พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 201สง่ิ ท่ีเห็นไดแ ลวกระทบไดด ว ยจักขุ อันเปนส่ิงทีเ่ หน็ ไมไ ดแ ตกระทบได, นี้เรียกวา รูปบา ง รปู ายตนะบา ง รปู ธาตบุ า ง รปู ท้งั นี้เรียกวา รปู ายตนะ. รปู ท่ีเรยี ก รูปายตนะ น้นั เปนไฉน ? รูปใด เปนสี อาศัยมหาภูตรปู ๔ เปน สิ่งทเ่ี หน็ ไดและกระทบไดไดแ ก สีเขยี วคราม สีเหลือง สแี ดง สขี าว สีดํา สหี งสบาท สีคล้ํา สีเขียวใบไม สมี วง ยาว ส้นั ละเอียด หยาบ กลม รี ส่เี หล่ยี ม หกเหล่ยี มแปดเหล่ียม สบิ หกเหลีย่ ม ลมุ ดอน เงา แดด แสงสวา ง มดื เมฆหมอก ควนั ละออง แสงจนั ทร แสงอาทิตย แสงดาว แสงกระจก แสงแกว มณี แสงสังข แสงมุกดา แสงแกวไพฑูรย แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแมอน่ื ใด เปนสี อาศยั มหาภตู รูป ๔ เปนสงิ่ ที่เหน็ ไดและกระทบได มีอยู,จักขุอนั เปนส่ิงท่เี หน็ ไมไดแ ตกระทบได กระทบแลว หรือกระทบอยู หรือจักกระทบ หรอื พงึ กระทบ ทรี่ ูปใด อันเปน สิ่งทเี่ ห็นไดและกระทบได,นี้เรียกวา รปู บา ง รูปายตนะบา ง รปู ธาตบุ า ง รปู ท้ังนี้เรียกวา รปู ายตนะ. รปู ทีเ่ รยี กวา รปู ายตนะ นั้น เปน ไฉน ? รปู ใด เปนสี อาศัยมหาภตู รปู เปน ส่ิงท่เี หน็ ไดและกระทบไดไดแ ก สเี ขียวคราม สีเหลอื ง สแี ดง สขี าว สดี ํา สหี งสบาท สีคลา้ํ สเี ขยี วใบไม สีมว ง ยาว สั้น ละเอยี ด หยาบ กลม รี ส่ีเหลย่ี ม หกเหลย่ี มแปดเหลย่ี ม สบิ หกเหลี่ยม ลมุ ดอน เงา แดด แสงสวาง มดื เมฆหมอก ควัน ละออง แสงจนั ทร แสงอาทติ ย แสงดาว แสงกระจก แสงแกวมณี แสงสงั ข แสงมุกดา แสงแกวไพฑูรย แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแมอ ืน่ ใด เปนสี อาศัยมหาภตู รปู ๔ เปน ส่งิ ทเ่ี ห็นไดและกระทบได มอี ยู,รูปใด อันเปนสง่ิ ท่เี หน็ ไดแ ละกระทบได กระทบแลว หรอื กระทบอยู หรือ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 202จกั กระทบ หรอื พงึ กระทบ ท่จี ักขุ อันเปนสิง่ ทีเ่ หน็ ไมไดแตก ระทบไดน้เี รยี กวา รูปบาง รปู ายตนะบาง รปู ธาตุบาง รปู ท้งั น้เี รียกวา รูปายตนะ. รูปท่ีเรยี กวา รปู ายตนะ นน้ั เปน ไฉน ? รูปใด เปน สี อาศยั มหาภตู รปู ๔ เปนสิ่งทเ่ี หน็ ไดแ ละกระทบไดไดแ ก สเี ขยี วคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สดี าํ สีหงสบาท สีคลํา้ สเี ขียวใบไม สีมวง ยาว สัน้ ละเอยี ด หยาบ กลม รี สี่เหล่ยี ม หกเหลยี่ มแปดเหลีย่ ม สิบหกเหล่ียม ลุม ดอน เงา แดด แลงสวา ง มืด เมฆหมอก ควัน ละออง แสงจันทร แสงอาทติ ย แสงดาว แสงกระจกแสงแกวมณี แสงสงั ข แสงมุกดา แสงแกวไพฑูรย แสงทอง แสงเงนิหรอื รปู แมอืน่ ใด เปนสี อาศัยมหาภตู รปู ๔ เปนสิ่งทีเ่ หน็ ไดและกระทบไดมอี ย,ู เพราะปรารภรูปใด จกั ขุสัมผสั อาศยั จกั ขุ เกดิ ขนึ้ แลว หรือเกดิ ข้นึ อยูหรือจกั เกดิ ข้นึ หรอื พึงเกิดขนึ้ ฯลฯ เพราะปรารภรูปใด เวทนาอันเกดิ แกจกั ขุสัมผสั ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จกั ขวุ ิญญาณอาศยั จกั ขเุ กดิ ข้ึนแลวหรือเกิดขึ้นอยู หรอื จกั เกิดขึน้ หรอื พงึ เกิดข้ึน ฯลฯ จกั ขสุ ัมผสั มีรปู ใดเปนอารมณ อาศัยจกั ขเุ กดิ ขน้ึ แลว หรอื เกิดขน้ึ อยู หรอื จกั เกิดขน้ึ หรอื พงึเกดิ ขนึ้ ฯลฯ เวทนาอันเกิดแตจักขุสมั ผสั ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯจกั ขุวญิ ญาณ มรี ูปใดเปน อารมณ อาศัยจักขุเกดิ ขน้ึ แลว หรอื เกิดขึ้นอยูหรอื จักเกดิ ข้นึ หรอื พึงเกิดขึน้ , รูปนเ้ี รยี กวา รปู บา ง รปู ายตนะบา ง รปู ธาตุบา ง รูปท้ังนเี้ รยี กวา รูปายตนะ. [๕๒๒] รูปท่เี รยี กวา สัททายตนะ นัน้ เปนไฉน ? เสยี งใด อาศยั มหาภตู รูป ๔ เปน ส่ิงทเ่ี ห็นไมไ ดแ ตก ระทบได ไดแ กเสยี งกลอง เสยี งตะโพน เสียงสังข เสยี งบณั เฑาะว เสยี งขับรอง เสียง
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 203ประโคม เสียงกรบั เสียงปรบมอื เสยี งรองของสตั ว เพยี งกระทบกันของธาตุเสียงลม เสยี งนา้ํ เสยี งมนุษย เสยี งอมนษุ ย หรอื เสยี งแมอืน่ ใดท่ีอาศยัมหาภตู รปู ๔ เปน สิง่ ท่ีเหน็ ไมไดแตก ระทบได มีอยู, สตั วนี้ ฟงแลว หรือฟง อยู หรือจกั ฟง หรอื พึงฟง ซึ่งเสยี งใดอนั เปน สง่ิ ทีเ่ หน็ ไมไ ดแ ตก ระทบไดดวยโสตอันเปนสง่ิ ทเี่ ห็นไมไ ดแตก ระทบได, นเ้ี รียกวา สทั ทะบา ง สทั ทายตนะบาง สทั ทธาตบุ าง รูปทัง้ น้ีเรียกวา สัททายตนะ. รูปทเี่ รยี กวา สทั ทายตนะ นัน้ เปนไฉน ? เสียงใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เปน สงิ่ ท่ีเหน็ ไมไ ดแตก ระทบได ไดแกเสยี งกลอง เสยี งตะโพน เสียงสงั ข เสียงบัณเฑาะว เสียงขบั รอ ง เสียงประโคม เสียงกรบั เสียงปรบมอื เสียงรองของสตั ว เสยี งกระทบกันของธาตุเสียงลม เสียงนาํ้ เสยี งมนษุ ย เสยี งอมนุษย หรือเสียงแมอนื่ ใด ซ่งึ อาศัยมหาภตู รปู ๔ อนั เปนสงิ่ ท่ีเห็นไมไดแตกระทบได มีอย,ู โสตอนั เปนสิ่งท่เี หน็ไมไ ดแ ตก ระทบได กระทบแลว หรือกระทบอยู หรือจกั กระทบ หรือพงึกระทบที่เสียงใด อนั เปนสง่ิ ทเ่ี หน็ ไมไดแ ตกระทบได, นีเ้ รียกวา สทั ทะบา งสทั ทายตนะบาง สัททธาตุบาง รปู ทง้ั นีเ้ รียกวา สัททายตนะ. รูปทเ่ี รยี กวา สทั ทายตนะ นน้ั เปนไฉน ? เสียงใด อาศัยมหาภตู รูป ๔ เปนสิ่งที่เหน็ ไมไ ดแตกระทบได ไดแกเสียงกลอง เสียงตะโพน เสยี งสงั ข เสียงบัณเฑาะว เสียงขับรอ ง เสยี งประโคม เสยี งกรับ เสียงปรบมือ เสียงรอ งของสัตว เสียงกระทบกนั ของธาตุเสียงลม เสยี งน้าํ เสียงมนษุ ย เสียงอมนุษย หรือเสยี งแมอน่ื ใด ซงึ่ อาศัยมหาภูตรูป ๔ อนั เปนสง่ิ ทเี่ หน็ ไมไดแ ตกระทบได มีอย,ู เสยี งใด อนั เปนสง่ิ ที่เหน็ ไมไ ดแตกระทบได กระทบแลว หรอื กระทบอยู หรอื จักกระทบ
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 204หรอื พงึ กระทบ ท่ีโสตอันเปน สิง่ ที่เหน็ ไมไ ดแ ตกระทบได, นี้เรยี กวา สัททะ-บา ง สทั ทายตนะบาง สัททธาตุบาง รูปทง้ั นเี้ รียกวา สัททายตนะ. รปู ทเ่ี รียกวา สัททายตนะ นัน้ เปนไฉน ? เสยี งใด อาศัยมหาภตู รูป ๔ เปนสิ่งทีเ่ ห็นไมไดแตก ระทบได ไดแกเสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข เสยี งบณั เฑาะว เสียงขบั รอง เสียงประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมอื เสยี งรองของสัตว เสยี งกระทบกนั ของธาตุเสยี งลม เสียงนํา้ เสยี งมนษุ ย เสียงอมนษุ ย หรอื เสยี งแมอืน่ ใด ซ่งึ อาศัยมหาภตู รปู ๔ เปนสง่ิ ทเี่ ห็นไมไดแ ตก ระทบได มีอย,ู เพราะปรารภเสยี งใดโสตสัมผัส อาศัยโสตเกิดข้ึนแลว หรอื เกิดขึ้นอยู หรือจักเกิดขน้ึ หรือพึงเกดิ ขนึ้ ฯลฯ เพราะปรารภเสียงใด เวทนาอนั เกดิ แตโ สตสัมผัส ฯลฯ สัญญาฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวิญญาณ อาศยั โสตเกิดขึน้ แลว หรอื เกิดขึ้นอยูหรอื จักเกดิ ขึ้น หรอื พงึ เกดิ ขึน้ ฯลฯ โสตสมั ผสั มเี สียงใดเปน อารมณ อาศัยโสตเกดิ ขึ้นแลว หรอื เกดิ ขึ้นอยู หรือจกั เกดิ ข้ึน หรอื พงึ เกดิ ขน้ึ ฯลฯ เวทนาอันเกดิ แตโสตสัมผสั ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวญิ ญาณ มเี สียงใดเปน อารมณ อาศัยโสตเกดิ ข้ึนแลว หรือเกิดขน้ึ อยู หรอื จกั เกิดขนึ้ หรอื พึงเกดิ ขนึ้ , น้ีเรียกวา สัททะบาง สัททายตนะบา ง สัททธาตุบาง รปู ทั้งนี้เรียกวา สัททายตนะ. [๕๒๓] รปู ที่เรียกวา คันธายตนะ นนั้ เปนไฉน ? กลน่ิ ใด อาศัยมหาภตู รปู ๔ เปน สิ่งทีเ่ ห็นไมไดแตก ระทบได ไดแ กกลน่ิ รากไม กลนิ่ แกน ไม กลนิ่ เปลือกไม กล่นิ ใบไม กลิน่ ดอกไม กล่นิ ผลไมกล่ินบูด กลิ่นเนา กลิน่ หอม กล่ินเหมน็ หรือกลน่ิ แมอน่ื ใด ซงึ่ อาศยัมหาภูตรปู ๔ อันเปน สิ่งทีเ่ ห็นไมไดแตก ระทบได มอี ยู, สัตวน้ี ดมแลว
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 238วาระ ๑๓ วาระประดับดว ยนัยวาระละ ๔ เน้อื ความแหง บทเหลา นัน้ สามารถจะรูไ ดโ ดยนยั ทกี่ ลา วไวน นั่ แหละ ฉะน้ัน จึงมไิ ดใ หพิสดาร. อรรถกถาคันธายตนนิทเทส พึงทราบวินจิ ฉยั ในนิทเทสแหงคนั ธายตนะตอ ไป. บทวา มูลคนโฺ ธ (กลน่ิ รากไม) ไดแ ก กล่นิ ทีเ่ กดิ ขึน้ อาศยั รากไมอยางใดอยางหนึ่ง. แมใ นกลิ่นทแ่ี กนเปนตน ก็นยั น้เี หมือนกัน. กลิน่ ผกั ดองเปนตนที่ยงั ไมสาํ เร็จแลว หรอื สาํ เร็จแลวไมด ี ชื่อวา อามคนั โธ (กล่ินบูด).กลิ่นเกลด็ ปลา กล่ินเนื้อเนา กลิ่นเนยใสเสยี เปน ตน ชือ่ วา วิสคนั โธ (กลิ่นเนา). บทวา สคุ นฺโธ (กลน่ิ หอม) ไดแ ก กลิ่นท่ีนา ปรารถนา. บทวาทคุ คฺ นฺโธ (กลน่ิ เหม็น) ไดแก กลิ่นไมน า ปรารถนา. ดว ยบททง้ั ๒ คือกลนิ่ หอมและกลิน่ เหม็นนี้ ยอมเปน อันวา กล่ินแมทง้ั หมดทรงถือเอาแลว . เมื่อเปน เชนนนั้ กลิน่ แมทงั้ หมดท่ีไมต รัสไวในพระบาลีมีกล่ินชอฟาและกลนิ่ ผาเกาเปน ตน . พึงทราบวา รวมอยทู ่เี ยวาปนกคันธะ. กล่นิ นี้แมจะตางกนั โดยเปนกลนิ่ ทีร่ ากเปน ตน อยางน้ี วาโดยลักขณาทิจตกุ ะแลวกไ็ มแ ตกตางกันเลย. วา โดยลักขณาทิจตกุ ะของกลิน่ สพฺโพป เจโส ฆานปฏิหนนลกขฺ โณ คนฺโธ ก็กลนิ่ แมทั้งหมดมกี ารกระทบฆานะเปน ลกั ษณะ ฆานวิ ฺ าณสฺส วิสยภาวรโส มีความเปน อารมณข องฆานวญิ ญาณเปน รส ตสฺเสว โคจรปจจฺ ุปฏาโน มีความเปน โคจรของฆานวิญญาณน้ันนัน่ แหละเปนปจ จปุ ฏฐาน. คาํ ท่ีเหลอื พึงทราบโดยนยั ทีก่ ลาวในจกั ขายตนนิทเทสน่นั แหละ แมใ นคันธายตนนิทเทสน้ี กต็ รัส
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 239วาระ ๑๓ วาระประดบั ดวยนัย ๕๒ เหมือนกันน่ันแหละ วา โดยอรรถวาระเหลา น้ันแจม แจง แลวท้ังน้นั . อรรถกถารสายตนนิทเทส พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในนิทเทสแหงรสายตนะ ตอ ไป. บทวา มูลรโส (รสรากไม) ไดแ กร สท่อี าศัยรากไมอยา งใดอยา งหน่ึงเกิดข้ึน. แมใ นรสลาํ ตนเปนตน ก็นยั นแี้ หละ. บทวา อมพฺ ิล (เปร้ยี ว) ไดแกเปรยี งเปนตน . บทวา มธุร (หวาน) ไดแ ก รสมีเนยใสแหง โคเปน ตนอยางเดยี ว. สวนน้ําผึง้ ผสมกบั รสฝาดเก็บไวน านเขาก็เปน รสฝาด. น้าํ ออยผสมกับรสขื่นเกบ็ ไวน านเขา ก็เปน รสข่ืน แตสปั ป (เนยใส) เกบ็ ไวน านแมละสีและกลิ่นกไ็ มละรส เพราะฉะนัน้ เนยใสนน้ั นน่ั แหละ จึงชอื่ วา หวานโดยสว นเดยี ว. บทวา ตติ ตฺ ก (ขม) ไดแก ใบสะเดาเปนตน . บทวา กฏก (เผ็ด)ไดแ ก รสขงิ และพรกิ ไทยเปนตน . บทวา โลณิก (เคม็ ) ไดแ ก เกลอื ธรรมชาติเปนตน . บทวา ขารกิ (ข่นื ) ไดแ ก รสมะอแึ ละหนอ ไมเ ปนตน. บทวาลมฺพลิ (เฝอ น) ไดแก พทุ รา มะขามปอ ม และมะขวิดเปนตน. บทวากสาว . (ฝาด) ไดแ ก มะขามปอ มเปน ตน. รสแมท งั้ หมดเหลาน้ี ตรัสไวด วยอํานาจวัตถุ แตในนทิ เทสนี้ พึงทราบวารสตรสั ไวโ ดยชือ่ มีเปร้ียวเปน ตน แตวตั ถุนน้ั ๆ. บทวา สาทุ (อรอย) ไดแก รสที่นา ปรารถนา. บทวา อสาทุ(ไมอรอ ย) ไดแก รสที่ไมนาปรารถนา. ดว ยบททงั้ ๒ คือ รสที่นาปรารถนาและไมน าปรารถนาน้ี รสแมท ั้งหมดเปน อนั ทรงกําหนดถือเอาแลว คร้นั เม่ือ
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 240ความเปน อยางน้ันมีอยู รสทงั้ หมดท่ไี มตรสั ไวใ นพระบาลีมีรสกอนดิน รส-ฝาเรือน และรสผาเกา เปนตน พึงทราบวา รวมทเี่ ยวาปนกรส. รสนี้แมต างกันโดยเปนรสรากไมเ ปนตน อยางนี้ แตวา โดยลกั ษณะเปนตน กม็ ไิ ดแตกตา งกนั เลย. วา โดยลกั ขณาทจิ ตกุ ะของรส สพฺโพ เอโส ชวิ ฺหาปฏิหนนลกขฺ โณ รโส รสมกี ารกระทบลน้ิเปน ลกั ษณะ ชวิ หฺ าวิฺาณสฺส วสิ ยภาวรโส มคี วามเปนอารมณของชวิ หาวญิ ญาณเปน รส ตสเฺ สว โคจรปจฺจปุ ฏ าโน มีความเปนโคจรของชวิ หาวญิ ญาณนั้นนน่ั แหละเปนปจ จปุ ฏ ฐาน. คาํ ท่เี หลอื พงึ ทราบโดยนัยท่กี ลาวในจักขายตนนทิ เทสนน่ั แหละ แมในนทิ เทสน้ี กต็ รสั วาระ ๑๓ ประดับดว ยนยั ๕๒ เหมอื นกนั นนั่ แหละ. อรรถกถาอิตถนิ ทรยิ นิทเทส พึงทราบวนิ จิ ฉัยในนทิ เทสแหง อิตถินทรีย. บทวา ย เปน ตตยิ าวภิ ัตติ ในขอนี้อธิบายวา ทรวดทรงหญงิ เปน ตนแหง หญงิ ยอมมดี วยเหตใุ ด. บรรดาคําเหลาน้ัน บทวา ลงิ คฺ ไดแก ทรวดทรงจรงิ อยู ทรวดทรงแหงอวยั วะมมี อื เทา คอ และอทุ รเปนตน ของหญิงไมเหมือนของชาย เพราะกายทอ นลางของหญิงทงั้ หลายลํา่ กายทอนบนไมลา่ํมือเทาเลก็ ปากเล็ก. บทวา นิมติ ฺต (เคร่ืองหมาย) ไดแก เปน เหตรุ ไู ด จริงอยู เนอ้ื ขาของหญงิ ทง้ั หลายล่าํ ปากไมมหี นวดเครา แมผกู ผารดั ผมกไ็ มเ หมอื นของพวกชาย. บทวา กตุ ฺต ไดแก กิรยิ า คอื การกระทาํ ดว ยวา พวกหญิงท้ังหลาย
พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 241ในเวลาเปนเดก็ ยอมเลน กระดง และสากเล็ก ๆ ยอมเลนตุกตา เอาดนิ เหนยี วและปอมากรอเปน ดาย. บทวา อากปโฺ ป (อาการ) ไดแ ก อาการคือการเดินเปน ตน ดวยวาหญงิ ท้ังหลายเมือ่ เดินก็เดนิ ไมเร็ว เมือ่ ยืน เมื่อนอน เม่ือน่ัง เมื่อเค้ยี วกินก็ยืน นอน น่ัง เคย้ี วกินไมเ ร็ว เม่ือบรโิ ภคกบ็ รโิ ภคอยา งชา จริงอยู ชนทัง้ หลายเหน็ คนแมเ ปนชายเชอื่ งชา กพ็ ูดวา ชายคนนีเ้ ดิน ยืน นอน น่ังเคย้ี วกนิ บริโภคเหมอื นผูหญงิ ดงั นี้. คาํ วา อิตถฺ ิตตฺ อิตฺถภี าโว (สภาพหญิง ภาวะของหญงิ ) แมทงั้ ๒นี้มีความหมายอยางเดยี วกัน คือเปน สภาวะของหญิง ก็สภาวะของหญิงนี้เกดิแตกรรม ต้งั ขนึ้ พรอมกบั จิตในปฏิสนธกิ าล สวนทรวดทรงหญิงเปน ตน ไมต้ังข้นึ ในปฏิสนธกิ าลดจุ อติ ถินทรยี แตก ็อาศยั อติ ถินทรยี ต ัง้ ข้ึนในปวัตตกิ าล.เหมอื นอยา งวา เมอ่ื พืช (เมล็ดพชื ) มีอยู ตนไมอาศัยพืชเพราะพชื เปน ปจ จยัจึงเจรญิ เติบโตสมบูรณด ว ยก่งิ และคาคบต้ังอยูเ ตม็ ชอ งวา ง ฉันใด ครน้ั เมอื่อติ ถินทรียคือความเปนหญงิ มอี ยู อวยั วะมีทรวดทรงแหงหญิงเปนตน กม็ ีฉนั นนั้ เหมอื นกนั . ก็อติ ถนิ ทรียเปรยี บเหมือนพืช ทรวดทรงหญงิ เปนตนอาศัยอติ ถินทรีย ยอ มตงั้ ขึน้ ในปวัตตกิ าล เปรียบเหมอื นตน ไมอ าศยั พชื เจรญิเติบโตแลว ต้ังอยูเตม็ ชอ งวาง ฉะน้ัน. บรรดาอนิ ทรียท ั้งหลายเหลานนั้ อติ ถินทรยี ไ มพ งึ รูไดด ว ยจักขวุ ิญญาณพึงรูไดด ว ยมโนวิญญาณเทานนั้ . ทรวดทรงของหญิงเปนตนรไู ดท างจักษุวญิ ญาณบาง ทางมโนวญิ ญาณบา ง. บทวา อทิ นตฺ รูป อิตถฺ ินฺทฺริย (รปู นนี้ น้ั เรยี กวาอิตถนิ ทรีย )ความวา รูปนน้ี ้นั ไมเ หมือนกับจักขุนทรยี เ ปน ตนแมเปน ของบรุ ษุ แตเ มอื่วาโดยนยิ ม อนิ ทรยี เ ฉพาะของหญิง ช่อื วา อิตถนิ ทรีย.
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 242 อรรถกถาปุรสิ ินทริยนิทเทส แมใ นปรุ ิสินทรีย ก็นยั นี้เหมอื นกนั แตทรวดทรงของชายเปน ตนพงึ ทราบโดยความตรงกนั ขามกับทรวดทรงของหญิงเปน ตน เพราะสณั ฐานแหง อวัยวะมีมอื เทา คอ และอุทรเปน ตน ของชาย ไมเ หมือนของหญงิดว ยวา กายทอ นบนของชายล่ําสัน กายทอนลา งไมลา่ํ สนั มือเทาก็ใหญปากใหญ เนื้อขาไมใหญ หนวดเคราเกิดขน้ึ การใชผา ผกู ผมกไ็ มเหมือนของหญิงทัง้ หลาย ในเวลาเปน เดก็ ยอมเลนรถและไถเปนตน ยอมทําขอบคันดวยทราย ยอมขดุ ชอ่ื ซง่ึ หลุม แมก ารเดินเปนตน ก็องอาจ ชนทั้งหลายเห็นแมห ญิงผูทาํ การเดนิ เปน ตนใหอ งอาจ ยอ มพดู คาํ เปนตน วา แมคนน้ยี อมเดินเหมือนชาย ดงั น้ี คําทีเ่ หลือเหมือนกบั ท่ีกลาวไวใ นอติ ถินทรียน ัน่ แหละ. วาดว ยลักขณาทิจตุกะ บรรดาอนิ ทรียท งั้ ๒ นน้ั อติ ถฺ ีภาวลกขฺ ณ อติ ฺถินทฺ ฺรยิ อิต-ถินทรียมอี ติ ถีภาวะ (มีความเปนหญิง) เปน ลักษณะ อติ ถฺ ตี ิ ปกาสนรสมกี ารประกาศวาเปน หญิงเปนรส อิตฺถลี งิ คฺ นมิ ติ ตฺ กุตฺตากปฺปาน กรณ-ภาวปจฺจุปฏ าน มีความเปนสณั ฐาน นิมติ การเลนและกิริยาอาการของหญงิเปน ปจจปุ ฏ ฐาน. ปรสิ ภาวลกฺขณ ปรุ สิ ินทฺ รฺ ิย ปุรสิ นิ ทรีย มปี ุริสภาวะเปนลักษณะปรุ โิ สติ ปกาสนรส มกี ารประกาศวา เปนชายเปนรส ปรุ สิ ลิงคฺ นมิ ิตฺต-กุตตฺ ากปฺปาน กรณภาวปจจฺ ุปฏ าน มีความเปน สัณฐาน นิมติ การเลนและกริ ยิ าอาการของชายเปนปจ จุปฏ ฐาน.
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 243 ภาวรปู แมท ้ัง ๒ (หญงิ ชาย) นี้ ของบุคคลผเู กิดในปฐมกัป ยอมต้ังขึ้นในปวตั ติกาล ในภายหลังตอมา ภาวรูปท้งั ๒ น้ีตัง้ ขึน้ ในปฏิสนธิกาลแมต ัง้ ข้นึ ในปฏสิ นธกิ าล ก็ยอ มหวัน่ ไหว ยอ มเปลย่ี นไดใ นปวัตตกิ าล. เหมอื นอยางพระดาํ รสั ท่ีตรสั ไวใ นพระบาลีวนิ ตี วตั ถุแหงปฐมปาราชกิวา กส็ มยั นน้ั แล เพศหญิงปรากฏแกภกิ ษรุ ปู หนงึ่ เพศชายปรากฏแกภ ิกษุณีรูปหนง่ึ *ดังนี.้ กบ็ รรดาเพศท้ัง ๒ น้นั เพศชายเปนอดุ มเพศ เพศหญงิ เปน หีนเพศฉะนัน้ เพศชายยอ มอันตรธานไปเพราะอกุศลมกี าํ ลัง เพศหญิงยอมต้งั ขน้ึ ดวยกศุ ลทเ่ี ปนทุรพล แตเพศหญิงเมื่ออันตรธาน ยอมอันตรธานไปดวยอกุศลที่เปน ทรุ พล เพศชายยอ มตงั้ ข้นึ ดว ยกุศลที่มกี าํ ลัง. พึงทราบวา ภาวรปู แมทั้ง ๒อยางนี้ ยอมอันตรธานไปดวยอกุศล ยอ มตง้ั ขึน้ ดว ยกศุ ล ดวยประการฉะน้.ี วา โดยอุภโตพยญั ชนกะ ถามวา บคุ คลผูเปนอุภโตพยัญชนกะ มีอินทรยี เ ดียวหรือมีสองอนิ ทรีย ตอบวา มอี นิ ทรียเ ดยี ว ก็อนิ ทรียข องหญิงผูเปนอุภโตพยัญชนกะนน้ัแลเปนอิตถินทรีย ของชายผเู ปน อุภโตพยัญชนกะเปน ปุริสินทรีย. ถามวา เมอื่ เปนเชน น้นั พยัญชนะ (เคร่อื งหมาย) ท่ี ๒ ก็ไมป รากฏเพราะตรัสไววา อนิ ทรียแ สดงเครือ่ งหมายเพศ และอนิ ทรียข องบุคคลผูเปนอุภโตพยัญชนกะน้ันกไ็ มมี. ตอบวา อนิ ทรียข องบคุ คลนน้ั เปน เครอื่ งแสดงเพศหามิได. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะไมม ีอยทู ุกเมือ่ .* วินย อา. เลม ๑/๖๔
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 244 ดวยวา เมอ่ื ใดจิตกาํ หนัดของอิตถอี ุภโตพยัญชนกะเกดิ ในหญงิ กใ็ นกาลนัน้ เครือ่ งหมายเพศชายยอ มปรากฏ. เครื่องหมายเพศหญิงยอมปดบังซอ นเรน ปรุ สิ อภุ โตพยญั ชนกะนอกนี้ กม็ เี ครือ่ งหมายเพศหญงิ นอกนี้เหมือนกันผวิ า อนิ ทรยี ข องอุภโตพยัญชนกะทง้ั สองเหลา น้นั พึงมีเครอ่ื งหมายท่ี ๒ ไซรเครอื่ งหมายเพศทงั้ ๒ ก็พงึ ตงั้ อยแู มในกาลทกุ เมื่อ แตว าหาไดต ง้ั อยูไม เพราะฉะน้นั อินทรยี น น้ั พึงทราบ คํานว้ี า อนิ ทรยี น ั้นของอุภโตพยญั ชนกะนน้ั เปนเหตแุ หง เครอ่ื งหมายเพศหามไิ ด แตในท่นี ้ี เหตุคอื จิตสัมปยตุ ดวยราคะมีกรรมเปนสหาย ก็เพราะอนิ ทรยี ข องอภุ โตพยญั ชนกะน้นั มีเพียงหนึ่งเทานัน้ ฉะนัน้อติ ถอี ุภโตพยัญชนกะ แมตนเองก็ตั้งครรภได ยอมทําใหบุคคลอืน่ ตั้งครรภก ไ็ ดสวนปรุ สิ อุภโตพยัญชนกะ ยอ มทําบคุ คลอ่ืนใหต ้ังครรภได แตตนเองยอ มตั้งครรภไ มไ ด ฉะน้แี ล. อรรถกถาชีวิตนิ ทริยนิทเทส พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในนทิ เทสแหง ชวี ิตนิ ทรีย คําใดทขี่ า พเจา ควรกลาวในชวี ติ ินทรยิ นทิ เทสน้ี คํานัน้ ขาพเจากลา วไวในอรูปชีวติ นิ ทรยี ในหนหลังแลว ทั้งน้ัน ก็ในอรูปชวี ิตินทรียนน้ั ตรัสไววา อรปู ธรรมใด ของอรูปธรรมเหลา น้ัน แตในชีวิตินทรยิ นิทเทสนี้ตรัสวา รปู ธรรมใด ของรปู ธรรมเหลาน้นัเพราะความเปน รูปชีวิตนิ ทรีย น้ีเปนเน้ือความตา งกนั แตล กั ษณะเปน ตนของรปู ชีวีตนิ ทรียน น้ั พึงทราบอยางน้ี. สหชาตรูปานปุ าลนลกขฺ ณ ชีวิตินทฺ รยิ ชีวิตนิ ทรียม กี ารตามรกั ษารูปทเี่ กิดพรอมกนั เปนลกั ษณะ เตส ปวตตฺ นรส มคี วามเปน ไปของรปู ธรรมเหลานั้นเปนรส เตสฺเยว ปนปจจฺ ุปฏาน มคี วามดํารงอยซู ึง่
พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 245รูปธรรมเหลา นั้นนัน่ แหละเปน ปจจุปฏฐาน ยาจยติ พฺพภตู ปทฏาน มีภูตรูปอันยังรูปธรรมใหด าํ เนนิ ไปเปน ปทัฏฐาน ดังนแี้ ล. อรรถกถากายวญิ ญัตตนิ ิทเทส พงึ ทราบวินจิ ฉัยในกายวญิ ญัตินิทเทสตอ ไป. ในขอวา กายวญิ ญัตติ นกี้ อ น. สภาวะทช่ี อ่ื วา วญิ ญัตติ เพราะอรรถวาความทค่ี นทงั้ หลายกด็ ี หรือสตั วด ริ จั ฉานทง้ั หลายก็ดี ใหรภู าวะของตนดวยกาย แมสัตวด ริ ัจฉานก็รคู วามหมายของคนได แมค นกร็ คู วามหมายของสัตวไ ดดว ยสภาวธรรมท่ีถือเอาน้โี ดยทาํ นองแหง การถอื เอากาย. อกี อยางหนึง่ ทชี่ ือ่ วา วญิ ญัตติ เพราะอรรถวา ตนเองยอมใหผอู น่ืรไู ดโดยทํานองแหง การกําหนดกาย. วิญญตั ตคิ ือกาย กลา วคือการไหวกาย ท่ีตรสั ไวใ นคํามีอาทิวา กาเยน ส วโร สาธุ (การสํารวมกายเปน การดี) ดงั นี้ชอื่ วา กายวิญญัตติ. อีกอยา งหนง่ึ ท่ชี ื่อวา กายวิญญัตติ เพราะอรรถวา ยอ มแสดงใหรดู ว ยกาย เพราะเปน เหตใุ หรคู วามประสงคด วยการไหวกายตาง ๆ และเพราะตนเองก็จะพึงรูโดยประการนน้ั . ในคาํ มีอาทวิ า กสุ ลจติ ตฺ สสฺ วา (ของบคุ คลผมู จี ิตเปน กศุ ล)อธบิ ายวา จติ ของบคุ คลผูมีจติ เปนกุศลดวยจิต ๙ คอื กามาวจรกุศลจติ ๘ ดวงอภญิ ญาจิต ๑ ดวง หรอื ผมู ีจิตเปนอกุศลดวยอกศุ ลจติ ๑๒ ดวง หรอื มีจติ ท่ีเปน อพั ยากฤต ดว ยกริ ิยาจิต ๑๑ ดวง คอื มหากิริยาจิต ๘ ดวง ปริตต-กิริยาจติ ๒ ดวง อภญิ ญาทีเ่ ปน รูปาวจรกริ ยิ าจติ ๑ ดวง อ่นื ๆ จากน้ียอ มไมย ังวญิ ญัตตใิ หเกดิ ได. กพ็ ระเสกขะ พระอเสกขะ และปุถุชนกม็ ีวญิ ญัตติ
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 246ดว ยจิตมปี ระมาณเทา นีแ้ หละ เพราะฉะนั้น พระองคจึงทรงแสดงวิญญตั ติโดยเปน เหตดุ วยบทท้ัง ๓ ดว ยสามารถแหง ธรรมมกี ุศลเปนตนเหลา น้ี (คือกุศล อกศุ ลกริ ิยา). บดั น้ี เพื่อทรงแสดงวิญญัตตโิ ดยผลดว ยบทท้ัง ๖* จงึ ตรสั วาอภกิ กฺ มนุ ตฺ สส วา (กาวไปอยู) เปน ตน. จริงอยู การกาวไปเปน ตน ชอ่ื วาผลของวิญญัตติ เพราะเปนไปดว ยอาํ นาจวิญญัตติ. บรรดาบททัง้ หลายมกี ารกาวไปเปนตน เหลาน้ัน บทวา อภิกกฺ มนตฺ สสฺ (กาวไปอยู) ไดแก นํากายไปขา งหนา . บทวา ปฏกิ ฺกมนตฺ สฺส (ถอยกลบั อยู) ไดแ ก นํากายกลบั มาขา งหลัง. บทวา อาโลเกนตฺ สสฺ (แลดูอย)ู ไดแก แลดูตรง ๆ. บทวาวิโลเกนฺตสสฺ ไดแก แลดูทางโนน แลดทู างนี้. บทวา สมมฺ ิชฺ นฺตสฺส(คเู ขา อย)ู ไดแก งอขอตอ ทง้ั หลาย. บทวา ปสาเรนตฺ สสฺ (เหยยี ดออกอย)ูไดแก เหยยี บขอตอทั้งหลาย. บดั นี้ เพื่อแสดงวญิ ญตั ติโดยสภาวะดว ยบททงั้ ๖ จงึ ตรสั วา กายสสฺถมภฺ นา (ความเครงตงึ ของกาย) เปน ตน. บรรดาบทเหลา น้นั บทวา กายสฺส(ของกาย) ไดแก ของสรีระ. สภาวะทีช่ ่อื วา ความเครง ตงึ (ถมภฺ นา)เพราะอรรถวา ทาํ กายใหแ ข็งแลว ใหก ระดา ง. สภาวะทีเ่ ครง ตึงนนั้ นัน่ แหละตรสั เรยี กวา กิรยิ าทีเ่ ครง ตงึ ดว ยดี (สนถฺ มฺภนา) เพราะเพิ่มดวยอปุ สรรคอีกอยา งหนง่ึ ความเครง ตึงมกี ําลังมาก ชือ่ วา สันถัมภนา. ความเครง ตงึดวยดี ช่อื วา สนั ถมั ภติ ตั ตงั . ชือ่ วา วญิ ญัตติ (การแสดงใหร คู วามหมาย)ดว ยสามารถแหงการใหร ูใหเ ขา ใจ. กริ ยิ าที่ใหเ ขาใจความหมาย ชือ่ วา วิญญา-ปนา. ความแสดงใหรูความหมาย ช่อื วา วิญญาปต ัตตัง. คําที่เหลอื ใดท่ีพึงกลาวในที่น้ี คําน้นั ขา พเจากลาวไวใ นทวารกถาในหนหลังแลว แล.* ๑ กาวไปอยู ๒ ถอยกลับอยู ๓ แลดูอยู ๔ เหลยี วซายแลขวาอยู ๕ คูเ ขาอยู ๖ เหยียดออกอยู.
พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 247 อรรถกถาวจวี ิญญตั ตนิ ิทเทส ในวจีวญิ ญตั ติกเ็ หมือนกัน แตวา เนือ้ ความของบทวา วจวี ญิ ญัตติดงั นี้ และบทนิทเทสทงั้ หลายท่ีขา พเจายังมไิ ดกลาวไวใ นทวารกถานั้น พึงทราบอยา งนีว้ า ที่ชอื่ วา วิญญตั ติ เพราะอรรถวา คนกด็ ี สัตวดริ ัจฉานกด็ ี ซ่งึ จะใหร ูภ าวะของตนดวยวาจา แมสตั วด ิรจั ฉานก็รูภ าวะของคนได หรือคนก็รูภาวะของสตั วไ ด ดว ยสภาวะนี้ โดยกาํ หนดเอาตามทาํ นองแหงการกําหนดคาํ พูด. อีกอยางหนง่ึ ที่ชื่อวา วิญญตั ติ เพราะอรรถวา ยอมรคู วามหมายโดยทาํ นองแหงการกาํ หนดคาํ พูดไดโ ดยตนเอง. วิญญตั ตคิ ือวจี กลาวคอื การเคล่อื นไหวที่ตรสั ไวใ นพระบาลีมอี าทิวา สาธุ วาจาย ส วโร (ความสาํ รวมทางวาจาเปนการด)ี ดงั นี้ ช่ือวา วจีวญิ ญัตติ. อีกอยางหน่ึง ท่ีชือ่ วา วจวี ญิ ญัตติ เพราะอรรถวา การแสดงความหมายใหร ทู างวาจา เพราะเปน เหตใุ หเขา ใจความประสงคไดดวยเสยี งของวาจาและเพราะตนเองก็จะพงึ รโู ดยประการนน้ั . พึงทราบวินจิ ฉยั ในคําเปน ตนวา วาจา คิรา (การพูดเปลงวาจา) ตอไป. ทชี่ ื่อวา วาจา (การพดู ) เพราะอรรถวา เปน สภาพอนั เขากลาว.ที่ชอื่ วา คริ า (การเปลงวาจา) เพราะอรรถวา อนั บคุ คลเปลง. ท่ีช่อื วาวากยฺ เภโท (การกลา ว) เพราะอรรถวาการเจรจา. อีกอยา งหน่งึ ที่ช่ือวาพยฺ ปฺปโถ (การเปลงวาจา) เพราะอรรถวา คําพูดนนั้ ดวย เปน ทางของบุคคลผปู ระสงคจะรูเนอื้ ความและยังผูอนื่ ใหร ูด วย. ท่ชี อื่ วา อุทีรณ (การกลาว)เพราะอรรถวา ยอ มเปลง ออก. ท่ีชื่อวา โฆสะ (การปาวรอ ง) เพราะอรรถอนั เขายอ มโฆษณา. ทช่ี อื่ วา กรรม เพราะอรรถวา อนั เขายอมกระทาํ . กรรม
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 248คือการโฆษณา ชอื่ วา โฆสกรรม อธบิ ายวา เขาทําโฆษณาโดยประการตา ง ๆ. เพ่ือใหร วู า การเปลง วาจา ชอื่ วา วจีเภท แตวจเี ภท (คอื การเปลงวาจา) นัน้ มใิ ชการทาํ ลาย เปนวาจาทแี่ ตกตางกนั เทาน้นั จงึ ตรสั วา วาจาวจี เภโท (วาจา การแสดงความหมายใหรทู างวาจา) ดังน.้ี สทั ทวาจาน่นั เองพระองคทรงแสดงดวยบทแมท ้ังปวงเหลา น.้ี บัดนี้ ทรงประสงคจ ะแสดงวจวี ิญญตั ตนิ ้ันโดยสภาวะ ดวยอาการ ๓อยา ง ดว ยอํานาจแหงบททัง้ หลายมีวิญญัตติเปน ตน แหง เนื้อความที่กลาวในหนหลังทป่ี ระกอบวาจานั้น จึงตรสั คํามอี าทวิ า ยา ตาย วาจาย วิฺ ตตฺ ิ(แสดงใหร คู วามหมายดวยวาจาน้นั อันใด ดังน.้ี คาํ น้นั มอี รรถงา ยทั้งนั้นเพราะมีนยั ตามท่ีกลาวแลวน่นั แล. บัดนี้ เพ่ือมิใหหลงใหลในจิตอนั ยงั วญิ ญัตติใหต้งั ขึน้ พึงทราบปกณิ กธรรมนคี้ อื จิต ๓๒ ดวง จิต ๒๖ ดวง จิต ๑๙ ดวง จิต ๑๖ ดวงสดุ ทา ย. จรงิ อยู จิต ๓๒ ดวง ยอ มยงั พหิรูปใหต ้ังขึน้ ยอ มอปุ ถมั ภอิรยิ าบถยอ มยังวิญญัตตแิ มท ้ัง ๒ ใหเ กิดขนึ้ . จิต ๒๖ ดวง ยอมยงั วญิ ัตตนิ ่ันแหละใหเกดิ ขน้ึ ยอ มกระทาํ ท้งั ๒ นอกนีด้ ว ย. จิต ๑๙ ดวง ยอมยงั รูปนน่ั แหละใหตัง้ ขึ้น แตไมกระทาํ ๒ อยา งนอกน้ี. จติ ๑๖ ดวง ไมก ระทาํ หนา ท่แี มส ักอยางหน่ึงในบรรดา ๓ อยา งน้นั (ใหเกดิ อปุ ถมั ภ ใหเกดิ วิญญตั )ิ . ในปกิณกธรรมเหลานัน้ คาํ วา จติ ๓๒ คอื จติ ที่กลา วในหนหลงันน่ั แหละคือ กามาวจรกุศล ๘ อกุศลจิต ๑๒ กริ ยิ าจิต ๑๐ อภญิ ญาจิตของพระเสกขะปุถชุ น ๑ อภิญญาจติ ของพระขณี าสพทงั้ หลาย ๑. คาํ วา จติ ๒๖ คอื รปู าวจรกศุ ลจิต ๕ รปู าวจรกิริยา ๕ อรปู าวจรกศุ ลจิต ๔ อรปู าวจรกริ ิยาจติ ๔ มรรคจติ ๔ ผลจิต ๔.
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 249 คําวา จิต ๑๙ คอื กามาวจรกศุ ลวบิ าก ๑๑ อกุศลวิบาก ๒ กริ ิยามโน-ธาตุ ๑ รูปาวจรวิบากจิต ๕. คําวา จิต ๑๖ คือทวปิ ญ จวญิ ญาณจิต ๑๐ ปฏสิ นธจิ ติ ของสัตวทง้ั หมด ๑ จุตจิ ิตของพระขีณาสพ ๑ อรูปวิบากจิต ๔. จิต ๑๖ เหลานี้ยอมไมกระทําใหรูปเกดิ อุปถัมภ และวิญญตั ติแมส ักอยางหนง่ึ เลย. จิตที่เกดิ ขึน้ ในอรปู แมอ ่ืนอกี มากกไ็ มทํารปู ใหเ กิดข้ึนเพราะไมมีโอกาส กจ็ ิตเหลา ใดยอมยังกายวิญญตั ตใิ หตงั้ ขนึ้ จติ เหลา นัน้ เทยี วยอ มยังวจวี ิญญตั ติใหตั้งขึ้นดวย. อรรถกถาอากาศธาตุนิทเทส พึงทราบวินิจฉัยในนทิ เทสแหงอากาศธาตุตอ ไป. สภาวะทช่ี อ่ื วา อากาศ เพราะอรรถวา อันใคร ๆ ยอมไถไมไ ดทาํ ใหเปน รอยไมไ ด คอื วา ไมอาจเพ่ือจะไถ หรอื เพอ่ื จะตัด หรอื เพ่ือทําใหแ ตก.อากาศน่นั แหละ เรยี กวา อากาสคต (ถงึ การนบั วา เปนอากาศ) เหมือนคําวาเขลคต (ถึงการนับวาเปน นาํ้ ลาย) เปน ตน อีกอยางหนงึ่ คําวา อากาศชอ่ื วา อากาสคต เพราะสัตวถ งึ แลว . ทช่ี ่อื อฆ (ความวางเปลา ) เพราะอนั อะไร ๆ ยอ มไมก ระทบ คือไมมอี ะไรถกู ตองได. อฆะนนี้ นั่ แหละ เรยี กวาอฆคต . ที่ชอ่ื วา วิวโร (ชองวาง) เพราะอรรถวา เปนชอ ง. คําวา อสมฺผฏุ ิ จตูหิ มหาภูเตหิ (อันมหาภตู รปู ๔ ไมถูกตอ งแลว) น้ี พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ถึงอากาศอนั โลง ท่มี หาภูตรูปเหลา นี้ไมถ กู ตองแลว . แตเมือ่ วา โดยลักษณะเปนตน รูปปริจเฺ ฉทลกขฺ ณา อากาศธาตุมีการคัน่ ไวซง่ึ รูปเปนลกั ษณะ อากาสธาตุรปู ปรยิ นตฺ ปฺปกาสนรสา มีการประกาศท่ีสุดของรูป ของอากาศธาตเุ ปน รส รูปมริยาทปจจปุ ฏานา มีขอบเขตของรปู เปนปจจปุ ฏ ฐาน อสมผฺ ฏุ ภาวฉิททฺ วิวรภาวปจฺจปุ ฏ า-
พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 250นา วา หรอื มีภาวะอันมหาภูตรูปถูกตองไมไดมภี าวะทีภ่ ตู รปู คน่ั ไว และมีภาวะทเ่ี ปน ชองวางโลงเปน ปจจปุ ฏ ฐาน ปรจิ ฺฉินฺนรูปปทฏ านา มรี ูปทค่ี ่นั ไวเปนปทัฏฐาน. เม่ือรปู ทัง้ หลายอนั อากาศธาตุใดคัน่ ไวแลว รูปนกี้ ็มเี บอื้ งบนเบ้อื งตาํ่ และเบอื้ งขวางโดยอากาศธาตุนัน้ . เบ้ืองหนาแตน ี้ พึงทราบนทิ เทสแหง ธรรมท้ังหลายมรี ูปลหุตาเปน ตน โดยนยั ทก่ี ลา วไวในธรรมทัง้ หลายมจี ิตลหตุ าเปน ตนนนั่ แหละ แตในท่ีนี้วา โดยลักษณะเปน ตน อทนธฺ ตาลกขฺ ณา รปู สฺส ลหตุ า ลหุตารปู มีอนั ไมเ ชื่องชาเปนลกั ษณะ รูปาน ครภุ าววโิ นทนรสา มีความบรรเทาความหนักแหงรปู ท้ังหลายเปน รส ลหุปริวตฺติตาปจจฺ ปุ ฏ านา มีการเปลี่ยนไดเรว็ เปนปจจุปฏ ฐาน ลหรุ ูปปทฏ านา มรี ปู เบาเปนปทฏั ฐาน. อถทธฺ ตาลกฺขณา รปู สสฺ มุทตุ า มุทตุ ารูป มอี นั ไมแ ขง็ เปนลกั ษณะ รูปาน ถทฺธภาววิโนทนรสา มีการบรรเทาความแข็งของรปู ทั้งหลายเปนรส สพพฺ กิริยาสุ อวโิ รธติ าปจฺจปุ ฏ านา มีความไมเ ปนขา ศึกกนัในการกระทาํ ท้ังปวงเปน ปจจุปฏฐาน มทุ ุรูปปทฏ านา มีรูปทอ่ี อ นเปนปทฏั ฐาน. สรรี กิรยิ านุกลุ กมมฺ ฺภาวลกฺขณา รปู สสฺ กมฺมฺ ตากรรมญั ญตารปู มีการควรแกการงานโดยสมควรแกการกระทาํ สรรี ะเปน ลักษณะอกมมฺ ฺภาววิโนทนรสา มีความบรรเทาความไมควรแกการงานเปน รสอทพุ ฺพลภาวปจฺจปุ ฏ านา มคี วามไมทรุ พลเปนปจจปุ ฏฐาน กมฺมฺรปู -ปทฏ านา มีรปู ทค่ี วรแกการงานเปน ปทฏั ฐาน.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 632
Pages: