที่มสี ตู ร ๗,๗๖๒ สตู ร มีโอฆตรณสตู รเปนตน ทีต่ รัสไวด ว ยสามารถแหง เทวดาสงั ยตุ เปน ตน นกิ ายทมี่ ีสูตร ๗,๗๖๒ สูตรนี้ จัดเปน สังยตุ ตนกิ าย องั คตุ ตรนิกาย คอื อะไร ? คือนิกายทม่ี ีสตู ร ๙,๕๕๗ สูตร มีจิตต-ปริยาทานสตู ร เปนตน ทีต่ รสั ไวดว ยสามารถแหง การเพิม่ ขน้ึ สว นละหน่งึ ๆ จํานวนสูตรในอังคุตตรนิกายมีดังนีค้ ือ ๙,๕๕๗ สตู ร

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 107 ขทุ ทกนิกาย คอื อะไร ? คอื วินยั ปฎกทั้งสิน้ อภธิ รรมปฎ กทงั้ สิ้นคัมภีร ๑๕ ประเภทมีขุททกปาฐะเปนตน และพระพุทธพจนท เ่ี หลือ เวนนกิ าย ๔. ยกเวนนี้กายทง้ั ๔ มที ฆี นกิ ายเปน ตนเหลานเี้ สีย พระพุทธพจนอ น่ื จากนนั้ ทา นเรียกวา ขทุ ทกนิกาย แล. พระพุทธพจนมี ๕ อยา ง ดว ยอาํ นาจแหง นกิ าย นบั อยา งนี้แล. พระพทุ ธพจนมี ๙ อยาง ดว ยอํานาจแหง องค นับอยา งไร ? จริงอยู พระพุทธ- พจนท ง้ั หมดนี้ มี ๙ ประเภท คือ สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อพั ภูต- ธรรม เวทัลละ. ในพระพทุ ธพจนมอี งค ๙ นน้ั อุภโตวิภังค นทิ เทส ขันธกะ และบริวาร มงคลสตู ร รตนสูตร นาลกสตู ร ตวุ ัฏฏกสตู ร ในสุตตนิบาตและคาํ สอนของพระตถาคตท่ีมชี อ่ื วาสตู รแมอ ื่น พึงทราบวา สุตตะ. สูตรท่มี คี าถาทั้งหมด พึงทราบวา เคยยะ โดยเฉพาะอยา งยิ่ง สคาถวรรค แมท้งั สิน้ ในสงั ยุตตนิกาย พึงทราบวา เคยยะ. อภิธรรมปฎ กท้งั หมด พระสูตรท่ีไมมคี าถา และพระพทุ ธพจน แมอ น่ื ใด ท่ีไมไ ดร วบรวมไวด วยองค ๘พระพทุ ธพจนนัน้ พงึ ทราบวา เวยยากรณะ. ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถาและคาถาลวนที่ไมม ีช่ือวา สตู ร ในสตุ ตนบิ าต พึงทราบวา คาถา. สูตร๘๒ สูตร ท่ีประกอบดวยคาถาสําเรจ็ ดวยญาณ เกิดรว มดวยโสมนัสเวทนาพงึ ทราบวา อุทาน. สตู ร ๑๑๐ สูตร ทเ่ี ปน ไปโดยนยั มอี าทวิ า วตุ ตฺ  เหตภควตา พงึ ทราบวา อิตวิ ุตตกะ. ชาดก ๕๕๐ เรือ่ ง มีอปณ ณกชาดก

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 108เปน ตน พึงทราบวา ชาดก. พระสูตร อันประกอบดว ยเรอ่ื งท่ไี มเ คยมีมามีข้ึน นาอศั จรรยท ้งั หมด ท่เี ปนไปโดยนยั มอี าทิวา ดูกอนภิกษุท้งั หลายธรรมอันไมเคยมมี ามขี น้ึ นาอศั จรรย ๔ อยา ง เหลา น้ี มใี นพระอานนทดังนี้ พึงทราบวา อัพภูตธรรม. พระสูตรท่ีถูกถาม ไคญาณและปติ แมทง้ั หมด มีจูฬเวทลั ลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสตู ร สักกปญห-สตู ร สงั ขารภาชนยี สูตร และมหาปุณณมสูตร เปน ตน พงึ ทราบวาเวทัลละ. พระพุทธพจนมี ๙ อยา ง ดวยอํานาจแหงองค นับอยา งน้แี ล พระพทุ ธพจนม ี ๘๔,๐๐๐ ดว ยอํานาจแหงธรรมขันธ นบั อยา งไร ?จรงิ อยู พระพทุ ธพจนทั้งหมดนี้ มี ๘๔,๐๐๐ ประเภท ดว ยอํานาจแหงธรรมขนั ธ ที่ทา นพระอานนท แสดงไวแ ลว อยางนวี้ า ธรรมเหลา ใด ที่ข้ึนปากข้ึนใจขาพเจา ขาพเจา เรียนธรรมเหลาน้นั จากพระพทุ ธเจา ๘๒,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ เรยี นจากภิกษุ ๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ. ในธรรมขันธ ๘๔,๐๐๐ น้ัน พระสูตรที่มหี ัวขอ เร่ืองเดยี วนบั เปนธรรมขันธ ๑. พระสูตรใดมีหัวขอเรือ่ งหลายเรอื่ งรวมกนั ในพระสตู รนน้ันบั ธรรมขนั ธต ามจํานวนหัวขอเรื่อง. ในคาถาประพันธ คําถามปญ หาเรื่อง ๑ นับเปน ธรรมขนั ธ ๑คําวิสัชนาปญหาเรอ่ื ง ๑ นบั เปน ธรรมขันธ ๑. ในพระอภธิ รรม การแจกตกิ ะและทุกะแตล ะอยาง ๆ และการแจกจิตตวาระแตละอยาง ๆ นบั เปนธรรมขนั ธ ๑ ๆ. ในพระวนิ ยั มีวัตถุ มมี าตกิ า มีบทภาชนีย มีอันตราบัติมีอาบตั ิ มีอนาบัติ มตี กิ เฉทะ (การกําหนดอาบตั ิเปน ๓ สว น) ในวตั ถุ

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 109และมาตกิ าเปนตน เหลานั้น สวนหนง่ึ ๆ พงึ ทราบวา ธรรมขันธหนงึ่ ๆ.พระพทุ ธพจนมี ๘๔,๐๐๐ ดว ยอํานาจแหง ธรรมขนั ธ นบั อยา งนี้แล. พระพุทธพจนนี้ โดยไมแ ยกประเภท มีหน่ึง คือรส โดยแยกประเภท มีประเภท ๒ อยา ง เปน ตน คือ เปน พระธรรมอยา ง ๑ เปนวินัยอยา ง ๑ เปนตน อนั คณะผูเช่ียวชาญ มี พระมหากสั สป เปน ประมขุเมอื่ จะสังคายนา ไดกําหนดประเภทน้ีกอ นแลว จงึ สังคายนาวา นเี้ ปนธรรม นเ้ี ปนวินยั นีเ้ ปน ปฐมพุทธพจน นีเ้ ปน มัชฌิมพุทธพจน น้เี ปนปจฉมิ พุทธพจน นี้เปน วนิ ยั ปฎก นเี้ ปน สุตตนั ตปฎ ก น้ีเปนอภธิ รรมปฎ กนีเ้ ปน ทฆี นกิ าย นี้เปน มชั ฌมิ นิกาย นเ้ี ปนสังยตุ ตนิกาย นเ้ี ปน อังคุตตร-นิกาย นเ้ี ปนขุททกนิกาย น้ีเปนองค ๙ มีสุตตะเปนตน น้ีเปน พระธรรม-ขนั ธ ๘๔,๐๐๐ ดว ยประการฉะนี้. และใชว า ทานจะกาํ หนดประเภทนี้เทานัน้ อยา งเดยี ว สงั คายนาแลวหากไ็ ม แตทา นยงั กาํ หนดประเภทแหงสงั คหะแมอ่ืน ๆ ซ่งึ มปี ระการมิใชน อ ย เปน ตน วา อทุ านสังคหะ วคั คสงั คหะเปยยาลสงั คหะ และนิปาตสังคหะ มีเอกนบิ าตและทกุ นบิ าตเปน ตน สงั -ยุตตสงั คหะ และปญญาสสงั คหะเปน ตน ทีป่ รากฏอยใู นปฎ ก ๓ สงั คายนาแลว ใชเวลา ๗ เดอื น ดวยประการฉะน้.ี กใ็ นอวสานแหงการสงั คายนาพระพทุ ธพจนน นั้ แผน ดินใหญนไี้ ดส่ันสะเทอื นเลือ่ นลน่ั หวน่ั ไหว เปน อเนกประการท่ัวไปจนถงึ นํ้ารองแผน ดนิเปนประหน่ึงวาเกดิ ความปราโมทยใ หสาธุการวา ศาสนาของพระทศพลน้ี พระมหากสั สปเถระ ไดทําใหส ามารถมอี ายุยนื ไปไดตลอดกาลประมาณ ๕,๐๐๐ ป และไดป รากฏมหศั จรรยท งั้ หลายมใิ ชน อ ย ดว ยประการฉะน้ี. สังคายนาใดในโลกเรยี กกนั วา ปญ จสตา เพราะพระอรหันต

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 110๕๐๐ องค ไดท ําไว และเรยี กกนั วา เถรกิ า เพราะพระสงฆช น้ั พระเถระทั้งนน้ั ไดทําไว สงั คายนาน้ีช่อื ปฐมมหาสังคายนา ดว ยประการฉะน.้ี อรรถกถาพรหมชาลสูตร เมอื่ ปฐมมหาสงั คายนาน้กี าํ ลงั ดําเนนิ ไปอยู เวลาสังคายนาพระวนิ ยัจบลง ทาน พระมหากสั สป เมื่อถามพรหมชาลสูตร ซึ่งเปนสูตรแรกแหง นกิ ายแรกในสุตตนั ตปฎ ก ไดก ลา วคาํ อยา งนี้วา ทา นอานนทพระผูม ีพระภาคเจา ตรสั พรหมชาลสตู รทไ่ี หน ดังน้เี ปน ตนจบลง ทา นพระอานนท เมอ่ื จะประกาศสถานทที่ ีพระผมู พี ระภาคเจา ตรัสพรหม-ชาลสตู ร และบุคคลที่พระองคตรัสปรารภใหเ ปนเหตนุ ัน้ ใหครบกระแสความจึงกลาวคาํ วา เอวมเฺ ม สตุ  ดังนเ้ี ปนตน . ดวยเหตุน้นั ทานจึงกลาววา แมพรหมชาลสตู ร กม็ คี าํ เปนนทิ านวา เอวมเฺ ม สตุ  ท่ีทานพระอานนทกลา วในคราวปฐมมหาสังคายนา เปนเบ้ืองตน ดงั นี.้ ในคาํ เปน นทิ านแหง พระสตู รน้ัน พึงทราบวนิ จิ ฉยั ดงั ตอไปนี้. แกอ รรถบท เอว บทวา เอว เปนบทนิบาต. บทวา เม เปนตน เปน บทนาม ในคาํ วา ปฏปิ นฺโน โหติ น้ี บทวา ปฏิ เปนบทอุปสรรค. บทวา โหติเปน บทอาขยาต. พงึ ทราบการจําแนกบทโดยนัยเทานก้ี อน. แตโดยอรรถ เอว ศัพท แจกเนือ้ ความไดห ลายอยา ง เปน ตน วาความเปรียบเทยี บ ความแนะนํา ความยกยอ ง ความตเิ ตียน ความรับคําอาการะ ความชแี้ จง ความหามความอ่นื .

พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 111 จรงิ อยา งน้ัน เอว ศพั ทน้ี ท่มี าในความเปรยี บเทยี บ เชน ในประ-โยคมีอาทิวา เอว ชาเตน มจเฺ จน กตฺตพพฺ  กุสล พหุ สตั วเ กิดมาแลว ควรบาํ เพ็ญกุศลใหมาก ฉนั นนั้ . ท่มี าในความแนะนาํ เชน ในประโยคมอี าทิวา เอว เต อภกิ กฺ ม-ิตพพฺ  เอว ปฏิกฺกมิตพพฺ  เธอพึงกา วไปอยา งน้ี พงึ ถอยกลับอยา งน้ี. ทม่ี าในความยกยอ ง เชนในประโยคมอี าทวิ า เอวเมต ภควาเอวเมต สุคต ขอน้ันเปนอยางนพี้ ระผูมีพระภาคเจา ขอ นัน้ เปนอยางน้ีพระพระสุคต. ที่มาในความติเตยี น เชน ในประโยคมีอาทิวา เอวเมว ปนายวสลี ยสมฺ ึ วา ตสมิ ึ วา ตสสฺ มณุ ฑฺ กสสฺ สมณกสสฺ วณฺณ ภาสติกห็ ญงิ ถอยน้ี กลา วสรรเสรญิ สมณะโลนนั้น อยางนอ้ี ยางน้ี ทุกหนทกุ แหง. ท่มี าในความรับคํา เชน ในประโยคมอี าทิวา เอว ภนเฺ ตติ โขเต ภิกขู ภคตโต ปจจฺ สโฺ สสุ ภกิ ษุเหลา นน้ั ทลู รบั พระดาํ รสั ของพระผมู พี ระภาคเจา วา อยางนั้น พระเจาขา . ท่ีมาในอาการะ เชนในประโยคมีอาทวิ า เอว พฺยาโข อห ภนเฺ ตภควตา ธมฺม เทสติ  อาชานามิ ขาแตท า นผูเ จริญ ขา พเจา ยอ มรูทั่วถงึ ธรรมทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงแลว อยา งนจ้ี ริง. ท่ีมาในความชแ้ี จง เชน ในประโยคมอี าทวิ า เอหิ ตฺว มาณวภเยน สมโณ อานนโฺ ท เตนุปสงฺกม อปุ สงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณอานนฺท อปฺปาพาธ อปปฺ าตงกฺ  ลหุฏ าน พล ผาสวุ หิ าร ปจุ ฉฺสุโภ มาณโว โตเทยฺยปุตฺโต ภวนตฺ  อานนฺท อปฺปาพาธ อปฺปาตงฺกลหฏุ  าน พล ผาสวุ หิ าร ปจุ ฺฉตีติ เอวจฺ วเทหิ สาธุ กริ ภว

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 112อานนฺโท เยน สุภสฺ มาณวสฺส โตเทยฺยปุตตฺ สฺส นิเวสน เตนุป-สงกฺ มตุ อนุกมปฺ  อุปาทาย มาน่ีแนะ พอหนมุ นอ ย เธอจงเขา ไปหาพระอานนท แลวเรียนถามพระอานนท ถงึ ความมีอาพาธนอ ย ความมีโรคนอย ความคลอ งแคลว ความมกี ําลงั ความอยูสําราญ และจงพดูอยา งนีว้ า สุภมาณพโตเทยยบตุ ร เรียนถามพระอานนทผ เู จรญิ ถึงความมีอาพาธนอย ความมโี รคนอย ความคลองแคลว ความมีกําลงั ความอยสู าํ ราญ และจงกลา วอยา งน้วี า ขอประทานโอกาส ไดยินวา ขอพระอานนทผ เู จริญ โปรดอนเุ คราะหเ ขาไปยงั นเิ วศนของสุภมาณพโตเทยย-บตุ รเถิด. ทม่ี าในอวธารณะ หามความอืน่ เชน ในประโยคมีอาทิวา ต กึ มฺถกาลามา อเิ ม ธมมฺ า ฯ เป ฯ เอว โน เอตถฺ โหติ ดูกอนชาวกาลามะทงั้หลาย ทานทง้ั หลายจะสําคญั ความขอนนั้ เปนไฉน ? ธรรมเหลา น้ีเปน กุศลหรอื กศุ ล. พวกชนชาวกาลามะตางกราบทลู วา เปนอกศุ ล พระเจา ขา . มีโทษ หรอื ไมม ีโทษ ? มีโทษพระเจา ขา . ทา นผรู ตู เิ ตยี นหรือทานผรู ูส รร-เสริญ ? ทา นผรู ตู ิเตียนพระเจาขา. ใครสมาทานใหบริบรู ณแ ลว เปนไปเพื่อสิ่งไมเ ปนประโยชน เพือ่ ทุกข หรอื หาไม หรือทานทั้งหลายมคี วามเห็นอยา งไรในขอ นี้ ? ธรรมเหลานี้ ใครสมาทานใหบริบรู ณแ ลว เปน ไปเพอ่ื ส่งิไมเปนประโยชน เพ่อื ทกุ ข ในขอ นี้ ขาพระองคท ั้งหลายมีความเหน็ อยา งนี้พระเจาขา. เอว ศัพทน ีน้ ้นั ในพระบาลนี ี้ พึงเห็นใชใ นอรรถ คืออาการะ ความช้แี จง ความหา มความอนื่ . บรรดาอรรถ ๓ อยางนนั้ ดว ย เอว ศัพท ซึง่ มีอาการะ เปนอรรถทา นพระอานนทแสดงเนื้อความนีว้ า พระดาํ รัสของพระผมู ีพระภาคเจา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 113นน้ั ละเอียดโดยนัยตา ง ๆ ตง้ั ข้นึ ดวยอัธยาศยั มใิ ชนอ ย สมบรู ณดวยอรรถและพยัญชนะ มปี าฏหิ ารยิ ต า ง ๆ ลกึ ซ้งึ โดยธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธ มาสูคลองโสตสมควรแกภาษาของตน ๆ ของสตั วโลกทัง้ ปวง ใครเลา ที่สามารถเขาใจไดโดยประการท้งั ปวง แตขา พเจา แมใชเ รีย่ วแรงทงั้ หมดใหเกิดความประสงคที่จะสดับ ก็ไดส ดบั มาอยา งนี้ คือ แมขาพเจากไ็ ดสดบั มาโดยอาการอยา งหนึง่ . ดว ย เอว ศพั ท ซง่ึ มนี ทิ สั สนะเปนอรรถ ทานพระอานนท เมือ่จะเปลอ้ื งตนวา ขา พเจามิใชพระสยัมภู พระสูตรนีข้ า พเจา มิไดก ระทําใหแจง จงึ แสดงพระสตู รทัง้ สิ้นทค่ี วรกลา วในบดั น้ีวา เอวมฺเม สุต คอืขา พเจา เองไดยินมาอยา งน้ี. ดว ย เอว ศพั ท ซ่งึ มอี วธารณะเปน อรรถ ทานพระอานนทเมอ่ืจะแสดงพลังดานความทรงจําของตนอนั ควรแกภ าวะทพี่ ระผมู ีพระภาค-เจาทรงสรรเสริญไว อยา งนว้ี า ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย อานนทน ้ี เปน เลิศกวา ภิกษทุ ั้งหลายผูเปน สาวกของเรา ซงึ่ เปน พหูสตู มคี ติ มีสติ มีธิติ(ความทรงจาํ ) เปนอปุ ฐาก ดงั น้ี และท่ที า นธรรมเสนาบดีพระสารีบตุ รเถระสรรเสริญไว อยา งนีว้ า ทา นพระอานนท เปน ผฉู ลาดในอรรถฉลาดในธรรม ฉลาดในพยัญชนะ ฉลาดในนริ ตุ ติ ฉลาดในคําเบ้ืองตนและคําเบือ้ งปลาย ดงั น้ี ยอมใหเ กิดความประสงคท ี่จะสดับแกสัตวโ ลกท้งัหลาย โดยกลา ววา ขาพเจา ไดส ดบั มาอยางน้ี และท่ีสดับนนั้ ก็ไมข าดไมเ กนิทั้งอรรถทง้ั พยัญชนะ คอื อยา งน้ีเทา นัน้ ไมพ งึ เห็นเปนอยางอื่น. แกอ รรถบท เม เม ศพั ท เห็นใชใ นเนอื้ ความ ๓ อยา ง. จริงอยางนัน้ เม ศัพทน ี้

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 114มีเนอื้ ความเทากับ มยา เชน ในประโยคมีอาทวิ า คาถาภคิ ีต เมอโภชเนยยฺ  โภชนะท่ีไดมาดว ยการขบั กลอม เราไมค วรบรโิ ภค. มีเนอื้ ความเทากบั มยหฺ  เชนในประโยคมอี าทิวา สาธุ เม ภนเฺ ตภควา สงขฺ ิตฺเตน ธมฺม เทเสตุ ขา แตพระองคผ ูเ จรญิ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผมู ีพระภาคเจาโปรดแสดงธรรมโดยยอแกขาพระ-องคเถิด. มีเนอื้ ความเทากับ มม เชน ในประโยคมอี าทวิ า ธมมฺ ทายาทา เมภิกฺขเว ภวถ ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย เธอท้งั หลายจงเปนธรรมทายาทของเรา. แตในพระสูตรนี้ เม ศัพท ควรใชใ นอรรถ ๒ อยาง คือ มยาสุต ขาพเจา ไดสดับมา และ มม สุต การสดับของขาพเจา . แกอรรถบทวา สตุ  สตุ ศัพทนี้ มีอุปสรรคและไมม อี ปุ สรรค จําแนกเนื้อความไดหลายอยาง เชน เนือ้ ความวาไป วาปรากฏ วากาํ หนดั วา สงั่ สม วา ขวนขวายวาสทั ทารมณท ี่รูดว ยโสต และวารตู ามโสตทวาร เปนตน. จรงิ อยา งน้นั สุต ศพั ทนี้ มเี นื้อความวา ไป เชน ในประโยคมีอาทิวา เสนาย ปสุโต เสนาเคล่อื นไป มีเนอ้ื ความวา เดนิ ทพั . มีเนอ้ื ความวาปรากฏ เชนในประโยคมอี าทวิ า สุตธมฺมสฺสปสฺสโต ผมู ีธรรมอนั ปรากฏแลว ผูเหน็ อยู มีเนอื้ ความวา ผูม ธี รรมปรากฏแลว. มเี นือ้ ความวา กาํ หนัด เชน ในประโยคมีอาทิวา อวสฺสุตาอวสสฺ ุตสฺส ภิกษณุ ีมีความกําหนัดยนิ ดกี ารท่ชี ายผูม คี วามกาํ หนัดมาลูบ

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 115คลาํ จับตอ งกาย มีเนื้อความวา ภกิ ษณุ มี จี ติ ชมุ ดวยราคะ ยนิ ดีการท่ีชายผูมจี ิตชุม ดวยราคะมาจับตองกาย. มเี น้ือความวาส่ังสม เชน ในประโยคมอี าทวิ า ตุเมฺหหิ ปุฺ ปสตุ  อนปฺปก บญุ เปนอนั มาก ทานทั้งหลายไดส ่งั สมแลว มเี นอ้ื ความวาเขา ไปส่งั สมแลว . มีเน้อื ความวา ขวนขวาย เชนในประโยคมอี าทวิ า เย ฌานปสุตาธีรา ปราชญท ั้งหลายเหลาใดผขู วนขวายในฌาน มีเนอื้ ความวา ประกอบเนอื ง ๆ ในฌาน. มีเน้อื ความวา สัททารมณทรี่ ดู ว ยโสด เชนในประโยคมอี าทิวาทิฏ ิ สตุ  มตุ  รปู ารมณที่จักษุเห็น สัททารมณทโ่ี สดฟง และอารมณท้ังหลายที่ทราบ มเี นอื้ ความวา สัททารมณท ีร่ ดู ว ยโสต. มเี นอื้ ควานวา รตู ามโสตทวาร เชน ในประโยคมีอาทิวา สุตธโรสุตสนนฺ จิ ฺจโย ทรงสตุ ะ ส่งั สมสุตะ มีเนอ้ื ความวา ทรงธรรม ที่รตู ามโสดทวาร. แตใ นพระสตู รนี้ สุต ศพั ทน้ี มเี นื้อความวา จาํ หรอื ความจําตามโสตทวาร. ก็ เม ศพั ท เมอื่ มีเนอ้ื ความเทากับ มยา ยอ มประกอบความไดวาขา พเจา ไดส ดบั มา คือจาํ ตามโสตทวาร อยางนี้ เมื่อมีเนือ้ ความเทากบัมม ยอมประกอบความไดวา การสดับของขา พเจา คือ ความจาํ ตามโสตทวารของขาพเจา อยางนี้. แกอ รรถ เอวมฺเม สุต บรรดาบททง้ั ๓ ดังกลาวมาน้ี บทวา เอว แสดงกิจแหง วญิ ญาณ

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 116มีโสตวญิ ญาณเปน ตน . บทวา เม แสดงบุคคลผูม คี วามพรอ มเพรียงดวยวิญญาณทกี่ ลาวแลว. บทวา สตุ  แสดงการรับไวอ ยา งไมข าดไมเกิน และไมวปิ ริต เพราะปฏเิ สธภาวะทไี่ มไ ดยิน. อนงึ่ บทวา เอว ประกาศภาวะทีเ่ ปนไปในอารมณทปี่ ระกอบตา ง ๆตามวิถวี ิญญาณท่เี ปน ไปตามโสตทวารน้นั . บทวา เม เปน คาํ ประกาศตน. บทวา สตุ  เปน คําประกาศธรรม. กใ็ นพระบาลนี ี้ มีความยอดงั น้วี า ขา พเจามิไดกระทําสิ่งอน่ื แตไดก ระทําสิ่งน้ี คือไดสดบั ธรรมนี้ ตามวถิ ีวิญญาณอันเปน ไปในอารมณโดยประการตา ง ๆ. อนึ่ง บทวา เอว เปน คาํ ประกาศขอ ควรช้ีแจง. บทวา เม เปนคําประกาศถึงตัวบคุ คล. บทวา สุต เปน คาํ ประกาศถงึ กิจของบุคคล. อธบิ ายวา ขาพเจา จักช้แี จงพระสตู รใด พระสตู รนนั้ ขา พเจาไดสดับ มาอยางนี.้ อนึ่ง บทวา เอว ช้ีแจงอาการตาง ๆ ของจิตสนั ดาน ซงึ่ เปน ตวัรับอรรถะและพยญั ชนะตาง ๆ ดวยเปนไปโดยอาการตา งกนั . จรงิ อยู ศพั ทว า เอว น้ี เปนอาการบญั ญัติ. ศัพทวา เม เปนคําช้ีถงึ ผูทํา. ศัพทวา สุต เปนคาํ ช้ถี ึงอารมณ.

พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 117 ดว ยคําเพียงเทาน้ี ยอ มเปนอนั จิตสันดานทีเ่ ปน ไปโดยอาการตา งกนักระทําการตกลงรับอารมณ ของผทู าํ ทีม่ ีความพรอ มเพรยี งดว ยจติ สนั ดานนน้ั . อีกประการหนึ่ง ศพั ทวา เอว เปนคาํ ชีก้ ิจของบคุ คล. ศพั ทวา สุต เปนคาํ ชีถ้ งึ กิจของวญิ ญาณ ศพั ทวา เม เปน คําถงึ บุคคลผปู ระกอบกจิ ทัง้ สอง. ก็ในพระบาลีน้ี มีความยอดงั นว้ี า ขา พเจา คือบุคคลผูประกอบดวยโสตวญิ ญาณ ไดส ดับมาดว ยโวหารวา สวนกจิ ที่ไดมาดว ยอาํ นาจวิญญาณ. บรรดาศัพทท้ัง ๓ นัน้ ศัพทวา เอว และศัพทว า เม เปน อวชิ ชมาน-บัญญัติ ดว ยอํานาจสัจฉกิ ตั ถปรมัตถ เพราะในพระบาลีนี้ ขอ ท่คี วรจะไดช้แี จงวา เอว ก็ดี วา เม ก็ดี นั้น วาโดยปรมตั ถ จะมีอยูอ ยางไร. บทวา สุต เปนวิชชมานบัญญตั ิ เพราะอารมณทีไ่ ดทางโสต ในบทน้นี ัน้ วา โดยปรมตั ถม อี ยู. อน่งึ บทวา เอว และ เม เปนอปุ าทาบัญญัติ เพราะมุงกลาวอารมณน นั้ ๆ. บทวา สุต เปนอปุ นธิ าบัญญตั ิ เพราะกลาวอางถงึ อารมณมีอารมณทเี่ หน็ แลว เปน ตน . ก็ในพระบาลีนี้ ดว ยคาํ วา เอว ทานพระอานนทแ สดงความไมหลง. เพราะคนหลงยอมไมส ามารถแทงตลอดโดยประการตา ง ๆ ได. ดว ยคําวา สตุ  ทานพระอานนทแสดงความไมล ืมถอ ยคําท่ไี ดสดับมา เพราะผูท ่ีลมื ถอยคาํ ท่ีไคสดับมานัน้ ยอมไมรูช ัดวา ขา พเจาไดส ดับ

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 118มาโดยกาลพเิ ศษ. ดวยอาการอยา งน้ี ทานพระอานนทน้ี ยอ มมคี วามสาํ เร็จทางปญ ญาดวยความไมห ลง และยอมมคี วามสําเรจ็ ทางสติ ดว ยความไมลืม. ในความสาํ เรจ็ ๒ ประการนนั้ สติอันมีปญ ญานาํ สามารถหาม(ความอ่นื ) โดยพยญั ชนะ ปญญาอันมสี ตนิ ํา สามารถแทงตลอดโดยอรรถ. โดยท่ีมีความสามารถทัง้ ๒ ประการนั้น ยอมสาํ เร็จภาวะทที่ า นพระอานนทจ ะไดนามวา ขนุ คลังแหง พระธรรม เพราะสามารถจะอนุรักษค ลงั พระธรรม ซึ่งสมบูรณดว ยอรรถะและพยญั ชนะ. อีกนยั หนึง่ ดว ยคาํ วา เอว ทา นพระอานนทแ สดงโยนโิ สมนสิการ เพราะผูท่ีไมมโี ยน โสมนสิการ ไมแ ทงตลอดโดยประการตาง ๆ ดวยคาํ วา สตุ  ทานพระอานนทแสดงความไมฟ ุงซาน เพราะผูท่ีมีจิตฟงุ ซา นฟงไมได. จรงิ อยา งนั้น บุคคลผมู จี ิตฟุงซา น แมเขาจะพดู ดว ยความสมบรู ณทกุ อยาง ก็ยงั พดู วา ขาพเจาไมไดย ิน ขอจงพูดซํา้ . กใ็ นคณุ ๒ ขอนี้ ทา นพระอานนทท ําอตั ตสัมมาปณิธิและปุพเพ-กตปุญญตาใหส ําเร็จได ดว ยโยนโิ สมนสกิ าร เพราะผมู ิไดต้งั ตนไวช อบหรือมไิ ดก ระทาํ ความดีไวกอ น จะไมมีโยนิโสมนสกิ าร ทานพระอานนททําการฟง พระสทั ธรรมและการพง่ึ สัตบรุ ษุ ใหส ําเร็จได ดวยความไมฟ ุง ซา นเพราะผูมจี ิตฟุงซา น ไมสามารถจะฟง ได และผไู มพ งึ่ สตั บุรุษ กไ็ มมีการสดบั ฟง.

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 119 อกี นัยหนึง่ เพราะขา พเจา ไดก ลาวไวแ ลววา บทวา เอว แสดงไขอาการตาง ๆ ของจติ สนั ดาน ซ่งึ เปนตัวรบั อรรถะและพยัญชนะตา ง ๆ ดวยเปน ไปโดยอาการตางกนั และอาการอนั เจริญอยา งนีน้ ้นั ยอมไมมีแกบุคคลผูมีไดต ั้งตนไวชอบ หรือมิไดกระทําความดไี วกอน ฉะนัน้ ดว ยคําวา เอว นี้ ทา นพระอานนทแสดงสมบัตคิ อื จักร ๒ ขอ เบ้ืองปลายของตนดว ยอาการอันเจริญน.้ี ดวยคาํ วา สตุ  ทานพระอานนทแ สดงสมบัตคิ อืจักรธรรม ๒ ขอเบื้องตนของตน ดว ยการประกอบการฟง . เพราะผูท่ีอยใู นถ่นิ ฐานอนั มใิ ชเ ปน ปฏริ ูปเทศก็ดี ผทู ่เี วนการพง่ึ สตั บรุ ษุ กด็ ี ยอ มไมม ีการฟง ดวยประการฉะนี้ . ความบริสทุ ธแิ์ หงอัธยาศยั ยอมเปน อนัสาํ เรจ็ แกทา น เพราะความสาํ เร็จแหง จักรธรรม ๒ ขอ เบื้องปลาย ความบรสิ ุทธแ์ิ หง ความเพียร ยอ มเปนอนั สาํ เรจ็ เพราะความสาํ เรจ็ แหงจกั ร ๒ขอเบื้องตน และดว ยความบริสุทธแ์ิ หง อัธยาศยั น้ัน ยอมเปน อันสําเร็จความฉลาดในปฏเิ วธ ดว ยความบรสิ ทุ ธ์แิ หงความเพยี ร ยอมเปนอันสําเรจ็ความฉลาดในปรยิ ัติ. ดวยประการฉะนี้ ถอ ยคาํ ของทานพระอานนทผมู ีความเพยี รและอัธยาศยั บรสิ ุทธ์ิ สมบูรณ ดวยปริยตั ิและปฏเิ วธ ยอมควรทจี่ ะเปนคาํ เริ่มแรกแหงพระดํารัสของพระผูมีพระภาคเจา เหมอื นความข้ึนไปแหง อรุณ เปน เบื้องตนของดวงอาทติ ยท่ีกาํ ลงั อทุ ยั อยูและเหมอื นโยนิโสมนสกิ าร เปนเบอื้ งตน แหงกศุ ลกรรมฉะนน้ั เหตุดังนั้นทานพระอานนท เม่อื จะดังคําเปนนิทานในฐานะอันควร จงึ กลาวคําเปนตน วา เอวมเฺ ม สตุ  ดงั น.้ี อกี นัยหนงึ่ ดวยคาํ แสดงการแทงตลอดมปี ระการตา ง ๆ วา เอว น้ีทานพระอานนทแ สดงถงึ สภาพแหง สมบตั ิ คอื อตั ถปฏิสัมภทิ า และ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 120ปฏิภาณปฏิสมั ภิทาของตน. ดว ยคําแสดงถึงการแทงตลอดประเภทแหงธรรมทค่ี วรสดบั วา สุต น้ี ทานพระอานนทแสดงถงึ สภาพแหง สมบตั ิคอื ธมั มปฏิสัมภิทา และนิรตุ ตปิ ฏิสัมภทิ า. อน่ึง ทานพระอานนท เม่ือกลาวคําอันแสดงโยนโิ สมนสิการวาเอว นี้ ยอมแสดงวา ธรรมเหลาน้ี ขาพเจา เพง ดวยใจ แทงตลอดดีแลวดว ยทฏิ ฐิ. เมื่อกลาวคําอนั แสดงการประกอบดว ยการสดบั วา สตุ  นี้ ยอมแสดงวา ธรรมเปนอนั มาก ขา พเจาไดส ดบั แลว ทรงจาํ ไวแลว คลองปาก. เมือ่ แสดงความบรบิ รู ณแ หงอรรถและพยญั ชนะ แมดวยคําทงั้ สองนัน้ ยอมใหเกดิ ความเออื้ เฟอในการฟง เพราะวาผไู มส ดับธรรม ท่ีบรบิ ูรณดว ยอรรถะและพยัญชนะ โดยเอ้ือเฟอ ยอ มเหินหางจากประโยชนเกื้อกลู อันใหญ เพราะเหตุดงั นน้ี ัน้ กุลบตุ รควรจะใหเกดิ ความเอ้ือเฟอ ฟงธรรมน้ีโดยเคารพแล. อนึ่ง ดวยคาํ ท้งั หมดวา เอวมเฺ ม สุต นี้ ทา นพระอานนทม ิไดต้ังธรรมท่พี ระตถาคตทรงประกาศแลว เพ่ือตน ยอมลวงพนภูมอิ สตั บุรุษเมือ่ ปฏญิ าณความเปน สาวก ยอ มกาวลงสภู มู สิ ัตบุรษุ อนึ่ง ยอมยงั จิตใหออกพนจากอสัทธรรม ยอมยังจติ ใหดํารงอยใู นพระสัทธรรม เม่ือแสดงวา กพ็ ระดาํ รสั ของพระผมู ีพระภาคเจาพระองคน้นั เทา นน้ั ขาพเจาไดสดบั มาโดยสนิ้ เชงิ ทเี ดยี ว ชอ่ื วา ยอ มเปล้ืองตนยอมแสดงอางพระบรมศาสดา ทาํ พระดาํ รัสของพระชินเจาใหแนบแนนประดษิ ฐานแบบแผนพระธรรมไว. อกี อยางหนงึ่ ทา นพระอานนท เม่อื ไมป ฏิญาณวา ธรรมอันตนใหเกดิ ข้นึ วา ขาพเจา ไดส ดับมาอยางนี้ เปดเผยการสดับใหเ บอ้ื งตน ยอม

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 121ยังความไมศ รทั ธาใหพนิ าศ ยอ มยังความถึงพรอ มแหงศรัทธาในธรรมน้ีใหเ กดิ ขึน้ แกเทวดาและมนษุ ยท ้ังปวงวา พระดํารสั น้ีขา พเจาไดรับมาเฉพาะพระพกั ตรพระผมู พี ระภาคเจาผแู กลว กลาดว ยเวสารชั ญาณทงั้ ส่ี ผูทรงกําลงั สิบ ผดู ํารงอยใู นฐานะอันองอาจ ผูบ นั ลือสีหนาท ผูสงู สุดกวาสัตวท้งั ปวง ผเู ปน ใหญในธรรม ผเู ปนธรรมราชา ผเู ปน ธรรมาธบิ ดีผมู ธี รรมเปน ประทีป ผูมีธรรมเปน สรณะ ผูย ังจักรอนั ประเสรฐิ คอื พระสัทธรรมใหห มนุ ไป ผเู ปนพระสมั มาสัมพุทธเจา พระองคนั้น ในพระดาํ รัสน้ี ใคร ๆ ไมค วรทาํ ความสงสัยหรอื เคลอื บแคลงในอรรถหรอื ธรรมในบทหรือพยัญชนะ เพราะฉะนั้น พระอานนทย อมยงั ความเปน ผไู มมีศรทั ธาใหพ ินาศ ยงั สัทธาสมั ปทาใหเ กิดขนึ้ ในธรรมน้ี แกเ ทวดาและมนุษยทัง้ ปวง ดว ยประการฉะน้ี ดว ยเหตุดงั นี้น้นั ทา นจงึ กลาวคาถาประพนั ธไ วดังนว้ี า พระอานนทเถระผูเปน สาวกของพระโคดมกลาว อยา งนว้ี า ขาพเจา ไดสดบั มาอยางนี้ ยอ มยังความ ไมศ รัทธาใหพ นิ าศ ยอมยงั ศรัทธาในพระศาสนา ใหเ จรญิ ดงั น้ี. แกอรรถบท เอก สมย บทวา เอก แสดงการกาํ หนดนับ. บทวา สมย แสดงสมยั ท่ีกําหนด. สองบทวา เอก สมย แสดงสมัยทไ่ี มแนน อน. สมย ศัพท ในบทวา สมย นน้ั























































พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 149องค ๕๐ รปู แกพ วกขาพระองค ๑๐๐ รปู ดงั น้ี แลว รับบาตรแมของพระผูมพี ระภาคเจา ปูลาดอาสนะนอ มนําถวายบณิ ฑบาตโดยเคารพ. พระผูมีพระภาคเจา ทาํ ภตั กจิ เสร็จแลว ทรงตรวจดจู ติ สันดานของสัตวเ หลานั้น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดใหบางพวกตัง้ อยูในสรณคมน บางพวกตัง้ อยูในศลี ๕ บางพวกตั้งอยูใ นโสดาปตติผล สกทาคามิผล อนาคา-มิผล อยา งใดอยางหนง่ึ บางพวกบวชแลวทั้งอยูในพระอรหตั ซึ่งเปน ผลเลศิ ทรงอนเุ คราะหมหาชนดังพรรณนามาฉะน้นั แลว ทรงลกุ จากอาสนะเสดจ็ ไปยังพระวิหาร คร้ันแลว ประทับน่ังบนพทุ ธอาสนอันบวรซ่ึงปลู าดไวในมัณฑลศาลา ทรงรอคอยการเสร็จภัตกิจของภิกษุท้งั หลาย ครัน้ ภกิ ษุท้งั หลายเสร็จกจิ เรยี บรอ ยแลว ภิกษผุ อู ุปฐากกก็ ราบทลู พระผมู พี ระภาค-เจา ใหทรงทราบ ลําดับน้ันพระผูมีพระภาคเจากเ็ สด็จเขา พระคนั ธกุฎี.นเี้ ปน กจิ ในปุเรภัตกอ น. คร้ังนนั้ แล พระผูมพี ระภาคเจาครนั้ ทรงบาํ เพ็ญกจิ ในปุเรภัตเสร็จแลว อยา งน้ี ประทับนง่ั ณ ศาลาปรนนบิ ัตใิ กลพ ระคันธกุฎี ทรงลา งพระบาทแลว ประทับยนื บนตงั่ รองพระบาท ประทานโอวาทภิกษุสงฆวา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย เธอทัง้ หลายจงยงั ประโยชนคนและประโยชนทา นใหถงึ พรอ มดวยความไมประมาทเถดิ และวา ทุลลฺ ภจฺ มนุสสฺ ตตฺ  พุทธฺ ปุ ปฺ าโท จ ทุลฺลโภ ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ สทธฺ มโฺ ม ปรมทลุ ลฺ ภา ทลุ ฺลภา สทฺธาสมปฺ ตฺติ ปพฺพชฺช จ ทลุ ลฺ ภา ทุลฺลภ สทธฺ มฺมสสฺ วน

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 150 ความเปนมนุษย หาไดย าก ความเกิดขนึ้ ของพระพทุ ธเจา หาไดย าก ความถงึ พรอ มดวยขณะ หาไดยาก พระสทั ธรรม หาไดยากอยางย่ิง ความถึงพรอ มดว ยศรทั ธา หาไดย าก การบวช หาไดยาก การฟง พระสัทธรรม หาไดยาก ณ ทีน่ ั้น ภกิ ษุบางพวกทูลถามกรรมฐานกะพระผมู พี ระภาคเจา .แมพ ระผูมีพระภาคเจา กป็ ระทานกรรมฐานทีเ่ หมาะแกจ ริงของภิกษุเหลานน้ั . ลาํ ดบั นัน้ ภิกษุทง้ั ปวงถวายบังคมพระผมู พี ระภาคเจา แลวไปยงัที่พกั กลางคนื และกลางวันของตน ๆ. บางพวกกไ็ ปปา บางพวกกไ็ ปสโู คนไม บางพวกก็ไปยังท่แี หงใดแหงหนง่ึ มีภเู ขา เปนตน บางพวกก็ไปยังภพของเทวดาช้ันจาตุมหาราชกิ า ฯ ล ฯ บางพวกกไ็ ปยังภพของเทวดาช้นัวสวัดดี ดว ยประการฉะน.้ี ลาํ ดบั น้นั พระผูม ีพระภาคเจา เสดจ็ เขา พระคนั ธกุฎี ถา มีพระพุทธประสงค กท็ รงมพี ระสติสัมปชญั ญะ สําเรจ็ สีห-ไสยาครูหนึง่ โดยพระปรศั วเบอ้ื งขวา คร้ันมพี ระวรกายปลอดโปรง แลวเสดจ็ ลุกขึ้นตรวจดูโลกในภาคทีส่ อง. ณ คาม หรอื นิคมที่พระองคเสด็จเขาไปอาศัยประทบั อยู มหาชนพากนั ถวายทานกอ นอาหาร คร้นั เวลาหลงัอาหารนงุ หม เรยี บรอ ย ถอื ของหอมและดอกไม เปนตน มาประชมุ กนัในพระวิหาร. ครัน้ เม่อื บริษัทพรอ มเพรยี งกนั แลว พระผูม พี ระภาคเจาเสด็จไปดว ยพระปาฏิหารยิ อนั สมควร ประทบั น่ัง แสดงธรรมทค่ี วรแกกาลสมัย ณ บวรพุทธอาสนทบี่ รรจงจัดไว ณ ธรรมสภา ครน้ั ทรงทราบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook