Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_18

tripitaka_18

Published by sadudees, 2017-01-10 01:16:26

Description: tripitaka_18

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 217พยาบาทวติ กใหม าก จติ ของเธอน้นั กน็ อมไปเพ่อื พยาบาทวิตก ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ถา ภกิ ษุย่ิงตรกึ ยิ่งตรองถงึ วิหิงสาวติ กมาก เธอก็ละท้ิงอวิหิงสาวติ กเสยีมากระทําอยูแตวหิ งิ สาวติ กใหม าก จิตของเธอนนั้ กน็ อมไปเพอ่ื วหิ งิ สาวิตก.ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย เหมอื นในสารทสมัยเดอื นทายแหงป คนเล้ยี งโคตองคอยระวงั โคท้งั หลายในทีค่ ับค่งั ดว ยขาวกลา เขาตอ งตตี อ นโคทัง้ หลายจากท่นี ้นั ๆกั้นไว หา มไว. ขอนั้นเพราะเหตุอะไร. ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย คนเลยี้ งโคมองเห็นการฆา การถูกจาํ การเสียทรัพย การถกู ตเิ ตยี น เพราะโคทงั้ หลายเปนตน เหตุ แมฉนั ใด ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เราก็ฉันนนั้ เหมือนกนั ไดแ ลเห็นโทษ ความเลวทราม ความเศรา หมอง ของอกศุ ลธรรมทง้ั หลาย และเห็นอานสิ งสในการออกจากกาม อันเปนฝายแหงความผอ งแผว ของกุศลธรรมทั้งหลายแลว ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย เม่ือเรานั้นไมประมาท มคี วามเพยี รเครือ่ งเผากิเลส สง ตนไปอยูอยา งนี้ เนกขัมมวติ กยอ มบังเกิดขึน้ เรานนั้ ยอ มทราบชดั อยา งนว้ี า เนกขัมมวิตกนีเ้ กิดข้นึ แกเ ราแลว แล ก็แตว า เนกขัมมวติ กน้นัไมเปน ไปเพอ่ื เบียดเบียนตน ไมเปน ไปเพ่อื เบยี ดเบียนผอู ื่น ไมเ ปนไปเพ่อืเบยี ดเบียนทง้ั สองฝา ย เปนทางทําใหป ญ ญาเจริญ ไมท ําใหเกิดความคับแคนเปน ไปเพอื่ พระนิพพาน ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ก็ถาเราจะตรึกตรองถงึ เนกขมั มวิตกน้นั อยตู ลอดคืนก็ดี เรากย็ ังมองไมเ ห็นภยั อนั จะบงั เกิดแตเนกขัมมวติ กนนั้ไดเลย. ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ถึงหากเราจะตรึกตรองถงึ เนกขัมมวิตกนนั้ อยูตลอดวนั ก็ดี เรากย็ งั มองไมเ หน็ ภยั อนั จะบังเกิดข้ึนจากเนกขมั มวิตกนนั้ ไดเลย.ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย หากเราจะตรกึ ตรองถงึ เนกขัมมวิตกนัน้ ตลอดทง้ั กลางคืนและกลางวันกด็ ี เรากย็ ังไมม องเห็นภยั อนั จะบงั เกดิ ข้ึนจากเนกกขมั มวิตกนน้ัไดเ ลย. กแ็ ตว า เมอ่ื เราตรึกตรองอยูนานเกนิ ไป รา งกายก็เหน็ดเหนื่อย เมื่อรางกายเหน็ดเหน่ือย จิตก็ฟุงซา น เม่ือจติ ฟุงซา น จติ กห็ างจากสมาธิ ดูกอน

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 218ภกิ ษทุ ั้งหลาย เรานัน้ แลดํารงจิตไวใ นภายใน ทําใหส งบ ทําใหเกดิ สมาธิประคองไวดว ยดี ขอ นั้นเพราะเหตอุ ะไร เพราะปรารถนาไววา จิตของเราอยาฟุง ซา นอีกเลย ดังน.้ี ดกู อนภิกษุท้งั หลาย เมื่อเรานัน้ ไมประมาท มคี วามเพียรเครอ่ื งเผากิเลส สง ตนไปแลวอยอู ยา งนี้ อพั ยาบาทวิตกยอ มบงั เกดิ ข้นึฯลฯ อวิหงิ สาวิตกยอ มบังเกดิ ข้ึน เรานนั้ ยอมทราบชดั อยา งน้ีวา อวหิ งิ สาวติ กนี้บงั เกิดขนึ้ แกเราแลว แล ก็แตว า อวิหิงสาวติ กน้ันไมเ ปน ไปเพ่ือเบยี ดเบียนตนไมเ ปน ไปเพ่อื เบียดเบยี นผูอืน่ ไมเ ปน ไปเพ่อื เบียดเบยี นท้งั สองฝา ย [คอื ตนและบคุ คลอื่น] เปนทางทําใหปญญาเจริญ ไมทาํ ใหเ กิดความคับแคน เปน ไปเพ่ือพระนพิ พาน ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย กถ็ า เราจะตรกึ ตรองถึงอวิหิงสาวติ กนั้นอยูตลอดคืนกด็ ี เราก็ยงั ไมม องเห็นภยั อนั จะเกดิ ข้ึนจากอวิหงิ สาวติ กน้ันไดเ ลย.ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถงึ หากเราจะตรกึ ตรองถึงอวหิ งิ สาวิตกน้ันอยตู ลอดวันกด็ ีเรากย็ ังไมม องเห็นภัยอนั จะเกิดขึ้นจากอวหิ งิ สาวติ กนั้นไดเลย. ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย หากเราจะตรึกตรองถึงอวหิ งิ สาตกนน้ั ตลอดทัง้ กลางคนื และกลางวันก็ดี เรากย็ งั มองไมเ ห็นภยั อันจะเกิดขึ้นจากอวิหิงสาวติ กนนั้ ไดเลย. กแ็ ตวาเมอื่ เราตรกึ ตรองอยนู านเกินไป รา งกายก็เหนด็ เหนือ่ ย เมอื่ รางกายเหน็ดเหนอ่ื ยจิตก็ฟุงซาน เมอ่ื จติ ฟงุ ซา น จิตก็หา งจากสมาธิ ดกู อนภิกษุทั้งหลาย เรานนั้ แลดํารงจิตไวใ นภายใน ทาํ ใหส งบ ทําใหเ กดิ สมาธิ ประคองไวด วยดี ขอนั้นเพราะเหตอุ ะไร เพราะหมายในใจวา จิตของเราอยา ฟุงซานอกี เลยดังน้.ี ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุย่ิงตรึกยง่ิ ตรองถึงวิตกใด ๆ มาก เธอกม็ ใี จนอ มไปขางวติ กนนั้ ๆ มาก ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย คือ ถา ภิกษุยิง่ ตรกึ ยิ่งตรองถงึ เนกขมั มวิตกมาก เธอก็จะละกามวติ กเสียได ทําเนกขัมมวิตกอยางเดียวใหม าก จิตของเธอนน้ั ก็จะนอมไปเพอื่ เนกขัมมวติ ก. ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลายถา ภิกษุย่งิ ตรึก ยงิ่ ตรองถงึ อัพยาบาทวิตกมาก เธอกจ็ ะละพยาบาทวิตกเสียได

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 219ทําอพั ยาบาทวิตกอยา งเดียวใหมาก จติ ของเธอน้นั ก็จะนอ มไปเพอื่ อัพยาบาทวิตก ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ถาภิกษยุ งั ตรึก ยงิ่ ตรองถงึ อวิหงิ สาวิตกมาก เธอก็จะละวิหงิ สาวติ กเสยี ได ทําอวิหิงสาวติ กอยา งเดยี วใหมาก จติ ของเธอนนั้ ก็นอมไปเพือ่ วหิ งิ สาวติ ก. ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย เหมอื นในเดือนทายแหง ฤดูรอนคนเลีย้ งโคจะตอ งรกั ษาโคทั้งหลาย ในที่ใกลบานในทกุ ดา น เมอื่ เขาไปคูโคนตนไมห รือไปสูที่แจงจะตอ งทําสติอยูเ สมอวา นน้ั ฝงู โค [ของเรา] ดังน้ี ฉนั ใดดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เรากฉ็ ันน้นั ตอ งทําสติอยูเ สมอวาเหลานเ้ี ปน ธรรม [คอืกศุ ลวติ ก] ดังน.ี้ วาดว ยวิชชา ๓ [๒๕๓] ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เราไดป รารภความเพียร มีความเพยี รไมย อหยอนแลว มสี ตมิ ั่นคงไมเ ลอะเลอื นแลว มกี ายสงบไมกระสับกระสายแลว มีใจตั้งม่ัน มอี ารมณเ ปน อนั เดียว ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย เรานน้ั แลสงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรม บรรลปุ ฐมฌาน มีวิตก มีวจิ าร มีปติและสขุ เกดิ แตวเิ วกอยู. บรรลทุ ุติยฌาน มีความผองใสแหงใจในภายใน เปนธรรมเอกผดุ ขน้ึ ไมม ีวิตก ไมม ีวจิ าร เพราะวิตกวจิ ารสงบไป มปี ต แิ ละสขุ เกดิ แตสมาธิอยู ฯลฯ บรรลุตตยิ ฌาน. . . บรรลจุ ตตุ ถฌาน. . . เราน้นั เมือ่ จิตเปน สมาธิ บรสิ ุทธิ์ ผอ งแผว ไมมกี เิ ลส ปราศจากอุปกเิ ลส เปนธรรมชาติออ น ควรแกก ารงาน ต้งั มนั่ ไมห วน่ั ไหว อยางนี้ ยอ มโนมนอ มจิตไปเพ่อื ปพุ เพนวิ าสานุสติญาน ยอมระลกึ ชาตกิ อนไดเปน อันมาก คอื ระลึกไดชาติหนง่ึ บา ง สองชาติบาง ฯลฯ เรานนั้ ยอมระลกึ ชาติกอ นไดเปนอันมาก พรอ มทง้ั อาการ พรอมทั้งอเุ ทศดวยประการฉะน.ี้ ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย วชิ ชาท่หี นง่ึน้ีแล เราบรรลุแลว ในปฐมยามแหง ราตรี เรากําจดั อวิชชาเสยี แลว วชิ ชาจึง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 220บังเกดิ ข้นึ กาํ จดั ความมืดเสียแลว ความสวางจึงบงั เกิดขน้ึ กเ็ พราะเราไมประมาท มคี วามเพียรเครอื่ งเผากิเลส สงตนไปอยู ฉะนัน้ . เรานั้น เมือ่ จิตเปนสมาธิ บริสทุ ธิ์ ผอ งแผว ไมมีกเิ ลส ปราศจากอุปกเิ ลส เปน ธรรมชาติออน ควรแกการงาน ตัง้ มัน่ ไมห ว่นั ไหวอยางนแี้ ลว เรานน้ั จงึ โนม นอมจติ ไปเพ่อื รจู ุติและอุปบัติของสตั วท ง้ั หลาย เรานน้ั ยอมเหน็ สตั วทีก่ ําลงั จุติ กําลงัอุปบัติ เลว ประณตี มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดว ยทพิ ยจกั ษุอนั บริสุทธ์ิ ลว งจกั ษุของมนษุ ย ยอ มรูช ัดซง่ึ หมูสัตวผ เู ปนไปตามกรรมวา สตั วเ หลา นีป้ ระกอบดว ยกายทุจรติ วจีทจุ ริต มโนทุจริต ตเิ ตียนพระอริยะเจา เปนมิจฉาทิฐิ ยดึ ถอื การกระทําดว ยอํานาจมจิ ฉาทฐิ ิ เมื่อตายไปเขาเขาถงึ อบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก สว นสตั วเ หลานปี้ ระกอบดวยกายสุจรติวจีสุจริต มโนสุจริต ไมตเิ ตยี นพระอริยะเจา เปน สมั มาทฐิ ิ ยึดถือการกระทาํดวยอาํ นาจสัมมาทิฐิ เมอ่ื ตายไป เขาเขาถงึ สุคตโิ ลกสวรรค ดงั นี้ เรายอมเหน็หมสู ัตวก าํ ลงั จตุ ิ กาํ ลังอปุ บตั ิ เลว ประณีต มผี วิ พรรณดี มผี วิ พรรณทราม ไดดีตกยาก ดว ยทพิ ยจกั ษอุ นั บริสุทธ์ิ ลว งจกั ษขุ องมนษุ ย ยอ มรชู ัดซงึ่ หมสู ตั วผเู ปน ไปตามกรรม ดว ยประการฉะนี้. ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย วิชชาทสี่ องนแี้ ลเราบรรลุแลว ในมัชฌมิ ยามแหง ราตรี เรากําจดั อวิชชาเสยี แลว วิชชาจึงบงั เกิดขนึ้ กาํ จดั ความมดื เสียแลว ความสวางจึงเกิดขนึ้ ก็เพราะเราไมป ระมาท มีความเพยี รเครอ่ื งเผากเิ ลส สง ตนไปอยู ฉะน้นั . เราน้ันเมือ่ จิตเปนสมาธิบรสิ ทุ ธิ์ ผอ งแผว ไมมกี เิ ลส ปราศจากอุปกิเลส เปน ธรรมชาติ ออน ควรแกก ารงาน ต้งั ม่นั ไมหว่นั ไหวอยา งน้ี จงึ โนมนอ มจิตไปเพือ่ อาสวักขยญาณยอ มรชู ัด ตามความเปนจริงวา นท้ี ุกข น้ีทกุ ขสมุทัย น้ที กุ ขนโิ รธ นท้ี กุ ข-นิโรธคามินีปฏิปทา เหลา นอ้ี าสวะ นี้อาสวสมุทยั น้อี าสวนโิ รธ น้อี าสว-นโิ รธคามินปี ฏิปทา เมือ่ เราน้นั รเู ห็นอยางน้ี จติ จึงหลุดพนแลว แมจาก

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 221กามาสวะ แมจากภวาสวะ แมจ ากอวชิ ชสวะ เม่อื จิตหลดุ พน แลว ก็มญี าณหยงั่ รวู า หลุดพน แลว รชู ัดวาชาตสิ ้นิ แลว พรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ท่คี วรทําทาํ เสรจ็ แลว กิจอน่ื เพ่ือความเปนอยางนม้ี ไิ ดม ี ดังนี้. ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลายวชิ ชาทีส่ ามนแ้ี ล เราบรรลุแลวในปจฉิมยามแหงราตรี เรากําจัดอวชิ ชาเสียแลววิชชาจึงบังเกิดข้ึน กําจดั ความมดื เสยี แลว ความสวา งจึงบังเกดิ ข้ึน กเ็ พราะเราไมป ระมาท มีความเพียรเคร่อื งเผากิเลส สงตนไปอยู ฉะนั้น. [๒๕๔] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย มหี มเู น้ือเปน อนั มาก พากนั เขา ไปอาศัยบึงใหญในปา ดงอยู ยังมีบรุ ุษคนหนึ่งปรารถนาความพนิ าศ ประสงคความไมเกือ้ กูล ใครค วามไมป ลอดภัยเกดิ ขนึ้ แกหมูเ นื้อนนั้ เขาปด ทางทีป่ ลอดภัยสะดวก ไปไดตามชอบใจของหมเู นอ้ื นนั้ เสีย เปดทางทไ่ี มสะดวกไว วางเนอื้ตอ ตวั ผไู ว วางนางเน้อื ตอ ไว ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย เมอ่ื เปนเชนนี้ โดยสมัยตอมา หมูเ นอื้ เปน อนั มากก็พากนั มาตายเสยี จนเบาบาง ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลายแตยงั มีบุรุษอีกคนหนึ่งปรารถนาประโยชน ใครความเกอื้ กูล ใครค วามปลอดภัยแกหมูเนอ้ื เปนอันมากนนั้ เขาเปดทางท่ปี ลอดภัย สะดวก ไปไดต ามชอบใจใหแกห มูเนือ้ นนั้ ปดทางทไ่ี มสะดวกเสยี กําจัดเนือ้ ตอ เลกิ นางเน้ือตอ ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย เมอื่ เปนเชน น้ี โดยสมยั ตอ มา หมเู นอื้ เปนอนั มาก จงึ ถึงความเจริญคับคัง่ ลนหลาม แมฉ ันใด ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย ขอ อปุ มานก้ี ็ฉนั น้ันแลเราไดทาํ ขึน้ ก็เพื่อจะใหพวกเธอรคู วามหมายของเน้ือความ ก็ในอุปมานั้น มีความหมายดังตอไปน้ี ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย คําวา บึงใหญ น้ีเปน ชอื่ ของกามคณุ ทงั้ หลาย. คาํ วา หมูเนอ้ื เปน อนั มาก นีเ้ ปนชื่อของหมสู ัตวทั้งหลาย.คําวา บรุ ษุ ผปู รารถนาความพนิ าศ ประสงคความไมเ กื้อกลู จํานงความไมปลอดภยั น้ีเปน ช่ือของตัวมารผมู บี าป. คาํ วา ทางที่ไมส ะดวก น้ีเปนชื่อของทางผิด อนั ประกอบดว ยองค ๘ ประการ คือ มจิ ฉาทฐิ ิ ๑ มจิ ฉาสังกบั ปะ ๑

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 222มิจฉาวาจา ๑ มจิ ฉากมั มันตะ ๑ มิจฉาอาชีวะ ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มจิ ฉาสติ ๑มจิ ฉาสมาธิ ๑. คาํ วา เน้อื ตอตัวผู นเ้ี ปน ชื่อของนันทริ าคะ (ความกําหนัดดวยความเพลนิ ). คําวา นางเนื้อตอ นเี้ ปนชอ่ื ของอวิชชา. คาํ วา บรุ ุษคนท่ีปรารถนาประโยชน หวงั ความเกอื้ กูล หวังความปลอดภัย (แกเ นอ้ื เหลาน้นั )น้หี มายเอาตถาคต อรหันตสัมมาสมั พุทธเจา. คาํ วา ทางอันปลอดภยั สะดวกไปไดต ามชอบใจ นเ้ี ปน ชื่อของทางอันประกอบดว ยองค ๘ ประการ ซึ่งเปนทางถกู ทีแ่ ทจ รงิ คือสมั มาทิฐิ ๑ สมั มาสังกัปปะ ๑ สมั มาวาจา ๑ สัมมากมั มันตะ ๑ สมั มาอาชวี ะ ๑ สมั มาวายามะ ๑ สมั มาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑. [๒๕๕] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ดว ยอาการดงั ท่ีกลาวมานแี้ ล เปนอนัวา ทางอนั ปลอดภยั ซึง่ เปนทางสวัสดี เปนทางท่พี วกเธอควรไปไดด ว ยความปลาบปลื้ม เราไดเผยใหแลว ปดทางทไ่ี มสะดวกใหดว ย เน้อื ตอ ก็ไดก ําจัดใหแลว ท้ังนางเนอ้ื ตอ ก็สังหารใหเ สร็จ. ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย กิจอันใดท่ศี าสดาผูแสวงหาประโยชน เกอ้ื กลู เอน็ ดู อาศยั ความอนเุ คราะห แกเ หลา สาวกจะพึงทํา กจิ อันนัน้ เราทําแกเ ธอท้งั หลายแลว . ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย น่ันโคนไมน่นั เรอื นวางเปลา เธอทั้งหลายจงเพง พินจิ อยา ประมาท อยาไดเ ปน ผมู ีความเดือดรอนในภายหลงั . นี้เปนคาํ พร่ําสอนของเราแกเ ธอทงั้ หลาย. พระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสพระพุทธพจนนีแ้ ลว ภกิ ษเุ หลา นน้ั มใิ จช่ืนชมยนิ ดภี าษติ ของพระผมู พี ระภาคเจา แลว แล. จบ เทวธาวติ ักกสูตร ที่ ๙

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 223 อรรถกถาเทวธาวิตักกสตู ร เทวธาวิตกั กสูตร มีคาํ เร่ิมตน วา ขาพเจา ไดสดบั อยางน้ี:- ในบทเหลา น้ี บทวา เทฺวธา กตวฺ า เทวฺ ธา กตวฺ า ความวาทําใหเปนสองภาค. วิตกที่ประกอบดวยกาม ชอ่ื กามวติ ก. วิตกท่ปี ระกอบดวยความปองราย ชอ่ื พยาบาทวิตก. วติ กที่ประกอบดวยความเบียดเบียนชอื่ วหิ ิงสาวติ ก. บทวา เอก ภาค ความวา วติ กนแ้ี มท ง้ั หมด ทงั้ ภายในหรอื ภายนอก หยาบหรอื ละเอียด ก็เปนฝายแหง อกศุ ลน้ันเทียว เพราะฉะนนั้เราจึงทาํ กามวิตก พยาบาทวิตก และวิหงิ สาวติ ก แมท ้งั สามใหเ ปน สวนหนงึ่ .วติ กทสี่ ลัดออกจากกามท้งั หลายแลว ประกอบพรอมดวยเนกขัมมะ ช่อื เนก-ขัมมวติ ก. เนกขมั มวิตกนั้น ยอ มควรถงึ ปฐมฌาน. วิตกที่ประกอบพรอ มดว ยความไมปองราย ชือ่ อัพยาบาทวติ ก. อพั ยาบาทวิตกน้นั ยอมควรตั้งแตเมตตาบุรพภาคจนถงึ ปฐมฌาน. วิตกท่ีประกอบพรอ มดวยความไมเบียดเบยี นชือ่ อวหิ งิ สาวิตก. อวิหิงสาวติ กนน้ั ยอมควรตั้งแตกรณุ าบุรพภาคจนถงึ ปฐมฌาน.บทวา ทตุ ยิ ภาค ความวา ทา นแสดงกาลเวลาในการขมวิตกของพระโพธิสัตวดว ยบทนวี้ า วติ กนแ้ี มทั้งหมดเปน ฝายกุศลท้ังน้นั เพราะฉะนัน้ เราจึงทําใหเปน สวนท่ีสอง. ก็เมอื่ พระโพธิสตั ว ทรงเร่ิมตงั้ ความเพียรตลอด ๖ ป วิตกทั้งหลาย มเี นกขมั มวิตกเปน ตน ไดเ ปนไปแลว เหมือนหวงแมน ้ําใหญเ ตม็ตะล่งิ ฉะนัน้ กว็ ติ กทง้ั หลายมกี ามวติ กเปนตน เกิดขึน้ รวดเร็ว เพราะความหลงลืมสติ ตดั รอนวาระแหงกุศล กลายเปน วาระแลนไปแหงอกุศลเองตัง้ อยูแตนั้น พระโพธสิ ัตวทรงดาํ ริวา ก็วิตกทง้ั หลายมกี ามวิตกเปนตนนีข้ องเราไดตดั รอนวาระแหงกศุ ลตัง้ อยู เอาละ เราจกั ทาํ วติ กเหลา น้ีใหเ ปน สองสวนอยู

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 224เพราะฉะนัน้ เราจึงทาํ สว นหนึ่งวา วติ กมีกามวติ กเปน ตน เปนฝายอกุศลทาํ สว นหน่งึ วา เนกขมั มวิตกเปน ตน เปน ฝา ยกศุ ล ลาํ ดบั นนั้ เราจกั ขม วติ กท่มี าจากฝายอกุศลดวยความรู เหมือนบีบงูเหา แลวจบั และเหมือนเหยียบคอศตั รฉู ะนั้น เราจกั ไมใหอกศุ ลวิตกนั้นเจรญิ เราจกั ยังวติ กที่มาจากฝา ยกศุ ลใหเจรญิ รวดเรว็ เหมือนเมฆในสมัยเมฆ และเหมือนนาดมี ีพชื งอกงาม ฉะน้ันพระโพธสิ ตั วน ้ันทรงกระทําดงั นนั้ แลว ขม อกุศลวิตกทั้งหลายไว ยังกศุ ลวิตกทัง้ หลายใหเ จรญิ . กาลเวลาในการขมวติ กของพระโพธิสตั ว พงึ ทราบวา ทา นแสดงแลวดว ยบทนี้ ดว ยประการฉะนี.้ วติ กเหลา นั้นเกดิ ขึ้นแกพ ระโพธสิ ตั วน ้ันโดยประการใด และพระโพธ-ิสตั วท รงขม วิตกเหลา น้ันโดยประการใด บัดน้ี พระผมู ีพระภาคเจา เม่ือจะทรงแสดงประการนั้น จงึ ตรสั วา ตสฺส มยหฺ  ภกิ ฺขเว ดงั นี้เปนตน. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา อปปฺ มตตฺ สสฺ ความวา ดํารงอยใู นความไมอ ยูปราศจากสติ. บทวา อาตาปโ น ความวา มคี วามเพยี รเคร่ืองเผากิเลส. บทวาปหติ ตฺตสสฺ ความวา มจี ิตสงไปแลว . บทวา อุปปชชฺ ติ กามวติ กฺโกความวา เมือ่ พระโพธิสัตวท รงเร่มิ ตัง้ ความเพยี รตลอด ๖ ป ช่อื กามวิตก ซึง่ปรารภความสขุ ในการครองราชสมบัติ ปราสาท นางฟอนราํ ตําหนักนางสนมกาํ นลั หรอื ปรารภสมบตั อิ ยางใดอยางหนึง่ เคยเกิดข้นึ แลว . กพ็ ระโพธิสัตวนัน้ ทรงถึงการสมาทานอันยิง่ ยวด ดวยทรงอดพระกระยาหารในการบําเพ็ญทกุ กรกิรยิ า ทรงมีพระดาํ ริวา บคุ คลอดอาหารไมอ าจ เพอื่ ยงั คณุ วเิ ศษใหเกิดขน้ึ ไดอยา เลย เราพึงนาํ อาหารอยางหยาบมาเสวย ดังน้ี. พระโพธสิ ัตวน้นั เสด็จเขาสูอรุ ุเวลาเพอื่ กอนขา ว. มนษุ ยทง้ั หลายคิดวา ในกาลกอ น มหาบรุ ุษไมทรงรับอาหาร แมนาํ มาถวาย บัดน้ี ชะรอยมโนรถของพระองคถงึ ที่สุดแลว เพราะฉะนัน้ จึงเสด็จมาเอง ดงั น้ี จึงพากันนาํ อาหารอันประณีต ๆ ไปถวาย.

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 225อัตภาพของพระโพธสิ ัตวก ็กลับเปนปกติโดยไมน านนกั . จรงิ อยู อัตภาพท่ีคร่ําครา เพราะชรา แมจ ะไดโภชนะทส่ี บาย กไ็ มก ลบั เปนปกติได. แตพระ-โพธิสตั วยงั หนมุ แนน เพราะเหตนุ นั้ เมื่อพระโพธสิ ตั วน้นั เสวยพระกระยาหารทส่ี บาย อตั ภาพจึงเปน ปกติโดยไมนานนกั . พระอนิ ทรียท ้ังหลายก็ผองใสพระฉววี รรณก็บริสทุ ธิ์ พระสรีระซึง่ ประดบั ประดาดวยมหาปรุ สิ ลกั ษณะ ๓๒ประการก็บริบูรณ ดจุ หมดู วงดาวขนึ้ สทู องฟาฉะนัน้ . พระโพธิสัตวน ัน้ ทรงแลดูอตั ภาพนัน้ แลว ทรงคิดวา อตั ภาพช่ือวา ลําบากเพียงนนั้ กลบั เปน ปกติอยางน้ี ทรงถอื วติ กแมน ิดหนอยอยา งน้ี เพราะความทพี่ ระองคทรงมีปญญามากจึงทรงกระทําดวยดํารวิ า กามวติ ก. พระองคป ระทับน่ังขา งหนา พระบรรณศาลาทรงเหน็ หมเู นื้อมีเนอ้ื ทราย กวาง ฟาน โค ละมัง่ เปนตน หมนู กมีนกยงู ไกป า เปน ตน ซ่ึงรองเสียงไพเราะนาจับใจ บึงทง้ั หลายซ่งึ ดาดาษดว ยอุบลเขยี ว โกมทุ และกมลเปน อาทิ ราวปาเงียบสงัดดาดาษดว ยดอกไมนานาชนดิ และแมน าํ้ เนรญั ชรา ซ่งึ ไหลพดั นา้ํ ขนุ เหลอื แตน้ําใสดจุ กอ นแกว มณี.พระโพธิสตั วน ้นั ทรงมีพระดํารวิ า ฝูงเนอ้ื หมูนก บึง ราวปา แมน้ําเนรัญชราเหลานี้ สวยงามหนอ ดังน.้ี พระองคท รงถือวติ กนดิ หนอ ยอยา งนี้แมนั้น ทรงกระทํากามวิตก. เพราะเหตุนั้น พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรสั วากามวิตก ยอมเกิดข้ึน ดังน.ี้ บทวา อตฺตพฺยาพาธายป ความวา เพอ่ืความทุกขแ กต นบาง. ในบทท้ังปวง ก็มีนยั เชน เดียวกนั . ถามวา กช็ อื่ วาวิตกทีเ่ ปน ไปเพอื่ ความทุกขแกทง้ั ๒ ฝา ยของพระมหาสตั ว มหี รอื . ตอบวาไมม.ี ก็เมอื่ พระมหาสตั วดํารงอยูในความไมก ําหนดรู วติ กยอ มเปน ไปจนถงึการเบยี ดเบยี นทัง้ ๒ ฝา ย เพราะฉะนั้น จึงไดช ื่อ ๓ อยาง น้ันอยา งนี้เพราะฉะนัน้ พระผูม พี ระภาคเจา จงึ ตรสั อยา งน้นั . บทวา ปฺานิโรธิโกความวา ยอมไมใหเ พื่อเกดิ ขนึ้ แหงปญญาอนั เปน โลกิยะและโลกตุ ตระ ทยี่ ังไม

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 226เกิดขน้ึ แลว . กว็ ิตกตดั โลกยิ ปญ ญา แมเ กิดขึน้ แลว ดวยอํานาจแหงสมาบตั ิแปดและอภญิ ญาหาใหสนิ้ ไป เพราะฉะนัน้ จึงทําใหป ญญาดับ. บทวา วิฆาตปก-ฺขโิ ก ความวา เปนสว นแหงทกุ ข. ชื่อวา ไมเ ปนไปเพอ่ื นิพพาน เพราะวิตกไมใ หเ พือ่ กระทาํ ช่อื นพิ พานอันปจจัยไมปรงุ แตง น้นั ใหป ระจักษ. บทวาอพฺภตฺถ คจฺฉติ ความวา ถึงความสน้ิ ไป คือ ความไมม ี คอื ดบั ไปดุจฟองนํ้าฉะนนั้ . บทวา ปชหเมว คือ ท้งิ แลวนั้นเทยี ว. บทวา วิโน-ทนเมว คอื นาํ ออกไปแลวนั้นเทียว. บทวา พยฺ นฺตเมว น อกาสึความวา เราทาํ วติ กนัน้ ใหไปปราศ ไมมเี หลือหมุนกลบั ปกปดน้นั เทยี ว.บทวา พยฺ าปาทวติ กโฺ ก ความวา วิตกที่ช่ือวาประกอบพรอมดว ยการเบยี ดเบียนคนอนื่ ยอ มไมเกดิ ในพระหฤทยั ของพระโพธิสตั ว. ลําดับน้นัพระผมู ีพระภาคเจาทรงหมายถงึ ความที่พระโพธิสัตวน ัน้ ทรงนอมจติ ไป เพราะอาศัยเหตทุ ้ังหลายมฝี นจัด รอนจดั และหนาวจดั เปนตนนัน้ จงึ ตรัสวาพยาบาทวติ ก ดงั น้ี. บทวา วิหึสาวติ กโฺ ก ความวา วติ กทป่ี ระกอบพรอมดวยการยังทุกขใ หเ กดิ ขึ้นแกคนเหลาอื่น ยอ มไมเ กดิ ขึ้นแกพ ระมหาสตั ว. แตอาการแหงความฟงุ ซานในพระหฤทยั เปน อาการแหงอารมณหลายประการพระโพธิสตั ว ทรงถอื เอาอาการนัน้ ทําวิหงิ สาวติ ก. เพราะพระองคประทับนั่งณ พระทวารแหง พระบรรณศาลา ทรงเห็นเน้อื รา ยมสี ีหะและเสือโครงเปนตนกาํ ลงั เบยี ดเบียนเน้อื ตวั เลก็ ๆ มีสกุ ร เปนตน . ลําดบั นั้น พระโพธสิ ตั วทรงดาํ ริวา ศตั รทู งั้ หลายยอมเกิดขึ้นแกส ัตวเดยี รัจฉานเหลาน้ี ในปา ซง่ึ ไมม ภี ัยแตไหนช่ือแมน ี้ พวกสตั วมีกําลังกนิ สตั วม ีกาํ ลังนอย พวกสัตวกนิ สัตวมีกาํ ลังนอ ยยอ มเปน อยไู ด ดงั น้ี ทรงยังพระกรณุ าใหเกิดข้ึน ทรงเหน็ สตั วแมเ หลาอนื่มีแมวเปน ตน กําลังกนิ สตั วม ีไกและหนูเปนตน . เสดจ็ เขา สูบานเพอื่ บิณฑบาตทรงยังพระกรุณาใหเกดิ ข้ึนวา มนุษยท ั้งหลายถกู ขาราชการเบียดเบียน สวย

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 227ทกุ ขม ีการฆา และการจองจาํ เปนตน ยอมไมไ ด เพื่อทาํ การงานของตนมีการทํานา และการคา ขายเปน ตน เล้ียงชีพ. ทรงหมายถงึ พระกรุณานน้ั จงึ ตรัสวาวหิ ิงสาวติ กยอ มเกดิ ข้ึน. บทวา ตถา ตถา ความวา โดยเหตุนน้ั ๆ. ทานอธบิ ายอยา งน้ีวา ทรงตรกึ วิตกใด ๆ ในกามวิตกเปน ตน และทรงยังวติ กใด ๆใหเ ปน ไป พระโพธสิ ตั วน ้นั ไมมพี ระหฤทัยดว ยความมีกามวติ กเปนตนน้ันเลยโดยอาการนนั้ ๆ. บทวา ปหาสิ เนกฺขมฺมวิตกฺก ความวา ละเนกขัมมวติ ก.บทวา พหลุ มกาสิ ความวา ไดทาํ ใหมาก. บทวา ตสสฺ ต กามวิตกกฺ ายจิตตฺ  ความวา พระหฤทัยน้นั ของพระโพธสิ ตั วนน้ั ยอมนอ มไปเพ่อื ประโยชนแกก ามวิตก โดยประการท่ปี ระกอบพรอมดว ยกามวติ กนั้นเทยี ว. แมในบทท่ีเหลือก็มีนยั เชน เดียวกนั . บดั น้ี เมื่อจะทรงแสดงอุปมาทแี่ สดงถึงเน้ือความ จงึ ตรัสวา เสยฺยถาปดังนี้เปนตน . บรรดาบทเหลานั้น บทวา กิฏ สมพฺ าเธ ความวา ในที่คบั แคบดวยขาวกลา . บทวา อาโกฏเฏยฺย ความวา ตหี ลงโดยตรง. บทวา ปฏิโกฏเฏยยฺ ความวา ตีซี่โครงโดยทางขวาง. บทวา สนนฺ ิรทุ เฺ ธยยฺ ความวาหา มแลวใหหยุด. บทวา สนฺนวิ าเรยฺย ความวาไมพึงใหเ พือ่ ไปทางนนั้ และทางน้ี. บทวา ตโตนิทาน ความวา โดยเหตุน้นั คอื โดยเหตุทโ่ี คท้งัหลายที่ไมไ ดร ักษาอยางนัน้ กนิ ขา วกลาของคนเหลาอืน่ . ก็นายโคบาลโง เม่ือไมรักษาโคทงั้ หลายอยา งนี้ ยอ มถงึ ทกุ ขม ีการฆาเปนตน จากสํานกั ของเจา ของโคท้งั หลายวา คนเลย้ี งโคน้ีกินขา วและคา จางของเรา ไมสามารถแมเพื่อรกั ษาโคทั้งหลายโดยตรง กลับใหเปลี่ยนเวรกบั ตระกลู ทัง้ หลายบา ง จากเจาของขาวกลาบาง. แตน ายโคบาลผูฉลาด เมอื่ เหน็ ภยั ๔ อยา งน้ี ยอ มรกั ษาโคท้งั หลายใหผ าสุก บทนนั้ ทา นกลาวหมายถึงเหตนุ นั้ . บทวา อาทีนว ไดแ กอ ุปททวะ.บทวา โอการ คอื ความลามก คอื ความต่ําทรามในขันธท ั้งหลาย. บทวา

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 228สงกฺ ิเลส ไดแ ก ความเปนของเศรา หมอง. บทวา เนกฺขมฺเม ความวาในเนกขมั มะ. บทวา อานิส ส ไดแ ก อนั เปน ฝา ยแหงความหมดจด. บทวาโวทานปกฺข นี้เปน ไวพจนของอานิสงสน ้ัน. อธิบายวา ก็เราไดเ ห็นเนก-ขัมมะเปน ฝา ยความหมดจดแหง กศุ ลธรรมท้งั หลาย. อนึ่ง คําวา เนกขัมมะคือ นิพพานน้ันเทียว เม่ือสงเคราะหก ุศลทงั้ หมดซง่ึ สลดั ออกแลว จากกามทัง้หลายลงในธรรมบทเดียว. ในบทน้ันมกี ารเปรยี บเทยี บดังนี้ ก็อารมณมีรปู เปน ตน ดุจที่คบั แคบดวยขาวกลา จติ โกงดุจโคโกง พระโพธิสตั วดจุ นายโคบาลผูฉลาด วติ กท่เี ปนไปเพื่อความเบยี ดเบยี นตน คนอ่นื และทัง้ ๒ ฝา ยเปรยี บเหมือนภยั ๔ ชนดิ การท่ีพระโพธสิ ัตวท รงตั้งความเพียรตลอด ๖ ปทรงเห็นภยั แหง การเบียดเบียนตนแลว รักษาพระหฤทยั ในอารมณทัง้ หลาย มรี ูปเปนตน โดยประการท่วี ิตกท้ังหลายมกี ามวติ กเปนตน ไมเกิดขน้ึ เปรยี บเหมือนการท่ีนายโคบาลผฉู ลาดเหน็ ภยั ๔ ชนดิ แลวรักษาโคดวยความไมประมาทในท่ีคบั แคบดวยขา วกลา ฉะนัน้ . ในบทวา ปฺาวุฑฒฺ โิ ก เปนตน ชอ่ื วาปญญาวฑุ ฒิกะ เพราะเปนไปเพ่อื ความเกดิ ขนึ้ แหงปญญาทัง้ ที่เปนโลกิยะและโลกุตตระทีย่ งั ไมเ กดิ ขนึ้ และเพือ่ ความเจริญแหงปญญาทัง้ ที่เปนโลกยิ ะและโลกุตตระที่เกดิ ข้นึ แลว . ชื่อวา อวิฆาตปก ขิกะ เพราะไมเ ปน ไปเพ่ือสวนแหงความทุกข. ช่ือวา นพิ พานสงั วตั ตนกิ ะ. เพราะเปนไปเพื่อความทาํ ใหแจงซ่งึ นิพพานธาตุ. บทวา รตตฺ ิเฺ จป ต ภิกขฺ เว อนวุ ิตกเฺ กยฺย ความวาแมถ า เราพงึ ยังวติ กนนั้ ใหเ ปน ไปตลอดคืนทั้งสิ้น. บทวา ตโตนิทาน ไดแกมีวิตกน้ันเปน มูล. บทวา โอหเฺ ยฺย ความวา พงึ ฟงุ ซา น คอื เปนไปเพ่ือความฟงุ ซา น. บทวา อารา คือ ในท่ไี กล. บทวา สมาธมิ ฺหา คือจากอุปจารสมาธบิ า ง จากอัปปนาสมาธิบา ง. บทวา โส โข อห ภิกขฺ เวอชฌฺ ตฺตเมว จิตฺต ความวา ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย เราน้ันตงั้ มน่ั ซ่ึงจติ อัน

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 229เปน ไปในภายในวา จิตของเราอยา อยูในที่ไกลจากสมาธนิ ้นั เทียว คอื ดาํ รงจิตไวใ นภายในอารมณ. บทวา สนฺนิสเิ ทมิ ความวา เรายงั จติ นั้นใหสงบอยูในอารมณนั้นเทยี ว. บทวา เอโกทึ กโรมิ คอื ทําใหม ีอารมณเ ดยี ว. บทวา สมาทหามิ ความวาตัง้ ม่นั โดยชอบ คอื ยกขน้ึ โดยดี. บทวา มา เมจิตตฺ  อคุ ฆฺ าฏี ความวา จติ ของเราอยา ฟุง ซาน คืออยา เปน ไปเพอ่ื ความฟุง -ซาน. ในบทวา อุปปฺ ชชฺ ติ อพยฺ าปาทวิตกฺโก อวหิ สึ าวิตกฺโก นั้นวติ กทเี่ กดิ ขนึ้ พรอ มกับดรุณวปิ ส สนาทีไ่ ดก ลา วแลวในหนหลงั นน้ี นั้ ใด ทานกลาววา เปนเนกขมั มวติ ก เพราะอรรถวา เปนขาศึกตอกาม วติ กน้ันแลทานกลาววา เปน อัพยาบาทวติ ก เพราะอรรถวา เปนขาศึกตอความปองรา ยและวาเปนอวิหงิ สาวติ ก เพราะอรรถวา เปนขาศึกตอความเบยี ดเบยี น. ทา นแสดงกาลแหง การตัง้ วิปสสนาอาศัยสมาบตั ิของพระโพธสิ ตั ว ดวยประมาณเทาน้ี. กพ็ ระโพธิสัตวน ้ันมีสมาธิบาง ดรุณวปิ ส สนาบา ง เม่อื พระโพธสิ ตั วนั้นตง้ั วปิ ส สนาประทบั น่งั นานเกนิ ไป พระวรกายยอ มลําบาก ยอมรอ นดจุ ไฟในภายใน พระเสโททัง้ หลายยอมไหลออกจากพระกจั ฉะ ไออุนจากพระเศยี รเปนดุจเกลยี วตัง้ ขึ้น พระหฤทยั ยอมเดือดรอน กระสบั กระสาย เปน จิตฟุงซาน.แตพระโพธิสัตวนนั้ ทรงเขาสมาบัตแิ ลว บรกิ รรมสมาบัติ นนั้ ทาํ ใหออ นทรงเบาพระหฤทัย ทรงตง้ั วิปส สนาอกี กเ็ มอื่ พระโพธสิ ตั วน นั้ ประทบั น่งั นานนกั พระวรกายก็เปนอยางนัน้ . กพ็ ระโพธิสัตวน้นั ทรงเขา สมาบัติแลว ทรงกระทาํ อยา งนนั้ เพราะสมาบตั มิ ีอปุ การะมากแกวิปส สนา. เปรยี บเหมอื นธรรมดาโล มอี ุปการะมากแกท หาร ทหารนัน้ อาศัยโลนนั้ เขาสงคราม ครัน้เมื่ออาวธุ ทั้งหลายท่ีใชการรบรวมทง้ั เหลา ชาง เหลา มา และเหลาทหารในสงครามน้นั หมดไป คงมแี ตค วามเปน ผูใ ครจ ะบรโิ ภคเปน ตนเทา นน้ั กลบัแลว เขาไปยังคา ยพกั แลว จับอาวุธทงั้ หลายบา ง ทดลองบาง บรโิ ภคบา ง

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 230ดมื่ นํา้ บาง ผกู สอดเกราะบาง ทํากจิ นน้ั ๆ แลว เขา สงครามอีก หรือ ทาํ การรบในสงความน้ัน เกิดปวดอุจจาระเปนตน เขา ไปคา ยพัก ดวยกจิ อันควรทาํ บางอยางอีก ครั้นทําธรุ ะเสร็จในคา ยพกั น้นั แลว กเ็ ขาสงครามอีก. สมาบตั ิมีอปุ การะมากแกว ปิ สสนา เหมือนคา ยพกั มีอปุ การะมากแกทหารฉะนัน้ . อน่ึงวปิ ส สนามอี ุปการะแกสมาบัติมากกวา คา ยพกั ของทหารท่ปี ระสงคจะระงับสงคราม. จริงอยู พระโพธิสตั วท รงอาศยั สมาบตั ิ เจรญิ วิปสสนาแมก ็จริง แตวปิ สสนามกี ําลังยอมรักษาแมส มาบัติ กระทาํ สมาบัตใิ หเกิดกาํ ลัง. กช็ นทง้ั หลายยอมทาํ เรอื ในทางบกบาง สนิ คา ในเรอื บางใหเปนภาระของเกวียน แตถ งึ น้ําแลวยอ มทาํ เกวียนบาง สินคาในเกวยี นบาง โคเทียมเกวียนบาง ใหเ ปน ภาระของเรือเรอื ตัดกระแสทางขวางแลน ไปสูทา โดยสวัสดฉี ันใด วิปส สนาอาศัยสมาบตั ิ ยอ มเปน ไปแมโดยแท แตวปิ ส สนามกี ําลัง ยอ มรักษาแมส มาบัติ ยอมทาํ สมาบัติใหเ กดิ กําลงั ฉันนน้ั เหมอื นกนั . กส็ มาบัตเิ ปรียบเหมือนเกวยี นถงึ บก วปิ ส สนาเปรยี บเหมอื นเรอื ถงึ น้าํ . กาลเวลาในการอาศัยสมาบตั ิแลว ตง้ั วิปส สนาของพระโพธสิ ตั ว ทานแสดงแลว ดวยประมาณเทานี้ ดวยประการดงั น้ี. บทวา ยจฺ เทว เปนอาทิ พงึ ทราบตามแนวทกี่ ลาวแลว ในฝา ยดํานน้ั เทียว. พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา เสยฺยถาป เปน ตน เพือ่ ทรงแสดงอปุ มาท่แี สดงเนื้อความแมใ นพระสตู รน้ี. ในบทเหลานั้น บทวา คามนฺตสมภฺ -เวสุ ไดแ ก นํามาใกลบา น. บทวา สตกิ รณียเมว โหติ ความวา กิจสกัวา ยงั สติใหเกดิ ขน้ึ วา เหลา น้นั โค ดังนเ้ี ทียว พงึ ทาํ คือ กิจมกี ารไปทางโนนและทางนแ้ี ลว ตเี ปน ไมม .ี กจิ สักวา ยังสติใหเ กดิ ขึน้ วา เหลา น่ัน ธรรมะเหลานน้ั สมถธรรมและวิปสสนาธรรมนน้ั เทยี ว เปนกิจพงึ ทํา. กาลแหงสมถและวปิ ส สนาของพระโพธสิ ตั วเ กิดกาํ ลงั ไดแ สดงแลวดวยบทน.้ี ไดย นิ วา ในกาลนน้ั เมื่อพระโพธสิ ัตวน้ันประทับนัง่ เพอื่ ประโยชนแ กส มาบัติและอปั ปนา

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 231สมาบตั ิ ๘ ก็มาสทู างดวยการระลึกอยา งเดยี ว. ทรงตัง้ วิปส สนาประทบั น่งั แลวทรงขน้ึ สอู นปุ สสนาทั้ง ๗ โดยขณะเดียวกันนัน้ เอง. ทรงแสดงอะไรในบทนว้ี าเสยฺ ยถา ป. อนสุ นธเิ ฉพาะอยางน้.ี กพ็ ระผูม พี ระภาคเจาเมือ่ จะทรงแสดงอปุ จาระทีเ่ กอื้ กลู แกส ัตวทง้ั หลาย และสมั ปทา คือ ความทีพ่ ระองคทรงเปนพระศาสดา จงึ ทรงปรารภเทศนานี้. ในบทเหลานนั้ บทวาอรเฺ  ไดแก ในดง. บทวา ปวเน ไดแ ก ราวปา. กส็ องบทนี้โดยอรรถก็เปนไวพจนอ ยา งเดยี วกัน. บทวา อโยคกฺเขมกาโม ความวาผูไมปรารถนาความเกษมจากโยคะ ๔ คือ สถานท่ีปลอดภยั ไดแกป ระสงคภัยนน้ั เทยี ว. บทวา โสวตฺถิโก ไดแ ก อนั นาํ มาซึง่ ความสวัสด.ีบทวา ปต ิงคฺ มนโี ย คือ ควรไปสูความยนิ ดี. อีกประการหนึง่ บาลีวาปต คิ มนีโย. บทวา ปทเหยฺย คอื พลางดว ยวัตถทุ ั้งหลายมีก่งิ ไมเ ปน ตน.บทวา วิวเรยยฺ ความวา พึงทาํ ปากทางใหส ะดวกแลว ทาํ ทางเปดไว.บทวา กมุ ฺมคคฺ  คอื ไมใ ชทางซึ่งปดกัน้ ดวยนํา้ ปา และภูเขาเปน ตน. บทวาโอทเหยยฺ โอกจร ความวา วางเนือ้ เสอื เหลอื งตวั หน่งึ ราวกะเทย่ี วไปในท่อี ยขู องเนอื้ ฝูงน้นั ไวใ นทเ่ี ดยี วกัน. บทวา โอกจารกิ  ความวา แมเ นื้อซ่ึงลา มเชอื กยาวไว. จรงิ อยู นายพรานเน้อื ไปสปู าคือสถานทเ่ี ปน ทอี่ ยูของเนอื้ท้ังหลายคอยสังเกตวา ฝูงเน้อื อยใู นทน่ี ี้ ออกไปทางน้ี เท่ยี วในท่นี น้ั ด่ืมในทนี่ ้นั เขาไปทางนี้ ดงั นแี้ ลว ปดทาง เปดทางรา ยไว ต้งั เนอ้ื ตัวผแู ละเนือ้ตวั เมียลอไว ถือหอกยืนซอนตวั ในท่กี ําบัง. ลําดับน้นั ในเวลาเยน็ เนอื้ทัง้ หลายเทยี่ วในปาท่ีปลอดภยั ดื่มนา้ํ เลน กบั ลูกเน้อื ทงั้ หลาย มาสูถนิ่ ซึ่งเปนทีอ่ ยู เหน็ เนอ้ื ตวั ผูแ ละเนื้อตัวเมยี ทลี่ อไว ก็นึกวา สหายของพวกเราจักมาแลวไมสงสัยเขาไป. เน้ือเหลานนั้ เหน็ ทางทปี่ ดแลวกค็ ิดวา นไี้ มใชท าง น้ีจักเปนทาง แลวดําเนนิ ไปทางรา ย. นายพรานเนือ้ จะไมทําอะไรกอน แตคร้นั เมอื่

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 232เนอ้ื เหลานนั้ เขาไปแลว จึงคอย ๆ ตเี น้ือตวั สุดทา ย เน้ือนนั้ ตกใจตื่น แตน ้นัเน้ือท้งั หมดก็แตกตน่ื มองดูขางหนาวา ภยั เกดิ ข้ึนแลว เห็นทางท่ีปด ก้ันดว ยนาํ้ หรอื ปา หรือภูเขา ก็ไมอาจเพ่ือจะเขา ไปสปู า ทร่ี กดจุ นิ้วมอื ทัง้ สองขางได ก็วกกลับปรารภท่จี ะออกไปทางทเ่ี ขาแลว. ตอ แตนนั้ นายพรานรวู าฝูงเนือ้ เหลาน้นั กลับมาแลว จึงฆา เนื้อ ๓๐ ตัวบา ง ๔๐ ตัวบาง. บทนว้ี า ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เม่อื เปน เชน นนั้ แล โดยสมยั อ่ืนฝูงเนื้อน้ัน พึงถงึ ความรอ ยหรือดงั น้ี พระศาสดาตรสั แลว ในบทนี้วา น่ันเปนชอื่ ของนนั ทิราคะ เปนช่อื แหง อวชิ ชานั้นเทียว เพราะสตั วเ หลา นี้ เปน ผไู มมญี าณเพราะอวชิ ชา พัวพนั ดวยนันทิราคะ นําเขา สูร ูปารมณเ ปน ตน ยอ มถกู ฆาเพราะหอก คือ วัฏฏทุกข เพราะฉะน้นั พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ทรงแสดงทา นเน้อื ลอตวั ผเู ปน ดจุ นันทิราคะ ทําเน้ือลอ ตวั เมียเปนดุจอวชิ ชา. จรงิ อยู แมใ นเวลาหนึ่ง นายพรานเนอ้ื ปกปด รางดว ยกงิ่ ไม เพือ่ เนื้อเหลานั้น กําจัดกลน่ิ มนุษยวางเนอ้ื ลอตัวผใู นทีห่ น่งึ ปลอ ยเนือ้ ลอตัวเมียพรอมกบั เชือก พรางตน ถือหอกแลว ยนื อยใู นทใี่ กลเ น้อื ลอ ตวั ผ.ู เนื้อลอ ตวั เมียก็จะบายหนาไปยังทเี่ ท่ยี วไปแหง หมเู นอื้ . เน้ือทงั้ หลายเห็นเน้ือลอตวั เมียน้ันแลว ก็ยนื เงยหัว. ฝา ยเน้ือลอตวั เมียน้ัน ก็ยืนเงยหวั . เนือ้ เหลาน้ันก็คดิ วา แมเ นอื้ น้เี ปน พวกเดยี วกนักบั พวกเรา จึงกนิ หญา. ฝายเนอ้ื ลอตัวเมยี แมน ัน้ กท็ าํ ทีเ่ หมือนกินหญาคอ ย ๆ เขาไปหา. เน้ือจา ฝูงทอ่ี ยใู นปา ไดก ลน่ิ เนื้อลอตัวเมยี นั้น ก็จะละฝูงของตน มุง หนา ตอ เน้อื ลอตวั เมียนน้ั . จรงิ อยู สิ่งใหม ๆ นั้นเทียว ยอ มเปนทร่ี กั ของสัตวทั้งหลาย เนอ้ื ลอตวั เมยี ท่มี ุงหนา ตอ เนอื้ ปา นั้น ก็จะไมใหเนื้อปาเขา ใกล จะหนั หลังกลบั ไปยังท่อี ยูของเนื้อลอตัวผู จะขวิดดว ยกลบี เล็บในท่ีที่มีเชือกคลอ งไวใ หห นีไป. เน้อื ปา เห็นเนอื้ ลอ ตวั ผแู ลว ก็มัวเมากบั เน้อื ลอตัวเมยีทาํ ความหงึ ในเนอ้ื ลอตัวผู นอ มหลงั ยืนสายหวั . ในขณะน้นั แมเลยี หอกอยู

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 233กไ็ มร วู า นอ้ี ะไร. ฝายเนือ้ ลอตัวผู ถาเนือ้ ปา นนั้ มีความสุขเพือ่ ชีวติ เนอ้ื นน้ัโดยสว นบน กจ็ ะนอมหลัง ถา เนอ้ื ปานน้ั มคี วามสขุ เพ่ือขวดิ โดยสวนขางลา งก็จะนอ มหวั ใจขนึ้ . ลาํ ดับนนั้ พรานก็จะเอาหอกแทงเนอื้ ปา ฆาในทน่ี น้ั เทียวแลว ถอื เอาชน้ิ เนอื้ ไป. ดว ยประการฉะน้ี เนือ้ นน้ั มัวเมาอยกู ับเน้ือลอ ตัวเมียทาํ ความหึงในเน้ือลอ ตัวผู แมเลียหอกอยู ก็ไมร ูอ ะไรฉันใด สัตวเ หลาน้กี ็ฉนั นน้ั เปน ผมู ัวเมา มดื มนเพราะอวชิ ชา เมอ่ื ไมรอู ะไร อาศยั ความกาํ หนัดดว ยความเพลิดเพลนิ ในอารมณท งั้ หลาย มีรูปเปนตน ยอ มไดการฆาดว ยหอกคือ ทกุ ขในวฏั ฏะ เพราะฉะนน้ั พระผูมพี ระภาคเจา จึงทรงแสดงทาํ เนื้อลอตัวผเู ปนนนั ทิราคะ ทรงกระทาํ เนื้อลอตวั เมียเปนอวชิ ชา. บทวา อิติ โขภิกฺขเว วิวโฏ มย เขโม มคฺโค ความวา ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ทางอันประกอบดว ยองค ๘ อนั เกษม คือ ประเสรฐิ อนั เราบรรลุสมั มาสัมโพธิญาณดวยการประพฤติประโยชนเ ก้อื กลู แกสตั วเหลานี้ ไมไ ดเ ปนผนู ั่งนิง่ ดวยอนั คดิวาเราเปน พระพุทธเจา แสดงธรรมต้ังแตการยงั ธรรมจกั รใหเ ปน ไปไดเปดแลวทางช่ัวเราไดปด แลว ดวยประการฉะน้แี ล เนอ้ื ลอตัวผู คือ นนั ทริ าคะ อนัภพั พบคุ คลทั้งหลายมีพระอญั ญาโกณฑัญญะเปน อนั ไดล ะแลว เน้อื ลอตวั เมีย คอือวชิ ชา ถกู ตัดเปนสองสว นใหพนิ าศแลว จากผมู ีบาป ท้ังหมดถูกถอนหมดแลวเพราะฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ทรงแสดงอปุ จาระอันเกื้อกลู แกพ ระองค.คาํ ทเ่ี หลอื ในบททั้งปวงงายท้ังน้ันแล. จบอรรถกถาเทวธาวติ กั กสตู รที่ ๙

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 234 ๑๐. วติ กั กสัณฐานสตู ร [๒๕๖] ขา พเจาไดสดับมาอยา งนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวิหารเชตวัน อารามของทา นอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถ.ี ณ ทนี่ น้ั แล พระผูมีพระภาคเจา ตรัสเรยี กภิกษทุ ง้ั หลายวา ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุเหลา น้นั ทูลรบัพระผมู ีพระภาคเจาแลว. เรอ่ื งนมิ ติ ๕ [๒๕๗] พระผูมีพระภาคเจา ไดต รัสพระพุทธพจนน วี้ า ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ภิกษุผหู มนั่ ประกอบอธจิ ติ ควรมนสกิ ารถึงนมิ ติ ๕ ประการ ตามเวลาอันสมควร. นมิ ิต ๕ ประการเปนไฉน. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย เม่อื ภิกษุในพระธรรมวนิ ยั น้ี อาศยั นมิ ิตใดแลวมนสกิ ารนมิ ติ ใดอยู วิตกทง้ั หลายอันเปนบาปอกศุ ล ประกอบดว ยฉันทะบา ง โทสะบาง โมหะบาง ยอ มเกดิ ขนึ้ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุนัน้ ควรมนสิการนมิ ิตอนื่ จากนิมิตนัน้ อันประกอบดว ยกศุ ล เม่อื เธอมนสกิ ารนมิ ติ อ่ืนจากนมิ ิตนน้ั อนั ประกอบดวยกุศลอยูวิตกอันเปน บาปอกุศล ประกอบดวยฉันทะบา ง โทสะบา ง โมหะบาง อนั เธอยอมละเสยี ได ยอมถงึ ความตง้ั อยูไมได เพราะละวิตกอันเปนบาปอกศุ ลเหลาน้ันได จติ ยอมตง้ั อยูด ว ยดี สงบเปนธรรมเอกผุดขนึ้ ต้งั ม่นั ในภายในน้นั แล.เหมอื นชา งไมห รือลูกมือของชา งไมผูฉลาด ใชลิม่ อนั เล็กตอก โยก ถอนลิ่มอันใหญอ อก แมฉนั ใด ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภิกษุก็ฉันนั้น เมือ่ อาศยันิมิตใดแลว มนสกิ ารนิมิตใดอยู วติ กท้ังหลายอันเปนบาปอกุศล ประกอบดว ยฉันทะบา ง ประกอบดว ยโทสะบา ง ประกอบดว ยโมหะบาง ยอ มเกดิ ขน้ึ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 235ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษุนนั้ ควรมนสิการนมิ ิตอื่นจากนมิ ติ น้ัน อนั ประกอบดว ยกศุ ล เม่อื เธอมนสิการนิมิตอืน่ จากนิมิตน้นั อนั ประกอบดว ยกศุ ลอยู วติ กอันเปนบาปอกุศล อันประกอบดวยฉนั ทะบาง โทสะบาง โมหะบาง อนั เธอยอ มละเสยี ได ยอ มถึงความตั้งอยไู มได เพราะละวติ กอันเปนบาปอกศุ ลเหลา นนั้ ไดจติ ยอ มตั้งอยูด วยดี สงบเปน ธรรมเอกผุดข้นึ ตั้งมนั่ ในภายในน้ันแล. [๒๕๘] ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย หากวา เม่ือภกิ ษุนัน้ มนสกิ ารนิมิตอน่ืจากนมิ ิตนนั้ อนั ประกอบดว ยกศุ ลอยู วิตกอันเปน บาปอกุศล ประกอบดวยฉันทะบาง โทสะบา ง โมหะบา ง ยังเกดิ ข้นึ เร่ือย ๆ ทเี ดยี ว ดูกอ นภิกษุทงั้ หลายภิกษุนน้ั ควรพจิ ารณาโทษของวิตกเหลา นั้นวา วติ กเหลาน้ีลว นแตเ ปน อกศุ ลแมอยางน้ี วติ กเหลา นลี้ ว นแตเ ปนโทษ แมอ ยา งนี้ วติ กเหลา น้ีลว นแตมีทุกขเปนวิบาก แมอ ยา งนี้ ดังน.้ี เมอ่ื เธอพิจารณาโทษของวิตกเหลา นน้ั อยู วติ กอันเปน บาปอกศุ ล ประกอบดว ยฉนั ทะบา ง โทสะบา ง โมหะบา ง อันเธอยอ มละเสยี ได ยอ มถึงความตัง้ อยไู มได เพราะละวติ กอนั เปน บาปอกุศลเหลานั้นได จิตยอมต้ังอยดู ว ยดี สงบเปน ธรรมเอกผดุ ขึ้น ตงั้ มนั่ ในภายในนั้นแล.ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย เหมือนหญงิ สาวหรอื ชายหนุมทช่ี อบแตง ตวั รสู กึ อดึ อัดระอา เกลียดชังตอซากงู ซากสนุ ัข หรอื ซากมนุษย ซึง่ ผกู ติดอยทู คี่ อ(ของตน) แมฉ นั ใด ภิกษุก็ฉันน้ัน หากเมือ่ เธอมนสิการนมิ ิตอื่นจากนิมติ นนั้อันประกอบดว ยกุศลอยู วติ กอันเปน บาปอกุศล ประกอบดวยฉันทะบางโทสะบาง โมหะบาง ยังเกดิ ขึ้นเร่ือย ๆ ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ภิกษนุ น้ั ควรพจิ ารณาโทษของวิตกเหลานน้ั วา วิตกเหลา นีล้ ว นแตเ ปน อกศุ ล แมอ ยางน้ีวิตกเหลา นี้ลว นแตเปน โทษ แมอยางน้ี วติ กเหลา นลี้ วนแตม ที ุกขเ ปน วบิ ากแมอ ยา งนี้ ดงั น.ี้ เม่ือเธอพจิ ารณาโทษของวติ กเหลานัน้ อยู วิตกอนั เปน บาป

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 236อกศุ ล ประกอบดวยฉันทะบาง โทสะบาง โมหะบา ง อนั เธอยอ มละเสียไดยอมถงึ ความตง้ั อยูไมได เพราะละวิตกอนั เปนบาปอกุศลเหลา นนั้ ได จิตยอมตง้ั อยดู วยดี สงบเปน ธรรมเอกผดุ ข้นึ ตง้ั ม่ัน ในภายในนนั้ แล. [๒๕๙] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย หากวา เมือ่ ภกิ ษุนั้นพจิ ารณาโทษของวิตกเหลานั้นอยู วติ กอนั เปน บาปอกุศล ประกอบดว ยฉันทะบาง โทสะบา งโมหะบาง ยงั เกดิ ขนึ้ เรอื่ ย ๆ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ภกิ ษนุ น้ั พงึ ถงึ ความไมน ึกไมใ สใจวติ กเหลา น้ัน เมอื่ เธอถงึ ความไมน กึ ไมใ สใจวติ กเหลา นน้ั อยู วติ กอนั เปนบาปอกุศล ประกอบดวยฉนั ทะบา ง โทสะบา ง โมหะบา ง อนั เธอยอ มละเสียได ยอ มถึงความตั้งอยไู มไ ด เพราะละวติ กอนั เปน บาปอกุศลเหลา นนั้ ได จิตยอ มตงั้ อยูด วยดี สงบเปน ธรรมเอกผดุ ข้นึ ตัง้ ม่นั ในภายในน้ันแล. ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย เหมอื นบุรษุ ผมู จี กั ษุ ไมต อ งการจะเห็นรูปที่ผานเขาพึงหลับตาเสีย หรอื เหลียวไปทางอน่ื เสยี แมฉนั ใด ภิกษุก็ฉนั นนั้ หากเมอื่เธอพจิ ารณาโทษของวิตกเหลา น้นั อยู วิตกอันเปน บาปอกุศล ประกอบดวยฉนั ทะบา ง ฯลฯ เปน ธรรมเอกผดุ ข้นึ ตง้ั มน่ั ภายในน้นั แล. [๒๖๐] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย หากวา เมอ่ื ภกิ ษนุ ัน้ ถึงความไมน กึ ไมใสใ จวิตกเหลานั้นอยู วติ กอันเปน บาปอกุศล ประกอบดว ยฉันทะบาง โทสะบาง โมหะบาง ยงั เกดิ ขึน้ เร่อื ย ๆ ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษนุ ้ันควรมนสิ-การสณั ฐานแหงวติ ก สังขารของวติ กเหลานนั้ เมือ่ เธอมนสิการสณั ฐานแหงวิตก สังขารของวติ กเหลาน้ันอยู วิตกอันเปน บาปอกุศล ประกอบดว ยฉันทะบา ง โทสะบาง โมหะบา ง อันเธอยอมละเสียได ยอ มถงึ ความต้ังอยไู มไดเพราะละวิตกอนั เปน บาปอกุศลเหลานน้ั ได จิตยอมตัง้ อยดู ว ยดี สงบ เปนธรรมเอกผดุ ขน้ึ ตงั้ มน่ั ในภายในน่นั แล. ดกู อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนบรุ ุษพงึ เดินเรว็ เขาพงึ มีความคดิ อยางนี้วา เราจะเดนิ เรว็ ทําไมหนอ ถากระไร

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 237เราพงึ คอยๆ เดิน เขากพ็ งึ คอ ย ๆ เดิน เขาพงึ มคี วามคดิ อยางนี้วา เราคอยๆเดินไปทําไมหนอ ถา กระไร เราควรยนื เขาพึงยืน. เขาพงึ มีความคดิ อยา งนี้อีกวา เราจะยนื ทําไมหนอ ถากระไร เราควรนงั่ เขาพึงนัง่ . เขาพงึ มคี วามคดิ อยา งนว้ี า เราจะนัง่ ทาํ ไมหนอ ถา กระไรเราควรนอน เขาพึงลงนอน. ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย กบ็ ุรษุ คนนน้ั มาผอนทิ้งอิริยาบถหยาบๆเสยี พึงสําเร็จอิรยิ า-บถละเอยี ด ๆ แมฉ นั ใด ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษกุ ็ฉันน้ัน หากวา เมือ่ เธอมนสกิ ารสณั ฐานแหงวิตกสงั ขารของวิตกเหลานนั้ อยู วติ กอันเปนบาปอกศุ ลประกอบดว ยฉันทะบาง ฯลฯ เปนธรรมเอกผดุ ขึน้ ตั้งมัน่ ในภายในน้นั แล. [๒๖๑] ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย หากวา เมื่อภิกษุน้ันมนสกิ ารถึงสณั ฐานแหง วิตก สังขารของวิตกแมเหลา นั้นอยู วิตกอันเปน บาปอกุศล ประกอบดว ยฉนั ทะบา ง โทสะบาง โมหะบา ง ยงั เกดิ ข้ึนเร่ือย ๆ ภิกษุนั้นพึงกัดฟน ดว ยฟน ดุนเพดานดวยล้นิ ขม บีบคนั้ บงั คบั จิตดว ยจติเมอ่ื เธอกัดฟนดวยฟน ดุนเพดานดวยล้ิน ขม บีบค้ัน บังคับจติ ดว ยจิตอยูวิตกอันเปน บาปอกุศล ประกอบดว ยฉนั ทะบา ง โทสะบา ง โมหะบาง อนัเธอยอมละเสยี ได ยอ มถงึ ความตง้ั อยูไมไดเ พราะละวติ กอันเปน บาปอกศุ ลเหลาน้นั จิตยอมตงั้ อยดู วยดี สงบ เปน ธรรมเอกผดุ ขน้ึ ตั้งมน่ั ในภายในนนั้ แล.ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย เหมอื นบุรุษผมู ีกําลงั มากจบั บุรุษผูมกี าํ ลังนอยกวา ไวไ ดแลว บีบ กด เคน ทศี่ ีรษะ คอ หรือกานคอไวใหแนนแมฉ ันใด ภกิ ษุก็ฉนั นน้ั หากเม่ือเธอมนสกิ ารถึงสณั ฐานแหงวติ ก สังขารของวติ กแมเหลา นนั้อยู วิตกอนั เปนบาปอกุศล ประกอบดวยฉนั ทะบาง โทสะบาง โมหะบางยังเกิดข้นึ เรอื่ ย ๆ ภิกษนุ นั้ พึงกัดฟน ดวยฟน ดนุ เพดานดว ยลิ้น ขม บีบค้ันบังคับจิตไวดว ยจติ เมือ่ เธอกดั ฟน ดวยฟน ดนุ เพดานดว ยลิน้ ขม บบี ค้ันบังคับจิตอยูได วติ กอนั เปนบาปอกุศล ประกอบดว ยฉันทะบาง โทสะบาง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 238โมหะบาง อันเธอยอ มละเสียได ยอมถงึ ความตง้ั อยไู มไ ด เพราะละวิตกอันเปนบาปอกศุ ลเหลา นนั้ ได จิตยอมตง้ั อยูดว ยดี สงบ เปน ธรรมเอกผดุ ขน้ึ ตง้ัมัน่ ในภายในนั่นแล. ความเปน ผชู ํานาญในทางเดินแหง วิตก [๒๖๒] ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย เมือ่ ภิกษอุ าศัยนิมติ ใดแลว มนสิการนมิ ิตใดอยู วติ กอันเปน บาปอกุศล ประกอบดว ยฉันทะบาง โทสะบา ง โมหะบา ง ยอมเกิดขน้ึ เม่ือเธอมนสกิ ารนมิ ิตอนื่ จากนมิ ติ นนั้ อันประกอบดวยกุศลวติ กอันเปนบาปอกุศล ประกอบดว ยฉันทะบา ง โทสะบา ง โมหะบา ง อันเธอยอ มละเสียได ยอมถงึ ความต้งั อยไู มได เพราะละวติ กอนั เปนบาปอกุศลเหลานน้ั ได จติ ยอ มตั้งอยดู วยดี สงบ เปน ธรรมเอกผดุ ขน้ึ ต้ังมัน่ ในภายในนั้นแล. เม่อื ภิกษุนั้นพจิ ารณาโทษของวิตกเหลาน้ันอยู วติ กอันเปน บาปอกศุ ลประกอบดวยฉนั ทะบาง โทสะบา ง โมหะบาง อนั เธอยอ มละเสียได ยอมถึงความตัง้ อยูไมไ ด เพราะละวิตกอนั เปน บาปอกุศลเหลา นัน้ ได จิตยอ มต้งั อยูดวยดี สงบ เปนธรรมเอกผุดข้ึน ตั้งม่ัน ในภายในนั้นแล. เมอ่ื ภกิ ษุนัน้ ถงึความไมน กึ ไมใสใ จวติ กเหลานั้นอยู วิตกอนั เปนบาปอกุศล ประกอบดวยฉนั ทะบาง โทสะบา ง โมหะบา ง อันเธอยอ มละเสียได ยอ มถึงความตงั้ อยไู มได เพราะละวติ กอนั เปนบาปอกศุ ลเหลา นั้นได จิตยอ มตง้ั อยดู ว ยดี สงบ เปนธรรมเอกผดุ ขึน้ ตั้งมัน่ ในภายในน้นั แล เมื่อภกิ ษนุ ้นั มนสิการสณั ฐานแหงวิตก สังขารของวิตกเหลานั้นอยู วิตกอันเปนบาปอกุศล ประกอบดวยฉนั ทะบา งโทสะบาง โมหะบาง อันเธอยอมละเสียได ยอมถึงความตงั้ อยไู มได เพราะละวิตกอันเปน บาปอกุศลเหลานน้ั ได จติ ยอ มตงั้ อยดู วยดี สงบ เปนธรรมเอกผดุขน้ึ ตัง้ มน่ั ในภายในนน้ั แล. เมื่อภิกษุนนั้ กัดฟน ดวยฟน ดุนเพดานดว ยล้ิน

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 239ขม บบี ค้ัน บังคับจติ ดว ยจติ อยู วติ กอันเปน บาปอกศุ ล ประกอบดว ยฉันทะบาง โทสะบา ง โมหะบา ง อันเธอยอ มละเสยี ได ยอ มถึงความตง้ั อยไู มไดเพราะละวติ กอนั เปน บาปอกุศลเหลา น้ันได จิตยอ มตง้ั อยูดวยดี สงบ เปนธรรมเอกผุดข้นึ ตัง้ มัน่ ในภายในนนั้ แล. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษนุ ี้เรากลา ววาเปนผูชํานาญในทางเดินของวติ ก เธอจักจาํ นงวิตกใด ก็จักตรกึ วิตกนน้ั ได จกัไมจ าํ นงวติ กใด กจ็ กั ไมต รึกวิตกนัน้ ได ตดั ตณั หาไดแลว คล่ีคลายสังโยชนไดแ ลว ทาํ ท่สี ดุ แหงทกุ ขไดแ ลว เพราะตรัสรไู ดโ ดยชอบ. พระผูม พี ระภาคเจา ไดต รัสพระพทุ ธพจนนแ้ี ลว ภกิ ษเุ หลานนั้ มีใจชน่ื ชมยินดีภาษิตของพระผูม ีพระภาคเจา แลว แล. จบ วติ ักกสณั ฐานสตู ร ที่ ๑๐ จบ สหี นาทวรรค ที่ ๒

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 240 อรรถกถาวิตักกสณั ฐานสูตร วติ กั กสัณฐานสตู ร มคี าํ เร่มิ ตนวา ขาพเจา ไดฟ ง มาอยา งน.้ี พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในบทเหลา นน้ั บทวา อธิจิตตฺ มนุยตุ เฺ ตน ความวาจติ ทเี่ กดิ ข้ึน ดว ยกุศลกรรมบถ ๑๐ อยา ง เปน จิตเทา นัน้ จิตในสมาบตั ิ ๘ มีวปิ ส สนาเปน บาท เปน จิตย่งิ กวา จิตน้ัน เพราะฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสั เรียกจติ นัน้ วา อธจิ ติ . บทวา อนยุ ุตเฺ ตน ไดแ ก หมน่ั ประกอบอธจิ ติ น้นั อธิบายวาประกอบแลว ขวนขวายแลว ในอธิจิต. ในขอน้นั ภกิ ษเุ ทย่ี วไปบิณฑบาตในเวลาปุเรภตั กลับจากบณิ ฑบาตในเวลาปจ ฉาภัต แลวถือเอาผา นสิ ีทนะออกไปดวยคดิ วา เราจกั ทําสมณธรรมทโี่ คนตนไมโ นน หรือทีไ่ พรสณฑ หรือวาที่เชงิ เขา หรือวาที่เง้ือมเขา ดงั นี้ แลวก็นําหญา ใบไมออกจากทสี่ าํ หรบัประกอบอธิจติ ก็คร้นั เธอลา งมือและเทาแลว ก็มานัง่ คูบัลลังก ถือเอามูลกรรมฐาน ประกอบเนือง ๆ อยูซ่งึ อธิจติ นน่ั แหละ. คาํ วา นมิ ติ ไดแก การณะ (คอื เหต)ุ . คาํ วา ตามกาลเวลาอันสมควร ไดแ ก ตามสมัยอนั สมควร. ถามวา ก็ธรรมดาวา กรรมฐานนั้นพระโยคมี ิไดท อดทิ้งแมสักครูหนึง่ คือ มนสกิ ารตดิ ตอกนั ไป มิใชหรือ เพราะเหตไุ ร พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั คาํ วา ตามกาลเวลาอันสมควร ดงั นี้. ตอบวา กเ็ พราะพระบาลจี ําแนกกรรมฐานไว ๓๘ ในกรรมฐานเหลานั้น ภิกษุผูน ง่ั ปฏบิ ัติกรรมฐาน จาํ เดมิ แตอ ปุ กเิ ลสอะไร ๆ ยังมิไดเ กดิ ข้ึนกจิ ท่จี ะตองมนสิการดวยนิมติ อ่นื ๆ ยงั มไิ ดมกี อน แตเมอ่ื ใดกเิ ลสเกิดขึ้น เธอ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 241กพ็ ึงถือเอานิมติ ทง้ั หลาย นาํ กเิ ลสทีเ่ กดิ ขนึ้ ในจติ ออกไป พระผมู ีพระภาคเจาทรงเห็นเหตนุ ้นั จงึ ตรสั อยา งน้ี. วา ดว ยเขตแดน และอารมณข องอกุศลวิตก พึงทราบเขตแดน และ อารมณของวติ กเหลาน้ี คอื :- วิตกทปี่ ระกอบดว ย ฉนั ทะ วติ กท่ีสหรคตดวย ฉนั ทะ วติ กที่สมั ปยุตดวย ราคะ ในสามอยางนนั้ จติ อนั สหรคตดวยโลภะ ๘ ดวง เปนเขตแดนของวติ กทป่ี ระกอบดว ยฉันทะ จติ ทีส่ หรคตดวยโทสะ ๒ ดวง เปน เขตแดนของวติ กที่ประกอบดวยโทสะ อกศุ ลจติ ๑๒ ดวง เปนเขตแดนของวิตกทป่ี ระกอบดว ยโมหะ. แตว า จิตท่สี มั ปยตุ ดว ยวิจกิ ิจฉาและอทุ ธจั จะ เปนเขตแดนเฉพาะบคุ คลผมู ีวติ กอนั สัมปยุตดวยวิจิกจิ ฉาและอุทธัจจะเทา นั้น. สัตวท้งั หลายและสังขารท้งั หลาย แมท ้งั หมด กเ็ ปน อารมณของวติ กไดทั้งนน้ั เพราะวา เมื่อภิกษไุ มเพงดอู ารมณที่ชอบและท่ีไมชอบแลว วิตกในสตั วและสงั ขารเหลานนั้กไ็ มเ กดิ ข้ึน. วาดวยมนสิการนิมิตอน่ื ๆ คําวา ภิกษุน้นั ควรมนสิการนิมิตอืน่ อันประกอบดว ยกศุ ลไดแก ควรมนสิการนิมติ อนั อาศยั กุศลอื่น โดยเวนจากอกศุ ลนิมติ นนั้ . ในขอ น้นั ชือ่ วา นิมติ อื่น คือเมือ่ วติ กประถอบดวยฉนั ทะเกิดข้ึนในสตั วท ง้ั หลาย การเจริญอสภุ ะ (อสภุ สญั ญา) ชอื่ วา นิมิตอน่ื เมือ่ วติ กเกิดขึ้นพอใจในสังขารท้ังหลาย (มีจวี รเปนตน ) มนสกิ ารถงึ ความเปน ของไมเ ทยี่ ง(อนิจจสัญญา) ช่ือวา นมิ ิตอ่ืน. กเ็ มือ่ วติ กประกอบดว ยโทสะในสตั วทั้งหลายเกดิ ขน้ึ การเจริญเมตตา ชอ่ื วา นิมิตอืน่ . เมือ่ วติ กในสงั ขารท้งั หลายเกดิ ข้ึน

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 242การมนสิการถงึ ธาตุ ชื่อวา นิมติ อนื่ . เมอื่ วติ กประกอบดวยโมหะเกดิ ขน้ึ ในธรรมใด ภิกษุอาศัยธรรม ๕ อยาง ชอื่ วา นมิ ติ อื่น. อธบิ ายวา เมือ่ โลภะเกิดข้ึนในสัตวท้งั หลายโดยนยั มคี ําวา มือ หรอืเทา ของผูน ้ีงาม ดังเปน ตน เธอก็นํามาพจิ ารณาดว ยอสภุ ะ คอื ส่งิ ทไ่ี มงามวาทานยินดกี ําหนดั ในอะไร ในผมทั้งหลายหรอื หรือวา ในขนทง้ั หลาย ฯลฯหรือวาในน้าํ มูตร ธรรมดาวา อัตตภาพน้ปี ระกอบขึ้นดวยกระดกู ๓๐๐ ทอ นยกขนึ้ ผูกไวดวยเอ็น ๙๐๐ เสน ฉาบทาดวยชนิ้ เนื้อ ๙๐๐ ช้นิ หมุ หอ ดวยหนงั สด อนั ความยนิ ดีพอใจในผิวปกปดไวแ ลว อนงึ่ เลา ของไมส ะอาดท้ังหลาย ยอมไหลออกจากปากแผลท้งั ๙ (ทวาร ๙) และจากขุมขนประมาณ๙๙,๐๐๐ ขุม มกี ลนิ่ เหม็นเต็มไปดวยซากศพ เปนสงิ่ นา รงั เกียจ เปน ของปฎกิ ูลอันสะสมไวซงึ่ ส่ิงปฏกิ ลู ๓๒ ประการ จะหาสง่ิ ทีเ่ ปนแกนสาร หรอื สง่ิ ทปี่ ระ-เสริฐในกายนมี้ ิไดมี เมอื่ พระโยคนี ําความงามออกดว ยอสภุ ะอยางนี้ ดวยประการฉะนี้แลว ยอมละความโลภที่เกิดในสตั วท ง้ั หลายได เพราะเหตุนัน้การนาํ ความงามออกไดดว ยอสุภะนี้ จึงช่อื วา นมิ ิตอ่ืน. เมื่อความโลภเกิดขึ้นในบริขารทงั้ หลายมบี าตรและจวี รเปน ตน ก็มนสกิ ารดวยสามารถแหงการพจิ ารณาถงึ ความเปนสิ่งท่ไี มม ีเจาของ และเปนของชวั่ คราว โดยนัยที่กลา วไวใ นสติปฏ ฐานวรรณนาวา ภิกษยุ อมวางเฉยในสังขารท้ังหลายมบี าตรและจีวรเปน ตน ดว ยอาการ ๒ อยาง คอื โดยความเปน ส่งิ ท่ีไมมีเจา ของโดยแทจรงิและเปน ของชั่วคราว เธอก็ยอ มละความโลภนนั้ ได. เพราะเหตุนนั้ การมนสิการโดยอาการ ๒ อยางในสังขารน้ัน จงึ ชื่อวา นมิ ิตอ่ืน. เม่ือโทสะเกดิ ขึน้ ในสตั วทัง้ หลาย พระโยคพี ึงเจรญิ เมตตาดวยสามารถแหง สตู รทั้งหลายท่ีนําความอาฆาตออกมกี กโจปมสูตรเปน ตน เมือ่ เจริญเมตตาอยู กย็ อ มละโทสะนัน้ ได ดวยเหตุนัน้ การเจรญิ เมตตานั้น จึงชอ่ื วา นมิ ติ อ่นื .

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 243เมือ่ โทสะเกดิ ขึ้นในเพราะวตั ถทุ ั้งหลายมกี ารกระทบกบั ตอ หนาม ใบไมที่แหลมคมเปนตน เธอก็พึงมนสกิ ารถึงธาตโุ ดยนยั เปนตน วา ทานยอมโกรธใคร ยอ มโกรธปฐวธี าตุหรือ หรอื วาอาโปธาตเุ ปนตน เมอื่ มนสิการธาตุอยูอยา งนี้ เธอยอ มละโทสะได เพราะเหตนุ นั้ การมนสิการถงึ ธาตุอยู จึงช่ือวานิมติ อืน่ . เมือ่ โมหะเกิดขึ้นในธรรมใด เธออาศัยธรรม ๕ เหลา นี้ คือ ๑. การอยูรว มกบั ครู ๒. การเรยี นธรรม (อุทเทส) ๓. การสอบถามธรรม ๔. การฟงธรรมตามกาลอนั ควร ๕. การวนิ ิจฉยั ธรรมทีเ่ ปนฐานะและอฐานะ ก็ยอมละโมหะได เพราะฉะนน้ั ภิกษุควรอาศัยธรรม ๕ เหลา น้ี.เพราะวา เมื่อเธออาศัยอาจารยผ คู วรแกก ารเคารพ อาจารยยอมลงทณั ฑกรรมแกเ ธอมีการใหต ักนํ้าสกั รอยหมอ เพราะไมถามถึงการเขาสูบาน หรือไมทําวตั รในกาลอนั ควรเปน ตน ภิกษุนนั้ ชื่อวา เปน ผูอันอาจารยพ ยายามตกแตง แลวเมอื่ เปนเชนนั้น เธอกย็ อ มละโมหะในธรรมนัน้ ได. แมเ มือ่ เรยี นธรรม (อุทเทส) อาจารยย อมลงทัณฑกรรมแกเธอผไู มเรียนในเวลาอนั สมควร หรือสาธยายไมดี หรือไมสาธยาย เปนตน เธอยอ มเปน ผูอันอาจารยพยายามตกแตง แลว แมเชน นี้ เธอก็ยอมละโมหะธรรมนัน้ได. ภกิ ษุเขาไปหาภิกษุผูควรเคารพแลว สอบถามวา ทานขอรบั ขอน้ีเปน อยา งไร อรรถของธรรมนเ้ี ปน อยางไร เปนตน เธอยอ มกาํ จดั ความสงสยัได แมด ว ยอาการอยางนี้ เธอกย็ อ มละโมหะในธรรมนนั้ ได.

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 244 แมเมอื่ ภกิ ษไุ ปสทู ี่เปน ท่ีฟงธรรมดามกาลเวลาอันควร ฟงอยโู ดยเคารพอรรถธรรมในทนี่ นั้ ๆ ยอ มจะแจม แจง แกเ ธอ แมด วยอาการอยางนี้ เธอก็ยอมละโมหะในธรรมน้ันได. บุคคลผูฉลาดในการวินิจฉยั ในส่งิ ทเ่ี ปน ฐาน คือสิ่งท่ีเปนไปได และอฐานะ คือสง่ิ ที่เปนไปไมไดว า นเ้ี ปน เหตขุ องสง่ิ น้ี นี้ไมใชเหตุของสงิ่ นี้ดังนเ้ี ปน ตน แมด ว ยอาการอยางนี้ เธอกย็ อมละโมหะในธรรมน้นั ได. เพราะเหตนุ ้ัน การอาศยั ธรรม ๕ ของเธอนั้น จงึ ช่อื วา เปนนมิ ิตอน่ื . อกี อยา งหนึ่ง เม่อื ภิกษุเจริญกรรมฐานอยางใดอยา งหน่งึ ใน ๓๘ เธอยอมละอกุศลวิตกเหลา น้ีได เพราะนมิ ติ ๕ ทม่ี ีลักษณะอยา งน้ี เปนขาศกึ และปฎปิ กษโดยตรงตอกิเลสท้ังหลายนรี าคะเปน ตน กิเลสทมี่ รี าคะเปนตนทล่ี ะไดดวยนิมติ ๕ เหลานแ้ี ลว ยอ มเปนการละอยา งดี. เหมือนอยา งวา บุคคลผดู บั ไฟโดยใชไมสดโบยบาง ฝุนบาง ก่งิ ไมอ่นื ๆ บาง ยอ มทําใหดับ แตน ํ้าซึ่งเปนขา ศกึ โดยตรงของไฟ เม่ือเขาดบั ไฟดว ยนาํ้ ซ่งึ เปนขาศกึ โดยตรง ยอ มเปนการดับดแี ลว ฉันใด กเิ ลสทัง้ หลายมรี าคะเปนตนท่ลี ะไดด วยนิมิต ๕ เหลาน้ีชอ่ื วา เปน การละอยา งดี ฉันน้นั . เพราะฉะนั้น บัณฑติ พงึ ทราบคําเหลา นี้ตามท่ีพระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวแลว . บทวา กสุ ลปู สฺหิต คือวา อาศยั กุศลเปนปจจัยแกกุศล. บทวา อชฺฌตตฺ เมว คือวา เปน อารมณภายน่ันแล. บทวา ปลคณโฺ ฑ แปลวา นายชา งไม. บทวา สุขมุ าย อาณยิ า ความวา นายชางไม หรอื ลกู มือของนายชา งไมผฉู ลาดตองการจะนําลม่ิ อันใดออก ก็ตอกดวยลมิ่ ไมอ ันแข็งกวาลิ่มอันนน้ั เขา ไป.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 245 บทวา โอฬาริก อาณึ ไดแ ก ส่มิ ที่ไมเสมอกันที่นายชางตอกเขาไปในแผนกระดานไมจ นั ทน หรอื กระดานไมเน้อื แข็ง. บทวา อภิหเนยยฺ คือวา เม่ือตอกดวยไมค อนแลวกน็ ําออกมา. บทวา อภนิ ีหเนยยฺ คือวา เมือ่ โยกอยูอยางน้นั ก็พึงนําล่ิมออกจากแผน กระดานได. บทวา อภินิวฏเฎยฺย ความวา บดั น้ี เมอ่ื นายชางรูว า ลม่ิ เปนอันมากเหลา นเ้ี ขย้อื นออกแลว จงึ เอามือจบั คลอนไปมาแลวดึงออก. บณั ฑิตพึงทราบความในที่นวี้ า จิตเหมือนแผน กระดาน. อกศุ ลวติ กเปรียบเหมอื นลิ่มท่ีทําใหแผนกระดานไมเสมอกัน. กุศลนมิ ติ มีการเจริญอสภุ ะคือความไมงามเปน ตน เปรียบเหมือนลมิ่ เลก็ . การนาํ อกุศลวติ กเหลา นัน้ ออกดว ยกศุ ลนิมติ ท้ังหลายมีการเจริญอสภุ ะเปน ตน เปรยี บเหมอื น การตอก โยกถอนล่ิมใหญอ อกไดด ว ยล่ิมอนั เลก็ ท่ีแขง็ กวา ฉะน้ัน. บทวา อหิกุณเปน เปน อาทิ แปลวา ซากงเู ปน ตน น้ี พระผมู ี-พระภาคเจา ตรสั ไว เพ่อื แสดงถึงซากศพท้งั หลายวาลวนเปนของปฏิกลู นารงั เกียจอยางยิ่ง. บทวา กณฺเ อาลคเฺ คน คอื วา นาํ เอาซากศพ ท่ีใดท่ีหนง่ึ ซ่ึงหาประโยชนมไิ ดม าผกู คอื มาสวมใสไ วท ่คี อ. บทวา อฏฏ เิ ยยฺย ไดแ ก ความละอาย. บทวา ชคิ จุ เฺ ฉยยฺ คอื วา พึงรังเกียจอันเกิดขนึ้ เอง. บทวา ปหยี นตฺ ิ ความวา เมื่อเธอรังเกยี จดว ยเหตุแมน แ้ี ลว ใครครวญดว ยกําลงั ปญญาของตนวา อกศุ ลธรรมเหลา น้ีมีโทษ มที ุกขเ ปน วบิ ากก็จะละเสยี ได เปรยี บเหมอื นหญิงสาวหรอื ชายหนุม รงั เกยี จซากงเู ปนตน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 246ฉะนัน้ . ก็เมือ่ ภิกษใุ ด ไมอาจเพ่ือจะใครครวญดวยกาํ ลังปญ ญาของตนไดเธอพึงเขาไปหาอาจารยหรอื อปุ ชฌาย หรือเพื่อนพรหมจรรยผูควรแกก ารเคารพหรือพระสังฆเถระ รปู ใดรปู หน่งึ แลว ตรี ะฆงั ใหภิกษุมาประชมุ กันบอกใหทราบถงึ เหตุนั้น เพราะวา มนษุ ยผ เู ปนบณั ฑิตคนหนง่ึ จักมีในทีป่ ระชุมน้ัน ก็บณั ฑตินีจ้ ักบอกวา ทา นพึงเหน็ โทษในอกุศลวติ กอยา งนี้ ๆ หรือวา จักขมอกศุ ลวติ กเหลานนั้ ดวยกถาท้งั หลาย มีกายวิจฉนิ ทนยี กถาเปนตน. บทวา อสติมนสกิ าโร อาปชฺชติ พฺโพ ไดแ ก ภิกษุน้นั ไมพ ึงนกึ ไมพ ึงใสใ จถึงอกศุ ลวิตกเหลา นั้น พึงเปน ผูสง ใจไปในอารมณอ ื่น ๆเหมอื นบุคคลผไู มป ระสงคจ ะเห็นรูป พึงหลับตาทัง้ สอง ฉันใด ภิกษุผูถือมูลกรรมฐานมาน่งั แลว เม่ือวติ กเกิดข้ึนในจิต กพ็ งึ เปนผสู งใจไปในอารมณอ ่ืนฉันนน้ั . ภกิ ษุน้ัน ยอ มละอกุศลวติ กไดดวยอาการอยางนี้ เมื่อเธอประสงคจะละก็พงึ ถือเอากรรมฐานมาแลว น่ังลงเถิด. ก็ถาเธอยังละไมไ ด กค็ วรสาธยายพระบาลธี รรมกถาท่เี รียนมาดวยเสยี งอันดัง. ถา เธอใสใจไปในอารมณอ ืน่ อยา งนี้ยังละไมไ ด ก็จงหยิบสมุดเปลาออกจากยา มเขียนพรรณนาความดีของพระ-พทุ ธเจา ขอ ใดของหนึง่ เธอพงึ เปน ผูนาํ อกศุ ลวิตกนั้นออกดวยการสง ใจไปในอารมณอืน่ อยางน้ี. ถา แมดวยอาการอยางนี้แลว ก็ยังละอกศุ ลวิตกน้ันไมได กพ็ งึ หยิบไมสีไฟออกมาจากยามแลว พิจารณา หรอื สงใจไปในอารมณอน่ื วา น้ีไมสไี ฟอนั บนน้ไี มสีไฟอันลาง ดงั น.้ี ถาอยา งน้แี ลวก็ยังละอกุศลวิตกไมไ ด กพ็ ึงเอากลองเล็กออกมารวมบริขารไว หรอื สง ใจไปในอารมณอน่ื วา อนั น้ี ช่ือวา กลอ งเข็มอันนี้ ช่ือวา มดี เลก็ อันน้ี ช่ือวา เครื่องตดั เลบ็ อันน้ี ชื่อวา เข็ม เปนตนเธอกจ็ ะพงึ ละอกศุ ลวิตกนนั้ ได. ถา อยา งนีแ้ ลวกย็ ังละอกุศลวติ กนนั้ ไมไ ดพ ึงหยิบเอาเข็มมาเยบ็ จวี รท่ขี าด เพือ่ สง ใจไปในอารมณอน่ื ตราบใดทเ่ี ธอยงั ละอกุศล

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 247วติ กไมไ ด ก็พงึ สง ใจไปในอารมณอ ่ืน โดยการทาํ กศุ ลกรรมนน้ั ๆ กเ็ ม่ือเธอละอกุศลวิตกไดแ ลว ก็พึงถือเอามูลกรรมฐานมานั่งลง ไมพ ึงเปน ผูเริ่มนว-กรรม (การกอสรา ง). ถามวา เพราะเหตไุ ร ตอบวา เพราะวา เธอทาํ ลายอกุศลวิตกยังไมไ ด ก็ไมมีโอกาสมน-สิการกรรมฐานได. แมบัณฑิตในกาลกอนจะทํานวกรรม กต็ องทาํ ลายอกุศลจิตกอ น. ในขอ น้ีน้ัน มเี รื่องเปนอุทาหรณ ดงั ตอ ไปน.้ี - เรื่องตสิ สสามเณร ไดยินวา พระอุปชฌายของสามเณรอาศยั อยใู นมหาวิหารชอื่ วา ติสสะสามเณรกลา วกบั ทา นอุปชฌายวา ทา นขอรับ กระผมกระวนกระวาย (อยากลาสกิ ขาบท). ครง้ั นั้น พระเถระไดกลาวกะสามเณรวา ในวิหารนห้ี านา้ํอาบไดยาก เธอจงพาเราไปทจ่ี ติ ตลดาบรรพต. สามเณรไดก ระทําเหมอื นอยา งนั้น. พระเถระกลาวกะสามเณรในทน่ี นั้ วา วหิ ารน้ีเปนของเฉพาะสงฆเธอจงทาํ (สรา งทอ่ี ยูใหม) ใหเปน ท่อี าศัยอยูเ ฉพาะบคุ คลคนหนึ่ง. สามเณรรบั คาํ วา ดแี ลว ขอรบั แลว สามเณรก็เรม่ิ สงิ่ ทง้ั สามพรอ ม ๆ กนั คอื การเรียนคมั ภีรส งั ยตุ ตนิกายตง้ั แตต น การชาํ ระพ้นื ทีท่ ่ีเง้อื มเชา และการบริกรรมเตโชกสิณและไดยังกรรมฐานนนั้ ใหถ ึงอปั ปนา ยังการเรียนสงั ยุตตนกิ ายใหจบลงแลว เริม่ นวกรรมในถํ้า เธอไดท ํากจิ นวกรรมทัง้ ปวงสําเรจ็ แลว จึงไดแจง ใหพ ระอุปชฌายทราบ. พระอุปชฌายกลาววา สามเณร ทอี่ ยูเฉพาะบคุ คลคนหนึ่งเธอทําสําเรจ็ ในวนั นไ้ี ดโ ดยลําบาก เธอนั่นแหละจงอยู ดังน้ี. สามเณรน้ัน เมอื่ อยใู นถาํ้ ตลอดราตรี ไดอตุ ุสปั ปายะ จงึ ยงั วิปสสนาใหเ จรญิ แลวบรรลุพระอรหัต ปรนิ พิ พานแลว ในถํา้ นั้นน่ันแหละ. ชนทง้ั

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 248หลายถอื เอาธาตุของสามเณรกอสรางพระเจดียไ ว. เจดียของพระตสิ สะเถระไดปรากฏมาจนทุกวันนแี้ ล. บัพพะ (ขอทค่ี วรกาํ หนด) นี้ ชอื่ วา อสตบิ ัพพะ (แปลวาขอ กาํ หนดวา ดวยการระลึกไมได) . วา ดวยขอทาํ ลายมลู ราก พระผมู ีพระภาคเจา เมอ่ื จะแสดงการทําลายมลู รากของอกศุ ลวิตกวาเม่อื ภิกษุต้ังอยใู นขอ น้ี (คืออสติบพั พะ) แลวยงั ไมอาจขมอกุศลวติ กได ก็ตองตงั้ อยใู นขอ ทที่ ําลายมลู รากของอกศุ ลวิตกนี้ ดงั น้ี แลว ตรสั คาํ วา ตสสฺ เจภกิ ขฺ เว เปนตน แปลวา ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย หากวา เมอื่ ภิกษนุ นั้ ถึงความไมน กึ ไมใ สใ จวิตกเหลาน้นั อยู เปน ตน . ในขอ นี้ พงึ ทราบวเิ คราะหค ําวา สังขาร ในคําวา พงึ มนสกิ ารสัณฐานสงั ขารของตน นั้นวา สภาวะใด ยอ มปรุงแตง เหตนุ น้ั สภาวะนนั้จึงเชือ่ วา สังขาร. อธิบายวา เปนปจจัย (คอื เปน เหตุเครือ่ งอาศัย) เปนการณะ (คือเปนเหตกุ ระทํา) เปนมูล (คือเปนราก). ช่ือวา สัณฐาน เพราะอรรถวิเคราะหว า เปน ทต่ี ั้งอยูด.ี สัณฐานของวติ กสังขาร ชื่อวา วิตักกสังขารสัณฐาน. ภกิ ษพุ งึ มนสิการสณั ฐานอันนนั้ .คาํ นี้ พระผูมพี ระภาคเจาตรสั อธิบายไวว า ภกิ ษุพงึ มนสิการถงึ เหตุและมใิ ชเ หตุของวติ กท้งั หลายวา วติ กนมี้ ีอะไรเปน เหตุ มอี ะไรเปนปจจยั เพราะเหตุไรจึงเกิดข้ึน ดังน.้ี บทวา กึ นุ โข อหึ สฆี  คจฺฉามิ ความวา บรุ ุษผเู ดนิเรว็ น้ันยอมคดิ วา ประโยชนอะไรดว ยการเดนิ เรว็ ของเราน้ี เราจกั คอ ย ๆ ไปดังนี้.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 249 บทวา โส สนกิ  คจฺเฉยฺย คือวา คร้ันเขาคิดอยา งนนั้ แลวจึงคอย ๆ เดนิ . ในคําทัง้ ปวงก็นัยน้แี หละ. บณั ฑิตพึงทราบความในขอ น้ันวา เวลาเกิดข้ึนแหง วติ กของภกิ ษนุ ี้เปรียบเหมอื นการเดนิ เร็วของบรุ ุษ. เวลากาํ หนดการเทย่ี วไปแหงวิตกของภกิ ษุน้ี เปรยี บเหมือน การคอ ย ๆ เดินไปในทน่ี นั้ . กาลทภ่ี กิ ษุนกี้ าํ หนดการเท่ยี วไปของวิตกไดแลว นาํ วิตกมาสมู ลู กรรมฐาน เปรยี บเหมอื การตรกึ ของบุรุษนัน้ . กาลท่ีภิกษนุ ี้ ยงั วปิ ส สนาใหเ จรญิ แลวบรรลพุ ระอรหัต เปรยี บเหมอื นกาลท่ีบุรษุ นนั้ นง่ั ลงแลว. กาลทีภ่ กิ ษุนใี้ หเ วลาผานไปตลอดวันดวยผลสมาบัติซึ่งมพี ระนพิ พานเปนอารมณ เปรยี บเหมือน กาลทบ่ี รุ ษุ น้ันนอนแลว . ในขอ วา วติ กเหลา นม้ี อี ะไรเปน เหตุ มีอะไรเปนปจจยั ความวาการเทีย่ วไปของวติ ก ยอ มเปนของเบาบางแลวแกผูถ งึ เหตแุ ละมใิ ชเหตขุ องวิตกทง้ั หลาย เมื่อวติ กนน้ั เปนของเบาบางถึงท่ีสดุ แลว ก็ยอมดบั ไปโดยประการทั้งปวง. บัณฑติ พึงแสดงขอความน้ีดว ยทุททภุ ชาดก (คือเร่อื งกระตายต่ืนตมู ). เร่อื งกระตายตื่นตมู ไดย ินวา กระตายตวั หนึง่ นอนหลบั อยูทใ่ี กลต นมะตูม ลูกมะตมู สุกหลุดจากขวั้ หลน ลงมาใกลหูของกระตา ย. กระตายน้ันกผ็ ลุดลุกข้นึ หนไี ปโดยเรว็ ดว ยสาํ คญั วา แผน ดินถลม เพราะเสยี งดงั ของลกู มะตูมนนั้ . สัตวจต-ุบาท (๔ เทา ) ทัง้ หลายแมอ่ืน ๆ ขางหนาเห็นกระตา ยวิง่ มาโดยเร็ว ก็พากนัว่ิงหนีไปดว ย. ครั้งนัน้ พระโพธิสตั วของเราเกดิ เปน ราชสหี . ราชสีหน้นัคิดวา ธรรมดาวาแผน ดินนี้จะถลมพนิ าศไปกเ็ พราะกปั พินาศ ชื่อวา การที่แผนดินนจี้ ะแตกทําลายไปในระหวา งมิไดมี เราจะตองไปสบื ดตู น เหตุใหไดดังน้.ี ราชสหี  จึงเร่ิมถามสตั วทัง้ หลายต้ังแตช างใหญไ ปจนถงึ กระตายตวั น้นั

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 250วา เจาเห็นแผนดินถลม หรอื ดงั น้ี กระตายกลาววา ขา แตน ายผูเปนใหญขา พเจาเห็น. ราชสหี จึงกลา ววา เจาจงพาเราไปด.ู กระตายกลา ววา ขา พเจาไมอาจ. ราชสีหจ ึงตวาดวา เฮยเจากระตาย จงพาเราไปเจา อยากลวั แลว ก็ปลอบใจกระตา ยดว ยคาํ สภุ าพเรยี บรอ ยแลวกพ็ ากระตายไป. กระตา ยยืนอยใู นที่ไมไกลของตนมะตมู แลวไดกลา ว เปน คาถาวา ขาแตท า นผสู งางาม ขา พเจาอยู ในทีน่ น้ั ไดย ินเสยี งถลม ขาพเจา ไมรจู ัก สิง่ นั้นวา เปน เสยี งอะไร. พระโพธสิ ัตวก ลา วกะกระตายวา เจา จงยนื อยูในท่นี แ้ี หละ แลว ก็ไปที่โคนตนมะตมู ไดเหน็ ท่ีเปน ท่นี อนของกระตาย และไดเหน็ ลกู มะตมู สุก จึงแลดูขา งบนไดเหน็ ข้ัวของมะตูม ครน้ั เหน็ แลว ก็รวู า กระตายตัวนี้นอนทน่ี ้ีกําลงั หลบั เมื่อลกู มะตมู สุกนีห้ ลนลงมาใกลหู จึงมีความสําคัญวา เสยี งแผนดนิถลม จึงรีบหนีไปโดยเรว็ ดังน้ี แลวจึงถามถงึ เหตุน้ัน. กระตา ยรับคาํ วาถูกแลวทานผูเปน นาย. พระโพธิสัตว จึงกลาวคําเปนคาถาวา เวลวฺ  ปตติ  สตุ ฺวา ททุ ทฺ ุภนตฺ ิ สโส ชวิ สสสฺส วจน สุตวฺ า สนตฺ ตตฺ า มิควาหนี แปลวา กระตายฟง เสียงลูกมะตูม หลน ลง สําคญั วา เสยี งแผนดนิ ถลม จึง วงิ่ ไปโดยเร็ว พวกมฤคทงั้ หลาย ปานดงั กองทพั เปนผเู ลา รอนแลว เพราะฟงถอ ย คาํ ของกระตาย.ลาํ ดบั นนั้ พระโพธิสัตว จงึ ปลอบใจพวกมฤคทง้ั หลายวา พวกทานอยากลวัเลย ดงั น้.ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook