Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_18

tripitaka_18

Published by sadudees, 2017-01-10 01:16:26

Description: tripitaka_18

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 101คือ วนั ละสามครงั้ ทรงแสดงวา เราขวนขวายการประกอบเนืองๆ ซงึ่ การลงนํ้าอยูวา เราจกั ลอยบาปวนั ละสามครั้ง คอื เวลาเชา เวลาเทยี่ ง เวลาเยน็ .บทวา เนกวสฺสคณกิ  ไดแ กสั่งสมในการนบั ดวยปม ิใชน อ ย. บทวารโชชลลฺ  ไดแก มลทินคือธลุ ี พระผูมีพระภาคเจา ทรงหมายถึงกาลแหงสมา-ทานรโชชสั ลกวัตรของพระองค จึงตรสั ถงึ มลทินคือ ธลุ ีน้ี. บทวา เชคจุ -ฺฉสิ มฺ ึ คือ ในภาวะทรงเกลยี ดบาป. บทวา ยาว อทุ กพินฺทมุ ฺหิป ความวาเราไดตั้งความเอน็ ดูแมใ นหยดนาํ้ ก็จะกลาวไปใยในกอนกรวด กอนดิน ทอนไม และทรายเปน ตนเหลาอื่นเลา . ไดยินวา เขาเหลาน้นั บัญญตั ิหยดนํา้ และวตั ถุท้ังหลายมีกอนกรวดและกอ นดินเปน ตน เหลาน้ันวาเปน สตั วเล็กๆ. ดว ยเหตนุ นั้ จงึ ตรสั วา เราไดตั้งความเอน็ ดเู พยี งในหยดนํ้า ดังน.้ี เราไมฆาไมล างผลาญแมห ยดนํ้า เพราะเหตไุ ร. เพราะเราอยาไดล างผลาญสัตวเล็ก ๆทอ่ี ยใู นที่อันไมสมํ่าเสมอเลย เพราะเหตุนน้ั เราจึงไมล างผลาญ คือ ฆาสัตวเล็กๆ กลาวคอื หยดนา้ํ ท่อี ยูในท่ีเสมอดุจในเนิน บนบก ปลายหญา และกง่ิ ไม เปน ตน เพราะฉะนน้ั จงึ ทรงแสดงเนอ้ื ความน่ันวา เรามีสตกิ า วไปขางหนา ดงั นี้. นัยวา ในอเจลกทั้งหลาย อเจลก ช่ือวา เปน ผมู ีศีล จําเดิมแตกาลแหงตนเหยยี บแผน ดนิ ไมมี อเจลกท้งั หลายถงึ ไปสภู กิ ษาจารก็เปนผทู ุศลี ไป ถึงบริโภคในเรอื นอุปฏ ฐากทง้ั หลาย กเ็ ปน ผทู ศุ ีลบรโิ ภค แมกลบัมากเ็ ปนผูท ุศลี กลบั มา. แตในเวลาอเจลกทั้งหลายเขา สูกระดานโดยแววหางนกยงู อธิษฐานศีลนง่ั อยู ในเวลาน้นั จงึ ชื่อวาเปน ผมู ีศลี . บทวา วนกมมฺ ิกไดแ กผเู ทยี่ วไปในปา เพือ่ ประโยชนแ กเหงารากเเละผลไมเ ปน ตน. บทวาวเนน วน คือ จากปา สูปา. ในบททง้ั ปวงกม็ ีนัยน.้ี บทวา ปปตามิ คอืเราไป. บทวา อารฺ โก คอื เนอื้ อยปู ระจําในปา ทรงหมายถงึ กาลแหงอาชวี กของพระองค จงึ ตรัสคําน้ี. นยั วา พระโพธสิ ตั วบ วชเปน อาชีวกนัน้

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 102เพื่อประโยชนแ กท รงยดึ การอยูป าเปนวตั ร แมทรงรถู งึ ความบรรพชานั้นไมมีประโยชนแตก ไ็ มไ ดส ึก เพราะพระโพธสิ ัตวทง้ั หลาย ยอ มไมเวียนกลับจากฐานะท่เี ขา ถึงเปน ธรรมดา แตค รน้ั บวชแลว ก็ทรงคิดวา ใครๆ อยาไดเ ห็นเรา แตน นั้ เทียวจงึ เสดจ็ เขา ปา เพราะเหตุน้นั แล จงึ ตรัสวา ชนเหลานนั้อยา ไดเ ห็นเรา และเรากอ็ ยา ไดเหน็ ชนเหลา น้นั ดังนี้. บทวา โคฏา ไดแก ดอกโค. บทวา ปติฏติ คาโว คือ เหลา ใดออกไปแลว . ในบทเหลา ห็น บทวา จตกุ ุณฑฺ ิโก ความวา เท่ียวไป ยนื มองเห็นคนเลย้ี งโคออกไปพรอ มกับโคทัง้ หลายแลว วางมือทง้ั สองขา ง และเขาทง้ั สองลงบนแผนดนิ คลานเขา ไปอยางน้.ี บทวา ตานิ สทุ  อาหาเรมิ ความวา กากโคมยัของลกู โคแกยอมไมม ีโอชารส เพราะฉะนัน้ เวน กากโคมยั เหลาน้ัน จึงกนิโคมัยท่ีมรี สโอชะของลกู โคออนซงึ่ ยังดมื่ น้าํ นมเต็มทองดีแลว เขาสรู าวปา อีกน้นัเทยี ว. ทรงหมายถงึ คําน้ี จึงตรัสวา นัยวา เรากินโคมยั เหลา นน้ั ดังน.้ี บทวายาว กวี ฺจ เม ความวา มูตร และกรีสของตนของเรา ยงั ไมส น้ิ ไปตลอดกาลใด รอยเทาทปี่ ระตูของเรายงั เปนไปเพียงใด เราก็กนิ มูตรและกรสี นั้นเทยี วตลอดกาลเพยี งน้นั . ก็คร้ันเมอ่ื กาลลวงไป ๆ เนอ้ื และโลหติ ส้ินไป รอยเทา ในประตหู มดไป เราก็กินโคมยั ของลูกโคออ น. บทวา มหาวกิ ฏโภชนสมฺ ึไดแกใ นโภชนะชนิดใหญ อธิบายวา ในโภชนะผดิ ปกติ. คําวา ตตฺร ในบทวา ตตฺร สทุ  สารปี ุตฺต ภสึ นกสฺส วนสณฺฑสฺส ภสี นกสฺมึ โหติ เปนคําบงถงึ คาํ ตน. ศัพทวา สุท เปนนิบาตในคาํ สักวาทาํ บทใหเ ต็ม. บทวา สารีปตุ ตฺ เปน คาํ รอ งเรยี ก. ก็อรรถโยชนาในบทน้นั มดี ังน้ี. บทวา ตตรฺ ความวา เปน ความนา กลัวแหงราวปา ที่นากลัวที่ตรัสไวใ นบทวา ในราวปาอนั นา กลัว แหงใดแหงหนงึ่ อธิบายวา เปนการการทําท่ีนา กลัว. เปน อยา งไร เปน อยางน้วี า บคุ คลผูใดผหู นง่ึ ยงั ไมป ราศ-

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 103จากราคะเขา ไปสปู านัน้ โดยมากขนพอง ดงั น้.ี อีกอยางหน่งึ บทวา ตตฺรเปนสัตตมีวิภตั ิลงในอรรถฉฏั ฐีวภิ ัตต.ิ คําวา สุ เปนนิบาต เหมือนในคาํ เปนตนวา กสึ ุ นาม โภนโฺ ต สมณพฺราหมฺ ณา. บทวา อทิ  เปนคําแสดงทําเนอื้ ความท่ีประสงคแ ลวดุจใหป ระจกั ษ. บทวา สุอิท เปน สุท พึงทราบการลบอิอกั ษร ดว ยอาํ นาจสนธิ ดจุ ในคําเปน ตนวา จกฺขุนฺทฺริย อติ ถฺ ินทฺ ฺรยิ อนฺตฺสฺสามีตินฺทฺริย กสึ ูธ วิตตฺ  ดังนี.้ ก็โยชนา ในบทน้ันดังน้.ี ดกู อ นสารบี ุตร นีแ้ ลเปนความนากลัวแหง แนวปา อนั นากลัวนน้ั . บทวาภสึ นกตสฺมึ ความวา ในภาวะอนั นากลัว. พึงเหน็ การลบ ต อักษรตัวหนง่ึ .บาลวี า ภึสนกตสมฺ ึเยว ดังนีก้ ็มี. อกี อยางหนึ่ง ครน้ั เม่อื กลา ววาภสึ นกตาย เปนอันกระทาํ ความคลาดเคลื่อนทางลงิ ค. กใ็ นบทนี้ เปนสตั ต-มวี ภิ ตั ติ ลงในอรรถวาเครือ่ งหมาย. เพราะฉะนน้ั พึงทราบความสมั พันธอยา งนี้. นี้แลเปนความนากลวั คือ มีความนา กลวั เปน นมิ ติ มคี วามนา กลัวเปนเหตุ มคี วามนา กลวั เปน ปจจัย บคุ คลผใู ดผูหนง่ึ ยงั ไมปราศจากราคะเขา ไปสปู า นนั้ โดยมากขนพอง คือ ขนมากกวา ยอ มพอง มีปลายตง้ั ข้นึ เปนเชนกบั เขม็ และเปนเชน กับหนามตัง้ อยู ทไ่ี มพ องมนี อย หรอื ขนของสัตวทง้ัหลายมากกวา ยอ มพอง ขนของบรุ ษุ ผกู ลาหาญมาก มีนอ ย ยอมไมพองดังน้ี. บทวา อนตฺ รฏกา ความวา แปดราตรใี นระหวางสองเดือนอยางน้ีคอื ในสุดทา ยเดือนสาม สรี่ าตรี ในตน เดือนสี่ ส่ีราตร.ี บทวา อพฺโภกาเสความวา พระมหาสตั วประทบั อยูใ นกลางแจง ตลอดราตรีในสมัยหมิ ะตก. ลําดบันั้น หยดหิมะท้ังหลาย ปกคลุมขุมพระโลมาทกุ ขุมขนของพระมหาสัตวนั้นดจุ แกวมุกดา สรรี ะทงั้ หมดเปนเหมอื นคลุมดวยผา หยาบสีขาวฉะนั้น. บทวาทิวา วนสณฺเฑ ความวา คร้ันเมือ่ หยดหมิ ะทั้งหลายไปปราศแลว เพราะสมั ผสั แสงพระอาทติ ยในกลางวัน แมพ ระอสั สาสะพงึ มี แตพระมหาสตั วน้ี

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 104ครน้ั พระอาทิตยขึ้นอยกู ็เสดจ็ เขา ไปสรู าวปา. แมในราวปานนั้ หมิ ะละลายเพราะแสงพระอาทิตยกต็ กลงในพระสรีระของพระโพธสิ ตั วนั้นเทยี ว. บทวาทิวา อพโฺ ภกาเส วหิ รามิ รตตฺ ึ วนสณเฺ ฑ ความวา ไดยนิ วา พระ-โพธิสัตวน น้ั ประทับในกลางแจง ตลอดวนั ในคมิ หกาล. ดวยเหตุน้นั สายพระเสโทจงึ ไหลออกจากพระกจั ฉะทงั้ สองขางของพระโพธสิ ัตวนั้น พึงมพี ระอสั สา-สะตลอดคืน ก็พระโพธสิ ัตวน ้ี ครัน้ พระอาทิตยอ ัศดงคต ก็เสด็จเขาไปสรู าวปา.ลําดับนนั้ ในราวปาทม่ี ีไอรอ นระอใุ นกลางวัน อัตตภาพของพระองคก เ็ รารอนเหมือนถูกใสใ นหลุมถา นเพลิงฉะนั้น. บทวา อนจฺฉรยิ า ไดแ กอัศจรรยนอ ย. บทวา ปฏภิ าสิ ไดแ กปรากฏแลว . บทวา โส ตตฺโต ความวารอ นแผดเผาดวยแสงแดดในกลางวนั ดว ยไอรอ นระอใุ นปา ใหญใ นกลางคนื .บทวา โส สโิ น ความวา เปย กชมุ ดวยดดี วยหิมะในกลางคืน ดวยน้าํ หมิ ะในกลางวนั . บทวา ภสิ นเก ไดแก อันใหเกิดความกลวั . บทวา นคโฺ คไดแกป ราศจากผา ทานแสดงวา ก็ครั้นเม่อื มผี านุงแลผาหม หนาว หรือรอนไมพงึ เบยี ดเบยี นย่ิง ผา นงุ และผา หม แมน น้ั ของเราก็ไมม.ี บทวา นจคคฺ มิ าสิโน คือ ไมไดผิงแมไฟ. บทวา เอสนาปสโุ ต ไดแกข วนขวาย คือ ประกอบเพ่ือประโยชนแ กก ารแสวงหาความหมดจด. บทวามนุ ี ความวา ในกาลนั้นพระองคท รงทาํ พระองคเปน มุนีแลว ตรสั . บทวาฉวฏ กิ านิ ไดแ ก กระดกู ทง้ั หลายทีท่ อดทง้ิ เร่ียราด. บทวา อปณธิ ายคือ ทรงแสดงวา หมอนหนุนศีรษะและหมอนหนุนเทา ยอมปรากฏฉันใดพระองคท รงลาดแลว สําเรจ็ การบรรทมบนกองกระดกู น้นั ฉันน้ัน. บทวาโคมณฺฑลา ไดแ ก พวกเด็กเล้ยี งโค ไดย นิ วา เดก็ เหลา นั้นไปสสู าํ นกั ของพระโพธิสัตวแ ลว กลาววา ขาแตส ุเมธะ ทา นน่งั กลา วอยูในทนี่ ี้ เพราะเหตไุ ร.พระโพธิสตั วท รงนั่งกมพระพักตร ไมตรัส. ลาํ ดบั น้ัน เดก็ เลยี้ งโคเหลาน้ัน

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 105ลอ มพระโพธสิ ตั วน้นั แลว รองตะโกนวา พวกเราจกั ไมใหเพอื่ ใหต รสั จงึ ถมนาํ้ ลายรดพระสรรี ะ. พระโพธิสัตวก ไ็ มต รัสแมอยา งนน้ั . ลําดับนัน้ พวกเดก็เลยี้ งโคโกรธพระโพธสิ ัตววา ทานไมยอมกลา ว จึงถา ยปส สาวะรดเบ้อื งบนพระโพธิสตั วนน้ั . แมอ ยางนน้ั พระโพธสิ ตั วก ็ไมตรสั เลย. แตน้ันจงึ โปรยฝุนรดพระโพธสิ ัตวนน้ั วา ทา นจงพดู ทานจงกลาว ดงั นี้. แมอยางน้ี พระโพธิสตั วก็ไมต รัสนั้นเทียว. ลาํ ดบั นน้ั จึงกลาววา ทานไมพูด แลว เอาคิว้ ไมย อนทช่ี อ งพระกรรณทง้ั สองขา งของพระโพธสิ ัตวน นั้ . พระโพธิสัตวทรงอดกลน้ั ทุกขเวทนาอันแรงกลา เผด็ รอน ยอมปรารถนาเหมือนคนตายวา เราจกั ไมก ลาวคําอะไรแกใ ครเลย. ดว ยเหตนุ ั้น จึงตรสั วา ดกู อนสารีบุตร กเ็ ราไมรสู ึกวา ยงัจติ อันลามกใหเ กิดขนึ้ ในพวกเด็กเหลา นั้นเลย. ดังนี้. อธบิ ายวาแมจ ิตช่วั อนั เราไมใ หเ กดิ แลวในพวกเดก็ เหลานั้น. บทวา อเุ ปกฺขาวิหารสมฺ ึ โหติ คอื เปนผูอยดู วยอเุ บกขา. ก็วิหารเทียว เรียกวา วหิ ารสมฺ ึ ก็ดว ยบทน้ันเทียว พงึทราบเนื้อความอยางนวี้ า อย สุ เม แมใ นบทนีว้ า อทิ  สุ เม ในทีน่ ี.้ พงึทราบแมบทเหน็ ปานน้แี มเ หลาอื่นโดยนัยนี.้ ทรงแสดงอุเบกขาวิหารท่ีทรงบําเพ็ญแลวตลอด ๙๑ กปั แตน้ี ดว ยบทน้ี. ทรงหมายถงึ อเุ บกขาวหิ าร จงึ ตรัสวา เมื่อประสบสขุ เราก็ไมย ินดี เมอื่ ประสบทุกข เรากไ็ มเสยี ใจ เราไมต ิดใน สขุ และทกุ ขท ้งั ปวง น่นั เปน อุเบกขาบารมี ของเรา. บทวา อาหาเรน สทุ ฺธิ คือ เปนผมู ีความเห็นอยา งนี้วา สัตวทงั้หลายอาจเพ่อื หมดจดดว ยอาหารนิดหนอ ยบางอยางเชน พทุ ราเปน ตน . บทวาเอวมาห สุ ไดแ ก พดู อยา งนี.้ บทวา โกเลหิ ไดแก พุทราท้งั หลาย. บทวา

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 106โกโลทก คือ น้าํ ด่มื ท่เี ขาขยําผลพุทราทงั้ หลายแลวทาํ . บทวา โกลวิกตึไดแก ชนดิ แหง พุทรา เชนสลัดพุทรา ขนมพุทรา และกอนพุทราเปนตน .บทวา เอตปรโม ความวา นนั่ เปน ประมาณอยา งย่ิงของพุทราน้ัน เพราะฉะน้นั พุทรานน้ั จงึ ชื่อวา เอตปรโม มผี ลใหญ อธบิ ายวา ก็ในกาลน้ัน ในทสี่ ดุ ๙๑ กปั พทุ ราไมใ หญเ ทาผลมะตมู สกุ และผลตาลสกุ คงใหญเทา พุทราในบัดนเ้ี ทานัน้ . บทวา อธิมตฺตกสมี าน ความวา ทรงผอมอยางยง่ิ .บทวา อสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วา คือ ทรงแสดงวา เถาวัลยท มี่ ีขอมาก หรอื เถาวัลยมขี อ ดํา ท่เี หย่ี วแหงในท่ตี อ ยอ มนูนขึ้นและแฟบลงในทามกลางฉันใด อวยั วะนอยใหญข องเรากเ็ ปน ฉนั นั้น. บทวา โอฏ ปทความวา เทาอูฐ เปน ธรรมชาตลิ กึ ในทา มกลางฉันใด คร้นั เม่อื เน้ือและเลือดเหือดแหง ตะโพกของพระโพธิสัตวก็ลึกในทามกลาง เพราะความทวี่ จั จทวารเขาไปในภายในฉนั นัน้ เหมอื นกัน. ทนี น้ั สถานท่ีนัง่ ในแผนดนิ ของพระโพธสิ ตั วนนั้ กจ็ ะนนู ข้นึ ในทามกลาง เหมอื นประทบั ดว ยกระบอกลูกศร. บทวา วฏฏนา-วลี ความวา เถาสะบา ที่เขาฟน ทาํ เปนเชือกกจ็ ะแฟบในระหวาง ๆ แหงเถาสะบา จะนนู ข้ึนในที่เปนเกลยี วฉนั ใด กระดกู สนั หลังนูนขนึ้ เปน ปุม ๆ ฉันนนั้ .บทวา ชรสาลาย โคปานสโิ ย ไดแ ก กลอนแหง ศาลาเกา . กลอนเหลานน้ั หลุดจากโครงแลวต้ังอยใู นบรเิ วณ กลอนท่ีอยูในบริเวณกจ็ ะหลุดอยูในท่ีพ้ืนดิน เพราะฉะน้นั กจ็ ะเหลอ่ื มข้ึนและเหล่ือมลง คือ ตวั หน่ึงอยูบนตวั หนง่ึ อยูขา งลา ง กก็ ระดูกซี่โครงของพระโพธิสัตวไมเ ปนอยางนน้ั . เพราะคร้ันพระโลหติ ขาด พระมังสะเห่ยี วแหง พระโพธสิ ตั วนน้ั กม็ ีพระจัมมะโดยระหวางกระดูกซีโ่ ครง เหลือ่ มลง ทรงหมายถงึ กระดูกซี่โครงนั้นจึงตรสั บทน.้ี บทวา โอกฺขายิกา ไดแก ลึกเขาไปในเบื้องลาง. นยั วาครัน้ เมื่อพระโลหิตขาด พระมงั สะเหีย่ วแหง เบาตาของพระโพธสิ ัตวน ้นั

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 107ก็ลึกจดมนั สมอง เพราะเหตนุ ้นั ดวงตาของพระโพธิสัตวน ั้นจงึ เปนอยา งนั้น.บทวา อามกจฉฺ ินฺโน ไดแ ก ตัดแลว ในเวลายังออ น. ก็น้ําเตาขมนัน้ สมั ผสักบั ลมและแดดยอ มเหี่ยวแหง . บทวา ยาวสฺสุ เม สารีปตุ ตฺ ความวาดกู อนสารีบุตร ผิวหนังทองของเราเหีย่ วติดกระดูกสนั หลัง. อกี ประการหน่ึงพงึ ทราบความสมั พนั ธใ นบทนั้นอยา งน้ีวา ดกู อนสารีบตุ ร การบาํ เพญ็ ทุกกรกิริยาของเรา ยังเปน ภาระหนกั เพียงใด ผวิ หนงั ทองของเรากเ็ ห่ียวติดกระดูกสนั หลังเพยี งนัน้ . บทวา ปฏ ิกณฏฺ กฺเว ปริคคฺ ณหฺ ามิ ความวา เราคิดวาจะจับผวิ หนงั ทอง ลูบคลาํ ผวิ หนงั ทองอยางเดยี ว ก็คลําถูกกระดกู สันหลงั ทีเดยี ว. บทวา อวกุชโฺ ช ปปตามิ ความวา เมอื่ พระองคน้นั น่ังเพอื่ ประโยชนแกถ า ยอจุ จาระ ปส สาวะ ปสสาวะไมอ อกเลย แตวจั จะมีเพยี งเมด็ ตุมกา ๑-๒กอน ก็ยงั ทกุ ขอันมกี ําลงั ใหเกดิ ขึน้ เหงอื่ ท้งั หลายกไ็ หลออกจากสรีระ. พระองคกช็ วนลม ลงในพนื้ ดนิ ในทนี่ น้ั เอง. ดวยเหตนุ ั้น จึงตรสั วา เราชวนลม ดงัน้ี. บทวา ตเมว กาย ไดแ ก กายทส่ี ุดใน ๙๑ กัป. กท็ รงหมายถึงกายในภพสุดทา ยในมหาสจั จกสตู ร จงึ ตรัสวา อิมเมว กาย ดังน.้ี บทวาปูตมิ ลู านิ ความวา เมือ่ พระมังสะ หรอื พระโลหิตยงั มอี ยู พระโลมาท้งั หลายกต็ ัง้ อยไู ด แตในเพราะไมม ีพระมงั สะพระโลหิตนนั้ พระโลมาท้ังหลายดจุ ตดิอยูใ นเเผน หน่ึง ก็หลดุ ติดพระหตั ถด วย ทรงหมายถึงอาการนั้น จงึ ตรสั วาขนท้ังหลายมรี ากอนั เนา กห็ ลดุ จากกายดังน้ี. บทวา อลมริยาณทสสฺ นวิเสสไดแก โลกุตตรมรรคอันสามารถเพ่ือการทําความเปน อริยะได. บทวา อมิ ิสสฺ-สาเยว อรยิ าย ปฺาย ความวา เพราะไมบ รรลวุ ปิ สสนาปญ ญา. บทวายาย อรยิ า ไดแก บรรลุมรรคปญ ญาน้ใี ด. ทา นกลา วไวดังนว้ี า ชอื่ วาบรรลมุ รรคปญ ญา เพราะความท่วี ิปส สนาปญ ญาไดบรรลุแลวในบดั น้ีฉันใดเราไมบ รรลโุ ลกุตตรมรรคปญ ญา เพราะความท่วี ิปส สนาปญญาไมไดบ รรลุแลว

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 108ในทส่ี ุด ๙๑ กัป ฉันน้นั . สวนมชั ฌมิ ภาณกเถระกลาววา ปญ ญาทก่ี ลา ววาอมิ ิสฺสาเยว กด็ ี ปญ ญาท่กี ลา ววา ยาย อรยิ า กด็ ี คือ มรรคปญญานน้ัเทยี ว. ลาํ ดบั นัน้ ภิกษทุ ง้ั หลายไดกลา วกะมชั ฌมิ ภาณกเถระนน้ั วา ขา แตท า นผูเจรญิ เมอ่ื เปนเชนน้นั คําวา เราไมไ ดบ รรลมุ รรคเพราะความทมี่ รรคไดบรรลแุ ลว นี้ ทานไดก ลาวแลว. พระเถระตอบวา ดูกอนอาวโุ ส เราไมอาจเพอื่แสดงกจ็ ริง แตป ญ ญาแมส องอยา งน้ัน คือ มรรคปญ ญาน้นั เทียว. ก็คํานั้นเทยี วสมควรแลวในทน่ี .้ี กโ็ ดยประการนี้ นทิ เทสวา ยา อย ก็ไมส มควร. บทวา ส สาเรน สุทธฺ ิ คอื กลา ววา สตั วทั้งหลายทอ งเท่ียวมากยอมหมดจด. บทวา อุปปตฺติยา สทุ ฺธิ ไดแกก ลาววา เกิดข้นึ มาก ยอมหมดจด. บทวา อาวาเสน สทุ ธฺ ิ คือกลาววา อยใู นท่ีท้ังหลายมาก ยอมหมดจด.ทานกลาวถงึ ขนั ธท ้งั หลายน้ันเทยี วในฐานะแมส ามวา สังสารดว ยสามารถผทู อ งเทียว อุบตั ิดว ยสามารถผูเกดิ อาวาสดวยสามารถผอู ยู. บทวา ยเฺ นไดแก กลา ววา บูชายัญมากยอมหมดจด. บทวา มุทธฺ าวสติ เฺ ตน ความวาอภิเษกเปน กษัตริย ดวยสังขส าม. บทวา อคฺคิปาริจริยาย ไดแ ก กลาววายอมหมดจดดวยการบําเรอไฟมาก. บทวา ทหโร คือ หนมุ . บทวา ยวุ า ไดแ กถึงพรอมดวยความเปนหนมุ . บทวา สุสกุ าฬเกโส คอื มีผมดาํ สนิท. บทวาปฺ าเวยยฺ ตฺติเยน ไดแก ความเปน ผูมสี ัญญาเฉยี บแหลม. บทวา ชณิ โฺ ณคอื ผอู ันชราครอบงํา. บทวา วฑุ โฺ ฒ ไดแกม ีอวยั วะนอยใหญเจริญเตม็ ที่แลว. บทวา มหลฺลโก คอื ผูใ หญโ ดยชาต.ิ บทวา อทธฺ คโต ไดแ กถงึ กาลมาก คอื ผา นกาลนาน. บทวา วโย อนปฺ ฺปตฺโต ความวา ผานปจ ฉมิ วัยอันเปน สว นท่ีสามแหง รอยป. บทวา อสตี โิ ก เม วโย วตตฺ ติความวา นยั วา พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสพระสูตรน้ีในปแหง ปรนิ ิพพาน เพราะฉะนั้น จึงตรัสอยางน้ี. บทวา ปรมาย คือ อดุ ม. ยอมกลา วถงึ รอยบทบาง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 109พนั บทบา งในบทวา สติยา เปน ตน ความเปนผสู ามารถเรยี นช่อื วา สต.ิความเปนผสู ามารถทรงไวและผกู ไว ช่ือวา คติ. ความเพยี รทีส่ ามารถเพื่อทาํ การสาธยายท่เี รยี นแลว ทรงจาํ แลวอยางน้ี ช่ือวา ธิติ. ความเปน ผูสามารถเห็นเนือ้ ความและการณแ หงธิตนิ นั้ ชือ่ วา ปญญาเวยยัตตยิ ะ. บทวาทฬหฺ ธมฺโม ธนุคฺคโห ความวา นักธนูยนื จับธนู มั่นคง. กาํ ลงั สองพนัเรียกช่อื วา ทัฬหธนู ธนใู ดท่ยี กข้ึนแลว มสี ายผกู มีความหนักเทา ทอ นเหล็กเปนตน จบั คนั ยกขนึ้ พน จากดิน ประมาณคอ ธนนู ัน้ ชอื่ วา มีกําลังสองพนั .บทวา สิกฺขโิ ต ความวา มีศิลปะทเ่ี รียนแลว ในตระกูลอาจารยถ งึ สบิ สองป.บทวา กตหตโฺ ถ ความวา บางคนเรียนเพียงศิลปะเทา นั้น ไมไ ดร ับการฝกหัด แตนายธนนู ไ้ี ดร ับการฝก หัดแลว ชําชอ ง ชาํ นิชํานาญ เคยแสดงฝมือมาแลว คอื มศี ิลปะทีไ่ ดแสดงแลวในที่ทัง้ หลายมีราชตระกลู เปนตน . บทวาลหุเกน อสเนน ความวา ดว ยลกู ศรขนาดเบา ซงึ่ บรกิ รรมดวยคร่ังท่ีทํารองไวภ ายในทาํ ใหเ ต็มสายเปนตน กล็ กู ศรทท่ี าํ อยางนี้ ผานโคอสุภหนง่ึ ตัว ทะลุโคอสุภสองตัวได ศรท่ีผานโคอสภุ แปดตัวทะลโุ คอสภุ สิบหกตัวได. บทวาอปฺปกสิเรน ไดแกโดยไมย าก บทวา อติปาเตยยฺ คอื พึงใหทะลุ.บทวา เอว อธมิ ตฺตสติมนฺโต ความวา นกั ธนูนน้ั ยอมยงิ เงาหนง่ึ คบื ส่ีนว้ิไดรวดเร็วฉันใด สามารถเพ่ือเรียน เพื่อทรงจาํ เพือ่ สาธยาย รอยบทบางพนั บทบาง และเพ่ือใครครวญเนื้อความและเหตทุ ั้งหลายไดฉ ันนัน้ . บทวาอฺ ตรฺ อสติ ปต ขายติ สายิตา ความวา ก็กิจทั้งหลายมกี ารกินและการด่ืมเปน ตน เปน กิจอนั พระผูมีพระภาคเจา กด็ ี ภิกษุทงั้ หลายกด็ ี พึงทาํ เพราะฉะนัน้ จึงทรงแสดงวา เวน เวลาสักวา ทาํ กจิ ทัง้ หลายมีการกนิ และการดม่ื เปนตนน้ัน. บทวา อปรยิ าทนิ นฺ าเยว ความวา อนั ไมร ูจกั จบสนิ้ . ก็ถาภกิ ษุรูปหน่ึงถามกายานปุ ส สนา อกี รปู ถามเวทนานุปสสนา อีกรูปถาม จติ ตาน-ุ

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 110ปสสนา อกี รูปถามธัมมานุปสสนา ภกิ ษแุ ตละรปู ยอ มไมม องดกู นั วาเราถูกภกิ ษนุ ้ถี ามแลว กจ็ ักถาม. แมเมือ่ เปน เชนนัน้ วาระของภกิ ษุเหลา นน้ั ยอ มปรากฏ. แตวาระของพระพุทธเจาท้งั หลาย ยอ มไมปรากฏอยางน.้ี พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั กายานปุ สสนาโดยสิบสว่ี ธิ ี เวทนานปุ สสนาโดยเกา วธิ ี จิตตานุปสสนาโดยสิบหกวิธี ธัมมานปุ สสนาโดยหา วิธี กอ นกวา การยิงเงาหนึง่ คืบสีน่ ิ้วอยางรวดเร็วเสยี อกี . สตปิ ฏฐาน ๔ นัน้ จงยกไวก อ น. ก็ถาภกิ ษสุ รี่ ปู อนื่ พึงถามปญหาในสมั มปั ปธานทง้ั หลาย อกี พวกหน่ึงถามปญหาในอทิ ธิบาท อกี พวกหนงึ่ พึงถามปญ หาในอนิ ทรยี ห า อกี พวกหนง่ึ พึงถามปญหาในพละหา อีกพวกหนึง่ พงึ ถามปญ หาในโพชฌงคเจ็ด อีกพวกหนง่ึ พึงถามปญหาในองคม รรคแปดไซร พระผมู ีพระภาคเจา พงึ ตรัสปญ หาแมน้นั ได.อน่งึ องคมรรคแปดนัน่ จงยกไว. ถาชน ๓๗ คนอื่น พงึ ถามปญ หาในโพธปิ ก-ขิยธรรมท้ังหลายไซร พระผูมพี ระภาคเจา พงึ ตรสั ปญ หาแมน ้นั ไดก อนทเี ดยี ว.เพราะเหตุไร. เพราะมหาชนชาวโลกยอ มกลา วไดบทหน่งึ โดยประมาณเทา ใดพระอานนทเถระยอมกลาวไดแปดบทโดยประมาณเทานน้ั . ก็ครั้นเม่ือพระอานนทเถระกลา วไดบทเดยี วเทานน้ั พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไดสิบหกบท.เพราะเหตุไร. เพราะพระชวิ หาของพระผมู พี ระภาคเจา ออ น ไรพระทนตเ รียบสนทิ พระวจนะไมติดขดั ภวงั คปริวาสเบา. ดวยเหตุนน้ั พระผูมพี ระภาคเจาจงึ ตรัสวา ดกู อนสารีบุตร ธรรมเทศนาของตถาคตน้ัน จงึ ไมร จู กั จบสน้ิ ดังน้ี.บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ธมมฺ เทสนา ไดแก วางระเบียบแบบแผน. บทวาธมมฺ ปทพยฺ ชฺ น ความวา บทพยญั ชนะแหงบาลี คืออกั ษรอันเปนตวัพยัญชนะแหง อรรถน้ัน ๆ. บทวา ปฺหปฏิภาน ไดแก ปญหาพยากรณ.ทรงแสดงอะไรดวยบทน.ี้ ทรงแสดงอยา งนว้ี า ในกาลกอนเวลายงั หนุม ตถาคตยอมอาจเพอ่ื ประมวลอักษรทงั้ หลายกลาวเปน บทได ยอมอาจเพื่อประมวลบท

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 111ทั้งหลายกลาวเปน คาถาได ยอมอาจเพอื่ กลาวอรรถะ ดวยคาถาอนั ประกอบดวยบท มีสี่อักษรบา ง มสี บิ หกอักษรบาง แตในเวลาแก ณ บัดน้ี ไมอ าจเพอ่ื ประมวลอกั ษรทั้งหลายกลา วเปน บท หรือประมวลบททัง้ หลาย กลาวเปนคาถา หรือกลา วอรรถะดว ยคาถาได ดงั กลา วมานยี้ อมไมม ี ในเวลาหนมุและในเวลาแก ธรรมเทศนาเปนตน ทั้งหมดนั้นของตถาคตไมรจู ักจบสน้ิ . บทวามฺจเกน เจ ม ความวา ทรงกําหนดบทนแี้ ลวตรัส เพอื่ ทรงแสดงกําลังของพระพุทธเจานัน้ เอง. ก็ชือ่ วา กาลในการยกพระทศพลขน้ึ สเู ตยี งนอยแลวบริหารท่วั คาม นคิ ม และราชธานี ไมม .ี ก็พระตาถาคตทง้ั หลายผอู นัลกั ษณะมี ฟน หลุด เปนตน ไมค รอบงาํ แลว ในสวนแหงอายุทหี่ า เมื่อความเปลีย่ นแปลงทางวรรณะของสรรี ะอนั มวี รรณะดุจทองไมเกิดขึน้ แลว ยอ มปรนิ พิ พานในกาลเปนทรี่ ักเปนท่ีชอบของเทวดาแสะมนุษยท ง้ั หลายนั้นเทียว.บทวา นาคสมาโล เปน ชอ่ื ของพระเถระนั้น. กใ็ นปฐมโพธิกาลระหวา งภายใน ๒๐ ป พระนาคสมาละแมน ี้เปนอปุ ฏ ฐากของพระผมู พี ระภาคเจา เหมือนพระอุปวานเถระ พระนาคิตเถระและพระเมฆิยเถระ. บทวา วีชยมาโน คือยังความสุขในฤดใู หต ั้งขน้ึ แดพระผมู พี ระภาคเจา ดวยลมจากพัดใบตาลอนั ออน.บทวา เอตทโวจ ความวา พระเถระฟงพระสูตรท้ังส้นิ จบแลว อาศัยการบําเพญ็ทกุ กรกริ ิยา ซงึ่ เคยบําเพญ็ แลว ในกาลกอ นของพระผมู ีพระภาคเจา เลือ่ มใสแลวจึงกราบทูลคําเปน อาทวิ า ขา แตพ ระองคผเู จรญิ ขอน้ันอศั จรรย ดังนี.้ ในบทนน้ั ช่ือวา อจั ฉรยิ ะ เพราะควรแลวเพอ่ื ปรบมอื . ชอ่ื วา อภูตะ เพราะไมเ คยมกี ลับมแี ลว . พระเถระแสดงความแปลกประหลาดของตนเทยี ว ดว ยบทแมท ั้งสอง. กราบทลู คํานีว้ า ขา แตพ ระองคผูเ จรญิ ธรรมปรยิ ายน้ีช่ืออะไร

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 112ดว ยความประสงควา ธรรมปรยิ ายน้ีดหี นอ เอาเถดิ เราจักทูลขอพระผูมีพระภาคเจา ใหทรงระบุชื่อธรรมปรยิ ายน้ี. ลาํ ดับนน้ั พระผูมีพระภาคเจา เมือ่ จะทรงระบชุ อ่ื ธรรมปริยายนั้น จึงตรัสวา ตสฺมา ติห ตฺว เปนตน . เนื้อความแหงธรรมปรยิ ายนัน้ วา ขนท้ังหลายของเธอพองขน้ึ เพราะฟง พระสูตรน้ี เพราะเหตุนัน้ แล นาคสมาละ เธอจงทรงจาํ ธรรมปริยายน้ีวา โลมหังสนปรยิ ายดังนี้แล. จบอรรถกถามหาสีหนาทสตู รท่ี ๒

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 113 ๓. มหาทกุ ขักขนั ธสูตร [๑๙๔] ขาพเจา ไดสดับมาอยางนี้ :- สมัยหนงึ่ พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวนั อารามของทานอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตพระนครสาวตั ถ.ี ครง้ั นัน้ แล ภกิ ษมุ ากรูปดวยกนั ในตอนเชา นุงแลว ถือบาตรและจีวรเขาไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี. ภกิ ษเุ หลา นัน้ ตางมคี วามคดิ รวมกันวา ยังเชา อยนู กั อยาเพิ่งเขาไปบณิ ฑบาตในพระนครสาวตั ถีเลย ทางทดี่ ี พวกเราควรเขา ไปยงั อารามของพวกปรพิ าชกอญั ญเดียรถยี เถดิ ดงั นแ้ี ลว . ตา งกม็ งุ ตรงไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดยี รถยี  ครน้ั แลวไดส นทนาปราศรยั กบั พวกปรพิ าชกอญั ญเดยี รถียเ หลานั้น ครัน้ ผานการปราศรยั พอใหร ะลกึ ถึงกันไปแลว จึงนั่ง ณ ที่ควรสวนขา งหนงึ่ . พวกปรพิ าชกอัญญเดยี รถียเ หลา นนั้ ไดก ลา วกะพวกภิกษุผนู งั่ ณ ที่ควรสวนขา งหนงึ่ วา ดกู อ นผูม ีอายุทัง้ หลาย พระสมณโคดมบญั ญัติขอ ควรกาํ หนดรกู ามได แมพวกขา พเจา ก็บญั ญัติขอควรกําหนดรกู ามได พระสมณโคดมบัญญตั ิขอควรกําหนดรรู ูปได แมพวกขาพเจาก็บญั ญตั ิขอ ควรกําหนดรูรปู ได พระสมณโคดมบญั ญัตขิ อควรกาํ หนดรเู วทนาได แมพวกขาพเจาก็บญั ญตั ิขอ กําหนดรูเ วทนาได ดูกอนผมู อี ายุทง้ั หลาย ในเร่อื งนี้ อะไรเลาเปน ขอวเิ ศษ เปน ผลทมี่ ุงหมาย หรอื กระทาํ ใหตา งกนั ระหวางพระสมณโคดมกับพวกขา พเจา เชนการแสดงธรรมกบั การแสดงธรรม อนุสาสนีกบั อนสุ าสนี.พวกภิกษเุ หลาน้นั ไมย ินดี ไมคดั คา นคําทพ่ี วกปรพิ าชกอญั ญเดียรถยี เ หลาน้ันกลาวแลว คร้นั แลว ลกุ จากทน่ี ั่งหลกี ไปดวยคดิ วา เราจกั ทราบขอความแหงภาษติ น้ีในสาํ นกั ของพระผมู ีพระภาคเจา .

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 114 วาทะอญั ญเดยี รถีย [๑๙๕] ครงั้ นนั้ แล ภิกษเุ หลา น้นั เที่ยวบณิ ฑบาตไปในพระนครสาวัตถี กลับจากบณิ ฑบาตในเวลาปจฉาภตั แลว เขา ไปเฝา พระผมู ีพระภาคเจาถงึ ทปี่ ระทับ ครัน้ แลว จงึ ถวายบงั คมพระผมู พี ระภาคเจา แลว น่ัง ณ ที่ควรสวนขางหนงึ่ ไดกราบทูลคํานี้กะพระผมู พี ระภาคเจาวา ขา แตพระองคผูเ จริญขาพระองคข อประทานพระวโรกาส เชาวนั น้ี พวกขาพระองคนุง แลว ถือบาตรและจวี รเขาไปบณิ ฑบาตในพระนครสาวตั ถี พวกขาพระองคตางมคี วามคดิ รว มกนั วา ยงั เชาอยูนกั อยา เพ่ิงเขาไปบณิ ฑบาตในพระนครสาวตั ถีเลย ทางที่ดีพวกเราควรเขา ไปยังอารามของพวกปริพาชกอญั ญเดยี รถยี เถิด. พวกขาพระ-องคตา งก็มุงตรงไปยังอารามของพวกปรพิ าชกอัญญเดยี รถยี  ครั้นแลวไดส นทนาปราศรัยกบั พวกปรพิ าชกอัญญเดยี รถียเ หลาน้นั คร้ันผา นการปราศรัยพอใหระลึกถงึ กนั ไปแลว จึงนัง่ ณ ท่ีควรสว นขา งหน่ึง พวกปริพาชกอญั ญเดยี รถียเหลา นน้ั ไดกลาวกะพวกขา พระองคผูน ัง่ ณ ทค่ี วรสวนขา งหนงึ่ วา ดูกอนผูม ีอายทุ งั้ หลาย พระสมณโคดมบัญญัติขอ ควรกาํ หนดรูก ามได แมพ วกขาพเจากบ็ ญั ญตั ิขอ ควรกําหนดรกู ามได พระสมณโคดมบัญญัติขอ ควรกาํ หนดรรู ปู ไดแมพวกขาพเจาก็บัญญัตขิ อควรกําหนดรูร ูปได พระสมณโคดมบญั ญตั ขิ อควรรูกาํ หนดเวทนาได แมพ วกขาพเจา กบ็ ัญญัตขิ อ ควรกําหนดรเู วทนาได ดูกอนผูม ีอายุท้งั หลาย ในเร่อื งนี้ อะไรเลาเปนขอ วเิ ศษ เชน ผลทม่ี ุง หมาย หรอืกระทําใหต า งกนั ระหวางพระสมณโคดมกบั พวกขาพเจา เชนการแสดงธรรมกบั การแสดงธรรม อนสุ าสนีกับอนุสาสน.ี พวกขา พระองคไ มยนิ ดีไมค ดั คานคําทีพ่ วกปริพาชกอัญญเดียรถยี เ หลานนั้ กลา วแลว คร้ันแลว ลกุ จากทีน่ ั่งหลีกไปดว ยคิดวา เราจกั ทราบขอ ความแหง ภาษิตน้ใี นสํานกั ของพระผูม ีพระภาคเจา

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 115 [๑๙๖] พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั วา ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย พวกปริพา-ชกอญั ญเดียรถียผ มู วี าทะอยา งน้ี พวกเธอพึงกลาวอยางนว้ี า ดกู อนทานผมู ีอายุกอ็ ะไรเลาเปนคณุ อะไรเปนโทษ อะไรเปนการถา ยถอนกามท้ังหลายอะไรเปนคณุ อะไรเปนโทษ อะไรเปน การถา ยถอนรปู ทัง้ หลาย อะไรเปนคุณ อะไรเปนโทษ อะไรเปนการถายถอนเวทนาทง้ั หลาย. ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย พวกปรพิ าชกอัญญเดยี รถยี ถ ูกพวกเธอถามอยา งน้ี จักไมพอใจเลย และจกั ตองคบั แคนอยา งย่งิ ขอ นั้นเพราะเหตุอะไร เพราะขอ นนั้ มิใชวสิ ยั ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เราไมเ ห็นผทู จี่ ะพงึ ยังจิตใหย นิ ดดี ว ยการพยากรณปญ หาเหลา น้ี ในโลกเปนไปกับดว ยเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู ตั วเปนไปกับดวยสมณะ พราหมณ เทวดาและมนษุ ย เวนไวแตต ถาคต หรือสาวกของตถาคต หรือมฉิ ะนั้นก็ฟง จากน.้ี [๑๙๗] ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ก็อะไรเลา เปน คุณของกามทง้ั หลาย.ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเปน ไฉน คือ รปู ที่พงึรูแจงดว ยจักษุ นาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ นารัก ประกอบดว ยกามเปน ท่ตี ัง้ แหง ความกําหนัด เสียงท่พี งึ รูแ จง ดว ยโสต. . .กล่ินท่ีพงึ รูแจงดวยฆานะ. . .รสทพ่ี งึ รูแจง ดว ยชวิ หา. . .โผฏฐพั พะทพี่ ึงรแู จง ดวยกาย นา ปรารถนานาใคร นาพอใจ นา รกั ประกอบดวยกาม เปนทีต่ ้ังแหงความกาํ หนัดดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย กามคณุ ๕ ประการเหลา นแี้ ล. ความสุข ความโสมนัสใดเลา อาศยั กามคณุ ๕ เหลา นี้เกิดขนึ้ นเี้ ปนคณุ ของกามทั้งหลาย. โทษของกาม [๑๙๘] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ก็อะไรเลาเปน โทษของกามทงั้ หลาย.กุลบตุ รในโลกน้ีเลี้ยงชวี ติ ดว ยความขยนั ประกอบศลิ ปะใด คอื ดวยการนับ

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 116คะแนนกด็ ี ดวยการคาํ นวนก็ดี ดว ยการนับจาํ นวนก็ดี ดว ยการไถก็ดี ดว ยการคา ขายก็ดี ดว ยการเลย้ี งโคก็ดี ดว ยการยงิ ธนกู ด็ ี ดว ยการเปนราชบรุ ุษกด็ ี ดวยศิลปะอยา งใดอยางหนึง่ กด็ ี ตองตรากตราํ ตอความหนาว ตองตรากตรําตอ ความรอน งุนงานอยูดว ยสมั ผสั แตเหลอื บ ยงุ ลม แดด และสตั วเล้ือยคลาน ตองตายดว ยความหวิ ระหาย ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย แมน ีเ้ ลา ก็เปนโทษของกามทงั้ หลาย เปน กองทกุ ขที่เหน็ กันอยู มกี ามเปนเหตุ มีกามเปนตนเคา มีกามเปนตวั บังคบั เกิดเพราะเหตแุ หง กามท้ังหลายท้ังนน้ั . ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย ถา เมือ่ กลุ บตุ รนน้ั ขยัน สบื ตอ พยายามอยูอยางนี้ โภคะเหลาน้ันก็ไมสําเรจ็ ผล เขายอมเศราโศก ลําบาก ราํ พนั ตีอก ครา่ํ ครวญ ถึงความหลงเลือนวาความขยนั ของเราเปนโมฆะหนอ ความพยายามของเราไมมีผลหนอดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย แมน ีเ้ ลาก็เปนโทษของกามท้งั หลาย เปนกองทกุ ขท เี่ ห็นกันอยู มีกามเปนเหตุ มกี ามเปนตน เคา มกี ามเปนตวั บังคบั เกดิ เพราะเหตุแหงกามทัง้ หลายทัง้ น้ัน. ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ถา เม่อื กุลบตุ รนั้นขยัน สืบตอ พยายามอยอู ยางนี้โภคะเหลา นั้นสําเรจ็ ผล เขากลับเสวยทกุ ข โทมนัส ทีม่ ีการคอยรักษาโภคะเหลานนั้ เปนตัวบงั คบั วา ทาํ อยางไร พระราชาทัง้ หลาย ไมพึงริบโภคะเหลานน้ั ไปได พวกโจรพงึ ปลน ไมไ ด ไฟไมพึงไหม น้าํ ไมพงึ พดั ไป ทายาทอัปรยี พงึ นําไปไมไ ด. เมอื่ กลุ บตุ รนนั้ คอยรกั ษาคุมครองอยอู ยา งนี้ พระราชาท้งั หลายรบิ โภคะเหลานั้นไปเสียกด็ ี พวกโจรปลน เอาไปเสียก็ดี ไฟไหมเสียก็ดี น้ําพดั ไปเสียก็ดี ทายาทอัปรียนาํ ไปเสยี ก็ดี เขายอ มเศราโศก ลาํ บากราํ พนั ตีอก คร่ําครวญ ถงึ ความหลงเลอื นวา สง่ิ ใดเลา เคยเปนของเราแมส ิง่ น้ันกไ็ มเปน ของเรา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมน เ้ี ลาเปนโทษของกาม

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 117ทงั้ หลาย เปนกองทกุ ขทเ่ี ห็นกนั อยู มกี ามเปน เหตุ มีกามเปนตนเคา มีกามเปน ตวั บงั คับ เกดิ เพราะเหตแุ หง กามทัง้ หลายทง้ั น้ัน. ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย อีกประการหนง่ึ มีกามเปน เหตุ มกี ามเปนตน เคามกี ามเปนตัวบังคบั เพราะเหตุแหง กามทงั้ หลายนน้ั แล แมพระราชาท้งั หลายกว็ ิวาทกนั กับพระราชา แมพ วกกษัตรยิ ก็ววิ าทกนั กับพวกกษัตรยิ  แมพ วกพราหมณก็ววิ าทกันกับพวกพราหมณ แมคฤหบดีก็ววิ าทกนั กบั พวกคฤหบดีแมม ารดากว็ วิ าทกับบุตร แมบ ุตรกว็ ิวาทกบั มารดา แมบ ิดาก็ววิ าทกบั บตุ รแมบ ตุ รก็ววิ าทกบั บิดา แมพ ่ีชายนอ งชายกว็ ิวาทกันกับพี่ชายนอ งชาย แมพชี่ ายกว็ วิ าทกบั นองสาว แมนองสาวก็วิวาทกบั พช่ี าย แมส หายกว็ ิวาทกบั สหายชนเหลาน้นั ตางถึงการทะเลาะ แกง แยง ววิ าทกนั ในทน่ี ้นั ๆ ทํารายซง่ึ กันและกนั ดว ยฝามือบาง ดวยกอนดินบาง ดวยทอนไมบ า ง ดวยศสั ตราบา งถงึ ความตายไปตรงน้ันบา ง ถงึ ทกุ ขปางตายบา ง ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย แมนเ้ี ลาก็เปนโทษของกามทง้ั หลาย เปน กองทุกขทเี่ หน็ กันอยู มกี ามเปนเหตุ มกี ามเปน ตน เคา มีกามเปนตัวบงั คบั เกิดเพราะเหตุแหง กามท้งั หลายทั้งนัน้ . ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย อกี ประการหน่งึ มกี ามเปนเหตุ มีกามเปนตนเคามีกามเปนดวยบังคับ เพราะเหตุแหง กามทัง้ หลายนั้นแล ฝงู ชนตางถอื ดาบและโลส อดแลงธนู วิ่งเขาสูสงคราม ปะทะกันทง้ั ๒ ฝา ย เมอื่ ลูกศรท้งั หลายถกู ยงิ ไปบาง เมอ่ื หอกทง้ั หลายถูกพุง ไปบาง เมือ่ ดาบทัง้ หลายถูกวดั แกวงอยูบาง ฝงู ชนเหลา น้นั ตางก็ถูกลูกศรเสียบเอาบาง ถกู หอกแทงเอาบา ง ถกู ดาบตดั ศีรษะเสยี บางในทนี่ ัน้ พากันถึงตายไปตรงนัน้ บา ง ถงึ ทุกขป างตายบา งดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย แมน ้เี ลา ก็เปน โทษของกามท้งั หลาย เปน กองทกุ ขท ีเ่ ห็นกันอยู มีกามเปน เหตุ มกี ามเปน ตนเคา มีกามเปนตวั บงั คับ เกิดเพราะเหตุแหง กามทัง้ หลายทง้ั นน้ั .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 118 ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย อีกประการหน่งึ มีกามเปนเหตุ มีกามเปนตนเคา มีกามเปน ตัวบังคับ เพราะเหตุแหงกามทงั้ หลายนัน้ แล ฝงู ชนถือดาบและโลสอดแลง ธนู ตรกู ันเขา ไปสูเชงิ กาํ แพงท่ฉี าบดวยเปลือกตมรอ น เมอ่ื ลูกศรถูกยงิ ไปบาง เม่ือหอกถูกพงุ ไปบา ง เมอ่ื ดาบถกู กวดั แกวง บา ง ชนเหลา นั้นตางถูกลูกศรเสยี บบาง ถกู หอกแทงบาง ถูกรดดา ยโคมัยรอ นบาง ถกู สับดวยคราดบา ง ถกู ตดั ศีรษะดวยดาบบา ง ในที่นน้ั พากนั ถึงตายไปตรงน้ันบางถึงทุกขป างตายบาง ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมน ี้เลา ก็เปน โทษของกามทง้ั หลายเปน กองทุกขทีเ่ ห็นกนั อยู มกี ามเปน เหตุ มกี ามเปน ตนเคา มกี ามเปนตัวบงั คบัเกิดเพราะเหตแุ หง กามทงั้ หลายทัง้ น้นั . ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย อีกประการหนงึ่ มกี ามเปน เหตุ มีกามเปนตนเคา มีกามเปน ตัวบังคับ เพราะเหตุแหง กามทั้งหลายนนั้ แล ฝูงชนตดั ท่ีตอ บาง ปลนอยา งกวาดลางบาง กระทําใหเปน เรือนหลังเดียวบาง ดกั ทางบา งสมสูภรรยาคนอนื่ บา ง พระราชาท้ังหลายจบั คนนัน้ ๆ ไดแลว ใหกระทํากรรมกรณตา ง ๆ เฆยี นดว ยแซบา ง เฆย่ี นดว ยหวายบา ง ตดี ว ยไมค อ นบาง ตดั มือเสียบา ง ตดั เทาเสยี บาง ตัดทั้งมอื ท้งั เทาเสียบาง ตดั หูเสียบาง ตัดจมูกเสียบา ง ตัดทัง้ หูทง้ั จมูกเสยี บาง กระทํากรรมกรณ ชือ่ พิลงั คถาลกิ ะ [หมอเค่ียวนาํ้ สม ] บาง ชือ่ สงั ขมณุ ฑกะ [ขอดสังข] บา ง ช่ือราหูมขุ [ปากราห]ูบา ง ชอ่ื โชติมาลกิ ะ [พมุ เพลิง] บา ง ชอื่ หตั ถปชโชติกะ [มอื ไฟ] บา ง ช่อืเอรกวตั ติกะ [นงุ หนงั ชา ง] บา ง ชอื่ จีรกวาสิกะ [นงุ สาหราย] บาง ชือ่ เอ-เณยยกะ [ยืนกวาง] บา ง ช่ือพลสิ มังสิกะ [กระชากเน้ือดว ยเบด็ ] บา งชื่อกหาปณกะ [ควกั เน้อื ทลี ะกหาปณะ] บาง ชือ่ ขาราปฏจิ ฉกะ [แปรงแสบ]บาง ชือ่ ปลิฆปรวิ ตั ตกี ะ [วนล่ิม] บา ง ช่ือปลาลปฐกะ [ต่ังฟาง] บา งรดดวยนํา้ มันทรี่ อ นบาง ใหส นุ ัขกนิ บาง เสยี บทห่ี ลาวทัง้ เปนบาง ใชด าบตัด

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 119ศีรษะเสยี บา ง คนเหลานน้ั ถงึ ตายไปตรงน้ันบา ง ถงึ ทุกขป างตายบา ง ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย แมน เ้ี ลา กเ็ ปนโทษของกามท้ังหลาย เปน กองทกุ ขท ่ีเห็นกนัอยู มกี ามเปนเหตุ มีกามเปน ตน เคา มีกามเปนตวั บังคบั เกดิ เพราะเหตุแหงกามทงั้ หลายท้ังนนั้ . ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย อีกประการหนึง่ มีกามเปนเหตุ มกี ามเปนตนเคา มีกามเปนตวั บังคับ เพราะเหตแุ หงกามทงั้ หลายน่ันแล ฝงู ชนตางประพฤติกายทจุ รติ วจีทุจรติ มโนทุจรติ ชนเหลานนั้ ครั้นประพฤตกิ ายทจุ รติ วจที ุจริต มโนทุจริตแลว เบ้อื งหนา แตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถงึอบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย แมน เ้ี ลากเ็ ปนโทษของกามท้ังหลาย เปน กองทกุ ขในสัมปรายภพ มกี ามเปนเหตุ มีกามเปนตน เคา มีกามเปน ตัวบงั คบั เกดิ เพราะเหตุแหง กามทง้ั หลายทั้งนั้น. [๑๙๙] ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ก็อะไรเลาเปนการถา ยถอนกามทงั้ หลาย.ดูกอนภิกษุท้งั หลาย การกาํ จดั ฉนั ทราคะในกามทง้ั หลาย การละฉนั ทราคะในกามทงั้ หลายใดเลา นีเ้ ปน การถายถอนกามท้ังหลาย. [๒๐๐] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย สมณะหรอื พราหมณพ วกใดพวกหนึง่ไมร ูชดั คณุ ของกามท้งั หลาย โดยเปน คุณ โทษของกามทัง้ หลายโดยความเปนโทษและการถายถอนกามท้ังหลาย โดยความเปนการถายถอน อยางทก่ี ลาวน้ีตามความเปนจรงิ พวกเหลานน้ั หรอื จักรอบรกู ามทง้ั หลายดว ยตนเองหรอื วาจกั ชกั จงู ผูอื่น เพอื่ ความเปนอยา งที่ผูปฏิบตั ิแลว จักรอบรกู ามทัง้ หลายได ขอน้ีไมเ ปนฐานะที่จะมไี ด. ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย สว นสมณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลา หน่ึงรชู ดั คณุ ของกามทัง้ หลายโดยเปนคุณ โทษขอกามทง้ั หลายโดยความเปน โทษและการถายถอนกามทัง้ หลายโดยความเปนการถายถอน อยา งท่กี ลาวน้ี ตามความเปนจริง พวกนั้นแล จกั รอบรกู ามทัง้ หลายดวยตนเองได หรอื

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 120จักชักจูงผูอนื่ เพอ่ื ความเปน อยางทีผ่ ปู ฏบิ ัติแลวจกั รอบรูกามทง้ั หลายได ขอ นี้เปนฐานะที่จะมีได. [๒๐๑] ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ก็อะไรเลาเปน คณุ ของรปู ท้งั หลาย ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เหมอื นอยางวา นางสาวเผา กษตั รยิ  เผาพราหมณ หรอืเผาคฤหบดี มอี ายรุ ะบไุ ดว า ๑๕ ป หรือ ๑๖ ป ไมส ูงเกินไป ไมต า่ํ เกนิ ไปไมผอมเกินไป ไมอ ว นเกินไป ไมด าํ เกินไป ไมขาวเกนิ ไป ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย ในสมยั นนั้ นางคนนั้นงดงามเปลง ปลั่ง เปนอยา งยิง่ ใชห รือไม พวกภิกษพุ ากนั กราบทูลวาเปนเชน นนั้ พระเจา ขา. ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ความสขุความโสมนสั อนั ใดแล ทีบ่ งั เกิดขน้ึ เพราะอาศยั ความงามเปลงปลั่ง น้เี ปนคุณของรูปทัง้ หลาย. โทษของรูป [๒๐๒] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย กอ็ ะไรเลา เปนโทษของรปู ทงั้ หลาย. ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย บุคคลพงึ เหน็ นางสาวคนน้ันแหละในโลกน้ี โดยสมยั อ่นืมีอายุ ๘๐-๙๐ หรือ ๑๐๐ ป โดยกาํ เนดิ เปนยายแก มซี ีโ่ ครงคดดังกลอนเรอื นรางคดงอ ถอื ไมเ ทากระงกกระเงนิ่ เดินไปกระสบั กระสา ย ผา นวยั เยาวไปแลว มพี ันหลดุ ผมหงอก. ผมโกรน ศีรษะลาน เน้อื เหี่ยว มตี วั ตกกระ.ดูกอ น ภิกษุทัง้ หลาย พวกเธอจักสําคญั ขอ นั้นอยางไร ความงดงาม ความเปลง ปลั่งทมี่ ใิ นครงั้ กอนนั้นหายไปแลว โทษปรากฏแลวมิใชหรือ. ภิกษุ. เปน เชนนั้น พระเจาขา. พระ. ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย น้เี ปนโทษของรปู ท้ังหลาย. ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย อีกประการหน่ึง บคุ คลพงึ เห็นสาวคนนั้นแหละมอี าพาธ มที ุกข เจบ็ หนัก นอนจมกองมตู รคูถของตน ตอ งใหค นอื่นพยุง

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 121ลุก ตอ งใหคนอืน่ คอยประคอง. ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย เธอจะสําคัญขอ น้นัอยางไร ความงดงาม ความเปลง ปลงั่ ที่มีในกอ นน้ันหายไปแลว โทษปรากฏแลวมิใชหรอื . ภิกษุ. เปน เชน นน้ั พระเจาขา พระ. ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย แมขอนเี้ ลา กเ็ ปนโทษของรูปท้ังหลาย. ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหน่งึ บุคคลพงึ เห็นนางสาวคนนั้นแหละเปน ซากศพ ถูกทง้ิ ไวในปา ชา ตายได ๑ วนั กด็ ี ตายได ๒ วนั ก็ดีตายได ๓ วนั กด็ ี เปนซากศพขึ้นพองกด็ ี มีสเี ขียวกด็ ี เกิดหนอนชอนไชกด็ ี.ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย พวกเธอจะสําคัญขอ นั้นอยา งไร ความงดงาม ความเปลง-ปลง่ั ทีม่ ใี นกอนน้นั หายไปแลว โทษปรากฏแลวมิใชห รือ. ภิกษ.ุ เปน เชน นั้น พระเจาขา. พระ. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย แมข อ น้เี ลา กเ็ ปน โทษของรูปท้งั หลาย. ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย อีกประการหนงึ่ บคุ คลพงึ เหน็ นางสาวคนนัน้แหละเปน ซากศพถูกทงิ้ ไวในปา ชา ฝูงการมุ กนั จิกกนิ บา ง ฝงู แรง รมุ กนั จกิ กินบาง ฝงู นกเคารุมกนั จิกกินบา ง ฝงู สุนัขรุมกันกัดกินบา ง ฝูงสุนัขจ้ิงจอกรมุกันกดั กินบา ง ฝูงปาณกชาตติ า ง ๆ รนุ กันกัดกนิ บา ง. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลายพวกเธอจะสาํ คัญขอ น้ันอยา งไร ความงดงาม ความเปลงปล่งั ทมี่ ใี นกอนนั้นหายไปแลว โทษปรากฏแลวมใิ ชห รือ. ภกิ ษุ. เปนเชน น้ัน พระเจาขา. พระ ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย แมข อนเ้ี ลา กเ็ ปน โทษของรปู ทั้งหลาย. ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บคุ คลพึงเห็นนางสาวคนน้นัแหละเปนซากศพถกู ทิ้งในปาชา มแี ตโครงกระดูก มเี นอื้ และเลอื ดติดอยู มี

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 122เอน็ ยืดอยู ฯลฯ มีแตโครงกระดกู ปราศจากเนื้อเปอ นเลือด มเี อน็ ยดึ อยู ฯลฯมีแตโ ครงกระดกู ปราศจากเนื้อเเละเลือด มเี อน็ ยึดอยู ฯลฯ เปน แตกระดูกปราศจากเอน็ ยึดกระจดั กระจายไปในทศิ นอ ยใหญ คอื กระดกู มอื ทางหน่ึงกระดกู เทา ทางหนง่ึ กระดกู แขงทางหนง่ึ กระดกู ขาทางหนึ่ง กระดูกสะเอวทางหนึง่ กระดกู สนั หลังทางหนงึ่ กระดกู ซโ่ี ครงทางหนึ่ง กระดกู หนา อกทางหนงึ่ กระดกู แขนทางหนง่ึ กระดูกไหลท างหนง่ึ กระดกู คอทางหนึง่กระดูกคางทางหน่งึ กระดกู ฟน ทางหนึง่ หัวกระโหลกทางหนึ่ง. ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย พวกเธอจะสําคัญขอนัน้ อยา งไร ความงดงาม ความเปลง ปลั่ง ทีม่ ีในกอนนั้นหายไปแลว โทษปรากฏแลวมิใชหรือ. ภกิ ษ.ุ เปน เชนนน้ั พระเจาขา. พระ ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย แมข อน้เี ลา ก็เปน โทษของรปู ทง้ั หลาย. ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย อีกประการหนง่ึ บคุ คลพงึ เห็นนางสาวนั้นแหละเปนซากศพถูกทงิ้ ไวในปา ชา เหลอื แตก ระดกู สขี าว เปรยี บเทยี บไดก บัสีสงั ข ฯลฯ เหลือแตก ระดูกตกคา งแรมป เรียงรายเปนหยอ ม ๆ ฯลฯ เหลอื แตกระดูกผุแหลกยุย. ดกู อนภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจะสาํ คัญขอ นั้นอยา งไร ความงดงาม ความเปลง ปล่ัง ที่มีในกอนหายไปแลว โทษปรากฏแลวมใิ ชห รอื . ภิกษุ. เปน เชนนั้น พระเจาขา . พระ. ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย แมข อน้ีเลา ก็เปนโทษของรูปทง้ั หลาย. [๒๐๓] ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา เปนการถา ยถอนรูปท้ังหลาย.ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย การกําจดั ฉันทราคะในรูปทั้งหลาย การละฉนั ทราคะในรปู ทั้งหลายใด นีเ้ ปนการถา ยถอนรปู ท้งั หลาย.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 123 การกาํ หนดรรู ปู [๒๐๔] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย สมณะหรือพราหมณพ วกใดพวกหนงึ่ไมรูชัดคุณของรปู ทงั้ หลายโดยเปน คุณ โทษของรูปทั้งหลายโดยความเปนโทษและการถา ยถอนรูปทั้งหลาย โดยความเปนการถายถอน อยางท่ีกลา วน้ีตามความเปน จริง พวกเหลา นัน้ หรือจักรอบรูร ปู ท้งั หลายดวยตนเอง หรอื วาจกั ชกั จงู ผอู น่ื เพือ่ ความเปน อยางที่ผูปฏิบตั ิแลวจกั รอบรรู ูปทง้ั หลายได ขอน้ีไมเปนฐานะท่จี ะมีได. ดกู อนภิกษุท้ังหลาย สวนสมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลา หนึ่ง รชู ัดคุณของรปู ทงั้ หลายโดยเปน คุณ โทษของรูปทง้ั หลายโดยความเปนโทษ และการถายถอนรปู ทั้งหลายโดยความเปน การถา ยถอน อยา งท่ีกลาวนตี้ ามความเปนจริง พวกเหลานั้นแหละ จกั รอบรูรูปท้งั หลายดว ยตนเองได หรอื จักชักจงู ผอู ่นื เพ่อื ความเปน อยางทีผ่ ูป ฏิบตั ิแลว จักรอบรูรปทงั้ หลายได.ขอ นเี้ ปนฐานะท่ีจะมีได. [๒๐๕] ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย กอ็ ะไรเลา เปน คณุ ของเวทนาท้ังหลาย.ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ัยน้ี สงดั จากกาม สงัดจากอกุศล-ธรรม บรรลปุ ฐมฌาน มีวติ กวิจาร มีปติ และสุขเกดิ แตวเิ วกอยู. ในสมยั ใดภกิ ษุสงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรม บรรลปุ ฐมฌาน มีวิตกวจิ าร มีปต ิและสขุ เกิดแตว ิเวกอยู ในสมยั นั้น ยอมไมคิดเพอ่ื จะทาํ ลายตนบา ง ยอมไมคดิเพือ่ จะทําลายผูอืน่ บา ง ยอมไมค ดิ เพ่ือจะทําลายทั้งสองฝายบา ง ในสมัยนั้นยอ มเสวยเวทนา อนั ไมมีความเบยี ดเบียนเลยทเี ดยี ว ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย เรายอมกลาวคุณของเวทนาทั้งหลายวา มคี วามไมเบียดเบยี นเปนอยางย่งิ . ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุตยิ ฌาน มคี วามผองใสแหง จติ ในภายใน เปน ธรรมเอกผุดขนึ้ ไมมีวิตก ไมม วี ิจาร เพราะวติ กวจิ ารสงบไป มปี ต แิ ละสุขเกดิ แตสมาธิอยู. ในสมัยใด ภิกษุบรรลุทุติย-ฌาน มีความผองใสแหงจติ ในภายใน เปนธรรมเอกผุดข้ึน ไมมีวติ ก ไมม ี











































พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 145 อรรถกถาจุลลทุกขกั ขันสูตร จลุ ลทุกขกั ขนั ธสูตร มคี าํ เรม่ิ ตน วา ขาพเจา ไดสดับดังนี้:- บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา สกฺเกสุ ไดแ ก ในชนบทมชี ่อื อยางนั้น .กช็ นบทนั้นถงึ อนั นบั วา สักยา เพราะเปนสถานท่ีอยขู องราชกมุ ารชาวสกั ยะท้ังหลาย. กค็ วามอุบัตแิ หงสักยะทงั้ หลาย มาแลวในอมั พฏั ฐสตู รเทยี ว บทวากปล วตฺถุสฺมึ คอื ในนครทมี่ ชี อ่ื อยา งนน้ั . จริงอยู นครนัน้ เรียกวา กบิลพสั ดุเพราะเปนนครทีส่ รางข้ึนในสถานเปนทีอ่ ยูข องฤาษีชอ่ื วา กปล. ทํานครนน้ัเปน ที่โคจรคาม. บทวา นโิ คฺรธาราเม ความวา เจาศากยะพระนามวานิโครธ ครั้นเม่ือพระผูมีพระภาคเจา เสดจ็ มาสูกรงุ กบิลพสั ดุ ในกาลแหง ญาติสมาคม พระองคทรงใหสรางวัดในสวนของพระองค มอบถวายแดพ ระผมู -ีพระภาคเจา พระผมู พี ระภาคเจา ประทับอยู ณ นิโครธารามนัน้ . บทวามหานาโม ไดแก พระเจา พข่ี องพระอนรุ ทุ ธเถระ ทรงเปน โอรสของพระเจาอาของพระผมู พี ระภาคเจา. เจา ทงั้ ๕ พระองคนี้ คือ พระเจา สุทโธทนะ พระเจาสุกโกทนะ พระเจา สักโกทนะ พระเจา โธโตทนะ พระเจา อมโิ ตทนะ ทรงเปนพระเจาพพ่ี ระเจา นอง พระเทวพี ระนามวา อมิตา ทรงเปน พระภคนิ ีของพระเจา เหลา นน้ั พระตสิ สเถระเปน บุตรของพระนางอมติ าน้นั พระตถาคตและพระนนั ทเถระเปน พระโอรสของพระเจา สุทโธทนะ พระเจา มหานามะ และพระอนุรุทธเถระ เปนพระโอรสของพระเจา สกุ โกทนะ พระอานนทเถระเปนพระโอรสของพระเจาอมิโตทนะ พระอานนทเถระนน้ั เปน พระกนษิ ฐของพระผูมีพระภาคเจา พระเจามหานามะทรงแกกวา เปนสกทาคามีอรยิ สาวก. บทวาทีฆรตฺต ความวา ทรงแสดงวา ขา พระองครจู าํ เดิมแคขาพระองคบ รรลุ

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 146สกทาคามิผลตลอดกาลนาน. บทวา โลภธมฺมา ไดแก ธรรมกลาวคอื โลภะ.ทรงกลาวหมายถงึ โลภะเทา นั้น มปี ระการตา ง ๆ. ในสองบทแมน อกนี้ ก็มนี ยัเชนเดียวกนั . บทวา ปริยาทาย ติฏ นตฺ ิ ความวา ยงั ครอบงําอย.ู ก็ธรรมดา ปรยิ าทาน (การครอบงาํ ) นมี้ าแลวในการถือในบทนวี้ า (พระอคั ร-มเหสที รง) ถือกําลังชาง กําลงั มา กําลงั รถ กาํ ลงั พลรบ ทัง้ หมดน้นั ทมี่ ีชวี ิตนั้นเทยี ว. มาในความท้ิงในบทน้ีวา ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย อนจิ จสญั ญา เจรญิ แลวทาํ ใหม ากแลว ยอ มท้งิ กามราคะทง้ั ปวง ดงั น.้ี ทา นประสงคอ รรถะวา ทง้ิ ในบทแมน้ี. ดวยเหตุนั้น จงึ กลา ววา บทวา ปริยาทยิ ิตฺ วา ไดแก ทิ้งแลว . บทวาเยน เม เอกทา โลภธมมฺ าป ความวา ทรงทูลถามวา แมโ ลภธรรมทง้ั หลายยังครอบงําจติ ของขา พระองคไวไดใ นบางเวลา เพราะเหตใุ ด. ไดย ินวาพระราชาน้ที รงมีความสําคัญวา โลภะ โทสะ และโมหะ ไดละหมดไมมีเหลือดว ยสกทาคามิมรรค. พระราชาน้ีทรงรวู า ส่งิ ทย่ี ังละไมไดข องเรามอี ยู ทรงถือเอาสงิ่ ท่ียังละไมไ ด เปน ผมู ีความสําคญั วา สง่ิ ทลี่ ะไดแเลว ยอมเปน ไปภายหลังดงั น.้ี พระอริยสาวกเกดิ ความสงสัยอยางนี้หรอื . เออ ความสงสยั ยอมเกิดข้นึ .เพราะเหตไุ ร. เพราะความเปน ผไู มฉลาดในบญั ญตั ิ. จริงอยู แมอ ริยสาวกผไู มฉ ลาดในบัญญตั นิ ว้ี า กิเลสนี้ถูกฆาดวยมรรคโนน ยอมมีความสงสยัอยางนี.้ อริยสาวกนัน้ ไมม กี ารพจิ ารณาหรือ. มี แตการพจิ ารณาน้นั ยอ มไมบรบิ รู ณแ กอริยสาวกทงั้ ปวง. ดวยวา บางคนพิจารณาเฉพาะกเิ ลสที่ละไดแ ลวเทา นน้ั บางคนพิจารณากิเลสทไี่ มละเอยี ดเทาน้ัน บางคนพจิ ารณาเฉพาะมรรคบางคนพิจารณาเฉพาะผล บางคนพจิ ารณาเฉพาะนิพพาน กใ็ นการพิจารณา๕ ประการนี้ การพจิ ารณาประการหน่งึ หรอื สองประการ ไมควรเพือ่ จะไดก็หามิได ดว ยประการฉะนี้ อริยสาวกผใู ดมกี ารพจิ ารณาไมบรบิ รู ณ อรยิ สาวกนัน้ ยอ มมคี วามสงสยั อยา งนี้ เพราะความเปนผูไมฉ ลาดในกเิ ลสบัญญตั ิ อัน

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 147พึงฆาดว ยมรรค. บทวา โส เอว โข เต ความวา ทรงแสดงวา โลภะ โทสะและโมหะนน้ั เอง ยงั ละไมไดในสันดานของทา น แตท า นเปนผมู คี วามสาํ คัญวา ละไดแลว . บทวา โส จ หิ เต ความวา ธรรมคือ โลภะโทสะ และโมหะของทา นน้นั . บทวา กาเม ไดแ ก กาม ๒ อยาง. บทวาน ปริภุ เฺ ชยฺยาสิ คอื ทรงแสดงวา ทา นก็พึงบวชดจุ พวกเรา. บทวาอปปฺ สสฺ าทา ไดแก มีสขุ นดิ หนอ ย. บทวา พหฺทกุ ขฺ า ไดแก ทกุ ขอ ันเปนไปในปจจบุ ัน และในสมั ปรายภพนน้ั เทยี ว เปนอนั มากในทน่ี ้ี. บทวาพหูปายาสา ไดแก กิเลสคอื อุปายาส อันเปนไปในปจ จุบันและสมั ปรายภพนัน้ เทียว เปน ของมากในทนี่ .้ี บทวา อาทีนโว คอื อุปททวะ อันเปนไปในปจ จุบนั และสมั ปรายภพ. บทวา เอตฺถ ภยิ ฺโย ความวา ในกามเหลาน้นัมีโทษมากอยางน้ีเทยี ว แตใ หความยินดีนอย คือ นิดหนอ ย ดจุ เมล็ดผกั กาดอาศยั ภเู ขาหมิ พานตใ หผลนอยฉะนั้น. บทวา อติ ิ เจป มหานาม ความวาดกู อ นมหานาม แมถาอริยสาวกอยา งนี.้ บทวา ยถาภูต ไดแก ทรงแสดงวาเล็งเห็นดว ยดีดว ยปญ ญาโดยชอบตามเปน จรงิ คือ โดยนัย โดยการณ. บรรดาบทเหลา น้นั บทวา ปฺ าย ไดแก ดวยวิปสสนาปญญา อธบิ ายวาดว ยญาณคือมรรค ๒ อยา งในขั้นตํา่ . บทวา โสว คือ อรยิ สาวกผเู หน็ โทษของกามดวยมรรค ๒ อยางนั้นเทยี ว. ทรงแสดงญาณ ๒ อยา งท่มี ีปต ิ ดว ยบทนว้ี า ปตสิ ขุ  . บทวา อฺ  วา ตโต สนฺตตร ไดแ ก ฌาน ๒ อยา งและมรรค ๒ อยาง ช้ันสูงอ่ืนที่สงบกวาฌาน ๒ อยางนนั้ . บทวา เนว ตาวอนาวฏฏ ี กาเมสุ โหติ ความวา อรยิ สาวกแมแทงตลอดมรรคทงั้ สองดํารงอยูนั้น ยังเปน ผไู มเวียนมาในกามทง้ั หลายไมไ ดก อ น โดยแทแ ล เพราะความท่ียงั ไมบรรลฌุ าน หรอื มรรคช้นั สูง ยอมไมเ ปน อาโภค (ความผกู ใจ) แกผ ไู มเวียนมา ก็หามิได แตจ ะมอี าโภคแกผ เู วียนมาเทาน้นั เพราะเหตุไร เพราะไมมี

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 148วกิ ขมั ภนปหานดวยฌานสี่ ไมมสี มจุ เฉทปหานดวยมรรค ๒. บทวา มยฺห ปโข ความวา ไมใ ชทา นอยา งเดยี วเทานน้ั โดยแทแมเรา. บทวา ปพุ เฺ พวสมโฺ พธา ไดแ ก กอนตรัสรดู วยมรรคทเี ดยี ว. ทานประสงคเอาโอโรธนา-ฎกาปชหนปญ ญา (ปญ ญาในการเสยี สละนางสนม และนางฟอน) ในบทน้ีวาปฺ าย สทุ ิฏ  อโหสิ ดงั นี.้ บทวา ปต ิสุข นาชฌฺ คมึ ไดแ ก เราไมไดฌาน ๒ อยา งท่ีมปี ต.ิ ทานประสงคเอาฌานช้ันสงู ๒ อยาง และมรรค ๔ในบทนี้วา อฺ วา ตโต สนตฺ ตร ดังน.ี้ บทวา ปจจฺ ฺ าสึ ไดแ กปฏญิ ญาณแลว. เพราะเหตุไร จงึ ทรงปรารภวา ดกู อ นมหานาม ในสมัยหน่ึง เรา ดังน.ี้เพราะมอี นุสนธิเปน แผนกดงั นี้. ทรงแสดงความยนิ ดบี า ง อาทีนพบา ง แหงกามทงั้ หลายในเบ้อื งตาํ่ ไมไดต รัสถงึ ความสลดั ออก ทรงปรารภเทศนาน้ีเพือ่ ทรงแสดงถงึ ความสลดั ออกน้ัน เพราะการประกอบตนใหพัวพันกบั สุขในกามเปนทีส่ ดุ อันหนึ่ง การประกอบตนใหลําบากเปนที่สดุ อันหนง่ึ ศาสนาของเราพนจากท่สี ดุ เหลา นี้ เพราะฉะน้ัน จึงทรงปรารภเทศนาน้ี แมเพอ่ื ทรงแสดงศาสนาท้ังสิ้น ดว ยหัวขอ แหง ผลสมาบัติชนั้ สูง. บทวา คชิ ฺฌกเู ฏ ปพฺพเตความวา ภูเขาน้นั มียอดคลายอีแรง เพราะฉะน้ัน จงึ เรียกวา คิชฌกฎูหรอื อแี รงทง้ั หลายอาศัยอยู ในยอดทั้งหลายของภูเขานั้นบา ง เพราะฉะนนั้จงึ เรียกวา คิชฌกูฏ. บทวา อสิ คิ ลิ ปิ สเฺ ส ไดแก ขางภเู ขาอสิ คิ ิล.ิ บทวากาฬสลิ าย ไดแก หลงั หนิ มสี ีดาํ . บทวา อุพภฺ ฏกา โหนตฺ ิ ความวาเปนผถู อื การยนื เปนวัตร ไมนั่ง. บทวา โอปกกฺ มกิ า ความวา อนั เกดิแตความพยายามของตน มีการยืนเปน วตั รเปนตน. บทวา นิคนโฺ ถ อาวโุ สความวา เมอ่ื ไมอาจเพ่ือจะกลาวเหตอุ นื่ จึงโยนใหก บั นคิ รนถ. บทวา สพพฺ ฺ ูสพพฺ ทสฺสาวี ความวา นิครนถท ้งั หลายแสดงวา ศาสดาของพวกเราน้ันรูทกุ อยาง เห็นทุกอยา ง ท่ีเปนอดีต อนาคต และปจ จบุ ัน. บทวา อปรเิ สส

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 149าณทสฺสน ปฏชิ านาติ ความวา ศาสดาของพวกเราน้นั ยอมรชู ดั ญาณ-ทสั สนะ กลาวคือหมดทกุ สวน เพราะรูธ รรมหมดทกุ สวน และเมือ่ ยืนยนัก็ยนื ยนั อยางนี้วา เมือ่ เราเดนิ ไปกด็ ี ยืนก็ดี ฯลฯ ญาณทัสสนะปรากฎอยูดังน.้ี บรรดาบทเหลา นั้น บทวา สตต ไดแ ก เนืองนิตย. บทวา สมติ เปน ไวพจนข องบทนน้ั เทยี ว. คําน้วี า ดูกอ นนคิ รนถผูมีอายุ พวกทา นทราบละหรือวา ทุกขเ ทา นี้เราสลัดไดแลว พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงวา ธรรมดาบุรุษยอ มรูกิจที่ทาํ กหู น้ี ๒๐ กหาปณะ ชําระแลว ๑๐ กหาปณะ ก็รูวา เราชาํ ระแลว ๑๐ กหาปณะ ยังคงเปน หน้ี ๑๐ กหาปณะ คร้นั ชําระกหาปณะแมเหลาน้ันหมดแลว ยอ มรกู จิ ทัง้ ปวงวา หนี้ท้งั หมดเราชําระแลว เก่ียวสว นทส่ี ามแหง นา ก็รูว า สวนหน่ึงเกี่ยวแลว ยังเหลอื สองสวน ครัน้ เก่ียวสว นหนง่ึ อกีกร็ วู า สว นหนึง่ ยังเหลอื คร้ันสวนแมนน้ั เกี่ยวแลว กร็ วู า กิจทกุ อยางเสรจ็แลว ยอมรกู ิจที่ทาํ แลวและยังไมไ ดท ําในกจิ ทัง้ ปวงอยา งน้ี แมพวกทานก็พึงรูอยา งนนั้ . ดว ยคาํ นีว้ า การละอกศุ ลธรรมท้งั หลาย ตรสั ถามวา ชอ่ื วานคิ รนถผ ูละอกุศล เจรญิ กศุ ล ถึงความเปนผบู ริสุทธ์ิแลว มอี ยูในศาสนาของพวกทานหรอื . บทวา เอว สนเฺ ต ความวา ครน้ั ความทพ่ี วกทา นรูอ ยา งนี้มอี ย.ู บทวา ลทุ ทฺ า ไดแ ก มมี รรยาทเลวทราม. บทวา โลหติ ปาณิโนไดแ ก ผพู รากสัตวจากชีวติ ช่ือวา มีมือเปอ นดวยเลือด. ก็ธรรมดามือของผฆู า สัตวแมใด ยอมเปอนดว ยเลอื ด ผูแ มน ั้นเรยี กวา มีมือเปอนเลอื ดเหมือนกนั .บทวา กุรรู กมมฺ นฺตา ไดแก ทารณุ กรรม คือกระทาํ ความผดิ ในมารดา บิดาและสมณพราหณผ ูมธี รรมเปน ตน หรอื กรรมอันหยาบชามีพรานเนือ้เปน ตน . นคิ รนถท ั้งหลายสาํ คัญวา สมณโคดมน้ใี หโ ทษในวาทะของพวกเราแมพ วกเราจะยกโทษแกส มณโคดมนนั้ จงึ ปรารภคํานีว้ า ดกู อนทานพระโคดมผมู อี ายุ ดังน้ี. บทนน้ั มเี นือ้ ความวา ดูกรทานพระโคดมผมู ีอายุ พระองค

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 150ทรงจวี รอันประณตี เสวยขาวสาลี เนื้อ และ นํา้ ประทบั อยูใ นพระคันธกุฎีมสี ีดังเทพวมิ าน ประสบความสขุ ไดด วยความสขุ ฉันใด บุคคลไมพ ึงประสบความสขุ ดวยความสุขฉันนัน้ . อน่งึ พวกขาพเจาเสวยความทกุ ขนานบั ประการดว ยความเพยี รทงั้ หลาย มคี วามเพยี รในการนั่งกระโหยงเปน ตนฉันใดบุคคลพงึ ประสบความสขุ ไดด ว ยความทุกขฉันน้ัน ดงั นี้. บทวา สเุ ขน จอาวโุ ส น้ี กลาวแลวเพือ่ แสดงวา ถา บุคคลพงึ ประสบความสุขไดดว ยความสุขไซร พระราชาก็พงึ ประสบดังน.ี้ บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา มาคโธไดแ ก ทรงมีอสิ ระแหงแควนมคธ. บทวา เสนิโย คือ พระนามของพระเจาแผนดนิ มคธน้ัน. บทวา พมิ พฺ ิ ไดแ ก พระนามของอตั ตภาพ. พระองคเปน สาระแหง แควน มคธนนั้ ทรงนา ดู เปน ทีน่ า เล่อื มใส จึงขนานพระนามวา พมิ พสิ ารเพราะความสําเรจ็ ในอตั ภาพ. พวกนคิ รนถนั้นหมายถึงการเสวยสมบัติพรอ มกับนางฟอ นรําท้งั หลาย ซึ่งมวี ยั ทงั้ ๓ ในปราสาททง้ั ๓ ของพระราชา จึงกลา วคาํ นวี้ า ทรงอยูเปนสขุ ดีกวา ดังน.ี้ บทวา อทธฺ า ไดแ กโดยสวนเดยี ว.บทวา สหสา อปฺปฏสิ งขฺ า ไดแก ทรงแสดงวา พวกนิครนถหนุ หันไมทนั พิจารณา จงึ พูดวาจาอยางนนั้ เหมอื นคนกาํ หนดั แลวพดู ดวยอํานาจราคะคนโกรธแลว พดู ดวยอํานาจโทสะ คนหลงแลวพดู ดวยอํานาจโมหะฉะนน้ั .บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ปฏปิ จุ ฉฺ ิสฺสามิ ความวา เราจักถามในอรรถะน้ัน. บทวา ยถา โว ขเมยยฺ ความวา พวกทานพงึ ชอบใจฉนั ใด. บทวาปโหติ ไดแ ก ยอ มอาจ. บทวา อนิ ฺชมาโน ไดแ ก ไมห ว่ันไหว. บทวาเอกนฺตสุขปฏิส เวที ไดแ ก เสวยความสขุ ชั่วนริ ันดร. พระผูมพี ระภาคเจาเม่อื จะทรงแสดงความสุขในผลสมาบตั ิของพระองค จึงตรัสคํานี้ วา ดูกอ นนิครนถผมู อี ายุ เราแหละสามารถ ฯลฯ เสวยความสขุ สว นเดยี ว ดงั นี้. ก็ทรงกระทํา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook