พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 151กาลอันควรแลว กท็ รงสงบริษทั กลบั . เหลามนุษยต า งกถ็ วายบังคมพระผูมีพระภาคเจาแลวพากันหลกี ไป. นเี้ ปนกจิ หลงั อาหาร. พระผูม ีพระภาคเจาพระองคน้นั คร้นั เสร็จกจิ หลังอาหารอยา งน้ีแลว ถามพี ระพทุ ธประสงคจะโสรจสรงพระวรกาย กเ็ สดจ็ ลุกจากพทุ ธ-อาสนเขาซุมเปนท่ีสรงสนาน ทรงสรงพระวรกายดว ยนาํ้ ท่ภี ิกษุผูเ ปนพุทธปุ ฐากจัดถวาย. ฝา ยภิกษผุ ูเปน พทุ ธปุ ฐากกน็ าํ พทุ ธอาสนมาปูลาดท่ีบรเิ วณพระคันธกุฎี. พระผูมพี ระภาคเจาทรงครองจวี รสองชั้นอนั ยอมดีแลว ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวรเฉวยี งบาขา งหนงึ่ แลว เสด็จไปประทบั น่ังบนพทุ ธอาสนนนั้ . ทรงหลกี เรนอยูครหู น่ึงแตล าํ พังพระองคเดียว. คร้งั น้นั ภิกษุทงั้ หลายพากันมาจากทีน่ น้ั ๆ แลวมาสูที่ปรนนบิ ตั ิของพระผมู ีพระภาคเจา . ณ ทีน่ ้ัน ภิกษุบางพวกกท็ ลู ถามปญ หา บางพวกกท็ ูลขอกรรมฐาน บางพวกก็ทูลขอฟงธรรม. พระผมู ีพระภาคเจาประทับยับยงั้ ตลอดยามตน ทรงใหความประสงคของภิกษุเหลาน้นั สาํ เรจ็ .นีเ้ ปนกจิ ในปฐมยาม. ก็เมื่อส้นิ สดุ กิจในปฐมยาม ภกิ ษุท้ังหลายถวายบงั คมพระผมู ีพระภาคเจา แลวหลีกไป เหลา เทวดาในหม่ืนโลกธาตทุ ั้งส้นิ เมือ่ ไดโอกาสก็พากันเขา เฝา พระผูมีพระภาคเจา ตางทูลถามปญ หาตามที่เตรียมมา โดยทส่ี ดุ แมอ ักขระ ๔ ตัว. พระผมู พี ระภาคเจาทรงตอบปญ หาแกเทวดาเหลา นั้น ใหมัชฌิมยามผา นไป น้ีเปนกิจในมัชฌิมยาม. สว นปจฉมิ ยาม พระผูมีพระภาคเจาทรงแบง เปน ๓ สว น คือทรงยับย้งั อยูด วยการเสดจ็ จงกรมสว นหน่งึ เพ่ือทรงเปล้อื งจากความเมอ่ื ยลา แหงพระสรรี ะอนั ถกู อริ ิยาบถนง่ั ตัง้ แตก อนอาหารบีบคนั้ แลว. ในสวน
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 152ทส่ี อง เสดจ็ เขาพระคันธกฎุ ี ทรงมพี ระสตสิ ัมปชญั ญะ สาํ เรจ็ สีหไสยาโดยพระปรัศวเ บือ้ งขวา. ในสวนท่ีสาม เสดจ็ ลกุ ขน้ึ ประทับนัง่ แลว ทรงใชพทุ ธจกั ษุตรวจดูสตั วโลกเพ่ือเล็งเห็นบคุ คลผูสรา งสมบุญญาธิการไว ดว ยอํานาจทานและศลี เปนตน ในสาํ นักของพระพทุ ธเจา องคกอ น ๆ. น้ีเปน กจิ ในปจ ฉมิ ยาม. ก็วันนัน้ พระผูม ีพระภาคเจา ทรงยังกจิ กอนอาหารใหส าํ เร็จในกรงุ ราชคฤหแลว ถึงเวลาหลงั อาหารเสดจ็ ดําเนนิ มายังหนทาง ตรสั บอกกรรมฐานแกภ ิกษุทงั้ หลายในเวลาปฐมยาม ทรงแกป ญหาแกเ ทวดาท้งัหลายในมชั ฌิมยาม เสดจ็ ขนึ้ สทู จ่ี งกรม ทรงจงกรมอยใู นปจ ฉมิ ยาม ทรงไดย นิ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รปู สนทนาพาดพิงถงึ พระสพั พญั ตุ ญาณน้ี ดวยพระสัพพญั ุตญาณน่นั แล ไดท รงทราบแลว. ดว ยเหตนุ ั้น ขาพเจา จึงไดกลา ววา เมอ่ื ทรงกระทาํ กิจในปจฉมิ ยาม ไดท รงทราบแลว . กแ็ ละคร้นัทรงทราบแลว ไดมีพระพุทธดํารดิ งั นว้ี า ภิกษุเหลา น้ี กลาวคุณพาดพงิ ถึงสพั พัญุตญาณของเรา ก็กิจแหงสพั พญั ตุ ญาณไมป รากฏแกภกิ ษุเหลา นี้ปรากฏแกเ ราเทา นน้ั เมอ่ื เราไปแลว ภิกษเุ หลา นนั้ กจ็ ักบอกการสนทนาของตนตลอดกาล. แตน ้นั เราจักทาํ การสนทนาของภิกษุเหลาน้นั ใหเ ปนตน เหตุ แลวจําแนกศลี ๓ อยา ง บนั ลอื สีหนาทอันใคร ๆ คัดคา นไมไดในฐานะ ๖๒ ประการ ประชุมปจจยาการกระทาํ พุทธคณุ ใหปรากฏ จกัแสดงพรหมชาลสตู ร อนั จะยิ่งหม่ืนโลกธาตใุ หห วนั่ ไหว ใหจบลงดว ยยอดคือพระอรหตั ปานประหน่ึงยกภูเขาสิเนรรุ าชข้นึ และดจุ ฟาดทอ งฟาดวยยอดสุวรรณกูฏ เทศนานัน้ แมเ ม่อื เราปรนิ พิ พานแลว กจ็ กั ยังอมต-มหานฤพานใหส าํ เร็จแกสตั วทั้งหลายตลอดหา พันป คร้ันมพี ระพทุ ธดําริ
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 153อยางนี้แลว ไดเสด็จเขา ไปยังศาลามณฑลท่ภี ิกษุเหลา น้นั นัง่ อยู ดวยประการฉะนี.้ บทวา เยน ความวา ศาลามณฑลนั้นอนั พระผูมีพระภาคเจาพงึ เสด็จเขาไปโดยทางทิศใด. อีกอยา งวา บทวา เยน น้ี เปนตติยาวิภตั ติ ลงในอรรถแหงสตั ตมวี ภิ ตั ติ. เพราะฉะนนั้ ในบทน้ีจงึ มีเน้อื ความวา ไดเ สด็จไป ณประเทศทีม่ ีศาลามณฑลนนั้ ดังน้ี . คําวา ปฺ ตเฺ ต อาสเน นิสที ิ ประทบั เหนอื อาสนะท่บี รรจงจดั ไวความวา ขา ววา ในครัง้ พุทธกาล สถานท่ใี ด ๆ ทมี่ ภี กิ ษุอยแู มรปู เดียวก็จดั พุทธอาสนไวทุกแหง ทเี ดยี ว. เพราะเหตไุ ร ? เขาวา พระผมู ีพระภาค-เจา ทรงมนสกิ ารถึงเหลา ภิกษทุ ี่รับกรรมฐานในสาํ นกั ของพระองคแลว อยูในทส่ี าํ ราญวา ภิกษรุ ปู โนน รบั กรรมฐานในสาํ นักของเราไป สามารถจะยังคุณวเิ ศษใหเ กิดขน้ึ หรือไมหนอ ครนั้ ทรงเหน็ ภกิ ษุรปู นนั้ ละกรรมฐานตรึกถึงอกุศลวิตกอยู ลาํ ดับนนั้ มีพระพทุ ธดําริวา กุลบตุ รผูนีร้ ับกรรม-ฐานในสํานกั ของศาสดาเชน เรา เหตไุ ฉนเลา จกั ถกู อกศุ ลวิตกครอบงําใหจมลงในวฏั ฏทุกขอ นั หาเงือ่ นตน ไมป รากฏ เพ่อื จะทรงอนเุ คราะหภกิ ษุรูปน้ันจงึ ทรงแสดงพระองค ณ ทนี่ น้ั ทเี ดียว ประทานโอวาทกลุ บุตรนั้นแลวเสดจ็ เหาะขึน้ สอู ากาศกลบั ไปยงั ทปี่ ระทับของพระองคต อไป. ลาํ ดับนน้ั ภิกษุเหลานัน้ ทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจา ประทานโอวาทอยูอยางน้ี คดิ กัน วา พระบรมศาสดาทรงทราบความคิดของพวกเรา เสด็จมาแสดงพระองคป ระทบั ยืน ณ ทใ่ี กลพวกเรา เปน ภาระทีพ่ วกเราจะตอ ง
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 154เตรียมพุทธอาสนไว สาํ หรบั ทลู เชญิ ในขณะนน้ั วา ขาแตพระองคผ ูเ จรญิขอพระองคโปรดประทบั นง่ั บนพุทธอาสนน ้ี ขอพระองคโ ปรดประทบั น่งับนพทุ ธอาสนน ี.้ ภิกษเุ หลา นนั้ ตางจดั พุทธอาสนไ วแลวอยู. ภกิ ษทุ ่ีมีตั้งก็จัดตั่งไว ทไ่ี มมีกจ็ ัดเตยี ง หรอื แผน กระดาน หรอื ไม หรอื แผน ศลิ าหรอื กองทรายไว เมือ่ ไมไ ดด งั นั้นกด็ ึงเอาแมใ บไมเ กา ๆ มาปูผา บังสกุ ุลตั้งไวบ นทน่ี ้ันเอง แตในพระตําหนักหลวงในพระราชอทุ ยานอัมพลัฏ-ฐกิ านี้ มพี ระราชอาสนอ ยู ภิกษเุ หลาน้นั ชวยกนั ปดกวาดฝุนละออง พระราชอาสนนนั้ ปลู าดไว นั่งลอมสดดุ ีพระพุทธคณุ ปรารภถึงพระอธิมตุ -ิญาณ (ญาณรูอัธยาศัยสตั ว ) ของพระผมู ีพระภาคเจา. ทานพระอานนทหมายถึงพระราชอาสนนั้น จึงกลาววา ประทบั น่ังบนพุทธอาสนท่ีเขาบรรจงจดั ถวาย. ก็พระผูม พี ระภาคเจาประทบั นัง่ อยา งน้ี ทง้ั ท่ีทรงทราบอยู กต็ รสั ถามภกิ ษทุ ้งั หลายเพื่อใหเกดิ การสนทนา และภกิ ษเุ หลานัน้ ก็พากันกราบทลู แดพระองคท ุกเร่อื ง. เพราะเหตนุ ้ัน ทา นพระอานนท จึงกลา ววา พระผมู ีพระภาคเจา ครน้ั ประทบั นง่ั แลว ดงั นี้เปน ตน. ประชุมบทเหลานน้ั บทวา กายนตุ ถฺ ความวา พวกเธอนง่ั สนทนากันถงึ เรื่องอะไร ? บาลีเปน กายเนวฺ ตฺถ ก็ม.ี พระบาลีนน้ั มเี นอ้ื ความวา พวกเธอน่ังสนทนากันถงึ เร่ืองอะไรในท่ีน.้ี บาลีเปน กายโนตฺถ กม็ ี.ในธรรมบท แมพระบาลีนัน้ ก็มีเนอื้ ความดงั กอ นน่ันเอง. บทวา อนตฺ รา กถา ความวา สนทนาระหวา งการมนสิการกรรม-ฐาน อุเทศและปริปจุ ฉา เปนตน คอื ในระหวา งเปนเรื่องอ่ืนเร่ืองหนง่ึ . บทวา วปิ ฺปกตา ความวา ยังไมจ บ คอื ยังไมถงึ ทีส่ ุด เพราะตถาคตมาเสียกอ น.
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 155 ดว ยบทนนั้ ทรงแสดงไวอ ยางไร ? อธิบายวา ตถาคตมาเพื่อหยดุ การสนทนาของพวกเธอหามิได แตมาดวยหวังวาจักแสดงใหการสนทนาของพวกเธอจบลง คือทําใหถ งึ ทสี่ ดุดวยความเปนสัพพญั ู ฉะนน้ั พระผูม ีพระภาคเจาจึงประทับน่ัง ทรงหา มอยา งพระสัพพัญ.ู แมในคาํ วา พระเจาขา พวกขา พระองคส นทนาคา งอยู ก็พอดีพระผมู พี ระภาคเจาเสด็จมาถึงน้ี มีอธิบายดังตอ ไปน้.ี ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ การสนทนาพระพุทธคณุ ปรารภพระสพั พัญตุ ญาณของพระผมู พี ระภาคเจา ของพวกขาพระองคยงั คา งอยู หาใชตริ ัจฉานกถา มรี าชกถาเปนตนไม ก็พอดพี ระผมู ีพระภาคเจาเสดจ็ มาถงึ ขอพระองคไดโปรดแสดงใหก ารสนทนาของพวกขา พระองคน ัน้ จบลงณ กาลบดั น้ีเถิด. กด็ วยคํามปี ระมาณเทา นี้ ทา นพระอานนทไ ดภาษติคําอันเปนนทิ าน ซง่ึ ประดับดวยกาละ เทศะ ผแู สดง เรอ่ื ง บริษทั และทอ่ี า งองิ เพ่อื ใหเ ขา ใจโดยงาย ซึง่ พระสตู รนี้ทช่ี ี้แจงอานุภาพแหงพระพทุ ธ-คุณ อนั สมบรู ณดวยอรรถะและพยญั ชนะ อปุ มาดงั ทานํ้ามีภมู ิภาคอนับรสิ ทุ ธส์ิ ะอาด เตม็ ไปดว ยทรายดงั ใยแกวมุกดาอันเกลื่อนกลน มีบันไดแกว อนั งามพลิ าสรจนาดว ยพน้ื ศิลาอนั บรสิ ทุ ธ์ิ เพอื่ ใหห ย่งั ลงไดโดยสะดวกสูสระโบกขรณี อันมีนํา้ มรี สดใี สสะอาดรุง เรอ่ื งดว ยดอกอบุ ลและดอกปทุมฉะน้ัน และอปุ มาดังบนั ไดอนั งามรุงเร่อื งเกดิ แสงแหงแกว มณี มีแผนกระดานท่เี กลีย้ งเกลาออนนุมที่ทาํ ดวยงา อนั เถาทองคํารัดไวเ พอื่ ใหข้นึ ไดโดยสะดวกสปู ราสาทอนั ประเสรฐิ มฝี าอนั จําแนกไวเ ปน อยา งดี แวดลอมดว ยไพทีอนั วิจิตร ท้ังทรวดทรงกโ็ สภิตโปรงสลาง ราวกะวา ประสงคจ ะ
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 156สมั ผัสทางกลมุ ดาว และอุปมาดงั มหาวิหาร อนั มีบานประตไู พศาล ติดตง้ัเปน อยางดี โชติชวงดว ยรัศมีแหง ทองเงินแกว มณีแกวมกุ ดา และแกวประพาฬ เปนตน เพื่อเขา ไดโ ดยสะดวกสูเรือนใหญท่งี ามไปดว ยอิสริย-สมบัติอนั โอฬาร มีการกรดี กรายรายรําของเหลาเคหชนผมู ีเสียงไพเราะเจรจารา เรงิ ระคนกบั เสยี งกระทบกันแหง อาภรณ มีทองกรและเคร่อื งประดบั เทาเปนตนฉะนั้น. จบวรรณนาความของคาํ เปน นทิ านแหงพระสตรี พรรณนาเหตุทีต่ ง้ั พระสูตร บัดน้ี ถึงลําดบั โอกาสท่จี ะพรรณนาพระสูตรที่พระผมู ีพระภาคเจาทรงยกขน้ึ แสดงโดยนัยมีอาทวิ า ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ชนเหลาอ่ืนจะพึงติเราก็ดี ดงั น้ี . กก็ ารพรรณนาพระสูตรนนี้ ้นั เมือ่ ไดพ ิจารณาเหตทุ ที่ รงตงั้ พระสูตรแลวจึงกลา วยอ มแจม แจง ฉะนน้ั ขาพเจาจกั วิจารณเหตุที่ทรงตัง้ พระสตู รเสียกอน.ก็เหตุทท่ี รงตงั้ พระสูตรมี ๔ ประการ คือ๑. อัตตชั ฌาสยะ เปน ไปตามพระอัธยาศยั ของพระองค๒. ปรชั ฌาสยะ เปน ไปตามอัธยาศัยของผอู ่นื๓. ปุจฉาวสกิ ะ เปน ไปดวยอาํ นาจการถาม๔. อัตถปุ ปตตกิ ะ เปนไปโดยเหตทุ ี่เกิดขนึ้ในบรรดาเหตุ ๔ ประการนัน้ พระสตู รเหลาใดทีค่ นเหลา อนื่ มไิ ดทูลอาราธนา พระผูมพี ระภาคเจาตรัสเทศนาโดยพระอธั ยาศัยของพระ
พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 157องคแ ตลําพงั อยา งเดยี ว มีอาทิอยางน้ี คอื อากังเขยยสูตร วตั ถสูตรมหาสติปฏฐานสูตร มหาสฬายตนวภิ ังคสตู ร อรยิ วงั สสูตร สวนแหงสัมมัปปธานสูตร สว นแหง อิทธบิ าท อินทรยี พละ โพชฌงค และมรรค พระสูตรเหลา นัน้ ชือ่ วามีเหตุทท่ี รงต้ังเปน ไปตามพระอัธยาศยั ของพระองค. อนง่ึ พระสตู รเหลาใดทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจาตรสั ดว ยสามารถแหงอัธยาศยั ของผูอนื่ เล็งดอู ธั ยาศยั ความพอใจ ความชอบใจ อภนิ ิหารและภาวะทจ่ี ะตรัสรูได ของชนเหลา อน่ื อยา งนวี้ า ธรรมบมวมิ ตุ ขิ องราหลุแกก ลาแลว ถา กระไรเราพงึ แนะนําราหุลในอาสวักขยธรรมใหส ูงข้นึดงั นีแ้ ลว มีอาทิอยางน้ี คอื จลุ ลราหุโลวาทสตู ร มหาราหโุ ลวาทสตู รธัมมจักกัปปวัตตนสตู ร ธาตุวิภังคสตู ร พระสตู รเหลานั้น ชื่อวา มเี หตุทรงตั้งเปนไปตามอัธยาศัยของผูอนื่ . อนึ่ง พระสตู รเหลา ใดท่ีเหลาสัตวทง้ั หลายมอี าทิอยา งนี้ คอื บริษัท ๔วรรณะ ๔ นาค ครฑุ คนธรรพ อสรู ยกั ษ ทา วมหาราชเทวดาชนั้ดาวดงึ ส เปน ตน และทาวมหาพรหม พากันไปเฝา พระผมู ีพระภาคเจาแลวทูลถามปญหาโดยนัยมอี าทวิ า ขา แตพระองคผเู จริญ ท่เี รียกวาโพช-ฌงค โพชฌงค ดังน้ี ขาแตพ ระองคผูเจรญิ ท่ีเรยี กวานิวรณ นวิ รณดงั นี้ ขาแตพ ระองคผ ูเจริญ อุปาทานขนั ธห า เหลา นี้หนอแล ในโลกน้ีอะไรเปน ทรพั ยเ ครอ่ื งปลื้มใจทป่ี ระเสริฐท่ีสุดของตน เม่อื ถกู ถามอยา งนี้แลว พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รัสเทศนามโี พชฌงคสังยตุ เปน ตน กห็ รือพระสูตรแมอื่นเหลา ใด มเี ทวตาสงั ยตุ มารสังยตุ พรหมสังยตุสักกปญหสตู ร จลุ ลเวทลั ลสูตร มหาเวทลั ลสตู ร สามญั ญผลสูตร
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 158อาฬวกสูตร สูจโิ ลมสตู ร เปน ตน พระสูตรเหลาน้ัน ช่ือวามีเหตุท่ีทรงตง้ั เปนไปดวยอํานาจการถาม. อนึ่ง พระสูตรเหลานนั้ ใด ท่พี ระผมู พี ระภาคเจาทรงอาศัยเหต-ุการณท เี่ กดิ ขนึ้ จึงตรัสเทศนา มอี าทอิ ยางน้ี คือ ธรรมทายาทสูตรจลุ ลสีหนาทสตู ร จนั ทปู มสูตร ปตุ ตมังสปู มสตู ร ทารกุ ขนั ธูปมสูตรอคั คิกขันธูปมสูตร เผณปณฑปู มสตู ร ปาริฉัตตกปู มสูตร พระสตู รเหลา นั้น ชอ่ื วา มเี หตุท่ที รงต้งั เปน ไปโดยเหตุท่เี กดิ ขน้ึ . ในบรรดาเหตุท่ีทรงตงั้ พระสูตร ๔ ประการ ดงั พรรณนามาน้ีพรหมชาลสตู รน้ีมีเหตทุ ีท่ รงตง้ั เปน ไปโดยเหตทุ เี่ กิดขึน้ . ก็พรหมชาลสูตรน้ี พระผมู พี ระภาคเจาทรงตง้ั ในเพราะเหตุทเ่ี กิดขึน้ . ในเพราะเหตุท่ีเกดิ ข้นึ อยางไร ? ในเพราะการสรรเสรญิ และการตเิ ตยี น คืออาจารยติเตียนพระรัตนตรยั ศษิ ยชมพระรตั นตรยั . พระผูมีพระภาคเจาทรงเปนเทศนาโกศล ทรงทําการสรรเสริญ และการตเิ ตียนนี้ใหเ ปน เหตทุ เ่ี กดิ ขนึ้ ดวยประการฉะน้ี แลวทรงเร่ิมเทศนาวา ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ชนเหลาอ่นื จะพงึ กลา วตเิ รากด็ ี ดงั น.ี้ ประชมุ บทเหลา นั้น บทวา มม เปนฉฏั ฐีวภิ ัตติ เนอ้ื ความเทา กบัมม. วาศัพทเ ปน วิกปั ปตถะ. บทวา ปเร ไดแกเ หลา สัตวผเู ปน ขา ศึก.บทวา ตตรฺ ความวา ในคนพวกทก่ี ลา วติเตียนเหลาน้นั . ดว ยคาํ วา นอาฆาโต เปน ตน ถึงแมวาภิกษเุ หลา นั้นไมม คี วามอาฆาตเลยก็จริง ถึงอยางนั้น พระผมู พี ระภาคเจาเมอ่ื จะทรงปองกันมิใหอ กุศลเกิดข้นึ ในฐานะเชน นี้ แกก ลุ บตุ รท้ังหลายในกาลอนาคต จงึ ไดท รงตัง้ ไวเปนธรรมเนยี ม.
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 159 คาํ วา ความอาฆาต ในพระบาลีนัน้ มวี เิ คราะหว า เปนทมี่ ากระทบแหง จติ . คาํ นี้เปน ชอื่ ของความโกรธ. คาํ วา ความไมแ ชม ช่ืน มีวิเคราะหว า เปนเหตุใหไมเ บกิ บานใจคอื ไมยินดี ไมด ีใจ. คําน้ีเปนชือ่ ของโทมนสั . คาํ วา ความไมอ ภริ มยใจ มีวเิ คราะหวา ไมย ินดีประโยชนเ ก้ือกลูแกตน ไมย ินดีประโยชนเ กื้อกลู แกตนอื่น ๆ. คาํ นเ้ี ปน ช่อื ของความโกรธ. บรรดาบททง้ั สามนี้ พระผูม พี ระภาคเจา ตรัสขันธสอง คือตรสัสังขารขนั ธด วยบทท้งั สอง (อาฆาต และ อนภริ ทฺธิ ) ตรัสเวทนาขันธดวยบทเดยี ว ( อปจฺจโย ) ดว ยประการฉะน้.ี ดวยอาํ นาจแหง ขนั ธท ัง้ สองนัน้ ไดต รัสปฏิเสธการทําหนา ทแ่ี หงสมั ปยุตตธรรมแมท่ีเหลอื ทีเดยี ว. คร้นั ทรงหา มความเจ็บใจโดยนยั แรกอยางน้แี ลว เมอื่ จะทรงแสดงโทษในความเจ็บใจนั้น โดยนัยที่สองจึงตรสั วา ถาเธอท้ังหลายจกั ขุนเคอื ง หรือจกั นอ ยใจในคนเหลานัน้อนั ตรายจะพึงมแี กเธอท้ังหลาย เพราะเหตุนนั้ เปน แน ดังน้.ี ประชุมบทเหลา นนั้ หลายบทวา ตตฺร เจ ตุมฺเห อสสฺ ถ ความวาหากวาเธอทัง้ หลายจะพึงขุน เคืองดวยความโกรธ จะพึงนอ ยใจดว ยความโทมนสั ในพวกท่กี ลาวติเตียนเหลา น้ัน หรอื ในคําติเตียนนนั้ . หลายบทวา ตมุ ฺหฺเวสฺส เตน อนตฺ ราโย ความวา อนั ตรายจะพงึ มแี กค ุณธรรมทงั้ หลาย มปี ฐมฌาน เปน ตน ดวยความโกรธนัน้ และดวยความนอ ยใจนน้ั ของเธอทง้ั หลายนนั่ เอง. ครัน้ ทรงแสดงโทษโดยนัยที่สองอยา งนแี้ ลว เพ่ือจะทรงแสดงวาผูที่นอยใจเปน ผูไ มสามารถแมใ นเหตุเพียงกําหนดเน้อื ความของถอยคํา
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 160โดยนัยท่ีสาม จึงตรสั วา เธอทั้งหลายจะพึงรูค าํ ท่ีเปน สุภาษติ หรือคําท่ีเปน ทุพภาษติ ของคนเหลา อน่ื ไดล ะหรือ ดังนเี้ ปนตน. ในบทเหลาน้นั บทวา ปเรส ความวา กค็ นมักโกรธ ยอ มไมรูทวั่ ถึงเนอื้ ความของคําทเ่ี ปน สุภาษติ และคําทเ่ี ปน ทุพภาษิต ของคนพวกใดพวกหนึ่ง คอื พระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา พระอรยิ สาวกหรือมารดาบิดา หรอื คนท่เี ปน ขาศกึ ไดเ ลย. อยา งท่ีตรสั ไววา คนโกรธยอ มไมรอู รรถ คนโกรธยอมไมเ หน็ ธรรม เมือ่ นรชนถกู ความโกรธครอบงํา ยอ มมืดต้ือทนั ที ความโกรธกอใหเกดิ ความพินาศ ความโกรธทาํ ให จติ กาํ เรบิ ชนไมรจู กั ความโกรธซ่ึงเปนภัยเกิดในจิต ดงั น.้ี พระผมู พี ระภาคเจา ครนั้ ทรงหามความเจ็บใจในเพราะการติเตยี นแมโดยประการท้ังปวงอยา งนี้แลว บดั นี้ เมื่อจะทรงแสดงอาการที่ควรปฏิบัติ จงึ ไดต รัสคํามอี าทวิ า ในคาํ ท่เี ขากลาวติเตียนนั้น คาํ ท่ไี มจรงิเธอทัง้ หลายควรแกใ หเหน็ โดยความไมเปน จรงิ ดังน้.ี ประชุมบทเหลาน้ัน บทวา ตตรฺ ตมุ ฺเหหิ ความวา ในคาํ ท่เี ขากลาวติเตียนน้นั เธอท้งั หลาย. บทวา อภตู อภูตโต นิพเพเธตพพฺ ความวา คําใดที่ไมจริง คาํ นน้ั เธอท้งั หลายพึงแยกโดยความไมเปนจริงทเี ดียว. แกอยา งไร ? พึงแกโดยนัยมอี าทวิ า น่นั ไมจ รงิ แมเพราะเหตุน้ี ดงั น้ี. ในขอน้ัน มีคําประกอบดังตอ ไปน้ี เธอทั้งหลายไดฟ งเขาพูดวาศาสดาของพวกทานไมใ ชพ ระสพั พญั ู พระธรรมอันศาสดาของพวก
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 161ทานกลาวแลวชัว่ พระสงฆป ฏบิ ัตชิ ั่ว ดังน้ีเปนตน ไมค วรนิ่งเสีย แตควรกลา วแกเขาอยางนวี้ า นั่นไมจริง แมเ พราะเหตนุ ้ี คอื คําทีพ่ วกทา นกลา วน้ัน ไมจ รงิ แมเพราะเหตนุ ี้ ไมแ ทแ มเ พราะเหตนุ ้ี ขอ นไี้ มม ใี นพวกเรา และก็หาไมไ ดใ นพวกเรา พระศาสดาของพวกเราเปนพระสัพ-พญั ูจริง พระธรรมพระองคต รัสดแี ลว พระสงฆปฏิบตั ิดแี ลว ในขอนนั้ มีเหตดุ งั น้ี ๆ. ในบทเหลา น้ี บททสี่ อง พงึ ทราบวา เปนไวพจนของบทท่ีหนง่ึ บทท่สี ีพ่ งึ ทราบวา เปน ไวพจนข องบทท่สี าม. และควรทําการแกในการตเิ ตยี นเทาน้นั ดงั น้ี ไมต อ งแกทว่ั ไป. แตถาเม่อื ถูกเขากลาววา ทานเปน คนทศุ ลี อาจารยข องทานเปนคนทศุ ลี ส่ิงนี้ ๆ ทา นไดกระทาํ แลว อาจารยของทา นไดก ระทําแลว ดงั น้ี ก็ทนนิ่งอยไู ด ยอ มเปน ทหี่ วาดเกรงแกผ ูกลา วฉะนน้ั ไมต อ งทําความขนุ ใจ แกไ ขการตเิ ตียน สวนบุคคลที่ดาดวยอักโกสวตั ถุ ๑๐ โดยนัยวา อายอูฐ อา ยววั เปน ตน ควรวางเฉยเสียใชอ ธวิ าสนขันตอิ ยางเดียวในบุคคลนัน้ . พระผมู ีพระภาคเจา ครนั้ ทรงแสดงลักษณะของผูคงท่ีในฐานะแหงการติเตยี นอยา งนแ้ี ลว บดั น้ี มีพระพุทธประสงคจ ะทรงแสดงลกั ษณะของผูคงที่ในฐานะแหงการสรรเสริญ จึงตรสั พระบาลีวา ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย คนเหลาอน่ื จะพึงกลาวชมเรา ดงั น้ีเปน ตน . ในพระบาลนี น้ั คาํ วา คนเหลาอื่น ไดแก เทวดาและมนษุ ยท ง้ั -หลายผูเลื่อมใสเหลา ใดเหลา หนึ่ง. เพลิดเพลิน มีวิเคราะหว า เปนเหตมุ ายินดแี หงใจ. คํานเ้ี ปนชื่อของปต .ิ ภาวะแหง ใจดี ช่ือวา โสมนัส. คาํ วา โสมนสั นี้เปน ชอ่ื ของความ
พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 162สขุ ทางจิต. ภาวะแหง บุคคลผเู บกิ บาน ชอ่ื วา ความเบิกบาน ถามวา ความเบิกบานของอะไร ? ตอบวา ของใจ. คําวา ความเบิกบานน้ีเปนชือ่ ของปต ิอนั ทําใหเบกิ บาน นาํ มาซ่ึงความฟุง ซาน. แมใ นท่ีนี้ พระผมู ีพระภาคเจาก็ตรัสสงั ขารขนั ธดวยบททัง้ สองตรัสเวทนาขันธดวยบทเดียว ดวยประการฉะน้.ี พระผูมพี ระภาคเจา คร้ันทรงหามความเบิกบานโดยนัยทห่ี น่งึอยางนีแ้ ลว เมอื่ จะทรงแสดงโทษในความเบกิ บานนั้น โดยนยั ทส่ี องจึงไดต รัสคํามอี าทิวา ถา เธอท้ังหลายจักเพลดิ เพลิน จักดใี จ จกั เบกิ บานใจในคําชมน้ัน อันตรายจะพึงมแี กเธอทงั้ หลาย เพราะเหตนุ นั้ เปนแนดังน้.ี แมในท่ีนี้ ก็พึงทราบเนื้อความวา บทวา ตุมหฺ ฺเวสสฺ เตนอนฺตราโย ความวา อนั ตรายจะพงึ มแี กคณุ ธรรมทงั้ หลาย มปี ฐมฌานเปนตน ของเธอท้งั หลายนั้นเอง เพราะความเบกิ บานนน้ั . ถามวา ก็เพราะเหตุไรจงึ ตรัสดังน้ี พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั สรร-เสริญปต ิ และโสมนัสในพระรตั นตรยั นนั่ เทยี ว โดยพระสตู รหลายรอยสูตร มีอาทอิ ยางนี้วา ผทู ีป่ ระกาศวา พุทฺโธ ธมฺโม สงโฺ ฆ เกดิ ปต ไิ ปท่ัวกาย ก็ปต ิน้นั ประเสริฐกวา ชมพทู วีปเสยี อีก และวา ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลายชนเหลาใดเล่อื มใสในพระพุทธเจา ชนเหลา น้นั ชือ่ วาเลอื่ มใสในวัตถุอนัเลศิ ดงั น้ีมิใชห รือ ? ตอบวา ตรัสสรรเสริญไวจ รงิ แตป ตแิ ละโสมนัสน้นั เกีย่ วกับเนก-ขมั มะ ในทน่ี ี้ ทรงประสงคป ติและโสมนัสที่เน่ืองดวยการครองเรอื น
พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 163อยางท่ีเกดิ ข้ึนแกท านพระฉันนะ โดยนัยวา พระพุทธเจา ของเรา พระธรรมของเรา ดังนี้เปนตน. ดวยวา ปต ิและโสมนสั ทีเ่ น่ืองดว ยการครองเรือนน้ี ยอมกระทาํ อันตรายแกการบรรลุฌาน เปนตน . ดวยเหตุน้นัแหละ แมทานพระฉนั นะจงึ ไมสามารถที่จะทําคุณวเิ ศษใหบ งั เกิดไดต ลอดเวลาที่พระพุทธเจา ยงั ไมเ สดจ็ ปรินิพพาน. แตท า นไดถ กู คุกคามดวยพรหมทัณฑทท่ี รงบัญญตั ิไวใ นปรินิพพานสมัย ละปต แิ ละโสมนสั นั้นไดแลว จงึ ยง่ิ คุณวเิ ศษใหบ งั เกิดได. เพราะฉะนั้น พงึ ทราบวา ปติ และโสมนสั ท่ีตรสั แลว นี้ พระผูม ีพระภาคเจาตรัสหมายปต ิและโสมนสั ที่ทาํอนั ตรายเทานน้ั . กป็ ต นิ ้ที ่ีเกดิ พรอ มกบั ความโลภ และความโลภกเ็ ชนกบั ความโกรธน่ันเอง. อยา งที่ตรัสไววา คนโลภยอมไมร อู รรถ คนโลภยอมไมเหน็ ธรรม เมือ่ นรชนถูกความโลภครอบงาํ ยอมมืดต้ือทนั ที ความโลภกอ ใหเกดิ ความพินาศ ความโลภทําใหจติ อยากได ชนไมรจู กั ความโลภนั้นซึง่ เปนภยั เกิดใน ภายใน ดังน้ี. กว็ าระท่สี ามแมไมไ ดม าในท่นี ี้ กพ็ งึ ทราบวา มาแลว โดยอรรถะเหมือนกัน. แมค นโลภก็ไมรูอ รรถเหมอื นอยางคนโกรธ. ในวาระแหง การแสดงอาการทจี่ ะพงึ ปฏิบตั ิ มคี าํ ประกอบดงั ตอไปน้ีเธอทง้ั หลายไดฟง เขาพดู วา พระศาสดาของทานทั้งหลายเปนพระสพั พัญูเปน พระอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา พระธรรมอนั พระองคตรัสดแี ลว พระสงฆปฏิบตั ิดแี ลว ดงั นี้เปน ตน ไมค วรนิ่งเสีย แตควรยืนยันอยางน้วี าคําที่พวกทา นพดู นัน้ เปนคาํ จริงแมเพราะเหตนุ ี้ เปน คาํ แทแมเพราะเหตุ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 164น้ี ก็พระผมู พี ระภาคเจาพระองคนน้ั เปนพระอรหันตแ มเ พราะเหตนุ ้ีเปนพระสัมมาสมั พทุ ธเจาแมเพราะเหตุน้ี พระธรรมอันพระองคตรสั ดีแลวแมเพราะเหตุน้ี เปนพระธรรมทผ่ี ปู ฏิบัติจะพงึ เห็นเองแมเ พราะเหตุนี้พระสงฆปฏิบตั ดิ แี ลว แมเพราะเหตนุ ้ี ปฏิบัติตรงแมเ พราะเหตุน้ี ดังนี้แมถ ูกถามวา ทานมีศลี หรอื ? ถา มีศลี กพ็ ึงยนื ยนั วา เราเปนผูมีศลี ดงั น้ีทีเดียว แมถ กู ถามวา ทา นเปน ผไู ดปฐมฌานหรือ ? ๆ ล ๆ ทา นเปนพระอรหันตห รือ ? ดงั นี้ พงึ ยนื ยนั เฉพาะแกภ กิ ษุทั้งหลายทีเ่ ปน สภาคกันเทาน้นั . กด็ ว ยการปฏบิ ัตติ ามทก่ี ลา วมาน้ี ยอ มเปนอนั ละเวน ความเปน ผูปรารถนาลามก และยอมเปนอันแสดงความทีพ่ ระศาสนาไมเ ปนโมฆะดังน้.ี คําท่ีเหลอื พึงทราบตามนยั ท่ีกลาวแลวน่นั แล. พรรณนาอนุสนธเิ ร่มิ ตน อนุสนธิเริม่ ตน วา ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย กเ็ ม่ือปุถชุ นกลา วชมตถาคตจะพึงกลา วดวยประการใด นน่ั มีประมาณนอยนกั ยังต่ํานัก เปน เพยี งศีลดงั นี้. พระสูตรนี้ พระผูมีพระภาคเจาทรงเรมิ่ ดวยบทสองบท คอื การสรรเสรญิ และการตเิ ตยี น. ในสองประการนั้น การติเตียนตองยบั ยังไวเหมือนไฟ พอถึงน้ํากด็ ับฉะน้ัน อยางในคาํ น้วี า นั่นไมจริงเพราะเหตุน้ีนนั่ ไมแ ทแมเ พราะเหตุน้ี ดังนี้ . สวนการสรรเสรญิ ก็ควรยนื ยนั ที่เปนจริงวา เปน จริง คลอ ยตามไปอยางนีท้ ีเดียววา น่ันเปนจรงิ แมเพราะเหตนุ .ี้กค็ าํ สรรเสรญิ นั้นมีสองอยาง คือ คําสรรเสรญิ ทีพ่ รหมทัตมาณพกลา วอยางหนง่ึ คําสรรเสริญทภี่ กิ ษุสงฆป รารภโดยนยั มอี าทิวา ทา นทั้งหลาย
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 165นา อัศจรรย ดังนี้ อยางหนึง่ . ในสองอยา งนน้ั คาํ สรรเสรญิ ท่ภี ิกษุสงฆกลา ว พระผมู พี ระภาคเจาจักทรงแสดงอนุสนธใิ นการประกาศความวางเปลา ขางหนา แตในทนี่ มี้ ีพุทธประสงคจ ะทรงแสดงอนุสนธิ คําสรร-เสรญิ ทพ่ี รหมทตั มาณพกลาว จงึ ทรงเริม่ เทศนาวา ดกู อนภิกษุทั้งหลายก็เมอ่ื ปุถชุ นกลา วชมตถาคต จะพึงกลาวดว ยประการใด น่นั มีประมาณนอ ยนัก ยิง่ ตํา่ นกั เปน เพียงศลี ดังน.้ี ในคาํ เหลาน้นั คําวา มีประมาณนอย เปนชอื่ ของสิง่ เล็กนอ ยคําวา ยังตาํ่ นกั เปนไวพจนของคาํ วา มีประมาณนอ ย. ขนาดเรยี กวาประมาณ. ชื่อวา มปี ระมาณนอ ย เพราะมปี ระมาณนอย. ชอ่ื วา ยงั ต่าํนกั เพราะมีประมาณ. ชื่อวา เปนเพียงศลี คือศีลน่นั เอง. มีอธบิ ายตา่ํวา ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็เมือ่ ปุถุชนกลา วชมตถาคต แมก ระทาํ อุตสาหะวา เราจะกลาวชม จะพงึ กลาวชมดว ยประการใด นัน่ มีประมาณนอยนักเปน เพยี งศลี ดงั นี.้ ในขอนัน้ หากจะพึงมีคาํ ถามวา ธรรมดาวาศีลน้ี เปน เครื่องประดบั อันเลิศของพระโยคี ดังท่พี ระโบราณาจารยท ง้ั หลายกลาววา ศลี เปน อลังการของพระโยคี ศีลเปนเครื่องประดบั ของพระโยคี พระโยคผี ตู กแตงดว ยศลี ทง้ั หลาย ถงึ ความเปนผเู ลิศในการประดบั ดงั น.้ี อน่งึ แมพ ระผมู พี ระภาคเจา ก็ไดต รัสศีล ทรงกระทาํ ใหยงิ่ ใหญทเี ดยี วในพระสตู รหลายรอ ยสตู ร อยา งทต่ี รัสวา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย หากภกิ ษจุ ะพึงหวงั วา เราพึงเปน ทรี่ กั เปน ท่ชี อบใจ เปน ที่เคารพ และเปนท่ยี กยอ งของเพือ่ นพรหมจารที ั้งหลาย ดังนี้ ก็พึงเปนผกู ระทําใหบรบิ ูรณ
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 166ในศลี ท้งั หลายทีเดยี ว ดังน้ี และวา นกตอยตีวดิ รักษาฟองไขฉ ันใด จามรีรกั ษาขนหาง ฉันใด คนมีบุตรคนเดียวรักษาบตุ รผเู ปนท่ีรกั ฉันใด คนมนี ยั นตาขา งเดยี ว รกั ษานยั นตาทยี่ ังเหลอื อกี ขา ง ฉนั ใด ทา นทงั้ หลายจงตามรกั ษาศลี เหมือนฉันนน้ั ทเี ดียว จงเปนผูมศี ลี เปนทีร่ กั ดว ยดี มคี วามเคารพ ทุกเมื่อเถิด ดังน้ี และวา กลนิ่ ดอกไมไมฟ งุ ทวนลม จันทนหรอื กฤษณา และมะลิซอ น กไ็ มฟงุ ทวนลม แตก ล่นิ สตั บรุ ุษยอ มฟุงทวนลม สตั บุรุษยอ มฟุงไป ไดท ุกทิศ จันทนกด็ ี กฤษณาก็ดี อุบลกด็ ี มะลกิ ็ดี กลน่ิ คือศลี ยอดเยย่ี มกวา บรรดาคันธชาตเหลานั้น กล่ินกฤษณา และจันทนน ม้ี ีประมาณนอย สวนกลนิ่ ของผมู ศี ลี เปนกลนิ่ สูงสดุ ฟงุ ไปในทวยเทพท้ังหลาย มารยอ มไมพบทางของทานเหลา น้นั ผูมีศลี สมบูรณ มปี กตอิ ยดู วยความไมป ระมาท หลดุ พนแลว เพราะ รูชอบ ภิกษุเปน พระผูมปี ญ ญา ตงั้ อยใู นศีลแลว ยงั จติ และ ปญญาใหเ จริญอยู ผูม ีความเพียร มีปญญารกั ษาตน น้ัน พึงสางชฏั นี้ได ดงั น้ี และวา ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย พีชคามและภูตคามเหลาใดเหลา หนงึ่ ยอมถงึความเจรญิ งอกงามไพบูลย พชี คามและภูตคามเหลานน้ั ทง้ั หมด อาศัย
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 167แผนดนิ ตง้ั อยูบนแผนดิน จงึ ถงึ ความเจรญิ งอกงามไพบูลยไดอยางน้ี มีอปุ มาแมฉันใด ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ภกิ ษุอาศัยศลี ตัง้ อยใู นศลี เจริญโพชฌงค ๗ กระทาํ ใหม ากซึง่ โพชฌงค ๗ ยอมถึงความเปน ใหญหรอืความไพบลู ยใ นธรรมทงั้ หลาย ก็อปุ ไมยฉันนนั้ เหมอื นกนั ดงั นี้ พระสูตรแมอน่ื ๆ อกี ไมน อ ย ก็พงึ เห็นอยางน้ี พระผูมพี ระภาคเจา ไดต รัสศีลทรงกระทาํ ใหย ิง่ ใหญท เี ดียวในพระสูตร หลายรอยสตู รอยา งน้ีมใิ ชหรือเหตไุ ฉน ในทนี่ ้จี ึงตรสั ศีลนนั้ วามีประมาณนอยเลา ? ตอบวา เพราะทรงเทียบเคยี งคุณช้ันสูง. ดว ยวา ศลี ยังไมถ ึงสมาธิสมาธิยังไมถ ึงปญ ญา ฉะนน้ั ทรงเทียบเคยี งคุณสูง ๆ ชนั้ ไป ศลี อยเู บ้อื งลา ง จงึ ชื่อวา ยังตาํ่ นัก. ศลี ยงั ไมถึงสมาธิ เปนอยา งไร ? คอื วา พระผมู พี ระภาคเจา ในปท่ี ๗ นบั แตตรสั รู ไดป ระทับน่งั บนรัตนบลั ลังกป ระมาณโยชนหนงึ่ ในรตั นมณฑปประมาณ ๑๒ โยชนณ ควงตน คณั ฑามพฤกษ ใกลป ระตูนครสาวตั ถี เม่ือเทพยดากางกน้ัทิพยเศวตฉตั รประมาณ ๓ โยชน ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย ยา่ํ ยเี ดยี รถียซ่งึ แสดงการทรงถือเอาเปน สว นพระองค ในบริษทั ประมาณ ๑๒ โยชนคอื ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย อันเปนไปโดยนยั มอี าทวิ า ทอไฟพวยพุงออกจากพระวรกายสว นบน สายนาํ้ ไหลออกจากพระวรกายสว นลา ง ฯลฯทอ ไฟพวยพงุ ออกจากชุมพระโลมาแตล ะขมุ ๆ สายน้ําไหลออกจากขุมพระโลมาแตละชุม มวี รรณะ ๖ ประการ ดงั นี้ . พระรัศมมี วี รรณะดุจ
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 168ทองคําพุงขึ้นจากพระสรีระอนั มวี รรณะดังทองคาํ ของพระผูมีพระภาคเจานนั้ ไปจนถึงภวัคพรหม เปน ประหน่งึ กาลเปนทป่ี ระดับหม่นื จกั รวาลทัง้สิน้ . รศั มีอยา งท่สี อง ๆ กับอยางแรก ๆ เหมอื นเปนคู ๆ พวยพงุ ออกราวกะวา ในขณะเดยี วกัน. อันช่อื วา จิตสองดวงจะเกดิ ในขณะเดยี วกันยอ มมไี มไ ด. แตพระผูม ีพระภาคเจา ทง้ั หลาย ทรงมีการพักภวังคจติเรว็ และทรงมีความชาํ นาญทีส่ ัง่ สมไวโดยอาการ ๕ อยา ง ดังนั้น พระรัศมีเหลานั้นจึงเปนไปราวกะวาในขณะเดียวกนั . แตพ ระรศั มีนั้น ๆ ยังมีอาวชั ชนะ บริกรรม และอธิษฐาน แยกกนั อยนู นั่ เอง คือ พระผมู ีพระภาคเจา มีพระพทุ ธประสงคร ัศมสี เี ขยี ว ก็ทรงเขา ฌานมีนลี กสิณเปนอารมณ มพี ระพุทธประสงคร ัศมสี เี หลือง กท็ รงเขาฌานมปี ตกสิณเปนอารมณ มีพระพทุ ธประสงครศั มสี แี ดงและสีขาว กท็ รงเขาฌานมโี ลหติ -กสณิ เปน อารมณ โอทาตสิณเปนอารมณ มีพระพทุ ธประสงคทอไฟ ก็ทรงเขาฌานมเี ตโชกสณิ เปนอารมณ มพี ระพทุ ธประสงคสายนา้ํ กท็ รงเขาฌานมีอาโปกสณิ เปน อารมณ. พระศาสดาเสดจ็ จงกรม พระพทุ ธนฤมิตก็ประทบั ยนื หรอื ประทบั น่ัง หรือบรรทม บัณฑติ พึงอธบิ ายใหพิสดารทกุ บท ดว ยประการฉะน.ี้ ในขอ น้ี กจิ แหง ศลี แมอยางเดยี วก็ไมม ี ทกุอยางเปน กจิ ของสมาธิท้ังนั้น ศลี ไมถึงสมาธิ เปน อยา งนี้. อน่ึงเลา ขอท่ีพระผมู ีพระภาคเจาทรงบาํ เพญ็ พระบารมีมาสอื่ สงไขยยงิ่ ดวยแสนกปั แลว เมือ่ กาลท่ีทรงมพี ระชนมายไุ ด ๒๙ พรรษา เสด็จออกจากทป่ี ระทบั อนั เปนท่อี ยอู าศัย อนั เปนสิริแหง พระเจา จักรพรรดิ ผนวชณ รมิ ฝงแมนาํ้ อโนมา ทรงบําเพ็ญเพยี รตลอด ๖ พรรษา ครน้ั ถงึ วนัวิสาขบรุ ณมี ดถิ เี พญ็ เดอื น ๖ เสวยมธปุ ายาสใสท พิ ยโอชา ซ่งึ นางสุชาดา
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 169บานอรุ เุ วลคามถวาย เวลาสายัณหสมยั เสดจ็ เขาไปยงั โพธมิ ัณฑสถานทางทศิ ทักษิณ และทศิ อดุ ร ทรงทาํ ปทักษิณพญาไมโพธิใบ ๓ รอบ แลวประทบั ยนื ณ เบ้ืองทิศอสี าน ทรงลาดสันถัตหญา ทรงขดั สมาธสิ ามชัน้ทรงทํากรรมชานมเี มตตาเปน อารมณอนั ประกอบดวยองค ๔ ใหเ ปน เบ้อื ง-ตน ทรงอธิษฐานความเพียร เสด็จข้ึนสูบัลลังกอันประเสริฐ ๑๔ ศอกผินพระปฤษฎางคสลู าํ ตนโพธิ์อันสูง ๕๐ ศอก ราวกะตนเงนิ ทีต่ ัง้ อยูบนตั่งทอง ณ เบ้อื งบนมกี ิง่ โพธ์กิ างกน้ั อยรู าวกะฉัตรแกว มณี มีหนอ โพธซิ์ ่งึคลา ยแกว ประพาฬหลนลงท่จี ีวรซง่ึ มสี ีเหมือนทอง ยามพระอาทติ ยใ กลจ ะอสั ดงคต ทรงกําจดั มารและพลมารไดแลว ทรงบรรลปุ ุพเพนวิ าสานุสสต-ิญาณ ในปฐมยาม ทรงชําระทิพยจกั ษุ ในมชั ฌิมยาม ครนั้ เวลาปจ จสุ -สมัยใกลรุง ทรงหย่ังพระปรีชาญาณลงในปจ จยาการท่ีพระสัพพัญูพทุ ธ-เจาทง้ั หลาย ทรงสงั่ สมกันมา ยังจตุตถฌานมีอานาปานสตเิ ปนอารมณใหบังเกดิ ทรงทาํ จตตุ ถฌานนั้นใหเปน บาท ทรงเจริญวปิ ส สนา ทรงยงักิเลสทัง้ ปวงใหส้นิ ไปดวยมรรคที่ ๔ ที่พระองคท รงบรรลแุ ลว ตามลาํ ดับแหงมรรค ทรงแทงตลอดพระพทุ ธคณุ ทง้ั ปวง. น้เี ปน กิจแหงปญญาของพระองค. สมาธิไมถึงปญ ญา เปนอยา งน.ี้ ในขอ น้นั น้าํ ในมือยังไมถึงนํ้าในถาด น้าํ ในถาดยังไมถ งึ นาํ้ ในหมอ นา้ํ ในหมอ ยงั ไมถงึ น้าํ ในไห นา้ํ ในไหยงั ไมถึงน้ําในตุม น้าํ ในตุมยังไมถงึ นา้ํ ในหมอใหญ นํา้ ในหมอ ใหญย ังไมถ งึ น้าํ ในบอ นํ้าในบอยงั ไมถึงนํา้ ในลาํ ธาร นา้ํ ในลาํ ธารยังไมถ ึงนํ้าในแมนํา้ นอ ย นํา้ ในแมนาํ้ นอ ยยังไมถึงนาํ้ ในปญ จมหานที น้าํ ในปญ จมหานทยี่ งั ไมถ งึ นํา้ ในมหาสมทุ ร-จักรวาล นาํ้ ในมหาสมทุ รจักรวาลยังไมถ งึ นา้ํ ในมหาสมุทรเชงิ เขาสิเนรุ
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 170นาํ้ ในมอื เทียบนาํ้ ในถาดกน็ ิดหนอ ย ฯลฯ นาํ้ ในมหาสมุทรจักรวาลเทียบน้าํ ในมหาสมุทรเชิงเขาสเิ นรุ กน็ ดิ หนอ ย ฉะน้นั นํา้ ในเบ้ืองตน ๆ ถึงมาก ก็เปน นํานิดหนอย โดยเทยี บกบั น้ําในเบอ้ื งตอ ๆ ไป ดว ยประการฉะน้ี ขอ นี้มีอุปมาฉันใด ศีลในเบ้อื งลางก็มีอปุ ไมยฉันนนั้ น่นั เทยี ว พึงทราบวา มีประมาณนอย ยงั ต่าํ นกั โดยเทียบกับคณุ ในเบื้องบน ๆ. ดว ยเหตนุ น้ั พระผูม ีพระภาคเจาตรัสวา ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ก็เม่อื ปถุ ุชนกลาวชมตถาคตจะพึงกลา วดวยประการใด น่ันมีประมาณนอยนกั ยังตาํ่นัก เปน เพียงศลี ดงั นี.้ อธบิ ายคําวา ปถุ ุชน ในคาํ วา เยน ปถุ ุชโน นี้ มคี าํ อธบิ าย ดังตอ ไปนี้ พระพุทธเจา ผูเ ปนเผาพันธพุ ระอาทิตย ตรสั วา ปุถุชนมี ๒ พวก คอื อนั ธปุถุชน ๑ กลั ยาณปถุ ุชน ๑ ดังน้ี . ในปถุ ุชน ๒ พวกน้นั บคุ คลผูไมมกี ารเรยี น การสอบสวน การฟงการทรงจํา และการพจิ ารณาในขนั ธ ธาตุ และอายตนะเปนตน น้ีช่อื วาอนั ธปุถชุ น บคุ คลผูมกี จิ เหลา นัน้ ชอ่ื วา กัลยาณปถุ ุชน. อน่ึง ปุถชุ นทัง้ ๒ พวกน้ี ชือ่ วา ปุถชุ น ดวยเหตทุ ั้งหลาย มกี ารยังกเิ ลสมากมาย ใหเกิดเปน ตน ชนน้เี ปนพวกหนง่ึ เพราะหย่ังลง ภายในของปถุ ชุ น ดงั นี้. จริงอยู ปถุ ชุ นนั้น ช่ือวา ปุถุชน ดว ยเหตุเปน ตนวา ยงั กเิ ลส
พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 171เปน ตน มีประการตา ง ๆ มากมายใหเ กิด. อยางทีพ่ ระธรรมเสนาบดีสารบี ตุ รเถระกลาวไววา ชอื่ วา ปถุ ุชน เพราะยงั กิเลสมากมายใหเ กดิ .เพราะยังกําจดั สกั กายทฏิ ฐิมากมายไมได. เพราะสว นมากคอยแตแ หงนมองหนาครูท้งั หลาย. เพราะสว นมากออกไปจากคติท้งั ปวงไมไ ด. เพราะสว นมากสรางบุญบาปตา ง ๆ. เพราะสว นมากถูกโอฆะตา ง ๆ พัดไป ถกูความเดอื นรอนใหเ ดอื นรอน ถกู ความเรารอนใหเ รา รอน กาํ หนดั ยนิ ดีรักใคร สยบ หมกมนุ ขอ ง ติด พัวพนั อยูในเบญจกามคณุ . เพราะถูกนิวรณ ๕ กางกั้น กําบัง เคลือบ ปกปด ครอบงาํ . เพราะหย่งั ลงภายในชนจํานวนมาก ซ่งึ นบั ไมถ ว น ลว นแตเ บอื นหนา หนีอรยิ ธรรม มีแตป ระพฤตธิ รรมทเี่ ลวทราม ดงั นก้ี ็ม.ี เพราะชนน้ีเปนพวกหน่ึง คือถงึการนับวา เปน ตา งหากทเี ดยี ว ไมเ ก่ยี วขอ งกับอริยชนทัง้ หลาย ผปู ระกอบดว ยคณุ มีศีลและสตุ ะเปนตน ดังน้กี ็ม.ี คาํ วา ตถาคต มีความหมาย ๘ อยา ง บทวา ตถาคตสสฺ ความวา พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวาตถาคต ดว ยเหตุ ๘ ประการ คือ ๑. เพราะเสดจ็ มาอยา งนน้ั ๒. เพราะเสด็จไปอยา งน้นั ๓. เพราะเสด็จมาสลู กั ษณะที่แท ๔. เพราะตรสั รธู รรมทแ่ี ทจ รงิ ตามทีเ่ ปนจรงิ ๕. เพราะทรงเห็นอารมณท่แี ทจ รงิ
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 172 ๖. เพราะมพี ระวาจาทแี่ ทจ ริง ๗. เพราะทรงกระทําเองและใหผ ูอ่นื กระทํา ๘. เพราะทรงครอบงาํ พระผูมพี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จมาอยา งนน้ั เปน อยา งไร ? เหมือนอยา งพระสมั มาสันพุทธเจาองคกอ น ๆ ทรงขวนขวายเพื่อประโยชนเกอื้ กลู แกโ ลกท้ังปวงเสด็จมาแลว เหมอื นอยา งพระผูมีพระภาคพระวปิ สสีเสดจ็ มา เหมือนอยา งพระผูมพี ระภาคพระสิขีเสดจ็ มา เหมอื นอยางพระผูม ีพระภาคพระเวสสภเู สด็จมา เหมือนอยางพระผูม พี ระภาคพระกกสุ ันธะเสดจ็ มา เหมอื นอยา งพระผมู พี ระภาคพระโกนาคมนเสดจ็มา เหมอื นอยางพระผูมีพระภาคพระกัสสปะเสด็จมา ขอน้มี อี ธบิ ายอยางไร ? มีอธบิ ายวา พระผูมพี ระภาคเจา เหลานน้ั เสดจ็ มาดว ยอภนิ หิ ารใด พระผมู พี ระภาคเจา แมข องเราท้ังหลาย ก็เสดจ็ มาดว ยอภินิหารน้นัเหมือนกัน. อีกอยา งหนง่ึ พระผูมีพระภาคพระวิปสสี ฯลฯ พระผูมีพระภาคพระกัสสปะ ทรงบาํ เพ็ญทานบารมี ทรงบาํ เพญ็ ศีลบารมี เนกขัมมบารมีปญ ญาบารมี วริ ิยบารมี ขันติบารมี สจั จบารมี อธษิ ฐานบารมีเมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ทรงบาํ เพญ็ บารมี ๓๐ ทศั เหลา นี้ คอืบารมี ๑๐ อปุ บารมี ๑๐ ปรมตั ถบารมี ๑๐ ทรงบรจิ าคมหาบรจิ าค๕ ประการ คอื บรจิ าคอวัยวะ บริจาคทรัพย บรจิ าคลูก บริจาคเมยีบรจิ าคชวี ิต ทรงบําเพ็ญบพุ ประโยค บุพจริยา การแสดงธรรม และญาตัตถจริยา เปน ตน ทรงถึงที่สุดแหง พุทธจริยา เสด็จมาแลวอยางใด
พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 173พระผมู พี ระภาคเจา แมของเราท้งั หลาย ก็เสดจ็ มาเหมอื นอยางน้ัน. อีกนัยหนึง่ พระผูม ีพระภาคพระวิปส สี ฯ ล ฯ พระผูม พี ระภาคพระกสั สปะ ทรงเจรญิ เพ่ิมพนู สตปิ ฏ ฐาน ๔ สมั มัปปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔อนิ ทรยี ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อริยมรรคมีองค ๘ เสดจ็ มาแลวอยา งใด พระผูม พี ระภาคเจา แมของเราท้งั หลาย กเ็ สดจ็ มาเหมือนอยา งน้นัพระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จมาอยางน้นัเปนอยา งนี.้ พระมุนีทง้ั หลายมพี ระวิปสสเี ปนตน เสด็จมาสูความ เปน พระสัพพัญใู นโลกนอ้ี ยางใด แมพระศากยมนุ ี นี้ กเ็ สดจ็ มาเหมือนอยางนนั้ ดว ยเหตนุ ้นั พระผมู ี จกั ษุจึงทรงพระนามวา ตถาคต ดังน้ี . พระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จมาอยา งนนั้ เปน อยางน.ี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จไปอยางนน้ั เปน อยางไร ? เหมอื นอยา งพระผมู ีพระภาคพระวปิ สสี ประสตู ใิ นบัดเดี๋ยวนน้ัก็เสดจ็ ไป ฯ ล ฯ เหมือนอยา งพระผมู ีพระภาคพระกสั สปะ ประสูติในบดั เดี๋ยวนน้ั ก็เสด็จไป ก็พระผมู ีพระภาคเจา นั้นเสดจ็ ไปอยางไร ? จรงิ อยูพระผมู พี ระภาคเจาน้นั ประสูตใิ นบดั เด๋ียวนั้นเอง ประทบั ยืนบนปฐพดี ว ยพระยุคลบาทอันเสมอกนั บา ยพระพักตรไ ปเบอื้ งทิศอุดร เสดจ็ ไปโดยยา งพระบาท ๗ กาว ดังพระบาลที ต่ี รัสไววา ดกู อ นอานนท พระโพธิสตั ว
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 174ประสูตบิ ัดเดยี๋ วนั้น ก็ประทับยืนดวยพระยุคลบาทอนั เสมอกนั บา ยพระพกั ตรไ ปเบอ้ื งทิศอดุ ร เสดจ็ ไปโดอยางพระบาท ๗ กาว เมือ่ ทาวมหา-พรหมก้นั พระเศวตฉตั ร ทรงเหลยี วดทู วั่ ทศิ ทรงเปลงอาสภิวาจาวาเราเปน ผเู ลิศในโลก เราเปน ผเู จริญที่สุดในโลก เราเปน ผูประเสริฐทส่ี ดุในโลก การเกิดครั้งน้เี ปน การเกิดคร้ังสดุ ทาย บดั นี้ ภพใหมไมม ีตอไปดังนี้ . และการเสด็จไปของพระผมู ีพระภาคเจา นั้น ก็ไดเ ปน อาการอันแท ไมแ ปรผนั ดว ยความเปนบพุ นมิ ติ แหงการบรรลุคณุ วิเศษหลายประการ คือ ขอท่ีพระองคป ระสตู ใิ นบดั เด๋ียวนัน้ เอง ก็ไดประทบั ยืนดว ยพระยุคลบาทอันเสมอกนั นเ้ี ปนบพุ นมิ ติ แหงการไดอ ิทธิบาท ๔ ของพระองค. อนึง่ ความทพี่ ระองคบ า ยพระพกั ตรไปเบอื้ งทิศอุดร เปนบพุ นมิ ิตแหง ความเปน โลกตุ ตรธรรมท้งั ปวง. การยา งพระบาท ๗ กาวเปนบพุ นิมิตแหง การไดรตั นะ คอื โพชฌงค ๗ ประการ. อนงึ่ การยกพัดจามรข้ึนทีก่ ลา วไวในคาํ น้วี า พัดจามรทง้ั หลาย มดี า มทองกโ็ บกสะบัดน้ีเปน บพุ นมิ ิตแหงการย่าํ ยีเดียรถยี ท ้งั ปวง. อนึง่ การกนั้ พระเศวตฉตั รเปนบพุ นมิ ติ แหง การไดเ ศวตฉัตร อันบริสทุ ธ์ิ ประเสรฐิ คือ พระอรหตั ตวมิ ตุ ติธรรม. การประทับยืนบนกาวที่ ๗ ทอดพระเนตรเหลียวดูทัว่ ทิศ เปนบุพนิมิตแหง การไดพ ระอนาวรญาณ คอื ความเปนพระสพั พญั ู. การเปลงอาสภวิ าจา เปนบุพนมิ ิตแหงการประกาศพระธรรม-จักรอันประเสรฐิ อนั ใคร ๆ เปลย่ี นแปลงไมได. แมพ ระผมู ีพระภาคเจาพระองคน ้ี ก็เสด็จไปเหมอื นอยางน้นั และการเสด็จไปของพระองคนั้นก็ไดเปนอาการอันแท ไมแ ปรผัน ดว ยความเปน บพุ นิมติ แหงการบรรลุคณุ วิเศษเหลา น้นั แล ดว ยเหตนุ ้ันพระโบราณาจารยท ้ังหลายจงึ กลาววา
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 175 พระควมั บดโี คดมน้ันประสตู ิแลวในบดั เดยี๋ วนน้ั ก็ ทรงสัมผสั พ้นื ดนิ ดวยพระยุคลบาทสมํ่าเสมอ เสดจ็ ยางพระบาทไปได ๗ กา ว และฝงู เทพยดาเจาก็กาง ก้นั เศวตฉตั ร พระโคดมนัน้ ครนั้ เสด็จไปได ๗ กาว ก็ทอดพระเนตรไปรอบทิศเสมอกนั ทรงเปลงพระสุร- เสยี งประกอบดวยองค ๘ ประการ ปานดังราชสีห ยนื อยบู นยอดบรรพตฉะน้นั ดังน.ี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต แมเพราะเสดจ็ ไปอยา งนนั้ เปน อยา งนี.้ อีกนัยหน่งึ เหมอื นอยางพระผมู ีพระภาคพระวปี สสเี สด็จไปแลวฯลฯ พระผมู พี ระภาคพระกสั สปะเสด็จไปแลวฉนั ใด แมพ ระผมู พี ระภาคเจาพระองคน ี้ กเ็ หมือนฉันน้นั ทเี ดยี ว ทรงละกามฉนั ทะดว ยเนกขัมมะเสด็จไปแลว ทรงละพยาบาทดวยความไมพ ยาบาท ทรงละถีนมทิ ธะดว ยอาโลกสญั ญา ทรงละอุทธัจจกกุ กจุ จะดวยความไมฟ ุงซาน ทรงละวจิ กิ จิ ฉาดวยการกําหนดธรรม เสดจ็ ไปแลว ทรงทําลายอวชิ ชาดว ยพระปรชี าญาณทรงบรรเทาอรตดิ ว ยความปราโมทย ทรงเปดบานประตคู ือนิวรณด วยปฐมฌาน ทรงยงั วิตกและวจิ ารณใ หสงบดว ยทุติยฌาน ทรงหนา ยปตดิ วยตติยฌาน ทรงละสุขและทกุ ขด วยจตตุ ถฌาน ทรงกา วลว งรปู สัญญาปฏิฆสัญญา และนานตั ตสญั ญาดว ยอากาสานัญจายตนสมาบตั ิ ทรงกาวลว งอากาสานัญจายตนสญั ญาดวยวญิ ญาณญั จายตนสมาบัติ ทรงกา วลวง
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 176วญิ ญาณญั จายตนสัญญาดว ยอากิญจญั ญายตนสมาบตั ิ ทรงกา วลวงอากญิ -จัญญายตนสัญญาดวยเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ เสดจ็ ไปแลว ทรงละอนิจจสญั ญาดวยอนิจจานุปสสนา ทรงละสขุ สัญญาดว ยทุกขานปุ สสนาทรงละอตั ตสัญญาดว ยอนัตตานปุ สสนา ทรงละความเพลิดเพลนิ ดว ยนิพพิทานุปสสนา ทรงละความกําหนัดดวยวิราคานปุ ส สนา. ทรงละสมุทัยดว ยนิโรธานุปส สนา ทรงละความยึดม่ันดวยปฏนิ สิ สัคคานปุ สสนา ทรงละฆนสญั ญาดว ยขยานปุ ส สนา ทรงละความเพิ่มพูนดว ยวยานปุ สสนา ทรงละความย่ังยืนดว ยวปิ ริณามานุปส สนา ทรงละอนมิ ิตตสัญญาดวยอนมิ ติ ตา-นปุ ส สนา ทรงละการตั้งมัน่ แหงกิเลสดว ยอัปปณิหติ านปุ สสนา ทรงละการยดึ มน่ั ดวยสุญญตานุปสสนา ทรงละความยดึ ม่ันดวยการยดึ ถอื วา เปน สาระดวยอธิปญ ญาธรรมวปิ สสนา ทรงละความยดึ มั่นโดยความลมุ หลงดวยยถา-ภตู ญาณทัสสนะ ทรงละความยดึ มั่นในธรรมเปน ทอี่ าลัยดวยอาทนี วาน-ุปสสนา ทรงละการไมพ จิ ารณาสงั ขารดวยปฏิสังขานุปสสนา ทรงละความยึดมน่ั ในการประกอบกเิ ลสดว ยววิ ฏั ฏานุปส สนา ทรงหักกิเลสอันต้งั อยูรวมกับทิฏฐิดว ยโสดาปต ตมิ รรค ทรงละกเิ ลสหยาบดวยสกทาคามมิ รรค ทรงเพกิ กิเลสอยางละเอยี ดดว ยอนาคามิมรรค ทรงตัดกเิ ลสทัง้ หมดไดด ว ยอรหตั ตมรรค เสดจ็ ไปแลว . พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคตเพราะเสดจ็ ไปอยา งนัน้ เปน อยา งนี.้ พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ มาสูลักษณะท่ีแท เปนอยา งไร ? ปฐวีธาตมุ ลี ักษณะแขนแขง็ เปน ลักษณะแทไมแ ปรผนั อาโปธาตุมลี ักษณะไหลไป เตโชธาตุมลี ักษณะรอ น วาโยธาตุมลี ักษณะเคลื่อนไป
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 177มา อากาศธาตุมีลกั ษณะสมั ผัสไมไ ด วิญญาณธาตุมีลกั ษณะรูอารมณรปู มีลักษณะสลาย เวทนามลี กั ษณะเสวยอารมณ สัญญามีลกั ษณะจาํ อารมณสงั ขารมีลกั ษณะปรุงแตงอารมณ วญิ ญาณมีลกั ษณะรูอารมณ วติ กมีลกั ษณะยกจิตขน้ึ สูอารมณ วิจารมลี ักษณะตามเคลาอารมณ ปติมีลักษณะแผไ ป สขุ มลี ักษณะสาํ ราญ เอกัคคตาจติ มลี กั ษณะไมฟ ุงซาน ผัสสะมีลักษณะถูกตอ งอารมณ สทั ธินทรยี ม ีลกั ษณะนอมใจเช่ือ วิรยิ นิ ทรียมีลักษณะประคอง สตินทรียม ีลักษณะบํารงุ สมาธนิ ทรียม ลี กั ษณะไมฟุง ซาน ปญญนิ ทรยี มีลกั ษณะรโู ดยประการ สัทธาพละมีลักษณะอนั ใครๆใหห วั่นไหวไมไดใ นความไมเชอื่ วิรยิ พละมีลักษณะอันใคร ๆ ใหห ว่ันไหวไมไดใ นความเกยี จคราน สตพิ ละมีลักษณะอนั ใคร ๆ ใหหวนั่ ไหวไมไ ดในความมีสตฟิ นเฟอ น สมาธพิ ละมีลกั ษณะอันใคร ๆ ใหห วัน่ ไหวไมไ ดในความฟุงซาน ปญ ญาพละมีลกั ษณะอันใคร ๆ ใหห วน่ั ไหวไมไ ดใ นอวิชชา สตสิ ัมโพชฌงคม ลี กั ษณะบํารุง ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงคม ีลักษณะคน ควา วริ ิยสมั โพชฌงคม ีลักษณะประคอง ปต ิสัมโพชฌงคม ีลกั ษณะแผไป ปสสัทธสิ ัมโพชฌงคม ีลักษณะเขาไปสงบ สมาธิสัมโพชฌงคมีลักษณะไมฟ งุ ซาน อุเบกขาสัมโพชฌงคม ลี ักษณะพจิ ารณา สมั มาทฏิ ฐมิ ีลักษณะเห็น สมั มาสงั กัปปะมลี ักษณะยกจิตข้ึนสูอารมณ สมั มาวาจามีลักษณะกําหนดถอื เอา สมั มากันมนั ตะมลี ักษณะเปน สมุฏฐาน สมั มาอาชวี ะมีลกั ษณะผอ งแผว สมั มาวายามะมีลักษณะประคอง สัมมาสติมลี ักษณะบํารงุ สมั มาสมาธิมีลักษณะไมฟ งุ ซา น อวิชชามีลักษณะไมร ู สังขารมีลกั ษณะคิดอาน วญิ ญาณมีลกั ษณะรอู ารมณ นามมีลักษณะนอมไป รูปมีลกั ษณะสลาย สฬายตนะมีลักษณะเปน ทมี่ าตอ ผสั สะมีลกั ษณะถูกตอ ง
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 178อารมณ เวทนามลี ักษณะเสวยอารมณ ตณั หามีลักษณะเปน เหตุ อุปาทานมลี กั ษณะยึดมั่น ภพมลี ักษณะเพิ่มพนู ชาติมลี กั ษณะบงั เกิด ชรามีลักษณะทรุดโทรม มรณะมีลกั ษณะจตุ ิ ธาตุมีลักษณะเปน ความวางเปลาอายตนะมลี ักษณะเปน ทมี่ าตอ สตปิ ฏ ฐานมีลกั ษณะบาํ รงุ สัมมัปปธานมีลกั ษณะเร่มิ ต้ัง อทิ ธบิ าทมลี กั ษณะสําเร็จ อินทรยี มีลักษณะเปนใหญย ่ิงพละมลี ักษณะอนั ใคร ๆ ใหห วัน่ ไหวไมได โพชฌงคมลี ักษณะนําออกจากทุกข มรรคมลี กั ษณะเปนเหตุ สจั จะมลี กั ษณะแท สมถะมลี กั ษณะไมฟงุ ซาน วิปสสนามลี ักษณะตามพิจารณาเหน็ สมถะและวิปส สนามีลกั ษณะมกี ิจเปน หนึ่ง ธรรมท่ีขนานคูก ันมลี กั ษณะไมก ลบั กลาย ศลี วิสุทธิมลี กั ษณะสํารวม จิตตวสิ ทุ ธิมลี กั ษณะไมฟ งุ ซา น ทฏิ ฐิวสิ ุทธมิ ีลกั ษณะเหน็ ขยญาณมีลกั ษณะตดั ไดเ ด็ดขาด อนปุ ปาทญาณมีลักษณะระงับฉันทะมีลักษณะเปนมูล มนสกิ ารมีลกั ษณะเปนสมุฏฐาน ผัสสะมลี กั ษณะเปนทป่ี ระชมุ เวทนามีลกั ษณะเปนสโมสร สมาธมิ ลี ักษณะเปนประมุขสตมิ ลี กั ษณะเปนอธปิ ไตย ปญ ญามลี กั ษณะยอดเยยี่ มกวานน้ั วิมตุ มิ ลี กั ษณะเปน สาระ พระนิพพานอนั หยังลงสอู มตะมลี กั ษณะเปนปริโยสาน ซง่ึ แตละอยางเปน ลักษณะท่แี ทไมแปรผนั . พระผูมีพระภาคเจา เสดจ็ มาสลู ักษณะท่แี ทดวยพระญาณคติ คือ ทรงบรรลุ ทรงบรรลุโดยลําดับไมผ ดิ พลาดอยา งนี้ เหตุน้นั จงึ ทรงพระนามวา ตถาคต. พระผูม พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสด็จมาสลู กั ษณะท่แี ท เปนอยา งน้ี. พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รูธ รรมที่แทจ ริง ตามท่ีเปน จรงิ เปนอยา งไร ? อรยิ สัจ ๔ ชอ่ื วา ธรรมทแ่ี ทจ รงิ อยางทต่ี รสั วา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย
พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 179อริยสัจ ๔ เหลาน้ี เปน ธรรมที่แท ไมแปรผนั ไมก ลายเปนอยา งอนื่อริยสัจ ๔ อะไรบาง ? ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ขอนี้วา นท้ี กุ ข ดงั น้ีเปนธรรมทีแ่ ทไมแปรผนั ไมก ลายเปน อยา งอ่ืน ดังนี้ . พึงทราบความพิสดารตอ ไป. ก็พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสรูอริยสัจ ๔ เหลานน้ั เหตนุ นั้จึงไดรบั พระนามวา ตถาคต เพราะตรัสรูธรรมทีแ่ ท. ก็คตศพั ท ในท่นี ้ี มเี น้อื ความวา ตรสั ร.ู อกี อยางหนึ่ง ชราและมรณะ อันเกิดแตช าติเปนปจจัย มีเนื้อความวา ปรากฏ เปน เนื้อความทีแ่ ท ไมแปรผัน ไมก ลายเปน อยา งอ่นื ๆลฯ สังขารอนั เกิดแตอวชิ ชาเปน ปจจัย มเี นอ้ื ความวา ปรากฏเปนเนื้อความที่แท ไมแ ปรผนั ไมกลายเปน อยางอนื่ ฯลฯ อวิชชามเี นอ้ื ความวา เปนปจ จัยแกส งั ขาร สงั ขารมเี น้ือความวา เปนปจ จัยแกวิญญาณ ฯ ล ฯชาติมีเนื้อความวา เปนปจ จัยแกชราและมรณะ เปนเนอ้ื ความที่แท ไมแปรผนั ไมก ลายเปน อยางอื่น. พระผูมีพระภาคเจาตรสั รูธ รรมท่ีแทน ั้นทั้งหมด แมเพราะเหตุนั้น จงึ ไดรบั พระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รูธรรมทแี่ ท. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รูธรรมทแ่ี ทจ รงิ ตามท่ีเปน จรงิ เปน อยางน้ีแล. พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงเห็นอารมณทแ่ี ทจริง เปนอยางไร ? พระผมู ีพระภาคเจาทรงรทู รงเหน็ โดยประการทงั้ ปวง ซง่ึ อารมณอันช่ือวา รูปารมณ ที่มาปรากฏทางจกั ษทุ วารของหมูส ัตวพรอมทั้งเทวดาและมนษุ ยใ นโลกพรอมท้งั เทวดา คอื ของสัตวท งั้ หลายอันหาประมาณมิได และอารมณน้ันอนั พระองคผทู รงรทู รงเหน็ อยูอยางนี้ ทรงจําแนก
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 180ดวยสามารถอฏิ ฐารมณ และอนิฏฐารมณเ ปน ตน หรอื ดว ยสามารถบทที่ไดใ นอารมณท่ีไดเ ห็น ทไี่ ดย นิ ทไ่ี ดทราบ และท่ีไดร ู ๑๓ วาระบาง๕๒ นยั บา ง มีชือ่ มากมายโดยนัยเปนตน วา รูป คือ รูปายตนะเปนไฉน ? คือ รปู ใด อาศยั มหาภตู รปู ๔ เปนแสงสี เปนรูปท่ีเห็นไดเปนรูปทก่ี ระทบได เปน รูปสีเขียว เปน รูปสเี หลือง ดงั นี้ ยอมเปนอารมณที่แทจรงิ อยา งเดียว ไมม ีแปรผนั . แมใ นอารมณม เี สียงเปน ตนท่ีมาปรากฏแมใ นโสตทวารเปน ตน ก็นยั นี.้ ขอ นสี้ มดวยพระบาลี ท่ีพระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวว า ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย อารมณใดท่ีโลกพรอ มทงั้ เทวดา พรอ มทง้ั มาร พรอ มท้ังพรหม พรอมทงั้ สมณพราหมณ พรอมทงั้ เทวดาและมนุษยไดเ หน็ ไดย นิ ไดท ราบ ไดร ู ถึงแลว แสวงหาแลว คน ควาแลว ดว ยใจ เรายอ มรซู ่ึงอารมณน ัน้ รยู งิ่ แลว ซ่งึอารมณนั้น อารมณน ั้น ตถาคต ทราบแลว ไมป รากฏแลว ในตถาคต ดงั น้ี .พระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงเห็นอารมณท ่ีแทจ ริง เปน อยางน้.ี พงึ ทราบความสําเรจ็ บทวา ตถาคต มีเน้อื ความวาทรงเห็นอารมณท แี่ ทจ รงิ . พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะมวี าจาทีแ่ ทจริง เปนอยา งไร ? ตลอดราตรใี ดทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจาประทับนัง่ บนอปราชิตบัลลงั กณ โพธมิ ณฑสถาน ทรงลา งสมองมารทั้ง ๓ แลว ตรัสรูพระอนตุ ตร-สัมมาสมั โพธิญาณ และตลอดราตรใี ดทพ่ี ระองคเ สดจ็ ปรนิ พิ พานดว ยอน-ุปาทิเสสนพิ พานธาตุ ในระหวา งไมสาละทั้งคู ในระหวา งน้ี คอื ในกาลประมาณ ๔๕ พรรษา พระวาจาใดท่พี ระผูมพี ระภาคเจาตรัสไวท ้ัง
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 181ในปฐมโพธกิ าล ทงั้ ในมชั ฌมิ โพธกิ าล ทง้ั ในปจฉิมโพธกิ าล คือสุตตะเคยยะ ฯล ฯ เวทัลละ พระวาจาน้ันท้ังหมด อันใคร ๆ ตเิ ตยี นไมไดไมข าด ไมเกิน โดยอรรถะและโดยพยญั ชนะ บรบิ ูรณโ ดยอาการทง้ั ปวงบรรเทาความเมา คอื ราคะ โทสะ โมหะ ในพระวาจาน้นั ไมมีความพลั้งพลาดแมเ พียงปลายขนทราย พระวาจานั้นทง้ั หมด ยอมแทจริงอยา งเดยี ว ไมแ ปรผัน ไมกลายเปน อยางอื่น ดุจประทบั ไวดวยตราอนั เดยี วกันดจุ ดวงไวดวยทะนานใบเดียวกนั และดจุ ช่งั ไวด ว ยตาช่ังอนั เดียวกนั ดว ยเหตุน้นั จึงตรัสวา ดกู อนจนุ ทะ ตลอดราตรีใดท่ีตถาคตตรัสรอู นตุ ตร-สมั มาสัมโพธญิ าณ และตลอดราตรใี ด ที่ปรนิ พิ พานดวยอนปุ าทิเสส-นพิ พานธาตุ ในระหวางน้ี คําใดที่ตถาคตกลา ว พดู แสดง คาํ น้ันทั้งหมด ยอ มเปนคาํ แทจรงิ อยา งเดยี ว ไมเ ปน อยางอ่นื เหตนุ น้ั จงึ ไดนามวา ตถาคต ดงั นี.้ กใ็ นทน่ี ้ศี ัพท คต มเี น้อื ความเทา คท แปลวาคําพูด. พระผูมีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะมีพระวาจาทีแ่ ทจ ริง เปนอยา งน้.ี อน่ึง มอี ธบิ ายวา อาคทน เปน อาคโท แปลวา คําพดู มีวิเคราะหว า ตโถ อวิปริโต อาคโท อสฺสาติ ตถาคโต แปลวาชือ่ วา ตถาคต เพราะมพี ระวาจาแทจ ริง ไมว ิปริต โดยแปลง ท เปน ตในอรรถนี้ พงึ ทราบความสาํ เร็จบทอยา งน้เี ทียว. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงกระทาํเองและใหผูอน่ื กระทาํ เปน อยา งไร ? จรงิ อยู พระผูมพี ระภาคเจาทรงมีพระวรกายตรงกบั พระวาจา ทรงมพี ระวาจาตรงกับพระวรกาย ฉะนัน้ ทรงมีพระวาจาอยา งใด ก็ทรง
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 182กระทาํ อยา งน้ัน และทรงกระทาํ อยา งใด ก็ทรงมีพระวาจาอยา งนัน้อธบิ ายวา ก็พระองคผ ูเปนอยางน้ี มพี ระวาจาอยางใด แมพระวรกายก็ทรงเปนไป คือ ทรงประพฤติอยางนน้ั และพระวรกายอยา งใด แมพระวาจาก็ทรงเปน ไป คอื ทรงประพฤตอิ ยา งนน้ั ดว ยเหตนุ นั้ แล จึงตรัสวา ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย ตถาคตพดู อยา งใด กระทาํ อยา งนน้ักระทําอยา งใด พูดอยา งน้นั ดวยเหตุน้ี จึงชือ่ วา ยถาวาที ตถาการียถาการี ตถาวาที เหตุนน้ั จึงไดพ ระนามวา ตถาคต ดังน้ี. พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงกระทําเองและใหผอู ื่นกระทํา เปน อยางนี้. พระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงครอบงําเปน อยางไร ? พระผมู พี ระภาคเจา ทรงครอบงาํ สรรพสตั ว เบ้อื งบนถึงภวคั คพรหมเบ้อื งลางถงึ อเวจเี ปน ที่สดุ เบื้องขวาในโลกธาตอุ นั หาประมาณมไิ ด ดวยศลี บาง ดว ยสมาธิบา ง ดวยปญ ญาบาง ดวยวมิ ตุ ตบิ า ง ดว ยวิมุตติญาณ-ทัสสนะบา ง การจะชั่งหรือประมาณพระองคหามไี ม พระองคเปนผไู มม ีใครเทยี บเคยี งได อนั ใคร ๆ ประมาณไมไ ด เปนผยู อดเยีย่ ม เปน พระราชาที่พระราชาทรงบชู า คอื เปน เทพของเทพ เปนสักกะยง่ิ กวาสักกะท้งั หลาย เปน พรหมยง่ิ กวา พรหมท้งั หลาย ดว ยเหตุน้นั จึงตรัสวาดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ในโลกพรอ มทั้งเทวดา พรอ มทงั้ มาร พรอ มท้งั พรหมในหมูสตั ว พรอมทงั้ สมณะและพราหมณ พรอมทัง้ เทวดาและมนษุ ยตถาคตเปน ผูย ่งิ ใหญ อนั ใคร ๆ ครอบงาํ ไมได เปน ผูเหน็ ถอ งแท เปนผูทรงอํานาจ เหตนุ ัน้ จึงไดร ับพระนามวา ตถาคต ดงั นี้ .
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 183 ในขอนัน้ พงึ ทราบความสาํ เร็จบทอยางน้ี อคโท แปลวา โอสถกเ็ หมอื น อาคโท ทแ่ี ปลวา วาจา. ก็โอสถน้ีคืออะไร ? คอื เทศนา-วลิ าส และบญุ พเิ ศษ. ดวยวา พระผูม พี ระภาคเจานี้ทรงครอบงาํ ผูมวี าทะตรงกนั ขา มท้ังหมดและโลกพรอ มท้งั เทวดา เหมือนนายแพทยผูมีอานภุ าพมาก ครอบงาํ งทู ง้ั หลายดวยทิพยโอสถฉะนนั้ . พระผมู ีพระภาคเจาบัณฑิตพงึ ทราบวา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเหตวุ า ทรงมีพระโอสถ คอื เทศนาวลิ าส และบญุ พิเศษ อนั แท ไมว ปิ รติ ดวยการครอบงําโลกทัง้ ปวง ดังนี้ เพราะแปลง ท เปน ต พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะอรรถวา ทรงครอบงาํ เปนอยา งน้.ี อีกอยางหน่ึง พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเสดจ็ ไปดว ยกริ ิยาท่ีแท ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงถึงกิรยิ าที่แทดงั นีก้ ม็ .ี บทวา คโต มีเนือ้ ความวา หยั่งรู เปนไปลว ง บรรลุ ปฏบิ ัต.ิในเนื้อความ ๘ อยา งน้ัน พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคตเพราะทรงหยง่ั รูโลกทง้ั ส้ินดวยตีรณปรญิ ญา ชื่อวา ดวยกิริยาทแ่ี ท. เพราะทรงเปนไปลวงซึง่ โลกสมทุ ัย ดว ยปหานปรญิ ญา ช่อื วา ดว ยกิริยาทแ่ี ท.เพราะทรงบรรลโุ ลกนโิ รธดว ยสัจฉกิ ิรยิ า ช่ือวา ดวยกิรยิ าทแี่ ท. เพราะทรงปฏิบตั ปิ ฏิปทาอนั ใหถ งึ โลกนโิ รธ ชือ่ วา กิรยิ าทีแ่ ท. ดว ยเหตนุ น้ั คําใดท่พี ระผูมีพระภาคเจา ตรสั วา ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย โลกตถาคตตรัสรแู ลวตถาคตพรากแลว จากโลก โลกสมุทัย ตถาคตตรสั รูแลว โลกสมทุ ัยตถาคตละไดแลว โลกนโิ รธตถาคตตรัสรแู ลว โลกนิโรธตถาคตทาํ ใหแ จง แลวปฏิปทาอนั ใหถ ึงโลกนิโรธตถาคตตรัสรูแ ลว ปฏิปทาอันใหถ งึ โลกนิโรธ
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 184ตถาคตเจริญแลว ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย ธรรมชาติใดของโลกพรอมทั้งเทวดา ฯ ล ฯ ธรรมชาตนิ น้ั ทัง้ หมดตถาคตตรัสรูแลว เหตุนน้ั จึงไดพระนามวา ตถาคต ดงั นี้ พึงทราบเนอ้ื ความแหง คาํ นั้นแมอยางนี้. อนึง่แมข อ น้ีกเ็ ปนเพยี งมุขในการแสดงภาวะที่พระตถาคตมพี ระนามวา ตถาคตเทานัน้ . ที่จรงิ พระตถาคตเทา นั้น จะพงึ พรรณนาภาวะท่ีพระตถาคตมีพระนามวา ตถาคต โดยอาการท้ังปวงได.อธบิ ายคํา ปุจฉาคําวา กตมเฺ จต ภิกฺขเว เปน ตน ความวา พระผูม ีพระภาคเจาตรัสถามขอ ทีป่ ุถชุ นเมอื่ กลาวชมตถาคต จะพึงกลา วดวยประการใดซ่งึ มปี ระมาณนอ ยนกั ยงั ตาํ่ นัก เปนเพียงศีล นัน้ วาเปนไฉน ?ชอื่ วาคาํ ถามในพระบาลีนัน้ มี ๕ อยา ง คอื๑. อทิฏฐโชตนาปจุ ฉา คําถามเพือ่ สอ งลักษณะทยี่ ังไมเ ห็นให กระจาง๒. ทิฏฐสงั สันทนาปจุ ฉา คําถามเทียบเคียงลักษณะท่ีเหน็ แลว๓. วมิ ตเิ ฉทนาปจุ ฉา คําถามเพ่ือตัดความสงสยั๔. อนุมติปุจฉา คําถามเพื่อการรบั รอง๕. กเถตุกัมยตาปจุ ฉา คาํ ถามเพอื่ ประสงคจะตอบเองในบรรดาคาํ ถามเหลา นนั้ อทิฏฐโชตนาปจุ ฉา เปนไฉน ? ตามปกตลิ กั ษณะท่ียงั ไมรู ยังไมเ ห็น ยงั ไมไ ดพ ิจารณา ยังไมไดไตรต รองยังไมแจม แจง ยังไมไ ดอธบิ าย บคุ คลยอมถามปญ หา เพอ่ื รู เพอื่ เหน็เพือ่ พิจารณา เพ่ือไตรตรอง เพื่ออธบิ ายลักษณะน้นั น้ีชื่อวา อทฏิ ฐ-
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 185โชตนาปจุ ฉา. ทิฏฐสังสนั ทนาปุจฉา เปนไฉน ? ตามปกติลักษณะทรี่ ูแลวเหน็ แลว พจิ ารณาแลว ไตรต รองแลว แจมแจง แลว อธิบายแลวบุคคลยอ มถามปญ หาเพื่อตอ งการจะเทยี บเคียงลักษณะน้นั กบั บัณฑติ เหลาอ่ืน นช้ี อ่ื วา ทฏิ ฐสงั สนั ทนาปจุ ฉา. วมิ ติเฉทนาปุจฉา เปนไฉน ? ตามปกตบิ ุคคลเปน ผูมกั สงสยั มักระแวง เกิดความแคลงใจวา อยางนีห้ นอ ? ไมใชหนอ ? อะไรหนอ ?อยา งไรหนอ ? บุคคลนนั้ ยอมถามปญหาเพ่อื ตองการตดั ความสงสัย นี้ช่ือวา วิมตเิ ฉทนาปจุ ฉา. อนมุ ตปิ ุจฉา เปน ไฉน ? พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ถามปญ หาเพอ่ืการรับรองของภิกษุทง้ั หลายวา ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย เธอท้งั หลายจะสาํ คญัความขอน้นั เปนไฉน ? รูปเทีย่ งหรือไมเ ทีย่ ง ไมเ ท่ยี งพระเจาขา ก็รปูทไ่ี มเ ท่ียงนนั้ เปนทุกขห รอื เปนสขุ เปนทกุ ขพระเจา ขา พึงกลาวคําทงั้ หมด น้ีชอ่ื วา อนุมติปจุ ฉา. กเถตกุ ัมยตาปุจฉา เปน ไฉน ? พระผมู พี ระภาคเจาตรัสถามปญหาดว ยมพี ทุ ธประสงคจะทรงตอบแกภ กิ ษทุ ้งั หลายวา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ปติปฏฐาน ๔ เหลาน้ี สตปิ ฏ ฐาน ๔ อะไรบา ง ? ฯลฯดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย องคแ หง มรรค ๘ เหลาน้ี องคแหงมรรค ๘ อะไรบาง ? นี้ชื่อวา กเถตกุ มั ยตาปจุ ฉา. ในบรรดาปจุ ฉา ๕ ประการดังพรรณนามาน้ี เบือ้ งตน อทิฏฐ-โชตนาปุจฉา ยอมไมม ีแกพระตถาคต เพราะธรรมอะไร ๆ ที่พระองคไมทรงเหน็ ไมมี แมทิฏฐสงั สันทนาปุจฉา กไ็ มมี เพราะไมเ กิดการประมวล
พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 186พระดาํ รวิ า ลักษณะชือ่ นี้ เราจกั แสดงเทยี บเคียงกบั สมณพราหมณผ เู ปนบัณฑิตเหลา อน่ื ดงั นี้เลย. อนึ่ง เพราะเหตทุ ่พี ระพุทธเจา ทั้งหลายไมท รงมคี วามลังเลความสับสน แมใ นธรรมสกั ขอเดยี ว พระองคทรงตดั ความสงสยั ทงั้ ปวงได ณ โพธิมัณฑสถานนนั่ แล ฉะนั้น แมว มิ ตุ เิ ฉทนาปุจฉากไ็ มม แี นน อน. แตปจุ ฉา ๒ ประการนอกจากท่ีกลา วมาแลว ยอมมีแกพระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย. ในปุจฉา ๒ ประการนน้ั น้ชี ่อื วา กเถตกุ มั ยตาปุจฉา. วรรณนาจลุ ศีล บดั นี้ พระผมู พี ระภาคเจามีพระพุทธประสงคจะทรงแกเนื้อความท่ีไดต รัสถามดว ยกเถตุกัมยตาปจุ ฉานน้ั จงึ ตรสั พระบาลีอาทวิ า ปาณา-ติปาต ปหาย ดังน้.ี ในคําวา ละปาณาตบิ าต. ปาณาติบาต แปลวาทาํ สัตวม ีชวี ิตใหตกลวงไป อธบิ ายวา ฆาสัตว ปลงชีพสัตว. กใ็ นคาํ วา ปาณะ น้ี โดยโวหาร ไดแ กสัตว โดยปรมัตถ ไดแกช ีวติ ินทรยี . อนึง่ เจตนาฆา อนัเปน เหตยุ งั ความพยายามตัดรอนชีวิตนิ ทรยี ใหต ้งั ขึ้น เปน ไปทางกายทวารและวจที วาร ทางใดทางหนึ่ง ของผูมีความสําคัญในชีวิตนัน้ วา เปน สัตวมชี ีวิต ช่ือวาปาณาตบิ าต. ปาณาติบาตนั้น ชอ่ื วา มโี ทษนอย ในสัตวเ ล็กบรรดาสัตวท ่ีเวน จากคุณมสี ตั วเดรัจฉานเปน ตน ชอื่ วามโี ทษมาก ในเพราะสัตวมีรา งกายใหญ. เพราะเหตไุ ร ? เพราะตองขวนขวายมาก. แมเม่อืมีความพยายามเสมอกนั ก็มโี ทษมาก เพราะมีวัตถุใหญ. ในบรรดาสัตวท ี่มีคุณมมี นษุ ยเ ปน ตน สตั วม คี ณุ นอยมีโทษนอย สตั วม คี ณุ มากมโี ทษมาก.
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 187แมเมือ่ มีสรีระและคณุ เทากัน ก็พงึ ทราบวา มโี ทษนอ ย เพราะกเิ ลสและความพยายามออ น มีโทษมาก เพราะกเิ ลสและความพยายามแรงกลา . ปาณาตบิ าตนนั้ มีองค ๕ คอื ๑. ปาโณ สตั วมชี ีวิต ๒. ปาณสฺติ า ตนรวู าสตั วม ีชวี ติ ๓. วธกจิตตฺ จติ คิดจะฆา ๔. อปุ กกฺ โม มีความพยายาม ( ลงมอื ทาํ ) ๕. เตน มรณ สตั วต ายดวยความพยายามน้นั . ปาณาตบิ าตนัน้ มีประโยค ๖ คือ ๑. สาหตั ถกิ ประโยค ประโยคท่ฆี า ดวยมือตนเอง ๒. อาณตั ติกประโยค ประโยคทีส่ ง่ั ใหค นอ่ืนฆา ๓. นสิ สคั คิยประโยค ประโยคท่ฆี า ดวยอาวุธที่ชดั ไป ๔. ถาวรประโยค ประโยคท่ีฆาดวยอปุ กรณท ่ีอยกู บั ที่ ๕. วิชชามยประโยค ประโยคทฆ่ี า ดว ยวิชา ๖. อิทธิมยประโยค ประโยคทฆี่ าดว ยฤทธิ.์ ก็เมือ่ ขาพเจา จะพรรณนาเนือ้ ความน้ใี หพิสดาร ยอมจะเนนิ่ ชาเกนิไป ฉะน้นั จะไมพรรณนาความนน้ั และความอนื่ ทมี่ ีรูปเชน นนั้ ใหพสิ ดารสวนผูทต่ี องการพงึ ตรวจดูสมันตปาสาทกิ าอรรถกถาพระวินยั ถอื เอาความเถดิ . บทวา ปหาย ความวา ละโทษอนั เปน เหตทุ ุศีล น้กี ลา วคือ เจตนาทาํ ปาณาตบิ าต. บทวา ปฏิวิรโต ความวางด คือเวนจากโทษอนั เปนเหตุ
พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 188ทุศีลนน้ั จาํ เดนิ แตกาลที่ละปาณาตบิ าตไดแลว . พระผมู พี ระภาคเจาน้ันไมม ีธรรมที่จะพงึ รูทางจกั ษแุ ละโสดวา เราจกั ละเมิดดังนี้ จะปว ยกลา วไปไยถงึ ธรรมทีเ่ ปน ไปทางกายเลา. แมในบทอน่ื ๆ ทมี่ รี ูปอยางน้ี กพ็ งึทราบเน้ือความโดยนยั นี้แหละ. พระผมู ีพระภาคเจาทรงไดโ วหารวา สมณะ เพราะเปนผมู บี าปสงบแลว. บทวา โคตโม ความวา ทรงพระนามวา โคดม ดวยอํานาจพระโคตร. มิใชแ ตพ ระผมู ีพระภาคเจา พระองคเ ดียวเทา นั้น ที่เวนจากปาณาติบาต แมภ ิกษสุ งฆกเ็ วนดวย แกเ ทศนามีมาอยา งน้ีตั้งแตตน แตเมื่อจะแสดงเนอื้ ความ จะแสดงแมด ว ยสามารถแหง ภิกษสุ งฆก ็ควร. บทวา นหิ ิตทณฺโฑ นิหติ สตโฺ ถ ความวา มไี มอนั วางแลว และมมี ีดอันวางแลว เพราะไมถ ือไมหรอื มีดไปเพ่ือตองการจะฆา ผอู ื่น. กใ็ นพระบาลีนี้ นอกจากไม อปุ กรณทเ่ี หลือทงั้ หมด พึงทราบวา ช่อื วามีดเพราะทาํ ใหสัตวท งั้ หลายพินาศได. สว นไมเทา คนแกก ด็ ี ไมก ็ดี มีดกด็ ีมดี โกนท่ีภิกษทุ ้ังหลายถอื เท่ียวไปนน้ั มิใชเพอ่ื ตอ งการจะฆาผูอ ่ืน ฉะนั้นจึงนับวา วางไม วางมีด เหมือนกัน. บทวา ลชชฺ ี ความวา ประกอบดว ยความละอายอันมีลกั ษณะเกลียดบาป. บทวา ทยาปนฺโน ความวา ถึงความเอน็ ดู คือความเปน ผูมเี มตตา-จิต. บทวา สพพฺ ปาณภตู หิตานกุ มปฺ ความวา อนุเคราะหส ัตวมชี วี ติท้ังปวงดว ยความเกื้อกูล อธบิ ายวา มจี ติ เกอ้ื กลู แกส ตั วมชี ีวติ ทุกจาํ พวกเพราะถงึ ความเอน็ ดนู ั้น. บทวา วิหรติ ความวา เปล่ียนอริ ิยาบถ คอืยังอตั ภาพใหเ ปน ไป ไดแ กร ักษาตัวอยู. คําวา อติ ิ วา หิ ภกิ ฺขเว ความเทา กัน เอว วา ภกิ ฺขเว วา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สีลขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 189ศัพท ตรสั เปน ความวกิ ัป (แยกความ ) เล็งถงึ คาํ วา ละอทนิ นาทานเปน ตนขา งหนา . พึงทราบความวกิ ัป เล็งถงึ คาํ ตนบาง คาํ หลงั บาง ทุกแหง อยา งนี้. กใ็ นอธิการนี้ มีความยอดังนี้ ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย เม่อื ปุถชุ นจะกลาวชมตถาคต พงึ กลา วอยา งนีว้ า พระสมณโคดม ไมฆา สตั ว ไมใชใหคนอน่ื ฆา ไมเ ห็นชอบในการฆาสตั ว เปนผูเ วนจากโทษเปน เหตุทศุ ลี นี้นาชมเชยแท พระคุณของพระพทุ ธเจา ยงิ่ ใหญ ดงั น้ี ถงึ ตองการจะกลาวชม ทาํ อตุ สาหะใหญ ดังนี้ กจ็ ักกลา วไดเ พียงอาจาระและศลี เทา น้ัน ซึ่งเปน คุณมปี ระมาณนอ ย จักไมส ามารถกลาวพระคณุ อาศยั สภาพอนั ไมท ัว่ ไปยิ่งขึ้นไดเ ลย และมใิ ชแ ตป ถุ ุชนอยา งเดียวเทา นัน้ ทไ่ี มส ามารถ แมพ ระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต แมพระปจ เจกพทุ ธเจา ทงั้ หลายกไ็ มสามารถเหมอื นกัน แตตถาคตเทาน้ันสามารถเราจักกลา วความขอนัน้ แกเ ธอทง้ั หลายในเบือ้ งหนา . นีเ้ ปนพรรณนาเน้อืความพรอมทัง้ อธบิ ายในพระบาลีน้ี . ตอแตนี้ไป เราจักพรรณนาตามลําดบั ทีเดยี ว. ในคําวา ละอทินนาทานน้ี การถอื เอาของทีเ่ ขาไมไดให ชอื่ อทิน-นาทาน มีอธิบายวา การลกั ทรัพยของผูอ น่ื คือความเปนขโมย ไดแกกิรยิ าที่เปน โจร. คําวา ของท่ีเขาไมไ ดให ในคาํ วา อทนิ นาทานน้ันไดแ กข องที่เจา ของหวงแหน คือ เปน ทรพั ยท่ีผูอืน่ ใชใ หทําตามประสงคยอ มไมควรถกู ลงอาชญา และไมถ กู ตาํ หนิ. อนง่ึ เจตนาคดิ ลกั อนั เปนเหตใุ หเกิดความพยายามทจี่ ะถือเอาของทเี่ จา ของหวงแหนน้ัน ของบุคคลผมู คี วามสาํ คญั ในของที่เจา ของหวงแหนวา เปนของทเี่ จา ของหวงแหนชอ่ื วา อทินนาทาน. อทินนาทานน้นั ลกั ของเลว มโี ทษนอย ลกั ของ
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 190ดี มโี ทษมาก. เพราะเหตุไร ? เพราะวตั ถปุ ระณีต. อทนิ นาทานน้ัน เม่อืวัตถุเสมอกัน ชอ่ื วามีโทษมาก เพราะวตั ถุเปน ของ ๆ ผูยง่ิ ดว ยคุณ ช่อื วามีโทษนอย เพราะวตั ถุเปนของ ๆ ผูมีคุณนอย ๆ กวาผยู งิ่ ดว ยคุณนน้ั ๆ. อทนิ นาทานน้ัน มอี งค ๕ คอื ๑. ปรปริคคฺ หิต ของทเ่ี จาของหวงแหน ๒. ปรปรคิ คฺ หิตสฺิตา รอู ยูวา เปน ของที่เจา ของหวงแหน ๓. เถยยฺ จิตตฺ จิตคดิ ลัก ๔. อุปกฺกโม พยายามลัก ๕. เตน หรณ ลกั มาไดด วยความพยายามน้นั อทนิ นาทานนัน้ มี ๖ ประโยค มสี าหตั ถิกประโยคเปนตนน่นั เอง.และประโยคเหลา นแี้ ล เปน ไปดวยอาํ นาจอวหารเหลา น้ี คือ ๑. เถยยาวหาร ลักโดยการขโมย ๒. ปสยั หาวหาร ลกั โดยขม ข่ี ๓. ปฏิจฉันนาวหาร ลักซอ น ๔. ปรกิ ัปปาวหาร ลักโดยกาํ หนดของ ๕. กสุ าวหาร ลกั โดยสบั สลากตามควร. น้ีเปน ความยอในอธิการนี้ สว นความพิสดาร ขาพเจากลา วไวแ ลว ในสมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวนิ ยั . พระสมณโคดม ช่อื วา ทินนาทายี เพราะถอื เอาแตข องท่ีเขาใหเทานน้ั . ช่ือวา ทนิ ฺนปาฏิกงขฺ ี เพราะตอ งการแตข องท่เี ขาใหเ ทา น้นัแมด ว ยจติ . ผทู ชี่ ่อื วา เถนะ เพราะลัก. ผทู ไ่ี มใชขโมย ช่อื วา อเถนะ.
พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 191พระสมณโคดมประพฤติคนเปน คนสะอาดเพราะไมเ ปน ขโมยนน่ั เอง. บทวา อตฺตนา คอื อตั ภาพ. มีอธิบายวา กระทาํ คนไมเ ปนขโมย เปนคนสะอาดอย.ู คําทเี่ หลือพงึ ประกอบตามนัยทีก่ ลาวแลวในสิกขาบทท่ีหนง่ึนน่ั แหละ. ทุกสิกขาบทก็เหมอื นในสิกขาบทน้.ี บทวา อพฺรหมฺ จริย ความวา ความพระพฤตไิ มป ระเสรฐิ . ช่ือวาพรหมจารี เพราะประพฤติอาจาระอนั ประเสรฐิ ที่สุด. ผูที่ไมใ ชพรหมจารีช่อื วา อพรหมจารี. บทวา อาราจารี ความวา ทรงพระพฤตไิ กลจากกรรมอนั เปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรย. บทวา เมถนุ า ความวา จากอสัทธรรมท่ีนบั วา เมถุน เพราะบุคคลผไู ดบ ัญญตั วิ าเปนคกู นั เพราะเปนเชนเดียวกันดวยอาํ นาจความกลมุ รุมแหงราคะ พงึ สองเสพ. บทวา คามธมฺมา ความวา เปน ธรรมของชาวบา น. ในคาํ วา มุสาวาท ปหาย น้ี คาํ วา มสุ า ไดแ กวจปี ระโยค หรอืกายประโยค ทท่ี าํ ลายประโยชนข องบุคคลผมู งุ จะกลา วใหค ลาดเคลือ่ น.ก็เจตนาอันใหเกิดกายประโยคและวจปี ระโยค ซง่ึ พูดใหผ ูอ น่ื คลาดเคลื่อนของบุคคลผมู งุ จะกลาวใหคลาดเคล่ือนนนั้ ดวยประสงคจะกลา วใหคลาดเคล่อื น ช่ือวา มุสาวาท. อีกนยั หน่งึ คําวา มสุ า ไดแ กเรอ่ื งที่ไมเ ปน จรงิ ไมแ ท. คาํ วาวาท ไดแ กกิริยาทีท่ าํ ใหเขาเขา ใจเร่ืองท่ไี มจริง ไมแทน ัน้ วา เปน เรื่องจริง เรอื่ งแท. วา โดยลักษณะ เจตนาที่ใหเกิดวญิ ญตั ิอยางน้นั ของผูประสงคจะใหผ อู น่ื เขา ใจเรอ่ื งทไี่ มแ ทว าเปนเรอ่ื งแท ช่อื วา มสุ าวาท.มุสาวาทน้ัน มโี ทษนอย เพราะประโยชนท่ที าํ ลายน้ันนอ ย มีโทษมากเพราะประโยชนท่ที ําลายนัน้ มาก.
พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 192 อีกอยางหนงึ่ สําหรับพวกคฤหสั ถ มุสาวาทท่เี ปนไปโดยนยั วาไมมี เปน ตน เพราะประสงคจ ะไมใหข องของตนมีโทษนอ ย ที่เปน พยานกลา วเพอื่ ทําลายประโยชน มีโทษมาก. สําหรบั พวกบรรพชติ มสุ าวาททเี่ ปน ไปโดยนัยแหง การพดู วา เปนของบรบิ รู ณ เชนวา วันนี้น้าํ มนั ในบา นไหลเหมอื นแมน้ําเปน ตน ดว ยประสงคจ ะหวั เราะ เพราะไดน ํา้ มนั หรือเนยใสมานอ ย มีโทษนอ ย แตเมือ่ พดู ถึงสิง่ ทไี่ มเห็นเลย โดยนยั วา เห็นแลว เปนตน มีโทษมาก. มสุ าวาทน้ัน มีองค ๔ คือ ๑. อตถ วตฺถุ เร่ืองไมแท ๒. วิส วาทนจติ ฺต จิตคิดจะพูดใหค ลาดเคลือ่ น ๓. ตชฺโช วายาโม ความพยายามเกิดจากจิตคดิ จะพูดใหค ลาด-เคลือ่ นนั้น ๔. ปรสสฺ ตทตฺถวชิ านน คนอื่นรเู รอ่ื งน้นั . มสุ าวาทน้ันมปี ระโยคเดียว คอื สาหัตถกิ ประโยค. มุสาวาทนนั้ พงึเหน็ ดว ยการใชกายบาง ใชข องทีเ่ นอ่ื งดวยกายบา ง ใชวาจาบา ง กระทาํกริ ิยาหลอกลวงผอู ่ืน. ถาผูอนื่ เขา ใจความนน้ั ดวยกริ ยิ านัน้ ผนู ีย้ อมผูกพันดวยกรรม คือ มุสาวาทในขณะท่ีคดิ จะใหเ กดิ กิรยิ าทเี ดยี ว. กเ็ พราะเหตุทบ่ี ุคคลสง่ั วา ทา นจงพูดเรอื่ งน้แี กผ นู ้ี ดังนี้กม็ ี เขยี นหนังสือแลวโยนไปตรงหนา กม็ ี เขยี นตดิ ไวท ่ฝี าเรอื น เปน ตน ใหรวู า เน้ือความพึงรอู ยางนี้ ดงั น้ี กม็ ีโดยทาํ นองท่ีหลอกลวงผอู น่ื ดว ยกาย ของเน่อื งดวยกายและวาจา ฉะนั้น แมอ าณตั ตกิ ประโยค นสิ สัคคยิ ประโยค และถาวร-
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย สีลขันธวรรค เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 193ประโยค ก็ยอมควรในมสุ าวาทน้.ี แตเพราะประโยคทัง้ ๓ นน้ั ไมไดม าในอรรถกถาทั้งหลาย จงึ ตอ งพิจารณากอ นแลวพึงถือเอา. ช่ือวา สจั จวาที เพราะพดู แตค ําจริง. ช่อื วา สจจฺ สนโฺ ธ เพราะเช่อื ม คือ สบื ตอ คาํ สัตยด วยคําสตั ย อธิบายวา ไมพ ูดมุสาในระหวาง ๆ.จริงอยู บรุ ษุ ใดพดู มุสาแมในกาลบางคร้งั พดู คําสตั ยในกาลบางคราวไมเ อาคําสัตยสบื ตอคาํ สตั ย เพราะบรุ ษุ นนั้ เอามสุ าวาทค่นั ไว ฉะน้นั บุรษุน้ันไมช่ือวา ดํารงคําสัตย แตพระสมณโคดมนี้ไมเปนเชนนั้น ไมพดูมสุ าแมเพราะเหตุแหงชวี ิต เอาคําสัตยเชอื่ มคาํ สัตยอ ยางเดียว เหตุนน้ั จึงช่อื วา สจั จสนั โธ. บทวา เถโต ความวา เปนผูม่ังคัง่ อธิบายวา มถี อยคําเปนหลักฐาน. บคุ คลหน่งึ เปนคนมีถอ ยคาํ ไมเปนหลกั ฐานเหมอื นยอมดว ยขม้ินเหมอื นหลักไมทีป่ ก ไวในกองแกลบ และเหมือนฟกเขียวทวี่ างไวบนหลงัมา. คนหน่ึงมีถอ ยคําเปนหลกั ฐาน เหมอื นรอยจารึกบนแผนหิน และเหมือนเสาเขื่อน แมเม่ือเขาเอาดาบตดั ศรี ษะ กไ็ มย อมพูดเปนสอง บุคคลน้เี รียกวา เถตะ. บทวา ปจฺจยโิ ก ความวา เปน ผูควรยดึ ถอื อธิบายวา เปน ผคู วรเชอ่ื ถือ. กบ็ ุคคลบางคนไมเปนคนควรเช่อื เมอ่ื ถูกถามวา คาํ นีใ้ ครพูด ?คนโนนพดู หรอื ? ยอ มจะถึงความเปน ผูควรตอบวา ทา นท้งั หลายอยาเช่อืคาํ ของคนน้นั บางคนเปนคนควรเชอื่ เม่อื ถูกถามวา คํานีใ้ ครพูด คนโนน พดู หรือ ? ถา เขาพูด ก็จะถงึ ความเปนผคู วรตอบวา คาํ นเ้ี ทา นน้ั เปนประมาณ บัดนี้ ไมต องพจิ ารณากไ็ ด คํานีเ้ ปนอยางนแ้ี หละ ผนู ้เี รยี กวาปจ จยิกะ.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 585
Pages: