พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 101จติ นิยามโดยชวนะ แตย อมกลา วนยิ ามแหง เวทนาโดยอารมณ เพราะเหตนุ ้นัในวาทะของทา นนีน้ น่ั แหละ แมวิบากจิต ๑๒ ดวงก็ดี อเหตุกจติ ๘ ดวงก็ดีชื่อวา แนวทางแหงวิบากจิต ๑๒ ดวง. ในแนวทางวิบากจิตนนั้ มนี ยั ตอไปนี้ ก็เมื่ออสังขารกิ จิตเปน ติเหตกุ ะสหรคตดว ยโสมนสั ทาํ กรรมแลว บคุ คลผถู อื ปฏสิ นธิดว ยวิบากจติ เชน นน้ั น่นั แหละ ถึงการเจริญวยั แลว เมอื่ อิฏฐารมณมาสูคลองจกั ขุทวารแลว โมฆวาระ ๓ ยอ มมโี ดยนยั ท่กี ลา วไวใ นหนหลังเหมือนกนั ในกถาวาดว ยจติ เหลานั้น จติ ๑๓ ดวง เหลาน้ี คอื กศุ ลวิบาก๔ ดวง อกศุ ลวบิ ากท่ีสหรคตดวยโสมนสั ๔ ดวง และกริ ยิ าจติ ๕ ดวงดวงใดดวงหน่งึ เมือ่ ชวนจิตเสพอารมณส ุดแลว ก็ตง้ั อยูเ ปนตทารมณ ตเิ หตกุ -จติ ทเี่ ปนอสังขารกิ ซึง่ สหรคตดว ยโสมนสั ก็ดี อเหตกุ จติ ทเ่ี ปนทเุ หตกุ เปน อสัง-ขารกิ กด็ ี กย็ อ มต้ังอยูเปนตทารมณน ่นั แหละ ดว ยอาการอยา งนี้ ในจกั ขทุ วารของบุคคลน้ันจงึ เปนวิบากจติ ๔ ดวง เขาถงึ การนบั เปน ๕ ดวง คือ วิบากจิต๓ ดวง มีจกั ขวุ ิญญาณเปนตน และตทารัมมณจิต ๒ ดวง อน่ึง ครน้ั เปลีย่ นเวทนาไปโดยอารมณแลว อุเบกขาสหคตจติ ๑๒ ดวงคอื กุศลวิบาก ๔ ดวง อกศุ ลวิบาก ๔ ดวง กริ ยิ าจติ ๔ ดวง ดวงใดดวงหนง่ึเมอื่ ชวนะเสพอารมณเ สรจ็ แลว จิตทีเ่ ปนติเหตุกอสงั ขารกิ สหรคตดวยอเุ บกขากด็ ี วบิ ากจิต อสงั ขาริก ทุเหตุกะกด็ ี ก็เกดิ ขึ้นเปนตทารมั มณะ ดวยประการฉะนี้ ในจักขุทวารของบุคคลนน้ั ก็เขาถึงการนับได ๓ ดวงเหลาน้ี คอื สนั ติ-รณจิตสหรคตดว ยอเุ บกขา และตทารัมมณจิต ๒ ดวงเหลานี้ จติ ๓ ดวงเหลานน้ั กบั จิต ๕ ดวงกอ นรวมเปน ๘ ดวง แมในโสตทวารเปน ตน กไ็ ดทวารละ ๘ ดวง เม่อื กรรมอันเจตนาดวงหน่งึ ทาํ แลว จติ ๔๐ ดวงถวนยอ ม
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 102เกิดขน้ึ . แตเมื่อถือเอาจิตท่ยี ังมไิ ดถือเอาก็ไดจติ ๑๒ ดวง คือ ในจักขุทวาร ๘ดวง ในโสตวญิ ญาณเปน ตนอีก ๔ ดวง. ในขอ นน้ั พงึ ทราบมลู ภวงั ค ภวงั คท ่ีเปน ไปและกถาอันเปรยี บดว ยมะมวงและนยิ ามโดยนยั ที่กลา วแลวนนั่ แหละ เมอื่กรรมอันกุศลจิตทเ่ี ปน สสงั ขารกิ ติเหตกุ ะสหรคตดวยโสมนัสกระทําแลวก็ดีเมือ่ กรรมอันอสงั ขารกิ และสสังขารกิ ะเปนติเหตกุ ะสหรคตดวยอุเบกขาทําแลว ก็ดีกน็ ยั น้แี หละ. ความอปุ มาเร่ืองเครอื่ งหีบออยทา นกลา ววา ไมไ ดใน ๒ ขอ นี้ เมอื่กรรมอันกศุ ลจติ ท่ีเปน สสงั ขาริกทุเหตุกสหรคตดวยโสมนสั ทําแลว ก็ดี เมอ่ื กรรมอนั อสังขารกิ และสสังขาริก ทเ่ี ปนทุเหตุกะสหรคตดวยอุเบกขาทาํ แลวก็ดี ก็มีนยั น้เี หมือนกัน ดวยคาํ มีประมาณเพียงเทา นี้ ทานกลา ววาระวา ทุเหตุกปฏสิ นธิยอ มมีดว ยกรรมอันเปนทุเหตุกะ ดังน.ี้ สวนวาระ อเหตกุ ปฏิสนธิ ยอ มมี ดังนี้ พงึ ทราบอยางน้ี เม่อืกรรมอนั กุศลญาณวปิ ปยตุ ๔ ดวงกระทําแลว บณั ฑิตไมควรกลาววา เปนปฏิสนธิเชนกบั กรรมท่อี เหตุกมโนวิญญาณธาตุท่เี ปน กศุ ลวบิ ากทสี่ หรคตดวยอุเบกขาถอื ปฏสิ นธิ ตัง้ แตตนไปพึงทราบวา ความเกิดข้นึ แหง จติ ทม่ี ีอฏิ ฐารมณบาง อฏิ ฐมชั ฌัตตารมณบ าง ตามทีก่ ลา วโดยนัยท่ีกลาวไวในหนหลงั นัน่ แหละจรงิ อยู ในวาทะของพระเถระนี้ ชวนะประมวลมาเปน พวกเดยี วกันยอมเสพอารมณ ถอ ยคําท่เี หลอื ทัง้ หมดมอี าทวิ า ชวนะนีจ้ ิตตุปบาทอะไร ยอมกาํ หนดไวโดยความเปนกศุ ล หรืออกศุ ล โดยนยั ทก่ี ลาวไวในทีน่ ั้น ๆ นั่นแหละแนวทางกถาวา ดวยวิบาก ๑๒ ดวง กับวบิ ากจติ ๑๐ ดวง อเหตกุ ะ ๘ ดวงในวาทะของพระมหาทัตตเถระผอู ยใู นโมรวาป จบแลว ดว ยคํามปี ระมาณเทา นี.้
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 103 วิบากจิต ๑๐ ดวงในวาทะพระมหาธรรมรกั ขิตเถระ บัดน้ี เปนเรอ่ื งวาดวยวิบากจิต ๑๐ ดวง ในวาทะของพระธรรมรัก-ขติ เถระตอ ไป. ในวาทะนนั้ ปญ หาในเมอื งสาเกต และการแสดงสว นขางมากเปนไปตามปกตินนั่ แหละ สวนการแสดงน้ีแตกตา งกันคือ กรรมทีเ่ ปน ติเหตุกะ ยอ มใหว ิบากเปนติเหตุกะจิตบาง ใหวิบากเปนทเุ หตกุ จติ บา ง ใหวิบากเปนอเหตกุ จติ บาง. กรรมที่เปนทเุ หตกุ ะ ยอ มไมใหวิบากเปน ตเิ หตกุ จติ เทานัน้ แตใ หวิบากจติ นอกน้ี. ดวยกรรมทีเ่ ปนตเิ หตกุ ะปฏสิ นธิยอมเปนติเหตกุ จติ เทา นัน้ ไมเ ปน ทุเหตกุ ะหรอื อเหตุกจติ . ดวยกรรมทีเ่ ปน ทเุ หตกุ ะ ปฏิสนธิยอมเปน ทุเหตุกะและอเหตกุ จติ ไมเปน ตเิ หตุกจติ .กรรมทเ่ี ปนอสังขารกิ ยอ มใหว ิบากท่ีเปนอสังขารกิ เทา นั้น ไมใ หว ิบากเปนสสังขารกิ . แมกรรมท่เี ปนสสงั ขารกิ กใ็ หว ิบากทเ่ี ปน สสังขารกิ เทานนั้ ไมใ หวิบากเปนอสงั ขารกิ . เวทนาพึงเปล่ยี นไปดวยอารมณ ชวนจติ กย็ อ มเสพอารมณแลน ไปในกลมุ เดยี วกันนัน่ แหละ บัณฑติ พงึ กลา วอธบิ ายจิตทง้ั หลายตั้งแตต นตอไป. ในขอ นน้ั พงึ ทราบกถาดงั ตอไปนี้ บคุ คลหนึง่ ทํากรรมดวยกุศลจิตดวงท่ีหนง่ึ เขายอ มถอื ปฏิสนธิดวยวบิ ากจติ ดวงทีห่ นึ่งเทา นนั้ . ปฏิสนธิจติ นเ้ี ปนเชนกับกรรมทีก่ ระทาํ . เม่อื บคุ คลนัน้ เจรญิ วัยแลว เมื่ออิฏฐารมณม าสูค ลองในจกั ขทุ วาร โมฆวาระ ๓ ยอ มมีโดยนัยท่กี ลาวแลว น่นั แหละ ลําดับนน้ั เมอื่ เวลาสน้ิ สุดลงแหง ชวนจติ ท่สี หรคตดวยโสมนัส ๑๓ ตามท่กี ลาวในหนหลังนนั่ แหละ ดวงใดดวงหนง่ึ ของบคุ คลนัน้เสพแลว วบิ ากจิตดวงทห่ี นง่ึ เทานนั้ ยอ มเปนตทารมณ. วิบากจติ นน้ั ไดชอื่ ๒อยาง คือ มูลภวังค และตทารัมมณะ ดว ยอาการอยางนี้ จิตท้งั หลายของเขา
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 104ยอมเขา ถึงการนบั ได ๔ ดวง คอื วบิ ากจติ ๓ ดวง (ตามลําดบั ) มีจักขุวิญญาณเปนตน และตทารัมมณะในเวลาสนิ้ สุดลงแหง จติ ชวนะท่ีสหรคตดว ยอเุ บกขา๑๒ ดวง โดยนยั ท่กี ลา วในอิฏฐมชั ฌัตตารมณ ในหนหลังนั่นเอง ดวงใดดวงหนงึ่ เสพแลว จิตที่เปน ตเิ หตุกะอสังขริกทสี่ หรคตดว ยอุเบกขากต็ ัง้ อยใู นความเปนตทารัมมณ. วบิ ากจติ นั้นไดชอ่ื ๒ อยาง คือ อาคันตกุ ภวงั ค และตทารมั มณะ จติ ของเขาจงึ นบั ได ๒ อยา ง คอื อเุ บกขาสหรคตสันตริ ณจติ และตทารมั มณะดวงนี้. วบิ ากจติ ๒ ดวงนี้กับวิบากจติ ๔ ดวงกอน จงึ รวมเปนวบิ ากจติ ๖ ดวง ดวยประการฉะน้ี แมในโสตทวารเปน ตนก็ไดวิบากจิตทวาร ๖เพราะฉะนนั้ เมอื่ กรรมอนั เจตนาดวงเดียวทํากุศลแลว วบิ ากจิต ๓๐ ดวงถว นยอ มเกิดข้นึ ในทวาร ๕ วาดว ยการนับจิต (ถอื เอา) ที่ยังมิไดนบั ยอ มไดวิบากจติ ๑๐ ดวง คือ ในจกั ขทุ วาร ๖ ดวง ในโสตวญิ ญาณเปนตน ๔ ดวง.ขอเปรียบเทียบดว ยผลมะมว งและนิยามกถาคงเปน ไปตามเดมิ นนั่ แหละ. เม่อื กรรมอนั กุศลจิตดวงท่ี ๒ ที่ ๓ ท่ี ๔ แมกระทําแลว วิบากจติ กม็ ีประมาณเทา น้ี และยอ มมี ดว ยประการฉะน.้ี แมใ นกรรมท่ีอเุ บกขาสหคตจติ๔ ดวง กระทําแลว ก็นัยน้ีเหมือนกัน. กใ็ นวาทะนี้ พงึ แสดงอฏิ ฐมชั ฌัตตา-รมณก อน ภายหลังจึงเปล่ยี นเวทนาดว ยอฏิ ฐารมณ. ในขอนน้ั ขอ เปรยี บเทยี บดว ยผลมะมวงและนยิ ามกถาเปน ไปตามเดมิ เหมอื นกนั แตไมไดขอเปรยี บเทยี บวา ดวยขอ หบี ออย บัณฑิตพงึ กลา วอเหตุกจิต ๘ ดวงท้ังหมดใหพ สิ ดารตัง้ แตน้ีวา กเ็ มอ่ื วา โดยกศุ ล เม่ือกรรมอนั ญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวงทาํ แลว ดงั น้ีเปนตน. ดว ยคาํ มีประมาณเทาน้ี วิบากจิต ๑๐ ดวง กับอเหตกุ จติ ๘ ดวงในวาทะของพระมหาธรรมรกั ขิตเถระ จบแลว ดว ยประการฉะน้.ี
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 105 ถามวา วาทะของพระเถระท้งั ๓ เหลาน้ี ของรูปไหนควรถือเอา. ตอบวา ไมควรถือเอาของทานรปู ไหนโดยสว นเดยี ว แตค วรถือเอาวาทะของทานทั้งหมดทถี่ ูกตอง. ดวยวา ในวาทะของพระเถระรูปแรกทานประสงคจดั ประเภทจิตทเ่ี ปนสังขาร (มีการชักจงู ) และอสังขาร (ไมม กี ารชักจงู ) โดยความตางกันแหงปจ จัย ดว ยเหตนุ ้ัน ในวาทะพระเถระรูปท่ีหนึง่ น้ี ทานจึงกลาวถงึ ทางแหงวบิ าก ๑๖ ดวง ดวยสามารถแหง พระเสกขะและปถุ ชุ น ถอื เอาวบิ ากทีเ่ ปนสสังขารของกุศลทีเ่ ปน อสงั ขารซึ่งเกดิ ขึ้นดวยปจ จัยทที่ ุรพล และวิบากท่ีเปนอสงั ขารของกศุ ลทีเ่ ปนสสงั ขาร ซง่ึ เกดิ ขึน้ ดว ยปจจยั ท่ีมกี ําลงั ละกิริยาชวนะทั้งหลายแมไดอ ยแู ลวกําหนดตทารมั มณะดวยกุศลชวนะท้งั หลาย กาํ หนดเวทนาดวยอารมณ ก็ในวาทะของพระเถระทหี่ น่ึงนี้ ทา นแสดงตทารมั มณะอนั ใดอนั เปน อเหตุกวิบากเทา น้ัน ในที่สดุ แหงอกุศลชวนจติ ตทารัมมณะน้ันทา นไมแ สดงไวใ นวาทะนอกน้เี ลย เพราะฉะนั้น ในวาทะของทานนนั้ ตทารัมมณะที่เปน อเหตกุ วิบากนน้ั ในวาทของพระเถระที่หน่งึ น้นั และตทารมั มณะทีเ่ ปนสเหตกุ วบิ ากทกี่ ลาวไวใ นวาทะนอกน้ีน้ัน วาทะทง้ั หมดน้ยี อมไดในอธกิ ารแมน้ีเหมือนกนั . ขอนั้น มนี ยั ดงั ตอ ไปนี้ ก็ในกาลใด อกศุ ลจติ เสพอารมณใ นระหวาง ๆ (สลับวิถกี ัน) แหงกศุ ลชวนจิตทงั้ หลายในกาลนน้ั ตทารมั มณะเปนสเหตกุ ะก็พึงรบั อารมณ ในท่ีสุดแหง อกุศลชวนจิต เหมือนกบั รบั อารมณเ นือง ๆ ในท่สี ดุ แหงกุศลชวนจิตนน่ั แหละ ในกาลใดอกุศลจติ เกดิ ตดิ ตอ กนั ไปไมขาดสาย ในกาลน้นั อเหตกุ -วิบากจงึ ควรเปน ตทารัมมณะ พงึ ถือเอาขอ ท่ถี ูกในวาทะของพระเถระรปู ที่หนง่ึอยา งน้ีกอน.
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 106 ก็ในวาทะของพระเถระรปู ที่ ๒ ทานประสงคจ ัดประเภทจติ ท่ีเปนอสงั ขารและสสังขารของกศุ ล ดว ยเหตนุ ้นั ในวาทะท่ี ๒ น้ี จึงกลา วถึงวิบากจิต ๑๒ ดวง ดวยอํานาจชวนะทรี่ วมกันเทา น้ัน ซง่ึ สมควรแกการเกิดขึน้ แกพระเสกขะพระอเสกขะและปถุ ุชนแมท ง้ั หมด โดยถอื เอาวิบากจิตทีเ่ ปน อสงั ขารกิของกุศลจติ ท่ีเปน อสงั ขารกิ อยางเดยี ว และวบิ ากจติ ท่เี ปน สสังขารกิ ของกศุ ลท่ีเปน สสังขารกิ อยา งเดยี ว ไมก ระทําการกาํ หนดตทารมั มณะโดยชวนจติ . แตใ นวาทะที่ ๒ นี้ เมอ่ื ชวนจติ เปน ตเิ หตกุ ะสน้ิ สุดลง ตทารมั มณะกส็ มควรเปนเหตุ-กะ เม่ือชวนจติ เปนทเุ หตกุ ะสิน้ สุดลง ทารมั มณะสมควรเปน ทุเหตุกวิบากจติเม่อื ชวนจิตอันเปนอเหตุกะสน้ิ สดุ ลง ตทารัมมณะจิตสมควรเปนอเหตกุ วิบากจติ แตขอ นที้ านมไิ ดจ าํ แนกไว. ก็คําทค่ี วรถอื เอาถกู ตอ งในวาทะท่ี ๒ มดี วยประการฉะนี.้ แมใ นวาทะของพระเถระรปู ท่ี ๓ ทานกป็ ระสงคจดั สสงั ขาริกจติ และอสังขาริกจิตของกุศลน่นั แหละ เพราะคาํ ที่กลาววา กรรมที่เปน ตเิ หตกุ ะยอมใหว ิบากเปนติเหตกุ ะบา ง ใหว บิ ากเปนทเุ หตกุ ะบาง ใหวิบากเปนอเหตกุ ะบางดงั น้ี ควรเปน แมต ทารัมมณะทีเ่ ปน อสงั ขาริกติเหตุกะบา ง เปน อสังขารกิ ทุเหตุกะบาง ของปฏิสนธจิ ติ ที่เปนอสังขารกิ ตเิ หตุกะ แตท า นไมแ สดงตทารมั มณะน้นัแสดงแตต ทารมั มณะท่ีเปนเชนเดียวกบั ติเหตุกจติ เทานั้น ตทารมั มณะน้ันไมสมกับลทั ธิท่ีแสดงเหตุขางมากในเบ้ืองตน การที่ทานกลา วไวอยา งนี้ เพ่ืออธบิ ายถึงแนวทางแหง วิบากจติ ๑๐ ดวงเทานนั้ แตตทารัมมณะแมนอกนก้ี ็ยงั ไดน่นัแหละ ควรถือเอาขอ ทถ่ี ูกตอ งแมใ นวาทะท่ี ๓ อยา งน.ี้ อน่งึ วาทะนแ้ี มทง้ั หมดเปน ถอยคาํ วาดวยตทารัมมณะหมายเอาวิบากของกรรมอันใหเ กดิ ปฏสิ นธเิ ทา นน้ั แตเ พราะพระบาลวี า สเหตกุ ภวงฺคสฺส
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 107อนนตฺ รปจฺจโย (ภวงั คที่เปน สเหตกุ จติ เปนอนนั ตรปจ จยั ) ดังนี้ ตทา-รัมมณจิตทเ่ี ปน สเหตกุ วิบากยอมเกดิ ข้ึน แมแกป ฏสิ นธิทเ่ี ปน อเหตกุ จติ ดวยกรรมตาง ๆ กัน วิธแี หง การเกดิ ขนึ้ ของตทารมั มณะน้ัน จกั แจมแจงในมหา-ปกรณแล. กถาวา ดว ยกามาวจรกุศลวิบากจิต จบ รูปาวจรวิบาก [๔๑๗] ธรรมเปนอัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจริญมรรคปฏิปทาเพอื่ เขาถงึ รูปภูมิ สงัดจากกาม สงดัจากอกศุ ลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌานท่ีมปี ฐวกี สณิ เปนอารมณ ฯลฯอยูใ นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยน้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ีชื่อวา ธรรมเปน กุศล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลุปฐมฌานท่ีมีปฐวีกสิณเปนอารมณ ฯสฯ อันเปนวบิ าก เพราะรูปาวจรกุศลกรรมอนั ไดทําไวแ ลว ไดส่งั สมไวแลว น้ันแล อยูในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯอวกิ เขปะ มใี นสมัยนนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้นั ช่อื วา ธรรมเปนอพั ยากฤต ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจรญิ มรรคปฏปิ ทาเพื่อเขา ถึงรปู ภูมิ บรรลทุ ุติยฌานฯลฯ บรรลตุ ตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลจุ ตตุ ถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 108บรรลุปญจมฌาน ทีม่ ปี ฐวีกสณิ เปน อารมณ อยใู นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ -เขปะ มใี นสมยั น้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นัน้ ชื่อวา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลบรรลุปญ จมฌานที่มปี ฐวกี สณิ เปน อารมณ ไมมที กุ ขไมส ุข เพราะละสุขและทกุ ขได ฯลฯ อันเปน วบิ าก เพราะรูปาวจรกศุ ลกรรมอนั ไดทาํ ไวแ ลว ไดส ่งั สมไวแลว น้ันแล อยูในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวิก-เขปะ มใี นสมัยนนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นช้ี ือ่ วา ธรรมเปนอัพยากฤต ฯลฯ รูปาวจรวบิ าก จบ อรูปาวจรวบิ าก [๔๑๘] ธรรมเปนอัพยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพอ่ื เขา ถงึ รูปภมู ิ เพราะกา วลว งรูปสัญญาโดยประการทัง้ ปวง เพราะความดับไปแหงปฏฆิ สญั ญา เพราะไมม นสิ-การซ่ึงนานัตตสญั ญา จึงบรรลุจตตุ ถฌาน อันสหรคตดวยอากาสานญั จายตน-สัญญา ไมม ที กุ ขไ มมีสขุ เพราะละสุขละทุกขได ฯลฯ อยใู นสมยั ใด ผัสสะฯลฯ อวกิ เขปะ. มีในสมยั น้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ีชอ่ื วา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบุคคลเพราะกาวลว งรปู สัญญาโดยประการทงั้ ปวง เพราะความดบั ไปแหงปฏฆิ สัญญา เพราะไมมนสกิ ารซึ่งนานตั ตสญั ญา จึงบรรลุจตตุ ถฌานอันสหรคตดว ยอากาสานัญจายตนสญั ญา ไมมที ุกขไมม สี ขุ เพราะละสุขละทุกขไ ด ฯลฯ อนั เปนวิบาก เพราะรปู าวจรกศุ ลกรรมอันไดทาํ ไวแ ลวน้ันแล อยูในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยน้ัน สภาวธรรมเหลา นชี้ อื่ วา ธรรมเปนอพั ยากฤต.
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 109 [๔๑๙] ธรรมเปนอัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจรญิ มรรคปฏปิ ทาเพื่อเขา ถงึ อรปู ภูมิ เพราะกา วลวงอากาสานญั จายตนะโดยประการท้ังปวง จงึ บรรลจุ ตตุ ถฌานอนั สหรคตดว ยวิญ-ญาณัญจายตนสัญญา ไมมีทกุ ขไมม ีสุข เพราะละสขุ ละทุกขไ ด ฯลฯ อยใู นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมยั นัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ชี ่ือวาธรรมเปนกุศล โยคาวจรบุคคลเพราะกา วลวงอากาสานัญจายตนะโดยประการทงั้ ปวงจงึ บรรลจุ ตุตถฌาน อนั สหรคตดว ยวญิ ญาณญั จายตนสัญญา ไมม ที กุ ขไ มมีสุขเพราะละสขุ ละทกุ ขไ ด ฯลฯ อนั เปน วิบาก เพราะอรปู าวจรกุศลกรรมอนั ไดทําไวแลว ไดส่ังสมไวแ ลว นั้นแล อยใู นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะมใี นสมยั นนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ีชื่อวา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๔๒๐] ธรรมเปน อัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏปิ ทาเพอื่ เขา ถึงอรปู ภมู ิ เพราะกาวลวงวญิ ญาณัญจายตนะโดยประการทง้ั ปวง จงึ บรรลุจตตุ ถฌาน อนั สหรคตดวยอากิญจญั ญายตนสญั ญา ไมมีทุกขไมม สี ุข เพราะละสุขละทุกขได ฯลฯ อยูในสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยน้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นีช้ ่อื วาธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลเพราะกาวลว งวญิ ญาณัญจายตนะโดยประการทงั้ ปวงจงึ บรรลุจตุตถฌาน อนั สหรคตดวยอากญิ จญั ญายตนสัญญา ไมม ที กุ ขไ มม สี ขุเพราะละสุขละทกุ ขได ฯลฯ อนั เปน วิบาก เพราะอรปู าวจรกศุ ลกรรมอนั ไดทําไวแลว ไดส ่ังสมไวแลว น้ันแล อยใู นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมยั นัน้ ฯลฯ
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 110 สภาวธรรมเหลาน้ีช่อื วา ธรรมเปนอัพยากฤต. [๔๒๑] ธรรมเปนอัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏปิ ทาเพ่อื เขา ถึงอรูปภมู ิ เพราะกาวลว งอากิญจญั ญายตนะโดยประการท้ังปวง จึงบรรลจุ ตุตถฌาน อนั สหรคตดว ยเนวสญั ญานาสญั ญายตนสญั ญา ฯลฯ อยใู นสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลานี้ช่ือวา ธรรมเปน กุศล โยคาวจรบคุ คลเพราะกาวลวงอากญิ จญั ญายตนะโดยประการทงั้ ปวงจึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตดวยเนวสญั ญานาสญั ญายตนสัญญา ไมมีทกุ ขไมมีสขุ เพราะละสุขละทุกขได ฯลฯ อันเปน วิบาก เพราะอรปู าวจรกุศลกรรมอันไดทาํ ไวแ ลว ไดส่ังสมไวแลว น้นั แล อยูใ นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะมใี นสมัยน้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ชี ือ่ วา ธรรมเปน อพั ยากฤต. อรปู าวจรวบิ าก จบ อรรถกถาแสดงรปู าวจรวิบากเปนตน บัดน้ี พระผูมพี ระภาคเจาทรงประสงคจะแสดงวิบากจติ ท่เี ปนรูปาวจรเปน ตน จึงเรม่ิ ตรสั วา กตเม ธมฺเม อพยฺ ากตา (ธรรมอนั เปน อัพยากฤตเปนไฉน) เปนตน อีก. พึงทราบวินิจฉยั ในธรรมอนั เปนอัพยากฤตตอไป กามาวจรวิบากยอมเปนเหมอื นกนั บา ง ไมเหมอื นกนั บา งกับกุศลจติของตน เพราะฉะนนั้ วบิ ากจิตของกุศลนน้ั ทา นจึงมิไดจําแนกใหเ ปนวิบาก
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 111คลอยตามกุศล. สว นรูปาวจรวิบาก และอรูปาวจรวบิ าก ยอ มเปนเชน เดียวกับกุศลของตน เหมือนเงาทง้ั หลายมเี งาชา ง มา และตนไมเปน ตน ยอมเปน เชนชา งมาและตนไมเ ปนตนนัน่ แหละ ดงั น้นั ทานจึงจําแนกทาํ ใหคลอ ยตามกศุ ล. อน่งึ กามาวจรกศุ ล ยอมใหวบิ ากในกาลบางคร้ังบางคราวกไ็ ด สว นรปู าวจรกุศล และอรูปาวจรกศุ ลยอ มใหว ิบากเฉพาะอัตภาพในภพที่สองทีเดียวโดยไมม ีอนั ตราย แมเ พราะเหตนุ ี้ ทา นจึงจําแนกใหเปนเชน กบั กศุ ลนน่ั แหละคาํ ท่เี หลอื พึงทราบโดยนัยที่กลาวในกศุ ลนัน่ แล. สว นความแตกตางกนั มีดงั น.้ี พงึ ทราบประเภทมีปฏปิ ทาเปน ตน และความเปนหีนจิต ปณตี จิตและมัชฌิมจิต เพราะการมาแหงฌานในรปู าวจรวบิ าก และอรปู าวจรวิบากเหลานี.้ แตว ิบากเหลานไ้ี มม ีอธิบดเี ลย เพราะไมท าํ ธรรมมีฉันทะเปนตนดวงใดดวงหนึ่งใหเปน ธุระเกิดขน้ึ แล. รปู าวจรวิบากและอรูปาวจรวบิ าก จบ
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 112 โลกตุ ตวิบาก วบิ ากแหง มรรคจิต ดวงที่ ๑ มหานัย ๒๐ สทุ ธกิ ปฏิปทา [๔๒๒] ธรรมเปนอัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจรญิ ฌานเปน โลกุตระ อนั เปน เครอ่ื งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพื่อละทฏิ ฐิ เพ่ือบรรลุภมู ิเบื้องตน สงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน เปน ทุกขาปฏปิ ทาทันธาภิญญา ฯลฯอยูใ นสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นี้ชื่อวา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทั้งหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เปนทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภญิ ญา ฯลฯ อนั เปนวบิ ากเพราะกศุ ลฌานเปน โลกตุ ระอนั ไดท าํ ไวแลว ไดเจรญิ ไวแลว นน้ั แล อยใู นสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อญั ญินทรีย ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นี้ชื่อวา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๔๒๓] ธรรมเปนอัพยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจริญฌานเปน โลกตุ ระ อนั เปน เครอ่ื งออกไปจากโลก นําไปสนู ิพพาน เพอื่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภูมิเบอ้ื งตน สงดั จากกามสงัดจากอกศุ ลธรรมทั้งหลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน เปน ทกุ ขาปฏปิ ทาทันธา-ภิญญา ฯลฯ อยูใ นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยน้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ีชื่อวา ธรรมเปนกุศล
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 113 โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทงั้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อนิมิตตะ เปน ทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา ฯลฯ อันเปน วบิ ากเพราะกศุ ลฌานเปน โลกตุ ระอันไดทําไวแลว ไดเ จรญิ ไวแลวนัน้ แล อยูในสมยัใด ผสั สะ ฯลฯ อญั ญินทรยี ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมยั น้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานช้ี ่อื วา ธรรมเปนอัพยากฤต. [๔๒๔] ธรรมเปน อัพยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปน โลกุตระ อนั เปนเครือ่ งออกไปจากโลกนาํ ไปสนู ิพพาน เพ่อื ละทิฏฐิ เพอื่ บรรลุภูมเิ บ้อื งตน สงัดจากกาม สงดั จากกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน เปน ทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ฯลฯอยใู นสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นัน้ ฯลฯ ภาวธรรมเหลา น้ีชอ่ื วา ธรรมเปนกศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงัดจากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทั้งหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอปั ปณิหิตะ เปนทกุ ขาปฏปิ ทาทันธาภิญญา ฯลฯ อนั เปน วิบากเพราะกศุ ลฌานเปน โลกตุ ระอันไดทําไวแ ลว ไดเจริญไวแ ลวนัน้ แล อยูในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อญั ญนิ ทรีย ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมัยนน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ีชื่อวา ธรรมเปน อพั ยากฤต. [๔๒๕] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปนโลกตุ ระ อันเปน เครอื่ งออกไปจากโลกนําไปสนู พิ พาน เพื่อละทิฏฐิ เพอ่ื บรรลุภมู ิเบือ้ งตน บรรลุทุตยิ ฌาน ฯลฯบรรลตุ ตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ จมฌาน เปนทุกขาปฏปิ ทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยูในสมยั ใด ดงั นี้ กศุ ลฯลฯ ชนดิ สุญญตะ เปน ทกุ ขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ดงั น้ี วิบาก ฯลฯ เปน
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 114ทุกขาปฏปิ ทาทันธาภญิ ญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนดิ อนมิ ติ ตะ เปนทกุ ขา-ปฏปิ ทาทนั ธาภญิ ญา ดงั น้ี วิบาก ฯลฯ เปน ทุกขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา ดังนี้กุศล ฯลฯ ชนดิ อัปปณหิ ิตะ เปน ทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ดังน้ี วิบากผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ีช่อื วา ธรรมเปน อัพยากฤต. [๔๒๖] ธรรมเปน อัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปน โลกตุ ระ อันเปนเครอ่ื งออกไปจากโลกนําไปสนู พิ พาน เพื่อละทฏิ ฐิ เพอื่ บรรลุภูมเิ บือ้ งตน สงดั จากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมทงั้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน เปน ทุกขาปฏิปทาขปิ ปาภญิ ญา ฯลฯเปนสขุ าปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ฯลฯ เปนสขุ าปฏิปทาขิปปาภญิ ญา ฯลฯ บรรลุทตุ ิยฌาน ฯลฯ บรรลตุ ตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลจุ ตตุ ถฌาน ฯลฯ บรรลปุ ฐมฌานฯลฯ บรรลุปญ จมฌาน เปนสขุ าปฏิปทาขปิ ปาภิญญา ฯลฯ อยใู นสมัยใดดังน้ี กศุ ล ฯลฯ ชนดิ สุญญตะ เปน สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดงั น้ี วบิ ากฯลฯ เปนสขุ าปฏิปทาขิปปาภิญญา ดงั นี้ กศุ ล ฯลฯ ชนดิ อนิมิตตะ เปนสขุ าปฏิปทาขปิ ปาภญิ ญา ดงั นี้ วิบาก ฯลฯ เปนสขุ าปฏปิ ทาขปิ ปาภิญญา ดงั นี้กศุ ล ฯลฯ ชนิดอปั ปณิหติ ะ เปนสขุ าปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังน้ี วบิ าก ผัสสะฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมัยน้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานีช้ ่อื วา ธรรมเปน อัพยากฤต. สทุ ธกิ ปฏปิ ทา จบ
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 115 สทุ ธกิ สญุ ญตะ [๔๒๗] ธรรมเปน อัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปนโลกตุ ระ อันเปนเคร่อื งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพอ่ื ละทฏิ ฐิ เพอ่ื บทลภุ มู เิ บอ้ื งตน สงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรมท้ังหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ สุญญตะ ฯลฯ อยใู นสมัยใดผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ีชื่อวา ธรรมเปนกุศล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมท้ังหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ สญุ ญตะ ฯลฯ อันเปน วิบาก เพราะกศุ ลฌานเปน โลกุตระอนัอนั ไดทําไวแ ลว ไดเจรญิ ไวแลว นั้นแล อยูในสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมยั นั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลานี้ ชือ่ วา ธรรมเปนอัพยากฤต. [๔๒๘] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจริญฌานเปน โลกตระ อนั เปน เครอ่ื งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพอื่ ละทิฏฐิ เพอื่ บรรลภุ มู เิ บอื้ งตน สงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมท้ังหลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนิดสญุ ญตะ ฯลฯ อยูใ นสมัยใดผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั น้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลานั้นชอ่ื วา ธรรมเปน กุศล โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทั้งหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อนิมิตตะ ฯลฯ อันเปนวบิ เพราะกุศลฌานโลกตุ ระอนัไดท ําไวแ ลว ไดเจรญิ ไวแ ลว นน้ั แล อยูใ นสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยน้นั ฯลฯ
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 116 สภาวธรรมเหลา นี้ชอ่ื วา ธรรมเปน อัพยากฤต. [๔๒๙] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจรญิ ฌานเปน โลกุตระ อนั เปนเคร่อื งออกไปจากโลกนําไปสูน พิ พาน เพือ่ ละทฏิ ฐิ เพ่อื บรรลภุ ูมเิ บือ้ งตน สงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนดิ สญุ ญตะ ฯลฯ อยูในสมัยใดผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลานช้ี ือ่ วา ธรรมเปนกุศล โยคาวจรบคุ คลสงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหติ ะ ฯลฯ อนั เปน วบิ าก เพราะกุศลฌานเปนโลกุตระอนั ไดท าํ ไวแลว ไดเจรญิ ไวแ ลวนนั้ แล อยใู นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะมใี นสมยั นั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลานชี้ ่ือวา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๔๓๐] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจริญฌานเปนโลกตุ ระ อันเปนเครือ่ งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพอื่ บรรลุภูมิเบ้ืองตน บรรลุทุติยฌาน ฯลฯบรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตตุ ถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญจมฌาน ชนดิ สญุ ญตะ ฯลฯ อยูในสมยั ใด ดังน้ี กุศล ฯลฯ ชนดิ สุญญตะดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนดิ สุญญตะ ดังนี้ กศุ ล ฯลฯ ชนดิ อนิมิตตะ ดงั นี้วบิ าก ฯลฯ ชนดิ สุญญตะ ดงั นี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณหิ ิตะ ดงั น้ี วบิ ากผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยน้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นีช้ อ่ื วา ธรรมเปน อพั ยากฤต. สุทธกิ สญุ ญตะ จบ
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 117 สญุ ญตปฏิปทา [๔๓๑] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจริญฌานเปนโลกุตระ อนั เปนเครอ่ื งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพื่อบรรลภุ มู ิเบอ้ื งตน สงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทั้งหลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนดิ สุญญตะ เปน ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยูใ นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั น้นั ฯลฯสภาวธรรมเหลา นี้ช่อื วา ธรรมเปนกุศล โยคาวจรบคุ คลสงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ สุญญตะ เปน ทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภญิ ญา ฯลฯ อันเปนวิบากเพราะกศุ ลฌานเปน โลกุตระ อนั ไดทาํ ไวแลว ไดเจริญไวแลวนน้ั แล อยใู นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยน้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลานชี้ ือ่ วา ธรรมเปน อัพยากฤต. [๔๓๒] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปนโลกตุ ระ อันเปน เครอ่ื งออกไปจากโลกนําไปสูนิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพือ่ บรรลภุ มู เิ บือ้ งตน สงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนิดสญุ ญตะ เปนทุกขาปฏิปทาทนั ธาภญิ ญา ฯลฯ อยใู นสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นั้น ฯลฯสภาวธรรมเหลา นชี้ อื่ วา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทัง้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อนิมิตตะ เปนทกุ ขาปฏปิ ทาทันธาภิญญา ฯลฯ อนั เปนวบิ ากเพราะกุศลฌานเปน โลกตุ ระ อนั ไดท ําไวแ ลว ไดเ จรญิ ไวแ ลว น้ันแล อยูในสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมัยน้ัน ฯลฯ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 118 สภาวธรรมเหลา นี้ช่อื วา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๔๓๓] ธรรมเปน อัพยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจรญิ ฌานเปน โลกุตระ อันเปนเครือ่ งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพือ่ ละทฏิ ฐิ เพอื่ บรรลุภมู ิเบื้องตน สงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ สญุ ญตะ เปนทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภญิ ญา ฯลฯ อยูในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมยั น้นัฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ชี ่อื วา ธรรมเปน กุศล โยคาวจรบคุ คลสงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมทงั้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อัปปณหิ ติ ะ เปนทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อนั เปน วบิ ากเพราะกุศลฌานเปน โลกตุ ระอนั ไดทําไวแลว ไดเ จริญไวแลว นน้ั แล อยใู นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลานีช้ ือ่ วา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๔๓๔] ธรรมเปนอัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจริญฌานเปนโลกตุ ระ อันเปน เคร่อื งออกไปจากโลกนําไปสนู พิ พาน เพอ่ื ละทิฏฐิ เพื่อบรรลภุ มู เิ บ้อื งตน บรรลุทุตยิ ฌาน ฯลฯบรรลตุ ตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุจตตุ ถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญจมฌาน ชนดิ สุญญตะ เปนทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา ฯลฯ อยใู นสมยั ใดดงั นี้ กศุ ล ฯลฯ ชนดิ สุญญตะ เปน ทุกขาปฏปิ ทาทันธาภญิ ญา ดังนี้ วบิ ากฯลฯ ชนิดสุญญตะ เปน ทกุ ขาปฏิปทาทันธาภญิ ญา ดังน้ี กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เปน ทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภญิ ญา ดังนี้ วบิ าก ฯลฯ ชนิดสุญญตะเปน ทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนดิ อปั ปณหิ ิตะ เปนทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ดังน้ี วบิ าก ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยน้ัน ฯลฯ
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 119 สภาวธรรมเหลานีช้ ือ่ วา ธรรมเปน อพั ยากฤต. [๔๓๕] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจรญิ ฌานเปนโลกตุ ระ อันเปน เคร่ืองออกไปจากโลกนาํ ไปสูนิพพาน เพอ่ื ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลภุ ูมิเบ้อื งตน สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนดิ สญุ ญตะ เปนทุกขาปฏิปทาขปิ ปาภิญญา ฯลฯ ชนดิ สญุ ญตะ เปนสขุ าปฏิปทาทนั ธาภิญญา ฯลฯ ชนิดสญุ ญตะ เปน สุขาปฏปิ ทาขปิ ปาภญิ ญา ฯลฯ บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลจุ ตุตถฌาน ฯลฯ บรรลปุ ฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ จมฌานชนดิ สุญญตะ เปนสุขปฏิปทาขิปปาภญิ ญา ฯลฯ อยใู นสมยั ใด ดงั น้ี กุศลฯลฯ ชนดิ สุญญตะ เปน สขุ าปฏิปทาขิปปาภญิ ญา ดังนี้ วบิ าก ฯลฯ ชนดิสญุ ญตะ เปนสขุ าปฏปิ ทาขิปปาภญิ ญา ดังน้ี กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมติ ตะเปนสขุ าปฏปิ ทาขิปปาภญิ ญา ดังน้ี วบิ าก ฯลฯ ชนดิ สญุ ญตะ เปน สุขาปฏปิ ทาขิปปาภญิ ญา ดังน้ี กุศล ฯลฯ ชนดิ อัปปณิหิตะ เปน สุขาปฏิปทาขปิ ปาภญิ ญาดังนี้ วบิ าก ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยนน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นชี้ ื่อวา ธรรมเปน อพั ยากฤต. สุญญตปฏิปทา จบ สุทธกิ อัปปณหิ ิตะ [๔๓๖] ธรรมเปนอัพยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปน โลกตุ ระ อนั เปนเคร่อื งออกไปจากโลกนําไปสูนิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพอ่ื บรรลภุ มู ิเบือ้ งตน สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทงั้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณหิ ิตะ ฯลฯ อยใู น
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 120สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานีช้ อื่ วาธรรมเปน กุศล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทั้งหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อปั ปณิหติ ะ ฯลฯ อนั เปนวิบาก เพราะกศุ ลฌานอันเปนโลกุตระอันทําไวแ ลว ไดเ จรญิ ไวแ ลว นนั้ แล อยูในสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯอวกิ เขปะ มใี นสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ชี อื่ วา ธรรมเปน อัพยากฤต [๔๓๗] ธรรมเปนอัพยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจรญิ ฌานเปนโลกตุ ระ อนั เปน เครือ่ งออกไปจากโลกนําไปสูน พิ พาน เพ่ือละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภูมเิ บ้อื งตน สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อปั ปณิหติ ะ ฯลฯ อยใู นสมัยใดผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลานั้นช่อื วา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมทัง้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อนิมติ ตะ ฯลฯ อนั เปนวบิ าก เพราะกุศลฌานเปน โลกตุ ระอนั ไดท ําไวแลว ไดเจรญิ ไวแ ลวนน้ั แล อยใู นสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนน้ั สภาวธรรมเหลา นีช้ ือ่ วา ธรรมเปนอัพยากฤต. [๔๓๘] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปน โลกุตระ อันเปน เคร่ืองออกไปจากโลกนาํ ไปสูนิพพาน เพ่ือละทิฏฐิ เพื่อบรรลภุ มู เิ บ้ืองตน สงัดจากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทัง้ หลายแลว บรรลปุ ฐมฌานชนดิ อัปปณิหติ ะ ฯลฯ อยูใ นสมัยใด
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 121ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยนน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นชี้ อื่ วา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทงั้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสญุ ญตะ ฯลฯ อันเปนวิบาก เพราะกศุ ลฌานเปนโลกุตระกศุ ลไดทาํ ไวแลว ไดเ จริญไวแ ลว นน้ั แล อยใู นสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะมใี นสมัยนนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ชี ื่อวา ธรรมเปน อัพยากฤต. [๔๓๙] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจรญิ ฌานเปนโลกตุ ระ อันเปนเครื่องออกไปจากโลกนาํ ไปสนู พิ พาน เพอ่ื ละทิฏฐิ เพอ่ื บรรลุภูมิเบื้องตน บรรลทุ ุตยิ ฌาน ฯลฯบรรลตุ ตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ จมฌาน ชนิดอปั ปณิหิตะ ฯลฯ อยูในสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอปั ปณหิ ิตะ ดงั นี้ วบิ าก ฯลฯ ชนดิ อัปปณหิ ติ ะ ดงั นี้ กศุ ล ฯลฯ ชนิดอนิมติ ตะ ดังน้ี วิบาก ฯลฯ ชนิดอปั ปณิหติ ะ ดงั นี้ กศุ ล ฯลฯ ชนดิ สญุ ญตะดังน้ี วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลานชี้ อ่ื วา ธรรมเปนอพั ยากฤต. สทุ ธิกอัปปณหิ ิตะ จบ อัปปณิหิตปฏปิ ทา [๔๔๐] ธรรมเปนอัพยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจรญิ ฌานเปน โลกตุ ระ อันเปน เคร่ืองออกไปจากโลกนําไปสูน ิพพาน เพือ่ ละทฏิ ฐิ เพอื่ บรรลภุ ูมิเบอ้ื งตน สงดั จากกาม สงดั จาก
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 122อกศุ ลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอปั ปณิหิตะ เปน ทุกขาปฏปิ ทา-ทันธาภิญญา ฯลฯ อยใู นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยน้ัน ฯลฯสภาวธรรมเหลา น้ชี ื่อวาธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมท้ังหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อัปปณิหิตะ เปน ทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ฯลฯ อนั เปนวิบากเพราะกุศลฌานเปนโลกุตระ อันไดท ําไวแลว ไดเจรญิ ไวแลว นน้ั แล อยูในสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นีช้ ่ือวา ธรรมเปนอัพยากฤต. [๔๔๑] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปน โลกุตระ อันเปนเครอื่ งออกไปจากโลกนําไปสนู พิ พาน เพื่อละทฏิ ฐิ เพอื่ บรรลภุ ูมิเบือ้ งตน สงดั จากกาม สงัดจากอกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เปนทกุ ขาปฏิปทา-ทนั ธาภญิ ญา ฯลฯ อยูในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯสภาวธรรมเหลานชี้ ือ่ วา ธรรมเปนกศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมท้ังหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อนมิ ติ ตะ เปน ทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา ฯลฯ อนั เปน วิบากเพราะกุศลฌานเปนโลกตุ ระ อนั ไดท าํ ไวแลว ไดเ จรญิ ไวแลวนน้ั แล อยใู นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ชี ื่อวา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๔๔๒] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจรญิ ฌานเปน โลกตุ ระ อนั เปนเครอื่ งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพื่อละทฏิ ฐิ เพอ่ื บรรลภุ มู เิ บ้อื งตน สงดั จากกาม สงัดจาก
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 123อกศุ ลธรรมท้งั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนดิ อปั ปณหิ ติ ะ เปนทกุ ขาปฏปิ ทา-ทันธาภญิ ญา ฯลฯ อยูในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยนั้น ฯลฯสภาวธรรมเหลา นน้ั ชื่อวา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสญุ ญตะ เปนทุกขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา ฯลฯ อันเปนวบิ ากเพราะกศุ ลฌานเปนโลกตุ ระ อันไดทําไวแลว ไดเจรญิ ไวแ ลวนั้นแล อยูในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา น้ันชอ่ื วา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๔๔๓] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจรญิ ฌานเปน โลกตุ ระ อนั เปน เครอ่ื งออกไปจากโลกนาํ ไปสูนพิ พาน เพอื่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลภุ มู เิ บอื้ งตน บรรลุทตุ ิยฌาน ฯลฯบรรลตุ ตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ จมฌาน ชนิดอปั ปณิหิตะ เปนทุกขาปฏปิ ทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยูในสมยั ใด ดงั น้ี กศุ ล ฯลฯ ชนิดอปั ปณหิ ติ ะ เปน ทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภญิ ญาดงั น้ี วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ เปนทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ดงั น้ีกศุ ล ฯลฯ ชนิดอนมิ ิตตะ เปน ทุกขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา ดังน้ี วิบาก ฯลฯชนิดอัปปณิหิตะ เปนทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดงั น้ี กุศล ฯลฯ ชนดิ สญุ ญตะเปน ทกุ ขาปฏปิ ทาทันธาภิญญา ดังนี้ วบิ าก ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นัน้ฯลฯ สภาวธรรมเหลานชี้ ื่อวา ธรรมเปน อัพยากฤต. [๔๔๔] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปนโลกุตระ อนั เปน เครอ่ื งออกไปจากโลกนาํ ไปสูนพิ พาน เพ่อื ละทฏิ ฐิ เพ่อื บรรลุภมู เิ บื้องตน สงดั จากกาม สงัดจาก
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 124อกศุ ลธรรมทั้งหลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ชนิดอปั ปณิหติ ะ เปนทุกขาปฏิปทาขิปปาภญิ ญา ฯลฯ ชนดิ อปั ปณหิ ติ ะ เปนสุขาปฏิปทาทันธาภญิ ญา ฯลฯ ชนิดอัปปณหิ ิตะ เปนสขุ าปฏปิ ทาขปปาภิญญา ฯลฯ บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ จมฌานชนิดอัปปณหิ ิตะ เปน สขุ าปฏปิ ทาขปิ ปาภิญญา ฯลฯ อยใู นสมยั ใด ดงั นี้ กศุ ลฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เปนสขุ าปฏิปทาขิปปาภญิ ญา ฯลฯ ดังน้ี วบิ าก ฯลฯชนิดอปั ปณิหติ ะ เปนสขุ าปฏปิ ทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนดิ อนิมิตตะเปน สขุ าปฏปิ ทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนดิ อัปปณิหติ ะ เปน สุขา-ปฏิปทาขปิ ปาภิญญา ดงั นี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เปนสขุ าปฏิปทาขปิ ปา-ภญิ ญา ดงั นี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมัยนน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานั้นชือ่ วา ธรรมเปนอัพยากฤต. อปั ปณิหิตปฏปิ ทา จบ [๔๔๕] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจรญิ มรรคเปน โลกตุ ระ ฯลฯ เจรญิ สติปฏฐานเปนโลกตุ ระ ฯลฯ เจริญสัมมัปปธานเปนโลกตุ ระ ฯลฯ เจริญอิทธิบาทเปนโลกุตระ ฯลฯ เจรญิ โพชฌงคเ ปนโลกุตระ ฯลฯ เจรญิ สัจจะเปน โลกุตระฯลฯ เจรญิ สมถะเปนโลกตุ ระ ฯลฯ เจรญิ ธรรมเปน โลกุตระ ฯลฯ เจริญขันธเปน โลกตุ ระ ฯลฯ เจรญิ อายตนะเปนโลกตุ ระ ฯลฯ เจรญิ ธาตุเปนโลกตุ ระฯลฯ เจรญิ อาหารเปนโลกตุ ระ ฯลฯ เจริญผสั สะเปน โลกุตระ ฯลฯเจริญเวทนาเปน โลกตุ ระ ฯลฯ เจริญสัญญาเปนโลกุตระ ฯลฯ เจริญเจตนาเปนโลกุตระ ฯลฯ เจรญิ จิตเปน โลกตุ ระ อนั เปน เครอื่ งออกไปจากโลก
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 125นาํ ไปสนู พิ พาน เพ่ือละทฏิ ฐิ เพือ่ บรรลุภูมเิ บอื้ งตน สงดั จากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน เปน ทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญา ฯลฯอยใู นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั น้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ีชอ่ื วา ธรรมเปน กศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ ชนดิ อนมิ ติ ตะ ฯลฯ ชนิดอปั ปณหิ ิตะ เปนทกุ ขาปฏปิ ทาทันธาภิญญา ฯลฯ อนั เปน วบิ าก เพราะกศุ ลฌานเปนโลกุตระอนั ไดท าํ ไวแลว ไดเจริญไวแลว นนั้ แล อยใู นสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะมีในสมยั นนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นช้ี ือ่ วา ธรรมเปนอพั ยากฤต ฯลฯ มหานยั ๒๐ จบ [๔๔๖] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปน โลกุตระ อนั เปน เคร่อื งออกไปจากโลกนําไปสนู ิพพาน เพอ่ื ละทฏิ ฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บอ้ื งตน สงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมท้ังหลายแลว บรรลุปฐมฌาน เปน ทุกขาปฏิปทาทนั ธาภิญญาเปนฉนั ทาธบิ ดี ฯลฯ อยใู นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมยั นัน้ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้นั ช่อื วา ธรรมเปนกศุ ล โยคาวจรบคุ คลสงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทง้ั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เปนทกุ ขาปฏปิ ทาทันธาภญิ ญา เปนฉนั ทาธิบดี ฯลฯอันเปน วบิ าก เพราะกุศลฌานเปน โลกตุ ระ อันไดท าํ ไวแ ลว ไดเจรญิ ไวแ ลวนั้นแล อยูในสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั น้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานชี้ ่อื วา ธรรมเปน อพั ยากฤต.
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 126 [๔๔๗] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปน ไฉน ? โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเปนโลกุตระ อันเปน เครือ่ งออกไปจากโลกนาํ ไปสูนิพพาน เพ่อื ละทิฏฐิ เพ่อื บรรลภุ ูมิเบ้อื งตน สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน เปน ทุกขาปฏปิ ทาทนั ธาภิญญาเปนฉนั ทาธบิ ดี ฯลฯ อยใู นสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นชี้ ือ่ วา ธรรมเปน กุศล โยคาวจรบคุ คลสงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรมท้ังหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อนมิ ติ ตะ เปนทกุ ขาปฏิปทาทันธาภิญญา เปน ฉนั ทาธิบดี ฯลฯอันเปน วบิ าก เพราะกศุ ลฌานเปนโลกุตระอนั ไดทําไวแ ลว ไดเ จรญิ ไวแลวนั้นแล อยใู นสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมยั นนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลานี้ชอื่ วา ธรรมเปนอัพยากฤต. [๔๔๘] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? โยคาวจรบคุ คลเจริญฌานเปนโลกตุ ระ อนั เปนเครื่องออกไปจากโลกนาํ ไปสูนิพพาน เพอื่ ละทิฏฐิ เพ่ือบรรลภุ มู เิ บือ้ งตน สงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทัง้ หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน เปน ทุกขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา เปนฉันทาธิบดี ฯลฯ อยูในสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมัยนั้น ฯลฯสภาวธรรมเหลานช้ี ื่อวา ธรรมเปนกุศล โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ชนดิ อปั ปณิหิตะ เปน ทุกขาปฏปิ ทาทันธาภญิ ญา เปนฉันทาธบิ ดีฯลฯ อันเปนวิบาก เพราะกุศลฌานเปนโลกตุ ระอันไดทาํ ไว แลวไดเจรญิ ไวแลว นน้ั แล อยใู นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยน้ัน ฯลฯสภาวธรรมเหลา น้ีช่อื วา ธรรมเปนอพั ยากฤต.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 632
Pages: