Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_38

tripitaka_38

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_38

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 201 ๒. ตณั หาสตู ร วา ดวยอวิชชาเปน อาหารของภวตณั หา [๖๒] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย เงอ่ื นตนแหง ภวตัณหา ยอมไมป รากฏในกาลกอ นแตน้ี ภวตณั หาไมม ี แตภ ายหลังจงึ มี เพราะเหตุนั้น เราจึงกลาวคําอยา งน้ีวา ก็เม่อื เปนเชน น้ัน ภวตัณหามีขอนี้เปน ปจจยั จึงปรากฏดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เรายอมกลา วภวตณั หาวามีอาหาร มิไดกลา ววา ไมม ีอาหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของภวตณั หา ควรกลา ววา อวชิ ชา แมอวิชชาเราก็กลาววามอี าหาร มไิ ดก ลาววาไมม ีอาหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของอวชิ ชา ควรกลา ววา นวิ รณ ๕ แมน วิ รณ ๕ เราก็กลา ววา มีอาหาร มไิ ดกลา ววาไมม อี าหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของนวิ รณ ๕ ควรกลา ววา ทจุ รติ ๓แมท จุ ริต ๓ เราก็กลา ววา มีอาหาร มิไดก ลา ววาไมมลี าหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของทุจรติ ๓ ควรกลาววา การไมสํารวมอนิ ทรีย แมก ารไมส าํ รวมอินทรีย เรากลาววามีอาหาร มไิ ดกลาววา ไมม ีอาหาร ก็อะไรเปนอาหารของการไมสํารวมอนิ ทรยี  ควรกลาววา ความไมมสี ติสมั ปชัญญะ แมความไมมีสตสิ ัมปชัญญะเราก็กลาววามีอาหาร มไิ ดกลาววา ไมมอี าหาร ก็อะไรเปน อาหารของความไมม ีสติสมั ปชญั ญะ ควรกลา ววา การทาํ ไวในใจโดยไมแยบคาย แมการทาํ ไวใ นใจโดยไมแยบคาย เรากก็ ลา ววา มอี าหาร มิไดกลาววาไมมีอาหาร ก็อะไรเปน อาหารของการทาํ ไวใ นใจโดยไมแยบคายควรกลาววา ควรไมม ศี รัทธา แมความไมมีศรทั ธา เรากก็ ลา ววา มีอาหาร มไิ ดกลา ววา ไมมอี าหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของความไมม ศี รทั ธาควรกลาววา การไมฟ ง สัทธรรม แมก ารไมฟง สัทธรรม เขากก็ ลาววามีอาหาร มิไดกลา ววาไมมีอาหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของการไมฟ ง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 202สัทธรรม ควรกลาววา การไมค บสัตบรุ ุษ ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ดวยประการดังนี้ การไมคบสัตบรุ ุษทบ่ี รบิ ูรณ ยอ มยงั การไมฟงสทั ธรรมใหบรบิ ูรณ การไมฟง สัทธรรมทบี่ รบิ ูรณ ยอมยงั ความไมม ศี รทั ธาใหบรบิ ูรณ ความไมมีศรัทธาทีบ่ รบิ ูรณ ยอมยังการทาํ ไวใ นใจโดยไมแ ยบคายใหบริบรู ณ การทําไวในใจโดยไมแยบคายท่บี รบิ รู ณ ยอ มยงั ความไมม ีสติสมั ปชัญญะใหบรบิ รู ณ ความไมม สี ตสิ มั ปชญั ญะที่บริบูรณ ยอมยงั การไมส าํ รวมอนิ ทรยี ใหบริบรู ณ การไมสํารวมอินทรยี ท ีบ่ ริบูรณ ยอมยังทจุ ริต ๓ ใหบริบูรณ ทุจรติ ๓ ทบ่ี ริบูรณ ยอ มยังนวิ รณ ๕ ใหบ รบิ ูรณนวิ รณ ๕ ท่บี ริบรู ณ ยอมยงั อวิชชาใหบ ริบูรณ อวิชชาท่บี ริบรู ณ ยอ มยงั ภวตัณหาใหบริบูรณ ภวตณั หาน้ีมีอาหารอยางนี้ และบรบิ ูรณอ ยา งน.ี้ ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย เปรียบเหมอื นเมือ่ ฝนเมด็ หยาบตกลงเบอื้ งบนภเู ขา เม่อื ฝนตกหนกั ๆ อยู นํ้าน้ันไหลไปตามทีล่ มุ ยอมยังซอกเขาลาํ ธาร และหว ยใหเ ตม็ ซอกเขา ลาํ ธาร และหว ยท่เี ต็ม ยอ มยงั หนองใหเต็ม หนองที่เตม็ ยอมยังบงึ ใหเ ตม็ บึงทเี่ ตม็ ยอมยงั แมนํา้ นอ ยใหเ ต็มแมน ้ํานอ ยที่เตม็ ยอ มยังแมน ้าํ ใหญใหเต็ม แมน้ําใหญท่เี ตม็ ยอ มยงั มหา-สมุทรสาครใหเต็ม มหาสมุทรสาครน้มี อี าหารอยา งน้ี และเต็มเปยมอยา งน้ีแมฉนั ใด ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย การไมคบสตั บุรุษทบ่ี รบิ รู ณ ยอมยงั การไมฟ งสัทธรรมใหบรบิ รู ณ. . . อวชิ ชาทีบ่ รบิ ูรณ ยอมยงั ภวตัณหาใหบริบรู ณ ภวตัณหานมี้ อี าหารอยางน้ี และบริบรู ณอยา งนี้ ฉันน้นั เหมือนกันแล. ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย เรากลาววิชชาและวมิ ุตตวิ ามีอาหาร มไิ ดกลาววา ไมม อี าหาร ก็อะไรเปนอาหารของวชิ ชาและวมิ ุตติ ควรกลาววา

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 203โพชฌงค ๗ แมโ พชฌงค ๗ เรากก็ ลาววามอี าหาร มไิ ดก ลาววาไมม ีอาหาร ก็อะไรเปนอาหารของโพชฌงค ๗ ควรกลาววา สตปิ ฏ ฐาน ๔แมสติปฏฐาน ๔ เราก็กลา ววามอี าหาร มไิ ดกลาววา ไมมีอาหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของสตปิ ฏฐาน ๔ ควรกลาววา สุจรติ ๓ แมสจุ รติ ๓ เราก็กลาววา มอี าหาร มิไดกลาววาไมม อี าหาร กอ็ ะไรเปน อาหารของสจุ ริต ๓ควรกลา ววา การสํารวมอินทรยี  แมการสํารวมอินทรีย เราก็กลาววา มีอาหาร มไิ ดกลาววาไมมอี าหาร ก็อะไรเปน อาหารของการสํารวมอนิ ทรียควรกลา ววา สตสิ ัมปชัญญะ แมสตสิ มั ปชัญญะ เราก็กลา ววามีอาหารมไิ ดกลาววาไมมอี าหาร ก็อะไรเปนอาหารของสตสิ ัมปชญั ญะ ควรกลา ววาการทาํ ไวใ นใจโดยแยบคาย แมการทําไวใ นใจโดยแยบคาย เรากก็ ลาววามอี าหาร มไิ ดกลา ววา ไมมอี าหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของการทาํ ไวในใจโดยแยบคาย ควรกลาววา ศรัทธา แมศรทั ธากก็ ลาววา มีอาหาร มิไดกลาววาไมม ีอาหาร ก็อะไรเปน อาหารของศรัทธา ควรกลา ววา การฟงสทั ธรรม แมก ารฟงสัทธรรม เรากก็ ลา ววา มอี าหาร มไิ ดกลาววาไมม ีอาหาร กอ็ ะไรเปนอาหารของการฟง สทั ธรรม ควรกลาววา การคบหาสปั บรุ ุษ ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย ดวยประการดังนี้ การคบสัปบรุ ุษที่บรบิ รู ณ ยอ มยังการฟง สัทธรรมใหบริบูรณ การฟง สัทธรรมทบ่ี ริบรู ณยอมยังการทําไวใ นใจโดยแยบคายใหบริบูรณ การทําไวในใจโดยแยบคายทบี่ ริบูรณ ยอมยังสติสัมปชญั ญะใหบรบิ รู ณ สตสิ ัมปชัญญะที่บริบูรณ ยอ มยังการสาํ รวมอินทรียใหบ ริบูรณ การสาํ รวมอินทรยี ที่บรบิ รู ณ ยอมยังสุจรติ ๓ ใหบ ริบรู ณ สจุ ริต ๓ ทบี่ รบิ รู ณ ยอ มยังสติปฏฐาน ๔ ใหบริบูรณ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ท่บี รบิ รู ณ ยอ มยงั โพชฌงค ๗ใหบ รบิ รู ณ โพชฌงค ๗ ท่บี ริบูรณ ยอมยงั วชิ ชาและวิมุตติใหบริบรู ณ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 204วชิ ชาและวมิ ตุ ตินี้มีอาหารอยางนี้ และบรบิ รู ณอ ยา งน้.ี ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมือนเมือ่ ฝนเมด็ หยาบตกลงเบอื้ งบนภเู ขา เมอื่ ฝนตกหนัก ๆ อยู นา้ํ นนั้ ไหลไปตามทลี่ ุม ยอ มยงั ซอกเขาลาํ ธาร และหวยใหเต็ม ซอกเขา ลําธาร และหวยท่ีเตม็ ยอ มยงั หนองใหเต็ม หนองทเ่ี ตม็ ยอ มยังบึงใหเ ตม็ บงึ ทีเ่ ต็มยอมยังแมนํา้ นอ ยใหเต็มแมนํ้านอ ยที่เตม็ ยอมยงั แมน ํา้ ใหญใ หเตม็ แมนํ้าใหญท ่เี ต็ม ยอมยังมหา-สมุทรสาครใหเตม็ มหาสมทุ รสาครนีม้ อี าหารอยา งนี้ และเตม็ เปย มอยางนี้แมฉนั ใด ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย การคบสปั บรุ ุษทบ่ี รบิ ูรณ ยอ มยงั การฟงสทั ธรรมใหบรบิ ูรณ. . .โพชฌงค ๗ ทบ่ี รบิ ูรณ ยอ มยงั วชิ ชาและวมิ ตุ ติใหบ ริบูรณ ... วชิ ชาและวิมตุ ตินีม้ ีอาหารอยา งน้ี และบรบิ ูรณอยา งน้ี ฉนั น้ันเหมอื นกนั แล. จบตัณหาสตู รท่ี ๒ อรรถกถาตณั หาสูตรที่ ๒ ตณั หาสูตรที่ ๒ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ดังตอ ไปน้.ี บทวา ภวคณฺหาย ไดแ ก ของความปรารถนาภพ. ในสูตรท้งั สองตรสั เฉพาะวฎั ฎะอยา งเดียว แตวัฎฎะในสตู รทั้งสองนี้ สตู รท่ี ๑ ตรสัวฏั ฎะมีอวิชชาเปน มลู สตู รที่ ๒ ตรัสวฏั ฏะมตี ัณหาเปน มูล. จบอรรถกถาตัณหาสูตรที่ ๒ ๓. นฏิ ฐาสูตร วา ดว ยบคุ คล ๑๐ จําพวก ทเ่ี ชื่อมั่นในพระตถาคต [๖๓] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย บุคคลเหลา ใดเหลา หนง่ึ เชอื่ มน่ั ในเราบคุ คลเหลา นัน้ ท้งั หมดเปนผูส มบูรณด ว ยทิฏฐิ บุคคล ๕ จาํ พวกทส่ี มบูรณ

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 205ดวยทฏิ ฐิเช่อื ม่ันในโลกนี้ อีก ๕ จําพวกโลกนีไ้ ปแลว จึงเชือ่ มน่ั บุคคล๕ จาํ พวกเหลา ไหนเชื่อม่ันในโลกนี้ คือ พระโสดาบันผูสตั ตกั ขตั ตปุ รมะ ๑พระโสดาบันผูโกลังโกละ ๑ พระโสดาบันผเู อกพีชี ๑ พระสกทาคามี ๑พระอรหนั ตในปจ จุบนั ๑ บคุ คล ๕ จาํ พวกเหลาน้ีเชือ่ มนั่ ในโลกน้.ี บุคคล ๕ จาํ พวกเหลาไหน ละโลกน้ีไปแลวจึงเช่ือมน่ั คือพระ-อนาคามผี อู ันตราปรนิ พิ พายี ๑ พระอนาคามผี สู สังขารปรินพิ พายี ๑พระอนาคามีผอู สังขารปรินิพพายี ๑ พระอนาคามีผสู สงั ขารปรนิ พิ พายี ๑พระอนาคามีผอู ุทธังโสโตอกนฏิ ฐคามี ๑ บคุ คล ๕ จาํ พวกเหลา นีล้ ะโลกนไี้ ปแลว จงึ เชอื่ มั่น ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคลเหลาใดเหลาหน่ึงเช่อื ม่ันในเรา บุคคลเหลา น้ันทั้งหมดเปน ผสู มบูรณดว ยทิฏฐิ บุคคลผูส มบูรณดว ยทิฏฐิ ๕ จําพวกเหลา นี้น้ัน เชือ่ ม่ันในโลกนี้ บคุ คล ๕ จาํ พวกเหลา น้ีละโลกนไ้ี ปแลว จงึ เชือ่ มน่ั . จบนฏิ ฐาสตู รท่ี ๓ อรรถกถานฏิ ฐาสตู รท่ี ๓ นฏิ ฐาสตู รที่ ๓ พึงทราบวินจิ ฉัยดังตอไปน.้ี บทวา นฏิ  งฺคตา ไดแก หมดความสงสยั . บทวา อิธ นฏิ  าไดแ ก ปรินพิ พานในโลกนีเ้ ทา นนั้ . บทวา อธิ วิหาย นฏิ  า ไดแกละโลกนีแ้ ลวไปสูพ รหมโลกชน้ั สทุ ธาวาส. อรรถกถานฏิ ฐาสตู รที่ ๓

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 206 ๔. อเวจจสตู ร วา ดว ยบคุ คล ๑๐ จาํ พวก ท่เี ลือ่ มใสอยา งมั่นคงในพระตถาคต [๖๔] ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย บุคคลเหลา ใดเหลาหน่ึง เล่ือมใสอยา งไมห วนั่ ไหวในเรา บุคคลเหลา น้นั ทงั้ หมดเปนผูถ ึงกระแสนิพพาน ผถู งึกระแสนพิ พาน ๕ จําพวกเหลา นนั้ เธอมน่ั ในโลกนี้ ๕ จําพวกละโลกน้ีไปแลว จึงเช่อื มนั่ . ๕ จําพวกเหลา ไหนเช่อื มน่ั ในโลกน้ี ๕ จาํ พวกเหลานั้นคือ พระโสดาบันผสู ัตตักขตั ตุปรมะ ๑ พระโสดาบันผโู กลงั โกละ ๑พระโสดาบันผเู อกพชี ี ๑ พระสกทาคามี ๑ พระอรหันตในปจจบุ นั ๑บคุ คล ๕ จาํ พวกเหลานีเ้ ชื่อมั่นในโลกน.้ี บคุ คล ๕ จาํ พวกเหลา ไหนละโลกนี้ไปแลว จึงเชื่อมนั่ คอื พระอนาคามผี อู นั ตราปรินพิ พายี ๑ พระ-อนาคามีผูอปุ หจั จปรนิ พิ พายี ๑ พระอนาคามผี อู สังขารปรินิพพายี ๑พระอนาคามผี ูส สงั ขารปรนิ ิพพายี พระอนาคามผี ูอทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐ-คามี ๑ บุคคล ๕ จําพวกเหลา นี้ละโลกไปแลวจงึ เชอื่ ม่นั . ดกู อนภิกษุท้งั หลาย บคุ คลเหลาใดเหลาหน่งึ เลอื่ มใสอยางไมห วัน่ ไหวในเรา บุคคลเหลา น้ันทง้ั หมดเปน ผถู งึ กระแสนพิ พาน ผูถ งึ กระแสนพิ พาน ๕ จําพวกเหลา นีน้ นั้ เชอ่ื มั่นในโลกน้ี ๕ จําพวกละโลกนแ้ี ลวจงึ เช่อื มั่น. จบอเวจจสูตรท่ี ๔ อรรถกถาอเวจจสูตรท่ี ๔ อเวจจสูตรท่ี ๔ พึงทราบวนิ จิ ฉัยดังตอไปนี.้ บทวา อเวจฺจปปฺ สนฺนา ไดแก ถึงพรอ มแลว ดว ยความเลือ่ มใสไมหว่ันไหว. บทวา โสตาปนนฺ า ไดแก ผถู ึงกระแสแหง อรยิ มรรค. จบอรรถกถาอเวจจสูตรที่ ๔







































พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 226มไี ดด วยเหตุ ๒ ประการ คือ ดวยการเหน็ โทษแหง ศีลวิบัติ และดวยการเหน็ คณุ แหง ศีลสมบัติ เหตแุ มท ้ังสองนัน้ ก็กลาวไวพสิ ดารแลวในคัมภรี วิสุทธิมรรค. ในบทเหลา นัน้ บทวา สมฺปนนฺ สลี า พระสมุ ตั เถระ ผอู ยูวัดทปี วหิ ารกลาววา ไดย ินวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงยกจาตปุ ารสิ ทุ ธิศลีข้ึน ทรงแสดงศลี ทีส่ าํ คัญใหพสิ ดารในทนี่ ้นั ดว ยบทวา ปาฏิโมกขฺ ส วร-ส วตุ า น้.ี สว น พระจฬู นาคเถระ ผทู รงพระไตรปฎกอันเตวาสิกของทานกลา ววา แมใ นบททัง้ สองพระผูมพี ระภาคเจาก็ตรสั ปาติโมกขสงั วร ดวยวา ปาตโิ มกขสงั วรนน่ั แลคือศีล สวนอีก ๓ กเ็ ปน ศลี เหตุนัน้ จงึ กลา วไมเห็นดว ยวา ชอื่ ฐานะที่กลาวแลว มอี ยู แลว กลาววา เพยี งรักษาทวาร ๖เทา น้นั กช็ ่ือวา อนิ ทรยิ สงั วรศลี เพียงทาํ ปจ จยั ใหเกดิ ขน้ึ โดยธรรมโดยชอบ กช็ ่อื วา อาชีวปาริสทุ ธศิ ีล. เพียงพจิ ารณาในปจจยั ท่ไี ดแลววาน้ีมีอยูแลว บรโิ ภค ก็ช่ือวา ปจ จยสันนสิ สติ ศลี โดยตรงปาตโิ มกขสังวรเทานน้ั ชอ่ื วาศีล ปาฏิโมกขสังวรของภิกษุใดขาดแลว . ภกิ ษนุ ี้ไมพ ึงถกู กลา ววา จกั รักษาศลี ทเ่ี หลอื ได เหมือนบุรุษศีรษะขาดแลว จะรักษามือเทา ไวได.สว นปาติโมกขสงั วรของภกิ ษใุ ดไมเ สยี ภิกษนุ ก้ี อ็ าจทาํ ศลี ท่เี หลือใหเปนปกตไิ ดอ ีก เหมอื นบุรุษศีรษะขาด กร็ กั ษาชีวติ ไวไ ด เพราะฉะน้ันพระผูม ีพระภาคเจาทรงยกปาติโมกขสังวรดว ยบทวา สมปฺ นฺนสีลา น้ีแลวตรัสคําไวพจนของบทวา สมปฺ นนฺ สีลา น้ันนั่นแลวา สมฺปนฺนปาฏิโมกขฺ าเมอ่ื ทรงแสดงบทวา สมฺปนนฺ ปาฏโิ มกขฺ า น้ันใหพสิ ดาร จงึ ตรสั วาปาฏิโมกขฺ ส วรส วุตา เปนตน คําวา ปาฏิโมกฺขส วรส วตุ า เปน ตนในคาํ นน้ั มีใจความทกี่ ลาวไวแ ลว ทั้งนัน้ . ถามวา เหตุไร พระผูมีพระภาคเจา จงึ ทรงเรมิ่ วา ถา ภิกษพุ งึ จาํ นง

พระสุตตันตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 227ดงั น.้ี ตอบวา เพอ่ื ทรงแสดงอานิสงสแหง ศีล. จรงิ อยู ถาภกิ ษพุ วกบวชใหมหรอื ผมู ปี ญ ญาทราม จะพงึ คิดอยางนีว้ า พระผมู ีพระภาคเจา ทรงสัง่ สอนวา พวกเธอจงบาํ เพ็ญศีล จงบาํ เพญ็ ศลี อะไรหนอ เปนอานิสงสอะไรเปน คณุ พเิ ศษ อะไรเปนความเจรญิ ในการบําเพ็ญศีล. ตรสั อยางน้ีก็เพอ่ื ทรงแสดงอานิสงส ๑๐ ประการแกภ ิกษุเหลา นนั้ วา ถากระไรภิกษุเหลา น้นั แมฟง อานิสงส ซง่ึ มีความเปน ท่รี กั เปน ทพี่ อใจของเหลา เพือ่ นพรหมจารีเปนเบ้ืองตน มีความสน้ิ อาสวะเปนเบือ้ งปลายแลว จะพงึทําศลี ใหบรบิ ูรณ. บรรดาเหลา นนั้ บทวา อากงเฺ ขยฺย เจ ไดแ กผิวาพงึ ปรารถนา. บทวา ปโย จสฺส ไดแ ก พึงเปนผทู ่ีเพื่อนพรหมจารีมองดูดว ยสายตาท่นี า รกั พึงมีการบํารุงโดยเกดิ ความรกั . บทวา มนาโปไดแ ก เปน ทีเ่ จรญิ ใจแหง เพื่อนพรหมจารีเหลา น้นั หรอื ใจของเพ่ือนพรหมจารเี หลา นนั้ จดจอ ถงึ อธบิ ายวา อันเพื่อนพรหมรีแผถึงดว ยเมตตาจิต. บทวา ครุ ไดแ ก เปนทตี่ งั้ แหงความหนกั [เคารพ] แหงเพือ่ นพรหมจารีเสมอื นฉัตรหนิ . บทวา ภาวนีโย ไดแก อันเพอ่ื นพรหมจารีชมเชยอยางนีว้ า ทา นยอ มรขู อทค่ี วรรู เหน็ ขอ ที่ควรเหน็ มานาน. บทวาสีเล เสฺววสฺส ไดแ ก พงึ เปน ผูทําใหบรบิ รู ณในจตุปาริสุทธิศลี ทานอธบิ ายวา พึงเปน ผูประกอบดว ยการกระทาํ อันไมพรอง คือบรบิ ูรณ. บทวา อชฺฌตฺต เจโตสมถมนยุ ุตโฺ ต ไดแก ประกอบในความสงบจิตของตน. บทวา อนิรากตชฌฺ าโน ไดแก มฌี านอนั ไมถูกนําออกภายนอก หรือมฌี านอันไมเสยี หายแลว. บทวา วปิ สฺสนาย ไดแ ก อนุ-ปส สนา ๗ อยา ง. บทวา พรฺ ูเหตา สุ ฺ าคาราน ไดแ ก เพิ่มพนู สญุ ญา-ควรเรือนวาง. ก็ในคาํ วา พรฺ เู หตา สุฺญาคาราน นี้ ภกิ ษรุ ับกรรมฐาน

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 228จะโดยเปน สมถกรรมฐานและวปิ ส สนากรรมฐาน เขา ไปยังสญุ ญาคารนั่งอยูตลอดทั้งวันทง้ั คืน พงึ ทราบวา เปนผเู พิ่มพูนสุญญาคาร. น้เี ปนความสงั เขปในเร่ืองน้.ี สว นความพสิ ดาร ผปู ระสงคจ ะพึงดไู ดในวรรณนาอากังเขยยสูตร อรรถกถามชั ฌมิ นิกาย. ในบทวา ลาภี พึงทราบวนิ ิจฉัยดังน้.ี พระผูมพี ระภาคเจา มไิ ดตรัสความบริบูรณในคุณมศี ีลเปนตน เปน นมิ ิตแหงลาภ. จรงิ อยู พระผูมี-พระภาคเจา ยอ มทรงสอนสาวกทั้งหลายอยางนี้วา มุนเี ปนประหนึ่งตัดถอ ยคําอนั แสวงหาอาหารเสียแลว ไมพงึ กลาวปยตุ ตวาจาแสวงหาอาหาร. ภกิ ษุนัน้ จักกลา วเรื่องความบริบูรณในคุณมศี ีลเปน ตน เปน นมิ ติ แหง ลาภไดอยา งไร. ก็คําน้ีพระผูมีพระภาคเจา ตรัสดว ยอํานาจอธั ยาศัยของบุคคล. แทจรงิ ภิกษุเหลาใด จงึ พึงมอี ัธยาศยั อยา งน้ี พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรสั ดว ยอาํ นาจอธั ยาศัยเทา นน้ั ของภกิ ษเุ หลานนั้ ที่วา ถาเราไมพ งึ ลาํ บากดว ยปจ จยั ๔ ไซร เราก็จะพึงนาํ ศีลทง้ั หลายใหบริบรู ณไ ด. อนง่ึ ช่ือวาปจ จัย ๔ เปนอานิสงสพรอมทงั้ กิจคือหนา ทข่ี องศลี จรงิ อยางน้นั ผูคนที่เปนบณั ฑิต นาํ ทรพั ยท่ีเกบ็ ไวในคลังเปนตนออกมา มิใชบ รโิ ภคแมด ว ยตนเอง ยอมถวายเหลาทา นผมู ีศีล พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั คาํ นี้ ก็เพ่ือทรงแสดงอานสิ งสพ รอ มทงั้ กิจคือหนาทขี่ องศีล. ในวาระท่ี ๓ พงึ ทราบวนิ ิจฉัยดงั น้.ี คําวา เยสาห ตัดบทวาเยส อห . บทวา เตสนเฺ ต การา ความวา ขอสักการะ คอื ปจจยทานทเี่ หลา เทวดาหรอื มนษุ ยทําใหเราเหลานน้ั จงมผี ลมาก มีอานสิ งสม ากเหตนุ นั้ สักการะเหลา นั้น ชอ่ื วา มีผลมาก กโ็ ดยผลท่ีเปน โลกยิ สุข ชื่อวามีอานิสงสม าก กโ็ ดยผลท่ีเปน โลกุตรสุข. อกี นยั หนึ่ง คาํ ทั้งสอง

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 229น้ี ก็มใี จความอยางเดยี วกนั นัน่ เอง. ภิกษุทพั พหี นึ่งกด็ ี บรรณศาลาที่เขาสรางบนเน้ือท่เี พียง ๔ ศอกก็ดี ทเี่ ขาถวายแกภ กิ ษผุ ูป ระกอบดว ยคณุ มีศลี เปน ตน ยอมปอ งกันจากทุคติวินิบาตไิ ดหลายพนั กปั ยังจะเปนปจ จยั แกอ มตธาตุ คือพระนพิ พานในทีส่ ดุ ดว ย. กค็ าํ มีวา ขโี รทนอหมทาสึ เปน ตน เปนเรื่องตวั อยา งในคาํ น้.ี หรอื ทั้งเปรตวัตถุ เรื่องเปรตท้ังวมิ านวัตถุ เรอื่ งวมิ าน เปนเครือ่ งสาธกไดท้งั สิ้น. ในวาระท่ี ๔ พึงทราบวินจิ ฉัยดังนี้. บทวา เปตา ไดแก ผไู ปสูภพมจั จุราช. บทวา าติ ไดแ ก ฝายพอ ผัวแมผัว. บทวา สาโลหติ าไดแ ก เนือ่ งดว ยสายเลอื ดเดยี วกัน มปี เู ปน ตน . บทวา กาลกตา ไดแกตาย. บทวา เตสนฺต ไดแก จติ ทเี่ ลื่อมใสในเราน้ัน หรือความระลึกถึงดวยทง้ั จติ ที่เลอ่ื มในนนั้ ของญาติสาโลหติ เหลานั้น. จริงอยู บดิ าหรอืมารดาของภกิ ษุใด ทํากาละมีจิตเลอื่ มในวา พระเถระญาตขิ องพวกเราเปนผมู ศี ีลมกี ลั ยาณธรรม ระลกึ ถึงภกิ ษนุ นั้ ความเล่อื มใสแหง จิตนัน้ ก็ดีเพยี งความระลกึ ถงึ น้ันก็ดี ของบุคคลนัน้ ยอมมีผลมาก มอี านิสงสมากทัง้ น้ัน. บทวา อรติรตสิ โห ไดแ ก เปนผอู ดทน ครอบงาํ ทว มทับ ความไมยนิ ดใี นเนกขัมมปฏบิ ตั ิ และความยินดีในกามคณุ ท้งั หลาย. ในบทวาภยเภรวสโห นี้ ความสะดงุ จติ กด็ ี อารมณกด็ ี ช่อื วา ภัย อารมณอยางเดยี ว ชื่อ เภรวะ. จบอรรถกถาอากงั ขสูตรท่ี ๑

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 230 ๒. กณั ฏกสตู ร วาดว ยธรรมอนั เปนปฏิปกษ ๑๐ ประการ [๗๒] สมยั หนงึ่ พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยู ณ กูฏาคารศาลาปามหาวนั ใกลพระนครเวสาลี พรอ มดวยพระเถระผเู ปน สาวกซ่งึ มีช่อื เสยี งหลายรูป คือทา นพระปาละ ทานพระอปุ ปาละ ทานพระกกั กฏะทานพระกฬมิ กะ ทานพระนิกฏะ ทา นพระกฏิสสหะ และพรอมดว ยพระ-เถระผเู ปนสาวกซ่ึงมชี ื่อเสียงเหลา อื่น กส็ มัยนน้ั แล พวกเจา ลจิ ฉวีมีช่อื เสยี งเปนอันมาก ขึน้ ยานช้ันดมี ีเสียงอือ้ องึ ตอกันเขาไปยังปามหาวนั เพือ่ เฝาพระผมู พี ระภาคเจา ครงั้ น้นั แล ทานผูมีอายเุ หลา นน้ั ไดม ีความปริวิตกวาเจาลจิ ฉวีผูมชี ือ่ เสยี งเปนจาํ นวนมากเหลา นแ้ี ล ขึ้นยานชัน้ ดมี ีเสียงอ้อื องึตอ กันเขา มายงั ปา มหาวนั เพ่อื เฝาพระผมู ีพระภาคเจา ก็พระผมู พี ระภาค-เจาตรัสฌานวา มเี สยี งเปนปฏปิ ก ษ ไฉนหนอ เราทั้งหลายพึงเขาไปยังโคสงิ คสาลทายวัน ณ ท่นี นั้ เราทงั้ หลายพงึ เปน ผมู ีเสยี งนอ ย ไมเ กลือ่ นกลน อยใู หผ าสุก ครัง้ น้ันแล ทานผูมีอายเุ หลา นั้น เขาไปยังโคสงิ คสาล-ทายวนั ณ ท่นี ้ัน ทานผูม อี ายเุ หลา นั้นเปน ผูม เี สยี งนอย ไมเกลื่อนกลนอยูเ ปนผาสกุ ครัง้ น้ันแล พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสถามภกิ ษุท้ังหลายวาดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปาลภกิ ษไุ ปไหน อุปปาลภิกษุ กกั กฏภิกษุ กฬิมภ-ภิกษุ นิกฏภกิ า กฏสิ สหภิกษุไปไหน พระเถระผเู ปนสาวกเหลา นนั้ ไปไหน ภกิ ษุทง้ั หลายกรามทลู วา ขาแตพระองคผ เู จริญ ขอประทานพระ-วโรกาส ทานผมู อี ายุเหลานน้ั คิดวา เจาลิจฉวีผมู ชี ือ่ เสยี งเปนจํานวนมากเหลานแ้ี ล ขน้ึ ยานช้ันดีมีเสียงออื้ องึ ตอกนั เขามายงั ปามหาวนั เพ่อื เฝาพระ-ผมู พี ระภาคเจา กพ็ ระผมู พี ระภาคเจาตรสั ฌานวา มเี สียงเปน ปฏิปกษ

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาที่ 231ไฉนหนอ เราทัง้ หลายพึงเขา ไปยังโคสงิ คสาลทายวนั ในทน่ี ัน้ พวกเราพงึ เปน ผูมเี สียงนอย ไมเกลอื่ นกลน อยูเปน ผาสุก ขา แตพ ระองคผูเจริญทา นผมู ีอายุเหลา นน้ั เขาไปยงั โคสงิ คสาลทายวัน ในทน่ี ัน้ ทา นเหลาน้นั เปนเปนผูม ีเสยี งนอ ย ไมเ กลอื่ นกลน อยูเปนผาสกุ พระเจา ขา พระผูมี-พระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลา ดีละ ดลี ะ จรงิ ดังท่มี หาสาวกเหลา นนั้ เมื่อพยากรณโ ดยชอบ พึงพยากรณด งั นนั้ ดกู อนภิกษุทงั้ หลายเรากลา วฌานวามเี สียงเปนปฏปิ ก ษ ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ปฏปิ ก ษ ๑๐ ประ-การนี้ ๑๐ ประการเปนไฉน คือ ความเปน ผยู นิ ดใี นการคลกุ คลดี ว ยหมูคณะเปน ปฏปิ กษตอความเปนผยู ินดีในท่สี งัด ๑ การประกอบสภุ นิมิต เปนปฏิปก ษตอ ผูป ระกอบอสภุ นิมิต ๑ การดูมหรสท่เี ปน ขา ศึก เปนปฏิปกษตอ ผคู ุมครองทวารในอนิ ทรยี ท ัง้ หลาย ๑ การตดิ ตอ กบั มาตุคาม เปนปฏปิ ก ษต อ พรหมจรรย ๑ เสยี งเปนปฏิปก ษต อ ปฐมฌาน ๑ วิตกวจิ ารเปน ปฏิปก ษตอทตุ ยิ ฌาน ๑ ปตเิ ปน ปฏิปก ษตอ ตตยิ ฌาน ๑ ลมอัสสาส-ปส สาสะเปนปฏิปกษต อ จตตุ ถฌาน ๑ สญั ญาและเปน ปฏิปกษตอสัญญาเวทยติ นโิ รธสมาบตั ิ ๑ ราคะเปน ปฏิปกษ โทสะเปนปฎิปก ษ ๑ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เธอทัง้ หลายจงเปนผูไมมีปฎิปก ษอ ยูเ ถดิ ดกู อนภิกษุท้งั หลาย พระอรหนั ตทง้ั หลาย เปนผูไ มมปี ฎปิ ก ษ พระอรหันตท ้งั หลายไมม ีปฎิปก ษ เปน ผหู มดปฎิปกษ. จบกณั ฏกสตู รท่ี ๒ อรรถกถากัณฏกสูตรท่ี ๒ กณั ฏกสูตรที่ ๒ พงึ ทราบวินิจฉยั ดงั ตอไปนี้.

พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 232 บทวา อภิ ฺาเตหิ อภิฺาเตหิ ไดแก อันใคร ๆ ก็รจู กั คอืปรากฏแลว เหมือนดวงจนั ทรเ พญ็ เหมือนดวงอาทิตยก ลางทอ งฟา. ในคาํ วา ปรมปฺ ุราย นี้ สว นขา งหลังเรียกวา ปร. สวนขางหนาเรยี กวา ปรุ า.อธบิ ายวา บริวารจํานวนมากผทู แี่ ลน ไปขา งหนา และทตี่ ิดตามไปขางหลงั .บทวา กณฏฺ กา ไดแ ก ช่อื วา หนาม เพราะอรรถวาทม่ิ ตํา. บทวาวสิ กู ทสนฺ น ไดแก ดกู ารเลนทีเ่ ปนปฏิโลมอันเปนขา ศึก. บทวา มาต-ุคามูปจาโร ไดแ ก ความเปนผเู ทยี่ วไปใกลม าตคุ าม [ผหู ญงิ ]. จบอรรถกถากณั ฏกสตู รที่ ๒ ๓. อฏิ ฐสตู ร วา ดวยธรรม ๑๐ ประการทน่ี า ปรารถนา หาไดยากในโลก [๗๓] ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ เปนธรรมอนันา ปรารถนา นา ใคร นา ชอบใจ หาไดย ากในโลก ๑๐ ประการเปนไฉน คอื โภคสมบตั ิ ๑ วรรณะ ๑ ความไมม ีโรค ๑ ศลี ๑ พรหม-จรรย ๑ มติ ร ๑ ความเปนพหูสูต ๑ ปญ ญา ๑ ธรรม ๑ สตั วท งั้ หลาย ๑ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรม ๑๐ ประการน้แี ล เปน ธรรมอนั นาปรารถนานาใคร นา ชอบใจ หาไดยากในโลก. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย ธรรม ๑๐ ประการเปนอนั ตรายแกธ รรม ๑๐ประการนแ้ี ล ซึง่ เปน ธรรมอันนาปรารถนา นาใคร นา ชอบใจ หาไดยากในโลก คือความเกียจคราน ความไมขยนั หมน่ั เพยี ร เปนอนั ตรายแกโ ภคสมบตั ิ การไมท าํ การสาธยาย เปน อนั ตรายแกความเปนพหสู ตูการไมฟ ง ดว ยดี ไมสอบถาม เปน อันตรายแกปญญา การไมประกอบ

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 233ความเพยี ร การไมพิจารณา เปน อนั ตรายแกธ รรมทง้ั หลาย การปฏบิ ัติผิดเปนอันตรายแกส ตั วท้ังหลาย ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ธรรม ๑๐ ประการน้ีเปนอันตรายแกธรรม ๑๐ ประการนี้แล ซึ่งเปนธรรมอันนา ปรารถนานาใคร นา ชอบใจ หาไดย ากในโลก ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ธรรม ๑๐ประการ เปน อาการของธรรม ๑๐ ประการน้ีแล ซ่งึ เปน ธรรม อนั นาปรารถนา นาใคร นาชอบใจ หาไดยากในโลก คือ ความไมเ กยี จครานความขยันหม่นั เพียร เปน อาหารของโภคสมบตั ิ ๑ การประดับ การตกแตง รางกาย เปนอาหารของวรรณะ ๑ การการทาํ ส่ิงเปนท่ีสบาย เปนอาหารของความไมมโี รค ๑ ความเปน ผูมมี ิตรดี เปน อาหารของศลี ทง้ั -หลาย ๑ การสาํ รวมอนิ ทรยี  เปน อาหารของพรหมจรรย ๑ การไมแกลงกลา วใหคลาดจากความจริง เปนอาหารของมิตรท้ังหลาย ๑ การกระทาํการสาธยาย เปน อาหารของความเปนพหูสูต ๑ การฟง ดว ยดี การสอบถาม เปนอาหารของปญ ญา ๑ การประกอบความเพียร การพิจารณาเปน อาหารของธรรมท้ังหลาย ๑ การปฏิบตั ชิ อบ เปนอาหารของสตั วทง้ั หลาย ๑ ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ เปน อาหารของธรรม ๑๐ ประการน้แี ล ซ่งึ เปน ธรรมอนั นา ปรารถนา นาใครนา ชอบใจ หาไดยากในโลก. จบอิฏฐสตู รที่ ๓ อรรถกถาอฏิ ฐสูตรที่ ๓ อิฏฐสตู รท่ี ๓ พึงทราบวินจิ ฉัยดังตอไปน้ี.

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 234 บทวา อโฺ  ไดแ ก วรรณะแหง สรรี ะ. บทวา ธมฺมา ไดแกโลกุตรธรรม ๙. จบอรรถกถาอิฏฐสตู รที่ ๓ ๔. วฑั ฒิสูตร วา ดวยความเจริญ ๑๐ ประการ [๗๔] ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย อรยิ สาวกเมื่อเจริญดว ยความเจรยิ๑๐ ประการ ยอ มเจรญิ ดว ยความเจริญอันประเสริฐ และเปน ผถู ือเอาสง่ิทเ่ี ปนสาระ ส่ิงทีป่ ระเสรฐิ แหง กาย ความเจริญ ๑๐ ประการเปนไฉนคือ อริยสาวกยอ มเจรญิ ดว ยนาและสวน ๑ ยอ มเจรญิ ดวยทรัพยและขา วเปลอื ก ๑ ยอ มเจริญดวยบุตรและภรรยา ๑ ยอ มเจริญดว ยทาส กรรมกรและคนใช ยอมเจริญดวยสตั ว ๔ เทา ๑ ยอมเจรญิ ดวยศรทั ธา ๑ ยอมเจรญิ ดว ยศีล ๑ ยอมเจริญดว ยสตุ ะ ๑ ยอ มเจรญิ ดว ยจาคะ ๑ ยอ มเจริญดว ยปญ ญา ๑ ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย อริยสาวกเ็ มือ่ เจริญดว ยความเจรญิ๑๐ ประการนี้ ยอมเจรญิ ดวยความเจริญอนั ประเสริฐ และเปน ผถู อื เอาส่งิ ที่เปน สาระ สง่ิ ท่ปี ระเสริฐแหง กาย. บคุ คลใดในโลกน้ี ยอมเจริญดว ยทรัพย ขา ว เปลือก บุตร ภรรยา และสตั ว ๔ เทา บคุ คลนน้ั ยอ มเปน ผมู โี ชค มยี ศ เปนผอู นั ญาตมิ ติ ร แลพระ- ราชาบูชาแลว บคุ คลใดในโลกนี้ ยอมเจริญดว ยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะและปญ ญา บุคคลเชนนั้น เปน สปั บรุ ษุ ปญญาเครื่องพจิ ารณา ยอมเจรญิ ดวยความเจริญ ทงั้ สองประการในปจจบุ นั . จบวฑั ฒสิ ตู รที่ ๔

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 235 อรรถกถาวฑั ฒิสตู รที่ ๔ วฑั ฒิสูตรท่ี ๔ พึงทราบวนิ จิ ฉยั ดงั ตอไปน้ี. บทวา อริยาย ไดแ ก มใิ ชของปุถชุ น. คําน้ีตรัสไว ก็เพราะคละกบั ดว ยธรรมทงั้ หลายมศี ีลเปน ตน. บทวา สาราทายี จ โหติ วราทายีความวา ยอมเปน ผูยึดไวไ ดซงึ่ สาระและสว นประเสริฐ. อธิบายวา ยอมยึดไวซ่งึ สาระของกาย และสว นประเสริฐของกายนน้ั . จบอรรถกถาวัฑฒสิ ูตรที่ ๔ ๕. มิคสาลาสตู ร วาดว ยไมใหถ อื ประมาณใหบคุ คลวาเสื่อมหรอื เจรญิ แตใ หถ ือประมาณธรรม [๗๕] สมยั หนึง่ พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวัน อารามของท1 นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลพระนครสาวัตถี ครั้งนน้ั แล เวลาเชา ทานพระอานนทนงุ แลว ถือบาตรและจวี รเขา ไปยงัทอ่ี ยขู องมิคสาลาอบุ าสิกา แลวน่งั บนอาสนะท่ีเขาปลู าดถวาย ครง้ั นั้นมิคสาลาอุบาสิกาเขาไปหาทา นพระอานนท กราบไหวแ ลว น่ัง ณ ทค่ี วรสวนขา งหน่งึ ครั้นแลวไดถามทา นพระอานนทว า ขาแตท านพระอานนทธรรมนที้ พ่ี ระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงแลว อันเปนเหตุใหค นสองคน คอืคนหนึง่ ประพฤติพรหมจรรย คนหนึง่ ไมประพฤตพิ รหมจรรย จกั เปน คนมีคตเิ สมอกนั ในสัมปรายภพ อันวิญชู นจะพึงรูท ่วั ถึงไดอ ยางไร คอื บดิ าของดฉิ นั ชื่อปรุ าณะ เปน ผูประพฤติพรหมจรรย ประพฤตหิ างไกล งดเวน จากเมถนุ อันเปน ธรรมของชาวบา น ทา นกระทํากาละแลว พระผมู ี-

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 236พระภาคเจาทรงพยากรณว า เปน สกทาคามีบุคคล เขา ถึงช้นั ดุสิต บรุ ุษชอ่ื อสิ ทิ ตั ตะ ผเู ปน ทรี่ ักของบดิ าของดิฉนั ไมเ ปนผปู ระพฤติพรหมจรรย(แต) ยินดีดว ยภรรยาของตน แมเขาทํากาละแลว พระผูม พี ระภาคเจาก็ทรงพยากรณว า เปน สกทาคามีบคุ คล เขา ถงึ ชั้นดสุ ิต ขา แตทา นพระ-อานนท ธรรมน้ที พี่ ระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงแลว อนั เปนเหตุใหคนสองคน คอื คนหนง่ึ ประพฤติพรหมจรรย คนหนึ่งไมประพฤตพิ รหม-จรรย จักเปนผมู ีคติเสมอกันในสัมปรายภพ อันวญิ ชู นจะพึงรทู ่ัวถงึ ไดอยา งไร. ทานพระอานนทกลา ววา ดูกอนนองหญิง ก็ขอ น้พี ระผมู พี ระ-ภาคเจาทรงพยากรณไ วอ ยา งนั้นแล ครง้ั นนั้ ทานพระอานนทรับบณิ ฑ-บาตทน่ี เิ วศนข องมิคสาลาอุบาสกิ า ลุกจากอาสนะกลบั ไปแลว ครั้งน้นัทานพระอานนทกลบั จากบิณฑบาต ภายหลังภตั เขา ไปเฝาพระผูมพี ระ-ภาคเจา ถงึ ทป่ี ระทับ ถวายบังคมแลว นงั่ ณ ทีค่ วรสว นขางหนึง่ครัง้ แลว ไดก ราบทูลวา ขาแตพ ระองคผูเจรญิ ขอประทานพระวโรกาสเวลาเชา ขาพระองคนงุ แลว ถอื บาตรและจวี รเขาไปยงั นิเวศนของอุบาสิกาชือ่ มคิ สาลา แลวนั่งบนอาสนะท่ีเขาปลู าดถวาย ลาํ ดับน้ัน มคิ -สาลาอุบาสิกาเขา ไปหาขาพระองค กราบไหวแ ลว น่งั ณ ที่ควรสวนขางหนงึ่ ครัน้ แลวไดถามขา พระองค ขา แตท า นพระอานนท ธรรมน้ีทพ่ี ระ-ผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงแลว อันเปน เหตใุ หค นสองคน คอื คนหนึง่ประพฤตพิ รหมจรรย คนหน่งึ ไมป ระพฤตพิ รหมจรรย จกั เปนคนมคี ติเสมอกันในสัมปรายภพ อนั วิญชู นพงึ รทู วั่ ถึงไดอยา งไร คือ บิดาของดิฉันชอ่ื ปุราณะ เปนผปู ระพฤตพิ รหมจรรย ประพฤตหิ างไกล งดเวน จาก

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 237เมถนุ อันเปนธรรมของชาวบาน ทานกระทํากาละแลว พระผมู ีพระภาค-เจาทรงพยากรณว า เปน สกทาคามบี คุ คล เขาถงึ ชั้นดสุ ติ บรุ ุษชื่ออสิ ิทัตตะผูเปนทีร่ กั ของบดิ าของดฉิ ัน ไมเ ปนผปู ระพฤตพิ รหมจรรย แตยนิ ดดี ว ยภรรยาของตน แมเขาทํากาละแลว พระผูมพี ระภาคเจากท็ รงพยากรณวาเปน สกทาคามบี คุ คล เขา ถงึ ชนั้ ดสุ ิต ขาแตทา นพระอานนท ธรรมน้ที ่ีพระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงแลวอนั เปน เหตุใหค นสองคน คอื คนหนง่ึประพฤติพรหมจรรย คนหน่ึงประพฤติพรหมจรรย จักเปน ผมู ีคติเสมอกันในสมั ปรายภพ อันวญิ ูชนพงึ รทู ว่ั ถึงไดอยา งไร เมื่อมิคสาลา-อบุ าสิกากลา วอยา งนแี้ ลว ขา พระองคไดก ลา วกะมคิ สาลาอบุ าสกิ าวา ดกู อน-นองหญงิ กข็ อ นพ้ี ระผูมีพระภาคเจา ทรงพยากรณไวอยางนแี้ ล. พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นอานนท ก็มิคสาลาอุบาสกิ าเปนพาล ไมฉ ลาด เปน คนบอด มปี ญ ญาทึบ เปน อะไร และพระ-สัมมาสัมพุทธเจา เปน อะไร ในญาณเครอ่ื งกาํ หนดรูความย่งิ และหยอนแหงอนิ ทรียของบคุ คล ดกู อนอานนท บคุ คล ๑๐ จําพวกน้มี อี ยูในโลก๑๐ จาํ พวกเปน ไฉน ดูกอนอานนท บุคคลบางคนในโลกนเ้ี ปน ผทู ุศลีและไมรูชดั ซง่ึ เจโตวิมตุ ติ ปญ ญาวิมุตติ อนั เปน ทด่ี บั โดยไมเหลือแหง ความเปน ผูทศุ ีลของเขา ตามความเปน จรงิ บุคคลน้ันไมก ระทาํ กจิ แมด วยการฟงไมกระทํากิจแมด ว ยความเปนพหูสูต ไมแทงตลอดแมดว ยทิฏฐิ ยอมไมไ ดวิมตุ ตแิ มอันเกิดในสมยั เมอื่ ตายไป เขายอ มไมไ ปทางเสือ่ ม ไมไ ปทางเจริญยอมถึงความเสือ่ ม ไมถึงความเจริญ ดูกอ นอานนท สวนบุคคลบางคนในโลกนี้ เปน ผทู ศุ ลี แตรูชัดซ่ึงเจโตวิมตุ ติ ปญญาวิมตุ ติ อันเปน ท่ดี บัโดยไมเหลือแหง ความเปนผูทุศลี ของเขา ตามความเปน จริง บุคคลน้นั

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 238กระทํากจิ แมดวยการฟง กระทํากิจแมด วยความเปน พหสู ูต แทงตลอดดว ยดีแมดว ยทิฏฐิ ยอ มไดวมิ ตุ ติแมอนั เกดิ ในสมยั เม่อื ตายไป เขายอ มไปทางเจรญิ ไมไปทางเสอื่ ม ยอมถงึ ความเจรญิ อยา งเดยี ว ไมถึงความเส่ือมดกู อนอานนท พวกคนผูถ อื ประมาณยอมประมาณในเรื่องนน้ั วา ธรรมแมข องคนนกี้ เ็ หลาน้ันแหละ ธรรมแมของคนอ่นื กเ็ หลา น้ันแหละ เพราะเหตไุ รในสองคนน้นั คนหน่ึงเลว คนหนงึ่ ดี ก็การประมาณของคนผูถ อืประมาณเหลา นนั้ ยอ มเปนไปเพื่อมใิ ชประโยชนเ ก้อื กูล เพ่อื ทกุ ข ตลอดกาลนาน ดูกอ นอานนท ในสองคนนน้ั บุคคลใดเปน ผทู ศุ ลี และรูชดัซึ่งเจโตวิมตุ ติ ปญ ญาวิมตุ ติ อันเปน ท่ดี บั โดยไมเหลอื แหงความเปน ผูทศุ ีลของเขา ตามความเปนจรงิ กระทาํ กจิ แมดว ยการฟง กระทํากจิ แมดว ยความเปน พหูสูต แทงตลอดดวยดแี มด วยทฏิ ฐิ ยอ มไดวิมตุ ติแมอนัเกดิ ในสมัย ดูกอ นอานนท บคุ คลน้ีดีกวา และประณตี กวา บุคคลท่กี ลาวขางตน ขอ นนั้ เพราะเหตุไร เพราะกระแสแหงธรรมยอ มถกู ตอ งบคุ คลนี้ใครเลา จะพงึ รเู หตนุ ั้นได นอกจากตถาคต ดูกอนอานนท เพราะเหตุน้นั แหละ เธอท้ังหลายอยา ไดเ ปนผชู อบประมาณในบคุ คล และอยาไดถือประมาณในบุคคล เพราะผถู ือประมาณในบคุ คลยอมทําลายคณุ วเิ ศษของตน เราหรือผูท เี่ หมือนเราพึงถอื ประมาณในบคุ คลได. ดกู อ นอานนท ก็บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน ผมู ีศีล แตไมร ชู ัดซ่ึงเจโตวมิ ตุ ติ ปญ ญาวมิ ตุ ติ อันเปนท่ดี บั โดยไมเหลือแหง ศลี ของเขาตามความเปนจริง บคุ คลนัน้ ไมท ํากจิ แมดวยการฟง ไมกระทาํ กจิ แมดวยความเปนพหูสูต ไมแทงตลอดแมด วยทฏิ ฐิ ยอมไมไดวมิ ตุ ตแิ มอ ันเกดิ ในสมยั เม่ือตายไป เขายอ มไปทางเสื่อม ไมไปทางเจริญ ยอมถึงความ

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 239เสอ่ื มอยา งเดียว ไมถ ึงความเจริญ ดูกอ นอานนท สวนบคุ คลบางคนในโลกน้ี เปน ผมู ีศลี และรชู ดั ซ่ึงเจโตวมิ ุตติ ปญญาวมิ ุตติ อันเปน ท่ีดบัโดยไมเ หลอื แหง ศลี ของเขา ตามความเปนจรงิ บุคคลนนั้ การทํากิจแมดว ยการฟง กระทํากิจแมดวยความเปน พหสู ตู แทงตลอดดวยดแี มดว ยทิฏฐิ ยอมไดวมิ ตุ ตแิ มอ นั เกิดในสมยั เมอ่ื ตายไป เขายอ มไปทางเจรญิไมไปทางเส่อื ม ยอ มถงึ ความเจริญอยา งเดียว ไมถ งึ ความเสื่อม ดกู อนอานนท ฯลฯ เราหรือผูท่เี หมือนเราพึงถอื ประมาณในบุคคลได. ดกู อนอานนท กบ็ คุ คลบางคนในโลกนี้ เปนผูม ีราคะกลา ท้งั ไมรูช ดั ซึง่ เจโตวมิ ุตติ ปญ ญาวมิ ตุ ติ อนั เปน ทด่ี ับโดยไมเ หลือแหง ราคะของเขา ตามความเปน จริง บุคคลน้นั ไมก ระทํากิจแมดวยการฟง ไมกระทํากิจแมดว ยความเปน พหูสตู ไมแทงตลอดดวยดีแมดวยทิฏฐิ ยอ มไมไ ดวิมตุ ติแมอ นั เกิดในสมัย เมื่อตายไป เขายอมไปทางเสอ่ื ม ไมไ ปทางเจรญิยอมถงึ ควานเส่ือมอยางเดยี ว ไมถึงความเจริญ ดกู อ นอานนท สวนบุคคลบางคนในโลกนี้ เปนผมู ีราคะกลา แตร ชู ดั ซ่ึงแจโตวมิ ตุ ติ ปญญา-วิมุตติ อันเปน ท่ดี บั โดยไมเ หลือแหงราคะของเขา ตามความเปน จริงบคุ คลนน้ั กระทาํ กิจแมดว ยการฟง กระทาํ กจิ แมด ว ยความเปนพหูสตูแทงตลอดดว ยดีแมด วยทิฏฐิ ยอ มไดวมิ ุตตแิ มอ นั เกดิ ในสมยั เมื่อตายไปเขายอมไปทางเจริญ ไมไ ปทางเส่ือม ยอ มถึงความเจรญิ อยางเดยี ว ไมถึงความเสือ่ ม ดกู อนอานนท ฯลฯ เราหรอื ผูที่เหมอื นเราพึงถือประมาณในบคุ คลได. ดกู อนอานนท ก็บคุ คลบางคนในโลกน้ี เปนผูมกั โกรธ ท้งั ไมร ูชัดซงึ่ เจโตวิมตุ ติ ปญญาวมิ ุตติ อันเปน ท่ดี บั โดยไมเหลอื แหง ความโกรธ

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 240ของเขา ตามความเปน จรงิ บคุ คลน้นั ไมกระทาํ กจิ แมด วยการฟง ไมกระทาํ กิจแมด ว ยความเปน พหสู ตู ไมแทงตลอดดวยดแี มด ว ยทิฏฐิ ยอมไมไ ดวิมุตติแมอ ันเกดิ ในสมัย เมือ่ ตายไป เขายอ มไปทางเสอื่ ม ไมไ ปทางเจรญิ ยอมถึงความเสื่อมอยา งเดียว ไมถงึ ความเจริญ ดกู อนอานนทสวนบุคคลบางคนในโลกน้ี เปนผมู ักโกรธ แตร ูชดั ซง่ึ เจโตวมิ ุตติ ปญญา-วมิ ุตติ อนั เปน ทดี่ บั โดยไมเหลอื แหง ความโกรธของเขา ตามความเปนจรงิ บุคคลนัน้ กระทาํ กจิ แมดว ยการฟง กระทํากจิ แมด วยความเปนพห-ูสตู แทงตลอดดว ยดแี มด วยทิฏฐิ ยอมไดว ิมตุ ตแิ มอันเกดิ ในสมัย เมือ่ตายไป เขายอมไปทางเจรญิ ไมไ ปทางเส่อื ม ยอมถงึ ความเจริญอยา งเดยี ว ไมถงึ ความเส่ือม กอ นอานนท ฯลฯ เราหรอื ผทู ี่เหมือนเราพงึ ถือประมาณในบคุ คลได. ดูกอ นอานนท กบ็ คุ คลบางคนในโลกนี้ เปน ผฟู ุง ซาน ทงั้ ไมร ูชัดซึง่ เจโตวิมตุ ติ ปญ ญาวิมุตติ อนั เปนที่ดับโดยไมเ หลือแหง ความฟงุ ซานของเขา ตามความเปน จรงิ บคุ คลน้นั ไมกรทาํ กจิ แมดวยการฟง ไมกระทาํ กจิ แมดว ยความเปน พหูสต ไมแ ทงตลอดดว ยดแี มด วยทิฏฐิ ยอ มไมไดวิมตุ ตแิ มอันเกดิ ในสมัย เมือ่ ตายไป เขายอมไปทางเสอื่ ม ไมไปทางเจรญิ ยอ มถงึ ความเสอื่ มอยางเดียว ไมถ งึ ความเจรญิ ดกู อนอานนทสว นบุคคลบางคนในโลกน้ี เปนผูฟ ุงซาน แตร ูชัดซึ่งเจโตวิมตุ ติ ปญ ญา-วิมุตติ อันเปนทด่ี ับโดยไมเ หลือแหงความฟุงซานของเขา ตามความเปนจริง บคุ คลน้ันกระทาํ กิจแมดวยการฟง กระทาํ กิจแมดว ยความเปน พหู-สตู แทงตลอดดว ยดีแมดวยทฏิ ฐิ ยอมไดว ิมุตติแมอนั เกิดในสมัย เม่ือตายไป เขายอ มไปทางเจรญิ ไมไ ปทางเสอ่ื ม ยอ มถงึ ความเจรญิ อยา ง

พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 241เดียว ไมถ งึ ความเสอ่ื ม ดูกอนอานนท พวกคนผถู อื ประมาณ ยอ มประมาณในเรอื่ งนน้ั วา ธรรมแมของคนนก้ี ็เหลา นัน้ แหละ ธรรมแมของคนอนื่ กเ็ หลา นนั้ แหละ เพราะเหตุไรในสองคนนนั้ คนหนงึ่ เลว คนหน่ึงดี กก็ ารประมาณของคนผูถือประมาณเหลา นัน้ ยอ มเปน ไปเพ่อื มใิ ชประโยชนเกื้อกลู เพื่อทุกข ตลอดกาลนาน ดกู อ นอานนท ในสองคนนนั้ บคุ คลใดเปนผูฟุงซา น แตรชู ัดซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญ ญาวมิ ุตติ อนั เปนที่ดบั โดยไมเหลอื แหงความฟุง ซานของเขา ตามความเปน จรงิ บุคคลนัน้กระทาํ กิจแมด วยการฟง การทํากจิ แมดว ยความเปนพหสู ูต แทงตลอดดวยดีแมด ว ยทฏิ ฐิ ยอมไดวิมุตติแมอนั เกิดในสมยั บุคคลน้ีดกี วา และประณีตกวา บคุ คลทก่ี ลา วขางตนโนน ขอ น้นั เพราะเหตุไร เพราะกระแสแหง ธรรมยอมถกู ตอง บคุ คลนี้ ใครเลา จะพึงรเู หตุนน้ั ไดนอกจากตถาคตดกู อนอานนท เพราะเหตุนนั้ แหละ เธอทง้ั หลายอยาประมาณในบคุ คลและอยาไดถอื ประมาณในบคุ คล เพราะผถู อื ประมาณในบุคคล ยอมทาํ ลายคุณวิเศษของตน เราหรอื ผทู เี่ หมือนเราพงึ ถือประมาณในบุคคลได. ดูกอ นอานนท กม็ คิ สาลาอุบาสกิ าเปนพาล ไมฉ ลาด เปนคนบอดมปี ญ ญาทบึ เปนอะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจาเปน อะไร ในญาณเครื่องกําหนดรคู วามยง่ิ และหยอนแหง อนิ ทรยี ข องบุคคล ดูกอ นอานนทบุคคล ๑๐ จําพวกน้แี ล ปรากฏอยูในโลก ดกู อนอานนท บรุ ษุ ชือ่ปรุ าณะเปนผูป ระกอบดวยศีลเชน ใด บรุ ุษช่ืออสิ ิทัตตะก็เปนผปู ระกอบดวยศีลเชน น้ัน บรุ ุษช่อื ปุราณจะไดร ูแ มค ติของบรุ ุษชือ่ อสิ ิทัตตะกห็ ามิได บุรษุ ชื่ออสิ ทิ ัตตะเปนผปู ระกอบดวยปญญาเชนใด บรุ ุษช่ือปุราณะ

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 242ก็เปน ผปู ระกอบดว ยปญญาเชน นั้น บุรษุ ช่อื อิสทิ ตั ตะจะไดร ูแ มค ตขิ องบุรษุ ชือ่ ปรุ าณะกห็ ามไิ ด ดูกอนอานนท คนทั้งสองนีเ้ ลวกวากันดวยองคค ุณคนละอยา ง ดว ยประการฉะนี้. จบมิคสาลาสตู รท่ี ๕ อรรถกถามคิ สาลาสตู รที่ ๕ คําใดจะพึงกลาวกอ นในเบื้องตนแหง สูตรที่ ๕ คาํ นั้น ก็กลา วไวแลว ในฉกั กนิบาต. กใ็ นคาํ วา ทสุ ฺลีโล โหติ เปนตน พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยดังนี.้ บทวา ทุสลฺ ีโล ไดแก เปนผูไมมศี ีล. บทวา เจโตวิมุตฺตึ ไดแกผลสมาธ.ิ บทวา ปุ ฺ าวมิ ุตฺต ไดแก ผลญาณ. บทวา ปนปฺ ชานาติไดแ ก ไมรูโดยการเรียนและการสอบถาม. ในคาํ วา ทสุ ฺสีลฺย อปริเสสนริ ุชฺฌติ น้ี ความทุศีล ๕ อยาง โสดาปตตมิ รรคละไดก อ น ความทศุ ลี๑๐ อยาง พระอรหตั มรรคละได ในขณะผลจิต [คืออรหตั ผล] ความทุศลีเหลานั้น เปน อัน ชือ่ วา มรรคละไดแ ลว. ทรงหมายถึงขณะแหง ผลาจติในสูตรนี้ จงึ ตรัสวา นริ ชุ ฌฺ ติ ก็ศีลของปถุ ุชนยอ มขาดดว ยเหตุ ๕ประการ คอื ตองอาบัติปาราชิก ลาสกิ ขา เขา รดี เดียรถีย บรรลุพระอรหัต ตาย. ในเหตุ ๕ ประการนัน้ เหตุ ๓ ประการขา งตน เปน ไปเพ่ือความเสือ่ ม ประการท่ี ๔ เปนไปเพื่อความเจริญ ประการที่ ๕ไมเ ปน ไปเพ่อื เสอ่ื มหรือเพือ่ เจรญิ . ถามวา กศ็ ลี นี้ขาดเพราะบรรลพุ ระ-อรหตั อยา งไร. ตอบวา เพราะวา ศีลของปุถุชนเปนกศุ ลกรรมสว นเดียว

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 243เทานน้ั สวนพระอรหตั มรรค เปน รปู เพื่อสนิ้ กศุ ลกรรมและอกุศลกรรมศีลขาดเพราะบรรลุพระอรหัตอยา งน้.ี บทวา สวเนนป อกต โหติ ความวา ขอทคี่ วรฟงก็เปนอันไมไดฟง. ในบทวา พาหสุ จฺเจนป อกต โหติ นี้ ความวา ขอท่คี วรทาํดว ยความเพียร กเ็ ปน อนั ไมไ ดทาํ เพราะไมไดทาํ ความเพียรนน้ั จงึ เสื่อมจากสวรรคบา ง จากมรรคบา ง. บทวา ทฏิ ยิ าป อปปฺ ฏวิ ทิ ธฺ  โหติความวา ขอทพี่ ึงแทงตลอดดว ยทฏิ ฐิความเห็น กเ็ ปน อนั ไมแทงใหตลอดไมก ระทําใหป ระจักษ. บทวา สามายิก วมิ ุตฺตึ น ลภติ ความวา อาศยัการฟง ธรรมตามกาลสมควรแกกาล ยอมไมไดป ตเิ พราะปราโมทย. บทวาหานาย ปเรติ ความวา ยอ มถงึ ความเส่ือม. บทวา ยถาภูต ปชานาติความวา บรรลโุ สดาปต ติผลแลว ยอ มรโู ดยการเรยี นและสอบถามวาความทศุ ลี ๕ อยาง ยอ มดับไมมสี วนเหลือ. บทวา ตสสฺ สวเนนป กต โหติ ความวา ขอท่คี วรฟง กเ็ ปนอันไดฟ ง . บทวา พาหสุ จฺเจนป กต โหติ ความวา กจิ ทีค่ วรทาํ ดว ยความเพยี ร โดยทสี่ ุด แมเพียงวปิ สสนาทไี่ มก าํ ลัง ก็เปนอันไดกระทํา.บทวา ทฏิ  ิยาป สุปฺปฏวิ ทิ ธฺ  โหติ ความวา การแทงตลอดปจจยั โดยที่สุดแมด ว ยโลกิยปญญา ก็เปน อนั ไดทํา. จรงิ อยู ปญ ญาของบุคคลผนู ้ียอมชาํ ระศลี เขายอมบรรลุคุณวเิ ศษ ดวยศีลที่ปญ ญาชาํ ระแลว. บทวาปมาณิกา ไดแก ถือเอาจาํ นวนในบคุ คลท้งั หลาย. บทวา ปมินนฺติ ไดแก ควรนบั ชง่ั . บทวา เอโก หีโน ไดแก เสื่อมจากคณุ ท้ังหลายผเู ดียว.บทวา ปณีโต ไดแก สูงสุดดวยคุณทัง้ หลายผูเดียว. บทวา ต หิ ไดแ ก

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 244ทาํ การนับน้ัน. บทวา อภิกฺกนตฺ ตโร แปลวา ดกี วา . บทวา ปณีตตโรแปลวา สงู สุดกวา . บทวา ธมมฺ โสโต นพิ ฺพหติ ความวา วิปสสนาญาณที่ดําเนนิ ไปกลา แขง็ ยอมชกั พา คือใหบ รรลุอริยภูมิ. บทวา ตทนนตฺ ร โก ชาเนยยฺความวา ใครจะพงึ รเู หตุนน้ั ๆ. บทวา สลี วา โหติ ไดแก ยอ มมีศีลดวยโลกยิ ศีล. บทวา ยตถฺ สสฺ ต สลี  ความวา ถึงวมิ ตุ ตใิ นพระอรหตัแลว ศีลกช็ ่อื วา ดับไมเหลือเลย. ขอยุตใิ นศลี นั้น กก็ ลา วไวแ ลวทง้ั นน้ั .ในองคท ้งั สองนอกจากนี้ อนาคามิผล ชือ่ วาวมิ ตุ ติ. ในสูตรท่ี ๕ ก็ตรสั พระอรหตั อยางเดยี ว. คําท่เี หลอื ในสูตรที่ ๕นนั้ กพ็ งึ ทราบตามแนวแหง นยั ที่กลา วแลว. จบอรรถกถามิคสาลาสูตรท่ี ๕ ๖. อภพั พสูตร วา ดว ยธรรม ๓ ประการมอี ยูในโลก พระสมั มาสัมพทุ ธเจา จึงบังเกิดในโลก [๗๖] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ธรรม ๓ ประการน้ี ไมพึงมใี นโลกพระตถาคตอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจา ไมพึงบงั เกดิ ในโลก ธรรมวินัยท่พี ระ-ตถาคตทรงประกาศไวแ ลว ไมพ ึงรุง เรอ่ื งในโลก ๓ ประการเปน ไฉนคือ ชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑ ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรม ๓ ประการนี้แล ไมพ ึงมีในโลก พระตถาคตอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจาไมพ ึงบงั เกดิในโลก ธรรมวินัยอนั พระตถาคตทรงประกาศไวแ ลว ไมพ ึงรุงเรอื งในโลกดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย กเ็ พราะธรรม ๓ ประการนม้ี ีอยใู นโลก ฉะนน้ั พระ-

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาที่ 245ตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา จึงบังเกิดในโลก ธรรมวินยั ทพี่ ระตถาคตทรงประกาศไวจงึ รุงเรอื งในโลก ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย บุคคลไมละธรรม๓ ประการแลว กไ็ มอ าจละชาติ ชรา มรณะได ๓ ประการเปนไฉนคอื ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย บุคคลไมละธรรม๓ ประการนแี้ ลว ก็ไมอ าจละชาติ ชรา มรณะได ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลายบคุ คลไมล ะธรรม ๓ ประการแลว กไ็ มอ าจละราคะ โทสะ โมหะได๓ ประการเปนไฉน คอื สักกายทิฏฐิ ๑ วิจกิ จิ ฉา ๑ สลี พั พตปรามาส ๑ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย บคุ คลไมละธรรม ๓ ประการนีแ้ ลว กไ็ มอาจละราคะโทสะ โมหะได ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย บคุ คลไมละธรรม ๓ ประการแลวก็ไมอ าจละสักกายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สีลัพพตปรามาสได ๓ ประการเปน ไฉนคอื การกระทําไวในใจโดยอบุ ายไมแ ยบคาย ๑ การเสพทางผดิ ๑ ความหดหแู หง จิต ๑ ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย บคุ คลไมล ะธรรม ๓ ประการนแี้ ลกไ็ มอ าจละสกั กายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา สลี พั พตปรามาสได ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลายบคุ คลไมละธรรม ๓ ประการแลว กไ็ มอ าจละการกระทําไวในใจโดยอบุ ายไมแ ยบคาย การเสพทางผิด ความหดหูแหง จติ ได ๓ ประการเปน ไฉนคอื ความเปน ผมู สี ติหลงลมื ๑ ความไมมีสมั ปชญั ญะ ๓ ความฟงุ ซา นแหงจิต ๑ ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย บคุ คลไมละธรรม ๓ ประการนี้แลวก็ไมอาจละการกระทําไวใ นใจโดยอุบายไมแ ยบคาย การเสพทางผดิ ความหดหแู หง จติ ได ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย บคุ คลไมละธรรม ๓ ประการแลวกไ็ มอาจละความเปน ผมู สี ตหิ ลงลืม ความไมม ีสมั ปชัญญะ ความฟุงซานแหงจติ ได ๓ ประการเปน ไฉน คือ ความเปนผูไมใครเ หน็ พระอรยิ ะ ๑ความเปนผไู มใ ครฟ งธรรมของพระอริยะ ๑ ความเปน ผมู ีจติ คดิ แขง ดี ๑

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 246ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย บคุ คลไมละธรรม ๓ ประการนี้แลว ก็ไมอ าจละความเปน ผูมสี ตหิ ลงลมื ความไมม สี มั ปชัญญะ ความฟงุ ซา นแหง จิตไดดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย บคุ คลไมละธรรม ๓ ประการแลว ก็ไมอาจละความเปน ผูไมใ ครเ หน็ พระอรยิ ะ ความเปน ผไู มใครฟ งธรรมของพระอรยิ ะความเปนผมู ีจิตคดิ แขง ดีได ๓ ประการเปนไฉน คือ ความฟุงซาน ๑ความไมส าํ รวม ๑ ความทศุ ีล ๑ ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย บคุ คลไมละธรรม๓ ประการน้แี ลว กไ็ มอาจละความเปน ผใู ครเ หน็ พระอรยิ ะ ความเปนผูไมใ ครฟงธรรมของพระอริยะ ความเปน ผูม จี ิตคดิ แขง ดีได ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย บุคคลไมละธรรม ๓ ประการแลว ก็ไมอาจละความฟุง ซา นความไมสํารวม ความทุศลี ได ๓ ประการเปนไฉน คอื ความเปนผไู มมีศรัทธา ๑ ความเปนผไู มรูค วามประสงค ๑ ความเกยี จครา น ๑ ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย บคุ คลไมละธรรม ๓ ประการนี้แลว ก็ไมอาจละความฟงุ ซาน ความไมส าํ รวม ความทศุ ีลได ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย บุคคลไมละธรรม ๓ ประการแลว กไ็ มอาจละความเปน ผไู มม ีศรทั ธา ความเปนผไู มรูความประสงค ความเกียจครา นได ๓ ประการเปน ไฉน คือ ความไมเอื้อเฟอ ๑ ความเปนผูวา ยาก ๑ ความเปนผมู ีมติ รชั่ว ๑ ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย บคุ คลไมล ะธรรม ๓ ประการนแ้ี ลว กไ็ มอาจละความเปน ผไู มมีศรทั ธา ความเปนผูไมร ูความประสงค ความเกยี จครานได ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย บคุ คลไมล ะธรรม ๓ ประการแลว ก็ไมอ าจละความไมเอือ้ เฟอความเปนผวู ายาก ความเปน ผูมมี ติ รชั่วได ๓ ประการเปนไฉน คอื ความไมม ีหริ ิ ๑ ความไมม ีโอตตปั ปะ ๑ ความประมาท ๑ ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลายบคุ คลไมล ะธรรม ๓ ประการนีแ้ ลว ก็ไมอ าจละความไมเอือ้ เฟอ ความ

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 247เปน ผวู า ยาก ความเปน ผมู ีมิตรชวั่ ได ดกู อนภิกษุท้งั หลาย บคุ คลผไู มม ีความละอาย ไมม คี วามเกรงกลวั เปน ผูประมาท กไ็ มอาจละความเปนผูไมเอ้อื เฟอ ความเปนผูวายาก ความเปน ผมู มี ติ รชว่ั ได บุคคลเปน ผูมีมติ รชั่ว กไ็ มอ าจละความเปน ผูไ มมศี รัทธา ความเปนผูไมร ูความประสงคความเกยี จครา นได บุคคลเปนผูเ กียจคราน ก็ไมอาจละความฟุงซานความสาํ รวม ความทศุ ีลได บคุ คลเปนผทู ุศลี ก็ไมอ าจละความเปน ผูไมใ ครเ หน็ พระอริยะ ความเปนผูไมใ ครฟ ง ธรรมของพระอริยะ ความเปนผมู จี ิตคิดแขง ดไี ด บุคคลเปนผูมจี ิตคิดแขง ดี กไ็ มอ าจละความเปนผมู สี ตหิ ลงลืม ความไมมสี มั ปชัญญะ ความฟงุ ซานแหง จติ ได บุคคลเปนผมู จี ติ ฟงุ ซาน ก็ไมอาจละความกระทําไวในใจโดยอบุ ายไมแยบคาย การเสพทางผิด ความหดหูแหง จติ ได บุคคลเปนผูมจี ิตหดหู ก็ไมอ าจละสักกายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาสได บุคคลเปนผูมีวจิ ิกิจฉา ก็ไมอาจละราคะ โทสะ โมหะได บุคคลไมล ะราคะ โทสะ โมหะแลว กไ็ มอาจละชาติ ชรา มรณะได. ดูภกิ ษุทง้ั หลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการแลว จงึ อาจละชาติชรา มรณะได ๓ ประการเปน ไฉน คอื ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลละธรรม ๓ ประการนแี้ ลว จึงอาจละชาติ ชรามรณะได ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย บคุ คลละธรรม ๓ ประการแลว จงึ อาจละราคะ โทสะ โมหะได ธรรม ๓ ประการเปน ไฉน คอื สกั กายทิฏฐิ ๑ วจิ ิ-กจิ ฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนีแ้ ลว จงึ อาจละราคะ โทสะ โมหะได ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการแลว จงึ อาจละสกั กายทฏิ ฐิ วิจกิ ิจฉา สลี พั พตปรามาส

พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 248ได ๓ ประการเปน ไฉน คือ การกระทําไวใ จโดยอุบายไมแ ยบคาย ๑การเสพทางผิด ๑ ความหดหูแหง จติ ๑ ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนแี้ ลว จงึ อาจละสักกายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา สลี พั พตปรามาสได ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการแลว จงึ อาจละการกระทาํ ไวในใจโดยอบุ ายไมแยบคาย การเสพทางผดิ ความหดหแู หง จติได ๓ ประการเปนไฉน คือ ความเปน ผมู สี ติหลงลืม ๑ ความไมม สี มั ป-ชัญญะ ๑ ความฟงุ ซา นแหง จติ ๑ ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย บคุ คลละธรรม๓ ประการน้ีแลว จงึ อาจละการกระทําไวในใจโดยอุบายไมแยบคาย การเสพทางผดิ ความหดหูแหงจิตได ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย บคุ คลละธรรม๓ ประการแลว จงึ อาจละความเปนผมู สี ติหลงลมื ความไมมีสมั ปชญั ญะความฟงุ ซา นแหง จิตได ๓ ประการเปนไฉน คอื ความเปนผไู มใ ครเ หน็พระอรยิ ะ ๑ ความเปนผูไมใครฟ ง ธรรมของพระอริยะ ๑ ความเปน ผูมีจติ คดิ แขงดี ๑ ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย บคุ คลผลู ะธรรม ๓ ประการน้ีแลวจึงอาจละความเปนผมู ีสตหิ ลงลืม ความไมมสี ัมปชัญญะ ความฟุง ซา นแหง จติ ได ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการแลว จึงอาจละความเปนผูไมใครเห็นพระอริยะ ความเปนผูไ มใ ครฟงธรรมของพระอริยะความเปน ผูมีจิตคดิ แขงดไี ด ๓ ประการเปนไฉน คือ ความฟงุ ซา น ๑ความไมสาํ รวม ๑ ความเปน ผูทศุ ลี ๑ ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย บคุ คลผูละธรรม ๓ ประการนี้แลว จงึ อาจละความเปนผูไมใ ครเหน็ พระอรยิ ะ ความเปนผูไมใครฟ ง ธรรมของพระอริยะ ความเปน ผูมีจิตคิดแขงดไี ด ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย บคุ คลละธรรม ๓ ประการแลว จึงอาจละความฟงุ ซา นความไมส าํ รวม ความเปนผูทศุ ีลได ๓ ประการเปนไฉน คอื ความเปน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 249ผูไ มมีศรัทธา ๑ ความเปน ผไู มรูค วามประสงค ๑ ความเกยี จคราน ๑ ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนีแ้ ลว จงึ อาจละความฟงุซาน ความไมสาํ รวม ความเปน ผทู ุศลี ได ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย บคุ คลละธรรม ๓ ประการแลว จงึ อาจละความเปน ผูไมม ศี รัทธา ความเปนผูไมร คู วามประสงค ความเกียจครานได ๓ ประการเปน ไฉน คอื ความเปน ผไู มเออ้ื เฟอ ๑ ความเปนผูวา ยาก ๑ ความเปน ผมู มี ิตรชว่ั ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลย บุคคลละธรรม ๓ ประการน้ีแลว จงึ อาจละความเปน ผไู มมีศรัทธา ความเปนผไู มรูค วามประสงค ความเกียจครา นได ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย บคุ คลละธรรม ๓ ประการนแ้ี ลว จึงอาจละความเปนผูไมเ อ้ือเฟอความเปน ผูวายาก ความเปนผูมีมิตรชว่ั ได ๓ ประการเปนไฉน คอืความเปนผูไมมีความละอาย ๑ ความเปน ผไู มมคี วามเกรงกลวั ๑ ความประมาท ๑ ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย บุคคลละธรรม ๓ ประการนแ้ี ลว จึงอาจละความเปน ผูไมเ ออ้ื เฟอ ความเปน ผวู า ยาก ความเปผูมมี ิตรช่วั ได ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย บุคคลผมู คี วามละอาย มีความเกรงกลัว ไมประมาทอยู ก็อาจละความเปน ผูไมเอือ้ เฟอ ความเปนผวู ายาก ความเปนผมู ีมิตรชว่ั ได บุคคลเปน ผมู ีมติ รดี ก็อาจจะละความเปน ผมู ีมีศรทั ธา ความเปน ผไู มรูความประ-สงคความเกียจครา นได บุคลเปนผูปรารภความเพยี ร กอ็ าจละความเปนผูฟุงซานความไมสํารวม ความเปน ผทู ุศลี ได บุคคลเปนผมู ศี ีล กอ็ าจละความเปนผูไมใ ครเ ห็นพระอรยิ ะ ความเปน ผไู มใ ครฟงธรรมของพระอรยิ ะ ความเปน ผมู ีจติ คิดแขง ดีได บคุ คลเปน ผูม จี ติ ไมค ิดแขงดี กอ็ าจละความเปน ผูมสี ติหลงลืม ความไมมสี ัมปชญั ญะ ความฟงุ ซา นแหง จิตได บคุ คลเปนผูมจี ติ อนั ไมฟงุ ซา น กอ็ าจละการกระทาํ ไวใ นใจโดยอุบายอันไมแ ยบคาย

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาที่ 250การเสพทางผิด ความหดหแู หงจิตได บุคคลเปน ผูม ีจิตไมหดหู ก็อาจละสกั กายทิฏฐิ วจิ ิกิจฉา สีลพั พตปรามาสได บคุ คลเปน ผูไมมวี จิ กิ ิจฉาก็อาจละราคะ โทสะ โมหะได บคุ คลละราคะ โทสะ โมหะแลว กอ็ าจละชาติ ชรา มรณะได. จบอภพั พสตู รที่ ๖ อรรถกถาอภัพพสูตรท่ี ๖ อภัพพสตู รที่ ๖ มเี น้อื ความงา ยท้งั นน้ั . จบอรรถกถาอภัพพสตู รท่ี ๖ ๗. กากสตู ร วาดว ยอสทั ธรรม ๑๐ ประการ [๗๗] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย กาประกอบดวยอสัทธรรม ๑๐ประการ ๑๐ ประการเปน ไฉน คือ เปนผูม กั ขจัด ๑ คะนอง ๑ ทะเยอทะยาน ๑ กนิ จุ ๑ หยาบชา ๑ ไมมกี รุณา ๑ ไมแ ขง็ แรง มักรอ ง ๑เผลอสติ ๑ สงั่ สม ๑ ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย กาประกอบดว ยอสัทธรรม ๑๐ประการน้ีแล ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษผุ ลู ามกก็ประกอบดวยอสัทธรรม๑๐ ประการ ฉนั น้ันเหมอื นกนั แล ๑๐ ประการเปนไฉน คือ เปนผูขจัด ๑คึกคะนอง ๑ ทะเยอทะยาน ๑ กนิ จุ ๑ หยาบชา ๑ ไมม กี รณุ า ๑ ไมแข็งแรง ๑ มกั รอง ๑ เผลอสติ ๑ สงั่ สม ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลายภกิ ษุผูลามกประกอบดวยอสัทธรรม ๑๐ ประการน้แี ล. จบกากสูตรที่ ๗


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook