Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_76

tripitaka_76

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_76

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 501 อจุ เฉททฏิ ฐิ เปนไฉน ? ความเหน็ วา ตนและโลกจักสูญ ดังน้ี ทฏิ ฐิ ความเหน็ ไปขางทฏิ ฐิฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส มีลักษณะเชนวานี้ อันใด นีเ้ รยี กวา อจุ เฉททฏิ ฐิ. [๘๔๘] อันตวาทิฏฐิ เปน ไฉน ? ความเห็นวา ตนและโลกมีทส่ี ุด ดงั น้ี ทิฏฐิ ความเหน็ ไปขางทิฏฐิฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส มีลักษณะเชน วาน้ี อนั ใด นี้เรยี กวา อนันตวาทฏิ ฐ.ิ อนนั ตวาทฏิ ฐิ เปนไฉน ? ความเห็นวา ตนและโลกไมม ีท่ีสุด ดงั นี้ ทฏิ ฐิ ความเหน็ ไปขา งทิฏฐิฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส มีลักษณะเชน วา นี้ อนั ใด นเี้ รียกวา อนันตวาทิฏฐิ. [๘๔๙] ปุพพนั ตานทุ ฏิ ฐิ เปน ไฉน ? ทฏิ ฐิ ความเห็นไปขางทฏิ ฐิ ฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส อนั ใด ปรารภสว นอดีต เกดิ ขึ้น นี้เรียกวา ปุพพันตานทุ ฏิ ฐิ. อปรนั ตานุทิฏฐิ เปนไฉน ? ทิฏฐิ ความเห็นไปขา งทฏิ ฐิ ฯลฯ การถอื โดยวปิ ลาส อนั ใด ปรารภสว นอนาคต เกดิ ข้นึ น้เี รียกวา อปรันตานุทิฏฐ.ิ [๘๕๐] อหริ กิ ะ เปนไฉน ? กิริยาทีไ่ มล ะอายตอการประพฤติทุจรติ อนั เปน สิ่งที่นาละอาย กริ ิยาที่ไมละอายตอ การประกอบอกุศลบาปธรรมทงั้ หลาย อันใด นี้เรียกวา อหิริกะ. อโนตตัปปะ เปนไฉน ? กิรยิ าที่ไมเ กรงกลัวตอ การประพฤติทุจริต อันเปน สิ่งทีน่ า เกรงกลัวกริ ยิ าท่ไี มเ กรงกลัวตอการประกอบอกุศลบาปธรรมท้ังหลาย อันใด น้ีเรยี กวาอโนตตปั ปะ.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 502 [๘๕๑] หิริ เปนไฉน ? กริ ิยาทลี่ ะอายตอการประพฤตทิ จุ รติ อันเปนสง่ิ ที่นาละอาย กริ ิยาท่ีละอายตอ การประกอบอกุศลบาปธรรมท้งั หลาย อันใด นเ้ี รียกวา หริ .ิ โอตตัปปะ เปน ไฉน ? กริ ยิ าทเ่ี กรงกลวั ตอการประพฤตทิ ุจริตอนั เปน ส่ิงทนี่ า เกรงกลวั กิรยิ าทเี่ กรงกลวั ตอ การประกอบอกศุ ลบาปธรรมทงั้ หลาย อนั ใด น้เี รยี กวา โอตตปั ปะ. [๘๕๒] โทวจัสสตา เปน ไฉน ? กริ ยิ าของผวู ายาก ภาวะแหงผวู า ยาก ความเปน ผวู า ยาก ความยึดขางขัดขนื ความพอใจทางโตแยง ความไมเอ้อื เฟอ ภาวะแหงผูไมเออ้ื เฟอความไมเคารพ ความไมรบั ฟง ในเม่อื ถกู วา กลาวโดยสหธรรม น้เี รียกวาโทวจสั สตา. ปาปมิตตตา เปนไฉน ? บุคคลเหลาใด เปนคนไมม ศี รัทธา ไมม ศี ลี ไรก ารศึกษา มีความตระหนี่ มปี ญ ญาทราม, การเสพ การซองเสพ การซอ งเสพดวยดี การคบการคบหา ความภกั ดี ความจงรักภกั ดีตอ บุคคลเหลา นนั้ ความเปน ผูม กี ายและใจโนมนา วไปตามบคุ คลเหลานัน้ อันใด นี้เรียกวา ปาปมติ ตตา. [๘๕๓] โสวจัสสตา เปนไฉน ? กริ ิยาของผวู างาย ภาวะแหงผูวา งา ย ความเปนผวู างาย ความไมย ึดขา งขดั ขืน ความไมพ อใจทางโตแยง ความเอื้อเฟอ ภาวะแหงผเู ออ้ื เฟอความเปน ผทู ้งั เคารพ ทง้ั รบั ฟง ในเมอ่ื ถูกวากลา วโดยสหธรรม น้ีเรยี กวาโสวจสั สตา.

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 503 กลั ยาณมิตตตา เปน ไฉน ? บุคคลเหลาใด เปน คนมศี รัทธา มีศีล เปนพหสู ตู มีจาคะ มปี ญญา,การเสพ การซอ งเสพ การซองเสพดวยดี การคบ การคบหา ความภกั ดีความจงรักภักดีตอ บุคคลเหลานัน้ ความเปน ผมู ีกายและใจโนม นาวไปตามบคุ คลเหลาน้นั อนั ใด นีเ้ รียกวา กลั ยาณมิตตตา. [๘๕๔] อาปต ตกิ สุ ลตา เปน ไฉน ? อาบตั ทิ ้งั ๕ หมวด ๗ หมวด เรียกวาอาบตั ิ, ปญญา กิริยาทีร่ ูชัดฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ อนั เปน เหตุฉลาดในอาบัติแหง อาบัติทั้งหลายน้ัน ๆ อันใด น้เี รยี กวา อาปต ติกุสลตา. อาปตติวุฏฐานกสุ ลตา เปน ไฉน ? ปญญา กิริยาทีร่ ูช ัด ฯลฯ ความไมห ลง ความวิจัยธรรม สัมมาทฏิ ฐิอนั เปน เหตุฉลาดในการออกจากอาบัตเิ หลานน้ั อนั ใด น้เี รยี กวา อาปตติ-วุฏฐานกสุ ลตา. [๘๕๕] สมาปต ตกิ ุสลตา เปนไฉน ? สมาบตั ิที่มวี ติ กมวี จิ าร มีอยู สมาบัติทีไ่ มม วี ิตกแตมวี ิจาร มอี ยูสมาบตั ทิ ่ไี มม ีวิตกไมม วี จิ าร มีอยู, ปญญา กริ ิยาทร่ี ชู ดั ฯลฯ ความไมห ลงความวจิ ยั ธรรม สัมมาทิฏฐิ อนั เปน เหตุฉลาดในสมาบัตแิ หงสมาบัตทิ ง้ั หลายน้ัน ๆ อันใด นีเ้ รยี กวา สมาปต ติกสุ ลตา. สมาปตตวิ ุฏฐานกุสลตา เปนไฉน ? ปญ ญา กิริยาท่ีรูชัด ฯลฯ ความไมหลง ความวจิ ยั ธรรม สัมมาทิฏฐิอันเปนเหตุฉลาดในการออกจากสมาบตั ิเหลาน้ัน อันใด นเี้ รยี กวา สมาปต ต-ิวุฏฐานกสุ ลตา.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 504 [๘๕๖] ธาตกุ ุสลตา เปนไฉน ? ธาตุ ๑๘ คือ จักขุธาตุ รูปธาตุ จกั ขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สทั ทธาตุโสตวิญญาณธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวญิ ญาณธาตุ ชวิ หาธาตุ รสธาตุชวิ หาวญิ ญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ กายวญิ ญาณธาตุ มโนธาตุธัมมธาตุ มโนวญิ ญาณธาต,ุ ปญญา กริ ยิ าท่ีรูชดั ฯลฯ ความไมหลงความวจิ ยั ธรรม สัมมาทฏิ ฐิ อันเปน เหตฉุ ลาดในธาตุแหง ธาตุท้ังหลายนนั้ ๆอนั ใด นี้เรียกวา ธาตุกุสลตา. มนสกิ ากุสลตา เปนไฉน ? ปญ ญา กริ ยิ าที่รูช ัด ฯลฯ ความไมห ลง ความสอดสองธรรม สมั มา-ทฏิ ฐิ อนั เปน เหตฉุ ลาดในการมนสกิ ารซง่ึ ธาตเุ หลานน้ั อนั ใด น้เี รยี กวามนสิการกุสลตา. [๘๕๗] อายตนกสุ ลตา เปนไฉน ? อายตนะ ๑๒ คือ จักขายตนะ รปู ายตนะ โสตายตนะ สทั ทายตนะฆานายตนะ คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะ กายายตนะ โผฏฐัพพายตนะมนายตนะ ธรรมายตนะ, ปญ ญา กิริยาทร่ี ชู ัด ฯลฯ ความไมหลง ความวิจยัธรรม สัมมาทิฏฐิ อนั เปน เหตฉุ ลาดในอายตนะแหง อายตนะทง้ั หลายนั้น ๆอนั ใด น้เี รยี กวา อายตนกุสลาตา. ปฏจิ จสมปุ ปาทกสุ ลตา เปน ไฉน ? ปฏิจจสมุปบาทวา เพราะอวชิ ชาเปนปจจยั สงั ขารทงั้ หลายจงึ เกิดขึ้นเพราะสังขารเปน ปจ จยั วิญญาณจงึ เกิดขน้ึ เพราะวญิ ญาณเปน ปจจยั นามรปู จึงเกิดข้ึน เพราะนามรูปเปนปจจยั เวทนาจงึ เกิดข้นึ เพราะเวทนาเปน ปจจัยผสั สะจงึ เกิดขน้ึ เพราะผสั สะเปน ปจจัย เวทนาจึงเกดิ ขนึ้ เพราะเวทนาเปนปจจัย

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 505ตัณหาจึงเกิดข้ึน เพราะตัณหาเปนปจจยั อปุ าทานจงึ เกดิ ขน้ึ เพราะอปุ าทานเปนปจ จยั ภพจงึ เกดิ ข้ึน เพราะภพเปน ปจจัย ชาติจึงเกดิ ขึ้น เพราะชาตเิ ปน ปจจยัชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั อุปายาส จึงเกิดข้นึ ความเกิดขึน้ แหง กองทุกขท ้ังมวลน้ี ยอ มมีไดดวยประการฉะนี้, ปญญา กิรยิ าทรี่ ูชัด ฯลฯ ความไมห ลง ความวจิ ยั ธรรม สมั มาทิฏฐิ ในปฏิจจสมุปบาทนัน้อนั ใด นเ้ี รียกวา ปฏิจจสมุปปาทกสุ ลตา. [๘๕๘] ฐานกสุ ลาตา เปน ไฉน ? ธรรมใด ๆ เปน เหตุเปน ปจ จยั เพ่ือความบงั เกิดขึน้ แหง ธรรมใด ๆลกั ษณะนน้ั ๆ เรียกวา ฐานะ, ปญ ญา กิริยาทรี่ ูช ดั ฯลฯ ความไมห ลง ความวิจยั ธรรม สมั มาทิฏฐิ ในฐานะนั้น อนั ใด นเี้ รียกวา ฐานกสุ ลตา. อฏั ฐานกสุ ลตา เปน ไฉน ? ธรรมใดๆไมเ ปน เหตุไมเ ปน ปจจยั เพ่อื ความบงั เกิดขึน้ แหงธรรมใด ๆลกั ษณะนั้น ๆ ชื่อวา อฐานะ, ปญญา กริ ยิ าท่ีรชู ดั ฯลฯ ความไมหลง ความวจิ ัยธรรม สัมมาทฏิ ฐิ ในอฐานะนนั้ อนั ใด น้เี รียกวา อัฏฐานกสุ ลตา. [๘๕๙] อาชชวะ เปนไฉน ? ความซือ่ ตรง ความไมคด ความไมงอ ความไมโกง อันใด นีเ้ รยี กวา อาชชวะ. มทั ทวะ เปน ไฉน ? ความออ นโยน ความละมนุ ละไม ความไมแข็ง ความไมกระดางควานเจียมใจ อนั ใด นี้เรียกวา มทั ทวะ. [๘๖๐] ขนั ติ เปนไฉน ? ความอดทน กิริยาท่ีอดทน ความอดกลนั้ ความไมด ุรา ย ความไมปากรา ย ความแชม ชนื่ แหงจติ อนั ใด นีเ้ รียกวา ขนั ต.ิ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 506 โสรจั จะ เปนไฉน ? ความไมล ว งละเมดิ ทางกาย ความไมล ว งละเมดิ ทางวาจา ความไมลวงละเมิดทางกายและวาจา อันใด นเี้ รยี กวา โสรัจจะ ศลี สังวรแมท้งั หมด จัดเปน โสรจั จะ. [๘๖๑] สาขัลยะ เปน ไฉน ? วาจาใด เปนปม เปนกาก เผด็ รอ นตอผูอ นื่ เก่ยี วผอู น่ื ไว ยั่วใหโกรธไมเปน ไปเพื่อสมาธิ ละวาจาเชนนนั้ เสยี , วาจาใด ไรโทษ สบายหูไพเราะจับใจ เปนวาจาของชาวเมอื ง เปนทย่ี นิ ดีเจรญิ ใจ ของชนหมูมากกลาววาจาเชน นั้น, ความเปนผมู วี าจาออ นหวาน ความเปน ผูมวี าจาสละสลวยความเปน ผมู ีวาจาไมหยาบคาย ในลกั ษณะดงั กลาวน้นั อนั ใด นี้เรยี กวาสาขลั ยะ. ปฏิสันถาร เปน ไฉน ? ปฏิสันถาร ๒ คอื อามิสปฏสิ ันถาร ธรรมปฏิสนั ถาร, บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน ผูป ฏสิ ันถาร โดยอามิสปฏสิ นั ถารก็ดี โดยธรรมปฏสิ นั ถารกด็ ีนี้เรยี กวา ปฏิสันถาร. [๘๖๒] ความเปนผไู มส าํ รวมในอนิ ทรยี  ๖ เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เห็นรปู ดว ยจักขุแลว เปน ผถู ือนิมติ เปนผูถือโดยอนุพยัญชนะ, อภิชฌาโทมนสั อกศุ ลบาปธรรมท้งั หลาย พึงครอบงาํบุคคลผูไมสํารวมจักขุนทรียอ ยูนี้ เพราะเหตทุ ่ไี มส ํารวม จักขุนทรยี ใ ด, ไมปฏบิ ตั ิเพ่อื สํารวมจักขนุ ทรยี นนั้ ไมรักษาจักขนุ ทรยี น ัน้ ไมสาํ เร็จการสาํ รวมในจกั ขุนทรียน นั้

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 507 ไดย นิ เสียงดว ยโสตแลว ฯลฯ สดู กลิน่ ดวยฆานะแลว ฯลฯ ล้ิมรสดวยชิวหาแลว ฯลฯ ถกู ตองโผฏฐพั พะดวยกายแลว ฯลฯ รูแ จงธรรมารมณด ว ยใจแลว เปน ผถู อื นิมิต เปน ผูเถอื โดยอนุพยัญชนะ อภชิ ฌา โทมนัส อกุศล-บาปธรรมท้ังหลาย พงึ ครอบงําบุคคลผไู มส าํ รวมมนินทรยี อ ยูนี้ เพราะเหตทุ ่ีไมส ํารวมมนนิ ทรียใด ไมป ฏิบัติเพื่อสํารวมมนินทรียน ัน้ ไมรกั ษามนินทรยี นัน้ ไมสาํ เรจ็ การสํารวมในมนนิ ทรยี น้ัน การไมคมุ ครอง กิริยาทีไ่ มคุม ครอง การไมร กั ษา การไมสํารวมซ่งึอนิ ทรีย ๖ เหลานี้ อันใด น้ีเรียกวา ความเปน ผูไ มส ํารวมในอนิ ทรีย ๖. ความเปนผูไมรปู ระมาณในโภชนาหาร เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ี ไมพ ิจารณาโดยแยบคาย บรโิ ภคอาหาร เพือ่จะเลน เพื่อจะมัวเมา เพอื่ จะประเทืองผิว เพอ่ื ความอวนพ,ี ความเปน ผูไ มสนั โดษ ความเปนผไู มร ูประมาณ ความไมพ จิ ารณา ในโภชนาหารนั้น อนัใด น้เี รยี กวา ความเปน ผไู มรปู ระมาณในโภชนาหาร. [๘๖๓] ความเปน ผูส าํ รวมในอินทรยี  ๖ เปน ไฉน ? บคุ คลบางคนโลกน้ี เห็นรูปดว ยจกั ขแุ ลว เปน ผูไมถ อื นมิ ติ เปนผไู มถือโดยอนพุ ยญั ชนะ, อภชิ ฌา โทมนสั อกุศลบาปธรรมท้ังหลาย พงึครอบงาํ บคุ คลผูไมสํารวมจักขุนทรียอ ยนู ้ี เพราะเหตุท่ไี มสํารวมจักขนุ ทรียใด,ปฏิบัติเพ่อื สาํ รวมจักขุนทรยี น ้นั รักษาจกั ขุนทรยี นั้น สําเรจ็ การสาํ รวมในจกั ขนุ ทรยี นั้น ไดย นิ เสียงดวยโสตแลว ฯลฯ สดู กลนิ่ ดว ยฆานะแลว ฯลฯ ลิ้มรสดว ยชิวหาแลว ฯลฯ ถูกตองโผฏฐพั พะดวยกายแลว ฯลฯ รธู รรมารมณด วยใจแลว เปนผูไมถ อื นิมิต เปน ผไู มถ อื โดยอนพุ ยญั ชนะ, อภชิ ฌา โทมนัส

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 508อกุศลบาปธรรมท้ังหลาย พงึ ครอบงําบคุ คลผไู มสํารวมมนินทรยี อ ยนู ี้ เพราะเหตทุ ่ไี มส ํารวมมนนิ ทรยี ใ ด, ปฏบิ ตั ิเพอ่ื สํารวมมนนิ ทรยี น้นั รักษามนนิ ทรยี นัน้ สาํ เร็จการสํารวมในมนนิ ทรยี น้นั การคมุ ครอง กริ ิยาท่ีคมุ ครอง การรกั ษา การสาํ รวมอนิ ทรีย ๖ เหลาน้ี อนั ใด นเ้ี รยี กวา ความเปนผูสาํ รวมในอนิ ทรีย. ความเปนผูร ูประมาณในโภชนาหาร เปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนพี้ ิจารณาโดยแยบคายวา เราบรโิ ภคอาหาร ไมใชเ พ่ือจะเลน ไมใ ชเพ่ือจะมัวเมา ไมใชเพอ่ื จะประเทือง ไมใชเ พ่อื จะใหอว นพี แตเ พยี งเพือ่ ใหก ายน้ดี าํ รงอยูได เพ่อื ใหช วี ิตนิ ทรียเ ปน ไป เพือ่ บําบัดความหวิ เพอ่ื อนเุ คราะหพรหมจรรย เพราะโดยอบุ ายน้ี เราจักกําจัดเวทนาเกา เสยีดว ย จักไมใ หเวทนาใหมเ กดิ ขึ้นดว ย ความดํารงอยแู หงชีวติ ความไมมโี ทษและการอยูโดยผาสกุ จักมีแกเ ราดวย ดงั นี้ แลว จึงบรโิ ภคอาหาร, ความสนั โดษ ความรปู ระมาณ การพจิ ารณา ในโภชนาหารน้ัน อนั ใด นเ้ี รยี กวา ความเปน ผรู ู ประมาณในโภชนาหาร. [๘๖๔] มฏุ ฐสจั จะ เปนไฉน ? ความระลกึ ไมไ ด ความไมตามระลึก ความไมหวนระลึก ความระลกึไมได อาการท่ีระลกึ ไมไ ด ความไมท รงจํา ความเล่อื นลอย ความหลงลืม อันใด นเ้ี รียกวา มุฏฐสจั จะ. อสมั ปชัญญะ เปน ไฉน ? ความไมร ู ความไมเหน็ ฯลฯ ลมิ่ คืออวิชชา อกศุ ลมลู คอื โมหะอันใด นเ้ี รียกวา อสมั ปชญั ญะ.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 509 [๘๖๕] สติ เปนไฉน ? สติ ความตามระลึก ความหวนระลกึ สติ กริ ยิ าท่รี ะลกึ ความทรงจํา ความไมเ ลือ่ นลอย ความไมลืม สติ สตนิ ทรีย สติพละ สมั มาสติอนั ใด น้เี รียกวา สติ. สัมปชญั ญะ เปนไฉน ? ปญ ญา กริ ยิ าทีร่ ูชดั ฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สมั มา-ทฏิ ฐิ อนั ใด นเ้ี รียกวา สมั ปชัญญะ. [๘๖๖] กาํ ลงั คือการพจิ ารณา เปน ไฉน ? ปญญา กิริยาทร่ี ูช ัด ฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สมั มาทฏิ ฐิอนั ใด น้ีเรียกวา กาํ ลงั คือการพิจารณา. กาํ ลงั คอื ภาวนา เปนไฉน ? การเสพ การเจรญิ การทาํ ใหม าก ซงึ่ กศุ ลธรรมทงั้ หลาย อันใดนี้เรยี กวา กําลงั คอื ภาวนา โพชฌงคแมทง้ั ๗ จัดเปน กําลังคือภาวนา. [๘๖๗] สมณะ เปนไฉน ? ความตั้งอยูแหงจติ ฯลฯ สัมมาสมาธิ อนั ใด น้ีเรียกวา สมถะ. วปิ สสนา เปนไฉน ? ปญญา กริ ยิ าท่ีรชู ดั ฯลฯ ความไมหลง ความวจิ ยั ธรรม สมั มาทฏิ ฐิอนั ใด น้ีเรยี กวา วปิ สสนา. [๘๖๘] สมถนิมติ เปน ไฉน ? ความตัง้ อยูแ หงจิต ฯลฯ สมั มาสมาธิ อนั ใด นเ้ี รยี กวา สมถนมิ ติ .

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 510 ปคคาหนมิ ติ เปนไฉน ? การปรารภความเพยี รทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อนั ใด นเี้ รยี กวาปคคาหนิมติ . [๘๖๙] ปคคาหะ เปน ไฉน ? การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สมั มาวายามะ อนั ใด นีเ้ รียกวาปคคาหะ. อวิกเขปะ เปนไฉน ? ความต้งั อยแู หงจติ ฯลฯ สมั มาสมาธิ อันใด นีเ้ รียกวา อวกิ เขปะ. [๘๗๐] สลี วิบตั ิ เปนไฉน ? ความลว งละเมดิ ทางกาย ความลว งละเมิดทางวาจา ความลวงละเมดิทางกายและทางวาจา อันใด นเี้ รยี กวา สลี วิบตั ิ ความเปนผูทศุ ลี แมทั้งหมด จัดเปน สลี วบิ ตั ิ. ทฏิ ฐิวิบัติ เปนไฉน ? ความเห็นวา ทานท่ีใหแ ลว ไมม ผี ล การบูชาไมม ีผล การบวงสรวงไมมีผล ผลวิบากแหงกรรมท่ที าํ ดีทาํ ชวั่ ไมม ี โลกนี้ไมม ี โลกอื่นไมมี มารดาไมมี บิดาไมม ี สตั วท ี่จตุ แิ ละอบุ ัตไิ มมี สมณพราหมณผูป ฏบิ ัตดิ ปี ฏบิ ตั ิชอบไมมใี นโลก สมณพราหมณท ที่ าํ ใหแ จง ซ่งึ โลกนี้และโลกอ่นื ดว ยปญญาอนั ยง่ิ เองแลว ประกาศใหผอู ื่นรไู ดไมมใี นโลก ดงั น้ี ทฏิ ฐิ ความเหน็ ไปขา งทิฏฐิ ฯลฯการถือโดยวิปลาสมลี ักษณะเชนวานี้ อันใด น้เี รียกวา ทิฏฐวิ บิ ตั ิ มจิ ฉาทฏิ ฐแิ มทง้ั หมด จดั เปน ทิฏฐวิ ิบัต.ิ [๘๗๑] สลี สมั ปทา เปน ไฉน ? ความไมล ว งละเมิดทางกาย ความไมลวงละเมดิ ทางวาจา ความไมลวงละเมิดทางกายและทางวาจา นเี้ รียกวา สลี สมั ปทา

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 511 สลี สังวรแมท ัง้ หมด จดั เปน สีลสมั ปทา. ทฏิ ฐิสมั ปทา เปน ไฉน ? ความเห็นวา ทานที่บคุ คลใหแลว ยอมมีผล การบูชายอ มมผี ล การบวงสรวงยอมมผี ล ผลวบิ ากแหง กรรมทีท่ าํ ดที าํ ชั่วมีอยู โลกนี้มอี ยู โลกอืน่มอี ยู มารดามอี ยู บิดามอี ยู สตั วท จ่ี ตุ ิและอุบัติมอี ยู สมณพราหมณผูปฏิบัตดิ ีปฏบิ ัตชิ อบมีอยใู นโลก สมณพราหมณท ี่ทําใหแ จง ซ่ึงโลกนแ้ี ละโลกอน่ื ดว ยปญญาอันยง่ิ เองแลว ประกาศใหผ ูอน่ื รูไ ดม อี ยูในโลก ดงั น้ี ปญญา กิริยาท่ีรูชดัฯลฯ ความไมห ลง ความวิจัยธรรม สมั มาทิฏฐมิ ีลักษณะเชนวาน้ี อันใดน้ีเรียกวา ทิฏฐสิ มั ปทา สัมมาทิฏฐแิ มท้ังหมด จัดเปน ทิฏฐิสมั ปทา. [๘๗๒] สลี วิสุทธิ เปน ไฉน ? ความไมล ว งละเมิดทางกาย ความไมลว งละเมดิ ทางวาจา ความไมลว งละเมิดทางกายและทางวาจา น้ีเรียกวา สลี วสิ ุทธิ สีลสงั วรแมท้ังหมด จดั เปน สลี วิสุทธิ. ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ เปน ไฉน ? ญาณเปน เครื่องรวู า สัตวม กี รรมเปน ของตน (กัมมสั สกตาญาณ) ญาณ-อนั สมควรแกก ารหยั่งรอู ริยสจั (สัจจานโุ ลมกิ ญาณ) ญาณของทา นผพู รอมเพรียงดว ยมรรค (มคั คญาณ) ญาณของทา นผพู รอ มเพรยี งดว ยผล (ผลญาณ). [๘๗๓] บทวา ความหมดจดแหงทิฏฐิ น้นั มนี ิเทศวา ปญญากิรยิ าท่รี ูช ัด ฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม สมั มาทฏิ ฐ.ิ บทวา ความเพยี รแหง บุคคลผูมที ฏิ ฐิอันหมดจด นัน้ มีนิเทศวาการปรารภความเพยี รทางใจ ฯลฯ สมั มาวายามะ.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 512 [๘๗๔] บทวา ความสลดใจนนั้ มีนิเทศวา ญาณอันเหน็ ชาติโดยความเปน ภัย ญาณอันเหน็ ชราโดยความเปน ภยั ญาณอันเห็นพยาธโิ ดยความเปนภัย ญาณอนั เห็นมรณะโดยความเปน ภัย. บทวา ฐานะเปนท่ตี ัง้ แหง ความสลดใจ นั้น มีนเิ ทศวา ชาติชรา พยาธิ มรมะ. บทวา ความพยายามโดยแยบคายแหงบุคคลผูม ใี จสลดแลวน้ัน มนี เิ ทศวา ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ยอ มยังฉนั ทะใหเ กิด ยอมพยายามยอ มปรารภความเพียร ยอมประคองจิตไว ยอ มตงั้ จิตไว เพอ่ื ความไมบงั เกิดขึน้ แหง อกศุ ล บาปธรรมทง้ั หลายท่ยี งั ไมบงั เกิดขน้ึ เพอื่ ละอกุศลบาปธรรมท้งั หลายท่บี งั เกดิ ขึ้นแลว เพอ่ื ความบังเกดิ ขึน้ แหงกุศลธรรมท้งั หลายทีย่ ังไมบงั เกิดขึ้น เพอื่ ความต้ังอยู เพ่ือความไมจ ดื จาง เพื่อความเพมิ่ พูน เพื่อความไพบูลย เพ่อื ความเจรญิ เพอื่ ความบริบรู ณ แหงกุศลธรรมทัง้ หลายทบ่ี งั เกิดข้นึ แลว . [๘๗๕] บทวา ความไมรูจักอ่มิ ในกุศลธรรม นั้น มนี เิ ทศวาความพอใจย่ิง ๆ ข้ึนไปของบคุ คลผไู มร ูจกั อมิ่ ในการเจริญกศุ ลธรรมทงั้ หลาย. บทวา ความไมท อถอยในความพยายาม น้นั มนี ิเทศวา ความเปนผกู ระทําโดยเคารพ ความเปนผกู ระทาํ ติดตอ ความเปน ผกู ระทําไมห ยุดความเปน ผูประพฤติไมย อหยอ น ความเปนผูไ มท ้งั ฉันทะ ความเปน ผไู มท อดธรุ ะ การเสพ การเจริญ การกระทําใหมาก เพ่ือความเจรญิ แหงกศุ ลี ธรรมทั้งหลาย. [๘๗๖] บทวา วชิ ชา น้ัน มีนิเทศวา วิชชา ๓ วชิ ชาคอื ญาณอนั ตามระลกึ ชาติหนหลังได (ปุพเพนิวาสานุสสตญิ าณ) วชิ ชาคือญาณในจุติ

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 513และอบุ ัตขิ องสตั วท ้งั หลาย (จตุ ปุ ปาตญาณ) วิชชาคือญาณในความสิน้ ไปแหง อาสวะท้ังหลาย (อาสวกั ขยญาณ) บทวา วมิ ุตติ น้นั มนี ิเทศวา วิมุตติ ๒ คอื อธิมุตตแิ หง จิต (สมาบตั ิ ๘)และนิพพาน. [๘๗๗] บทวา ขเย าณ นน้ั มนี ิเทศวา ญาณของทานผพู รอ มเพรียงดว ยมรรค. บทวา อนปุ ฺปาเท าณ น้ัน มีนเิ ทศวา ญาณของทา นผพู รอมเพรียงดวยผล. นิกเขปกัณฑ จบ อรรถกถานกิ เขปกัณฑ วา ดวยนทิ เทสวิชชปู มทกุ ะ นทิ เทสบททั้งหลายแหงสตุ ตนั ติทุกะเหลาน้นั โดยมากมอี รรถตนื้ ท้งันั้น เพราะสตุ ตันติกะทง้ั หลาย ขา พเจา ไดจาํ แนกแสดงโดยใจความในมาติกา-กถาแลว และเพราะนทิ เทสบทแมเหลานน้ั เขา ใจงายโดยนยั ท่ีไดก ลาวแลวในหนหลังนัน่ แล. แตในทน่ี ี้ขา พเจาจะแสดงเนือ้ ความท่ีตา งกนั ตอ ไป พงึ ทราบวินิจฉัยในวชิ ชปู มทุกะกอ น ไดย นิ วา บุรษุ ผมู ีจักษุเดินทางไปในเวลาราตรีมเี มฆมดื ทางยอมไมป รากฏแกบ รุ ษุ นั้น เพราะความมืดสายฟาแลบแลวขจดั ความมดื ไป ทนี น้ั ทางกป็ รากฏแกเขา เพราะปราศจากความมืด เขาจงึ เดนิ ทางตอไป แมครัง้ ท่สี องความมดื กย็ อมปกคลุมอกี ทางจึงไม

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 514ปรากฏแกเขา สายฟาแลบแลว ขจัดความมืดน้นั เม่อื ปราศจากความมดื แลวทางก็ไดปรากฏ เขาจงึ เดนิ ทางตอ ไป คร้ังทสี่ าม ความมดื ไดปกคลุมแลว ทางกไ็ มป รากฏ สายฟา แลบแลว กข็ จัดความมดื ไป. บรรดาขอ อุปมาเหลานั้น การเร่ิมวปิ สสนาของอรยิ สาวกเพ่อื ประโยชนบรรลุโสดาปตตมิ รรค เหมอื นการเดนิ ทางของบรุ ษุ ผมู ีจักษใุ นเวลาท่ีมดืความมืดปดบงั สจั จะ เหมือนเวลาท่ีทางไมป รากฏในความมืด เวลาทแี่ สงสวางคอื โสดาปต ติมรรคเกดิ ข้ึนกาํ จดั ความมดื ปด บงั สจั จะ เหมอื นเวลาท่สี ายฟาแลบขึ้นกําจัดความมดื เวลาท่สี ัจจะ ๔ ปรากฏแกโสดาปตติมรรค เหมอื นเวลาท่ีทางปรากฏในการปราศจากความมดื กก็ ารปรากฏของทางกค็ ือการปรากฏของบคุ คลผูพรงั่ พรอ มดว ยมรรคสมังคีนั่นเอง. การเริ่มวิปสสนาของบคุ คล เพ่อื ประโยชนบรรลุสกทามิมรรคเหมอื นการดาํ เนินไปคร้งั ท่สี อง ความมืดปด บงั สัจจะ เหมอื นเวลาทีท่ างไมป รากฏในความมดื เวลาท่ีแสงสวางคือสกทาคามิมรรคเกดิ ขนึ้ กาํ จัดความมดื ปดบังสจั จะเหมอื นเวลาสายฟา แลบคร้ังที่สองกําจัดความมืด เวลาทสี่ ัจจะ ๔ ปรากฏแกสกทาคามิมรรค เหมือนเวลาที่ทางปรากฏในการปราศจากความมดื ก็การปรากฏของทางกค็ ือการปรากฏของบคุ คลผูพรงั่ พรอ มดว ยมรรคนั่นแหละ. การเริม่ วิปส สนาเพอื่ บรรลอุ นาคามิมรรค เหมือนบุคคลเดินทางครง้ั ที่สาม ความมืดอันปด บงั สัจจะ เหมอื นทางไมปรากฏในเวลามืด เวลาท่ีแสงสวา งคืออนาคามิมรรคเกิดข้ึนกาํ จัดความมืดปดบังสัจจะ เหมือนเวลาท่ีสายฟา แลบกาํ จดั ความมดื ครั้งที่สาม เวลาทส่ี จั จะ ๔ ปรากฏแกอ นาคามิมรรค เหมอื นเวลาทีท่ างปรากฏในเวลาปราศจากความมดื ก็การปรากฏของทางก็คอื การปรากฏของบคุ คลผพู ร่งั พรอมดว ยมรรคนั่นแหละ.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 515 อนงึ่ แผน หิน หรือแกว มณี ชือ่ วา ไมแตกไปดว ยวชริ ะ (ฟาผา )ยอมไมมี วชิระตกไปในท่ีใด ที่น้ันยอมเปนอนั ถูกขจดั แลวทเี ดียว วชริ ะเมือ่ ฟาดไปยอ มฟาดไปมิใหอ ะไรเหลือ ข้นึ ชอื่ วา ทางที่วชิระผา นไปแลวจะไมเปน สง่ิ ปรากฏอีก ชอ่ื วา กเิ ลสทีอ่ รหัตมรรคไมป ระหาณแลว กย็ อมไมมอี ยา งนั้นเหมอื นกนั แมอ รหตั มรรคยอมกําจดั กเิ ลสทงั้ สนิ้ คือเมือ่ ยังกิเลสใหส น้ิ ไปยอ มใหสิ้นไปโดยไมเ หลอื เหมือนวชริ ะกําจดั อยูฉะน้ัน ข้ึนชอ่ื วา การกลบั มาเกดิอกี ของกิเลสท่ีอรหัตมรรคประหาณแลวยอ มไมมี เหมอื นทางทว่ี ชริ ะผา นไปแลวไมกลับเปนส่ิงปรากฏอีก ฉะนน้ั . วาดวยนทิ เทสพาลทกุ ะ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในนทิ เทสพาลทุกะ ตอไป อหิรกิ ะและอโนตตัปะปรากฏแลว ในพาลชนทั้งหลาย. อน่งึ อหริ ิกะและอโนตตปั ปะเหลาน้นั ยงั เปน มลู แหงพาลธรรมท่เี หลือ ดวยวา คนทีไ่ มม หี ริ ิไมมโี อตตปั ปะช่อื วา ไมทําอกศุ ลอะไร ๆ ยอมไมมี เพราะฉะนั้น ธรรมท้ัง ๒เหลาน้นั จึงตรสั แยกไวกอนทเี ดยี ว. แมใ นธรรมทเ่ี ปน ฝายขาว (สกุ กธรรม)ก็นัยนีแ้ หละ. ในกณั หทุกะกเ็ หมือนกนั . วาดวยนิทเทสตปนียทุกะ พงึ ทราบวินิจฉัยในนทิ เทสตปนียทุกะ ตอไป บัณฑติ พึงทราบ ตปนธรรม (ธรรมท่ีเรา รอน) เพราะเหตุทท่ี ําและเพราะเหตุท่ไี มทาํ จริงอยู กายทจุ ริตเปนตน ยอ มใหเรา รอนเพราะเหตทุ ี่ทํา กายสจุ ริตเปน ตน ยอมใหเรา รอ นเพราะเหตุทไ่ี มท าํ จริงอยางน้นั บุคคล* วชิระ เปน ชอ่ื ของฟา ผาก็มี เปน ชอื่ อาวุธของพระอินทรกม็ ี

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 516ยอ มเดอื ดรอ นวา กายทุจริตเราการทําไว และยอมเดอื ดรอ นวา กายสจุ รติเรามิไดก ารทาํ ไว ยอ มเดอื ดรอนวา วจที ุจรติ เรากระทําไว ฯลฯ ยอมเดอื ดรอนวา มโนสุจริตเรามิไดทําไว. แมใ นอตปนยี ธรรม (ธรรมทีไ่ มเรารอ น)ก็นัยน้ีแหละ. จรงิ อยู บคุ คลผทู าํ ความดี ยอ มไมเรา รอ นวา กายสุจริตเราทาํ ไวแ ลวยอ มไมเรารอ นวา กายทจุ ริตเราไมทาํ ไวแลว ยอมไมเ รา รอนวา วจสี จุ รติ เรากระทาํ ไว ฯลฯ ไมเรา รอ นวา มโนทุจรติ เราไมท ําไว ดงั น.ี้ วาดว ยนิทเทสอธิวจนทุกะ พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในนิทเทสอธวิ จนทุกะ ตอ ไป บทวา ยา เตส เตส ธมฺมาน (ธรรมนนั้ ๆ อนั ใด) ไดแก ทรงรวบรวมเอาธรรมทงั้ หมด. ทชี่ ่ือวา สงั ขา (การกลา วขาน) เพราะอันเขาบอก คือยอ มสนทนากัน ยอ มสนทนากันอยางไร ยอมสนทนากนั ดวยอาการหลายประการอยา งนีว้ า เรา ของเรา คนอื่น ของคนอ่นื วาเปน สตั ว เปนภาวะ เปน บรุ ุษ เปนบคุ คล เปน นระ เปนมานพ ช่อื วา ติสสะ ชือ่ วาทตั ตา วาเตียง วาตง่ั วา ฟกู วา หมอน วิหาร บรเิ วณ ประตู หนาตา งดังน้ี เพราะฉะนั้น จงึ ชอ่ื วา สังขา (การกลาวขาน). ทชี่ อ่ื วา สมญั ญา (การกําหนดร)ู เพราะอรรถวา ยอมรูโดยชอบ.ยอ มรโู ดยชอบอยางไร ยอ มรวู า เรา ของเรา ฯลฯ ประตู หนาตา ง เพราะฉะนนั้ จึงชื่อวา สมญั ญา เพราะอรรถวา ยอมรูโ ดยชอบ. ที่ชื่อวา บัญญตั ิเพราะอรรถวา อันเขายอ มแตงต้งั . ทชี่ ือ่ วา โวหาร เพราะอรรถวา อันเขายอมรองเรยี ก ยอ มรอ งเรียกอยางไร ยอ มรองเรยี กวา เรา ของเรา ฯลฯประตู หนา ตาง เพราะฉะน้นั จงึ ชื่อวา โวหาร.

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 517 บทวา นาม (นาม) ไดแ ก นาม ๔ อยา ง คอื ๑. สามัญนาม ชื่อทั่วไป ๒. คุณนาม ชอื่ โดยคณุ ๓. กติ ติมนาม ช่ือโดยการยกยอง ๔. อุปปาติกนาม ช่อื ตามทเ่ี กดิ ข้นึ . บรรดานาม ๔ อยางนน้ั นามของพระราชาวา มหาสมมต ดังนี้เพราะมหาชนในครั้งปฐมกปั ประชุมกันต้งั ไว ช่อื วา สามัญนาม ซงึ่ พระ-ผูม พี ระภาคเจาทรงหมายถงึ ตรสั ไวว า ดูกอนวาเสฏฐะ อักษรแรกวา มหาสมมตดังนี้ เกดิ ขึน้ เพราะมหาชนสมมตขิ ึ้นแล. นาม อันมาแลว โดยคณุ อยา งนี้วา พระธรรมกถกึ ผทู รงบังสกุ ลุ จวี ร พระวินัยธร ผูทรงพระไตรปฎ ก ผมู ีศรัทธา ผูเล่อื มใสแลว ดงั น้ี ช่อื วา คณุ นาม. แมพระนามของพระตถาคตมหี ลายรอ ยอาทิวา ภควา อรห สมฺมา-สมพฺ ทุ โฺ ธ ดังนี้ ก็ชือ่ วา คุณนาม เหมือนกนั ดว ยเหตุนัน้ ทา นโบราณา-จารย จึงกลาววา อสงฺเขยยฺ านิ นามานิ สคุเณน มเหสโิ น คเุ ณน นามมทุ ฺเธยยฺ  อป นาม สหสฺสโต พระพุทธเจา ผทู รงแสวงหาคุณอนั ใหญม พี ระนาม โดยพระคุณของพระองค นับไมถวน บัณฑิต พงึ ยกพระนามโดย พระคณุ ข้ึนแสดงแมเปนพัน ๆ พระนาม ดังน้.ี

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 518 สวนนามใด ที่พวกญาติทั้งหลายผยู ืนอยใู นทีใ่ กลกระทําสกั การะแกพระทกั ขไิ ณยบุคคลทง้ั หลาย พากนั คิดกําหนดแลว ในวันทีต่ ง้ั ชอ่ื ของเด็กผูเกดิมากระทาํ การตั้งช่อื วา เด็กนีช้ ่ือโนน นามน้ี ช่อื วา กิตติมนาม. อน่งึ บญั ญตั ิแรกยอมตกไปในบญั ญตั ิหลงั โวหารแรกยอ มตกไปในโวหารหลงั เชน พระจนั ทรแ มในกปั กอนชื่อวาพระจันทร แมใ นปจจุบันก็เรยี กวา พระจนั ทรเหมือนกนั พระอาทติ ย สมทุ ร ปฐวี บรรพตในกปั กอ นชือ่ วา บรรพต แมใ นปจจุบนั กเ็ รยี กวา บรรพตน่นั แหละ นี้ชอ่ื วา อุปปา-ตกิ นาม. นามแมทง้ั ๔ อยางน้ี กค็ งเปนนามอยา งเดยี วกนั นน่ั เอง. บทวา นามกมฺม (นามกรรม) คอื การใหช อื่ . บทวา นามเธยฺย (นามเธยยะ) คือการตงั้ ชอ่ื . บทวา นิรตุ ตฺ ิ (การออกช่อื ) ไดแก การเรียกช่อื . บทวา พฺยชฺ น (การระบชุ ่อื ) ไดแ ก การประกาศช่ือ กเ็ พราะการระบชุ ่อื น้ี ยอมปรากฏถงึ ความหมาย ฉะนั้น จงึ ตรัสไวอยา งน้นั . บทวา อภลิ าโป (การเรียกชอื่ ) ไดแ ก ช่อื ท่เี รียกน่ันเอง. บทวา สพเฺ พว ธมฺมา อธวิ จนปถา (ธรรมท้ังหมดแล ชอ่ื วาอธิวจนปถธรรม) ไดแก ช่ือวา ธรรมท่เี ปนวถิ ขี องธรรมท่ีเปน ชอ่ื ไมมีหามไิ ดธรรมหนึ่งยอมรวมลงในธรรมทัง้ หมด ธรรมทัง้ หมดก็ประชมุ ลงในธรรมหน่งึขอ นเี้ ปน อยางไร ? คอื วา ธรรมหน่งึ คอื นามบัญญัตนิ ีน้ ้ัน ยอมประมวลลงในธรรมอนั เปน ไปในภูมิ ๔ ทัง้ หมด คือสตั วก ด็ ี สงั ขารก็ดี ชอ่ื วา พน ไปจากชือ่ หามีไม. แมตน ไมในดง และภเู ขาเปน ตน ก็ยังเปนภาระ (คําพูด) ของชาวชนบท เพราะวา ชาวชนบทเหลา น้ัน ถูกเขาถามวา ตนไมน้ีชอ่ื อะไร ?
































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook