Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_76

tripitaka_76

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_76

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 159 พระขณี าสพ ยอ มหัวเราะดวยจิต ๕ ดวง คือ หสิตปุ บาทจติ สหรคตดวยโสมนัส ๑ ดวง มหากริ ิยาจติ ที่สหรคตดว ยโสมนสั ๔ ดวง รูปาวจรกริ ยิ า [๔๙๔] ธรรมเปน อัพยากฤต เปนไฉน ? พระขณี าสพเจริญรูปาวจรฌาน เปน กิริยา ไมใ ชก ุศล ไมใชอ กศุ ลและไมใชก รรมวิบาก แตเ ปนทฏิ ฐธิ รรมสุขวหิ าร สงัดจากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌานที่มปี ฐวีกสณิ เปนอารมณ อยใู นสมัยใดผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นชี้ อื่ วา ธรรมเปน อพั ยากฤต ฯลฯ [๔๙๕] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? พระขณี าสพเจรญิ รปู าวจรฌาน เปน กริ ิยา ไมใชกุศล ไมใชอกศุ ลและไมใชกรรมวบิ าก แตเปนทฏิ ฐธรรมสขุ วิหาร บรรลุทุตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลจุ ตตุ ถฌาน ฯลฯ บรรลปุ ฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญจมฌานท่มี ีปฐวกี สณิ เปน อารมณ ฯลฯ อยใู นสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ีชื่อวา ธรรมเปนอพั ยากฤต ฯลฯ รูปาวจรกิรยิ า จบ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 160 อรูปาวจรกิริยา [๔๙๖] ธรรมเปน อัพยากฤต เปนไฉน ? พระขณี าสพเจรญิ อรปู าวจรฌาน เปนกริ ยิ า ไมใ ชก ศุ ล ไมใชอกุศลและไมใ ชกรรมวิบาก แตเปนทฏิ ฐธรรมสุขวิหาร เพราะกาวลวงรูปสญั ญาโดยประการท้ังปวง เพราะความอัสดงแหงปฏฆิ สัญญา เพราะไมม นสิการซึง่ นานตั ต-สญั ญา จงึ บรรลจุ ตตุ ถฌาน อันสหรคตดวยอากาสานัญจายตนสญั ญา ไมมีทกุ ขไมม สี ขุ เพราะละสขุ ละทกุ ขไ ด ฯลฯ อยใู นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะมีในสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นชี้ ่ือวา ธรรมเปน อพั ยากฤต. [๔๙๗] ธรรมเปน อพั ยากฤต เปนไฉน ? พระขณี าสพเจรญิ อรปู าวจรฌาน เปนกริ ยิ า ไมใชก ศุ ล ไมใ ชอกุศลและไมใ ชก รรมวิบาก แตเ ปน ทิฏฐธรรมสขุ วิหาร เพราะกาวลว งอากาสานัญ-จายตนะไดโ ดยประการทง้ั ปวง จึงบรรลุจตตุ ถฌาน อันสหรคตดวยวิญญาณัญ-จายตนสญั ญา ไมมีทกุ ข ไมม ีสขุ เพราะละสุขละทกุ ขไ ด ฯลฯ อยใู นสมัยใดผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมยั น้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานี้ช่ือวา ธรรมเปน อพั ยากฤต. [๔๙๘] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปน ไฉน ? พระขีณาสพเจรญิ อรูปาวจรฌาน เปนกริ ยิ า ไมใ ชก ศุ ล ไมใชอ กศุ ลและไมใ ชกรรมวบิ าก แตเ ปนทิฏฐธรรมสขุ วหิ าร เพราะกาวลว งวิญญาณญั -จายตนะไดโ ดยประการทั้งปวง จึงบรรลจุ ตุตถฌาน อนั สหรคตดว ยอากิญ-จญั ญายตนสัญญา ไมมีทกุ ข ไมม ีสุข เพราะละสขุ ละทกุ ขได ฯลฯ อยูในสมัยใดผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะ มใี นสมัยน้นั ฯลฯ

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 161 สภาวธรรมเหลา นช้ี ่ือวา ธรรมเปน อัพยากฤต. [๔๙๙] ธรรมเปน อัพยากฤต เปน ไฉน ? พระขณี าสพเจริญอรปู าวจรฌาน เปน กริ ยิ า ไมใ ชก ุศล ไมใ ชอกศุ ลและไมใชกรรมวิบาก แตเ ปนทิฏฐธรรมสขุ วิหาร เพราะกาวลวงอากิญจัญญาย-ตนสัญญา ไมมที ุกข ไมมีสขุ เพราะละสุขละทกุ ขไ ด ฯลฯ อยใู นสมยั ใดผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมยั น้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นีช้ ื่อวา ธรรมเปนอพั ยากฤต. [๕๐๐] อพั ยากฤตมูล คือ อโลภะ ฯลฯ อพั ยากฤตมลู คือ อโทสะฯลฯ อัพยากฤตมูล คือ อโมหะ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นี้ชื่อวา ธรรมเปนอพั ยากฤต. อรูปาวจรกิรยิ า จบ จติ ตปุ ปาทกัณฑ จบ อรรถกถาแสดงรปู าวจรอรปู าวจรกิริยา พึงทราบวินจิ ฉยั นิทเทสแหงรูปาวจรและอรปู าวจรกิรยิ าตอไป บทวา ทฏิ ธิ มฺมสุขวิหาร (เปน แตทฏิ ฐธรรมสุขวหิ าร) ไดแกเพยี งอยูเปนสขุ ในทฏิ ฐธรรม คือ ในอัตภาพน้ีเทานั้น. ในสมาบัติเหลานั้นสมาบตั ิทีพ่ ระขีณาสพใหเ กิดขนึ้ ในเวลายังเปนปุถุชนมอี ยู ตราบใดทพ่ี ระขณี าสพยงั ไมเขา สมาบัตอิ ันนัน้ สมาบัตนิ ั้นกเ็ ปนกศุ ลน้นั แหละ เม่ือทานเขา สมาบัตินั้นแลว สมาบตั ิน้นั กเ็ ปน กริ ยิ า แตสมาบตั ิทพี่ ระขีณาสพนน้ั ใหบังเกดิ ข้ึนใน

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 162เวลาท่ีทา นเปน พระขีณาสพแลว สมาบตั นิ ัน้ ยอมเปน กริ ยิ าเทานน้ั . คาํ ท่ีเหลือท้ังหมด พงึ ทราบโดยนัยทกี่ ลาวไวใ นกุศลนิทเทส เพราะเปน เหมือนกับกุศลนั้น ฉะนี้แล. กถาวา ดวยจิตตุปปาทกัณฑ ในอฏั ฐสาลนิ ี ธมั มสงั คหกถา จบ แตบ ทอัพยากฤต (รปู และนิพพาน) ยังไมจบกอน อรรถกถาจติ ตปุ ปาทกัณฑ จบ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 163 รูปกัณฑ [๕๐๑] ธรรมเปนอพั ยากฤต เปนไฉน ? วิบากแหงกศุ ลธรรมและอกศุ ลธรรม เปน กามาวจร เปนรปู าวจรเปน อรูปาวจร เปนโลกตุ ระ ไดแกเวทนาขันธ สญั ญาขันธ สังขารขันธวญิ ญาณขนั ธ อน่งึ ธรรมเหลาใดเปนกริ ิยา ไมใชกุศล ไมใชอ กศุ ล และไมใชกรรมวิบาก รปู ทัง้ หมด และอสงั ขตธาต.ุ สภาวธรรมเหลา น้ีช่อื วา ธรรมเปน อัพยากฤต. [๕๐๒] บรรดาธรรมเปนอพั ยากฤต รูปทั้งหมด เปนไฉน มหาภูต-รูป ๔ และรปู ทีอ่ าศยั มหาภตู รูป ๔ นน้ั นีเ้ รยี กวา รูปทั้งหมด. มาตกิ า เอกกมาตกิ า [๕๐๓] รูปท้งั หมด ไมใชเหตุ ไมม ีเหตุ วิปปยตุ จากเหตุ เปน ไปกบั ดว ยปจ จัย เปนสังขตธรรม เปน รปู ธรรม เปน โลกิยธรรม เปนอารมณของอาสวะ เปนอารมณข องสังโยชน เปนอารมณของคนั ถะ เปนอารมณของโอฆะ เปน อารมณข องโยคะ เปนอารมณของนวิ รณ เปนอารมณข องปรามาส เปน อารมณของอปุ าทาน เปนอารมณข องสังกเิ ลส เปนอัพยากตธรรมไมม อี ารมณ ไมใชเจตสิก วปิ ปยตุ จากจติ ไมใ ชวบิ ากและไมใ ชธรรมเปน เหตุแหงวิบาก ไมเ ศราหมอง แตเปนอารมณของสังกเิ ลส ไมใชธรรมมที ง้ั วิตกทงั้ วิจาร ไมใ ชธ รรมไมม ีวิตกแตม ีวิจาร ไมม ีทัง้ วิตกวิจาร ไมใ ชธ รรมที่สหรคตดวยปติ ไมใชธรรมท่ีสหรคตดวยสุข ไมใ ชธ รรมท่สี หรคตดว ยอเุ บกขา

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 164อนั โสดาปตตมิ รรคและมรรคเบอ้ื งบน ๓ ไมป ระหาณ ไมม สี ัมปยตุ ตเหตุอนั โสดาปต ติมรรคและมรรคเบ้ืองบน ๓ ประหาณ ไมเปน เหตใุ หจุตปิ ฏสิ นธิและไมเปนเหตใุ หถ ึงนพิ พาน ไมเ ปน ของเสกขบคุ คลและไมเ ปนของอเสกข-บคุ คล เปนปรติ ตธรรม เปน กามาวจรธรรม ไมใชรูปาวจรธรรม ไมใ ชอรปู าวจรธรรม เปนปริยาปนนธรรม ไมใชอ ปรยิ าปนนธรรม เปนอนยิ ตธรรมเปน อนิยยานกิ ธรรม เปนปจจบุ นั นธรรมอันวิญญาณ ๖ พงึ รู ไปเท่ยี งอนั ชราครอบงําแลว สงเคราะหร ปู เปนหมวดละ ๑ อยา งนี.้ เอกกมาติกา จบ ทกุ มาติกา[๕๐๔] สงเคราะหร ูปเปน หมวดละ ๒รูปเปนอปุ าทา [อุปาทายรปู ] กม็ ี รูปเปนอนปุ าทาก็มีรูปเปน อนปุ าทนิ นะ๑ ก็มี รปู เปนอนุปาทินนะก็มีรูปเปนอปุ าทนิ นุปาทานยิ ะ๒ ก็มี รปู เปน อนปุ าทนิ นุปาทานยิ ะกม็ ีรูปเปนสนิทัสสนะ๓ ก็มี รูปเปน อนิทัสสนะกม็ ีรปู เปนสัปปฏฆิ ะ๔ ก็มี รูปเปน อปั ปฏิฆะกม็ ีรปู เปน อินทรยี ก ็มี รปู ไมเปน อินทรียก็มีรูปเปน มหาภูตก็มี รปู ไมเ ปน มหาภูตกม็ ีรปู เปน วญิ ญตั ิกม็ ี รปู ไมเ ปน วญิ ญัตกิ ็มี๑. ดูคาํ แปล เลม ที่ ๑ ขอ ๑๒ ๒. ดูคําแปล. . .ขอ ๑๓. ดูคําแปล. . .ขอ ๓ ๔. ดคู ําแปล. . .ขอ ๓

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 165 รปู เปน จิตตสมุฏฐานกม็ ี รปู ไมเ ปนจิตตสมฏุ ฐานกม็ ี รูปเปน จิตตสหภ*ู ก็มี รปู ไมเ ปน จิตตสหภูก็มี รปู เปน จิตตานปุ ริวตั ิ กม็ ี รปู ไมเ ปน จติ ตานปุ ริวัตกิ ็มี รปู เปน ภายในก็มี รูปเปน ภายนอกก็มี รูปหยาบก็มี รูปละเอียดกม็ ี รูปไกลกม็ ี รปู ใกลก ็มี รปู ทอี่ าศัยเกิดของจกั ขสุ ัมผสั ก็มี รูปไมเปน ที่อาศัยเกดิ ของจกั ขสุ มั ผัสก็มี รปู เปน ทอ่ี าศัยเกิดของเวทนา อันเกดิ แตจักขุสัมผัส ฯลฯ ของสญั ญาฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขวุ ิญญาณก็มี รปู ไมเ ปน ทอี่ าศัยเกิดของจักขวุ ญิ ญาณก็มี รปู เปน ท่อี าศัยเกิดของโสตสัมผสั ฯลฯ ของฆานสมั ผัส ฯลฯ ของชวิ หาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัสกม็ ี รูปไมเปน ทอ่ี าศัยเกิดของกายสมั ผัสก็มี รปู เปนท่อี าศยั เกิดของเวทนา อันเกดิ แตก ายสมั ผัส ฯลฯ ของสัญญาฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณกม็ ี รปู ไมเปนท่อี าศัยเกิดของกายวิญญาณก็มี รปู เปนอารมณของจกั ขุสมั ผสั กม็ ี รูปไมเปน อารมณของจักขุสมั ผัสกม็ ี รูปเปนอารมณของเวทนา อันเกิดแตจ กั ขสุ ัมผัส ฯลฯ ของสัญญาฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจกั ขุวิญญาณกม็ ี รปู ไมเปน อารมณของจกั ขุ-วิญญาณก็มี รูปเปนอารมณของโสตสมั ผสั ฯลฯ ของฆานสมั ผัส ฯลฯ ของชวิ หาสมั ผสั ฯลฯ ของกายสมั ผัสก็มี รูปไมเปน อารมณของกายสมั ผสั กม็ ี* คําแปล เลม ท่ี ๑ ขอ ๑๑

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 166 รปู เปน อารมณข องเวทนา อันเกิดแตก ายสมั ผสั ฯลฯ ของสญั ญาฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวญิ ญาณก็มี รูปไมเปน อารมณของกายวิญญาณก็มี รูปเปน จกั ขายตนะกม็ ี รูปไมเปน จกั ขายตนะก็มี รูปเปนโสตายตนะกม็ ี รูปไมเปน โสตายตนะก็มี รปู เปนฆานายตนะ ฯลฯ เปนชิวหายตนะ ฯลฯ เปน กายายตนะกม็ ีรปู ไมเปนกายายตนะก็มี รูปเปนรปู ายตนะก็มี รูปไมเ ปนรปู ายตนะก็มี รูปเปน สัททายตนะ ฯลฯ เปนคันธายตนะ ฯลฯ เปนรสายตนะฯลฯ เปน โผฏฐัพพายตนะกม็ ี รูปไมเปน โผฏฐพั พายตนะกม็ ี รูปเปนจกั ขุธาตกุ ม็ ี รปู ไมเปนจักขุธาตุกม็ ี รูปเปนโสตธาตุ ฯลฯ เปน ฆานธาตุ ฯลฯ เปน ชิวหาธาตุ ฯลฯเปนกายธาตกุ ็มี รูปไมเปน กายธาตุกม็ ี รูปเปน รปู ธาตกุ ็มี รูปไมเ ปน รูปธาตุกม็ ี รปู เปนสัททาธาตุ ฯลฯ เปน ตน ธาตุ ฯลฯ เปนรสธาตุ ฯลฯเปนโผฏฐพั พธาตุก็มี รูปไมเ ปน โผฏฐัพพธาตกุ ม็ ี รปู เปน จกั ขนุ ทรยี ก็มี รปู ไมเ ปนจักขุนทรยี ก ็มี รปู เปน โสตนิ ทรีย ฯลฯ เปนฆานินทรีย ฯลฯ เปน ชิวหนิ ทรยี  ฯลฯเปน กายินทรียกม็ ี รูปไมเปนกายินทรยี ก ็มี รปู เปนอิตถนิ ทรียก ม็ ี รปู ไมเปน อิตถนิ ทรยี ก็มี รูปเปน ปรุ สิ นิ ทรียก็มี รปู ไมเ ปนปุรสิ ินทรียก ม็ ี รูปเปนชวี ิตินทรยี กม็ ี รปู ไมเ ปน ชีวิตินทรยี กม็ ี

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 167 รูปเปน กายวญิ ญัติกม็ ี รปู ไมเ ปนกายวิญญตั ิก็มี รูปเปนวจวี ญิ ญัติก็มี รูปไมเปนวจีวิญญตั ิกม็ ี รูปเปน อากาสธาตุกม็ ี รปู ไมเปนอากาสธาตุกม็ ี รูปเปนอาโปธาตุก็มี รปู ไมเปน อาโปธาตกุ ็มี รปู เปน รปู ลหตุ าก็มี รูปไมเปน รูปลหตุ ากม็ ี รปู เปน รปู มทุ ุตากม็ ี รูปไมเปนรปู มทุ ุตากม็ ี รปู เปนรปู กมั มัญญตาก็มี รปู ไมเ ปนรูปกมั มญั ญตาก็มี รูปเปนรปู อุปจยะกม็ ี รปู ไมเ ปนรปู อปุ จยะกม็ ี รปู เปนรูปสนั ตตกิ ม็ ี รปู ไมเ ปนรูปสนั ตตกิ ็มี รปู เปนรปู ชรตาก็มี รูปไมเ ปนรปู ชรตาก็มี รปู เปนรูปอนิจจตาก็มี รปู ไมเ ปน รปู อนจิ จตากม็ ี รปู เปนกพฬงิ การาหารก็มี รปู ไมเ ปนกพฬงิ การาหารก็มี สงเคราะหรูปเปน หมวดละ ๒ อยา งนี้. ทุกมาตกิ า จบ ตกิ มาติกา [๕๐๕] สงเคราะหรูปเปน หมวดละ ๓ รปู ภายในเปน อปุ าทา, รูปภายนอกที่เปน อุปาทาก็มี, ท่เี ปนอนปุ าทาก็มี รูปภายในเปน อุปาทินนะ, รปู ภายนอกทเี่ ปนอปุ าทนิ นะกม็ ี, ทีเ่ ปนอนุปาทินนะก็มี

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 168 รูปภายในเปน อุปาทนิ นปุ าทานิยะ, รปู ภายนอกท่ีเปน อปุ าทนิ นปุ าทา-นิยะก็มี ทเี่ ปนอนุปาทนิ นุปาทานยิ ะก็มี รปู ภายในเปน อนทิ ัสสนะ, รูปภายนอกทเี่ ปน สนทิ สั สหะกม็ ,ี ที่เปนอนทิ ัสสนะกม็ ี รปู ภายในเปน สัปปฏิฆะ, รูปภายนอกทเี่ ปน สัปปฏิฆะก็มี, ทีเ่ ปนอัปปฏิฆะกม็ ี รปู ภายในเปน อินทรีย, รูปภายนอกทีเ่ ปนอินทรยี ก ม็ ี, ท่ไี มเ ปนอินทรยี ก ็มี รปู ภายในไมเ ปนมหาภตู , รูปภายนอกทเ่ี ปน มหาภูตก็มี, ที่ไมเปนมหาภูตกม็ ี รูปภายในไมเปน วิญญัต,ิ รปู ภายนอกท่ีเปน วิญญตั กิ ็ม,ี ทีไ่ มเ ปนวิญญตั กิ ็มี รปู ภายในไมเปน จิตตสมฏุ ฐาน, รปู ภายนอกที่เปน จติ ตสมุฏฐานกม็ ี,ท่ไี มเปน จิตตสมฏุ ฐานกม็ ี รูปภายในไมเปน จติ ตสหภู, รูปภายนอกที่เปน จติ ตสหภูกม็ ี, ทีไ่ มเปนจิตตสหภูก็มี รปู ภายในไมเปนจิตตานปุ ริวตั ิ, รปู ภายนอกทเ่ี ปนจติ ตานุปริวตั กิ ม็ ี,ทีไ่ มเปน จติ ตานปุ รวิ ัตกิ ็มี รูปภายในหยาบ, รูปภายนอกท่ีหยาบก็ม,ี ทีล่ ะเอียดก็มี รูปภายในอยใู กล, รูปภายนอกทอ่ี ยไู กลกม็ ี ที่อยูใกลก ม็ ี รปู ภายนอกไมเ ปนทอี่ าศัยเกิดของจกั ขุสมั ผสั , รูปภายในเปน ท่ีอาศยัเกิดของจกั ขสุ มั ผสั ก็มี ไมเปน ทอี่ าศยั เกิดของจกั ขุสัมผัสกม็ ี

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 169 รูปภายนอกไมเ ปน ทอี่ าศัยเกิดของเวทนา อนั เกิดแตจกั ขสุ มั ผัส ฯลฯของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณ, รปู ภายในเปนที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณกม็ ี, ไมเ ปน ท่ีอาศัยเกิดของจกั ขวุ ิญญาณก็มี รูปภายนอกไมเปน ท่อี าศัยเกิดของโสตสัมผสั ฯลฯ ของฆานสัมผัสฯลฯ ของชวิ หาสมั ผัส ฯลฯ ของกายสัมผัส รูปภายในเปนทอ่ี าศัยเกิดของกายสมั ผัสกม็ ี ไมเ ปน ทีอ่ าศยั เกดิ ของกายสัมผัสก็มี รูปภายนอกไมเ ปนทอี่ าศยั เกดิ ของเวทนา อนั เกดิ แตกายสัมผัส ฯลฯของสญั ญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวญิ ญาณ, รปู ภายในเปนทีอ่ าศัยเกิดของกายวญิ ญาณกม็ ี ไมเปน ทอ่ี าศัยเกดิ ของกายวญิ ญาณก็มี รูปภายในไมเปนอารมณของจักขุสัมผัส, รปู ภายนอกทเ่ี ปน อารมณของจักขสุ มั ผสั กม็ ี, ทไ่ี มเ ปน อารมณข องจกั ขสุ ัมผัสกม็ ี รูปภายในไมเปนอารมณข องเวทนา อนั เกิดแตจักขุสมั ผสั ฯลฯของสญั ญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณ, รูปภายนอกทเี่ ปนอารมณข องจกั ขวุ ิญญาณก็มี, ทีไ่ มเ ปนอารมณข องจักขวุ ญิ ญาณกม็ ี รูปภายในไมเปนอารมณของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผสั ฯลฯของชวิ หาสัมผัส ฯลฯ ของกายสมั ผัส, รูปภายนอกท่เี ปน อารมณของกายสมั ผสักม็ ี, ทไ่ี มเปน อารมณของกายสมั ผสั กม็ ี รปู ภายในไมเ ปนอารมณของเวทนา อันเกิดแตก ายสมั ผัส ฯลฯ ของสญั ญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวญิ ญาณ, รูปภายนอกทเี่ ปนอารมณของกายวญิ ญาณกม็ ,ี ทไี่ มเ ปนอารมณของกายวญิ ญาณก็มี

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 170 รูปภายนอกไมเ ปน จักขายตะ, รปู ภายในท่เี ปนจักขายตนะกม็ ,ี ท่ไี มเปนจกั ขายตนะก็มี รูปภายนอกไมเปนโสตายตนะ ฯลฯ ไมเปน ฆานายตนะ ฯลฯ ไมเปนชวิ หายตนะ ฯลฯ ไมเ ปนกายายตนะ, รูปภายในท่ีเปน กายายตนะก็ม,ี ท่ีไมเปน กายายตนะก็มี รปู ภายในไมเปนรปู ายตนะ, รูปภายนอกทเ่ี ปน รปู ายตนะก็มี, ทไี่ มเปนรูปายตนะก็มี รูปภายในไมเปนสัททายตนะ ฯลฯ ไมเปน คันธายตนะ ฯลฯ ไมเ ปนรสายตนะ ฯลฯ ไมเ ปน โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ รปู ภายนอกท่ีเปน โผฏฐัพพายตนะก็มี, ทีไ่ มเ ปน โผฏฐพั พายตนะกม็ ี รปู ภายนอกไมเปน จกั ขธุ าตุ, รูปภายในทีเ่ ปน จักขธุ าตกุ ็มี, ทีไ่ มเ ปนจกั ขุธาตุกม็ ี รปู ภายนอกไมเปนโสตธาตุ ฯลฯ ไมเปนฆานธาตุ ฯลฯ ไมเปนชิวหาธาตุ ฯลฯ ไมเปนกายธาตุ. รูปภายในที่เปนกายธาตกุ ็มี, ที่ไมเ ปนกาย-ธาตกุ ็มี รูปภายในไมเปนรูปธาตุ, รปู ภายนอกที่เปน รูปธาตกุ ม็ ี, ทไ่ี มเปน รปูธาตุกม็ ี รปู ภายในไมเ ปน สัททธาตุ ฯลฯ ไมเ ปนคันธธาตุ ฯลฯ ไมเ ปน รส-ธาตุ ฯลฯ ไมเปนโผฏฐัพพธาต,ุ รปู ภายนอกทเ่ี ปนโผฏฐัพพธาตกุ ม็ ี, ที่ไมเปน โผฏฐพั พธาตกุ ม็ ี รูปภายนอกไมเ ปนจกั ขนุ ทรยี , รูปภายในทเี่ ปน จักขุนทรยี ก ม็ ี, ท่ีไมเปนจักขุนทรียก็มี

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 171 รูปภายนอกไมเปน โสตนิ ทรยี  ฯลฯ ไมเปน ฆานนิ ทรีย ฯลฯ ไมเปนชิวหินทรีย ฯลฯ ไมเปน กายินทรยี , รูปภายในท่เี ปน กายนิ ทรียก็มี, ท่ไี มเ ปนกายินทรยี ก็มี รปู ภายในไมเปนอติ ถินทรีย, รปู ภายนอกทเ่ี ปน อติ ถินทรยี ก ็ม,ี ทไ่ี มเปน อิตถินทรยี ก็มี รปู ภายในไมเปน ปรุ สิ ินทริย, รปู ภายนอกที่เปน ปุรสิ ินทรียก ม็ ี, ทไี่ มเปน ปรุ สิ นิ ทรียก็มี รปู ภายในไมเปน ชวี ิตินทรีย, รูปภายนอกท่เี ปน ชวี ติ นิ ทรียก ม็ ,ี ท่ีไมเปนชวี ิตนิ ทรยี ก ม็ ี รปู ภายในไมเ ปน กายวญิ ญตั ิ, รูปภายนอกทีเ่ ปน กายวญิ ญัติกม็ ี, ทไี่ มเปน กายวญิ ญัติก็มี รปู ภายในไมเปน วจวี ิญญัต,ิ รปู ภายนอกทีเ่ ปนวจวี ิญญัตกิ ็ม,ี ทไ่ี มเปนวจีวญิ ญัตกิ ็มี รปู ภายในไมเปนอากาสธาตุ รปู ภายนอกทีเ่ ปน อากาสธาตุก็มี, ทไ่ี มเปน อากาสธาตกุ ม็ ี รปู ภายในไมเ ปนอาโปธาตุ, รูปภายนอกท่เี ปน อาโปธาตุกม็ ี, ทไ่ี มเ ปนอาโปธาตุก็มี รูปภายในไมเปนรูปลหุตา, รูปภายนอกที่เปน รูปลหตุ ากม็ ,ี ท่ีไมเ ปนรูปลหตุ ากม็ ี รปู ภายในไมเ ปน รปู มทุ ตุ า, รปู ภายนอกที่เปนมทุ ุตากม็ ,ี ทีไ่ มเปนรปู มุทุตาก็มี รปู ภายในไมเปน รูปกัมมญั ญตา, รูปภายนอกที่เปน รูปกัมมญั ญตาก็มี,ทไ่ี มเปนรปู กมั มัญญตาก็มี

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 172 รูปภายในไมเ ปนรูปอุปจยะ, รูปภายนอกท่ีเปนรปู อุปจยะก็มี, ที่ไมเปน รปู อุปจยะกม็ ี รปู ภายในไมเปน รปู สันตต,ิ รปู ภายนอกที่เปนรูปสันตติกม็ ,ี ท่ไี มเปนรปู สันตติกม็ ี รปู ภายในไมเปนรูปชรตา, รปู ภายนอกที่เปนรูปชรตากม็ ี, ที่ไมเปนรูปชรตาก็มี รูปภายในไมเ ปนรปู อนจิ จตา รูปภายนอกท่ีเปนรปู อนจิ จตากม็ ,ี ทไ่ี มเปนรูปอนิจจตาก็มี รูปภายในไมเ ปนกพฬงิ การาหาร, รปู ภายนอกทเ่ี ปนกพฬิงการาหารก็มีทไ่ี มเ ปน กพฬงิ การาหารก็มี สงเคราะหร ูปเปนหมวดละ ๓ อยา งน.้ี ตกิ มาตกิ า จบ จตกุ กมาติกา [๕๐๖] สงเคราะหรูปเปน หมวดละ ๔ รปู เปนอุปาทา ทเ่ี ปนอุปาทินนะก็ม,ี ทีเ่ ปนอนปุ าทินนะก็ม,ี รปู เปนอนุปาทา ที่เปนอปุ าทนิ นะกม็ ,ี ทเี่ ปนอนปุ าทินนะก็มี รปู เปน อปุ าทา ที่เปน อุปาทินนปุ าทานิยะก็มี, ทีเ่ ปน อนุปาทนิ นปุ าทา-นิยะก็มี, รูปเปน อนุปาทา ทเ่ี ปนอปุ าทนิ นุปาทานยิ ะก็มี, ท่ีเปนอนุปาทินนุ-ปาทานยิ ะก็มี รูปเปน อปุ าทา ท่เี ปนสัปปฏิฆะกม็ ี, ทเ่ี ปน อัปปฏิฆะกม็ ,ี รปู เปนอนุปาทาท่เี ปน สปั ปฏฆิ ะก็มี, ทเี่ ปน อปั ปฏฆิ ะกม็ ี

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 173 รูปเปน อุปาทา ทห่ี ยาบก็มี, ท่ีละเอยี ดก็ม,ี รูปเปนอนุปาทาทีห่ ยาบกม็ ,ี ทล่ี ะเอยี ดก็มี รปู เปนอปุ าทา ทอี่ ยูไกลกม็ ี, ท่อี ยใู กลก ม็ ,ี รปู เปนอนุปาทาที่อยูไกลก็มี ทอี่ ยใู กลก ม็ ี รปู เปน อุปาทนิ นะ ทีเ่ ปนสนทิ สั สนะกม็ ,ี ทีเ่ ปนอนิทสั สนะกม็ ี, รปูเปนอนุปาทินนะ ทีเ่ ปน สนิทัสสนะก็ม,ี ทเี่ ปนอนทิ ัสสนะก็มี รปู เปนอปุ าทินนะ ท่เี ปนสปั ปฏิฆะกม็ ,ี ทีเ่ ปนอัปปฏิฆะก็มี, รปู เปนอนุปาทนิ นะ ทเ่ี ปนสัปปฏฆิ ะกม็ ,ี ทเี่ ปนอปั ปฏฆิ ะกม็ ี รูปเปนอปุ าทินนะ ทเ่ี ปน มหาภูตก็ม,ี ที่ไมเปนมหาภตู กม็ ,ี รปู เปนอนุปาทินนะ ท่ีเปน มหาภูตกม็ ี, ท่ไี มเ ปนมหาภตู ก็มี รูปเปนอุปาทินนะ ทหี่ ยาบก็มี, ทลี่ ะเอยี ดกม็ ี, รูปเปน อนุปาทนิ นะทห่ี ยาบก็ม,ี ทีล่ ะเอยี ดก็มี รูปเปน อุปาทินนะ ท่ีอยูไกลกม็ ี, ท่ีอยูใ กลก ม็ ี, รปู เปนอนุปาทนิ นะท่อี ยูไกลก็ม,ี ท่อี ยูใ กลก ็มี รปู เปน อุปาทินนปุ าทานยิ ะ ท่ีเปน สนิทัสสนะกม็ ี, ท่เี ปนอนิทัสสนะกม็ ี,รปู เปน อนปุ าทินนปุ าทานิยะ ทีเ่ ปนสนิทัสสนะกม็ ,ี ท่ีเปนอนทิ สั สนะกม็ ี รปู เปน อุปาทินนปุ าทานยิ ะ ที่เปน สัปปฏิฆะกม็ ี, ท่เี ปนอปั ปฏิฆะก็มี,รปู เปนอนปุ าทนิ นุปาทานิยะ ทเ่ี ปน สัปปฏฆิ ะกม็ ี, ทเ่ี ปนอัปปฏฆิ ะกม็ ี รปู เปนอุปาทนิ นปุ าทานิยะ ทเ่ี ปน มหาภูตกม็ ,ี ท่ไี มเปนมหาภูตก็มี,รปู เปนอนุปาทินนปุ าทานิยะ ท่เี ปน มหาภูตกม็ ี, ทีไ่ มเปนมหาภูตก็มี

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 174 รูปเปนอปุ าทนิ นุปาทานิยะ ที่หยาบก็มี, ท่ลี ะเอยี ดก็มี, รูปเปนอนปุ าทนิ นปุ าทานยิ ะ ที่หยาบกม็ ,ี ทล่ี ะเอยี ดกม็ ี รปู เปนอปุ าทินนุปาทานยิ ะ ทีอ่ ยูไกลก็มี ทอี่ ยูใ กลก็มี, รปู เปนอนุปาทนิ นปุ าทานิยะ ที่อยไู กลกม็ ี ทอ่ี ยใู กลก ม็ ี รปู กระทบได ทเ่ี ปน อนิ ทรียก ็มี, ท่ีไมเ ปนอนิ ทรียก็มี, รปู กระทบไมไ ด ท่เี ปน อินทรยี ก ม็ ,ี ที่ไมเปน อินทรียกม็ ี รูปกระทบได ที่เปน มหาภูตกม็ ี, ทไ่ี มเปน มหาภตู ก็มี, รูปกระทบไมได ท่เี ปนมหาภตู ก็ม,ี ทีไ่ มเปน มหาภูตกม็ ี รูปเปน อนิ ทรยี  ท่หี ยาบก็มี, ทีล่ ะเอียดกม็ ,ี รปู ไมเปนอนิ ทรยี ท หี่ ยาบกม็ ี, ที่ละเอียดก็มี รปู เปนอนิ ทรยี  ท่อี ยไู กลกม็ ,ี ที่อยูใ กลก็ม,ี รูปไมเ ปน อนิ ทรยี ทอ่ี ยูไกลกม็ ,ี ท่ีอยใู กลกม็ ี รปู เปนมหาภูต ที่หยาบก็มี, ที่ละเอยี ดก็ม,ี รูปไมเ ปนมหาภตู ที่หยาบก็มี, ทีล่ ะเอยี ดกม็ ี รปู เปน มหาภตู ที่อยูไกลก็มี, ทอี่ ยใู กลก ม็ ,ี รูปไมเ ปน มหาภตู ท่อี ยูไกลกม็ ,ี ท่อี ยูใ กลก ็มี รปู ท่เี ห็นได, รปู ที่ฟงได, รปู ทีร่ ไู ด, รปู ทร่ี แู จงได สงเคราะหร ปู เปน หมวดละ ๔ อยา งน้ี จตกุ กมาติกา จบ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 175 ปญ จกมาตกิ า [๕๐๗] สงเคราะหร ปู เปน หมวดละ ๕ ปฐวีธาตุ, อาโปธาตุ, เตโชธาตุ, วาโยธาตุ และรูปที่เปน อุปาทา สงเคราะหรปู เปน หมวดละ ๕ อยา งน้ี. ปญจกมาติการ จบ ฉักกมาตกิ า [๕๐๘] สงเคราะหร ปู เปน หมวดละ ๖ รูปอันจักขวุ ญิ ญาณพึงร.ู รูปอันโสตวิญญาณพงึ ร,ู รปู อันฆานวญิ ญาณพงึ ร,ู รปู อันชิวหาวญิ ญาณพึงรู รปู อันกายวิญญาณพึงรู รูปอนั มโนวญิ ญาณพงึ รู สงเคราะหร ูปเปนหมวดละ ๖ อยา งน้ี. ฉักกมาตกิ า จบ สัตตกมาติกา [๕๐๙] สงเคราะหรปู เปน หมวดละ ๗ รูปอันจกั ขวุ ญิ ญาณพงึ รู รูปอนั โสตวิญญาณพึงรู, รูปอนั ฆานวญิ ญาณพงึ รู, รปู อันชวิ หาวญิ ญาณพึงรู, รูปอนั กายวญิ ญาณพงึ ร,ู รูปอนั มโนธาตพุ ึงรู,รูปอันมโนวญิ ญาณธาตพุ งึ รู สงเคราะหรูปเปน หมวดละ ๗ อยา งน้.ี สัตตกมาติกา จบ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 176 อัฏฐกมาตกิ า [๕๑๐] สงเคราะหร ูปเปน หมวดละ ๘ รูปอันจกั ขวุ ิญญาณพึงร,ู รูปอันโสตวิญญาณพึงร,ู รปู อันฆานวิญญาณพงึ ร,ู รูปอนั ชวิ หาวญิ ญาณพึงร.ู รปู อันกายวญิ ญาณพึงรู ท่มี สี มั ผัสเปนสขุกม็ ,ี ทีม่ สี มั ผสั เปน ทกุ ขก ็ม.ี รูปอันมโนธาตพุ งึ รู รปู อนั มโนวญิ ญาณธาตพุ งึ รู สงเคราะหรปู เปนหมวดละ ๘ อยา งน.้ี อฏั ฐกมาตกิ า จบ นวกมาติกา [๕๑๑] สงเคราะหร ปู เปน หมวดละ ๙ จกั ขุนทรยี , โสตนิ ทรีย, ฆานินทรยี , ชิวหนิ ทรยี , กายินทรีย,อติ ถินทรยี , ปุริสนิ ทรีย, ชีวติ ินทรยี , และรปู ท่ีไมเ ปนอินทรีย สงเคราะหรปู เปน หมวดละ ๙ อยางนี้. นวกมาตกิ าร จบ ทสกมาตกิ า [๕๑๒] สงเคราะหร ูปเปนหมวดละ ๑๐ จกั ขุนทรีย, โสตนิ ทรีย, ฆานนิ ทรยี , ชวิ หนิ ทรีย, กายนิ ทรยี ,อิตถนิ ทรีย, ปุริสินทรยี , ชีวติ นิ ทรีย, รปู ไมเปนอินทรยี ที่กระทบไดกม็ ี,ท่กี ระทบไมไดก ็มี สงเคราะหร ูปเปนหมวดละ ๑๐ อยา งนี.้ ทสกมาติกา จบ

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 177 เอกาทสกมาติกา [๕๑๓] สงเคราะหรูปเปน หมวดละ ๑๑ จักขายตนะ, โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชวิ หิ ายตนะ, กายายตนะ,รปู ายตนะ, สัททายตนะ, คันธายตนะ, รสายตนะ, โผฏฐพั พายตนะ, และรูปทเี่ ปนอนิทัสสนะ เปน อัปปฏิฆะ แตน บั เนื่องในธรรมายตนะ สงเคราะหร ูปเปน หมวดละ ๑๑ อยางน้ี. เอกาทสกมาตกิ า จบ มาตกิ า จบ อรรถกถารูปกัณฑ วาดว ยเอกกอทุ เทส บดั น้ี พระผมู พี ระภาคเจาทรงประสงคจ ะจําแนกรูปกณั ฑ (หมวดรปู )จงึ เริ่มตรสั พระบาลมี ีอาทวิ า กตเม ธมฺมา อพยฺ ากตา (ธรรมเปนอพั ยากฤตเปน ไฉน) ดังนอี้ ีก. พงึ ทราบวนิ ิจฉัยคําวา อัพยากฤต เปน ตนน้นั ตอ ไป พระบาลใี นจติ ตปุ ปาทกัณฑ พระองคทรงจาํ แนกวปิ ากอัพยากตะ(อัพยากฤตคือวบิ ากจิต) และกิรยิ าอัพยากตะ (อัพยากฤตคือกริ ิยา) ไวหมดสิ้นแลวแมกจ็ รงิ ถงึ อยางน้ัน กย็ ังมิไดตรสั อัพยากฤต คอื รปู และอัพยากฤต คือนิพพาน เมือ่ จะทรงประมวลอพั ยากฤตแมทัง้ ๔ มาแสดง เพอ่ื ตรสั อพั ยากฤตทงั้ สองทย่ี งั เหลือนน้ั จึงตรัสวา กุสลากุสลาน ธมฺมาน วปิ ากา (วบิ ากแหง กศุ ลธรรมและอกุศลธรรม) ดงั น.้ี

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 178 บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา กุสลากสุ ลาน ไดแก กศุ ลอนั เปนไปในภูมิ ๔ และอกุศลท้งั หลาย. พระองคท รงถือเอาบททงั้ สอง คือ กศุ ลวบิ ากและอกุศลวิบากแสดงอัพยากฤตวบิ ากจิตไวด วยคาํ มีประมาณเทาน.ี้ แตเ พราะอัพยากฤตท้งั หมดน้ันเปน กามาวจรก็มี เปนธรรมอยา งใดอยางหน่ึง มีรูปาวจรเปน ตนก็มี ฉะนน้ั จึงทรงแสดงอพั ยากฤตคอื วบิ ากนนั่ นนั่ เองถือเอาความแตกตา งกนั แหง ภูมโิ ดยนยั มีคําวา กามาวจรา (เปน กามาวจร) เปน ตน อนง่ึเพราะอัพยากฤตนนั้ เปน เวทนาขนั ธกม็ ี ฯลฯ เปน วญิ ญาณขนั ธกม็ ี ฉะนน้ัจงึ ทรงถือเอาอัพยากฤตนัน้ แสดงดวยอํานาจขนั ธ ๔ ที่สัมปยตุ กนั ครั้นทรงแสดงอพั ยากฤตคือวิบากจติ อยางน้ี โดยถือเอานัยทงั้ ๓ คอื ดวยอํานาจกุศลและอกุศล ดวยอํานาจความแตกตา งกนั แหงภมู ิ และดวยอํานาจขนั ธที่สัมปยุ ตกันเมอ่ื จะทรงแสดงอัพยากฤต คอื กริ ิยาจติ อกี จึงตรัสคาํ มอี าทิวา เย จ ธมฺมากิรยิ า (อนง่ึ ธรรมเหลาใดเปน กิริยา) ดังน้ี. ในพระบาลนี ้ัน กริ ิยาจิตนัน้ บุคคลพึงกลา ววา เปน กามาวจร รปู าวจรอรปู าวจร คอื เวทนาขันธ ฯลฯ วิญญาณขนั ธ. กพ็ ระองคค ร้ันทรงแสดงนัยทบ่ี คุ คลถือเอาแลวในหนหลังนน่ั แหละแลว ทรงสละเสีย. บัดนี้ เมือ่ จะแสดงธรรมท่ียังมไิ ดจ าํ แนกไว จึงตรสั วา สพพฺ ฺจรูป อส ขตา จ ธาตุ (รปู ทงั้ หมด และอสงั ขตธาต)ุ . ในพระบาลีนัน้ พงึ ทราบวา พระผูมีพระภาคเจาทรงถอื เอารปู ๒๕โกฏฐาสแหงรปู ๙๖ แสดงไวโ ดยสน้ิ เชิง ดวยบทวา สพพฺ ฺจ รปู  ดงั น้ี.ดว ยบทวา อส ขตา จ ธาตุ นี้ทรงยกนพิ พานข้ึนแสดงโดยสน้ิ เชิง. บทวาอพยฺ ากตา ธมฺมา (ธรรมเปน อพั ยากฤต) พระผมู พี ระภาคเจา ทรงยกข้ึนไวดวยคํามีประมาณเทา น.้ี

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 179 วา ดวยอพั ยากฤต คือ รปู บรรดาธรรมเปนอพั ยากฤตนน้ั คาํ วา รูปทง้ั หมด เปน ไฉน ? น้ีพระองคท รงถอื เอาแลว เพราะเหตุไร ภายหลงั จึงตรสั อพั ยากฤตคือรูปไวโ ดยยอ บดั น้ี ทรงประสงคจะจําแนกรูปนัน้ โดยพสิ ดาร ดว ยสามารถแหง รูปหมวด๑ หมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ ฯลฯ หมวด ๑๑ จงึ ทรงถอื เอารูปนเ้ี ลา . เนือ้ ความนัน้ มอี ธิบายวา รูปใดที่ตรสั ไวใ น ๒ บทนั้นวา สพพฺ จฺรูป อส ขตา จ ธาตุ นั้น ท่ีชอื่ วา รูปทง้ั หมด เปน ไฉน ? บดั นี้เม่อื จะแสดงรปู นน้ั จงึ ตรัสคําเปนตน วา จตฺตาโร จ มหาภตู า (มหาภูตรปู ๔)ดังนี.้ บรรดาบทเหลานน้ั บทวา จตตฺ าโร (๔) เปน คํากาํ หนดจาํ นวน.ดว ยบทวา ๔ นน้ั ทรงปฏิเสธความหยอนและยง่ิ ของรปู เหลา นนั้ จ ศัพทเปนสัมปณฑนัตถะ (คอื ใชในอรรถวาประมวลมา) ดว ย จ ศพั ทน้ัน จงึ ประมวลมาซึง่ อุปาทายรปู (รปู อาศยั ) วา ใชแ ตมหาภตู รูป ๔ เทา นนั้ กห็ าไม รูปแมอยา งอืน่ ก็มีอยู ดังน.้ี วา ดวยมหาภูตรูป ในคําวา มหาภูตะ น้ี พงึ ทราบวา สภาวะทชี่ ื่อวา มหาภูตะเพราะเหตทุ ง้ั หลายโดยความปรากฏวาเปน ของใหญเ ปนตน เพราะรูปเหลา นน้ัตรสั เรยี กวา มหาภตู ะ ดวยเหตเุ หลานี้ คือ ปรากฏเปนของใหญ ๑ เหมอื นมหาภตู คอื นกั เลน กลเปนตน ๑ เพราะตองบํารงุ รักษามาก ๑

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 180 เพราะวิการ (เปลย่ี นแปลง) ใหญ ๑ เพราะเปน กองใหญท มี่ ีอยู ๑. บรรดาเหตุเหลานัน้ ขอวา มหาภตู รปู ปรากฏเปน ของใหญ มอี ธิบายวารปู เหลานั้น ปรากฏเปน ของใหญใ นอนปุ าทนิ นกสนั ดานบา ง๑ ในอุปาทนิ นก-สันดานบา ง๒ บรรดาสนั ดานทง้ั ๒ นน้ั พงึ ทราบในอนุปาทนิ นกสันดานโดยความเปน ของใหญอ ยา งน้ี จรงิ อยู จักรวาลหน่ึงยาวและกวา งถงึ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน (หนึ่งลานสองแสนสามพันส่รี อ ยหา สิบโยชน) วัดโดยรอบ ตามคาถาทีท่ านประพนั ธไววา สพพฺ  สตสหสสฺ านิ ฉตฺตสึ ปริมณฺฑล ทสเฺ จว สหสสฺ านิ อฑฺฒุฑฒฺ านิ สตานิ จ จักรวาลท้ังหมดมีสณั ฐานกลม วดั โดยรอบได ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน (สามลา น หกแสนหน่งึ หมื่นสามรอ ยหา สบิ โยชน). ในจกั รวาลน้นั มีคาถาวา ทุเว สตสหสสฺ านิ จตตฺ าริ นหุตานิ จ เอตตฺ ก พหลตเฺ ตน ส ขาตาย พสนุ ธฺ รา แผนดนิ น้ี วดั โดยสวนหนาไดเทาน้ี คอื ๒๔๐,๐๐๐ โยชน (สองแสนสี่หม่ืนโยชน). แผน ดนิ น้นั นั่นแหละมีน้าํ รองแผนดิน (ดังคาถาวา ) จตฺตาริ สตสหสฺสานิ อฏเ ว นหตุ านิ จ เอตฺตก พหลตเฺ ตน ชล วาเต ปตฏิ  ิต๑. หมายถึงรูปทส่ี ืบตอกนั ทีไ่ มมใี จครอง๒. หมายถึงรูปทสี่ ืบตอกันทมี่ ีใจครอง

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 181 นาํ้ รองแผน ดินหนาถึง ๔๘๐,๐๐๐ โยชน (ส่แี สนแปดหมื่นโยชน) ตัง้ อยบู นลม. แมน ํา้ นน้ั แหละกม็ ีลมรองอยู (ดังคาถาวา) นว สตสหสฺสานิ มาลุโต นภมุคฺคโต สฏิเฺ จว สหสสฺ านิ เอสา โลกสฺส สณฺิติ ลมสงู ขึน้ สทู องนภาถงึ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน (เกาแสนหกหม่ืนโยชน) น้เี ปน การตั้ง อยขู องโลก.กเ็ ม่อื โลกตัง้ อยอู ยา งน้ี มีขนุ เขาสิเนรรุ าช หยั่งลกึ ลงไปใน มหาสมุทรถึง ๘๔๐,๐๐๐ โยชน (แปดหม่ืน สพ่ี นั โยชน) สงู ขนึ้ จากมหาสมุทรได ๘๔๐,๐๐๐ โยชน เหมอื นกนั . มีภเู ขาใหญล ว นดวยศลี าเปน แทงทบึ ๗ เทอื ก เหลานี้ คอื ภเู ขาชือ่ วายุคันธร ภูเขาอิสนิ ธร ภูเขากรวกิ ภเู ขาสุทัสสนะ ภเู ขาเนมนิ ธร ภูเขาวินตกะ ภเู ขาอสสั กรรณ ลวนวิจิตรดว ยรัตนะตา ง ๆ อันเปน ทิพย หย่งั ลงในมหาสมุทร และสูงขึน้ จากมหา- สมุทรประมาณกึง่ หนึง่ ๆ โดยประมาณที่ กลา วไวทง้ั ขางบนขางลา ง โดยรอบขนุ เขา

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 182 สิเนรุราชนัน้ ตามลําดับ* เปน ท่สี ง่ิ สถติ ของ มหาราชทัง้ หลาย เปนถิน่ ประจาํ ของหมเู ทพ และพวกยักษ. ยังมีภูเขาชื่อหิมพานตสูง ๕๐๐ โยชน ยาวและกวาง ๓,๐๐๐ โยชน งดงามดว ยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด ชมพูทวปี รงุ เรืองแลวดวย อานภุ าพแหงตนชมพใู ด ตน ชมพู (ตนหวา ) นั้นวัดรอบลาํ ตน ได ๑๕ โยชน มีกงิ่ ลําตน ยาว ๕๐ โยชนรอบดาน วา งไดรอ ยโยชน สงู ข้ึนรอยโยชนเ หมือนกนั . อนง่ึ ประมาณแหง ตนชมพูนอ้ี ันใด ตน จิตตปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูรกด็ ี ตนสิมพลี (ไมง้ิว) ของพวกครฑุ กด็ ี ตน กทัมพะ (ไมก ระทุม)ในทวีปอมรโคยานก็ดี ตนกัลปพฤษ ในทวีปอุตตรกรุ กุ ด็ ี ตน สริ สี ะ ในทวีปปพุ พวิเทหะกด็ ี ตนปารฉิ ตั ตกะในดาวดึงสท ง้ั หลายกด็ ี กม็ ีประมาณนน้ั เหมอื นกนั ดวยเหตุนนั้ พระโบราณาจารยท ง้ั หลายจึงกลา ววา ตน ปาฏลี (แคฝอย) ๑ ตนสิมพลี (ไมงิว้ ) ๑ ตนชมพู (ไมห วา) ๑ ตนปารฉิ ัตตกะ (ตนทองหลาง) ของพวกเทพ ๑ ตน กทัมพะ (ไมกระทุม) ๑ ตน กัลปพฤกษ ๑ ตน สริ สี ะ (ไมซ ึก) เปนที่ ๗* โยชนา เอเต สตต ปพพตา อนุปฏปิ าฏิยา สมคุ คตา โสปานสทิสา หุตวฺ า ฐิตา ภูเขา ๗ เทือกเหลานีส้ ูงขึน้ โดยลาํ ดบั เปนเหมือนกับบนั ไดต้ังอยู.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 183 ภเู ขาจกั รวาลหยงั่ ลึกลงในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน สงู พนมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชนเหมอื นกนั ทงั้ หมดไดตง้ั แวดลอ มโลกธาตุ ไวแ ล. (น้ชี ื่อวา สันดานของรปู ท่ีไมม ีใจครอง). แมใ นสนั ดานของรูปทม่ี ีใจครอง (อปุ าทินนกสนั ดาน) ก็ปรากฏเปน ของใหญน น่ั แหละดวยอาํ นาจแหงสรีระมีปลา เตา เทพ และทานพเปนตนขอนสี้ มดังพระดํารัสทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ไวว า ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ในมหาสมุทร สัตวใ หญ แมย าวต้ังรอ ยโยชนก ม็ เี ปน ตน . วา ดว ยมหาภตู คือ นกั เลน กลเปน ตน ขอ วา มหาภูตคือนักเลนกลเปน ตน มอี ธิบายวา มหาภตู รูปเหลา น้ีเปรยี บดว ยนกั เลน กล ยอมทาํ นา้ํ อันมใิ ชแกวมณีเลยใหเ ปน แกวมณี ยอ มแสดงกอนดินอันมใิ ชทองคําเลยใหเปนทองคําได ฉันใด อนึ่ง ตัวเอง (มหาภูตรูป)มิใชเ ปนยักษ มิใชเ ปน ปกษี (นก) ยอ มแสดงความเปนยกั ษบา ง เปน ปกษบี า งฉันใด ขอ นี้ก็ฉนั น้ันเหมอื นกัน คอื ตวั เอง (มหาภูตรปู ) มใิ ชเ ปน สเี ขียวก็แสดงอุปาทารูป (รปู อาศยั ) ใหเปน สเี ขียว ตวั เองมิใชเ ปน สเี หลืองก็แสดงอุปาทารปู ใหเปน สีเหลอื ง มใิ ชเ ปน สแี ดง. . . มิใชส ีขาวก็แสดงอปุ าทารปู ใหเปนสีขาวได เพราะฉะนนั้ รปู เหลานัน้ จึงชือ่ วา มหาภตู ะ เพราะเปนเหมอื นมหาภูต คอื นักเลน กล. อนง่ึ มหาภูตคอื ยักษผชู ายเปน ตนยอ มสิงวตั ถุใด หรือสัตวใด ทอี่ ันเปนภายใน หรอื ภายนอกของวัตถนุ ั้น หรือของสตั วนั้น กห็ ามัน (คือมหาภตูตัวยักษผูชายเปนตนนัน้ ) ไมได และมใิ ชม นั จะไมแอบอิงวัตถุนัน้ หรอื สัตวน ัน้อยกู ็หาไม ขอนี้ ฉนั ใด มหาภตู รูปแมเหลา น้ีก็ฉันนัน้ เหมอื นกนั จะคนหา๑. อ . อฏ กนปิ าต เลม ๒๓. ๑๐๙/๒๐๒

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 184ภายในหรือภายนอกของกนั และกันกห็ าไมไ ด และมิใชมหาภูตรูปเหลานนั้ จะไมอาศัยซ่ึงกนั และกนั อยูก็หาไม เพราะฉะนน้ั รปู เหลานัน้ จงึ ชื่อมหาภูตะเพราะเปนเชน กบั มหาภูต* มยี ักษผ ชู ายเปน ตน เพราะความเปนฐานะท่ีใคร ๆ ไมพ งึ คดิ . อนง่ึ มหาภตู คือนางยักษณิ ีปกปด ความทมี่ นั เปนปศ าจนา กลวั จึงลอลวงสัตวท ั้งหลายโดยใหส ีสรรคท รวดทรงและการเย้อื งกรายอนั นา ชืน่ ใจ ฉนั ใดมหาภตู ะแมเหลา นั้นก็ฉันนนั้ เหมือนกนั ปกปดลักษณะอันเปน สภาวะของตนอนัตางโดยความเปนของแข็งเปนตน ของตนไวโ ดยผิวพรรณอันนาชื่นใจ ดว ยทรวดทรงแหงอวัยวะนอยใหญอ นั นาชน่ื ใจ ดว ยการกรดี กรายมือ เทา น้ิวมือและยักค้วิ อันนา ชน่ื ใจในรางกายหญิงชายเปนตน ยอ มลอลวงคนเขลา ยอมไมใ หเห็นสภาวะของตน เพราะฉะน้นั รปู จึงชือ่ วา มหาภูตะ เพราะมนั เหมอื นมหาภูต (มหาปศาจ) คือ นางยกั ษณิ ี เพราะทําความลอลวง ดว ยประการฉะน้ี. คําวา เพราะตองบาํ รงุ รกั ษามาก คือ เพราะตอ งบริหารดว ยปจจัยเปน อนั มาก จริงอยู รูปเหลาน้ี ชอื่ วา มหาภูตะ ดวยอรรถวา ตอ งใหเปนไปโดยการกินการอยแู ละเครอ่ื งนงุ หม เปน อันมาก เพราะตองนอมเขา ไปทุก ๆ วนั อีกอยา งหน่ึง ท่ชี ื่อวา มหาภตู ะ เพราะอรรถวา เปน ส่ิงตองบํารุงรักษามาก ดงั นกี้ ม็ .ี คาํ วา เพราะวกิ ารใหญ ไดแ ก เพราะมหาภูตะทง้ั หลายเปล่ยี นแปลงใหญ จรงิ อยู รปู เหลา นี้ เปน รูปทมี่ ใี จครองก็ดี เปน รูปทไ่ี มมีใจครองกด็ ียอ มเปนของเปลย่ี นแปลงใหญ บรรดารูปทงั้ ๒ นนั้ รูปทีไ่ มม ใี จครองยอมปรากฏเปน การเปล่ยี นแปลงใหญในคราวกปั พนิ าศ สว นรปู ท่ีมใี จครองยอมปรากฏเปน การเปลีย่ นแปลงมากในเวลาธาตกุ าํ เริบ. จรงิ อยา งนัน้ ตามที่ทา นกลาววา* มหาภูต หมายถึงภูตผีปศาจทตี่ วั ใหญ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 185 ในคราวใด โลกจะพินาศดวยไฟเผา-ผลาญ ในคราวน้นั ไฟยอ มโพลงขน้ึ ตั้งแตพ ้ืนดินไปถึงพรหมโลก. ในคราวใด โลกจะฉิบหายดว ยน้าํกาํ เรบิ ในคราวนน้ั แสนโกฏจิ กั รวาลยอ มละลายไปเปนอันเดยี วกันดว ยนํา้ กรด. ในคราวใด โลกจะฉิบหายดวยลมกําเริบ ในคราวน้นั ลมยอมยงั แสนโกฏจิ ักรวาลใหก ระจดั กระจายไปเปน อันเดียวกัน. กายใด ทถ่ี ูกงชู ่อื กฏั ฐมขุ ะ (งปู ากไม)ขบเอาแลวยอมแข็งกระดา ง ฉนั ใด กายนน้ัยอ มเปน ดุจอยูในปากงูกัฏฐมขุ ะขบเอา เพราะความทปี่ ฐวธี าตเุ สียไปฉันนน้ั กายใด ท่ถี กู งูชอ่ื ปูติมขุ ะ (งปู ากเนา ) ขบเอาแลว ยอ มเนาฉันใด กายนน้ั ยอมดุจอยใู นปากงปู ตู ิมุขะขบเอา เพราะความทอ่ี าโปธาตเุ สยี ไปฉันน้นักายใด ท่ถี ูกงู ช่ืออคั คิมขุ ะ (งปู ากไฟ)ขบเอาแลวยอ มเรา รอน ฉนั ใด กายนั้น ยอ มเปน ดจุ อยูในปากงูอคั คมิ ขุ ะขบเอา เพราะความท่ีเตโชธาตุเสียไปฉนั นั้น กายใด ทถี่ กู งูช่อื สตั ถมุขะ (งูปากศาสตรา) ขบเอาแลวยอ มขาดเปน ชน้ิ ฉนั ใด กายน้ันยอ ม

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 186 เปนดจุ อยใู นปากงสู ตั ถมุขะขบเอา เพราะ ความท่วี าโยธาตุเสยี ไป ฉันน้นั . รูปทช่ี ่ือวา มหาภูตะ เพราะเปนของวิการคือเปลี่ยนแปลงใหญดวยประการฉะนี.้ ขอวา เพราะเปน ของใหญท มี่ อี ยู จริงอยู รปู เหลา นน้ั ช่อื วาเปนของใหญ เพราะเปน ของท่ีตอ งประดับประคองดวยความเพยี รใหญ และที่ช่อื วา มอี ยู เพราะเปน ของทป่ี รากฏมีอยู เพราะฉะน้ัน รูปจึงช่อื วา มหาภูตะเพราะเปน ของใหญท่มี ีอย.ู มหาภตู รูปเปน รปู ใหญ ดวยเหตุเปนของใหญเปนตนดว ยประการฉะน.ี้ คาํ วา จตนุ ฺน จ มหาภูตาน อปุ าทาย รปู  (และรปู ท่ีอาศัยมหาภตู รปู ๔) น้ีเปนสามีวิภตั ติ ใชใ นอรรถทุตยิ าวภิ ตั ติ (ใหแปลวา อาศัยซง่ึมหาภูตรปู ๔) อธบิ ายวา รปู อาศัยองิ อาศัยไมป ลอ ยมหาภตู ท้งั ๔ เปนไป. บทวา อทิ  วุจจฺ ติ สพฺพ รปู  (นเี้ รียกวา รปู ทัง้ หมด) ความวารปู นม้ี ปี ระเภท ๒๗ คอื มหาภตู รปู ๔ อปุ าทายรูป ๒๓ ตามทยี่ กขึน้ แสดงโดยลําดับแหงบทนี้ ชือ่ วา รูปทัง้ หมด. อรรถกถาแสดงมาติการูปกัณฑ วาดวยเอกมาติกา บดั น้ี พระผูมพี ระภาคเจาทรงประสงคจะแสดงรปู นั้นโดยพสิ ดาร เมื่อจะทรงตง้ั มาตกิ าดว ยการสงเคราะหรปู ๑๑ หมวด มรี ูปหมวดหน่งึ เปนตนจงึ ตรสั วา สพพฺ  รูป น เหตุ (รูปทัง้ หมดมิใชเ หตุ) เปน ตน.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 187 ในพระบาลีเหลานน้ั กบ็ ทวา สพพฺ  รูป นี้ บณั ฑติ พงึ ประกอบกบั บทท้งั ปวงอยางน้ีวา สพฺพ รปู  น เหตุ สพฺพ รูป อเหตุก (รูปทงั้ หมดไมใชเหตุ รูปท้งั หมดไมมเี หตุ) ดังน.้ี บททั้งหมดทท่ี รงตั้งไว ๔๓ บทมคี ําวา น เหตุ (มใิ ชเ หตุ) เปน ตน ทรงยกขนึ้ แสดงแลว . บรรดาบท ๔๓ เหลานนั้ บท ๔๐ โดยลาํ ดบั ทรงถือเอาแตมาติกาตัง้ ไว ๓ บทสดุ ทา ยนอกจากมาติกา เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบพระบาลีในสังคหะ (สงเคราะห) ท่ีหนงึ่ อยางน้ีกอ น ในสังคหะท่ี ๒ เปนตนก็เหมอื นอยา งนัน้ . วา ดว ยทกุ รปู คือ รปู หมวด ๒ บรรดาสงั คหะเหลา น้ัน มีนัยดงั ตอ ไปน.ี้ สงั คหะที่ ๒ กอ น รปู หมวด ๒ มี ๑๐๔ ทุกะ ในทุกะ ๑๐๔ เหลาน้ันทุกะ ๑๔ จนเบื้องตน มอี าทวิ า อตถฺ ิ รปู  อปุ าทา อตถฺ ิ รปู  โน อุปาทา(รปู เปน อปุ าทากม็ ี รปู เปนอนุปาทากม็ ีอย)ู ช่ือวา ปกิณกทุกะ เพราะไมมีความสมั พนั ธซงึ่ กนั และกัน. ทุกะตอ จากนั้น ๒๕ ทุกะ มีคําอาทิวา อตฺถิ รปู  จกฺขสุ มฺผสสฺ สฺสวตฺถุ (รูปเปนทอ่ี าศัยของจักขสุ มั ผสั กม็ )ี ชอื่ วา วัตถุทกุ ะ เพราะความเปน ไปดว ยอํานาจแหง การพิจารณาวตั ถแุ ละอวัตถุ. ตอจากนนั้ ทุกะ ๒๕ มีอาทวิ า อตฺถิ รูป จกขฺ ุสมฺผสฺสสฺส อารมมฺ ณ (รูปเปนอารมณของจักขสุ มั ผัสก็มี) ช่ือวา อารมั มณทกุ ะ เพราะความเปนไปดวยอํานาจแหง การพจิ ารณาถึงอารมณและอนารมณ. ตอ จากนั้นทุกะ ๑๐ มีอาทวิ า อตฺถิ รปู จกฺขายตน (รูปเปนจกั ขายตนะก็ม)ี ช่ือวา อายตนทุกะ เพราะความเปน ไปดว ยอํานาจแหง ความพิจารณาอายตนะและอนายตนะ ตอ จากนัน้ ทุกะ ๑๐

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 188มอี าทิวา อตฺถิ รูป จกฺขุธาตุ (รูปเปนจกั ขุธาตมุ อี ย)ู ชอื่ วา ธาตทุ กุ ะเพราะความเปน ไปดว ยอํานาจความพจิ ารณาธาตุ และอธาต.ุ ตอ จากนน้ั ทุกะ๘ มคี ําอาทิวา อตถฺ ิ รูป จกขฺ ุนทฺ รฺ ยิ  (รูปเปน จกั ขุนทรยี ก็ม)ี ชอ่ื วาอินทรยิ ทกุ ะ เพราะความเปนไปดว ยอํานาจความพจิ ารณาอนิ ทรยี และอนนิ -ทรยี . ตอจากน้ัน ทกุ ะ ๑๒ มีอาทิวา อตถฺ ิ รปู  กายวิ ฺ ตฺติ (รปู เปนกายวิญญัตมิ อี ยู) ช่ือวา สุขมุ รูปทุกะ เพราะความเปน ไปดวยอํานาจการพจิ ารณาสุขุมรูป และอรูป ดงั น้ี น้เี ปนการกําหนดพระบาลใี นทุตยิ สังคหะ. วา ดว ยตกิ รูป คือ รปู หมวด ๓ ในสังคหะท่ี ๓ มจี ํานวน ๑๐๓ ตกิ ะ ในบรรดาตกิ ะเหลา นน้ั ติกะ ๑๓ทีป่ ระกอบอชั ฌตั ติกทุกะ ๑ ในปกณิ กทกุ ะ ๑๔ ตามที่กลาวในทุติยสงั คหะดวยตกิ ะ ๑๓ ทเ่ี หลือแลว ต้งั ไวโ ดยนยั มีอาทิวา ยนตฺ  รุป อชฺฌตฺติก ต อุปาทายนตฺ  รูป พาหิร ต อตถฺ ิ อุปาทา อตฺถิ โน อุปาทา รูปภายในเปน อุปาทารปู ภายนอกทเ่ี ปนอุปาทาก็มี ทเ่ี ปนอนปุ าทากม็ ี ดังนี้ ช่ือวา ปกณิ กติกะจากนั้นก็ทรงประกอบทกุ ะนน้ั นน่ั แหละกบั ทุกะที่เหลอื แลว ทรงต้ังตกิ ะท่ีเหลือโดยนยั มีอาทิวา ยนตฺ  รปู  พาหริ  ต จกขฺ สุ มฺผสสฺ น วตถฺ ุ ยนฺต รปู อชฌฺ ตฺสตกิ  ต อตฺถิ จกฺขุสมฺผสสฺ วตฺถุ อตฺถิ จกขฺ ุสมผฺ สฺสสสฺ นวตฺถุ (รปู ภายนอกไมเ ปน ที่อาศัยเกิดของจกั ขุสมั ผัส รปู ภายในเปน ทอ่ี าศัยเกิดของจักขสุ ัมผัสก็มี ไมเปน ที่อาศยั เกดิ ของจกั ขสุ มั ผสั ก็ม)ี ดงั น.้ี พึงทราบชอื่และการนบั แหงตกิ ะเหลา นัน้ ดว ยสามารถแหง วัตถุทกุ ะเปน ตนเหลานน้ั น่นั แหละ น้เี ปนการกาํ หนดพระบาลใี นสงั คหะที่ ๓.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 189 วาดว ยรปู หมวด ๔ เปนตน ในสงั คหะที่ ๔ มี ๒๒ จตุกะ บรรดาจตกุ ะ ๒๒ เหลานนั้ จตุกะสดุทายมไิ ดท รงถือเอามาติกาตามท่ีกลาวไวใ นทกุ ะนี้ อยา งนี้วา \" รูปเปนอปุ าทาก็มีรูปไมเ ปนอปุ าทาก็ม\"ี ดงั น้ี แลวทรงต้งั ไว แตท รงถือจตกุ ะนอกนที้ รงต้ังไวเปนอยา งไร ? คือ ทุกะ ๓ ขางตนในปกณิ กะทั้งหลายท่สี งเคราะหร ูป ๒ อยางเหลา ใด ในทกุ ะ ๓ เหลานัน้ ทรงถอื เอาทลี ะทกุ ะประกอบกับทกุ ะละ ๕ ทกุ ะโดยนัยมีอาทวิ า ยนฺต รูป อปุ าทา ต อตถฺ ิ อปุ าทนิ ฺน อตฺถิ อนุปาทินฺน(รปู เปน อุปาทา ทเ่ี ปนอุปาทนิ นะก็มี ท่เี ปน อนุปาทินนะก็ม)ี ดงั นแ้ี ลว ทรงต้งัจตุกะ ๑๕ ขางตนซ่งึ มี ๓ ทกุ ะเปนมลู . บดั นี้ พงึ ทราบสนิทสั สนทุกะท่ี ๔ นใี้ ด เพราะสนทิ สั สนทุกะนนั้ ไมถึงการประกอบกับทุกะอน่ื ๆ โดยนยั มีอาทิวา \" รูปเปน สนิทสั สนะ (เห็นได)กระทบไดก ม็ ี กระทบไมไดกม็ ี\" ดังนี้ หรือวา กบั ทุกะขา งตน โดยนยั วา \" รปูเปนอุปาทากม็ ี ไมเ ปนอุปาทากม็ ี \" เปนตน เพราะไมมีอรรถะ เพราะไมมีลําดบั เปนไป และเพราะไมม คี วามแตกตา งกัน จริงอยู รปู ทช่ี ื่อวา สนทิ สั สนะ(เห็นได) กระทบไมไ ด หรือวา เปน อนุปาทา ยอมไมม ี เพราะฉะนัน้รูปน้นั จงึ ไมถ ึงการประกอบ เพราะไมมอี รรถะ แตรูปทเ่ี ปนอุปาทนิ นะ และอนุปาทินนะมอี ยู เพราะฉะนัน้ จึงไมถึงการประกอบ เพราะไมมีลําดับเปนไปดว ยวา ทกุ ะท้งั หมดพระองคท รงประกอบกับทุกะหลัง ๆ เทา นน้ั น้ีเปนลาํ ดบัท่ีเปน ไปในอธกิ ารนี้ แตก บั บทตน ๆ ไมม ลี าํ ดบั เปนไปดังนี้ หากมีผูท วงวาเม่อื เปน เชนนั้น ความไมมลี ําดบั เปน ไป ก็ไมใชเ หตสุ ําคัญ ฉะนนั้ ควรประกอบ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 190กับบทท่เี ปน อปุ าทนิ นะเปนตน . ตอบวา จะประกอบกบั รูปนไ้ี มได เพราะไมมีความตา งกันกับรูปที่เปนบทอปุ าทนิ นรูปเปน ตน ในอธกิ ารแหง บทมอี ุปา-ทนิ นะเปน ตน ประกอบเขากับบทสนทิ ัสสนทุกะนน้ั แลว เม่อื กลา ววา รปู เปนอปุ าทนิ นะ เปน สนิทสั สนะ หรือรปู ท่ีเปนสนิทัสสนะเปน อปุ าทนิ นะ ดงั นี้ความแตกตา งกนั ก็ไมมี จงึ ไมถึงการประกอบกนั เพราะไมม คี วามแตกตางกนัฉะน.้ี เพราะฉะนน้ั พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ทรงตง้ั จตุกะไว ๖ จตุกะประกอบคร้งั ละ ๒ ทุกะซ่ึงประกอบโดยนยั มอี าทิวา ยนฺต รปู  สปฺปฏฆิ  ต อตถฺ ิอินฺทรฺ ิย อตฺถิ น อินทฺ ฺรยิ  ยนฺต รปู  อปฺปฏิฆ ต อตฺถิ อนิ ทฺ ริยอตถฺ ิ น อินฺทรฺ ยิ  (รูปกระทบได คือ สัปปฏิฆรูป) ทีเ่ ปนอินทรียก็มี ท่ไี มเปนอนิ ทรยี กม็ ี รปู ท่กี ระทบไมได (คอื อัปปฏิฆรูป) ทเี่ ปนอินทรยี ก็มีที่ไมเ ปน อินทรยี ก ม็ ี ดังนี้ กบั ๓ ทุกะมอี าทิวา อตฺถิ รปู  สปฺปฏิฆดังนี้ อน่ื จากนัน้ ไมถ ือเอาทกุ ะที่ ๔ นั้น. ก็ทกุ ะที่ ๔ นี้ ไมถ งึ การประกอบ ฉันใด แมทกุ ะตน ก็ไมถงึ การประกอบกับทกุ ะท่ี ๔ น้ัน ฉนั น้นั . เพราะเหตไุ ร ? เพราะความท่ีอนุปาทารูป(คือรูปทไี่ มมีใจครอง) เปน อนทิ สั สนรูป (เห็นไมได). จรงิ อยู ทุกะขางตนเม่อื ประกอบกบั ทุกะท่ี ๔ อยา งนีว้ า \" รปู เปนอนุปาทา เปน สนทิ สั สนะก็มีเปนอนิทสั สนะกม็ ี\" ดงั น้ี ยอมไมถ ึงการประกอบได. เพราะฉะนัน้ จงึ ตอ งเลยทกุ ะนัน้ ไปประกอบกับทุกะท่ี ๕. ทกุ ะใดถงึ การประกอบได ประกอบไมไ ดกบั ดวยการประกอบอยา งนี้ พึงทราบทุกะนน้ั ดังน.้ี นเี้ ปน การกําหนดตามพระบาลใี นสังคหะที่ ๔.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 191 วาดวยสงเคราะหร ปู หมวด ๕ กเ็ บอ้ื งหนาแตน ี้ สังคหะ (คือสงเคราะห) ๗ อยางมกี ารสงเคราะหร ูป๕ อยางเปนตน เปนการสงเคราะหป ะปนกนั ทง้ั นั้น. พึงทราบการกําหนดพระบาลใี นมาตกิ าแมท ง้ั ส้นิ ดว ยประการฉะน้ี. อทุ เทสแหงรูป จบ รูปวิภตั ติ เอกกนเิ ทศ [๕๑๔] รูปท้ังหมด ไมใชเ หตทุ ั้งน้นั ไมม เี หตทุ ัง้ นนั้ วปิ ปยุตจากเหตทุ ั้งน้นั เปน ไปกับดวยปจจยั ทง้ั นั้น เปนสงั ขตธรรมทั้งนนั้ เปน รปู ธรรมท้งั นน้ั เปนโลกยิ ธรรมทงั้ นั้น เปน อารมณข องอาสวะทั้งน้นั เปนอารมณข องสัญโญชนท ้งั นน้ั เปน อารมณข องคันถะท้งั นนั้ เปนอารมณข องโอฆะท้งั นน้ัเปน อารมณของโยคะทงั้ นัน้ เปน อารมณของนวิ รณท้ังนัน้ เปนอารมณของปรามาสทัง้ น้นั เปน อารมณข องอุปาทานท้ังน้นั เปนอารมณข องสังกเิ ลสทง้ั นน้ัเปนอัพยากตธรรมท้ังนัน้ ไมมอี ารมณท งั้ น้ัน ไมใชเจตสกิ ทั้งน้นั วปิ ปยตุจากจติ ทงั้ นัน้ ไมใชวิบาก และไมใชเ หตุแหง วบิ ากทัง้ น้นั ไมเ ศรา หมองแตเปนอารมณข องสังกิเลสท้งั นัน้ ไมใชธรรมมที งั้ วติ กท้งั วิจารทั้งนั้น ไมใ ชธ รรมไมมีวติ กแตมีวิจารทงั้ นน้ั ไมมที ้งั วติ กทง้ั วจิ ารทง้ั นน้ั ไมใ ชธ รรมทส่ี หรคตดวยปติท้งั น้ัน ไมใ ชธรรมที่สหรคตดวยสุขทั้งน้นั ไมใชธรรมที่สหรคตดวยอเุ บกขาท้งั น้ัน อันโสดาปตตมิ รรคและมรรคเบื้องบน ๓ ไมป ระหาณท้งั น้ัน ไมม ี

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 192สัมปยตุ ตเหตุ อนั โสดาปต ติมรรคและมรรคเบ้อื งบน ๓ ประหาณทง้ั นัน้ ไมเปน เหตุ ใหจุติปฏสิ นธิและไมเ ปน เหตุ ใหถ ึงนพิ พานทัง้ นน้ั เปน ของเสกขบคุ คลและไมเปนของอเสกขบคุ คลทัง้ นนั้ เปนปรติ ตธรรมทง้ั นน้ั เปน กามาวจรธรรมทั้งน้ัน ไมใ ชรปู าวจรธรรมทงั้ นนั้ ไมใชอรปู าวจรธรรมท้ังนัน้ เปนปริยาปน นธรรมทงั้ นั้น ไมใชอปรยิ าปน นธรรมทัง้ นน้ั เปน อนิยตธรรมท้งั น้นัเปนนิยยานกิ ธรรมทงั้ น้ัน เปน ปจจบุ ันธรรมอันวิญญาณ ๖ พงึ รูท้ังนัน้ไมเ ทย่ี งท้ังนั้น อันชราครอบงาํ แลว ท้ังนนั้ สงเคราะหร ปู เปน หมวดละ ๑ อยางนี้. เอกกนเิ ทศ จบ ทุกนเิ ทศ อปุ าทาภาชนีย [๕๑๕] รปู เปนอปุ าทา น้นั ไฉน ? จกั ขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชวิ หายตนะ กายายตนะรปู ายตนะ สทั ทายตนะ คนั ธายตนะ รสายตนะ อติ ถินทรยี  ปุริสนิ ทรยี ชวี ติ ินทรีย กายวญิ ญตั ิ วจวี ญิ ญัติ อากาสธาตุ รปู ลหุตา รูปมุทุตา รูปกมั -มัญญตา รูปอปุ จยะ รูปสนั ตติ รปู ชรตา รูปอนจิ จตา กพฬิงการาหาร. [๕๑๖] รปู ทเี่ รยี กวา จกั ขายตนะ นั้น เปน ไฉน ? จักขใุ ด เปนปสาทรูป อาศัยมหาภตู รูป ๔ นบั เน่อื งในอัตภาพเปนสิง่ ทเี่ หน็ ไมไดแตก ระทบได, สัตวน้ีเห็นแลว หรอื เห็นอยู หรือจกั เหน็ หรือพงึ เห็น ซึ่งรปู อนั เปน สิ่งที่เหน็ ไดแ ละกระทบได ดวยจกั ขุใดอนั เปนส่งิ ที่เห็นไมไดแตกระทบได, นเี้ รียกวา จกั ขบุ าง จักขายตนะบาง จกั ขุธาตบุ า ง

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 193จักขนุ ทรยี บา ง โลกบาง ทวารบา ง สมุทรบา ง ปณฑระบาง เขตบาง วัตถบุ า งเนตรบา ง นัยนะบา ง ฝงน้ีบา ง บานวา งบาง รปู ทง้ั น้เี รยี กวา จักขายตนะ. รปู ทเ่ี รยี กวา จักขายตนะ นัน้ เปน ไฉน ? จกั ขุใด เปน ปสาทรปู อาศยั มหาภตู รูป ๔ นับเนือ่ งในอตั ภาพเปนสิ่งท่ีเห็นไมไดแตกระทบได. รูปอนั เปนส่ิงที่เห็นไดแ ละกระทบได กระทบแลวหรือกระทบอยู หรอื จักกระทบ หรอื พึงกระทบ ทจ่ี กั ขุใดอันเปน สิ่งท่ีเหน็ไมไ ดแตก ระทบได, นี้เรียกวา จักขบุ า ง จกั ขายตนะบาง จกั ขธุ าตบุ า งจกั ขนุ ทรียบา ง โลกบา ง ทวารบา ง สมทุ รบาง ปณ ฑระบาง เขตบางวตั ถบุ า ง เนตรบา ง นยั นะบา ง ฝง น้บี าง บา นวา งบา ง รูปทัง้ นเ้ี รียกวาจักขายตนะ รูปท่เี รียกวา จกั ขายตนะ น้นั เปน ไฉน ? จักขุใด เปนปสาทรูป อาศัยมหาภตู รูป ๔ นบั เนอ่ื งในอตั ภาพเปนสิง่ ท่เี หน็ ไมไ ดแตกระทบได, จักขใุ ด อนั เปน ส่ิงทเ่ี ห็นไมไดแตก ระทบไดกระทบแลว หรือกระทบอยู หรือจักกระทบ หรือพงึ กระทบทรี่ ปู อนั เปนสิ่งทีเ่ หน็ ไดแ ละกระทบได, นีเ้ รียกวา จกั ขุบา ง จักขายตนะบา ง จักขธุ าตุบางจกั ขุนทรยี บาง โลกบาง ทวารบาง สมทุ รบาง ปณ ฑระบา ง เขตบางวตั ถุบาง เนตรบาง นยั นะบาง ฝง นบ้ี า ง บา นวางบาง รูปท้งั นีเ้ รยี กวาจักขายตนะ. รปู ที่เรียกวา จกั ขายตนะ นัน้ เปน ไฉน ? จักขุใด เปน ปสาทรปู อาศยั มหาภตู รูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพเปนสง่ิ ท่ีเหน็ ไมไ ดแ ตก ระทบได, เพราะอาศยั จักขใุ ด จักขสุ ัมผสั ปรารภรูปเกดิ ข้ึนแลว หรือเกดิ ข้ึนอยู หรอื จักเกิดข้ึน หรือพึงเกิดข้ึน ฯลฯ เพราะอาศยั จักขใุ ด

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 194เวทนาอนั เกดิ แตจ กั ขสุ มั ผสั ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขวุ ญิ ญาณปรารภรูปเกิดขึ้นแลว หรอื เกดิ ข้ึนอยู หรอื จักเกิดขึ้น หรือพงึ เกิดข้นึ ฯลฯเพราะอาศยั จักขใุ ด จกั ขุสัมผสั มีรปู เปนอารมณเ กิดขึ้นแลว หรอื เกดิ ขึน้ อยูหรือจะเกดิ ขึน้ หรอื พึงเกดิ ขน้ึ ฯลฯ เพราะอาศยั จักขใุ ด เวทนาอนั เกิดแตจักขสุ มั ผสั ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขวุ ญิ ญาณมีรูปเปน อา-รมณเกิดขึ้นแลว หรอื เกิดขึ้นอยู หรือจกั เกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึน้ , นี้เรยี กวาจกั ขุบาง จักขายตนะบาง จกั ขธุ าตุบาง จกั ขุนทรียบ า ง โลกบาง ทวารบา งสมทุ รบา ง ปณ ฑระบา ง เขตบาง วัตถบุ า ง เนตรบา ง นัยนะบา ง ฝงนบ้ี างบา นวา งบาง รูปทง้ั นี้เรียกวา จักขายตนะ. [๕๑๗] รูปที่เรยี กวา โสตายตนะ นน้ั เปน ไฉน ? โสตใด เปน ปสาทรูป อาศัยมหาภตู รปู ๔ นบั เนือ่ งในอตั ภาพเปนส่ิงทีเ่ ห็นไมไ ดแ ตกระทบได, สัตวน ้ีฟงแลว หรอื ฟงอยู หรอื จักฟง หรือพึงฟง ซ่งึ เสยี งอันเปน สงิ่ ท่เี ห็นไมไดแ ตกระทบได ดวยโสตใด อนั เปน สง่ิ ท่เี หน็ไมไดแ ตก ระทบได, นเี้ รียกวา โสตบาง โสตายตนะบา ง โสตธาตบุ าง โส-ตนิ ทรียบา ง โลกบา ง ทวารบาง สมทุ รบา ง ปณ ฑระบา ง เขตบา ง วัตถบุ างฝง นบ้ี าง บา นวา งบา ง รปู ทัง้ นี้เรียกวา โสตายตนะ. รูปทเ่ี รยี กวา โสตายตนะ นนั้ เปน ไฉน ? โสตใด เปน ปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นบั เนื่องในอัตภาพ เปนสง่ิ ท่เี ห็นไมไ ดแตกระทบได, เสยี งอนั เปนสงิ่ ที่เห็นไมไดแ ตก ระทบได กระทบแลว หรอื กระทบอยู หรือจักกระทบ หรือพงึ กระทบ ที่โสตใด อนั เปน สง่ิทีเ่ ห็นไมไ ดแ ตกระทบได, นเ้ี รยี กวา โสตบา ง โสตายตนะบา ง โสตธาตบุ า ง

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 195โสตนิ ทรียบ า ง โลกบา ง ทวารบา ง สมทุ รบาง ปณ ฑระบาง เขตบา ง วตั ถุบา ง ฝง นบี้ า ง บานวางบา ง รปู ทงั้ นี้เรียกวา โสตายตนะ. รปู ทีเ่ รียกวา โสตายตนะ นนั้ เปนไฉน ? โสตใด เปน ปสาทรูป อาศยั มหาภตู รปู ๔ นบั เนอ่ื งในอัตภาพ เปนสง่ิ ท่เี หน็ ไมไดแ ตกระทบได, โสตใด อนั เปน ส่งิ ท่เี หน็ ไมไดแตกระทบไดกระทบแลว หรือกระทบอยู หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบทเ่ี สียง อนั เปนส่งิ ทเี่ ห็นไมไ ดแตก ระทบได. นเี้ รียกวา โสตบาง โสตายตนะบาง โสตธาตุบาง โสตินทรียบา ง โลกบา ง ทวารบาง สมทุ รบาง ปณ ฑระบา ง เขตบา งวัตถุบา ง ฝง นบี้ า ง บา นวางบาง รปู ท้ังนเ้ี รยี กวา โสตายตนะ. รูปที่เรยี กวา โสตายตนะ น้ัน เปน ไฉน ? โสตใด เปนปสาทรูป อาศยั มหาภูตรปู ๔ นบั เน่อื งในอัตภาพ เปนสิง่ ท่เี หน็ ไมไ ดแ ตก ระทบได, เพราะอาศยั โสตใด โสตสัมผสั ปรารภเสียงเกดิ ข้ึนแลว หรอื เกิดขนึ้ อยู หรอื จักเกดิ ข้ึน หรือพงึ เกดิ ข้ึน ฯลฯ เพราะอาศยั โสต-ใด เวทนาอนั เกดิ แตโสตสมั ผสั ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสต-วญิ ญาณปรารภเสียงเกิดข้นึ แลว หรือเกิดขนึ้ อยู หรือจกั เกดิ ขึน้ หรือพึงเกดิขึ้น ฯลฯ เพราะอาศยั โสตใด โสตสัมผสั มีเสยี งเปน อารมณเ กิดขนึ้ แลวหรอื เกดิ ขน้ึ อยู หรือจักเกดิ ขึ้น หรอื พึงเกดิ ขน้ึ ฯลฯ เพราะอาศยั โสตใดเวทนาอันเกดิ แตโสตสมั ผสั ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวิญญาณมีเสียงเปนอารมณเ กิดข้ึนแลว หรือเกดิ ขึ้นอยู หรือจักเกดิ ขึ้น หรือพึงเกิดขึน้น้เี รียกวา โสตบาง โสตายตนะบาง โสตธาตุบา ง โสตินทรียบ า ง โลกบางทวารบาง สมทุ รบา ง ปณ ฑระบาง เขตบาง วัตถุบาง ฝงน้ีบาง บานวางบา ง รูปท้งั นี้เรียกวา โสตายตนะ.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 196 [๕๑๘] รปู ทีเ่ รยี กวา ฆานายตนะ นัน้ เปนไฉน ? ฆานะใด เปนปสาทรปู อาศัยมหาภตู รูป ๔ นับเนอื่ งในอตั ภาพเปนสงิ่ ท่ีเห็นไมไดแตก ระทบใด, สัตวนี้ ดมแลว หรอื ดมอยู หรอื จกั ดมหรือพงึ ดมซึ่งกลิ่น อันเปนสิง่ ทเี่ ห็นไมไ ดแ ตกระทบได ดว ยฆานะใด อนัเปนสิง่ ท่ีเหน็ ไมไ ดแ ตก ระทบได, นี้เรยี กวา ฆานะบาง ฆานายตนะบาง ฆาน-ธาตุบา ง ฆานินทรียบ า ง โลกบา ง ทวารบา ง สมทุ รบาง ปณ ฑระบาง เขตบา ง วัตถบุ า ง ฝงนี้บา ง บา นวางบาง รูปทงั้ นีเ้ รียกวา ฆานายตนะ. รูปทเ่ี รยี กวา ฆานายตนะ น้นั เปนไฉน ? ฆานะใด เปน ปสาทรปู อาศัยมหาภูตรปู ๔ นับเนอื่ งในอตั ภาพเปนสิง่ ทเ่ี ห็นไมไดแ ตกระกระทบได, กล่นิ อันเปนส่งิ ทเี่ หน็ ไมไ ดแตก ระทบไดกระทบแลว หรือกระทบอยู หรอื จกั กระทบ หรือพงึ กระทบ ที่ฆานะใดอนั เปนส่งิ ที่เห็นไมไดแ ตกระทบได, นเ้ี รียกวา ฆานะบา ง ฆานายตนะบา งฆานธาตบุ าง ฆานนิ ทรียบา ง โลกบา ง ทวารบา ง สมุทรบาง ปณฑระบา งเขตบา ง วัตถบุ า ง ฝง นบี้ าง บานวางบา ง รปู ท้งั นีเ้ รยี กวา ฆานายตนะ. รปู ทเ่ี รยี กวา ฆานายตนะ นัน้ เปน ไฉน ? ฆานะใด เปน ปสาทรปู อาศยั มหาภูตรูป ๔ นบั เน่ืองในอตั ภาพเปนส่ิงทเี่ หน็ ไมไดแตก ระทบได ฆานะใด อนั เปนสิ่งที่เห็นไมไดแตก ระทบได กระทบแลว หรอื กระทบอยู หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ท่ีกลนิ่อนั เปน ส่ิงทเ่ี ห็นไมไดแตก ระทบได, นี้เรยี กวา ฆานะบาง ฆานายตนะบางฆานธาตบุ าง ฆานนิ ทรยี บ าง โลกบาง ทวารบาง สมุทรบา ง ปณฑระบา งเขตบาง วัตถบุ า ง ฝง นีบ้ าง บา นวา งบาง รูปท้งั นเ้ี รยี กวา ฆานายตนะ. รปู ทเี่ รยี กวา ฆานายตนะ นน้ั เปนไฉน ?

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 197 ฆานะใด เปนปสาทรปู อาศยั มหาภตู รูป ๔ นบั เนอ่ื งในอัตภาพเปน สงิ่ ท่ีเหน็ ไมไดแตก ระทบได, เพราะอาศยั ฆานะใด ฆานะสมั ผสั ปรารภกลิ่นเกดิ ขึน้ แลว หรือเกิดขนึ้ อยู หรอื จักเกิดขึน้ ฯลฯ เพราะอาศัยฆานะใดเวทนาอนั เกิดแตฆ านสมั ผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ฆานวญิ ญาณปรารภกล่นิ เกดิ ข้นึ แลว หรือเกิดข้นึ อยู หรอื จักเกดิ ขน้ึ หรอื พงึ เกดิ ขน้ึ ฯลฯเพราะอาศัยฆานะใด ฆานสมั ผัสมกี ลน่ิ เปนอารมณเ กิดขน้ึ แลว หรือเกิดขึน้ อยูหรือจักเกิดขึ้น หรอื พึงเกดิ ขนึ้ ฯลฯ เพราะอาศัยฆานะใด เวทนาอันเกดิ แตฆานสัมผัส ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ฆานวิญญาณ มกี ล่ินเปนอารมณเกิดขึน้ แลว หรือเกดิ ข้ึนอยู หรอื จกั เกดิ ขึ้น หรือพงึ เกิดขนึ้ , น้ีเรียกวา ฆานะบาง ฆานายตนะบาง ฆานธาตุบาง ฆานินทรยี บ า ง โลกบา ง ทวารบาง สมทุ รบาง ปณ ฑระบา ง เขตบาง วตั ถุบา ง ฝง น้ีบา ง บา นวา งบา งรูปทงั้ นี้เรียกวา ฆานายตนะ. [๕๑๙] รปู ท่ีเรียกวา ชิวหายตนะ นนั้ เปนไฉน ? ชวิ หาใด เปน ปสาทรูป อาศยั มหาภตู รบู ๔ นบั เน่ืองในอตั ภาพเปน ส่ิงที่เหน็ ไมไดแ ตก ระทบได สัตวน ้ี ลิม้ แลว หรือล้มิ อยู หรือจักล้มิหรือพึงลม้ิ ซึง่ รสอนั เปน สงิ่ ที่เห็นไมไ ดแตก ระทบได ดวยชิวหาใด อันเปน สงิ่ทเี่ หน็ ไมไดแตกระทบได, นี้เรียกวา ชิวหาบา ง ชวิ หายตนะบา ง ชวิ หาธาตุบาง ชวิ หนิ ทรยี บ าง โลกบา ง ทวารบา ง สมุทรบาง ปณ ฑระบาง เขตบางวัตถบุ า ง ฝง น้ีบา ง บา นวางบา ง รปู ท้งั นี้เรียกวา ชวิ หายตนะ. รปู ท่เี รียกวา ชิวหายตนะ นน้ั เปนไฉน ? ชิวหาใด เปน ปสาทรูป อาศัยมหาภตู รูป ๔ นบั เนื่องในอตั ภาพเปนสงิ่ ท่ีเหน็ ไมไ ดแตก ระทบได, รสอันเปนสิง่ ท่ีเห็นไมไดแตก ระทบได กระ-

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 198ทบแลว หรือกระทบอยู หรือจกั กระทบ หรือพงึ กระทบ ทชี่ ิวหาใด อนัเปนส่งิ ท่เี ห็นไมไ ดแ ตก ระทบได, น้ีเรยี กวา ชวิ หาบา ง ชิวหายตนะบาง ชิว-หาธาตุบา ง ชวิ หินทรียบ าง โลกบา ง ทวารบาง สมทุ รบาง ปณ ฑระบา งเขตบา ง วตั ถุบาง ฝงน้ีบาง บานวางบา ง รูปท้ังนี้เรียกวา ชิวหายตนะ. รูปท่ีเรยี กวา ชวิ หายตนะ น้นั เปนไฉน ? ชิวหาใด เปนปสาทรปู อาศัยมหาภตู รูป ๔ นบั เนือ่ งในอัตภาพ เปนสิ่งทเ่ี หน็ ไมไ ดแตกระทบได, ชวิ หาใด เปน ส่ิงทเ่ี หน็ ไมไ ดแตก ระทบไดกระทบแลว หรอื กระทบอยู หรอื จักกระทบ หรือพึงกระทบ ทีร่ สอันเปนสง่ิ ท่เี หน็ ไมไ ดแ ตก ระทบได, น้ีเรียกวา ชวิ หาบา ง ชิวหายตนะบาง ชิวหาธาตุบาง ชวิ หนิ ทรียบาง โลกบา ง ทวารบาง สมทุ รบา ง ปณฑระบา ง เขตบางวตั ถบุ า ง ฝงนี้บา ง บา นวา งบาง รปู ทง้ั นเี้ รียกวา ชวิ หายตนะ. รปู ที่เรียกวา ชวิ หายตนะ นั้น เปนไฉน ? ชวิ หาใด เปน ปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเน่ืองในอัตภาพ เปนสิง่ ทีเ่ ห็นไมไดแ ตกระทบได, เพราะอาศัยชวิ หาใด ชวิ หาสมั ผัสปรารภรสเกิดข้นึ แลว หรอื เกดิ ขึน้ อยู หรือจักเกิดขนึ้ หรือพงึ เกิดข้ึน ฯลฯ เพราะอาศยัชิวหาใด เวทนาอนั เกดิ แตชวิ หาสัมผสั ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯชิวหาวิญญาณ ปรารภรสเกิดขึน้ แลว หรอื เกิดข้นึ อยู หรือจักเกิดขนึ้ หรอืพงึ เกดิ ขึน้ ฯลฯ เพราะอาศัยชิวหาใด ชวิ หาสัมผัส มีรสเปน อารมณเกดิ ขนึ้แลว หรอื เกดิ ขึน้ อยู หรือจกั เกิดข้นึ หรือพึงเกดิ ขึ้น ฯลฯ เพราะอาศยั ชวิ หาใด เวทนาอนั เกิดแตชวิ หาสัมผสั ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ชวิ หา-วญิ ญาณ มีรสเปน อารมณ เกิดข้ึนแลว หรอื เกดิ ข้นึ อยู หรอื จกั เกิดขนึ้หรือพึงเกิดขึ้น, นีเ้ รยี กวา ชิวหาบาง ชิวหายตนะบาง ชิวหาธาตบุ าง

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 199ชวิ หนิ ทรยี บ าง โลกบา ง ทวารบาง สมุทรบาง ปณฑระบาง เขตบางวตั ถุบา ง ฝง นบ้ี า ง บา นวา งบาง รูปทัง้ นเ้ี รยี กวา ชวิ หายตนะ. [๕๒๐] รูปที่เรยี กวา กายายตนะ นั้น เปน ไฉน ? กายใด เปน ปสาทรปู อาศยั มหาภตู รปู ๔ นบั เนอื่ งในอัตภาพ อนัเปนส่ิงทเ่ี ห็นไมไดแตกระทบได, สัตวน้ี ถูกตองแลว หรอื ถูกตองอยู หรอืจักถูกตอ ง หรือพงึ ถกู ตองซ่ึงโผฏฐพั พะ อนั เปน สง่ิ ท่ีเห็นไมไดแ ตกระทบไดดว ยกายใด อันเปนสง่ิ ที่เหน็ ไมไดแ ตกระทบได, นเี้ รียกวา กายบา ง กายายตนะ.บา ง กายธาตุบาง กายินทรียบ าง โลกบา ง ทวารบา ง สมุทรบา ง ปณฑระบาง เขตบา ง วตั ถุบาง ฝง น้ีบาง บา นวางบาง รปู ทั้งนีเ้ รียกวา กายายตนะ. รปู ท่ีเรียกวา กายายตนะ น้นั เปนไฉน ? กายใด เปนปสาทรูป อาศัยมหาภูตรปู ๔ นับเนอ่ื งในอัตภาพ เปนสง่ิ ที่เห็นไมไดแ ตก ระทบได, โผฏฐัพพะ เปนสิ่งทีเ่ หน็ ไมไดแ ตก ระทบไดกระทบแลว หรอื กระทบอยู หรือจักกระทบ หรอื พึงกระทบ ทีก่ ายใดอันเปนสง่ิ ที่เหน็ ไมไ ดแตกระทบได นเี้ รยี กวา กายบาง กายายตนะบางกายธาตุบา ง กายินทรยี บา ง โลกบา ง ทวารบาง สมุทรบาง ปณ ฑระบางเขตบา ง วตั ถุบา ง ฝง น้ีบาง บา นวางบา ง รปู ทง้ั น้ีเรียกวา กายายตนะ รปู ทีเ่ รยี กวา กายายตนะ นน้ั เปนไฉน ? กายใด เปน ปสาทรูป อาศยั มหาภตู รปู ๔ นบั เน่ืองในอัตภาพ เปนส่งิ ทีเ่ หน็ ไมไดแตก ระทบได, กายใด เปน สิง่ ทีเ่ ห็นไมไดแ ตกระทบได กระทบแลว. หรือกระทบอยู หรือจักกระทบ หรอื พงึ กระทบ ทโ่ี ผฏฐัพพะ อนั เปนสงิ่ ทเี่ หน็ ไมไดแตก ระทบได, นี้เรียกวา กายบา ง กายายตนะบา ง กายธาตบุ า งกายินทรยี บา ง โลกบา ง ทวารบาง สมุทรบาง ปณ ฑระบาง เขตบางวตั ถุบาง ฝงนบ้ี าง บา นวางบาง รปู ท้งั น้ีเรยี กวา กายายตนะ.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 200 รูปทเ่ี รียกวา กายายตนะ นนั้ เปนไฉน ? กายใด เปน ปสาทรปู อาศัยมหาภูตรปู ๔ นับเน่อื งในอตั ภาพ อนัเปนสิ่งทเี่ หน็ ไมไ ดแ ตก ระทบได, เพราะอาศยั กายใด กายสมั ผัส ปรารภโผฏฐัพพะ เกิดข้นึ แลว หรือเกดิ ข้ึนอยู หรอื จักเกิดขน้ึ หรือพึงเกิดข้นึ ฯลฯเพราะอาศยั กายใด เวทนาอนั เกิดแตกายสัมผัส ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนาฯลฯ กายวิญญาณ ปรารภโผฏฐพั พะ เกดิ ขนึ้ แลว หรือเกิดขนึ้ อยู หรอื จกัเกดิ ขน้ึ หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศยั กายใด กายสัมผัส มโี ผฏฐัพพะเปนอารมณ เกดิ ขน้ึ แลว หรือเกดิ ข้ึนอยู หรือจกั เกิดขึน้ หรอื พึงเกดิ ขึน้ ฯลฯเพราะอาศัยกายใด เวทนาอันเกดิ แตกายสมั ผสั ฯลฯ สญั ญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯกายวิญญาณ มีโผฏฐัพพะเปน อารมณ เกดิ ข้นึ แลว หรือเกิดขน้ึ อยู หรือจกัเกดิ ขนึ้ หรือพงึ เกดิ ข้ึน, น้เี รียกวา กายบา ง กายายตนะบาง กายธาตบุ า งกายินทรียบาง โลกบาง ทวารบาง สมทุ รบา ง ปณฑระบา ง เขตบางวัตถุบาง ฝง นบี้ า ง บานวางบา ง รูปท้งั น้ีเรียกวา กายายตนะ. [๕๒๑] รูปทเ่ี รยี กวา รปู ายตนะ น้นั เปน ไฉน ? รูปใด เปนสี อาศัยมหาภตู รปู ๔ เปนสิง่ ทเ่ี หน็ ไดแ ละกระทบไดไดแ ก สเี ขยี วคราม สีเหลอื ง สีแดง สขี าว สดี าํ สหี งสบาท สคี ล้ํา สีเขียวใบไม สีมวง ยาว ส้นั ละเอียด หยาบ กลม รี สเี่ หล่ยี ม หกเหล่ยี มแปดเหลยี่ ม สบิ หกเหลีย่ ม ลมุ ดอน เงา แดด แสงสวา ง มดื เมฆหมอก ควัน ละออง แสงจันทร แสงอาทิตย แสงดาว แสงกระจก แสงแกว มณี แสงสงั ข แสงมุกดา แสงแกวไพฑูรย แสงทอง แสงเงิน หรอื รปูแมอ ่นื ใด เปนสี อาศยั มหาภตู รูป ๔ เปน สง่ิ ทเ่ี หน็ ไดและกระทบได มอี ยู,สัตวน้ี เหน็ แลว หรอื เหน็ อยู หรอื จกั เห็น หรือพงึ เหน็ ซึ่งรปู ใด อันเปน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook