พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 501 อจุ เฉททฏิ ฐิ เปนไฉน ? ความเหน็ วา ตนและโลกจักสูญ ดังน้ี ทฏิ ฐิ ความเหน็ ไปขางทฏิ ฐิฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส มีลักษณะเชนวานี้ อันใด นีเ้ รยี กวา อจุ เฉททฏิ ฐิ. [๘๔๘] อันตวาทิฏฐิ เปน ไฉน ? ความเห็นวา ตนและโลกมีทส่ี ุด ดงั น้ี ทิฏฐิ ความเหน็ ไปขางทิฏฐิฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส มีลักษณะเชน วาน้ี อนั ใด นี้เรยี กวา อนันตวาทฏิ ฐ.ิ อนนั ตวาทฏิ ฐิ เปนไฉน ? ความเห็นวา ตนและโลกไมม ีท่ีสุด ดงั นี้ ทฏิ ฐิ ความเหน็ ไปขา งทิฏฐิฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส มีลักษณะเชน วา นี้ อนั ใด นเี้ รียกวา อนันตวาทิฏฐิ. [๘๔๙] ปุพพนั ตานทุ ฏิ ฐิ เปน ไฉน ? ทฏิ ฐิ ความเห็นไปขางทฏิ ฐิ ฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส อนั ใด ปรารภสว นอดีต เกดิ ขึ้น นี้เรียกวา ปุพพันตานทุ ฏิ ฐิ. อปรนั ตานุทิฏฐิ เปนไฉน ? ทิฏฐิ ความเห็นไปขา งทฏิ ฐิ ฯลฯ การถอื โดยวปิ ลาส อนั ใด ปรารภสว นอนาคต เกดิ ข้นึ น้เี รียกวา อปรันตานุทิฏฐ.ิ [๘๕๐] อหริ กิ ะ เปนไฉน ? กิริยาทีไ่ มล ะอายตอการประพฤติทุจรติ อนั เปน สิ่งที่นาละอาย กริ ิยาที่ไมละอายตอ การประกอบอกุศลบาปธรรมทงั้ หลาย อันใด นี้เรียกวา อหิริกะ. อโนตตัปปะ เปนไฉน ? กิรยิ าที่ไมเ กรงกลัวตอ การประพฤติทุจริต อันเปน สิ่งทีน่ า เกรงกลัวกริ ยิ าท่ไี มเ กรงกลัวตอการประกอบอกุศลบาปธรรมท้ังหลาย อันใด น้ีเรยี กวาอโนตตปั ปะ.
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 502 [๘๕๑] หิริ เปนไฉน ? กริ ิยาทลี่ ะอายตอการประพฤตทิ จุ รติ อันเปนสง่ิ ที่นาละอาย กริ ิยาท่ีละอายตอ การประกอบอกุศลบาปธรรมท้งั หลาย อันใด นเ้ี รียกวา หริ .ิ โอตตัปปะ เปน ไฉน ? กริ ยิ าทเ่ี กรงกลวั ตอการประพฤตทิ ุจริตอนั เปน ส่ิงทนี่ า เกรงกลวั กิรยิ าทเี่ กรงกลวั ตอ การประกอบอกศุ ลบาปธรรมทงั้ หลาย อนั ใด น้เี รยี กวา โอตตปั ปะ. [๘๕๒] โทวจัสสตา เปน ไฉน ? กริ ยิ าของผวู ายาก ภาวะแหงผวู า ยาก ความเปน ผวู า ยาก ความยึดขางขัดขนื ความพอใจทางโตแยง ความไมเอ้อื เฟอ ภาวะแหงผูไมเออ้ื เฟอความไมเคารพ ความไมรบั ฟง ในเม่อื ถกู วา กลาวโดยสหธรรม น้เี รียกวาโทวจสั สตา. ปาปมิตตตา เปนไฉน ? บุคคลเหลาใด เปนคนไมม ศี รัทธา ไมม ศี ลี ไรก ารศึกษา มีความตระหนี่ มปี ญ ญาทราม, การเสพ การซองเสพ การซอ งเสพดวยดี การคบการคบหา ความภกั ดี ความจงรักภกั ดีตอ บุคคลเหลา นนั้ ความเปน ผูม กี ายและใจโนมนา วไปตามบคุ คลเหลานัน้ อันใด นี้เรียกวา ปาปมติ ตตา. [๘๕๓] โสวจัสสตา เปนไฉน ? กริ ิยาของผวู างาย ภาวะแหงผูวา งา ย ความเปนผวู างาย ความไมย ึดขา งขดั ขืน ความไมพ อใจทางโตแยง ความเอื้อเฟอ ภาวะแหงผเู ออ้ื เฟอความเปน ผทู ้งั เคารพ ทง้ั รบั ฟง ในเมอ่ื ถูกวากลา วโดยสหธรรม น้ีเรยี กวาโสวจสั สตา.
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 503 กลั ยาณมิตตตา เปน ไฉน ? บุคคลเหลาใด เปน คนมศี รัทธา มีศีล เปนพหสู ตู มีจาคะ มปี ญญา,การเสพ การซอ งเสพ การซองเสพดวยดี การคบ การคบหา ความภกั ดีความจงรักภักดีตอ บุคคลเหลานัน้ ความเปน ผมู ีกายและใจโนม นาวไปตามบคุ คลเหลาน้นั อนั ใด นีเ้ รียกวา กลั ยาณมิตตตา. [๘๕๔] อาปต ตกิ สุ ลตา เปน ไฉน ? อาบตั ทิ ้งั ๕ หมวด ๗ หมวด เรียกวาอาบตั ิ, ปญญา กิริยาทีร่ ูชัดฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ อนั เปน เหตุฉลาดในอาบัติแหง อาบัติทั้งหลายน้ัน ๆ อันใด น้เี รยี กวา อาปต ติกุสลตา. อาปตติวุฏฐานกสุ ลตา เปน ไฉน ? ปญญา กิริยาทีร่ ูช ัด ฯลฯ ความไมห ลง ความวิจัยธรรม สัมมาทฏิ ฐิอนั เปน เหตุฉลาดในการออกจากอาบัตเิ หลานน้ั อนั ใด น้เี รยี กวา อาปตติ-วุฏฐานกสุ ลตา. [๘๕๕] สมาปต ตกิ ุสลตา เปนไฉน ? สมาบตั ิที่มวี ติ กมวี จิ าร มีอยู สมาบัติทีไ่ มม วี ิตกแตมวี ิจาร มอี ยูสมาบตั ทิ ่ไี มม ีวิตกไมม วี จิ าร มีอยู, ปญญา กริ ิยาทร่ี ชู ดั ฯลฯ ความไมห ลงความวจิ ยั ธรรม สัมมาทิฏฐิ อนั เปน เหตุฉลาดในสมาบัตแิ หงสมาบัตทิ ง้ั หลายน้ัน ๆ อันใด นีเ้ รยี กวา สมาปต ติกสุ ลตา. สมาปตตวิ ุฏฐานกุสลตา เปนไฉน ? ปญ ญา กิริยาท่ีรูชัด ฯลฯ ความไมหลง ความวจิ ยั ธรรม สัมมาทิฏฐิอันเปนเหตุฉลาดในการออกจากสมาบตั ิเหลาน้ัน อันใด นเี้ รยี กวา สมาปต ต-ิวุฏฐานกสุ ลตา.
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 504 [๘๕๖] ธาตกุ ุสลตา เปนไฉน ? ธาตุ ๑๘ คือ จักขุธาตุ รูปธาตุ จกั ขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สทั ทธาตุโสตวิญญาณธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวญิ ญาณธาตุ ชวิ หาธาตุ รสธาตุชวิ หาวญิ ญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ กายวญิ ญาณธาตุ มโนธาตุธัมมธาตุ มโนวญิ ญาณธาต,ุ ปญญา กริ ยิ าท่ีรูชดั ฯลฯ ความไมหลงความวจิ ยั ธรรม สัมมาทฏิ ฐิ อันเปน เหตฉุ ลาดในธาตุแหง ธาตุท้ังหลายนนั้ ๆอนั ใด นี้เรียกวา ธาตุกุสลตา. มนสกิ ากุสลตา เปนไฉน ? ปญ ญา กริ ยิ าที่รูช ัด ฯลฯ ความไมห ลง ความสอดสองธรรม สมั มา-ทฏิ ฐิ อนั เปน เหตฉุ ลาดในการมนสกิ ารซง่ึ ธาตเุ หลานน้ั อนั ใด น้เี รยี กวามนสิการกุสลตา. [๘๕๗] อายตนกสุ ลตา เปนไฉน ? อายตนะ ๑๒ คือ จักขายตนะ รปู ายตนะ โสตายตนะ สทั ทายตนะฆานายตนะ คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะ กายายตนะ โผฏฐัพพายตนะมนายตนะ ธรรมายตนะ, ปญ ญา กิริยาทร่ี ชู ัด ฯลฯ ความไมหลง ความวิจยัธรรม สัมมาทิฏฐิ อนั เปน เหตฉุ ลาดในอายตนะแหง อายตนะทง้ั หลายนั้น ๆอนั ใด น้เี รยี กวา อายตนกุสลาตา. ปฏจิ จสมปุ ปาทกสุ ลตา เปน ไฉน ? ปฏิจจสมุปบาทวา เพราะอวชิ ชาเปนปจจยั สงั ขารทงั้ หลายจงึ เกิดขึ้นเพราะสังขารเปน ปจ จยั วิญญาณจงึ เกิดขน้ึ เพราะวญิ ญาณเปน ปจจยั นามรปู จึงเกิดข้ึน เพราะนามรูปเปนปจจยั เวทนาจงึ เกิดข้นึ เพราะเวทนาเปน ปจจัยผสั สะจงึ เกิดขน้ึ เพราะผสั สะเปน ปจจัย เวทนาจึงเกดิ ขนึ้ เพราะเวทนาเปนปจจัย
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 505ตัณหาจึงเกิดข้ึน เพราะตัณหาเปนปจจยั อปุ าทานจงึ เกดิ ขน้ึ เพราะอปุ าทานเปนปจ จยั ภพจงึ เกดิ ข้ึน เพราะภพเปน ปจจัย ชาติจึงเกดิ ขึ้น เพราะชาตเิ ปน ปจจยัชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั อุปายาส จึงเกิดข้นึ ความเกิดขึน้ แหง กองทุกขท ้ังมวลน้ี ยอ มมีไดดวยประการฉะนี้, ปญญา กิรยิ าทรี่ ูชัด ฯลฯ ความไมห ลง ความวจิ ยั ธรรม สมั มาทิฏฐิ ในปฏิจจสมุปบาทนัน้อนั ใด นเ้ี รียกวา ปฏิจจสมุปปาทกสุ ลตา. [๘๕๘] ฐานกสุ ลาตา เปน ไฉน ? ธรรมใด ๆ เปน เหตุเปน ปจ จยั เพ่ือความบงั เกิดขึน้ แหง ธรรมใด ๆลกั ษณะนน้ั ๆ เรียกวา ฐานะ, ปญ ญา กิริยาทรี่ ูช ดั ฯลฯ ความไมห ลง ความวิจยั ธรรม สมั มาทิฏฐิ ในฐานะนั้น อนั ใด นเี้ รียกวา ฐานกสุ ลตา. อฏั ฐานกสุ ลตา เปน ไฉน ? ธรรมใดๆไมเ ปน เหตุไมเ ปน ปจจยั เพ่อื ความบงั เกิดขึน้ แหงธรรมใด ๆลกั ษณะนั้น ๆ ชื่อวา อฐานะ, ปญญา กริ ยิ าท่ีรชู ดั ฯลฯ ความไมหลง ความวจิ ัยธรรม สัมมาทฏิ ฐิ ในอฐานะนนั้ อนั ใด น้เี รียกวา อัฏฐานกสุ ลตา. [๘๕๙] อาชชวะ เปนไฉน ? ความซือ่ ตรง ความไมคด ความไมงอ ความไมโกง อันใด นีเ้ รยี กวา อาชชวะ. มทั ทวะ เปน ไฉน ? ความออ นโยน ความละมนุ ละไม ความไมแข็ง ความไมกระดางควานเจียมใจ อนั ใด นี้เรียกวา มทั ทวะ. [๘๖๐] ขนั ติ เปนไฉน ? ความอดทน กิริยาท่ีอดทน ความอดกลนั้ ความไมด ุรา ย ความไมปากรา ย ความแชม ชนื่ แหงจติ อนั ใด นีเ้ รียกวา ขนั ต.ิ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 506 โสรจั จะ เปนไฉน ? ความไมล ว งละเมดิ ทางกาย ความไมล ว งละเมดิ ทางวาจา ความไมลวงละเมิดทางกายและวาจา อันใด นเี้ รยี กวา โสรัจจะ ศลี สังวรแมท้งั หมด จัดเปน โสรจั จะ. [๘๖๑] สาขัลยะ เปน ไฉน ? วาจาใด เปนปม เปนกาก เผด็ รอ นตอผูอ นื่ เก่ยี วผอู น่ื ไว ยั่วใหโกรธไมเปน ไปเพื่อสมาธิ ละวาจาเชนนนั้ เสยี , วาจาใด ไรโทษ สบายหูไพเราะจับใจ เปนวาจาของชาวเมอื ง เปนทย่ี นิ ดีเจรญิ ใจ ของชนหมูมากกลาววาจาเชน นั้น, ความเปนผมู วี าจาออ นหวาน ความเปน ผูมวี าจาสละสลวยความเปน ผมู ีวาจาไมหยาบคาย ในลกั ษณะดงั กลาวน้นั อนั ใด นี้เรยี กวาสาขลั ยะ. ปฏิสันถาร เปน ไฉน ? ปฏิสันถาร ๒ คอื อามิสปฏสิ ันถาร ธรรมปฏิสนั ถาร, บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน ผูป ฏสิ ันถาร โดยอามิสปฏสิ นั ถารก็ดี โดยธรรมปฏสิ นั ถารกด็ ีนี้เรยี กวา ปฏิสันถาร. [๘๖๒] ความเปนผไู มส าํ รวมในอนิ ทรยี ๖ เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เห็นรปู ดว ยจักขุแลว เปน ผถู ือนิมติ เปนผูถือโดยอนุพยัญชนะ, อภิชฌาโทมนสั อกศุ ลบาปธรรมท้งั หลาย พึงครอบงาํบุคคลผูไมสํารวมจักขุนทรียอ ยูนี้ เพราะเหตทุ ่ไี มส ํารวม จักขุนทรยี ใ ด, ไมปฏบิ ตั ิเพ่อื สํารวมจักขนุ ทรยี นนั้ ไมรักษาจักขนุ ทรยี น ัน้ ไมสาํ เร็จการสาํ รวมในจกั ขุนทรียน นั้
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 507 ไดย นิ เสียงดว ยโสตแลว ฯลฯ สดู กลิน่ ดวยฆานะแลว ฯลฯ ล้ิมรสดวยชิวหาแลว ฯลฯ ถกู ตองโผฏฐพั พะดวยกายแลว ฯลฯ รูแ จงธรรมารมณด ว ยใจแลว เปน ผถู อื นิมิต เปน ผูเถอื โดยอนุพยัญชนะ อภชิ ฌา โทมนัส อกุศล-บาปธรรมท้ังหลาย พงึ ครอบงําบุคคลผไู มส าํ รวมมนินทรยี อ ยูนี้ เพราะเหตทุ ่ีไมส ํารวมมนนิ ทรียใด ไมป ฏิบัติเพื่อสํารวมมนินทรียน ัน้ ไมรกั ษามนินทรยี นัน้ ไมสาํ เรจ็ การสํารวมในมนนิ ทรยี น้ัน การไมคมุ ครอง กิริยาทีไ่ มคุม ครอง การไมร กั ษา การไมสํารวมซ่งึอนิ ทรีย ๖ เหลานี้ อันใด น้ีเรียกวา ความเปน ผูไ มส ํารวมในอนิ ทรีย ๖. ความเปนผูไมรปู ระมาณในโภชนาหาร เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี ไมพ ิจารณาโดยแยบคาย บรโิ ภคอาหาร เพือ่จะเลน เพื่อจะมัวเมา เพอื่ จะประเทืองผิว เพอ่ื ความอวนพ,ี ความเปน ผูไ มสนั โดษ ความเปนผไู มร ูประมาณ ความไมพ จิ ารณา ในโภชนาหารนั้น อนัใด น้เี รยี กวา ความเปน ผไู มรปู ระมาณในโภชนาหาร. [๘๖๓] ความเปน ผูส าํ รวมในอินทรยี ๖ เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนโลกน้ี เห็นรูปดว ยจกั ขแุ ลว เปน ผูไมถ อื นมิ ติ เปนผไู มถือโดยอนพุ ยญั ชนะ, อภชิ ฌา โทมนสั อกุศลบาปธรรมท้ังหลาย พงึครอบงาํ บคุ คลผูไมสํารวมจักขุนทรียอ ยนู ้ี เพราะเหตุท่ไี มสํารวมจักขนุ ทรียใด,ปฏิบัติเพ่อื สาํ รวมจักขุนทรยี น ้นั รักษาจกั ขุนทรยี นั้น สําเรจ็ การสาํ รวมในจกั ขนุ ทรยี นั้น ไดย นิ เสียงดวยโสตแลว ฯลฯ สดู กลนิ่ ดว ยฆานะแลว ฯลฯ ลิ้มรสดว ยชิวหาแลว ฯลฯ ถูกตองโผฏฐพั พะดวยกายแลว ฯลฯ รธู รรมารมณด วยใจแลว เปนผูไมถ อื นิมิต เปน ผไู มถ อื โดยอนพุ ยญั ชนะ, อภชิ ฌา โทมนัส
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 508อกุศลบาปธรรมท้ังหลาย พงึ ครอบงําบคุ คลผไู มสํารวมมนินทรยี อ ยนู ี้ เพราะเหตทุ ่ไี มส ํารวมมนนิ ทรยี ใ ด, ปฏบิ ตั ิเพอ่ื สํารวมมนนิ ทรยี น้นั รักษามนนิ ทรยี นัน้ สาํ เร็จการสํารวมในมนนิ ทรยี น้นั การคมุ ครอง กริ ิยาท่ีคมุ ครอง การรกั ษา การสาํ รวมอนิ ทรีย ๖ เหลาน้ี อนั ใด นเ้ี รยี กวา ความเปนผูสาํ รวมในอนิ ทรีย. ความเปนผูร ูประมาณในโภชนาหาร เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนพี้ ิจารณาโดยแยบคายวา เราบรโิ ภคอาหาร ไมใชเ พ่ือจะเลน ไมใ ชเพ่ือจะมัวเมา ไมใชเพอ่ื จะประเทือง ไมใชเ พ่อื จะใหอว นพี แตเ พยี งเพือ่ ใหก ายน้ดี าํ รงอยูได เพ่อื ใหช วี ิตนิ ทรียเ ปน ไป เพือ่ บําบัดความหวิ เพอ่ื อนเุ คราะหพรหมจรรย เพราะโดยอบุ ายน้ี เราจักกําจัดเวทนาเกา เสยีดว ย จักไมใ หเวทนาใหมเ กดิ ขึ้นดว ย ความดํารงอยแู หงชีวติ ความไมมโี ทษและการอยูโดยผาสกุ จักมีแกเ ราดวย ดงั นี้ แลว จึงบรโิ ภคอาหาร, ความสนั โดษ ความรปู ระมาณ การพจิ ารณา ในโภชนาหารน้ัน อนั ใด นเ้ี รยี กวา ความเปน ผรู ู ประมาณในโภชนาหาร. [๘๖๔] มฏุ ฐสจั จะ เปนไฉน ? ความระลกึ ไมไ ด ความไมตามระลึก ความไมหวนระลึก ความระลกึไมได อาการท่ีระลกึ ไมไ ด ความไมท รงจํา ความเล่อื นลอย ความหลงลืม อันใด นเ้ี รียกวา มุฏฐสจั จะ. อสมั ปชัญญะ เปน ไฉน ? ความไมร ู ความไมเหน็ ฯลฯ ลมิ่ คืออวิชชา อกศุ ลมลู คอื โมหะอันใด นเ้ี รียกวา อสมั ปชญั ญะ.
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 509 [๘๖๕] สติ เปนไฉน ? สติ ความตามระลึก ความหวนระลกึ สติ กริ ยิ าท่รี ะลกึ ความทรงจํา ความไมเ ลือ่ นลอย ความไมลืม สติ สตนิ ทรีย สติพละ สมั มาสติอนั ใด น้เี รียกวา สติ. สัมปชญั ญะ เปนไฉน ? ปญ ญา กริ ยิ าทีร่ ูชดั ฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สมั มา-ทฏิ ฐิ อนั ใด นเ้ี รียกวา สมั ปชัญญะ. [๘๖๖] กาํ ลงั คือการพจิ ารณา เปน ไฉน ? ปญญา กิริยาทร่ี ูช ัด ฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สมั มาทฏิ ฐิอนั ใด น้ีเรียกวา กาํ ลงั คือการพิจารณา. กาํ ลงั คอื ภาวนา เปนไฉน ? การเสพ การเจรญิ การทาํ ใหม าก ซงึ่ กศุ ลธรรมทงั้ หลาย อันใดนี้เรยี กวา กําลงั คอื ภาวนา โพชฌงคแมทง้ั ๗ จัดเปน กําลังคือภาวนา. [๘๖๗] สมณะ เปนไฉน ? ความตั้งอยูแหงจติ ฯลฯ สัมมาสมาธิ อนั ใด น้ีเรียกวา สมถะ. วปิ สสนา เปนไฉน ? ปญญา กริ ยิ าท่ีรชู ดั ฯลฯ ความไมหลง ความวจิ ยั ธรรม สมั มาทฏิ ฐิอนั ใด น้ีเรยี กวา วปิ สสนา. [๘๖๘] สมถนิมติ เปน ไฉน ? ความตัง้ อยูแ หงจิต ฯลฯ สมั มาสมาธิ อนั ใด นเ้ี รยี กวา สมถนมิ ติ .
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 510 ปคคาหนมิ ติ เปนไฉน ? การปรารภความเพยี รทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อนั ใด นเี้ รยี กวาปคคาหนิมติ . [๘๖๙] ปคคาหะ เปน ไฉน ? การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สมั มาวายามะ อนั ใด นีเ้ รียกวาปคคาหะ. อวิกเขปะ เปนไฉน ? ความต้งั อยแู หงจติ ฯลฯ สมั มาสมาธิ อันใด นีเ้ รียกวา อวกิ เขปะ. [๘๗๐] สลี วิบตั ิ เปนไฉน ? ความลว งละเมดิ ทางกาย ความลว งละเมิดทางวาจา ความลวงละเมดิทางกายและทางวาจา อันใด นเี้ รยี กวา สลี วิบตั ิ ความเปนผูทศุ ลี แมทั้งหมด จัดเปน สลี วบิ ตั ิ. ทฏิ ฐิวิบัติ เปนไฉน ? ความเห็นวา ทานท่ีใหแ ลว ไมม ผี ล การบูชาไมม ีผล การบวงสรวงไมมีผล ผลวิบากแหงกรรมท่ที าํ ดีทาํ ชวั่ ไมม ี โลกนี้ไมม ี โลกอื่นไมมี มารดาไมมี บิดาไมม ี สตั วท ี่จตุ แิ ละอบุ ัตไิ มมี สมณพราหมณผูป ฏบิ ัตดิ ปี ฏบิ ตั ิชอบไมมใี นโลก สมณพราหมณท ที่ าํ ใหแ จง ซ่งึ โลกนี้และโลกอ่นื ดว ยปญญาอนั ยง่ิ เองแลว ประกาศใหผอู ื่นรไู ดไมมใี นโลก ดงั น้ี ทฏิ ฐิ ความเหน็ ไปขา งทิฏฐิ ฯลฯการถือโดยวิปลาสมลี ักษณะเชนวานี้ อันใด น้เี รียกวา ทิฏฐวิ บิ ตั ิ มจิ ฉาทฏิ ฐแิ มทง้ั หมด จดั เปน ทิฏฐวิ ิบัต.ิ [๘๗๑] สลี สมั ปทา เปน ไฉน ? ความไมล ว งละเมิดทางกาย ความไมลวงละเมดิ ทางวาจา ความไมลวงละเมิดทางกายและทางวาจา นเี้ รียกวา สลี สมั ปทา
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 511 สลี สังวรแมท ัง้ หมด จดั เปน สีลสมั ปทา. ทฏิ ฐิสมั ปทา เปน ไฉน ? ความเห็นวา ทานที่บคุ คลใหแลว ยอมมีผล การบูชายอ มมผี ล การบวงสรวงยอมมผี ล ผลวบิ ากแหง กรรมทีท่ าํ ดที าํ ชั่วมีอยู โลกนี้มอี ยู โลกอืน่มอี ยู มารดามอี ยู บิดามอี ยู สตั วท จ่ี ตุ ิและอุบัติมอี ยู สมณพราหมณผูปฏิบัตดิ ีปฏบิ ัตชิ อบมีอยใู นโลก สมณพราหมณท ี่ทําใหแ จง ซ่ึงโลกนแ้ี ละโลกอน่ื ดว ยปญญาอันยง่ิ เองแลว ประกาศใหผ ูอน่ื รูไ ดม อี ยูในโลก ดงั น้ี ปญญา กิริยาท่ีรูชดัฯลฯ ความไมห ลง ความวิจัยธรรม สมั มาทิฏฐมิ ีลักษณะเชนวาน้ี อันใดน้ีเรียกวา ทิฏฐสิ มั ปทา สัมมาทิฏฐแิ มท้ังหมด จัดเปน ทิฏฐิสมั ปทา. [๘๗๒] สลี วิสุทธิ เปน ไฉน ? ความไมล ว งละเมิดทางกาย ความไมลว งละเมดิ ทางวาจา ความไมลว งละเมิดทางกายและทางวาจา น้ีเรียกวา สลี วสิ ุทธิ สีลสงั วรแมท้ังหมด จดั เปน สลี วิสุทธิ. ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ เปน ไฉน ? ญาณเปน เครื่องรวู า สัตวม กี รรมเปน ของตน (กัมมสั สกตาญาณ) ญาณ-อนั สมควรแกก ารหยั่งรอู ริยสจั (สัจจานโุ ลมกิ ญาณ) ญาณของทา นผพู รอมเพรียงดว ยมรรค (มคั คญาณ) ญาณของทา นผพู รอ มเพรยี งดว ยผล (ผลญาณ). [๘๗๓] บทวา ความหมดจดแหงทิฏฐิ น้นั มนี ิเทศวา ปญญากิรยิ าท่รี ูช ัด ฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สมั มาทฏิ ฐ.ิ บทวา ความเพยี รแหง บุคคลผูมที ฏิ ฐิอันหมดจด นัน้ มีนิเทศวาการปรารภความเพยี รทางใจ ฯลฯ สมั มาวายามะ.
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 512 [๘๗๔] บทวา ความสลดใจนนั้ มีนิเทศวา ญาณอันเหน็ ชาติโดยความเปน ภัย ญาณอันเหน็ ชราโดยความเปน ภยั ญาณอันเห็นพยาธโิ ดยความเปนภัย ญาณอนั เห็นมรณะโดยความเปน ภัย. บทวา ฐานะเปนท่ตี ัง้ แหง ความสลดใจ นั้น มีนเิ ทศวา ชาติชรา พยาธิ มรมะ. บทวา ความพยายามโดยแยบคายแหงบุคคลผูม ใี จสลดแลวน้ัน มนี เิ ทศวา ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ยอ มยังฉนั ทะใหเ กิด ยอมพยายามยอ มปรารภความเพียร ยอมประคองจิตไว ยอ มตงั้ จิตไว เพอ่ื ความไมบงั เกิดขึน้ แหง อกศุ ล บาปธรรมทง้ั หลายท่ยี งั ไมบงั เกิดขน้ึ เพอื่ ละอกุศลบาปธรรมท้งั หลายท่บี งั เกดิ ขึ้นแลว เพอ่ื ความบังเกดิ ขึน้ แหงกุศลธรรมท้งั หลายทีย่ ังไมบงั เกิดขึ้น เพอื่ ความต้ังอยู เพ่ือความไมจ ดื จาง เพื่อความเพมิ่ พูน เพื่อความไพบูลย เพ่อื ความเจรญิ เพอื่ ความบริบรู ณ แหงกุศลธรรมทัง้ หลายทบ่ี งั เกิดข้นึ แลว . [๘๗๕] บทวา ความไมรูจักอ่มิ ในกุศลธรรม นั้น มนี เิ ทศวาความพอใจย่ิง ๆ ข้ึนไปของบคุ คลผไู มร ูจกั อมิ่ ในการเจริญกศุ ลธรรมทงั้ หลาย. บทวา ความไมท อถอยในความพยายาม น้นั มนี ิเทศวา ความเปนผกู ระทําโดยเคารพ ความเปนผกู ระทาํ ติดตอ ความเปน ผกู ระทําไมห ยุดความเปน ผูประพฤติไมย อหยอ น ความเปนผูไ มท ้งั ฉันทะ ความเปน ผไู มท อดธรุ ะ การเสพ การเจริญ การกระทําใหมาก เพ่ือความเจรญิ แหงกศุ ลี ธรรมทั้งหลาย. [๘๗๖] บทวา วชิ ชา น้ัน มีนิเทศวา วิชชา ๓ วชิ ชาคอื ญาณอนั ตามระลกึ ชาติหนหลังได (ปุพเพนิวาสานุสสตญิ าณ) วชิ ชาคือญาณในจุติ
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 513และอบุ ัตขิ องสตั วท ้งั หลาย (จตุ ปุ ปาตญาณ) วิชชาคือญาณในความสิน้ ไปแหง อาสวะท้ังหลาย (อาสวกั ขยญาณ) บทวา วมิ ุตติ น้นั มนี ิเทศวา วิมุตติ ๒ คอื อธิมุตตแิ หง จิต (สมาบตั ิ ๘)และนิพพาน. [๘๗๗] บทวา ขเย าณ นน้ั มนี ิเทศวา ญาณของทานผพู รอ มเพรียงดว ยมรรค. บทวา อนปุ ฺปาเท าณ น้ัน มีนเิ ทศวา ญาณของทา นผพู รอมเพรียงดวยผล. นิกเขปกัณฑ จบ อรรถกถานกิ เขปกัณฑ วา ดวยนทิ เทสวิชชปู มทกุ ะ นทิ เทสบททั้งหลายแหงสตุ ตนั ติทุกะเหลาน้นั โดยมากมอี รรถตนื้ ท้งันั้น เพราะสตุ ตันติกะทง้ั หลาย ขา พเจา ไดจาํ แนกแสดงโดยใจความในมาติกา-กถาแลว และเพราะนทิ เทสบทแมเหลานน้ั เขา ใจงายโดยนยั ท่ีไดก ลาวแลวในหนหลังนัน่ แล. แตในทน่ี ี้ขา พเจาจะแสดงเนือ้ ความท่ีตา งกนั ตอ ไป พงึ ทราบวินิจฉัยในวชิ ชปู มทุกะกอ น ไดย นิ วา บุรษุ ผมู ีจักษุเดินทางไปในเวลาราตรีมเี มฆมดื ทางยอมไมป รากฏแกบ รุ ษุ นั้น เพราะความมืดสายฟาแลบแลวขจดั ความมดื ไป ทนี น้ั ทางกป็ รากฏแกเขา เพราะปราศจากความมืด เขาจงึ เดนิ ทางตอไป แมครัง้ ท่สี องความมดื กย็ อมปกคลุมอกี ทางจึงไม
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 514ปรากฏแกเขา สายฟาแลบแลว ขจัดความมืดน้นั เม่อื ปราศจากความมดื แลวทางก็ไดปรากฏ เขาจงึ เดนิ ทางตอ ไป คร้ังทสี่ าม ความมดื ไดปกคลุมแลว ทางกไ็ มป รากฏ สายฟา แลบแลว กข็ จัดความมดื ไป. บรรดาขอ อุปมาเหลานั้น การเร่ิมวปิ สสนาของอรยิ สาวกเพ่อื ประโยชนบรรลุโสดาปตตมิ รรค เหมอื นการเดนิ ทางของบรุ ษุ ผมู ีจักษใุ นเวลาท่ีมดืความมืดปดบงั สจั จะ เหมือนเวลาท่ีทางไมป รากฏในความมืด เวลาทแี่ สงสวางคอื โสดาปต ติมรรคเกดิ ข้ึนกาํ จดั ความมดื ปด บงั สจั จะ เหมอื นเวลาท่สี ายฟาแลบขึ้นกําจัดความมดื เวลาท่สี ัจจะ ๔ ปรากฏแกโสดาปตติมรรค เหมอื นเวลาท่ีทางปรากฏในการปราศจากความมดื กก็ ารปรากฏของทางกค็ ือการปรากฏของบคุ คลผูพรงั่ พรอ มดว ยมรรคสมังคีนั่นเอง. การเริ่มวิปสสนาของบคุ คล เพ่อื ประโยชนบรรลุสกทามิมรรคเหมอื นการดาํ เนินไปคร้งั ท่สี อง ความมืดปด บงั สัจจะ เหมอื นเวลาทีท่ างไมป รากฏในความมดื เวลาท่ีแสงสวางคือสกทาคามิมรรคเกดิ ขนึ้ กาํ จัดความมดื ปดบังสจั จะเหมอื นเวลาสายฟา แลบคร้ังที่สองกําจัดความมืด เวลาทสี่ ัจจะ ๔ ปรากฏแกสกทาคามิมรรค เหมือนเวลาที่ทางปรากฏในการปราศจากความมดื ก็การปรากฏของทางกค็ ือการปรากฏของบคุ คลผูพรงั่ พรอ มดว ยมรรคนั่นแหละ. การเริม่ วิปส สนาเพอื่ บรรลอุ นาคามิมรรค เหมือนบุคคลเดินทางครง้ั ที่สาม ความมืดอันปด บงั สัจจะ เหมอื นทางไมปรากฏในเวลามืด เวลาท่ีแสงสวา งคืออนาคามิมรรคเกิดข้ึนกาํ จัดความมืดปดบังสัจจะ เหมือนเวลาท่ีสายฟา แลบกาํ จดั ความมดื ครั้งที่สาม เวลาทส่ี จั จะ ๔ ปรากฏแกอ นาคามิมรรค เหมอื นเวลาทีท่ างปรากฏในเวลาปราศจากความมดื ก็การปรากฏของทางก็คอื การปรากฏของบคุ คลผพู ร่งั พรอมดว ยมรรคนั่นแหละ.
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 515 อนงึ่ แผน หิน หรือแกว มณี ชือ่ วา ไมแตกไปดว ยวชริ ะ (ฟาผา )ยอมไมมี วชิระตกไปในท่ีใด ที่น้ันยอมเปนอนั ถูกขจดั แลวทเี ดียว วชริ ะเมือ่ ฟาดไปยอ มฟาดไปมิใหอ ะไรเหลือ ข้นึ ชอื่ วา ทางที่วชิระผา นไปแลวจะไมเปน สง่ิ ปรากฏอีก ชอ่ื วา กเิ ลสทีอ่ รหัตมรรคไมป ระหาณแลว กย็ อมไมมอี ยา งนั้นเหมอื นกนั แมอ รหตั มรรคยอมกําจดั กเิ ลสทงั้ สนิ้ คือเมือ่ ยังกิเลสใหส น้ิ ไปยอ มใหสิ้นไปโดยไมเ หลอื เหมือนวชริ ะกําจดั อยูฉะน้ัน ข้ึนชอ่ื วา การกลบั มาเกดิอกี ของกิเลสท่ีอรหัตมรรคประหาณแลวยอ มไมมี เหมอื นทางทว่ี ชริ ะผา นไปแลวไมกลับเปนส่ิงปรากฏอีก ฉะนน้ั . วาดวยนทิ เทสพาลทกุ ะ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในนทิ เทสพาลทุกะ ตอไป อหิรกิ ะและอโนตตัปะปรากฏแลว ในพาลชนทั้งหลาย. อน่งึ อหริ ิกะและอโนตตปั ปะเหลาน้นั ยงั เปน มลู แหงพาลธรรมท่เี หลือ ดวยวา คนทีไ่ มม หี ริ ิไมมโี อตตปั ปะช่อื วา ไมทําอกศุ ลอะไร ๆ ยอมไมมี เพราะฉะนั้น ธรรมท้ัง ๒เหลาน้นั จึงตรสั แยกไวกอนทเี ดยี ว. แมใ นธรรมทเ่ี ปน ฝายขาว (สกุ กธรรม)ก็นัยนีแ้ หละ. ในกณั หทุกะกเ็ หมือนกนั . วาดวยนิทเทสตปนียทุกะ พงึ ทราบวินิจฉัยในนทิ เทสตปนียทุกะ ตอไป บัณฑติ พึงทราบ ตปนธรรม (ธรรมท่ีเรา รอน) เพราะเหตุทท่ี ําและเพราะเหตุท่ไี มทาํ จริงอยู กายทจุ ริตเปนตน ยอ มใหเรา รอนเพราะเหตทุ ี่ทํา กายสจุ ริตเปน ตน ยอมใหเรา รอ นเพราะเหตุทไ่ี มท าํ จริงอยางน้นั บุคคล* วชิระ เปน ชอ่ื ของฟา ผาก็มี เปน ชอื่ อาวุธของพระอินทรกม็ ี
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 516ยอ มเดอื ดรอ นวา กายทุจริตเราการทําไว และยอมเดอื ดรอ นวา กายสจุ รติเรามิไดก ารทาํ ไว ยอ มเดอื ดรอนวา วจที ุจรติ เรากระทําไว ฯลฯ ยอมเดอื ดรอนวา มโนสุจริตเรามิไดทําไว. แมใ นอตปนยี ธรรม (ธรรมทีไ่ มเรารอ น)ก็นัยน้ีแหละ. จรงิ อยู บคุ คลผทู าํ ความดี ยอ มไมเรา รอ นวา กายสุจริตเราทาํ ไวแ ลวยอ มไมเรารอ นวา กายทจุ ริตเราไมทาํ ไวแลว ยอมไมเ รา รอนวา วจสี จุ รติ เรากระทาํ ไว ฯลฯ ไมเรา รอ นวา มโนทุจรติ เราไมท ําไว ดงั น.ี้ วาดว ยนิทเทสอธิวจนทุกะ พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในนิทเทสอธวิ จนทุกะ ตอ ไป บทวา ยา เตส เตส ธมฺมาน (ธรรมนนั้ ๆ อนั ใด) ไดแก ทรงรวบรวมเอาธรรมทงั้ หมด. ทชี่ ่ือวา สงั ขา (การกลา วขาน) เพราะอันเขาบอก คือยอ มสนทนากัน ยอ มสนทนากันอยางไร ยอมสนทนากนั ดวยอาการหลายประการอยา งนีว้ า เรา ของเรา คนอื่น ของคนอ่นื วาเปน สตั ว เปนภาวะ เปน บรุ ุษ เปนบคุ คล เปน นระ เปนมานพ ช่อื วา ติสสะ ชือ่ วาทตั ตา วาเตียง วาตง่ั วา ฟกู วา หมอน วิหาร บรเิ วณ ประตู หนาตา งดังน้ี เพราะฉะนั้น จงึ ชอ่ื วา สังขา (การกลาวขาน). ทชี่ อ่ื วา สมญั ญา (การกําหนดร)ู เพราะอรรถวา ยอมรูโดยชอบ.ยอ มรโู ดยชอบอยางไร ยอ มรวู า เรา ของเรา ฯลฯ ประตู หนาตา ง เพราะฉะนนั้ จึงชื่อวา สมญั ญา เพราะอรรถวา ยอมรูโ ดยชอบ. ที่ชื่อวา บัญญตั ิเพราะอรรถวา อันเขายอ มแตงต้งั . ทชี่ ือ่ วา โวหาร เพราะอรรถวา อันเขายอมรองเรยี ก ยอ มรอ งเรียกอยางไร ยอ มรองเรยี กวา เรา ของเรา ฯลฯประตู หนา ตาง เพราะฉะน้นั จงึ ชื่อวา โวหาร.
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 517 บทวา นาม (นาม) ไดแ ก นาม ๔ อยา ง คอื ๑. สามัญนาม ชื่อทั่วไป ๒. คุณนาม ชอื่ โดยคณุ ๓. กติ ติมนาม ช่ือโดยการยกยอง ๔. อุปปาติกนาม ช่อื ตามทเ่ี กดิ ข้นึ . บรรดานาม ๔ อยางนน้ั นามของพระราชาวา มหาสมมต ดังนี้เพราะมหาชนในครั้งปฐมกปั ประชุมกันต้งั ไว ช่อื วา สามัญนาม ซงึ่ พระ-ผูม พี ระภาคเจาทรงหมายถงึ ตรสั ไวว า ดูกอนวาเสฏฐะ อักษรแรกวา มหาสมมตดังนี้ เกดิ ขึน้ เพราะมหาชนสมมตขิ ึ้นแล. นาม อันมาแลว โดยคณุ อยา งนี้วา พระธรรมกถกึ ผทู รงบังสกุ ลุ จวี ร พระวินัยธร ผูทรงพระไตรปฎ ก ผมู ีศรัทธา ผูเล่อื มใสแลว ดงั น้ี ช่อื วา คณุ นาม. แมพระนามของพระตถาคตมหี ลายรอ ยอาทิวา ภควา อรห สมฺมา-สมพฺ ทุ โฺ ธ ดังนี้ ก็ชือ่ วา คุณนาม เหมือนกนั ดว ยเหตุนัน้ ทา นโบราณา-จารย จึงกลาววา อสงฺเขยยฺ านิ นามานิ สคุเณน มเหสโิ น คเุ ณน นามมทุ ฺเธยยฺ อป นาม สหสฺสโต พระพุทธเจา ผทู รงแสวงหาคุณอนั ใหญม พี ระนาม โดยพระคุณของพระองค นับไมถวน บัณฑิต พงึ ยกพระนามโดย พระคณุ ข้ึนแสดงแมเปนพัน ๆ พระนาม ดังน้.ี
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 518 สวนนามใด ที่พวกญาติทั้งหลายผยู ืนอยใู นทีใ่ กลกระทําสกั การะแกพระทกั ขไิ ณยบุคคลทง้ั หลาย พากนั คิดกําหนดแลว ในวันทีต่ ง้ั ชอ่ื ของเด็กผูเกดิมากระทาํ การตั้งช่อื วา เด็กนีช้ ่ือโนน นามน้ี ช่อื วา กิตติมนาม. อน่งึ บญั ญตั ิแรกยอมตกไปในบญั ญตั ิหลงั โวหารแรกยอ มตกไปในโวหารหลงั เชน พระจนั ทรแ มในกปั กอนชื่อวาพระจันทร แมใ นปจจุบันก็เรยี กวา พระจนั ทรเหมือนกนั พระอาทติ ย สมทุ ร ปฐวี บรรพตในกปั กอ นชือ่ วา บรรพต แมใ นปจจุบนั กเ็ รยี กวา บรรพตน่นั แหละ นี้ชอ่ื วา อุปปา-ตกิ นาม. นามแมทง้ั ๔ อยางน้ี กค็ งเปนนามอยา งเดยี วกนั นน่ั เอง. บทวา นามกมฺม (นามกรรม) คอื การใหช อื่ . บทวา นามเธยฺย (นามเธยยะ) คือการตงั้ ชอ่ื . บทวา นิรตุ ตฺ ิ (การออกช่อื ) ไดแก การเรียกช่อื . บทวา พฺยชฺ น (การระบชุ ่อื ) ไดแ ก การประกาศช่ือ กเ็ พราะการระบชุ ่อื น้ี ยอมปรากฏถงึ ความหมาย ฉะนั้น จงึ ตรัสไวอยา งน้นั . บทวา อภลิ าโป (การเรียกชอื่ ) ไดแ ก ช่อื ท่เี รียกน่ันเอง. บทวา สพเฺ พว ธมฺมา อธวิ จนปถา (ธรรมท้ังหมดแล ชอ่ื วาอธิวจนปถธรรม) ไดแก ช่ือวา ธรรมท่เี ปนวถิ ขี องธรรมท่ีเปน ชอ่ื ไมมีหามไิ ดธรรมหนึ่งยอมรวมลงในธรรมทัง้ หมด ธรรมทัง้ หมดก็ประชมุ ลงในธรรมหน่งึขอ นเี้ ปน อยางไร ? คอื วา ธรรมหน่งึ คอื นามบัญญัตนิ ีน้ ้ัน ยอมประมวลลงในธรรมอนั เปน ไปในภูมิ ๔ ทัง้ หมด คือสตั วก ด็ ี สงั ขารก็ดี ชอ่ื วา พน ไปจากชือ่ หามีไม. แมตน ไมในดง และภเู ขาเปน ตน ก็ยังเปนภาระ (คําพูด) ของชาวชนบท เพราะวา ชาวชนบทเหลา น้ัน ถูกเขาถามวา ตนไมน้ีชอ่ื อะไร ?
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 632
Pages: